The Divine Nine Dragon Cauldron 323-334

ตอนที่ 323

 

ไร้หัวใจ ไม่รู้สำนึก

จางซือยี่โกรธจนตัวแทบจะระเบิด เขากัดฟันจนเกิดเสียงบดดังลั่น


 


“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย! ส่งธนูมังกรฟ้าดินมา!”


 


“ฮ่าๆๆๆ….”


 


ซือหยูเยาะเย้ย


 


“เจ้าเลิกเป็นวีรบุรุษแล้วเปลี่ยนมาเป็นโจรชั่วได้เร็วนักนะ เจ้ามาขวางพวกข้าเพื่อจะปล้นรึ?”


 


“บุตรทั้งสี่ของหอสดับหิมะเป็นขยะเช่นนี้หรอกรึ?”


 


จางซือยี่โกรธแค้นและตะโกนอย่างบ้าคลั่ง


 


“หยินหยู! เจ้ามันอวดดีนัก!!”


 


เขาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและปล่อยพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งออกมาจนเกิดเป็นคลื่นสะเทือน เส้นผมสีเงินของซือหยูร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง


 


แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธเพียงใจ ซือหยูก็ไม่ขยับกายแม้แต่น้อย เขายังคงมองอย่างดูถูก


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งเพราะเจ้าทำได้แค่ตะโกนเสียงดังรึ? การชิงของของข้าขึ้นอยู่กับพลังของเจ้า…ไม่ใช่ปากเจ้า!!”


 


จางซือยี่โกรธอย่างเต็มที่


 


“เจ้าเป็นคนบังคับข้าเองนะ!”


 


แต่ในตอนนั้นเอง ที่ขอบนภาเต็มไปด้วยจุดดำ….มีหลายคนกำลังบินเข้ามา!


 


เพียงแค่มองครั้งเดียวก็เห็นราวยี่สิบคน!


 


และทั้งหมดยังเป็นยอดฝีมือในขอบเขตอำมฤต


 


คนที่อ่อนแอที่สุดมีพลังอำมฤตระดับสอง!


 


และหัวหน้าก็ยังเป็นอำมฤตระดับสาม!


 


หนึ่งในนั้นมีหนึ่งคนที่สวมชุดที่เต็มไปด้วยคราบโลหิต ใบหน้าเต็มไปด้วยความชิงชัง จะเป็นใครไปได้นอกจากตู่หมิงฮั่ว?


 


ซือหยูหันไปมอง เขาเริ่มคิดหนัก


 


เมื่อเขามองเห็นตู่หมิงฮั่ว เขาก็ถอนหายใจ


 


“จริงๆด้วย ถ้าจะกำจัดปัญหา ข้าก็ต้องทำลายต้นตอของปัญหา!”


 


ตู่หลงที่ยืนข้างๆทั้งละอายใจและกระวนกระวาย


 


ซือหยูนั้นไว้ชีวิตตู่หมิงฮั่ว แต่เขาก็เห็นผิดเป็นชอบ เขารวมกลุ่มคนเข้ามาไล่ล่าซือหยูกับกลุ่มคน!


 


ปั้ง ปั้ง—


 


ทั้งยี่สิบคนพุ่งเข้ามา


 


หัวหน้าเป็นชายร่างสูงใหญ่ เขาสวมเกราะเหล็ก เขามีหนวดยาวและใบหน้าดุร้าย


 


ตู่หลงเคร่งเครียด


 


“เจ้าตำหนักหยินหยูโปรดระวังตัวด้วย เขาคือเตี้ยฉี ทหารลำดับสองแห่งเมืองอันยี่! เขามีพลังมหาศาลและยังมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย เขาอันตรายมาก! แล้วเขาก็ยังบ่มเพาะคนของตัวเองที่พร้อมจะสละชีวิตได้ทุกเมื่อ แม้พวกเขาจะมีไม่มาก แต่ทุกคนก็เป็นอำมฤตระดับสอง ทุกคนที่ได้ยินเรื่องของทหารเหล่านี้ล้วนตกใจกลัว!”


 


ซือหยูพยักหน้าเบาๆ นอกจากเตี้ยฉีแล้วยังมียอดฝีมืออำมฤตระดับสามอีกสองคน


 


ถ้าซือหยูได้สู้กับคนคนเดียวก็มีโอกาสเก้าในสิบส่วนที่เขาจะชนะ


 


แต่ยากนักที่เขาจะต้องรับมือกับเตี้ยฉีและจางซือยี่พร้อมกัน


 


ที่ยากยิ่งกว่าก็คือยังมีทหารเมืองที่เป็นอำมฤตระดับสองอีกสิบเก้าคน ดวงตาพวงเขาดุจดั่งตาพยัคฆ์ที่มองเหยื่อ


 


ถ้าซือหยูต้องสู้กับสองคน เขาจะไม่มีเวลาจัดการกับคนที่เหลือ


 


บางทีตู่หลงอาจจะป้องกันตัวเองได้ แต่ฉีหยุนเซี่ยงกับฮั่วฉีหลานนั้นอยู่ในขอบเขตมังกร ต่อหน้าขอบเขตอำมฤตเช่นนี้ พวกนางไม่มีสิทธิ์จะได้โต้ตอบเลย


 


พวกนางจะถูกจับเป็นหรือจับตายกัน? สถานการณ์กำลังย่ำแย่


 


แผนเดียวที่มีคือต้องหนีเท่านั้น


 


“ล้อมพวกมัน ปิดทางหนีให้หมด!”


 


เตี้ยฉีบินเข้ามาและสั่งการทันที


 


ทหารอีกสิบเก้าคนที่มากประสบการณ์ล้อมซือหยูอย่างรวดเร็ว


 


แม้แต่ทางหนีก็หายไปงั้นรึ? ซือหยูใจหาย


 


ตู่หลงกระวนกระวาย


 


“ผู้จัดงานประมูลตู่ เจ้าตำหนักหยินหยูไว้ชีวิตเจ้าไปครั้งหนึ่งแล้ว ทำไมเจ้ายังป่าเถื่อนเช่นนี้อีก?”


 


ตู่หมิงฮั่วมองตู่หลง


 


“ฮื่ม! มันกล้าฆ่าข้าเรอะ? มันก็แค่หยุดตัวเองก็เพราะเกียรติของตระกูลข้า! มันไม่กล้าพอจะฆ่าข้าหรอก!”


 


ทุกคนเห็นเหมือนกันว่าชีวิตของตู่หมิงฮั่วถูกช่วยเอาไว้เพราะการคุกเข่าของตู่หลง


 


แต่ในตอนนี้ เขากลับเกลียดชังและปฏิเสธที่จะยอมรับในบุญคุณ!


 


แววตาตู่หลงเต็มไปด้วยความผิดหวังไร้สิ้นสุด


 


“ผู้จัดงานประมูลตู่ เห็นแก่ข้า โปรดปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ!”


 


ตู่หมิงฮั่วแววตาเฉียบคมดุร้าย เขาถอนหายใจแรง


 


“เจ้าบอกว่าเจ้าคือตู่หลงงั้นรึ? นายน้อยที่หนีจากบ้านเกิดไปผู้นั้นน่ะรึ? เขาหายตัวไปนานแล้ว เจ้าอ้างตัวเองเป็นเขามาที่เมืองอันยี่ แม้ข้าจะจำเจ้าไม่ได้ เจ้าก็ยังมีหน้ามาขอร้องความเมตตาแทนศัตรูอีกรึ?”


 


คำพูดของเขาทำให้จิตใจของตู่หลงเย็นเฉียบ


 


ตู่หลงรู้แล้วว่าตระกูลของเขาไม่ได้หวังให้เขากลับมา!


 


แต่แม้ตู่หมิงฮั่วจะรู้ว่าเขาคือตู่หลง เขาก็จงใจถามตู่หลงเช่นนั้น นี่ทำให้ทุกคนไม่พอใจอย่างมาก


 


และชีวิตของตู่หมิงฮั่วก็ยังคงอยู่ได้เพราะตู่หลงที่คุกเข่าร้องขอโดยไม่สนใจศักดิ์ศรีของตัวเอง


 


“ตู่หลง….”


 


ซือหยูทำมือให้เขาเลิกอ้อนวอน


 


“สำหรับคนที่ไร้หัวใจไม่รู้สำนึกเช่นนี้ เขาไร้จิตสำนึกไปนานแล้ว การอ้อนวอนของเจ้าไม่ต่างกับการเหยียบย่ำตัวเองอย่างไร้เหตุผลเลย”


 


“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เรื่องนี้ต้องสะสางด้วยกำลัง!”


 


ตู่หลงโทษตัวเอง


 


“เป็นเพราะความใจอ่อนของข้า ข้าทำให้ท่านต้องมาลำบาก!”


 


แม้เขาจะช่วยชีวิตตู่หมิงฮั่วเอาไว้ เขาก็ทำให้พวกซือหยูต้องมาเจอกับความสิ้นหวังเช่นนี้!


 


ฉีหยุนเซี่ยงกระวนกระวาย แม้ซือหยูจะแข็งแกร่ง เขาก็มิอาจสู้กับศัตรูมากมายเช่นนี้ได้ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่มีทางที่จะดีได้เลย


 


ส่วนฮั่วฉีหลานนั้น นางกำลังหัวเราะ


 


“ฮ่าๆๆ ศิษย์น้องตัวน้อยเอ๋ย เจ้าสร้างปัญหาให้ศิษย์พี่เก่งเหลือเกินนะ!”


 


ฮั่วฉีหลานมองรอบๆพร้อมกับพูดออกมาอย่างน่าตกใจ


 


“ข้าจะทิ้งพวกอำมฤตระดับสองให้เจ้าจัดการ ส่วนพวกระดับสามข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”


 


เอ๋? ซือหยูตกใจมาก


 


ฮั่วฉีหลานมีฐานพลังมังกรระดับเจ็ดขั้นสูง แม้กระนั้นนางก็ยังบอกว่านางจะจัดการอำมฤตระดับสามได้สองคนพร้อมๆกันงั้นรึ?


 


เมื่อซือหยูคิดถึงการที่เจ้าตำหนักหลิงนับถือนางอย่างสูง เขาก็มีความสงสัยอยู่บ้าง


 


ว่ากันว่าฮั่วฉีหลานคือเด็กสาวมหัศจรรย์แห่งพันธมิตรร้อยดินแดน ในเรื่องนี้เอง หยูโหรวก็บอกว่านางนั้นด้อยกว่าฮั่วฉีหลาน


 


จากนั้นฮั่วฉีหลานก็เข้าร่วมกับอาณาจักรทมิฬและถูกบ่มเพาะโดยเจ้าตำหนักหลิงอย่างดี เขาพานางไปไหนมาไหนอยู่ตลอด


 


ที่แปลกที่สุดก็คือเจ้าตำหนักหลิงพูดออกมาว่าซือหยูคือคู่แข่งของฮั่วฉีหลาน ในด้านของการเติบโต


 


ปั้ง—


 


ขณะที่ซือหยูกำลังครุ่นคิด ร่างของฮั่วฉีหลานก็เปล่งแสงออกมา


 


ซือหยูเคยเห็นวิชานี้มาก่อน


 


ตอนที่ผู้ตรวจการไป่ฮีโจมตีพวกเขา เขาโจมตีใส่ร่างที่เป็นแสงของนาง จากนั้นเหล่าแสงก็ได้รวมตัวกันเป็นร่างของนางอีกครั้ง มันแปลกและน่าตกใจมาก


 


“วิชาเงากระจ่าง!”


 


ฮั่วฉีหลานพูดเบาๆ


 


ทั้งร่างของนางเปล่งแสงราวกับแสงตะวันอันเจิดจรัส ยากที่จะมองนางได้ตรงๆ


 


ตู่หมิงฮั่วสีหน้าหม่นหมอง


 


“นั่นมัน…กายาแสงที่ร่ำลือ!!”


 


“วิชาที่จะทำให้ฐานพลังเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อดูดซับแสงตะวันน่ะรึ? และจะใช้สร้างร่างที่สองได้! ทั้งสองร่างบ่มเพาะร่วมกันน่ะรึ?”


 


หลังจากที่ได้ยิน ซือหยูตกตะลึง!


 


มีเรื่องแบบนี้อยู่บนโลกได้ยังไงกัน!


 


ปั้ง—


 


ภาพประหลาดปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงตะวันไร้ขอบเขตที่หายไป


 


ฮั่วฉีหลานยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเคย แต่เงาอันเปล่งประกายปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของนาง


 


ร่างเงาทั้งร่างเปล่งแสงขาวกระจ่างราวกับเป็นสสารที่เกิดจากแสง เมื่อมองดูรูปลักษณ์ มันไม่ต่างกับฮั่วฉีหลานเลย!


 


นั่นคือร่างแสงที่สอง!


 


และที่น่าตกตะลึงก็คือหลังจากที่นางปล่อยร่างที่สองออกมา ฐานพลังของนางก็เพิ่มขึ้น!


 


นางได้ทะลวงพลังจากมังกรระดับเจ็ดเป็นอำมฤตระดับสามขั้นต้นในคราเดียว!


 


ตู่หมิงฮั่วอ้าปากค้าง


 


“ตอนที่กายาแสงผนึกตัวเองไว้ในร่าง มันจะผนึกฐานพลังเอาไว้ด้วย!”


 


พูดอีกอย่างก็คือ ฐานพลังที่แท้จริงของฮั่วฉีหลานคืออำมฤตระดับสาม!


 


ในตอนนี้ นางได้ปลดปล่อยร่างที่สองออกมา ทำให้ฐานพลังที่แท้จริงปรากฏขึ้น!


 


ในพริบตา ข้างซือหยูก็มียอดฝีมือขอบเขตอำมฤตระดับสามเพิ่มอีกสองคน!


 


และซือหยูเองก็สังหารอำมฤตระดับสองขั้นสูงได้ พวกเขาไม่เหลือภัยอันตรายอีกแล้ว!


 


ฮั่วฉีหลานผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ


 


ซือหยูโล่งใจขึ้นมาก เขาหัวเราะ


 


“ศิษย์พี่ ข้าจะปล่อยทหารสิบเก้าคนไว้ให้และฝากศิษย์พี่ปกป้องตู่หลงกับฉีหยุนเซี่ยงด้วย ส่วนพวกระดับสาม…ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า!”


 


ซือหยูพูดออกมา


 


คงจะเกินมือไปหน่อยหากเขาจะต้องรับมือกับทั้งสิบเก้าคนและปกป้องฉีหยุนเซี่ยงกับตัวเองไปพร้อมๆกัน


 


ส่วนฮั่วฉีหลานนั้นนางปล่อยให้อีกร่างปกป้องฉีหยุนเซี่ยง ส่วนอีกร่างนั้นจะใช้สังหารเหล่าทหารทั้งสิบเก้าได้


 


ฮั่วฉีหลานทั้งสองร่างหันมองซือหยูพร้อมกันด้วยความตกใจ


 


“เจ้ารับมือกับอำมฤตระดับสามได้รึ?”


 


“ถึงระดับปัญญาที่สำเร็จวิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูงของเจ้าจะน่ายกย่อง แต่อำมฤตระดับสามกับระดับสองนั้นต่างกันราวฟ้าดิน”


 


ซือหยูหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ


 


“เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่ซ่อนพลังเอาไว้หรอกน่า!”


 


ฮั่วฉีหลานแววตาเปลี่ยนไปมาก


 


“เจ้ายังมีอะไรซ่อนไว้อีกรึ?”

 

 

 


ตอนที่ 324

 

จิตสังหารที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้

แม้ว่านางจะไม่ได้พูดอะไร ฮั่วฉีหลานก็แอบตกใจในพลังที่ซือหยูแสดงออกมาในระหว่างการเดินทาง


 


เขาที่เป็นแค่อำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูงเอาชนะอำมฤตระดับสองขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย ถ้านางไม่เห็นกับตาก็ยากยิ่งนักที่จะเชื่อ


 


ฮั่วฉีหลานประทับใจในความเชี่ยวชาญในวิชาบ่มเพาะของซือหยูมาก


 


แต่ด้วยนิสัยของนางเอง นางจึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจ


 


และตอนนี้นางยังได้ยินอีกว่าซือหยูยังเก็บซ่อนพลังเอาไว้ นางจะไม่ตกใจได้ยังไง?


 


ตู่หมิงฮั่วพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง


 


“หัวหน้าเตี้ยฉี ระวังด้วย!”


 


เตี้ยฉีจ้องฮั่วฉีหลาน


 


“ข้าต้องเตือนเจ้าหรือไม่? เจ้าจะต้องถูกลงโทษโดยตระกูลตู่เพราะสร้างความวุ่นวายในงานประมูล!”


 


ตู่หมิงฮั่วนั้นอับอาย เขามองตรงไปยังซือหยูด้วยความชิงชัง ถ้าไม่ใช่เพราะซือหยู เรื่องทั้งหมดก็คงจะจบไปอย่างราบลื่นแล้ว!


 


เตี้ยฉีจ้องจางซือยี่ เขาพูดเสียงดัง


 


“ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าคือหนึ่งในบุตรทั้งสี่แห่งหอสดับหิมะใช่ จางซือยี่ ใช่หรือไม่?”


 


“ถ้าเจ้าอยากจะได้ธนูมังกรฟ้าดิน เจ้าก็ต้องร่วมมือกับข้าก่อน! ใครที่ได้ธนูในท้ายสุดจะตัดสินกันด้วยพลัง”


 


จางซือยี่ไม่ลังเล เขาพยักหน้าทันที


 


“ก็ได้!”


 


ฮั่วฉีหลานที่เพิ่มพลังขึ้นมามหาศาลทำให้เขาตกใจ


 


เขาทำได้แค่หนีไปด้วยความกลัวเมื่อต้องเจอกับอำมฤตระดับสามสองคนหากจะต้องสู้ด้วยตัวคนเดียว


 


“ข้า หนึ่งในบุตรทั้งสี่แห่งหอสดับหิมะ ข้าจะช่วยเจ้าจัดการกับคนที่ป่าเถื่อนเช่นนี้!”


 


จางซือยี่หัวเราะ


 


เตี้ยฉีจับจ้องไปยังฮั่วฉีหลาน เขาไม่ละสายตาแม้แต่ครั้งเดียว


 


“ท่านซือยี่ เอาเลย!”


 


แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้รวมพลังโจมตีฮั่วฉีหลาน ร่างหลักของนางก็กลายเป็นบอลแสงกระจ่างและหายไปจากกลางอากาศ!


 


นางปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านหลังทหารทั้งสิบเก้าคน!


 


ปั้ง ปั้ง ปั้ง—


 


จู่ๆทหารขอบเขตอำมฤตสามคนก็กระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตร!


 


พวกเขาทั้งสามไม่ทันได้กรีดร้องแต่ก็ตายไปอย่างน่าเวทนา!


 


“หึหึ อ่อนแอเกินไปนัก”


 


ฮั่วฉีหลานแววตาเย็นชา


 


“ในร้อยปีนี้ตระกูลตู่หยาบคายจนเกินไป ให้ข้าได้ฟื้นคืนความจำของพวกเจ้าซะเถอะ!”


 


นางพูดและขยับมืออีกครั้ง นางสังหารทหารอีกสามคนในทันที!


 


เตี้ยฉีชักสีหน้า เขาคิดจะป้องกันเหล่าทหารแต่ก็ได้ยินจางซือยี่พูดอย่างตื่นตระหนก


 


“หัวหน้าเตี้ยฉี พวกเจ้าต้องช่วยกันจัดการร่างเทียมเสียก่อน!”


 


หัวหน้าเตี้ยฉีกัดฟันแน่น เขาเปลี่ยนไปโจมตีร่างแสงร่วมกับจางซือยี่


 


ร่างแสงนั้นปกป้องฉีหยุนเซี่ยงกับตู่หลงอยู่


 


เมื่อทั้งสองเข้ามา บุรุษผมสีเงินก็บินเข้ามาขวาง


 


“ศัตรูของพวกเจ้าคือข้า!”


 


ซือหยูยืนมือไพล่หลัง เขาเผชิญหน้ากับอำมฤตระดับสามสองคนด้วยตัวคนเดียว!


 


จางซือยี่ไม่เป็นกังวล เขากลับดีใจ


 


“เจ้าส่งตัวเองมาตายงั้นรึ?”


 


ซือหยูส่ายหัว


 


“หึหึ พวกเจ้าเป็นคนดีนัก ร่วมมือกันสองคนเพื่อโจมตีคนคนเดียว ข้าที่เป็นแค่รองเจ้าตำหนักจำต้องทำเรื่องเลวร้ายเพื่อช่วยเหลือพวกนั้น”


 


หรือพูดอีกอย่างก็คือ ทั้งสองร่วมมือกันเพื่อทำลายร่างเทียมอย่างไร้ยางอาย


 


“ฮื่ม! นางสมคบคิดกับเจ้า เห็นๆอยู่ว่าไม่ใช่คนดี ทุกคนมีหน้าที่ต้องกำจัดคนอย่างพวกเจ้า!”


 


จางซือยี่แก้ตัว


 


เตี้ยฉีขมวดคิ้ว


 


“เจ้าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระ! เข้าไปเถอะ! ฆ่ามันให้หมด!”


 


ซือหยูแอบยักคิ้ว ตระกูลตู่กล้าขู่สังหารคนจากอาณาจักรทมิฬได้อย่างไม่ลังเล เห็นได้ชัดว่าตระกูลตู่มีความมั่นใจที่จะต่อกรกับอาณาจักรทมิฬ


 


จางซือยี่คำราม เขาโจมตีเข้ามาพร้อมกับเตี้ยฉี!


 


ซือหยูไม่ขยับตัว แววตาของเขาเปล่งประกายอย่างเยือกเย็น


 


และไม่นานทั้งสองก็เข้ามาใกล้จนอยู่ตรงหน้าซือหยูพร้อมกัน!


 


เฮือก—-


 


ซือหยูเริ่มขยับตัว เขาหายใจเข้าลึก!


 


ในตอนนั้น พลังวิญญาณรอบๆพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง พลังทำลายล้างอันน่ากลัวรวบรวมอยู่ในปากของซือหยู


 


สุดท้าย พลังนั้นได้เปลี่ยนเป็นคลื่นทำลายล้าง พุ่งไปยังทั้งสอง


 


อะไรกัน?


 


สีหน้าของเตี้ยฉีกับจางซือยี่เปลี่ยนไป!


 


พวกเขาสองคนเอาแต่สนใจกายาแสงโดยไม่มองซือหยูอย่างจริงจังเลยสักครั้ง


 


พวกเขาจะป้องกันการโจมตีอันแข็งแกร่งจากที่พวกเขาไม่คาดคิดจากซือหยูได้ยังไง?


 


“อรหันต์แปดอักษร หลิน!”


 


คลื่นเสียงทำลายล้างกระจายไปทั่วทิศทาง!


 


ฝุ่นควันพัดปลิว พลังวิญญาณรอบๆสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง


 


คลื่นเสียงทำลายล้างพุ่งออกไปด้วยพลังทั้งหมดบนโลก


 


เอื้อก—-


 


อั่ก—-


 


ทั้งสองกระเด็นราวกับใบไม้ร่วง


 


ตลอดทาง โลหิตกระจายไปทุกหนแห่ง เนื้อหนังของพวกเขาไหม้เกรียมและแดงฉาน ทั้งคู่บาดเจ็บสาหัส!


 


ซือหยูเงยหน้ากระอักเลือดออกมา เขากระเด็นลอยไปเช่นกัน


 


ทั้งสองคนนั้นได้ย้ายเป้าการโจมตีจากกายาแสงมาเป็นซือหยูอย่างร้อนรน


 


แม้ว่าพวกเขาจะรีบ แต่มันก็มีพลังราวครึ่งส่วนของพลังสูงสุด


 


และด้วยสองคนที่โจมตีพร้อมกัน พลังนั้นไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าการโจมตีจากอำมฤตระดับสามเลย!


 


พรึ่บ–


 


บอลแสงพุ่งเข้ามาล้อมซือหยู มันคือกายาแสงที่เข้ามาช่วย


 


ซือหยูรีบพูดโดยที่ไม่สนใจบาดแผลของตัวเอง


 


“รีบไปทำลายฐานพลังของพวกมันไม่ก็ฆ่ามันเร็ว!”


 


พรึ่บ–


 


กายาแสงกลายเป็นบอลแสงพุ่งไปหลังเตี้ยฉีและจางซือยี่ในพริบตา นางทำลายฐานพลังของทั้งคู่ก่อนจะลากทั้งคู่มาตรงหน้าซือหยู


 


ร่างหลักของฮั่วฉีหลานสังหารทหารทุกคนหมดแล้ว


 


กายาแสงกำลังลากร่างของสองคนที่บาดเจ็บหนัก


 


การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีฝั่งซือหยูตาย แต่ซือหยูนั้นเจ็บหนัก!


 


สถานการณ์วิกฤติคลี่คลายอย่างง่ายดาย!


 


แต่ในตอนนั้นเอง…


 


“ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว!”


 


เสียงแหบพร่าของสตรีดังขึ้นโดยไม่รู้แหล่งกำเนิด


 


ยากที่จะบอกว่าเสียงดังมาจากที่ใด!


 


พวกเขามองรอบๆและไม่พบร่างมนุษย์อยู่เลย!


 


ซือหยูหัวใจเต้นแรง เขามองไปรอบๆ ภัยคุกคามถึงชีวิตมาหาเขาโดยไร้คำเตือน!


 


แย่แล้ว!


 


“เร่งเวลา!”


 


ซือหยูร้องคำราม เวลาของเขาเร็วกว่าเดิมสามเท่า


 


เขามองไปและพบกับสิ่งที่ทำให้เขาต้องเบิกตากว้าง!


 


ข้างหลังกายาแสงคือเงาร่างทมิฬที่บิดเบี้ยว!


 


ราวกับภูติผีที่คืบคลานมาจากข้างหลังกายาแสง!


 


และที่น่ากลัวกว่าก็คือพลังของกายาแสงที่อยู่ในขอบเขตอำมฤตระดับสาม…แต่ก็ไม่สัมผัสได้ถึงตัวตนของมัน!


 


นางบินมาทางซือหยูโดยลากร่างทั้งสองที่บาดเจ็บสาหัสโดยไม่ทันระวังตัว


 


“ระวัง!!”


 


ซือหยูตะโกนเสียงดัง!


 


กายาแสงตกใจและสับสน แต่เงาบิดเบือนข้างหลังก็ลงมืออยู่ก่อนแล้ว


 


ฝ่ามือดำสนิททะลวงผ่านอกของกายาแสง


 


กายาแสงก้มลงมองมือที่ทะลุออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา กายาแสงล้มลงกลายเป็นจุดแสงที่สลายไป!


 


สิ่งที่เข้ามาคือมนุษย์ที่ร่างสีดำ แต่มองได้ยากอย่างมาก!


 


“ถึงตาเจ้าแล้ว เจ้าตำหนักหยินหยู! ไม่มีใครช่วยเจ้าได้…”


 


ร่างทมิฬทมี่เสียงแหบแห้งพูดออกมาราวกับเป็นเสียงของภูติผี


 


ฟึ่บ–


 


ร่างทมิฬหายไป


 


ซือหยูมองงตามนางไม่ทัน!


 


แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นลมอุ่นที่อยู่ข้างหลังใบหู!


 


ร่างนั้นกำลังมาที่ด้านหลังของเขา!


 


ฮั่วฉีหลานอยู่ไกลจากเขามาก นางเข้ามาช่วยไม่ทัน!


 


ไม่สิ…นางโชคดีแล้วที่ไม่ได้อยู่ใกล้ซือหยู!


 


กายาแสงไม่แม้แต่จะสัมผัสได้ถึงตัวตนของร่างทมิฬก่อนจะถูกสังหารอย่างง่ายดาย


 


ถ้าหากฮั่วฉีหลานเข้ามา นางก็คงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้โต้ตอบก่อนจะถูกสังหาร!


 


ส่วนซือหยู เขาบาดเจ็บสาหัสหลังจากเจอการโจมตีของขอบเขตอำมฤตระดับสามสองคน เขาแทบจะขยับร่างกายไม่ไหว


 


“ตายซะ!”


 


เสียงแหบแห้งอันเยือกเย็นดังมาจากข้างหลัง


 


ความหนาวเย็นกัดกินดวงวิญญาณ!


 


เขาไม่เคยรู้สึกถึงความตายได้ใกล้ชิดเช่นนี้!

 

 

 


ตอนที่ 325

 

วิกฤติ

เมื่อซือหยูเห็นเงาแห่งความตาย ดวงตาข้างซ้ายของเขาก็เปล่งแสงสีม่วงออกมา!


 


“ผนึกเวลา!”


 


มังกรม่วงที่มองไม่เห็นเข้ารัดคนข้างหลังเขาทันที


 


เงาทมิฬที่พุ่งเข้ามานั้นหยุดนิ่งไป


 


ฟึ่บ–


 


เงาร่างที่มีแขนเดียวพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง เขาพยุงซือหยูด้วยแขนข้างเดียวที่มีและพาหนีอออกไป


 


“เจ้าตำหนักฉีหลาน โปรดหนีไปกับเจ้าตำหนักหยินหยูเถอะ ข้าจะระวังหลังให้เอง!”


 


ตู่หลงบินพุ่งตัวส่งซือหยูให้กับฮั่วฉีหลานที่กำลังเข้ามาและตะโกนอย่างรีบร้อน


 


ฮั่วฉีหลานนิ่งไปเล็กน้อย ระวังหลังงั้นรึ? ด้วยพลังที่น่ากลัวของสตรีทมิฬที่สามารถสังหารคนได้โดยไม่รู้ตัว ไม่มีโอกาสเลยที่ตู่หลงจะรอด


 


และไม่ว่าเขาจะถ่วงเวลาไว้ได้หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ


 


…เพราะเขากำลังจะส่งตัวเองไปตาย


 


“ข้าควรจะตายไปนานแล้ว แต่ท่านเจ้าตำหนักก็อภัยให้ข้า ให้ครั้งนี้เป็นครั้งที่ข้าจะได้คืนชีวิตของข้าให้กับเจ้าตำหนักหยินหยูเถอะ!”


 


ตู่หลงราวกับถูกปลดปล่อยออกจากภูเขาที่หนักอก


 


ร่างกายของเขาพิการ ฐานพลังลดลงไปครึ่งส่วน และยากที่เขาจะกลับตระกูลไปได้


 


เขาไม่ปรารถนาถึงอดีตอีกแล้ว


 


ฮั่วฉีหลานพยักหน้าและแบกซือหยูกับฉีหยุนเซี่ยงบินหนีไป


 


ในตอนนั้นเอง เงาทมิฬได้หลุดออกจากพันธนาการผนึกเวลา


 


บอกได้เลยว่านางนั้นตกใจกับพลังของซือหยูมาก


 


“คิดจะหนีรึ?”


 


นางตะโกน ร่างของนางกลายเป็นเงาที่พุ่งเข้ามาไล่ล่า


 


ตู่หลงกัดฟันและทุบอกตัวเองด้วยฝ่ามือ


 


ด้วยพลังมหาศาล เขากระอักเลือดออกมาไม่หยุด


 


โลหิตที่หยดไหลทำให้ร่างเงาที่แทบจะมองไม่เห็นสัมผัสกับละอองโลหิต ร่างนั้นกำลังพุ่งเข้าไปหาฮั่วฉีหลาน!


 


“ข้าเจอเจ้าแล้ว!”


 


ตู่หลงใช้วิธีทำร้ายตัวเองเพื่อให้เห็นเงาทมิฬ เขารีบไล่ตามเงาทมิฬอย่างรีบร้อน


 


“ไสหัวไป!”


 


นางโกรธเกรี้ยวและส่งคลื่นพลังวิญญาณที่ไม่แข็งแกร่งนักใส่ตู่หลง


 


ตู่หลงป้องกันการโจมตีอย่างเต็มกำลัง แต่เขาก็กระเด็นไปไกลและกระอักเลือดออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เขาอยู่ในสภาพปางตายในทันที


 


ซือหยูลืมตาอย่างยากลำบากเพื่อหันไปมอง แววตาเต็มไปด้วยความตกใจ


 


“ตู่หลง!!”


 


พวกเขาควรจะเป็นศัตรูต่อกัน


 


แต่ด้วยสถานการณ์ประหลาดหลายครั้ง พวกเขาได้กลายเป็นกึ่งมิตรกึ่งศัตรู


 


เมื่อครู่ ต่อหน้าศัตรูที่แข็งแกร่ง ตู่หลงได้สละตัวเองเพื่อสร้างโอกาสให้ซือหยูได้หนี!


 


เป็นไปได้อย่างไรที่ซือหยูจะไม่ประทับใจ?


 


แววตาซือหยูเต็มไปด้วยความชิงชัง เขามองตรงไปยังผู้หญิงที่พุ่งเข้ามา!


 


นางฉวยโอกาสลอบโจมตีในตอนที่ซือหยูบาดเจ็บสาหัส ทุกการโจมตีของนางนั้นเกือบจะได้สังหารซือหยู!


 


คนคนนี้ต้องตาย!


 


และอาจจะเป็นเพราะโลหิตที่สัมผัสกาย เงาร่างทมิฬของนางที่อ่อนลง ร่างที่แท้จริงได้เปิดเผยออกมามากขึ้น


 


“เจ้าเองรึ! คนของฮั่นเจียงหลิน!”


 


ซือหยูจำผู้หญิงคนนี้ได้


 


นางมาที่เมืองอันยี่กับเกาคังและฮั่นเจียงหลิน!


 


สีหน้าของนางเปลี่ยนไป


 


นางฉวยโอกาสในตอนที่ซือหยูเจ็บหนักเพื่อหวังจะสังหารอย่างมั่นใจ


 


แต่นางก็ล้มเหลวและถูกเปิดเผยตัวตน!


 


ถ้านางไม่ฆ่าทุกคนที่นี่และอาณาจักรทมิฬรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ใ…


 


ถ้าถึงตอนนั้นก็ไม่จำเป็นที่อาณาจักรทมิฬจะต้องไล่ล่านางเพราะนางจะสังหารฮั่นเจียงหลินเพื่อปิดปากได้


 


“ข้าจะไม่ให้พวกเจ้ารอดออกไปแม้แต่คนเดียว!”


 


นางคือเฉินยู่เหลียน!


 


นางเชียวชาญในวิชาลอบสังหาร แม้ว่านางจะเป็นเพียงอำมฤตระดับสามขั้นกลาง นางก็สังหารคนที่ระดับต่ำกว่าอำมฤตระดับสามขั้นสูงได้โดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย!


 


แต่ในตอนนี้ ที่ขอบนภาได้เปลี่ยนไป!


 


รู้สึกได้ถึงรังสีพลังทำลายล้างที่สั่นคลอนฟ้าดิน!


 


ยอดฝีมือขอบเขตอำมฤตร้อยคนปรากฏตัวขึ้น พวกเขามีเยอะจนนภาทอดเงาลงมามืดมิด


 


รังสีพลังอันไร้เทียมทานของทุกคนขับไล่เหล่าสรรพสัตว์ให้หนีไป


 


ขอบเขตอำมฤตร้อยคนงั้นรึ? ปริมาณเช่นนี้มากพอที่จะเผชิญหน้ากับสามขุมกำลังใหญ่ด้วยตัวเองเลยทีเดียว!


 


เฉินยู่เหลียนแคลงใจ


 


“ตระกูลตู่งั้นรึ?”


 


เฉินยู่เหลียนขบริมฝีปาก นางไม่มีทางเลือกนอกจากหนีไป


 


แม้ว่าฮั่นเจียงหลินจะติดต่อกับตระกูลตู่ แต่ถ้าตระกูลตู่รู้ว่าเฉินยู่เหลียนต้องการสังหารรองเจ้าตำหนักและใส่ร้ายพวกเขา สถานการณ์ก็คงจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้


 


เงาแสงเริ่มบิดเบือน เฉินยู่เหลียนหนีไปทันที!


 


สีหน้าของฮั่วฉีหลานเปลี่ยนไปเช่นกัน นางรีบหนีไปพร้อมกับซือหยูและฉีหยุนเซี่ยง


 


แต่นางก็ไม่ได้มีวิชาเคลื่อนไหวที่ดีนัก และนางก็ยังแบกคนอีกสองคน ดังนั้นนางจึงหนีได้ไม่ไกลนักก่อนจะถูกยอดฝีมือทั้งร้อยคนจากตระกูลตู่ล้อมไว้ทุกด้าน


 


จิตสังหารทะลวงร่างของฮั่วฉีหลานจากทุกทิศทาง ดวงตาราวจันทร์เสี้ยวของนางเยือกเย็นลง


 


“ตระกูลตู่เร้นกายไว้ได้เช่นนี้เชียวรึ? หลายร้อยปีที่ผ่านมา กำลังเติบโตขึ้นอย่างลับๆหรอกรึนี่?”


 


ตระกูลตู่หลบอยู่ในป่าทมิฬมาตลอดหลายปี และยากที่คนนอกจะรู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเพียงใด


 


ใครจะไปคิดว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา ตระกูลตู่ได้แอบบ่มเพาะกำลังที่แข็งแกร่งจนถึงจุดที่นับว่าเป็นขุมกำลังที่สี่ของทวีป


 


ในจุดนี้ บางทีอาณาจักรทมิฬเองก็ไม่ได้คาดไว้เช่นกัน


 


ตระกูลตู่แห่งแปดตระกูลโบราณได้ฟื้นกำลังกลับมาแล้ว!


 


“ฮ่าๆๆ…”


 


เสียงหัวเราะดังมากเหล่ายอดฝีมือ


 


พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ–


 


ยอดฝีมือขอบเขตอำมฤตทั้งร้อยคนของตระกูลตู่ก้มหน้าและเปิดทาง พวกเขาตะโกนเสียงดัง


 


“ยินดีต้อนรับนายน้อย!”


 


นายน้อยตระกูลตู่งั้นรึ?


 


ตั้งแต่ตู่หลงทิ้งตำแหน่งนายน้อยไป ย่อมต้องมีคนอื่นมาแทนที่เขาอยู่แล้ว


 


เมื่อเหล่ายอดฝีมือให้การต้อนรับ ชายหนุ่มที่สวมชุดแพรลายบุพผาเดินมือไพล่หลังเดินเข้ามา


 


เขาอายุประมาณสี่สิบปี เขาดูคล้ายกับตู่หลงอยู่บ้าง


 


เขาดูสูงส่งตระการตา เขายิ้มอย่างชั่วร้าย


 


“ว่ากันว่าเจ้าตำหนักฉีหลานงดงามดั่งเทพี แต่ก็ไม่เคยเผยใบหน้าที่แท้จริงสักครั้ง ข้าอยากจะได้เห็นใบหน้าใต้ม่านนั่นจริงๆ ข้าจะได้รู้เสียทีว่าที่ร่ำลือกันนั้นจริงหรือไม่!”


 


นายน้อยตระกูลตู่จ้องมองฮั่วฉีหลาน เขาแอบมองนางทั้งร่าง


 


แววตาฮั่วฉีหลานเย็นยะเยือก แต่นางก็ยังคงยิ้ม


 


“เจ้าเชื่อข่าวลือนั่นได้ยังไงกัน? ข้าไม่เคยเผยใบหน้าให้ใคร แล้วคนนอกจะรู้ได้อย่างไรว่าข้างดงามเช่นนั้น? ข่าวลือก็เป็นดั่งข่าวลือ ไร้ซึ่งความจริง”


 


“แล้วตระกูลตู่ของเจ้ามาล้อมรองเจ้าตำหนักอย่างเปิดเผยเช่นนี้ พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”


 


นายน้อยตระกูลตู่มองไปยังทหารตระกูลตู่ที่ตายไปพร้อมกับเกาคัง เขาถอนหายใจแรง


 


“เจ้าสังหารทหารของเมือง ทำให้งานประมูลวุ่นวายและฆ่าคนที่ประมูลแข่ง พวกข้าที่จัดการเมืองอันยี่ต้องพาพวกเจ้ากลับไปอยู่แล้ว พวกเจ้าต้องอธิบายเรื่องราวกับข้าทั้งหมด!”


 


“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ถ้าเจ้าฝ่าฝืนกฎของเมืองอันยี่ เจ้าจะต้องถูกลงโทษ ตัวตนของรองเจ้าตำหนักอาจจะยิ่งใหญ่ในที่อื่น แต่ไม่ใช่ในเมืองอันยี่ของข้า!”


 


อีกฝ่ายตั้งใจจะฆ่าพวกนาง


 


ฮั่วฉีหลานหัวเราะ


 


“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่อาณาจักรทมิฬไม่ควรค่าแก่การถูกพูดถึงในตระกูลตู่รึ? ดูเหมือนหลังจากซ่อนกำลังมานานหลายร้อยปี เจ้าจะมั่นใจเหลือเกินนะ!”


 


ฮั่วฉีหลานถอนหายใจเบาๆ


 


“งานประมูลของเจ้าพยายามอย่างยิ่งที่จะเอาสมบัติของผู้ประมูล จากนั้นคนจัดงานประมูลของเจ้าก็ส่งคนมาไล่ล่าพวกข้า ข้าต้องตอบโต้!”


 


“คนที่ขัดต่อกฎของเมืองอันยี่ก็คือพวกเจ้าทุกคน ไม่ใช่พวกข้า!”


 


นายน้อยตระกูลตู่ที่ยืนมือไพล่หลังหัวเราะ


 


“กฎของเมืองอันยี่งั้นรึ? ฮ่าๆๆ กฎของที่นี่ก็เป็นเช่นนั้น ถ้าตระกูลตู่สร้างกฎขึ้นมาได้ พวกข้าก็แหกกฎได้เหมือนกัน!”


 


“ไม่ต้องพูดถึงความโลภในสมบัติพวกเจ้า ถ้าพวกข้าอยากจะได้ชีวิตพวกเจ้า มันก็ยังคงอยู่ในกฎ! เจ้าเข้าใจหรือไม่?”


 


นายน้อยตระกูลตู่ยิ้มด้วยมุมปาก


 


ฮั่วฉีหลานจะพูดอีกครั้งแต่ก็ถูกซือหยูหยุดเอาไว้


 


“เขาพูดถูก คนที่กำลังใหญ่กว่าคือตัวแทนของกฎ เจ้าพูดไปก็ไร้ประโยชน์!”


 


“วางข้าลงเถอะ”


 


ฮั่วฉีหลานพยุงซือหยูให้ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก


 


ซือหยูชายตามองไปยังนายน้อยตระกูลตู่


 


“จงไปซะก่อนที่พวกข้าจะต้องสู้จนตัวตาย ตระกูลตู่ของเจ้ายังพอมีหวังที่จะรอดถ้าเจ้าทำอย่างที่ข้าบอก!”


 


นายน้อยตระกูลตู่พูดอย่างเหยียดหยาม


 


“น่าขันสิ้นดี! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังคิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ารอดกลับไปอีกรึ?”


 


“แล้วก็…”


 


นายน้อยตระกูลตู่มองฮั่วฉีหลานทั้งกายด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย จากนั้นก็มองฉีหยุนเซี่ยง


 


“สตรีงดงามสองคนไม่ค่อยได้มาเมืองอันยี่บ่อยๆ ข้าต้องดูแลพวกนางให้ดีอยู่แล้ว?”


 


เขายังหมายตานางสองคนอีกด้วย!


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู ยอมแพ้ซะ แม้เจ้าจะคุกเข่าอ้อนวอนข้ามันก็ไร้ประโยชน์! โจมตีซะ! จับตัวพวกมันไว้!”


 


แต่ในตอนนั้นเอง ซือหยูส่ายหัว


 


“ใครบอกว่าข้าจะขอร้องเจ้า?”


 


“ข้าแค่ให้โอกาสพวกเจ้าเท่านั้น!”


 


“เจ้ามองดูตัวเองก่อนเถอะ เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีอะไรมาต่อรองข้าอีกเรอะ? เพียงเพราะเจ้าภูมิใจในตำแหน่งรองเจ้าตำหนักน่ะรึ?”


 


“ถึงเจ้ากำลังจะตาย เจ้าก็ไม่ยอมทิ้งความหยิ่งยโสนั่น น่าเวทนานัก!”


 


แต่ในตอนนั้นเอง คลื่นพลังมิติได้เข้าล้อมกายฮั่วฉีหลานกับฉีหยุนเซี่ยงอย่างเงียบเชียบ


 


“ฮ่าๆๆๆ…นี่คือมิติบิดเบือนที่จะส่งพวกนางไปได้ไกล! ตอนที่พวกนางกลับไปถึงอาณาจักรทมิฬแล้วรายงานเรื่องนี้ เจ้าคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลตู่ของเจ้างั้นรึ?”


 


นายน้อยตระกูลตู่เบิกตากว้าง เขาสีหน้าเคร่งเครียด


 


“เจ้ามีพลังประหลาดอยู่เท่าใดกันแน่?”


 


ถ้าพวกนางหนีไปได้ ตระกูลตู่จะต้องพบกับการทำลายล้าง


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“เจ้ามีแค่สองทางเลือกเท่านั้น อย่างแรก ข้าจะส่งพวกนางกลับไป แล้วเจ้าก็รอตระกูลตู่ของเจ้าถูกทำลายไปซะ! อย่างที่สอง ก่อนที่เรื่องจะแย่ไปมากกว่านี้ พวกเจ้าออกไปจากที่นี่ให้หมด!”


 


นายน้อยตระกูลตู่ยืนตัวสั่น ท่าทางของเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


 


ถ้าเขาดึงดันจะสังหารซือหยู ฮั่วฉีหลานและฉีหยุนเซี่ยงก็จะหนีกลับไปรายงานให้อาณาจักรทมิฬได้รับรู้


 


ความผิดของการฆ่ารองเจ้าตำหนักอย่างเปิดเผยนั้นจะทำให้อาณาจักรทมิฬโกรธแค้นอย่างหนัก! โดยเฉพาะกับราชาแห่งความมืดที่เมตตาปล่อยให้ตระกูลตู่ได้อยู่รอด


 


ถ้าอาณาจักรทมิฬมาแก้แค้นก็มีโอกาสสูงมากที่ตระกูลตู่จะถูกทำลายโดยสมบูรณ์!


 


แผนเดียวในตอนนี้คือการหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ มิเช่นนั้นพวกเขาจะต้องทำสงครามกับอาณาจักรทมิฬอย่างเลี่ยงไม่ได้


 


แต่ถ้าเขาปล่อยซือหยูไปทั้งอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงธนูมังกรฟ้าดินที่เป็นสมบัติเทพระดับกลาง…เรื่องที่ซือหยูสังหารคนตระกูลตู่ก็มิอาจอภัยได้


 


นายน้อยตระกูลตู่กัดฟันแน่นอย่างไม่พอใจ


 


เขายังมีทางเลือกอยู่อีกรึ?


 


เขาจ้องซือหยูอย่างเยือกเย็น


 


“ก็ได้ เจ้าชนะ!!”


 


แม้ซือหยูกับคนของเขาจะสร้างเรื่องวุ่นวายมากมายในดินแดนของตระกูลตู่…นายน้อยอย่างเขาก็ทำอะไรไม่ได้!


 


“พวกข้าจะไปแล้ว!”


 


นายน้อยตระกูลตู่อับอายเป็นอย่างมาก เขาหันหลังและกลับไป


 


เมื่อเขาบินผ่านตู่หลงที่บาดเจ็บปางตาย จิตสังหารก็ฉาบแววตาของเขา


 


“พาเขาไปด้วย!”


 


ซือหยูชักสีหน้า


 


“หยุดนะ! เขาเป็นคนของข้า!”


 


“หุบปาก!”


 


นายน้อยตระกูลตู่หันกลับ


 


“เขาคือคนทรยศของตระกูลตู่ การพาเขากลับไปลงโทษคือส่วนหนึ่งของหน้าที่ข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะมายุ่ง?”


 


“เจ้าดูตัวเองให้ดีเสียก่อนเถอะ!”


 


เห็นได้ชัดว่าเขาที่เป็นนายน้อยคนใหม่ไม่อยากปล่อยให้นายน้อยคนเก่ามีชีวิตรอด


 


แต่ถ้าเขาสังหารตู่หลงต่อหน้าทุกคนก็จะเป็นที่ครหานินทาได้


 


ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะเอาตู่หลงกลับตระกูลและปล่อยให้ตระกูลจัดการ!


 


ส่วนเรื่องความผิดที่เขาร่วมมือกับเจ้าตำหนักหยินหยู ถึงเขาจะไม่ตาย เขาก็ต้องชดใช้อย่างสาสม!


 


เมื่อซือหยูเห็นคนจากตระกูลตู่เข้ามาเอาตัวตู่หลงที่บาดเจ็บปางตาย จิตใจเขาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง


 


แม้ว่าเขาจะไม่บาดเจ็บ เขาก็มิอาจหยุดทั้งร้อยคนไปได้


 


ซือหยูมองเหล่ายอดฝีมือที่จากไปไกลและกำหมัดแน่น


 


ถ้าไม่ใช่เพราะตู่หลง เขาก็คงตายด้วยมือเฉินยู่เหลียนไปแล้ว


 


ถ้าซือหยูไม่ตอบแทนตู่หลงที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาก็ต้องจมอยู่กับความเสียใจไปตลอดกาล


 


ฮั่วฉีหลานถอนหายใจเบาๆ


 


“ถึงตู่หลงจะเป็นโจรมาสิบปี เขาก็ยังคงนับถือผู้คนเป็นอย่างสูง คนเช่นนี้ไม่ควรตายที่นี่!”


 


“พวกเราจะไปบ่มเพาะพลังและเติบโตขึ้น จากนั้นค่อยมาคิดถึงวิธีช่วยเขา!”


 


ซือหยูมองไปทางเมืองอันยี่อย่างเยือกเย็น


 


“ก็ได้! ข้าจะจดจำหนี้ครั้งนี้ไว้!”


 


ชิงธนูของเขา กดดันเขาจนต้องบาดเจ็บสาหัส ทำแม้แต่พยายามฆ่าเขา…ถ้าเขาไม่ล้างแค้นในครั้งนี้ เขาก็คงมิใช่บุรุษ!


 


“แต่ก่อนจะไป เราไม่ต้องจัดการไอ้เวรสองคนนี้ก่อนรึ?”


 


ซือหยูมองผ่านไปยังจางซือยี่กับตู่หมิงฮั่วที่นอนอยู่กับพื้น


 


เตี้ยฉีถูกคนตระกูลตู่พาตัวกลับไป ส่วนตู่หมิงฮั่วนั้นบาดเจ็บสาหัสจนพูดอะไรไม่ได้ เขาถูกมองข้ามไป


 


“พวกเจ้าสองคนคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าพวกเจ้างั้นรึ?”


 


ด้วยการสนับสนุนของฮั่วฉีหลาน ดวงตาซือหยูเต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


ครึ่งส่วนของบาดแผลนั้นมาจากจางซือยี่! เห็นได้ชัดว่าเขาโลภในธนูของซือหยู แต่เขาก็ใช้คุณธรรมมาเป็นข้ออ้างในการจู่โจม!


 


ส่วนอีกครึ่งนั้นมาจากตู่หมิงฮั่วที่ตอบแทนเขาด้วยความชั่วร้าย! ตู่หลงได้คุกเข่าอ้อนวอนเพื่อให้เขาถูกไว้ชีวิต แต่ตู่หมิงฮั่วที่ไร้จิตใจและไม่รู้สำนึกก็โยนความเอื้อเฟื้อนั้นทิ้งไปและพาคนมาไล่ล่าพวกเขา


 


สองคนนี้จะมีชีวิตรอดกลับไปไม่ได้!

 

 

 


ตอนที่ 326

 

บ่อเคลือบจินตนา

ตู่หมิงฮั่วนอนอยู่บนพื้นในสภาพปางตาย เขาพูดออกมาอย่างยากลำบากด้วยแววตาอันน่าเวทนา


 


“ขะ…ขอโทษ…ไว้ชีวิตข้า”


 


ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ตู่หมิงฮั่วอ้อนวอนขอชีวิต


 


ฮั่วฉีหลานที่ช่วงพยุงซือหยูมองอย่างขยะแขยง


 


“ดูเหมือนเจ้าจะลืมความน่าเวทนานี้ไปตั้งแต่งานประมูลแล้ว! เจ้าก็ขอโทษและขอให้ข้าไว้ชีวิตเจ้าเช่นนี้”


 


“ตอนนั้น ใครกันที่คุกเข่าขอชีวิตเจ้า? ใครกันที่ตั้งใจจะรับใช้ข้าไปสามปี? นั่นคือตู่หลง! เขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าคิดร้าย เขารู้อยู่แล้วว่าตระกูลตู่ไม่ยอมรับ! แต่เขาก็นับว่าเจ้ามาจากตระกูลเดียวกันและคุกเข่าเพื่อเจ้า เต็มใจที่จะเป็นทาส เพียงเพราะสายสัมพันธ์ของตระกูล!”


 


“แล้วเจ้าล่ะทำอะไร?”


 


ซือหยูรู้สึกว่าตู่หลงไม่ได้รับความเป็นธรรม


 


“ตู่หลงทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อชีวิตเจ้า แต่เจ้าก็ส่งคนมาสังหารพวกข้าทันทีน่ะรึ? เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเขาคือนายน้อยคนก่อน แต่ก็ปลิ้นปล้อนใส่ร้ายว่าเขาปลอมตัวมา เจ้าใส่ร้ายว่าเขาสมคบคิดกับข้า เจ้าไม่สนใจคนที่คุกเข่าเพื่อเจ้าเลย!”


 


“เจ้าเป็นเดรัจฉานงั้นรึ?”


 


ตู่หมิงฮั่วปากสั่น


 


“ขะ…ขอโทษ….”


 


แววตาอันหวาดกลัวของเขาไร้ซึ่งความเสียใจ เขาเพียงแค่พูดเพื่อยื้ดชีวิตเท่านั้น!


 


ดวงตาของซือหยูเยือกเย็นถึงขีดสุด


 


“เจ้า!สมควร!ตาย!”


 


ฉั่วะ–


 


ซือหยูไม่ใช่คนที่ลงมือ แต่เป็นฮั่วฉีหลานที่ทะลวงดัชนีเข้าใส่ศีรษะเพราะความขยะแขยงมาโดยตลอด


 


จากนั้นซือหยูก็หันไปมองจางซือยี่


 


บาดแผลของจางซือยี่นั้นไม่ได้ร้ายแรงเท่าตู่หมิงฮั่วเลย เขาพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกฮั่วฉีหลานซัดพลังใส่จนกระดูกท่อนล่างหัก เขากรีดร้องและล้มลงกับพื้น


 


“เจ้าอยากจะฆ่าข้าเรอะ? เจ้าคิดดีๆเสียดีกว่า ถ้าฆ่าข้าเจ้าจะต้องแย่แน่!”


 


จางซือยี่กุมขาที่กระดูกหัก ใบหน้ารูปงามของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด


 


ซือหยูไร้อารมณ์


 


“แย่งั้นรึ? ตอนที่เจ้าเตรียมตัวจะสังหารและชิงสมบัติของข้า แล้วยังพยายามจะฆ่ารองเจ้าตำหนักสองคน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเจ้าจะต้องเป็นฝ่ายที่ต้องกลัวยิ่งกว่าข้า?”


 


“เจ้าคิดจริงๆถึงว่าหอสดับหิมะจะแข็งแกร่งจนอาณาจักรทมิฬไม่กล้าแตะต้อง เจ้าถึงได้คิดสังหารพวกข้าเช่นนี้?”


 


จางซือยี่แววตาเปลี่ยนไป หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดออกมา


 


“เว่ยเทียนเฉินอยู่ในเมืองอันยี่ ถ้าเจ้าฆ่าข้าเขาจะไม่ปล่อยพวกเจ้าทุกคนไปแน่”


 


ซือหยูยิ้มเยาะเมื่อได้ยิน


 


“ข้าต้องกลัวคนที่หลบซ่อนอยู่หลังผู้คนด้วยรึ?”


 


ซือหยูหยุดหัวเราะไม่ได้


 


“เขาอยากได้ธนูมังกรฟ้าดินของข้า แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัยจึงส่งศิษย์น้องมาทำงานแทนขณะที่ตัวเองนั่งรอรางวัล”


 


“ถ้าข้ากลัวคนเช่นนั้น ข้าจะไม่แย่ไปกว่าเขารึ?”


 


ความแน่วแน่ของซือหยูไม่ได้ทำให้จางซือยี่โศกเศร้าเลยแม้แต่น้อย


 


“หยินหยู! ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเจ้าเลย ถ้าพวกเราหยุดเสียตรงนี้ ข้าก็จะสำนึกเอาไว้! ทำไมเจ้าต้องต้อนข้าในจนมุมเช่นนี้?”


 


ซือหยูหยุดไปชั่วครู่ เขาส่ายหัว


 


“ข้าไม่ได้ต้อนใครให้จนมุม ยังมีคนอื่นที่ข้าได้รามือ”


 


เมื่อมองไปถึงเหตุการณ์ในอดีต…


 


เจ้าสำนักหลิวเซี่ยนอยากจะสังหารซือหยู สุดท้ายเมื่อซือหยูกลับไปที่สำนักหลิวเซี่ยน เขาก็ไม่ได้ฆ่าเจ้าสำนัก


 


ตู่หลงได้สร้างปัญหากับซือหยูยิ่งกว่าที่สำนักหลิวเซี่ยนได้ทำไป มีหลายครั้งที่ซือหยูต้องเผชิญหน้ากับความตาย แต่ด้วยสิ่งที่เขาทำให้กับซือหยู ซือหยูจึงไม่ได้เอาชีวิตเขา


 


“โชคร้ายนักที่ข้าไม่เหลือเหตุผลให้ไว้ชีวิตเจ้า!”


 


ซือหยูส่ายหัวอย่างเย็นชา


 


“ข้าปล่อยให้คนอย่างตู่หมิงฮั่วรอยมาก่อน แล้วมันก็ยังกลับมาแว้งกัดข้า ข้าไม่อยากจะเจอเหตุเช่นนั้นเป็นครั้งที่สอง”


 


“ถ้าเจ้าอยากจะโทษ…ก็โทษตัวเองซะเถอะ เจ้าเลือกศัตรูผิดคน!”


 


ถ้าเขาไม่เข้ามายุ่งเรื่องของซือหยูกับเกาคัง ไม่พยายามใช้คุณธรรมนำสงคราม ซือหยูก็คงจะไม่ทำอะไรเขา ไม่ว่าซือหยูจะไม่พอใจจางซือยี่เท่าใดก็ตาม แต่เป็นเขาที่ทำร้ายตัวเอง


 


ฉั่วะ–


 


ครั้งนี้ ฉีหยุนเซี่ยงซัดพลังออกไป กระบี่ของนางทะลวงหัวใจของจางซือยี่


 


“เจ้าจะเปลืองน้ำลายกับคนเช่นนี้ไปทำไมกัน?”


 


ฉีหยุนเซี่ยงพูดด้วยความขยะแขยง


 


“ตามที่ร่ำลือ บุตรทั้งสี่แห่งหอสดับหิมะนั้นบริสุทธิ์และดีขึ้นในทุกขณะ พวกเขานั้นสุภาพนอบน้อมคู่ควรแก่การนับถือ แต่เมื่อข้าได้เจอกับตา ข่าวลือพวกนั้นก็แค่คำลวงที่คนนอกพูดทั้งนั้น”


 


ไม่มีใครในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ


 


บนโลกที่ไร้คนสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ยิ่งผู้คนมองเห็นความสมบูรณ์แบบเท่าใด คนผู้นั้นก็ยิ่งต้องเสแสร้งมากเท่านั้น


 


“นี่มันเลยเวลาแล้ว พวกเราควรจะรีบไป”


 


ฮั่วฉีหลานคว้าตัวทั้งสองก่อนจะขึ้นบิน


 


หนึ่งชั่วยามต่อมา


 


ลึกไปในป่าอันมืดสนิท


 


“ที่นี่คือชายเขตของป่าทมิฬ ที่นี่มีมนุษย์อยู่มากจึงมักจะไม่ค่อยพบสัตว์อสูร”


 


ฮั่วฉีหลานนำทั้งสองไปยังซากปรักหักพัง


 


ความงดงามในอดีตของที่นี่หลงเหลือแต่เพียงฝุ่นควัน ด้วยกาลเวลาและสภาพอากาศที่กัดกร่อน


 


“เปิดซะ!”


 


ฮั่วฉีหลานหายใจเข้าลึก นางรวบรวมพลังวิญญาณมหาศาลในฝ่ามือและแยกแผ่นธรณีใต้พื้นที่ยืนอยู่!


 


ครืน—


 


ด้วยพลังของนาง ผืนธรณีแยกกว้างพอจะให้สองคนได้เข้าไป


 


ประตูเหล็กปรากฏอยู่ที่พื้น


 


ประตูเหล็กนั้นสีดำสนิทแต่ก็ดูใหม่ ไม่เข้ากับซากปรักหักพังโดยรอบ


 


“นี่คือผนึกที่เจ้าตำหนักหลิงวางเอาไว้หลังจากที่เขาพบพื้นที่บ่มเพาะพลังงที่นี่ คนที่จะเข้ามาได้มีแต่ผู้ที่มีตราของรองเจ้าตำหนักเท่านั้น”


 


นางพูดและหยิบตราของตัวเองกับของซือหยูออกมาวางไว้บนประตูเหล็กพร้อมกัน


 


เมื่อตราทั้งสองสัมผัสกัน ประตูเหล็กก็เปล่งประกาย พลังไร้ลักษณ์ดึงพวกเขาเข้าไปในประตู


 


ทุกสิ่งเลือนลาง


 


เมื่อเขาลืมตาอีกครั้งก็พบว่าเขาอยู่ในห้องลับที่มีไฟสว่าง


 


ห้องนี้ยาวประมาณร้อยเมตร


 


พื้นที่นั้นกว้างขวาง มีบ่อน้ำอยู่ตรงกลางห้องใต้ดินแห่งนี้


 


มันจุคนได้หกคน และน้ำในบ่อยังเป็นสีแดงที่ปล่อยแสงมหัศจรรย์ออกมา


 


เพียงแค่มองซือหยูก็รู้สึกเวียนหัว


 


ฮั่วฉีหลานจ้องมองบ่อน้ำด้วยความตกใจ มิอาจซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้


 


“ที่นี่คือจุดหมายของเรา บ่อเคลือบจินตนา!”


 


ฮั่วฉีหลานหายใจยาวเพื่อข่มความตื่นเต้นเอาไว้ภายใน


 


ซือหยูเลิกคิ้ว


 


“เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อฝึกฝนหรอกรึ?”


 


ซือหยูคิดว่าการฝึกฝนคือการผจญภัยในป่าและทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น


 


เขาจะฝึกฝนได้ถ้าลงน้ำในบ่องั้นรึ?


 


ตั้งแต่ที่ฮั่วฉีหลานเข้ามาในห้องลับ นางไม่ได้ละสายตาไปจากบ่อน้ำเลยสักครั้ง นางวิ่งไปทางบ่อน้ำขณะอธิบาย


 


“การฝึกร่างกายก็คือกายฝึก การฝึกจิตใจก็คือการฝึกเช่นกัน”


 


“น้ำในบ่อเคลือบจินตนาจะพาผู้คนไปยังโลกแห่งความฝันและทำให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น!”


 


“หากผ่านบททดสอบนี้ สิ่งที่รบกวนจิตใจก็จะหายไปอย่างมาก จากนั้นม่านดวงวิญญาณก็จะสลาย ทำให้ร่างกายและดวงวิญญารได้หลอมรวมกัน จากนั้นจะไม่มีสิ่งกีดขวางใดในการบ่มเพาะพลังอีก ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจ้าก็จะเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก!”


 


“และเจ้ายังสามารถใช้ดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นเพิ่มระดับปัญญา วิชาบ่มเพาะของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!”


 


ซือหยูประหลาดใจมากเมื่อได้ยินเช่นนี้


 


การฝึกฝนนี้เพื่อจิตใจหรอกรึ?


 


และมันก็ยังมีผลกับวิชาบ่มเพาะอย่างมาก!


 


อรหันต์แปดอักษรของซือหยูได้ไปถึงขีดกำจัดของขั้นแรกเริ่มแต่ก็มีเส้นกั้นบางๆที่แบ่งแยกเขาออกจากขั้นต้น มันเป็นเส้นกั้นที่เขาไม่อาจข้ามผ่าน


 


ดูเหมือนว่าเขาจะขาดอะไรไป


 


ส่วนฎีกาสวรรค์ เขาได้บ่มเพาะจนถึงระดับเทพ แต่พลังของมันก็ไม่แข็งแกร่งอย่างที่เขาคิดไว้ ราวกับว่ามันขาดสิ่งใดไป


 


ทั้งวิชาและฎีกาสวรรค์ได้เป็นปัญหาต่อซือหยูมาเป็นเวลานาน


 


หรือว่าบ่อเคลือบจินตนาจะทำให้เขาข้ามผ่านมันไปได้?


 


ซือหยูลงสู่บ่อด้วยความคาดหวัง

 

 

 


ตอนที่ 327

 

ฝึกจิตใจให้แข็งแกร่ง

ฉีหยุนเซี่ยงขบริมฝีปากเบาๆ


 


“ข้าเข้าไปด้วยจะได้หรือไม่?”


 


ฮั่วฉีหลานขมวดคิ้วและไม่คิดถึงความรู้สึกของฉีหยุนเซี่ยง


 


“พาเจ้ามาที่นี่ก็เป็นการให้ความนับถือแก่เจ้าตำหนักหยินหยูอยู่แล้ว เพราะเจ้าเป็นผู้ติดตามของเขา มีแค่รองเจ้าตำหนักที่มีสิทธิ์ลงมาในบ่อนี่”


 


คำพูดของนางทำให้ฉีหยุนเซี่ยงหูแดง นางก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว


 


“ถ้าบ่อนี้ใหญ่พอก็ให้นางเข้ามาเถอะ”


 


ซือหยูยิ้มอย่างยินดี


 


ฮั่วฉีหลานมองซือหยูอย่างไม่พอใจ


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันยากเพียงใดกว่าจะได้สิทธิ์ในการลงสู่บ่อวิญญาณนี่? บ่อนี้จะเกิดขึ้นในทุกห้าปี รองเจ้าตำหนักทั้งสิบยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาที่นี่!”


 


“ถ้ามีอีกคนลงมา ผลในการบ่มเพาะของเจ้าก็จะอ่อนแอลง เจ้าจะรับผิดชอบที่นางทำให้ข้าต้องอ่อนแอลงงั้นรึ?”


 


ซือหยูพูด


 


“อย่างไรพวกเราก็ดูดซับผลของบ่อวิญญาณนี้ได้ไม่ทั้งหมด มันไม่น่าเสียดายหรอกรึ? ให้นางเข้ามาเถอะ นางจะอยู่ข้างๆข้าและไม่รบกวนเจ้า เช่นนี้ได้หรือไม่?”


 


ฮั่วฉีหลานจะทำอะไรได้เมื่อได้ยินเช่นนี้? นางทำสีหน้าไม่เต็มใจ


 


“จริงๆเลย ทำไมข้าต้องลำบากนักกว่าจะได้มาที่นี่ ทั้งๆที่เจ้าสองคนได้รับโอกาสง่ายๆแบบนี้!”


 


ซือหยูยิ้ม


 


“หยุนเซี่ยง มาเถอะ”


 


ฉีหยุนเซี่ยงแววตาเป็นประกาย นางรู้สึกขอบคุณอย่างมาก นางน่าแดงระเรื่อ นางลงบ่อด้วยความสงสัยและอยู่ใกล้กับซือหยูอย่างมากเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนฮั่วฉีหลาน


 


ซือหยูทำใจให้เย็นลงก่อนจะหลับตาและพยายามฝึกจิตใจ


 


หลังจากที่หลับตาไปชั่วครู่ ความรู้สึกวิงเวียนที่ได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ความทรงจำหลั่งไหลมาพร้อมกับความเจ็บปวดในหัว ราวกับห้วงเวลาที่ไหลไปอย่างเงียบเชียบ


 


ร่างอันน่ารักและงดงามของเซี่ยนเอ๋อปรากฏขึ้นในจิตใจอย่างช้าๆ


 


การพบพานครั้งแรกที่เขารัตติกาล เมื่อได้เจอกันอีกครั้ง นางก็ได้กลายเป็นคู่หมั้นของเขา


 


เมื่อพวกเขาพบกันครั้งแรก นางดูสวยและน่ารัก เมื่อพบกันอีกครั้ง นางได้เปล่งประกายอย่างบริสุทธิ์ และตอนที่พวกเขากำลังจะแยกจากกัน นางรวนเร โดดเดี่ยว และไม่มีใครให้พึ่งพิง


 


ทุกภาพไหลมาตามห้วงเวลา ทุกเหตุการณ์ราวกับฝุ่นที่ปกคลุมอยู่ในทุกมุมของจิตใจ


 


ความรู้สึกอันเกินจริง สัมผัสอันนุ่มนวลทำให้จิตใจของเขาเจ็บปวด เศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านี้เป็นดังแสงอ่อนๆที่ไม่เคยหายไป


 


ซือหยูกุมอกท่ามกลางบ่อน้ำ


 


เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในอกนั้น


 


เขารู้สึกเป็นห่วง รู้สึกผิด และคิดถึงนาง


 


ในตอนนี้ เซี่ยนเอ๋อจะสบายดีไหมนะ? นางจะมีความสุขไหม? นางจะเหงาหรือไม่?


 


ตอนที่นางอยู่ตัวคนเดียว จะมีใครอยู่ข้างนางไหม? ตอนที่นางคิดถึงท่านพ่อ ใครกันจะปลอบนาง? ตอนที่นางร่ำไห้ นางจะเอนกายลงบนไหล่ของใครกัน?


 


นางจะยังสบายดี แม้ซือหยูจะไม่อยู่ข้างนางไหม?


 


หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้าง ไอวารีสีแดงเปล่งประกายแสงสีประหลาดออกมา


 


เขาแยกจากกับเซี่ยนเอ๋อมานานเกินไปแล้ว!


 


นี่เป็นเวลาที่จะพานางกลับมา!


 


ความคิดนี้เข้าโอบล้อมส่วนลึกของดวงวิญญาณซือหยูจนถึงจิตใจ นั่นทำให้ความรู้สึกในส่วนลึกแสดงออกมาจากผิวเปลือกนอก


 


“ข้า…อยากเจอเซี่ยนเอ๋อ…”


 


ซือหยูพูดเบาๆ


 


ในตอนนั้น ความคิดและจิตใจได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตะกอนภายในได้กระจ่างหายไป


 


ความรู้สึกตระหนักรู้อันชัดเจนได้ปรากฏบนใบหน้า


 


ความรู้สึกที่มีให้กับเซี่ยนเอ๋อของเขานั้นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ


 


ความรู้สึกที่ถูกกดอยู่ภายในเหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งกีดขวางทางจิตใจ ซึ่งส่งผลกับความเข้าใจในวิชาบ่มเพาะและฎีกาสวรรค์ของเขาเอง


 


และในตอนนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นได้กลายเป็นพลัง ทำให้ความเชื่อของเขาไร้สิ่งกีดขวาง


 


แต่มันก็ยังไม่พอ!


 


ตอนที่ความทรงจำของเซี่ยนเอ๋อหายไป ภาพของอีกคนก็ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ


 


ดั่งนามและอัธยาศัย นางอ่อนโยน ปราณีต และอยู่ห่างจากภาวะทางโลก นางราวกับนางไม้ที่ละทิ้งชีวิตราวกับตัวตนอันงดงาม


 


เซี่ยจิงหยู


 


สตรีที่ทำให้ซือหยูใจสั่นไหวไม่ต่างกัน


 


นิสัยของนางนั้นเป็นดั่งชื่อ นางราวกับพิรุณเงียบเชียบในยามคิมหันต์ นางชำระล้างทุกสิ่งอย่างช้าๆ


 


บางครั้งบางเวลา นางยังคงอยู่ในส่วนลึกของดวงวิญญาณซือหยู เป็นไปไม่ได้ที่ซือหยูจะลืมความรู้สึกเหล่านั้น ราวกับว่ามิอาจลืมเลือนมันไปได้


 


นางจะทำอย่างที่ซือหยูบอกหรือจะอยู่กับเขาดังเดิมไหมนะ? แล้ว…นางคือคนที่ซือหยูไม่เคยรู้เลยว่าเขามีความรู้สึกอย่างไรกับนางหรือ?


 


เมื่อพบกันครั้งแรก นางมอบธนูให้กับซือหยู เมื่อพบอีกครั้งในเขารัตติกาล ซือหยูช่วยชีวิตนางเอาไว้ เมื่อพบอีกหน ซือหยูถูกล้อมจากทุกทิศทางและเป็นนางที่เข้ามาช่วย และในป่าอสูร…ร่างอันงดงามที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอมา น้ำตาที่นางหลั่งเพราะเขา ความเยือกเย็นที่นางแสดงออกมาเมื่อหันกระบี่เข้าใส่ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์…


 


และยังคงมีสัญญานั้น สัญญาที่นางจะมองดูทุกสิ่งบนโลกแทนซือหยู


 


ความทรงจำหลั่งไหลไม่ขาดสาย ซือหยูรู้สึกราวกับตอนที่เขายืนอยู่บนผืนธรณี มองดูนางขึ้นวิหคยักษ์และบินจากไป


 


ในตอนนั้น ซือหยูได้รู้ว่าเมื่อนางไป…นางกำลังร่ำไห้


 


ในตอนนี้ ดวงตาอันงดงามคู่นั้น เงาร่างอันสดใส และความทรงจำ ทั้งหมดดั่งเศษเสี้ยว ดั่งคลื่นกระหน่ำ ดั่งพิรุณคลั่งซัดใส่จิตใจของซือหยู


 


เขาตระหนักว่าในชีวิตนี้ มีสตรีอยู่หนึ่งคนที่จะทำเพื่อเขาไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไร


 


และเขายังตระหนักได้ว่าเหตุใดนางยังคงอยู่ในส่วนลึกของดวงวิญญาณและมิอาจลืมเลือนได้ลง


 


ตอนนี้นางจะอยู่ที่ใดกัน? นางสุขสบายดีไหม?


 


หรือนางจะยังคงยิ้มอย่างหนักแน่นแต่เพียงลำพัง ใช้ดวงตาทั้งสองข้างมองทุกสิ่งแทนซือหยู?


 


ซือหยูติดหนี้นางมากเกินไป จนเขามิอาจรับไหว


 


ถ้าเซี่ยนเอ๋อคือรักที่ยากจะรับได้ไหว เซี่ยจิงหยูก็คือมิตรที่ยิ่งใหญ่ยากจะรับได้เช่นกัน


 


ซือหยูรู้สึกเหมือนได้เดินทางผ่านชีวิตอีกครั้ง ในครั้งที่เขามองเซี่ยจิงหยูได้อย่างชัดเจนและสัมผัสสิ่งที่ผ่านร่วมกับนางอีกครา


 


เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างยากจะอธิบาย ความเจ็บปวดไม่หายไปจากอกแม้จะผ่านไปเนิ่นนาน


 


ที่มุมของดวงตา หยดน้ำตาไหลพราก


 


ปั้ง—


 


เสียงคลื่นกระหน่ำดังมาจากในดวงวิญญาณราวกับแม่น้ำสายยาวที่สงบเงียบมานานได้ไหลอีกครั้ง


 


ดวงวิญญาณของซือหยูได้รับความบริสุทธิ์ผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


การได้ตระหนักรู้ถึงความคิดในจิตใจและได้ตระหนักรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงทำให้ดวงวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น


 


ความทรงจำเหล่านั้นหายไปแล้ว


 


ซือหยูกลับมามีสติ แต่เขาก็ยังคงติดอยู่ในความทรงจำที่เหมือนจริงนั้นราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน และมิอาจเป็นอิสระจากความทรงจำนั้นได้


 


ความเจ็บปวกในอกและความรู้สึกที่โหมกระหน่ำในจิตใจนั้นไม่ต่างกับน้ำตาที่ไม่เคยหยุดไหลจากดวงตาทั้งสองข้าง


 


ผ่านไปนานก่อนเปลือกตาของซือหยูจะขยับเล็กน้อย เขาค่อยๆลืมตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา


 


ดวงตาคู่นั้นที่ล้ำลึกได้แทนที่ด้วยความโศกเศร้าและความรู้สึกห่วงหาในใครบางคน


 


ตั้งแต่ที่เขาจากเกาะเฉินยี่ จิตใจของเขาก็ไม่เคยเป็นอิสระดังเช่นในตอนนี้


 


“เซี่ยนเอ๋อ เซี่ยจิงหยู…”


 


ซือหยูพึมพำด้วยเสียงอันแหบพร่า เขารู้สึกว่าจิตใจของเขาได้เปิดกว้างราวกับนภาที่นิ่งสงบและเดียวดาย


 


หลังจากที่ตื่นมานาน เขากำหมัดแน่น


 


หลังจากการเดินทางครั้งนี้จบลง อย่างน้อยเขาจะต้องไปเจอเซี่ยนเอ๋อเพื่อแก้สิ่งกีดขวางทางจิตใจนี้


 


“ในที่สุดก็ตื่นขึ้นได้ซักทีสินะ? ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว”


 


เขาได้ยินเสียงบ่นจากฮั่วฉีหลาน


 


เขามองรอบๆ นางกับฉีหยุนเซี่ยงได้ขึ้นไปจากบ่อแล้ว


 


และวารีวิญญาณในบ่อนั้นได้เหือดแห้งไปจนถึงระดับข้อเท้าของซือหยู


 


ซือหยูยืนขึ้นแต่เขาก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาแข็งราวกับศิลา

 

 

 


ตอนที่ 328

 

พลังธนูเงิน

“เจ้าควรพักอยู่ตรงนั้นแหละ เจ้าไม่ได้ขยับตัวมาครึ่งเดือนแล้ว ไม่แปลกที่ตัวเจ้าจะแข็งอย่างนั้น!”


 


ฮั่วฉีหลานพูด


 


พวกนางได้ฝึกจิตใจสำเร็จในสองถึงสามวัน มีแค่ซือหยูที่ใช้เวลาไปตลอดทั้งครึ่งเดือน


 


ยิ่งจิตใจซับซ้อนเท่าใด การเพิ่มพลังจิตใจก็จะยิ่งกินเวลายาวนาน


 


พวกนางไม่เข้าใจว่าความทรงจำหนักหนาแบบใดที่อยูในจิตใจของซือหยู


 


ครึ่งเดือนรึ? สองความทรงจำสั้นๆนั้นกินเวลาเขาไปครึ่งเดือนเชียวรึ?


 


ในตอนนี้ ความโศกเศร้าได้ฝังลึกในใจของซือหยู


 


เขาฟื้นฟูร่างกายโดยการปล่อยพลังวิญญาณให้ไหลเวียนทั่วร่าง เขาตกใจมากที่พบว่าฐานพลังของเขาได้เพิ่มขึ้นหลายขั้น!


 


เขาได้กลายเป็นอำมฤตระดับสองขั้นกลางจากอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง!


 


ผลของมันแทบจะเทียบไม่ได้กับโอสถชะตาวิญญาณ!


 


เขามองฮั่วฉีหลานที่ได้เป็นอำมฤตระดับสามขั้นกลางจากขั้นต้นและฉีหยุนเซี่ยงที่ได้เป็นมังกรระดับเจ็ดขั้นกลางจากระดับห้าขั้นกลาง นางได้เพิ่มพลังมาสองระดับ พลังของนางเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด!


 


แม้ซือหยูจะไม่เคยเจอแบบฉีหยุนเซี่ยง ในการที่ฐานพลังเพิ่มขึ้นมหาศาลอย่างนั้น


 


ทั้งสามได้รับประโยชน์อย่างมากจากจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้น


 


ในตอนนี้ ซือหยูพยายามจะค้นคว้าอรหันต์แปดอักษรและโอรสสวรรค์จ้องนภา เขาพบว่าส่วนที่ยากที่เข้าใจในอดีตได้เรียบง่ายและชัดเจนขึ้น


 


ม่านกั้นขวางที่บดบังเส้นทางของเขามานานที่สุดกำลังจะพังทลายลง


 


เขาจะสำเร็จพลังได้ด้วยเวลาอีกเล็กน้อย


 


ครืน—-


 


โฮก—-


 


แต่ในตอนนั้นเอง ทั้งชั้นใต้ดินสั่นไหวอย่างรุนแรง


 


ฮั่วฉีหลานใบหน้าเป็นกังวล


 


“บัดซบ มันมาที่นี่อีกแล้วรึ?”


 


ซือหยูสีหน้าหม่นหมอง


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


ฉีหยุนเซี่ยงหน้าซีด


 


“พวกสัตว์อสูรน่ะสิ! พวกมันมารวมตัวกันตั้งแต่ห้าวันแรกที่เราเข้ามา พวกนั้นพยายามจะพังประตูเหล็กเข้ามาที่นี่ พวกนั้นโจมตีเรามาตลอดสิบวันแล้ว”


 


“คลื่นสัตว์อสูรรึ?”


 


ซือหยูเบิกตากว้าง


 


เมื่อพวกเขามาที่นี่ เจ้าตำหนักหลิงบอกว่ากำลังจะเกิดคลื่นสัตว์อสูร


 


แต่คาดไม่ถึงว่ามันจะมาก่อนหน้าหนึ่งเดือน!


 


พวกเขาในตอนนี้อยู่ที่ชายแดนของป่าทมิฬ


 


ถ้าหากมีสัตว์อสูรที่นี่ นั่นก็หมายความว่าเมืองอันยี่ถูกสัตว์อสูรเข้าจู่โจมไปแล้ว!


 


“สัตว์อสูรที่จู่โจมพวกเราไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา รองเจ้าตำหนักลำดับสามเคยพยายามโจมตีประตูเหล็กนี้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ประตูไม่ขยับแม้แต่น้อย แต่สัตว์อสูรตัวนี้ทำให้สั่นได้ทั้งชั้น!”


 


ฮั่วฉีหลานใบหน้าเคร่งเครียด


 


ซือหยูถามทันที


 


“รองเจ้าตำหนักลำดับสามรึ? ฐานพลังเขาเท่าใดกัน?”


 


อังฟางที่เป็นลำดับสี่เป็นอำมฤตระดับสามขั้นต้น ถ้าเช่นนั้น ระดับสามก็…


 


“ระดับสามขั้นสูง!”


 


ฮั่วฉีหลานเน้นย้ำทุกุถ้อยคำ


 


ซือหยูตกตะลึง เขาอ้าปากค้าง


 


“นั่นไม่เท่ากับว่าสัตว์อสูรที่โจมตีเราอาจจะเป็นระดับสี่หรอกรึ?”


 


อำมฤตระดับสี่ ด้วยพลังมหาศาลเช่นนี้ ชะตาของพวกเขาคงไม่รอดพ้นไปจากความตาย


 


แม้ทั้งสามจะรวมพลังกัน พวกเขาก็ทำให้ขนสักเส้นของมันขาดไม่ได้!


 


ครืน—-


 


สัตว์อสูรตัวนั้นโจมตีอย่างต่อเนื่อง ชั้นใต้ดินสั่นทุกครั้งที่มันโจมตี


 


“เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ประตูเหล็กจะทนได้อีกแค่ห้าวันเท่านั้น! หลังจากนั้นก็จะไม่มีอะไรขวางระหว่างเรากับมัน!”


 


ฮั่วฉีหลานแววตาหมองหม่น


 


แม้ฮั่วฉีหลานกับฉีหยุนเซี่ยงจะไม่พูดอะไร ซือหยูก็เข้าใจดีว่าเขาเป็นคนทำให้พวกนางตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้


 


ถ้าพวกนางออกไปเร็วกว่านี้ พวกนางจะถูกสัตว์อสูรมาขวางดังเช่นในตอนนี้รึ? นั่นก็เพราะว่าพวกนางรอซือหยูจนต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้


 


“ขอเวลาข้าสักหน่อย”


 


ซือหยูนั่งลง เขาเร่งใช้ความคิด


 


แผนเดียวในตอนนี้คือการเพิ่มพลังในการต่อสู้ นี่คือหนทางเดียวที่จะจัดการกับสัตว์อสูรขอบเขตอำมฤตระดับสี่ได้


 


ในด้านวิชาบ่มเพาะ ซือหยูไม่มั่นใจว่าจะบ่มเพาะอรหันต์แปดอักษรจนถึงขั้นต้นได้ในแค่ห้าวัน


 


แม้หากโอรสสวรรค์จ้องนภาจะทะลวงระดับหนึ่งขั้นสูง มันก็อาจจะยังไม่พอกับสัตว์อสูรระดับสี่เช่นนี้


 


ฎีกาสวรรค์ยิ่งยากนัก…เขาไม่รู้อะไรเลย


 


ทางเดียวเท่านั้นคือต้องเพิ่มพลังการต่อสู้!


 


ซือหยูครุ่นคิด แสงสว่างประกายในมือ ธนูเงินปลดปล่อยออกมาจนพื้นสั่น


 


ราวกับภูเขาลูกยักษ์ตกใส่ที่นี่


 


ฮั่วฉีหลานกับฉีหยุนเซี่ยงตกใจ พวกนางหันมามองด้วยความตกใจ


 


“ธนูมังกรฟ้าดินรึ? เจ้าไม่ได้เอามันไปไว้ที่อื่นหรอกรึ? มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?”


 


ซือหยูไม่มีเวลาตอบคำถาม เขาคว้าธนูขึ้นมา


 


ฐานพลังของเขาในตอนนี้คืออำมฤตระดับสองขั้นกลาง แต่ก็ต้องลงแรงอย่างมากในการยกธนู


 


เขายกมันได้หลังจากที่รวบรวมพลังวิญญาณทั้งหมดออกมาเท่านั้น


 


“พวกเราต้องหวังพึ่งสิ่งนี้”


 


ซือหยูพูดอย่างเคร่งเครียด เขาปักปลายคันธนูไว้กับพื้นและใช้มือขวาดึงสายธนู


 


ธนูคันนี้ไม่ต้องใช้ลูกธนู ผู้ใช้เพียงแค่ต้องส่งพลังวิญญาณออกมาสร้างลูกธนู พลังของมันนั้นยังมิอาจทราบได้


 


เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นสมบัติเทพระดับกลางที่เหล่าขุมกำลังต้องการ พลังของมันจะต้องไม่อ่อนแอจนเกินไป


 


แต่เมื่อซือหยูดึงสายธนู สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป


 


เขาใช้พลังวิญญาณทั้งหมดรวบรวมมาที่ฝ่ามือ แต่ก็ยังขยับสายธนูไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!


 


ราวกับกำลังดึงภูเขาลูกยักษ์


 


ซือหยูที่ตกใจอย่างหนักยอมแพ้ เขายื่นธนูให้กับฮั่วฉีหลาน


 


“เจ้าลองดูหน่อย”


 


ฮั่วฉีหลานเป็นอำมฤตระดับสามขั้นกลาง อาจจะมีโอกาสที่จะทำได้ด้วยฐานพลังนั้น


 


ฮั่วฉีหลานตื่นเต้นอย่างออกหน้าออกตา นางพยักหน้า


 


“หึหึ ศิษย์น้องผู้น่าสงสารเอ๋ย เจ้าใช้สมบัติของตัวเองยังไม่ได้เลย ดูข้าเป็นตัวอย่างซะ!”


 


คงจะเป็นเรื่องโกหก ถ้านางพูดว่านางไม่สนใจในสมบัติเทพระดับกลาง


 


นางใช้พลังวิญญาณหนึ่งในสิบส่วนคว้าธนูมาไว้ในมือ แม้มันจะต้องลงแรงเล็กน้อย นางก็ไม่ได้ถือมันอย่างยากลำบากนัก


 


ความต่างมหาศาลของพลังวิญญาณระหว่างขอบเขตอำมฤตระดับสองกับระดับสามนั้นราวฟ้ากับเหว


 


แค่หนึ่งในสิบส่วนพลังวิญญาณนางก็เท่ากับพลังวิญญาณทั้งหมดของซือหยูแล้ว


 


ถ้าไม่ใช่เพราะซือหยูมีวิชาระดับตำนานเขาก็คงจะตายไปแล้ว ตอนที่เขาต่อสู้กับเหล่าอำมฤตระดับสาม


 


ฮั่วฉีหลานแตะสายธนูและออกแรงเล็กน้อย


 


นางเลิกคิ้ว…สายธนูไม่ขยับเขยื้อน


 


นางคิดหนักก่อนจะใช้พลังวิญญาณออกมาสามในสิบส่วน เทียบเท่ากับซือหยูสามคนดึงสายธนู


 


แต่สายธนูก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย


 


ฮั่วฉีหลานสีหน้าเคร่งเครียด


 


ตู้ม–


 


นางปล่อยพลังวิญญาณมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า นางใช้พลังวิญญาณหกในสิบส่วน!


 


แต่สายธนูก็กลับนิ่งไร้การไหวติงอย่างน่าตกใจ!


 


ใบหูของฮั่วฉีหลานแดงก่ำ นางกัดฟันและไม่คิดจะยอมแพ้ นางใช้พลังวิญญาณทั้งหมดที่มี


 


“ขยับสิ!”


 


พลังวิญญาณในตอนนี้เท่ากับซือหยูสิบคนที่กำลังดึงธนู!


 


เพี๊ยะ–


 


สายธนูส่งเสียงดังเบาๆ


 


มีคลื่นพลังออกมาจากสายธนู มันถูกดึงออกมาในระยะไม่ถึงหนึ่งนิ้ว!


 


หากไม่มองใกล้ๆก็ไม่รู้เลยว่าสายธนูถูกดึงรั้ง


 


นางดึงสายธนูได้สำเร็จแต่ก็ได้ระยะเพียงน้อยนิด!


 


ฮั่วฉีหลานประหลาดใจมาก


 


“สายธนูนี่มันอะไรกัน? ข้าดึงมันมาไม่ได้ด้วยซ้ำ!”


 


ด้วยพลังเต็มที่ของนาง นางทำได้แค่ดึงสายธนูเพียงเล็กน้อย ยากที่นางจะยอมรับได้


 


นางปล่อยนิ้วอย่างไม่เต็มใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด


 


แต่ในตอนนั้นเอง สายธนูที่กลับมาอยู่ในที่เดิมก็ได้ปล่อยคลื่นพลังออกมา!


 


ครืน—


 


พลังที่ไม่ต่ำไปกว่าอำมฤตระดับสองขั้นกลางพุ่งตรงไปยังกำแพงที่อยู่ด้านตรงข้าม


 


เกิดรูกว้างบนกำแพงของชั้นใต้ดินที่ถูกยิงออกไป


 


ฉีหยุนเซี่ยงตกใจ


 


“พลังน่ากลัวนัก ดึงมาได้แค่นั้นก็มีพลังขนาดนี้เชียวรึ? ถ้าเกิดดึงมันมาได้ทั้งหมดล่ะก็….”


 


ซือหยูกับฮั่วฉีหลานจ้องมองกำแพงที่อยู่ตรงข้ามด้วยความตกตะลึง


 


นี่คือพลังของสมบัติเทพระดับกลางรึ?


 

 

 


ตอนที่ 329

 

เทียบกับไหมเทพน้ำแข็ง ซือหยูต้องยอมรับว่าหยุนย่าสีพูดถูก


 


แม้จะเป็นสมบัติเทพระดับต่ำร้อยดินก็มิอาจเทียบได้กับสมบัติเทพระดับกลาง!


 


ฮั่วฉีหลานหยุดนิ่งไปนาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น


 


“ข้าขอลองอีกทีนะ!”


 


ปั้ง ปั้ง—


 


ร่างของนางได้เปล่งประกายแสงในพริบตา ร่างแสงกระจ่างปรากฏขึ้นมาข้างๆ


 


เป็นกายาแสงของนาง!


 


พลังนั้นเทียบเท่ากับฐานพลังของร่างหลัก


 


กายาแสงจับมือของฮั่วฉีหลาน ทั้งสองปล่อยพลังวิญญาณออกมาดึงสายธนูพร้อมกัน


 


ตอนนี้มีอำมฤตระดับสามขั้นกลางสองคนกำลังดึงสายธนูพร้อมกัน


 


แกรก—


 


มุมเล็กๆที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าปรากฏขึ้นมาแล้ว


 


เทียบกับครั้งก่อน มุมนั้นเพิ่มมากกว่าเดิมสองเท่า


 


ฮั่วฉีหลานกับร่างเทียมปล่อยมือพร้อมกัน


 


ธนูวิญญาณปรากฏออกมาทันที


 


เมื่อสายธนูถูกปล่อยออกไป ลูกธนูวิญญาณพุ่งตรงไปยังกำแพงข้างหน้า!


 


ครืน—


 


ปั้ง—


 


เสียงระเบิดเกิดขึ้นพร้อมกับรูใหญ่บนกำแพง


 


ฉีหยุนเซี่ยงตกใจเป็นอย่างมาก


 


“พลังของอำมฤตระดับสามขั้นต้น!”


 


หลายขุมกำลังมากมายมิอาจบ่มเพาะยอดฝีมือระดับสามได้ แม้จะผ่านไปหลายร้อยปี


 


แต่ในตอนนี้ เพียงแค่ดึงสายธนูได้เล็กน้อยมันก็แสดงพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นออกมา!


 


สมกับเป็นสมบัติเทพจากตระกูลโบราณที่สืบทอดกันมา!


 


แต่ฮั่วฉีหลานกับซือหยูก็รู้สึกผิดหวัง


 


ฮั่วฉีหลานถอนหายใจและคืนธนู


 


“ไร้เหตุผลนักที่ต้องมาหวังกับสมบัติเทพนี่”


 


ครืน—-


 


ครืน—


 


ในตอนนี้ บางทีอาจจะเพราะสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวในห้องลับ สัตว์อสูรอำมฤตระดับสี่ที่กำลังพังประตูเหล็กเริ่มบ้าคลั่งขึ้น !


 


ทั้งห้องลับสั่นไม่หยุดหย่อน


 


หากเป็นอย่างนี้ต่อไป มันจะทนไม่ได้ถึงห้าวัน!


 


“ข้าต้องเดิมพันเท่านั้น!”


 


ซือหยูนั่งลงและหยิบขวดหยกที่มีของเหลวสีแดงออกมา


 


นั่นคือหยดหมื่นพลที่ถูกเจือจาง!


 


ตู่หมิงฮั่วพยายามอย่างมากที่จะแลกมันกับธนูเงิน แต่เขาก็ไม่คิดว่าท้ายสุดธนูจะตกไปอยู่ในมือซือหยู และหยดหมื่นพลเองก็ไม่ได้ถูกเอาคืนไป


 


ซือหยูแผ่จิตสังหารออกมาในพริบตา เขากัดนิ้วตัวเองและรีดหยดโลหิต จากนั้นเขาก็ผสมมันเข้ากับหยดหมื่นพล


 


จากนั้นเขาก็ปล่อยให้โลหิตกับหยดหมื่นพลที่ผสมกันหยดลงธนู


 


ภาพอันน่าอัศจรรย์ปรากฏขึ้น


 


หยดโลหิตผสมได้ซึมเข้าไปในธนูเงินโดยไร้สิ่งกั้นขวาง


 


ฮั่วฉีหลานประหลาดใจ


 


“เจ้ากำลังจะชำระธนูนี่รึ?”


 


หยดพื้นพลจะล้างโลหิตของเจ้าของเดิมได้ โลหิตของซือหยูจะเข้าไปหลอมรวมกับธนูและชำระล้างมัน


 


แต่เมื่อมองดูผลที่ได้ ซือหยูล้มเหลวอย่างหมดท่า!


 


โลหิตทั้งหมดของซือหยูถูกเค้นออกมา เขามิอาจชำระธนูได้


 


อย่างที่คิด ผลของหยดหมื่นพลที่เจือจางนั้นอ่อนแอเกินไป


 


แม้จะเป็นหยดแบบตั้งต้น เขาก็ต้องใช้ถึงสิบหยดในการชำระล้างผนึกทั้งหมด


 


“ไม่สิ!”


 


ซือหยูเคร่งเครียด เขาดมกลิ่นโลหิตที่ถูกเค้นออกมา


 


“เก้าในสิบส่วนเป็นโลหิตข้า ส่วนอีกส่วนเป็นของเจ้าของธนู!”


 


“โลหิตหนึ่งในร้อยส่วนของข้าเข้าไปในธนูแล้ว!”


 


ซือหยูจ้องธนูเงิน เขาจับธนูทันที


 


ซือหยูพยายามยกมันด้วยความคาดหวัง


 


ฟึ่บ–


 


ซือหยูไม่คิดเลยว่าธนูเงินที่เคยหนักเท่าเขาสูงแปดพันศอกจะเบาราวกับภูเขาลูกเล็กๆ!


 


ซือหยูใช้พลังทั้งหมดยกธนู เขาใช้แรงเยอะเกินไปจนตัวแทบจะพลิก!


 


“นี่คือ…ผลของการชำระงั้นรึ?”


 


ซือหยูดีใจอย่างมาก


 


ธนูเงินยังคงหนักอยู่อย่างเคย เพียงแค่น้ำหนักอย่างเดียวก็สังหารมนุษย์ได้หลายร้อยคน


 


แต่สำหรับซือหยูแล้วมันเบาลงมาก เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามันหนักมาก เทียบกับเมื่อครู่ก่อนหน้าแล้ว…เขาแทบจะยกมันขึ้นมาไม่ได้!


 


ฮั่วฉีหลานตกตะลึง นางมองด้วยความริษยา


 


“เร็วเข้า ลองใช้มันเร็ว!”


 


ซือหยูพยักหน้าและจรดนิ้วลงบนสายธนู เขาปล่อยพลังวิญญาณทั้งหมดออกมาดึงธนูช้าๆ!


 


สายธนูขยับไปหนึ่งนิ้ว!


 


มันขยับมากกว่าที่ฮั่วฉีหลานกับร่างเทียมทำได้เป็นสองเท่า!


 


ธนูวิญญาณขนาดเท่าดัชนีปรากฏขึ้นที่สายธนู


 


เมื่อซือหยูปล่อยมือ เงาธนูก็พุ่งผ่านทะลวงกำแพงศิลา


 


ครืน—-


 


ครืน—-


 


ทั้งชั้นใต้ดินสั่นเล็กน้อย


 


รูที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมปรากฏขึ้นบนกำแพงศิลา!


 


“พลังของอำมฤตระดับสามขั้นกลาง!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงมิอาจข่มความตกใจไว้ได้


 


นางทึ่งในพลังของธนูและผลในการชำระธนูของซือหยู


 


พลังที่ซือหยูทำได้นั้นเหนือกว่าที่นางกับร่างเทียมร่วมมือกันทำได้เป็นสองเท่า!


 


เทียบกับครั้งก่อนที่สายธนูไม่แม้แต่ดึงได้ ซือหยูในตอนนี้แสดงพลังที่เหนือกว่าเดิมได้ยี่สิบเท่า!


 


แต่มันก็ยังห่างไกลเกินกว่าจะจัดการกับสัตว์อสูรอำมฤตระดับสี่!


 


ถึงจะชำระธนูมาได้เท่านี้…มันก็ยังไม่พออีกรึ?


 


ตอนที่ทุกคนใจหาย ธนูเงินก็เปล่งแสงสีเงินออกมาทันที!


 


ภาพลวงขนวิหคเงินปรากฏขึ้นบนนภา


 


ใต้แสงกระจ่างบริสุทธิ์นั้นมีรังสีพลังอันเกรี้ยวกราดที่ทำให้ทุกคนตัวสั่น!


 


ปลายธนูเปล่งประกายแสงอันเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง มันเย็นจนซึมลึกไปถึงกระดูก…ลึกไปถึงกระทั่งวิญญาณ!


 


ทั้งชั้นใต้ดินสั่นไหว กำแพงศิลาแตกร้าว ราวกับลูกธนูนั้นต้องการจะทำลายทุกสิ่งในโ,ก!


 


พลังอันไร้ขอบเขตเช่นนี้สังหารมนุษยชาติได้สิ้น พูดได้เลยว่าไร้เทียมทาน!


 


โฮก—-


 


ในตอนนี้ สัตว์อสูรดุร้ายที่ดื้อด้านทำลายประตูเหล็กมาครึ่งเดือนได้กรีดร้องและครางด้วยความกลัว


 


เสียงฝีเท้าดังขึ้น สัตว์อสูรตัวนั้นกำลังรีบหนี


 


ฟึ่บ–


 


ลูกธนูลวงหายไปในพริบตา มันกลับสู่ธนูเงินอีกครั้ง


 


ฮั่วฉีหลานกับฉีหยุนเซี่ยงยากจะเข้าใจในสิ่งที่ได้เห็น แต่ซือหยูนั้นใจสั่น


 


หยุนย่าสีเคยพูดว่าธนูเงินนี้เองเป็นเพียงเปลบือกนอกและยังมีความลับอื่นอยู่ในธนูนี้!


 


หรือว่าจะเป็นธนูลวงนั่น?


 


“ท่านอาจารย์ ความลับในธนูนี่คือสิ่งใดกัน?”


 


ซือหยูถาม


 


หยุนย่าสีในกล่องหยกหัวเราะ


 


“ฮ่าๆๆๆ เจ้านี่มันโชคดีจริงๆ เจ้าได้สมบัติของจริงมาแล้ว”


 


“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ธนูมังกรฟ้าดินไม่ได้ไร้ลูกธนู แต่มันมีลูกธนูที่ผนึกเอาไว้ในธนูจากเจ้าของธนูคนก่อน! ธนูจะได้รับการปลดปล่อยเมื่อมันถูกชำระไปแล้วครึ่งส่วน!”


 


“แล้วลูกธนูเงินนั่นก็มีระดับสูงกว่าตัวธนูเองเสียอีก!”


 


หยุนย่าสีหัวเราะ


 


ซือหยูใจเต้นแรง


 


“มันระดับสูงกว่าเท่าใดกันรึ?”


 


หยุนย่าสียิ้มอย่างมีเลศนัย


 


“ในใจเจ้าคงคิดว่ามันระดับสูงกว่ามากสินะ อย่างน้อยก็ไม่ได้ระดับต่ำกว่าหอกพังทลายของเจ้าตำหนักหลิงหรอก”


 


อะไรนะ? ซือหยูตกใจมาก!


 


ระดับของลูกธนูนั้นเทียบได้กับสมบัติแห่งอาณาจักรเชียวรึ?


 


ในวันนั้น สมบัติเทพของเจ้าตำหนักหลิงได้แสดงพลังทำลายล้างมหาศาลออกมา ซือหยูไม่มีวันลืมพลังที่สังหารผู้ตรวจการไป่ฮีได้อย่างง่ายดายนั้นเลย


 


นี่มาถึงวันที่เขาได้ครอบครองอาวุธที่น่ากลัวเช่นนั้นแล้วรึ?


 


“ฮ่าๆๆ เจ้าคิดหาทางเอาหยดหมื่นพลออกมาให้ได้ ปลดปล่อยลูกธนูเงิน จากนั้นมันจะเป็นไพ่ตายของเจ้า! แม้แต่วิชาระดับตำนานของเจ้าก็เทียบมันไม่ได้”


 


ซือหยูตกใจมากและมิอาจใจเย็นลง แม้จะผ่านไปนานก็ตาม


 


สมบัติเทพที่เทียบเท่ากับสมบัติเทพของตำหนักถูกผนึกอยู่ในธนูคันนี้!


 


เขาจะต้องหาทางเอาหยดหมื่นพลสิบหยดมาให้ได้!


 


ส่วนลึกในแววตาของซือหยูเปล่งประกายอันเฉียบคม

 

 

 


ตอนที่ 330

 

“เราควรจะไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นพวกสัตว์อสูรจะมาอีก!”


 


ซือหยูใจเย็นลงและใช้ความคิด เขาเก็บธนูกลับสู่คันฉ่อจักรวาลและบินออกจากชั้นใต้ดิน


 


ผืนธรณีรอบประตูเหล็กในทุกมุมนั้นไหม้เกรียม


 


“สัตว์อสูรอะไรกันที่ทำแบบนี้ได้?”


 


ฮั่วฉีหลานสีหน้าหม่นหมอง นางมองตรงที่ที่เกิดการทำลายล้าง


 


ซือหยูใช้พลังดวงตาแต่ก็มองเห็นแต่เพียงแสงสีแดงที่หายไปจากระยะไกล


 


“รีบกลับไปที่เมืองอันยี่เถอะ!”


 


ผ่านมาแล้วครึ่งเดือน พวกเขายังไม่รู้ชะตาของตู่หลง!


 


พวกเขารีบบินไปยังเมืองอันยี่ด้วยความเร่งรีบ


 


ตลอดทาง พวกเขาเจอสัตว์อสูรไม่มากนัก


 


“ดูเหมือนว่าอำมฤตระดับสี่ที่พวกเราเจอจะเป็นพวกตัวแถวหน้า คลื่นสัตว์อสูรจริงๆยังมาไม่ถึง! แต่มันจะมาไม่อีกไม่นาน!”


 


ซือหยูกับสตรีทั้งสองบินผ่านฝูงสัตว์อสูร


 


สัตว์อสูรในขอบเขตมังกรระดับห้าสี่ตัวกำลังต่อสู้กันบนซากมนุษย์


 


ซากศพนั้นเด็กสาวที่อายุเพียงสิบปี!


 


ข้างนางคือผู้เป็นพ่อที่เหลือเพียงแต่กระดูกกับเศษเนื้อ


 


ซากศพของเด็กสาวนั้นชะตาไม่ต่างกับพ่อของนาง


 


ดวงตาที่หลุดออกมานั้นไร้แวว คงไว้เพียงนภาห่างไกลส่องสะท้อน


 


ศพของนางกลายเป็นอาหารของเหล่าสัตว์อสูร


 


ซือหยูหยุดมองดวงตาคู่นั้น จิตใจเขาถูกทำร้าย


 


พรึ่บ–


 


เขาฆ่าสัตว์อสูรทั้งสี่ด้วยพลังวิญญาณที่มองไม่เห็น


 


ฮั่วฉีหลานสีหน้าเย็นชา


 


“ไปเถอะ”


 


มนุษย์กับสัตว์อสูรมิอาจอยู่ร่วมกันได้


 


พวกเขาพบเห็นภาพที่คล้ายคลึงกันตลอดการเดินทาง ป่าทมิฬอันกว้างใหญ่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นโลหิต ในตอนนี้…ที่นี่ได้กลายเป็นนรก! นี่เป็นเพียงแค่คลื่นสัตว์อสูรแรกๆเท่านั้น! ส่วนคลื่นที่แท้จริงจะมีพลังเหนือกว่านี้หลายเท่า


 


พวกเขาเข้าเมืองไปด้วยความหนักใจ พวกเขาพบเมืองอันรกร้างว่างเปล่า ครึ่งเดือนก่อนที่นี่ยังเต็มไปด้วยผู้คน แต่ในตอนนี้เหล่าประตูและร้านรวงต่างๆปิดแน่น ไร้คนเดินบนถนน หรือถ้ามีพวกเขาก็รีบไปหาที่ซ่อนอื่น บางทีอาจจะมุ่งหน้าไปทางเมืองในตอนเหนือ


 


กลุ่มทหารรีบไปที่กำแพงเมือง พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ จิตสังหารปะปนไปทั้งเมืองอันยี่ บนท้องฟ้าก็มีกลุ่มมนุษย์หนีออกจากเมืองอันยี่ไป มีเพียงยอดฝีมือหนึ่งในสิบส่วนที่เลือกจะอยู่ต่อ


 


“พวกนั้นมาเพื่อเอาค่าหัว!”


 


ซือหยูยืนดูป้ายประกาศหน้าเมือง


 


ครึ่งเดือนก่อน เจ้าเมืองอันยี่ได้กำหนดค่าหัวเอาไว้ คนที่ต่อสู้กับคลื่นสัตว์อสูรจะได้รางวัล


สังหารสัตว์อสูรขอบเขตมังกรระดับหนึ่งจะได้หนึ่งคะแนน สังหารระดับสองจะได้สองคะแนน เป็นเช่นนี้เรื่อยไป


 


หากฆ่าสัตว์อสูรมังกรระดับเจ็ดก็จะได้เจ็ดคะแนน แต่ถ้าสังหารอำมฤตระดับหนึ่งจะได้ร้อยคะแนน


 


การฆ่าอำมฤตระดับสองจะได้พันคะแนน และระดับสามจะได้หมื่นคะแนน!


 


ถ้าฆ่าสัตว์อสูรขอบเขตอำมฤตระดับสี่ ก็จะได้แสนคะแนน! หนึ่งพันคะแนนจะเอาไปแลกกับเศษตำราระดับอำมฤตได้


 


ที่น่าตกใจที่สุดคือหมื่นคำแนนจะเอาไปแลกกับตำราอำมฤตแบบสมบูรณ์ได้ทันที! ตำราอำมฤตแบบสมบูรณ์นั้นล้ำค่าเพียงใดกันน่ะรึ? แม้แต่ขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ในทวีปก็ไม่มีตำราเหล่านั้นมากนัก


 


เห็นได้เลยว่าตระกูลตู่ไม่คิดจะพยายามปกป้องเมืองอันยี่ พวกเขาใช้แม้แต่วิชาอำมฤตแบบเต็มเล่มออกมาเป็นรางวัล! แต่ก็มีข้อแม้สุดท้าย! แสนคะแนนจะเอาไปแลกสมบัติในห้องเก็บสมบัติตระกูลตู่ได้!


 


หยดหมื่นพลสิบหยดของตระกูลตู่นั้นเทียบได้กับสมบัติเทพระดับกลาง นี่จึงเป็นเหตุที่ตระกูลตู่มีชื่อเสียง ถ้ามีใครได้แสนคะแนนไปก็แสดงว่าพวกเขาก็จะได้หยดหมื่นพลสิบหยดน่ะสิ! แม้แต่คนธรรมดาก็อยากได้ ไม่ต้องพูดถึงเหล่าขุมกำลังเลย!


 


ซือหยูเคยได้รู้ผลของหยดหมื่นพลด้วยตัวเองมาแล้ว เขาจะไม่เข้าใจความล้ำค่าของมันได้ยังไง?


 


แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารสัตว์อสูรระดับสี่นอกจากเจ้าตระกูลตู่จะลงมือเอง! รางวัลนั้นหลอกล่อได้ดีก็จริง แต่ในความจริงแล้วคนนอกไม่มีทางหวังจะได้มัน


 


พวกเขาตัดสินใจประกาศเช่นนี้เพื่อทำให้เหล่ายอดฝีมือสนใจและเข้ามาช่วยต้านเหล่าสัตว์อสูรที่กำลังจะมา


 


ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


“ศิษย์พี่ฉีหลาน ข้าคนเดียวยังพอช่วยตู่หลงได้ พาหยุนเซี่ยงกลับเขตหยินหยูเถอะ”


 


ฮั่วฉีหลานเลิกคิ้ว


 


“สัตว์อสูรที่กำลังจะมาอันตรายแค่ไหนก็ไม่รู้ มันอันตรายเกินไปถ้าเจ้าจะอยู่ตัวคนเดียว”


 


“ก็เพราะมันอันตรายนั่นแหละ เจ้าถึงไม่ควรจะอยู่ที่นี่!”


 


ซือหยูพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


“พวกเราคงจะรับมือได้ แต่หยุนเซี่ยง…”


 


“แล้วข้าก็มีแผนที่จะช่วยตู่หลงแล้ว คนที่เยอะเกินไปอาจจะทำให้ข้าเสียแผน กลับไปซะ ข้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”


 


ซือหยูมุ่งมั่น


 


ฮั่วฉีหลานยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า


 


“ก็ได้ ดูแลตัวเองด้วย!”


 


แต่ฉีหยุนเซี่ยงยังคงยืนอยู่ที่เดิม นางไม่คิดจะไปไหน สีหน้านางอับอาย นางเป็นตัวถ่วงซือหยูอีกครั้งแล้ว!


 


“หยุนเซี่ยง เมื่อเจ้ากลับไป เจ้าจงทำตามคำขอของข้าทันที ค้นหาคนสองคน คนแรกคือพ่อเจ้า ส่วนคนที่สอง…”


 


ซือหยูไม่พูดต่อ


 


ฮั่วฉีหลานอยู่ข้างเขา เป็นนางที่พาเซี่ยจิงหยูไป


 


ถ้าซือหยูพูดต่อหน้านาง ตัวตนของซือหยูจะถูกเปิดเผยแน่นอน


 


ความบาดหมางระหว่างเขากับฮั่วฉีหลานนั้นเล็กน้อย แต่ที่สำคัญกว่าคือคนที่อยู่ในเกาะเฉินยี่จะเป็นอันตรายถ้าตัวตนของเขาถูกเปิดเผย


 


ความไม่พอใจบนใบหน้าของฉีหยุดเซี่ยงลดลง นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย


 


“อืม ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงจ้องซือหยูและบินขึ้นสู่นภาไปพร้อมกับฮั่วฉีหลาน


 


หลังจากที่ทั้งสองไป ซือหยูหันมองป้ายประกาศ


 


ไม่นานนัก ที่ตำหนักเจ้าเมืองอันยี่


 


เหล่ายอดฝีมือรวมตัวเบียดกันแน่นเข้าสู่กลางโถงตำหนัก มีคนรับใช้มากมายที่รีบมาต้อนรับเหล่ายอดฝีมืออย่างรีบร้อน


 


“เฮ้ สหาย ข้าชื่อหวงฉีซาน เจ้ามาที่นี่เพื่อสมัครล่าสัตว์อสูรใช่หรือไม่? เจ้าคิดจะรวมกลุ่มกับข้าไหม?”


 


เด็กหนุ่มที่ร่างกายกำยำพูดอย่างกระตือรือร้น


 


ที่นี่คือที่ที่ใช้ลงทะเบียนในการล่าสัตว์อสูร การรับสมัครกำลังจะปิดแล้วแต่ก็ยังมียอดฝีมือมากมายเข้ามาสมัครเพื่อล่า พวกเขาพยายามอย่างมากเพื่อที่จะได้ล่าตามที่เจ้าเมืองอันยี่ต้องการ


 


ซือหยูแสร้งหยุดคิดก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ


 


“ไม่เป็นไรหรอก ข้าชินกับการทำอะไรคนเดียวแล้วล่ะ”


 


มันอันตรายเสียยิ่งกว่าหากจะต้องรวมกลุ่มกับคนแปลกหน้า


 


ชายร่างกำยำไม่พอใจ เขาจ้องมองซือหยู


 


“เจ้าหนู ฝูงสัตว์อสูรมันอันตรายกว่าที่เจ้าคิดอีกนะ ตัวเล็กอย่างเจ้ายังเป็นไม้จิ้มฟันของมันไม่ได้เลย!”


 


“เจ้าต้องเพิ่งพ่อแม่เมื่ออยู่บ้าน แต่ก็ต้องพึ่งมิตรสหายที่ข้างนอก เจ้ายังเด็กเลยยังไม่รู้อันตรายของโลกใบนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”


 


ซือหยูเลิกคิ้ว เขาเริ่มหมดความอดทน


 


“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย…ไม่จำเป็น!”


 


ซือหยูถอนหายใจแรง เขาปฏิเสธอย่างไม่เป็นมิตร


 


หวงฉีซานสูญเสียความอดทน สีหน้าของเขาเริ่มไม่เป็นมิตรเมื่อเกลี้ยกล่อมซือหยูล้มเหลว


 


“เจ้าหนู! ข้าขอให้เจ้ามาร่วมกับข้าเพราะเห็นแก่พลังของเจ้า! อย่าไร้ยางอายให้มันมากนัก!”


 


“เจ้าจะไม่อยู่กับข้าก็เรื่องของเจ้า ข้าต้องสนใจเด็กน้อยอย่างเจ้าด้วยรึ?”


 


ซือหยูเลิกคิ้ว เขาไม่คิดจะยุ่งกับคนโง่เช่นนี้


 


หวงฉีซานมีเพลิงร้อนรุ่มอยู่ในอก เขาจ้องซือหยูด้วยความมุ่งร้าย


 


ไม่นานก็ถึงคิวของซือหยู


 


“เจ้า…คิดจะสมัครจริงๆรึ?”


 


ชายที่ให้บริการเขาคือชายแก่…สีหน้าของเขาประหลาด


 


เขาไม่ใช่ใครอื่น เขาเป็นคนที่ทดสอบพลังของซือหยูที่ประตูเมืองคราวก่อน เขาถูกซือหยูสั่งสอนในคราวนั้น


 


เมื่อชายแก่เห็นซือหยูอีกครั้ง ริมฝีปากเขาก็กระตุก

 

 

 


ตอนที่ 331

 

หยินหยูได้ก่อเรื่องมากมายกับตระกูลตู่ และเขาก็ยังสังหารยอดฝีมือของตระกูลตู่ไปมากมาย แต่ตระกูลตู่ก็ไม่ได้สังหารเขาเพราะหวาดกลัวอาณาจักรทมิฬ แต่หยินหยูกลับมาที่นี่ด้วยตัวเอง!


 


ซือหยูถามกลับ


 


“ไม่ได้งั้นรึ?”


 


ชายแก่คิดอยู่ชั่วครู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่เขาจะตัดสินใจ แต่ในท้ายสุดเขาก็กัดฟันและบันทึกชื่อหยินหยูลงไป เขามอบสร้อยหยกให้กับซือหยู


 


“นี่คือศิลาขาว ถ้าเจ้าสังหารสัตว์อสูรไป มันจะบันทึกคะแนนที่เจ้าได้! คะแนนของเจ้าจะขึ้นอยู่บนศิลาขาว อย่าทำมันหายก็แล้วกัน!”


 


ชายแก่พูดเตือนขณะที่โยนศิลาขาวออกมา


 


แต่ก่อนที่ซือหยูจะคว้าศิลาขาว เสียงอันเย็นชาก็ดังมาจากด้านข้าง


 


“เดี๋ยวก่อน!”


 


ชายแก่หันหน้าไปมองและพบว่าเป็นเสียงของหวงฉีซาน ชายแก่เห็นดังนั้นจึงแสดงความนับถือ


 


ชายแก่มีพลังอำมฤตระดับหนึ่ง แต่หวงฉีซานมีพลังอำมฤตระดับสองขั้นสูง!


 


ว่ากันว่าเขาเคยเป็นเจ้าสำนักแห่งหนึ่งในพันธมิตรร้อยดินแดน


 


แต่เพราะว่าเขานั้นป่าเืถ่อนและสังหารคนมานับไม่ถ้วน เขาได้ทำได้ขุมกำลังโดยรอบโกรธแค้น ดังนั้นขุมกำลังเหล่านั้นจึงร่วมมือทำลายสำนักของเขา


 


สำนักของเขาถูกล้างสังหารสิ้น เหลือแค่เขาที่ต่อสู้และรอดกลับมาคนเดียว เขาหนีมาที่เมืองอันยี่ ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่เคยออกจากเมืองอันยี่อีกเลย


 


เขามีชื่อเสียงที่ดีในเมืองอันยี่


 


เขาเข้าร่วมการล่าสัตว์อสูรครั้งนี้และกำลังหาคนร่วมทีม


 


ซือหยูนั้นเป็นอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง เขาทั้ง ‘โง่เขลา’ ‘อ่อนวัย’ และ ‘ไร้ประสบการณ์’ ดังนั้นซือหยูจึงเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด


 


“เจ้ามีปัญหาอันใดรึ?”


 


ชายแก่ถาม


 


หวงฉีซานชี้นิ้วไปที่ซือหยู


 


“เขาไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการล่าครั้งนี้ ข้าแนะนำให้เจ้าปฏิเสธเขาซะ!”


 


ชายแก่เริ่มไม่พอใจ เขาที่เป็นแค่คนนอกกล้าเข้ามายุ่งกับธุระของตระกูลตู่งั้นรึ?


 


ในสถานการณ์ปกติ หวงฉีซานคงจะถูกสั่งสอนไปแล้ว!


 


แต่ในตอนนี้ ตระกูลตู่ต้องการคนให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ และหวงฉีซานก็ยังเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง ชายแก่จะไม่สนใจเขาได้อย่างไร?


 


“ฮ่าๆๆ พลังของเขาแข็งแกร่งนัก เขาจะไม่เหมาะสมได้ยังไงกัน?”


 


ชายแก่ยิ้ม


 


หวงฉีซานพูดเบาๆ


 


“แข็งแกร่งงั้นรึ? มันก็แค่อำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง ตอนที่คลื่นสัตว์อสูรมา เขาจะเป็นคนที่ตายคนแรก!”


 


“แต่เขาจะตายไปคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาไปทำให้ยอดฝีมือคนอื่นที่อยู่ใกล้ลำบากไปด้วยเล่า? เขาจะไม่สร้างปัญหาให้ตัวเองกับคนรอบข้างหรอกรึ? ข้ายืนยันให้เจ้าปฏิเสธเขาซะ!”


 


ชายแก่โกรธขึ้นเล็กน้อย เขาให้เวลาและความนับถือกับหวงฉีซานเกินไปแล้ว


 


แต่หวงฉีซานก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ควรจะรามือ


 


ชายแก่พูดอย่างเย็นชา


 


“แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะ?”


 


หวงฉีซานหัวเราะ


 


“เช่นนั้นข้าก็ต้องขออภัย เพื่อความปลอดภัยของข้าเอง ข้าจะไม่ร่วมในการล่านี้!”


 


ปั้ง–


 


หวงฉีซานวางศิลาขาวลงบนโต๊ะเสียงดัง


 


“ถ้าเขาได้ไป ข้าก็จะไม่เข้าร่วม เจ้าเลือกเอาก็แล้วกัน!”


 


ทุกคนมองหน้ากันด้วยแววตาว่างเปล่า หวงฉีซานเป็นบ้าไปแล้วรึ? เขาต้องทำถึงขั้นนี้เชียวรึ?


 


ชายแก่ตัวแข็งทื่อ เขากลับมาได้สติและคิดชิงชังหวงฉีซานจนกัดฟันแน่น เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะผ่านมันไปได้ยังไง?


 


“เจ้าแน่ใจรึ?”


 


ชายแก่กัดฟันพูด


 


หวงฉีซานพยักหน้า


 


“ใช่แล้ว เจ้าอยากได้เขาหรือข้า? สองคน เจ้าเลือกมาหนึ่ง!”


 


ชายแก่ชักสีหน้า หลังจากครุ่นคิดเขาก็พยักหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“เข้าใจแล้ว! ถ้าเช่นนี้ถ้าก็จะทำอย่างที่เจ้าว่า!”


 


พรึ่บ–


 


เหล่าผู้คนงุนงงเมื่อชายแก่เริ่มจริงจังและหยิบศิลาขาวของหวงฉีซานกลับไป


 


จากนั้นก็ตามมาด้วยหวงฉีซานที่ตัวแข็งทื่อ


 


“จะ..เจ้า…เลือกเขารึ?”


 


หวงฉีซานมิอาจยอมรับความจริงตรงหน้า


 


ชายแก่เหลือบตามองเขาจากด้านข้างและโยนศิลาขาวให้กับซือหยู


 


“ข้าหวังว่าเจ้าจะพยายามเต็มที่นะ”


 


ซือหยูพยักหน้าอย่างเรียบเฉย เขาเดินจากไปและรอวันที่คลื่นสัตว์อสูรจะมา


 


“เดี๋ยวก่อน! เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”


 


แต่หวงฉีซานจะยอมรับชะตาเช่นนี้ได้งั้นรึ?


 


หวงฉีซานที่โดนเยาะเย้ยซึ่งหน้าบินไปด้วยความโกรธจากความอับอาย


 


“เจ้ามีอะไรรึ?”


 


ซือหยูถาม


 


หวงฉีซานพูดอย่างไม่พอใจ


 


“ทำไมเจ้าเลือกเขาแต่ไม่เลือกข้าเล่า?”


 


ชายแก่ตากระตุก


 


“ฮ่าๆๆ ง่ายดายนัก ก็เจ้าอ่อนแอกว่าเขา!”


 


“ข้าน่ะรึอ่อนแอกว่า?”


 


หวงฉีซานลืมตากว้างจนแทบจะถลนออกมา


 


“ไอ้เฒ่า เจ้าตาบอดเรอะ? ข้าจะไปต่ำต้อยกว่าไอ้ขยะเช่นนั้นได้ยังไง?”


 


ชายแก่หน้าตึง เขาพูดยืนยันคำเดิม


 


“ข้าแนะนำให้เจ้าระวังคำพูดไว้ให้ดี ลิ้นเจ้าอาจจะขาดได้”


 


ชายหนุ่มผมสีเงินผู้นี้คือเจ้าตำหนักหยินหยู!


 


ทั้งฐานะและพลัง ทั้งหมดล้วนเหนือกว่าหวงฉีซาน


 


“เขารึ? ฮ่าๆๆ ข้าอยากจะรู้นักว่ามันจะเก่งแค่ไหนกัน”


 


หวงฉีซานก้าวไปคว้าคอเสื้อของซือหยู


 


“เด็กเหลือขออย่างเจ้าที่มองข้ามคนแข็งแกร่งแม้จะอ่อนแอยังมีหน้ามาเข้าร่วมการล่าสัตว์อสูรอีกรึ?”


 


“ข้าจะชี้แนะเจ้าถึงวิธีการเคารพผู้คน!”


 


กรงเล็บของเขาพุ่งเข้าหาซือหยูอย่างป่าเถื่อน แต่ซือหยูไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ


 


เมื่อหวงฉีซานกำลังจะได้ตัวซือหยู ซือหยูก็ยื่นดัชนีออกมาอย่างง่ายดาย


 


ฟึ่บ–


 


อัสนีม่วงคำรามลั่น หวงฉีซานที่ร่างกายกำยำกระเด็นลอยออกไปร้อยเมตรชนกับกำแพง จากนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมา


 


สีหน้าของเขาตกตะลึง


 


“เจ้ามัน….”


 


ถ้าหากเป็นในครั้งอดีต วิชาอัสนีระดับอำมฤตนั้นไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก


 


แต่ในเร็วๆนี้มันคือตัวแทนของคนคนหนึ่ง!


 


“ฮ่าๆๆๆ โง่เขลานัก เจ้านั่นกล้าที่จะสั่นสอนคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองยังจำเจ้าตำหนักหยินหยูไม่ได้เลย!”


 


“น่าขันสิ่นดี! ยังมีคนกล้าโยนตัวเข้าไปหาเจ้าตำหนักหยินหยูด้วยตัวเอง…มันไม่อยากใช้ชีวิตต่อแล้วงั้นรึ?”


 


กลุ่มยอดฝีมือแอบมองการแสดงตลกและพากันหัวเราะออกมา


 


ไม่ได้ทุกคนที่เข้าร่วมงานประมูลในวันนั้นจะออกจากเมืองอันยี่ แค่ปราดเดียวพวกเขาก็เห็นได้ทันทีว่าคนที่หวงฉีซานกำลังหาเรื่องคือเจ้าตำหนักหยินหยู


 


ตู่หมิงฮั่วที่เป็นผู้จัดงานประมูลแทบจะโดนซือยหูสังหารด้วยดัชนีเดียว


 


เกาคังเองก็ไม่ต่างกัน เขาเกือบจะถูกส่งไปโลกหน้า


 


ทั้งสองเป็นอำมฤตระดับสองขั้นสูงไม่ต่างกับหวงฉีซาน


 


ดังนั้นพวกเขาจึงบอกได้เลยว่าชะตาเช่นใดที่รอคอยหวงฉีซานอยู่


 


ชายแก่ที่ทำหน้าที่บันทึกรายชื่อยิ้มเยาะ เขาจงใจไม่พูดชื่อเจ้าตำหนักหยินหยูเพราะคิดว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดี


 


“อ…อะไรนะ? เจ้าคือเจ้าตำหนักหยินหยูรึ?”


 


หวงฉีซานอ้าปากค้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัว


 


ซือหยูมองเขาอย่างเรียบเฉย เขาเกียจคร้านเกินกว่าจะมายุ่งกับคนเช่นนี้ เขาหันหลังและจากไป


 


ทุกคนมองหวงฉีซานราวกับตัวตลก หวงฉีซานเดินออกจากโถงอย่างหม่นหมอง แต่เขาก็ไม่ได้ไปไหนไกลนัก เขาเดินไปที่ทางใกล้ๆด้วยใบหน้าโกรธแค้น


 


“ไอ้เฒ่า เจ้าจะฆ่าข้างั้นรึ? เจ้ารู้ว่านั่นเป็นเจ้าตำหนักหยินหยูแล้วทำไมถึงไม่บอกข้า? ถ้าข้ารู้ว่าเป็นเขาข้าจะยอมรับที่จะทดสอบพลังของเขางั้นรึ?”


 


หวงฉีซานชี้หน้าชายแก่ที่เร้นกายอยู่ในความืด เขาตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว


 


ชายแก่พูดอย่างเรียบเฉย


 


“ถ้ามันทำร้ายเจ้าได้ก็แสดงว่าพลังของมันอยู่ที่ขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นต้น นั่นก็ดี ข้าจะได้ฆ่ามันได้ด้วยตัวเอง!”


 


หวงฉีซานโกรธแค้น


 


“ไอ้กาเฒ่า เจ้าฟังที่ข้าพูดอยู่หรือไม่?”


 


“เพื่อทดสอบพลัง ข้าจงใจไปหาเรื่อง ข้าไม่ได้แค่โดนเยาะเย้ย ข้ายังเกือบถูกฆ่า ข้าไม่สนใจแล้ว ข้าต้องการสิ่งตอบแทนเป็นสองเท่า!”


 


ชายแก่ในเงามืดพยักหน้าช้าๆ


 


“ไม่มีปัญหา วันนี้ในปีหน้า ข้าจะผลาญเงินให้เจ้าเป็นสองเท่า”


 


ฟึ่บ–


 


รูโลหิตปรากฏขึ้นบนหน้าผากหวงฉีซานโดยที่เขาไม่ทันเห็นการเคลื่อนไหวของชายแก่ เขาตายทันที!


 


“ประการแรก ข้าไม่ชอบคนที่มาต่อรองกับข้า! อย่างที่สอง คนไร้ค่าก็สมควรถูกละทิ้ง!”


 


ชายแก่ยืนมือไพล่หลัง เขาเดินลึกเข้าไปในซอยเล็กๆ


 


หกสิบลี้ห่างออกใน ในหมู่เมฆาบนนภา ซือหยูลอยมือไพล่หลังอยู่เบื้องบน เขาเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในซอยเล็กๆนั้น


 


เมื่อเขาคิดถึงหวงฉีซานที่เข้ามาหาเรื่องอย่างไร้เหตุผลโดยใช้ข้ออ้างน่าขันในการสู้กับซือหยูเช่นนั้น…


 


คนที่เคยเป็นเจ้าสำนักมาก่อนจะทำเช่นนั้นรึ?


 


จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องเช่นนี้ หลังจากที่ซือหยูไป เขาก็หาที่ซ่อนจากระยะไกลและสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นทันที


 


อย่างที่เขาคิด มีคนบงการเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง!


 


ซือหยูเบิกตากว้าง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา


 


“เจ้าเองรึ! ไอ้กาเฒ่านั่นยังไม่ตาย!”

 

 

 


ตอนที่ 332

 

เขาคือผู้ตรวจการไป่ฮี คนที่อยากให้ซือหยูตาย!


 


เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าตำหนักหลิงละฆ่าเขาไม่ตายหลังจากที่ใช้สมบัติเทพที่มีพลังมหาศาลเช่นนั้น


 


แม้ว่าซือหยูจะข่มจิตสังหารเอาไว้ แววตาของเขาก็เย็นยะเยือก


 


พลังของเขาในตอนนี้ยังคงไม่พอ


 


แม้ว่าฐานพลังของผู้ตรวจการไป่ฮีจะลดลงมาเหลืออำมฤตระดับสามขั้นสูง เขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าซือหยูมาก


 


“ไอ้แก่ ถึงเจ้าจะรอดมาได้แต่ก็ยังไม่เลิกวุ่นวายกับข้าอีกรึ? ข้าจะจำเอาไว้!”


 


ซือหยูคำราม


 


ปี๊ํด—


 


เสียงดังขึ้น เป็นเสียงสัญญาณให้คนรวมตัวกัน


 


คนกลุ่มใหญ่บินมารวมตัวกันที่ประตูทิศตะวันออก


 


ซือหยูใช้พลังดวงตามองสถานการณ์ที่นอกเมือง สีหน้าของเขาหม่นหมอง


 


ที่ชายเขตของป่าทมิฬ เหล่าสัตว์อสูรที่ขนาดและฐานพลังต่างกันกำลังมุ่งหน้ามาทางเมืองอันยี่ราวกับคลื่นวารีทมิฬ พวกมันเป็นดั่งภูติผีหิวโหยที่พุ่งเข้ามาล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์


 


แต่ที่ทำให้ซือหยูต้องเบิกตากว้างก็คือกลุ่มมนุษย์ที่หนีออกจากป่าทมิฬ พวกคนเหล่านั้นคือนักสู้ที่ได้สมัครในการล่าสัตว์อสูร พวกเขาพยายามล่าสัตว์อสูรเล็กๆก่อนที่คลื่นสัตว์อสูรจะมาเพื่อรวบรวมคะแนน


 


พวกเขาหนีออกจากป่าด้วยความยากลำบาก เมื่อมีการจู่โจมจากคลื่นสัตว์อสูร พวกเขารีบพุ่งเข้าเมืองอันยี่เพื่อเอาตัวรอด แต่พวกเขาหนีมาได้ไม่ถึงสิบลี้ก็ถูกฝูงสัตว์อสูรเข้ากลืนกิน ไม่มีแม้แต่เวลาจะให้กรีดร้อง ซากศพของพวกเขาไม่มีหลงเหลือ


 


ที่บนกำแพงเมือง เหล่ายอดฝีมือหน้าซีด พวกเขามิอาจปิดบังความกลัวบนใบหน้าได้


 


“นั่นมันกลุ่มของหวางหยูติ้ง! พวกเขามีอำมฤตระดับสองขั้นต้นสองคนกับอำมฤตระดับหนึ่งอีกห้าคน!”


 


นักสู้คนหนึ่งตะโกน


 


พลังของสัตว์อสูรไม่แข็งแกร่งมากนัก มีแค่ไม่กี่ตัวที่อยู่ในขอบเขตอำมฤต ส่วนใหญ่พวกมันอยู่ในขอบเขตมังกร


 


แต่ด้วยความต่างมหาศาลในด้านจำนวน พวกเขาถูกรุมทึ้งโดยโต้ตอบไม่ได้เลยก่อนจะถูกสังหารโดยไม่เหลือแม้แต่ซาก


 


พลังของคนคนเดียวนั้นไม่เพียงพอเมื่ออยู่ต่อหน้าคลื่นสัตว์อสูร ทั้งขอบนภาเต็มไปด้วยคลื่นทมิฬที่ถาโถมเข้าในเมืองอันยี่ดั่งคลื่นยักษ์


 


บรรยากาศในเมืองตึงเครียด นักสู้หลายคนเริ่มไม่สบายใจ พวกเขาเสียใจที่สมัครเข้าล่าครั้งนี้ มีคนที่คิดแบบนี้ไม่น้อยเลย


 


“เหล่านักสู้ในเมืองจงฟัง! ถ้าพวกเจ้ายอมรับการล่าครั้งนี้ พวกเจ้าก็มีอิสระในการสังหารสัตว์อสูรทุกตัวที่ต้องการ เจ้าห้ามหนีไปไหน อย่าให้เกิดช่องว่างในการป้องกัน!”


 


“พวกเจ้าจะต้องคอยดูกันและกัน เจ้าจะฆ่าคนที่พยายามหนีไปก็ได้ ตระกูลตู่จะส่งผู้ตรวจสอบมาลาดตระเวณรอบๆ ใครที่กล้าหนีจะถูกสังหารทันที!”


 


คำพูดที่มีจิตสังหารเหล่านี้ดังมาจากที่ลับในเมือง


 


“นี่มันเสียงเจ้าตระกูลตู่นี่! ดีล่ะ ในที่สุดเขาก็แสดงตัวออกมาเสียที!”


 


กลุ่มนักรบตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงยอดฝีมือที่แกร่งที่สุดในเมืองอันยี่…ตู่เซี่ย!


 


ฐานพลังของเขาอยู่ที่อำมฤตระดับห้า พลังของเขาน่าครั่นคร้าม มีคนไม่มากนักในทวีปนี้ที่จะเผชิญหน้ากับเขาได้


 


ตัวตนของเขาทำให้เหล่านักสู้เกิดกำลังใจ พวกเขามั่นใจยิ่งขึ้น


 


“ฆ่ามัน!”


 


ตู่เซี่ยคำรามลั่น เขาส่งคลื่นพลังวิญญาณทะลวงไปทางคลื่นสัตว์อสูร!


 


ครืน—-


 


แรงระเบิดจากพลังวิญญาณทำให้เกิดควันเมฆารูปลักษณ์คล้ายเห็ดสูงใหญ่ จากนั้นก็มีพิรุณทมิฬของซากเนื้อสัตว์อสูรตกลงมา


 


เขาทำให้สัตว์อสูรนับร้อยกลายเป็นฝุ่นผงในคราเดียว!


 


ซือหยูเบิกตากว้าง!


 


นี่คือพลังของอำมฤตระดับห้างั้นรึ? ในขอบเขตอำมฤตนั้นมีระดับพลังเพียงห้าระดับ


 


เจ้าเมืองอันยี่ ตู่เซี่ยนได้ไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตอำมฤต! อีกไม่นานเขาจะได้ไปยังขอบเขตลึกลับที่ไม่มีใครรู้จัก!


 


ในขณะเดียวกันซือหยูก็คิดถึงหัวหน้าโจรสลัดวารีทมิฬผู้ลึกลับ พลังของเขาเทียบได้กับตู่เซี่ย!


 


เขารู้สึกโชคดีมากที่รอดพ้นมาจากศัตรูที่น่ากลัวเช่นนั้นได้


 


พลังโจมตีนี้ทำให้เผ่ามนุษย์ตกตะลึง น่ากลัวเกินไปแล้ว! ตู่เซี่ยผู้เป็นตำนานตระกูลตู่น่ากลัวเพียงใดกัน?


 


และในขณะเดียวกัน พลังของเขาก็ทำให้เผ่ามนุษย์เกิดแรงใจขึ้นมาก! แม้แต่ซือหยูก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาก


 


“ฆ่ามัน!”


 


เสียงตะโกนดังเพิ่มขึ้นในหมู่ผู้คน เหล่ามนุษย์พุ่งออกจากเมืองไปหาเหล่าสัตว์อสูร


 


ซือหยูยืนอยู่บนกำแพงเมือง เขาใช้พลังดวงตามองสิ่งรอบข้าง แม้จะมีสัตว์อสูรมากมายตรงหน้าเขา แต่พลังของพวกมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งนัก


 


ซือหยูอยากจะฆ่าสัตว์อสูรที่มีพลังอย่างน้อยระดับสาม ถ้าหากทำได้ เขาจะเก็บแสนคะแนนเพื่อไปรับคะแนนจากตระกูลตู่!


 


แต่สัตว์อสูรในขอบเขตอำมฤตนั้นหายากอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงพวกอำมฤตระดับสามเลย! ทุกครั้งที่สัตว์อสูรขอบเขตอำมฤตปรากฏตัว กลุ่มนักสู้ก็จะกรูเข้าไปสังหารมัน


 


โฮก—


 


ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามลั่นดังมาจากภายในป่าทมิฬ


 


เมื่อมองออกไปจะเห็นสัตว์อสูรที่บินได้พุ่งเข้ามาจากขอบนภา!


 


สีหน้าของนักสู้ในเมืองเปลี่ยนไป พวกสัตว์อสูรที่บินได้นั้นมีเพียงยี่สิบตัวแต่ตัวที่อ่อนแอสุดนั้นอยู่ในขอบเขตอำมฤตระดับหนึ่ง และยังมีอำมฤตระดับสองอีกห้าตัว ส่วนจ่าฝูงที่มีพลังสูงที่สุดนั้นอยู่ในขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นต้น!


 


อำมฤตระดับสองหนึ่งตัวจะมีค่าหนึ่งพันคะแนน ห้าตัวจะได้ห้าพันคะแนน!


 


แต่ที่มีค่ามากที่สุดคือสัตว์อสูรระดับสาม มันมีค่าหมื่นคะแนน!


 


ซือหยูสีหน้าเปลี่ยนไป เขาไม่ลังเลและหายตัวไปจากที่เดิมทันที


 


ผ่านไปไม่นานนักคนอื่นก็สังเกตเห็นถึงสัตว์อสูรที่บินเข้ามา!


 


“อำมฤตระดับสาม!”


 


เหล่านักสู้ตะโกน


 


สัตว์อสูรระดับสามนั้นจะแลกตำราระดับอำมฤตได้ทั้งเล่ม! และมันยังอยู่ในขั้นต้น! พวกเขาจะยอมพลาดโอกาสครั้งใหญ่นี้ไปได้อย่างไร?


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


นักสู้พันคนพุ่งไปหาสัตว์อสูรทันที ในพันคนนั้นเต็มไปด้วยอำมฤตระดับสาม! แต่พวกเขาช้ากว่าซือหยูไปหนึ่งก้าว เมื่อพวกเขาอยู่ไกลสามสิบลี้ ซือหยูก็พุ่งเข้าไปถึงเหล่าสัตว์อสูรแล้ว


 


“วิบัติอัสนีเยือกแข็ง!”


 


ซือหยูชี้ดัชนีไปที่นภาพร้อมกับมังกรม่วงที่ร้องคำราม


 


เหล่าสัตว์อสูรกรีดร้องระงม อำมฤตระดับหนึ่งสิบตัวกลายเป็นฝุ่นผง และในเวลาเดียวกัน สายอัสนีที่พุ่งลงมาก็ตรงเข้าสังหารสัตว์อสูรอำมฤตระดับหนึ่งอีกสี่ตัว


 


ในตอนนี้ สัตว์อสูรอำมฤตระดับหนึ่งทั้งสิบสี่ตัวถูกซือหยูสังหาร ทำให้เขาได้คะแนนหนึ่งพันสี่ร้อยคะแนน!


 


“ดัชนีสายฟ้าดารา!”


 


แต่ซือหยูก็ยังไม่หยุด เขาหันไปฆ่าสัตว์อสูรอีกหกตัวที่บินหนีด้วยความกลัว


 


สัตว์อสูรขอบเขตอำมฤตห้าตัวนั้นช้ากว่าและหนีไม่ทัน แต่พวกอำมฤตระดับสามนั้นมีฐานพลังที่เหนือกว่า การเคลื่อนไหวของพวกมันเร็วกว่าซือหยู


 


เพียงครู่เดียวมันก็หนีไปได้สามสิบลี้! เมื่อเห็นพวกมันที่จะหนีไปได้ซือหยูก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ตาข้างซ้ายเปล่งแสงสีแดง


 


“ยักย้ายพื้นที่!”


 


พรึ่บ–


 


สัตว์อสูรอำมฤตระดับสามที่บินหนีอย่างรวดเร็วถูกมิติดึงกลับมา พวกมันอยู่ไม่ไกลจากซือหยู!


 


ฟึ่บ–


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายมันก็อ้าปากส่งคลื่นเสียงทำลายล้างออกมา ด้วยระยะที่ใกล้เช่นนี้ทำให้ซือหยูป้องกันตัวเองไม่ได้


 


เปรี้ยง–


 


เอาใช้ดัชนีสายฟ้าดารา พลังระเบิดทำลายพลังจากคลื่นเสียงไปกว่าครึ่ง แต่พลังที่สะท้อนกลับมาก็ทำให้ซือหยูเนื้อเต้น เขาถอยกลับมาหลายก้าว!


 


พลังของดัชนีสายฟ้าดารานั้นเพียงพอที่จะรับมือกับยอดฝีมือในขอบเขตอำมฤตระดับสองขั้นสูง แต่ไม่มีทางที่จะจัดการกับระดับสาม! ซือหยูหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมคลื่นเสียงทำลายล้างในปาก เขาต้องการจะใช้อรหันต์แปดอักษรเพื่อสังหารสัตว์อสูรตัวนี้


 


แต่ก่อนที่เขาจะได้ลงมือ เสียงหัวเราะอย่างโหดร้ายที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น


 


“หึหึ ขออภัยที่รบกวนเจ้าตำหนักหยินหยู ทิ้งที่เหลือให้ข้าได้หรือไม่ ข้าเหมาะสมยิ่งกว่าที่จะจัดการสัตว์อสูรนั่น!”


 


“เจ้ามองดูอยู่ข้างๆเถอะ”


 


เขาคือนายน้อยตระกูลตู่ที่ไล่ตามมา! เขามาถึงเร็วกว่าคนที่เหลือ เขามาทันเวลาที่ซือหยูยักย้ายสัตว์อสูรกลับมาพอดี!


 


“นี่เจ้า!”


 


ซือหยูสีหน้าเย็นชา เขาปล่อยจิตสังหารออกมา!

 

 

 


ตอนที่ 333

 

“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าเราอยู่ในอาณาจักรทมิฬงั้นรึ? ถ้าไม่ใช่เพราะตำแหน่ง เจ้าก็ได้แค่ร้องไห้ทั้งน้ำตา…”


 


นายน้อยตระกูลตู่หัวเราะและชี้ดัชนีไปทางจ่าฝูงสัตว์อสูร


 


ที่นี่คือเมืองอันยี่ ดินแดนของตระกูลตู่ สำหรับพวกเขา…แค่รองเจ้าตำหนักนั้นไม่ควรค่าแก่การพูดถึง


 


“อรหันต์แปดอักษร หลิน!”


 


ซือหยูตะโกนเบาๆ


 


โฮก—


 


เสียงคำรามลั่นสั่นคลอนพลังวิญญาณจากทั้งจักรวาลส่งพลังอันยิ่งใหญ่มาจากสวรรค์


 


นายน้อยตระกูลตู่ที่กำลังจะโจมตีหัวหน้าฝูงสัตว์อสูรหยุดนิ่ง ร่างของเขาแข็งทื่อ


 


“เจ้า…”


 


หลังจากที่ซือหยูได้เป็นอำมฤตระดับสองขั้นกลาง แม้ว่านั่นจะเป็นวิชาระดับตำนานแบบเดิม พลังของมันก็ยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก


 


ครืน—


 


ครืน—


 


คลื่นเสียงโอบล้อมทุกทิศทาง คลื่นพลังวิญญาณพุ่งทะลวงออกไป


 


พลังนั้นยิ่งใหญ่ราวกับจะทำให้แผ่นดินถล่ม


 


นายน้อยตระกูลตู่เบิกตากว้าง เจ้าตำหนักหยินหยูมีพลังระดับนี้แล้ว!


 


“อาวุธจักรพรรดิ!”


 


เขาตะโกนเสียงดัง ร่างของเขาเปล่งแสงสีมรกตพร้อมกับกระบี่เก้าเล่มที่ออกมาจากร่างกาย!


 


ที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือกระบี่ทุกเล่มนั้นเป็นสมบัติเทพระดับต่ำ!


 


มีสมบัติเทพเก้าชิ้น และมันยังถูกควบคุมโดยนายน้อยตระกูลตู่อย่างง่ายดาย!


 


สมกับที่เป็นคนตระกูลตู่ เขาครอบครองสมบัติเทพเก้าชิ้นที่ยอมรับเขาเป็นเจ้าของ!


 


เมื่อดูจากฐานพลัง ไม่มีใครที่ฐานพลังเทียบเท่าจะเอาชนะเขาได้!


 


กระบี่ทั้งเก้าล่องหนหายไป


 


ฟึ่บ–


 


ทันใดนั้นกระบี่ก็พุ่งเข้าไปตัดคลื่นเสียงที่สาดเต็มนภา


 


จากนั้นกระบี่อีกแปดเล่มก็ทำตามกัน คลื่นเสียงถูกหั่นเป็นชิ้นๆ


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


กระบี่ทั้งเก้ากลับมา นายน้อยตระกูลตู่สีหน้าเคร่งเครียด


 


แม้เขาจะขจัดพลังของซือหยูได้สำเร็จ เขาก็มิอาจเชื่อว่าหลังผ่านไปครึ่งเดือน เจ้าตำหนักหยินหยูที่บาดเจ็บสาหัสในตอนนั้นจะมีพลังเทียบเท่ากับเขา!


 


ความจริงเช่นนี้ทำให้เขาตกตะลึงอย่างมาก


 


รองเจ้าตำหนักที่เขาดูถูกมาตลอดกลับมีพลังเทียบเท่าเขา!


 


แววตาซือหยูเยือกเย็น


 


“ถ้าเจ้าอยากจะได้คะแนน เจ้าก็ต้องผ่านข้าไปก่อน!”


 


สัตว์อสูรที่ชาญฉลาดใช้จังหวะที่ทั้งสองสู้กันรีบบินหนีอย่างบ้าคลั่งและหายไปในขอบนภา


 


ไม่มีใครได้เหยื่อเลย!


 


นายน้อยตระกูลตู่จ้องมองสัตว์อสูรที่จากไปไกล สีหน้าของเขาหม่นหมอง


 


คะแนนที่กำลังจะเป็นของเขาถูกคนอื่นชิงเอาไป!


 


เขาที่เป็นนายน้อยของตระกูล ทุกสิ่งในตระกูลจะเป็นของเขาในอนาคต ดังนั้นคะแนนจึงไม่สำคัญนัก


 


แต่เรื่องสำคัญคือนายน้อยคนก่อนกลับมาแล้ว นั่นทำให้คนในตระกูลเริ่มมีปากเสียง


 


ถ้าเขาไม่ทำให้คนในตระกูลหวาดกลัวโดยเร็ว…ต่อไปจะต้องเกิดปัญหาแน่


 


ดังนั้นเขาจึงใช้คลื่นสัตว์อสูรครั้งนี้ในการแสดงพลังและคว้าเอาความเชื่อใจมาจากคนในตระกูล


 


ถ้าเขาได้คะแนนเป็นที่หนึ่งเหนือว่ายอดฝีมือทั้งหมด ใครกันจะมาแย่งตำแหน่งนายน้อยไปจากเขาได้


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู! ให้ข้าชี้แนะเจ้าสักหน่อย อย่ามายุ่งเรื่องของข้าเลย ไม่งั้น…”


 


แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


 


ฮั่วฉีหลานกับฉีหยุนเซี่ยงกลับไปแล้ว ถ้าเจ้าตำหนักหยินหยูตายในเมืองอันยี่ก็ยากที่ตระกูลตู่จะอ้างว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง


 


ครั้งนี้ หากอาณาจักรทมิฬถามว่าใครเป็นฝ่ายผิดก็ยากที่ตระกูลตู่จะรับความรับผิดชอบได้ไหม


 


อย่างน้อยในเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการต่อสู้กับอาณาจักรทมิฬอย่างเปิดเผย


 


ซือหยูกลับหัวเราะ


 


“ใครกันที่มายุ่งเรื่องของข้าก่อน? พอมาถึงคราวเจ้า เจ้าก็กลับขู่ไม่ให้คนอื่นมายุ่งงั้นรึ? ขออภัย ข้าจะต้องข้องแวะกับเรื่องของเจ้าแน่นอน!”


 


“เจ้าก็ควรจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะต้องหยุด!”


 


นายน้อยตระกูลตู่โกรธเกรี้ยว เขาโศกเศร้าเล็กน้อยที่เคยหาเรื่องซือหยูเมื่อเร็วๆนี้


 


โฮก—-


 


ในตอนนั้นเอง เสียงแหลมดังมาจากท้องนภาห่างไกล


 


สัตว์อสูรระดับสามสามตัว!


 


หนึ่งในนั้นเป็นวิหคที่หนีไปเมื่อครู่ อีกสองตัวคือตัวที่มาช่วย!


 


หนึ่งตัวเป็นอำมฤตระดับสามขั้นต้น ส่วนอีกตัวเป็นระดับสามขั้นกลาง!


 


นายน้อยตระกูลตู่สีหน้าเปลี่ยนไป แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข


 


สัตว์อสูรอำมฤตระดับสามนั้นหายากมาก! แต่ทั้งสามตัวก็มาปรากฏที่ตรงหน้าเขาราวกับเตรียมเอาไว้!


 


เพราะอย่างไรพลังของสัตว์อสูรทั้งสามก็ยังอยู่ในระดับที่เขารับมือได้


 


แต่ซือหยูนั้นตอบสนองเร็วยิ่งกว่า เมื่อเสียงร้องคำรามดังขึ้นเขาก็ใช้พลังดวงตา จากนั้นจึงไล่ล่าพวกมันทันที


 


นายน้อยตระกูลตู่สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย เขากัดฟันและไล่ตาม


 


“เจ้าไม่คู่ควรที่จะเอาคะแนนของข้าไปหรอก!”


 


แต่ซือหยูก็ไม่สนใจและเข้าใกล้เหล่าวิหคด้วยความเร็ว


 


แต่น่าเสียดายที่นายน้อยตระกูลตู่มีฐานพลังเหนือกว่าซือหยู ด้วยพลังวิญญาณที่น่ากลัว เขาเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า


 


นายน้อยตระกูลตู่ยิ้มเยาะ


 


“ดูเหมือนเจ้าจะต้องบ่มเพาะวิชาเคลื่อนไหวใหม่ซะแล้ว ถ้าอยากจะตามข้าทัน!”


 


ซือหยูนิ่งเงียบ ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาดีใจหรือโกรธแค้น เขาไล่ล่าวิหคทั้งสามต่อไปด้วยความเร็วสูงสุดอย่างเคย


 


ฟึ่บ–


 


สุดท้ายซือหยูก็ตามนายน้อยตระกูลตู่ทันอย่างง่ายดาย


 


“ฮ่าๆๆ คะแนนของเจ้าเป็นของข้า คะแนนยังคงเป็นของข้า!”


 


นายน้อยตระกูลตู่หันมายิ้มเยาะ


 


ในตอนนี้เขาอยู่ห่างกับสัตว์อสูรแค่พันศอก!


 


ด้วยพลังเช่นนี้ ยังไงสัตว์อสูรทั้งสามก็ต้องเป็นของเขา


 


แต่ในตอนที่เขาหันกลับไปมอง…สีหน้าเขาก็เคร่งเครียด!


 


เงาของซือหยูไม่ได้อยู่ข้างหลังเขา!


 


ซือหยูที่ไล่ล่ามาไม่นานนี้กลับล่าถอยอย่างรวดเร็ว เขาถอยไปแล้วสามลี้!


 


เทียบกับตอนที่นายน้อยตระกูลตู่ไล่ตามเขา ซือหยูเร็วกว่าเดิมสามเท่า!


 


“ถ้าเจ้าอยากจะจัดการพวกมันนักข้าก็ไม่แข่งขันกับเจ้าดีกว่า”


 


ซือหยูที่ถอยไปไกลสิบลี้ยิ้มเยาะ


 


แย่แล้ว!


 


เขารู้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น


 


เหตุใดคนที่ไม่เคยยอมแพ้อย่างไร้เหตุผลอย่างหยินหยูถึงหนีไปเช่นนี้?


 


โฮก—-


 


ในตอนนั้น ที่สิบห้าลี้ห่างจากเขา พลังวิญญาณของจักรวาลสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง พลังความเยือกเย็นร่อนหล่นมาจากนภาดั่งทางช้างเผือก


 


แกร๊ก—-


 


ผืนปฐพีที่ถูกห่มโดยพลังความเย็นได้กลายเป็นน้ำแข็ง บุพผา ต้นไม้ แมลง มัจฉา วิหค และสัตว์ป่า และเหล่าสัตว์อสูรขอบเขตอำมฤตระดับสาม ทั้งหมดกลายเป็นน้ำแข็งโดยไม่มีโอกาสได้ขัดขืน


 


รูปปั้นวิหคยักษ์ปรากฏจากนภา มันตัวใหญ่นับหมื่นศอก


 


เมื่อสะบัดปีก พลังอันเยือกเย็นที่แช่แข็งจักรวาลได้ก็ถูกปลดปล่อย


 


แม้จะตอบสนองก็ยากที่จะหนีจากพลังนั้นได้ ร่างทั้งร่างของนายน้อยตระกูลตู่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ชีวิตของเขากำลังจะหมดไปด้วยความเร็วอันน่าใจหาย


 


ทั้งพลังและความสามารถในการควบคุมสมบัติเทพทั้งเก้า…ชีวิตของเขากำลังจะจบลงในพริบตา!


 


ยอดฝีมือที่ไล่สัตว์อสูรระดับสามหยุดไล่ล่าทันที แววตาเต็มไปด้วยความกลัว


 


“นั่นมัน…สัตว์อสูร..อำมฤตระดับสี่!”


 


อำมฤตระดับสี่!


 


ในทวีปแห่งนี้ อำมฤตระดับสี่นับว่าเป็นตำนาน


 


ที่ทวีปแห่งนี้มีน้อยคนนักที่จะประมือกับอำมฤตระดับสี่ได้!


 


ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ในคลื่นสัตว์อสูร ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังอำมฤตระดับสามขั้นสูง และนั่นคือขีดจำกัด


 


แต่ในครั้งนี้ ราชาสัตว์อสูรได้ปรากฏตัวขึ้น และตัวตนของมันอยู่ในขอบเขตอำมฤตระดับสี่!


 


ว่ากันว่าสัตว์อสูรที่สำเร็จขอบเขตอำมฤตระดับสี่จะมีสติปัญญาสูงส่ง และพลังของมันไม่ต่ำต้อยไปกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เลย


 


และยังว่ากันว่าเมื่อมันสำเร็จระดับนี้…มันจะพูดภาษามนุษย์ได้!


 


“อ๊าก! หนีเร็ว!”


 


เหล่ายอดฝีมือตะโกนร้อง ร่างกายของพวกเขาในตอนนี้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง


 


ต่อหน้าอำมฤตระดับสี่…ชะตาของพวกเขามีเพียงการถูกฆ่าเท่านั้น!


 


โฮก—-


 


วิหคน้ำแข็งบนนภาแสดงท่าทีเหยียดหยามราวกับมนุษย์ มันอ้าปากกรีดร้องเสียงแหลม


 


และเมื่อมันอ้าปาก พลังความเย็นก็ห่มทั้งฟ้าดินไปทุกทิศทาง!


 


ตลอดระยะสามสิบลี้ อุญหภูมินั้นเย็นกว่าเดิมเป็นสิบเท่า!


 


พลังวิญญาณของนักสู้ระดับต่ำมิอาจไหลเวียน พวกเขาเสียพลังในการบิน พวกเขาร่วงหล่นจากนภาและกรีดร้อง เพราะอย่างไรพวกเขาจะไม่ตกจนตาย แต่พวกเขาจะกลายเป็นอาหารของเหล่าสัตว์อสูร!


 


แค่ช่วงเวลาสั้นๆ มากกว่าร้อยคนเสียชีวิตลง! หลายคนบาดเจ็บ!


 


พลังที่น่ากลัวเช่นนี้ทำให้ยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ไร้จิตใจจะต่อสู้ พวกเขาล้มลงไปกับพื้น


 


ผนึกเพลิงเมฆาบนหน้าผากซือหยูเปล่งพลังอันเยือกเย็นมาคลุมร่างซือหยู


 


แม้กระนั้นซือหยูก็ยังรู้สึกหนาวเย็นอย่างมาก


 


“นี่คืออำมฤตระดับสี่รึ? เทียบกับระดับสาม นี่มันคนละขอบเขตกันเลย!”


 


ซือหยูตกใจ


 


แม้ความต่างระหว่างพลังจะมหาศาล แต่มันยังคงไม่สิ้นหวังไปเสียทั้งหมด


 


แต่อย่างไร พลังของระดับสามถึงห้าก็เหนือกว่ามนุษย์หลายต่อหลายคนแล้ว มันเทียบได้กับเทพเจ้า!


 


แล้วขอบเขตใดกันที่เหนือกว่าขอบเขตอำมฤต?


 


หรือจะเป็นขอบเขตของพระเจ้า?


 


ในตอนนั้น วิหคน้ำแข็งได้ก้มหัวมองเบื้องล่าง เมื่อมันเห็นนายน้อยตระกูลตู่ที่กำลังจะตาย มันก็แสดงใบหน้าเย้ยหยัน


 


เห็นได้ชัดเลยว่ามันวางกับดักเอาไว้!


 


วิหคอำมฤตระดับสามทั้งสามตัวคือกับดักในการหลอกล่อมนุษย์ที่มีพลังมหาศาลออกมา มันจะได้สังหารมนุษย์เหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย!


 


เมื่อซือหยูใช้พลังดวงตาเขาก็รับรู้ถึงตัวตนของราชาที่น่ากลัวตัวนี้


 


เพื่อที่จะล่อนายน้อยตระกูลตู่ออกไป ซือหยูแสร้งแข่งกับเขา นั่นทำให้เขาประมาทและพุ่งเข้าไปยังใจกลางระยะการซุ่มโจมตี


 


พลังชีวิตของเขาหายไปกว่าครึ่ง


 


“เป็นแค่สัตว์อสูรชั่วแต่กล้าทำเช่นนี้รึ!”


 


ในตอนนั้นเอง เสียงอันทรงพลังดังมาจากเมืองอันยี่


 


สิ่งที่ตามมากับเสียงคือพลังวิญญาณที่ก่อร่างยาวหมื่นศอก พลังวิญญาณนั้นเป็นดั่งศรคมกริบ มันทะลวงผืนนภากว้างใหญ่พุ่งตรงไปยังวิหคยักษ์น้ำแข็ง!


 


แววตาเย้ยหยันของมันได้เปลี่ยนไปทันที


 


มันกรีดร้องและหันหนี!


 


ปั้ง—


 


ครืน—


 


แต่ความเร็วของพลังวิญญาณนั้นเร็วเกินไป และพลังก็ยังมากเกินไปอีกด้วย!


 


แม้ว่ามันจะเป็นราชาสัตว์อสูร ร่างของมันก็ถูกพลังวิญญาณเจาะทะลวง โลหิตสีแก้วใสกระจายฉาบนภา สุดท้ายมันก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด


 


ร่างยักษ์ราวกับขุนเขาของมันตกไปที่ขอบนภา


 


เหล่ามนุษย์ที่หนีด้วยความกลัวอ้าปากค้าง!


 


แค่การโจมตีเดียวก็ทำให้ราชาสัตว์อสูรปางตายได้เชียวรึ?


 


และคนที่โจมตีก็ไม่ได้แสดงตัวออกมางั้นรึ?


 


ซือหยูเบิกตากว้าง หัวใจของเขาเต้นแรง!


 


นี่คืออำมฤตระดับห้างั้นรึ? การโจมตีของเขาทำให้ราชาอสูรระดับสี่ปางตายในทันที!


 


และที่น่าตกใจที่สุดคือคนที่โจมตีนั้นไม่ได้ใส่พลังอย่างเต็มที่!


 


โฮก—-


 


วิหคน้ำแข็งที่กำลังจะร่วงหล่นนั้นขัดขืน มันบินขึ้นสู่นภาอีกครั้งด้วยความยากลำบากและหนีไปไกลอย่างรวดเร็ว


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าจะรอดไปได้รึ?”


 


เสียงดังมาจากเมืองอันยี่


 


ฉั่วะ–


 


ภาพอันไม่มีวันลืมเกิดขึ้น!


 


ร่างของวิหคน้ำแข็งที่บินไปไกลหกสิบลี้ได้ระเบิดออก ราวกับว่าถุงน้ำที่อยู่ภายในระเบิดออกมาเพราะน้ำมากเกินไป มันระเบิดเป็นเสี่ยงและต ายลง!


 


พลังของเจ้าเมืองอันยี่น่ากลัวมาก!


 


ทุกคนขนลุกซู่


 


แม้ว่าจะมองไม่เห็น เขาก็สังหารคนที่อยู่ห่างออกไปสามสิบลี้ได้!


 


ถ้าเขามีจิตสังหาร สิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่เขามองก็คงต้องตกตาย!


 


แกร๊ก–


 


ในตอนนั้นเอง พลังความเย็นของนายน้อยตระกูลตูาได้หายไป หน้าของเขาซีดเผือด ร่างอันเย็นยะเยือกสลัดออกมาจากน้ำแข็ง


 


ก้อนพลังวิญญาณอันทรงพลังพุ่งออกจากเมือง มันโอบล้อมนายน้อยตระกูลตู่และพาเขากลับมา


 


ทุกคนมิอาจใจเย็นได้เลยแม้จะผ่านไปนาน


 


พลังของเจ้าตระกูลตู่ที่เป็นเจ้าเมืองอันยี่นั้นน่ากลัวเกินไป!


 


เขาเป็นมนุษย์จริงๆงั้นรึ?


 


ในตอนนั้น สายตาคมกริบมองไปยังที่ที่หนึ่ง


 


ไม่ว่าจะมองไปทางไหน นภาก็สั่นสะเทือนไปพร้อมกับพลังวิญญาณ


 


แค่การมองก็เกิดพลังมหาศาลเช่นนี้ นี่มันพลังอะไรกัน?


 


แววตาคู่นั้นจับจ้องมายังซือหยู!


 


เสียงแหบพร่าดังมาจากในเมือง


 


“วางแผนทำร้ายนายน้อยตระกูลตู่ เจ้ายังเห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่…เจ้าตำหนักหยินหยู?”


 


ทุกสิ่งเงียบลงในทันที


 


ทุกคนกลั้นหายใจและไม่กล้าที่จะหายใจเสียงดัง


 


คลื่นสัตว์อสูรหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วครู่!

 

 

 


ตอนที่ 334

 

คลื่นจิตสังหารพุ่งเข้าใส่ซือหยู


 


พลังนั้นยิ่งใหญ่มหาศาล มากพอที่จะสังหารซือหยูได้ตามใจนึก


 


เหล่านักสู้ที่กำลังล่าสัตว์อสูรไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ พวกเขามองซือหยูที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าหม่นหมอง


 


หลายคนกังวลกับสิ่งที่ซือหยูต้องเจอ


 


แต่น่าประหลาดที่ซือหยูยังคงใจเย็น เขาหันไปมองที่กลางเมือง


 


“ถ้าเจ้าเห็นทุกอย่างตั้งแต่เริ่ม ทำไมเจ้าไม่ปรากฏตัวออกมาให้เร็วกว่านี้เล่า?”


 


“ทำไมเจ้าไม่พูดตอนที่เขาพยายามจะขโมยคะแนนของข้าตอนที่ข้าไม่ทันได้เตรียมตัวกัน? ทำไมไม่พูดว่าเขาพยายามจะทำร้ายข้า? เจ้าที่เป็นทั้งเจ้าตระกูลและเจ้าเมืองกลับใช้วาจาซ่อนเร้นกับข้างั้นรึ? หรือว่าในการล่าสัตว์อสูรครั้งนี้ ทุกคนจะฆ่าคนอื่นก็ได้โดยไม่มีข้อยกเว้นกัน?”


 


เจ้าเมืองอันยี่มิอาจปล่อยให้มีการฆ่ากันเองเกิดขึ้นในตอนนี้แน่


 


ต่อหน้าศัตรูที่ยิ่งใหญ่ การต่อสู้กันเองถือเป็นข้อห้ามร้ายแรง เจ้าเมืองอันยี่ที่ต้องการจะต่อสู้กับคลื่นสัตว์อสูรรู้ในข้อนี้ดี


 


ถ้าเจ้าเมืองอันยี่ยอมรับ ผลที่ได้ก็จะร้ายแรงกับเมือง


 


ที่กลางเมืองเงียบไปชั่วครู่ เหล่าผู้คนเป็นกังวล แต่สุดท้ายเสียงอันเย็นชาก็ดังขึ้น


 


“บุตรชายข้าเป็นฝ่ายผิด!”


 


ผู้คนอ้าปากค้าง เจ้าเมืองอันยี่ถูกบังคับให้ก้มหัวเพราะคนอื่น!


 


แต่เจ้าเมืองอันยี่ยังพูดไม่จบ


 


“แต่เจ้าก็เป็นคนผิดเช่นกัน ที่ปล่อยให้ลูกชายข้าเข้าไปติดกับดัก!”


 


ทั้งสองพยายามจะทำร้ายกัน ถ้านายน้อยตระกูลตู่เป็นคนผิด ซือหยูก็ต้องผิดด้วย


 


ซือหยูหัวเราะอย่างเย็นชา


 


“เขาโลภในคะแนนและพยายามจะฉวยโอกาสในครั้งนี้ เขาไม่ได้ระวังตัวให้ดีและเอาตัวเข้าไปติดกับเอง ข้าผิดที่ใดกัน? ข้ามีหน้าที่ในการเตือนภัยงั้นรึ? อย่าพูดถึงเรื่องที่เขาพยายามจะฆ่าข้าเลย! มันเป็นใครกัน? สหายข้ารึ? ผู้มีพระคุณรึ?”


 


“ถ้าเจ้าคิดว่าข้าต้องตอบแทนคนที่จะสังหารข้าเช่นนั้น ข้าขอให้ท่านสาธิตให้ดูจะได้หรือไม่?! ข้าคือหยินหยูที่ทำร้ายคนตระกูลตู่มากมายใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนี้ ทำไมเจ้าไม่ตอบแทนข้าโดยให้รางวัลสักหน่อยล่ะ?”


 


“ถ้าเจ้าทำไม่ได้แล้วทำไมเจ้าถึงบังคับให้ข้าตอบแทนเช่นนั้น? เรื่องนี้มันน่าขันนัก!”


 


คำพูดต่อการเผชิญหน้ากันเช่นนี้ทำให้เหล่านักสู้แทบกัดลิ้น


 


เจ้าตำหนักหยินหยูกำลังถูกสงสัยว่าเก็บเรื่องภัยตรงหน้าเอาไว้ และวางแผนให้นายน้อยตระกูลตู่ติดกับดัก แต่คำอธิบายของเขาก็มีเหตุผลอย่างมาก


 


นายน้อยตระกูลตู่ไม่รู้อันตรายตรงหน้า ถ้าซือหยูเตือนก็จะถือว่าเป็นน้ำใจ แต่ก็ไม่มีใครโทษเขาได้ถ้าเขาไม่บอก


 


เพราะอย่างไรนายน้อยตระกูลตู่ก็มิใช่สหายของซือหยู พวกเขากลับมีความบาดหมางใจต่อกัน และนายน้อยตระกูลตู่ก็พยายามจะสังหารซือหยู


 


เมืองอันยี่เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบอย่างเย็นชา


 


“ลิ้นปลิ้นปล้อนนั่นมันอะไรกัน!”


 


“แล้วอย่างไรรึ? ลูกข้าก็เกือบจะถูกเจ้าสังหาร นี่ก็เป็นความจริงที่เจ้ามิอาจปฏิเสธได้!”


 


“เจ้าเป็นคนผิด!”


 


“เพื่อความยุติธรรม เจ้าทั้งสองจะต้องรับการโจมตีจากข้าเป็นการลงโทษ!”


 


เจ้าเมืองอันยี่ไม่เว้นช่องว่างให้โต้แย้ง เขาปล่อยคลื่นพลังวิญญาณสองสายออกมา


 


พลังหนึ่งพุ่งตรงไปยังนายน้อยตระกูลตู่ที่ถูกพากลับมาในเมือง ส่วนอีกพลังพุ่งตรงไปที่ซือหยู!


 


พลังที่ส่งมาถึงซือหยูนั้นเทียบได้กับอำมฤตระดับสามขั้นกลาง เกือบจะถึงขั้นสูง!


 


แม้จะฆ่าซือหยูไม่ได้ มันก็ทำให้ซือหยูเจ็บหนัก!


 


ถ้าเข้าต้องเจ็บหนักในคลื่นสัตว์อสูรเช่นนี้ ชะตาเช่นใดกันจะรอเขาอยู่?


 


นี่ไม่ต่างกับการสังหารซือหยูเลย!


 


ความต่างเดียวคือเขาฆ่าซือหยูตรงๆไม่ได้ อาณาจักรทมิฬอาจจะเข้ามาเกี่ยวข้อง!


 


และในความจริง พลังวิญญาณที่พุ่งไปหานายน้อยตระกูลตู่นั้นเป็นเพียงหนึ่งในห้าส่วนที่พุ่งไปหาซือหยู!


 


ด้วยกำลังของนายน้อยตระกูลตู่ มันทำให้เขาเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้น!


 


“เขาบาดเจ็บอยู่แล้ว การลงโทษก็ต้องน้อยลงเป็นธรรมดา นี่คือการทำเพื่อความยุติธรรม เจ้าไม่ต้องเศร้าใจไป!”


 


เจ้าเมืองอันยี่พูดอย่างเรียบเฉย


 


ซือหยูหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว


 


เขาพยายามจะฆ่าซือหยูอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็บอกซือหยูว่าไม่ต้องใส่ใจในความไร้ยุติธรรมตรงหน้า


 


“บัดซบ! ถ้าเจ้าอยากจะฆ่าข้าก็มาหาข้าตรง เจ้าอยากทำแต่ไม่กล้า เจ้ายังคู่ควรที่จะเป็นผู้นำตระกูลหรือเจ้าเมืองอีกเรอะ?”


 


ซือหยูหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว


 


ด้วยตัวตนของอาณาจักรทมิฬ เจ้าตระกูลมิอาจเสี่ยงฆ่าซือหยูอย่างเปิดเผย


 


ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้


 


ฟึ่บ–


 


แสงประกายที่แขน ธนูเงินปรากฏในฝ่ามือ


 


“ออกมา!”


 


ซือหยูกัดฟันใช้พลังทั้งหมดโก่งคันธนูมังกรฟ้าดิน!


 


ศรพลังวิญญาณที่แทบจะมองไม่เห็นปรากฏขึ้น!


 


ฟึ่บ–


 


เขาปล่อยมือ ศรธนูนั้นเป็นดั่งรุ้งที่ทะลวงนภาบินไปปะทะกับพลังวิญญาณของอีกฝ่าย


 


เจ้าเมืองอันยี่ที่ใจเย็นพูดอย่างเลือดเย็น


 


“บัดซบ! เจ้าชำระธนูไปแล้วรึ!”


 


เขาเคยสัญญาไว้ว่าจะให้ธนูกับฮั่นเจียงหลิน


 


แต่ตอนนี้ซือหยูชำระธนูไปแล้ว คงจะยากขึ้นอีกในการเอาธนูกลับมา!


 


ตู้ม—


 


พลังวิญญาณปะทะกับศรพลังวิญญาณทำให้เกิดวายุหมุนสังหารเหล่าสัตว์อสูรโดยรอบ พิรุณโลหิตโปรยปรายลงสู่ผืนดิน


 


เหล่านักสู้ต่างถอยด้วยความกลัว


 


“นั่นคือพลังของธนูมังกรฟ้าดินรึ? แค่โจมตีแบบธรมดาก็มีพลังเทียบเท่ากับอำมฤตระดับสามขั้นกลาง!”


 


เหล่าผู้คนตกใจอย่างมาก


 


ซือหยูลอยอยู่กลางอากาศ เขามองไปที่เมืองและหัวเราะอย่างเยือกเย็น


 


“ถ้าข้าคิดจะฆ่าลูกชายเจ้า เจ้าคิดว่าเขาจะยังรอดอยู่รึ?”


 


การโจมตีนั้นพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าเขาสังหารนายน้อยตระกูลตู่ได้


 


ในการต่อสู้เมื่อครู่ ซือหยูมีพลังที่จะสังหารเขาได้


 


“เขานี่จะเป็นครั้งเดียวเท่านั้น ถ้ามันมาเจอข้าอีกเป็นครั้งที่สอง ข้าจะฆ่ามัน!”


 


ซือหยูพูดจบและเข้าไปยังส่วนลึกของป่าทมิฬ


 


เขาต้องทำเช่นนี้เพื่อที่จะได้คะแนนมากที่สุดในการล่า เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนเป็นรางวัลที่ตั้งไว้และเพื่อช่วยตู่หลง


 


แต่ดูจากอุปนิสัยของเจ้าเมืองอันยี่ ถึงเขาจะได้ลำดับหนึ่ง เขาก็คงมิอาจทำตามแผนได้!


 


ถ้าเขาใช้วิธีแบบตรงไปตรงมาไม่ได้ เขาก็ต้องใช้เล่ห์กลเอามาเท่านั้น!


 


“เจ้ากล้าโต้ตอบการลงโทษของข้า ความผิดอีกกระทง! แล้วเจ้ายังกล้าหนีจากกลุ่มอีก! เจ้าลืมที่ข้าเพิ่งพูดไปรึ?”


 


เสียงอันไร้อารมณ์ดังมาจากเมืองอันยี่


 


คนที่กล้าหนี…ต้องตาย!


 


ซือหยูหัวเราะด้วยความโกรธ เขาคงจะตายถ้าเขาอยู่ต่อเพื่อรับการลงโทษ และเขาก็ต้องตายเช่นกันถ้าต้องเลิกล่าสัตว์อสูร


 


ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าเมืองอันยี่ก็ไม่คิดจะปล่อยให้ซือหยูรอดไปได้!


 


“งั้นเจ้าก็มาฆ่าข้าซะเถอะ!”


 


ซือหยูหัวเราะอย่างเยือกเย็น


 


ถ้าอีกฝ่ายกล้าพอที่จะฆ่าเขา เขาก็คงใช้พลังที่สังหารสัตว์อสูรอำมฤตระดับสี่นั่นไปแล้ว ทำไมเขาต้องมาพูดกับซือหยูจนถึงตอนนี้กัน?


 


“ข้าพูดเมื่อใดกันว่าข้าจะฆ่าเจ้า? ข้าก็แค่อยากจะลงโทษเจ้าเท่านั้น!”


 


เจ้าเมืองอันยี่แก้ตัว


 


จากนั้นคลื่นพลังอำมฤตระดับสามขั้นสูงก็พุ่งเข้าใส่ซือหยู!


 


เมื่อเห็นพลังวิญญาณพุ่งเข้ามา แววตาซือหยูเย็นชาลง


 


“ออกมา!”


 


ศรพลังวิญญาณถูกปล่อยออกไปอีกครั้ง


 


ครืน—


 


ผลของการระเบิดนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม!


 


พลังวิญญาณสองสายปะทะกัน มีพลังวิญญาณอีกเล็กน้อยที่หลงเหลือพุ่งเข้าใส่ซ์อหยู!


 


“เร่งเวลา!”


 


ในยามวิกฤติ ซือหยูต้องเร่งเวลาเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นอีก!


เขาพุ่งทะยานไปไกลหลายลี้ในพริบตาเดียวและเกือบจะไม่รอดจากพลังวิญญาณนั้น


 


จากนั้นเขาก็หนีไปไกลถึงขอบนภา


 


เขาหายตัวไปในพริบตา


 


ซือหยูหนีไปได้!


 


เจ้าเมืองอันยี่ปรารถนาจะไล่ตามแต่เขาจะละมือไปจากคลื่นสัตว์อสูรได้อย่างไร?


 


ซือหยูหยุดที่ไกลออกไปหลายลี้ แววตาเขาเย็นชา


 


“เจ้าเมืองอันยี่ ข้าจะต้องล้างแค้นเจ้าให้ได้!”


 


ซือหยูร่อนลงกับพื้น เขาเดินกลับหลังไปอย่างเงียบเชียบ


 


เขาเดินไปจนถึงข้างซากศพของวิหคน้ำแข็ง!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม