The Divine Nine Dragon Cauldron 363-369

ตอนที่ 363

 

“หยินหยู!”


 


ในตอนนั้นเอง หลิวลี่พูดสั่งอย่างไม่แยแส


 


“เจ้าตอนนี้เป็นตัวแทนของอาณาจักรทมิฬ แม้เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าชนะ เจ้าก็อย่ายอมแพ้ง่ายๆ!”


 


“ถึงเจ้าจะแพ้ เจ้าก็ต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี การแพ้โดยไม่ได้ทำอะไรเลยจะทำให้นามของอาณาจักรทมิฬหม่นหมอง!”


 


“เจ้าจะต่อสู้อย่างโง่เขลาเช่นใดก็ได้ จากนั้นข้าจะต่อสู้ด้วยตัวเองแล้วกอบกู้ชื่อเสียงของอาณาจักรทมิฬกลับมา”


 


ทุกคนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลังของซือหยูอ่อนแอกว่าโจวเนี่ยนเฉินอย่างมาก


 


แต่แม้จะยังไม่สู้ หลิวลี่ก็เชื่อว่าซือหยูจะพ่ายแพ้อย่างหมดท่าและพูดว่าเขาจะเอาเกียรติของอาณาจักรทมิฬกลับมาจากซือหยูที่พ่ายแพ้


 


ด้วยคำพูดเช่นนี้ นั่นจะไม่ทำให้ซือหยูลังเลหรอกรึ?


 


มู่เทียนฟางจ้องหลิวลี่ด้วยความไม่พอใจอย่างมาก


 


“ในระหว่างการประลองของงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง ทุกคนทำได้สองอย่างเท่านั้นคือชมการประลองหรือเงียบปากเอาไว้! เจ้าคิดจะทำอย่างใด?”


 


หลิวลี่ไม่ยินดียินร้าย


 


“อย่างไรข้าก็จะสู้อยู่แล้ว ข้าก็แค่มอบโอกาสให้หยินหยูได้ฝึกฝนเท่านั้น”


 


มู่เทียนฟางประกาศทันที


 


“เริ่มการประลองได้!”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ทั้งสองบินไปที่กลางลานประลอง


 


อีกฝ่ายคืออำมฤตระดับสี่ ส่วนอีกฝ่ายคืออำมฤตระดับสาม


 


ทั้งสองปล่อยพลังวิญญาณออกมาพร้อมกัน


 


เหล่าคนดูอ้าปากค้างในเสี่ยววินาที


 


ด้วยพลังวิญญาณอันน่ากลัว อกของพวกเขาแน่นและไม่สบายใจ ยากมากที่พวกเขาจะหายใจได้ในแรงกดดันวิญญาณขนาดนี้


 


แน่นอนว่านั่นเกิดจากรังสีพลังของโจวเนี่ยนเฉิน


 


เทียบกันแล้ว พลังของซือหยูนั้นมีเพียงเล็กน้อย


 


ทั้งสองราวกับเด็กและผู้ใหญ่ พลังวิญญาณเพียงอย่างเดียวก็มีความห่างชั้นที่ยากจะก้าวข้าม


 


ด้วยความห่างชั้นนี้เองที่ทำให้เหล่าคนดูยากจะเชื่อว่าการต่อสู้นี้จะยืดเยื้อ


 


“เจ้าต้องให้ข้าต่อให้สักกระบวนท่าหรือไม่?”


 


โจวเนี่ยนเฉินกอดอกและยิ้มเยาะ


 


ซือหยูส่ายหน้าเบาๆอย่างไร้อารมณ์


 


“ไม่ต้อง”


 


โจวเนี่ยนเฉินถากถาง


 


“ความเป็นความตายอยู่ตรงหน้า เจ้ายังเอาความหยิ่งยโสของตัวเองเป็นที่ตั้งอย่างเดิม ข้าพูดไม่ผิดเลยว่าเจ้ามันโง่เขลา!”


 


ในสายตาของโจวเนี่ยนเฉินนั้นมองว่าซือหยูปฏิเสธที่จะถูกดูหมิ่นและปฏิเสธน้ำใจของเขาที่จะให้ซือหยูลงมือก่อนหนึ่งกระบวนท่า


 


“เจ้าผิดแล้ว การให้ข้าลงมือก่อนก็เพียงแต่ทำให้เจ้าตายเร็วขึ้นเท่านั้น”


 


ซือหยูใบหน้าสงบนิ่ง


 


“ถ้าเจ้าไม่อยากจะตายโดยไม่รู้ตัว เจ้าควรจะต่อสู้อย่างจริงจัง”


 


“ฮ่าๆๆ…มีแค่ความจริงเท่านั้นแหละที่จะทำให้คนหยาบคายอย่างเจ้ากลับมามีสติ”


 


โจวเนี่ยนเฉินส่ายหน้า


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะส่งเจ้าไปโลกหน้า!”


 


“คลื่นกลืนกิน!”


 


โจวเนี่ยนเฉินตะโกนเบาๆ เขาผลิกปลายดัชนีเล็งไปทางซือหยูที่อยู่ไกลๆ


 


คลื่นพลังวิญญาณที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือปรากฏที่ปลายดัชนีของโจวเนี่ยนเฉิน


 


ปั้งข-


 


เขาสะบัดดัชนี คลื่นพลังวิญญาณพุ่งไปทางซือหยูด้วยความเร็วปกติ


 


ปั้ง ปั้ง ปั้ง–


ท้องนภาเหนือศีรษะ เสียงดังสะท้อนราวกับพลุ


 


เสียงเหล่านั้นเกิดจากพลังวิญญาณที่เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งและพุ่งเข้าชนกันและกัน


 


ถ้าหากมองดีๆจะรู้ได้ว่าในระยะสามลี้ พลังวิญญาณนั้นสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งหมดมุ่งหน้ามาจากคลื่นเล็กๆ พลังวิญญาณเหล่านั้นถูกกลืนหายไปในวายุ


 


หลังจากที่กลืนกินเหล่าพลังวิญญาณ พลังของคลื่นก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า


 


ในพริบตา จากขนาดเท่าหัวแม่มือ มันขยายใหญ่ขึ้นเท่าแขน


 


ก้อนพลังอันน่าตกใจกลืนกินพลังที่อยู่รอบๆ


 


ราวกับมันอยากจะกลืนกินร่างมนุษย์ไปไม่ต่างกัน


 


แม้พลังนั้นจะดูไร้ภัยต่อมนุษย์ มันก็มีพลังอันมหาศาล


 


“ข้าเคยคิดว่าการป้องกันก็แค่วิธีใช้เดียวของคลื่นกลืนกิน แต่พลังที่แท้จริงของมันคือการโจมตี!”


 


โจวเนี่ยนเฉินยืนกอดอกและมองซือหยูที่เข้ามาใกล้เขาอย่างใจเย็น


 


ซงหลวนสีหน้าหม่นหมอง


 


“พลังของคลื่นกลืนกินนั่นคล้ายกับพิรุณดอกท้อของมู่เฟย เป็นไปไม่ได้เลยที่อำมฤตระดับสามจะรับมือพลังนั่นได้!”


 


แต่ซือหยูกลับนิ่งเฉย


 


เขายกดัชนีขึ้นช้าๆและชี้ขึ้นไปยังนภา


 


เสียงอันทรงพลังดังขึ้น


 


“อัสนีน้ำแข็งแห่งจักรวาลจงฟัง สืบลงมาต่อหน้าข้า!”


 


ครืน—-


 


ครืน—


 


ฎีกาสวรรค์อันทรงพลังปกคลุมพื้นที่สามลี้โดยมีซือหยูอยู่ตรงกลาง ราวกับอัสนีและน้ำแข็งจากฟ้าดินถูกควบคุมโดยซือหยู


 


ไม่นานชั้นเมฆาทมิฬก็เติมเต็มนภา เกิดหิมะตกอย่างหนัก


 


มังกรอัสนีคำรามในเมฆา


 


มังกรอัสนีเยือกแข็งคำลามลั่นลงมาตามคำบัญชาของซือหยู


 


มังกรอัสนีปะทะกับคลื่นกลืนกิน


 


ฟึ่บ–


 


มังกรอัสนีแหลกเป็นเสี่ยงๆโดยไร้เสียงใด


 


โจวเนี่ยนเฉินส่ายหน้าหัวเราะเยาะ


 


“ฎีกาสวรรค์ระดับเทพที่ร่ำลือรึ? พลังก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่”


 


โฮก—


 


แต่ในตอนนั้นเองก็มีมังกรสามตัวปรากฏจากเมฆาทมิฬพร้อมกัน!


 


มังกรทั้งสามทำให้คลื่นกลืนกินสั่นไหว


 


เปรี๊ยะ—


 


คลื่นวิญญาณส่งสัญญาณว่าจะแหลกสลาย พลังวิญญาณอันมหาศาลและสายอัสนีล้อมรอบคลื่นพลัง


 


แต่มังกรสามตัวก็ถูกกลืนกินอย่างง่ายดาย


 


รอยยิ้มของโจวเนี่ยนเฉินหายไป แต่จากนั้นเขาก็กลับมาใจเย็นดังเดิม


 


“ก็ไม่มีอะไรนี่”


 


แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงมังกรห้าตัวคำรามอย่างโหดเหี้ยมก็ดังมาจากเมฆาทมิฬ


 


มังกรห้าตัวที่ตัวใหญ่ยักษณ์พุ่งทะลวงลงมาอย่างน่าตกใจ!


 


ฟึ่บ–


 


เสียงอัสนีทำลายล้างดังก้องทั้งหอวิหคเพลิง


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองมีพลังเทียบเท่ากัน!


 


สายอัสนีและพลังความเย็นที่หลงเหลือกับคลื่นพลังวิญญาณกระจายออกไปทุกทิศทาง


 


“อ๊าก!!”


 


เสียงร้องความเจ็บปวดดังขึ้นตามๆกัน สายลมพิโรธส่งผลให้โต๊ะลอยขึ้นพร้อมกับคนที่นั่งอยู่ เหล่าคนบนโต๊ะเริ่มลอยขึ้น


 


ร่างของพวกเขาที่ไหม้จากสายอัสนีกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่ก็ถูกคลื่นกลืนกินเฉือนกาย


 


นอกจากที่นั่งของซงหลวนและหลิวลี่ ไม่มีใครอื่นเลยที่ไร้รอยขีดข่วน


 


การต่อสู้ระหว่างทั้งสองนั้นใกล้เคียงกับการต่อสู้ของอำมฤตระดับสี่สองคน ดังนั้นมันจึงส่งผลกับพื้นที่กว้าง


 


ซือหยูถอยไปไม่กี่ก้าว  โลหิตในกายเดือดพล่าน เขาบาดเจ็บเล็กน้อย


 


เสื้อผ้ากับผมสีเงินของเขายุ่งเหยิง


 


ไม่ง่ายที่จะป้องกันการโจมตีนี้


 


แต่ทุกคนก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก


 


หยินหยูมีพลังทัดเทียมกับโจวเนี่ยนเฉินงั้นรึ?


 


มู่เทียนฟางตกใจ


 


“พลังของเขาน่ากลัวยิ่งกว่าคำร่ำลือเสียอีก!”


 


เจียงมู่เฟยเคร่งเครียด นางมิอาจเชื่อสายตา


 


“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้เลยรึ?”


 


กระบวนท่านั้น คลื่นกลืนกินที่เหนือกว่าพิรุณดอกท้อ และเจียงมู่เฟยก็ไม่แน่ใจว่านางจะรับพลังนั้นได้


 


แต่ซือหยูกลับทำได้!


 


ถ้านางสู้กับเขา ผลที่ได้ก็คงลงเอยไปนานแล้ว!


 


ไม่แปลกใจที่ซงหลวนยอมรับซือหยู ในที่สุดนางก็เข้าใจ


 


ในวาจา นางเคยพูดว่าซงหลวนไม่เคยตัดสินใครพลาด แต่ในใจนั้นก็ยังมีสิ่งที่นางภาคภูมิใจอยู่ ดังนั้นนางจึงเลือกซือหยูเป็นคู่ประลองคนแรก!


 


นางอยากจะต่อสู้เพื่อเอานามแห่งตำนานยอดฝีมือที่เคยเป็นของนางกลับมาจากซือหยู


 


แต่ความต่างระหว่างเขากับนางนั้นน่าเหลือเชื่อ!


 


ซงหลวนยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาด


 


ส่วนลึกในแววตาของหลิวลี่สั่นคลอน ปรากฎการณ์หายากนั้นทำให้เขาประหลาดใจ


 


พลังของเจ้าตำหนักหยินหยูไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิด


 


โจวเนี่ยนเฉินเองก็ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย


 


“ฎีกาสวรรค์ระดับเทพ? เจ้าน่ะรึ?”


 


มีคนไม่มากนักในทวีปที่จะเข้าในฎีกาสวรรค์ในระดับสูงเช่นนี้ มีเพียงแค่คนคนเดียวที่มีฎีกาสวรรค์ระดับสูงส่งเช่นนี้ นางคือเทพีลำดับหนึ่งแห่งทวีป เฟิงเซี่ยน


 


เจ้าตำหนักหยินหยูที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เข้าใจฎีกาสวรรค์ระดับเทพได้เช่นกัน!


 


และมันยังแข็งแกร่งมากซะจนอำมฤตระดับสามขั้นสูงทั่วไปมิอาจรับไหว


 


โจวเนี่ยนเฉินถอนหายใจเบาๆ เขาเก็บความตกตะลึงเอาไว้และยิ้ม และประสานมือ


 


“ไม่เลว ไม่เลว เจ้ารับมือกับการโจมตีธรรมดาของข้าได้ ยังนับว่าผ่าน”


 


ไม่มีใครกังขาในคำพูดของเขา


 


การโจมตีเมื่อครู่ก็เป็นเพียงแค่การโจมตีที่ใกล้เคียงกับอำมฤตระดับสี่


 


เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด!


 


“ทำไมไม่รับไปอีกครั้งเล่า”


 


แววตาของโจวเนี่ยนเฉินดุร้าย


 


“ครั้งนี้ ข้าจะใช้พลังเต็มที่!”


 


“คลื่นกลืนกิน!”


 


โจวเนี่ยนเฉินสร้างคลื่นเล็กอีกครั้ง


 


แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้สร้างคลื่นเดียว


 


ไม่ใช่สิบ..ไม่สิ!


 


เขาสร้างร้อยคลื่น!


 


คลื่นทั้งหมดร้อยคลื่นต่างใกล้เคียงพลังของอำมฤตระดับสี่! 

 

 


ตอนที่ 364

 

นี่คือพลังที่แท้จริงของคลื่นกลินกิน!


 


คลื่นทั้งร้อยคลื่น แม้แต่อำมฤตระดับสี่ตัวจริงก็ต้องลงเอยอย่างโศกเศร้า ไม่ต้องพูดถึงอำมฤตระดับสามเลย


 


และซือหยูยังเป็นแค่อำมฤตระดับสาม!


 


แค่พลังอย่างเดียว เขาจะรับมือกับกระบวนท่าที่อำมฤตระดับสี่ยังต้องกลัวได้อย่างไร?


 


ซงหลวนสีหน้าเคร่งเครียดในทันที


 


“ถ้าข้าเผชิญหน้ากับโจวเนี่ยนเฉินที่ใช้พลังเต็มที่ โอกาสชนะคงเหลือแค่หกต่อสี่ส่วน”


 


แต่ซงหลวนก็ไม่พูดว่าใครกันแน่ที่มีโอกาสสี่หรือหกส่วน


 


เจียงมู่เฟยตัวชา นี่คือความต่างขั้นสูงสุดระหว่างอำมฤตระดับสามกับสี่


 


นางไร้คู่ต่อสู้ในขอบเขตเดียวกัน แต่กับโจวเนี่ยนเฉิน นางอาจจะป้องกันตัวเองจากคลื่นเดียวของโจวเนี่ยนเฉินไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


นั่นคือความต่าง


 


แต่ซือหยูมิได้เผชิญหน้ากับคลื่นเดียว มิใช่สิบ แต่เป็นร้อย!


 


เขาจะป้องกันตัวเองจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?


 


“หยินหยู อย่าฝืนตัวเองไปเลย มันไม่เสียเกียรติถ้าเจ้าจะยอมแพ้ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้ายังต้องเข้าร่วมงานในอีกสามวัน อย่าทำให้อารมณ์ทำให้เจ้าต้องเจ็บตัว”


 


เสียงมู่เฟยเตือนด้วยความหวังดี


 


เหล่าคนดูเข้าใจได้เมื่อสัมผัสกับพลังของอำมฤตระดับสี่


 


แม้ซือหยูจะยอมแพ้ตอนนี้ เขาก็จะไม่ถูกผู้ใดเหยียดหยาม


 


ไม่มีใครที่มีพลังพอจะหัวเราะซือหยูที่พ่ายแพ้ต่ออำมฤตระดับสี่


 


หลิวลี่มองอย่างเหยียดหยาม


 


“หยินหยู! การยอมแพ้จะทำให้อาณาจักรทมิฬเสียหน้า อาณาจักรอาจจะปล่อยเจ้าไป แต่ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”


 


เหล่าผู้คนขมวดคิ้ว เจ้าตำหนักหลิวลี่พยายามจะบังคับหยินหยูให้ไปตายหรืออย่างไร?


 


เขามีเรื่องบาดหมางอันใดกับเจ้าตำหนักหยินหยูงั้นรึ?


 


ต่อหน้าภัยร้าย ซือหยูมิได้ร้อนรน เขากลับสุขุมยิ่งกว่าเดิม


 


ขณะที่นภาเต็มไปด้วยคลื่นพลัง ซือหยูยังหันไปเหลือบมองหลิวลี่


 


“เจ้าพูดมากเหลือเกิน หุบปากไปจะได้หรือไม่?”


 


มู่เทียนฟางรู้สึกขยะแขยง นางจ้องหลิวลี่อย่างเยือกเย็น


 


“ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะสู้หรือหุบปาก ถ้าเจ้าทำไม่ได้ก็ขออภัยที่หอวิหคเพลิงไม่ต้อนรับคนอย่างเจ้า!”


 


สีหน้าของหลิวลี่ไม่เปลี่ยนไป แต่เขาก็เงียบลงอย่างว่าง่าย เขาดูการประลองอย่างเงียบเชียบ


 


“เจ้ายังมีแรงเหลือไปมองคนอื่นอีกรึ? อวดดีจริงๆ!”


 


โจวเนี่ยนเฉินผลักฝ่ามือ


 


คลื่นพลังที่เต็มท้องนภาฟังคำสั่งจากเขา มันกระหน่ำซัดใส่ซือหยูราวกับวายุร้ายที่หมายจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ


 


เหล่าผู้คนเป็นห่วงซือหยู


 


ยังพอมีเวลาที่ซือหยูจะยอมแพ้ ยังไม่สายเกินไปที่โจวเนี่ยนเฉินจะหยุดพลังได้


 


แต่ซือหยูยังคงผ่อนคลาย เขาดูใจตเย็น


 


ฟึ่บ–


 


แสงสีเงินปรากฏพร้อมกับธนูเงินที่ปรากฏบนมืออันว่างเปล่า


 


จากมุมมองของผู้คน ซือหยูนั้นใช้พรสวรรค์มิติในระดับที่ไร้ที่ติ เขาถึงซ่อนของชิ้นใหญ่เช่นนี้ได้


 


ไม่มีใครรู้มาก่อนเลยว่าซือหยูมีคันฉ่องจักรวาลไว้กับตัว


 


“ธนูมังกรฟ้าดิน!”


 


เจียงมู่เฟยประหลาดใจ แบบตากลมโตของนางแสดงความริษยา


 


ซงหลวนมองอย่างอิจฉาเช่นกัน เขาหัวเราะอย่างขื่นขม


 


“โชคดีจริงจริงๆ เขาได้สมบัตระดับกลางจากเมืองอันยี่มาครอง!”


 


สมบัติเทพที่มีแต่ขุมกำลังใหญ่ในทวีปเท่านั้นที่จะครอบครองได้ปรากฏในมือซือหยู


 


เหล่ายอดฝีมือต่างอิจฉาตาร้อน


 


แม้แต่โจวเนี่ยนเฉินก็เบิกตากว้าง เขาเลียฝีปากโดยไม่ทันคิดเมื่อจ้องมองธนูสีเงิน


 


มีเพียงหลิวลี่ที่ไม่รู้เรื่องธนูนี้และสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองอันยี่ก็ยังไม่รู้ถึงหูอาณาจักรทมิฬ


 


แต่สัญชาตญาณก็บอกเขาว่าธนูนี้ไม่ใช่ของธรรมดา


 


ดวงตาของซือหยูกลายเป็นสีแก้วใสโดยที่ไม่มีใครรับรู้


 


คลื่นยุ่งเหยิงทั้งร้อยคลื่นต่างต้องตาของซือหยู


 


เขาดึงสายธนูเล็กน้อย ประมาณนิ้วเดียว


 


ตอนที่ซือหยูชำระธนู เขาดึงสายธนูได้ถึงสามนิ้ว แต่เขาเลือกจะใช้พลังแค่หนึ่งในสาม


 


ศรขนาดเท่านิ้วโป้งปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง


 


แรงกดดันจากศรธนูทำให้ผู้คนตกใจ


 


ท่าทางใจเย็นของหลิวลี่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเล็กน้อย


 


“นี่มัน…”


 


ฟึ่บ–


 


เสียงธรณีสั่นดัง ศรพลังวิญญาณทะลวงเข้าใส่คลื่นวิญญาณ


 


คลื่นกลืนกินหายไปทันที


 


ศรพลังวิญญาณก็หายไปเช่นกัน


 


ศรวิญญาณนั้นทำลายคลื่นกลืนกิน!


 


พลังของธนูนี้น่าตกใจอย่างมาก


 


เทียบกับวิบัติอัสนีเยือกแข็ง ดูเหมือนว่าธนูนี้จะแข็งแกร่วกว่ามาก!


 


แต่ก็ยังมีคลื่นกลืนกินอีกเก้าสิบเก้าคลื่น!


 


ฟึ่บ–


 


ผู้คนยังคงตกตะลึง แต่ก็มีเสียงทะลวงอากาศดังขึ้นอีก


 


ปั้ง–


 


อีกคลื่นสลายไป


 


พวกเขาพบว่าซือหยูดึงสายธนูอีกครั้งโดยไม่ลังเลทันทีหลังจากที่ปล่อยดอกแรกไป


 


เขาออกแรงเบาๆที่นิ้วและสร้างศรวิญญาณ จากนั้นจึงปล่อยมือและทำแบบเดิม


 


เขาทำมันอย่างต่อเนื่อง ไร้ซึ่งการหยุดพัก


 


ไม่นานเขาก็ยิงศรวิญญาณไปสิบดอก!


 


คงจะแค่น่าตกใจเท่านั้นเมื่อผู้คนเห็นความเร็วที่ซือหยูยิงธนู แต่พวกเขาถึงกับเลิกลั่กเมื่อเห็นความชำนาญในวิชาธนูของซือหยู!


 


ซือหยูเพียงเหลือบมองอย่างรวดเร็วก่อนจะปล่อยศรวิญญาณ แต่ทุกครั้งมันก็พุ่งทะลวงตรงไปยังคลื่นกลืนกิน!


 


ไม่ว่าคลื่นจะมาจากมุมใด ความเร็วจะมากเพียงใด วิญญาณจะหนาแน่นเพียงใด ทุกสิ่งก็ไม่ได้ทำให้ซือหยูต้องลงแรงมากมายเลยในการรับมือ


 


เหล่าผู้คนต่างทึ่งในวิชาธนูอันน่ากลัวของซือหยู


 


เมื่อผู้คนคืนสติจากความตกใจ ซือหยูก็ยิงธนูไปแล้วสี่สิบครั้ง เขาทำลายคลื่นไปสี่สิบคลื่น


 


โจวเนี่ยนเฉินสีหน้าเปลี่ยนจากคนที่มั่นใจในชัยชนะ…


 


“นี่…นี่มันวิชาธนูของมนุษย์งั้นเรอะ?”


 


“ไม่! ข้าจะปล่อยให้มันยิงต่อไปไม่ได้!”


 


โจวเนี่ยนเฉินคิดอ่านอย่างรวดเร็ว


 


“คลื่นทับซ้อน!”


 


ในตอนนั้นเอง คลื่นที่ร่ายรำอยู่บนอากาศก็เริ่มทับซ้อนกันและกัน


 


เมื่อพวกมันรวมตัวกันพลังก็เพิ่มเป็นสองเท่า ศรวิญญาณมิอาจทะลวงได้


 


“เร่งเวลา!”


 


“ผนึกเวลา!”


 


แสงประหลาดแพร่กระจายออกจากดวงตาของซือหยู


 


เมื่อเขาอยู่ใต้ผลของพลังเร่งเวลา เวลารอบกายของเขาเร็วยิ่งกว่าเดิมสามเท่า


 


ด้วยผลของผนึกเวลา มังกรม่วงเข้าบีบรัดคลื่น ทำให้มันติดอยู่ในพันธนาการห้วงเวลา คลื่นนั้นหยุดรวมตัวกัน


 


ทั้งหมดเกิดขึ้นในวินาทีเดียว!


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


เสียงปล่อยธนูอย่างต่อเนื่องดังขึ้นในวินาทีเดียว


 


เสียงธนูดังรวมกันจนเกิดแผ่นดินไหว


 


หอวิหคเพลิงสั่นคลอน รอยแตกมากมายปรากฏขึ้น


 


เสียงธนูทะลวงเมฆาบนนภาจนแยกขาด


 


หอวิหคเพลิงสั่นไม่หยุดด้วยเสียงอันน่ากลัว


 


หูของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในระยะสามลี้ล้วนเจ็บปวด พวกที่อยู่ใกล้รู้สึกเจ็บปวดทางผิวหนัง


 


ราวกับว่าเสียงที่เกิดจากธนูเล็กๆนี้ทะลวงร่างของพวกมันผ่านรูขุมขน 

 

 


ตอนที่ 365

 

การยิงธนูอย่างต่อเนื่องหกสิบครั้งก่อให้เกิดเสียงธนูที่ทรงพลัง


 


เพียงแค่เสียงยังน่ากลัวถึงเพียงนี้ แล้วตัวศรธนูจะน่ากลัวเพียงใดกัน?


 


จิตใจของซือหยูสดใสและเป็นประกายผ่านสายธนู


 


ฟึ่บ–


 


ฟึ่บ–


 


เสียงทำลายล้างก้องนภาดังในระยะเวลาสั้นๆ


 


คลื่นที่เหลือทั้งหกสิบคลื่นถูกทำลายสิ้น


 


แค่อึดใจเดียว คลื่นทั้งหมดก็ถูกทำลาย!


 


หอชมจันทร์เงียบกริบ


 


ทุกคนจ้องซือหยูด้วยความหวาดกลัว


 


การโจมตีจากอำมฤตระดับสี่ถูกต่อต้านเอาไว้ได้!


 


เจ้าตำหนักหยินหยูแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่?


 


หลิวลี่สีหน้าหม่นหมอง เขาจ้องธนูสีเงินของซือหยูและมิอาจละสายตาไปได้


 


ซือหยูรับมือกับพลังของโจวเนี่ยนเฉินได้!


 


โจวเนี่ยนเฉินเบิกตากว้าง เขามิอาจเชื่อว่าการโจมตีที่เขาใช้ทุกอย่างที่มีจะเอาชนะเด็กในขอบเขตอำมฤตระดับสามไม่ได้!


 


ซือหยูยืนอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้ขยับไปไหนเลย


 


สายลมพัดผ่านเสื้อผ้าและเส้นผมจนยุ่งเหยิง แต่ก็มิอาจทำให้ความใจเย็นของเขาลดลงไป


 


“ข้าต่อให้เจ้าสองกระบวนท่าแล้ว คราวนี้คงถึงทีของข้า ใช่หรือไม่?”


 


เสียงของซือหยูเบื่อหน่าย บอกไม่ได้ว่าเขาสุขหรือเศร้า และก็ไม่รู้ว่าเขาสบายใจหรือโกรธแค้น


 


ทุกคนต่างนึกขึ้นได้ว่าซือหยูไม่เคยเป็นคนเริ่มโจมตีก่อนเลย เขาเป็นฝ่ายป้องกันมาโดยตลอด


 


เป็นเช่นนั้นจนผ่านมาสองกระบวนท่า


 


แต่มันคือการต่อให้อีกฝ่ายสองกระบวนท่าโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว!


 


โจวเนี่ยนเฉินหยุดประมาทซือหยู เขาจ้องธนูของซือหยูและหวาดกลัวอย่างมาก


 


ธนูนั่นน่ากลัวเกินไป!


 


“ถึงเจ้าจะป้องกันได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมีพลังสู้กับข้าได้!”


 


โจวเนี่ยนเฉินตะคอกอย่างเย็นชา พลังวิญญาณได้ก่อตัวรวมกับในร่างกลายเป็นคลื่นพลังป้องกันตัว


 


คลื่นกลืนกินกลับมาเป็นภาวะป้องกัน


 


“อย่างนั้นรึ?”


 


ซือหยูไม่สนใจ เขาดึงสายธนูและเล็งไปที่อกของโจวเนี่ยนเฉิน


 


ฟึ่บ–


 


เขายิงธนู!


 


ฟึ่บ–


 


เขายิงอีกครั้ง!


 


ฟึ่บ–


 



 


ซือหยูแสดงทักษะธนูอันน่าตกตะลึง


 


เขายิงสิบดอกในคราเดียว ปลายศรวิญญาณทุกดอกล้วนต่อกันท้ายศรก่อนหน้า ศรวิญญาณสิบดอกราวกับสายโซ่ไข่มุก! มันน่าประทับใจอย่างมาก!


 


ศรวิญญาณทั้งสิบเชื่อมต่อกันและตรงไปยังอกของโจวเนี่ยนเฉินอย่างสมบูรณ์แบบ


 


ฟึ่บ–


 


ศรวิญญาณดอกแรงถูกกลืนกินไปด้วยคลื่นกลืนกิน


 


แต่ชั้นพลังที่ป้องกันถูกก่อก่วน


 


แต่ก่อนที่คลื่นพลังจะสร้างขึ้นใหม่ ศรวิญญาณดอกที่สองก็พุ่งเข้ามาแทนที่


 


ฟึ่บ–


 


ศรวิญญาณทะลวงผ่านคลื่นกลืนกินไปหนึ่งนิ้ว


 


แต่ก่อนที่คลื่นจะเข้ามาปิดบังกาย ศรวิญญาณดอกที่สามก็พุ่งเข้ามา


 


ฟึ่บ–


 


ในครั้งนี้ คลื่นกลืนกินถูกทะลวงไปสามนิ้ว!


 


ฟึ่บ–


 


ห้านิ้ว!


 


ฟึ่บ–


 



 


ศรวิญญาณต่อเนื่องสิบดอกที่ตามตำแหน่งเดียวกันได้ทำลายการป้องกันขั้นสูงสุดของคลื่นกลืนกิน!


 


จนถึงดอกสุดท้าย…


 


ครืน—


 


ปั้ง—


 


พลังวิญญาณทะลวงการป้่องกันและซัดเข้าใส่อกของโจวเนี่ยนเฉิน


 


พลังอันแข็งแกร่งฉีกกระชากร่างของเขา


 


โจวเนี่ยนเฉินถอยไปเก้าครั้งและกระแทกเข้ากับรั้ว


 


โลหิตไหลรินจากมุมปาก


 


ทุกคนที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่รู้จะเอาคำใดมาอธิบายในสิ่งที่พวกเขารู้สึก


 


ซือหยูได้รับชัยชนะ!


 


อำมฤตระดับสามต่อสู้กับอำมฤตระดับสี่และชนะได้จริงๆ!


 


ถ้าทุกคนไม่เห็นกับตาก็คงยากที่จะเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้


 


ศรวิญญาณไม่ได้ทะลวงผ่านร่างของโจวเนี่ยนเฉิน แต่ทำให้เขาบาดเจ็บเล็กน้อย แต่นี่คือการประลอง…นั่นหมายถึงชัยชนะของซือหยู


 


เอี๊ยด—


 


แต่ซือหยูก็ไม่คิดจะหยุด เขาดึงสายธนูอีกครั้ง


 


โจวเนี่ยนเฉินใบหน้าเคร่งเครียด เขาทั้งอับอายและโกรธแค้น


 


“เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้างั้นรึ?”


 


พรึ่บ–


 


ในตอนนั้น มู่เทียนฟางบินเข้ามาขวางทั้งสอง


 


“งานเลี้ยงจันทร์กระจ่างมิใช่ที่ที่พวกเจ้าจะฆ่าแกงกัน”


 


ใบหน้ามู่เทียนฟางแสดงความเคารพ


 


ซือหยูลังเลก่อนจะเก็บธนูกลับไป


 


เพราะอย่างไรที่นี่ก็คือดินแดนของปราการวิหคเพลิง เขาต้องแสดงความเคารพอยู่บ้าง


 


โจวเนี่ยนเฉินรู้สึกอับอายกว่าที่จะอยู่ต่อ


 


“ฮื่ม หยินหยู อีกสามวันเราจะต้องประลองกันอีกครั้ง!”


 


ฟึ่บ–


 


โจวเนี่ยนเฉินหายลับขอบนภา


 


“มีใครอยากจะประลองอีกหรือไม่?”


 


มู่เทียนฟางยกผ้าเช็ดหน้าของเฟิงเซี่ยนขึ้นสูง


 


ทุกคนเงียบกริบ


 


เมื่อได้เห็นพลังของซือหยู ใครกันกล้าจะสร้างภัยพิบัติให้กับตัวเอง?


 


ซือหยูยืนมือไพล่หลังและจับจ้องไปที่หลิวลี่


 


“ข้าทำเจ้าผิดหวัง ข้าสร้างโอกาสให้เจ้าแสดงพลังไม่ได้ ถ้าเจ้าคิดว่ามันยังไม่พอเจ้าก็ออกมาประลองกับข้า เจ้าอาจจะมีโอกาสได้แสดงพลังอยู่บ้าง”


 


ก่อนจะสู้ หลิวลี่นั้นได้ถากถางและเชื่อว่าซือหยูจะต้องพ่ายแพ้ ดังนั้นเขาจึงขอให้ซือหยูต่อสู้จนถึงที่สุดเขาจะได้เอาเกียรติยศของอาณาจักรทมิฬกลับมาในภายหลัง


 


แต่ก็น่าเสียดายทีซือหยูมิได้พ่ายแพ้ เขากลับชนะ


 


หลิวลี่ไม่แยแส


 


“ข้าไม่สนใจในผ้าเช็ดหน้า และพลังของเจ้าก็แค่อยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่คู่ควรที่เจ้าจะมาสู้กับข้า”


 


“ชนะโจวเนี่ยนเฉินไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาแพ้ข้าหลายต่อหลายครั้ง เจ้ายังไม่เหมาะที่จะสู้กับข้า”


 


หลิวลี่มั่นใจอย่างมาก แต่เขาก็พูดถูก โจวเนี่ยนเฉินนั้นพ่ายแพ้เขาหลายต่อหลายครั้ง!


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ถึงเรื่องจะมาถึงขั้นนี้เจ้าก็ยังอิ่มเอมใจอยู่ได้รึ? สำหรับเจ้า การเอาชนะโจวเนี่ยนเฉินนั่นหมายถึงเจ้าอยู่เหนือทุกคน แต่ข้าที่เอาชนะเขาได้กลับไม่ใช่ปัญหา โจวเนี่ยนเฉินที่เจ้าชนะกับโจวเนี่ยนเฉินที่ข้าชนะมันต่างกันยังไงรึ?”


 


หลิวลี่ยืนขึ้นช้าๆ


 


“เจ้าไม่เข้าใจขอบเขตของข้า”


 


“ไม่ใช่ปัญหา ถ้าประลองที่นี่ นั่นจะไม่ทำให้ตัดสินได้หรอกรึ? หรือว่าเจ้ากลัวจนไม่กล้าจะประลองกับข้า?”


 


ซือหยูพูดตอบ


 


หลิวลี่กลับไม่สนใจซือหยูจนทุกคนต้องประหลาดใจ เขาเรียกวิหคครามและกระโดดขึ้นหลังของมันบินเหนือนภา


 


เขาบินขึ้นสูงและส่ายหน้าเหยียดหยาม


 


“เจ้าไม่คู่ควรพอที่ข้าจะต่อสู้ด้วย!


 


ฟึ่บ–


 


เขาพูดจบและออกจากหอวิหคเพลิงอย่างรวดเร็ว


 


แม้เหล่าคนรอบข้างจะไม่พอใจในความหยาบคายของหลิวลี่ แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเขากำลังหนี นั่นก็เพราะว่าหลิวลี่แข็งแกร่งจนเกินธรรมดา


 


ตามคำร่ำลือ โจวเนี่ยนเฉินนั้นยากที่จะทนได้แม้สามกระบวนท่าของหลิวลี่


 


ทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย


 


ซือหยูเข้าใจหลิวลี่ดี


 


มันไม่ใช่เพราะหลิวลี่ไม่อยากประลองเพราะซือหยูไม่คู่ควร เขาแค่ไม่คิดจะประลอง


 


ถ้าซือหยูยังคงเป็นคนที่มีพลังต่ำต้อยในจิตใจ เขาก็คงจะตำหนิซือหยูไปนานแล้ว เพราะเขาจะได้แสดงพลังอันล้นเหลือและน่าภูมิใจยิ่งกว่า


 


แต่เขาก็พบว่าซือหยูมีความชำนาญในวิชาธนูอย่างยิ่งและเป็นปัญหา เขาจึงไม่คิดจะเสียแรงและเสี่ยงที่จะบาดเจ็บก่อนงานชุมนุมวิหคเพลิง


 


เขาจึงจากไปอย่างหยิ่งผยอง


 


“ถ้าไม่มีใครอยากจะประลอง ผ้าเช็ดหน้านี้จะถูกมอบให้กับเจ้าตำหนักหยินหยู”


 


มู่เทียนฟางยิ้มและมอบผ้าเช็ดหน้าให้กับซือหยู นางพูดอย่างลึกลับ


 


“เจ้าควรจะเก็บผ้าเช็ดหน้านี้ไว้อย่างดี มันมีความหมายอื่นอยู่อีก”


 


เมื่อผ้าเช็ดหน้าถูกวางลงบนมือ เขาก็รู้สึกถึงความบริสุทธิ์ที่เกิดจากสตรีอันละเอียดอ่อน


 


ซือหยูราวกับได้เจอเซี่ยนเอ๋อที่โบกมือยิ้มให้เขาอีกครั้ง


 


พวกเขาแยกจากกันมาหนึ่งปี เซี่ยนเอ๋ออาจจะเติบโตขึ้น


 


ซือหยูเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้อย่างระวัง เขากลับไปนั่งและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับซงหลวนและคนอื่นๆ


 


“หยินหยู ระดับปัญญาของเจ้าสูงส่งจนน่าตกใจ!”


 


ซงหลวนกล่าวชมเชยซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


“ในความทรงจำของข้า ในยุคนี้ มีแค่เฟิงเซี่ยนเท่านั้นที่บรรลุฎีกาสวรรค์ระดับเทพ!”


 


“แต่ก็ดูเหมือนว่าฎีกาสวรรค์ของเจ้ามันขาดอะไรไป”


 


ซงหลวนครุ่นคิด


 


ซอืหยูตกใจ ฎีกาสวรรค์ของเขากำลังพบเจอกับสิ่งกีดขวาง


 


และแม้ว่าเขาจะบรรลุระดับเทพ เขาก็ยังรู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่าง

 

 

 


ตอนที่ 366

 

แต่ซงหลวนกลับรู้ได้ว่ามันคืออะไร!


 


“ได้โปรดชี้แนะข้าด้วยเถอะพี่ซงหลวน”


 


ซือหยูขอร้องอย่างจริงใจ


 


ซงหลวนโบกมือยิ้ม


 


“ข้าเลิกบ่มเพาะฎีกาสวรรค์ไปที่ระดับต่ำกว่าเจ้า ข้าคู่ควรที่จะชี้แนะเจ้ารึ? แต่ข้าเคยเห็นคนที่มีพลังขอบเขตอำมฤตระดับห้าใช้ฎีกาสวรรค์จึงเข้าใจในสิ่งนี้”


 


อำมฤตระดับห้าที่บ่มเพาะฎีกาสวรรค์จนถึงระดับเทพรึ? ซือหยูแอบประหลาดใจ หรือว่ายอดฝีมือผู้นั้นจะรู้ว่าฎีกาสวรรค์คือหนทางในการเป็นพระเจ้าเหมือนกับเขา?


 


“ฎีกาสวรรค์ของเจ้ามีภาพแบบธรรมชาติ แต่มันก็เจ้านั้น เจ้ามิได้เป็นสิ่งเดียวกับในสิ่งที่เจ้าเป็น”


 


ซือหยูตกอยู่ในภวังค์ สิ่งที่เป็นของตนงั้นรึ? เขานึกถึงการบ่มเพาะพลังและตระหนักได้ว่าฎีกาสวรรค์ของเขาคือการปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งรอบข้างและพลังจากธรรมชาติของน้ำแข็งและอัสนี เขาไม่เคยคิดถึงสิ่งที่เป็นของตัวเองเลย แต่เข้าต้องรวมมันเข้าด้วยกันหรอกรึ?


 


“ถ้าเจ้าอยากจะบรรลุพลัง เจ้าต้องไปยังคณะวิหคเพลิง”


 


ซงหลวนพูดต่อ


 


“ที่นั่นมีกระโจมลึกลับที่ชื่อว่ากระโจมหลงลืม เจ้าจะลืมทุกสิ่งที่เคยเรียนรู้มาได้จากการทำสมาธิที่นั่น ทำให้เจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์ เจ้าจะใช้โอกาสนั้นเรียนรู้ได้ว่าฎีกาสวรรค์ของเจ้าบกพร่องในสิ่งใด”


 


กระโจมหลงลืมรึ? ซือหยูพยักหน้าตอบ


 


“ขอบคุณที่ซงหลวนที่ชี้แนะ”


 


ดวงจันทร์กระจ่างชัดในยามวิกาล เหล่ายอดฝีมือเริ่มเดินทางกลับ


 


“หยินหยู เจ้าอยู่ก่อน”


 


มู่เทียนฟางหยุดซือหยู


 


ซือหยูสับสนแต่ก็เห็นซงหลวนที่ยิ้มให้กับเขา


 


แม้แต่เจียงมู่เฟยก็หน้าแดง


 


ต่อมา เหลือแค่ซือหยูเท่านั้น


 


“ข้าจะพาเจ้าไปในที่แห่งหนึ่ง”


 


มู่เทียนฟางพูดเบาๆ


 


ซือหยูตกใจ


 


“ที่ใดกันรึ?”


 


มู่เทียนฟางยิ้ม


 


“คณะวิหคเพลิง!”


 


ซือหยูไม่เข้าใจ


 


“ข้าจะไปที่นั่นทำไมกัน?”


 


มู่เทียนฟางหน้าแดงระเรื่อ


 


“นั่นคือรางวัลของเจ้า! ผู้ชนะในงานเลี้ยงจันทร์กระจ่างคนก่อนๆก็ถูกปฏิบัติเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องถามมาก เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองเมื่อไปถึงที่นั่น ข้ารับประกันว่ามันจะต้องเป็นเรื่องดีแน่นอน”


 


ซือหยูลูบจมูก เรื่องดีงั้นรึ? เขาคิดถึงท่าทางประหลาดของซงหลวนกับเจียงมู่เฟยก่อนที่จะจากไป เขารู้สึกไม่สบายใจ


 


ครึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาผ่านทหารหลายระดับก่อนจะไปถึงส่วนลึกของคณะวิหคเพลิง พวกเขาหยุดอยู่ตรงตำหนักอันหรูหรา สตรีงดงามสิบสองคนที่อายุประมาณสิบหกปีนั่งอยู่อย่างเงียบเชียบในกระโจม บางคนน่ารักและดูขี้เล่น บางคนสง่างาม บางคนบอบบางและงดงาม นางคนดูสูงส่งและเงียบสงบ…


 


ทั้งสิบสองคนนั้นงดงามเป็นอย่างมาก ความน่ารักของพวกนางอยู่ที่ระดับหนึ่งในล้าน และพวกนางยังอายุพอๆกับซอืหยู พวกนางมิได้มีแต่ความงามเท่านั้น ทุกคนยังมีพลังมหาศาล


 


ทั้งสิบสองนางมองซือหยู ใบหน้าพวกนางแดงเล็กน้อยด้วยความอาย พวกนางกระซิบต่อกันและตาเป็นประกายความตื่นเต้น


 


“สิบสองคนนี้คือนคนที่น่าจะได้เป็นเฟิงเซี่ยนในยุคถัดไป”


 


มู่เทียนฟางอธิบาย


 


“รูปลักษณ์ของพวกนางอยู่จุดสูงสุด เจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง เจ้ามีสิทธิ์จะเลือกหนึ่งคนก่อนงานชุมนุมวิหคเพลิง เจ้าสนใจผู้ใดกัน?”


 


ซือหยูตกใจ พวกวิหคเพลิงคิดจะจับคู่เขาล่วงหน้ารึ?


 


“เจ้าไม่ต้องกังวลกับตัวพวกนาง”


 


มู่เทียนฟางพูดต่อ


 


“พวกนางอายุแค่สิบหกและมิได้ต้องชะตาในงานจับคู่ รุ่นต่อไปคืออีกสิบปีให้หลัง ตอนนั้นพวกนางก็คงจะอายุยี่สิบหกปีไปแล้ว พวกนางยิ่งกว่าเต็มใจที่จะหาสามีที่ยอดเยี่ยมในอายุสิบหก! และเจ้าก็ยังเป็นข้อยกเว้นโดยแท้จริง! เจ้าเป็นตำนานยอดฝีมือแห่งทวีปที่อายุสิบเจ็ดปี แล้วรูปลักษณ์ของเจ้ายังไม่ธรรมดา คุณสมบัติของเจ้านับว่าอยู่เหนือชายใด พวกนางเต็มใจมากที่จะมีเจ้าเป็นสามี เจ้าจะเลือกใครก็ได้”


 


ทั้งสิบสองคนที่ได้ยินเขินอายยิ่งกว่าเดิม นอกเหนือจากสองคนที่มีความกล้ามากกว่า ไม่มีใครเลยที่เงยหน้ามองตาซือหยู


 


แต่ซือหยูก็ถอนหายใจเบาๆ


 


“หัวหน้ามู่กำลังทดสอบข้างั้นรึ? เจ้าก็รู้ดีว่าข้าหมั้นแล้ว”


 


ไม่แปลกใจที่ซงหลวนกับคนอื่นมองเขาอย่างอบอุ่นเช่นนั้น


 


หัวหน้ามู่ถอนหายใจ


 


“นี่เป็นผลดีกับเจ้า ไม่มีทางที่เจ้าจะได้เจอกับเฟิงเซี่ยนหรอก เจ้าควรจะถอยโดยการมองหาจากที่นี่”


 


“ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่ข้าไม่ใช่คนที่จะมอบคู่หมั้นของตัวเองให้คนอื่นได้”


 


หัวหน้ามู่ถอนหายใจ นางอยากจะโต้แย้งแต่ก็หยุดตัวเองไว้


 


“หยินหยู ข้าไม่อยากจะปิดบังอะไรเจ้า เจ้าเข้าใจคู่หมั้นของตัวเองจริงๆหรือไม่?”


 


“ท่านจะพูดอะไรกัน?”


 


ซือหยูเลิกคิ้ว


 


หัวหน้ามู่ลังเลก่อนจะพูด


 


“ข้าได้ยินว่าเจ้าตำหนักเฉินคงสนใจในเฟิงเซี่ยน และเฟิงเซี่ยน…ดูเหมือนนางจะชอบเจ้าตำหนักเฉินคงเหมือนกัน ทั้งสองเริ่มชอบพอกันและเป็นคู่ครองที่ดี ยังมีศิษย์สตรีที่เห็นทั้งสองคน…สวมกอดกันด้วย!”


 


หัวหน้ามู่รู้สึกว่าความจริงนั้นโหดร้ายเกินไปสำหรับซือหยู เขาได้เดินทางไกลมาที่นี่แต่ก็ถูกทรยศโดยคู่หมั้น


 


ครืน—


 


เสียงแผ่นดินสะเทือนดังขึ้น ซือหยูมิอาจแยกแยะได้ว่าเป็นอัสนีจากโลกจริงหรือโลกภายในจิตใจของเขา


 


เขาตัวแข็งทื่อ ดวงตาไร้แววราวกับตุ๊กตา ความจริงนั้นน่าตกใจจนเกินไป เขาไม่เคยคิดถึงโอกาสที่เซี่ยนเอ๋อจะหักหลังเขาเลย เซี่ยนเอ๋อผู้ซุกซน น่ารัก น่าทะนุถนอม และเดียวดาย…คนที่จะไม่แต่งงานกับชายใดยกเว้นเขา…ได้เข้าสู่อ้อมกอดของอีกคนรึ?


 


เขาต้องพบเจอกับความยากลำบากมากมาย เขาเดินทางจากเกาะเฉินยี่มายังทวีปเฉินหลงเพื่อพบเซี่ยนเอ๋ออีกครั้ง แต่เขากลับได้รู้ข่าวว่านางกำลังรักกับคนอื่นอยู่งั้นรึ? เรื่องครั้งนี้ทำให้จิตใจซือหยูได้รับผลกระทบอย่างหนัก เขามิอาจสงบใจได้เลย


 


ถ้าพูดตามหลักเหตุผล เขารู้ดีว่าเซี่ยนเอ๋อมิใช่สตรีเช่นนั้น แต่ความจริงอันโหดร้ายกำลังบอกว่านางรักกับคนอื่น หรือว่าการที่ซือหยูไม่ได้อยู่ข้างนางทำให้นางหมดความรู้สึกไป ทำให้การหมั้นไม่เคยเกิด ทำให้คำสาบานหายไป? หรือว่าเซี่ยนเอ๋อจะเติบโตและถูกความมั่งคั่งในโลกอันกว้างใหญ่และอนาคตอันไร้ขอบเขตเร้าใจจนทำให้นางทิ้งอดีต? นางจะต่างอะไรกับเจียงซื่อฉิงในอดีต? กี่ครั้งกันที่เขาต้องถูกบังคับให้ถูกทรยศจากนางอันเป็นที่รัก?


 


แล้วเฟิงเซี่ยนคือเซี่ยนเอ๋อจริงๆรึ? รูปลักษณ์อาจจะเปลี่ยนไปได้ แต่นิสัยใจคอจะเปลี่ยนไปได้รึ?


 


“ข้าอยากเจอเซี่ยนเอ๋อ!”


 


ซือหยูพูดเบาๆ


 


มู่เทียนฟางถอนหายใจ


 


“ถ้ามาถึงขึ้นนี้ ทำไมเจ้าจะต้องสนใจว่าจะเจอนางหรือไม่อีกเล่า?”


 


ซือหยูไม่สนใจนาง


 


“ข้าอยากรู้เพียงเท่านั้นว่าข้ามีโอกาสจะได้พบนางในตอนนี้หรือไม่”


 


มู่เทียนฟางคิดและพูดอย่างไม่พอใจ


 


“เฟิงเซี่ยนไม่พร้อมพบคนนอก แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น”


 


ฟึ่บ–


 


มู่เทียนฟางหยิบผ้าเช็ดหน้าจากซือหยูออกมา


 


“นี่คือสิทธิพิเศษของเจ้า ผ้าเช็ดหน้านี้คือตัวแทนของสิทธิ์ที่เจ้าจะได้เจอเฟิงเซี่ยน! นี่คือสิทธิพิเศษเฉพาะผู้ชนะงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง เขียนสิ่งที่เจ้าต้องการลงไป จะมีคนนำไปส่งให้นาง แต่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับนางว่าอยากจะเจอเจ้าหรือไม่ ถ้านางไม่เต็มใจจะเจอเจ้า เจ้าก็มิอาจขัดความปรารถนาของนางได้”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ซือหยูเขียนสั้นๆ


 


“ข้ารอเจ้าอยู่ เซี่ยนเอ๋อ —คู่หมั้นของเจ้า”


 


มู่เทียนฟางพยักหน้าและส่งผ้าเช็ดหน้าออกไป


 


“เอาล่ะ”


 


มู่เทียนฟางบอกเหล่าศิษย์สตรีทั้งสิบสองคน


 


“พวกเจ้ากลับไปให้หมด ทิ้งที่นี่ให้กับเฟิงเซี่ยนและหยินหยู”


 


มู่เทียนฟางพานางทั้งสิบสองออกไป เหลือแค่ซือหยูอยู่ในกระโจม ซือหยูเป็นกังวล เขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวว่าจะเสียเซี่ยนเอ๋อไปเหมือนตอนนี้เลย


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าดังเข้ามา ซือหยูหันกลับไปเห็นบุรุษรูปงาม เขามีใบหน้าหล่อเหลาเป็นอย่างมาก เขางดงามจนดูเหมือนสตรี! แววตาเขาเป็นประกาย ชุดของเขาพัดปลิวไปตามลมราวกับจันทร์กระจ่าง แม้แต่ซือหยูก็มิอาจเทียบได้


 


ฐานพลังของเขาเหนือกว่าซือหยูอย่างมาก มันสูงเกินกว่าที่เขาจะบ่งบอกได้! เขาน่ากลัวยิ่งกว่าผู้ตรวจการไป่ฮีที่ใช้พลังสูงสุด! เขาเป็นรองแค่หลิงเสี่ยวเทียน! ซือหยูไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงมือต่อหน้าเขา


 


“เจ้าใช่หรือไม่ที่อยากพบเซี่ยนเอ๋อ?”


 


ชายหนุ่มดูอ่อนโยน ใจเย็น และไม่รีบร้อน


 


ซือหยูถามอย่างหม่นหมอง


 


“ใช่ แล้วเจ้าเป็นใคร?”


 


“เฉินคง คู่หมั้นของเซี่ยนเอ๋อ”


 


เขาคือเจ้าตำหนักเฉินคง! รองเจ้าตำหนักคนเดียวที่ซือหยูไม่เคยพบ! รองเจ้าตำหนักที่แข็งแกร่งที่สุดตามคำร่ำลือแห่งทวีป เขาเป็นรองแค่หลิงเสี่ยวเทียน!


 


ซือหยูเบิกตากว้าง นี่รึคนที่เซี่ยนเอ๋อสนใจ?


 


เขามิอาจปฏิเสธได้ว่าเฉินคงนั้นมีคุณสมบัติทุกอย่างอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครในทวีปนี้ที่จะเหนือไปกว่าเขาได้!


 


“เจ้าคือคู่หมั้นของเซี่ยนเอ๋อรึ?”


 


เฉินคงถาม


 


“ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงเรียกตัวเองว่าอย่างนั้น แต่เสียใจด้วย นางไม่คิดจะพบเจ้า”


 


เฉินคงเพียงมาบอกคำพูดของเซี่ยนเอ๋อ ซือหยูตัวแข็งทื่อ แม้แต่เซี่ยนเอ๋อก็ไม่อยากจะเจอเขารึ? มิเช่นนั้นนางก็คงจะไม่ให้คนที่นางรักมาพูดแทนนางใช่หรือไม่? นางหวังจะให้ซือหยูยอมแพ้หรือ?


 


“แล้วก็…”


 


ก่อนที่เฉินคงกำลังจะกลับ เขาหันมามอง


 


“อย่ามารบกวนเซี่ยนเอ๋ออีก มิเช่นนั้น…จะไม่มีใครช่วยเจ้าได้”


 


เขาสะบัดมือเบาๆ กระโจมที่ซือหยูอยู่ได้กลายเป็นฝุ่นผงในทันที


 


ซือหยูตัวแข็งทื่อ เขากำหมัดแน่น บุรุษผู้นี้ขโมยผู้หญิงของเขาไปแล้วยังมีหน้ามาเตือนเขาอีกรึ?


 


ความโกรธแค้น ความริษยา ความไม่เป็นธรรม เติมเต็มจิตใจ ซือหยูรู้สึกว่าจิตวิญญาณของตัวเองว่างเปล่า เสาค้ำจิตวิญญาณของเขาพังทลายลง


 


เขาโกรธแค้น เขารู้สึกราวกับเป็นเรือที่ไร้มหาสมุทร ไร้บ้านให้กลับ เขามองจันทร์กระจ่าง สายลมพัดผ่านเบาๆแต่ซือหยูราวกับหุ่นเชิดไม้ที่ยืนจนถึงเช้า ดวงตาแห้งผากเปื้อนโลหิต มันเสียความงดงามที่เคยมี


 


ซือหยูหันไปมองนอกสวน


 


“หัวหน้ามู่ ข้าจะเจอเซี่ยนเอ๋อได้ยังไง?”


 


เขาถาม


 


ฟึ่บ–


 


นางบินออกมาจากมุมกำแพง เป็นมู่เทียนฟางที่อยู่กับซือหยูมาตลอดคืน


 


“ถึงเรื่องจะเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ยังไม่ยอมแพ้อีกรึ?”


 


มู่เทียนฟางถอนหายใจ


 


ซือหยูส่ายหน้า แววตาแห้งผากปักประดับความรู้สึกสูญเสีย


 


“เซี่ยนเอ๋อที่ข้ารู้จัก แม้นางจะเปลี่ยนใจแบบพลิกฝ่ามือ นางก็มิอาจใช้จิตใจเช่นนี้ เฟิงเซี่ยนคือเซี่ยนเอ๋อที่ข้าตามหาจริงๆรึ?”


 


ซือหยูครุ่นคิดมาตลอดคืน หลังจากที่เขาใจเย็นลงก็ตระหนักว่าเรื่องนี้มีสิ่งประหลาดมากมาย และซือหยูยังมิอาจคลายข้อสงสัยในตัวตนของเฟิงเซี่ยน เซี่ยนเอ๋อนั้นบริสุทธิ์และจิตใจดี ไม่ว่านางจะเปลี่ยนไปรักใครอื่นหรือไม่ นางจะเยือกเย็นไร้เยื่อใยได้เช่นนี้รึ?


 


นี่เหมือนไม่ใช่นาง นอกจากเฟิงเซี่ยนแล้วยังมีเซี่ยนเอ๋ออีกคนในคณะวิหคเพลิงรึ? เกิดอะไรขึ้นกัน? ทางเดียวที่เขาจะพิสูจน์ได้ก็คือการเจอเฟิงเซี่ยนด้วยตาตัวเอง!


 


มู่เทียนฟางถอนหายใจอย่างไม่พอใจ


 


“เจ้าจะต้องได้ที่หนึ่งในงานชุมนุมวิหคเพลิง ถ้าเจ้าทำได้ เจ้าจะได้เจอกับเฟิงเซี่ยนอย่างแน่นอน นางมิอาจปฏิเสธเจ้าได้ นอกนั้นก็ไม่มีทางอื่นแล้ว”


 


ซือหยูออกจากที่นี่ แววตาเต็มไปด้วยเพลิงแค้น


 


“เช่นนั้นข้าก็จะได้ที่หนึ่ง! ข้าจะฆ่าทุกคนที่คิดจะหยุดข้า ถึงข้าจะต้องฆ่ายอดฝีมือทุกคนในทวีปก็ตาม!”

 

 

 


ตอนที่ 367

 

มู่เทียนฟางตกใจ


 


เพื่อสตรี เขาให้คำมั่นว่าจะสังหารยอดฝีมือทุกคนในทวีปเชียวรึ? เขารู้สึกอย่างแรงกล้าถึงเพียงนั้นกับเฟิงเซี่ยน!


 


“เอาเถอะ ข้าหวังว่าเจ้าจะทำสำเร็จ”


 


มู่เทียนฟางถอนหายใจเบาๆ


 


หลังจากที่ลังเลอยู่นาน นางรู้สึกผิด


 


“ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าอยากจะทำให้เจ้าประหลาดใจ แต่กลับสร้างปัญหาให้เจ้าเสียได้”


 


ซือหยูส่ายหน้า เขาปลอบนาง


 


“นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเลย จะอย่างไร ท้ายสุดข้าก็ต้องพบกับสิ่งที่ต้องเผชิญหน้า”


 


ในเรื่องเซี่ยนเอ๋อ เขายังคงเชื่อว่ายังมีเหตุผลเบื้องหลังทุกสิ่งและเขาจะได้รู้ถ้าหากได้เจอนาง


 


“หยินหยู ให้ข้าพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่งเถอะ ที่นี่จะดีกับการบ่มเพาะพลังของเจ้า”


 


มู่เทียนฟางพูดอยากไม่เต็มใจหลังจากลังเลอยู่นาน


 


ซือหยูยิ้มและปฏิเสธ


 


“ขอบคุณในน้ำใจ แต่ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”


 


ไม่ใช่ว่านางพอซือหยูมาเลือกสตรีเพราะหวังจะให้ซือหยูลืมความเจ็บปวดที่ถูกเซี่ยนเอ๋อทรยศหรอกรึ?


 


นางคิดช่วยซือหยูอีกครั้งหลักจากที่พบว่าเขากำลังโศกเศร้า นางเป็นสตรีที่ดี นางดูเย็นชาในภายนอกแต่อบอุ่นจากภายใน


 


มู่เทียนฟางส่ายหน้า


 


“โปรดอย่าปฏิเสธ คิดซะว่าเป็นการสนับสนุนจากข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะได้เจอเฟิงเซี่ยนอีกครั้งเพื่อทำทุกสิ่งให้ชัดเจน”


 


ซือหยูประทับใจมาก ความคิดที่มีต่อมู่เทียนฟางของเขาดีขึ้น


 


“ข้าจะจดจำน้ำใจของหัวหน้ามู่เอาไว้”


 


ซือหยูกล่าวขอบคุณและรับข้อเสนอของนางด้วยความยินดี


 


มู่เทียนฟางยิ้มมุมปาก ใบหน้าอันสละสลวยของนางนั้นเป็นดั่งบัวกระจ่างยามเช้าที่น่าจับตา


 


เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป พวกเขามาถึงสวนที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว


 


กำแพงที่ทรุดโทรม แมกไม้รกและร่องรอยแห่งกาลเวลาพบได้ในทุกที่


 


มันช่างตัดกับความตระการตาของคณะวิหคเพลิง ที่นี่ทรุดโทรมเก่าแก่


 


“ที่นี่คือซากโบราณที่จ้าวแห่งวิหคเพลิงคนแรกตั้งใจมอบให้ศิษย์ในอนาคตได้บ่มเพาะวิชา”


 


หัวหน้ามู่ทำแสดงความนับถือต่อซากโบราณยิ่งกว่าเดิมเมื่อนางจ้องมอง


 


ซือหยูเดินตามมู่เทียนฟางเข้าไป


 


ที่นี่มีสะพานเล็กๆเหนือสายวารี ซากไม้สีเขียวสร้างร่มเงา เสียงวารีไหลอันสดใส และที่นี่ยังเต็มไปด้วยหมอกราวกับสรวงสวรรค์บนโลกมนุษย์


 


และที่นี่ยังให้ความรู้สึกที่เก่าแก่อย่างมาก มันทำให้ที่นี่ดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม


 


ราวกับว่าพวกเขาบังเอิญเข้ามายังดินแดนของนางไม้


 


หลังจากที่ผ่านหมอกหนา ซือหยูมองไปยังกระโจมที่ดูเรียบง่ายที่ตั้งอยู่บนผิววารี


 


ราวกับนางไม้ผู้หยิ่งยโสที่ปิดตัวเองจากโลกภายนอกมาพำนักอยู่ที่นี่


 


ทันใดนั้นเขาก็ลืมตากว้างและจับจ้องไปยังแผ่นป้ายที่ถูกจารึกอักษรไว้


 


ไม้ที่ผุพังแขวนอยู่บนกระโจม มันสั่นราวกับกำลังจะตก


 


แต่ซือหยูก็มิอาจละสายตาไปได้


 


“กระโจมหลงลืม!”


 


สถานที่สำคัญในคณะวิหคเพลิงที่ซงหลวนกล่าวถึง กระโจมหลงลืม!


 


ถ้าได้บ่มเพาะพลังที่นี่ เขาจะได้เข้าในหนทางอันยิ่งใหญ่ เขาจะเข้าใจตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ จะเกิดการชำระดวงวิญญาณ มองอดีตและอนาคตได้อย่างแจ่มชัด


 


ซือหยูรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นข้อความบนแผ่นป้ายนั้น


 


ความคิดทุกอย่างที่เขาคิดสลายไป เหลือเพียงแต่จิตใจที่บางเบาไร้น้ำหนัก


 


ไม่นาน ขุนเขาว่างเปล่าวารีนิ่งสงบ ที่นี่นิ่งเงียบอยู่นาน


 


ในโลกแห่งนี้ราวกกับเหลือเพียงซือหยูคนเดียวที่ยืนอยู่หน้ากระโจม


 


“เข้าไปเถอะ ข้าจะให้โอกาสนี้กับเจ้า หวังว่าเจ้าจะได้อะไรบ้าง”


 


แววตาของมู่เทียนฟางดูไม่เต็มใจเท่าใดนัก


 


กระโจมหลงลืมจะเปิดให้กับศิษย์ขอบเขตอำมฤตระดับสามเท่านั้น และทุกคนมีโอกาสเข้ามาที่นี่ครั้งเดียวในทุกครึ่งปี


 


ถ้าหากนางให้โอกาสนี้กับซือหยู นางก็จะเสียโอกาสของตัวเองไป


 


ซือหยูถูกกักอยู่ในดินแดนที่นี่ ความคิดได้หยุดแล่นอยู่กับที่ เขาเข้าสู่กระโจมหลงลืม


 


เมื่อเขาเข้ามาที่กระโจมหลงลืม ดวงวิญญาณของเขาถูกชำระล้างโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ สภาวะทางจิตใจนั้นอยู่ห่างไกลราวกับท้องนภาระยิบระยับที่กำลังไล่ตามหนทางยิ่งใหญ่ภายนอกท้องฟ้ากว้างไกลในโลกอันพิศวง


 


โลกแห่งนี้ว่างเปล่าเป็นอิสระจากความวุ่นวาย ซือหยูทะยานอยู่ในโลกที่ราวกับจะเดินทางได้ตลอดไปโดยไม่รู้จุดจบ


 


เขาร่อนเร่ในทะเลกว้างใหญ่ด้วยจิตใจตั้งมั่น ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง


 


ความรู้สึกอันมิอาจบรรยายที่ไร้สิ่งกังวลนี้คล้ายกับครั้งแรกที่เขาได้บรรลุฎีกาสวรรค์!


 


“นี่รึหนทาง? เหตุใดจึงไร้สิ่งใดเล่า?”


 


ซือหยูตั้งคำถามในใจ


 


หนทางอันยิ่งใหญ่ของท้องนภาได้รวบรวมความจริงของฟ้าดินที่มองเห็นในจิตใจได้อย่างแจ่มชัด แต่เหตุใดซือหยูจึงไม่รู้สึกถึงสิ่งอื่นนอกจากความอิสระในการไร้สิ่งกีดขวางเล่า์


 


ซือหยูไตร่ตรอง


 


ฝุ่นตกสู่ผิวกาย


 


สายลมเย็นพัดพาผมเรียวยาว


 


เหล่าวิหคเกาะเหนือศีรษะ


 


วิกาลรุ่งสางแยกตัวตนอยู่ต่อหน้าวารี แสงตะวันตระหง่านฉาบร่าง แต่ดวงตาของเขามิได้กระพริบแม้แต่ครั้งเดียว


 


เขาตกอยู่ในภวังค์ คิดถึงอยู่กับหนทางอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดินที่ไร้ซึ่งสิ่งใด


 


“เจ้าเป็นใคร? แอบเข้ามาในดินแดนวิหคเพลิงของข้าแล้วหมายตาหนทางอันยิ่งใหญ่งั้นรึ?”


 


ทันใดนั้นเสียงแหลมๆก็ดึงซือหยูจากโลกแห่งความอิสระกลับสู่ความจริง


 


บรรยากาศสุนทรีย์ที่อยู่ในจิตใจหายไปทันที


 


“มันจบแล้วรึ? ดูเหมือนข้าจะยังไม่ได้สิ่งที่ข้าต้องการเลย”


 


ซือหยูถอนหายใจ


 


ซือหยูลุกขึ้นช้าๆและออกจากกระโจมอย่างไม่เต็มใจ


 


“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ เจ้าเป็นใคร?”


 


นางตะโกนใส่เขาอย่างไม่พอใจ


 


นางสวมชุดยาวไร้รอยตัดเย็บและมีใบหน้ารูปไข่ ใบหน้านางควรจะสง่างามและอ่อนโยน แต่คำพูดอันแข็งกระด้างของนางนั้นขัดกับใบหน้ายิ่งนัก


 


ฟึ่บ–


 


ทันใดนั้นมู่เทียนฟางก็รีบเข้ามาจากด้านนอก นางถือผลไม้วิญญาณที่เตรียมไว้เพื่อซือหยู


 


“สตรีวิหคเพลิงยู่หลิง!”


 


มู่เทียนฟางเงียบกริบ นางคุกเข่าหนึ่งข้างลงกับพื้นและก้มทำความเคารพ


 


คนคนนี้คือสตรีวิหคเพลิงลำดับสองแห่งคณะหยุนเซี่ยง ยู่หลิง!


 


พลังของนางเป็นรองเพียงเฟิงเซี่ยนเท่านั้น!


 


นางมีพลังอำมฤตระดับสี่ขั้นต้น!


 


“หัวหน้ามู่ อธิบายกับข้าเดี๋ยวนี้!”


 


ยู่หลิงไม่พอใจแต่นางก็ไม่วู่วาม เพราะอย่างไรมู่เทียนฟางก็เป็นศิษย์อย่างไม่เป็นทางการของจ้าววิหคเพลิง และนางยังต้องนับถือมู่เทียนฟางอยู่บ้าง


 


มู่เทียนฟางยืนขึ้นด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย


 


“รายงานสตรีวิหคเพลิงยู่หลิง เขาคือเจ้าตำหนักหยินหยู ผู้ชนะของงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง ข้าให้โอกาสของตัวเองกับเขาเพื่อให้ได้เข้ามายังกระโจมหลงลืม ถ้าเขาทำให้ท่านไม่พอใจ โปรดยกโทษให้เขาเถอะ”


 


เอ๋? สตรีวิหคเพลิงยู่หลิงไม่พอใจ นางตะคอก


 


“ไร้สาระ! ดินแดนวิหคเพลิงคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ นานมาแล้วที่ไม่มีบุรุษมาค้างคืน การให้เขาอยู่ที่นี่ค้างคืนนับว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงของคณะวิหคเพลิง!”


 


มู่เทียนฟางฝืนยิ้มและโค้งคำนับ


 


“ท่านพูดถูก ข้ามิได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”


 


“เจ้าไม่ได้แค่ไม่ไตร่ตรองไม่ใช่รึ? เจ้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยลานตระเวนควรจะเป็นแบบอย่างที่ดี ถ้าเจ้าทำลายกฎเสียเองเยี่ยงนี้ เจ้าก็มีความผิด รอให้ข้าไปรายงานจ้าววิหคเพลิงก่อนเถอะ!”


 


ยู่หลิงไม่อ่อนโอน


 


มู่เทียนฟางทำได้แค่รับไว้อย่างเงียบเชียบ


 


“ตอนนี้เจ้าก็ไปได้แล้ว หันหน้าเข้าหากำแพงซะ!”


 


เสียงของยู่หลิงแข็งกระด้าง


 


มู่เทียนฟางลังเลอยู่ชั่วครู่และไม่พอใจเล็กน้อย


 


เพราะอย่างไรสตรีวิหคเพลิงก็เป็นศิษย์ของจ้าววิหคเพลิงที่มิได้ทำหน้าที่ดูแลอะไร แต่นางก็เป็นสตรีวิหคเพลิงลำดับสองที่มีตำแหน่งสูงส่ง ดังนั่นมู่เทียนฟางจึงต้องยอมอ่อนข้อ


 


แต่การสั่งให้มู่เทียนฟางหันหน้าเข้าหากำแพงนั้นเป็นการลงโทษที่มิได้อยู่ในอำนาจของยู่หลิง


 


“ข้าเข้าใจความผิดพลาดของตัวเองแล้ว ข้าจะไปหาจ้าววิหคเพลิงเอง”


 


มู่เทียนฟางตอบกลับ


 


ยู่หลิงหรี่ตา


 


“เจ้าได้เสียใจบ้างหรือไม่?”


 


ซือหยูมองดูด้วยแววตาเย็นชา แม้มู่เทียนฟางจะยอมนางหลายต่อหลายครั้ง นางก็ยังคงก้าวร้าว


 


“เจ้าน่ะ ถ้าเจ้าอยากจะลงโทษนาง ทำไมไม่ลงโทษนางพร้อมกับเฟิงเซี่ยนไปด้วยเล่า? เมื่อคืน ใครกันที่ให้เจ้าตำหนักเฉินคงอยู่ในคณะวิหคเพลิง?”


 


ซือหยูถาม


 


ยู่หลิงไม่พอใจเล็กน้อย แต่นางก็กลับมาเย็นชาในทันที นางหันมาตอบราวกับไม่ได้ยินว่าซือหยูพูดอะไร


 


“ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าพูด หุบปากไปซะ”


 


ซือหยูยิ้มเยาะ


 


“ข้านึกว่าเจ้าจะหัวโบราณและเข้มงวด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นแค่เศษขยะที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่านะ”


 


“แม้เจ้าจะไม่กล้าทำอะไรเฟิงเซี่ยน เจ้าก็ใช้ตำแหน่งเจ้าเพื่อแสดงอำนาจที่นี่ ทำให้เรื่องมันลำบากต่อหัวหน้ามู่รึ?”


 


ซือหยูเดินเข้าไปขวางมู่เทียนฟาง


 


“ข้าคือผู้ชนะของงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง ตามธรรมเนียมปกติ ข้าถูกเชิญให้มาที่นี่ แล้วข้าจะผิดอะไร? แต่เจ้าตำหนักเฉินคงปรากฏตัวที่นี่อย่างไร้เหตุผล เจ้าก็ไม่รายงานเฟิงเซี่ยน แต่เจ้ากลับตั้งใจสร้างปัญหาให้กับหัวหน้ามู่งั้นรึ?”


 


ยู่หลิงสีหน้าหม่นหมอง เขาไม่สนใจซือหยูและจ้องมู่เทียนฟาง


 


“มู่เทียนฟาง อย่าคิดว่าเพราะเจ้าเป็นศิษย์ของจ้าววิหคเพลิงแล้วเจ้าจะทำอะไรก็ได้นะ! ในดินแดนวิหคเพลิงแห่งนี้ เจ้ากล้าร่วมมือกับคนนอกเพื่อข่มเหงข้า รึ?”


 


“เรื่องมันจะไม่จบเช่นนี้แน่”


 


ตั้งแต่ที่นางมา นางตั้งใจหาเรื่องมู่เทียนฟาง เมื่อใดกันที่พวกซือหยูข่มเหงนางรึ?


 


แม้นางจะเป็นฝ่ายผิด นางก็สวนกลับแบบข้างๆคูๆและบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนรังแกนาง


 


นางพูดจบก็เดินเข้าไปยังกระโจมหลงหลืม นางเดินผ่านซือหยูแต่ก็ไม่ได้มองตาเขาเลย

 

 

 


ตอนที่ 368

 

มู่เทียนฟางขบริมฝีปาก นางลากซือหยูออกมาอย่างเงียบๆ


 


“นิสัยนางก็เป็นเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องถือสา”


 


มู่เทียนฟางทำให้ซือหยูใจเย็นลง


 


“สร้างปัญหาให้คนอื่นเพื่อให้ตัวเองพอใจในความเหนือกว่าน่ะรึ? ทำไมข้าต้องเอาตัวไปยุ่งกับคนเช่นนั้น?”


 


“นั่นก็ดีแล้ว! แล้วเจ้าคิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ?”


 


มู่เทียนฟางถาม


 


ซือหยูยังคงมีมุมมองที่เขาได้รับในกระโจมหลงลืม


 


“ข้าจะหาที่เงียบๆไปบ่มเพาะพลังสักสามวันเพื่อเตรียมตัวในงานชุมนุมวิหคเพลิง”


 


“ทำไมไม่อยู่ที่นี่เล่า? เจ้าจะเข้าร่วมงานได้เลยหลังจากบ่มเพาะเสร็จ”


 


ซือหยูประสานหมัด


 


“ขอบคุณหัวหน้ามู่”


 


หัวหน้ามู่พาซือหยูมายังที่ที่ทรุดโทรมในดินแดนวิหคเพลิงด้วยรอยยิ้ม ที่นี่คือสวนที่ถูกทิ้งร้าง มันเคยใช้สำหรับปลูกสมุนไพรโอสถ


 


“ที่นี่สงบเงียบดี”


 


นางพูด


 


“ไม่มีใครมาที่นี่หลายเดือนแล้ว เจ้าผ่อนคลายและบ่มเพาะที่นี่เถอะ”


 


มู่เทียนฟางยิ้ม


 


“ข้าทำเพื่อเจ้าได้เท่านี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกสามวันก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”


 


ซือหยูขอบคุณนางอีกครั้งและมองรอบๆหลังจากที่นางไป เขาใช้พลังดวงตามองทุกรายละเอียดของสิ่งรอยข้าง ที่นี่ไม่มีใครเลยจริงๆในระยะสิบลี้


 


ไม่สิ!


 


ทันใดนั้นซือหยูก็สีหน้าเคร่งเครียด เขาพบคนคนหนึ่งในระยะสิบห้าลี้ ชายคนนั้นสวมชุดสีแดง


 


“เจ้าเมืองอันยี่ ผู้นำตระกูลตู่!”


 


ซือหยูแอบตกใจ เมืองอันยี่พบกับคลื่นสัตว์อสูรและตกอยู่ใต้อำนาจของจักรพรรดิสัตว์อสูร เจ้าเมืองอันยี่ได้หนีเอาชีวิตรอด แต่ทำไมเขาถึงปรากฏตัวที่นี่กัน? และเขาก็กำลังแอบออกจากดินแดนวิหคเพลิง!


 


ที่เมืองอันยี่ เขามีเรื่องบาดหมางกับซือหยู เขาไม่แม้แต่ซ่อนความคิดที่จะสังหารซือหยู เขาทำให้ซือหยูตกอยู่ในอันตราย เขาจะลืมหนี้แค้นนี้ได้อย่างไร?


 


ซือหยูมองไปในทางที่เจ้าเมืองอันยี่กำลังหนี เมื่อยืนยันได้ว่าเขาไปแล้วซือหยูก็นั่งลงอย่างเงียบๆ เขาข่มใจให้เย็นและบ่มเพาะพลัง


 


สามวันผ่านไปในพริบตา ซือหยูบ่มเพาะพลังอย่างเข้มข้นไม่หยุดพัก หนทางที่ไม่ชัดเจนเริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ มันรู้สึกราวกับว่าเขาจะคว้ามันได้ด้วยใจนึก แต่มันก็ยังเล็กน้อยและห่างไกลไร้ร่องรอย


 


สายลมพัดพาเส้นผมสีเงินออกจากใบหน้าซือหยู ดวงตาทั้งสองข้างอันสดใสค่อยๆลืมออก ราวกับดวงตานั้นคือท้องนภากว้างใหญ่ที่มีสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก


 


ซือหยูพูดกับตัวเองเบาๆ


 


“สุดท้ายก็ยังต้องผ่านไปอีกหน่อยสินะ”


 


หลังจากที่บ่มเพาะมาสามวัน ดูเหมือนเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ฎีกาสวรรค์ของเขาขาดหาย แต่ก็รู้สึกได้เช่นเดียวกันว่าเขาไม่ได้รู้อะไรเลย


 


“ข้าต้องการปาฏิหาริย์”


 


เขาถอนหายใจเบาๆและออกจากสวน ที่นี่ไม่มีใครอยู่อีกแล้ว หลงเหลือแต่ภายติดตาของร่างซือหยูที่หายไปช้าๆ


 


ณ ที่ดำเนินงานของคณะวิหคเพลิง


 


ที่นี่มีไว้เพื่อให้ศิษย์ในคณะวิหคเพลิงได้ประลอง มันจุคนได้หมื่นคน ซึ่งในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยผู้คน


 


เหล่าหญิงสาวนั่งอยู่เต็มที่นั่งรับชม พวกนางมองดูบุรุษร้อยคนอยู่ข้างเวทีประลอง ทั้งร้อยคนนั้นคือบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในทวีป พวกเขาคือตัวแทนยอดฝีมือยุคใหม่ พวกเขามาเพื่อแสดงพลังและความหลงใหลในสตรีที่ต้องตา ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่หรือการประลอง ทั้งสองล้วนเป็นเรื่องที่มีความหมาย


 


มู่เทียนฟางลอยอยู่สูงมองดูสถานการณ์


 


“หัวหน้าหมู่ ยอดฝีในยุคนี้เหนือกว่ายุคก่อนมากนัก หอสดับหิมะส่งเว่ยฉีหลินมหาบุตรมาทั้งสองคน ทั้งเว่ยฉีหลินที่เป็นลำดับหนึ่งกับโจวเนี่ยนเฉิน ร้อยดินแดนก็ส่งกระบี่ปีศาจซงหลวนกับพิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย แล้วก็ยังมีเจ้าตำหนักเฉินคง เจ้าตำหนักหลิวลี่ …โอ้ เจ้าตำหนักหยินหยูจากอาณาจักรทมิฬ คนเหล่านี้ล้วนเป็นมังกรและวิหคเพลิงในหมู่บุรุษ”


 


ข้างนางคือสตรีที่ยิ้มแย้ม


 


“โดยเฉพาะเจ้าตำหนักเฉินคง เขาคือตำนานไร้ผู้ใดเทียบแห่งยุคของทวีป!”


 


เหล่าหญิงสาวตื่นเต้นอย่างออกหน้าออกตา มู่เทียนฟางมองดูผู้คน ในตอนนั้นเอง บุรุษผมสีเงินเข้ามาในงานแต่เพียงผู้เดียว นางตาเป็นประกาย


 


“ว่ากันว่าเจ้าตำหนักเฉินคงใช้แค่กระบวนท่าเดียว ไม่ว่าจะอ่อนแอหรือแข็งแกร่ง เขาก็เอาชนะได้หมด”


 


มู่เทียนฟางจ้องมองซือหยู นางคือศิษย์ของวิหคเพลิงที่รู้เรื่องการต่อสู้ในหกวันก่อน มันคือการต่อสู้ระหว่างสองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬกับมหาบุตรทั้งสองแห่งหอสดับหิมะ การต่อสู้ของเฉินคงนั้นน่าตกใจอย่างไม่น่าเชื่อ!


 


ไม่แปลกใจเลยที่จ้าววิหคเพลิงหมั้นเฟิงเซี่ยนกับเขาในทันที เฉินคงนั้นเหนือยิ่งกว่าคำว่าน่ากลัว!


 


“หยินหยู อยู่ที่ตัวเจ้าแล้ว…”


 


มู่เทียนฟางพูดและถอนหายใจ นางมองด้วยความสงสาร


 


ซือหยูมาถึงแล้ว ผมสีเงินและหน้ากากสร้างความสนใจแก่คนหลายคน


 


“เอ๋? เจ้าตำหนักหยินหยูใช่หรือไม่? เขาเป็นตำนานยอดฝีมือที่มีใบหน้างดงาม แล้วยังมีพลังมหาศาล….”


 


ในตอนนั้นเอง สายลมพัดผ่านอย่างแรง เมฆาคำรามลั่น


 


เหล่าหญิงสาวเงยหน้ามอง


 


“อ๊ะ! ดูนั่นสิ นั่นมันวิหคครามของหลิวลี่! หลิวลี่มาถึงแล้ว!”


 


พวกเขาละสายตาจากซือหยูและเงยหน้าไปมองหลิวลี่ที่อยู่บนวิหคคราม


 


หญิงสาวคนหนึ่งหน้าแดงระเรื่อ


 


“หลิวลี่! นี่ข้าได้เจอหลิวลี่ตัวจริงหรือ!”


 


หญิงสาวที่แก่กว่ามองหลิวลี่อย่างหม่นหมอง


 


“ถึงหยินหยูจะเป็นอัจฉริยะ เขาก็ตามไม่ทันหลิวลี่ พรสวรรค์ของเขาสูญเปล่า”


 


หลิวลี่ปล่อยวิหคครามและไปที่ข้างลานประลอง ความหล่อเหลาของเขาทำให้เกิดบรรยากาศน่าตื่นเต้น ใต้สายตาของหญิงสาวนับไม่ถ้วน เขายืนอยู่ใต้ลานประลองไม่ไกลจากซือหยู แต่ผู้คนที่สนใจเขานั้นเทียบกันไม่ติดเลย


 


เจียงมู่เฟยไม่ได้เหลือบตาไปมองมากนัก นางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์


 


“หึหึ! อิจฉาล่ะสิ?”


 


ซือหยูยิ้มและส่ายหน้า


 


“มู่เฟย สุภาพหน่อยสิ!”


 


ซงหลวนพูดและเดินเข้ามาหาซือหยูด้วยรอยยิ้ม


 


“หยินหยูได้สร้างชื่อช้าเกินไป การเปรียบเทียบนั่นไม่เป็นธรรมกับเขา ถ้าหยินหยูเกิดเร็วกว่านี้สักปีนามของหลิวลี่ก็อาจจะไม่มีใครรู้จักก็ได้”


 


ทั้งสามยิ้มให้กัน


 


“ฮื่ม! เจ้าระวังปากไว้บ้างเถอะ!”


 


เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น


 


“เขาจะไปเทียบกับหลิวลี่ได้ยังไง?”


 


ซือหยูไปมองและพบว่าคนที่พูดคือยู่หลิง! ใบหน้ารูปไข่ของนางจ้องมองซงหลวนอย่างเยือกเย็น


 


ซงหลวนไม่สนใจ


 


“คนที่ดีก็ย่อมเห็นสิ่งดีของผู้อื่น สตรีวิหคเพลิงยู่หลิงจะสนใจไปใย?”


 


“ข้าก็แค่เตือนเจ้าให้คิดก่อนจะพูด!”


 


ยู่หลิงพูดโดยไม่ปิดบังเจตนา


 


“มีคนมากนักในคณะวิหคเพลิงที่ชื่นชอบหลิวลี่ ข้าไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายเพราะปากพล่อยๆของเจ้า!”


 


เหล่าศิษย์ในขณะวิหคเพลิงมองซงหลวนอย่างไม่เป็นมิตร คำพูดที่ไม่ให้เกียรติหลิวลี่ทำให้เกิดสายตาไม่เป็นมิตรเหล่านั้น


 


ซงหลวนยังคงยิ้ม


 


“ขอบคุณที่เตือนข้า ข้าต้องขออภัยด้วย”


 


ยู่หลิงถอนหายใจแรงและหันเดินไป ตอนที่นางเดินผ่านซือหยู นางมองด้วยความขยะแขยง


 


“ทำไมจะต้องมีเจ้าอยู่ในทุกที่กัน? หยุดทำให้ข้าไม่พอใจซักที!”


 


นางพูดจบและเดินจากไป


 


“เดี๋ยวก่อน!”


 


ซือหยูตะโกนใส่นางอย่างไม่เป็นมิตร


 


“นี่มันการเตือนอะไรของเจ้า? ข้าทำผิดกฎอะไรของคณะวิหคเพลิงรึ?”


 


ยู่หลิงหยุดเดินแต่ก็ไม่หันกลับมา


 


“เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เจ้าทำให้ข้าไม่พอใจ! ข้าที่เป็นสตรีวิหคเพลิงรับผิดชอบในความปลอดภัยของที่นี่ การเตือนเจ้าคือหน้าที่ข้า”


 


ซือหยูหัวเราะและส่ายหน้า


 


นั่นมันหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวน เป็นงานของหัวหน้ามู่ ทำไมเจ้าต้องเข้ามายุ่งด้วยเล่า?


 


ยู่หลิงหันกลับมามองอย่างเยือกเย็น


 


“ข้าไม่ต้องให้คนนอกอย่างเจ้ามาบอกว่าข้ามีสิทธิ์หรนือไม่! ถ้าเจ้าเหลือแรงมากนักก็เตรียมประลองซะเถอะ!”


 


ยู่หลิงถากถางซือหยู นางพยายามจะเดินจากไปแต่ก็พูดขึ้นมาอีก


 


“แล้วก็ภาวนาว่าอย่าให้เจอข้าอีกก็แล้วกัน! ข้าขยะแขยงเจ้านัก!”


 


นางเดินผ่านผู้คนอย่างหยาบกร้าน


 


ซือหยูงุนงง


 


“นางก็จะประลองด้วยรึ? ทำไมกัน? นางกลัวที่จะไม่ได้แต่งงานเลยต้องประลองชิงบุรุษที่นางชอบหรืออย่างไร?”


 


เจียงมู่เฟยปิดปากกลั้นหัวเราะ


 


“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงกันเล่า! จำนวนคนที่ต้องการยู่หลิงนั้นเป็นรองแค่เฟิงเซี่ยน! ทำไมนางจะต้องชิงบุรุษให้ตัวเองเล่า? นี่เป็นกฎของคณะหยุนเซี่ยง เพื่อป้องกันเหล่าบุรุษที่จะหลอกทุกคน คณะวิหคเพลิงจะส่งศิษย์สตรีมาทดสอบพลังของเหล่าคนที่เข้าร่วมงาน”


 


เป็นเช่นนั้นเอง ซือหยูมองแผ่นหลังของยู่หลิงอย่างไม่พอใจ


 


“เจ้าก็ควรจะหวังว่าอย่าต้องมาประลองกับข้า”


 


ในตอนนั้นเอง ผู้คนเงียบกริบ!


 


โฮก—


 


เสียงสะท้อนดังก้องราวกับสายอัสนีซัดธรณี ซือหยูตัวสั่น เขาหันไปมองข้างหลังและพบพยัคฆ์ขาวที่ทางเข้าค่อยเดินเข้ามาในลานประลอง ดวงตาวิญญาณของมันดูก้าวร้าว มันเชิดหน้าสูงเมื่อเดินเข้ามาในลานประลอง


 


ซือหยูจ้องหน้าผากของพยัคฆ์ขาว มันมีผนึกอัสนีอยู่อย่างชัดเจน ซือหยูจดจำได้ในทันที


 


มันคือพยัคฆ์ตัวนั้น! พยัคฆ์ขาวอมตะที่ปกป้องสมุนไพรเพลิงเยือกแข็งในวิหารเซี่ยนหยุน!


 


ที่วิหารเซี่ยนหยุน พยัคฆ์ขาวนี่เกือบจะสังหารซือหยู ตอนนั้นซือหยูเป็นแค่ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์แต่พยัคฆ์ขาวเป็นขอบเขตมังกร ถ้าไม่ใช่เพราะวิหคเพลิงตัวน้อย ซือหยูก็คงต้องพบกับความพินาศ


 


ซือหยูมองหลังของพยัคฆ์ขาว เขาเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่บนหลังของพยัคฆ์ รอยแผลเป็นที่เกิดจากกระบี่พาดผ่านครึ่งใบหน้า ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ร่างมีลายสักที่ดูมีชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งคนกับพยัคฆ์นั้นดูหยาบกระด้างและป่าเถื่อน พวกเขาเข้ามาในลานประลองใต้สายตาของคนที่เงียบกริบหมื่นคน!


 


ไม่นานเหล่าผู้คนก็กระซิบกระซาบต่อกัน


 


“บุตรคนแรกแห่งหอสดับหิมะ! เว่ยฉีหลิน!”


 


“เขามีพลังพอที่จะถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสามแห่งยุค! เขาคือยอดฝีมือที่แท้จริง!


 


เว่ยฉีหลิน! นั่นเขารึ? ซือหยูมองเขาอย่างเคร่งเครียด เขารู้สึกถึงอันตรายที่บุรุษผู้นี้ทำให้รู้สึก


 


หัวหน้ามู่พูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม


 


“ทุกคนพร้อมแล้วใช่หรือไม่?”


 


“ยังเหลืออีกคน!”


 


เสียงแหบแห้งดังขึ้น


 


หัวหน้ามู่มองออกไป


 


“ท่านเว่ย ท่านเว่ยพูดถึงโจวเนี่ยนเฉินที่ยังไม่มางั้นรึ?”


 


“ข้าไม่ได้พูดถึงไอ้ขยะนั่น!”


 


เว่ยฉีหลินไร้จิตใจอย่างคาดไม่ถึง เขาพูดกับโจวเนี่ยนเฉินที่ยังไม่มาเช่นนั้น


 


หัวหน้ามู่เป็นกังวลเล็กน้อย


 


“เช่นนั้นท่านเว่ยหมายถึงผู้ใดรึ?”


 


เว่ยฉีหลินยืนเหนือพยัคฆ์ขาว เขามองไปยังขอบนภา


 


“ศัตรูแต่เพียงผู้เดียวของข้า! เฉินคง!”


 


เขา! ไม่มีใครลืมเฉินคงไปได้ เขาคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งทวีปและเป็นราชาของเหล่ายอดฝีมือ


 


เสียงหัวเราะดังก้องลานประลอง แต่ก็ไม่มีใครในหมื่นคนรู้ว่าเสียงหัวเราะดังมาจากที่ใด


 


“ข้ามาตั้งนานแล้ว”


 


เหนือท้องนภา ท่ามกลางหมู่เมฆา เก้าอี้ที่ดูจะเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดบนโลกทำให้ทุกคนรู้สึกสงบสุข อาชามีเขาตามเก้าอี้ตัวนั้นและวิ่งบนหมู่เมฆาอย่างมีความสุข


 


“อ๊ะ! นั่นมันเก้าอี้เมฆาหิมะของเฟิงเซี่ยน! แล้วก็อาชามีเขาของนาง!”


 


รังสีอันบริสุทธิ์ เฟิงเซี่ยน…


 


เซี่ยนเอ๋อรึ?


 


ซือหยูเงยหน้ามองขึ้นไปทันที เขาหวังจะมองทะลุม่านที่บดบัง หัวใจเขาเต้นอย่างบ้าคลั่ง เซี่ยนเอ๋อจะอยู่บนนั้นไหมนะ?


 


เก้าอี้เมฆาหิมะลงมายังลานประลอง ชายที่รูปลักษณ์งดงามอย่างไม่น่าเชื่อก้าวออกมาจากม่านบัง เขาดูสูงส่ง ที่สำคัญคือฐานพลังของเขาสูงเกินไปจนมิอาจระบุได้! ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด! เจ้าตำหนักเฉินคง เขาคือราชาแห่งยอดฝีมือ! เขาคือคนที่ตระการตาที่สุดในทวีป!


 


รูปลักษณ์ พลัง ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่ได้มาจากสวรรค์ เขาสมบูรณ์แบบจนดูไม่เป็นมนุษย์ เขาราวกับพระเจ้า!


 


คนรอบๆต่างกลั้นหายใจ ทุกคนต่างหันไปมองเขา ทุกคนต่างตื่นเต้นที่ได้เจอเขา เขาคือตำนานแห่งทวีป เขาคือตัวตนที่ยอดฝีมือทุกคนในทวีปไล่ตาม เขาคือยอดฝีมือที่ทรงพลังที่สุด ไม่มีใครในทวีปเทียบได้! เขาคือราชา!


 


และคนที่ซือหยูต้องท้าทาย….ก็คือราชาคนนี้!

 

 

 


ตอนที่ 369

 

เฉินคงยิ้มและมองรอบๆ เขาปรากฏตัวอย่างสง่างาม


 


ตอนนั้นเองเขาก็มองผ่านซือหยู เขายิ้มอย่างไม่แยแส


 


“เจ้ามาหาใครกัน?”


 


ผู้คนทั้งหมื่นคนเงียบกริบ


 


ทุกคนมองตามสายตาเฉินคงไปทางซือหยู


 


ซือหยูยังคงเยือกเย็นแม้จะมีสายตานับหมื่นคู่จ้องมอง เขามองเก้าอี้เมฆาหิมะอย่างอ่อนโยน เขาพูดสั้นๆแต่หนักแน่น


 


“ข้ามาที่นี่เพื่อเซี่ยนเอ๋อ เพื่อนางคนเดียวเท่านั้น”


 


เขามาจากดินแดนห่างไกลผ่านเทือกเขามากมาย ทั้งหมดก็เพื่อได้เจอเซี่ยนเอ๋อ


 


…เพียงเท่านั้น


 


เหล่าผู้คนนับหมื่นเบิกตากว้าง ในการจับคู่เมื่อหกวันก่อน เฟิงเซี่ยนได้หมั้นหมายกับเฉินคงไปแล้ว และนี่ยังถูกตัดสินจากจ้าววิหคเพลิงด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีข้อโต้แย้งใด


 


แต่ในตอนนี้เฉินคงเพิ่งจะเคลื่อนไหว


 


เฟิงเซี่ยนคือผู้หญิงของเฉินคง


 


การที่เฉินคงออกมาจากเก้าอี้เมฆาหิมะที่เป็นของเฟิงเซี่ยนนั่นอธิบายได้ทุกอย่าง


 


และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเฟิงเซี่ยนให้เฉินคงได้ใช้เก้าอี้เมฆาหิมะโดยเจตนาหรอกรึ? นางทำเช่นนี้ก็เพื่อจะได้บอกทั้งโลกว่านางจะไม่แต่งงานกับใครอื่นนอกจากเฉินคง


 


ซือหยูเผยความตั้งใจที่จะท้าทายเฉินคงต่อหน้าทุกคนตั้งแต่เริ่ม!


 


“เขาบ้าไปแล้วรึ? เขากำลังจะสู้กับเฉินคงเพราะสตรีคนเดียว!”


 


หญิงสาวคนหนึ่งเบิกตากว้าง


 


“มีแต่จะทำให้ตัวเองอับอายเท่านั้น ทุกงานชุมนุมวิหคเพลิงก็มักจะมีคนเช่นนี้อยู่บ้าง”


 


เหล่าศิษย์สตรีที่แก่กว่าส่ายหน้า


 


“เช่นนั้นรึ? สำหรับข้า ข้าว่าการที่เขากล้าท้าทายเฉินคงต่อหน้าทุกคนนั้นแสดงให้เห็นถึงความกล้าเหนือผู้ใดของเขา แค่ความกล้าหาญอย่างเดียวก็เหนือกว่ายอดฝีมือทั้งหมดที่นี่แล้ว!”


 



 


เฉินคงยิ้มและพูดอย่างเรียบเฉย


 


“เปลี่ยนเป็นคนอื่นเถอะ เจ้าไม่คู่ควรกับนาง”


 


แม้ดูเหมือนเขาจะแนะนำด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้เหมือนคนที่จะแนะนำแม้แต่น้อย มันราวกับคำสั่งเสียมากกว่า


 


เขาฝืนชิงคู่หมั้นของซือหยูไปและยังสั่งให้ซือหยูไม่ชิงนางกลับมาอีกรึ?


 


ซือหยูเยือกเย็นราวกับวารีไร้คลื่น


 


“เซี่ยนเอ๋อคือผู้หญิงของข้า”


 


แม้จะเป็นประโยคเดียว มันก็ดุร้าย หนักแน่น และเกรี้ยวกราด


 


ความกล้าเช่นนี้สั่นคลอนผืนปฐพี ความเยือกเย็นที่มองเฉินคงด้วยความเหยียดหยามได้ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหวอย่างมาก


 


ในโลกใบนี้ ยังมีคนที่กล้าต่อกรกับเฉินคงอยู่อีกหนึ่งคน!


 


“พยายามไปก็ไร้ประโยชน์”


 


เฉินคงส่ายหน้าและยิ้ม เขาเดินผ่านซือหยู


 


ในสายตาอันอ่อนโยนนั้น เขาไม่ได้เห็นซือหยูหรือใครอื่น เขาเห็นแต่เพียงฟ้าดิน


 


นั่นก็เพราะเขาตัดสินว่าทุกสิ่งอยู่ใต้เขา


 


ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครเลยที่จะสู้กับเขาได้ สิ่งเดียวที่หยุดเขาได้คือทั้งจักรวาล


 


การโต้วาทีสั้นๆของทั้งสองทำให้บรรยากาศของที่นี่หม่นหมองลงอย่างมาก


 


“ตามจริงแล้วซือหยูมีพรสวรรค์เหนือผู้คน รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินคงเลย”


 


“แต่ก็น่าเสียดายที่เขาเกิดช้ากว่าไม่กี่ปี เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตามทันเฉินคงในตอนนี้ไปตลอดชีวิต”


 


เหล่าหญิงสาวหลายคนประทับใจกับซือหยู แต่พวกนางก็แอบเห็นใจเขา


 


ในตอนนี้ เหล่าบุรุษผู้โดดเด่นจากทุกมุมของทวีปได้มารวมตัวกันแล้ว


 


พวกเขาเพียงแค่รอการมาถึงของจ้าววิหคเพลิงเท่านั้น หลังจากนางมาถึง เหล่าชายหนุ่มจะเลือกคนที่ชอบและประลอง


 


ถ้าหากมีมากกว่าหนึ่งคนที่ชอบคนเดียวกัน พวกเขาจะต้องตัดสินว่าใครเหนือกว่า ผู้ที่มีพลังมากกว่าจะได้หญิงสาวที่ต้องการไปครอง


 


โฮก—


 


ทันใดนั้น เสียงร้องของวิหคเพลิงก็ดังก้องนภา


 


แสงสีสดใสเปล่งประกายจากส่วนลึกของดินแดนวิหคเพลิง


 


ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว


 


“ท่านจ้าวคณะ!”


 


ศิษย์สตรีนับหมื่นโค้งคำนับทันที


 


คนนับหมื่นที่ทำความเคารพนั้นน่าตกใจ มันทำให้ที่นี่ดูยิ่งใหญ่


 


เหล่าชายหนุ่มแสดงความนับถือ เพราะแสงนี้คือตัวแทนของจ้าวแห่งวิหคเพลิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในทวีป


 


แสงนี้เป็นตัวแทนของคนที่ไร้เทียมทานและสง่างาม…ผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด


 


จ้าวแห่งวิหคเพลิง!


 


แสงสาดส่องทั่วทุกพื้นที่บดบังแสงตะวันจันทรา


 


ราวกับว่านี่คือแสงเดียวของฟ้าดิน!


 


แสงอันตระการตาทำให้ทุกคนมิอาจมองได้ตรงๆ ซือหยูหรี่ตามองและใช้พลังดวงตา เขาแทบจะมองผ่านแสงนั้นไปไม่ได้


 


แสงนั้นคือสตรีวัยกลางคนที่แต่งงานแล้วผู้ทั้งสง่างามและงดงาม


 


แม้นางจะอายุเกินกว่าสี่สิบปี ผิวของนางก็สดใสเรียบลื่น และนางยังมีรูปร่างที่ดี


 


นางสวมสุดที่ประดับตกแต่งด้วยสีทั้งสี่อย่างเรียบง่ายและดูสูงส่ง


 


ทุกการเคลื่อนไหวของนางละเอียดอ่อน สุขุม และยิ่งใหญ่


 


ซือหยูตกอยู่ในภวังค์เมื่อเห็นนาง


 


ช่างเป็นสตรีที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! ความสง่างามของนางนั้นไม่มีใครเทียบได้เลย!


 


นางไม่ได้มีใบหน้าที่สวยงามอย่างเซี่ยจิงหยูและไม่ได้อ่อนเยาว์และงดงามอย่างเซี่ยนเอ๋อ แต่ก็ยากที่จะพบสตรีอย่างนางที่ละเอียดอ่อนและสง่างามได้ถึงเพียงนี้


 


พรึ่บ–


 


แสงศักดิ์สิทธิ์หายไป เหลือแต่เพียงเงา ฟ้าดินกลับมาเป็นดังเดิม


 


จ้าววิหคเพลิงหายตัวไป


 


แต่เสียงนางก็ดังมาจากที่นั่งของผู้ชม


 


“มีการเปลี่ยนแปลงกฎเล็กน้อยในครั้งนี้ สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่านโปรดเบาใจ!”


 


เร็วมาก! ทุกคนตกตะลึง!


 


ซือหยูสัมผัสรังสีพลังที่ปล่อยออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ ราวกับว่านางเคลื่อนไหวมายังที่นั่งคนดูในทันทีทันใด


 


แข็งแกร่ง! คนคนนี้แข็งแกร่งมาก


 


“เปลี่ยนแปลงรึ?”


 


เหล่าผู้คนสีหน้าเคร่งเครียด


 


“เราต้องยึดถือการตัดสินใจของจ้าววิหคเพลิงเป็นหลัก”


 


พวกเขามาเพื่องานจับคู่ พวกเขาจะกล้าทำให้จ้าววิหคเพลิงไม่พอใจได้อย่างไร?


 


“เตรียมการประลอง การประลองแรก การประลองคัดเลือก”


 


“ในบรรดาพวกเจ้าหลายร้อยคน มีแค่ร้อยลำดับแรกเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เลือกสตรีที่เจ้าต้องการ เมื่อเจ้าเลือกแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด”


 


เสียงของจ้าววิหคเพลิงนั้นอ่อนโยนราวกับสายลมสดชื่น


 


เหล่ายอดฝีมือล้วนอยากจะต่อสู้


 


แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำเพื่อสตรี วพกเขาก็อยากจะแสดงพลังที่แท้จริง เพื่อที่พวกเขาจะได้สร้างชื่อในทวีป


 


“เทียนฟาง ต่อไปเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว”


 


จ้าววิหคเพลิงชี้แนะ


 


“ค่ะ ท่านอาจารย์!”


 


มู่เทียนฟางตอบรับและหยิบผีเสื้อหยกร้อยห้าสิบชิ้นออกมา วิหคเพลิงอันงดงามและหมายเลขถูกสลักอยู่บนผีเสื้อหยก


 


ผัเสื้อหยกถูกมอบให้กับเหล่ายอดฝีมือทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบคน


 


หมายเลขของซือหยูคือหนึ่งร้อยห้าสิบ


 


“หนึ่งกลุ่มจะมีสิบคน ทุกคนที่ชนะสองครั้งจะได้เป็นร้อยลำดับแรก ยิ่งมีลำดับสูงเท่าใดก็มีโอกาสมากกว่าที่จะได้เลือกสตรีที่เจ้าชอบ”


 


หรืออีกอย่างก็คือจะมีการประลองเป็นกลุ่มย่อย ถ้ามีใครเอาชนะได้หมดก็จะอยู่ในอย่างร้อยสิบห้าลำดับแรก และมีโอกาสได้เลือกสตรีที่ชื่นชอบ


 


แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในสิบห้าลำดับแรกจะเกิดอะไรขึ้นกัน? จะแบ่งตัดสินลำดับกันอย่างไร?


 


“แบ่งกลุ่มตอนนี้! กลุ่มแรกโปรดเตรียมตัว”


 


มู่เทียนฟางสั่งการ


 


ซือหยูมองออกไปและเห็นซงหลวนอยู่ในกลุ่มแรก


 


กระบี่ปีศาจซงหลวน กระบี่ของเขาอยู่ที่ใดกัน?


 


ร้อยดินแดนนั้นรกร้างขาดแคลน ดังนั้นจึงยากที่นามของซงหลวนจะเป็นที่รู้จักในทวีป


 


ส่วนเรื่องที่เขาเก่งกาจในเรื่องใด คนนอกไม่มีทางได้รับรู้


 


พวกเขารู้เพียงอย่างเดียวว่านามของชายคนนี้คือกระบี่ปีศาจ


 


แต่เขาไม่เคยพกกระบี่เลย


 


ซือหยูมองดูการต่อสู้เงียบๆอย่างคาดหวัง


 


“การประลองแรก ซงหลวนจากร้อยดินแดนปะทะหลิวกังจากสำนักห่าวหลานแห่งร้อยดินแดน”


 


หลิวกังเป็นอำมฤตระดับสอง


 


ซงหลวนขึ้นลานประลองด้วยความอิ่มเอิบใจ เขามองหลิวกังและพยักหน้าชมเชย


 


“ข้าได้ยินชื่อเจ้ามาก่อน เจ้าคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในร้อยดินแดน แต่อยู่ภายนอกตำหนักเฉินเทียน”


 


ตำหนักเฉินเทียนรับยอดฝีมือในร้อยดินแดนไว้ทั้งหมด แต่ก็มีผู้ที่โดดเด่นอีกหลายคนที่ไม่คิดจะเข้าตำหนักเฉินเทียนด้วยเหตุผลบางประการ


 


หลิวกังคือหนึ่งในนั้น


 


หลิวกังแสดงความนับถือ


 


“ซงหลวน เจ้าชมข้าเกินไปแล้ว!”


 


ทุกคนที่อยู่ในร้อยดินแดนต่างรู้สึกซงหลวนว่าเป็นตำนานที่ต้องแหงนหน้ามอง


 


แต่ในตอนนี้ เขาที่กำลังจะรู้กับซงหลวนนั้นกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง


 


“หากพวกเรามีโอกาสได้ประลองกัน ก็แสดงพลังมาเถอะ”


 


ซงหลวนยิ้ม


 


หลิวกังตื่นเต้น


 


“ขออภัยด้วยซงหลวน โปรดเมตตาข้า”


 


ซงหลวนยืนมือไพล่หลังราวกับมองคนในรุ่นที่ต่ำกว่า เขาดูเจียมตัวและอัธยาศัยดี


 


“ใช้พลังทั้งหมดที่เจ้ามี นี่คือการประลอง เจ้าไม่ต้องออมมือ”


 


หลิวกังหายใจเบาๆและเปิดฉากการโจมตี


 


“ฝ่ามือแผ่นศิลายักษ์!”


 


เขาตะโกนและใช้วิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นกลาง พลังของมันไม่อ่อนแอเลย


 


ซงหลวนยืนมือไพล่หลังอยู่ที่เดิม เขาไม่โต้ตอบ


 


ผั่วะ–


 


ฝ่ามือซัดเข้าใส่ซงหลวน พลังของฝ่ามือทำให้เกิดคลื่นลมรุนแรง


 


แต่ซงหลวนก็ยังยืนนิ่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาเลย


 


ราวกับว่าหลิวกังโจมตีมนุษย์หิน


 


ยอดฝีมือหลายคนประหลาดใจ


 


แม้เขาจะเป็นอำมฤตระดับสี่ เขาก็ต้องได้รับผลจากการโจมตีของอำมฤตระดับสองอยู่บ้างในสถานการณ์ที่ไร้การป้องกัน


 


ซงหลวนทำอะไรกัน? การโจมตีไม่มีผลกับเขาแม้แต่นิดเดียว!


 


เหล่าคนดูจ้องมองเขาและเห็นชั้นอากาศโปร่งใสรอบกายซงหลวน


 


การโจมตีของหลิวกังถูกคลื่นลมนั้นยกเลิก


 


“เขาใช้พลังวิญญาณป้องกันตัว!”


 


บางคนเริ่มรับรู้


 


“สมกับเป็นอำมฤตระดับสี่ พลังวิญญาณอย่างเดียวก็เหนือกว่าพลังโจมตีแล้ว ยากที่จะผ่านชั้นพลังวิญญาณนั่นได้”


 


ซือหยูมองเขาหัวจรดเท้า


 


“นี่น่ะรึกระบี่ปีศาจ! พลังวิญญาณน่ากลัวยิ่งนัก!”


 


ในสายตาคนนอก ซงหลวนเพียงแค่ปล่อยพลังวิญญาณของอำมฤตระดับสี่ออกมา แต่ซือหยูนั้นเห็นรายละเอียดที่ลึกยิ่งกว่า


 


ซงหลวนปล่อยพลังวิญญาณออกมาแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น


 


ยังมีพลังวิญญาณที่น่ากลัวอีกมากซ่อนอยู่ในร่างของเขา


 


พลังวิญญาณที่ปล่อยออกมานั้นยังไม่ถึงหนึ่งในสามที่เขามี!


 


ในบรรดาอำมฤตระดับสี่ด้วยกัน พลังวิญญาณระดับนี้นับว่าขัดต่อบัญชาสวรรค์ยิ่งนัก


 


ไม่แปลกใจเลยที่ซงหลวนที่ดูอ่อนโยนจะซุกซ่อนพลังไว้ลึกล้ำเช่นนี้


 


“วิชาของเจ้าแข็งแกร่งดุดัน แต่วิธีใช้ของเจ้ายังไม่ชำนาญนัก เจ้าเพียงแสดงพลังของมันออกมาได้แปดในสิบส่วนเท่านั้น หลังจากที่เจ้าลงไป ลองปรับให้ดีกว่านี้แล้วเจ้าจะต้องเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน”


 


ซงหลวนให้ความเห็น


 


หลิวกังตื่นเต้นและทำความเคารพ


 


“ข้าจะจำคำชี้แนะนี้ให้ขึ้นใจ”


 


“เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าลงไป”


 


ซงหลวนแกว่งแขนเสื้อเบาๆ


 


ภาพประหลาดปรากฏขึ้น


 


แม้มือของซงหลวนจะว่างเปล่าไร้อาวุธ เขาก็ปล่อยพลังกระบี่ออกมาและส่งหลิวกังลงไปจากลานประลองได้อย่างแผ่วเบา!


 


กระบี่ของเขาอยู่ที่ใดกัน?


 


ส่วนการประลองต่อๆไปก็ไม่มีสิ่งใดที่น่าดูชมอีก


 


ซงหลวนเพียงใช้แค่กระบวนท่าเดียว เมื่อเขาโบกมือ เขาก็ปล่อยพลังกระบี่ออกมาส่งอีกฝ่ายลงจากลานประลอง


 


ไม่ว่าจะเป็นอำมฤตระดับสองหรือสามก็ไม่มีข้อยกเว้น


 


เขาชนะยอดฝีมือที่แข็งแกร่งทุกคนในกระบวนท่าเดียว!


 


ยังมีช่องว่างที่ยากจะก้าวข้ามระหว่างอำมฤตระดับสี่และระดับสาม ช่องว่างนั้นกว้างเกินไป!


 


“กลุ่มแรก ซงหลวนชนะทุกการประลอง!”


 


“กลุ่มต่อไป เตรียมตัวให้พร้อม!”


 


ด้วยระบบเช่นนี้ การประลองดำเนินต่อไปตามลำดับ


 


การประลองงระหว่างอำมฤตระดับสามนั้นน่าตื่นตา การประลองต่อๆไปล้วนคุ้มค่าที่ได้รับชม ตลอดการประลองก็จะมีเสียงกรีดร้องของเหล่าหญิงสาวดังขึ้น


 


แต่เมื่อใดก็ตามที่เป็นการประลองของอำมฤตระดับสี่ การประลองจะจบอย่างรวดเร็วดั่งกลุ่มแรก


 


การประลองของระดับที่ต่างกันนั้นไม่น่าอภิรมย์สักเท่าใดนัก


 


ซือหยูมองดูการประลองของพวกอำมฤตระดับสี่อย่างตั้งใจ


 


แต่ก็น่าเสียดายที่เมื่อพวกเขาต่อสู้ พวกเขาเอาชนะศัตรูในกระบวนท่าเดียวอย่างง่ายดายเสียทุกครั้ง


 


เฉินคง เว่ยฉีหลิน และหลิวลี่ก็ไม่ต่างกัน


 


เพิ่มเติมไปกว่านั้น เฉินคงไม่ได้ลงมืออะไรเลย เพราะว่าไม่มีใครเต็มใจจะสู้กับเขา ทุกคนที่ขึ้นลานประลองล้วนยอมแพ้


 


เพราะเฉินคงนั้นไร้เทียมทาน ใครกันจะสู้เขาได้?


 


“กลุ่มสุดท้าย”


 


ถึงคราวของซือหยู


 


“การประลองแรก หยินหยูจากอาณาจักรทมิฬปะทะกับหลี่ชานหมิงแห่งหอสดับหิมะ”


 


หลี่ชานหมิงอายุยี่สิบปีและเป็นอำมฤตระดับสาม


 


เทียบฐานพลังกันแล้ว เขาเทียบเท่ากับจางซือยี่ที่เป็นมหาบุตรลำดับสี่


 


พวกเขามีพลังต่างกันเพียงเล็กน้อย


 


พรึ่บ–


 


ซือหยูกับหลี่ชานหมิงบินขึ้นลานประลอง


 


“จำเป็นที่พวกเราต้องประลองกันหรือไม่?”


 


ซือหยูยืนมือไพล่หลัง


 


ด้วยฐานพลังอย่างเดียวซือหยูก็เหนือกว่าเขาแล้ว


 


“ทำไมเจ้าถึงไม่อยากสู้เล่า? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเฉินคงที่จะทำให้ข้ายอมแพ้โดยไม่ได้สู้รึ?”


 


หลี่ชานหมิงหยิบอาวุธออกมาจากข้างหลัง น่าประทับใจยิ่งนักที่มันเป็นธนู!


 


ใบหน้าเขามั่นใจ เขาพูดอย่างโอหัง


 


“ข้าได้ยินว่าเจ้ามีฝีมือด้านธนู ข้าไม่พอใจที่ได้ยินเช่นนั้น ข้าต้องสู้กับเจ้า!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม