The Divine Nine Dragon Cauldron 349-362

ตอนที่ 349

 

ตำหนักหลักนั้นเป็นดั่งลางร้ายตั้งแต่ครั้งโบราณของทวีปเฉินหลง พวกเขายึดทั้งทวีปและดูถูกทุกสิ่งมีชีวิต


 


เทียบกันแล้ว สี่ตำหนักรองเป็นแค่แขนขาเท่านั้น


 


เซี่ยจิงหยูในตอนนี้อยู่ที่ตำหนักหลัก!


 


แต่เมื่อซือหยูนึกถึงระดับปัญญาอันน่ามหัศจรรย์ของนางเขาก็ไม่แปลกใจที่น่าเป็นผู้ถูกเลือก


 


ในตอนนี้ แม้นางจะไม่ได้รับเลือกให้เป็นจ้าวแห่งความมืด นางก็ยังคงได้ตำแหน่งสำคัญในตำหนักหลักอยู่ดี


 


ถ้าซือหยูได้มีโอกาสไปที่นั่น เขาจะต้องตามหานางอย่างแน่นอน


 


“แล้วพ่อเจ้าล่ะ?”


 


ซือหยูถาม


 


ฉีหยุนเซี่ยงตอบด้วยความยินดี


 


“ท่านพ่อปรากฏตัวในเขตวิหคเพลิงเมื่อครึ่งเดือนก่อน! อาจารย์หลินหยุนฮีอยู่กับท่านพ่อด้วย!”


 


เขตวิหคเพลิงรึ? ซือหยูเลิกคิ้ว บังเอิญยิ่งนัก งานประชุมวิหคเพลิงกำลังจะเริ่มขึ้นและฮีตงไล่ก็ปรากฏตัวที่นั่น


 


และหลินหยุนฮีก็ยังอยู่กับเขาอีกด้วย!


 


วันนั้นที่ฉีตงไล่รอดด้วยมิติบิดเบือนของซือหยู เขาคงจะได้กลับมาที่เมืองพันธมิตรและไปหาหลินหยุนฮี


 


ถ้าเช่นนั้นเขาก็น่าจะรู้แล้วว่าซือหยูได้กลายเป็นรองเจ้าตำหนักหยินหยู เขาคงจะรู้อีกเช่นกันว่าฉีหยุนเซี่ยงผู้เป็นบุตรสาวอยู่ในเขตหยินหยู


 


แล้วทำไมเขาไม่กลับมาพบฉีหยุนเซี่ยงเล่า?


แล้วทำไมเขาถึงไม่ส่งข่าวคราวมาเลย?


 


หรือว่าจะมีเหตุผลที่ทำให้เขาทำไม่ได้กัน?


 


ทั้งสองคนมาทำอะไรที่เขตวิหคเพลิงกัน?


 


หลังจากครุ่นคิด ซือหยูยิ้ม


 


“หยุนเซี่ยง อีกสามวันเจ้าจะตามข้าไปที่เขตวิหคเพลิง หลังจากี่ข้าจัดการธุระเสร็จ ข้าจะช่วยเจ้าตามหาท่านเจ้าตำหนักฉี”


 


ฉีหยุนเซี่ยงน้ำตาไหล แววตานั้นกำลังตื่นเต้น


 


หลังจากที่แยกจากท่านพ่อมาหลายเดือน ในที่สุดนางจะได้พบกับท่านอีกครั้ง


 


“หยินหยู ขอบคุณเจ้ามาก ข้าจะต้องตอบแทนน้ำใจเจ้าแน่!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงขอบคุณอย่างจริงใจ


 


ซือหยูทำเพื่อนางมากเกินไปแล้ว!


 


ช่วยชีวิต ดูแล และช่วยนางหาท่านพ่อ นางไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไร


 


“ข้าเพียงแต่หวังว่าเจ้าจะสบายใจและไม่คิดมากก็เท่านั้น ตอนนี้เจ้าไปพักเถอะ เราจะเดินทางในอีกสามวัน”


 


ซือหยูแตะบ่าของนางและยิ้มอย่างสบายใจ


 


ฉีหยุนเซี่ยงยิ้ม


 


“เจ้าก็ด้วย”


 


หลังพูดจบนางก็มองซือหยูที่เดินจากไป


 


นางมองร่างกับผอมบาง ความหม่นหมองปกคลุมดวงตาอันสดใส


 


นางยิ้มเยาะให้ตนเอง


 


“ข้าพบถูกคนในเวลาที่ผิด มันก็คงจะเป็นเช่นนี้เอง”


 


สิ่งที่น่ารู้สึกกับซือหยูนั้นมิอาจอธิบายได้


 


แต่นางก็รู้ว่าซือหยูมีคู่หมั้น หากซือหยูมีใครอยู่แล้ว เขาก็มองนางได้แค่เป็นสหายคนหนึ่งเท่านั้น


 


ฉีหยุนเซี่ยงเองมิอาจครอบครองบุรุษคนเดียวร่วมกับสตรีอื่นได้ นี่คือเรื่องธรรมดาของสตรีทุกคน เป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับพลังความสามารถ


 


ด้วยประการนี้ นางจึงทำได้แค่เก็บความรู้สึกที่ไม่มีวันเป็นจริงเอาไว้ เป็นดั้งเรื่องเสียใจหนึ่งเรื่องราวของชีวิต


 


ระหว่างสามวัน


 


นอกจากการฝึกฝนแล้วซือหยูยังใช้เวลานี้ในการชำระธนูมังกรฟ้าดิน


 


เพราะเป็นหยดหมื่นพลที่ตู่หลงมอบให้กับเขา เขาต้องใช้มันอย่างรอบคอบ


 


ตลอดครึ่งเดือนที่เขารีบบ่มเพาะพลัง เขาได้เริ่มชำระธนูมังกรฟ้าดิน และในตอนนี้หยดหมื่นพลมากกว่าครึ่งที่มีผลเทียบเท่าเจ็ดในสิบส่วนของหยดตั้งต้นก็ได้ถูกใช้ไปแล้ว


 


ดังนั้นเขาจึงเหลือหยดหมื่นพลอีกเล็กน้อยเท่านั้น


 


เมื่อเวลาผ่านไป หยดหมื่นพลได้ซึมเข้าสู่ธนูเงินและขับโลหิตของเจ้าของเดิมออกมา ในเวลาเดียวกันซือหยูก็ใช้โลหิตของตัวเองใส่ลงไปในธนูเงิน


 


ขั้นตอนนั้นยากและเชื่องช้า


 


สุดท้าย ในเช้าวันที่สาม


 


ฟึ่บ–


 


เสียงร้องดังราวกับมังกรขับบทเพลงดังมาจากมังกรทะยานนภาที่สลักอยู่บนธนู


 


เสียงนั้นดังอยู่นาน มันมีพลังมหาศาลที่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด


 


และมันก็ยังมีจังหวะที่คล้ายคลึงกับอรหันต์แปดอักษรเล็กน้อย


 


ซือหยูชำระธนูได้หนึ่งในสิบส่วนแล้ว!


 


ก่อนหน้านี้ หยดหมื่นพลหนึ่งหยดที่เจือจางนั้นชำระธนูได้เพียงเล็กน้อย แต่ในตอนนี้เมื่อได้ใช้โลหิตของตู่หลง ซือหยูก็ชำระมันได้หนึ่งในสิบส่วน!


 


ก่อนหน้านี้เขาดึงสายธนูได้ระยะเพียงนิ้วเดียว แต่ในตอนนี้เขาทำได้ถึงสามนิ้ว!


 


ศรวิญญาณที่ยาวพอๆกับดัชนีก่อตัวขึ้น


 


แม้ศรวิญญาณจะโปร่งใสอย่างเคย มันก็ไม่ได้เหมือนกับศรเดิม พลังของมันเพิ่มขึ้นมาสามเท่า!


 


การชำระธนูเงินก่อนงานประชุมวิหคเพลิงนั้นคือสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดที่จะทำ


 


ในงานชุมนุมครั้งใหญ่ที่มียอดฝีมือแข็งแกร่งมารวมตัวกันมากมายเช่นนี้ ซือหยูคิดว่าการมีพลังพิเศษนั่นหมายถึงความหวังที่มากขึ้นในการได้คว้าชัย!


 


“หยินหยู เจ้าตื่นหรือยัง?”


 


ฉีหยุนเซี่ยงยืนรออยู่ที่หน้าประตูอย่างร้อนใจ


 


ซือหยูเปิดประตู


 


“ข้าตื่นแล้ว ไปกันเถอะ!”


 


เมื่อทั้งสองกำลังจะออกเดินทาง เสียงแหลมราวกับเสียงวิหคก็ดังมาจากท้องฟ้า


 


เสียงนั้นดังก้องแสบแก้วหู


 


พลังวิญญาณของนักรบทุกคนในเมืองร่างสั่นไหว โลหิตของพวกเขาเดือดพล่าน


 


บางคนที่ฐานพลังต่ำตัวสั่นจนหมดสติทันที


 


ทวารบนใบหน้าของคนที่แข็งแกร่งกว่าเริ่มมีโลหิตไหล พวกเขาตกตะลึงและยากที่จะควบคุมร่างกาย


 


มีเพียงคนในขอบเขตอำมฤตเท่านั้นที่อดทนเสียงนี้ได้


 


คลื่นเสียงแพร่กระจายไปทั่วเขตและมาถึงตำหนักหยินหยูอย่างรวดเร็ว


 


ซือหยูสีหน้าเย็นชา เขารีบพุ่งออกจากประตูเพื่อปกป้องฉีหยุนเซี่ยง


 


พรึ่บ–


 


คลื่นเสียงกระทบชายเสื้อที่เอามาบังฉีหยุนเซี่ยงจนเกิดเสียงดัง คลื่นเสียงนั้นยังทำให้เศษซากในตำหนักถูกยกขึ้นมาร้อยศอก


 


ไม่นานท้องนภาก็เต็ทมไปด้วยก้อนศิลาและฝุ่นควันบดบังดวงตะวัน


 


เงาทมิฬปรากฏตัวขึ้นหลังฝุ่นหนาเหนือตำหนักหยินหยู เสียงแหลมยังคงดังต่อไป


 


คนในตำหนักปวดหัวอย่างรุนแรงจนกะโหลกแทบจะร้าว พลังชีวิตของพวกเขาเริ่มแห้งเหือด


 


“ออกมา!”


 


ซือหยูอ้าปากพูด


 


พลังมหาศาลของอรหันต์แปดอักษรก่อตัวเป็นคลื่นเสียงอันทรงพลังพุ่งตรงไปยังท้องนภา พลังนั้นทำให้คลื่นเสียงที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ลดละนั้นหยุดลง


 


ทุกคนรู้สึกดีขึ้นบ้าง วพกเขารีบหาจุดหลบภัย


 


ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง หลังจากฝุ่นควันสงบลงแล้วก็พบผู้ร้ายที่ทำเช่นนี้


 


เป็นวิหคครามขนาดร้อยศอก


 


ขนน้ำหนักเบาของมันกรีดกรายบนนภาอย่างงดงาม แววตาคมกริบของมันมองทุกคนเบื้องล่าง


 


รังสีพลังของอำมฤตระดับสามขั้นต้นทำให้เหล่ายอดฝีมือตัวสั่น


 


“วิหคครามลวง! นั่นคือวิหคครามลวงของเจ้าตำหนักลำดับสอง!”


 


“อะไรกัน นั่นคือวิหคครามที่ร่ำลือรึ? ได้ยินว่ามันยังมีสายเลือดอมตะอยู่ด้วย ทุกวันมันจะเดินทางได้หลายล้านลี้ พลังของมันเหนือกว่าอำมฤตระดับสามและก็เหนือว่ายอดฝีมืออำมฤตระดับสี่ทั่วไป!”


 


“ถ้ามันอยู่ที่นี่ รองเจ้าตำหนักหลิวลี่ก็ต้องอยู่ด้วยสินะ?”


 


รองเจ้าตำหนักลำดับสอง เจ้าตำหนักหลิวลี่!


 


เขามีพลังเป็นรองแค่เฉินคง!


 


นอกจากเฉินคงแล้วเขาไม่ได้ต่อสู้กับรองเจ้าตำหนักคนอื่นมาหลายปี


 


ส่วนเหตุผลก็เพราะ…เขารู้สึกว่าคนที่ต่ำต้อยกว่านั้นไม่คู่ควรจะสู้กับเขา


 


เสี่ยวกวงที่เป็นลำดับสามก็รวมอยู่ในนั้นเช่นกัน แม้ว่าลำดับจะต่างเพียงหนึ่งเดียว พลังของพวกเขาก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว เป็นพลังคนละขอบเขตโดยสมบูรณ์


 


เสี่ยวกวงอดทนแค่การมองของหลิวลี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เผชิญหน้ากันเลย!


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ หลิวลี่มีศัตรูอยู่เพียงคนเดียว นั่นคือเฉินคง!


 


เขาได้พูดเช่นนี้ในงานที่มีคนมากมาย


 


ในตำหนักรองของทวีปนี้ คนคนเดียวที่จะสู้กับเขาได้ก็คือเฉินคงแต่เพียงผู้เดียว


 


ว่ากันว่าเขาสู้กับเฉินคงมาแล้วหลายครั้ง มีโอกาสสูงมากที่เขาจะได้แทนที่เฉินคงและเป็นหัวหน้าของรองเจ้าตำหนักคนใหม่


 


ซือหยูเคร่งเครียดแต่ก็ไม่สนใจวิหคคราม เขามองไปยังร่างสูงใหญ่บนหลังวิหค

 

 

 


ตอนที่ 350

 

เขาคือชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปี ฐานพลังของเขาอยู่ที่อำมฤตระดับสี่!


 


ซือหยูเคยเห็นพลังของอำมฤตระดับสี่มาก่อนแล้ว


 


ในคลื่นสัตว์อสูรจากป่าทมิฬ ราชาวิหคน้ำแข็งได้สั่นคลอนธรณี เพียงแค่ลมหายใจก็ทำลายทุกสิ่งในระยะสามร้อยลี้


 


ซือหยูจดจำเหตุการณ์อันน่ากลัวนั้นได้ขึ้นใจ


 


บอกได้เลยว่าอำมฤตระดับสี่ขั้นคือระดับใหม่ของเหล่ายอดฝีมือ


 


นั่นคือระดับที่ใกล้เคียงกับเทพ


 


ทุกการเคลื่อนไหวมีพลังอันมหาศาล แข็งแกร่งกว่าอำมฤตระดับสามอย่างมาก


 


นี่คือรองเจ้าตำหนักลำดับสอง หลิวลี่งั้นรึ?


 


“เจ้าตำหนักหลิวลี่จริงๆด้วย!”


 


กลุ่มทหารอุทานอย่างตกใจ แววตาพวกเขานอบน้อมในทันที


 


พวกเขาบาดเจ็บเพราะสัตว์อสูรของหลิวลี่แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะโอดครวญ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะรู้สึกชิงชังในจิตใจ


 


เมื่อเฟิงฉิง ซื่อเหยา กับเสี่ยวกวงโจมตีพวกเขา พวกเขาโกรธเกรี้ยวแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร


 


แต่ในตอนนี้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะโกรธ!


 


“เสี่ยวกวงอยู่นี่หรือไม่?”


 


หลิวลี่ใช้มือทั้งสองเท้าเอว


 


รูปลักษณ์ของเขาดูงดงามเมื่ออาบแสงตะวัน


 


แต่สีหน้าของเขาไร้ชีวิตชีวา ไร้ซึ่งความสุขและทุกข์


 


ซือหยูสัมผัสถึงความหยาบช้าได้จากในหน้าไร้อารมณ์นั้น


 


ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าตอบ


 


“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ หยินหยู!”


 


หลิวลี่ก้มลงมองซือหยู


 


“โอ้ เจ้าพูดกับข้าหรอกรึ?”


 


หลิวลี่ไม่มองซือหยูด้วยซ้ำในตอนที่พูด


 


“ใช่! ข้าพูดกับเจ้า จอบมา!”


 


หลิวลี่พูดอย่างธรรมดาแต่ก็ดูเป็นคำสั่ง


 


“ทำไมข้าต้องตอบเจ้าล่ะ?”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


แววตาของหลิวลี่ไร้อารมณ์


 


“ข้าไม่มีเวลามากแล้วก็ไม่อยากจะให้เจ้าเสียเวลา ถ้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เขาเป็นหรือตาย?”


 


บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าการเสวนากับซือหยูนั้นเป็นเรื่องเสียเวลา


 


“ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าเสียเวลา เจ้าจะถามข้าทำไมเจ้า? เจ้าคิดว่าข้าต้องตอบเจ้าด้วยรึ?”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


หลิวลี่ส่ายหน้า เขาไม่มองซือหยู


 


“เจ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว”


 


“โอกาสที่ข้าจะชี้แนะเจ้า!”


 


จะมีรองเจ้าตำหนักอื่นใดกันที่ไม่แสดงความนับถือต่อหลิวลี่?


 


แต่หลิวลี่ก็ไม่เคยสนใจพวกเขา เขาแสดงเพียงท่าทางหยิ่งยโสเท่านั้น


 


ยากที่จะทำให้เขาได้เหลียวมอง การพูดคุยนั้นยากยิ่งกว่า


 


แล้วไหนจะเป็นโอกาสที่ได้ประลองกับเขาและได้คำชี้แนะ?


 


พูดได้เลยว่าเสี่ยวกวงที่เป็นลำดับสามก็ปรารถนาที่จะประลองกับเขาเพื่อได้รับคำชี้แนะ


 


ซือหยูอยากจะหัวร่อเมื่อได้ยิน…


 


แต่ทุกคนนั้นนับถือเขา เขาอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่จนเกินไปหน่อย


 


“เอาโอกาสนั่นให้คนอื่นไปเถอะ ข้าไม่ต้องการหรอก”


 


ซือหยูส่ายหน้า


 


หลิวลี่เหลือบตามอง


 


“เจ้าคิดเช่นนั้นก็เพราะว่าเจ้าอยู่ในแอ่งน้ำ เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นเส้นทางของผู้บ่มเพาะพลังที่แท้จริง”


 


หลิวลี่พูดจบและสั่งวิหคครามให้ออกเดินทาง


 


“ไปเถอะ เสี่ยวกวงตายแล้ว เขาตายไปก็ไม่คู่ควรแก่การเวทนาด้วยซ้ำถ้าต้องตายเพราะการต่อสู้กับพวกอ่อนแอ”


 


ในสายตาเขา การต่อสู้ระหว่างซือหยูกับเสี่ยวกวงนั้นไร้ความหมายใดนอกจากการต่อสู้ของพวกอ่อนแอ!


 


ความหยาบคายของคนคนนี้นั้นน่าตกใจยิ่งนัก


 


สุดท้ายหลิวลี่ก็หันมามองซือหยู


 


“เดินทางได้ พวกเขาจะไปเจอกันที่เขตวิหคเพลิง อย่าสร้างปัญหาให้ข้า ข้าไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องไร้สาระของเจ้า”


 


ซือหยูหัวเราะ หลิวลี่คิดว่าซือหยูจะขอให้เขาช่วยเมื่อเจอปัญหาในเขตวิหคเพลิง!


 


“ไปเถอะ!”


 


หลิวลี่กระซิบกับวิหคคราม เขาเตรียมจะเดินทาง


 


“เดี๋ยว!”


 


ซือหยูตะโกน


 


“เจ้าเสร็จธุระของเจ้าแล้ว แต่ข้าน่ะยัง!”


 


หลิวลี่ไม่แม้แต่หันมอง


 


“พูดมา เจ้ามีเวลาแค่นับสาม”


 


ซือหยูมองรอบๆและพูดอย่างเยือกเย็น


 


“เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรกับคนที่เจ้าทำให้บาดเจ็บสักหน่อยรึ?”


 


เขาบังคับวิหคครามมาที่เมืองหยินหยูทำให้คนมากมายต้องบาดเจ็บ จะอย่างไรก็เป็นความผิดของเขา


 


“ไม่มีเรื่องอื่นแล้วใช่หรือไม่?”


 


หลิวลี่พูดอย่างใจหนักแน่น


 


“พูดมาซะ เจ้าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง?”


 


หลิวลี่สั่งวิหคครามให้บินขึ้นและตอบกลับ


 


“ถ้าไม่มีเรื่องอื่นข้าก็จะไป ส่วนเรื่องที่เจ้าพูด…นั่นมันก็แค่สัญชาตญาณสัตว์ป่าของมัน มันแค่ทำร้ายมิได้สังหาร บ่งบอกอยู่แล้วว่ามันถูกควบคุมมาอย่างดี เจ้าควรจะขอบคุณที่มันไม่ได้ฆ่าคนของเจ้า”


 


“เอาล่ะ ข้าจะไปเจอเจ้าที่เขตวิหคเพลิง จงจำไว้ว่าอย่าสร้างปัญหาให้ข้า!”


 


เขาพูดจบพร้อมกับวิหคครามที่บินทะลวงนภาลับขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว


 


ความเร็วของมันเหนือว่าอำมฤตระดับสี่


 


ซือหยูใช้พลังดวงตาแต่ก็เห็นแค่ภาพติดตาในระยะร้อยห้าสิบลี้ ซือหยูมองตามมันไม่ทัน


 


“หลิวลี่!”


 


ซือหยูโกรธแค้น


 


ที่หลิวลี่บอก เขาบอกว่าการที่สัตว์ขี่ของเขาไม่ได้ฆ่าใครก็เป็นการแสดงความเมตตาแล้ว ซือหยูควรจะขอบคุณที่มันทำร้ายแค่คนหลายคนเท่านั้น!


 


ฉีหยุนเซี่ยงโกรธเกรี้ยว


 


“หยาบคายนัก! ทำไมเขาไม่พูดให้พวกเราขอบคุณซะล่ะ?”


 


ซือหยูมองไปในทิศทางของวิหคคราม


 


“เราจะไปตอบแทนมันที่งานชุมนุมวิหคเพลิง คนเช่นนี้ต้องสั่งสอนด้วยหมัดเท่านั้น เหตุผลใดก็ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระกับมัน”


 


“เวลาเริ่มน้อยลงแล้ว ไปกันเถอะ”


 


ซือหยูคว้าตัวฉีหยุนเซี่ยงและบินขึ้น


 


ครึ่งเดือนถัดไป


 


พวกเขาเดินทางมาสามล้านลี้จนถึงเขตวิหคเพลิง


 


ที่นี่เป็นเขตที่อยู่กึ่งกลางของทวีป ที่นี่จะเป็นฤดูคิมหันต์ตลอดทั้งปีเพราะถูกรายล้อมด้วยเทือกเขา


 


หมอกปกคลุมเหล่าภูเขาโดยรอบอย่างงดงาม


 


ที่นี่เต็มไปด้วยทรัพยากรและสิ่งมีชีวิตนานาชนิด


 


“เขตวิหคเพลิงนั้นเป็นดินแดนของทวีปที่ได้รับพรจากธรรมชาติ พันธมิตรร้อยดินแดนเทียบไม่ได้เลย”


 


ฉีหยุนเซี่ยงประหม่า


 


ซือหยูพยักหน้า


 


“ใช่แล้ว! แต่ที่นี่ชื้นจนเกินไป นั่นจะทำให้เกิดพิษโดยรอบเขตเทือกเขา พวกสัตว์มีพิษน่าจะปล่อยไอพิษออกมา พิษนั่นอาจจะซึมมากับไอวารีทำให้เป็นพิษที่อันตราย”


 


ซือหยูพูดจบและชี้ไปที่ป่าเบื้องล่าง เขาชี้ไปยังแมลงทมิฬบนต้นไม้


 


“แมลงพิษสวรรค์!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงตกใจ


 


“แมลงนี่มีพิษร้ายฆ่าได้แม้อำมฤตระดับหนึ่ง มูลค่าของมันสูงมากในร้อยดินแดน เทียบเท่ากับวิชาระดับสมบัติทั้งตำรา!”


 


ซือหยูส่ายหน้า


 


“มันไม่ได้มีแค่ตัวเดียวนะ เจ้าดูดีๆสิ!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงมองอีกครั้งและพบว่ามีดินสีดำใต้ต้นไม้ที่กำลังขยับอยู่


 


หากมองดีๆจะพบว่านั่นไม่ใช่ดินแต่เป็นฝูงแมลงพิษสวรรค์!


 


มันปกคลุมพื้นที่หนึ่งร้อยเมตร จำนวนนั้นมากกว่าพันตัว!


 


“นะ….ถ้ามีแมลงพิษสวรรค์มากมายขนาดนี้ที่ร้อยดินแดนก็คงจะเกิดภัยพิบัติแน่ ไม่มีที่ใดนอกจากเมืองพันธมิตรที่จะรับมือมันได้เลย!”


 


แต่ฝูงแมลงพิษเหล่านี้ก็พบได้มากมายในเขตวิหคเพลิง


 


ซือหยูเลิกคิ้ว แม้ถ้าเขตวิหคเพลิงจะมีเอกลักษณ์ มันก็ผิดปกติที่จะมีสัตว์มีพิษมากมายรวมตัวกันในที่เดียว


 


เขาใช้พลังดวงตามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะร้อยห้าสิบลี้


 


หลังจากที่สังเกตรอบๆ ใบหน้าเขาก็เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย

 

 

 


ตอนที่ 351

 

มีสัตว์อสูรมากมายในรัศมีร้อยห้าสิบลี้ ทุกย่างก้าวไปผ่านไปนั้นก็จะจบสัตว์มีพิษหลายขนาด


 


แล้วก็ยังมีตัวที่แข็งแกร่งที่สุดและทำให้ซือหยูกลัวอย่างมาก เขาไม่กล้าจะทำอะไรมัน


 


“ระวังด้วย พวกเราอาจจะเข้ามาในพื้นที่พิเศษโดยบังเอิญแล้วล่ะ”


 


ซือหยูพูดอย่างจริงจัง สิ่งต่างๆรอบตัวพวกเขาไม่ปกติแม้แต่น้อย พวกเขาต้องระวัง


 


จู่ๆ ขณะที่พูดก็มีหมอกสีม่วงคล้ำพวยพุ่งมาจากส่วนลึกในป่า


 


“นั่นมันหมอก! สีนั่นน่าจะเป็นหมอกพิษ หลบเถอะ”


 


ซือหยูพูดอย่างระวัง


 


ทั้งสองบินอ้อมหมอกอย่างระวังเพื่อหนีจากมัน


 


แต่….


 


แกร๊ง–


 


แกร๊ง—


 


เสียงโลหะกระทบกันดังในหมอกนั้น ตามด้วยเสียงสตรีที่ราวกับจะขอความช่วยเหลือ


 


ซือหยูพยายามดู แต่พลังดวงตาของเขาก็มิอาจมองเห็นสถานการณ์ในหมอกได้


 


ฉีหยุนเซี่ยงพูดอย่างกังวล


 


“เราควรจะช่วยนางไหม?”


 


ตามปกติพวกเขาควรจะรีบไปโดยเร็ว แต่ตามความรู้สึก…พวกเขารู้สึกว่าควรจะช่วยคนที่กำลังลำบาก


 


ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด


 


“เจ้ารอข้าอยู่ข้างนอกหมอกตอนที่ข้าเข้าไป”


 


เพราะเขาอยู่ในที่เกิดเหตุและมีพลัง จะไม่ดีกว่ารึที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยนาง?


 


ปั้ง–


 


ปั้ง–


 


ชั้นอัสนีม่วงล้อมรอบกายซือหยู


 


ชั้นหมอกพิษที่เข้ามาหาซือหยูได้สัมผัสกับอัสนีและกลายเป็นเถ้าถ่านร่วงหล่นเป็นจำนวนมาก


 


ฟึ่บ–


 


หลังจากที่เข้ามาในหมอก ซือหยูเห็นสถานการณ์ภายในทันที


 


เขาพบหญิงสาวที่งดงามน่าหลงใหลอายุประมาณยี่สิบหกปี นางมีพลังอำมฤตระดับสามขั้นต้น


 


นางดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ นางสวมชุดหนังจิ้งจอกหิมะที่ขับกล่อมให้รูปน่างอันยั่วยวนนั้นน่าสะดุดตายิ่งขึ้น


 


ในตอนนี้นางกำลังต่อสู้กับอสรพิษยักษ์ยาวร้อยศอกด้วยเหงื่อที่โทรมกาย


 


ในบรรดาสัตว์อสูร อสรพิษยักษ์นั้นมีร่างกายและพลังที่ไม่แข็งแร่ง แต่หมอกพิษของมันนั้นอันตรายมาก แม้แต่ซือหยูยังต้องหวาดกลัว


 


เหตุที่หมอกพิษปรากฏขึ้นก็เพราะอสรพิษยักเป็นตัวการ!


 


สัญชาตญาณบอกซือหยูว่าถ้าน้ำพิษสัมผัสตัว แม้แต่ร่างของเขาที่แข็งแกร่งก็ต้องเน่าเปื่อยในทันที!


 


และในตอนนี้นางผู้งดงามกำลังหายใจอยู่ในหมอกพิษนั้น ร่างของนางหมดพลังไปมาก สีดำเริ่มปรากฏอยู่ตรงหน้าผาก


 


ถ้าไม่มีใครช่วยก็ยากที่นางจะมีชีวิตอยู่ได้เกินไปกว่าเวลาครึ่งถ้วยชา


 


ซือหยูถอนหายใจ นางโชคดีที่ได้มาเจอกับพวกเขา


 


ซือหยูหยิบธนูมังกรฟ้าดินออกมาเพื่อสังหารอสรพิษยักษ์จากระยะไกล


 


ฐานพลังของมันไม่สูงมากนัก มันมีพลังที่อำมฤตระดับสอง


 


ดังนั้นด้วยศรวิญญาณ…มันจึงตายในทันที


 


หลังจากที่ดิ้นไปมาไม่นาน มันก็หยุดขัดขืนและตายลงอย่างแน่นิ่ง


 


หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าอสรพิษยักษ์ตายสนิท ซือหยูจึงแสดงตัวออกมา เขาเดินไปที่หน้าอสรพิษและปลดต่อมพิษของมันออกมา


 


สาวงามตัวแข็งทื่อ พูดได้เลยว่านางไม่คิดว่าอสรพิษที่กำลังจะฆ่านางถูกสังหารโดยลูกธนู


 


หลังจากที่เห็นซือหยูปลดต่อมพิษ นางก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน


 


“ขอบคุณท่านวีรบุรุษที่ช่วยชีวิตข้า นี่คือลูกมังกรธรณีอสรพิษ พิษในต่อมพิษของมันยังไม่ถึงจุดที่แข็งแกร่งที่สุด”


 


แม้นางจะผ่อนคลายลง ทั้งร่างของนางก็ยังคงตื่นตัว ถ้าซือหยูคิดจะสังหารนางและชิงสมบัตินางไป นางก็จะหันหนีทันที


 


มังกรธรณีอสรพิษรึ? ซือหยูไม่รู้จัก


 


ซือหยูไม่ได้สนใจนางนัก


 


ในสถานการณ์นี้ แม้ซือหยูจะเป็นคนที่เข้ามาช่วย แต่เขาก็ต้องเลี่ยงเผื่อว่านางจะเป็นคนที่คิดร้าย


 


ซือหยูพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์และไม้แม้แต่จะมองนาง เขาหันกลับบินไปยังที่เดิม


 


“แม่นาง เจ้าควรรีบไปตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าควรจัดการพิษเสียก่อน”


 


หลังพูดจบ ซือหยูรีบบินจากไป


 


นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าซือหยูจะไม่ใช่คนไม่ดี


 


ความกังวลของนางเริ่มหายไป พิษเริ่มกระจายไปทั่วร่าง


 


นางครวญครางและล้มลงกับพื้น นางกุมอกและอดทนกับความเจ็บปวด


 


ซือหยูหันกลับไปมองและถอนหายใจ เขาบินกลับไปแบกนางออกจากหมอกพิษ


 


เขากลับมาหาฉีหยุนเซี่ยงและพานางออกจากพื้นที่หมอกพิษเพื่อหาที่ที่สงบและมีแสงสว่าง


 


เขาใช้พลังวิญญาณเล็กน้อยใส่ร่างของหญิงสาวและขับพิษออกมาส่วนหนึ่ง เพื่อให้นางกลับมามีสติ


 


“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า”


 


นางตื่นขึ้น หลังจากที่เห็นว่าร่างปลอดภัย นางก็โค้งคำนับ นางยิ้มจนเห็นฟันขาว


 


รอยยิ้มนั้นราวกับบุพผาแดงในทุ่งอันงดงามและน่าดึงดูดใจ นั่นทำให้หัวใจของหลายคนแทบหยุดเต้น


 


ทำไมถึงมีเสน่ห์เช่นนี้!


 


ทุกท่าทางการเคลื่อนไหวนั้นน่าหลงใหลเป็นอย่างมาก


 


เทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าฉีหยุนเซี่ยงนั้นยังไม่สุกงอม


 


ซือหยูหันไปมองด้านข้าง


 


“ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไรพวกข้าก็จะไปแล้ว! ไปเถอะหยุนเซี่ยง”


 


“เดี๋ยวสิท่าน โปรดรอสักครู่! ข้าชื่อโจวจิ้ง ครอบครัวข้าอยู่ในปราการวิหคเพลิง สามีข้าอยู่ในตระกูลเหยาแห่งปราการวิหคเพลิง เป็นตระกูลเก่าแก่ที่ฝึกฝนและผลิตโอสถ ถ้าท่านทั้งสองสะดวก ท่านจะมาเยี่ยมเป็นแขกของตระกูลสามีข้าจะได้หรือไม่? ถือว่าแทนการขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้า”


 


ตระกูลเหยารึ? ฉีหยุนเซี่ยงใจสั่นเล็กน้อย นางไม่รู้จะพูดอะไร


 


“ตระกูลเหยารึ? หรือว่าจะเป็นตระกูลเหยาแห่งปราการวิหคเพลิงที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลหลัก?”


 


นางพูดและกระซิบให้ซือหยู


 


“หยินหยู เจ้าช่วยคนที่สำคัญมากเข้าแล้ว! ตระกูลเหยาชำนาญการปรุงยา ว่ากันว่าพวกเขาปรุงโอสถโบราณได้! ยอดฝีมือหลายคนขอร้องให้พวกเขาปรุงโอสถให้แต่ก็ไม่มีใครเคยได้ แม้แต่ฮั่นเจียงหลินก็เคยขอโอสถมาก่อนและถูกปฏิเสธ!”


 


“ถ้านางพูดจริงและเป็นภรรยาของคนตระกูลเหยา เจ้าอาจจะได้รางวัลอย่างงาม”


 


ซือหยูส่ายหัวโดยไม่แม้แต่จะคิด


 


“ไม่เป็นไรหรอก! ข้าช่วยนางมิใช่เพราะหวังสิ่งตอบแทน และข้าก็อาจจะได้อย่างอื่นนอกจากรางวัลที่ไปช่วยนาง…”


 


เขาพูดราวกับมีนัยยะแอบแผง


 


ฉีหยุนเซี่ยงเข้าใจเช่นกัน นางถอนหายใจ


 


นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ในโลกใบนี้ การทำความดีก็อาจจะไม่ได้สิ่งที่ดีตอบแทนไม่ใช่รึ?


 


โจวจิ้งเห็นซือหยูกับฉีหยุนเซี่ยงกำลังจะจากไป นางถอนหายใจอย่างขมขื่น


 


“ข้าไม่ได้คิดเรื่องนี้ให้ถ้วนถี่ทำให้ท่านตัดสินใจลำบาก! แต่ข้าอยากจะขอยืมมือท่านอีกครั้งจะได้หรือไม่? อวัยวะภายในของข้าเสียหาย ถ้าท่านวีรบุรุษจะไปทางเดียวกัน ข้าก็อยากจะให้ท่านพาข้าไปส่งที่เมือง”


 


“เมื่อถึงเวลา ข้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน!”


 


เอ๋? ซือหยูขมวดคิ้ว หลังจากที่ยืนคิดเขาก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ


 


“จงเงียบตลอดการเดินทาง อย่าถามอะไรให้มากนัก”


 


เมื่อช่วยผู้ใดก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด การพานางไปส่งในทางเดียวกันก็น่าจะไม่เป็นอะไรน่านางไม่สร้างปัญหา


 


“ขอบคุณท่าน ข้าจะจำคำชี้แนะของท่านให้ขึ้นใจ”


 


โจวจิ้งยิ้มอย่างงดงาม นางโค้งคำนับ


 


สมกับเป็นภรรยาจากตระกูลใหญ่ วิธีที่นางพูดนั้นต่างจากคนทั่วไปมากนัก


 


นางไม่พูดอะไรเลยตลอดทาง


 


ผ่านไปครึ่งวัน พวกเขามาถึงปราการวิหคเพลิง


 


ส่วนที่พวกเขาจะไปนั้นอยู่ในใจกลางของปราการวิหคเพลิง


 


ซือหยูส่งโจวจิ้งไปถึงตระกูลเหยา


 


ตระกูลเหยานั้นตั้งอยู่อย่างงดงามในข้างหนึ่งของปราการ สิ่งปลูกสร้างล้วนตระการตาน่าประทับใจ การคุ้มกันนั้นแน่นหนาอย่างที่ตระกูลใหญ่ควรจะเป็น


 


“เอาล่ะ ข้าจะส่งเจ้าตรงนี้ ไม่ต้องขอบคุณข้า ข้าจะไปแล้ว”


 


หลังจากที่ส่งทางตรงทางเข้า ซือหยูบอกลาสั้นๆ


 


โจวจิ้งรีบพูด


 


“เดี๋ยวสิท่าน โปรดรอข้าก่อนเถอะ!”


 


เอ๋? ซือหยูหันกลับไปอย่างใจร้อน


 


“เจ้ามีเรื่องอะไรอีกรึ?”


 


นางเสยผมมาทัดหูทั้งสองข้าง มันดูมีเสน่ห์มากทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ จิตใจของคนที่ผ่านไปผ่านมาและทหารตรงทางเข้าตระกูลเหยาว่างเปล่าเมื่อเห็นสิ่งที่นางทำ


 


แม้ซือหยูที่ข่มอารมณ์เอาไว้ก็ถูกนางเหยียบย่ำอีกครั้ง


 


“ท่านวีรบุรุษ ข้าขอถือวิสาสะเชิญท่านมาพักข้างในสักครู่จะได้หรือไม่? ท่านช่วยผู้คนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ข้ามิอาจตกต่ำไปถึงจุดที่ผู้คนครหาว่าไม่รู้จักตอบแทนน้ำใจของคนที่หวังดีได้”

 

 

 


ตอนที่ 352

 

“ท่านวีรบุรุษ ท่านมีคุณธรรมเช่นนี้ ข้าคงคิดว่าท่านคงไม่สนใจสมบัติธรรมดาๆของข้าหรอก ถ้าท่านมาที่นี่ครั้งแรก ปราการวิหคเพลิงก็คงจะใหม่กับท่าน ถ้าท่านอยากได้ข้อมูลอะไร ตระกูลเหยาก็จะช่วยท่านได้ ข้าคิดว่าให้ตระกูลเหยาช่วยน่าจะดีกว่าท่านทำด้วยตัวเอง”


 


ถ้านางพูดว่าจะให้โอสถหรือวิชาบ่มเพาะ ซือหยูคงไม่สนใจแน่นอน


 


แต่เขาต้องการข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลของเซี่ยนเอ๋อ


 


“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอรบกวนด้วย”


 


ซือหยูไม่ปฏิเสธ


 


โจวจิ้งยิ้ม


 


“ขอบคุณที่ให้เกียรติพวกเรา โปรดตามข้ามา”


 


นางนำพวกเขามายังโถงหลักของตระกูลเหยา


 


ซือหยูสัมผัสได้ถึงนักสู้ขอบเขตอำมฤตระดับสามสิบคน


 


ด้วยพลังของคนเหล่านี้ ในร้อยดินแดนก็มีเพียงแค่ฮั่นเจียงหลินเท่านั้นที่จะต่อกรกับตระกูลนี้ได้


 


“โปรดรอข้าเปลี่ยนชุดสักเดี๋ยว ข้าจะกลับมาในไม่นาน”


 


โจวจิ้งขอตัวหลังจากที่สั่งชาให้พวกซือหยู


 


ฉีหยุนเซี่ยงอิจฉากับร่างของนางเล็กน้อย


 


“นางเป็นสตรีที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ทั้งรูปลักษณ์ นิสัยใจคอ รูปร่าง และฐานพลัง ข้าเคยได้ยินมานานแล้วว่าสตรีตระกูลเหยานั้นดูเหมือนจะโค่นเมืองลงได้ หรือว่านั่นจะเป็นโจวจิ้ง?”


 


โค่นเมืองรึ? ทุกการกระทำของนางนั้นล้วนจับใจ การพูดว่านางจะโค่นล้มเมืองลงได้นั้นไม่แปลกใจเลย


 


ตอนที่ทั้งสองคุยกันก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามา


 


เขาอายุประมาณยี่สิบเจ็ดปี เขาตัวเตี้ยและท้วม เขามีผิวคล้ำและดวงตาเป็นประกาย


 


เขาดูราวกับตัวตลกแต่ด้วยพลังที่แผ่ออกมานั้นแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นบุรุษที่อันตราย


 


“เจ้ารึที่ช่วยภรรยาของข้า?”


 


ชายร่างเตี้ยพูดด้วยเสียงสูงราวกับขันที


 


ซือหยูเลิกคิ้ว เกิดอะไรขึ้นกัน? เขาถูกสงสัยรึ?


 


แต่ซือหยูก็ไม่แสดงความไม่พอใจออกมา ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นสามีของโจวจิ้ง


 


“ใช่แล้ว ภรรยาท่านเกือบจะแย่เพราะลูกมังกรธรณีอสรพิษ พวกเราบังเอิญผ่านที่นั่นและช่วยชีวิตนางไว้ได้”


 


ซือหยูพูดความจริง


 


ชายร่างเตี้ยมองซือหยู


 


“มังกรธรณีอรพิษ..เจ้าน่ะรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสัตว์อสูรนั่นสังหารอำมฤตระดับสามได้? แต่เจ้าฆ่ามันได้ง่ายๆและช่วยภรรยาข้าจากคมเขี้ยวของมันน่ะรึ?”


 


เอ๋? ซือหยูยืนขึ้น แม้เขาจะอายุเพียงสิบหกปี เขาก็ตัวสูงกว่าอีกฝ่ายอยู่มาก เขาก้มลงมองด้วยความเย็นชา


 


“เจ้าคิดว่าข้าช่วยภรรยาเจ้าแล้วอ้างเพราะโลภรางวัลของตระกูลเหยางั้นรึ?”


 


ชายร่างเตี้ยยิ้มอย่างชั่วร้าย


 


“ช่วยภรรยาข้าแล้วอ้างว่าทำเช่นนั้นรึ? ถ้าเจ้าตั้งใจแค่นั้นข้าก็คงให้รางวัลเจ้าไปแล้ว!”


 


ซือหยูสับสน


 


“โอ้? เจ้าพูดต่อไปสิ ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”


 


“ข้าต้องพูดอีกรึ? เจ้าน่ะวางกับดักแล้วทำให้ภรรยาข้าต้องกับดักนั้น เจ้าทำนางเชื่อใจและเข้ามาในตระกูลเหยาเพื่อจะมาเอาโอสถโบราณของพวกเรา!”


 


เขายิ้มอย่างเยือกเย็น


 


“กลไม้นี้น่ะมันล้าหลังไปตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้ว ยังมีคนกล้าใช้มันในวันนี้ยุคนี้อีก อวดดีนัก!”


 


ซือหยูที่ได้ยินตัวแข็งทื่อ


 


หลังจากได้สติเขาก็ส่ายหน้าและหัวเราะ


 


“ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะเป็นผู้ร้ายหลังจากที่ช่วยชีวิตคน! ถ้าข้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ข้าจะเหนื่อยไปทำไมกัน?”


 


“ฮื่ม! ไม่ต้องมาแก้ตัว พวกเรารู้ว่าเจ้าทำอะไรลงไป!”


 


ซือหยูส่ายหน้าและไม่พูดอะไร ไม่มีทางที่จะคุยกับคนเช่นนี้รู้เรื่อง


 


“หยุนเซี่ยง ไปกันเถอะ พวกเราเป็นผู้ร้ายที่นี่แล้ว ถ้าข้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้…ข้าจะช่วยนางทำไม?”


 


ซือหยูคว้าตัวฉีหยุนเซี่ยงและกำลังจะจากไป


 


“เดี๋ยว!”


 


ชายร่างเตี้ยหยุดพวกเขา


 


ซือหยูยืนนิ่งโดยไม่หันไปมอง เขาพูดด้วยความใจเย็นอย่างประหลาด


 


“ทำไมกัน เจ้าอยากจะฆ่าข้าเพราะข้อสงสัยของเจ้าน่ะรึ? ถ้าเรื่องนี้แดงออกไป ชื่อเสียงตระกูลเหยาจะเป็นยังไงกันนะ?”


 


ชายร่างเตี้ยหัวเราะ


 


“ข้าไม่ต้องทำถึงขั้นนั้น ข้าเห็นคนอย่างเจ้ามามากมาย ตระกูลเหยาจะไม่ทำอะไรเจ้า! แต่เจ้ายืมธนูของตระกูลเหยามา เจ้าไม่ควรจะคืนหรอกรึ?”


 


ธนูรึ? ซือหยูขมวดคิ้ว


 


“เจ้ากำลังจะบอกว่าข้ายืมธนูของตระกูลเหยามางั้นรึ?”


 


ชายร่างเตี้ยปรบมือ


 


“โอ้ที่รัก ทำไมเจ้าไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นในป่ากับพวกเราล่ะ?”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


โจวจิ้งออกมาพร้อมกับนักสู้ขอบเขตอำมฤตระดับสามสิบคน


 


พวกเขาล้อมซือหยูกับฉีหยุนเซี่ยง


 


ซือหยูมองรอบๆ และจ้องไปที่โจวจิ้ง


 


รูปลักษณ์งดงามของนางในตอนนี้ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป


 


“โปรดคืนธนูมาเถอะท่าน อย่าทำเรื่องไร้รสนิยมและไร้ยางอายเช่นนั้นเลย ข้าอาจจะดูถูกท่านได้”


 


น้ำเสียงของโจวจิ้งนั้นไร้อารมณ์


 


ซือหยูวางมือไพล่หลังและยิ้ม


 


“ทำไมเจ้าไม่พูดเองเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นในป่านั่น?”


 


ชายร่างเตี้ยถอนหายใจแรง


 


“เจ้ามันคนไร้ยางอาย ไม่ยอมรับแม้กระทั่งความผิดของตัวเองแม้กำลังจะตาย! ที่รัก บอกทุกคนสิว่าเกิดอะไรขึ้นในป่า!”


 


โจวจิ้งพยักหน้า นางพูดช้าๆ


 


“ครึ่งวันก่อน ข้าออกไปเก็บสมุนไพร ระหว่างทางข้าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือเและเข้าไปดู”


 


“ข้าเห็นท่านผู้นี้กำลังต่อสู้อยู่กับมังกรธรณีอสรพิษและกำลังย่ำแย่ ในช่วงเวลาเป็นตาย ข้าส่งธนูเงินที่ข้าใช้อยู่ตลอดให้เด็กคนนี้เพื่อใช้เป็นอาวุธ เขาเลยรอดออกมาได้! แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะคิดร้ายหมายตาธนูของข้า เขาคิดจะเก็บไว้กับตัว!”


 


“แล้ว…เขาก็เริ่มเกิดความคิดกระหายและพยายามจะขืนใจข้า!”


 


นางเริ่มร้องไห้เมื่อเล่าเรื่องราว ราวกับว่านางได้พบเจอกับความไม่เป็นธรรมอย่างร้ายแรง สีหน้าท่าทางของนางน่าสงสารเป็นอย่างมาก


 


“แต่ข้าไหวพริบดีพอเลยโกหกว่าข้าจะช่วยเขาขโมยโอสถจากตระกูลเหยา ข้าพูดแบบนั้นก็เลยรอดจากการถูกขืนใจมาได้!”


 


โจวจิ้งร่ำไห้และเข้าไปในอ้อมกอดของชายร่างเตี้ย นางอ้อนวอน


 


“เหยาหลิง โปรดมอบความเป็นธรรมให้ข้าด้วย!”


 


คนตระกูลเหยาโกรธแค้น แต่ฉีหยุนเซี่ยงโกรธแค้นเสียยิ่งกว่า!


 


คนตระกูลเหยาโกรธแค้นก็เพราะว่าซือหยูได้ชิงธนูจากผู้มีพระคุณของเขาไป และถึงขั้นจะขืนใจนาง!


 


แต่ฉีหยุนเซี่ยงนั้นโกรธแค้นเพราะการแสดงของโจวจิ้ง นางบิดเบือนความจริงทั้งหมด


 


สุดท้ายนางก็รู้ว่าโจวจิ้งนั้นได้เห็นอาวุธอันทรงพลังเมื่อซือหยูช่วยชีวิตนางและเหตุที่นางพยายามอย่างมากที่จะพาซือหยูมาที่ตระกูลเหยา


 


ใครกันที่ไร้ยางอายที่สุด ณ ที่นี่?


 


ปั้ง–


 


เหยาหลิงทุบโต๊ะตรงหน้า มันกลายเป็นฝุ่นผง


 


สีหน้าของเขาโกรธเกรี้ยว


 


“เจ้า! บังอาจนัก! เจ้าเอาของตระกูลเหยาไปแล้วยังคิดจะขืนใจภรรยาข้า!”


 


“อย่าคิดว่าวันนี้เจ้าจะหนีไปจากตระกูลเหยาได้เลย!”


 


“ทหาร ฆ่าพวกมัน! ไม่มีข้อยกเว้นอะไรทั้งนั้น!”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


กลุ่มทหารรีบใช้วิชาสังหารด้วยความโกรธแค้น พวกเขาไม่ออมมือ


 


ซือหยูหัวเราะจนหลังคาสั่น


 


“ฮ่าๆๆๆๆ…น่าสนุกนี่ ข้าเห็นหลายคนนักที่คิดจะฆ่าข้าเพื่อเอาสมบัติของข้า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าถูกแต่งเรื่องใส่ร้ายหลังจากที่ช่วยชีวิตมันผู้นั้นไป!”


 


“น่าสนุก…น่าสนุกจริงๆ! แต่ก็คงจะน่าสนุกที่สุดถ้าข้าฆ่าพวกเจ้าจนหมด!”

 

 

 


ตอนที่ 353

 

คู่รักคู่นี้สมคบคิดกัน พวกเขาต้องการธนูมังกรฟ้าดินอย่างมาก


 


ถ้าไม่ใช่เพราะซือหยูช่วยโจวจิ้งได้ทันเวลา นางก็คงตกไปอยู่ในท้องของอสรพิษไปแล้ว


 


ที่น่าหัวร่อคือในตอนที่นางขอร้องความช่วยเหลือ นางได้หมายตาธนูสีเงินของซือหยูไปแล้ว ดังนั้นนางจึงหลอกล่อให้เขาเข้ามาในตระกูลเหยาเพื่อหวังจะสังหารและชิงสมบัติ!


 


หัวใจของนางต้องดำเพียงใดกันถึงจะคิดเรื่องเช่นนี้ได้ในทันทีทันใด?


 


ผู้หญิงคนนี้มีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ต้องตาผู้คน แต่หัวใจของนางนั้นเต็มไปด้วยพิษสงราวกับอสรพิษ


 


เหยาหลิงพูดอย่างเยือกเย็น


 


“อย่าคิดจะตบตาพวกข้า ตระกูลเหยาของข้านั้นกว้างขวางและร่ำรวย ทำไมพวกเราจะต้องการสมบัติของคนที่ไม่รู้จักอย่างเจ้าด้วยเล่า? เจ้ามันกะโหลกหนานัก เจ้าคิดว่าที่นี่คือโรงทานเรอะ?”


 


“ฮ่ามันให้หมด ให้เป็นเยี่ยงอย่างของผู้อื่น!”


 


โจวจิ้งหัวเราะอย่างชั่วร้ายอยู่ในอ้อมอกของเหยาหลิง


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


อำมฤตระดับสามทั้งสิบคนโจมตีเข้ามาพร้อมกัน พลังอันน่ากลัวโอบล้อมจากทุกด้านโดยมีซือหยูกับฉีหยุนเซี่ยงอยู่ตรงกลาง พวกเขาจะสังหารในคราเดียว


 


ซือหยูดึงฉีหยุนเซี่ยงมาที่ด้านหลังของตัวเอง


 


ดัชนีทั้งสิบสร้างเข็มวิญญาณสิบแท่งไปยังทุกทิศทาง


 


“แย่แล้ว! อำมฤตระดับสามขั้นกลาง!”


 


เหยาหลิงตกใจอย่างมาก


 


ซือหยูนั้นอายุน้อย เหยาหลิงไม่คิดเลยว่าฐานพลังเขาจะสูงเช่นนี้!


 


ในสายตา เขามองว่าการที่ซือหยูสังหารสัตว์อสูรได้เพราะพึ่งพาธนูวิเศษที่มีพลังขัดบัญชาสวรรค์


 


แต่เขาไม่คิดเลยว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นหาใช่ธนู แต่เป็นตัวซือหยูเอง!


 


“พวกระดับสามขั้นต้นถอยออกมาเร็ว!”


 


เหยาหลิงคำรามลั่น เขาพุ่งเข้าไปสู้แทน


 


แต่ก็น่าเสียดายที่เขาช้าเกินไป


 


แกร๊ง–


 


แกร๊ง–


 


ฟึ่บ–


 


ในอำมฤตระดับสามทั้งสิบคน มีแค่พวกระดับกลางเท่านั้นที่ป้องกันได้สำเร็จ


 


ส่วนพววกระดับสามขั้นต้นอีกเก้าคนนั้นถูกทะลวงอกด้วยพลังวิญญาณอันน่ากลัว


 


ต่อหน้าอำมฤตระดับสามขั้นกลาง เหล่าขั้นต้นแทบจะทำอะไรไม่ได้


 


“ดัชนีสายฟ้าดารา!”


 


แต่ซือหยูก็ยังไม่หยุด สายอัสนีปรากฏขึ้นในฝ่ามือ เขาสะบัดดัชนีและสังหารคนสุดท้ายที่เป็นระดับสามขั้นกลางโดยที่เหยาหลิงยังมาไม่ทัน


 


เหล่าอำมฤตระดับสามทั้งสิบคนถูกสังหารสิ้น


 


โลหิตสีแดงฉานไหลอาบพื้น


 


ซือหยูยืนอยู่ตรงกลางบึงงโลหิตและแสยะยิ้ม โลหิตนั้นทำให้รอยยิ้มของซือหยูน่ากลัวอย่างประหลาด


 


“มีพลังแค่นี้ก็ยังอยากจะฆ่าข้าแล้วเอาสมบัติอีกรึ?”


 


โจวจิ้งตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นน้ำแข็ง นางเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว


 


ร่างกายอันน่ารักของนางสั่นเครือ ขาเล็กๆทั้งสองข้างสั่นไม่หยุด


 


อั่ก–


 


นางกระวนกระวายจนขาทั้งสองอ่อนรวยรินจนล้มลงกับพื้น นางจ้องพื้นที่เต็ฒไปด้วยซากศพ นางหวาดกลัวจนคิดอะไรไม่ออก


 


เหยาหลิงโกรธแค้นอย่างมาก


 


อำมฤตระดับสามทั้งเป็นกำลังสามในสิบส่วนของตระกูลเหยา แต่พวกเขาก็ถูกสังหารจนหมดในไม่นาน!


 


ที่ทำให้เหยาหลิงกลัวมากก็คือระดับสามขั้นกลางก็ถูกชายหนุ่มตรงหน้าสังหารในกระบวนท่าเดียว!


 


ฝ่ายตรงข้ามมีฐานพลังระดับใดกันแน่?


 


หรือว่าจะเป็นระดับสามขั้นสูง?


 


“ถึงตาเจ้าแล้ว นายน้อยเหยากับยอดรักของเจ้า!”


 


ซือหยูหัวเราะอย่างชั่วร้าย จิตสังหารในตอนนี้พวยพุ่งจนถึงจุดสูงสุด


 


เหยาหลิงเคลื่อนไหวอย่างเฉียบคม เขาหยุดโจมตีทันทีและหันไปคว้าตัวโจวจิ้งเพื่อหนี


 


“หนีเร็ว! ไปตามท่านพ่อมา!”


 


ฟึ่บ–


 


บุรุษชุดขาวยืนขวางพวกเขา


 


“อะไรกัน? เจ้าไม่ได้อยากได้ธนูคืนหรอกรึ? เจ้าไม่คิดจะสั่นสอนคนชั่วร้ายอย่างข้าแล้วรึ?”


 


ซือหยูหันหลังขวางพวกเขาและพูดถากถาง


 


หัวใจของเหยาหลินเต้นอย่างแรง เขาตะโกนขู่แต่ก็หวาดกลัวในใจ


 


“ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร แต่เจ้าคิดอีกทีก่อนจะลงมือทำอะไรดีกว่า! นี่คือตระกูลเหยาแห่งปราการวิหคเพลิง ถ้าเจ้าสัมผัสแม้แต่เส้นผมพวกข้า เจ้าจะออกจากตระกูลเหยาไม่ได้อีกเลย!”


 


“ฮ่าๆๆๆ ขู่ข้าเรอะ?”


 


ซือหยูหันกลับไปมองและหัวเราะ


 


“อนิจจา ที่ข้าไม่กลัวที่สุดที่คือคำขู่นี่แหละ! ไม่ต้องพูดถึงแค่ตระกูลเหยา แม้คนจากคณะวิหคเพลิงมายั่วยุข้า ข้าก็จะฆ่ามันเหมือนกัน”


 


“อีกอย่าง แม้ข้าจะอภัยให้พวกเจ้า ข้าจะมีชีวิตรอดออกไปจากตระกูลเหยารึ?”


 


ซือหยูยิ้มเยาะและเดินไปข้างหน้า ใบหน้ามีแต่จิตสังหารอันเข้มข้น


 


“ข้าไม่ได้ขอสิ่งตอบแทนและช่วยเจ้าด้วยน้ำใจ แต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้! ต่อให้พวกเจ้าตายมันก็ยังไม่สาสม!”


 


เหยาหลิงท่าทางเปลี่ยนไป


 


“เดี๋ยวก่อน! ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าถูกหลอก ภรรยาข้าต่างหากที่อยากได้ธนูเจ้าและหลอกให้ข้าทำเช่นนี้”


 


โจวจิ้งที่เอนกายแนบอกของเขาตกใจอย่างมาก นางเงยหน้าจ้องเหยาหลิงอย่างไม่เชื่อสายตา


 


“สามีข้า เจ้า….”


 


เหยาหลิงก้มหน้าตะคอกอย่างโกรธแค้น


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะความโลภของเจ้า พวกเราจะไปดูหมิ่นวีรบุรุษน้อยผู้นี้รึ? ถ้าเจ้าอยากตายก็อย่าทำให้ตระกูลเหยาต้องเสียไปกับเจ้าด้วย!”


 


แววตาโจวจิ้งโศกเศร้าในทันที


 


“เจ้ามันไร้หัวใจเช่นนี้เชียวรึ? ข้าก็แค่พูดถึงธนูเงินนั่น เจ้านั่นแหละที่คิดจะเอามันไป แต่ตอนนี้เจ้าก็กลับจะส่งข้าไปตายงั้นรึ?”


 


เหยาหลิงพูดเบาๆ


 


“ทุกคำที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง!”


 


ทั้งสองกำลังย่ำแย่ แต่ละคนต่างเกี่ยงให้กันและกัน


 


ซือหยูส่ายหัวด้วยความขบขัน


 


“พวกเจ้าเลิกแสดงได้แล้ว เจ้าจะซื้อเวลาไปทำไมกัน? ถึงพวกเจ้าสองคนจะโง่เขลา…แต่ก็อย่าคิดว่าคนอื่นจะโง่อย่างเจ้า”


 


แม้ว่าการต่อสู้จะจบลงอย่างรวดเร็วมันก็ทำให้คนในตระกูลเหยาเริ่มให้ความสนใจ


 


ถ้าซือหยูไม่รีบออกไปโดยเร็ว คนตระกูลเหยาที่แข็งแกร่งจริงๆจะปรากฏตัว นั่นจะเป็นปัญหาที่แท้จริง


 


ทั้งสองดูราวกับคู่รักที่กำลังพบกับภัยร้ายและพยายามเอาตัวรอดอยู่คนเดียว แต่จริงๆแล้วพวกเขาแอบร่วมมือกันเพื่อซื้อเวลาและรอให้คนมาช่วย


 


สีหน้าของเหยาหลิงกับโจวจิ้งเคร่งเครียดในพร้อมกัน


 


“ข้ายอมรับว่าข้าทำผิดที่ได้ยั่วยุศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้”


 


โจวจิ้งใบหน้าแสดงความเจ้าเล่ห์


 


“ข้าเต็มใจจะชดใช้ให้เจ้า บอกข้าว่าเจ้าต้องการเท่าใด หากตระกูลเหยาให้ได้ พวกเราก็ไม่ลังเลที่จะให้เจ้า แล้วเราจะปล่อยเจ้าไป!”


 


โจวจิ้งราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


 


เทียบกับหญิงสาวงดงามในเมื่อครู่ นางได้เป็นต่างคนในทันที


 


ซือหยูแยกไม่ออกว่าคนไหนคือโจวจิ้งตัวจริง


 


นางทั้งมีเสน่ห์ ใจเย็น และหนักแน่น เมื่อเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นน่ะรึ?


 


ส่วนเหยาหลิง เขาเงียบอยู่ข้างๆ


 


ซือหยูยิ้มเยาะ


 


“ที่ข้าเห็นก็ดูไม่มีอะไรนะ!”


 


“ข้าไม่สนใจสิ่งใดในตระกูลเหยาทั้งนั้น ข้าแค่หวังจะกำจัดต้นตอของปัญหาของข้า”


 


ซือหยูก้าวไปข้างหน้า


 


ในตอนนี้ โจวจิ้งยังคงใจเย็นอยู่ได้อย่างเคย แววตาดั่งหิมะของนางเยือกเย็น


 


“แล้วเจ้าจะเสียใจ”


 


ซือหยูส่ายหน้า


 


“ข้าไม่เคยเสียใจ!”


 


ซือหยูยื่นดัชนีไปข้างหน้า


 


จากนั้นโจวจิ้งก็ทำสิ่งที่ทุกคนต้องจ้องมองและกัดลิ้น นางหยิบมีดออกมาจากชุดและแทงเข้าไปที่อกของเหยาหลิง


 


นางบิดข้อมือทำให้หัวใจของเหยาหลิงแหลกเป็นเสี่ยงๆ


 


“อ๊าก! เจ้า…”


 


เหยาหลิงจ้องมองแผ่นหลังของโจวจิ้งอย่างไม่เชื่อสายตา


 


ภรรยาที่เขาอยู่ร่วมกันมาสามปีชักมีดออกมาแทงเขา


 


โจวจิ้งไม่เหลียวมองกลับ ใบหน้านั้นเย็นชาและไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง


 


“เหยาหลิง ข้าขอโทษ ข้าจะรอดไปได้ถ้าเจ้าเสียสละเท่านั้น”


 


“ปีกโลหิต!”


 


โลหิตของเหยาหลิงพุ่งออกมาเมื่อนางดึงมีด โลหิตนั้นมากพอที่จะฉาบนภา


 


โลหิตจำนวนมากได้กลายเป็นปีกสีเลือดที่ยาวสามสิบศอก


 


การสะบัดปีกของนางทำให้เกิดสายลมอันเกรี้ยวกราดและพานางพุ่งออกไปหลายลี้ในพริบตา!


 


ความเร็วของนางเทียบได้กับอำมฤตระดับสี่ เป็นรองเพียงวิหคครามเท่านั้น!


 


ซือหยูสายตาเย็นชา


 


“ฮื่ม! เจ้าคิดจะหนีงั้นรึ?”


 


ดวงตาหนึ่งข้างของเขาเปล่งแสงสีแดงและส่งพลังเข้าไปล้อมกายโจวจิ้งที่หนีไปแล้วสามสิบลี้ เพื่อที่จะส่งนางกลับมา


 


ความใจเย็นของโจวจิ้งหายไปเป็นครั้งแรก


 


“พรสวรรค์พื้นที่งั้นรึ?”


 


“เจ้าจะทำอะไร?”


 


“แน่ล่ะ ข้าจะส่งเจ้าไปโลกหน้า!”


 


จิตสังหารของซือหยูพวยพุ่งจนถึงขีดสุด


 


ผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างกับอสรพิษร้าย!


 


นางไม่คิดถึงบุญคุณของคนที่ช่วยชีวิต พยายามจะชิงสมบัติของซือหยูและสร้างเรื่องใส่ร้าย นางยังสละสามีตัวเองที่ร่วมเตียงกันมาสามปีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!


 


กับผู้หญิงไร้หัวใจเช่นนี้ ซือหยูรู้สึกเพียงแค่ความเยือกเย็นจากก้นบึ้งของจิตใจ


 


เขาจะปล่อยให้นางรอดกลับไปไม่ได้!


 


แต่เมื่อเขาจะย้ายนางกลับก็มีพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งจากระยะไกลปัดพลังมิติของเขาไป


 


หลังจากที่นางหลุดจากพันธนาการ นางก็ใช้ปีกโลหิตหนีไปทันที


 


ซือหยูรีบไล่ล่านาง แต่ปีกโลหิตนั้นเป็นวิชาลับที่นางใช้เอาชีวิตรอด หลังจากที่ไล่ล่ามาไม่นาน ซือหยูก็คลาดกับนาง


 


เขามองรอบๆ


 


“ใครกันที่แอบช่วยโจวจิ้ง?”


 


ราวกับว่ามีคนอยู่ในที่เกิดเหตุมานานและไม่เผยตัวออกมา


 


นางคิดอะไรกันถึงได้มาใกล้ชิดกับตระกูลเหยา?


 


“ถึงข้าจะตามเจ้าไม่ทัน แต่ก็ไม่ยากนักที่จะหาเจ้าเจอ!”


 


ซือหยูไม่ลดละ เขาใช้พลังดวงตามองทุกอย่างในระยะร้อยห้าสิบลี้


 


แม้ว่าโจวจิ้งจะเร็ว ซือหยูก็เห็นนางได้อย่างชัดเจน


 


เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา


 


โจวจิ้งมาถึงที่หนึ่งในปราการวิหคเพลิง ที่นั่นไม่มีผู้ใด


 


นางมาที่ซอยเล็กๆด้วยความระวังและกระอักเลือดออกมา


 


นางผลักประตูใหญ่ดำสนิทที่อยู่ปลายทาง


 


เอี๊ยด—


 


ประตูใหญ่เปิดออก ภายในมีสวนใหญ่ที่เงียบกริบ ทุกสิ่งในสวนนั้นเงียบราวกับป่าช้าแม้ควรจะมีเสียงนกร้องก็ตาม และในสวนแห่งนี้ยังไม่มีแม้แต่เสียงแมลง


 


ราวกับสวนนี้อยู่ในสภาพสิ้นหวังและเงียบราวกับป่าช้า


 


“ท่านอาจารย์”


 


โจวจิ้งคุกเข่าลงกับพื้น


 


เสียงแหบพร่าของสตรีดังมาจากในสวน


 


“เจ้าบาดเจ็บนี่”


 


โจวจิ้งอดทนความเจ็บปวดรุนแรงและสะบัดปีกโลหิตที่เป็นวิชาลับของนาง แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจที่นางจะบาดเจ็บ


 


“ท่านอาจารย์ ข้าไม่เป็นอะไร! ข้าได้ทำให้เด็กหนุ่มโกรธแค้นโดยไม่ตั้งใจเข้าแล้ว ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากฆ่าเหยาหลิง ข้าเกรงว่าข้าจะอยู่ในตระกูลเหยาไม่ได้อีกแล้ว”


 


โจวจิ้งพูดขณะที่อดทนกับความเจ็บปวด


 


เสียงอันแหบพร่านั้นไม่รู้ว่ามาจากส่วนใดของสวน


 


“เจ้าไม่ได้แค่สร้างเรื่องให้กับตัวเองเท่านั้น เจ้ายังเกือบทำให้ข้าถูกเปิดเผย!”


 


ฟึ่บ–


 


ก้อนพลังวิญญาณพุ่งออกจากสวนไปยังซือหยู


 


ซือหยูใช้พลังเต็มที่เพื่อมองหาโจวจิ้งในสวน


 


ก้อนพลังวิญญาณของอำมฤตระดับสี่ถูกปล่อยออกมาจากสวนทันที เขารีบหลบพลังวิญญาณนั้น


 


หลังจากที่หลบได้เขาก็ใช้พลังดวงตาอีกครั้ง แต่โจวจิ้งก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


 


ที่ห้องลับแห่งหนึ่งในปราการวิหคเพลิง มีสตรีสวมชุดดำยาวอยู่ที่นั่น นางสวมหน้ากากดำและกำลังเล่นกับถ้วยที่ไร้หูจับในมือ ในถ้วยนั้นมีแมลงพิษนับไม่ถ้วนที่กำลังสังหารและกลืนกินกันเอง


 


ชั้นหมอกสีม่วงทำให้นางดูลึกลับและชั่วร้าย

 

 

 


ตอนที่ 354

 

“อย่าทำเรื่องโง่ๆอีกเป็นครั้งที่สอง มิเช่นนั้น…เจ้ารู้ดี!”


 


สตรีในหน้ากากพูดด้วยเสียงแหบแห้ง


 


“ค่ะ ท่านอาจารย์”


 


“อืม แล้วภารกิจของเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง?”


 


สตรีในหน้ากากถามอย่างเย็นชา


 


“ข้าได้สูตรปรุงยาที่เป็นสมบัติของตระกูลเหยามาแล้ว ข้าคิดจะรวบรวมวัตถุดิบให้พอและมอบให้ท่านอาจารย์พร้อมกัน แต่ในระหว่างทาง ข้าพบกับเด็กหนุ่มที่ใช้ธนูสีเงิน ธนูสีเงินนั่นมีพลังมหาศาลราวกับไม่ใช่สมบัติเทพธรรมดา”


 


“ข้าคิดจะเอามันมาเป็นบรรณาการท่านแต่กลับกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัว”


 


สตรีในหน้ากากส่ายหน้าอย่างเย็นชา


 


“ถ้าเจ้าตั้งใจเช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว จงจำไว้ว่าคราวหน้าเจ้าต้องระวังให้มากขึ้น ตอนนี้คณะวิหคเพลิงกำลังรวบรวมยอดฝีมือมากมายที่นี่ มีผู้มีพรสวรรค์ประหลาดมากมาย เจ้ามิอาจมองข้ามผู้คนเพราะเห็นแค่ว่าเขานั้นอ่อนเยาว์”


 


“เห็นแก่ที่เจ้าทำภารกิจสำเร็จ ข้าจะไม่ว่าอะไรอีก ไปบ่มเพาะพลังเถอะ”


 


โจวจิ้งดีใจ นางยิ้มเมื่อได้รับอิสระ


 


“ในที่สุดข้าก็ออกจากตระกูลเหยาได้สักที”


 


ก่อนหน้านี้ นางได้สละตัวเองแต่งงานกับคนตระกูลเหยาะเพื่อให้ได้สูตรปรุงยาโบราณตามคำสั่งของอาจารย์


 


นางใช้เวลาสามปีเผชิญหน้ากับคนที่นางไม่ได้ชอบ นางกระทำการอย่างระวังทุกครั้งเพื่อให้ได้ความเชื่อใจจากตระกูลเหยาก่อนที่แผนจะมาถึงขั้นนี้


 


และตอนนี้ นางได้ทำภารกิจสำเร็จแล้ว


 


หลังจากที่โจวจิ้งกลับไป สตรีในหน้ากากก็หันไปมองแผ่นหลังของโจวจิ้ง


 


“เจ้าทำหน้าที่สำเร็จแล้ว โจวจิ้ง ถึงเวลาที่เจ้าจะได้กลับไปยังที่ของเจ้าเสียที”


 


ฟึ่บ–


 


ซือหยูร่อนลงไปยังประตูดำสนิทของสวน


 


เขามองรอบๆและไม่พบโจวจิ้งกับคนลึกลับนั่นเลย


 


“ที่นี่มันอะไรกัน”


 


ซือหยูมองไปยังทุกทิศทาง ที่นี่เงียบอย่างผิดปกติ ไม่มีแม้แต่เสียงปีกแมลง


 


ในตอนนั้นเอง สายลมได้พัดผ่าน


 


ซือหยูเบิกตากว้างและหันไปมองคอกไม้


 


เขาค่อยๆเดินเข้าไปเง้มประตูเพื่อแอบดูข้างใน


 


“หา…”


 


ซือหยูอ้าปากค้าง


 


ด้านในคอกไม้นั้นมีโครงกระดูกมนุษย์อยู่ยี่สิบร่าง!


 


เก้าคนนั้นถูกพันธนาการอย่างแน่นหนากับกำแพง ร่างของพวกเขาส่งกลิ่นเหม็นเน่าของเนื้อ!


 


แต่พวกเขายังไม่ตาย พวกเขายังคงหายใจอยู่ด้วยปาก


 


แต่ละคนมีสีหน้าเจ็บปวดและเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก ฝูงแมลงล้อมพวกเขาเตรียมจะเลี้ยงฉลองกับอาหารกันโอชะ


 


พวกเขาทั้งเก้าคนกับโครงกระดูกนั้นต่างมีส่วนของร่างกายที่หายไป!


 


มีถังน้ำใหญ่อยู่ในห้องที่ติดกับคอกไม้ทั้งสองด้าน ในนั้นมีชิ้นส่วนของมนุษย์!


 


พวกเขาถูกทรมานจนตายโดยฝีมือคน อวัยวะของพวกเขาถูกเฉือนออกทั้งเป็น!


 


ใครกันที่ป่าเถื่อนเช่นนี้?


 


ซือหยูมองดูใกล้ๆและพบว่าในคอกไม้นั้นเต็มไปด้วยโอสถที่ยังไม่ถูกใช้


 


“มีคนใช้มนุษย์ทดลองโอสถงั้นรึ?”


 


ซือหยูเสียวสันหลัง


 


ใครกันที่เป็นอาจารย์ของโจวจิ้ง นางคิดจะทำอะไรกัน? ถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้!


 


“ช่วย…ด้วย…”


 


หนึ่งในเก้าคนยังพอมีสติอยู่บ้าง พวกเขาอ้าปากช้าๆเมื่อรู้สึกได้ถึงคนข้างนอก


 


ปั้ง–


 


ซือหยูพังประตูอย่างรวดเร็ว เขาคิดจะทำลายโซ่และช่วยพวกเขา


 


ท้องของเขาถูกเฉือนเปิดออก อวัยวะภายในหายไป เขากำลังอยู่ในลมหายใจสุดท้าย


 


แต่ก่อนที่ซือหยูจะช่วยเขา เขาก็ส่ายหน้าเบาๆ


 


“ไม่ อย่าเอาข้าลง…ฆ่าข้า…ฆ่าข้าเพื่อช่วยข้าเถอะ…”


 


ความเจ็บปวดใดกันที่เขาต้องเผชิญ ถึงต้องอ้อนวอนขอความตายเยี่ยงนี้?


 


นี่มันตายทั้งเป็น!


 


ถูกชิงอวัยวะไปทั้งที่ยังไม่ตาย ถูกกระทำเช่นนี้แต่ก็ยังมิอาจตายได้


 


เขาแค่หวังที่จะตายเท่านั้น!


 


ซือหยูตกใจ ฝ่ามือของเขาสั่นเทิ้ม


 


โหดร้ายเกินไป! ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว!


 


เขาสังหารผู้คนมามากมาย แต่ไม่เคยทรมานใครให้ตายเลย!


 


“ใครทำเจ้า?”


 


ซือหยูถามเบาๆ


 


อีกฝ่ายพูดด้วยเสียงอันรวยริน


 


“เฟิง…”


 


อั่ก—


 


เขาอ้าปาก…โลหิตสีดำพุ่งออกมา


 


และในเวลาเดียวกัน แปดคนที่เหลือเกิดอาการชักและมีฟองออกจากปาก


 


ร่างของพวกเขาเน่าเปื่อยจากภายในอย่างรวดเร็ว!


 


“อ๊าก! เร็วเข้า ฆ่าข้าเถอะ!”


 


เขาราวกับสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ดูเหมือนว่าเขากำลังเผชิญกับการลงทัณฑ์จากนรก!


 


ซือหยูค่อยๆหลับตา!


 


โหดร้ายเกินไปแล้ว!


 


พวกเขามิอาจปลดปล่อยไปได้แม้พลังชีวิตเฮือกสุดท้าย


 


เปรี๊ยะ–


 


ซือหยูหลับตา ปลายดัชนีปลดปล่อยสายฟ้าออกมาและเปลี่ยนพวกเขาเป็นฝุ่นผง


 


นี่คือการปรานีสูงสุด เป็นการให้พวกเขาไปสู่สุคติโดยเร็ว


 


เมื่อเรื่องจบลง ยากที่ซือหยูจะใจเย็นลงได้


 


เฟิง… เฟิงอะไรกัน? เขายังมนุษย์อยู่รึ?


 


เขาไปที่ใดแล้ว?


 


ซือหยูโค้งคำนับให้กับร่างไร้วิญญาณในคอกไม้ก่อนจะจากไป


 


ถ้าหากเขาได้พบกับคนที่ชื่อนำหน้าด้วย ‘เฟิง’ ผู้ที่กระทำเรื่องเช่นนี้ เขาจะต้องล้างแค้นแทนสวรรค์ให้กับเหล่าผู้คนที่ตายไป


 


นี่คือสัญญาเดียวที่ซือหยูจะให้ได้กับเหล่าคนแปลกหน้าเหล่านี้


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ซือหยูไม่พอใจเล็กน้อย


 


“สุดท้ายข้าอาจจะต้องกับดัก!”


 


“แต่โจวจิ้ง เจ้าหนีข้าไปไหนไม่ได้หรอก!”


 


ดวงตาของซือหยูเปล่งประกาย


 


“พวกข้าคือหน่วนลาดตระเวนจากคณะวิหคเพลิง ผู้ใดก็ตามที่อยู่ข้างใน ออกมาซะ!”


 


เสียงสตรีอันเย็นชาดังมาจากข้างนอก


 


ซือหยูเดินออกจากคอกไม้ เขาจ้องมองหน่วยลาดตระเวน


 


ทุกคนล้วนเป็นหญิงสาวที่สวมเกราะสีแดงเพลิง


 


ฐานพลังของพวกนางอยู่ที่ประมาณอำมฤตระดับสอง แต่หัวหน้าที่งดงามนั้นมีพลังอำมฤตระดับสามขั้นสูง!


 


แม้นางจะอายุเกินสามสิบปีก็ไม่ยากที่จะบอกว่านางงดงามเพียงใดในอดีต!


 


รูปลักษณ์ของนางนั้นสง่างาม นางผอมมาก


 


แต่สีหน้าของนางนั้นเยือกเย็นราวกับจะเตือนผู้คนที่เข้าใกล้


 


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่? สวนนี้ถูกจัดให้เป็นที่หวงห้ามตั้งนานแล้ว!”


 


นางจ้องซือหยู


 


ซือหยูหลีกทางอย่างไร้อารมณ์ เขาหนักใจ


 


“เจ้าไปดูเองเถอะ”


 


เอ๋? นางผู้เป็นหัวหน้าเลิกคิ้ว นางจับกระบี่ยาวที่เอวและก้าวเข้าไปในคอกไม้


 


นางออกมาในไม่นาน


 


ใบหน้าอันงดงามนั่นเป็นดั่งสิงห์พิโรธ ความโกรธอันไร้ขอบเขตปะทุออกมาจากผิวกาย


 


“จับเขา!”


 


นางชี้ซือหยูโดยไม่พูดอะไรอื่น!


 


ซือหยูขมวดคิ้ว


 


“เจ้าจะไม่ดื้อดึงเกินไปหน่อยรึ? จับข้าโดยไม่ถามเหตุผลเช่นนี้ก็ได้รึ?”


 


“ข้าไล่ล่าศัตรูและพบที่นี่โดยบังเอิญ คนที่ทำผิดไม่ใช่ข้า!”


 


ซือหยูอธิบาย


 


แต่เขาไม่คิดเลยว่าหน่วยลาดตระเวนอันงดงามนี้จะทำท่าทางประหลาดโดยอะไรบางอย่าง แววตาของนางเต็มไปด้วยเพลิงอันโกรธเกรี้ยว ดูเหมือนนางอยากจะกัดซือหยูให้ตาย


 


“เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีกรึ?”


 


“ข้าได้รับรายงานมาว่ามีคนจากปราการวิหคเพลิงหายไปและเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มที่สวมชุดขาว นั่นคือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่! แล้วหลักฐานก็อยู่คาหนังคาเขา เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีกรึ?”


 


นางขึ้นเสียงพร้อมกับจิตสังหาร


 


“เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? ถึงได้กล้าทำเรื่องชั่วช้าป่าเถื่อนเช่นนี้?”


 


“ข้า มู่เทียนฟาง ขอประกาศในนามแห่งคณะวิหคเพลิง ข้าจะต้องประหารสัตว์ร้ายอย่างเจ้าเดี๋ยวนี้!”


 


ซือหยูไม่พอใจเล็กน้อย


 


“แม่นางมู่ ข้าคิดว่าเจ้าควรจะสืบสวนกับคนที่แจ้งเรื่องนะ”


 


“ถ้าข้าเป็นคนทำ ข้าจะบอกถึงตัวตนของข้าให้พวกเจ้าเข้ามารึ? ข้าจะไม่หละหลวมไปหน่อยรึ? แล้วทำไมข้าถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ในที่ที่มีแต่หลักฐานเต็มไปหมดเช่นนี้?”


 


มู่เทียนฟางมองอย่างขยะแขยง


 


“เจ้าจะบอกว่าพวกข้าไร้ความสามารถและมิอาจจับตัวเจ้าได้ในอดีตงั้นรึ?”


 


“ใช่แล้ว พวกเจ้ามันไร้ความสามารถ! เจ้าไม่มีเบาะแสเลยว่าคนกำลังถูกทำร้าย ถ้าไม่ใช่เพราะข้าบังเอิญมาเจอที่นี่ มันก็ยังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่จะต้องรอคอยวันตายที่นี่”


 


มู่เทียนฟางหน้าแดงด้วยความโกรธ


 


“เจ้า! ไร้ยางอายนัก! มันสายไปแล้ว พวกข้าจะจับเจ้า!”


 


“เจ้าไม่ต้องขัดขืน ข้าขอถามเจ้า เก้าคนนั้นตายยังไง?”


 


มู่เทียนฟางถามอย่างเยือกเย็น


 


ซือหยูตัวแข็งทื่อ เขาถอนหายใจอย่างไม่พอใจ


 


“ชีวิตพวกเขาจบลงด้วยวิชาอัสนีของข้า”


 


“หึหึ เจ้ารู้สึกผิดบ้างหรือไม่?”


 


มู่เทียนฟางหัวเราะอย่างเย็นชา


 


“เจ้ากล้าจะทำความผิดแต่ก็ไม่กล้าจะยอมรับ เจ้าไม่กล้าสารภาพหลังจากที่ทำเรื่องชั่วร้ายอย่างนั้นรึ?”


 


ซือหยูขมวดคิ้ว นางหัวรั้นอะไรเช่นนี้!


 


“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย โปรดสืบเรื่องโดยเร็วเถอะ คนที่รายงานเรื่องนี้อาจจะเป็นฆาตกรตัวจริง!”


 


ซือหยูพูดซ้ำ


 


เขาอยากจะรู้เหมือนกันว่าหน่วยลาดตระเวนจะหาคนที่เป็นเจ้าของที่แห่งนี้ได้หรือไม่


 


“เจ้าไม่ต้องมองหาเขาอีกแล้ว ข้าปล่อยเขาไปแล้ว ไม่ต้องคิดจะไปล้างแค้นเขาหรอก”


 


มู่เทียนฟางหัวเราะอย่างเย็นชา


 


“ไม่รู้สำนึกแม้จะใกล้ตาย สัตว์ป่าอย่างเจ้ามันเกินเยียวยาแล้ว!”


 


“ข้าจะให้โอกาสสุดท้าย ยอมรับแล้วตามข้าไปรับการลงโทษซะ!”


 


นางปล่อยเขาไปรึ? ซือหยูโกรธเกรี้ยว


 


“นังคนหัวรั้น! ไปตามหาเขาเดี๋ยวนี้!”


 


มู่เทียนฟางตกใจเสียงตะโกน นางทั้งอับอายและโกรธแค้น


 


“เจ้าคนชั่ว คนอย่างเจ้าไม่ควรจะได้รับการลงโทษจากคณะวิหคึเพลิงอีกแล้ว ข้าจะฆ่าเดรัจฉานอย่างเจ้าเอง!”


 


ซือหยูโกรธแค้น ความโง่เขลาของสตรีผู้นี้เข้าขั้นเกินเยียวยา!


 


ซือหยูแผดเสียงและซัดพลังก่อนอีกฝ่าย


 


“นังหัวรั้น ข้าจะดูว่าสมองเจ้ามันทำมาจากอะไร!”

 

 

 


ตอนที่ 355

 

“เจ้าเด็กอ่อนต่อโลก กล้าโอหังต่อหน้าข้าเรอะ!”


 


นางที่ถูกเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าสั่งสอนไม่รู้เลยว่าหัวเราะหรือร้องไห้


 


“พวกเจ้าทุกคนรอตรงนี้ ข้าจะจัดการเอง!”


 


มู่เทียนฟางหัวเราะ


 


“ฝ่ามือขังมังกร!”


 


มู่เทียนฟางตะโกน พลังวิญญาณไหลออกจากร่างไปปกคลุมแขนทั้งสองข้างทำให้แขนทั้งสองกลายเป็นกรงเล็บยักษ์ที่ยาวห้าศอก


 


กรงเล็กนั้นดูแข็งแกร่งและทรงพลังราวกับมันจะจับมังกรจริงๆได้


 


ทุกสิ่งในระยะร้อยศอกถูกพลังมหาศาลปกคลุม คนโดยรอบหวาดกลัวและต้องอดกลั้น


 


ซือหยูแอบประหลาดใจ นั่นคือวิชาอำมฤตระดับสองขั้นต้น!


 


สมกับเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน การบ่มเพาะวิชาจนถึงระดับสองได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากจะสำเร็จในชีวิตผู้คนส่วนใหญ่


 


ด้วยพลังมหาศาลเช่นนี้ แม้แต่คนที่มีฐานพลังเท่ากันกับนางก็ยากที่จะรับมือได้ถึงสิบกระบวนท่า


 


แต่ก็น่าเสียนางที่นางต้องมาเจอกับซือหยู


 


ครืน—-


 


ปรากฏการณ์ลึกลับแผ่ออกมาจากตัวซือหยูในทันที


 


เขาที่อยู่ตรงหน้าทางกลับให้ความรู้สึกดั่งภาพลวง ราวกับว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดินและสิ่งรอบข้าง


 


ครืน—


 


ครืน—


 


พลังวิญญาณบนนภาเริ่มบ้าคลั่ง เมฆาครึ้มก่อตัวขึ้น


 


ท้องฟ้าสดใสไร้ความมืด…ดำสนิทในพริบตา


 


มังกรอัสนีม่วงโบยบินเล่นเมฆาราวกับกำลังรอคำบัญชาจากจักรพรรดิ


 


“วิบัติอัสนีเยือกแข็ง!”


 


ซือหยูพูดเบาๆ


 


ตั้งแต่ที่พลังความเย็นในร่างเพิ่มขึ้น พลังของวิบัติอัสนีเยือกแข็งก็เพิ่มขึ้นมหาศาลเช่นกัน


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีตายด้วยกระบวนท่านี้


 


โฮก—-


 


มังกรอัสนียาวพันศอกพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว อัสนีกับน้ำแข็งก่อตัวเป็นมังกรและเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นน้ำแข็ง


 


มู่เทียนฟางเงยหน้ามองด้วยความเคร่งเครียด ดวงตานั้นแสดงความตกใจ


 


“ฎีกาสวรรค์ระดับเทพ! มีคนบ่มเพาะฎีกาสวรรค์จนถึงขั้นนี้ด้วยรึ ข้าไม่คิดมาก่อนเลย!”


 


มู่เทียนฟางต้องเปลี่ยนไปป้องกันตัว ฝ่ามือทั้งสองพุ่งไปยังด้านบน


 


“ข้าจะจับมังกรของเจ้าทั้งเป็น!”


 


มู่เทียนฟางไร้ซึ่งความกลัว นางคิดจะเผชิญหน้ากับการโจมตีที่พุ่งเข้ามา


 


โฮก—


 


มังกรม่วงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว มันเปล่งประกายน้ำแข็งและอัสนี


 


ราวกับภัยพิบัติได้เกิดขึ้นบนโลก มู่เทียนฟางกัดฟันแน่นและเผชิญหน้าด้วยพลังทั้งหมดที่มี


 


นางจัดการกับมังกรยาวพันศอกได้!


 


หลังจากที่ขัดขืนมาสิบลมหายใจ มังกรยาวพันศอกก็ลดลงเหลือเพียงร้อยศอก


 


แต่มู่เทียนฟางทนไม่ไหวอีกแล้ว มังกรม่วงทะลวงร่างของนาง


 


เปรี๊ยะ–


 


ฟึ่บ–


 


อัสนีและน้ำแข็งจู่โจมร่างของนางพร้อมกัน


 


ชุดส่วนมากของนางถูกเผาไหม้


 


น้ำแข็งเย็นยะเยือกปกคลุมร่างอันหอมหวาน ทำให้นางเคลื่อนไหวช้าลง


 


ฟึ่บ–


 


ซือหยูใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าใส่นางโดยไม่ให้นางได้หลบ เขาชี้นดัชนีไปที่หน้าผากของนาง


 


“นังโง่ ข้าจะฆ่าเจ้าก็ได้ขอแค่พลิกดัชนี!”


 


ซือหยูคำรามอย่างโกรธแค้น เขาค่อยๆลดมือลงและทำให้น้ำแข็งในร่างของนางแตกออก


 


มู่เทียนฟางที่เป็นอิสระหน้าแดงถึงใบหูไม่ต่างกับชุดของนาง


 


ไม่เพียงแต่นางจะพ่ายแพ้เพราะเด็กอ่อนเยาว์ นางยังต้องเปลือยกายต่อหน้าทุกคน!


 


แม้แต่สตรีอื่นที่อยู่ข้างๆก็อับอายแทนนางอย่างมาก!


 


นางรีบคว้าผ้าคลุมของหน่วยลาดตระเวนและปกปิดร่างกาย นางกัดฟันจ้องซือหยู


 


“เจ้า…กล้าดียังไง! เจ้ามันไร้ยางอาย! ไอ้คนต่ำช้า!”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ถึงเจ้าจะเข้ามาโจมตีข้าเองแต่ก็ถูกทำลายเสื้อผ้าซะได้ สุดท้ายเจ้ายังโทษว่าข้าไร้ยางอายอีกรึ?”


 


“อ๊า! น่าแค้นใจนัก! เจ้ายังกล้าบิดเบือนความจริงอีก!”


 


มู่เทียนฟางโกรธจนสั่นไปทั้งตัว


 


“นังหญิงโง่!”


 


ซือหยูโกรธจัด


 


“ถ้าเจ้ายังหาเรื่องข้าอีก ข้าจะเผาเสื้อผ้าเจ้าจนหมดสิ้น!”


 


ด้วยพลังของซือหยู เขาทำได้อย่างแน่นอน


 


ส่วนหน่วยลานตระเวนคนอื่นนั้นไม่ใช่คู่มือของซือหยูแน่นอน ไม่มีใครหยุดเขาได้!


 


มู่เทียนฟางทั้งโกรธและอับอาย นางจับผ้าคลุมที่ปิดบังผิวกายจนแน่นโดยไม่รู้ตัว


 


“กล้าดียังไง!”


 


“ในโลกใบนี้ กับทุกสิ่งที่ข้าคิดได้ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าไม่กล้าทำ!”


 


คำพูดอันมั่นใจเช่นนี้ทำให้มู่เทียนฟางตกอยู่ในภวังค์ ราวกับชายหนุ่มผู้นี้ทำได้ทุกสิ่งจริงๆ


 


นางกัดฟันและไม่กล้าจะโต้ตอบ


 


“ใจเย็นแล้วใช่หรือไม่?”


 


ซือหยูกลับมาเยือกเย็น


 


“หญิงโง่อย่างเจ้าจะคุยด้วยดีๆได้ก็หลังจากที่ใช้กำลังเท่านั้น!”


 


มู่เทียนฟางโชคดีนักที่ไม่ได้กระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธ นางจ้องซือหยูด้วยความแค้น


 


“เจ้า…ข้า…”


 


ซือหยูปัดมือ


 


“เอาล่ะ ถ้าเจ้าใจเย็นลงแล้วก็พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเถอะ”


 


“ข้าแน่ใจว่าเจ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย”


 


มู่เทียนฟางเงียบกริบ นางพอจะเข้าใจแล้ว ถ้าหากซือหยูเป็นคนร้ายจริง เขาก็คงจะสังหารพวกนางทุกคนไปแล้วเพื่อปิดปาก


 


ตอนที่นางมั่นใจว่าซือหยูเป็นคนร้ายตัวจริงนั่นก็เพราะนางทำไปด้วยอารมณ์


 


พรึ่บ–


 


ซือหยูหยิบตราของตัวเองออกมา


 


หน่วยลานตระเวนที่เหลือหน้าซีดด้วยความกลัว


 


“รองเจ้าตำหนักรึ? เจ้าเป็นรองเจ้าตำหนักของอาณาจักรทมิฬรึ?”


 


มู่เทียนฟางเหลือบมอง


 


“หยินหยู…รองเจ้าตำหนักหยินหยูคนใหม่ที่ร่ำลือใช่หรือไม่?”


 


“เป็นไปไม่ได้! เขาคือยอดฝีมือที่ผู้คนพูดถึง เจ้าตำหนักหยินหยู!”


 


ดวงตาอันงดงามของสตรีในหน่วยลาดตระเวนเต็มไปด้วยความหลงใหล


 


แววตาของพวกนางเป็นประกาย


 


“ผมสีเงิน หน้ากากสีเงิน อายุประมาณสิบหกปี ไม่ผิดแน่ เขาคือเจ้าตำหนักหยินหยู!”


 


“ข้าฝันไปงั้นรึ? ข้าโชคดีจนได้มาเจอกับตำนานหยินหยูตัวจริงเชียวรึ?”


 


มู่เทียนฟางจ้องซือหยูอย่างไม่เชื่อสายตา


 


นามอันยิ่งใหญ่ของซือหยูนั้นแพร่กระจายไปทั่วทวีปทั้งนานแล้ว


 


และด้วยการต่อสู้ในเมืองอันยี่ ซือหยูได้ต่อสู้กับเหล่ายอดฝีมือจากทั้งโลกด้วยตัวคนเดียว เขาสังหารเหล่ายอดฝีมือที่น่าภาคภูมิใจไปนักต่อนัก


 


เช่น เว่ยเทียนเฉินแห่งหอสดับหิมะที่เป็นหนึ่งในมหาบุตรทั้งสี่ นายน้อยของแปดตระกูลใหญ่ และเขายังสังหารผู้ตรวจการที่มีพลังอำมฤตระดับสามขั้นสูง!


 


เรื่องราวอันน่ากลัวนี้แพร่กระจายมาทั่วเขตวิหคเพลิงมานานจนทุกคนรับรู้


 


ซือหยูสูงส่งราวกับดาวตกที่พุ่งลงสู่ทวีป เขากลายเป็นตำนานที่คนนับไม่ถ้วนแห่งยุคต้องไล่ตาม


 


ที่อายุเพียงสิบหก เขาสังหารอำมฤตระดับสามขั้นสูงได้ พรสวรรค์เช่นนี้ทำให้ทั้งทวีปต้องครั่นคร้าม เขากลายเป็นตำนานที่คนในยุคต่อไปยากจะก้าวข้าม


 


ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ คนมากมายต่างให้ฉายาเขาว่าเป็นยอดฝีมือในตำนาน!


 


และในตอนนี้หน่วยลาดตระเวนได้เจอกับตำนานนั้นด้วยตา พวกนางจะไม่ตกใจได้อย่างไร?


 


และดวงตาอันงดงามของพวกนางก็เปล่งประกาย ราวกับหญิงสาวที่กำลังหลงเสน่ห์


 


แม้แต่มู่เทียนฟางก็นับถือเขาอย่างมาก


 


เพราะอย่างไรเขาก็คือตำนานแห่งทวีป!


 


เขาเอาชนะอำมฤตระดับสามขั้นสูงไปแล้ว


 


มู่เทียนฟางหายใจเข้าลึก นางโค้งคำนับด้วยความเขินอายและขอโทษขอโพย


 


“ท่านหยินหยู โปรดให้อภัยในเรื่องเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นด้วยเถิด”


 


นางเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ


 


ข้อสงสัยในตัวซือหยูหายไปในทันที


 


เหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว ตอนที่เจ้าตำหนักหยินหยูอยู่ในตำหนักรอง คนก็ได้หายไปจากปราการวิหคเพลิงแล้ว


 


ดังนั้นเรื่องนี้ต้องไม่เกิดจากหยินหยูอย่างแน่นอน


 


หยินหยูมิได้ติดใจเอาความ แม้นางจะหุนหันพลันแล่น นางก็รู้จักยอมรับความผิดพลาดและขอโทษด้วยตัวเอง ยังพอนับได้ว่านางเป็นคนตรงไปตรงมา


 


“นี่ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด เจ้าไม่ต้องใส่ใจ แต่ขอถามเจ้าหน่อย คนที่รายงานเรื่องข้าไปที่ใดแล้ว?”


 


ซือหยูถามตรงๆ เห็นได้ชัดว่าคนที่เป็นปัญหาคือคนที่รายงานเรื่องซือหยู


 


มู่เทียนฟางหน้าแดงเล็กน้อย นางโทษตัวเองและรู้สึกอับอาย เป็นเพราะนางที่ทำให้โอกาสหายไป


 


“สั่งการหน่วยลาดตระเวน ตามหาและจับกุมคนที่ให้ข้อมูล กระจายคำสั่งให้ทั่วปราการวิหคเพลิง! ห้ามทำพลาดเด็ดขาด!”


 


พรึ่บ—


 


กลุ่มหน่วยลาดตระเวนทำตามคำสั่งทันที ยังไม่สายเกินไปที่จะกู้สถานการณ์


 


“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ข้าต้องขออภัยที่ดูหมิ่นท่าน ข้าจะกลับล่ะ”


 


มู่เทียนฟางอับอายไม่กล้าสู้หน้าซือหยู นางประสานหมัดและบอกลา


 


“เดี๋ยวก่อน!”


 


ซือหยูตะโกนให้นางหยุด เขาถามด้วยความจริงจัง


 


“ข้าขอถามหัวหน้ามู่สักหน่อย เจ้ารู้จักพื้นเพของโจวจิ้งหรือไม่?”


 


อาจารย์ของโจวจิ้งคือผู้ร้ายตัวจริง


 


มู่เทียนฟางประหลาดใจมาก


 


“แต่เดิมนางคือศิษย์ในคณะวิหคเพลิงของข้า นางคืออดีตหนึ่งในสิบสตรีวิหคเพลิง รูปลักษณ์และคุณสมบัติของนางยอดเยี่ยม พรสวรรค์ของนางเหนือว่าคนทั่วไป จากนั้นนางก็ออกจากคณะวิหคเพลิงไปแต่งงานกับนายน้อยตระกูลเหยาที่ชื่อว่าเหยาหลิง ท่านถามถึงนางทำไมรึ? หรือว่าแม้ท่านจะอยู่ไกลถึงตำหนักรอง ท่านก็ยังได้ยินชื่อเสียงในความงามของโจวจิ้ง?”


 


ผู้ที่ถูกเรียกว่าสตรีวิหคเพลิงนั้นคือศิษย์ที่มีพรสวรรค์ระดับสุดยอด ทั้งรูปลักษณ์และพลัง ลำดับของพวกนางเทียบได้กับรองเจ้าตำหนักทั้งสิบ


 


ซือหยูส่ายหน้า


 


“ไม่หรอก ข้าก็แค่สงสัยเท่านั้น”


 


โจวจิ้งมาจากคณะวิหคเพลิง! ซือหยูตกใจอย่างมาก!


 


นางเข้าร่วมตระกูลเหยาเพราะเหตุบางอย่าง นางต้องการอะไรกัน?


 


หลังจากครุ่นคิด ซือหยูไม่เปิดเผยเรื่องระหว่างเขากับโจวจิ้งและคนร้ายที่หายไป


 


เหตุก็เพราะตัวตนของโจวจิ้งนั้นพิเศษกว่าคนธรรมดา ถ้าเขากล่าวหาโจวจิ้งโดยไร้หลักฐานก็ยากที่คณะวิหคเพลิงจะเชื่อเขา


 


“ขอบคุณที่บอกข้า แล้วอีกเรื่อง ข้าอยากจะถามถึงอีกคน”


 


ซือหยูคาดหวังอย่างมาก


 


“เซี่ยนเอ๋อที่อยู่ที่นี่เป็นเช่นใดบ้าง?”


 


มู่เทียนฟางมองซือหยูหัวจรดเท้าด้วยความสงสัย


 


“เซี่ยนเอ๋อรึ? ศิษย์ของจ้าวแห่งวิหคเพลิง สตรีวิหคเพลิงลำดับหนึ่งแห่งคณะวิหคเพลิง เฟิงเซี่ยนน่ะรึ? ท่านเรียกชื่อนางอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ท่านเกี่ยวข้องอย่างไรกับนางกัน?”


 


สตรีวิหคเพลิงลำดับหนึ่ง เฟิงเซี่ยนงั้นรึ? ซือหยูหยุดนิ่งไปชั่วครู่ แค่ปีเดียวเซี่ยนเอ๋อก็เติบโตและกลายเป็นสตรีวิหคเพลิงลำดับหนึ่งรึ?


 


แต่ซือหยูก็เข้าใจได้ในทันที วิหคเพลิงแห่งความตายอันลึกลับของเซี่ยนเอ๋อนั้นทำให้แม้แต่หยุนย่าสีอิจฉา มันจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่


 


แม้การที่พูดว่านางจะกลายเป็นสตรีวิหคเพลิงลำดับแรกจะเป็นการกล่าวเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้


 


หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าเฟิงเซี่ยนคือฉินเซี่ยนเอ๋อ ซือหยูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและไม่ปิดบังอะไร


 


“นางเป็นคู่หมั้นของข้า”


 


“โอ้ นางเป็นคู่หมั้นท่านนั่นเอง…”


 


มู่เทียนฟางพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว จากนั้นทั้งกายนางก็สั่นราวกับระฆังที่ถูกตี เสียงของนางแหลมสูงกว่าเดิมสามเท่าจนเสียงหลง


 


“อะไรนะ? นะ…นางคือคู่หมั้นท่านรึ?”


 


ซือหยูยักไหล่


 


“ทำไมกัน ข้าเป็นคู่หมั้นนางไม่ได้รึ?”


 


มู่เทียนฟางอ้าปากกว้าง นางกลับมาได้สติอีกครั้งหลังจากผ่านไปนาน นางจ้องมองซือหยูด้วยความตกใจ


 


“ไม่สิ นี่มันเกินคาดเกินไปแล้ว! เฟิงเซี่ยนผู้บริสุทธิ์ สูงส่ง และตระการตามีคู่หมั้นอยู่จริงๆรึ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”


 


เซี่ยนเอ๋อได้กลายเป็นสตรีที่ตระการตาแล้วงั้นรึ? ช่วยไม่ได้ที่ซือหยูจะยิ้มออกมา


 


สาวน้อยที่น่ารักมีชีวิตชีวาในอดีตหลงเหลืออยู่แต่ในความทรงจำแล้วสินะ


 


ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีหลังจากที่ยืนยันได้ว่านางปลอดภัย


 


แต่หลังนั้นมู่เทียนฟางก็ตกใจอีกครั้ง นางพูดด้วยความลังเล


 


“นางเป็นคู่หมั้นท่านจริงๆรึ? ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ช้าไปแล้วล่ะ”


 


“เจ้าหมายความว่ายังไง?”


 


ซือหยูหัวใจหยุดเต้นไปชั่วครู่ เขารู้สึกถึงลางไม่ดี


 


มู่เทียนฟางลังเล ใบหน้าเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ


 


“สามวันก่อน จ้าวคณะได้จัดงานจับคู่เล็กๆเพื่อเฟิงเซี่ยนเป็นการล่วงหน้า เป็นงานจับคู่ที่จัดขึ้นเพราะนางโดยเฉพาะ”


 


“มีบุรุษไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมงานนั้น พวกเขาคือมหาบุตรทั้งสองแห่งหอสดับหิมะและสองรองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬ พวกเขาประลองต่อกันเพราะทุกคนชื่นชมเฟิงเซี่ยน ท้ายสุดเจ้าตำหนักเฉินคงนั้นมีพลังที่เหนือกว่า จ้าวคณะจึงยอมให้เกิดการวิวาห์ขึ้นในตอนนั้น” 

 

 


ตอนที่ 356

 

“ที่เหลือก็แค่พิธีในงานชุมนุมอย่างเป็นทางการเท่านั้น”


 


อะไรนะ? ซือหยูก้าวถอยหลังอย่างไม่เชื่อหู


 


มีการประลองก่อนงานชุมนุมงั้นรึ?


 


เซี่ยนเอ๋อหมั้นกับเฉินคงไปแล้วรึ?


 


ซือหยูมิอาจยอมรับความจริงอันน่าขันนี้ได้


 


เขาเดินทางเป็นล้านลี้มาที่คณะวิหคเพลิงเพื่อพาเซี่ยนเอ๋อกลับไปมิใช่รึ?


 


แต่ในความจริงนั้นซือหยูสายเกินไป!


 


“ในเรื่องนั้น ท่านเจ้าคณะไม่ยอมให้ศิษย์อย่างเฟิงเซี่ยนทรยศต่อสำนักแน่ ไม่ต้องพูดถึงการพาตัวนางไปเลย ท่านนั้นไร้พลัง”


 


กร๊อบ–


 


กร๊อบ–


 


ซือหยูกำหมัดแน่นจนกระดูกดังลั่น


 


“ไม่! มันยังไม่จบ! งานอย่างเป็นทางการยังไม่จบ ทุกอย่างยังไม่จบหรอก”


 


เขาจะยอมแพ้กับเซี่ยนเอ๋อง่ายๆได้ยังไงกัน?


 


ถ้าเขาชิงตัวเซี่ยนเอ๋อไปไม่ได้ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือการเอาชนะทุกคนในงานชุมนุมวิหคเพลิงด้วยพลังอันล้นเหลือ จากนั้นจึงเลือกเซี่ยนเอ๋อต่อหน้าทุกคน


 


มู่เทียนฟางส่ายหน้าด้วยความเห็นใจ


 


“สมกับเป็นยอดฝีมือในตำนานหยินหยู บางทีความมุ่งมั่นนั่นอาจจะทำให้ท่านเป็นตำนาน แต่แท้จริงแล้วท่านไม่มีโอกาสเลย”


 


“ท่านแข็งแกร่งก็จริง แต่ความต่างในพลังของมหาบุตรทั้งสองแห่งหอสดับหิมะกับรองเจ้าตำหนักลำดับสองนั้นมหาศาล ไม่ต้องพูดถึงเจ้าตำหนักเฉินคงผู้ลึกลับ!”


 


“ในวันนี้จะมีงานเลี้ยงจันทร์กระจ่างที่หอวิหคเพลิง แม้จะเรียกว่างานเลี้ยง แท้จริงมันก็คืองานประลองก่อนงานชุมนุม”


 


“แม้จะช่วยอะไรท่านไม่ได้มาก ท่านก็ไปดูเสียที่นั่นเถอะ ถ้าท่านอยากจะพัฒนาฝีมือ”


 


หอวิหคเพลิงรึ? งานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง?


 


ซือหยูพยักหน้าโดยไม่คิด


 


“ข้าจะต้องไปที่นั่นแน่นอน ขอบคุณที่บอกข้า”


 


“ถนอมตัวด้วย”


 


มู่เทียนฟางถอนหายใจก่อนจะบินจากไป


 


ซือหยูใช้เวลานี้กลับไปยังตระกูลเหยาและรวมตัวกับฉีหยุนเซี่ยง


 


“หยุนเซี่ยง หาเบาะแสท่านเจ้าตำหนักฉีในเมือง มีบางเรื่องที่ข้าต้องทำแต่เพียงลำพัง”


 


ซือหยูมิอาจเอาฉีหยุนเซี่ยงไปด้วยได้ มันอันตรายเกินไป


 


ฉีหยุนเซี่ยงที่ได้ยินไม่ค่อยเต็มใจ แต่นางก็ยิ้มและพยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง


 


ซือหยูกำลังจะได้พบคู่หมั้นที่พลัดพรากกันมานาน นางจะเข้าไปแทรกได้อย่างไร?


 


ความผิดหวังโอบล้อมดวงวิญญาณของนาง


 


แต่ฉีหยุนเซี่ยงก็มีเรื่องของตัวเองเช่นกัน


 


นางกังวลเรื่องการตามหาพ่อและไม่มีเวลาจะรอซือหยู ตอนนี้นางมีอิสระ นางอาจจะหาพ่อเจอก็ได้


 


“ดูแลตัวเองด้วย”


 


นางจ้องซือหยูอย่างลึกซึ้ง สัญชาตญาณบอกนางว่าระยะห่างระหว่างทั้งคู่มิได้ห่างไกลเท่าในอดีตอีกแล้ว


 


ซือหยูประทับใจ เขายิ้มด้วยความโล่งใจ


 


“เจ้าก็ด้วย หลังทุกอย่างจบแล้วให้มาเจอข้าที่ประตูเมือง”


 


“อื้ม!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงฝืนยิ้มจากไป


 


ซือหยูรอร่างของหายไปกับหมู่คนก่อนจะทำอะไร เขามุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง


 


แต่ในตอนนั้นเอง…


 


“เขาอยู่นั่น!”


 


จู่ๆก็มีนักสู้บินออกมาจากตระกูลเหยา เขาตะโกนเมื่อเห็นซือหยู


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


จากนั้นก็มีกลุ่มนักสู้หลายคนบินออกมาล้อมซือหยูอย่างหนาแน่น


 


คนที่อ่อนแอที่สุดมีพลังอำมฤตระดับสอง ที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับสาม


 


พวกเขามีกันประมาณสี่สิบคน!


 


พวกเขาคือนักสู้ที่เหลืออยู่ในตระกูลเหยา!


 


พวกเขาใช้แหล่งข้อมูลที่มีทั้งหมดก็เพื่อหาซือหยูให้พบ!


 


เปรี๊ยะ–


 


ทันใดนั้นเอง คลื่นพลังวิญญาณได้พุ่งลงมาจากบนท้องฟ้าทะลวงเมฆา


 


รังสีพลังนั้นทำให้ซือหยูตกใจ มันเป็นพลังของอำมฤตระดับสามขั้นสูง!


 


สตรีตัวอ้วนท้วมในชุดราตรีสีแดงมองรอบๆ


 


ดวงตาของนางบวมแดงด้วยความโศกเศร้า ลึกในแววตามีแต่ความชิงชัง


 


“มันอยู่ไหน?”


 


นางมองไปยังกลุ่มคนและมองซือหยูด้วยความชิงชัง


 


“เจ้าฆ่าลูกชายข้าเรอะ?”


 


นางตะคอกเสียงดัง เสียงนั้นดั่งภูติผีที่โกรธแค้น มันนั้นแหลมและโหดร้าย


 


ซือหยูมองดูรอบๆ


 


“ข้าไม่ได้ทำ!”


 


ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว


 


“เจ้า! โก! หก! คนในตระกูลถูกเจ้าฆ่าทุกคน เจ้าจะไม่เกี่ยวข้องกับการตายของลูกข้าได้ยังไง! แล้วลูกสะใภ้ข้า เจ้าลักพาตัวนางไปเพราะเห็นแก่ความงามงั้นรึ?”


 


ซือหยูไม่สนใจ สีหน้าของเขาเย็นชา


 


“พวกนักสู้ถูกข้าฆ่าก็จริง แต่ความตายของลูกเจ้าไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไม่ได้สัมผัสขนมันสักเส้นเดียว ถึงเขายังไม่ตายข้าก็จะฆ่ามัน แต่มันตายไปแล้ว และไม่ใช่ฝีมือข้า!”


 


นางหัวเราะอย่างโกรธแค้น


 


“น่าขันสิ้นดี! เจ้าไม่ได้ฆ่าเพราะเจ้าพูดเท่านั้นเองรึ? ทำไมเจ้าไม่บอกว่าลูกสะใภ้ข้าฆ่าเขาแล้วหนีไปเพราะกลัวความผิดเล่า?”


 


ซือหยูทำสีหน้าประหลาดเมื่อได้ยิน


 


“เช่นนั้นเจ้าก็รู้อยู่แล้วสินะว่าเป็นฝีมือของลูกสะใภ้เจ้า?”


 


เพื่อที่จะหนี โจวจิ้งได้ใช้วิหคโลหิตที่ต้องใช้โลหิตจำนวนมาก ซึ่งนั่นก็คือโลหิตของเหยาหลิง


 


“ไร้สาระ!!”


 


นางหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“เจ้าบุกเข้ามาในตระกูลเหยา ฆ่าคนตระกูลเหยา แล้วเจ้าก็ยังพูดแบบนี้อีกเรอะ?”


 


ซือหยูยักไหล่


 


“ข้าไม่ได้บุกเข้าไป ลูกสะใภ้เจ้าเชิญข้าเข้าไปต่างหาก ข้าช่วยชีวิตนางจากมังกรธรณีอสรพิษในป่าและพานางกลับมา และนางก็บอกว่าอยากจะตอบแทนข้า”


 


“แต่ข้าไม่คิดเลยว่านางจะสมคบคิดกับลูกชายเจ้าเพื่อใส่ร้ายว่าข้าขโมยธนูของนางไป นางส่งคนตระกูลเหยามาสู้กับข้า ข้าต้องตอบโต้ในสถานการณ์เช่นนั้น! ส่วนลูกสะใภ้เจ้า นางเห็นว่าข้าแข็งแกร่งเลยฆ่าลูกชายเจ้าเพื่อใช้โลหิตในการสร้างปีกโลหิตแล้วหนีไป”


 


“เหตุเป็นเช่นนี้ เจ้าน่าจะรู้ดีว่าธนูเป็นของลูกสะใภ้เจ้าหรือไม่ ข้าแนะนำให้เจ้าไปตรวจดูในตระกูลเสียดีกว่าว่ามีสิ่งใดหายไปหรือไม่ มิเช่นนั้นหญิงงามจะแต่งกับลูกชายเจ้าโดยไม่โศกเศร้าได้เลยรึ?”


 


คำพูดของเขาทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไป


 


นางจะเคยสงสัยในเรื่องที่ซือหยูพูดได้อย่างไร?


 


โดยเฉพาะเรื่องที่โจวจิ้งแต่งกับบุตรชายของนาง นางสงสัยในเรื่องนี้อยู่ลึกๆ


 


คนในเขตวิหคเพลิงมีความต้องการในสูตรปรุงยาของตระกูลเหยาอยู่ตลอดเวลา


 


นางระวังตัวเสมอในตอนที่อยู่กับโจวจิ้ง แม้จะอย่างนั่น นางก็มองพลาดไปตลอดสามปีที่ผ่านมา


 


แต่ความคิดนั้นก็หายไปในพริบตา นางกลับมาจ้องซือหยูอย่างชิงชังอีกครั้ง


 


“เจ้าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์! ทุกคนเห็นกับตาว่าเจ้าฆ่าคนตระกูลเหยา เจ้าปฏิเสธไม่ได้หรอก!”


 


ซือหยูถอนหายใจ เขาไม่คิดจะพูดคุยอีกแล้ว


 


“ผู้คนจะเชื่อในสิ่งที่คิดจะเชื่อเท่านั้น เจ้าตั้งใจจะสังหารข้าเพื่อแสดงอำนาจแต่ก็ระวังพื้นเพของโจวจิ้ง ความจริงไม่สำคัญกับเจ้าเลย ที่สำคัญคือเจ้าต้องฆ่าคนที่สร้างปัญหาเพื่อคงอำนาจในตระกูลเหยาเอาไว้…ใช่หรือไม่?”


 


ซือหยูเชื่อว่าอีกฝ่ายเจ้าใจความจริงแล้ว แต่เพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลเหยา พวกเขาจำเป็นต้องหาแพะรับบาปเพื่อให้ผู้คนหยุดครหา


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าก็หาเรื่องผิดคนแล้ว!”


 


แววตาซือหยูเต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


แต่ในตอนนั้นเองก็มีภาพติดตาสีครามไล่ตามมาด้วยความเร็วปานอัสนี


 


พลังของสัตว์อสูร ความเร็วที่แทบมองไม่ทัน และยังเป็นวิหคสีคราม จะเป็นใครไปได้นอกจากเจ้าตำหนักหลิวลี่?


 


แน่นอนว่าเขายืนอยู่บนวิหคครามและเอามือไพล่หลัง


 


แววตาเขาเยือกเย็นไร้อารมณ์ เขาก้มลงมองทุกคน


 


“หยินหยู เจ้าลืมที่ข้าเตือนเจ้าไปงั้นรึ? อย่าสร้างปัญหาให้ข้า”


 


แม่ของเหยาหลิงเบิกตากว้าง นางร้องเสียงหลง


 


“จะ…เจ้าตำหนักหลิวลี่!”


 


แววตานางเต็มไปด้วยความกลัว พลังของอำมฤตระดับสี่ขั้นมากพอที่จะทำลายล้างตระกูลเหยา


 


“เดี๋ยวก่อน! งั้นเจ้าก็คือเจ้าตำหนักหยินหยูสินะ?”


 


นางจึงได้ตระหนักถึงตัวตนของบุรุษผมสีเงินตรงหน้า!


 


หลิวลี่มองซือหยูอย่างเยือกเย็น


 


“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ ตอบมา!”


 


ซือหยูไม่มองเขาตรงๆและไม่สนใจ เขามองไปที่สตรีชุดแดง


 


“พูดมา เจ้าอยากจะทำอะไร? หยินหยูผู้นี้จะเล่นกับเจ้าเอง!”


 


นางกำลังหนักใจอย่างเห็นได้ชัด ถ้าซือหยูเป็นเด็กหนุ่มธรรมดานางก็คงจะฆ่าเขาเพื่อแสดงอำนาจไปแล้ว


 


แต่ซือหยูกลับเป็นตำนานยอดฝีมือแห่งทวีป!


 


นางจะกล้าสังหารคนเช่นนี้รึ?


 


โดยเฉพาะเมื่อมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากว่าเหยาหลิงมิได้ถูกเจ้าตำหยักหยินหยูฆ่าตาย


 


“เช่นนั้นท่านก็คือเจ้าตำหนักหยินหยูสินะ ข้าจะสืบสวนเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน…”


 


นางเริ่มเจรจาแก้สถานการณ์


 


แต่ในตอนนั้นเอง หลิวลี่ก็พูดขึ้นมา


 


“แม่หญิงเหยา ข้าขออภัยที่มิได้อบรมรองเจ้าตำหนักใต้ข้าให้ดี ทำให้ท่านต้องเสียลูกชายไป”


 


หลิวลี่พูดกับซือหยูอย่างเย็นชา แต่พูดกับตระกูลเหยาด้วยความนับถือ


 


แต่ที่ยิ่งน่าโกรธแค้นยิ่งกว่าก็คือ…


 


แม่หญิงเหยานั้นยอมรับด้วยตัวเองแล้วว่าต้องสืบสวนเรื่องนี้และเรื่องก็คงจะตกไป


 


แต่เพราะหลิวลี่เข้ามาแทรก เขาอ้างว่าซือหยูมีส่วนรับผิดชอบในความตายของเหยาหลิง เขาทำแม้แต่บอกว่าเขาไม่ได้สั่งสอนซือหยูให้ดีพอ!


 


หลิวลี่อยู่ฝั่งของอาณาจักรทมิฬหรือตระกูลเหยากันแน่?


 


“แม่หญิงเหยา โปรดเห็นแก่หน้าข้า ให้หยินหยูคุกเข่าขอโทษเถอะ ส่วนเรื่องการชดเชย ให้เขาจัดการให้ในอนาคต จากนี้ไปข้าจะชี้แนะเขาให้ดี โปรดวางมือจากเรื่องนี้…ดีหรือไม่?”


 


นางตัวแข็งทื่อ ท่าทางของนางประหลาด


 


นางได้พูดแล้วว่าจะทิ้งเรื่องนี้ไป แต่เจ้าตำหนักหลิวลี่กับพูดแทนฝั่งนางว่าจะลงโทษเจ้าตำหนักหยินหยูงั้นรึ?


 


ซือหยูที่ได้ยินไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกอย่างไร


 


แม่หญิงเหยาไม่ต่อความเรื่องแล้ว แต่เจ้าตำหนักหลิวลี่ก็อยากจะมอบความยุติธรรมให้นาง! โดยขอให้ซือหยูที่เป็นรองเจ้าตำหนักด้วยกันคุกเข่าขอโทษ!


 


เขายังสรรเสริญตัวเอง โดยบอกว่าให้เห็นแก่ชื่อเสียงของเขา!


 


ซือหยูรอดพ้นจากเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาต้องคุกเข่าขอโทษและชดเชยเพราะต้องเห็นแก่หลิวลี่!


 


น่าขันสิ้นดี!


 


“หึหึ เจ้ากล้าจะยอมรับคำขอโทษจากข้าหรือไม่?”


 


ซือหยูพูดและเอามือไพล่หลัง เขายิ้มอย่างเย็นชา


 


นางตัวสั่น แม้ว่าชื่อเสียงของซือหยูในเมืองอันยี่จะแพร่กระจายมาถึงตำหนักรอง แต่มันก็มาถึงหอวิหคเพลิงตั้งนานแล้ว


 


ตำนานยอดฝีมือผู้นี้สังหารได้แม้กระทั่งอำมฤตระดับสามขั้นสูง นางจะกล้าดูหมิ่นเขาได้ยังไง?


 


“ไม่ต้องหรอก เจ้าไม่ต้อง….”


 


นางพูดด้วยความละอายใจ


 


“หืม?”


 


หลิวลี่ถอนหายใจแรง เขาเหลือบมองซือหยูและพูดอย่างเยือกเย็น


 


“หยินหยู การกระทำเช่นนั้นมันอะไรกัน? เพราะข้าแสดงตัวออกมาเรื่องก็เลยคลี่คลายไปได้ เจ้าละทิ้งความหวังดีของข้าด้วยการกระทำเช่นนั้นรึ?”


 


ซือหยูมองหน้าเขาเป็นครั้งแรกและพูดอย่างไร้อารมณ์


 


“เจ้าไสหัวไปจะได้หรือไม่? ให้เร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้!”

 

 

 


ตอนที่ 357

 

“แล้วก็เอาความหวังดีของเจ้าออกไปให้ห่างข้าให้ไกลที่สุดด้วย!”


 


ซือหยูมองหลิวลี่ด้วยความเหยียดหยาม


 


“ไม่มีใครขอให้เจ้าเข้ามายุ่ง อย่าถือตัวให้มากนัก!”


 


ใบหน้าหลิวลี่เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กลับไปใจเย็นและดูถูกซือหยูดังเดิม


 


“เจ้ามันกะโหลกหนา! คนอย่างเจ้าจะต้องสูญเสียก่อนถึงจะรู้ว่าเมื่อใดควรจะรุก เมื่อใดควรจะถอย”


 


“ข้าจะไม่เอาตัวเองไปยุ่งกับเจ้าอีกแล้ว ความเป็นตายของเจ้าไม่ใช่เรื่องของข้า ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย อย่าสร้างปัญหาให้ข้า”


 


“ไป!”


 


เขาขี่วิหคครามและทะยานขึ้นฟ้า


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“น่าขันนัก ข้าไปสร้างปัญหาให้เจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน? เจ้ามันโอหังแล้วเอาตัวมายุ่งกับเรื่องของคนอื่น แล้วก็ยังคิดร้ายอีก!”


 


หลิวลี่ส่ายหน้าเบาๆ


 


“ยิ่งต่ำต้อยยิ่งยึดมั่นถือมั่น หยินหยู ข้าเวทนาเจ้าจริงๆ”


 


ฟึ่บ–


 


วิหคครามบินหายลับฟ้า


 


ซือหยูถอนหายใจเบาๆ


 


“ข้าก็เวทนาเจ้าเหมือนกัน”


 


หลิวลี่ที่อยู่บนนภาราวกับได้ยินเสียงถอนหายใจของซือหยู เขาหันไปมองซือหยูที่อยู่บนพื้นและพูดกับตัวเองเบาๆ


 


“คนอย่างเจ้ามันเกินเยียวยา”


 


ที่พื้นดิน


 


ซือหยูหันกลับไปหาแม่หญิงเหยา


 


“ขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องชมเรื่องน่าขัน! ถ้าคนที่เข้ามายุ่งจากไปแล้ว เจ้าจะทำอะไรก็ทำเถอะ จบเรื่องของพวกเราเสียที่นี่”


 


นางจะกล้าทำอะไรอีกเมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงของซือหยู?


 


ไม่ต้องพูดถึงตัวตนของรองเจ้าตำหนักเลย แค่พลังอย่างเดียวก็มิใช่สิ่งที่ตระกูลเหยาจะต่อกรได้


 


“เจ้าตำหนักหยินหยูเข้าใจผิดแล้ว โจวจิ้งได้วางอุบายหลอกตระกูลเหยา ท่านเจ้าตำหนักโปรดวางใจ”


 


ท่าทางของนางเปลี่ยนไป นางฝืนยิ้มทื่อๆ


 


ซือหยูเลิกทำสีหน้าเย็นชา


 


“ดูเหมือนเจ้าจะพอคุยรู้เรื่องนะ!”


 


ถ้านางมิอาจแยกแยะผิดชอบได้ ซือหยูก็ไม่ติดใจที่จะล้างสังหารลบนามตระกูลเหยาออกจากหน้าประวัติศาสตร์


 


นางที่ได้ยินถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


“ข้าทำให้ท่านหยินหยูต้องตกใจ โปรดตามพวกเรากลับไปคุยกันเถอะ ข้าจะใช้โอกาสนี้ขออภัยกับท่าน”


 


ซือหยูโบกมือปฏิเสธ


 


“ไม่จำเป็น เจ้ารีบหาตัวลูกสะใภ้ของเจ้าให้เจอโดยเร็วจะดีกว่า”


“แล้วก็ ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย”


 


ส่วนลึกในแววตาของซือหยูเป็นประกาย


 


“โอสถแบบใดกันที่เป็นโอสถโบราณของตระกูลเหยา?”


 


นางชักสีหน้าทันที นางหน้าซีด


 


นางเพียงคิดถึงเรื่องพลังของซือหยูและทำให้นางต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป


 


แม้จะเป็นไปได้มากที่ซือหยูไม่ได้สังหารลูกชายของนาย ยอดฝีมือมากมายในตระกูลเหยาก็ตายเพราะเขา นั่นคือหนี้โลหิตครั้งใหญ่


 


และไม่เพียงแต่เขาจะฆ่าคนตระกูลเหยา เขายังต้องการโอสถโบราณของตระกูลเหยาอีก


 


เขาจะเกินไปแล้ว


 


“ข้าไม่ได้สนใจสูตรปรุงยาของเจ้าหรอก เก็บความกังวลไร้สาระของเจ้าไว้เถอะ ข้าแค่อยากรู้ว่าโอสถนั่นใช้ทำอะไรถึงมีคนมากมายต้องการมันเช่นนั้น”


 


ซือหยูเดาว่ามีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่แรงจูงใจของโจวจิ้งจะเป็นสูตรปรุงยา


 


นางงุนงงและหยุดใช้จิตสังหารที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันและพูดอย่างโล่งใจ


 


“เช่นนั้นท่านก็แค่สงสัยสินะ โอสถนพอาสัญมิใช่โอสถลับ มีคนมากมายรู้จักมัน วิธีใช้มีอย่างเดียวเท่านั้น…คือการทำลายฐานพลังของคนที่กินมันเข้าไป!”


 


“มันมีผลกับขอบเขตอำมฤตทุกระดับ”


 


ซือหยูแววตาเริ่มจริงจัง


 


“เช่นนั้นตระกูลเจ้าก็ไม่มีโอสถมาตั้งนานแล้วสินะ?”


 


นางประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ตระหนักถึงความลึกล้ำของเจ้าตำหนักหยินหยู


 


ในเรื่องที่ว่าตระกูลเหยายังมีโอสถอยู่หรือไม่ คนภายนอกนั้นมีข้อคิดเห็นต่างๆนานา แต่เจ้าตำหนักหยินหยูกลับบอกได้เลยว่าตระกูลเหยาไม่มีโอสถอีกแล้ว


 


“ทำไมท่านคิดเช่นนั้นล่ะ?”


 


นางถามกลับ


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ถ้าตระกูลเจ้ายังมีโอสถเช่นนั้นอยู่ ตระกูลเจ้าจะมาอยู่ในทวีปแห่งนี้รึ?”


 


โอสถที่มีพลังขัดบัญชาสวรรค์อันสามารถทำลายคนในขอบเขตอำมฤตได้ ใครกันบ้างที่จะไม่หวาดกลัว?


 


สำหรับพวกเขา มันควรจะเป็นเครื่องมือสังหารอันยิ่งใหญ่ราวกับอาวุธลับ


 


แต่ตระกูลเหยาก็อยู่อย่างสงบสุขในปราการวิหคเพลิงดั่งตระกูลธรรมดา บางทีโอสถนั่นอาจจะไม่มีอยู่ในโลกใบนี้อีกแล้ว


 


นางตกใจ ช่างเป็นรองเจ้าตำหนักที่ฉลาดล้ำลึกยิ่งนัก


 


นางพยักหน้า


 


“ท่านเจ้าตำหนักพูดถูกแล้ว โอสถนั่นสูญหายไปนานแล้ว! แม้ท่านจะมีวัตถุดิบกับสูตรปรุง ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะปรุงมันขึ้นมา”


 


“โอสถนพอาสัญนั้นมิอาจถูกปรุงได้ แต่มันถูกพบในซากโบราณ! ตระกูลเหยาค้นคว้าการปรุงโอสถนี้มาหลายร้อยปี แต่พวกเราก็พบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปรุงโอสถเช่นนั้น! เพราะโอสถมันไม่ใช่โอสถที่มาจากทวีปเฉินหลง!”


 


“พวกเขาขาดพลังลึกลับที่ทวีปเฉินหลงไม่มี นอกจะซากจะมีคนนอกทวีปเฉินหลงมาปรุงเอง…ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครปรุงมันได้”


 


“จะพูดก็ได้ว่านั่นคือสูตรปรุงยาของโอสถที่ไม่มีวันทำได้”


 


พลังลึกลับที่ทวีปเฉินหลงไม่มีรึ? ซือหยูคิดกับตัวเอง หรือว่าจะยังมีดินแดนอื่นนอกทวีปเฉินหลงอยู่อีกรึ?


 


ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่มีโอสถนพอาสัญหลงเหลืออยู่ในโลกแล้ว นั่นคือเหตุที่เหล่าขุมกำลังยิ่งใหญ่สบายใจ


 


ซือหยูโล่งใจเล็กน้อยที่เข้าใจเรื่องราว


 


“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว!”


 


ซือหยูยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง


 


ที่หอวิหคเพลิง


 


สิ่งปลูกสร้างในเขตวิหคเพลิงนั้นหรูหราและสูงตระหง่าน


 


ในวันธรรมดาจะมีคนมากมายที่นี่ แต่ในวันนี้หอวิหคเพลิงนั้นมีการป้องกันอย่างแน่นหนา


 


เพราะว่าคืนนี้คืองานเลี้ยงจันทร์กระจ่างที่จัดขึ้นเพื่อมอบความบันเทิงให้กับเหล่ายอดฝีมือจากขุมกำลังต่างๆ


 


ตามปกติจะมีเหล่าเด็กหนุ่มที่เข้ามาโดยใช้ฐานะตำแหน่ง


 


“โปรดแสดงตัวตน”


 


ทหารยืนเรียงแถวเป็นแนวระนาบที่ทางเข้าและถามตัวตนของซือหยู


 


ซือหยูหยิบตรารองเจ้าตำหนักออกมาอย่างไม่ลังเล


 


หัวหน้าทหารที่เป็นชายวัยกลางคนขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นสูงหยิบตราขึ้นไปตรวจสอบ


 


เขามองดูมันและเลิกคิ้ว


 


“รองเจ้าตำหนักหยินหยู? เจ้าน่ะรึ?”


 


“โปรดรอสักครู่ ข้าต้องไปตรวจสอบว่าตรานี่เป็นของจริงหรือไม่”


 


หัวหน้าทหารไร้อารมณ์ เขาส่งตราไปให้กับทหารที่ทางเข้า


 


พรึ่บ–


 


ในตอนนั้นก็มีคนบินเข้ามาอย่างสบายๆและโยนใบไม้น้ำแข็งออกไป


 


ซือหยูมีแววตาเฉียบคมและเห็นนามที่สลักอยู่บนใบไม้ได้อย่างชัดเจน


 


“โจวเนี่ยนเฉิน!”


 


หัวหน้าทหารที่ไร้อารมณ์สีหน้าเปลี่ยนไป เขาฝืนยิ้มและพูดพร้อมกับประสานหมัด


 


“ยินดีต้อนรับท่านเนี่ยนเฉินสู่งานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง ข้าขอเรียนเชิญ”


 


เพียงแค่เหลือบตามองหัวหน้าทหารก็คืนใบไม้น้ำแข็งด้วยมือทั้งสองข้าง


 


ซือหยูมองชายคนนั้นหัวจรดเท้า


 


เขาสวมชุดสีม่วงและมีอายุประมาณยี่สิบปี เขาดูน่าหลงใหลจนแม้แต่สตรีมิอาจเทียบ เขาตัวสูงและดูยิ่งใหญ่ตระการตา


 


เขาเดินเชิดคางอย่างโอหัง


 


เขายื่นนิ้วบางๆและรับใบไม้น้ำแข็งคืนอย่างสง่างาม เขาเดินผ่านซือหยูโดยไม่หันมองเข้าสู่งานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง


 


เทียบกันแล้ว ตราของซือหยูยังคงถูกตรวจสอบ


 


แม้ซือหยูจะไม่พอใจเล็กน้อย เขาก็ข่มใจและรออย่างอดทน


 


เขาเพิ่งจะมีชื่อเสียงได้ไม่นาน มีคนน้อยมากในทวีปที่จะรู้จักรูปลักษณ์ของเขา


 


ในตอนนั้น มีอีกสองคนเดินมาอย่างเงียบเชียบ


 


ทั้งสองยืนไหล่ชนไหล่เดินเข้ามา คนที่อยู่ทางขวาอายุประมาณยี่สิบปี เขาสวมชุดสีขาวแบบธรรมดา เขาดูใจเย็นและดูมิได้ใส่ใจกับภาวะทางโลก เขาเดินมาอย่างเรียบง่าย


 


ฐานพลังของเขาทำให้ซือหยูต้องตกใจ!


 


อำมฤตระดับสี่!!


 


พลังของเขาแข็งแกร่งจนน่ากลัว!


 


ส่วนคนที่อยู่ทางซ้ายคือสาวน้อยที่สวมชุดสีชมพู นางอายุประมาณสิบแปดปี นางดูน่าทะนุถนอม นางดูเฉลียวฉลาดแต่ก็ประหลาดเล็กน้อย นางเอนกายใกล้กับชายหนุ่มที่มาด้วยกัน ดูเหมือนนางจะสนิทกับเขามาก


 


พลังของนางด้อยกว่าเล็กน้อย แต่นางก็เป็นอำมฤตระดับสามขั้นสูงที่ไม่อ่อนแอแม้แต่น้อย


 


แข็งแกร่งนัก ซือหยูแอบตกใจ


 


หัวหน้าทหารเห็นทั้งสองคนจากระยะไกลและตัวแข็งทื่อ


 


“โปรดแสดงตัวตน”


 


หญิงสาวที่สวมชุดสีชมพูลืมตากว้างและพูดด้วยความโกรธ


 


“หึหึ สายตาเจ้าย่ำแย่นัก เจ้าจำราชันย์สวรรค์สองคนแรกแห่งตำหนักเฉินเทียนไม่ได้รึไงกัน? ข้าคือราชันย์สวรรค์ลำดับสอง พิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย อีกคนคือราชันย์สวรรค์ลำดับหนึ่ง กระบี่ปีศาจซงหลวน!”


 


สองราชันย์สวรรค์แห่งตำหนักเฉินเทียนรึ? ซือหยูหรี่ตามองทั้งสองอย่างละเอียด


 


ตั้งแต่ที่ไม่รู้ที่อยู่ของเจ้าตำหนักฉี เกาคังที่เป็นลำดับสามแห่งสามราชันย์สวรรค์ได้ยอมจำนนต่อฮั่นเจียงหลิน


 


ส่วนสองราชันย์สวรรค์นั้นปฏิเสธที่จะภักดีต่อฮั่นเจียงหลินและลงเอยด้วยการถูกจองจำ เหตุใดทั้งสองถึงมาปรากฏตัวที่งานวิหคเพลิงได้เล่า?


 


หัวหน้าทหารมองทั้งสองอย่างเลื่อมใส


 


“เช่นนั้นท่านทั้งสองก็คือกระบี่ปีศาจซงหลวนกับพิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟยสินะ? ขออภัยในมารยาทที่บกพร่องของข้าด้วย!”


 


เห็นได้เลยว่าชื่อเสียงของทั้งคู่นั้นคำรามก้องดั่งอัสนีในจิตใจของหัวหน้าทหาร


 


ซงหลวนก้มลงมองเจียงมู่เฟยและยิ้ม


 


“มู่เฟย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเจ้าก็ต้องทำตามขั้นตอนนะ”


 


เจียงมู่เฟยเบ้ปาก นางโยนเครื่องแสดงตัวออกไปอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นนางจึงได้ยินเสียงอบอุ่นน่าฟังจากซงหลวน


 


“ยิ่งไปกว่านั้น หยินหยูที่นามดังก้องก็รออย่างอดทนเช่นกัน เจ้าจะรีบร้อนได้ยังไงล่ะมู่เฟย?”


 


เจียงมู่เฟยประหลาดใจ


 


“หยินหยูรึ? หยินหยูคนไหนกัน?”


 


“ก็ต้องเป็น….หยินหยูที่เป็นรองเจ้าตำหนักที่มาจากร้อยดินแดนของพวกเรายังไงล่ะ”


 


ซงหลวนยิ้มและเงยหน้ามองซือหยู เขาประสานหมัดจากระยะไกล


 


“น้องหยินหยู ข้าอยากจะเจอเจ้ามานานเหลือเกิน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เจอเจ้าตัวเป็นๆ”


 


เจียงมู่เฟยลืมตากว้างและวิ่งไปที่หาซือหยู นางเดินเป็นวงกลมมองดูซือหยูจากทุกทิศทางโดยไม่เหลือที่ใดให้มองอีก


 


“เจ้าคือหยินหยู ปีศาจสีเงินที่ฆ่าล้างสิบยอดฝีมือในร้อยดินแดนไปมากกว่าครึ่งตัวจริงสินะ?”


 


ปีศาจสีเงินรึ? ซือหยูยิ้ม เขาถูกเรียกแบบนั้นในร้อยดินแดนสินะ?


 


อาจจะเป็นเพราะว่าในวันนั้นซือหยูฆ่าคนไปมากมาย ความป่าเืถ่อนของเขาได้ทำให้ร้อนดินแดนต้องครั่นคร้าม และเขาก็ยังมีผมสีเงินที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นเขาจึงได้ฉายาปีศาจสีเงิน


 


ซือหยูมองซงหลวนและประสานหมัดคืนไป


 


“น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสได้พบท่านเมื่อครั้งที่อยู่ในร้อยดินแดน ข้าควรจะไปเยี่ยมเยียนท่านเพื่อขอคำชี้แนะ”


 


ซงหลวนยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับเป็นลายลมบางเบา


 


“ข้ากลับรู้สึกเสียใจยิ่งกว่าที่ข้าไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับตำนานแห่งทวีปเสียล่วงหน้า”


 


“ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไร ข้าก็หวังว่าตำนานยอดฝีมืออย่างเจ้าจะชี้แนะข้าในเส้นทางการบ่มเพาะพลัง”


 


ซือหยูพยักหน้าด้วยความยินดี


 


“คงจะเป็นเกียรติเกินไปที่ข้าจะชี้แนะท่าน พวกเราน่าจะชี้แนะซึ่งกันและกัน”


 


เจียงมู่เฟยไม่สนใจ


 


“หึหึ ข้าก็ชี้แนะได้นะ! ข้าก็อยากได้เหมือนกัน!!”


 


ซือหยูกับซงหลวนยิ้มขึ้นมาพร้อมกัน


 


ในที่สุดสีหน้าของหัวหน้าทหารก็เปลี่ยนไป


 


เขาคือรองเจ้าตำหนักหยินหยูตัวจริง!


 


เขาเริ่มแสดงสีหน้านับถือ เขารีบคืนตรากับซือหยูด้วยมือทั้งสองข้าง


 


“เป็นท่านรองเจ้าตำหนักหยินหยูตัวจริง ข้าบกพร่องในการจดจำบุคคลที่ยิ่งใหญ่ หวังว่าท่านเจ้าตำหนักจะอภัยให้ข้า!”


 


“เมื่อไม่นานนี้มียอดฝีมือมากมายมาที่เมือง ทุกดินแดนต่างส่งคนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ข้าต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างระมัดระวัง โปรดอย่าถือสาข้าเลย”


 


ซือหยูกับซงหลวนหัวเราะและไม่ติดใจเอาความ


 


ส่วนเจียงมู่เฟย นางมิได้แสดงความปรานีแม้แต่น้อ


“เช่นนั่นแหละ นั่นก็เพราะว่าพวกเรายังดังไม่พอเท่านั้นแหละ ทำไมเจ้าถึงไม่ตรวจสอบตัวตนของมหาบุตรที่สองของหอสดับหิมะกันเล่า?”


 


เทียบกับมหาบุตรแห่งหอสดับหิมะ ชื่อเสียงของสามราชันย์สวรรค์แห่งร้อยดินแดนที่อยู่ห่างไกลย่อมด้อยกว่า

 

 

 


ตอนที่ 358

 

ทหารนั้นอับอายและพาพวกเขาเข้างานอย่างนอบน้อม


 


“น้องหยินหยู งานเลี้ยงจันทร์กระจ่างจะเป็นที่นั่งเป็นระดับสวรรค์ ธรณี และมนุษย์ เจ้าอยากจะนั่งที่ใดกันรึ?”


 


เจียงมู่เฟยพูดโดยไม่คิด


 


“ต้องนั่งในที่สวรรค์สิ นั่นคือที่ชมจันทร์ที่ดีที่สุด ว่ากันว่าถ้าต้องแสงจันทร์ที่นี่จะได้ชำระดวงวิญญาณ จะได้ผลที่คาดไม่ถึง”


 


ซือหยูคิดอยู่ครู่เดียวก่อนจะยิ้มตอบ


 


“ข้าจะนั่งในที่มนุษย์ ข้าก็แค่อยากจะชมการประลองเงียบๆเท่านั้น ข้าไม่อยากจะแสดงตัว”


 


“ฮ่าๆ ข้าเห็นด้วยกับเจ้าจริงๆ!”


 


เขาคิดไม่ต่างกับซือหยู พวกเขาอยากจะมาอยู่เงียบๆ


 


พวกเขาเข้าไปยังชั้นสอง…เวทีจันทร์เต็มดวง


 


คนราวห้าสิบคนมารวมตัวกันในที่เล็กๆแห่งนี้


 


ที่นี่มีอยู่สิบโต๊ะ สามโต๊ะสำหรับที่นั่งสวรรค์ แต่ละโต๊ะจะนั่งได้ห้าคน


 


ส่วนที่เหลือจะเป็นที่นั่งมนุษย์ที่ต่ำต้อยกว่า


 


ซือหยูเพิ่งจะมีชื่อเสียงเมื่อไม่นาน มีคนไม่มากนักที่รู้จักเขา


 


ซงหลวนกับเจียงมู่เฟยก็พอมีชื่ออยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ปรากฏตัวบ่อยนัก คนที่รู้จักพวกเขานับว่ามีน้อยมาก


 


“พวกเราต้องนั่งตรงนี้จริงๆรึ?”


 


เจียงมู่เฟยบ่น นางหันไปมองซือหยู


 


“นี่ นี่ หยินหยู เจ้าบ่มเพาะพลังยังไงรึ? เจ้าอ่อนกว่าข้าหนึ่งปีแต่ทำไมถึงแข็งแกร่งนัก?”


 


ซือหยูยิ้ม ในด้านพลัง เจียงมู่เฟยเป็นคนที่น่ากลัวอย่างแท้จริง


 


คุณสมบัติของนางนั้นเหนือว่าซงหลวนอยู่มาก และยังมากกว่ารองเจ้าตำหนักของอาณาจักรทมิฬอีกหลายคน!


 


นางสำเร็จขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นสูงในอายุเพียงแค่สิบแปดปี สิ่งนี้น่ากลัวขนาดไหนกัน?


 


ซือหยูได้เป็นอำมฤตระดับสามขั้นสูงในอายุสิบเจ็ดปี แต่นั่นก็เพราะว่าเขามีหม้อเก้ามังกรและทรัพยากรจากอาณาจักรทมิฬ


 


เทียบกันแล้ว เจียงมู่เฟยใช้พลังของตัวเองเพื่อมาถึงขั้นนี้ ทุกคนต้องตกใจเมื่อได้ยินเรื่องของนาง


 


นางคือตำนานยอดฝีมือแห่งยุคตัวจริงแห่งทวีป


 


ถ้านางมีเวลา นางจะได้เป็นตำนานของทวีปอย่างแน่นอน


 


“เจ้าก็แข็งแกร่งมิใช่รึ”


 


ซือหยูยิ้มอย่างอบอุ่น เขาประทับใจในคนที่ตรงไปตรงมาเสมอ


 


“เช่นนั้นแล้วเจ้าบ่มเพาะวิชาแบบไหนกัน? ข้าได้ยินว่าเจ้าฆ่าลู่จุนที่เป็นอำมฤตระดับสองในตอนที่เป็นมังกรระดับห้า นั่นมันขัดต่อชะตาชัดๆ ข้านับถือเจ้าจริงๆ!”


 


ซงหลวนหันไปมองดุ


 


“นี่! ถามวิชาของคนอื่นมันเป็นข้อห้าม งานชุมนุมก็กำลังจะเริ่มแล้ว ทำไมเจ้าทำตัวไม่ดีอย่างนี้นะ!”


 


การเผยวิชาจะทำให้ศัตรูเตรียมการได้ล่วงหน้า คำถามของนางดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก


 


“ข้าก็แค่สงสัยเท่านั้น ข้าไม่ถามก็ได้”


 


เจียงมู่เฟยบ่น ใบหน้าอันน่ารักนั้นไม่ค่อยพอใจ


 


ซือหยูส่ายหน้า


 


“ไม่เป็นไรหรอก! วิชาข้าไม่ได้ลึกลับนัก ถ้าเจ้ารู้ก็ไม่เป็นไร”


 


“วิชาหลักของข้าถือวิชาอัสนีและน้ำแข็ง ข้าได้มันมาจากฎีกาสวรรค์ ข้ามีพลังมิติอยู่เล็กน้อย ส่วนมากก็เป็นเช่นนี้”


 


ซือหยูสรุป


 


เขาต่อสู้กับผู้คนมานับไม่ถ้วน คนที่อยากจะได้ข้อมูลของเขาจริงๆนั้นหาข้อมูลได้ไม่ยาก มันมิใช่ความลับ


 


ซงหลวนขอโทษขอโพย


 


“ข้ารู้สึกผิดจริงๆที่ปล่อยให้เจ้าเจอกับเรื่องน่าขันเช่นนี้ มู่เฟยนั้นขี้เล่นรักสนุก ในครั้งนี้นางยืนกรานว่าจะมาให้ได้ ข้าไม่มีทางเลือกเลยต้องพานางมาด้วย”


 


งานชุมนุมวิหคเพลิงนั้นเป็นงานจับคู่ระหว่างสตรีจากคณะวิหคเพลิงและเหล่ายอดฝีมือทางทั้งทวีป


 


การที่มีหญิงสาวมาที่นี่นั่นดูจะไม่เหมาะอยู่กลายๆ


 


“หึหึ ใครใช้ให้ศิษย์พี่ซงหลวนหลงข้าขนาดนี้เล่า?”


 


เจียงมู่เฟยเชิดคางอย่างภูมิใจ นางเข้าไปในอ้อมกอดของซงหลวน ดูเหมือนนางจะชอบซงหลวนอย่างมาก


 


ส่วนซงหลวนนั้นก็ก้มลงมองศิษย์น้องขี้เล่น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหลงใหล


 


ซือหยูยิ้ม ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะไม่ใช่แค่ศิษย์พี่ศิษย์น้องกันแล้ว


 


แต่ทั้งสองก็ดูเข้ากันได้


 


ในตอนนี้ ยามเย็นผ่านพ้น  จันทร์เต็มดวงลอยล่อง


 


การชมจันทร์เริ่มขึ้น แขกทุกคนพร้อมหน้า


 


แต่แปลกที่ไม่มีใครนั่งข้างบุตรลำดับสองแห่งหอสดับหิมะโจวเนี่ยนเฉินในที่นั่งสวรรค์


 


เขายึดทั้งโต๊ะไว้แต่เพียงผู้เดียว


 


เขารู้สึกประหลาดเล็กน้อยและมองไปรอบๆ


 


แต่ดูเหมือนเขาจะเห็นใครคนหนึ่ง เขาจับจ้องไปที่โต๊ะของซือหยู


 


เขาค่อยๆยืนขึ้นและประสานมือแสดงความเคารพต่อซงหลวน


 


“กระบี่ปีศาจซงหลวนถึงกับมาที่นี่ เหตุใดถึงไปนั่งในที่ชั้นต่ำเช่นนั้นเล่า? ขึ้นมานั่งบนที่สั่งสวรรค์เถอะ!”


 


ในตอนนั้นเขาสังเกตเห็นเจียงมู่เฟยเช่นกัน เขาตาเป็นประกาย


 


“หรือว่านั่นจะเป็นพิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย? เจ้าตามศิษย์พี่ไปนั่งในที่นั่งมนุษย์งั้นรึ? ขึ้นมานั่งที่นี่เถอะ มาพูดคุยกับคนที่ประสบการณ์สูงส่งกว่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเจ้านะ”


 


“อะไรนะ? กระบี่ปีศาจกับพิรุณดอกท้อแห่งตำหนักเฉินเทียน!”


 


แขกทั้งหมดตกใจ ทุกคนมองไปยังที่นั่งธรรมดา


 


คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกันนั้นตกใจและเริ่มเจียมตัว


 


แต่ในตอนนั้นเองก็มีคนจำซือหยูได้


 


“เดี๋ยวสิ! เด็กหนุ่มผมสีเงินข้างกระบี่ปีศาจนั่น…หรือว่าจะเป็นตำนานแห่งทวีป หยินหยู!”


 


“อะไรนะ? ใช่เขารึ? เขามางานชุมนุมวิหคเพลิงด้วย!”


 


“ข้าจินตนาการสิ่งที่ร่ำลือไม่ออกเลย เขาอายุแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น!”


 


เหล่าผู้คนส่งเสียงเอะอะ


 


เหล่าผู้คนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ นามเจ้าตำหนักหยินหยูนั้นเหนือกว่าซงหลวนกับเจียงมู่เฟย


 


เหตุผลไม่ใช่เพราะซือหยูแข็งแกร่งกว่า แต่เป็นเพราะซือหยูเป็นยอดฝีมือหน้าใหม่ และเขายังสร้างชื่อด้วยตัวเองในเมืองอันยี่ เขาย่อมต้องได้รับความสนใจกับคนจำนวนมาก


 


“เจ้าคือหยินหยูสินะ!”


 


เสียงอันเย็นชาดังมาจากที่นั่งสวรรค์


 


เป็นเสียงของโจวเทียนเฉิน แววตาเขาเฉียบคมราวกับกระบี่ จิตสังหารนั้นลึกซึ้ง


 


“น้องเทียนเฉินกับซือยี่ถูกเจ้าสังหารอย่างที่คำร่ำลือว่าไว้ใช่หรือไม่?”


 


คำถามนั้นเป็นดั่งศรคมกริบที่แล่นผ่านผู้คนตรงไปยังซือหยู


 


ในตอนนั้นเอง เสียงวุ่นวายจากเหล่าผู้คนเงียบลง


 


สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไป ไม่มีใครเปิดปากเลย


 


ตามคำร่ำลือ เป็นเจ้าตำหนักหยินหยูที่สังหารสองบุตรแห่งหอสดับหิมะ


 


ความตายของทั้งคู่ทำให้ซือหยูมีชื่อเสียงขึ้นมา


 


“ใช่แล้ว!”


 


ซือหยูรินน้ำจัณฑ์ของตัวเองโดยไม่หันไปมองโจวเนี่ยนเฉิน


 


ท่าทางสบายใจของเขานั้นดูอวดดีและบ้าคลั่งต่อสายตาของคนนอก


 


“เจ้าเคยนึกเสียใจบ้างหรือไม่? การฆ่าคนของหอสดับหิมะ ผลที่ตามม…”


 


ซือหยูไม่รอให้เขาพูดจบ ซือหยูตอบช้าๆ


 


“ข้าจะเสียใจทำไมเล่า?์ ก็พวกนั้นมันสมควรตาย”


 


โจวเนี่ยนเฉินพูดอะไรไม่ออก ท่าทางของเขาไม่มีผลกับซือหยูแม้แต่น้อย


 


กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุก โจวเนี่ยนเฉินคำราม


 


“ศิษย์น้องทั้งสองของข้าต้องตายโดยไม่มีเหตุผลด้วยฝีมือเจ้า และถ้าเจ้าไม่โศกเศร้าที่สังหารพวกเขา ก็อย่าโทษที่ข้าไร้ปรานี”


 


แต่สีหน้าของซือหยูยังคงใจเย็น เขาจิบน้ำจัณฑ์และพูดอย่างใจเย็น


 


“หยุดก่อน อย่างน้อยก็รออีกสักครึ่งชั่วยามเถอะ”


 


“เจ้ากลัวรึ?”


 


น้ำเจียงของโจวเนี่ยนเฉินเยือกเย็น


 


ซือหยูส่ายหน้า


 


“ไม่ใช่”


 


“แล้วอะไรกัน? เจ้าอยากจะใช้ชีวิตต่ออีกครึ่งชั่วยามรึไงกัน?”


 


โจวเนี่ยนเฉินขมวดคิ้ว


 


ซือหยูพูดอย่างเรียบเฉย


 


“ข้ากำลังให้เวลาให้เจ้าไปเตรียมโลงศพของตัวเองต่างหาก”


 


หา—-


 


คนในหอจันทร์เต็มดวงอ้าปากค้าง


 


หยาบคาย! หยาบคายไม่มีใครเทียบ!


 


เขาบอกให้โจวเนี่ยนเฉินที่เป็นอำมฤตระดับสี่ไปเตรียมโลงศพ!


 


นี่มันความหยาบคายระดับใดกัน?


 


โจวเนี่ยนเฉินหยุดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนสีหน้าจะดุร้าย สุดท้ายก็หัวเราะออกมา


 


“หึหึหึหึ…มีคนอย่างเจ้ามากมายนักในอดีตที่มาหยาบคายต่อหน้าข้า แต่ตอนนี้ไม่มีคนเช่นนั้นแล้ว เพราะมันตายหมด!”


 


“ข้าจะให้เจ้าเลือก เจ้าอยากจะเป็นศพแบบเต็มร่าง หรือแขนขากระจัดกระจายไปทั่ว?”


 


ซือหยูถือแก้วสุราในมือ เขายิ้มเบาๆ


 


“กระจัดกระจายดูจะโหดร้ายไปหน่อย ข้าว่าแบบเต็มร่างจะดีกว่า มันน่าเชยชมกว่าเยอะ”


 


โจวเนี่ยนเฉินเดินออกจากที่นั่ง รังสีพลังอำมฤตระดับสี่ห่มพื้นที่ราวกับคลื่นยักษ์


 


เขายิ้มอย่างเยือกเย็น


 


“อย่างที่เจ้าว่า ข้าจะทำศพเจ้าให้สวย”


 


ซือหยูวางแก้ว เขายิ้ม ใบหน้าแสดงความเย็นชาดั่งน้ำแข็ง


 


“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าถามเรื่องศพแทนเจ้าต่างหาก”

 

 

 


ตอนที่ 359

 

ที่หอชมจันทร์ ไม่มีใครพูดสิ่งใดและเงียบราวกับป่าช้า


 


ทั้งหมดมีเพียงแค่เสียงของสายลมพัดปลิว


 


ยอดฝีมือทั้งหมดจ้องมองซือหยูและแอบเดาะลิ้น


 


เจ้าตำหนักหยินหยูไปคิดยังไงกันถึงพูดอย่างมั่นใจเช่นนั้น?


 


ดูจากฐานะ โจวเนี่ยนเฉินนั้นเป็นบุตรลำดับสองแห่งหอสดับหิมะ นามของเขาดังก้องไปทั่วทั้งทวีป และเขาไม่กลัวซือหยู


 


แต่เมื่อมองดูที่พลัง ก็จะมีช่องว่างมหาศาลระหว่างอำมฤตระดับสี่กับระดับสาม


 


ถ้าซือหยูที่เป็นแค่อำมฤตระดับสามสู้กับโจวเนี่ยนเฉินแบบตัวต่อตัว เขาอาจจะไม่ใช่ศัตรูของโจวเนี่ยนเฉินด้วยซ้ำ


 


ดังนั้นแล้ว…เจ้าตำหนักหยินหยูไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน?


 


โฮก—-


 


ในตอนนั้นเอง เงาครามก็แล่นผ่านจันทร์กระจ่าง


 


เสียงสัตว์อสูรดังก้องนภา


 


“วิหคคราม!”


 


โจวเนี่ยนเฉินตกใจ เขาไม่พอใจในทันที


 


เขากลับไปจ้องซือหยูอีกครั้ง


 


“เพราะอย่างนี้สินะเจ้าถึงได้มั่นใจนัก!”


 


เหล่ายอดฝีมือคนอื่นเข้าใจเช่นกัน


 


“ไม่แปลกใจเลยทำไมเขาถึงกล้าทำเช่นนั้น เพราะเขาพึ่งพาเจ้าตำหนักหลิวลี่ได้นี่เอง!”


 


“ข้าผิดหวังจริงๆ เขาดูหมิ่นคนอื่นโดยหวังใช้เส้นสายของคนอื่น”


 


“นามของตำนานยอดฝีมือไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้วรึ”


 


เหล่าคนดูต่างถอนหายใจ


 


ฟึ่บ–


 


ร่างนั้นลงมาจากท้องนภา ข้างหลังเขาคือจันทร์กระจ่างอันงดงาม


 


สายลมรุนแรงพัดชุดของเขาให้พริ้วไหว ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ เขายืนมือไพล่หลังอยู่เบื้องบน ในใต้แสงจันทร์ทำให้เขาดูทรงพลัง


 


เขาดูราวกับเทพสงครามที่แบกจันทร์กระจ่างไว้บนแผ่นหลัง ผู้ก้าวเหยียบเมฆาปกครองฟ้าดิน


 


ความทรงพลังนั้นแผ่ไปทั่วทั้งหอชมจันทร์


 


เขาคือหลิวลี่ผู้เป็นรองเจ้าตำหนักลำดับสองของตำหนักรองแห่งทวีป!


 


เขาคือยอดฝีมือที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดและไม่ได้ต่อสู้มากนัก


 


โจวเนี่ยนเฉินที่เงียบและเยือกเย็นได้เคร่งเครียดในทันที หากมองดีๆจะพบว่าที่มุมหนึ่งของดวงตาเขากำลังสั่นระริกด้วยความกระวนกระวาย


 


เจียงมู่เฟยเงยหน้าจ้องมอง ความไร้เดียงสาและความน่าหลงใหลในใบหน้าหายไป แทนที่ด้วยความเคร่งเครียด


 


“เขาแข็งแกร่งมาก!”


 


เจียงมู่เฟยถอนหายใจเบาๆ


 


คนที่แข็งแกร่งอย่างนางนั้นพบได้ทั่วไป


 


แต่ตัวตนของหลิวลี่นั้นราวกับจักรพรรดิที่ทำให้ที่นี่ตกอยู่ในความเงียบในทันทีทันใด


 


มีเพียงสองคนที่ท่าทางผ่อนคลาย…นั่นคือซือหยูกับซงหลวน


 


ทั้งสองทำราวกับว่าไม่มีใครอื่นอยู่ที่นี่ พวกเขาดื่มชนแก้วกันโดยไม่สนใจการมาของหลิวลี่


 


“น้องหยินหยู เจ้าจะไม่ทักทายเจ้าตำหนักหลิวลี่หน่อยรึ?”


 


ซงหลวนยิ้มอย่างอบอุ่น


 


ซือหยูดื่มจนหมดแก้วและหัวเราะ


 


“ไม่จำเป็นหรอก เขาอาจจะไม่อยากให้ข้ามาเสียด้วยซ้ำ”


 


ซือหยูรู้เรื่องงานเลี้ยงจันทร์กระจ่างจากมู่เทียนฟางที่เป็นคนนอก หลิวลี่ไม่เคยบอกซือหยูเลย


 


บอกได้เลยว่าหลิวลี่ไม่คิดจะให้ซือหยูมาเข้าร่วมงานนี้


 


หรือพูดอีกอย่างก็คือ…ตัวตนของซือหยูไม่ได้อยู่ในจิตใจเขาเลย


 


เสียงพูดคุยของทั้งสองไม่ดังนัก แต่ท่ามกลางความเงียบ…ทุกคนได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ


 


หลิวลี่ร่อนลงช้าๆ เขาเหลือบมองและเห็นว่าซือหยูก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เขาประหลาดใจเล็กน้อย


 


หลังจากได้ยินคำพูดของซือหยู หลิวลี่ก็พูดออกมาอย่างเยือกเย็น


 


“ถ้าเจ้ามีเวลามางานเลี้ยงแล้วทำไมไม่เอาเวลาไปฝึกฝนเล่า? ถ้าพลังเจ้าอ่อนแอกว่าคนอื่น เจ้าก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นอีกร้อยเท่า มาเสียเวลาที่นี่แล้วเจ้าจะคู่ควรให้อาณาจักรเลี้ยงดูได้อย่างไร?”


 


หลิวลี่มองลงมายังซือหยูและตำหนิ


 


แต่ซือหยูก็ดื่มต่อไปและตอบอย่างสบายๆ


 


“ถ้าเช่นนั้น แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?”


 


ถ้าซือหยูมาที่นี่เป็นการเสียเวลา แล้วมันจะต่างกับหลิวลี่ยังไงเล่า?


 


“เจ้ามีสิทธิ์มาเทียบกับข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน? พลังของข้ามีเวลามาทำเช่นนี้ แต่เจ้ายังมันยังไม่ถึงขั้น”


 


หลิวลี่ลงมานั่งบนที่นั่งสวรรค์อย่างช้าๆ ท่ามกลางความสนใจของผู้คน


 


ซือหยูส่ายหน้า


 


“อย่างนั้นเรอะ? เจ้าตำหนักเฉินคงที่แข็งแกร่งที่สุดกับบุตรคนแรกแห่งหอสดับหิมะก็ยังคงตั้งมั่นอยู่กับการบ่มเพาะ แต่คนอย่างเจ้าที่เป็นรองทั้งสองกลับมาพักที่นี่ ถ้าเจ้าก็เสียเวลาเหมือนกับข้า เจ้าจะคู่ควรให้อาณาจักรมาบ่มเพาะได้อย่างไร?”


 


เขาพูดคำเดิมย้อนใส่หลิวลี่


 


“คนที่แข็งแกร่งโดยแท้จริงจะต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่า แต่คนอย่างเจ้ากลับมาจับผิดคนที่ต่ำต้อยกว่าเพื่อให้ตัวเองรู้สึกถึงความสำเร็จ เจ้ามันต่ำต้อยยิ่งกว่าข้าเสียอีก”


 


ซือหยูพูดแทงใจดำ


 


หลิวลีร่มองซือหยูราวกับคนแปลกหน้า


 


“อย่างน้อยข้าก็แกร่งกว่าเจ้าและมีสิทธิ์ชี้แนะเจ้า แค่นี้ก็พอแล้ว”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“เจ้าก็แค่คิดว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าเท่านั้นแหละ”


 


“เจ้าจะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการต่อไปก็ย่อมได้ ความจริงอันโหดร้ายจะสั่งสอนเจ้าด้วยเลือด”


 


หลิวลี่ส่ายหน้าและดื่มแก้วของตัวเอง


 


ซือหยูหัวเราะและไม่ตอบอะไร


 


แม้หลิวลี่จะมองทุกสิ่งราวกับอยู่ใต้เขา แต่ความคิดเขาก็สนใจแต่ตัวเองเท่านั้น


 


ต่อหน้าเหล่าคนนอก เขานิยมชมชอบที่จะแสดงความเหนือกว่าของตัวเอง


 


ที่ตระกูลเหยา เขามาราวกับผู้ผดุงความยุติธรรม


 


และที่นี่ เขาก็ยังคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะสั่งสอนซือหยู


 


และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ผิดแน่ เขาจะต้องมาถึงงานเลี้ยงจันทร์กระจ่างก่อนซือหยู แต่เขาก็รอจังหวะสุดท้ายที่ทุกคนมากันพร้อมหน้าเพื่อชมจันทร์อันงดงามก่อนจะปรากฏตัว


 


ราวกับว่าเขาอยากจะเป็นจุดรวมความสนใจของงานเลี้ยงจันทร์กระจ่าง


 


“ปลอมเปลือกนัก!”


 


เจียงมู่เฟยถอนหายใจแรก


 


ซงหลวนมองหลิวลี่อย่างลึกซึ้งและยิ้ม


 


“มนุษย์มีเป็นร้อยจำพวก มนุษย์เช่นนี้เห็นแก่ตนเองเป็นสำคัญ พวกเขาก็เป็นเช่นนั้น เราจำเป็นต้องทำอะไรด้วยรึ?”


 


“แต่ก็ยากที่จะชื่นชมท่าทางเช่นนั้นของเขา เขาโง่เขลาจริงๆที่มาดูถูกน้องหยินหยู”


 


ซงหลวนพูดตามมา


 


เอ๋? เจียงมู่เฟยลืมตากว้างด้วยความสงสัย นางเข้าใกล้ใบหน้าซือหยู


 


“เจ้าแข็งแกร่งกว่าเขารึ? พี่ซงหลวนแววตาเฉียบคมไม่เคยพลาดนะ!”


 


ซือหยูอายเล็กน้อย


 


“พี่ซงหลวน ข้าปรารถนาว่าตัวเองจะสมกับคำชมของท่าน แต่ข้าก็แค่ศิษย์น้องที่เติบโตช้าและมีพลังแค่อำมฤตระดับสามเท่านั้น”


 


“ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ข้าอยากจะสู้กับเจ้าแล้วมองดูด้วยตาตัวเองว่าเจ้าแกร่งแค่ไหน”


 


แววตางดงามของเจียงมู่เฟยนั้นบอกได้เลยว่าคิดจะต่อสู้


 


บนที่นั่งสวรรค์


 


โจวเนี่ยนเฉินเหลือบตามอง


 


“เจ้าตำหนักหลิวลี่ เจ้าตำหนักลำดับสิบของเจ้าฆ่าศิษย์น้องข้าไปสองคนที่เมืองอันยี่ ข้าอยากจะสะสางเรื่องนั้น ท่านติดขัดอะไรหรือไม่?”


 


หลิวลี่หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ซือหยูสังหารมหาบุตรแห่งหอสดับหิมะไปสองคนงั้นรึ?


 


เรื่องที่เมืองอันยี่นั้นยังมาไม่ถึงตำหนักรอง หลิวลี่จึงไม่รู้อะไร


 


แต่เว่ยเทียนเฉินกับจางซือยี่นั้นเป็นอำมฤตระดับสามขั้นต้นและขั้นกลาง ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลนัก


 


ในตอนนั้น เหล่ายอดฝีมือได้รับรู้แล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร


 


ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของหยินหยูกับหลิวลี่จะไม่ดีนัก และเรื่องที่หยินหยูใช้หลิวลี่ในการข่มผู้อื่นดูเหมือนจะไม่เป็นความจริง


 


หลิวลี่ที่เป็นที่สนใจมองไปทางซือหยูทันที


 


“ข้าเตือนเจ้าสองครั้งสองคราแล้วว่าอย่าสร้างปัญหาให้ข้า! แต่เจ้าก็ไม่สนใจคำเตือนของข้า เจ้าคิดจะไม่ฟังข้าจริงๆรึ?”


 


หลิวลี่พูดต่อโดยไม่ต่อให้ซือหยูตอบ


 


“และครั้งนี้เจ้าก็ยังใช้ชื่อเสียงของข้าสร้างข้อขัดแย้งกับคนอื่นอีกรึ? เจ้ามันเกินเยียวยาโดยแท้!”


 


“ครั้งนี้ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว ทำอะไรเอาไว้ก็ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง!”


 


หลิวลี่โกรธเล็กน้อย


 


ทุกคนเงียบกริบ


 


แต่คนก็แอบหัวเราะเยาะตามๆกัน


 


“หยินหยูมั่นใจเกินไปและเฉลียวฉลาด เขาพยายามจะใช้ชื่อเสียงของหลิวลี่เพื่อรังแกคนอื่น แต่เขาอาจจะไม่คิดว่านั่นจะทำให้ตัวเองต้องลำบาก”


 


“นี่มันน่าขันนัก มาดูเถอะว่าหยินหยูจะจบเรื่องนี้ยังไง เมื่อครู่ เขาเอาแต่พูดเรื่องการต่อสู้และการสังหาร แต่ตอนนี้เขาไม่มีการหนุนหลังจากเจ้าตำหนักหลิวลี่แล้ว ดูเถอะว่าเขาจะเอาความกล้ามาจากที่ใดอีก…”


 


แต่ซือหยูกลับใจเย็นอย่างน่าตกใจและยิ้มเยาะ


 


“ข้าชอบสร้างปัญหาแล้วเจ้ามาเดือดร้อนอะไรของเจ้า? เจ้าลืมคำชี้แนะของข้าแล้วรึ? อย่ามั่นใจให้มากนัก! ไม่มีใครขอให้เจ้าเข้ามายุ่ง!”


 


ทุกคนต่างหันมาจ้องซือหยูเป็นตาเดียว


 


หยินหยูมิได้นับถือหลิวลี่คนที่เขาหวังพึ่งพาหรอกรึ?


 


ซือหยูมองไปยังโจวเนี่ยนเฉิน


 


“เจ้าก็เหมือนกัน! วิธีการของเจ้ามันวุ่นวายเหลือเกิน ไม่รู้จักเด็ดขาดเอาซะเลย! แม้จะเป็นเรื่องของเจ้ากับข้า เจ้าก็ยังขอให้คนนอกที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยยินยอมก่อนจะลงมือ นี่มันความตาขาวเพียงใดกัน? เจ้ากล้าที่จะล้างแค้นให้กับศิษย์น้องที่ตายไปของเจ้าจริงๆรึ?”

 

 

 


ตอนที่ 360

 

เหล่ายอดฝีมือตกตะลึง!


 


ไม่ว่าพวกเขาจะโง่เขลาเพียงใด พวกเขาก็เข้าใจได้ว่าซือหยูไม่ได้หวังพึ่งเจ้าตำหนักหลิวลี่ นั่นเป็นเพียงความคิดด้านเดียวของพวกเขาเท่านั้น


 


สีหน้าหลิวลี่แข็งทื่อ เขาตอบกลับเพียงแววตาอันเยือกเย็น


 


รอยแตกเล็กๆปรากฏขึ้นบนแก้วที่เขาถือ


 


หลิวลี่โกรธแค้นอย่างมาก


 


โจวเนี่ยนเฉินทุบโต๊ะดังลั่น


 


“หยินหยู! ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้ามีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ได้ยังไง! เจ้าถากถางแม้แต่คนที่ช่วยชีวิตเจ้าได้เพียงเพราะความยโสโอหัง! หลังจากที่เจ้าเสียคนหนุนหลังไป เจ้าก็ยังไม่คิดแม้แต่จะอ่อนน้อมกับคนที่เจ้ามิอาจต่อกรได้ เจ้ากลับทำเรื่องให้มันอันตรายยิ่งขึ้น!”


 


“ข้าต้องพูดเลยว่าเจ้าที่อยู่รอดได้มาถึงวันนี้นั้นเพราะสวรรค์ให้พรเจ้า!”


 


เหล่าผู้คนสับสนเมื่อได้ยิน


 


ตำนานยอดฝีมือเป็นเพียงคนที่มีแต่กำลังแต่ไร้ปัญญางั้นรึ?


 


ซือหยูยิ้มและวางแก้วลง เขายืนขึ้นช้าๆ


 


“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่หรือไม่? ถ้าเจ้าพูดจบแล้วก็มาเริ่มกันเถอะ ข้าจะเหลือศพสภาพดีของเจ้าเอาไว้”


 


โจวเนี่ยนเฉินหัวเราะอย่างเยือกเย็น


 


“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนอ้อนวอนขอความตายเช่นนี้!”


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้า…”


 


แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้สู้กัน กลุ่มสตรีที่ห่มอาภรณ์สีชาดก็รีบเข้ามาขวาง


 


ร่างของพวกนางผอมบางและมีพลังแข็งแกร่งว พวกนางคือเหล่าหน่วยลาดตระเวนของปราการวิหคเพลิง


 


หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนนั้นมีใบหน้างดงามและรูปร่างอันยอดเยี่ยม นางยังคงสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อแม้จะมีอายุเกินสามสิบปีไปแล้ว


 


“นั่น หัวหน้ามู่!”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


กลุ่มยอดฝีมือตกใจและรีบยืนขึ้นเพื่อมอง


 


แม้แต่โจวเนี่ยนเฉินกับหลิวลี่ก็ต้องยืนขึ้นเพื่อแสดงความนับถือ


 


มีเพียงซือหยูกับซงหลวนที่ยังนั่งอยู่กับที่


 


แต่หลังจากนั้นซงหลวนก็ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มพร้อมกับแสดงความเคารพด้วยการประสานหมัด


 


ซือหยูไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น มู่เทียนฟางเคยทำอะไรถึงได้รับความเคารพจากคนมากมายเช่นนี้?


 


แม้แต่ซงหลวนก็ต้องแสดงความเคารพ!


 


“นั่งเถอะทุกคน ข้าได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาดำเนินงานเลี้ยงนี้ แต่ข้ามาช้าก็เพราะข้าติดภารกิจสำคัญ โปรดจงเข้าใจ”


 


มู่เทียนฟางประสานหมัดให้กับแขก


 


เหยาผู้คนตอบสนองอย่างสุภาพ พวกเขาค่อยๆนั่งลง พวกเขาจับจ้องไปยังมู่เทียนฟางโดยไม่ละสายตาจากนางเลย


 


เจียงมู่เฟยแสดงความนับถือ


 


“นั่นคือมู่เทียนฟางรึ? นางเป็นศิษย์ของจ้าวแห่งวิหคเพลิงที่ร่ำลือใช่หรือไม่?”


 


ศิษย์ของจ้าววิหคเพลิงรึ? ซือหยูประหลาดใจเล็กน้อย มู่เทียนฟางมีฐานะเช่นนั้นเชียวรึ?


 


ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนต้องแสดงความเคารพต่อนาง


 


นางคือผู้ที่ร่ำเรียนจากจ้าวแห่งวิหคเพลิงโดยตรง พวกเขามางานชุมนุมจัดขึ้นเพื่อจับคู่หญิงชาย ถ้าพวกเขาสร้างความประทับใจได้นั่นก็อาจจะไปถึงหูของจ้าวแห่งวิหคเพลิง และจะส่งผลกับการจับคู่ของพวกเขาอย่างแน่นอน


 


มู่เทียนฟางไม่รีบไปนั่ง แต่กลับมองหาคนบนที่นั่งสวรรค์


 


นางเลิกคิ้วเมื่อพบเพียงแต่หลิวลี่กับโจวเนี่ยนเฉิน


 


“หืม? ท่านเจ้าตำหนักหยินหยูไม่ได้มาที่นี่หรอกรึ?”


 


หยินหยู…เหล่ายอดฝีมือตัวแข็งทื่อ


 


เหตุใดศิษย์ของจ้าวแห่งวิหคเพลิงถึงรู้จักหยินหยูกัน? แล้วนางยังถามถึงเขาตั้งแต่ที่มาถึงอีกด้วยงั้นหรือ?


 


เมื่อมองดูจากหน่วยลาดตระเวนที่ยืนเรียงแถว หัวใจของพวกเขาเต้นแรง รังสีพลังนั้นดูเหมือนกำลังจะมาทำภารกิจ


 


หรือว่าพวกนางจะมาจับกุมหยินหยู?


 


หลิวลี่เลิกคิ้วเและหันไปมองซือหยู


 


“ต้องให้ข้าเตือนเจ้าอีกกี่ครั้ง? เจ้าสร้างปัญหาให้ข้าอีกแล้วรึ? สิ่งที่เจ้าทำมันหนักหนามากขึ้นทุกครั้ง! พูดมา เจ้าทำความผิดอะไรหัวหน้ามู่ถึงต้องมาจับเจ้าด้วยตัวเองเช่นนี้?!”


 


เหล่าผู้คนเงียบกริบ


 


เจ้าตำหนักหยินหยูกล้าทำให้มู่เทียนฟางโกรธด้วยงั้นรึ?


 


โจวเนี่ยนเฉินลำพองใจ เขาไม่ต้องลงมือเองแล้ว ตอนนี้กำลังจะมีคนจัดการแทนเขา


 


แต่ที่ทำให้ทุกคนแน่นิ่งไปก็คือ…


 


มู่เทียนฟางขมวดคิ้วมองไปทางหลิวลี่


 


“เจ้าเป็นใคร?”


 


เจ้าตำหนักหลิวลี่ฝืนยิ้ม


 


“ข้าคือเจ้าตำหนักหลิวลี่ หัวหน้ามู่…..”


 


แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ มู่เทียนฟางก็แทรกขึ้นมา


 


“เจ้าตำหนักหลิวลี่ ข้ากำลังตามหาหยินหยูเพราะมีเรื่องจะปรึกษากับเขา เขาไปหาเรื่องอะไรเจ้ากัน? ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไรแต่เจ้าก็บอกว่าเขาทำผิดอย่างนั้นรึ!”


 


มู่เทียนฟางไม่ชอบคนอย่างหลิวลี่


 


“ถ้าพวกเจ้าสองคนต่างก็มาจากอาณาจักรทมิฬ ทำไมเจ้าไม่ร่วมมือกันแล้วดูแลเขาเล่า? ทำไมเจ้าต้องตำหนิเขาต่อหน้าทุกคน แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”


 


นั่นทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลิวลี่หดเกร็ง เขาไม่พอใจ


 


เหล่าผู้คนกลั้นหัวเราะ หลิวลี่เป็นคนที่น่าอายที่สุด


 


แต่มู่เทียนทางนั้นกำลังหาหยินหยูเพื่อปรึกษางั้นรึ?


 


ทั้งสองมีความสัมพันธ์แบบใดกัน?


 


มู่เทียนฟางเหลือบตามองหลิวลี่และโบกมือให้ซือหยู


 


“หยินหยู นั่งที่นี่เถอะ ด้วยพลังและฐานะของเจ้า เจ้าเหมาะสมจะนั่งบนที่นั่งสวรรค์!”


 


ซือหยูประหลาดใจเล็กน้อย แม้มู่เทียนฟางจะหัวดื้อไปหน่อย แต่นางก็ไม่ใช่คนไม่ดี


 


“ไม่ต้องหรอก ที่นี่เงียบสงบดีแล้ว ข้าจะทำให้ตัวเองไม่สบายใจไปทำไมเล่า?”


 


ซือหยูยิ้ม


 


มู่เทียนฟางเหลือบตามองหลิวลี่อย่างดุร้ายและมองแบบเดียวกันกับโจวเนี่ยนเฉินที่มีสีหน้าไม่พอใจ นางนั่งลงข้างซือหยู


 


“หึหึ เจ้าทำให้คนเกลียดชังได้เก่งเหลือเกินนะ!”


 


มู่เทียนฟางประชดและนึกถึงครั้งแรกที่พบซือหยู นางแทบจะเป็นบ้าเพราะซือหยู


 


ซือหยูยักไหล่


 


“ขอบคุณที่ชม…แล้วเจ้าหาคนที่มารายงานเจอหรือไม่?”


 


มู่เทียนฟางใบหน้าเคร่งเครียด


 


“ไม่เลย นอกจากนั้น…”


 


“นอกจากนั้น…”


 


ซือหยูตาลุกวาว


 


“นอกจากนั้นคนที่รายงานก็ถูกฆ่าปิดปาก ข้าพูดถูกสินะ?”


 


มู่เทียนฟางประหลาดใจ นางมองซือหยูด้วยความตกใจ


 


“หุหุ ข้ามองไม่ออกเอาเสียเลย เจ้าฉลาดพอตัวเลยนะ”


 


“เขาตายแล้ว ถูกสังหารด้วยดัชนี ไร้ร่องรอยหลงเหลือ”


 


มู่เทียนฟางไม่พอใจ


 


ซือหยูแอบถอนหายใจ คงจะดีที่สุดถ้าเรื่องนี้ถูกสืบสวน แต่เขาไม่คิดจะเอาตัวเข้าไปยุ่ง


 


เรื่องนี้จึงลงเอยเช่นนี้


 


“ข้าจะต้องสืบเรื่องนี้แล้วนำคนผิดมาลงโทษให้ได้”


 


มู่เทียนฟางกำหมัดด้วยความโกรธ


 


ซือหยูนับถือนางแต่ก็ไม่คิดว่านางจะทำได้สำเร็จ


 


การทำให้โจวจิ้งยินยอมที่จะรับใช้และแทรกซึมเข้าไปในตระกูลเหยาได้ถึงสามปี คนที่ทำเช่นนี้ได้จะต้องไม่ธรรมดา


 


มู่เทียนฟางอาจจะไม่มีพลังพอที่จะจัดการได้


 


ซือหยูคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะแอบสลักชื่อ ‘โจวจิ้ง’ บนจี้ก่อนจะแอบเอาใส่ลงไปในชุดของมู่เทียนฟาง


 


แม้ว่านางจะหัวรั้นอยู่เล็กน้อย นางก็อาจจะได้เบาะแสว่าเหตุใดทำไมซือหยูจึงไล่ตามโจวจิ้งก่อนจะมาปรากฏตัวที่คอกไม้


 


“เอาล่ะ เชิญชมจันทร์กันเถอะ!”


 


มู่เทียนฟางยกแก้วสุราขึ้น


 


“แขกทุกท่าน มันจะไม่น่าเบื่อไปหน่อยรึถ้าที่นี่มีแต่ทิวทัศน์ เราไม่ทำอะไรให้มันน่าสนใจสักหน่อยรึ?”


 


มู่เทียนฟางพูดจบและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา


 


ผ้าเช็ดหน้านั้นสีขาวสะอาดและปักด้วยลานนกกระจอกสีสดใส


 


กลิ่มหอมอันลึกลับแพร่กระจายออกจากผ้าเช็ดหน้าเมื่อนางเอาออกมา


 


มันเป็นกลิ่นของสตรี


 


กลิ่นนั้นสดชื่นราวกับบุพผากมลกระจ่าง คนที่ได้รับกลิ่นมิอาจคิดหยาบช้าได้เลยเมื่อสัมผัส พวกเขาเพียงแค่รู้สึกพอใจอย่างมิอาจบรรยายได้


 


ราวกับเหล่าผู้คนกำลังมองบัวขาวที่ทำได้แค่มองจากที่ไกลๆ


 


ไม่มีใครที่คิดในทางอนาจารเลยหลังจากที่ได้กลิ่นหอมนั้น


 


ซงหลวนใจลอยและชื่นชมออกมาอย่างไม่ตั้งใจ


 


“กลิ่นบริสุทธิ์อันใดกัน กลิ่นกายของใครในโลกใบนี้กันที่มีพลังบริสุทธิ์เช่นนี้?”


 


ซือหยูประหลาดใจ


 


“ฎีกาสวรรค์รึ? นั่นยังเป็นระดับเทพด้วยรึ?”


 


เป็นผลจากฎีกาสวรรค์ที่มองไม่เห็นที่ทำให้เหล่าผู้คนรู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์อย่างไร้ขอบเขต


 


ทุกคนที่นี่ยกเว้นซือหยูมิอาจต้านทานผลของฎีกาสวรรค์อันบริสุทธิ์นั้นได้เลย เพราะเขาคือคนเดียวที่ครอบครองฎีกาสวรรค์ระดับเทพ


 


ในเส้นทางการบ่มเพาะพลังของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูได้เห็นคนที่ควบคุมฎีกาสวรรค์ระดับเทพได้นอกเหนือจากเขา


 


ใครกันที่เป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้?


 


“ความบริสุทธิ์ผุดผ่องนี้ หรือว่า…”


 


เพลิงความหลงใหลลุกในแววตาโจวเนี่ยนเฉิน


 


มู่เทียนฟางยิ้ม


 


“ดูเหมือนข้าจะไม่ต้องแนะนำ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้”


 


“ใช่แล้ว ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของส่วนตัวของสตรีวิหคเพลิงลำดับหนึ่ง เฟิงเซี่ยน!”


 


เหล่าผู้คนที่ได้ยินแสดงใบหน้าประหลาดออกมา


 


ทุกคนแกล้งทำเป็นสงบนิ่ง แต่พวกเขาก็มิอาจละสายตาไปจากผ้าเช็ดหน้าได้


 


แววตาของพวกเขาหิวกระหายและชื่นชม


 


เจียงมู่เฟยยิ้มและมองดูรอบๆ นางสังเกตเห็นซงหลวนที่ไม่ละสายตาจากผ้าเช็ดหน้าและไม่ยินดีเล็กน้อย นางบ่นและถอนหายใจแรง


 


“สตรีผู้นี้สำส่อนยิ่งกว่าจิ้งจอกเสียอีก สตรีลำดับหนึ่งอะไรกัน ข้าคิดว่านางเป็นแค่จิ้งจอกเท่านั้นแหละ”


 


ซงหลวนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม


 


“มู่เฟย ไม่ดีเลยที่เจ้าไปกล่าวหาคนอย่างนั้น! เฟิงเซี่ยนผู้นี้บริสุทธิ์ดั่งน้ำแข็ง ความบริสุทธิ์ของนางมิอาจมีผู้ใดเทียบได้หรอก”


 


“ว่ากันว่าตอนที่นางหยุดทำสมาธิ สัตว์นำโชคได้ลงมาปรากฏตัวจากสวรรค์ นั่นคืออาชามีเขาที่ปรากฏตัวให้นางได้ใช้เป็นพาหนะ”


 


“อาชามีเขานั้นเกิดบนสวรรค์และเป็นสัตว์วิญญาณที่มีคุณสมบัติวิญญาณสูงสุด มันมีแค่ตัวเดียวเท่านั้นในทวีปเฉินหลง! มันจะอยู่รอบสิ่งที่บริสุทธิ์เท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อาชามีเขาเข้าใกล้มนุษย์ นั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความบริสุทธิ์ของเฟิงเซี่ยนไม่มีผู้ใดเทียบได้”


 


คำร่ำลืออะไรกัน? ซือหยูตกใจ แค่ปีเดียว มารตัวน้อยอันสดใสอย่างเซี่ยนเอ๋อก็ได้กลายเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ไปแล้วรึ?


 


ซือหยูยิ่งคาดหวังที่จะได้กลับมาเจอกับเซี่ยนเอ๋อ เขาอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของนางด้วยตัวเอง


 


“ข้าก็แค่ล้อเล่นน่ะ”


 


เจียงมู่เฟยบ่น


 


“แต่นางก็อาจจะประเมินตัวเองสูงไปหน่อย นางต้องการใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเป็นรางวัลในการประลองรึ? ถ้าบุรุษทุกคนคิดจะประลองเพราะสิ่งนี้ พวกเขาก็อาจจะใช้ไม่ได้จนเกินไป….”


 


“หัวหน้ามู่ นั่นคือรางวัลของการประลองใช่หรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะเป็นคนแรกที่จะร่วมประลอง!”


 


มู่เทียนฟางหยักหน้าและยิ้ม


 


“ใช่แล้ว!”


 


เหล่าชายหนุ่มที่ได้ยินต่างตื่นเต้น


 


“หา! ลี่จูหลิน เจ้ามีสิทธิ์จะได้ที่หนึ่งตั้งแต่เมื่อใดกัน? เจ้ายังทนข้าไม่ถึงยี่สิบกระบวรท่าเลย! ผ้าเช็ดหน้านั่นเป็นของข้า กุยแฮเต็งผู้นี้!”


 


“เดี๋ยวสิ! อำมฤตระดับสามขั้นต้นอย่างเจ้าไม่ควรจะได้ผ้าเช็ดหน้าของเฟิงเซี่ยนหรอก!”


 


อำมฤตระดับสามขั้นกลางหนึ่งคนกระโดดขึ้นไปยังกลางลานประลอง


 


ใบพริบตา ทั้งลานประลองก็เต็มไปด้วยเสียงโวยวาย…ทั้งหมดก็เพราะผ้าเช็ดหน้าของเฟิงเซี่ยน


 


“พวกเจ้า…เจ้าพวกผู้ชายไร้สาระ น่าแค้นใจนัก!”


 


เจียงมู่เฟยกัดฟันแน่น นางกำหมัดทุบโต๊ะ


 


“ลงมาให้หมด! ไม่มีใครนอกจากข้าที่จะได้ผ้าเช็ดหน้า!”


 


ทุกคนเงียบกริบเมื่อเจียงมู่เฟยแสดงตัว


 


สตรีอย่างนางยังมาสู้เพื่อผ้าเช็ดหน้าของเฟิงเซี่ยง ทุกคนตกตะลึง


 


แต่ที่ทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้างก็คือพลังของเจียงมู่เฟย นางคือราชันย์สวรรค์ลำดับสองแห่งตำหนักเฉินเทียน! ใครกันจะกล้าประมาทนาง?


 


จางฉีหลิงกับคนอื่นกลับไปยังที่นั่งด้วยความไม่พอใจ


 


พวกเขาคงทนเจียงมู่เฟยได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า


 


เจียงมู่เฟยเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ นางฉีกยิ้มและหันไปมองซือหยู


 


“น้องซือหยู เจ้าอยากจะได้ผ้าเช็ดหน้าของแม่นางเฟิงเซี่ยนหรือไม่?”


 


ซือหยูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ที่คู่ประลองคนแรกเป็นนาง


 


นางอยากจะประลองกับซือหยูตั้งแต่เมื่อครู่ และนางก็ได้โอกาสนั้นอย่างรวดเร็ว


 


ซือหยูไม่พูดพร่ำทำเพลง เขายืนขึ้นทันที


 


“ก็ได้! ข้ายอมรับคำท้า ข้าไม่อยากให้ชายอื่นได้ของของเซี่ยนเอ๋อไปหรอก”


 


แม้จะเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้า เขาก็ไม่สบายใจที่จะให้ชายอื่นไป


 


โดยเฉพาะฝูงคนอันหยาบโลนเช่นนี้ คงจะดีกว่าถ้าเขาจะรับเอาผ้าเช็ดหน้านั้นไว้เอง


 


ซงหลวนวางแก้วชาในมือ


 


“ย่อมได้ ข้าก็อยากเห็นพลังที่แท้จริงของตำนานยอดฝีมือเหมือนกัน”


 


ในตอนนั้น พวกเขาเป็นศูนย์รวมความสนใจของทุกคน หลายคนตื่นเต้นกับการต่อสู้ของพวกเขา


 


การได้เป็นสักขีพยานในพลังของยอดฝีมือในตำนานแห่งทวีปนั้นทำให้พวกเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

 

 

 


ตอนที่ 361

 

“เดี๋ยวก่อน!”


 


มู่เทียนฟางเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้อย่างดี แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


“พิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย ว่ากันว่าเจ้ามีปัญญาตั้งแต่แรกเกิด เจ้าเข้าสู่การบ่มเพาะพลังตั้งแต่สามขวบ เจ้าเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เก้าขวบ แล้วยังทะลวงขอบเขตมังกรที่อายุสิบสี่ แล้วอายุสิบแปดเจ้าก็ได้เป็นอำมฤตระดับสามขั้นสูง”


 


“ทั้งชีวิตของเจ้าเป็นตำนาน! มีข่าวว่าตำแหน่งรองเจ้าตำหนักลำดับสิบเหลือทิ้งไว้ให้เจ้า แต่เจ้าปฏิเสธ”


 


“ข้าได้ยินชื่อของเจ้าตั้งแต่ยังสาว อยากจะเจอเจ้ามานาน แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่เคยมีโอกาสได้พบเจ้าสักครั้ง ในวันนี้ เจ้าจะให้โอกาสข้าได้ประลองกับเจ้าสักครั้งได้หรือไม่?”


 


เหล่ายอดฝีมือมองไปทางเจียงมู่เฟยด้วยความนับถือยิ่งกว่าเดิม


 


นางคือสตรีผู้เป็นตำนานจริงๆ


 


ด้วยอายุเพียงเท่านี้ พรสวรรค์และความงดงามของนางนั้นมากมาย!


 


ซือหยูแอบตกใจ!


 


นางเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เก้าขวบรึ? ตอนที่ซือหยูเก้าขวบ เขาเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกตนระดับหนึ่ง


 


เมื่อเทียบกันด้านพรสวรรค์ เจียงมู่เฟยนั้นเหนือกว่าฮั่วฉีหลาน


 


ในทวีปแห่งนี้ นางคู่ควรอย่างมากที่จะถูกเรียกว่าหญิงสาวผู้ได้รับพรจากสวรรค์


 


ด้วยความเร็วในการพุ่งทะยานเช่นนี้ นางจะต้องเป็นจ้าวสวรรค์ที่แข็งแกร่งในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน


 


เจียงมู่เฟยกระพริบตา


 


“ฮ่าๆๆ มิใช่ว่าตำนานคือหยินหยูหรอกรึ? นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีเฟิงเซี่ยน นางคือของจริง เทียบกับนางแล้วข้าจะเป็นสิ่งใดกัน?”


 


แม้นางจะพูดอย่างเจียมตัว แต่คำพูดนั้นก็แฝงความริษยาเล็กน้อย


 


ถ้าไม่มีซือหยู นางก็คงจะเป็นตำนานยอดฝีมือ


 


ถ้าไม่มีเฟิงเซี่ยน นางก็คือหญิงสาวที่ได้รับพรจากสวรรค์


 


แต่ทั้งสองมีพลังเหนือนาง นางจึงหม่นหมองลง


 


“ถ้าพี่สาวมู่อยากจะประลองกับข้าก็ผ่านน้องหยินหยูให้ได้เสียก่อนเถอะ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นคนแรกที่ยอมรับการประลอง”


 


เจียงมู่เฟยยิ้ม ใบหน้านางนั้นไร้เดียงสาและน่าหลงใหล


 


มู่เทียนฟางประสานหมัดต่อหน้าซือหยู


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู เจ้าให้ข้าสู้จะได้หรือไม่?”


 


ซือหยูยอมนาง


 


“ย่อมได้ หัวหน้ามู่ประลองก่อนเถอะ”


 


หลังจากที่ทั้งสองตกลงจะประลอง เหล่ายอดฝีมือต่างตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม


 


ฝ่ายหนึ่งคือเทพีผู้ได้รับพร ส่วนอีกฝ่ายคือสตรีวิหคเพลิงมากประสบการณ์ ฝ่ายหนึ่งละเอียดอ่อน น่ารัก และสละสลวย ส่วนอีกคนนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องและเป็นที่ชื่นชอบ


 


ทั้งสองทั้งสง่างาม เฉียวฉลาด และงดงามเป็นอย่างมาก ใครกันที่จะเก่งกว่า?


 


ทั้งสองยืนอยู่กลางลานประลองและมองหน้ากัน


 


“หนูน้อยเจียง ข้ามิใช่บุรุษที่จะแสดงความสงสารและหลงรักเจ้าหรอกนะ ระวังตัวด้วย!”


 


โลหิตของมู่เทียนฟางเดือดพล่าน


 


“หัตถ์จับมังกร”


 


แขนทั้งสองข้างของนางปกคลุมด้วยพลังวิญญาณและเปลี่ยนเป็นกรงเล็กยักษ์ที่ยาวห้าศอก กรงเล็บยักษ์นั้นมีพลังอันมหาศาล


 


พลังมหาศาลจากทุกพื้นที่พุ่งเข้ามา


 


รอยยิ้มของเจียงมู่เฟยเป็นดั่งบุพผา ลักยิ้มเล็กๆทั้งสองข้างบนแก้มนั้นดูผ่อนคลาย


 


“ฮ่าๆๆ วิชาอำมฤตระดับสอง น่าประทับใจ”


 


“แต่พี่สาวมู่น่าจะต้องระวังเหมือนกันนะ”


 


เจียงมู่เฟยยื่นมือเล็กๆออกไปและยิ้ม


 


ที่กลางฝ่ามือของนางมีก้อนพลังวิญญาณที่มีชีวิตชีวาดั่งต้นท้อ


 


กลีบสีชมพูเติมเต็มต้นท้อ มันเหมือนจริงอย่างมาก


 


ฟู่ว—


 


เจียงมู่เฟยเป่าฝ่ามือของตัวเอง


 


ต้นท้อปัดปลิว กลีบดอกท้อบินลอยดั่งขนวิหค กลีบท้อปกคลุมหอชมจันทร์


 


กลีบเหล่านั้นโปรยปรายอย่างช้าๆ ดูเหมือนฝนดอกท้อ


 


นั่นคือที่มาของพิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย


 


ดอกท้ออันงดงามเหล่านี้มิได้สวยงามเพียงเท่านั้น


 


มู่เทียนฟางราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัว เมื่อนางพุ่งเข้าไปโจมตีก็ไม่ลืมที่จะปล่อยชั้นพลังวิญญาณออกมาป้องกันร่างกาย เพราะนางระวังกับฝนดอกท้อที่เต็มนภาอย่างมาก


 


เมื่อกลีบดอกท้อสัมผัสกับชั้นพลังวิญญาณบนร่าง ชั้นพลังวิญญาณทั้งหมดของมู่เทียนฟางก็หายไป กลีบดอกท้อหลงเหลือเพียงร่องรอยพลังวิญญาณเล็กๆเท่านั้น


 


เจียงมู่เฟยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์


 


“พี่สาวมู่ ท่านป้องกันข้าแบบนั้นไม่ได้หรอก”


 


“พิรุณดอกท้อ!”


 


เจียงมู่เฟยกำหมัด


 


เหล่ากลีบดอกท้อราวกับพิรุณกระหน่ำที่เปลี่ยนเป็นฝนศรสีชมพูพุ่งไปทางมู่เทียนฟาง


 


แย่แล้ว!


 


สีหน้าของมู่เทียนฟางเคร่งเครียดอย่างมาก นางเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายป้องกัน


 


นางปล่อยพลังวิญญาณล้อมกายเพื่อปกป้องพิรุณดอกท้อที่กระหน่ำเข้ามา


 


แต่ที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือฝนดอกท้อนั้นแล่นผ่านชั้นพลังวิญญาณไปยังร่างของมู่เทียนฟางอย่างง่ายดาย


 


หนึ่งกลีบ สองกลีบ สามกลีบ…


 


พิรุณไร้ขอบเขตปกคลุมร่างมู่เทียนฟางโดยสมบูรณ์


 


ทุกครั้งที่นางถูกพิรุณซัดใส่ รอยดอกท้อจะปรากฏบนร่างของนาง


 


เพียงสามอึดใจ ทั่วร่างของมู่เทียนฟางเต็มไปด้วยรอยดอกท้อ


 


“ฮ่าๆๆ จับก้นตัวเองซิ”


 


เจียงมู่เฟยชี้ดัชนีไปบนนภาและขยับตัว


 


รอยดอกท้อบนร่างของมู่เทียนฟางเปล่งแสงสีชมพู


 


ส่วนร่างของมู่เทียนฟางนั้นขยับไปเอง นางตัวสั่นต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก นางกำลังจะจับก้นตัวเอง!


 


“หยุดนะ! ข้าขอยอมแพ้!”


 


มู่เทียนฟางรีบพูด


 


เจียงมู่เฟยยิ้มอย่างน่ากลัวและดีดนิ้ว รอยดอกท้อบนร่างของมู่เทียนฟางเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณหวนคืน


 


มู่เทียนฟางหน้าแดง นางพูดด้วยความโกรธ


 


“นังเด็กนิสัยไม่ดี!”


 


ทุกคนจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาแทบจะกัดลิ้น


 


หลายคนเคยได้ยินนามของพิรุณดอกท้อ แต่พวกเขาไม่เคยเห็นกับตา


 


ตอนนี้พวกเขาได้รับรู้แล้วว่ามันน่ากลัวเพียงใด


 


มันคือวิชาประเภท ‘สัญลักษณ์’ ในระดับอำมฤตที่แปลกประหลาดอย่างมาก


 


เมื่อรอยดอกท้อถูกสร้างบนตัว ร่างของคนผู้นั้นจะถูกบังคับ!


 


แม้ทั้งคู่จะเป็นอำมฤตระดับสามขั้นสูง มู่เทียนฟางก็มิใช่ศัตรูของเจียงมู่เฟย!


 


ทั้งสองห่างชั้นเพียงใดกัน?


 


ซือหยูแอบตกใจกับวิชาประหลาด


 


ถ้าซือหยูประมาท เขาก็อาจจะถูกควบคุมและพ่ายแพ้เช่นเดียวกัน


 


“ขอบคุณพี่สาวมู่ที่ให้ข้าชนะ”


 


เจียงมู่เฟยเชิดหน้าอย่างภูมิใจ


 


มู่เทียนฟางสีหน้าไม่พอใจและสิ้นหวัง นางกลับไปนั่งด้วยความอับอาย


 


นางเคยคิดว่าด้วยประสบการณ์มากมายหลายปี นางมีโอกาสสูงที่จะชนะ แต่เมื่อนางได้สู้กับเจียงมู่เฟยจริงๆ นางกลับมิอาจป้องกันกระบวนท่าของอีกฝ่ายไม่ได้เลย


 


นั่นทำให้นางอับอายอยู่เล็กน้อย


 


“ถึงตาเจ้าแล้ว อย่ามาอ้อนข้อกับข้าล่ะ!”


 


มู่เทียนฟางเตือนอย่างดุร้าย ในวันนั้น ซือหยูทำกับนางอย่างป่าเถื่อนและไร้เยื่อใย


 


ซือหยูหัวเราะ เขายืนขึ้นและพร้อมที่จะต่อสู้


 


แต่ในตอนนั้นเองเสียงที่ประหลาดอย่างมากก็ดังมาจากที่นั่งสวรรค์


 


“สมกับเป็นยอดฝีมือจากร้อยดินแดน ยากมากที่จะชื่นชมมาตรฐานของร้อยดินแดน แต่ในที่ที่ขาดทรัพยากรเช่นนั้น เจ้ายังแสดงพลังเช่นนี้ออกมาได้ สมควรชื่นชมยิ่งนัก”


 


เอ๋? ซงหลวนไม่พูดอะไร…ราวกับไม่ได้ยิน เขายังคงเป็นสุภาพบุรุษเช่นทุกที


 


เจียงมู่เฟยเป็นคนตรงไปตรงมา นางตอบกลับด้วยการถากถาง


 


“ถ้ามหาบุตรของหอสดับหิมะเก่งนัก แล้วทำไมหยินหยูที่มาจากร้อยดินแดนถึงสังหารได้ถึงสองคนในคราเดียวเล่า?”


 


“ร้อยดินแดนของพวกข้าก็แค่ขาดทรัพยากร ถ้าพวกข้าเหมือนหอสดับหิมะที่มีทรัพยากรสูงสุดในทวีป มหาบุตรทั้งสี่ก็คงจะไม่มีที่ยืนไปนานแล้ว”


 


คำพูดของนางเป็นความจริงและสมเหตุสมผล


 


สีหน้าของโจวเนี่ยนเฉินหม่นหมองในทันที


 


“สาวน้อย ปากเจ้าไม่ควรจะใช้พูดจาไร้สาระเช่นนั้น ระวังปากเจ้าเองให้ดีเถอะ!”


 


เจียงมู่เฟยนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา นางจะทนให้คนมาดูหมิ่นได้อย่างไร?

 

 

 


ตอนที่ 362

 

“ตลกสิ้นดี! เจ้าพูดเรื่องไร้สาระหลังจากที่ดูการประลองแต่กลับโกรธที่ข้าพูดแค่สองประโยคงั้นเรอะ? หอชมจันทร์นี่เป็นของหอสดับหิมะรึไงกัน? เจ้าจะใช้ที่นี่พูดจาไม่ระวังปากยังไงก็ได้ แต่คนอื่นจะพูดความจริงไม่ได้งั้นเรอะ?”


 


คนที่เหลือหัวเราะในใจ


 


เจียงมู่เฟยผู้นี้ปากร้ายยิ่งนัก นางเหยียดหยามโจวเนี่ยนเฉินได้ในคำพูดไม่กี่คำ


 


“ฮื่ม! แม่สาวน้อย ข้าว่าเจ้าขาดการอบรมที่ดีไปนะ!”


 


โจวเนี่ยนเฉินบีบแก้วในมือจนแตก เขารีบเดินไปยังลานประลอง


 


“เจ้ากล้าประลองกับข้าหรือไม่?”


 


โจวเนี่ยนเฉินหัวเราะ


 


เจียงมู่เฟยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย


 


“ข้าจะต้องกลัวอะไรกันเล่า?”


 


ซือหยูอยากจะหยุดนางแต่ก็ไม่ทันการ


 


เพราะอย่างไรนางก็ยังอายุน้อย ไม่มีทางที่นางจะรับมือโจวเนี่ยนเฉินได้แน่


 


รอยยิ้มอันเย็นชาปรากฏบนใบหน้าโจวเนี่ยนเฉิน


 


“โง่เขลานัก!”


 


ฟึ่บ–


 


เสียงของโจวเนี่ยนเฉินยังอยู่แต่ตัวของเขาหายไป


 


หลงเหลือเพียงภาพติดตา


 


ร่างจริงของเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าเจียงมู่เฟย!


 


เจียงมู่เฟยคิ้วกระตุก สีหน้าของนางหม่นหมอง


 


นางมองตามการเคลื่อนไหวของโจวเนี่ยนเฉินไม่ทัน!


 


พลังของทั้งสองอยู่คนละระดับ


 


“ข้าจะไม่รังแกเจ้า ข้าจะต่อให้เจ้าสองกระบวนท่า!”


 


โจวเนี่ยนเฉินที่เอามือพาไพล่หลังนั้นพูดอย่างเย็นชา


 


เจียงมู่เฟยคำราม


 


“พิรุณดอกท้อ!”


 


ทั้งเวทีเต็มไปด้วยกลีบดอกท้อในทันที


 


และราวกับมันคือวายุ เหล่าบุพผาหมุนวนซัดเข้าใส่โจวเนี่ยนเฉิน


 


ในด้านพลัง มันเหนือกว่าครั้งที่นางใช้กับมู่เทียนฟางหลายเท่า!


 


นางยังคงซุกซ่อนพลังเอาไว้จนถึงตอนนี้!


 


โจวเนี่ยนเฉินใจเย็น เขามองอย่างเหยียดหยาม


 


“คนจากร้อยดินแดนก็ทำได้แค่ใช้กลสกปรก!”


 


เขายืนมือไพล่หลังโดยไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว


 


เปาะ แปะ—


 


แต่ก่อนที่พิรุณดอกท้อจะได้สัมผัสกายของเขา เหล่าดอกท้อทั้งหมดได้ระเบิดออก พวกมันกระจัดกระจายเป็นพลังวิญญาณ


 


โจวเนี่ยนเฉินใช้พลังวิญญาณปกคลุมกาย!


 


พิรุณดอกท้อมิอาจทะลวงผ่านชั้นพลังวิญญาณอันหนาแน่นได้ มันจึงถูกสะบั้นกลับคืนเป็นพลังวิญญาณ!


 


เทียบกับมู่เทียนฟางที่แพ้หมดท่าแล้ว…ทุกคนตกตะลึง


 


สมกับที่เขาเป็นอำมฤตระดับสี่ แม้แต่พลังวิญญาณก้แข็งแกร่งกว่าอำมฤตระดับสามอยู่มาก


 


ความแตกต่างนั้นกว้างใหญ่


 


“เจ้ายังเหลืออีกหนึ่งกระบวนท่า”


 


โจวเนี่ยนเย้ยเยาะเย้ยอย่างสบายๆ


 


เจียงมู่เฟยหน้าซีด นางรู้สึกไม่พอใจ


 


“ฮื่ม! มันยังไม่จบหรอก!”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


นางฉาบนภาด้วยกลีบดอกท้ออีกครั้ง พวกมันหมุนวนล้อมโจวเนี่ยนเฉินอย่างแน่นหนา


 


“ใช้กลเก่ามันทำให้เจ้าน่าสนใจมากขึ้นรึไง?”


 


เสียงของโจวเนี่ยนเฉินดังออกมาจากผนึกดอกท้อ


 


เจียงมู่เฟยยิ้มอย่างเยือกเย็น


 


“ไม่ลองเจ้าก็ไม่รู้หรอก!”


 


“พิรุณดอกท้อ!”


 


ตู้ม—-


 


ทันใดนั้นผนึกดอกท้อก็เกิดระเบิดขึ้น!


 


พลังนั้นเทียบได้กับการโจมตีของอำมฤตระดับสาม!


 


ผลของคลื่นพลังนั้นทำให้เหล่าแขกบนโต๊ะเป็นกังวล


 


“พิรุณดอกท้อนั่น…ระเบิดได้งั้นรึ? พลังมันน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวรึ?”


 


ยอดฝีมือหลายคนสีหน้าเคร่งเครียด


 


ตู้ม ตู้ม ตู้ม—


 


จากนั้นดอกท้อหลายพันดอกที่ล้อมโจวเนี่ยนเฉินก็ระเบิดพร้อมกัน!


 


เสียงระเบิดนับไม่ถ้วนดังซ้อนกันไปมา กลายเป็นเสียงคำรามลั่นขอบฟ้า


 


หอวิหคเพลิงทั้งหอสั่นอย่างแรง


 


หลังคาของหอถูกระเบิดจนเปิดออกด้วยพลังอันน่ากลัว ชั้นไม้ที่ใช้ก่อสร้างและแผ่นกระเบื้องกลายเป็นฝุ่นผง


 


มันหล่นลงมากลายเป็นพิรุณฝุ่นปกคลุมเวทีจันทร์เต็มดวง


 


โต๊ะของที่นั่งมนุษย์สองตัวที่ไกลจนเกิดไปกระเด็นลอย คนที่นั่งอยู่กระเด็นออกจากหอวิหคเพลิงพร้อมกับเสียงกรีดร้อง


 


คนที่เหลือต้องปล่อยพลังวิญญาณออกมาเพื่อกดโต๊ะเอาไว้ พวกเขาจะได้ไม่ลอยไปกับคลื่นพลังมหาศาล


 


แม้แต่ซือหยูก็ต้องใช้พลังวิญญาณออกมาปกคลุมกายเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกคลื่นพลังทำร้าย


 


“วิชาลับของนางทรงพลังจริงๆ!”


 


ซือหยูแอบตกใจ


 


พลังของวิชานี้ใกล้เคียงกับขอบเขตอำมฤตระดับสี่อย่างไม่น่าเชื่อ


 


ซือหยูถามตัวเองว่าเขาจะกล้ารับพลังนี้หรือไม่


 


เขาตระหนักแล้วว่าเขาประเมินนางต่ำไป!


 


พลังอันเกิดจินตนาการซ่อนอยู่ในความบริสุทธิ์น่าหลงใหลที่ภายนอก!


 


บอกได้เลยว่าเจียงมู่เฟยได้ก้าวไปยังขอบเขตอำมฤตระดับสี่แล้ว!


 


แต่เมื่อฝุ่นสงบลง ทุกคนก็เบิกตากว้างเมื่อมองโจวเนี่ยนเฉิน


 


โจวเนี่ยนเฉินยังคงยืนอยู่ในท่าเดิม เขาไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย!


 


ฝุ่นควันและเศษซากจากการระเบิดเข้ามาแค่เกือบถึงตัวเขา แต่ไม่เคยได้สัมผัสเขาเลย!


 


“เขาใช้การหมุนของพลังวิญญาณกลบผลของแรงระเบิดงั้นรึ?”


 


ซงหลวนพูดออกมาด้วยความไม่สบายใจ


 


“หรือว่ามันคือวิชาระดับสูงของหอสดับหิมะ คลื่นกลืนกิน! มันมีส่วนของวิชาระดับตำนานอยู่ด้วย หลังจากบ่มเพาะวิชานั้นแล้วจะทำให้ควบคุมพลังวิญญาณให้หมุนวนเพื่อลบพลังโจมตีได้ถึงเก้าในสิบส่วน!”


 


“แต่การบ่มเพาะนั้นยากอย่างไม่น่าเชื่อ มีแค่ยอดฝีมือที่มีคุณสมบัติเป็นจ้าวแห่งหอสดับหิมะเท่านั้นที่จะบ่มเพาะได้สำเร็จในประวัติศาสตร์ของหอสดับหิมะ ในยุคนี้ ที่ข้ารู้ก็มีแต่โจวเนี่ยนเฉินที่บ่มเพาะมันได้!”


 


คลื่นกลืนกินงั้นรึ? เหล่าผู้คนตกใจ


 


วิชาที่ไม่ต่างกับเทพที่มีส่วนพลังของวิชาระดับตำนาน!


 


การป้องกันที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ที่จะป้องกันพลังได้ถึงเก้าในสิบส่วน!


 


“นอกเสียจากฐานพลังเจ้าจะสูงกว่านี้ ข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครล้างผลของคลื่นกลืนกินได้”


 


ซงหลวนสีหน้าเคร่างเครียด


 


เขายืนอยู่ที่กลางลานประลองอย่างผ่อนคลาย พลังวิญญาณรอบตัวโจวเนี่ยนเฉินค่อยๆหายไป เขามองไปทางเจียงมู่เฟย


 


“หมดสองกระบวนท่าแล้ว ตอนนี้ข้าจะไม่ออมมื…..”


 


“ฮื่ม! มีแค่ผีเท่านั้นแหละที่จะสู้กับเจ้า! ข้ายอมแพ้!”


 


เจียงมู่เฟยถอนหายใจแรง นางยอมแพ้อย่างเจ้าเล่ห์


 


ความต่างระหว่างทั้งคู่น่ากลัวจนเกินไป นางไม่โง่พอที่จะสู้กับเขาแน่


 


โจวเนี่ยนเฉินหัวเราะ


 


“ยอมแพ้แม้จะยังไม่ได้สู้ เจ้ามาเพื่อสร้างเกียรติยศแก่ร้อยดินแดนได้ดีจริงๆ!”


 


โจวเนี่ยนเฉินพูดจบและหันไปมองซือหยู


 


“เจ้าได้ชมการแสดงดีๆไปแล้ว เจ้ายังกล้าจะประลองกับข้าอยู่หรือไม่?”


 


พลังที่แสดงออกมาจากการต่อสู้เมื่อครู่ได้ทำให้เหล่าผู้คนเข้าใจ


 


มหาบุตรที่สองแห่งหอสดับหิมะ โจรเนี่ยนเฉิน เขาน่ากลัวยิ่งกว่าคำร่ำลือ


 


แต่ที่ทำให้เหล่าผู้คนนิ่งงันก็คือซือหยูที่มองรอบๆอย่างใจเย็นและเอ่ยออกมา


 


“มีใครอยากจะสู้กับเขาหรือไม่?”


 


เขาอยากจะขึ้นลานประลองหลายครั้งหลายคราแต่ก็มีคนเข้ามาแทรกเสมอ นั่นคือเหตุที่เขาถามคำถามนี้


 


เสียงของซือหยูดังสะท้อนทั่วหอชมจันทร์ ไม่มีใครตอบเขา


 


ซือหยูยืนขึ้นช้าๆ


 


“โจวเนี่ยนเฉิน เจ้ายังมีเวลาครึ่งชั่วยามไปเตรียมโลงศพของเจ้านะ!”


 


เหล่าผู้คนอ้าปากค้าง จิตใจพวกเขาสับสน


 


คำพูดอันหยาบคายของซือหยูก่อนหน้านี้สามารถบอกได้ว่าเป็นความไม่รู้


 


แต่เขายังพูดแบบนี้อยู่ได้หลังจากที่มองดูการต่อสู้ของโจวเนี่ยนเฉินไปแล้ว จิตใจของเขาทำด้วยอะไรกัน!


 


โจวเนี่ยนเฉินหายใจเบาๆและหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“ข้าไม่รู้จริงๆว่าคนโง่เขลาอย่างเจ้ามีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้ได้ยังไง!”


 


“ค่อยมาพูดหลังจากสู้แล้วเถอะ ถ้าไม่มีใครเก็บศพเจ้า ข้าก็จะขอให้คนเตรียมโลงให้เจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องหลังจากที่เจ้าตาย!”


 


หากเรื่องมาถึงขั้นนี้ มันจะคลี่คลายได้ก็ต่อเมื่อต่อสู้กันเท่านั้น


 


ซือหยูหลับตาช้าๆ เขาลืมตาอีกครั้ง ความดุร้ายฉาบประกายดวงตา


 


“เริ่มต่อสู้กันได้แล้ว!”


 


ครั้งนี้ ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งระหว่างพวกเขา ไม่มีใครที่มีพลังจะทำเช่นนั้น!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม