The Divine Nine Dragon Cauldron 335-348

ตอนที่ 335

 

พื้นที่เต็มไปด้วยเศษเนื้อเปล่งพลังความเย็นออกมา


 


สามลี้นับจากตรงนี้ ทุกสิ่งเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง


 


เหล่าสัตว์อสูรโดยรอบยังคงอยู่ในท่าเดิมก่อนตาย นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกมันถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็วจนไม่มีแม้แต่เวลาจะได้ตอบสนอง


 


“เย็นยิ่งนัก!”


 


ซือหยูตกใจ ผนึกเพลิงเมฆาบนหน้าผากลุกอย่างต่อเนื่องราวกับกองเพลิง


 


เมื่อมองเศษซากที่กระจัดกระจาย ซือหยูก็ตกตะลึง


 


“สมกับเป็นสัตว์อสูรระดับสี่ พลังความเย็นในโลหิตเทียบไม่ได้กับสัตว์อสูรธรรมดาเลย”


 


เมื่อครู่ นี่คือสัตว์อสูรที่แทบจะทำลายล้างเหล่ายอดฝีมือ


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเมืองอันยี่ลงมือ เมืองอันยี่ก็คงจะถูกทำลายในพริบตาเดียว!


 


“ถ้าข้าดูดซับพลังในโลหิตนี้ พลังความเย็นในกายข้าจะเติบโตขึ้นเท่าใดกัน”


 


แววตาซือหยูเต็มไปด้วยความคาดหวัง


 


ตั้งแต่ที่สระน้ำแข็ง ซือหยูไม่มีโอกาสได้พบกับพลังความเย็นที่แข็งแกร่งกว่าเลยแม้สักครั้ง


 


โลหิตของสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือพลังความเย็นสูงสุดที่เขาเคยเจอ


 


ถ้าเขาดูดซับมันให้เป็นของตัวเองล่ะก็….


 


ซือหยูเดินไปยังหยดโลหิตที่หยดลงบนก้อนศิลาทันที


 


โลหิตนั้นเป็นประกายระยิบระดับดั่งอัญมณี มันไม่มีสิ่งปนเปื้อนแม้แต่น้อย


 


แต่ศิลาที่อยู่ใต้โลหิตนั้นดูราวกับเมล็ดข้าว


 


ด้วยพลังความเย็นเช่นนี้ ศิลาแทบจะคงรูปลักษณ์เดิมไม่ได้


 


เมื่อซือหยูเข้าไปใกล้ขึ้น ทั้งร่างของเขาก็เต็มไปด้วยน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก


 


ซือหยูก้าวไปข้างหน้า เมื่อเขาไปถึงครึ่งก้าว กล้ามเนื้อของเขาเริ่มหดตัว พลังความเย็นราวกับหนามแหลมที่ทิ่มแทงเนื้อหนัง!


 


ซือหยูคำรามกัดฟันคว้าหยดโลหิตขึ้นมา


 


แกร๊ก—


 


ทั้งกายของซือหยูถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เขาขยับไม่ได้อีกต่อไป


 


พลังงานในร่างถูกดูดกลืนอย่างรวดเร็ว


 


และแม้วิญญาณก็หนาวเหน็บ!


 


ภาพที่มองเห็นเลือนลางลงไป สติของเขาเริ่มจะหยุดทำงาน


 


เพียงโลหิตหยดเดียวก็มีพลังเช่นนี้!


 


ในตอนนี้ ผนึกเพลิงเมฆาบนหน้าผากลุกโชน มันกลืนกินพลังความเย็นนั้นเข้าไป


 


หัวใจแก่นแท้จิตน้ำแข็งของซือหยูเต้นอย่างบ้าคลั่ง


 


น้ำแข็งในร่างเริ่มละลาย หมอกขาวกระจ่างเกิดขึ้นทำให้สิ่งรอบข้างราวกับเป็นดินแดนมหัศจรรย์


 


ครึ่งชั่วยามผ่านไป ซือหยูไม่อยู่ในสภาพที่เป็นน้ำแข็งอีกแล้ว


 


เฮือก—-


 


ซือหยูสะบัดตัว เขาหายใจเข้าลึกในทันที เขาหน้าแดงก่ำ แววตามีแต่ความกลัว


 


“พลังนี่มันน่ากลัวจริงๆ! โลหิตหยดเดียวก็เกินพอที่จะแช่แข็งข้าให้ตายได้แล้ว!”


 


แม้เขาจะมั่นใจอยู่บ้างว่าเขาจะชำระหยดโลหิตได้ มันก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อครู่…ชีวิตเขาถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย


 


แต่สิ่งที่เขาได้รับนั้นนับว่ายิ่งใหญ่


 


ผนึกเพลิงเมฆาบนหน้าผากได้เปลี่ยนจากสีชาดเป็นสีแก้วกระจ่างมองดูคล้ายกับเพลิงสองกองที่ลุกพร้อมกัน


 


และพลังความเย็นยังเพิ่มขึ้นมาเป็นสามเท่า!


 


เมื่อเขาปล่อยลมหายใจ เขาก็ปลดปล่อยพลังความเย็นมากพอที่จะทำให้คนตายได้


 


แต่มันก็ยังไม่พอ!


 


ซือหยูออกเดินหลายสิบลี้ เขาใช้เวลาหลายชั่วยามในการเก็บโลหิตให้มากเท่าที่เขาจะทำได้


 


เขานั่งลงในหลุมใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาถือกล่องหยกไว้ในมือ กล่องหยกนั้นส่งพลังความเย็นไปถึงกระดูกออกมา เขาโศกเศร้า


 


“พลังความยเ็นส่วนมากถูกเจ้าเมืองอันยี่ทำลายไปแล้ว เหลือหยดโลหิตแค่เก้าหยดเท่านั้น”


 


ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ซือหยูกลืนหยดโลหิตอีกหนึ่งหยด


 


ร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยพลังความเย็นอีกครั้ง แม้ว่ามันจะไม่อันตรายเท่าครั้งแรก แต่มันก็แช่แข็งพลังชีวิตของซือหยูไปมากกว่าครึ่ง!


 


หลังจากดูดซับพลังงานจนสำเร็จ ซือหยูพักอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็กัดฟันดูดกลืนโลหิตหยดต่อไป


 


ครึ่งวันผ่านไป


 


ทุกสิ่งในระยะสามสิบลี้โดยมีซือหยูเป็นจุดศูนย์กลางนั้นถูกปกคลุมด้วยพลังความเย็นอันน่ากลัว


 


แม้แต่คลื่นสัตว์อสูรก็ต้องเปลี่ยนเส้นทาง สัตว์อสูรทั้งหมดที่เข้ามาในระยะล้วนถูกแช่แข็ง


 


แกร๊ก—-


 


ทันใดนั้นเอง คลื่นความเย็นขาวกระจ่างดั่งคลื่นยักษ์ก็พุ่งเข้าไปทางเมืองอันยี่


 


คลื่นความเย็นได้ยื่นออกไปหลายสิบลี้ เหล่าบุพผาแมกไม้ล้วนกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง


 


หากมองดูจากที่ไกลจะพบว่ามันงดงามราวกับมหาสมุทรเชี่ยวกรากที่สงบลง


 


ที่ศูนย์กลางพลัง ชายหนุ่มที่ทั้งกายปกคลุมด้วยน้ำแข็งลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ


 


ดวงตาสีดำทั้งสองข้างเปล่งประกายดั่งมุกน้ำแข็ง แสดงความเย็นอย่างไร้สิ้นสุด


 


เฮือก—


 


ซือหยูสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง พลังความเย็นปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่


 


“ขีดจำกัดของข้าอยู่ที่แปดหยดสินะ?”


 


เขามองหยดโลหิตที่เหลือในขวดหยกและรู้สึกประหลาดใจ


 


ร่างกายและดวงวิญญาณของเขาไปถึงขีดจำกัดที่มิอาจดูดซับพลังความเย็นได้มากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเขาดูดซับมันต่อไป ร่างของเขาจะระเบิดออก…และเขาจะตาย


 


ซือหยูเก็บหยดโลหิตที่เหลืออย่างระมัดระวัง เขาพอใจมากกับผลของโลหิตเยือกแข็งนี้


 


แค่พลังความเย็นอย่างเดียว การหายใจของเขาก็ทำให้ยอดฝีมือขอบเขตอำมฤตระดับสองถูกแช่แข็งในพริบตาแล้ว


 


ถ้าเขาใช้พลังเต็มที่ ขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นสูงก็จำต้องถอยหนี


 


หากมองดูจากพลังก็พูดได้เลยว่าเขาเพิ่มพลังไปหนึ่งระดับเต็มๆ


 


และน่าประหลาดมากที่พลังอันแข็งแกร่งในโลหิตทำให้ฐานพลังของซือหยูเพิ่มขึ้นเป็นอำมฤตระดับสองขั้นสูง


 


เขาใกล้เคียงกับอำมฤตระดับสามอย่างมากแล้วในตอนนี้


 


เขายืนขึ้นช้าๆและมองไปทางเมืองอันยี่


 


“ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะไม่ทำให้มือข้าต้องเปื้อนเลือดนะ!”


 


พรึ่บ–


 


แสงกระจ่างแล่นผ่าน ซือหยูกลายเป็นก้อนน้ำแข็งและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


 


ที่เมืองอันยี่


 


คลื่นสัตว์อสูรยังคงโหมกระหน่ำไร้สิ้นสุด เหล่านักสู้พยายามสุดฝีมือเพื่อที่จะโต้กลับ


 


ที่หน้ากำแพงเมืองเต็มไปด้วยซากศพสัตว์อสูรนับไม่ถ้วน มีมนุษย์มากกว่าสองในสิบส่วนที่ตายไปเช่นกัน


 


ส่วนมนุษย์ที่เหลือทุกคนนั้นเหนื่อยอ่อน พวกเขาใช้พลังวิญญาณและพลังกายจนเกินกำลัง


 


คลื่นสัตว์อสูรในครั้งนี้ประหลาดกว่าคลื่นก่อนๆไปมาก!


 


ไม่เพียงแต่มันจะมาก่อนล่วงหน้าครึ่งเดือน ปริมาณของพวกมันยังเหนือว่าในอดีตถึงห้าเท่า!


 


และราชาสัตว์อสูรที่มีพลังอำมฤตระดับสี่ที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ปรากฏตัวขึ้นมา


 


สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือคลื่นสัตว์อสูรในอดีตนั้นจะหนีไปจากมนุษย์เมื่อถูกฆ่า


 


ดังนั้นเหล่าสัตว์อสูรจะเข้ามาแค่ไม่นาน


 


แต่ในครั้งนี้ เหล่าสัตว์อสูรได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน มันไม่คิดจะหยุดแม้แต่น้อย


 


จำนวนมหาศาลของสัตว์อสูรที่มาจากศูนย์กลางป่าทมิฬนั้นไร้ที่สิ้นสุด


 


และพลังของสัตว์อสูรก็เริ่มเหนือกว่าเดิม สัตว์อสูรที่มีพลังอำมฤตระดับสามเริ่มปรากฏตัวมากขึ้น และระดับสามขั้นสูงที่เกือบจะได้เป็นราชาสัตว์อสูรก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน


 


เจ้าเมืองอันยี่ต้องรับมือกับสถานการณ์และสังหารพวกระดับสามทั้งหมดเพื่อป้องกันไม่ได้คนบาดเจ็บล้มตาย


 


แต่ท้ายสุดเขาก็มีเพียงคนเดียว สำหรับสัตว์อสูรหลายร้อยล้านตัวเช่นนี้…เขามิอาจฆ่าล้างได้ทั้งหมด


 


เหล่ายอดฝีมือจำนวนหนึ่งก็ถอยมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่หนีไปถูกลงโทษโดยการประหาร คนที่หวาดกลัวก็คงจะกระจัดกระจายไปเช่นกัน


 


ที่เขตตระกูลตู่


 


“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ราชาสัตว์อสูรคงจะมาอีกแน่!”


 


นายน้อยตระกูลตู่กุมท้องและพูดอย่างเคร่งเครียด


 


ตรงหน้าเขาคือเจ้าตระกูลตู่ที่ทำหน้าที่บัญชาการอยู่ที่กลางเมือง เขาคือเจ้าเมืองอันยี่…ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองอันยี่!


 


เจ้าเมืองอันยี่สีหน้าแสดงความกังวลเพียงเล็กน้อย


 


“ราชาสัตว์อสูรไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือสิ่งที่ทำให้เกิดสัตว์อสูรพวกนี้ เกิดอะไรขึ้นในป่าทมิฬถึงทำให้มีคลื่นสัตว์อสูรประหลาดเช่นนี้?”


 


“ข้าเกรงว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่ส่วนลึกของป่าทมิฬแน่”


 


นายน้อยตระกูลตู่พูดอย่างประหลาดใจ


 


“ท่านพ่อกำลังพูดถึงอันตรายที่พวกเราไม่รู้จักงั้นรึ? เมืองอันยี่ของพวกเราจะถูกทำลายงั้นรึ?”


 


เจ้าเมืองอันยี่ส่ายหัว


 


“แผนการใหญ่ของพวกเรากำลังจะสำเร็จ เมื่ออันยี่ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ถึงเราจะแพ้ มันก็ไม่ได้ทำให้ตระกูลเสียหายนัก”


 


“ที่ข้ากังวลก็คือเรื่องที่เราไม่รู้ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจจะส่งผลกับแผนของเรา!”

 

 

 


ตอนที่ 336

 

นายน้อยตระกูลตู่พูดอย่างลึกล้ำ


 


“หากเป็นเช่นนั้น นั่นก็หมายถึงชะตาของตระกูลตู่!”


 


“แต่ท่านพ่อจะไม่กังวลเกินไปหน่อยรึ? หากแผนของเราสำเร็จ ตระกูลตู่ก็จะได้ประโยชน์มหาศาล!”


 


“ข้าจะไปเอาหัวของเจ้าตำหนักหยินหยูได้ด้วยตัวเอง!”


 


เจ้าเมืองอันยี่ใบหน้าดุดัน


 


“บางทีข้าอาจจะกังวลเกินไป แต่หลังจากที่แผนสำเร็จ ข้าจะต้องลอบเข้าไปในป่าทมิฬ”


 


นายน้อยตระกูลตู่เลิกคิ้ว


 


“ทำไมท่านพ่อไม่ถามขุมกำลังในป่าทมิฬเสียเองเล่า?”


 


“เพราะอย่างไรตระกูลตู่ก็ไม่ใช่ตระกูลเดียวในป่าทมิฬ ยังมีตระกูลน้อยใหญ่กระจัดกระจายตลอดทั้งป่าทมิฬ บางทีพวกนั้นอาจจะรู้อะไรก็ได้”


 


แต่เจ้าเมืองอันยี่ส่ายหัวปฏิเสธทันที


 


“มันไม่ได้อะไรหรอก! สัตว์อสูรที่มาครานี้ดุร้ายทรงพลัง ข้าคิดว่าพวกตระกูลเหล่านั้นอาจจะถูกทำลายไปแล้ว”


 


“แต่ท่านพ่อ ที่นี่ไม่ได้มีตระกูลอู๋อยู่หรอกรึ? ตามที่ร่ำลือ ตระกูลอู๋คือตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาอยู่ในจุดลึกสุดของป่าทมิฬ บางทีพวกเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่และรู้อะไรบ้างก็ได้


 


“ตระกูลอู๋รึ?”


 


เจ้าเมืองอันยี่สีหน้าหม่นหมอง


 


“ตระกูลอู๋มันลึกลับเกินไป! ไม่กี่ร้อยปีก่อน พวกนั้นเหลือแค่สองคนในตระกูล แต่ตอนนี้พวกนั้นแข็งแกร่งขึ้นและมีคนถึงร้อยคนแล้ว!”


 


“พวกนั้นอยู่รอดในส่วนลึกที่อันตรายด้วยพลัง มันประหลาดมาก พวกนั้นอาจจะมีคนที่แข็งแกร่งมากหนุนหลังอยู่ นั่นคือเหตุที่ข้าไม่คิดจะติดต่อพวกนั้นตลอดหลายปีมานี้”


 


เจ้าเมืองอันยี่กำลังกังวลถึงตระกูลอู๋!


 


บุตรชายของเขาเข้าใจแล้ว


 


“ตระกูลอู๋ลึกลับจริงๆ พวกนั้นโชคดีที่ตระกูลตู่ไม่ได้หมายตาพื้นที่รกร้างนั่น ไม่งั้นพวกนั้นก็ถูกทำลายไปนานแล้ว”


 


“อืม เจ้าไม่ต้องถามอะไรแล้ว ตั้งใจพักฟื้นซะ ครั้งนี้ข้าต้องออกไปแสดงตัวสักหน่อยแล้ว”


 


รังสีพลังอันน่าตกใจแผ่เข้ามาในห้องจนทำให้เจ้าเมืองอันยี่ชักสีหน้า


 


นายน้อยตระกูลตู่ตกตะลึง


 


“ราชาสัตว์อสูรโผล่มาอีกแล้ว!”


 


การปรากฏตัวของราชาสัตว์อสูรอำมฤตระดับสี่ขั้นน่าตกใจอย่างมาก!


 


“ไม่ใช่ คราวนี้มันมาเก้าตัว!”


 


เจ้าเมืองอันยี่ตกใจมาก


 


“เก้าตัวรึ?”


 


นายน้อยตระกูลตู่อ้าปากค้าง


 


คลื่นสัตว์อสูรครั้งนี้ประหลาดจนน่ากลัว!


 


ฟึ่บ–


 


เจ้าเมืองอันยี่ออกจากเมืองเป็นครั้งแรก เขาไปปรากฏตัวที่แนวหน้า!


 


ราชาสัตว์อสูรเก้าตัว…เขาจะต้องรับมืออย่างจริงจัง


 


นายน้อยตระกูลตู่ครุ่นคิด เขากังวลใจ


 


“ผู้ดูแล เจ้าเตรียมของสำคัญของตระกูลครบทั้งหมดหรือยัง?”


 


ตระกูลตู่ได้เก็บสัมภาระไว้แล้วล่วงหน้า


 


“ข้าเตรียมไว้แล้วตามคำสั่ง คนในตระกูลกับของสำคัญพร้อมจะถูกเคลื่อนย้าย! แต่…”


 


เขาลังเล


 


“แต่เราจะทำยังไงกับตู่หลงเล่า? เขายังอยู่ในคุกอยู่เลย”


 


ตู่หลงรึ? นายน้อยตระกูลตู่ปล่อยจิตสังหารออกมา


 


อย่างที่คิด การกลับมาของตู่หลงทำให้คนในตระกูลพูดถึงการที่เขาจะกลับมาเป็นนายน้อยอีกครั้ง


 


ในด้านความเฉลียวฉลาดและคุณสมบัติ ตู่หลงที่เป็นพี่ใหญ่นั้นอยู่เหนือเขา เป็นการเหมาะสมยิ่งกว่าที่เขาจะเป็นผู้นำตระกูล


 


แต่ตู่หลงก็ได้ทิ้งทุกสิ่งไป เขาจึงเหลืออำนาจไม่มากนัก


 


สุดท้าย การลงโทษของเขาก็คงจะเป็นการถูกขังไปตลอดการ มิอาจย่างกรายออกสู่โลกภายนอกได้


 


เขาแสยะยิ้มด้วยจิตสังหาร


 


“ข้าจะจัดการเอง! พวกเจ้าไปที่อื่นซะ!”


 


เขาต้องระวังภัยที่อาจจะเกิดขึ้นและควรสังหารตู่หลงโดยตรง มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาสงบใจได้


 


แต่นายน้อยตระกูลตู่กับเจ้าเมืองอันยี่ไม่รู้เลยว่ามีวิญญาณที่มองไม่เห็นยืนอยู่ข้างพวกเขา วิญญาณนั้นได้ยินทุกสิ่ง


 


ฟึ่บ–


 


ที่นอกสวนตระกูลตู่


 


ภายในพุ่มไม้แห้ง ชายที่ไร้ซึ่งพลังชีวิตลืมตาตื่นขึ้น


 


แววตาซือหยูแสดงความประหลาดใจ


 


“ตระกูลอู๋รึ? นั่นมันตระกูลอะไรกัน? แล้วแผนของหัวหน้าตระกูลตู่คืออะไรกัน? พวกนั้นเตรียมทำอะไรกัน?”


 


แต่เขาไม่มีเวลาให้คิด ซือหยูมุ่งหน้าไปยังคุกใต้ดิน


 


มีส่วนที่จมน้ำอยู่ในคุกใต้ดิน ถูกทำไว้เฉพาะเพื่อขังอาญชากร


 


แขนขาของตู่หลงถูกพันธนาการด้วยโซ่เส้นหนา เขาถูกตรึงเอาไว้ในบ่อน้ำที่มีน้ำท่วมถึงเอว


 


ปั่ก ปั่ก ปั่ก–


 


นายน้อยตระกูลตู่มาถึง เขาแสดงความไร้ปรานีออกมา เขายืนอยู่หน้ากรงใต้น้ำด้วยมือที่ไพล่หลัง


 


ตู่หลงที่ได้ยินเสียงเงยหน้ามองอย่างยากลำบาก แววตาเขาแห้งไร้ชีวิต แต่ริมฝีปากยังคงยิ้มเยาะให้กับตนเอง


 


“เจ้ามาส่งข้าสินะ”


 


เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่คือชะตาของเขา?


 


นายน้อยต้องไม่ยอมให้ตู่หลงมีชีวิตอยู่ได้


 


นายน้อยตระกูลตู่หัวเราะ


 


“ไม่ใช่การฆ่าเจ้าจะทำให้คนที่สนับสนุนเจ้ามาหาเรื่องข้าหรอกรึ?”


 


เห็นได้ชัดว่าใครที่จะได้ประโยชน์จากการที่ตู่หลงตายมากที่สุด


 


นั่นคือเขาเอง!


 


ทุกคนที่มีสมองย่อมคิดได้ว่าเป็นนายน้อยตระกูลตู่ที่ฆ่าตู่หลง


 


เขาจึงไม่ทำเช่นนั้นแน่


 


“หึหึ เจ้าไม่ได้มาเพื่อรำลึกความหวังกับข้าหรอกรึ”


 


ตู่หลงหัวเราะอย่างเย็นชา


 


อีกฝ่ายยิ้มเยาะตอบกลับ


 


“ข้าไม่ได้มาเอาชีวิตเจ้า แต่ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”


 


“ทหาร ทำลายฐานพลังของมัน!”


 


อะไรนะ? ตู่หลงเบิกตากว้าง เขาหัวเราะอย่างขมขื่น


 


“เจ้ายังมีจิตวิญาณของนายน้อยอยู่หรือไม่! ข้าถูกกักขังที่นี่ไปตลอดกาลมิอาจไปไหนได้ แต่เจ้าก็ยังกลัวว่าฐานพลังของข้าจะมีผลกับเจ้า!”


 


“เจ้าไม่กล้าฆ่าข้าแต่ก็กลัวตัวตนของข้า นี่คือหัวหน้าตระกูลในอนาคตงั้นเรอะ? หึหึ เจ้าไม่ต่างกับตาแก่นั่นเลย! วิธีการของเจ้ากับเขาไม่ได้ต่างกันแม้แต่น้อย เร้นกายอยู่แต่ในเงามืด ไร้ความกล้าหาญ น่ารังเกียจนัก!!”


 


ตู่หลงรังเกียจการกระทำเช่นนี้


 


เขาเคยคิดว่าจะกลับมาเพื่อไถ่บาปของตัวเอง แม้จะรู้อยู่แล้วว่าตระกูลตู่ไม่มีที่สำหรับเขา


 


เขาไม่ลังเลที่จะคุกเข่าเพื่อขอร้องความเมตตาให้กับคนของตระกูล แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับคืนมาล้วนมีแต่ความชิงชัง


 


ลุงของเขาที่กำลังเป็นหัวหน้าตระกูลไม่แม้แต่จะคิดถึงเรื่องที่เขาคุกเข่า หัวหน้าตระกูลกลับลงโทษเขาอย่างหนักโดยการจำคุกตลอดชีวิต


 


“เจ้ามันก็แค่กบฏ! เจ้าตั้งใจจะทำอะไรถึงได้ใส่ร้ายหัวหน้าตระกูลกับนายน้อยกัน? เจ้าไม่คิดว่าตระกูลตู่เป็นบ้านด้วยซ้ำ ในสายตาข้า เจ้าก็แค่ขอร้องคุกเข่าให้ตู่หมิงฮั่วเพื่อหลอกลวงเจ้าตำหนักหยินหยูเท่านั้น!”


 


ตู่หลงหัวเราะอย่างโกรธแค้น พวกนั้นกำลังจะทำลายฐานพลังของเขาแต่ก็ไม่ปล่อยให้เขาได้แสดงความคับข้องใจออกมา


 


ถ้าเขาพูดอะไร ก็หมายถึงความคิดของกบฏ!


 


“เจ้าจะทำลายฐานพลังของข้าก็ได้ถ้าต้องการ แต่ทำไมเจ้าต้องหาข้ออ้างให้ตัวเองให้เจ้าดูมีคุณธรรมเช่นนั้นเล่า? ดีเลวแบ่งแยกเช่นใดรึ สู้เพื่อผลประโยชน์ล้วนเป็นธรรมชาติมนุษย์ เจ้าจะซุกซ่อนไปเพื่อสิ่งใด?”


 


นายน้อยตระกูลตู่ยืนมือไพล่หลัง


 


“เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไร้ความภักดีต่อเจ้าหนีไปทำร้ายคนในตระกูล ข้าคิดว่าเป็นการดีแล้วที่จะทำลายฐานพลังของเจ้า!”


 


“ทหาร ทำลายฐานพลังของมันซะ!”


 


ในตอนนั้นเอง คนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ


 


“เจ้าคิดจะทำลายฐานพลังงั้นรึ? ข้าจะทำให้อย่างที่เจ้าขอ!”


 


เส้นผมสีเงินร่ายรำบนอากาศ ร่างของซือหยูมายืนที่ด้านหลังของนายน้อยตระกูลตู่รายกับภูติผี ความเย็นยะเยือกเปล่งออกมาจากแววตา


 


นายน้อยตระกูลตู่ตัวสั่น เขารีบหันกลับไปและพบกับใบหน้าของเจ้าตำหนักหยินหยู!


 


“ไม่เจอกันนานนะนายน้อย! ข้าบอกพ่อเจ้าไปแล้วว่าข้าจะฆ่าเจ้าถ้าเจอเจ้าอีกหน!”

 

 

 


ตอนที่ 337

 

“นี่เจ้า…เจ้ากล้าบุกเข้ามาในตระกูลตู่เรอะ?”


 


นายน้อยตระกูลตู่พูดไม่ออก เขาจะคาดคิดรึว่าเจ้าตำหนักหยินหยูจะกล้าเสี่ยงลอบเข้ามาในตระกูลเช่นนี้?


 


แต่ซือหยูกลับชี้ดัชนีไปที่แผ่นหลังของนายน้อยตระกูลตู่ เขาใช้อีกมือดึงระฆังทองแดงที่เต็มไปด้วยรอยแตกออกจากชุดของเขา


 


นั่นคือระฆังทองแดงวิญญาณ หากมันแตกเป็นเสี่ยงก็จะส่งสัญญาณแก่อีกคนที่มีระฆัง


 


ระฆังทองแดงนี้แตกไปแล้ว มันส่งสัญญาณให้กำลังเสริมเข้ามา!


 


เขาคุยกับซือหยูเพียงเพราะจะถ่วงเวลาเท่านั้น!


 


“จะถ่วงเวลาข้ารึนายน้อย กลกระจอกเช่นนี้ทำอะไรข้าได้รึ”


 


ซือหยูยื่นดัชนีออกไปทันที


 


“เจ้าไปโลกหน้าเถอะ”


 


ฟึ่บ–


 


พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งทะลวงแผ่นหลังของนายน้อยและส่งไปถึงฐานพลัง พลังวิญญาณทะลุออกจากท้องเป็นรูโลหิต


 


นายน้อยตระกูลตู่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ฐานพลังของเขาแหลกเป็นเสี่ยงๆ พลังวิญญาณของเขาหายไป เป็นไปไม่ได้ที่จะบ่มเพาะพลังต่อไปอีก


 


“อ๊าก— ฐานพลังของข้า!”


 


เขามิอาจยอมรับความจริงได้


 


ในโลกของผู้บ่มเพาะพลังและตระกูลที่ป่าเถื่อนเช่นนี้…ผู้ที่ไม่มีพลังคืออะไรกัน?


 


มันคือคนที่ไม่ต่างจากคนตาย!


 


ซือหยูควรจะฆ่าเขา เขาตายซะยังดีกว่า


 


“ไร้ชีวิตเช่นนั้นของเจ้าไปซะเถอะ คิดซะว่าเป็นการไถ่โทษในชีวิตครึ่งแรกของเจ้า!”


 


ซือหยูพูดอย่างเรียบเฉย เขาเตะกรงและช่วยตู่หลงออกมา


 


ตู่หลงมองซือหยูอย่างงุนงง เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ได้เห็น ซือหยูมาช่วยเขา!


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู…ท่านทำขนาดนี้เพื่อช่วยข้างั้นรึ?”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ถ้าเจ้าใช้ชีวิตเจ้าปกป้องข้าได้ แล้วทำไมข้าจะไม่เสี่ยงมาช่วยเจ้าเล่า?”


 


“เดี๋ยวค่อยคุยเถอะ กำลังเสริมของนายน้อยตระกูลเจ้ากำลังจะมา พวกเราต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”


 


ซือหยูพยุงตู่หลงและใช้แขนอีกข้างแบกนายน้อยตระกูลตู่ออกจากที่จองจำอย่างเร่งรีบ


 


ฟึ่บ–


 


แต่ก่อนที่เขาจะออกจากคุกก็เห็นคนยืนมือไพล่หลังอยู่ ชายคนนั้นหันหลังให้พวกเขาและยืนอย่างเงียบเชียบ


 


แม้กระนั้น…เขาก็ทำให้ทุกคนรู้สึกจุกอก


 


ตู่หลงเบิกตากว้าง เขาหน้าซีดราวกับกระดาษ


 


“นาย…ท่าน!”


 


คนที่ครอบครองระฆังทองแดงคือเจ้าเมืองอันยี่ คนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองอันยี่!


 


แม้ทั้งสองจะไม่เห็นหน้าคนที่หันหลังให้แต่จิตสังหารอันเย็นชานั้นก็บ่งบอกได้ว่าเจ้าของคือใคร!


 


“เกิดอะไรขึ้นกับเขารึ?”


 


เจ้าเมืองอันยี่พูดอย่างเรียบเฉย เขาไม่มีความโกรธแม้แต่น้อยในคำพูด


 


ซือหยูโยนนายน้อยตระกูลตู่ลงกับพื้นและเหยียบแผ่นหลังของเขา


 


“ก็อย่างที่ข้าพูด ถ้าข้าได้เจอมันอีกครั้ง ข้าจะไม่ออมมือ!”


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเมืองอันยี่ต้องการจะฆ่าซือหยูในทุกวิถีทาง…ซือหยูจะทำเช่นนี้รึ?


 


แต่เดิม ทั้งสองไม่ได้มีเรื่องบาดหมางที่ต้องมาฆ่ากัน


 


แต่เจ้าเมืองอันยี่คิดว่าทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของเขา เขาเติมเชื้อไฟลงไปจนทำให้เรื่องราวดำเนินมาจนถึงจุดนี้


 


เฮือก—


 


เจ้าเมืองอันยี่หายใจเข้าลึก เขาบังคับร่างกายไม่ให้สั่น


 


เห็นได้ชัดว่านายน้อยตระกูลตู่ที่ไร้ซึ่งพลังทำให้เขาใจหาย


 


บุตรชายที่เขาบ่มเพาะมาตลอดชีวิตได้สูญเสียพลังไป บุตรชายจะไร้พลังไปตลอดกาล เขาจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร?


 


“เขาไม่ต่างจากคนตายหรอก เจ้าตำหนักหยินหยู เจ้าจะตามลูกข้าไปด้วย!”


 


เจ้าเมืองอันยี่หันมาเผชิญหน้า


 


ตู่หลงตัวสั่นอย่างบ้าคลั่ง!


 


ทั้งความชิงชังและความโกรธ ใบหน้าของเจ้าเมืองบิดเบี้ยวราวกับผีสาง


 


แววตาแดงก่ำคู่นั้นจ้องมองซือหยู


 


“ข้าเสียใจนักที่ไม่ฆ่าเจ้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้!”


 


“เจ้าควรจะเสียใจตั้งแต่ที่เจ้าไล่ต้อนข้าแล้ว!”


 


ซือหยูส่ายหัวเล็กน้อย หากเรื่องมาถึงขั้นนี้ เจ้าเมืองอันยี่ไม่จำเป็นต้องเสียใจแม้แต่น้อย


 


ตู่หลงกังวลกับซือหยู


 


“ท่านลุง! โปรดคิดให้ดีเถอะ ถ้าฆ่ารองเจ้าตำหนักไป…ผลที่ตามมาจะต้องแย่แน่!”


 


ฮ่าๆๆๆ—


 


เจ้าเมืองอันยี่แสยะยิ้ม


 


“เจ้าลืมไปรึว่าเขาลอบเข้ามาที่นี่? ถ้าข้าลอบฆ่ามัน ใครกันจะได้รับรู้!”


 


ตู่หลงกระวนกระวาย ต่อหน้าเจ้าเมือง ซือหยูไม่มีทางจะได้โต้กลับแน่


 


แต่ซือหยูกลับยังใจเย็นอยู่ได้


 


“โอ้? เจ้าไม่อยากได้ชีวิตของลูกเจ้ารึ?”


 


บุตรชายของเขาอยู่ในมือซือหยู


 


แต่หลังจากที่ซือหยูพูดจบ พลังวิญญาณอันน่ากลัวก็พุ่งเข้าใส่ที่ใต้เท้าของซือหยู


 


พลังที่ดุร้ายเข้ามาเช่นนี้ ซือหยูไม่มีทางเลือกนอกจากหลบ


 


ครืน—-


 


อั่ก—


 


นายน้อยตระกูลตู่กลายเป็นก้อนเนื้อ!


 


“เขาตายซะยังดีกว่า ข้าต้องส่งเขาไปโลกหน้าด้วยตัวเอง!”


 


เจ้าเมืองอันยี่พูดด้วยเสียงอันแหบพร่า


 


ซือหยูกับตู่หลงใจสั่น!


 


แม้แต่พยัคฆ์ก็ไม่กินลูกตัวเอง แต่วิถีของเจ้าเมืองอันยี่นั้นป่าเถื่อนยิ่งนัก!


 


คนเช่นนี้มิอาจเป็นคนธรรมดา เขาจะเป็นคนที่ทะเยอทะยานไปตลอดชีวิต!


 


ราชาแห่งความมืดคนก่อนได้ทิ้งภัยพิบัติเอาไว้!


 


“เจ้ายังมีศักดิ์ศรีเหลืออยู่หรือไม่?”


 


เจ้าเมืองอันยี่พูดอย่างไม่แยแส ใช่แล้ว คำพูดของเขาเรียบเฉยจนดูไม่เหมือนมนุษย์


 


“ข้าไม่คิดจะใช้เขาเป็นตัวประกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”


 


“นรกน้ำแข็ง!”


 


ซือหยูตะโกนเบาๆ


 


แกร๊ก—


 


ทันใดนั้น กำแพงของตระกูลตู่ก็ถูกแช่แข็ง มีน้ำแข็งนับไม่ถ้วนในเส้นทาง


 


ความเย็นอันน่ากลัวนั้นดั่งคลื่นยักษ์ที่ซัดใส่ตระกูลตู่ มันเปลี่ยนทุกอย่างในเส้นทางให้เป็นน้ำแข็ง


 


คนตระกูลตู่หลายคนไม่มีแม้แต่เวลาตั้งตัว พวกเขากลายเป็นน้ำแข็งทันที


 


ในพริบตา หนึ่งในสามของตระกูลตู่ก็กลายเป็นโลกแห่งหิมะน้ำแข็ง


 


ชีวิตของคนหลายสิบคนในตระกูลตู่กำลังเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว


 


“ตัวประกันของข้าคือตระกูลตู่ทั้งตระกูล!”


 


ซือหยูพูดอย่างเฉยเมย


 


“เจ้าจะฆ่าข้าหรือจะช่วยคนของเจ้ากัน?”


 


ในที่สุดสีหน้าของเจ้าเมืองก็เปลี่ยนไป


 


“นั่นมันโลหิตของราชาสัตว์อสูร!”


 


“ข้าจะฆ่าเจ้า!”


 


เจ้าเมืองตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว เขาปล่อยคลื่นพลังวิญญาณหมายจะสังหารซือหยูอย่างรวดเร็ว เขาจะได้ช่วยเหลือคนในตระกูลได้ทันที


 


“ยักย้ายพื้นที่!”


 


ซือหยูใช้พลังย้ายตัวเองกับตู่หลงออกนอกเมืองอันยี่


 


แต่ในเวลานี้ ซือหยูรู้สึกไม่ดีอย่างมาก!


 


เขารู้สึกได้ถึงสิ่งประหลาดจากด้านหลัง!


 


เขาเคยรู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามาเช่นนี้เมื่อไม่นาน!


 


“เฉิน!ยู่!เหลียน!”


 


ซือหยูรู้โดยไม่ต้องหันไปมองว่าคนที่ลอบโจมตีคือนาง!!


 


ตลอดเวลา นางมักจะโจมตีใจช่วงเวลาที่วิกฤติที่สุด ในตอนที่ซือหยูกำลังจะหนีไปได้!


 


เฉินยู่เหลียนเผยร่างออกมาและแสยะยิ้ม


 


“ชีวิตเจ้าเป็นของข้า!”


 


นางที่เร้นกายอยู่นาน ในที่สุดก็ได้โอกาสที่ดีที่สุด!


 


แววตาซือหยูเต็มไปด้วยความเยือกเย็น


 


“เจ้าคิดว่ามันจะง่ายเฉกเช่นกับคราวที่แล้วรึ?”


 


“ครั้งนี้ เจ้าไม่ต้องกลับไปไหนอีกแล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 338

 

“นี่เป็นเสียงเห่าของสุนัขที่พ่ายแพ้รึ? ถ้าไม่มีคนมาขวางตอนนั้นเจ้าก็ตายไปแล้ว!”


 


เฉินยู่เหลียนมองเหยียดหยาม


 


ร่างอันลางเลือนของนางมาถึงที่แผ่นหลังซือหยูอย่างเงียบเชียบ


 


มีดคมกริบค่อยๆทะลวงแผ่นหลังของซือหยู


 


“อย่างนั้นรึ?”


 


ซือหยูฉีกยิ้ม เขาหันกลับไปทันทีและปล่อยแสงทมิฬออกจากดวงตา


 


ในระยะเช่นนี้ การโจมตีทางวิญญาณที่มิอาจป้องกันได้เข้าสู่สมองของเฉินยู่เหลียน


 


อ๊า—-


 


นางกรีดร้อง นางเจ็บปวดจนในดวงวิญญาณ วิชาที่นางได้เคลื่อนไหวได้แสดงออกมาทันที


 


“อ๊า! วิชาลับนี่มันอะไรกัน?”


 


เฉินยู่เหลียนตกใจและหวาดกลัว


 


ความแข็งแกร่งในดวงวิญญาณของซือหยูตอนนี้เหนือกว่าคนที่ฐานพลังเท่ากันอย่างมาก แม้เขาจะสังหารอำมฤตระดับสามขั้นกลางไม่ได้…มันก็ยากที่นางจะไม่บาดเจ็บ


 


“แน่ล่ะ มันคือวิชาที่จะเอาไว้ฆ่าเจ้า!”


 


ผนึกเพลิงเมฆาที่หน้าผากของซือหยูส่งพลังอันเยือกเย็นออกมา


 


น้ำแข็งสีขาวก่อร่างเป็นกระบี่ มันพุ่งออกไปตามที่ซือหยูควบคุม!


 


แกร๊ก—


 


อากาศบีบตัว หมอกขาวปรากฏขึ้นในทุกที่ที่กระบี่แล่นผ่าน ไอวารีในอากาศกลายเป็นน้ำแข็งตกสู่พื้น


 


สิ่งรอบข้างได้เข้าสู่กาลเหมันต์


 


เฉินยู่เหลียนที่เจ็บปวดอย่างหนักรู้สึกถึงภัยร้ายในทันที


 


นางชักสีหน้า นางตอบสนองได้รวดเร็วและคาดเดาทางที่ซือหยูจะโจมตี นางสะบัดมือสวนกลับ


 


“เป็นแค่สุนัขที่พ่ายแพ้แต่บังอาจจะฆ่าข้ารึ?”


 


ตู้ม—


 


แต่เมื่อทั้งปะทะกัน มีดในมือเฉินยู่เหลียนได้กลายเป็นน้ำแข็ง มันเย็นอย่างมาก!


 


พลังความเย็นที่ถึงตายเข้าสู่ร่างของเฉินยู่เหลียน มือขวาทั้งมือของนางกลายเป็นน้ำแข็ง!


 


มือที่ถูกแช่แข็งของนางได้แตกเป็นเสี่ยงๆ โลหิตและผิวหนังร่วงหล่นกับพื้นแตกเป็นฝุ่นผง


 


ไม่มีโลหิตที่ไหลออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อยเพราะโลหิตทั้งหมดได้กลายเป็นน้ำแข็ง


 


เฉินยู่เหลียนเสียมือขวาไป…เพียงแค่การปะทะเดียว!


 


ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือความเย็นนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง มันแพร่กระจายไปยังแขนขวา พยายามจะเปลี่ยนทั้งร่างของนางให้เป็นน้ำแข็ง!


 


อ๊า—-


 


เฉินยู่เหลียนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว นางกำลังอดทนอยู่กับความเจ็บปวด


 


แต่แม้กระนั้น เฉินยู่เหลียนก็ยังไม่เสียสติ ความเร็วในการตอบสนองของนางนั้นยอดเยี่ยม นางคว้าแขนขวาด้วยมือซ้ายที่เหลือและกระชากมันออกมาอย่างรวดเร็ว!


 


โลหิตกระจายไปทุกหนแห่ง บางส่วนกระเด็นใส่ใบหน้าของนางทำให้นางดูคล้าบกับผี!


 


แววตานางเต็มไปด้วยความชิงชัง นางตะโกนเสียงดัง


 


“ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเจ้า!!”


 


ซือหยูสีหน้าเย็นชา


 


“เจ้าทำได้แค่เห่ารึ? นี่รึวิชาลอบสังหารที่เจ้าภูมิใจนักหนา? ธรรมดานัก!”


 


“ถ้าเจ้าพลาดครั้งนี้ เจ้าก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว!”


 


เมื่อซือหยูพลังเพิ่มขึ้น ความน่ากลัวของเฉินยู่เหลียนได้ลดลงไปมาก


 


เฉินยู่เหลียนกุมแขนเอาไว้ แววตาของนางเยือกเย็น


 


“หยินหยู! ถึงข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้ ข้าก็แน่ใจว่าเจ้าจะไม่ตายดีแน่!”


 


ครืน—


 


การต่อสู้อันเข้มข้นทำให้พลังวิญญาณโดยรอบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้คลื่นพลังมิติถูกรบกวน


 


การยักย้ายล้มเหลว!


 


ซือหยูกับตู่หลงหนีออกไปไม่ได้!


 


นี่คือความตั้งใจจริงของเฉินยู่เหลียน


 


แม้นางจะฆ่าซือหยูไม่ได้ แต่การหยุดซือหยูไม่ให้ยักย้ายตัวเองไปก็หมายความว่าเจ้าเมืองอันยี่จะเข้ามาสานต่อได้


 


“ก่อนเขาจะได้ฆ่าข้า อย่างน้อยข้าก็กำจัดเจ้าได้!”


 


เป็นเพราะนาง ซือหยูกับตู่หลงจึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่เช่นนี้พร้อมกัน


 


เขาจะต้องฆ่าผู้หญิงคนนี้!


 


ฟึ่บ–


 


ความเร็วในการตอบสนองของนางนั้นรวดเร็วอย่างมาก นางตอบและหัวเราะ


 


“ค่อยพูดตอนที่เจ้าตามข้าทันเถอะ!”


 


ร่างของนางบิดเบือนหายไป!


 


“คิดจะหนีรึ?”


 


แสงสีเทาฉาบแววตาซือหยู เขาปล่อยคลื่นวิญญาณออกไปในทุกทิศทาง


 


ในตอนนั้นเอง คลื่นวิญญาณได้สะท้อนกลับมาจากทิศเหนือ แสดงเป็นรูปร่างมนุษย์ในวิญญาณของซือหยู


 


พรึ่บ–


 


ซือหยูเรียกธนูมังกรฟ้าดินออกมาและสร้างลูกธนูยิงไปยังทิศเหนือโดยไม่ลังเล!


 


อ๊า—-


 


ศรพลังวิญญาณทะลวงอากาศอันว่างเปล่า ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด


 


เฉินยู่เหลียนเกิดบาดแผลขนาดใหญ่ทมี่เอว วิชาเร้นกายของนางหายไป นางกระแทกลงกับพื้น


 


นางทั้งตกใจและเจ็บปวด นางกระอักเลือดออกมา


 


“ได้ยังไง….เจ้าหาข้าเจอได้ยังไง?”


 


แม้แต่ฮั่นเจียงหลินก็ไม่ได้มองผ่านวิชาเร้นกายของนางได้โดยง่ายเช่นนี้


 


หยินหยูทำอะไรกัน?


 


ฟึ่บ–


 


ซือหยูไล่ล่านางอย่างรวดเร็ว


 


เฉินยู่เหลียนหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของซือหยู ความกลัวกัดกินจิตใจของนาง


 


นางมักจะเป็นฝ่ายที่สังหารผู้คนด้วยวิชาลอบสังหาร นางเคยคิดว่าความตายนั้นห่างไกลนักจากตัวนาง ในวันนี้…นางได้รู้แล้วว่าความตายอยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด!


 


นางถูกกลืนกินด้วยความหวาดกลัว


 


“เดี๋ยวก่อน…อย่าฆ่าข้า ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น!”


 


เฉินยู่เหลียนกัดฟันขอร้อง


 


ก่อนหน้านี้ ในสายตาของนาง ซือหยูก็แค่สุนัขที่เกือบจะโดนนางฆ่าและไม่มีค่าให้พูดถึง


 


แต่ในตอนนี้นางกำลังอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขา


 


จิตสังหารของซือหยูไม่ได้ลดลงเลย


 


“ตอนที่เจ้าคิดว่าเจ้าฆ่าข้าได้ง่ายๆเยี่ยงสุนัข เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเจ้าทำตามคำสั่งคนอื่นอยู่? แต่ตอนที่เจ้าจะตาย เจ้ากลับผลักความรับผิดชอบไปให้กับคนอื่นรึ?”


 


“ความตายของเจ้ามันไม่มีค่าอะไรเลย!”


 


ตอนนี้ไม่มีเวลามากพอ ซือหยูจะลังเลไม่ได้ เขาซัดดัชนีใส่อกของนาง!


 


แต่ในตอนนั้นเองก็มีสายลมรุนแรงซัดใส่เขาเพื่อช่วยเฉินยู่เหลียน!


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู ให้อภัยแล้วก็ลืมไปซะเถอะ เจ้าจะใช้ชื่อของเจ้าตำหนักได้อย่างไรถ้าเจ้าป่าเถื่อนเช่นนี้?”


 


เสียงอันหยาบคายดังขึ้น


 


ซือหยูหันไปมองและพูดอย่างเย็นชา


 


“เว่ยเทียนเฉิน?”


 


เขาคือหนึ่งในบุตรทั้งสี่ของหอสดับหิมะ เว่ยเทียนเฉิน!


 


เป็นเขาที่สั่งให้จางซือยี่ฆ่าซือหยูและเอาสมบัติมา


 


ในตอนนี้ เขาได้ปรากฏตัวมาแทรกกลางระหว่างซือหยูกับเฉินยู่เหลียน


 


ดูเหมือนว่าผลของนรกน้ำแข็งจะทำให้เว่ยเทียนเฉินสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น


 


เขาน่าจะมองดูการต่อสู้ของซือหยูกับเฉินยู่เหลียนอยู่ก่อนแล้ว มิเช่นนั้นก็คงไม่มีทางที่เขาจะขัดขวางได้ทัน


 


“ก่อนที่เจ้าจะมายุ่งเรื่องของคนอื่น เจ้าไม่ควรมองสถานการณ์ของเจ้าเองก่อนรึ?”


 


ซือหยูนั้นไร้ปรานี เขายังไม่ได้สะสางที่เว่ยเทียนเฉินสั่งจางซือยี่ให้มาฆ่าเขา!


 


เว่ยเทียนเฉินปกป้องเฉินยู่เหลียน เขาพูดอย่างใจเย็น


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู ทำไมเจ้าจะต้องไล่ต้อนคนอย่างไร้ปรานีเช่นนี้? พวกเราต่างก็เป็นขุมกำลังของทวีปนี้ พวกเราควรจะสนับสนุนกันและเป็นมิตรมิใช่รึ?”


 


“เจ้าไม่คิดว่าเจ้าขาดการมองการณ์ไกลหรอกรึ? ถึงได้คิดฆ่าคนในทวีปเช่นนี้?!”


 


ไม่มองการณ์ไกลรึ? ซือหยูหัวเราะในใจ


 


ทุกคนรู้ว่าเฉินยู่เหลียนเข้ามาลอบโจมตีและเกือบจะสังหารซือหยู แต่ในคำพูดของเว่ยเทียนเฉินนั้นบอกว่าเป็นซือหยูเองที่กำลังสังหารยอดฝีมือในทวีปอย่างไร้ปรานี!


 


“เป็นมิตรรึ? เจ้าเห็นนางพยายามจะเป็นมิตรกับข้ารึ? ตอนที่ข้ากำลังเสี่ยงตาย ข้าไม่เห็นเจ้าโผล่หัวมาหยุดนางเลย แต่ตอนที่นางกำลังจะถูกข้าฆ่า เจ้ากลับกระโดดออกมาและบอกว่าข้าไม่มองการณ์ไกลรึ? ไร้ปรานีรึ?”


 


เว่ยเทียนเฉินหัวเราะ


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู! ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าสองคน ที่ข้าเห็นก็แค่เจ้ากำลังพยายามจะฆ่าสตรีที่อ่อนแอ!”


 


“ในฐานะผู้เที่ยงธรรมและในฐานะรองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬ เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าทำเกินไปอย่างไร้ยางอายบ้างรึ?”


 


ซือหยูหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“เจ้าไม่รู้อะไรเลยแต่ก็ยังกล้าพูดจาติข้างั้นเรอะ? เจ้าจะพูดอะไรก็ได้ถ้าเจ้าเข้าข้างนาง การลอบกัดเช่นนี้คือธรรมเนียมของบุตรทั้งสี่หรือไงกัน?”


 


เว่ยเทียนเฉินโกรธเกรี้ยว เขาตะคอก


 


“หยินหยู! นับถือกันบ้าง เจ้าดูหมิ่นข้าได้ แต่เจ้าจะดูหมิ่นหอสดับหิมะไม่ได้!”


 


ซือหยูมองอย่างเย็นชา


 


“เว่ยเทียนเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิษย์น้องของเจ้าตายยังไง?”


 


เขาเบิกตากว้าง เว่ยเทียนเฉินกำหมัดแน่น เขาโกรธแค้น


 


“เขาโดนคนน่ารังเกียจสังหาร!”


 


“หึหึ…”


 


ซือหยูหัวเราะและส่ายหัว


 


“ไม่ใช่ มันตายก็เพราะว่ามันโอหังเกินไปต่างหาก!”


 


“เหมือนอย่างเจ้า มันประเมินตัวเองสูงเกินไป!”


 


ซือหยูบินเข้าไป แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


“ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะเปลี่ยนนามสี่บุตรแห่งหอสดับหิมะให้เป็นสองบุตรแห่งหอสดับหิมะ!!”

 

 

 


ตอนที่ 339

 

เว่ยเทียนเฉินหัวเราะอย่างขมขื่น


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู เจ้าก็แค่ถือธงของอาณาจักรทมิฬอยู่เท่านั้น หยุดใช้อำนาจของเจ้ากดหัวคนอื่นต่อหน้าพวกเราเถอะ”


 


ซือหยูส่ายหัวและมองอย่างดูถูก


 


ย้อนกลับไปที่หน้าประตูเมือง ใครกันที่ใช้ฐานะบุตรแห่งหอสดับหิมะเพื่อที่จะลัดแถว?


 


คนที่ใช้อำนาจกดหัวคนอื่นก็คือพวกเขา


 


แต่ในตอนนี้ เขาได้พลิกมาใส่ร้ายซือหยูอย่างไร้เหตุผล


 


“ถือธงของอาณาจักรรึ? ที่นี่ไม่มีคนจากอาณาจักรทมิฬ ข้าน่ะรึทำเช่นนั้น! ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็มาสู้กับข้าดู! แน่นอนว่าข้าจะสู้กับเจ้าจนตัวตาย! เจ้ากล้าหรือไม่เล่า?”


 


ซือหยูท้าทาย


 


เว่ยเทียนเฉินสีหน้าเคร่งเครียด เขาพูดเรื่องอื่น


 


“ฮื่ม เจ้าตำหนักหยินหยู อย่าไปพึ่งพาชื่อเสียงของอาณาจักรทมิฬให้มากนัก ข้….”


 


แต่ซือหยูก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างดุดัน


 


“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ เจ้ากล้าหรือไม่กล้า?”


 


“อย่าอวดดีให้มันมากนัก…”


 


ใบหน้าเว่ยเทียนเฉินบิดเบี้ยว


 


ซือหยูหัวเราะอยู่นาน


 


“ถึงข้าจะอยู่ตัวคนเดียว เจ้าก็ไม่มีความกล้าจะสู้กับข้า คนที่ตาขาวอย่างเจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าสี่บุตรผู้ยิ่งใหญ่อีกเรอะ? ถ้าคนในหอสดับหิมะมีแต่ขยะอย่างเจ้า ข้าก็พูดได้อย่างเดียวว่าหอสดับหิมะสิ้นหวังแล้ว!”


 


“ออกไปให้พ้นตาข้าเดี๋ยวนี้! คนอย่างเจ้าที่ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะสู้ไม่มีสิทธิ์มาพูดกับข้า!”


 


คำพูดถากถางอย่างต่อเนื่องทำให้เว่ยเทียนเฉินโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขาหวาดกลัวเล็กน้อย


 


แต่เขาต้องปกป้องเฉินยู่เหลียนที่อยู่ข้างหลังเขาเช่นกัน เขาไม่ขยับตัวไปไหน


 


เขามองซือหยูอย่างกังวล


 


“ฮ่าๆๆๆ เจ้าซื้อเวลาได้มากพอรึยังล่ะ?”


 


แต่ทันใดนั้นเองซือหยูก็เย้ยหยัน


 


สีหน้าของเว่ยเทียนเฉินหม่นหมอง


 


“เจ้าพูดอะไรของเจ้า?”


 


ซือหยูส่ายหัวและหัวเราะ


 


“ให้ข้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิดนักหรอก เจ้ามันก็แค่หนูสกปรกที่รู้แต่วิธีเร้นกายลอบโจมตีในที่ลับ!”


 


“ถึงเจ้าจะรู้ว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เจ้าก็ยังคงพูดกับข้าเสียตั้งนาน นี่น่ะรึการกระทำของหนูสกปรกที่ดีแต่ซ่อนอยู่ใต้แผ่นหลังของคนอื่น? ยังไงเจ้าก็ต้องวางแผนไว้ก่อนแล้ว เจ้าก็แค่ฆ่าเวลากับฆ่าเพื่อรอเจ้าเมืองอันยี่ให้ลงมือ”


 


ซือหยูหัวเราะเยาะ


 


ซือหยูขยะแขยงเว่ยเทียนเฉินอย่างมาก


 


“ถะ….ถ้าเจ้ารู้อยู่แล้วเจ้าจะทำเป็นหลงกลข้าทำไมเล่า?”


 


เว่ยเทียนเฉินไม่พอใจเล็กน้อย


 


ซือหยูพูดอย่างเย็นชา


 


“ก็เพราะว่า…ข้าก็กำลังซื้อเวลาอยู่เหมือนกัน!”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ในตอนนั้นเอง สิ่งที่เกิดขึ้นจากที่นี่ได้ทำให้เหล่าคนดูเพิ่มขึ้นอีก


 


ยอดฝีมือหลายสิบคนที่มองลงมาจากท้องนภานั้นตกใจเป็นอย่างมาก


 


ดวงตาหลายคู่กำลังจ้องมองซือหยูอยู่ เจ้าเมืองอันยี่จะกล้าสังหารรองเจ้าตำหนักต่อหน้าทุกคนงั้นรึ?


 


“เจ้าเล่ห์นัก!”


 


เว่ยเทียนเฉินกัดฟัน เขาเกลียดชังซือหยูอย่างมาก


 


เขาคิดว่าเขาได้ถ่วงเวลาซือหยูสำเร็จ แต่กลับเป็นซือหยูเองที่ใช้โอกาสนี้เรียกความสนใจจากผู้คนโดยรอบ!


 


“เจ้าจะยอข้าเกินไปแล้ว!”


 


ซือหยูฉีกยิ้ม เขาหันไปหาเจ้าเมืองอันยี่


 


เจ้าเมืองอันยี่ช่วยคนในตระกูลได้หมดแล้ว เขายืนอยู่บนภูเขาน้ำแข็งและจ้องมองซือหยู แต่เขาก็มิอาจทำอะไรได้อย่างบุ่มบ่าม!


 


เขาจะกล้าลงมือต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้รึ?


 


“เจ้าตระกูลตู่ ขอบคุณสำหรับน้ำใจอันกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ ข้าจะจดจำไม่มีวันลืม!”


 


คำพูดของซือหยูนั้นหนักแน่น แววตาเขาเยือกเย็น


 


ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาได้ทะลวงพลังเป็นอำมฤตระดับห้า เขาจะต้องฆ่าคนชั่วช้าผู้นี้แน่นอน!


 


“ต่อไป เฉินยู่เหลียนกับเว่ยเทียนเฉิน เจ้าสองคนเตรียมใจไว้รึยัง?”


 


แววตาของซือหยูเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและจิตสังหาร


 


หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้…ซือหยูก็ปลอดภัย


 


ต่อไปเขาต้องจัดการกับสองคนนี้


 


เว่ยเทียนเฉินเคร่งเครียดและไม่พอใจอย่างมาก


 


“เจ้าจะทำอะไรงั้นรึ?”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ข้าเตือนเจ้าไปแล้วว่าอย่าคิดว่าตัวเองสูงส่งนัก แต่น่าเสียดายที่เจ้าก็ไม่ต่างกับจางซือยี่ เจ้ามันทะนงตนเกินไป!! ถ้าเจ้าชอบเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นนัก เจ้าก็ต้องรับผิดชอบ!”


 


เขาคิดว่าเขามีเจ้าเมืองอันยี่เป็นไพ่ตายและจะไม่แพ้


 


แต่ในตอนนี้ เขาไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งอีกและกระวนกระวายเป็นอย่างมาก


 


“พอได้แล้ว! เจ้ากับข้าไม่ได้มีเรื่องบาดหมางต่อกัน ทำไมเจ้าถึงป่าเถื่อนเช่นนี้?”


 


เว่ยเทียนเฉินถอยขณะที่พูด เขาพยายามจะเข้าไปปะปนกับเหล่าคนที่เข้ามาดู


 


“นี่คือเรื่องส่วนตัวของข้ากับเว่ยเทียนเฉิน ถ้าใครคิดจะช่วยเขา…โปรดก้าวออกไป”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


เหล่าผู้คนกระจัดกระจายกันไปทันที พวกเขาเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่าย


 


พวกเขาไม่ใช่คนของเว่ยเทียนเฉิน ทำไมพวกเขาจะต้องไปต่อกรกับเจ้าตำหนักหยินหยูผู้ป่าเถื่อนด้วยเล่า?


 


เว่ยเทียนเฉินตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง เขาทั้งเกลียดชังและโศกเศร้า


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู ทำไมเจ้าจะต้องป่าเถื่อนเช่นนี้? ฆ่าข้าไปเจ้าก็ไม่ได้อะไร นั่นจะส่งผลกับความสัมพันธ์ของอาณาจักรทมิฬกับหอสดับหิมะเท่านั้น”


 


“ตอนที่เจ้าจะส่งข้าไปถึงที่ตาย เจ้าไม่เคยนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันเลย แต่พอมาเป็นทีเจ้า เจ้ากลับกังวลถึงเรื่องความสัมพันธ์เรอะ”


 


“หรือว่าชีวิตข้ามันจะต่ำต้อย ขณะที่ชีวิตเจ้ามันราคาแพงซะเหลือเกิน?”


 


“เจ้าไม่ต้องกังวล ถึงข้าจะฆ่าบุตรทั้งสี่จนหมด หอสดับหิมะก็ทำอะไรข้าไม่ได้! ทำไมพวกเจ้าทุกคนถึงวางแผนจะฆ่าข้ากันเล่า?”


 


ซือหยูตั้งใจจะฆ่าเขา


 


เขาหยิบธนูเงินขึ้นมาและสร้างศรวิญญาณเล็งไปทางเว่ยเทียนเฉินและเฉินยู่เหลียน!


 


เจ้าเมืองอันยี่ทำได้แค่เฝ้ามอง เขาไม่กล้าจะทำอะไรบุ่มบ่าม


 


ส่วนพวกยอดฝีมือคนอื่น พวกเขาไม่กล้าจะเข้ามายุ่งเรื่องของอาณาจักรทมิฬ


 


แต่ในตอนที่เรื่องกำลังจะจบลง…


 


ฟึ่บ–


 


พลังวิญญาณอันน่ากลัวทะลวงผ่านตำหนักเจ้าเมืองและพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของซือหยู


 


ซือหยูชักสีหน้า เขาเปลี่ยนจากโจมตีเป็นป้องกันและต้านคลื่นพลังวิญญาณนั้น


 


ปั้ง–


 


ซือหยูตัวหมุนหลายครั้งในกลางอากาศ โลหิตในร่างของเขาเดือดพล่าน เขามองไปทางต้นตอของพลังวิญญาณ


 


“คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเจ้า ไอ้กาเฒ่า!”


 


ชายแก่ในชุดสีมรกตสีหน้าหม่นหมอง เขาเดินออกมาและซ่อนมือไว้ในชุด


 


เขาคือผู้ตรวจการไป่ฮี!


 


ในเวลาสำคัญเช่นนี้ กาเฒ่าได้ลงมือ!


 


“เจ้าเด็กกะโหลกหนา ในอาณาจักรทมิฬ เจ้าทำผิดมหันต์ ฆ่าผู้คนอย่างเลือดเย็น เจ้าฆ่าแม้กระทั่งรองเจ้าตำหนักด้วยกันเอง ในที่บ่มเพาะพลังเจ้าก็ยังกล้าอวดดี!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีใบหน้าดุดัน ทุกคนหันไปมองเขาเมื่อเขาปรากฏตัว


 


เจ้าเมืองอันยี่เบิกตากว้าง เขาหวาดกลัวอย่างมาก


 


“เจ้าคือไป่ฮี ลำดับสี่ของผู้ตรวจการผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งอาณาจักรทมิฬงั้นรึ?”


 


“อะไรนะ? นั่นเขาเรอะ?”


 


ทุกคนอ้าปากค้างและตัวสั่น


 


ในอาณาจักรทมิฬ เจ้าตำหนัก ผู้ตรวจการ และจ้าวทั้งเจ็ดล้วนเป็นตัวตนที่นับว่าน่าเกรงขาม


 


ว่ากันว่าผู้ตรวจการทุกคนมีพลังอันน่าตกตะลึง พวกเขาอยู่ในจุดสูงสุดของทวีปและเป็นยอดฝีมือในตำนาน


 


คนที่มีเกียรติและลึกลับเช่นนี้มาปรากฏตัวในเมืองอันยี่!


 


เจ้าเมืองอันยี่ตกใจอย่างมากไปขณะหนึ่ง เขามองผู้ตรวจการไป่ฮีและซือหยูด้วยความรู้สึกสบายใจ แววตาของเขากำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง


 


เมื่อเห็นผู้ตรวจนการไป่ฮีมากล่าวหาเขาอย่างไม่สมควร ซือหยูจึงตอบกลับอย่างขมขื่น


 


“ฮ่าๆๆๆ ผู้ตรวจการไป่ฮีก็ยังเป็นคนเดิม ท่านเจ้าตำหนักลงโทษเจ้าไปขนาดนั้นแล้ว เจ้าที่เป็นผู้ตรวจการก็ยังคงไม่สนใจและลอบโจมตีกับศิษย์ในอาณาจักรอย่างข้า!”


 


ทุกคนทำใบหน้าประหลาดใจทันที คำพูดของซือหยูได้เผยข้อมูลที่ยังไม่มีใครได้รับรู้!


 


หลิงเสี่ยวเทียนทำร้ายผู้ตรวจการไป่ฮีอย่างร้ายแรงจริงๆน่ะรึ?


 


แม้ว่ามันจะถูกเปิดเผยต่อทุกคน ผู้ตรวจการไป่ฮีก็ไม่ได้แสดงท่าทางแปลกๆ เขากลับไม่พอใจมากขึ้น


 


“เป็นแค่รองเจ้าตำหนักแต่กลับกล้าสร้างข่าวลือแย่ๆงั้นเรอะ!”


 


“เจ้าฆ่ารองเจ้าตำหนักที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน แม้ข้าจะให้โอกาสเจ้าด้วยความเอื้อเฟื้อ ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะไร้จิตสำนึกแล้วยังใช้จิตสังหารกับข้า ยากที่จะเปลี่ยนสันดานเจ้านัก! ข้าจะไม่มีวันอภัย!”


 


“ด้วยนามแห่งผู้ตรวจการ ข้าขอประกาศว่าเจ้าตำหนักหยินหยูแห่งตำหนักรองของทวีปเป็นคนที่บ้าเลือด เขามันโหดร้ายไร้หลักการ ดังนั้นนับแต่นี้ไป เขาถูกขับออกจากอาณาจักรทมิฬ! ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรทมิฬอีกต่อไป!”


 


หลังจากสืบสวน หลักฐานบ่งบอกแล้วว่าซือหยูเป็นผู้บริสุทธิ์..และเป็นผู้ตรวจการไป่ฮีเองที่ลอบโจมตีเพื่อหวังจะลอบสังหารอย่างลับๆ และในตอนนี้เขาก็พูดเรื่องโกหกอย่างไร้ยางอาย เขายังบอกอีกว่าให้โอกาสซือหยูแล้ว!


 


และเขาก็ยังจะริบตำแหน่งรองเจ้าตำหนักของซือหยูไป!


 


คำพูดของเขาทำให้ทุกคนตกใจ!


 


เขากล้าประกาศในที่นี้ว่าเขาอยากจะปลดรองเจ้าตำหนักงั้นรึ?


 


ในฐานะของผู้ตรวจการ เขากำกับดูแลตำหนักรองทั้งสี่และมีอำนาจมหาศาล ถ้าเขาประกาศด้วยตัวเอง เขาก็มีสิทธิ์ที่จะปลดซือหยูออกจากตำแหน่งรองเจ้าตำหนัก!


 


จากนี้ไป หยินหยูจะไม่ได้เป็นรองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬอีกแล้ว!


 


เจ้าเมืองอันยี่เต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


“ผู้ตรวจการไป่ฮี ท่านพูดจริงใช่หรือไม่?”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีตอบอย่างหนักแน่น


 


“ข้าทำหน้าที่จัดการกับคนที่แหกกฎ! ถ้าเจ้าเมืองอันยี่มีเรื่องขัดใดอันใดก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเจ้า อาณาจักรทมิฬจะไม่ยุ่งเกี่ยว!”


 


เขากำลังถีบให้ซือหยูตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง!


 


เจ้าเมืองอันยี่อยากจะฆ่าซือหยู และตอนนี้ไม่มีอะไรที่ขัดขวางเขาให้ทำเช่นนั้นอีกแล้ว


 


ซือหยูมองผู้ตรวจการไป่ฮีอย่างเยือกเย็น


 


“ไอ้กาเฒ่า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์ที่จะปลดตำแหน่งของข้ารึ?”

 

 

 


ตอนที่ 340

 

รองเจ้าตำหนักนั้นถูกแต่งตั้งโดยเจ้าตำหนักของตำหนักรองนั้นๆ เขาที่มีตำแหน่งผู้ตรวจการนั้นทำหน้าที่สังเกตการณ์ในตำหนักรอง เขาไม่มีอำนาจในการแทรกแซงกิจการในตำหนักรอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสำคัญอย่างการปลดรองเจ้าตำหนักเลย


 


“ฮื่ม! ก่อนที่ข้าจะมา ข้าได้รับมอบอำนาจในการลงโทษมาจากจ้าวไป่ลั่วแล้ว!”


 


“ความผิดของเจ้ามันน่าสังเวชนัก ฆ่าได้แม้กระทั่งคนบริสุทธิ์ เจ้ามันคนชั่วช้า ผู้ตรวจการอย่างข้าคิดว่าเจ้าไม่เหมาะกับตำแหน่งรองเจ้าตำหนัก! ในตอนนี้ ด้วยนามแห่งจ้าวไป่ลั่ว ข้าขอประกาศว่าเจ้าถูกปลดออกจากการเป็นรองเจ้าตำหนัก!”


 


เมื่อครู่ เขาประกาศใช้ตำแหน่งของตัวเองที่เป็นผู้ตรวจการ แต่เมื่อเขาถูกเปิดโปง…เขาเปลี่ยนไปใช้นามของจ้าวไป่ลั่ว


 


แม้ว่าจ้าวไป่ลั่วจะให้สิทธิ์กับเขา แต่ผู้ตรวจการไป่ฮีก็ทำไปโดยไม่ได้ถามหลิงเสี่ยวเทียนก่อนแน่นอน


 


มิเช่นนั้นทำไมจ้าวไป่ลั่วจะต้องสร้างปัญหาโดยการขอรองเจ้าตำหนักทุกคนจากหลิงเสี่ยวเทียนด้วยเล่า? นั่นเป็นเพราะเขาสั่งหลิงเสี่ยวเทียนไม่ได้ใช่หรือไม่?


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีแค่กำลังหลอกลวงผู้คน เขาใช้คำพูดเพื่อทำให้เจ้าเมืองอันยี่ได้มีโอกาสลงมือเท่านั้น


 


“เจ้าเมืองอันยี่ หยินหยูไม่ใช่คนจากอาณาจักรทมิฬอีกแล้ว ข้อพิพาทระหว่างพวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรทมิฬ เจ้าไม่ต้องสนใจข้า สะสางเรื่องระหว่างกันไปซะ!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีประสานหมัดให้กับเจ้าเมืองอันยี่


 


ผู้คนรู้สึกได้ว่าซือหยูพบกับความไม่เป็นธรรม พวกเขาทำเกินไปแล้ว!


 


แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างผู้ตรวจการไป่ฮีกับเจ้าตำหนักหยินหยู สถานการณ์ก่อนหน้านี้ก็บอกอย่างชัดเจนว่าผู้ตรวจการไป่ฮีใช้อำนาจทางการเพื่อล้างแค้นให้ตัวเอง เขาไล่ต้อนเจ้าตำหนักหยินหยูให้จนมุม!


 


และที่ไร้ยางอายยิ่งกว่าก็คือเขาไม่ระวังคำพูดเลยแม้แต่น้อย เขาพูดกับเจ้าเมืองอันยี่โดยไม่แสดงความนับถือเลย!


 


ราวกับว่าเขากำลังทำเรื่องที่ถูกต้องอย่างไรอย่างนั้น


 


เจ้าเมืองอันยี่ประสานหมัดตอบ


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่ออมมือ”


 


“คนผู้นี้สังหารและชิงสมบัติในเมืองอันยี่ เขาได้ทำเรื่องชั่วร้ายโดยการฆ่าลูกของข้าเพียงเพราะเรื่องผิดใจเล็กน้อย คนชั่วช้าเช่นนี้ต้องถูกกำจัดทิ้ง!!”


 


อะไรนะ? เหล่านักสู้ในเมืองตกตะลึง นายน้อยตระกูลตู่ที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลยิ่งใหญ่ถูกหยินหยูสังหารไปแล้ว!


 


ถึงจะเห็นได้ชัดว่าเจ้าเมืองอันยี่เป็นคนฆ่าลูกของตัวเอง เขาก็ประกาศให้โลกรู้ว่าซือหยูเป็นคนทำ!


 


ทั้งสองช่วยกันใส่ร้ายให้ซือหยูสมควรแก่ความตายเป็นพันนครั้ง


 


ซือหยูไม่คิดจะพูดอะไรอีกเมื่อเผชิญหน้ากับความไร้ยางอายของทั้งคู่


 


ซือหยูหัวเราะ เขาหัวเราะเสียงดังลั่น


 


“ฮ่าๆๆๆๆๆ…ไร้ปรานีเรอะ? ใช่แล้ว! ข้ามันไร้ปรานีทั้งยังป่าเถื่อน ข้าฆ่าคนจนชิน…แล้วยังไงรึ?”


 


แววตาของเขาเยือกเย็น สายลมพัดผ่านชุดให้ร่ายรำโบกสะบัด


 


เส้นผมสีเงินสยายออก แววตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเข้มข้น


 


เว่ยเทียนเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา


 


“เจ้ายอมรับแล้วรึว่าเจ้ามันป่าเถื่อน อภัยให้ไม่ได้ ทุกคนควรจะมีสิทธิ์ได้ฆ่าเจ้า!”


 


“เจ้าเมืองอันยี่ ข้าขอร้องให้ท่านกำจัดคนน่ารังเกียจเช่นนี้แทนพวกเราด้วย ด้วยนามแห่งคุณธรรม!”


 


เขาขี้ขลาดและอ่อนแอไม่กล้าจะเดินเข้าไป แต่เขาอ้อนวอนคนจากข้างๆด้วยคำพูดที่ราวกับเที่ยงธรรม


 


เฉินยู่เหลียนเห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ความหวาดกลัวของนางลดลง แววตาของนางกลับมาดุร้ายอีกครั้ง


 


“ใช่แล้ว! คนเช่นนี้ก็ทำได้แค่ทำร้ายคนบริสุทธิ์เท่านั้นถ้ารอดไปได้!”


 


“ขอร้องท่านเจ้าเมือง โปรดกำจัดมันให้เพื่อพวกเราเถอะ!”


 


เห็นได้ชัดว่านางพยายามจะลอบสังหารซือหยูถึงสองครั้ง และนางในตอนนี้กำลังใส่ร้ายว่าซือหยูนั้นโหดร้าย


 


คนในตระกูลตู่เกือบจะตายในน้ำแข็ง แววตาพวกเขาดุดัน


 


“ได้โปรดเถอะท่านผู้นำตระกูล บัญชาสวรรค์ก็ต้องการกำจัดคนผู้นี้!”


 


“บัญชาสวรรค์ต้องการกำจัดคนน่ารังเกียจนี่…”


 


“กำจัดคนน่ารังเกียจนี่…”


 


เสียงดังก้องไปทั่วเมืองอันยี่


 


เสียงอันทรงพลังของคนร้อยคนนั้นราวกับคลื่นโหมกระหน่ำทะลวงนภา มันดังไปทั่วเมืองอันยี่


 


แต่ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือความตั้งมั่นของทุกคนที่จะฆ่าซือหยู!


 


สามคนก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างพยัคฆ์ ไฉนจะร้อยคน


 


ในตอนนี้ ไม่มีนักสู้คนใดก้าวออกมาเพื่อซือหยูอีกแล้ว


 


ทุกคนรู้ว่าซือหยูถูกไล่ต้อน ทุกคนรู้ว่าซือหยูต้องตาย


 


ทุกคนจึงอย่างจะฆ่าเขา!


 


เมื่อรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา สัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวของผู้คน สัมผัสได้ถึงสถานการณ์อันสิ้นหวังที่ไร้ทางออก…


 


ซือหยูยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เส้นผมสีเงินยังคงร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง เส้นผมนั้นบดบังดวงตาลึกซึ้งราวกับดารา…แต่มิอาจบดบังจิตวิญญาณที่จ้องมองออกมาไม่ได้!


 


“ถ้าทุกคนคิดว่าข้าโหดร้ายป่าเถื่อน อยากจะฆ่าข้านัก ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าทุกคนรู้ว่าคนที่โหดร้ายจริงๆเป็นเช่นไร!”


 


ปั้ง—


 


จิตสังหารอันน่าหวาดกลัวพุ่งออกจากดวงตาของซือหยู


 


เส้นผมสีเงินที่บดบังดวงตาถูกพัดเปิด


 


ดวงตาอันเปล่งประกายในตอนนี้เหมือนกับก้นบึ้งไร้ขอบเขตที่พยายามจะลากดวงวิญญาณของทุกคนลงไป


 


“พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!”


 


เป็นเสียงอันเยือกเย็นจากนรกที่ขู่เข็ญให้ทุกคนต้องตาย!


 


หัวใจของทุกคนที่ถูกซือหยูจ้องมองสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาราวกับประตูไปสู่นรกอันมืดมิดที่จะส่งพวกเขาไปยังโลกหน้า


 


แม้แต่ผู้ตรวจการไป่ฮีก็เบิกตากว้าง เขาหวาดกลัวแววตานั้น


 


“แววตาอะไรกัน!”


 


เหล่านักสู้อ้าปากค้าง!


 


“พวกเขาอาจจะทำเกินไปจริงๆ!”


 


กว้างเนื้อที่คอของเขาบิดไปมา ผู้ตรววจการไป่ฮีหัวเราะ


 


“ดวงตาของเศร้าผู้คนเป็นดั่งแก้วใสบริสุทธิ์ หากทุกคนอยากให้เจ้าตายมันก็เพียงพอแล้วว่าเจ้าสมควรตายเพียงใด!”


 


ซือหยูหัวเราะอย่างเย็นชา


 


“ผู้คนงั้นรึ? ข้าก็แค่ต้องฆ่าให้หมดเท่านั้น!”


 


เขาอยากจะฆ่าทุกคนในตระกูลตู่และรวมถึงทุกคนที่เข้าใจเขาผิด!


 


“เจ้าเมืองอันยี่ เจ้าจะลงมือก็ได้! ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรแล้ว!”


 


แต่ผู้ตรวจการไป่ฮีก็รีบถอยหนี เขาไม่คิดจะลงมือเอง


 


เจ้าเมืองอันยี่ตากระตุก เขาไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของเขาถึงเต้นแรงเมื่อได้ยินคำพูดอันเต็มไปด้วยจิตสังหารของซือหยู


 


แววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารนั้นทำให้เจ้าเมืองอันยี่เสียใจเล็กน้อย


 


ถ้าเขาเข้ามาจัดการเพียงเล็กน้อย สถานการณ์จะมาถึงขั้นนี้รึ?


 


แต่ความคิดก็จากไปอย่างรวดเร็ว


 


ซือหยูได้เสียตำแหน่งในอาณาจักรทมิฬไปแล้ว เขามิใช่สิ่งใดนอกจากแมลงสาบในสายตาเขา เขาสังหารซือหยูได้เพียงย่างก้าว


 


“เห้อ หยินหยู มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่รู้สำนึก เจ้าไม่คิดจะหยุดความปรารถนาในการฆ่า ข้าทำได้แค่ทำตามบัญชาสวรรค์เท่านั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะได้มีชีวิตใหม่ที่ดี!”


 


เจ้าเมืองอันยี่ถอนหายใจเบาๆและก้าวไปข้างหน้า


 


แต่ก่อนที่เขาจะได้ขยับตัว รังสีพลังอันน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นจากน่านฟ้าเมืองอันยี่!


 


อั่ก—


 


เมื่อรังสีพลังปรากฏ เหล่านักสู้ในขอบเขตมังกรต่างกระอักเลือด


 


หลายร้อยคนที่กำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเขาตกลงไปในคลื่นสัตว์อสูร พริบตาเดียวซากศพของพวกเขาก็เข้าไปอยู่ในท้องของเหล่าสัตว์อสูร


 


พวกที่เป็นขอบเขตอำมฤตนั้นรู้สึกได้ถึงโลหิตที่สั่นไหว พลังวิญญาณในกายติดขัด พวกเขาหยุดร่างกายให้สั่นไม่ได้


 


ราวกับภูเขาลูกยักษ์กำลังกดทับพวกเขา ยากที่จะหายใจ


 


“นี่มัน…”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีสีหน้าเปลี่่ยนไปอย่างมาก


 


“อำมฤตระดับห้า…จักรพรรดิสัตว์อสูร!”


 


จักรพรรดิแห่งสัตว์อสูรนับหมื่น สัตว์อสูรในตำนาน!


 


ตามตำนาน สติปัญญาของพวกมันเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปและยังพูดได้ มันกำลังจะได้ทะลวงม่านพลังสุดท้ายและมีรูปลักษณ์ของมนุษย์!


 


แต่นั่นก็เป็นแค่ตำนาน


 


ตัวตนของจักรพรรดิสัตว์อสูรนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าจากปากต่อปาก ไม่ได้มีบันทึกที่แท้จริงหลงเหลืออยู่


 


นั่นเป็นเพราะว่าจักรพรรดิสัตว์อสูรหายากเกินไป ความหายากนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าสัตว์อมตะเลย!


 


ใครกันจะไปคิดว่าจักรพรรดิสัตว์อสูรในตำนานจะมาปรากฏตัวในคลื่นสัตว์อสูรเช่นนี้?!

 

 

 


ตอนที่ 341

 

“หึหึ เจ้าพวกมนุษย์หน้าโง่ แม้จะเจอกับภัยร้าย พวกเจ้าก็ยังต่อสู้กันเอง ช่างน่าเศร้าและน่าหัวร่อนัก”


 


เหนือนภา วิหคทองคำสะบัดปีก


 


วิหคนั้นรูปร่างราวกับนกกระเต็น มันดูงดงามและน่าหลงใหล


 


ใต้แสงตะวัน สีทองอันตระการตาของมันส่องสะท้อนกับขนปีก


 


มันดูราวกับวิหคที่สลักมาจากทองคำ!


 


ที่หัวของมันมีมงกุฎของราชวงศ์ที่ส่องสะท้อนแสงตลอดเวลา


 


ราวกับว่ามันเป็นราชาในตำนานที่ยืนอยู่เหนือสัตว์อสูรหลายร้อยล้านตัว ทำให้มันเป็นจักรพรรดิของมวลสัตว์อสูร!


 


แต่ที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือวิหคทองคำนั้นพูดภาษามนุษย์ได้!


 


ความรังเกียจและความชังจากมันนั้นมีชีวิตชีวาอย่างมาก และสติปัญญาของมันก็ไม่ได้ต่ำไปกว่ามนุษย์แม้แต่น้อย!


 


เจ้าเมืองอันยี่ชักสีหน้า


 


“จักรพรรดิสัตว์อสูร! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในป่าทมิฬ แม้แต่จักรพรรดิสัตว์อสูรในตำนานก็ปรากฏตัวออกมาเช่นนี้?”


 


เรื่องนี้เกิดขึ้นทั้งหมด แม้แต่คนโง่ก็ย่อมต้องเข้าใจว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในส่วนลึกของป่าทมิฬ! มันทำให้แม้แต่จักรพรรดิสัตว์อสูรหวาดกลัวจนออกมาจากป่าทมิฬ


 


“ฮื่ม! เจ้ามนุษย์ต่ำต้อย ท่านอู๋กำลังจะมาครองโลก พวกเจ้าทุกคนจงยอมจำนนต่อท่านอู๋และตามข้าไปพบเขา!”


 


วิหคทองคำมองทุกคนอย่างเยือกเย็น!


 


เจ้าของของจักรพรรดิสัตว์อสูรงั้นรึ? ในโลกใบนี้…คนประเภทใดกันที่มีสิทธิ์จะใช้งานจักรพรรดิสัตว์อสูรได้?


 


ในทวีปเหนือ จำนวนยอดฝีมือที่จะประมือกับจักรพรรดิสัตว์อสูรได้นั้นมีไม่ถึงห้าคน!


 


ตำนานสัตว์อสูรกลายเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณไปแล้วรึ? คนที่เรียกว่าท่านอู๋คือผู้ใดกัน? ในทวีปเฉินหลงที่ทุกคนรู้ คนคนเดียวที่มีพลังเช่นนี้คือราชาแห่งความมืด!


 


หรือว่าในทวีปเฉินหลง คนที่สามารถเผชิญหน้ากับราชาแห่งความมืดได้จะมีตัวตนอยู่จริง?


 


“เวลาข้าเหลือน้อยแล้ว ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสามลมหายใจ ใครที่คิดจะยอมจำนนต่อนายข้าจะต้องตามข้าไปที่ป่าทมิฬ ส่วนคนอื่น…ตาย!”


 


แววตาของวิหคทองคำนั้นเกรี้ยวกราดดุร้าย


 


คำพูดของมันไม่เข้ากับรูปลักษณ์อันน่าหลงใหลเลย!


 


“สาม!”


 


วิหคทองคำอ้าปาก แต่ก็ไม่มีผู้ใดตอบ มิใช่เพราะว่ายอดฝีมือนั้นกล้าหาญ แต่เป็นเพราะทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป


 


สัตว์อสูรบังคับให้ทุกคนในเมืองภักดีต่อนนายของมันที่ไม่มีใครรู้จัก ถ้าพวกเขาปฏิเสธก็จะถูกฆ่าทิ้ง


 


ทั้งเมืองเงียบกริบ ไร้ผู้ใดตอบ


 


แววตาของวิหคทองคำเต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


“ข้านับถึงสามแล้ว ดูเหมือนพวกเจ้าจะขัดขืน! ถ้าเช่นนั้นข้าจะทำลายเมืองซะ!”


 


ทุกคนเห็นว่าวิหคทองคำนับไป ครั้งเดียว แต่มันก็ไม่ได้คำตอบอย่างที่หวัง นั่นทำให้สถานการณ์เลวร้ายในทันที!


 


มันขู่ว่าจะทำลายเมือง!


 


โฮก—-


 


วิหคทองคำนั้นเด็ดเดี่ยวมาก การกระทำของมันแสดงความตั้งใจที่จะทำลายเมือง!


 


หลังจากร้องคำราม เสียงทำลายล้างอันกว้างใหญ่ไพศาลราวกับอัสนีสะบั้นธรณีก็พุ่งทะลวงลงมาจากท้องนภาด้วยพลังมหาศาล!


 


ครืน—


 


ปั้ง—


 


กำเมืองเมืองที่คลื่นสัตว์อสูรมิอาจทำลายแม้จะผ่านไปครึ่งเดือนได้พังทลายลงราวกับแผ่นกระดาษบางเบา!


 


นี่คือพลังของจักรพรรดิสัตว์อสูร!


 


และพลังคลื่นเสียงนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยเมื่อมันแล่นผ่านเมืองอันยี่!


 


ตลอดเส้นทาง ทุกสิ่งปลูกสร้างล้วนแหลกสลาย ทุกคนหนีเอาตัวรอด พลังเข้าปะทะกับพื้นที่อย่างบ้าคลั่ง คนนับไม่ถ้วนไม่ตายก็บาดเจ็บ!


 


เจ้าเมืองอันยี่ทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว


 


“อวดดีนัก!”


 


เขาตะโกนลั่น เจ้าเมืองอันยี่สวนกลับพลังที่จะเข้ามาทำลายเมือง!


 


พลังวิญญาณจากร่างของเจ้าเมืองอันยี่ออกมาจากกายและเปลี่ยนเป็นแหยักษ์ เจ้าเมืองอันยี่เหวี่ยงแหยักษ์นั้นขึ้นบนนภาเพื่อปะทะกับคลื่นเสี่ยงของจักรพรรดิสัตว์อสูi


 


แต่คลื่นเสียงของจักรพรรดิสัตว์อสูรนั้นน่ากลัวจนเกินคาด


 


แหวิญญาณทำได้แค่ปะทะกับคลื่นเสียงเพียงชั่วครู่ จากนั้นมันก็ขาดสะบั้น!


 


คลื่นเสียงที่หลงเหลือซัดใส่ร่างของเจ้าเมืองอันยี่ เขากระเด็นหลายลี้!


 


เขากระอักเลือดออกมาด้วยความตกตะลึง!


 


เจ้าเมืองอันยี่ยืนขึ้นด้วยความยากลำบาก ใบหน้ามีแต่ความตกตะลึง


 


“เจ้า…กำลังจะเป็นเทพงั้นรึ?”


 


เจ้าเมืองอันยี่ตกใจอย่างมาก!


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีจ้องมองจักรพรรดิสัตว์อสูร ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัว


 


“อำมฤตระดับห้าขั้นสูง อีกก้าวเดียวจะได้เป็นเทพ!”


 


ทั้งเมืองเงียบกริบ!


 


ทุกคนคิดเพียงอย่างเดียว!


 


หนี!


 


หนีเอาชีวิตรอด!


 


แม้แต่เจ้าเมืองอันยี่ที่ไร้เทียมทานก็ล้มลงจากการโจมตีเดียวของจักรพรรดิสัตว์อสูร!


 


“ด้วยพลังเช่นนี้ เจ้าไม่มีสิทธิ์จะต่อกรกับนายท่านเลย”


 


จักรพรรดิสัตว์อสูรเหยียดหยาม


 


“ถ้าข้าทำลายเมืองก็ไม่มีใครหยุดข้าได้! พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!”


 


โฮก—-


 


จักรพรรดิสัตว์อสูรคำรามอีกครั้ง คลื่นเสียงที่น่ากลัวกว่าเดิมสามเท่าพุ่งเข้ามา!


 


แย่แล้ว!


 


เหล่านักสู้หน้าซีดด้วยความกลัว พวกเขากระจัดกระจายและรีบหนี!


 


แววตาของเจ้าเมืองอันยี่เต็มไปด้วยความชิงชัง!


 


นี่คือเมืองของเขา ถ้ามันถูกทำลายโดยจักรพรรดิสัตว์อสูร…แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?


 


“เจ้าสัตว์ร้าย อย่าป่าเถื่อนให้มันมากนัก! ข้าจะจัดการเจ้าเอง!”


 


ฟึ่บ–


 


เจ้าเมืองอันยี่พุ่งทะยานไปยังขอบนภา!


 


แต่เมื่อทุกคนรู้สึกได้ว่าเจ้าเมืองอันยี่กำลังจะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิสัตว์อสูร พวกเขาก็ต้องพบกับสิ่งที่น่าตกตะลึง!


 


หลังจากที่เขาพุ่งทะยานไปยังชอบนภา เขาหนีไปทันทีโดยไม่เหลียวหลัง!


 


เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิสัตว์อสูร!


 


และที่เหนือกว่าจักรพรรดิสัตว์อสูรก็ยังมีท่านอู๋!


 


เขามีสองทางเลือก คือตกไปอยู่ในระดับหุ่นเชิดรับใช้…หรือถูกฆ่าตาย!


 


เขาจึงต้องเลือกทางเลือกที่สาม!


 


นั่นคือการหนีโดยไม่ต่อสู้!


 


ทิ้งเมืองอันยี่ ทิ้งถิ่นฐาน และทิ้ง…ตระกูลของตัวเอง!


 


เขาต้องทำสิ่งเลวทรามและหนีไปด้วยตัวเอง!


 


ซือหยูที่เห็นเขาหนีไปนั้นไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว


 


คนที่สังหารเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้นั้นเลือดเย็นโดยสันดาน เป็นธรรมดาที่คนเช่นนี้จะทิ้งตระกูลและบ้านเกิดไป


 


จักรพรรดิสัตว์อสูรคำรามลั่น


 


“คิดจะหนีจากอุ้งมือข้ารึ? ไร้เดียงสาซะจริง!”


 


ฟึ่บ–


 


วิหคทองคำกลายเป็นแสงสายสีทองไล่ล่าเจ้าเมืองอันยี่


 


เสียงของมันดังก้องนภา


 


“เจ้าพวกมนุษย์ชั้นต่ำ พวกเจ้ามีเวลาตัดสินใจอีกนิดหน่อย คิดให้ดีล่ะ!”


 


เหล่ายอดฝีมือในเมืองอันยี่รู้สึกอัปยศอย่างมาก การโดนดูถูกจากสัตว์อสูรนั้นน่าละอายเพียงใดกัน?


 


แต่พลังของจักรพรรดิสัตว์อสูรก็น่ากลัวเกินไป ความคิดที่จะล้างแค้นไม่ได้อยู่ในหัวของพวกเขาเลย


 


พวกเขาคิดอย่างเดียวคือ…หาทางหนีรอด!


 


สีหน้าของผู้ตรวจการไป่ฮี เว่ยเทียนเฉิน และเฉินยู่เหลียนนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขากัดฟันและเตรียมจะหนีออกจากเมือง!


 


พรึ่บ–


 


แต่ในตอนนั้นเองก็มีเงามาขวางทางพวกเขา


 


“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าไม่ได้คิดจะทำตามบัญชาสวรรค์หรอกรึ? คนอย่างข้าที่ทำผิดมหันต์ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนจะหนีไปทำไมกันเล่า?”


 


ซือหยูหัวเราะ เขายืนมือไพล่หลัง เขายิ้มเยาะ


 


“พวกเจ้าเอาแต่พูดว่าข้าพึ่งอำนาจของอาณาจักรทมิฬ ตอนนี้พวกเจ้าไม่มีเจ้าเมืองอันยี่อีกแล้ว พวกเจ้ายังจะเห็นผิดเป็นถูกจากบัญชาสวรรค์ที่พวกเจ้าพูดออกมานั่นหรือไม่?”


 


“ข้าพูดไปแล้ว ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคนในความโง่เขลานั่น ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าสักคนมีชีวิตรอดไปได้!”


 


ซือหยูยิ้ม เขายิ้มอย่างเยือกเย็น!


ตอนที่ 342

 

เว่ยเทียนเฉินหน้าแดง


 


“หยินหยู! อย่ามาไร้สาระน่า! สัตว์อสูรกำลังละฆ่าล้างเมือง เจ้าที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์กลับไม่สู้กับพวกเราแล้วยังใช้โอกาสนี้สังหารเผ่าพันธุ์เดียวกันอีก เจ้าคิดจะเป็นบาปของเผ่ามนุษย์งั้นรึ?”


 


ขณะที่เขาพูด เขาก็หันหนี!


 


อ๊าก—


 


แต่เมื่อเขาหนี สตรีข้างหลังก็กรีดร้องออกมา


 


เขาหันหลังไปมองและพบดัชนีที่ทะลวงท้องของเฉินยู่เหลียน แต่การโจมตีนั้นก็ไม่ได้ซัดใส่จุดตาย นางเพียงแค่เจ็บปวดแต่ไม่ได้กำลังจะตาย นางอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสงสาร!!


 


เฉินยู่เหลียนกุมท้องด้วยมือที่เหลือ หน้าผากที่ซีดเผือดนั้นมีเหงื่อเม็ดโตผุดออกมา แววตาของนางกลับมาหวาดกลัวอีกครั้ง


 


“จะ…เจ้าตำหนักหยินหยู ไว้ชีวิตข้าเถอะ…ข้าแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น!”


 


ซือหยูวางดัชนีลงบนระหว่างคิ้วของนางและส่ายหัวอย่างเยือกเย็น


 


“เจ้าคิดว่าข้ออ้างนั่นยังใช้ได้อยู่อีกรึ? ตอนที่เจ้าบอกว่าข้าทำร้ายเจ้า เจ้าคิดว่านั่นเป็นการทำตามคำสั่งรึเปล่าล่ะ?”


 


“ถ้าเจ้าคิดจะปลิดชีพตัวเองแทนที่จะถูกฆ่า ข้าก็จะให้ความนับถือเจ้าบ้าง แต่ตอนนี้สายเกินไปแล้วที่จะมาขอความเมตตา!”


 


พรึ่บ–


 


ซือหยูปล่อยพลังวิญญาณออกมาฆ่านางทันที


 


คนที่ทำให้ซือหยูตกอยู่ในความอันตรายถึงสองครั้งในที่สุดก็ถูกสังหาร


 


เว่ยเทียนเฉินหวาดกลัวอย่างมากเมื่อได้เห็น เขาไม่ลังเลอีกแล้ว เขารีบหนีทันที


 


“หึหึ ท่านเทียนเฉิน คนบริสุทธิ์ถูกอสูรฆ่าตายไปแล้ว ผู้ผดุงความยุติธรรมจะหนีไปไหนกันเล่า? เจ้าไม่กลัวว่าความเป็นวีรบุรุษของเจ้าจะหม่นหมองรึ?”


 


คำพูดเย้ยหยันดังมาจากด้านหลังของเขา


 


เว่ยเทียนเฉินได้เข้ามาแทรกกลางระหว่างซือหยูกับเฉินยู่เหลียน เขาแสร้งใช้คุณธรรมช่วยนางจากซือหยู


 


เขายังร่วมผสมโรงก่นด่าซือหยูในตอนที่ซือหยูกำลังจะตายอีกด้วย!


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู ให้อภัยและลืมมันไปซะเถอะ เจ้าไม่กลัวกรรมตามสนองหรืออย่างไรกัน?”


 


เว่ยเทียนเฉินเป็นกังวล


 


ซือหยูยิ้มเยาะ


 


“ฮ่าๆๆๆๆๆ เจ้าพูดอะไรของเจ้า?”


 


“เจ้าเป็นคนพูดเองว่าข้าทำผิดในอาณาจักรทมิฬ! เจ้ายังอาศัยให้เจ้าเมืองอันยี่กล่าวหาข้า! แต่ตอนนี้คนที่จะถูกฆ่าไม่ใช่ข้าแต่เป็นเจ้า!”


 


“นี่แหละคือกรรมตามสนองที่แท้จริง!”


 


เว่ยเทียนเฉินทั้งละอายและโกรธแค้น


 


“เจ้าบิดเบือนความจริง! เจ้าไม่นึกถึงความปลอดภัยของเผ่ามนุษย์แต่กลับดื้อด้านที่จะสังหารพวกพ้อง เจ้าไม่เห็นเผ่ามนุษย์ในสายตาเลยงั้นรึ?”


 


“ปลิ้นปล้อนนัก!”


 


ซือหยูตอบอย่างโหดร้าย


 


“ตลอดครึ่งเดือนที่สัตว์อสูรมาที่นี่ เจ้าได้สังหารสัตว์อสูรไปบ้างหรือไม่ เจ้าที่เป็นอำมฤตระดับสามขั้นกลางน่ะ? ไม่เลย! ข้าสังหารสัตว์อสูรไปมากมายนั่นก็เป็นการช่วยเหลือมนุษย์ในทางอ้อมแล้ว แต่ตอนที่พวกเจ้าเข้ามาจู่โจมข้า เจ้าคิดว่าจะทำให้เผ่ามนุษย์เป็นอันตรายหรือไม่? ไม่า! เจ้ากลับอ้างว่าเจ้าทนเห็นข้าฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่ได้แล้วไปช่วยเฉินยู่เหลียน แต่ตอนที่ข้าฆ่านาง เจ้าก้าวเข้ามาแทนที่จะหนีหรือไม่? นั่นก็ไม่!”


 


ซือหยูพูดต่อ


 


“เจ้ามันก็แค่คนเห็นแก่ตัว คนขี้ขลาดที่ไม่ได้ทำอะไรเพื่อมนุษย์ เจ้าไม่คู่ควรกับเผ่ามนุษย์เลย ฆ่าเจ้าไปเผ่ามนุษย์ก็ไม่ได้เสียความปลอดภัยไปนักหรอก!”


 


เหล่านักสู้ที่หนีเอาชีวิตโดยรอบเข้าใจในทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราว


 


เว่ยเทียนเฉินอ้างว่าเป็นหนึ่งในสี่บุตรแห่งหอสดับหิมะ แต่ก็แค่ใช้อำนาจในการข่มเผ่ามนุษย์ด้วยกันเอง


 


เขาไม่ได้ช่วยอะไรเลยตั้งแต่คลื่นสัตว์อสูรโหมเข้ามา


 


ความตายของคนที่คิดถึงแต่ตนเองเช่นนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเผ่ามนุษย์


 


แม้แต่เว่ยเทียนเฉินเองก็พูดอะไรไม่ออก


 


“ยอมรับชะตาซะ นับแต่วันนี้ไป สี่บุตรแห่งหอสดับหิมะจะเหลือแค่สองคนเท่านั้น อย่ากล่าวโทษข้า ข้าให้โอกาสเจ้าไปตั้งหลายครั้งหลายคราแล้ว!”


 


จิตสังหารของซือหยูนั้นเยือกเย็นและเด็ดเดี่ยว เขาดึงธนูเงิน ศรไล่ตามศัตรูไปหลายลี้!


 


หลังจากที่ศรแล่นผ่านนภาก็ได้ต้องกับเสียงกรีดร้องโหยหวน เว่ยเทียนเฉินถูกศรทะลวงอกตายหลังจากที่หนี


 


จิตสังหารของซือหยูอยู่ในจุดสูงสุดหลังจากที่ฆ่าไปแล้วสองคน


 


เขามองไปยังคนสุดท้ายที่ต้องฆ่า!


 


“เหลือแค่เจ้าคนเดียวสินะ ไป่ฮี!”


 


ซือหยูหันไปมองอย่างเยือกเย็น


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีไม่ได้แสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย


 


เขามองซือหยูและยิ้มเยาะ


 


“เจ้าทำเรื่องที่ต้องทำเสร็จแล้วรึ? ช้าเหลือเกิน! เจ้าใช้เวลานานนักกว่าจะฆ่าพวกนั้นได้ ถึงข้าจะปล่อยให้เจ้าฆ่าพวกนั้นได้ เจ้าก็ทำให้ข้าผิดหวังนัก!”


 


“ฮ่าๆๆ…เจ้ายังอยากจะรักษาหน้าตัวเองอีกรึ!”


 


ซือหยูหัวเราะอยู่นาน เขาส่ายหัว


 


“เหตุเดียวที่เจ้ายังอยู่ก็เพราะเจ้าทำทุกอย่างเพื่อที่จะฆ่าข้า แต่ตอนนี้เจ้าจะเสียหน้าหนีไปไม่ได้สินะ!”


 


“แต่เจ้าก็อ้างว่าการกระทำนั้นก็เพื่อให้เวลากับข้า เจ้าทำให้ดูเหมือนกับข้าฆ่าพวกนั้นได้เพราะเจ้าปล่อยให้ข้าทำ!”


 


ซือหยูฉีกยิ้ม


 


“มันคงจะโชคดีมากสินะที่เจ้าเอาแต่หลบอยู่ข้างๆ จะได้มีชีวิตให้นานขึ้นอีกหน่อย!”


 


สีหน้าของผู้ตรวจการไป่ฮียังคงเดิม


 


“น่าขันนัก ข้าฆ่าเจ้าได้ไม่ต่างกับสุนัข!”


 


“ถ้าง่ายนักที่จะฆ่าข้าแล้วทำไมเจ้าไม่ทำเองแทนที่จะยุให้เจ้าเมืองอันยี่ลงมือเล่า? สมบัติเทพของท่านเจ้าตำหนักหลิงยังคงมีผลกับไอ้แก่อย่างเจ้าอยู่ไม่ใช่รึ?!”


 


ด้วยฐานพลังของซือหยูตอนนี้ มันไม่ยากที่เขาจะสังเกตเห็นฐานพลังที่น้อยลงไปของผู้ตรวจการไป่ฮี เขาพลังลดลงมาอยู่ในระดับอำมฤตระดับสามขั้นสูง!


 


“หึ หลิงเสี่ยวเทียนใช้สมบัติเทพโดยไร้คำอนุญาต พยายามจะก่อกบฏต่ออาณาจักร เขาหนีการลงโทษไม่พ้นแน่!”


 


“แล้วก็…ถึงฐานพลังข้าจะลดลง ขยะอย่างเจ้าก็เทียบกับข้าไม่ได้หรอก!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีพูดอย่างเย็นชา


 


“แค่สะบัดข้อมือเจ้าก็ตายแล้ว!”


 


“เจ้าคิดจริงๆรึว่าข้ายังเป็นเด็กน้อยคนเดียวที่ได้แต่หนีเจ้าในตอนนั้น?”


 


ก่อนหน้านี้ ผู้ตรวจการไป่ฮีลอบเข้ามาโจมตี ซือหยูไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะตอบโต้ เขาไม่มีแม้โอกาสที่จะได้พยายามหนีด้วยซ้ำ


 


ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงเสี่ยวเทียนที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ซือหยูคงตายไปแล้ว


 


ปั้ง—


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีหัวเราะ


 


“ข้าไม่เห็นความต่างระหว่างตอนนั้นกับตอนนี้ของเจ้าเลย แค่กระบวนท่าเดียวเจ้าก็ทนไม่ได้แล้ว!”


 


ปั้ง–


 


ตอนที่เขาพูดจบ ซือหยูก็ได้ใช้ธนูมังกรฟ้าดินอีกครั้งโดยการแตะดัชนีที่หน้าผากและสร้างศรที่ทำจากพลังความเย็น


 


ฟึ่บ–


 


เขาปล่อยนิ้วที่รั้งสายธนู ศรน้ำแข็งทะลวงไปยังผู้ตรวจการไป่ฮี


 


พลังความเย็นนั้นมากพอที่จะสังหารคนในขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นสูง และพลังนั้นยังถูกปรับเพิ่มด้วยธนูมังกรฟ้าดิน!


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีชักสีหน้า เขาพยายามจะหลบโดยไม่รู้ตัวแต่เขาจะหลบตอนนี้ได้ยังไงกัน?


 


“วารีกระจกบุพผา!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีเพิ่มพลังวิญญาณและสร้างกระจกวารีออกมาป้องกัน


 


กระจกนั้นจะทำให้การโจมตีเปลี่ยนเส้นทาง


 


เมื่อใช้วิชาด้วยพลังสูงสุด หลิงเสี่ยวเทียนมิอาจเอาชนะเขาได้ถ้าไม่ใช้สมบัติเทพ


 


ฟึ่บ–


 


ศรน้ำแข็งปะทะกับกระจกวารี


 


แกร๊กข–


 


รอยแตกมากมายปรากฏขึ้นบนกระจกวารีที่ไป่ฮีภาคภูมิใจนักหนา


 


เพล้ง—


 


ต่อมา กระจกวารีก็แตกเป็นเสี่ยงๆ


 


ศรน้ำแข็งทะลวงไปถึงอกของผู้ตรวจการไป่ฮี


 


อั่ก—


 


เขากระเด็นไปหลายลี้


 


เสื้อผ้าบริเวณอกนั้นขาดสะบั้นด้วยแรงระเบิด ผมหงอกของเขายุ่งเหยิง


 


โลหิตสดๆไหลออกมาจากจมูกจนถึงคาง


 


เพียงแค่การโจมตีเดียว ผู้ตรวจการไป่ฮีก็ย่ำแย่


 


“หึหึ ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่พูดนะ”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีเช็ดโลหิตในจมูก ใบหน้าแก่เฒ่าของเขาโกรธเกรี้ยวแต่ก็คลับคล้ายคลับคลากับความผิดหวัง


 


“พลังก็แค่ธรรมดา เจ้ายังทำให้ข้าบาดเจ็บไม่ได้ด้วยซ้ำถึงข้าจะตั้งใจออมมือ การบ่มเพาะพลังของเจ้ามันเสียเวลานยัก”


 


เขากำลังย่ำแย่ แต่ก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ


 


“อย่างนั้นรึ?”


 


ซือหยูแววตาเย็นชา รังสีพลังโอบล้อมกาย จังหวะแห่งธรรมชาติโอบล้อมซือหยู


 


ซือหยูในตอนนี้ดูไม่ใช่คนจากโลกมนุษย์ แต่ราวกับเทพอันงดงาม


 


ฟึ่บ–


 


เหล่าเมฆารวมตัวกันเหนือศีรษะ เหล่าเมฆาที่ถูกอัญเชิญนั้นมืดครึ้ม


 


ในเมฆานั้นมีมังกรอัสนีม่วงที่บินแล่นอยู่ในหมู่เมฆานั้น


 


ทุกครั้งที่มันปราฏตัว ผืนธรณีล้วนสั่นสะเทือนด้วยเสียงอัสนีคำราม


 


และหิมะจากเมฆาครึ้มก็ร่วงหล่นสู้ผืนดิน


 


นี่ต่างจากหิมะธรรมดา หิมะธรรมดานั้นจะละลายเมื่อสัมผัสกับพื้น แต่หิมะนี้กลับแช่แข็งทุกสิ่งที่สัมผัส!


 


นอกจากพวกอำมฤตระดับสามที่ป้องกันตัวเองได้ คนอื่นนั้นกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งอันงดงามเมื่อสัมผัสกับหิมะ


 


“อ๊าก!! หนีเร็ว!”


 


หนึ่งคนที่ยังเหลือรอดรีบหนีออกไปทันที


 


แต่ร่างของเขาก็กลายเป็นน้ำแข็ง ริมฝีปากยังคงอยู่ในท่าเดิม ขาทั้งสองข้างที่ก้าวเพื่อหนียังคงเดิม แต่ทั้งร่างถูกผนึกอยู่ในน้ำแข็งไปตลอดกาล

 

 

 


ตอนที่ 343

 

พริบตาเดียว ใต้เมฆามืดมิดและหิมะที่พัดปลิว ทุกสิ่งได้กลายเป็นน้ำแข็ง


 


“วิบัติ! อัสนี! เยือกแข็ง!”


 


ซือหยูชี้มือไปทางนภาและหลอมรวมกับศิลป์แห่งฟ้าดิน ราวกับว่าซือหยูกำลังบัญชาสวรรค์อยู่


 


ครืน—


 


ครืน—


 


อำนาจสวรรค์สร้างพลังมหาศาลจากฟ้าดิน พลังมหาศาลนี้มุ่งหน้าซัดใส่ผู้ตรวจการไป่ฮีผู้ที่อยู่ใต้เมฆามืดครึ้ม


 


ฟึ่บ–


 


มังกรอัสนียาวหมื่นศอกที่มีพลังทำลายล้างโลกได้ปรากฏตัวออกจากเมฆา


 


แต่ในมังกรอัสนีนั้นมิได้มีเพียงแค่สายฟ้าอยู่ภายใน มันยังมีน้ำแข็งที่ซ่อนอยู่ภายในอีกด้วย!


 


“ฎีกาสวรรค์ระดับเทพ!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีตกตะลึง


 


“เจ้าบ่มเพาะสิ่งเล็กจ้อยนี่มาถึงระดับเช่นนี้เชียวรึ?”


 


แต่สิ่งที่เล็กจ้อยนั้นก็แสดงพลังอันน่ากลัวเกินจินตนาการออกมา


 


“กายาเทียมระดับสอง!”


 


ในเวลาที่ย่ำแย่ ผู้ตรวจการไป่ฮีใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุด!


 


เขาใช้พลังวิญญาณหนึ่งในสามสร้างร่างเทียมออกมาหนึ่งร่าง


 


ร่างเทียมนั้นมีพลังเจ็ดในสิบส่วนของร่างหลัก!


 


ร่างเทียมเข้ามาขวางหน้าร่างหลักโดยไม่ลังเลและป้องกันมังกรอัสนีเยือกแข็งที่ยาวหมื่นศอก


 


แกร๊ก–


 


แต่ร่างเทียมถ่วงเวลาไม่ได้แม้แต่น้อย มันกลายเป็นน้ำแข็ง


 


และขณะเดียวกับ สายฟ้าทำลายล้างก็ทะลวงร่างเทียมที่กลายเป็นน้ำแข็งจนแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


พลังมังกรอัสนีเยือกแข็งไม่ได้ลดลง หลังจากที่บดขยี้ร่างเทียม มันพุ่งเข้าหาร่างหลัก!


 


เอื้อก–


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีจะป้องกันการโจมตีอันน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?


 


น้ำแข็งเย็นยะเยือกได้ลบพลังชีวิตของเขาหายไปกว่าครึ่ง และอัสนีทำลายล้างก็ซัดใส่ร่าง


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีนั้นตัวไหม้เกรียวแต่ก็ไม่มีโลหิตแม้แต่หยดเดียวไหลออกมา


 


นั่นก็เพราะว่าทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยพลังอันเยือกเย็น


 


ร่างของเขากลายเป็นน้ำแข็งจากภายในสู่ภายนอก!


 


การโจมตีนั้นเอาชีวิตเอาผู้ตรวจการไป่ฮีไป!


 


เหล่ายอดฝีมือที่หันมาดูนั้นอ้าปากค้าง!


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีถูกเจ้าตำหนักหยินหยูฆ่าอย่างง่ายดายเช่นนี้เชียวรึ?


 


แต่เดิม ซือหยูไม่ได้เป็นที่สนใจนัก แต่ในการประมูล เขาได้แสดงพลังอันน่าตกใจ ต่อมาก็คือในตอนนี้ที่เขาปลดปล่อยจิตสังหารอันน่ากลัวไปทั่วเมืองอันยี่ สุดท้ายเขาก็ยังฆ่าผู้ตรวจการแห่งอาณาจักรทมิฬไปอีก!


 


พลังที่สั่นคลอนธรณีเช่นนี้ทำให้ทุกคนประทับใจ


 


พรึ่บ–


 


ซือหยูลงมาอยู่ที่หน้าผู้ตรวจการไป่ฮีและส่ายหัวอย่างผิดหวัง


 


“ท่านผู้ตรวจการ ตอนที่เจ้าให้โอกาสข้าโจมตีก่อน เจ้ายังให้ชีวิตกับข้าอีก ข้าประทับใจยิ่งนัก”


 


เมื่อผู้ตรวจการไป่ฮีได้ยินคำถากถางของซือหยูในตอนที่กำลังจะตาย เขาก็เกลียดชังเป็นอย่างมาก


 


“หยินหยู! ข้าสาบานว่าเจ้าจะไม่ได้ตายดี! อีกไม่นานวันของเจ้าจะจบลง…”


 


ปั้ง—


 


เท้าเหยียบศีรษะที่เยือกแข็งเป็นเสี่ยงๆ


 


ซือหยูยกเท้าขึ้นช้าๆ


 


“มีคนมากมายนักที่คิดจะให้ข้าตาย แต่ก็น่าเสียดายที่พวกนั้นตายไปหมด เหลือแค่ข้าที่ยังรอดอยู่ตรงนี้”


 


ซือหยูค้นตัวผู้ตรวจการไป่ฮี เขาพบกล่องหยกใบเล็ก


 


หลังจากที่เปิดกล่อง เขาพบขวดหยกที่อยู่ในกล่อง ในขวดนั้นมีโอสถชะตาวิญญาณอยู่ด้วย!


 


โอสถนี้จะให้รองเจ้าตำหนักเดือนละครั้ง


 


เขาที่เป็นผู้ตรวจการย่อมต้องมีโอสถติดตัว


 


ซือหยูตื่นเต้นมาก เขาไม่คิดว่าจะได้มันมา!


 


เขากำลังจะได้เป็นอำมฤตระดับสาม โอสถชะตาวิญญาณมาถูกเวลาพอดี!


 


แต่ที่ทำให้ซือหยูผิดหวังก็คือในกล่องหยกนั้นมีช่องใส่ของอันว่างเปล่า


 


ซือหยูบอกได้เลยว่าช่องว่างนั้นมีไว้เพื่อใส่ตำราบ่มเพาะ


 


แต่ในตอนนี้มันว่าลเป่า


 


นั่นทำให้ซือหยูผิดหวังเล็กน้อย


 


วิชาร่างเทียมของผู้ตรวจการไป่ฮีนั้นมหัศจรรย์อย่างมาก หลังจากบ่มเพาะแล้วจะสร้างร่างเทียมมาช่วยในการต่อสู้ได้ แต่มันก็ยังห่างไกลเกินกว่าจะเทียบกับกายาแสงของฮั่วฉีหลานที่มีพลังเท่ากับร่างหลัก


 


แต่อย่างไร เจ็ดในสิบส่วนของร่างหลักก็มิใช่พลังที่จะประมาทได้เลย


 


ซือหยูอย่างจะได้พลังนี้มา แต่ก็ไม่คิดว่าผู้ตรวจการไป่ฮีจะไม่มีวิชาไว้กับตัว


 


มันควรจะถูกทำลายหรือถูกเขาเอาไปซ่อนไว้


 


ในตอนนี้ ผู้ตรวจการไป่ฮีตายไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่วิช่าบ่มเพาะจะปรากฏบนโลกอีกครั้ง


 


ซือหยูสะบัดดัชนี ร่างของผู้ตรวจการไป่ฮีถูกทำลายลง เขาลุกขึ้น


 


จักรพรรดิสัตว์อสูรกำลังไล่ล่าเจ้าเมืองอันยี่ อีกไม่นานมันน่าจะกลับมา ซือหยูไม่ควรจะอยู่ที่นี่นานนัก


 


พรึ่บ–


 


เขาพาตู่หลงไปด้วยและหายลับนภา


 


เหล่ายอดฝีมือที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมิอาจใจเย็นลงได้เลย


 


ก่อนจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น นามของหยินหยูนั้นเป็นที่รู้จักกันในหมู่คนเล็กๆเท่านั้น


 


แต่ในตอนนี้ ทั้งทวีปได้รับรู้แล้วว่ามีอัจฉริยะยอดฝีมือปรากฏตัวขึ้น


 


ด้วยพลังเพียงอย่างเดียวก็จำกัดยอดฝีมือในเมืองอันยี่ได้ทั้งหมด เขาต่อกรกับตระกูลตู่แต่เพียงลำพังและสังหารคนตระกูลตู่นับไม่ถ้วน เหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งล้วนตายด้วยมือเขา


 


สุดท้าย ผู้ตรวจการที่แข็งแกร่งทรงอำนาจก็ยังตายด้วยมือหยินหยู!


 


สิ่งที่เขาทำในเมืองอันยี่จะต้องทำให้ทวีปตอนเหนือตกตะลึงอย่างแน่นอน!


 


ทุกคนมองซือหยูที่ออกจากเมืองอันยี่ด้วยความนับถือ เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


 


ในเมืองอันยี่ ในซากปรักหักพังของการต่อสู้ครั้งใหญ่ มืออันเหี่ยวเฉาได้สืบขึ้นมาจากพื้น


 


ชายแก่หน้าซีดที่ทั้งกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตได้ปีนขึ้นมา


 


“หยินหยู! เจ้าคิดว่าเจ้าฆ่าข้าได้รึ? เจ้ามันไร้เดียงสานัก! หลิงเสี่ยวเทียนยังทำไม่ได้ แล้วเจ้าจะทำได้เรอะ!”


 


เขาคือผู้ตรวจการไป่ฮี


 


เขาบ่มเพาะวิชาร่างเทียมจนทำให้สร้างร่างเทียมได้อีกร่าง


 


ในวันนั้น เขาใช้วิชานี้หลอกหลิงเสี่ยวเทียน และเขาก็ทำมันสำเร็จอีกครั้งในตอนนี้


 


เขาสัมผัสสิ่งของบนอกอย่างซาบซึ้ง


 


“ทั้งหมดต้องขอบคุณวิชานี้ ข้าถึงยังมีชีวิตอยู่ไ…”


 


แต่ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้น


 


“เจ้ามาซ่อนอยู่ที่นี่เองเรอะ! หาตัวยากนัก!”


 


ซือหยูประสานหมัดและลอยอยู่บนฟ้าเหนือศีรษะของไป่ฮี เขายิ้มเยาะ


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีสีหน้าหม่นหมอง


 


“จะ…เจ้า…”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“เจ้าก็แค่ใช้กลเดิม หลังจากหลอกเจ้าตำหนักหลิงไปได้หนึ่งครั้ง เจ้าก็ยังคิดว่าเจ้าจะใช้กลเดิมได้อีกรึ?”


 


พรึ่บ–


 


ซือหยูเหยียบไป่ฮีที่อ่อนแอ


 


เขาย่อตัวลงและพบกับสร้อยหยกในอกของเขา


 


เขาจ้องมองมันและพบกับข้อความที่สลักเอาไว้หนึ่งบรรทัดว่า “วิชาร่างเทียม”!


 


ซือหยูหัวใจเต้นแรง!


 


มันคือวิชามหัศจรรย์นั่น!


 


“วิชาของข้า!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีทั้งตกใจและโกรธแค้น


 


พรึ่บ–


 


ซือหยูดีใจมาก เขาเก็บวิชาไว้ในคันฉ่องจักรวาล


 


“ท่านผู้ตรวจการช่างใจกว้างนัก แม้กำลังจะตายก็ยังเหลือมรดกไว้ให้ข้า ข้าต้องรับไว้ด้วยความขอบคุณอย่างสูง”


 


ซือหยูยิ้มเยาะ


 


“ข้ามั่นใจว่าข้าจะต้องทำให้ความปรารถนาของท่านเป็นจริงแน่นอน ท่านไปโลกหน้าได้แล้วล่ะ!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีกระอักเลือด เขาชี้นิ้วใส่ซือหยูด้วยร่างอันสั่นสะท้าน


 


“เจ้า….”


 


เอื้อก–


 


ครั้งนี้ ซือหยูเหยียบและบดขยี้ศีรษะของเขาอีกครั้ง


 


แต่ในครั้งนี้…ชีวิตเขาได้จบลงจริงๆ!


 


ผู้ตรวจการแห่งยุคตายไปด้วยเหตุนี้


 


ซือหยูบินออกจากเมืองในพริบตา


 


ที่ชานเมือง


 


ตู่หลงโค้งคำนับอย่างจริงใจ


 


“ข้าไม่มีวันตอบแทนเจ้าตำหนักหยินหยูที่มาช่วยข้าได้แน่!”


 


เขามิอาจตอบแทนความเอื้อเฟื้อจากซือหยูได้เลย


 


สำหรับเขา ซือหยูเข้ามาช่วยในยามวิกฤติที่สุด แค่น้ำใจเพียงอย่างเดียวก็มากพอที่จะทำให้ตู่หลงตอบแทนด้วยชีวิตทั้งชีวิตแล้ว


 


ซือหยูส่ายหน้า


 


“ข้าทำด้วยความสำนึก เจ้ามิต้องจดจำใส่ใจ!”


 


“เมืองอันยี่ไม่ปลอดภัยอีกแล้ว เจ้าควรจะไปเดี๋ยวนี้ เราจะแยกกันที่นี่! ข้าหวังว่าเจ้าจะได้หาบ้านใหม่ให้กลับไปอีกครั้ง!”


 


ซือหยูถอนหายใจเมื่อกำลังจะจากกัน


 


ตู่หลงยิ้ม


 


“ถ้าต้องลาจากกันเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีวันรู้สึกสบายใจไปตลอดชีวิต ก่อนจะไป ข้าจะให้ของขวัญกับท่าน ข้าหวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธ”


 


หลังพูดจบ ตู่หลงก็ชี้ดัชนีเข้าใส่อก ดัชนีทะลวงอกและพุ่งออกมาพร้อมกับโลหิตหนึ่งหยด


 


โลหิตหัวใจ!


 


โลหิตหัวใจที่ทุกคนจะมีแค่หยดเดียวเท่านั้น!


 


สำหรับผู้บ่มเพาะพลัง โลหิตหัวใจนั้นเป็นแหล่งของพลังโลหิต เมื่อเสียไปก็ยากที่ร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้น ฐานพลังจะคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงได้อีก


 


“ท่านรู้หรือไม่ว่าหยดหมื่นพลมีต้นกำเนิดมาจากที่ใด?”


 


ตู่หลงพูดอย่างสบายๆ


 


ซือหยูส่ายหัว


 


“นั่นเป็นเรื่องที่มีแต่ตระกูลเจ้าจะรู้ คนนอกอย่างข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”


 


ตู่หลงยิ้ม


 


“พลังที่ขัดบัญชาสวรรค์ที่หยดหมื่นพลมีนั้นมาจากพลังโลหิตของคนตระกูลตู่!”


 


ในเรื่องนี้ ซือหยูรู้อยู่แล้ว ว่ากันว่าคนตระกูลตู่มีสายเลือดพิเศษ ดังนั้นโลหิตของพวกเขาจะต้องมีพลังที่ชำระสมบัติเทพได้


 


“หากเป็นพลังโลหิต หยดหมื่นพลก็ต้องมาจากโลหิตของคนตระกูลตู่…หนึ่งเดียวเท่านั้นที่มีนั่นคือโลหิตหัวใจ!”


 


“ในรุ่นก่อนหน้า คนในตระกูลที่กำลังจะตายนั้นจะมอบโลหิตหัวใจไว้ก่อนหน้า จากนั้นมันก็จะกลายเป็นหยดหมื่นพลของตระกูล”


 


“มีเพียงโลหิตหัวใจของเจ้าตระกูลเท่านั้นที่มีพลังบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงมีหยดหมื่นพลอยู่น้อยมาก”


 


ตู่หลงเงยหน้ามองนภา


 


“ข้าคือลูกชายของเจ้าตระกูลคนก่อน โลหิตหัวใจของข้ายังนับว่าบริสุทธิ์ แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าของท่านพ่อ มันก็ยังบริสุทธิ์เท่ากับหยดหมื่นพลแปดหยดที่ถูกเจือจาง”


 


“โลหิตนี้คือของขวัญอำลาและเป็นการตอบแทนน้ำใจจากข้า เห็นแก่ข้า โปรดอย่าปฏิเสธมันเลย!”


 


ตู่หลงไม่มีอะไรจะพูดต่อ เขายัดโลหิตใส่ฝ่ามือของซือหยู


 


ซือหยูตกใจมากเมื่อรับรู้ถึงความจริงของหยดหมื่นพล แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าก็คือการกระทำของตู่หลง!


 


นี่เทียบเท่ากับตู่หลงสละอนาคตของตัวเอง!


 


แต่ซือหยูก็เข้าใจเสียยิ่งกว่าว่าตู่หลงไม่คิดจะบ่มเพาะพลังอีกแล้ว


 


โลหิตนี้คือการตอบแทนน้ำใจซือหยู ถ้าซือหยูไม่รับไว้ ตู่หลงก็จะต้องแบกรับมันไปตลอดกาลและยากที่จะลืมน้ำใจจากซือหยูไปได้


 


“ข้าจะรับไว้ ขอบคุณมาก”


 


ตู่หลงยิ้มอย่างเคย


 


“ด้วยสิ่งนี้ ข้าไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ท่านหยินหยู ไว้พบกันในสักวันหนึ่ง ลาก่อน!”


 


ซือหยูประสานหมัด พวกเขาแยกกันไปคนละทาง หนึ่งคนมุ่งหน้าขึ้นเหนือส่วนอีกคนลงใต้ ทั้งสองหายลับขอบนภาและไม่ได้เห็นกันและกันอีก


 


ครึ่งชั่วยามผ่านไป


 


จักรพรรดิสัตว์อสูรกลับมาและจ้องมองเมืองรกร้าง มันสะบัดปีกสร้างวายุ


 


เมืองอันยี่ที่เคยยืนตระหง่านดั่งยักษ์ในป่าทมิฬมาหลายร้อยปีได้กลายเป็นเถ้าถ่านด้วยวายุกระหน่ำของมัน


 


“จักรพรรดิสัตว์อสูรขนทองคำ เจ้าจับเจ้าเมืองอันยี่ได้หรือไม่?”


 


ชายหนุ่มที่มากับชายแก่ในชุดสีมรกตร่อนลงจากเมืองอันยี่และถามอย่างเยือกเย็น


 


จักรพรรดิสัตว์อสูรมองกลับ มันรีบตอบเมื่อรู้สึกถึงความเหยียดหยาม


 


“เขาหนีไปได้!”


 


เพราะเป็นเจ้าตระกูลตู่ เขาครอบครองสมบัติเทพมากมายทำให้ยากที่คนนอกจะคาดเดา แม้จักรพรรดิสัตว์อสูรจะแข็งแกร่ง มันก็มิอาจเอาชนะเจ้าเมืองอันยี่ในเรื่องของกลยุทธ์ได้


 


ชายหนุ่มขมวดคิ้วแต่ก็คลายลงในทันที


 


“ช่างเถอะ ข้าไม่ต้องสนใจมันแล้ว การกระทำของเจ้าก็เป็นการประกาศให้โลกรู้แล้วว่าตระกูลอู๋กำลังจะกลับมา!”


 


ชายแก่ข้างหลังมองอย่างคาดหวัง


 


“ฮ่าๆๆ ข้าส่งบุตรเชิญงานแต่งงานของนายน้อยกับแม่นางม่ออู๋ให้ขุมกำลังใหญ่ในทวีปไปแล้ว ข้ามั่นใจเหลือเกินว่าตอนนั้น…มันจะกลายเป็นการประชุมครั้งใหญ่ของทวีป!”


 


“นามตระกูลอู๋จะต้องรุ่งเรืองขึ้นนับแต่นี้ไป!”

 

 

 


ตอนที่ 344

 

ถ้าซือหยูยังอยู่ เขาจะต้องจำได้แน่ว่าชายแก่นั่นคือผู้เฒ่าหวง!


 


ส่วนนายน้อยนั่นก็คืออู๋เหยายี่!


 


อู๋เหยายี่ได้ทำให้ทุกคนตกใจในงานประชุมพันธมิตร เขาเอาชนะเหล่ายอดฝีมือจากพันธมิตรร้อยดินแดนและกลายเป็นม้ามืดในงานที่ทุกคนจับตามอง เขาต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะเพื่อหวังจะได้โอสถฟื้นฟูกายา


 


แต่เขาพ่ายแพ้ลู่จุนที่ปิดบังตัวตน เขาทิ้งการประลองที่ไม่มีทางได้ลำดับหนึ่งไป…เพราะนั่นหมายถึงเขาไม่มีโอกาสได้โอสถฟื้นฟูกายา


 


จากนั้นเขาก็สั่งผู้เฒ่าหวงให้ฆ่าซือหยูเอาชิงโอสถมา


 


ตอนนี้เขามาปรากฏตัวอีกครั้ง


 


อู๋เหยายี่มีกระบี่ในมือ


 


“ฮื่ม ตระกูลอู๋จะต้องสั่นคลอนโลก ทำไมพวกเราจะต้องใช้งานฉลองประกาศนามให้โลกได้รับรู้ด้วยเล่า?”


 


“ข้าก็แค่มาบอกทั้งโลกว่าม่ออู๋เป็นของข้า อู๋เหยายี่ผู้นี้! ไม่ว่านางจะชอบใครในอดีต ไม่ว่าใครจะข้องแวะกับนาง นับแต่นี้ไป นางคือผู้หญิงของอู๋เหยายี่!”


 


ผู้เฒ่าหวงเงยหน้า


 


“หึหึ หญิงงามมักจะคู่กับวีรบุรุษ แม่นางม่ออู๋นั้นเหมาะสมกับนายน้อยอย่างยิ่ง นอกจากนายน้อยแล้วก็ไม่มีใครอื่นบนโลกแล้วที่เหมาะสมกับนาง”


 


อู๋เหยายี่พูดพูดอย่างหยาบคาย


 


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”


 


อู๋เหยายี่มองรอบๆและส่ายหัว


 


“พวกเจ้าต้องกลับไปเตรียมการ ตระกูลตู่จะต้องชำระโลหิตก่อนจะแสดงตัวต่อโลก พวกเราต้องบอกทุกคนว่าเรากลับมาแล้ว!”


 



 


ซือหยูเร่งรีบตลอดครึ่งเดือนและกลับมายังตำหนักรอง


 


ในระหว่างทาง เขาได้ใช้โอสถชะตาวิญญาณไป


 


นี่เป็นโอสถชะตาวิญญาณขวดที่สามที่ซือหยูได้ใช้ ผลของมันลดลงไปมาก ห่างไกลจากครั้งแรกที่ใช้โอสถ


 


ซือหยูเพียงแค่ทะลวงคอขวดจากขอบเขตอำมฤตระดับสองขั้นสูง ฐานพลังของเขาไปถึงอำมฤตระดับสามขั้นกลาง เพิ่มพลังเพียงแค่สองขั้น


 


ผลของโอสถชะตาวิญญาณนั้นลดลงไปหลายเท่า


 


แต่ซือหยูก็ยังพอใจ


 


รองเจ้าตำหนักธรรมดานั้นจะได้โอสถชะตาวิญญาณหนึ่งขวดในทุกเดือน แต่ซือหยูนั้นได้มาแล้วถึงสามขวด


 


ฐานพลังของเขาพุ่งทะยานจากขอบเขตมังกรระดับเจ็ดมาถึงอำมฤตระดับสามขั้นกลางในระยะเวลาแค่สองเดือน!


 


ความเร็วในการเติบโตนั้นไม่มีใครในทวีปที่เทียบได้


 


แน่นอนว่ามิใช่แค่ฐานพลังอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้น วิชาบ่มเพาะที่พัฒนาขึ้นยังนับว่าน่าตกใจ


 


วิชาระดับอำมฤตและตำนานร่วมกับฎีกาสวรรคต์ ทุกอย่างเติบโตอย่างมาก


 


เมื่อไม่นานนี้ เขายังได้วิชาร่างเทียมของไป่ฮีมาอีก!


 


สองเดือนของการบ่มเพาะพลัง ซือหยูพบว่าวิชาอำมฤตนี้นั้นง่ายอย่างน่าตกใจ


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะผลจากการชำระวิญญาณของบ่อเคลือบจินตนา ซือหยูไม่พบสิ่งกีดขวางใดเลยเมื่อพยายามจะฝึกวิชา เขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว


 


ในครึ่งเดือน เขาได้เพิ่มพลังขึ้นอย่างมหาศาล


 


วิชาร่างเทียมนั้นเป็นส่วนของวิชาอำมฤตและมีแค่สองขั้น ขั้นสามขั้นยังไม่พบ


 


ด้วยฐานะของผู้ตรวจการไป่ฮี ไม่ยากที่เขาจะบ่มเพาะวิชาระดับอำมฤตทั้งเล่ม


 


แต่เขาก็ยืนกรานที่จะเลือกเศษวิชาเช่นนี้ นั่นเห็นได้ชัดว่าวิชานี้พิเศษเพียงใด


 


ซือหยูบ่มเพาะมันครึ่งเดือน เขาบ่มเพาะจนถึงระดับหนึ่งขั้นสูง


 


เขาใช้พลังวิญญาณสามในสิบส่วนสร้างร่างพลังวิญญาณที่มีพลังเท่ากับเจ็ดในสิบส่วนของร่างต้น


 


ฐานพลังของร่างเทียมนั้นอยู่ที่ขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นต้น ต่ำกว่าร่างต้นเพียงขั้นเดียว


 


สิ่งที่ไม่สมบูรณ์เพียงอย่างเดียวก็คือร่างเทียมนั้นใช้วิชาของร่างหลักไม่ได้ เขาต้องให้ร่างเทียมไปฝึกวิชาอื่น


 


แต่แม้ว่าจะไม่มีการบ่มเพาะวิชา พลังของร่างเทียมก็ยังคงน่าตกใจอยู่ดี


 


สุดท้าย สิ่งที่ทำให้ซือหยูตกใจที่สุด นั่นก็คืออรหันต์แปดอักษร!


 


ซือหยูได้เข้าสู่ขั้นต้นจากขั้นแรกเริ่ม!


 


เขาได้ภูมิปัญญาจากอักษรตัวที่สองของอรหันต์แปดอักษร…นั่นคือปิง!


 


ในด้านพลัง ‘ปิง’ นั่นแข็งแกร่งกว่า ‘หลิน’ อย่างมาก ถ้าเอามาเทียบกันมันก็เทียบได้กับคลื่นน้อยกับมหาสมุทรกว้างใหญ่


 


ซือหยูยังจำได้ดี เมื่อเขาปลดปล่อย ‘ปิง’ ออกมา อัสนีที่พุ่งลงสู่พื้นนั้นพุ่งกลับคืนเมฆาไป


 


พื้นที่สามสิบลี้รอบซือหยูล้วนถูกคำว่า ‘ปิง’ ส่งผล!


 


แม้แต่ซือหยูก็กังวลกับพลังที่วิชานี้มี


 


วิชาระดับตำนานนี้เป็นของทวีปเฉินหลงจริงๆงั้นรึ?


 


แค่ขั้นต้นก็มีพลังเช่นนี้ พลังของมันมหาศาลจนเกินไป


 


ถ้าเขาบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุด มิใช่ว่าเขาจะปกครองได้ทุกสิ่งหรอกรึ?


 


ยังมีอีกข้อสงสัยในใจซือหยู


 


นอกเหนือจากนี้ ซือหยูยังคงพอใจกับเก้าดัชนีอัสนีจินตนา อีกไม่นานวิชานี้จะถึงระดับสอง


 


เขาเข้าใจทั้งวิชาและต้องใช้การฝึกฝนอยู่บ้างก่อนจะทะลวงระดับสองขั้นกลาง!


 


ในขั้นแรก ดัชนีสายฟ้าดารานั้นมีพลังมหาศาลอยู่แล้ว ซือหยูคาดหวังว่าระดับสองจะเป็นเช่นไร


 


สุดท้ายคือโอรสสวรรค์จ้องนภา


 


เขาได้บ่มเพาะวิชานี้มาจนถึงขั้นกลางนานแล้ว แต่มิอาจได้เป็นระดับหนี่งขั้นสูงมานานที่สุด


 


แต่เมื่อไม่นานมานี้สัญชาตญาณก็บอกกับเขาว่าเขากำลังจะสำเร็จมัน!


 


ถ้าบ่มเพาะจนถึงขั้นสูง เขาจะใช้ร่างวิญญาณในการต่อสู้ได้


 


ซือหยูคาดหวังกับวิชานี้มาก


 


ฟึ่บ–


 


สายลมโหยหวน ซือหยูทิ้งไว้เพียงภาพติดตา เขาไปถึงกลางตำหนักรองในไม่กี่วันต่อมา


 


ที่ตำหนักหลิงเสี่ยว


 


“ท่านเจ้าตำหนัก ข้ากลับมาแล้ว”


 


ซือหยูกลับมาเคารพเจ้าตำหนักเมื่อกลับมา


 


เมื่อซือหยูทัก หลิงเสี่ยวเทียนก็ครุ่นคิด ไม่ยากที่จะมองเห็นความกังวลในใบหน้า


 


เมื่อได้ยินซือหยู เขาหันมายิ้ม


 


“ดีที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”


 


เขามองฐานพลังและพูดอย่างโล่งใจ


 


“เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”


 


การเติบโตของซือหยูนั้นไม่เคยรอดพ้นสายตา


 


ซือหยูยิ้มรับ


 


“ทั้งหมดต้องขอบคุณท่านที่ดูแลข้า”


 


ซือหยูรู้ว่าหลิงเสี่ยวเทียนช่วยเขามากเพียงใด


 


ถ้าเขาบ่มเพาะเพียงลำพัง เขาจะได้โอกาสมากมายเช่นนี้รึ? เขาอาจจะยังไม่ได้เป็นขอบเขตอำมฤตด้วยซ้ำ


 


“ท่านเจ้าตำหนัก ข้ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”


 


ซือหยูพูดอย่างเคร่งเครียด


 


หลิงเสี่ยวเทียนยิ้ม


 


“เรื่องตระกูลตู่รึ? เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก พวกนั้นกล้าสังหารรองเจ้าตำหนัก! ดูเหมือนตระกูลตู่จะมั่นคงจนเกินไปตลอดหลายร้อยปีนี้ พวกนั้นลืมรากเหง้าต่ำต้อยของตัวเองจนหมดสิ้น!”


 


“เจ้าไปเมืองอันยี่กับข้า ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าอย่างแน่นอน! ข้าจะเค้นโลหิตของพวกมันให้เจ็บปวดกว่าที่ทำกับเจ้าเป็นสิบเท่า!”


 


ซือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่น เขาเคยอยู่ใต้สำนักหลิวเซี่ยนและตำหนักรอง การปฏิบัติต่อเขานั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว


 


เจ้าสำนักหลิวเซี่ยนนั้นไม่ได้มองว่าชีวิตของเขามีความสำคัญด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะโชคของซือหยู เขาก็คงนอนเป็นซากศพไปแล้ว


 


แล้วสำนักหลิวเซี่ยนก็ยังพยายามจะประหารเขาเพราะสมบัติที่ไม่รู้จัก


 


เทียบกับสองสิ่งนี้แล้ว เขาเห็นได้ชัดว่าหลิงเสี่ยวเทียนให้เขามากมายแค่ไหน


 


“ท่านเจ้าตำหนัก นั่นไม่จำเป็นเลย”


 


ซือหยูส่ายหัว


 


หลิงเสี่ยวเทียนพูดอย่างเย็นชา


 


“คนในตำหนักรองมิอาจกลืนศักดิ์ศรีไปได้เมื่อถูกรังแก! ข้าจะต้องลงโทษพวกมันที่ทำกับเจ้าให้เป็นสิบเท่า!”


 


ซือหยูสีหน้าหม่นหมอง


 


“นั่นคือเรื่องที่ข้าจะรายงาน เมืองอันยี่ถูกทำลายแล้ว!”


 


“อะไรนะ?”


 


เจ้าเมืองอันยี่เบิกตากว้าง แล้วก็ตกใจกับสถานการณ์


 


“บอกรายละเอียดข้าที!”


 


จากนั้นซือหยูก็รายงานทุกสิ่งที่เขาพบและได้ยิน


 


“จักรพรรดิสัตว์อสูรงั้นรึ?”


 


หลิงเสี่ยวเทียนกังวล


 


“ตามที่ข้ารู้ ทั้งทวีปมีจักรพรรดิสัตว์อสูรไม่ถึงสิบตัวหรอก”


 


“ทวีปตอนเหนือแห่งนี้นับว่าแร้นแค้น ทวีปนี้มีแค่จักรพรรดิขนทองคำเท่านั้น! มันอยู่ที่ศูนย์กลางป่าทมิฬ บัญชาเหล่าสัตว์อสูรทั้งหมดในทวีป มันแข็งแกร่งอย่างมาก!”


 


“แม้แต่ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีสมบัติเทพในมือ ทำไมสัตว์อสูรแบนั้นถึงมาปรากฏตัวกัน?”


 


ซือหยูครุ่นคิด


 


“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง จักรพรรดิสัตว์อสูรนั่นพูดว่ามันมีเจ้านาย!”


 


“เจ้านาย…เจ้าหมายถึงมันยังมีเจ้านายอยู่อีกใช่หรือไม่?”


 


หลิงเสี่ยวเทียนเครียดเป็นอย่างมาก


 


หลิงเสี่ยวเทียนพูดอย่างจริงจัง


 


“ดูเหมือนว่าเราต้องให้ท่านราชารู้เรื่องนี้ เรื่องนี้ไม่อยู่ในอำนาจของตำหนักรองอีกแล้ว!”


 


เมื่อคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาจำเป็นต้องเรียกนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป…ราชาแห่งความมืด!

 

 

 


ตอนที่ 345

 

ซือหยูรู้สึกว่าสถานการณ์นี้อันตรายมาก จักรพรรดิสัตว์อสูรยังปรากฏตัวออกมา…นี่มันอันตรายแบบใดกัน?


 


“ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องรายงานท่านเจ้าตำหนัก ข้าฆ่าผู้ตรวจการไป่ฮีไปแล้ว”


 


หลิงเสี่ยวเทียนประหลาดใจ แววตาเขาเป็นประกาย


 


“แม้ไอ้กาเฒ่านั่นจะรอดจากสมบัติเทพไปได้ มันก็ยังกล้าไปทำร้ายเจ้าอีกรึ?”


 


หลิงเสี่ยวเทียนพูดอย่างเย็นชา


 


“เขาควรจะยินดีนักที่ได้ตายด้วยมือเจ้า มิเช่นนั้นข้าคงจะตามไปฆ่ามันเองแล้ว!”


 


ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าการที่เขาฆ่าไป่ฮีไปจะไม่เป็นปัญหา


 


“ถ้าท่านเจ้าตำหนักไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะกลับเขตหยินหยู ข้าไม่ได้กลับไปหลายเดือน สงสัยนักว่าที่นั่นจะเป็นอย่างไร”


 


ซือหยูเตรียมเดินทาง


 


“เดี๋ยวก่อน!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนหยุดซือหยู


 


“เจ้าจำได้หรือไม่ ก่อนที่จะไปฝึก ข้าพูดอะไรกับเจ้า?”


 


เอ๋? ซือหยูพยายามนึกและจำได้ในที่สุด


 


“ท่านเจ้าตำหนักบอกว่าหลังจากที่ข้ากลับจากการฝึก ท่านจะให้งานสำคัญกับพวกเรา”


 


หลิงเสี่ยวเทียนยิ้มและพยักหน้า


 


“ใช่แล้ว การฝึกของพวกเจ้าก็เป็นการเตรียมเพื่อสิ่งนี้”


 


“ท่านเจ้าตำหนักโปรดชี้แนะ”


 


ซือหยูยังคงหนักแน่น


 


หลิงเสี่ยวเทียนยิ้ม


 


“เจ้าไม่ต้องกังวลใจนัก เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใดนัก เจ้าแค่ต้องเข้าร่วมงานประชุมเท่านั้น”


 


“งานประชุมใดรึ?”


 


ซือหยูสับสน


 


“งานประชุมแห่งทวีปของวิหคเพลิง!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนตอบ


 


ประชุมวิหคเพลิงรึ? ซือหยูตกอยู่ในภวังค์


 


“มันเป็นงานแบบใดรึ งานนี้ดังมากในทวีปใช่หรือไม่?”


 


ถ้างานนี้มีชื่อของทวีปเกี่ยวข้องอยู่ด้วย…มันจะต้องเป็นงานที่มีคนมหาศาลแน่อน


 


หลิงเสี่ยวเทียนเบ้ปากเมื่อนึกขึ้นได้ว่าซือหยูมาจากเกาะอันห่างไกล เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่คุ้นเคยกับงานใหญ่ๆในทวีป


 


“งานประชุมวิหคเพลิงจะจัดขึ้นในทุกสิบปี คนที่ได้รับเชิญล้วนเป็นชายหนุ่มยอดฝีมือแห่งยุค มีบุรุษที่ยิ่งใหญ่มากมายมารวมตัวกัน”


 


ซือหยูผิดหวังเล็กน้อย


 


“งานประลองอีกแล้วรึ?”


 


ซือหยูไม่ได้สนใจงานประลองอีกแล้ว


 


ในเวลานี้ การตั้งใจกับการบ่มเพาะพลังนั้นสำคัญกับซือหยูมากกว่า


 


“ไม่ใช่หรอก!”


 


คำตอบของหลิงเสี่ยวเทียนนั้นคาดไม่ถึง


 


“มันคือการจับคู่ของชายหญิงต่างหาก”


 


งานจับคู่งั้นรึ? ซือหยูโชคดีที่ยังไม่พลั้งปากออกไป…สรุปแล้วมันคืองานจับคู่นี่เอง


 


หากเป็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งสนใจน้อยยิ่งกว่าเดิม


 


“ขอบคุณท่านเจ้าตำหนักสำหรับน้ำใจ แต่ข้าคิดว่าข้าไม่…”


 


เขามีเซี่ยนเอ๋ออยู่แล้ว เขาจะเข้าร่วมงานจับคู่ทำไมกัน?


 


“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่ห่วงว่าคู่หมั้นเจ้าจะถูกคนอื่นชิงไปหรอกรึ?”


 


หลิงเสี่ยวเทียนแสร้งยิ้ม


 


ซือหยูตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันที


 


“เหล่าบุรุษในทวีปจะถูกจับคู่กับคนของวิหคเพลิงงั้นรึ?”


 


หลิงเสี่ยวเทียนพยักหน้า


 


“ใช่แล้ว หลายยุคสมัยมาแล้ว พวกวิหคเพลิงนั้นรับแค่ศิษย์ที่เป็นสตรี ดังนั้นพวกเขาจึงขาดบุรุษ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหล่าสตรีที่มีพลังอันตระการตาล้วนต้องแต่งงานออกไปจากพวกเขา”


 


“ดังนั้นเจ้าแห่งวิหคเพลิงจึงต้องเริ่มงานประชุมวิหคเพลิงเพื่อทำให้เหล่าศิษย์สตรีได้หาคู่ครอง การจัดงานนี้ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้เก็บศิษย์ไว้ในสำนัก ศิษย์เหล่านั้นยังได้บุรุษจากภายนอกที่โดดเด่นมาอีกด้วย ไม่ต่างอะไรกับขว้างศิลาก้อนเดียวได้วิหคสองตัว”


 


“และเหล่าชายหนุ่มในทวีปยังมุ่งมั่นที่จะหาคู่ครองจากวิหคเพลิงอีกด้วย พวกวิหคเพลิงคือที่ที่เหล่าสตรีที่มีพลังมหาศาลมารวมตัวกัน เช่นกัน…พวกนางทุกคนล้วนมีรูปลักษณ์งดงาม!”


 


“ในงานใหญ่นี้ ถ้ามีคนไปยุ่งกับคู่หมั้นเจ้าและทางฝั่งวิหคเพลิงอนุมัติในความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับนางก็จะถูกคณะวิหคเพลิงทำลายสิ้น ในตอนนั้นนางก็จะกลายเป็นคู่ครองของคนอื่น เจ้าอยากให้เกิดเรื่องเช่นนั้นรึ?”


 


ซือหยูตกใจ


 


“แต่สตรีเหล่านั้นก็ต้องยินยอมด้วยไม่ใช่รึ?”


 


หลิงเสี่่ยวเทียนส่ายหัว


 


“แน่นอนว่าไม่! ยากนักที่การยินยอมทั้งสองฝ่ายจะเกิดขึ้น มิเช่นนั้นพวกวิหคเพลิงจะจัดงานนี้ขึ้นมาทำไมกันเล่า?”


 


“หากบุรุษแสดงพลังออกมา เหล่าหญิงสาวที่เขาสนใจก็จะหมั้นกับเขา ส่วนเรื่องความยินยอมนั้นไม่มีความหมายถ้าจะพูดต่อหน้าสำนัก! ดังนั้นแล้ว ถ้ามีคนที่คู่ควรกับคู่หมั้นเจ้าปรากฏตัว ทางวิหคเพลิงก็ไม่สนใจที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับนาง”


 


ซือหยูตกใจมาก ไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์ของเซี่ยนเอ๋อ รูปลักษณ์ของนางนั้นน่ารักราวกับนางไม้…นางคงจะทำให้เหล่ายอดฝีมือต้องสู้เพื่อที่จะได้นางมาครอง


 


เมื่อคนที่มีคุณสมบัติเพรียบพร้อมปรากฏตัวขึ้น สิ่งที่รอคอยซือหยูอยู่ก็มีเพียงแต่การหมั้นที่ไร้ความหมาย


 


แม้เซี่ยนเอ๋อจะไร้เสียงสาและบริสุทธิ์ผุดผ่อง นางก็หนักแน่นและดื้อรั้น ถ้านางถูกบังคับให้ยอมรับ…นางก็คงจะฆ่าตัวตายเพื่อให้เรื่องราวจบลง


 


ก่อนหน้านี้ที่สำนักหลิวเซี่ยน ในตอนที่นางถูกบังคับให้แต่งงานกับเคาฉวน มีหลายครั้งที่นางอยากจะฆ่าตัวตาย


 


ซือหยูไม่อยากจะให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว


 


เซี่ยนเอ๋อคือคู่หมั้นของเขา และจะไม่มีใครแย่งนางไปจากเขาได้!


 


“ดูเหมือนเจ้าจะทำใจได้แล้วสินะ  อีกไม่กี่วัน จงเตรียมตัวและบ่มเพาะพลัง ในงานนั่นจะต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือดแน่”


 


ซือหยูตอบ


 


“การต่อสู้เป็นอย่างไรรึ? หรือว่าจะเป็นการเอาคนที่สนใจใครคนใดคนหนึ่งมาต่อสู้กันเพื่อแย่งชิง?”


 


หลิงเสี่ยวเทียนพยักหน้า


 


“ใช่แล้ว จะมีรอบคัดเลือกในรอบแรก ร้อยลำดับแรกจะมีสิทธิ์เลือกสตรีที่พวกเขาสนใจ จากนั้นถ้ามีมากกว่าหนึ่งคนที่สนใจคนเดียวกัน คนเหล่านั้นก็จะต้องสู้กัน คนที่มีพลังสูงกว่าจะได้สิทธิ์ในสตรีผู้นั้น”


 


“ในงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ ทุกกองกำลังใจทวีปจะส่งชายหนุ่มที่ตระการตาที่สุดเข้าร่วมงาน หลายปีมาแล้ว นี่เป็นการประลองของเหล่าชายหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด ในเบื้องหน้าก็แค่การหาคนในการวิวาห์สร้างครอบครัว แต่ความจริงแล้วมันคืองานประชุมครั้งใหญ่ที่ทุกสำนักจะส่งบุรุษไปเพื่อแสดงพลังของสำนัก”


 


“เกียรติยศและชื่อเสียงที่พวกเจ้าได้จะส่งผลถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรทมิฬ ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าร่วมงานนี้อย่างจริงจัง”


 


แววตาซือหยูเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น


 


“ท่านเจ้าตำหนัก ไม่ต้องห่วง ข้าจะต่อสู้ด้วยพลังสูงสุดของข้า!”


 


ถึงจะไม่พูดถึงการตอบแทนพระคุณของหลิงเสี่ยวเทียน แต่ถ้าเพื่อเซี่ยนเอ๋อ…ซือหยูจะสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี!


 


“ดี เจ้ากลับไปเตรียมตัวเถอะ อีกสามวัน เจ้า รองลำดับหนึ่ง รองลำดับสอง รองลำดับสาม จะเป็นตัวแทนของตำหนักรองแห่งอาณาจักรทมิฬไปเข้าร่วมงานประชุมวิหคเพลิง”


 


ซือหยูพยักหน้าและจากไป


 


ครึ่งวันต่อมา ที่เขตหยินหยู


 


ที่เมืองหยินหยู นอกตำหนักนั้นเงียบเชียบ


 


กลุ่มทหารยืนอยู่ในตำหนักอย่างน่าเกรงขาม


 


ที่นี่มีชายหนุ่มหัวล้านที่อายุประมาณยี่สิบห้าปี เขาสวมชุดหนังสัตว์ แววตาเขาดุจดั่งระฆังทองแดง


 


เพียงมองก็รู้สึกถึงความป่าเถื่อน


 


เขายืนมือไพล่หลังอยู่นอกตำหนักและมองไปรอบๆ กลุ่มทหารไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง


 


และพวกเขาก็ยังไม่กล้าเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงๆ


 


นั่นก็เพราะว่าตัวตนอันน่ายกย่องของเขา!


 


“ท่านรองเจ้าตำหนักลำดับสาม เจ้าตำหนักหยินหยูยังไม่กลับมา ถ้าท่านมีเรื่องอะไร โปรดฝากให้ข้าพูดเองเถอะ”


 


ฉีหยุนเซี่ยงใจเย็น


 


ชายหนุ่มหัวโล้นที่อยู่ตรงหน้านางคือรองเจ้าตำหนักเสี่ยวกวง เขาเป็นลำดับสามในบรรดารองเจ้าตำหนัก!


 


เมื่อครู่ เขาเข้ามาในเขตหยินหยูและขอให้ซือหยูออกมาเจอเขา


 


หลังจากที่ได้ยิน เสี่ยวกวงก็เหลือบตามองนาง


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ถึงคิดว่าจะมาฝากข้อความให้ข้าได้?”


 


“ข้าจะพูดอีกครั้ง พาเขาออกมาพบข้า!”


 


เสี่ยวกวงพูดย้ำ


 


ท่าทางของฉีหยุนเซี่ยงในตอนนี้มองได้ทั้งอ่อนน้อมและหยิ่งหยอง


 


“ข้าจะพูดอีกครั้งเช่นกัน เจ้าตำหนักหยินหยูมิได้อยู่ในตำหนัก ถ้าท่านไม่คิดจะให้ข้าฝากเรื่อง ท่านก็รอข้างนอกต่อไปเถิด”


 


เสี่ยวกวงคิ้วกระตุก


 


“เจ้าบอกให้ข้ารอเขางั้นเรอะ? ไอ้เด็กน้อยไม่เจนโลกนั่นมีสิทธิ์เช่นนั้นรึ?”


 


“ข้าอยากเจอมัน ถึงมันจะอยู่ในส่วนที่เปล่าเปลี่ยวที่สุดในโลก มันก็ต้องออกมาเจอข้า! แล้วเขาก็ยังฝึกฝนกับพวกเจ้าทุกคน แม้พวกเจ้าจะกลับมาแล้วเขาจะไม่อยู่ได้ยังไง? อย่ามาทดสอบความอดทนของข้า ลากมันออกมา!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงส่ายหัวเบาๆ นางมิอาจเข้าใจคนที่เข้ามาเพื่อหวังจะก่อเรื่อง


 


“ปิดประตู!”


 


นางหันกลับเข้าตำหนักและสั่งอย่างหนักแน่น


 


เสี่ยวกวงที่ถูกฉีหยุนเซี่ยงเมินนั้นตัวแข็งทื่อ เขาไม่คิดว่าสตรีในตำหนักหยินหยูจะแข็งกร้าวเช่นนี้ นางทำให้เขาดูแย่ต่อหน้าทุกคน!


 


เขาโกรธแค้น


 


“เป็นแค่สาวใช้แต่บังอาจดูหมิ่นข้างั้นเรอะ! เจ้าไม่เห็นข้าในสายตาเลยรึ?”


 


เสี่ยวกวงหรี่ตามองรอบตำหนักหยินหยู แววตาเขาเย็นชา


 


“ข้าคิดว่าตำหนักหยินหยูแห่งนี้ ทั้งเจ้าตำหนักและข้ารับใช้ ทุกอย่างล้วนขาดการอบรม!”


 


“หยินหยู ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด เจ้าถึงปฏิเสธที่จะมาเจอข้า!”


 


ปั้ง–


 


เสี่ยวกวงเตะประตูใหญ่ของตำหนัก ประตูใหญ่ไม่ต่างจากกระดาษต่อเขาที่เป็นอำมฤตระดับสามขั้นกลาง


 


ประตูยักษ์กระเด็นลอยไปพันศอกในตำหนัก


 


“แม่นางฉี ระวัง!”


 


สีหน้าของกลุ่มทหารเปลี่ยนไป พวกเขาดึงฉีหยุนเซี่ยงหลบอย่างเร่งรีบ


 


แต่ทหารหลายคนที่อยู่ในเส้นทางของประตูยักษ์ก็มิอาจหลบได้ทัน


 


อ๊าก—


 


เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังขึ้นตามๆกัน เสียงร้องระงมดังอย่างต่อเนื่อง


 


ทหารขอบเขตมังกรสามคนถูกบดขยี้ด้วยประตูยักษ์


 


ทหารที่อยู่ตรงกลางนั้นตายอย่างอนาถ


 


ส่วนอีกสองคนที่อยู่ซ้ายขวานั้นถูกบดขยี้ไปครึ่งท่อน พวกเขาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด


 


ภาพการนองเลือดทำให้เหล่าข้ารับใช้สตรีกรีดร้องด้วยความกลัวก่อนจะรีบหนี


 


กลุ่มทหารโกรธแค้นแต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรกับเสี่ยวกวง


 


เสี่ยวดวงมองสิ่งที่เกิดขึ้นโดยรอบแต่ก็ไม่ได้เหลือบมองทหารทั้งสามแม้แต่ครั้งเดียว


 


“ก็แค่พวกไร้ประโยชน์! เจ้าตำหนักที่ไร้ความสามารถมีได้แค่พวกคนไร้ค่านี้เท่านั้น!”


 


เสี่ยวกวงพูดหยามอย่างเยือกเย็น เขาก้าวเข้าไปในตำหนัก


 


“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงที่เพิ่งได้สติจากความตกใจพูดขึ้น นางหายใจเร็ว ยากที่จะบอกว่าโกรธเกรี้ยวหรือตกใจ


 


“เจ้าตำหนักเสี่ยวกวง! โปรดระมัดระวังการกระทำหน่อย! ท่านบุกเข้าในและสังหารคนบริสุทธิ์ เจ้าตำหนักหยินหยูจะไม่พอใจแน่!”


 


ซือหยูคงจะเกินกว่าไม่พอใจ…เขาคงจะโกรธแค้นอย่างแน่นอน!


 


“นั่นมันมุกตลกของเจ้ารึ? ข้าต้องสนใจว่ามันจะรู้สึกอย่างไรด้วยรึ?”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงก้าวเข้าไปในสำนัก เขามองรอบๆ และส่งพลังวิญญาณห้าสายใส่ทุกที่ในตำหนัก


 


ครืน—


 


ปั้ง—


 


โครม—-


 


ฝุ่นควันกระจายเติมเต็มนภา ตำหนักพังทลายลง


 


การโจมตีของเขาทำให้กว่าครึ่งของตำหนักหยินหยูกลายเป็นซาก!


 


ส่วนอีกครึ่งที่เหลือคือในส่วนที่พักข้ารับใช้


 


“เขาไม่อยู่จริงๆงั้นรึ?”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงคิ้วกระตุก


 


ฉีหยุนเซี่ยงมองตำหนักหยินหยูที่กลายเป็นซาก นางเดือดพล่านไปด้วยความโกรธ


 


“เจ้าตำหนักเสี่ยวกวง เจ้าจงใจทำเช่นนี้นี่!”


 


“มิได้มีเรื่องผิดใจต่อเจ้าตำหนักหยินหยู แล้วทำไมเจ้าถึงมารังแกเขาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้?”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงหันไปมองด้วยแววตาดั่งพยัคฆ์


 


“ข้าต้องให้คนรับใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ามาตั้งคำถามด้วยรึ?”


 


“ถ้าเขาไม่อยู่ก็บอกให้เขามาเจอข้าในสามวัน มิเช่นนั้น มันจะต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมา!”


 


เสี่ยวกวงก้าวออกไป


 


เมื่อเขาผ่านฉีหยุนเซี่ยง เขาก็คว้าคอของนางเอาไว้


 


“ส่วนเจ้า เจ้าจะตามข้ากลับไปที่เขตเสี่ยวกวง ข้าจะไปอบรมวินัยเจ้าก่อนที่หยินหยูจะกลับมา!”


 


เขาจับฉีหยุนเซี่ยงเป็นตัวประกัน!


 


เขาหยาบคายจนทหารธรรมดาไม่กล้าจะต่อกร


 


“เจ้าตำหนักเสี่ยวกวง เจ้าไม่คิดว่าการกระทำของเจ้ามันไม่สมกับฐานะไปหน่อยรึ?”


 


ในตอนนั้น เสียงของชายชราดังขึ้น เป็นเสียงของฟางไห่เซิง เขาประสานหมัด


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงหันไปมองทันที เขาปัดมือเบาๆ สายลมรุนแรงซัดใส่ฟางไห่เซิงไปหลายร้อยเมตรก่อนที่เขาจะกระแทกกำแพง


 


โลหิตเริ่มไหลออกจากมุมปากของฟางไห่เซิง เขาล้มลงกับซากโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย


 


“ผู้เฒ่าฟาง!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงตะโกนร้อง แววตาเต็มไปด้วยความชิงชัง


 


“เจ้ามันเดรัจฉาน!!”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงถอนหายใจแรง


 


“ถ้าเจ้าไม่รู้จักรับน้ำใจ เจ้าก็จะตายในไม่ช้า ทำไมไม่ให้ข้าฆ่ามันก่อนที่เสบียงของอาณาจักรทมิฬจะสูญเปล่าเล่า?!”


 


“ไป!”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงเริ่มเดินออกจากตำหนักหยินหยู


 


แต่ในตอนนั้นเอง ที่ขอบนภา เสียงดังอันทรงพลังราวกับเสียงสวรรค์ได้ดังขึ้น


 


“ฮ่าๆๆ เจ้าตำหนักเสี่ยวกวง เจ้าฆ่าคนของข้า ทำลายตำหนักข้า แล้วยังเอาคนของข้าไปเป็นตัวประกัน เจ้ากำลังอ้อนวอนให้ข้าฆ่าเจ้างั้นรึ?”


 


ที่หลายสิบลี้ ซือหยูใช้พลังดวงตาจ้องมองและเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น


 


ดวงตาอันลุ่มลึกถูกแผดเผาไปด้วยเพลิงจิตสังหาร

 

 

 


ตอนที่ 346

 

เขาไม่คิดว่าจะมีคนบุกเข้ามาในเขตหยินหยูเมื่อเขากลับมาในครึ่งเดือนให้หลัง!


 


ที่ทำให้ซือหยูโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิมก็คืออีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีความบาดหมางกับเขาอย่างเจ้าตำหนักอังฟาง


 


เขาไม่รู้จักกับเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงด้วยซ้ำ พวกเขาไม่เคยพบกันแม้สักครั้ง


 


อีกฝ่ายปรากฏตัวอย่างไม่มีเหตุผลและฆ่าทหารของเขา ทั้งยังทำลายตำหนัก…ทำแม้กระทั่งจับคนเป็นตัวประกัน!


 


ผู้คนไม่ควรจะกระทำการเช่นนี้กับคนธรรมดา ไม่ต้องพูดถึงซือหยูที่เป็นหนึ่งในรองเจ้าตำหนักเลย เพราะอย่างไรคนเหล่านั้นก็ต้องถูกจัดการในไม่นาน


 


ซือหยูเป็นอะไรในสายตาของเขากัน? เดรัจฉานที่ไร้ศักดิ์ศรีที่เขาฆ่าได้โดยการสะบัดมืองั้นรึ?


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงมองขอบนภาไปทางซือหยูที่กำลังบินเข้ามา เขาผลักฉีหยุนเซี่ยงออกไป เขายิ้มเยาะ


 


“ขี้ขลาดนัก! แม้เจ้าจะเป็นมดปลวกต่อข้า แต่เจ้าก็ยังไปหลบซ่อน คนของเจ้าทุกคนควรจะละอายใจ!”


 


เขายังคงดื้อรั้นและคิดว่าซือหยูกลับมาแล้ว แต่ซ่อนตัวจากเขาเพราะหวาดกลัว


 


ฉีหยุนเซี่ยงล้มลงกับพื้น ใบหน้านางประหลาดใจ


 


ความอยุติธรรมและความโศกเศร้าที่รู้สึกได้หายไปสิ้น


 


ซือหยูได้กลับมาจากเมืองอันยี่อันวุ่นวาย นางปลดเปลื้องความกังวลไปได้เสียที!


 


“ถ้าเขาขี้ขลาด บนโลกนี้ก็ไม่มีใครที่กล้าหาญอีกแล้ว เจ้าไม่เข้าใจหรอก!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงยิ้มอย่างอ่อนโยน


 


นางมองร่างที่บินเข้ามาอย่างไม่ละสายตา


 


“กล้าหาญ? เขาน่ะเรอะ? หึหึ ถ้าเทียบกับความปากดีของมัน จิตสังหารในเสียงของมัน เจ้าตำหนักหยินหยูก็กล้าหาญที่สุดล่ะนะ!”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงกอดอกหัวเราะ


 


เขาดูถูกซือหยู


 


ฉีหยุนเซี่ยงยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน


 


“เห็นไหมล่ะ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงเริ่มไม่พอใจ เขารอซือหยูให้ร่อนลงมาอย่างเงียบเชียบ


 


ไม่นานซือหยูก็มาถึงน่านฟ้าตำหนักหยินหยู


 


เขามองรอบๆและเห็นซากตำหนักกับทหารที่บาดเบ็ดได้อย่างชัดเจน


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงเงยหน้ามอง


 


“เอาล่ะ ถ้าเจ้ากล้าโผล่หัวออกมาด้วยความยากลำบากเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ทำลายศักดิ์ศรีสุดท้ายที่เจ้ามี เก็บของแล้วไปกับข้า”


 


เขาพูดจบและไม่มองซือหยูอีก เขาออกจากตำหนัก


 


พรึ่บ–


 


ซือหยูคลื่นพลังพุ่งเข้าใส่เขา


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตัวแข็งทื่อ


 


“ทำอะไรของเจ้า?”


 


ซือหยูร่อนลงจากนภา เขาซัดฝ่ามือเข้าใส่เสี่ยวกวง!


 


“เจ้าหูหนวกรึ ข้าบอกว่าข้าจะจัดให้ ถ้าเจ้าอยากตายนัก!”


 


ฝ่ามือพุ่งเข้าใส่เสี่ยวกวง


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตกใจ เขาตะคอก


 


“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเรอะ? เจ้าควรทำทุกอย่างตามที่พลังเจ้ามี เจ้าลงมือกับคนอย่างข้าด้วยพลังระดับต่ำของเจ้า นี่ไม่ใช่ความบ้าคลั่งแล้ว นี่มันคือความโง่เขลา”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงยกฝ่ามือขึ้นโดยไม่ลงแรงมากนัก เขาตอบโต้ได้อย่างไม่มีปัญหา


 


“ลืมไปซะเถอะ กับคนอย่างเจ้าที่ไม่เคยเห็นพลังอำมฤตระดับสาม เจ้าคงไม่เข้าใจว่าจู่โจมข้ามันหมายถึงอะไร”


 


“ครั้งนี้ ข้าจะชี้แนะเจ้าสักหน่อย ต่อไปสมองเจ้าจะได้เติบโตขึ้นบ้าง”


 


ปั้ง–


 


ปั้ง–


 


ทั้งสองปะทะกันอย่างรวดเร็ว


 


แต่ตอนที่ปะทะกัน สีหน้าผ่อนคลายของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงก็เปลี่ยนไป เขาประหลาดใจ


 


“อำมฤตระดับสามขั้นต้นงั้นรึ? เจ้าเพิ่มพลังขึ้นมาแล้วรึ!”


 


ในการปะทะ เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงไม่มีโอกาสได้เพิ่มพลังวิญญาณ เขามิอาจป้องกันตัวจากแรงปะทะได้


 


กร๊อบ—


 


เสียงกระดูกแตกดังมาจากฝ่ามือของเขา เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงถอยไปสามก้าว โลหิตในกายเดือดพล่าน กลิ่นโลหิตคละคลุ้งในลำคอ


 


เขาบาดเจ็บเพราะประมาท


 


ซือหยูร่อนลงกับพื้นเบาๆ ยากจะมองเห็นสีหน้าของเขา แต่ทุกคนที่ได้ยินเสียงก็บอกได้เลยว่าเขากำลังถากถาง


 


“อำมฤตระดับสามมันยิ่งใหญ่นักรึ? เจ้าพูดว่าอำมฤตระดับสามมันแข็งแกร่งนักหนา คนที่พูดเช่นนี้ก็มีแต่นักสู้แถวสองทั่วไปอย่างเจ้าเท่านั้น”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงหัวเราะ


 


“เจ้ารู้จักความหยาบคายเช่นนี้แค่เพราะใช้จังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวและได้เปรียบอยู่เล็กน้อยงั้นรึ? มีคนสอนเจ้าให้เลียนแบบคนตาบอดหรืออย่างไร?”


 


“ข้าพูดได้เช่นนี้ก็เพราะพลังของข้าเหนือผู้ใด ความหยาบคายของเจ้าก็แค่ทำให้เจ้าเป็นตัวตลกเท่านั้น!”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตอกกลับ


 


ซือหยูส่ายหน้า


 


“คนที่ต่ำต้อยกว่าเจ้าเมื่อหยาบคาย เจ้าเรียกว่าตัวตลก แต่เจ้าก็พูดว่าเจ้าหยาบคายได้ก็เพราะมีพลังเหนือผู้อื่น เช่นนั้นจากตรรกะของเจ้า เจ้าก็แค่ตัวตลกที่อยู่ต่อหน้าคนที่แข็งแกร่งกว่าสินะ!”


 


“เป็นคำชมเชยเสียด้วยซ้ำที่เรียกเจ้าว่านักสู้แถวสองธรรมดา”


 


เสี่ยวกวงใบหน้าบิดเบี้ยว


 


“คนอื่นจะมองข้ายังไงก็เรื่องของมัน แต่สิ่งเดียวที่ข้าบอกได้ในตอนนี้ก็คือเจ้ากำลังเป็นตัวตลกต่อหน้าข้า!”


 


“เจ้ากับข้าเป็นอำมฤตระดับสาม เจ้าคงจะไม่เข้าใจความต่างของขั้นต้นกับขั้นกลาง! เจ้าได้เปรียบเพราะข้าตกใจเท่านั่น นั่นคือขีดจำกัดของเจ้า!”


 


“ทีนี้ข้าจะชี้แนะเจ้าถึงความต่างระหว่างระดับชั้น!”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงคำรามและใช้พลังด้วยความโกรธ


 


“หกภาพลวง!”


 


พลังวิญญาณของเสี่ยวกวงก่อตัวเป็นภาพลวงรอบกาย ทั้งหกร่างยืนอยู่ข้างกัน ยากที่จะบอกว่าร่างใดคือของจริง


 


ทั้งหกร่างพุ่งเข้ามาพร้อมกัน ฝ่ามือของแต่ละร่างทับซ้อนกันอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นสมุทรที่เข้ากดดันซือหยู


 


ซือหยูไม่พูดอะไร เขาโต้กลับด้วยพลังทั้งหมด!


 


เขาไม่ได้ใช้วิชาบ่มเพาะ เขาเพียงแต่ใช้ประสบการณ์ในการต่อสู้และพลังวิญญาณเพื่อป้องกันตัว!


 


แม้ว่าพลังจะห่างไกลจากอำมฤตระดับสามขั้นกลาง แต่เมื่อนำมารวมกับประสบการณ์การต่อสู้อันเข้มข้น..พลังของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก


 


กระบวนท่าแรก!


 


กระบวนท่าที่สอง!


 


กระบวนท่าที่สาม!


 


หลังจากที่ผ่านไปสิบเก้ากระบวนท่า เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงก็ได้โอกาสโจมตี การโจมตีของเขาดุร้ายขึ้นไปทุกที


 


แต่อีกฝ่าย ซือหยูยากที่จะรับมือไหว เขาแทบจะป้องกันตัวไม่ได้ในท้ายสุด


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงคำรามลั่น


 


“มันจบแล้ว!”


 


ปั้ง–


 


พลังวิญญาณของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงเพิ่มขึ้นมหาศาล พลังของเขาเพิ่มจนถึงจุดสูงสุด


 


ด้วยการโจมตีที่รุนแรง ซือหยูได้เสียท่า ฝ่ามือซัดเข้าใส่อกของเขา


 


ปั้ง—


 


ซือหยูกระเด็นไปหลายร้อยเมตร เขาเข้ากระแทกกับกำแพงจนกลายเป็นซาก


 


“ท่านเจ้าตำหนัก!”


 


คนในตำหนักหยินหยูตกตะลึง


 


เจ้าตำหนักของพวกเขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่า!


 


ตัวตนไร้พ่ายในหัวใจพวกเขาพังทลายลง


 


ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาต้องพบกับความพ่ายแพ้?


 


ตั้งแต่เจ้าตำหนักเฟิงฉิงและซื่อเหยาจนถึงโจรสลัดวารีทมิฬ เจ้าตำหนักหยินหยูเอาชนะทุกคนจนพวกเขาต้องตกตะลึงมิใช่รึ?


 


พวกเขามิอาจยอมรับความพ่ายแพ้ของเจ้าตำหนักได้


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงลดพลังวิญญาณลง เขาปรับโลหิตที่พุ่งพล่านให้กลับมาเป็นปกติ เขาค่อนข้างประหลาดใจ


 


แม้ศัตรูจะมีฐานพลังห่างไกลจากเขา เขาด้วยประสบการณ์การต่อสู้มากมายทำให้อีกฝ่ายทนเขาได้ถึงยี่สิบกระบวนท่าโดยไม่ใช้กระบวนท่าใดเลย อีกฝ่ายกลับแพ้เมื่อเขาใช้พลังเต็มที่ในกระบวนท่าที่ยี่สิบเท่านั้น


 


ในด้านความต่างของฐานพลัง เขาคงจะเป็นคนที่น่าขันในที่สุด


 


เมื่อคิดเช่นนี้ เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงก็มีสีหน้าดุร้าย


 


“ดี! ทนข้าได้ถึงยี่สิบกระบวนท่าด้วยประสบการณ์เพียงอย่างเดียว เจ้าภูมิใจในตัวเองได้เลย!”


 


“แต่เจ้ามันก็แค่คนธรรมดา! เจ้าเห็นความต่างของระดับรึยัง ต่อหน้าข้า เจ้าทำได้แค่เงยหน้ามองเท่านั้น!”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงจ้องซือหยู


 


“ถ้ารู้ที่ต่ำที่สูงแล้วก็หุบปากแล้วตามข้ามา เลิกเป็นตัวตลกซักที!”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงหันหลังให้ตำหนักหยินหยูและส่ายหัว


 


แต่เขากลับตัวแข็งทื่อ ราวกับถูกฟาดด้วยสายอัสนี!

 

 

 


ตอนที่ 347

 

ใต้ต้นไม้ตรงหน้าเขาในสายลมอ่อนโยน มีชายหนุ่มสวมชุดขาวยืนเอนกายอยู่อย่างสบายใจ


 


ใต้หน้ากากนั้นเป็นใบหน้าอันสลักงดงามราวกับมิใช่คนจากขอบเขตของมนุษย์


 


ผมสีเงินโบกสะบัดไปตามแรงลม


 


คนในตำหนักหยินหยูสนใจกับท่าทางประหลาดของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงและมองตามไป พวกเขาตกตะลึง


 


คนผู้นั้น จะเป็นใครไปได้นอกจากเจ้าตำหนักหยินหยู?


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู! นั่นท่านเจ้าตำหนักของเรา!”


 


“เกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมเขาไม่บาดเจ็บล่ะ?”


 


อะไรนะ? เจ้าตำหนักหยินหยูรึ?


 


เสี่ยวกวงสับสน


 


นั่นคือเจ้าตำหนักหยินหยูคนที่เขาต่อสู้ด้วยเมื่อครู่งั้นรึ?


 


“ฮื่ม! ตำหนักหยินหยูนี่มันอะไรกัน? เจ้าตำหนักหยินหยูตัวจริงคือไอ้ขี้ขลาดที่เร้นกายอยู่ในหลังของผู้อื่นงั้นรึ?”


 


ซือหยูที่อยู่ใต้ต้นไม้นั้นใจเย็น


 


“เจ้าตำหนักเสี่ยวกวง รู้สึกอย่างไรล่ะเมื่อสู้กับร่างเทียมของข้า?”


 


ร่างเทียมรึ?


 


คนในตำหนักหยินหยูตกตะลึง!


 


ร่างที่เปล่งประกายเมื่อครู่เป็นร่างเทียมของเจ้าตำหนักหยินหยู!


 


ในบรรดารองเจ้าตำหนักทั้งสิบ มีแค่คนเดียวที่ครอบครองวิชาร่างเทียม และนางคือเจ้าตำหนักฉีหลาน!


 


เจ้าตำหนักหยินหยูมีวิชาลับเช่นนั้นอยู่ด้วยรึ!


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตกตะลึง


 


เขาตกใจว่าเมื่อครู่ คนที่เขาสู้ด้วยความพยายามอย่างมากถึงยี่สิบกระบวนท่าคือร่างเทียมของเจ้าตำหนักหยินหยู!


 


โดยทั่วไป พลังของร่างเทียมจะอ่อนแอกว่าร่างหลักอย่างมาก


 


ถ้าร่างเทียมมีพลังที่น่ากลัวเช่นนั้น แล้วร่างหลักจะมีพลังเช่นใดกัน?


 


พรึ่บ–


 


แสงบนร่างเทียมเปล่งประกายกลายเป็นพลังวิญญาณกลับเข้าสู่ร่างหลัก


 


ซือหยูมองเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงอย่างไม่ใส่ใจ


 


“ข้าเคยเห็นความต่างของขั้นต้นกับขั้นกลางแล้ว ตอนนี้โปรดทำให้ข้ารู้ถึงความต่างของระดับเดียวกันด้วยเถอะ”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงขบริมฝีปาก สีหน้าของเขาเยือกเย็น


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู ข้ามาเพื่อพบเจ้าเพราะมีเรื่องจะปรึกษาเจ้า ทำไมเจ้าต้องหยาบคายไร้เหตุผลเช่นนี้?”


 


หลังจากที่ได้ยิน ซือหยูหันไปมองตำหนักที่ถูกทำลาย ทหารหลายคนที่บาดเจ็บ ทหารที่ตายอย่างอนาถ และฉีหยุนเซี่ยงที่กำลังตกใจ


 


“นี่รึที่เจ้าเรียกว่าปรึกษา?”


 


ในโลกใบนี้ จะไปหาคนที่เหมือนดั่งศัตรูคู่อาฆาตที่เข้ามาทำลายตำหนักของอีกฝ่าย สังหารคนของอีกฝ่าย และลักพาตัวของอีกฝ่ายเป็นตัวประกันแม้จะมาเพื่อหาคำปรึกษาได้จากที่ใดกัน?


 


เขาก็แค่กลัวพลังของซือหยูเลยเปลี่ยนความคิดไปชั่วคราวเท่านั้น


 


แต่ก็น่าเสียดายที่เขารุนแรงเกินไปในก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนไปของเขานั้นน่าหัวร่อยิ่งนัก


 


ความอับอายของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงปรากฏขึ้นอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะหายไป


 


“คนของเจ้าเป็นฝ่ายที่ไม่เคารพข้าก่อน ข้าจึงบันดาลโทสะโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าก็เลยทำลายตำหนักเจ้ากับทำร้ายคนของเจ้าบางคนเท่านั้น”


 


คนในตำหนักหยินหยูโกรธแค้นเมื่อได้ยินดังนี้


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวดวงนั้นไม่ฟังเหตุฟังผลและบุกเข้ามาต่างหาก


 


เขาไม่สนใจชีวิตผู้คน เขาสังหารผู้คน และพูดได้อย่างเรียบเฉยว่าเมื่อทำลายตำหนักหยินหยูไปครึ่งส่วน


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ มีใครที่ไม่เคารพนับถือเขาแม้แต่น้อยงั้นรึ?


 


ด้วยตัวตนของเจ้าตำหนักลำดับสามเพียงอย่างเดียวก็ไม่มีใครกล้าหายใจแรงแล้ว


 


และตอนนี้ เขาได้แก้ตัวโดยบอกว่าเป็นฝั่งคนของซือหยูที่ทำให้เขาโกรธ!


 


ฉีหยุนเซี่ยงพูดด้วยความแค้น


 


“ท่านเจ้าตำหนัก เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงบุกเข้ามาเอง พวกเราไม่ได้ทำสิ่งใดที่เป็นการดูหมิ่นเลยแม้แต่น้อยในตั้งแต่แรก ท่านเจ้าตำหนักโปรดมอบความเป็นธรรมให้กับพวกเราด้วย”


 


“หุบปาก! เจ้ามีสิทธิ์จะเข้ามาแทรกตอนที่ข้าพูดอยู่งั้นรึ?”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตะโกนอย่างเย็นชา


 


“ำข้าน่ะเป็นรองเจ้าตำหนัก ข้าจะกล่าวโทษเจ้าไปทำไมกัน?”


 


ระหว่างคนรับใช้หนึ่งคนกับรองเจ้าตำหนัก ใครจะน่าเชื่อถือกว่ากัน?


 


เป็นธรรมดาที่คำตอบน่าจะเป็นอย่างหลัง


 


แต่ก็น่าเสียดายที่คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือซือหยู!


 


“โอ้ เช่นนั้นรึ?”


 


ซือหยูเดินออกจากใต้ร่มไม้


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงพูดด้วยความระมัดระวัง


 


“ทำไมกัน เจ้าไม่เชื่อใจข้างั้นรึ?”


 


ซือหยูส่ายหน้า


 


“ข้าเชื่อใจเจ้า ข้าต้องเชื่อใจเจ้าอยู่แล้ว บางทีคนของข้าอาจจะทำให้เจ้าโกรธจริงๆ นั่นจึงทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิด”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


จิตใจของคนในตำหนักหยินหยูเยือกเย็นลง ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้กัน?


 


เจ้าตำหนักหยินหยูไม่ได้ปกป้องพวกเขามาตั้งแต่แรกงั้นรึ? หรือว่าเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงคนนี้จะเป็นคนที่เขาไม่กล้าที่จะต่อกรด้วย?


 


แต่ก่อนที่เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงจะได้โล่งใจ น้ำเสียงของซือหยูก็เย็นชาลง


 


“แต่แม้คนของข้าจะดูหมิ่นเจ้า แล้วมันยังไงรึ? ถ้าเจ้าบอกว่าคำพูดของพวกเขาไม่ต่างจากการทำร้ายเจ้า เจ้าก็ต้องอดทน! และเจ้าก็ยังทำร้ายพวกเขา ทำลายตำหนักข้า แล้วเอาจับคนของข้าเป็นตัวประกัน ฮื่ม…ไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก!”


 


เขาจะเชื่อเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงได้อย่างไร?


 


ซือหยูรู้นิสัยใจคอของฉีหยุนเซี่ยงดีกว่าผู้ใด และเขาแน่ใจได้เลยว่านางมิใช่คนที่จะหยาบคายก่อน


 


ส่วนคนที่เหลือ ใครกันจะกล้าหยาบคายต่อรองเจ้าตำหนักลำดับสาม?


 


และในตอนนี้ เขาที่เป็นฝ่ายผิดกลับใส่ร้ายว่าคนของซือหยูดูหมิ่นเขา!


 


การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์แบบพลิกฝ่ามือเช่นนี้ทำให้สีหน้าของเสี่ยวกวงเคร่งเครียด เขาไม่พอใจ


 


“หยินหยู เจ้าอยากจะให้ข้าเป็นศัตรูกับเจ้าจริงๆรึ?”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ศัตรูงั้นรึ? เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์จะเป็นศัตรูกับข้าด้วยรึ?”


 


ไม่ต้องพูดถึงอำมฤตระดับสามขั้นกลางเลย ซือหยูฆ่าคนเหล่านั้นไปหลายคนแล้ว…และฆ่าด้วยตัวเอง


 


แต่ช่างน่าขันนักที่เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงคิดว่าซือหยูไม่เคยเห็นความแข็งแกร่งของอำมฤตระดับสาม


 


“หยินหยู! อย่าหยาบคายให้มากนัก! ถ้าข้าเอาจริงก็สายไปแล้วที่เจ้าจะเสียใจ!”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงแอบโกรธแค้น แม้เขาจะกลัวซือหยู เขาก็ไม่คิดว่าความแตกต่างของพลังระหว่างกันจะมากนัก


 


“หยาบรายรึ? เทียบกันแล้ว ข้ายังไม่ถึงขั้นที่ไปทำลายตำหนัก ฆ่าทหาร และเอาคนของผู้ใดเป็นตัวประกัน!”


 


ซือหยูเดินเข้าไป แม้ว่าจะดูช้าแต่ก็เขาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว


 


“งั้นเจ้าก็เอาจริงซะ ข้าก็อยากจะรู้ว่าเจ้าจะทำให้ข้าเสียใจได้ยังไง!”


 


ซือหยูยิ้มเยาะ


 


เส้นเลือดบนหน้าผากเสี่ยวกวงปูดโปน เขาโกรธเต็มที่


 


“หยินหยู เจ้าบอกให้ข้าลงมือเองนะ!”


 


“หกภาพลวง!”


 


เขาใช้วิชาเดิมโจมตีด้วยพลังเต็มที่อีกครั้ง


 


เขาไม่กล้าจะประมาทซือหยูอีกแล้ว


 


ชั้นภาพลวงพุ่งเข้าหาซือหยู


 


สายลมอันรุนแรงกับพลังอันไร้เทียมทานปกคลุมทุกสิ่ง


 


กลุ่มทหารรีบถอยเพื่อเลี่ยงพลังเหนือมนุษย์นั้น


 


ซือหยูยังคงใจเย็น มือทั้งสองไพล่หลังดังเดิม


 


“แสดงพลังออกมา! ข้าอยากจะเห็นว่าวิชาเจ้ามันแข็งแกร่งแค่ไหน!”


 


ซือหยูยื่นมือรวบรวมพลังวิญญาณ เขาส่ายหัว


 


“ข้าต้องใช้วิชาจัดการกับเจ้าด้วยรึ? เจ้าจะโอหังเกินไปแล้ว!”


 


ครืน—


 


ปั้ง–


 


ฝ่ามือของซือหยูดูธรรมดา แต่ฝ่ามือนั้นก็ทำให้เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงถอยไปสิบก้าว!


 


อีกฝ่ายใช้วิชาบ่มเพาะส่วนอีกฝ่ายใช้แค่พลังวิญญาณ แม้ทั้งสองจะมีฐานพลังเท่ากันแต่ผลที่ได้นั้นแตกต่างกันมาก!


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตกใจมาก ร่างหลักของซือหยูมีพลังอำมฤตระดับสามขั้นกลาง!


 


และพลังยังใกล้เคียงกับระดับสูงอีกมาก!


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงหวาดกลัวและไม่สบายใจ!


 


เขารู้สึกอัปยศ เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงอดทนมันเอาไว้ เขาใช้จังหวะนี้ถอยและบินหนี


 


แววตาดั่งพยัคฆ์จับจ้องมาที่ซือหยู


 


“เจ้าตำหนักหยินหยูนั้นสมคำร่ำลือจริงๆ ข้ารู้แล้วว่าข้านั้นต่ำต้อยกว่า! วันนี้พอแค่นี้เถอะ ข้าจะไปแล้ว!”


 


“ใครบอกเจ้าว่านี่เป็นการประลอง?”


 


จิตสังหารของซือหยูเพิ่มขึ้น


 


“ข้าพูดไปแล้ว ถ้าเจ้าอยากตาย ข้าก็จะทำให้เจ้าตาย!”

 

 

 


ตอนที่ 348

 

ประลองงั้นรึ…เรื่องตลกอะไรกัน!


 


ถ้าซือหยูอ่อนแอกว่าเขาจริงๆ ถ้าซือหยูเป็นคนขี้ขลาดอย่างที่เขาคิด ถ้าซือหยูทนเขาไม่ได้แม้กระบวนท่าเดียว…


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงยังจะบอกว่านี่เป็นการประลองอยู่หรือไม่?


 


เขารู้ว่าซือหยูแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดอยู่มากจึงเลือกที่จะหนี


 


ในที่สุดเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงก็เขาใจว่าจิตสังหารของซือหยูไม่ใช่ความโกรธแค้นอย่างที่เขาคิด


 


เมื่อเขาย้อนกลับไปคิด เขาก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น…ความหวาดกลัวตาย!


 


“เดี๋ยวก่อน! ข้าก็แค่มาเพราะหวังดีในเรื่องงานประชุมวิหคเพลิงในสามวันข้างหน้า ข้าแค่เข้าใจผิดกับคนของเจ้า เรื่องที่ทำลายตำหนักและทำร้ายคนของเจ้าเป็นอุบัติเหตุ ทำไมเจ้าจะต้องขู่ฆ่าข้าด้วย?”


 


จนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้แสดงความเสียใจแม้แต่น้อย เขายังคงพูดแก้ตัว


 


ชุดของซือหยูร่ายรำ เขาหายไปจากในที่ที่ยืนอยู่ฃ


 


เมื่อปรากฎตัวอีกครั้ง แสงสีม่วงได้ฉาบใบหน้าทำให้เขาดูเหมือนผู้คุมสวรรค์ อัสนีทำลายทุกสิ่งในเส้นทางรวมถึงเจ้าตำหนักเสี่ยวกวง ร่างของเขากระเด็นไปไกล สร้างเส้นโค้งอันสวยงาม


 


ซากสิ่งของที่ถูกอัสนีแผดเผาเต็มตำหนักหยินหยูไปหมด


 


และยังมีกลิ่นเนื้อไหม้!


 


ร่างที่กระแทกกำแพงกำลังอยู่ในหุบเหวแห่งความตาย เขาเหลือแค่ลมหายใจสุดท้าย


 


คนในตำหนักหยินหยูอ้าปากค้าง


 


ทั้งคู่มีฐานพลังเท่ากันแต่เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงนั้นทำอะไรเจ้าตำหนักหยินหยูไม่ได้เลย


 


ซือหยูเดินเข้าไปหาและพูดอย่างใจเย็น


 


“ถ้าหากการทำลายตำหนักและฆ่าคนของข้าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นการที่ข้าฆ่าเจ้าก็นับได้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดเหมือนกัน!”


 


เปรี๊ยะ–


 


เปรี๊ยะ–


 


อัสนีก่อตัวที่ปลายดัชนีของเขาอีกครั้ง สีหน้าของซือหยูเยือกเย็นและโหดเหี้ยม


 


“พูดออกมา ใครกันที่ให้เจ้าทำเช่นนี้? เขาต้องการอะไร? ถ้าเจ้าพูดจบข้าจะส่งเจ้าไปสบาย”


 


ซือหยูสีหน้าเย็นชา


 


ถ้าเจ้าตำหนักเสี่ยวดวงไม่เป็นบ้าก็ยากที่จะคิดได้ว่าคนธรรมดาจะมาทำลายตำหนักของคนอื่นและฆ่าคนทั้งยังลักพาตัวสตรีอย่างไร้เหตุผล


 


แม้เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงจะหยาบคายอยู่บ้าง แต่การทำลายตำหนักอย่างไร้เหตุผมนั้นก็บ้าเกินไป


 


แล้วถ้าหากนิสัยเขาเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดรองเจ้าตำหนักคนอื่นที่อ่อนแอกว่ากลับยังปลอดภัย แต่ซือหยูถึงถูกปฏิบัติเช่นนี้เล่า?


 


ชัดเจน…นี่เป็นความตั้งใจของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวง


 


แต่ซือหยูไม่เคยเจอเขามาก่อนและไม่มีเรื่องผิดใจต่อกัน นั่นก็หมายความว่าต้องมีคนที่คิดร้ายกับซือหยูขอให้เขาทำเช่นนี้


 


ส่วนเรื่องแรงจูงใจนั้น…ไม่มีผู้ใดรู้


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงที่ร่างเต็มไปด้วยโลหิตแทบจะไม่เหลือสติอยู่เพราะความเจ็บปวดรุนแรง


 


มาถึงขั้นนี้ เขาได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ตายทั้งเป็น’


 


“เป็นรองเจ้าตำหนักลำดับหนึ่ง! เขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!”


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงสรุปอย่างรวดเร็ว


 


รองเจ้าตำหนักลำดับหนึ่งก็คือเจ้าตำหนักเฉินคง!


 


เขตเฉินคงนั้นเป็นเขตที่ติดกับเขตหยินหยู


 


พื้นที่ระหว่างทั้งสองเขตคือดินแดนของโจรสลัดวารีทมิฬ


 


นอกจากนี้ ทั้งสองเขตไม่ได้เรื่องขัดแย้งต่อกัน ซือหยูไม่เคยเจอเขาด้วยซ้ำ


 


ซือหยูคิดอยู่นานว่าเขาไปทำอะไรเจ้าตำหนักเฉินคงหรือไม่


 


แต่หลังจากที่คิดแล้ว เขาก็ส่ายหน้า


 


เขาไม่เคยทำอะไรเจ้าตำหนักเฉินคงเลย


 


เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำให้เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงกล้าทำเช่นนี้


 


“เขาต้องการอะไรรึ?”


 


แววตาซือหยูแสดงจิตสังหาร


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงแทบจะพูดไม่ออก


 


“เขาอยากแสดงอำนาจ…”


 


ซือหยูหัวเราะ หัวเราะอย่างเย็นชา


 


“แล้วทำไมเขาไม่มาด้วยตัวเองแทนที่จะส่งคนอย่างเจ้ามาล่ะ?”


 


“เพราะว่าเจ้าไม่คู่ควรให้เขาต้องลงมือเอง แค่ข้าก็พอ”


 


ซือหยูเข้าใจแล้ว


 


คนที่เขาไม่เคยเจอต้องการจะแสดงอำนาจแต่ไม่สนใจที่จะจัดการเอง จึงส่งคนที่อ่อนแอกว่ามา


 


เหตุผลเรียบง่ายเช่นนี้เองรึ? แค่แสดงอำนาจเท่านั้นรึ? ถึงต้องฆ่าและทำลายตำหนักเช่นนี้?


 


แสดงอำนาจอะไรกัน!


 


ซือหยูมองท้องนภาและถอนหายใจ


 


“เหตุใดถึงมีแต่คนที่ไม่รู้อะไรมาที่นี่เพื่ออ้อนวอนขอความตายจากข้ากัน?”


 


คนแรกคือเฟิงฉิง จากนั้นก็เป็นซื่อเหยา ตามด้วยซางเจี้ยน แล้วก็ยังเป็นคนที่ถูกเรียกว่ารองเจ้าตำหนักลำดับหนึ่ง!


 


“ดูเหมือนว่าข้ายังฆ่าคนไม่พอสินะ ข้ายังโหดร้ายป่าเถื่อนไม่พอสินะ!”


 


ซือหยูมองท้องนภาอย่างดุร้าย


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสังหารจนสวรรค์พลิกฝ่ามือ! ข้าจะสังหารให้ทุกคนได้เห็น!”


 


วันนี้เขาโชคดีที่กลับมาช่วยฉีหยุนเซี่ยงได้ทันเวลาและแก้แค้นให้เหล่าทหารได้ในทันที


 


แต่ในอนาคตเขาอาจจะไม่ได้โชคดีเช่นนี้ เขาไม่อยากให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง เขาจำเป็นร้องโหดร้ายไร้ปรานีเพื่อเป็นการเตือนแก่ผู้อื่น


 


“เอาล่ะ เจ้าพักได้แล้ว”


 


ปั้ง–


 


ซือหยูสะบัดดัชนีส่งคลื่นพลังวิญญาณไปจบชีวิตของเสี่ยวกวง


 


เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงถูกสังหาร


 


นับแต่วันนี้ไป นามของรองเจ้าตำหนักอีกคนได้ลูกลบทิ้ง!


 


“ปูนบำเหน็จแก่ครอบครัวทหารที่ตกตาย อย่าให้พวกเขาต้องเช็ดน้ำตาหลั่งจากที่เช็ดคราบโลหิต”


 


ซือหยูเดินเข้าไปตรวจสอบทหารทั้งสาม


 


สองคนพิการไปครึ่งร่างมิอาจรักษานอกจากจะมีโอสถฟื้นฟูกายา แต่ซือหยูได้ใช้โอสถทั้งหมดไปแล้ว ไม่มีโอกาสฟื้นฟูกายาหลงเหลืออยู่บนโลกอีก


 


พวกเขาบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ก็เพราะซือหยู ซือหยูต้องรับผิดชอบ


 


เหล่าทหารช่วยเหลือกันและกันและเริ่มฟื้นฟูตำหนักหยินหยูขึ้นใหม่


 


“ผู้เฒ่าฟางไปพักเถอะ ขอบคุณที่เข้ามาขวางเมื่อสักครู่”


 


ซือหยูช่วยผู้เฒ่าฟางออกมาจากซากกำแพง


 


แต่ที่ทำให้ซือหยูตกใจก็คือแม้จะด้วยพลังของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวง ฟางไห่เซิงที่อยู่แค่ขอบเขตมังกรกลับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น


 


พลังโจมตีนั้นแข็งแกร่งน้อยกว่าที่ตาเห็นงั้นรึ?


 


“ท่านเจ้าตำหนักไม่ต้องห่วงข้าหรอก ท่านควรไปดูแลแม่นางฉีจะดีกว่า ครึ่งเดือนที่ท่านไม่กลับมา นางเป็นห่วงท่านทุกวันคืน”


 


ฟางไห่เซิงโบกมือและยิ้มอย่างโล่งใจ


 


เขามองผู้เฒ่าฟางเดินจากไป ซือหยูรู้สึกแบบเดียวกับที่เคยเห็นเขาในครั้งแรก


 


ครั้งแรกที่ซือหยูเห็นผู้เฒ่าฟางนั้นเขารู้สึกแบบเดียวกับที่พบหยุนย่าสีครั้งแรก แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแปลกๆเช่นนั้น


 


แต่เมื่อสังเกตดูใกล้ๆเขาก็ไม่พบอะไร


 


“ฟางไห่เซิงผู้นี้…”


 


ส่วนลึกในแววตาของซือหยูแสดงความสับสน


 


ซือหยูคุกเข่าข้างฉีหยุนเซี่ยงและมองดูบาดแผลของนาง


 


“ข้าไม่เป็นไร เคราะห์ดีที่เจ้ามาทันเวลา”


 


ฉีหยุนเซี่ยงหน้าแดง นางเขินอาย


 


ซือหยูพยักหน้า


 


“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ข้าทำให้เจ้าลำบากมาตลอดครึ่งเดือนแม้ตัวจะไม่อยู่”


 


“ข้าคิดไว้แล้วล่ะ…”


 


เสียงของนางอ่อนโยน


 


ทันใดนั้นเอง ดูเหมือนว่านางจะคิดอะไรขึ้นมาได้ นางรีบพูด


 


“ใช่แล้ว! วันนี้ข้ามีข่าวดี!”


 


“ข้าได้ข่าวของทั้งแม่นางเซี่ยจิงหยูกับท่านพ่อ!”


 


ซือหยูตกใจ สิ่งแรกสุดที่เขาทำเมื่อเข้ามายังเขตหยินหยูคือส่งคนไปรวบรวมข้อมูล สุดท้ายเขาก็ได้ข้อมูลเมื่อผ่านไปหลายเดือนแล้วรึ?


 


นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่เขาเคยได้ยินในช่วงนี้เลยทีเดียว


 


“พวกเขาอยู่ที่ใดกัน บอกข้ามาเร็ว!”


 


ซือหยูร้อนรน


 


ฉีหยุนเซี่ยงพูดอย่างเป็นสุข


 


“แม่นางเซี่ยจิงหยูมีโอกาสสูงมากว่าจะอยู่ที่ตำหนักหลักของอาณาจักรทมิฬ! ตามข้อมูล แม่นางเซี่ยถูกแนะนำให้ไปตำหนักหลักเพื่อทดสอบการคัดเลือกเข้าเป็นจ้าวแห่งความมืดเพราะพรสวรรค์ดั่งเทพของนาง ดูเหมือนว่านางจะอยู่ที่นั่น”


 


ตำหนักหลักงั้นรึ? ซือหยูตกใจ


 


นั่นคือศูนย์กลางของอาณาจักรทมิฬ และยังเป็นจุดที่เหล่าผู้มีพรสวรรค์ในทวีปเฉินหลงมารวมตัวกัน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม