The Divine Nine Dragon Cauldron 305-322

 305 

“เจ้าตำหนักหยินหยู ทำไมไม่พาข้าไปด้วยเล่า? เจ้าอยากจะได้ความดีความชอบจากเจ้าตำหนักรองมิใช่รึ? ข้ายังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง”


 


ตู่หลงที่ถูกซือหยูพาตัวมาหัวเราะเยาะตนเอง


 


ซือหยูมองแขนขวาของเขาที่หายไป


 


“ข้าพาเจ้ามาเพราะมีเหตุผล เจ้าแค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”


 


ตู่หลงประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างโดดเดี่ยว


 


“การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะขอให้ท่านเจ้าตำหนักหยินหยูไปที่ป่าทมิฬเพื่อพบคนคนหนึ่งแทนข้า”


 


ป่าทมิฬงั้นรึ? ซือหยูไม่ตอบ


 


“เดิมที ถ้าข้าไม่มายุ่งน้องสองก็จะได้ไป แต่ท่านก็เจอโจรสลัดกลุ่มพวกข้ามาก่อนใช่หรือไม่ เขาคงจะตายด้วยมือท่านไปแล้วสินะ?”


 


ตู่หลงนั้นใจเย็นและแววตาไร้ซึ่งความเกลียดชัง


 


เขารู้ว่าโจรสลัดวารีทมิฬได้สร้างความทุกข์ทรมานมากมายในเขตหยินหยู


 


เป็นธรรมดาที่ซือหยูต้องกำจัดโจรสลัดวารีทมิฬ


 


“ถ้าข้าตาย ข้าหวังว่าท่านเจ้าตำหนักจะนำเถ้ากระดูกข้าไปให้ตระกูลตู่ในเมืองอันยี่แห่งป่าทมิฬ บอกพวกเขาว่าเป็นตู่หลงผู้ไม่คู่ควรผู้นี้ที่ทำให้ตระกูลตู่ผิดหวัง”


 


ตู่หลงอาลัย


 


“ข้าจะเขียนจดหมายให้พวกเขาให้ท่านใช้สระหมื่นพล”


 


เจ้าตำหนักอังฟางที่อยู่ใกล้ๆตกใจ นางพูดด้วยความตกตะลึง


 


“สระหมื่นพลแห่งอันยี่รึ? เจ้าเกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลตู่รึ?”


 


เจ้าตำหนักอังฟางรู้จักตระกูลของตู่หลง!


 


แม้ว่าโจวลั่วฉิงจะมาจากตำหนักหลักก็ชักสีหน้า นางพูดด้วยความตกใจ


 


“หรือว่าเจ้าจะเป็นคนตระกูลตู่ที่มาจากเมืองอันยี่? เป็นไปไม่ได้ ถ้าเจ้าเป็นคนตระกูลตู่ เจ้าจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”


 


เอ๋? ตระกูลตู่ในป่าทมิฬมีชื่อเช่นนั้นเชียวรึ?


 


ตู่หลงหัวเราะเยาะตัวเอง


 


“ข้าเป็นแค่ลูกหลานที่ไม่คู่ควร ข้าละอายนักที่จะนับว่าเป็นคนตระกูลตู่”


 


ซือหยูมองโจวลั่วฉิง


 


“ตระกูลตู่เป็นส่วนของป่าทมิฬงั้นรึ?”


 


ถ้านางจำไม่ผิด ป่าทมิฬนั้นอยู่ที่ชายแดนตอนเหนือและตะวันออก  ดินแดนกว้างใหญ่ทอดยาวหลายหมื่นลี้


 


เมืองอันยี่อยู่ที่ทวีปทางตอนเหนือ


 


มันถูกควบคุมโดยสามขุมกำลังทางตอนเหนือ หอสดับหิมะ พันธมิตรร้อยดินแดน และคณะวิหคเพลิง


 


นั่นเกี่ยวข้องกับตระกูลตู่งั้นรึ?


 


โจวลั่วฉิงไม่กล้าที่จะลังเล


 


“แปดสกุลแห่งจักรวาล ฉิน ชี่ หมิง ยี่ กุย ตู่ หวัง ลี่! แปดสกุลนี้คือสกุลที่เก่าแก่ทที่สุดตั้งแต่โลกได้ถือกำเนิด”


 


“เหมือนกับอาณาจักรทมิฬ พวกเขามีตัวตนมานานมากแล้ว! ตระกูลตู่คือหนึ่งในแปดตระกูลที่เร้นกายอยู่ในเมืองอันยี่มานาน”


 


“ข้าเคยได้ยินจ้าวไป่ลั่วพูดว่าถ้าเขาได้ครอบครองตระกูลตู่ เขาจะได้ครอบครองโลก! เหตุก็เพราะสระหมื่นพลของตระกูลตู่! มีคนบอกว่าสระหมื่นพลคือสุสานของเหล่าสมบัติเทพ สมบัติเทพนับไม่ถ้วนรวมถึงสมบัติเทพที่เสียหายอยู่ในสระนั้น!”


 


“แต่เดิมสระหมื่นพลมิได้พิเศษนัก แต่เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ตระกูลตู่จากรุ่นสู่รุ่นได้ใช้โลหิตพิเศษในการชำระล้างสระหมื่นพล นั่นทำให้สระหมื่นพลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สมบัติเทพที่ถูกทำลายในสระหมื่นพลได้หลอมรวมกับโลหิตของคนตระกูลตู่ทำให้เกิดวารีวิญญาณประหลาดที่ทำให้สมบัติเทพได้เป็นเหมือนใหม่!”


 


สร้างสมบัติเทพขึ้นใหม่งั้นรึ?


 


ซือหยูใจเต้นแรง


 


นั่นหมายความว่าถ้าเขาได้สมบัติเทพของคนอื่น เขาจะลบล้างผู้ครอบครองเดิมและบังคับให้มันยอมรับเขาเป็นเจ้าของได้!


 


ไหมเทพน้ำแข็งที่เดินทางร่วมกับซือหยูมาโดยตลอดนั้นไม่ได้นับว่าซือหยูเป็นเจ้าของแม้แต่น้อย เหตุผลก็เพราะว่าเจ้าของของมันคือราชันย์แห่งอาณาจักรเทพน้ำแข็ง ไหมเทพน้ำแข็งนั้นมีเจ้าของมานานแล้ว ซือหยูจึงทำได้เพียงบังคับใช้วิชาที่บ่มเพาะทำให้ไหมเทพน้ำแข็งฝืนแสดงพลังออกมา แต่เขาก็ทำได้เพียงใช้พลังสามในสิบส่วนของมัน


 


ถ้าเขาได้เข้าไปยังสระหมื่นพลเร็วกว่านี้ ไหมเทพน้ำแข็งคงยอมรับเขาเป็นนายไปนานแล้ว แต่มันก็ถูกทำลายไปแล้วโดยสมบูรณ์


 


ในตอนแรก หัวหน้าองครักษ์ทำลายมันไปมากกว่าครึ่ง และยังหัวหน้าโจรสลัดวารีทมิฬที่สะบั้นมันจนหมดสิ้น


 


แต่ถ้าเขาได้สมบัติเทพจากสระวิญญาณประหลาดนั่น สมบัติเทพก็จะยอมรับเขาเป็นนาย! ยากที่จะเชื่อว่ามีเรื่องที่ขัดต่อบัญชาสวรรค์เช่นนี้อยู่บนโลก


 


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจ้าวไป่ลั่วจึงพูดว่าถ้าเขาได้ครอบครองตระกูลตู่ เขาก็จะได้ครองโลก!


 


ตระกูลเก่าแก่ที่เกิดขึ้นมานานพอๆกับอาณาจักรทมิฬนั้นน่ากลัวยิ่งนัก!


 


ถ้าซือหยูมีโอกาส เขาอยากจะได้พบเจอมันด้วยตัวเอง


 


“ย่อมได้ ข้าสัญญา”


 


ซือหยูพยักหน้าเบาๆ


 


ตู่หลงยิ้ม


 


“ขอบคุณท่านมาก”


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองวันผ่านไปในพริบตา


 


ซือหยูกับสตรีสามคนมาถึงศูนย์กลางของตำหนักรอง…ตำหนักหลิงเสี่ยว!


 


ตำหนักอันยิ่งใหญ่ตั้งอยู่บนเขาสูงแปดหมื่นศอก


 


องครักษ์ชุดเงินและชุดดำมีมากมายในตำหนัก พวกเขาเข้าออกตำหนักเต็มไปหมด


 


ที่นี่คือที่มั่นสำคัญของตำหนักรองแห่งอาณาจักรทมิฬในทวีปตอนเหนือ


 


หลิงเสี่ยวเทียนทำหน้าที่ปกครองและบัญชาทุกคนในทวีปของอาณาจักร


 


องครักษ์ชุดเงินและชุดดำหลายหมื่นคนกระจายไปทั่วทุกส่วนของทวีป พวกเขาทำหน้าที่ตามคำสั่งทุกรูปแบบ


 


เฟ้นหายอดฝีมือ รวบรวมข่าวสาร มองหาต้นธาตุจักรวาล โอสถ วิชาบ่มเพาะ และอื่นๆ


 


คลื่นองครักษ์หน้าซือยหูนั้นเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ตำหนักรองที่แท้จริงไม่เคยเผยออกมาให้เห็น


 


“บอกนามเจ้ามา!”


 


เสียงตะโกนดังมาจากหมู่เมฆา


 


กลุ่มองครักษ์ชุดดำเข้ามาขวางพวกเขา


 


ซือหยูหยิบตราเจ้าตำหนักหยินหยูเพื่อยืนยันตัวตน


 


“รองเจ้าตำหนักหยินหยู! เจ้าตำหนักสั่งว่าให้พาไปที่ห้องฉิงเฟิงเมื่อท่านมา”


 


องครักษ์ชุดดำใบหน้าผ่อนคลาย


 


รองเจ้าตำหนักลำดับสิบที่ร่ำลือ หยินหยู!


 


“ท่านเจ้าตำหนักโปรดตามพวกข้ามา!”


 


ห้องฉิงเฟิงคือหนึ่งในสี่ห้องใหญ่ของตำหนักหลิงเสี่ยว


 


มันเงียบ งดงามและสะดวกสบาย จะเปิดให้เฉพาะแขกพิเศษเท่านั้น


 


ตามปกติแม้แต่รองเจ้าตำหนักก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องฉิงเฟิง


 


เจ้าตำหนักอังฟางตกตะลึง เจ้าตำหนักหลิงที่นับถือซือหยูเช่นนี้เหนือกว่าที่นางคิดไว้ เจ้าตำหนักหลิงเปิดห้องฉิงเฟิงเพื่อแสดงว่าเขากำลังหนุนหลังซือหยู


 


พวกเขานั่งรออยู่ชั่วครู่


 


ฟึ่บ–


 


ฟึ่บ–


 


เสียงดังทำลายความเงียบ


 


เป็นหลิงเสี่ยวเทียนผู้รูปงามและดูกระฉับกระเฉง…และผู้ตรวจการไป่ฮี!


 


เมื่อซือหยูมองผู้ตรวจการไป่ฮี ดวงตาก็เปล่งประกายความเยือกเย็น


 


วันนั้นในเมืองพันธมิตร…เป็นผู้ตรวจการไป่ฮีที่ดึงดันจะสังหารซือหยูอย่างไร้เหตุผล


 


ซือหยูไม่คิดว่าจะได้เจอเขาอีกครั้ง!


 


แต่จ้าวไป่ลั่วก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา


 


“ข้ารับคำสั่งจากจ้าวไป่ลั่วให้มาสืบสวนเรื่องการตายของรองเจ้าตำหนักซางเจี้ยน!”


 


เขามองซือหยูด้วยสายตาคมกริบ


 


ส่วนหลิงเสี่ยวเทียนนั้นท่าทางผ่อนคลาย


 


“หยินหยู นั่งลงก่อนเถอะ”


 


และเขาก็มองดูซือหยูด้วยรอยยิ้ม ทีแรกเขาเพียงแค่มองผ่านเท่านั้น แต่เขาก็จริงจังและหัวเราะเสียงดัง


 


“เอ๋? อำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูงรึ? แค่เดือนเดียวเจ้าก็ทะลวงพลังเช่นนี้ มหัศจรรย์ยิ่งนัก!”


 


ก่อนที่ซือหยูจะเข้าร่วมอาณาจักรทมิฬ เขาเป็นแค่มังกรระดับห้าขั้นสูงเท่านั้น


 


แต่เขาตอนนี้เป็นถึงอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง!


 


การเติบโตของซือหยูนั้นเกินความคาดหวังของหลิงเสี่ยวเทียนไปมาก


 


แม้แต่โอสถชะตาวิญญาณก็ไม่มีผลอย่างที่หลิงเสี่ยวเทียนได้เห็นตรงหน้า


 


“ข้ายินดีนักที่ท่านเจ้าตำหนักชุบเลี้ยงข้า”


 


ซือหยูประสานหมัดด้วยรอยยิ้มตอบ


 


หลิงเสี่ยวเทียนหัวเราะเสียงดังอยู่นาน


 


“ข้าตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ ข้าได้หยิบสมบัติมาจริงๆด้วย!”


 


เมื่อย้อนกลับไป ฮั่นเจียงหลินพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะสังหารซือหยู บุรุษเช่นนี้ถูกเหยียบย่ำอย่างไร้เหตุผลจนทำให้เขาหนีออกจาเมืองพันธมิตร


 


โชคดีที่หลิงเสี่ยวเทียนมาเจอเข้า เขารับซือหยูและแต่งตั้งให้เป็นเจ้าตำหนักลำดับสิบ!


 


“ข้าคิดว่าฉีหลานผู้โง่เขลานั่นกำลังจะได้เจอกับศัตรูที่น่ากลัวซะแล้ว”


 


ฮั่วฉีหลานงั้นรึ? ซือหยูสับสน ฮั่วฉีหลานเป็นแค่มังกรระดับเจ็ดขั้นสูง แต่จากน้ำเสียงหลิงเสี่ยวเทียน…เขาพูดราวกับว่าซือหยูอ่อนแอกว่านาง


 


“ฮื่ม! เจ้าตำหนักหลิง เริ่มจัดการกับคนทรยศที่สังหารรองเจ้าตำหนักของเราทีเถอะ”


 


เสียงอันไม่น่ารื่นรมย์ทำลายบรรยากาศอันเป็นมิตร


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีจ้องซือหยูอย่างเยือกเย็น


 


หลิงเสี่ยวเทียนหุบยิ้ม


 


“นี่เป็นเวลาที่จะต้องสะสางเรื่องความตายของซางเจี้ยน!”


306

“เจ้าตำหนักหลิง ข้าได้รับสั่งให้สืบสวนเรื่องนี้ เจ้าไม่ต้องเข้ามาแทรก!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีพูดอย่างเย็นชา


 


หลิงเสี่ยวเทียนสีหน้าเรียบเฉย


 


“รองเจ้าตำหนักของข้าต่อสู่กันเองในเขตตำหนักรองของข้า เจ้าคิดว่าข้าจะปิดตากับเรื่องนี้ได้รึ?”


 


“หึหึ…”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีหัวเราะ


 


“เจ้ายังมีหน้าเข้ามาสอดแม้เจ้าจะดูแลรองเจ้าตำหนักของตัวเองไม่ได้รึ?”


 


หรือพูดอีกอย่างก็คือ…หลิงเสี่ยวเทียนนั้นไร้ความสามารถ เขาปล่อยให้คนของตัวเองต่อสู้กันเอง จนทำให้อาณาจักรเกิดความสูญเสีย


 


หลิงเสี่ยวเทียนหัวเราะแต่ก็ไม่พูดอะไร เขาละสายตาออกไป


 


ซือหยูมองเขาจากด้านข้างด้วยความรู้สึกผิด


 


หลิงเสี่ยวเทียนมีหลายเรื่องให้ทำอยู่แล้วในการดูแลตำหนักรอง แต่เขาก็ถูกรบกวนและเยาะเย้ยเพราะซือหยู


 


“ผู้ตรวจการไป่ฮี ถ้าเจ้ามีเวลาพูดถึงคนอื่น เจ้าควรจะกลับมาสนใจเรื่องของเจ้าซะก่อน”


 


ซือหยูพูดถากถางกลับไป


 


ฟึ่บ–


 


แววตาดุร้ายมองไปที่ซือหยูราวกับจะเจาะตัวเขาให้ทะลุ


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีมองซือหยูที่นั่งอยู่และพูดช้าๆ


 


“ข้าอนุญาตให้รองเจ้าตำหนักพูดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


 


ตำแหน่งของซือหยูนั้นต่ำต้อยในสายตาเขา


 


“ถ้าเจ้าอยากจะพูด ข้าก็จะถามเจ้า เจ้ายอมรับความผิดหรือไม่?”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีที่ดูถูกเขาสอบสวนตรงๆ


 


ซือหยูแอบหัวเราะแต่ก็ไม่พูดอะไร ผู้ตรวจการไป่ฮีได้รับคำสั่งให้มาสืบเรื่องราวแต่ก็ถามราวกับว่าซือหยูเป็นคนผิด แม้ว่าจะยังไม่รู้ถึงข้อสิ้นสุดน่ะรึ?


 


ซือหยูส่ายหัว


 


“ผู้ตรวจการ ข้าทำผิดอะไรรึ?”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีหัวเราะอย่างเย็นชา


 


“จนถึงขั้นนี้เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีกรึ? เจ้าตำหนักซื่อเหยากับเฟิงฉิงสารภาพหมดแล้ว ซางเจี้ยนถูกเจ้าสังหาร! แต่เจ้าก็ยังไม่รับข้อกล่าวหา ข้ารับเจ้าไม่ได้จริงๆ!”


 


สองคนนั้นสารภาพรึ? ซือหยูถอนหายใจ


 


ต่อหน้าตำหนักหลัก สุดท้ายทั้งสองก็ไม่แน่วแน่พอและถูกบังคับให้สารภาพ


 


“โอ้? ทำไมซางเจี้ยนถึงถูกฆ่าเล่า? ข้าอยากรู้นักว่าสองคนนั้นพูดอะไร?”


 


ซือหยูยังคงใจเย็น ไม่แสดงสีหน้าแม้แต่น้อย


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีใบหน้าบิดเบี้ยวแต่ก็ซ่อนเร้นได้อย่างรวดเร็ว


 


“เหตุที่เขาถูกสังหารไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าต้องยอมรับว่าเจ้าฆ่าคนไปก็เท่านั้น!”


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยอมรับความผิดแล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็จงคุกเข่ารับการลงโทษ!”


 


เพียงไม่กี่ประโยคเขาก็ตัดสินประหารซือหยู!


 


เขาไม่ได้ถามรายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย


 


“หึหึ ผู้ตรวจการไป่ฮี ข้ายังอยู่นี่นะ!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนไม่ขยับตัว เขาหัวเราะอย่างใจเย็น


 


แต่ทุกคนที่ได้ยินก็บอกได้เลยว่ามีความโกรธอยู่ในเสียงของเขา


 


ผู้ตรวจการรไป่ฮีไม่สนใจ


 


“หลักฐานชัดแล้วจะต้องพูดอะไรกันอีก? ตามกฎของอาณาจักร เขาต้องถูกประหาร!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนลูบถ้วยชาด้วยนิ้วและพูดอย่างใจเย็น


 


“ผู้ตรวจการไป่ฮี ถ้าเจ้าดื้อด้านไม่สนใจชีวิตผู้คน ข้าคงต้องบอกเรื่องนี้ถึงตำหนักหลัก ราชาแห่งความมืดจะมาไกล่เกลี่ยเรื่องนี้”


 


คำว่า ‘ราชาแห่งความมืด’ นั้นราวกับสายฟ้าที่ฟาดใส่ไป่ฮีจนชักสีหน้า


 


ในนามเจ้าตำหนัก หลิงเสี่ยวเทียนมีโอกาสที่จะได้พบกับราชาแห่งความมืดเป็นการส่วนตัวทุกปี เพื่อการบ่มเพาะพลังหรือการได้รับรางวัล เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนในการดูแลหนึ่งในตำหนักรองทั้งสี่


 


นอกจากจ้าวแห่งความมืดทั้งเจ็ด เจ้าตำหนักทั้งสี่ก็คือคนที่ใกล้ชิดกับราชาแห่งความมืดที่สุด


 


หากเป็นเช่นนั้น หลิงเสี่ยวเทียนก็แค่ทิ้งเรื่องการบ่มเพาะพลังและขอให้ราชามาจัดการเรื่องนี้แทน


 


หากการสืบสวนบ่งบอกว่าผู้ตรวจการไป่ฮีได้ใช้อำนาจในทางที่มิชอบ…ก็ไม่มีผู้ใดในโลกนี้รักษาชีวิตของเขาได้


 


สีหน้าดุร้ายของไป่ฮีลดลงและเป็นมิตรมากขึ้น


 


“พูดอะไรกันเล่า เจ้าตำหนักหลิง ข้าทำตามคำสั่ง ข้าต้องทำตามกฎและดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียมอยู่แล้ว”


 


“ข้าเพียงแค่ตั้งใจจะทดสอบการตอบโต้ของเจ้าตำหนักหยินหยูก็เท่านั้น”


 


เมื่อไป่ฮีพูดปัด หลิงเสี่ยวเทียนก็พูดออกมา


 


“หากเจ้าเป็นธรรม ข้าก็ไม่เข้าแทรก”


 


“ต่อได้”


 


ราวกับเขากำลังสั่งคนของตัวเอง


 


แต่ผู้ตรวจการไป่ฮีนั้นรู้สึกผิดและต้องอดทนเอาไว้


 


เขามองซือหยูด้วยความชิงชังเล็กน้อย


 


“พูดมา เจ้าฆ่าซางเจี้ยนเพราะเจ้าแบ่งสมบัติไม่ได้ใช่หรือไม่? จงพูดความจริง โทษของเจ้าจะได้กลายเป็นเบา การขัดขืนจะทำให้เจ้าถูกลงโทษ!”


 


ซือหยูยิ้ม


 


“เช่นนั้นเจ้าก็ยังไม่แน่ใจว่าข้าผิดหรือไม่สินะ?”


 


ไป่ฮีโกรธเกรี้ยว


 


“เรากำลังสืบสวนเรื่องคดีของเจ้า ร่วมมือให้ดีแล้วเจ้าจะได้รับโทษสถานเบา”


 


ถ้าซือหยูยอมตามเขา ซือหยูก็คงจะตายเร็วขึ้น!


 


“ดูเหมือนว่าความผิดข้าจะยังไม่ถูกตัดสิน!”


 


ซือหยูยิ้มอย่างเย็นชา


 


“เช่นนั้นข้าก็อยากจะถามผู้ตรวจการว่าถ้าความผิดของข้ายังไม่เป็นที่แน่ชัด มันมีเหตุผลหรือไม่ที่จะให้หัวหน้าองครักษ์ใช้เหตุผลนั้นมาฆ่าข้า?”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีเลิกคิ้วและสาปแช่งในใจ หัวหน้าองครักษ์ประมาทเกินไปและทำให้เขามีช่องโหว่ ถ้าเขากลับมาจะต้องถูกลงโทษแน่


 


แต่ก่อนที่เขาจะพูด หลิงเสี่ยวเทียนก็แทรกเข้ามาก่อน


 


“หืม? องครักษ์ชุดแดงต่อต้านคนที่ตำแหน่งสูงกว่าโดยไร้หลักฐานและอยากจะฆ่ารองเจ้าตำหนักงั้นรึ? ช่างกล้านัก! เขาสมควรตาย!”


 


“เดี๋ยวก่อน!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีรีบพูด


 


“หัวหน้าองครักษ์เป็นคนดีและจะไม่ทำผิด เขาต้องไม่โจมตีเจ้าแน่!”


 


เขามองเย้ยซือหยู


 


“ตัวเจ้าที่อยู่ตรงนี้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็อธิบายทุกอย่างแล้ว! ถ้าเขาอยากจะฆ่าเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้มาอยู่ถึงวันนี้รึ?”


 


หลิงเสี่ยวเทียนเงียบ หัวหน้าองครักษ์คงไม่กล้าฆ่าซือหยูจริงๆ


 


“เป็นคนดีและไม่ทำผิดงั้นรึ?”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“คนดีคือคนที่ปล่อยให้โจรสลัดที่ทำร้ายผู้คนหนีไปโดยไม่ทำอะไรเลยงั้นรึ? คนที่จะไม่ทำผิดจะใช้หน้าที่มาล้างแค้นเรื่องส่วนตัวและพยายามฆ่าข้ารึ?”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ส่วนเรื่องที่ข้าอยู่ที่นี่โดยปลอดภัย ก็ไม่ใช่เพราะมันไม่กล้าโจมตีข้า แต่เป็นเพราะข้าฆ่ามันตอนที่มันจะฆ่าข้าต่างหาก!”


 


อะไรนะ?


 


ไม่ใช่แค่ไป่ฮี แต่หลิงเสี่ยวเทียนเองก็ตกใจ


 


หัวหน้าองครักษ์มีพลังอำมฤตระดับสาม ซือหยูมีพลังแค่ระดับหนึ่ง เขาจะฆ่าหัวหน้าองครักษ์ได้ยังไง?


 


แต่เขาก็เข้าใจในไม่นาน


 


ตำหนักหยินหยูคือดินแดนของซือหยู ซือหยูมีกำลังคนและจำนวนที่ได้เปรียบ มันอาจจะพอเป็นไปได้


 


ปั้ง—


 


พื้นโต๊ะใต้มือของผู้ตรวจการไป่ฮีระเบิดเป็นเสี่ยงๆ


 


สีหน้าของเขาน่าเกลียดราวกับอยากจะกลืนกินมนุษย์เข้าไป


 


“เจ้าฆ่าเขางั้นรึ?”


 


หัวหน้าองครักษ์ไม่กลับมาหลายวันแล้วและผู้ตรวจการไป่ฮีก็สงสัยอยู่แล้ว คำพูดของซือหยูยืนยันทุกอย่าง


 


ซือหยูหัวเราะแต่ไม่พูดอะไร


 


“กล้านัก! เจ้ากล้าคนที่ปฏิบัติหน้าที่งั้นรึ? ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีโกรธเกรี้ยว


 


ต้องอวดดีเพียงใดกันถึงกล้าฆ่าหัวหน้าองครักษ์? เขาดูถูกผู้ตรวจการไปเท่าใดกัน?


 


ซือหยูพูดช้าๆ


 


“พูดแบบนี้ก็แสดงว่าผู้ตรวจการเชื่อว่าองครักษ์พยายามฆ่ารองเจ้าตำหนักที่บริสุทธิ์ต่อหน้าผู้คนตามกฎใช่หรือไม่?”


 


คำถามนี้ทำให้ไป่ฮีตัวแข็งทื่อ เขามองหลิงเสี่ยวเทียนที่กำลังครุ่นคิด


 


เขามิอาจทนที่จะกลายเป็นคนน่าหัวร่อต่อหน้าทุกคนได้


 


เขาฝืนใจเย็น


 


“เขาควรถูกประหารตามกฎ แต่เจ้าตัดสินด้วยตัวเองได้ยังไ…”


 


แต่ซือหยูก็พูดขัดขึ้นมา


 


“ถ้าเขาควรถูกประหาร ข้าก็จะถามว่าเขาที่เป็นแค่องครักษ์ไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน? เขาทำตามคนสั่งคนที่เหลือกว่ารึ?”


 


คนเดียวที่เหนือหัวหน้าองครักษ์ก็คือผู้ตรวจการไป่ฮี!


 


หลิงเสี่ยวเทียนแววตาดุร้าย


 


“ผู้ตรวจการไป่ฮี รองเจ้าตำหนักเป็นยอดฝีมือที่ถูกบ่มเพาะโดยอาณาจักรทมิฬ เจ้ายังกล้าจะฆ่าเขาอีกเรอะ!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีสีหน้าหม่นหมอง แม้แต่เขาก็มิอาจรอดไปจากความผิดเช่นนี้ได้


 


เขาชักสีหน้าและรีบพูดแก้ตัว


 


“ข้าทำหน้าที่ตรวจสอบทุกสิ่งในอาณาจักร ทุกคำและการกระทำของข้าคือตัวแทนจากอาณาจักร ข้าจำกฎทุกข้อได้อย่างดี ข้าจะทำผิดบาปเช่นนั้นได้อย่างไร?”


 


“ข้าเพียงแค่สั่งหัวหน้าองครักษ์ให้พาตัวเจ้ากลับมาสอบสวน ข้าไม่เคยสั่งให้เขาฆ่าเจ้า! ตามที่ข้าคิดไว้ เจ้ากับเขามีเรื่องบาดหมางต่อกัน เขาจะต้องขัดคำสั่งข้าและพยายามล้างแค้นเจ้า! ข้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีผลักตัวเองให้พ้นจากเรื่องนี้


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“เช่นนั้นเขาก็สมควรตายใช่หรือไม่?”


 


ริมฝีปากเขาบิดเบี้ยว เขาข่มความชิงชังอันไร้ขอบเขต


 


“ฮื่ม! กล้าขัดคำสั่งและทำผิดเช่นนั้น เขาสมควรตาย! ถึงเจ้าตำหนักหยินหยูจะไม่ชัดการ ข้าก็ต้องประหารเขาอยู่แล้ว!”


 


เขามองผ่านซือหยูด้วยแววตาที่มีจิตสังหาร


 


“เลิกพูดถึงเรื่องหัวหน้าองครักษ์แล้วพูดเรื่องซางเจี้ยนเถอะ ทำไมเจ้าถึงฆ่าเขา! พูดมา!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีนั้นทำเกินไปมาก เขาสืบสวนโดยจังใจจะให้ซือหยูยอมรับผิดให้ได้


 


ซือหยูใจเย็น


 


“คนคนนั้นร่วมมือกับศัตรูเพื่อสังหารคนของตัวเอง เขาตอบแทนความเอื้อเฟื้อด้วยความชิงชังและสมควรตาย!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนพยักหน้า


 


“อืม เล่ารายละเอียดให้พวกเราฟังหน่อย”


 


เขาเข้าใจนิสัยของรองเจ้าตำหนักทั้งสิบอยู่แล้ว


 


จากนั้นซือหยูจึงอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้น


 


แน่นอนว่าเขาไม่เล่าเรื่องซากในถ้ำ ซื่อเหยากับเฟิงฉิงก็น่าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้เช่นกัน เพราะอย่างไรเรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้


 


พวกเขาคงไม่ต้องการปัญหาอย่างไร้ประโยชน์


 


และซือหยูยังช่วยชีวิตซางเจี้ยนไว้สองครั้ง แต่ก็ถูกซางเจี้ยนลอบโจมตี!


 


และเขาก็ยังปล่อยหัวหน้าลำดับสองของโจรสลัดวารีทมิฬไปและพยายามปิดปากซื่อเหยาและเฟิงฉิง หลิงเสี่ยวเทียนใบหน้าเยือกเย็นอย่างมาก เขาหยุดนิ่งไปนานก่อนจะถอนหายใจ


 


“ข้าก็มีส่วนรับผิดชอบในความตายของเขา!”


 


“ก่อนหน้านี้ข้าต้องรีบสร้างสิบรองเจ้าตำหนักและสนใจในพลังมากกว่านิสัยใจคอ ข้าไม่มีโอกาสได้ชี้แนะเขา ข้าคือคนที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้!”


 


เมื่อเรื่องคลี่คลาย ผู้ตรวจการไป่ฮีก็หัวเราะอย่างเย็นชา


 


“เจ้าสองคนคิดจะร่วมมือกันกลบเรื่องนี้ไปงั้นรึ?”


 


“ข้าขอถามเจ้า ใครจะพิสูจน์เรื่องในวันนั้นได้? ซางเจี้ยนทำเช่นนั้นเพราะเจ้าพูดเช่นนั้นรึ? เขาตายไปแล้ว เขามาโต้แย้งเจ้าไม่ได้!”


 


“แล้วเจ้าไม่ได้สืบสวนซื่อเหยากับเฟิงฉิงหรอกรึ? ข้าว่าเจ้าก็ต้องได้ฟังเรื่องแบบเดียวกัน!”


 


“ฮื่ม! พวกเจ้าสามคนลงเรือลำเดียวกันต้องมีแผนวางไว้อยู่แล้ว นอกจากจะมีพยานคนที่สี่ คำพูดของพวกเจ้าสามคนถือเป็นโมฆะ!”


 


คนที่สี่..ทำไมต้องมีคนที่สี่นอกเหนือจากพวกเขาอีกเล่า?


 


“ถ้าไม่มีคนที่สี่ ข้าก็มีเหตุให้คิดได้ว่าพวกเจ้าสามคนฆ่าเขาเพื่อตัวเอง!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีกดดัน


 


ถ้าเขาไม่ใช้โอกาสนี้ฆ่าซือหยู เขาก็มิอาจดับความชิงชังในหัวใจไปได้


 


ซือหยูแววตาเย็นชา ไร้สาระนัก!


 


ตามสถานการณ์ในวันนั้น จะไปมีคนที่สี่ได้ยังไง?


 


ความไร้เหตุผลเช่นนี้ เขาอยากให้ซือหยูตายอย่างไม่ต้องสงสัย!


 


หลิงเที่ยวเทียนเลิกคิ้ว แม้ว่าเขาจะรู้ว่าผู้ตรวจการไป่ฮีพยายามจะทำอะไร เขาก็ไม่ได้พูดอย่างไร้สาระ


 


หากไม่มีใครยืนยันได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ยังเป็นไปได้ที่ทั้งสามจะร่วมมือกันสังหารซางเจี้ยน


 


“หึหึ ใครบอกเจ้าว่าไม่มีคนที่สี่รึ? ข้าไม่ได้อยู่ที่หน้าเจ้ารึไงกัน?”


 


เสียงนุ่มลื่นดังมาจากนอกห้อง


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีมองออกไปและพูดอย่างเย็นชา


 


“เจ้าเป็นใคร?”


 


ชายที่มีแขนข้างเดียวเดินเข้ามาในสายตาของเขา


307

“ข้าไม่ได้พูดหรอกรึว่าข้าคือคนที่สี่ที่เจ้ากำลังมองหา!”


 


ตู่หลงพูดอย่างหนักแน่น เขาเดินเข้ามาอย่างใจเย็นและไม่ได้ถูกแววตาของผู้ตรวจการไป่ฮีกดดันแม้แต่น้อย


 


“ข้าคือตู่หลง หัวหน้าสองของโจรสลัดวารีทมิฬ คนที่อยากจะลอบฆ่าพวกเขาในตอนนั้น!”


 


ซือหยูตกตะลึง ตู่หลงเข้ามาพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเอง!


 


ถ้าตู่หลงไม่เต็มใจ แม้ซือหยูจะบังคับ ก็ไม่จำเป็นที่เขาผู้ที่กำลังจะเดินไปบนเส้นทางแห่งความตายต้องยินยอม


 


เมื่อซือหยูนึกถึงตอนที่ตู่หลงขอให้เขาเดินทางไปยังตระกูลตู่ที่อยู่ในเมืองอันยี่แทนเขา เพื่อนำเถ้ากระดูกจากตำหนักหลิงเสี่ยวกลับไป ซือหยูก็เข้าใจ


 


สิ่งที่ถูกต้องที่สุดคือคำพูดของคนตาย


 


ตู่หลงใช้วาระสุดท้ายของชีวิตตอบแทนซือหยู


 


เขาเพียงต้องการกลับบ้านเท่านั้น


 


เมื่อตู่หลงเดินผ่านซือหยูเขาก็หัวเราะ


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู โปรดจำคำที่ข้าขอไว้ด้วย”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีไม่พอใจ


 


“เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่คิดสังหารรองเจ้าตำหนักในวันนั้นงั้นรึ?”


 


ตู่หลงพยักหน้า


 


“ใช่แล้ว! ข้าคำตามคำสั่งของหัวหน้า ข้าบอกได้เลยว่าที่เจ้าตำหนักหยินหยูพูดนั้นเป็นจริงทุกอย่าง!”


 


“ส่วนตัวตนของข้า ถ้าเจ้าไปหาคนในเขตหยินหยูมาซักคน ทุกคนก็จะจำข้าได้”


 


ด้วยตู่หลงที่มาเป็นพยาน ความจริงประจักษ์แก่ทุกคนแล้ว


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีพูดขู่แต่ก็ไม่ได้ออกนอกหน้านัก


 


“อย่างนั้นรึ? คิดให้ดีอีกครั้ง เจ้าไม่ได้พูดอะไรผิดไปใช่หรือไม่?”


 


แต่ตู่หลงก็ถอนหายใจแรงออกมาจนน่าตกใจ


 


“ผู้ตรวจการไป่ฮี เลิกพูดจาไร้ประโยชน์เถอะ เหลือทางเดินให้ผู้อื่นก็เหมือนกับการเหลือทางให้เจ้าได้ถอย อย่ารังแกผู้คนจนเกินไปนักเลย”


 


“เจ้าตำหนักหยินหยูเป็นวีรบุรุษผู้นับถือในผู้คน เขามิตายเพราะการเป็นเหยื่อในความอยุติธรรม”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีหน้าแดงก่ำ


 


“เข้าใจแล้ว ความจริงถึงที่สุด! รองเจ้าตำหนักซางเจี้ยนคิดสังหารรองเจ้าตำหนักสามคน หยินหยู ซื่อเหยาและเฟิงฉิงจึงขัดขืน ดังนั้นสามคนนี้ไม่มีความผิด!”


 


“พวกเจ้า ระวังตัวเอาไว้!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮียืนขึ้นจ้องซือหยูและตู่หลงที่พังแผนการของเขาในท้ายสุด เขาเดินออกไปด้วยความโกรธแค้น


 


เรื่องจบลงเช่นนี้


 


“พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน หยินหยูอยู่กับข้า”


 


หลิงเสี่ยวเทียนท่าทางเฉยเมย


 


เมื่อเหลือเพียงเขากับซือหยู หลิงเสี่ยวเทียนก็มองไปยังนภานอกหน้าต่าง


 


“เจ้าได้สืบเรื่องของตู่หลงมาหรือไม่?”


 


เขากังวลเรื่องของตู่หลง!


 


ไม่สิ พูดให้แน่ชัดก็คือเขากังวลถึงเรื่องเบื้องหลังของคนที่ทำให้ตู่หลงต้องสังหารเหล่ารองเจ้าตำหนักมากกว่า


 


ซือหยูส่ายหัว


 


“คนที่อยู่เบื้องหลังโจรสลัดวารีทมิฬไม่ใช่ตู่หลงแต่เป็นหัวหน้าลำดับหนึ่ง!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนตกใจ


 


“เขาเป็นใครงั้นรึ?”


 


“ข้าก็ไม่รู้เลย! แม้จะผ่านไปหลายปี ตู่หลงเองก็ยังไม่รู้”


 


ซือหยูรายงานตามจริง


 


หลิงเสี่ยวเทียนพยักหน้า


 


“เข้าใจล่ะ แล้วพวกโจรสลัดวารีทมิฬอยู่ที่ไหนกัน? ข้าจะไปเอง”


 


หากหัวหน้าโจรสลัดต้องการลอบฆ่ารองเจ้าตำหนักของอาณาจักรทมิฬ…เขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา!


 


“สายไปแล้ว โจรสลัดวารีทมิฬถูกหัวหน้าลำดับหนึ่งสังหารจนหมดสิ้น! เหลือแค่ตู่หลงที่รอดมาได้ แต่เขาก็เสียแขนไปหนึ่งข้าง! ข้ามาเขามาวันนี้ก็เพื่อจะส่งตัวเขาให้ท่านเจ้าตำหนัก ท่านเจ้าตำหนักจะได้จัดการได้”


 


นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่ซือหยูพาตู่หลงมาด้วย


 


เพราะอย่างไรหัวหน้าลำดับหนึ่งก็คือตัวอันตรายของจริง ซือหยูต้องบอกให้หลิงเสี่ยวเทียนได้รับรู้


 


“เขาไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้จริงๆ”


 


หลิงเสี่ยวเทียนพูดอย่างเย็นชา


 


หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไร้เบาะแส


 


“ส่วนตู่หลง…เขาเป็นของเจ้า”


 


หลิงเสี่ยวเทียนพูด


 


เมื่อครู่ ตู่หลงได้ก้าวเข้ามาอย่างกล้าหาญเพื่อคลี่คลายปัญหาของซือหยู หลิงเสี่ยวเทียนนึกถึงตอนนั้น


 


ซือหยูพยักหน้า


 


หลิงเสียวเทียนหันกลับมาด้วยรอยยิ้มที่พอใจและอบอุ่น เขามองซือหยูอย่างเป็นสุข


 


“แค่เดือนเดียวเจ้าก็เติบโตได้เช่นนี้ คุณสมบัติของเจ้าน่าตกใจนัก”


 


“ต้องขอบคุณท่านเจ้าตำหนักที่ดูแลข้า”


 


ซือหยูตอบกลับด้วยความขอบคุณ


 


หลิงเสี่ยวเทียนช่วยชีวิตเขาไว้สองครั้งและยังให้โอกาสได้เข้าร่วมกับอาณาจักรทมิฬ นี่เป็นการเปิดโอกาสให้ซือหยูได้เติบโตขึ้นมาก


 


ที่สำนักหลิวเซี่ยน ตอนที่ลู่จุนกำลังจะโจมตีเขาก็เป็นหลิงเสี่ยวเทียนที่ปรากฏตัวขึ้นและไล่ลู่จุนไป และหลิงเสี่ยวเทียนก็ยังมอบวิชาเก้าดัชนีอัสนีจินตนาให้เขา


 


ในงานประชุมพันธมิตรเอง ก็เป็นหลิงเสี่ยวเทียนที่ปรากฎตัวขึ้นและปกป้องซือหยูเอาไว้


 


แล้วหลิงเที่ยวเทียนก็ยังชวนซือหยูให้เข้าสู่อาณาจักรทมิฬ


 


ซือหยูจะไม่มีวันลืมน้ำใจของหลิงเสี่ยวเทียน


 


“เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจะใช้โอกาสเจ้าได้เติบโตยิ่งกว่านี้”


 


หลิงเสี่ยวเทียนนั้นลึกลับยากจะคาดเดา เขาปรบมือเบาๆ


 


หญิงงามที่มีร่างกายอันงดงามพร้อมกับม่านบังใบหน้าเดินออกมา


 


นางแสร้งยิ้มและมีดวงตาสดใสราวจันทร์เสี้ยวที่เปล่งประกาย


 


ซือหยูริมฝีปากกระตุกอยู่ใต้หน้ากาก


 


ฮั่วฉีหลาน!


 


“ฉีหลาน นี่คือเจ้าตำหนักคนใหม่ หยินหยู!!”


 


“นางคือฮั่วฉีหลาน รองเจ้าตำหนักลำดับเก้า นางมาอยู่ในอาณาจักรทมิฬก่อนเจ้าห้าปี พวกเจ้าสองคนมาจากร้อยดินแดนเหมือนกัน ควรจะช่วยเหลือกันในภายภาคหน้า”


 


ฮั่วฉีหลานโค้งคำนับและยิ้มแย้ม นางมองซือหยูด้วยความสงสัยอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น


 


“เจ้าอายุแค่สิบหกปีก็สำเร็จขอบเขตอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูงแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าจะน่าประทับใจยิ่งกว่าข้า”


 


ดูเหมือนว่านางชื่นชมซือหยู แต่เสียงของนางก็เต็มไปด้วยความถากถางและไม่ได้สนใจซือหยูมากนัก


 


หลิงเสี่ยวเทียนยิ้มและส่ายหัว


 


“อย่าประมาทเขาเลย แม้แต่ซางเจี้ยนก็ตายด้วยมือเขา”


 


เอ๋? ฮั่วฉีหลานหรี่ตามอง นางจ้องซือหยูตาไม่กระพริบ


 


“อย่างนั้นรึ?”


 


ซางเจี้ยนอยู่ในลำดับห้า ซือหยูที่เป็นรองเจ้าตำหนักหน้าใหม่นั้นน่าทึ่งมาก


 


“เจ้าตำหนักฉีหลาน ข้าหวังว่าพวกเราจะได้ช่วยเหลือกัน…”


 


“ฮ่าๆๆ เรียกข้าว่าศิษย์พี่เถอะ”


 


ฮั่วฉีหลานหัวเราะอย่างน่ารักน่าชัง


 


ในบรรดาสิบรองเจ้าตำหนัก มิได้มีศิษย์พี่ศิษย์น้องตามลำดับอยู่หรอก


 


ซือหยูหัวเราะแต่ก็ไม่พูดอะไร ฮั่วฉีหลานผู้นี้ประหลาดนัก


 


“เข้าใจแล้ว ศิษย์พี่ฮั่ว”


 


ซือหยูยิ้มอย่างประหลาดใจ


 


ที่เกาะเฉินยี่ ซือหยูได้สั่งสอนนางและหนี้แค้นก็ถูกสะสางเป็นที่เรียบร้อย


 


“หยินหยู ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้เพิ่มพลังที่มากกว่านี้”


 


หลิงเสี่ยวเทียนพูดกลับมาในประเด็น


 


“ข้าจะให้เจ้ากับฉีหลานไปที่เมืองอันยี่ พวกเจ้าจะได้ไปบ่มเพาะที่ป่าทมิฬ”


 


“ข้าจะส่งคนไปแอบปกป้องพวกเจ้าสองคนและทำให้เจ้าสองคนกลับมาอย่างปลอดภัย”


 


บ่มเพาะรึ? ซือหยูไม่เข้าใจ ว่ากันว่าป่าทมิฬคือสถานที่อันตรายที่มีคนอยู่น้อยมาก คุ้มค่าแล้วรึที่จะไปบ่มเพาะพลังในสถานที่แบบนั้น?


 


แต่ฮั่วฉีหลานก็เบิกตากว้าง นางมีความสุขมาก


 


“ถึงคราวข้าแล้วรึ? เดี๋ยวก่อน ข้าแค่ได้โอกาสหลังจากที่ทุ่มเทไปมากนัก แล้วทำไมเด็กอย่างเขาถึงได้โอกาสไปกับข้าทั้งๆที่เพิ่งจะมาล่ะ?”


 


ฮั่วฉีหลานไม่พอใจเล็กน้อย


 


“เจ้าก็ทุ่มเทอย่างหนักเช่นกัน เจ้าไม่ควรจะปฏิเสธเขา พวกเจ้าสองคนจะออกเดินทางวันนี้”


 


หลิงเสี่ยวเทียนพูดตัดบท ไม่ให้โอกาสนางได้โต้แย้ง


 


เดินทางทันทีรึ? ซือหยูยังไม่เข้าใจ


 


“ท่านเจ้าตำหนัก นี่มันไม่รีบร้อนไปหน่อยรึ? ข้าต้องสะสางเรื่องในเขตหยินหยูอีก”


 


การเดินทางไปเมืองอันยี่ครั้งนี้คงจะใช้เวลาหลานเดือน และคงไม่มีเวลามากพอที่จะให้เขาสะสางภาระในการดูแลเขตหยินหยู


 


“เรื่องนั้นยังไม่จำเป็น เวลากระชั้นชิดเข้ามาแล้ว”


 


หลิงเสี่ยวเทียนรีบพูด


 


“อาณาจักรทมิฬมีสถานที่ในการบ่มเพาะที่ดีมาก แต่ข้าได้ข่าวว่าคลื่นสัตว์อสูรกำลังจะปรากฏตัวในป่าทมิฬและเข้าปกคลุมพื้นที่บ่มเพาะพลัง ถ้าเจ้าไปที่นั่นช้า โอกาสของพวกเจ้าก็จะเลื่อนออกไปอีกครึ่งปี”


 


“พวกเจ้าสองคนต้องไปบ่มเพาะพลังให้เรียบร้อยก่อนคลื่นสัตว์อสูรจะมา”


 


คลื่นสัตว์อสูรงั้นรึ?


 


ซือหยูกับฮั่วฉีหลานขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกัน


 


“ท่านเจ้าตำหนัก ข้ามีเรื่องที่ต้องรายงาน ในน่านน้ำ สัตว์ป่าและสัตว์อสูรทั้งหมดหายไป! มันแปลกประหลาดมาก!”


 


ฮั่วฉีหลานรายงานสิ่งที่นางรู้


 


นั่นคือสิ่งที่ซือหยูจะพูดเช่นกัน


 


“ท่านเจ้าตำหนัก เขตหยินหยูของข้าก็มีคลื่นสัตว์อสูรเข้ามาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน”


 


หลิงเสี่ยวเทียนขมวดคิ้ว


 


“อย่างนั้นรึ? มีสัญญาณประหลาดจากน่านน้ำ กลางทวีป และป่าทมิฬพร้อมกันงั้นรึ?”


 


เรื่องนี้ไม่ค่อยปกติแล้ว


 


“ข้าจะส่งข่าวให้ตำหนักหลัก พวกเจ้าสองคนไม่ต้องเป็นห่วง คิดถึงเรื่องบ่มเพาะพลังก็พอ พวกเจ้าเดินทางได้แล้ว”


 


ซือหยูพยักหน้าเดินออกจากห้อง ฉีหยุนเซี่ยงเดินเข้ามาหาเขา


 


“หยุนเซี่ยง ข้าต้องเดินทางไกลไปที่เมืองอันยี่ เจ้าต้องไปกับข้าด้วย”


 


การพาฉีหยุนเซี่ยงไปกับเขาคือหนทางที่ปลอดภัยที่สุด ถ้าเขาทิ้งนางกลับไปเขตหยินหยู หัวหน้าโจรสลัดผู้ลึกลับก็อาจจะมาจับตัวนางอีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นจะเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้


 


ฉีหยุนเซี่ยงดีใจและยอมรับอย่างว่าง่าย


 


หลังจากนั้นซือหยูก็มองตู่หลงและพูดอย่างเรียบเฉย


 


“ถ้าเจ้าอยากจะกลับตระกูล ข้าคิดว่าเจ้ากลับไปด้วยตัวเองจะดีกว่า เจ้าตามข้าไปที่ป่าทมิฬ”


 


ตู่หลงแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน


 


“เจ้า…เจ้าจะไม่ฆ่าข้ารึ?”


 


ซือหยูตอบอย่างเย็นชา


 


“ถ้าเจ้าปรารถนาจะชำระบาป คนที่กลับใจแล้วนั้นดีกว่าคนตายมากนัก!”


 


ตู่หลงประทับใจ เขามิอาจอธิบายความสำนึกนี้ได้ด้วยคำพูด เขาจ้องมองซือหยู


 


“ตราบเท่าที่ตู่หลงผู้นี้มีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่มีวันลืมความเอื้อเฟื้อนี้เลย”


 


ด้วยเหตุนี้ พวกเขาทั้งสี่รวมถึงฮั่วฉีหลานจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองอันยี่ด้วยความเร่งรีบ


 


ครึ่งวันผ่านไป พวกเขาผ่านเขตของตำหนักรองไปกว่าครึ่งและกำลังจะออกจากเขตตำหนักรอง


 


แต่ในตอนนั้นเองก็มีพลังอันรุนแรงพุ่งมาหาพวกเขาผ่านเมฆา!


 


พลังวิญญาณนั้นหนาแน่นมาก


 


ซือหยูระวังตัวตลอดการเดินทาง เขาสนใจในระยะรอบๆร้อยห้าสิบลี้


 


“ระวัง!”


 


การเปลี่ยนแปลงของเมฆาทำให้ซือหยูสังเกตเห็น เขารีบอุ้มฉีหยุนเซี่ยงหนีออกจากวิหคยักษ์


 


เขาหันไปมองฮั่วฉีหลานที่อยู่ห่างจากซือหยูเล็กน้อย ซือหยูไม่ได้อุ้มนางมาด้วยและทำได้แค่เตือน


 


ครืน—


 


ปั้ง—


 


พลังวิญญาณมาถึงพวกเขาในพริบตา!


 


วิหคยักษ์ที่ตอบสนองไม่ทันได้ร้องคำรามและกลายเป็นผงสีเทาทันที!


 


พลังวิญญาณแข็งแกร่งมาก!


 


ฮั่วฉีหลานหลบไม่ทันเวลา แต่นางก็ไม่ได้กังวลใจนัก เห็นได้ชัดว่านางคือมังกรระดับเจ็ดเพราะปล่อยพลังวิญญาณออกมาจากร่างได้เพียงเล็กน้อย


 


จากนั้น…ร่างของนางก็เปล่งประกายแสงฉาบนภา


 


จากนั้นแสงเดิมก็มารวมตัวกันที่ข้างซือหยูและกลายเป็นฮั่วฉีหลานอีกครั้ง!


 


ซือหยูตกใจเป็นอย่างมาก


 


วิชาเคลื่อนไหวอะไรกัน? ร่างของนางกลายเป็นแสง และแสงก็มารวมตัวกันอีกครั้งรึ?


 


วิชาลับอันน่าตกใจนี้น่าประทับใจมาก!


 


แต่ซือหยูก็ไม่มีเวลาคิดถึงวิชานี้ เขามองหมู่เมฆาด้วยสีหน้าหม่นหมอง


 


“แม้เจ้าจะเป็นผู้ตรวจการ เจ้าก็ยังลอบโจมตีพวกเรา เจ้าไม่มียางอายบ้างรึ?”


 


พรึ่บ–


 


เมฆากระจัดกระจายออกไป!


 


ชายแก่ที่บินลอยมือไพล่หลังปรากฏตัวออกมา


 


เขาคือผู้ตรวจการไป่ฮี!


 


“ฮื่ม ข้าจะเป็นตัวแทนของอาณาจักรและฆ่าคนทรราชย์ของอาณาจักร หยินหยู เจ้าฆ่ารองเจ้าตำหนักและแม้แต่ความตายก็ชดใช้ไม่ได้!”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ครึ่งวันก่อนเจ้าประกาศต่อหน้าทุกคนแล้วไม่ใช่รึว่าเรื่องถูกสอบสวนไปหมดแล้ว!”


 


“หลิวเสี่ยวเทียนบิดเบือนกฎเพื่อช่วยเจ้า ผลการสอบสวนไม่ได้สรุปอย่างเป็นธรรม! ตอนนี้ข้าขอประกาศว่าเจ้า หยินหยู เจ้ามีความผิดและจะถูกประหาร!”


 


ข้ออ้างอันน่าละอายนี้ทำให้ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่น


 


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าตาแก่อย่างเจ้าจะต้องไปปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แต่ถ้าเจ้าอยากจะฆ่าข้าก็เข้ามา เจ้าจะพูดมากไปเพื่ออะไรกัน?”


 


ซือหยูเตรียมป้องกัน หัวใจเขาเต้นระรัว


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีมีพลังมหาศาล…แทบจะพอๆกับหลิงเสี่ยวเทียน


 


ต่อหน้ายอดฝีมือเช่นนี้ ซือหยูอาจจะไม่มีโอกาสได้โต้กลับ!


308

“หยุนเซี่ยง ตู่หลง เจ้าตำหนักฉีหลาน พวกเจ้าหนีไปคนละทาง คนที่หนีไปได้คือคนที่จะรอด!”


 


ซือหยูสีหน้าหม่นหมอง


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีกล้าเข้ามาขวางทางพวกเขา เขาเตรียมจะสังหารทุกคนเพื่อปิดปากอยู่แล้ว


 


แต่ถ้าหากสามคนหนีไปคนละทาง ก็จะมีโอกาสที่หนึ่งคนจะรอดไปได้


 


ถ้ามีหนึ่งคนรอดออกไปผู้ตรวจการไป่ฮีก็อาจจะไม่ฆ่าซือหยู เพราะเรื่องของเขาอาจจะถูกเปิดโปงได้!


 


“ข้าไม่ให้พวกเจ้าไปไหนทั้งนั้น! ใครที่กล้าหนีจะถูกลงโทษ!”


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีเตือน


 


ฮั่วฉีหลานโกรธเกรี้ยว


 


“ไอ้แก่ เจ้าไม่รู้จักความละอายเลยรึ?”


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาลอบโจมตีและใช้ความผิดป้ายสีเพื่อที่จะสังหารคน เรื่องที่ทนไม่ได้จริงๆก็คือการที่เขาต้องการจะเก็บพวกซือหยูทุกคน แต่เขากลับพูดว่าทำไปเพราะเป็นตัวแทนแห่งกฎ!


 


“ไป!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงกับคนที่เหลือนั้นคิดอ่านได้เร็ว พวกเขาเขาใจทันทีว่าถ้าหากหนีไปได้ ซือหยูก็จะมีโอกาสรอด


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ทั้งสามพุ่งออกไปคนละทิศทาง


 


ซือหยูบินไปในทางตรงข้ามจากทั้งสาม


 


แม้แต่ผู้ตรวจการไป่ฮีก็ไล่ตามพวกเขาทั้งสี่คนไม่ได้


 


แต่ผู้ตรวจการไป่ฮีไม่ได้ไม่พอใจเลย เขายิ้มอย่างเย็นชา


 


“ถ้าผู้ตรวจการอย่างข้าปล่อยให้เจ้ารอดไปได้ ข้าก็จะกลายเป็นเรื่องตลกของคนทั้งโลก!”


 


“ร่างเงาระดับสอง!”


 


ซ่า—


 


พลังวิญญาณหนึ่งในสามของผู้ตรวจการไป่ฮีถูกปล่อยออกมาเป็นร่างมนุษย์


 


รูปร่างนั้นส่วนใหญ่เทียบเท่ากับผู้ตรวจการไป่ฮี และพลังก็ไปถึงอำมฤษระดับสี่!


 


ร่างเงาที่สร้างจากพลังวิญญาณงั้นรึ?


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ร่างเงาของเขาบินไปทางฮั่วฉีหลานและใช้ร่างหลักไล่ตามซือหยูพร้อมกับหัวเราะอย่างเลือดเย็น


 


“เจ้ากบฏ ข้าจะต้องลงโทษเจ้า!”


 


แต่ฮั่วฉีหลานนั้นโชคร้าย วิชาเคลื่อนไหวของร่างเงานั้นเหนือว่านางทำให้นางถูกจับในทันที


 


สีหน้านางขมขื่น ฮั่วฉีหลานกำลังจะร้องไห้


 


“เจ้าตามข้ามาทำไม? เจ้าคนชั่วช้า!”


 


ครืน—


 


ร่างเงาจู่โจมอย่างไร้ปรานี ดัชนีซัดไปที่แผ่นหลังของฮั่วฉีหลาน


 


แต่ก่อนที่ฮั่วฉีหลานกำลังจะถูกสังหาร…


 


พรึ่บ—


 


ร่างมนุษย์โปร่งใสปรากฏตัวขึ้นมา


 


เสียงหัวเราะแหบแห้งดังมาจากร่างนั้น


 


“หึหึหึ….ผู้ตรวจการไป่ฮีจะต้องอารมณ์ดีนักถึงได้ซัดพลังอย่างไร้ปรานีกับพวกเด็กๆ ทำไมถึงไม่ลองกับข้าดูเล่า?”


 


ร่างเงาเงยหน้า พลังวิญญาณในร่างสั่นไหวและสลายไป


 


ซ่า—-


 


ร่างโปร่งใสกลายเป็นหยดพิรุณนับล้านร่วงหล่นสู่ธรณี


 


ท้องนภาเต็มไปด้วยพิรุณเย็นยะเยือก ร่างเงาไร้ที่หลบซ่อนและถูกทะลวงโดยหยดพิรุณ


 


สุดท้ายร่างเงาก็สลายไป


 


ที่อีกด้าน ซือหยูหนีไปได้ไม่ไกลนักผู้ตรวจการไป่ฮีก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า


 


“เจ้าหนู เจ้าคิดว่ารองเจ้าตำหนักอย่างเจ้าจะหนีจากข้าไปได้เมื่อข้าคิดจะจับตัวเจ้างั้นรึ?”


 


จิตสังหารอยู่ในแววตาของเขา


 


“เจ้าฆ่าหัวหน้าองครักษ์ของข้า โต้เถียงข้า ท้าทายอำนาจข้า ตายเป็นร้อยครั้งก็ยังชดใช้บาปของเจ้าไม่ได้!”


 


จิตสังหารเข้าจู่โจมซือหยู เขาหัวใจเต้นระรัว


 


การเจอกับชายผู้นี้เพียงคนเดียวนั้นย่ำแย่ยิ่งกว่าฮั่นเจียงหลินเสียอีก!


 


ชายคนนี้ระดับสูงกว่าฮั่นเจียงหลินมาก!


 


“หึหึ ในที่สุดเจ้าก็เลิกอ้างความยุติธรรมแล้วรึ? ท้ายสุดเจ้าก็ต้องการฆ่าข้าเพื่อกอบกู้หน้าเจ้ากลับมา”


 


ซือหยูเยาะเย้ยโดยไร้ซึ่งความกลัว


 


ด้วยจิตสังหารเช่นนี้ การแสดงความอ่อนแอและเรียกหาความเมตตานั้นไร้ประโยชน์


 


“เจ้าโง่เอ้ย! ข้าจะส่งเจ้าลงนรก!”


 


จิตสังหารของผู้ตรวจการไป่ฮีปะทุขึ้น


 


“ยักย้ายพื้นที่!”


 


ซือหยูเตรียมใช้พลังมานานแล้ว


 


พลังล้อมรอบซือหยู กำลังจะส่งเขาไปยังระยะสามสิบลี้ไกลออกไป


 


แต่ก่อนที่พลังพื้นที่จะได้ทำงาน ไป่ฮีก็ยิ้มเยาะ


 


“ต่อหน้าข้า เจ้ากล้าใช้พลังอ่อนแอเช่นนั้นเรอะ?”


 


“สลายไปซะ!”


 


เขาปล่อยพลังวิญญาณออกมา


 


พลังพื้นที่รอบกายซือหยูสลายไปทั้งหมด!


 


ซือหยูชักสีหน้า


 


นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนสลายพลังพื้นที่ของเขาโดยตรง!


 


“ผนึกเวลา!”


 


ซือหยูกัดฟันและตัดสินใจในทันที


 


มังกรม่วงเข้ารัดกายของไป่ฮี


 


แม้จะเป็นวินาทีเดียว มันก็พอยื้อเวลาได้


 


แต่ซือหยูก็ตกใจอีกครั้ง….


 


“หึหึ เจ้ามีวิชาเยอะนัก โชคร้ายที่ต่อหน้าข้ามันไร้ประโยชน์!”


 


เพียงคำราม มังกรม่วงที่ล้อมกายก็ถูกบดขยี้และร้องคำรามลั่น!


 


ซือหยูเบิกตากว้าง!


 


มีคนที่หลุดจากผนึกเวลาของเขาได้!


 


เขามีพลังแบบใดกัน?


 


“เร่วเวลา!”


 


“มิติบิดเบือน!”


 


ในเวลาเร่งรีบ ซือหยูใช้พลังเร่งเวลาและใช้มิติบิดเบือนพยายามที่จะบดขยี้หัวใจของไป่ฮี


 


แต่ความเร็วที่มากกว่าเดิมสามเท่านั้นไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าไป่ฮี


 


เพียงสั่นกายเล็กน้อยมิติบิดเบือนก็สลายไป


 


เขาไล่ตามจนถึงตัวซือหยู


 


ในตอนนี้ ความรู้สึกถึงความตายเอ่อล้นในตัวซือหยู


 


ราวกับภูเขาใหญ่กำลังกดดันเขา


 


ความต่างในพลังมันมากเกินไป


 


ต่อหน้าเขา ซือหยูไม่มีโอกาสจะได้โต้ตอบ!


 


เขาต้องตายเพราะคนชั่วช้าเช่นนี้รึ?


 


แต่ในตอนนั้นเอง คลื่นพลังได้พุ่งมาทางพวกเขาจากในทิศทางของตำหนักหลิงเสี่ยว เล็งไปที่อกของไป่ฮี


 


“สมบัติเทพของตำหนัก หอกเทพพังทลาย!”


 


เขาไม่สนใจซือหยูอีกแล้ว เขารีบปล่อยพลังวิญญาณออกมาสร้างเกราะป้องกันการโจมตี!


 


แกร๊ก—


 


เกราะแหลกสลายในพริบตา มันป้องกันอะไรไม่ได้เลย


 


หอกได้ทะลวงอกของผู้ตรวจการไป่ฮี


 


เอื้อก—


 


เขากระอักเลือดออกมา เคราสีขาวถูกย้อมด้วยสีแดง


 


ที่อกของเขาเป็นรูแผลที่มีโลหิตทะลัก


 


เพียงการโจมตีเดียวก็ทำให้ผู้ตรวจการไป่ฮีบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าเขาจะมีพลังมหาศาล!


 


หอกเทพพังทลายนี้น่ากลัวแค่ไหนกัน?


 


เมื่อเทียบกันแล้ว ไหมเทพน้ำแข็งไม่ควรค่าให้พูดถึงด้วยซ้ำ


 


ฟึ่บ–


 


บุรุษคนหนึ่งพุ่งมาทางพวกเขาและคว้าหอกเทพพังทลายที่ย้อมไปด้วยโลหิต


 


เขามีใบหน้าหล่อเหลา ชุดของเขาโบยบินไปตามแรงลม


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีจ้องมองหอกเทพพังทลายอย่างไม่ละสายตา


 


“หลิงเสี่ยวเทียน เจ้ากล้าใช้สมบัติเทพของตำหนักได้ยังไง? สมบัตินี้ใช้เพื่อฆ่าศัตรู แต่เจ้ากล้าใช้มันกับผู้ตรวจการ!”


 


“ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้ท่านจ้าวพิจารณา!”


 


เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะสังหารรองเจ้าตำหนัก แต่เขาก็ปัดความผิดตัวเองทิ้งไป!


 


หลิงเสี่ยวเทียนถือสมบัติเทพในมือ เขามองอย่างเยือกเย็น


 


“ผู้ตรวจการ! ไป่! ฮี!”


 


“เจ้าใช้นามของผู้ตรวจการขอพบรองเจ้าตำหนักของข้า ข้ายังพอรับได้!”


 


“เจ้าใช้เรื่องของหยินหยูเพื่อเข้ามาสร้างปัญหา ลงโทษเขาต่อหน้าข้า เพราะเจ้าอยากจะข่มอำนาจของข้า ข้าก็ยังรับได้!”


 


“แต่ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้าถ้าจะฆ่าคนของตำหนักรองในทวีปนี้!”


 


มีเส้นกั้นหนึ่งที่มิอาจมีใครข้ามไปได้


 


หลิงเสี่ยวเทียนเคยสัญญาว่าหากมีเขาอยู่ ซือหยูจะไม่ลำบาก


 


“ถ้าข้าใช้หอกเทพแล้วเจ้าก็ไม่มีทางรอดออกไปได้! ข้าจะอธิบายให้ท่านราชารู้ทีหลัง!”


 


“ส่วนตอนนี้!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนกำหอกเทพชี้ไปยังผู้ตรวจการไป่ฮี


 


พวกเขาอยู่ไกลกันมาก แต่หอกเทพพังทลายก็มีพลังแห่งความตายอยู่


 

 

 


ตอนที่ 309

 

ผู้ตรวจการไป่ฮีถอยด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาตกใจและหวาดกลัว


 


“หลิงเสี่ยวเทียน เจ้าคิดจะสู้เพื่อทำลายกันเองงั้นรึ? ขะ…ข้าก็แค่ถูกอารมณ์ครอบงำและเผลอไปก็เท่านั้น!”


 


“ข้าจะขอโทษก็ได้ถ้าเจ้าต้องการ!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนใบหน้าเบื่อหน่าย


 


“เผลอไปเท่านั้นรึ? ถ้าข้าไม่แอบตามมา คนของข้าไม่ตายเพราะความเผลอของเจ้าไปหมดแล้วรึ?”


 


“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าขอโทษ! ข้าต้องการเลือดของเจ้าเป็นเครื่องแทนความยุติธรรมให้คนของข้า!”


 


จิตสังหารมากมายก่อตัวขึ้นในหลิงเสี่ยวเทียน


 


ยังคงไม่เป็นไรแม้เขาจะใส่ร้ายซือหยูและพยายามอย่างมากที่จะฆ่าซือหยู


 


แต่เมื่อแผนล้มเหลว เขากลับใช้วิธีที่น่ารังเกียจโดยการลอบฆ่าซือหยู!


 


มีแค่การฆ่าคนเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้คนในกลุ่มซือหยูไม่ต้องกังวลว่าจะเจอการลอบโจมตีจากข้างหลังอีก!


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีไม่พอใจอย่างมาก


 


“หลิงเสี่ยวเทียน! เจ้าควรจะคิดให้ดี เจ้ากล้าฆ่าข้ารึ? ข้าเป็นผู้ตรวจการ ข้ารับผิดชอบการกระทำของพวกเจ้าทุกอย่าง ฆ่าข้าก็ไม่ต่างจากการเป็นกบฏ!”


 


“ยังไม่สายไปถ้าเจ้าจะหยุดตอนนี้!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนยังคงมีจิตสังหารตามเดิม


 


“เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาพูดกับข้า หลังจากฆ่าเจ้าข้าจะกลับไปที่ตำหนักหลัก! เจ้าจะได้ใช้ชีวิตในโลกหน้าอย่างสงบ!”


 


“หอกเทพพังทลาย!”


 


หลังจากตะโกน หอกใสดั่งแก้วก็เปล่งประกายแสง


 


แสงอันคมกริบที่สามารถคร่าชีวิตได้ปลอดปล่อยออกมาอย่างน่ากลัว


 


ครืน—-


 


ครืน—


 


แผ่นดินสะเทือน นภาเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม


 


ในระยะสามร้อยลี้ของการโจมตี เหล่าวิหคทุกตัวบินหนีไปคนละทิศละทางด้วยความกลัว


 


พลังวิญญาณบ้าคลั่งจากระยะสามร้อยลี้ปะทุขึ้น สายลมเกรี้ยวกราดพัดกระหน่ำผ่านขอบนภา


 


เพียงครู่เดียว จักรวาลก็สูญเสียเฉดสีไป ราวกับไม่มีแสงจากตะวันจันทรา!


 


ในความมืดมิด มีเพียงหอกแก้วที่เปล่งประกายแสงอันงดงาม


 


ราวกับมีเพียงหอกแก้วนี้เพียงอย่างเดียวที่มีตัวตนอยู่ในจักรวาล!


 


ซือหยูตกใจมาก


 


นี่คือพลังที่แท้จริงของหอกเทพพังทลายงั้นรึ?


 


เมื่อมันปรากฏตัว ทั้งจักรวาลก็เสียสีสันไปจนหมด!


 


แววตาของผู้ตรวจการไป่ฮีเต็มไปด้วยความกลัว เขาหยุดกายที่สั่นไม่ได้เลย


 


ฟึ่บ–


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีรีบหนีอย่างไม่ลังเล!


 


หอกในมือหลิงเสี่ยวเทียนพุ่งทะลวงขอบนภา


 


ฉั่วะ–


 


ร่างของผู้ตรวจการไป่ฮีกลายเป็นฝุ่นผงโดยไม่เหลือเวลาให้กรีดร้อง


 


ผู้ตรวจการเช่นเขาถูกสังหารอย่างง่ายดายด้วยสมบัติเทพ!


 


ฟึ่บ–


 


หลิงเสี่ยวเทียนโบกมือให้หอกเทพกลับมา


 


แสงที่เปล่งประกายดับลง จักรวาลกลับมาเป็นดังเดิม


 


ซือหยูตกตะลึง เขามองหอกเทพพังทลายอย่างไม่เชื่อสายตา


 


“นี่คือหอกเทพพังทลาย หนึ่งในสิบสองสมบัติเทพของอาณาจักรทมิฬ ตำหนักทั้งห้ากับจ้าวแห่งความมืดจะมีสมบัติคนละชิ้น”


 


“สมบัติเทพถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่ยุคโบราณและมีพลังทำลายล้างมากที่สุดในอาณาจักร ถ้าวันหนึ่งเจ้าได้กลายเป็นเจ้าตำหนักหรือหนึ่งในเจ็ดจ้าวแห่งความมืด เจ้าก็จะมีโอกาสได้รับหนึ่งในสมบัติเทพเช่นกัน”


 


ซือหยูตื่นเต้นจนเลียริมฝีปาก พลังทำลายล้างสูงสุดของอาณาจักรทมิฬงั้นรึ?


 


ด้วยพลังมหาศาลของสมบัติเทพทั้งสิบสอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาณาจักรทมิฬถึงยังมีตัวตนอยู่ได้แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายหมื่นปี


 


แต่ก็ไม่ยากที่จะบอกว่าเขาต้องสละมหาศาลในการใช้สิบสองสมบัติเทพถ้าฟังจากที่ผู้ตรวจการไป่ฮีบอก


 


ซือหยูเพ่งสมาธิและตระหนักว่าแม้ภายนอกหลิงเสี่ยวเทียนจะเปลี่ยนไปไม่มากนัก แต่เขาก็หน้าซีดเล็กน้อยและทั้งร่างก็ไม่เหลือพลังวิญญาณเลย!


 


เพียงแค่ครั้งเดียวก็ทำให้เจ้าตำหนักใช้แรงและพลังวิญญาณไปจนหมดงั้นรึ?


 


“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าเดินทางต่อไปได้ จำไว้ว่ากลับมาให้เร็วที่สุด ข้ามีเรื่องใหญ่ให้เจ้ากับฉีหลาน”


 


หลิงเสี่ยวเทียนลูบหัวซือหยูอย่างอ่อนโยน เขายิ้มและจากไป


 


จากนั้น ฮั่วฉีหลาน ฉีหยุนเซี่ยงและตู่หลงก็กลับมาหาซือหยู


 


“นั่นคือสมบัติของตำหนักงั้นรึ?”


 


แววตาอันงดงามราวจันทร์เสี้ยวของฮั่วฉีหลานหม่นหมอง นางมองซือหยูอย่างลึกซึ้ง


 


ตลอดการเดินทางของพวกเขา ฮั่วฉีหลานมองซือหยูหลายครั้งจนเขาอึดอัด


 


ครึ่งวันผ่านไป ขณะที่พวกเขาพัก ฮั่วฉีหลานเข้ามาใกล้ซือหยูและจ้องมอง


 


“เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าตำหนักหลิงถึงเลือกเจ้าเป็นรองเจ้าตำหนักลำดับสิบ?”


 


ซือหยูตกใจ


 


“นั่นเป็นเพียงแค่น้ำใจที่ข้าไม่สมควรได้รับ”


 


แต่ฮั่วฉีหลานก็ส่ายหัวอย่างเชื่อมั่น


 


“ไม่ใช่! สายตาของเจ้าตำหนักหลิงน่ากลัวกว่าทุกผู้คน เขาจะต้องไม่มองพลาด! การที่ให้เขตนิรนามกับเจ้าก็ชัดเจนอยู่แล้ว!”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“เขตนิรนามนั่นเป็นเพียงดินแดนที่แร้นแค้น มันมีค่าเช่นนั้นเชียวรึ? เพราะข้าเป็นคนสุดท้าย เขาต้องไม่มีตัวเลือกอื่นอยู่แล้ว”


 


“ฮ่าๆๆ แล้วถ้าข้าบอกเจ้าว่าเจ้าตำหนักเฉินคงอยากจะได้เขตของเจ้ามาโดยตลอดล่ะ? ถ้าเขาทำแม้แต่ยอมแลกเขตเฉินคงล่ะ?”


 


ฮั่วฉีหลานหรี่ตาราวกับจะมองบางสิ่งจากดวงตาของซือหยู


 


เอ๋? เจ้าตำหนักเฉิงคงรึ?


 


เขตที่ติดกับเขตนิรนามคือเขตเฉินคง!


 


เจ้าตำหนักเฉินคงที่เป็นหัวหน้าของสิบรองเจ้าตำหนักและยังเป็นรองเจ้าตำหนักที่แข็งแกร่งที่สุดคนนั้นน่ะรึ?


 


เขาหมายตาเขตนิรนามที่รกร้างว่างเปล่านี้น่ะรึ?


 


“เขาไม่ใช่คนเดียว รองเจ้าตำหนักคนอื่นรวมถึงข้าก็หวังจะได้ดินแดนนั้น แต่พวกเราก็ถูกเจ้าตำหนักหลิงปฏิเสธ!”


 


รองเจ้าตำหนักทั้งเก้าต่างต่อสู้เพื่อดินแดนนี้รึ?


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าเขตของเจ้ามันสำคัญแค่ไหน!”


 


“เจ้าไม่รู้รึว่าดินแดนนั้นคือศูนย์กลางของทวีปตอนเหนือ?”


 


ซือหยูรู้ถึงข้อมูลนั้น อาณาจักรทมิฬตั้งอยู่ที่กลางทวีปตอนเหนือ


 


และบังเอิญนักที่เขตหยินหยูตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของตอนเหนือมากที่สุด


 


“มันก็แค่เขตที่อยู่ตรงกลาง มีเหตุผลอื่นที่สำคัญด้วยรึ?”


 


ซือหยูไม่เข้าใจ


 


ฮั่วฉีหลานแววตาริษยา


 


“เช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาณาจักรทมิฬตั้งต้นมาจากเขตตรงกลางนั่น?”


 


“ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักร เมื่ออาณาจักรทมิฬมาที่ทวีปเฉินหลงครั้งแรก มันตั้งอยู่ที่เขตนิรนาม!”


 


“เขตนั่นคือเขตชี้ชะตาของอาณาจักรทมิฬ! ตลอดหลายรุ่นที่ผ่านมา ราชาแห่งความมืดจะส่งยอดฝีมือลึกลับมาปกป้องเขตแห่งนี้ เจ้าตำหนักธรรมดาไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะปกครองเขต! ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าตำหนักหลิงถึงส่งเขตนี้ให้กับเด็กน้อยเช่นเจ้า!”


 


ฮั่วฉีหลานไม่ค่อยพอใจนัก


 


“เจ้าตำหนักหลิงไม่ใจดีกับเจ้าเกินไปหน่อยรึ? เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยเมื่อใช้สมบัติเทพของอาณาจักรช่วยชีวิตเจ้า”


 


ซือหยูประหลาดใจมาก เขตนิรนามมีพื้นเพเช่นนี้เองรึ?


 


และราชาแห่งความมืดยังส่งยอดฝีมือมาเป็นการส่วนตัวเพื่อปกป้องเขตแห่งนี้ด้วย!


 


ใครกันคือยอดฝีมือคนนั้น? เขาไปอยู่ไหนในเขตหยินหยูกัน?


 


“ลืมไปซะเถอะ ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!”


 


ฮั่วฉีหลานแอบมองดูสีหน้าและคำพูดของซือหยู หลังจากนางรู้แล้วว่าซือหยูไม่รู้เรื่อง นางก็เลิกสนใจ


 


“รีบเดินทางเถอะ ฝูงสัตว์อสูรกำลังจะมาแล้ว จะเสียเวลาไปไม่ได้”


 


หลังจากพักไปไม่นาน ทั้งสี่ก็เดินทางอีกครั้ง


 


แต่พวกเขาทุกคนไม่รู้เลยว่าในที่ที่เกิดการต่อสู้เมื่อครู่ ในซากที่ถูกทำลายจากการต่อสู่ได้เกิดความเคลื่อนไหว รอยแตกปรากฏที่พื้น


 


มืออันแก่เฒ่าปืนออกมาจากรอยแยกอย่างยากลำบาก


 


คนที่ปรากฏตัวขึ้นคือผู้ตรวจการไป่ฮีที่ควรจะตายไปแล้ว!


 


ร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ใบหน้าซีดเผือด


 


ฐานพลังของเขาลดลงมาเหลืออำมฤตระดับสามขั้นสูง ซึ่งต่ำกว่าฐานพลังของร่างเงาของเขา!


 


เขาปีนออกมาด้วยใบหน้าและผมที่เต็มไปด้วยฝุ่น ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความกลัวแม้จะผ่านภัยร้ายมาได้


 


“พลังของสิบสองสมบัติเทพนั้นไร้เทียมทานนัก! ถ้าวิชาร่างเงาของข้าไม่ทะลวงขั้นเมื่อเดือนก่อนข้าก็คงจะสร้างร่างเงามาหลอกหลิงเสี่ยวเทียนไม่ได้ ข้าคงต้องถูกฝังที่นี่ไปแล้ว”


 


แต่แม้เขาจะรอดกลับมา เขาก็บาดเจ็บและฐานพลังก็ลดลงไปมาก


 


เขารู้สึกถึงร่างกายที่อ่อนแอและฐานพลังที่ลดลาม แววตาเขาเปลี่ยนไปดั่งวิญญาณร้าย


 


“หลิงเสี่ยวเทียน! แค้นนี้ต้องชำระ!”


 


พรึ่บ–


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีหยิบนกกระดาศออกมา หลังจากที่กระอักเลือด นกกระดาษบินไปตามทางกลางทวีป


 


“บอกจ้าวไป่ลั่วว่าหลิงเสี่ยวเทียนใช้สมบัติเทพไปแล้ว นี่คือโอกาสดีของพวกเรา!”


 


นกกระดาษพยักหน้าราวกับมนุษย์ จากนั้นจึงบินหายลับไป


 


จากนั้นเขาก็มองไปในทิศที่ซือหยูเดินทาง


 


“หลิงเสี่ยวเทียน! ข้าจะต้องทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยากตาย! ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าได้ฆ่าพวกมัน ข้าก็จะฆ่ามันให้หมด!”


 


ฟึ่บ–


 


ผู้ตรวจการไป่ฮีลากร่างที่บาดเจ็บสาหัสมุ่งหน้าไล่ตามซือหยู

 

 

 


ตอนที่ 310

 

หนึ่งเดือนต่อมา


 


ที่รอยต่อระหว่างทวีปตอนเหนือกับตะวันออก


 


ป่าไร้ขอบเขตตั้งอยู่กลางหมู่เมฆา ขอบนภาปกคลุมทอดยาว


 


ราวกับคลื่นที่ทอดยาวบนนภา


 


ต้นไม้สูงใหญ่อยู่รวมกันอย่างหนาแน่น


 


นี่คือป่าทมิฬ


 


เป็นดินแดนรกร้าง ไม่มีคนอยู่อาศัยมาหมื่นปี


 


ว่ากันว่าสัตว์อสูรมากมายอยู่ลึกภายในป่าทมิฬ ทำให้เป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับมนุษย์


 


นอกจากคนที่แข็งแกร่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีพรสวรรค์ที่จะอยู่ที่นี่ได้ มนุษย์ธรรมดาอื่นไม่เคยกลับออกมาอีกเลยเมื่อเข้ามายังป่าทมิฬ


 


ที่จุดสิ้นสุดของป่าทมิฬคือสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ ดูเหมือนกับดินแดนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันยิ่งใหญ่ตระการตา


 


หากมองลงไปก็จะพบผู้คนที่เข้าออกอยู่มากมาย


 


ฮั่วฉีหลานมองเมืองอย่างนับถือ


 


“เมืองอันยี่เต็มไปด้วยนักรบที่แข็งแกร่งและไม่ขึ้นตรงกับกุมกำลังใด เมื่อเข้าไปสถานะของพวกเราก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เจ้าต้องระวังตัว”


 


ฐานที่ตั้งของเมืองอันยี่นั้นเป็นเอกลักษณ์ไม่ต่างกันอาณาจักรทมิฬ


 


สามขุมกำลังแห่งตอนเหนือ ร้อยดินแดน คณะวิหคเพลิง และหอสดับหิมะมิอาจปกครองเมืองนี้ได้อย่างเต็มตัว


 


ดังนั้นจึงมียอดฝีมือมากมายที่ไร้พื้นเพมารวมตัวกันที่เมืองอันยี่


 


และยังมีกลุ่มคนทรยศจากขุมอำนาจพร้อมกับเหล่ายอดฝีมือที่เลือกจะปิดบังตัวตนของตัวเอง


 


และก็มีคนอย่างพวกซือหยู คนที่เป็นของขุมกำลังแต่ถูกส่งมาเพื่อบ่มเพาะในป่าทมิฬ


 


ตู่หลงมองเมืองอันยี่ที่คุ้นเคยและถอนหายใจ


 


“ข้าไม่ได้กลับมาหลายสิบปีแล้ว ใครกันจะหวังให้ข้ากลับบ้านอีก?”


 


หืม? ซือหยูเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าตู่หลงจะตั้งใจกลับมาที่ตระกูลตู่ แต่ก็ยังคงกล้าๆกลัวๆ


 


หรือว่าจะเป็นเพราะเขาไม่กล้าจะกลับตระกูล?


 


ซือหยูส่ายหัวและลงไปยังทางเข้าเมือง


 


ทางเข้าเมืองนั้นมีการป้องกันอย่างหนาแน่น มีกฎที่เคร่งเครียดว่าใครเหมาะสมจะได้เข้าเมือง


 


“ต้องให้เหรียญทองพวกเขาก่อนจะเข้าไปงั้นรึ?”


 


ซือหยูถาม


 


บางเมืองจะขอเหรียญทองเพื่อตรวจสอบความร่ำรวยของคนที่จะเข้าเมือง นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก


 


ฮั่วฉีหลานชี้ทางเข้าที่มีแผ่นศิลาสูงเท่ากำแพงเมือง


 


“พวกเราไม่ต้องใช้เหรียญทอง เพียงแค่พิสูจน์พลังเท่านั้น”


 


“เมืองอันยี่มีคนหลายประเภท ถ้าเจ้าเข้าไปโดยไม่มีพลังพอ เจ้าก็อาจจะพบจุดจบอันน่าเศร้า ดังนั้นจึงมีการกำหนดขอบเขตพลังที่ขั้นต่ำเอาไว้ ใครที่มีพลังไม่ถึงขั้นต่ำจะเข้าเมืองไม่ได้ เพื่อป้องกันการถูกรังแกในเมือง”


 


“เจ้าจะเข้าเมืองได้ก็ต่อเมื่อเป็นขอบเขตมังกรขึ้นไป การทดสอบจะทำโดยการวางมือเจ้าลงบนแผ่นศิลาและรวบรวมพลังวิญญาณมาที่ฝ่ามือ แผ่นศิลาจะให้ผลลัพธ์ออกมา คนที่แผ่นศิลาให้ผ่านเท่านั้นที่จะได้เข้าเมือง”


 


ทุกคนพยักหน้าและต่อแถววัดพลัง


 


พวกเขารอนานครึ่งชั่วยามอย่างอดทนใต้แสงตะวันร้อนระอุก่อนจะถึงคราวของตัวเอง


 


“ข้าจะไปก่อน”


 


ฮั่วฉีหลานอาสา นางวางมือลงบนแผ่นศิลาและรวบรวมพลังวิญญาณออกมา


 


ซ่า—-


 


แผ่นศิลาส่งเสียงออกมาทันที


 


“มังกรระดับเจ็ดขั้นสูง ผ่าน! ไปได้!”


 


ผู้เฒ่าอำมฤตระดับหนึ่งที่อยู่ข้างแผ่นศิลาพูด


 


ฮั่วฉีหลานเข้าเมืองและรอซือหยูอยู่ข้างใน


 


“ต่อไป”


 


ผู้เฒ่าไม่หันมอง เขานั่งข้างแผ่นศิลาอย่างหยิ่งยโสเมื่อสั่ง


 


ซือหยูกำลังจะก้าวเข้าไป


 


ในตอนนั้นเองก็มีสายลมพัดเข้ามาผลักซือหยู


 


เป็นบุรุษชุดสีมรกตอายุประมาณยี่สิบปี เขาใบหน้ารูปวามและดูอ่อนโยน


 


ฐานพลังของเขาไม่ได้อ่อนแอ เขาสำเร็จขอบเขตอำมฤตระดับสาม!


 


เขาเป็นอำมฤตระดับสามตั้งแต่อายุยี่สิบปี!


 


ในด้านพรสวรรค์ เขาเหนือยิ่งกว่ารองเจ้าตำหนักอังฟางที่เป็นลำดับสี่!


 


เขาถือพัดในมือ พัดในมือแตะอกของซือหยูเบาๆและผลักร่างของเขาเพื่อเปิดทาง


 


ขณะเดียวกันเขาก็หยุดพัดไว้ที่อกซือหยู เพื่อไม่ให้ซือหยูเดินไปข้างหน้า


 


เขาไม่เคยมองซือหยูตรงๆเลยสักครั้ง เขามองด้านหลังอย่างสง่างาม


 


“ศิษย์พี่เว่ยไปก่อนเถอะ”


 


ซือหยูเลิกคิ้ว ยังไม่เป็นไรหากเขาจะแซงแถว มันเป็นเรื่องเล็กน้อย


 


แต่หยุดพัดไว้ที่อกซือหยูและจัดคิวให้คนอื่นเช่นนี้มันรับไม่ได้!


 


“ออกไป!”


 


ซือหยูใจเย็น


 


แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจเขา เขายิ้มและมองศิษย์พี่เว่ยที่ค่อยๆเดินมาทางแผ่นศิลา


 


ราวกับว่าไม่ได้ยินคนที่พูดอยู่ข้างๆ


 


ในตอนนั้นศิษย์พี่เว่ยก็เดินตามทางเข้ามา


 


เขาอายุยี่สิบปี เขาตัวสูงใหญ่ เส้นผมสีดำเรียบลื่น ใบหน้าเฉียบคม เขาดูไม่เหมือนผู้ใด


 


ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือรังสีพลังที่เขาปล่อยออกมาเล็กน้อย


 


เขามีพลังอำมฤตระดับสามขั้นกลาง!


 


ไม่ว่าจะผ่านไปที่ไหนคนก็หันมอง เหล่าสตรีในแถวต่างตั้งใจมอง


 


เว่ยเทียนเฉินดูจะเป็นสุขกับแววตาที่จ้องมอง เขาเดินช้าๆไปยังแผ่นศิลา


 


ผู้เฒ่าที่คุ้มกันทางเข้าเลิกคิ้ว แววตาของเขาไม่เป็นมิตร แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่สองคนแผ่ออกมาเขาก็ต้องทน


 


เว่ยเทียนเฉินก้าวไปที่หน้าแผ่นศิลาและวางมือลงบนแผ่นศิลาพร้อมกับปล่อยพลังวิญญาณ


 


ในตอนนั้นเอง แผ่นศิลาเปล่งแสงสีแดง


 


“ขอบเขตอำมฤตๅ!”


 


“แสงสีเขียวแสดงถึงขอบเขตมังกร แสงสีแดงแสดงถึงขอบเขตอำมฤต!”


 


“พรสวรรค์น่ากลัวนัก เป้นอำมฤตตั้งแต่อายุยี่สิบเช่นนี้!”


 


ซ่า—


 


แผ่นศิลาแสดงข้อความ


 


“อะไรกัน? อำมฤตระดับสามขั้นกลาง!!”


 


เหล่าผู้คนอ้าปากค้าง!


 


ผู้เฒ่าที่นั่งด้านหน้าตัวสั่น เขาหวาดกลัวและนับถือ


 


เขายืนขึ้นโดยไม่รู้ตัว


 


“อำมฤตระดับสาม โปรดเข้าไป!”


 


น้ำเสียงของเขาแตกต่างจากตอนที่เขาทดสอบฮั่วฉีหลานอย่างมาก


 


เว่ยเทียนเฉินนั้นเป็นสุขกับความสนใจของทุกคน สีหน้าของเขาสงบสุข เขาเดินมือไพล่หลังเข้าเมือง


 


แต่ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้น


 


“เจ้าหูหนวกรึ ข้าบอกเจ้าว่าเอาแขนออกไป!”


 


ซือหยูพูดซ้ำ


 


เสียงของเขาไม่ดังนักแต่ด้วยบรรยากาศที่เงียบกริบ ทุกคนได้ยินเขา!


 


เหล่าผู้คนต่างหันมองเด็กหนุ่มผมสีเงินที่สวมหน้ากาก


 


พวกเขามองไม่เห็นรูปลักษณ์แต่ผมสีเงินอันเป็นเอกลักษณ์นั้นทำให้ทุกคนสนใจ


 


แม้แต่ชายหนุ่มที่ชี้พัดใส่ซือหยูที่แสร้งไม่ได้ยินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากหันมามอง


 


เขายิ้มแต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีนัก มันเป็นการยิ้มเยาะ


 


“เจ้าพูดกับข้าอยู่หรอกรึ?”


 


เขามองซือหยูและส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะ


 


“จงจำไว้เมื่อเจ้าพูดคราวหน้า เมื่อเจ้าไร้ซึ่งการถ่อมตัว เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะพูดด้วยพลังที่มี เช่นนั้นแล้วคนอื่นจะมาสนใจเจ้าได้”


 


หรือพูดอีกอย่างก็คือ…ซือหยูไม่มีพลังพอที่เขาจะสนใจ


 


“ข้าแค่บอกให้เจ้าเอาพัดออกไป เจ้าพล่ามไร้สาระอะไรของเจ้า?”


 


ซือหยูไม่สนใจ พลังวิญญาณในร่างสั่นไหว


 


ฟึ่บ—


 


เขาปล่อยพลังวิญญาณออกมาผ่านพัดไปถึงฝ่ามือของชายหนุ่ม


 


ชายหนุ่มดึงมือออกอย่างคิดไม่ถึงหลังจากที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากข้อมือ


 


“เจ้าหนู เจ้า…”


 


ชายหนุ่มสะบัดข้อมือที่เจ็บปวด รอยยิ้มเยาะเย้ยของเขาหายไปแทนที่ด้วยความเย็นชา


 


แต่ซือหยูก็พูดแรกขึ้นมา


 


“หึ เจ้าเอาพัดออกไปได้แล้วรึ? ข้าบอกเจ้าดีๆแล้วว่าให้เอาพัดออกไปแต่เจ้าก็ไม่สนใจ เจ้าพอใจรึยังที่ข้าต้องทำให้เจ้าเจ็บตัว?”

 

 

 


ตอนที่ 311

 

ชายหนุ่มโกรธเล็กน้อย เขากำลังจะโต้กลับแต่ก็ได้ยินเว่ยเทียนเฉินพูดอย่างไม่พอใจ


 


“เจ้าจะเสียเวลาอยู่ทำไมกัน? เข้ามาเร็ว!”


 


ชายหนุ่มตระหนักถึงสถานการณ์และข่มความโกรธ เขาจ้องซือหยูอย่างโกรธเกรี้ยวและเดินไปยังแผ่นศิลา เขาปล่อยพลังวิญญาณออกมาทดสอบ


 


อำมฤตระดับสามขั้นต้น!


 


ทุกคนส่งเสียงดัง


 


“โลกนี้บ้าไปแล้วรึ? สุดยอดยอดฝีมืออำมฤตระดับสามอีกคน!”


 


“สองคนนั้นมาจากที่ใดกัน? ประหลาดนัก!”


 


ทุกคนสนใจทั้งสองที่เข้าเมืองไปอย่างง่ายดาย


 


ชายหนุ่มตามเว่ยเทียนเฉินอย่างใกล้ชิดแต่ก็ยังคงโกรธเคือง


 


“ศิษย์พี่เว่ย ทำไมไม่ให้ข้าสั่งสอนมันเสียก่อนเล่า? เจ้าเด็กน้อยนั้นดูถูกพวกเรา ถ้าพวกเราไม่สั่งสอนให้หลาบจำ หอสดับหิมะของพวกเราก็คงไร้ชื่อเสียง!”


 


เว่ยเทียนเฉินเดินนำหน้า ใบหน้าเขาหม่นหมองเล็กน้อย


 


“ฮื่ม! ถ้าเราไปยุ่งกับพวกชั้นต่ำ หอสดับหิมะของพวกเรานั่นแหละจะมัวหมอง!”


 


“แล้วพวกเราก็มาเมืองอันยี่เพื่อฝึกฝน เวลามีอยู่น้อยนิด เราต้องรีบไปที่ห้องวิหคเพลิงในหนึ่งเดือนเพื่อเข้าร่วมงานประชุมวิหคเพลิง เราจะเสียเวลาไม่ได้”


 


เมื่อได้ยินชื่องานประชุมวิหคเพลิง ชายหนุ่มก็สีหน้าเย็นชา


 


“ข้าเข้าใจแล้ว ศิษย์พี่พูดถูก”


 


ทั้งสองมาจากหอสดับหิมะ ขุมกำลังลำดับแรกในทวีป!


 


ที่ทางเข้าเมือง ชายแก่มองดูทั้งสองเดินเข้าเมือง แววตาของเขานับถือและถอนหายใจด้วยความเสียใจ


 


“สองคนนั้นเป็นสองในสี่บุตรชายผู้ยิ่งใหญ่ของหอสดับหิมะจริงๆด้วย ทุกรุ่นมีพลังเกินความคาดเดานัก”


 


ชายแก่ถอนหายใจและนั่งลงอีกครั้ง เขามองซือหยูหัวจรดเท้าอย่างหยาบคายและส่ายหัว


 


“อายุน้อยและก้าวร้าว โง่เขลาบ้าบิ่น อนาคตเจ้าก็มาได้เท่านี้”


 


“ตอนนี้ถึงเจ้าจะเสียเวลาไปมากแล้วก็ยังไม่คิดจะเข้ามาอีกรึ? ถ้าเจ้าไม่อยากจะเข้าเมืองข้าก็จะทำอย่างที่เจ้าต้องการ!”


 


ชายแก่มองซือหยูและตะโกนเสียงแข็ง


 


เขาหยาบคายยิ่งนัก


 


ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่น


 


“เจ้ากาเฒ่า! เจ้าไม่คิดว่านี่มันน่าหัวร่อไปหน่อยรึ?”


 


“พวกนั้นเข้ามาแซงแถวไปเช่นนั้น แต่เจ้าก็ไม่หยุดพวกนั้น!”


 


“พวกนั้นช้าจนทำให้การทดสอบกินเวลาออกไป แต่เจ้าก็ยังไม่ชี้แนะพวกเขา!”


 


“พวกนั้นเข้ามายั่วยุและหาเรื่องข้า แต่เจ้าก็ไม่ตะโกนให้พวกนั้นหยุด!”


 


“แล้วตอนนี้เจ้าก็กลับมองข้าด้วยความโกรธ แล้วก็ยังพูดว่าข้าเป็นคำทำให้เสียเวลา! เจ้าไม่คิดว่ามันน่าขันหรอกรึ?”


 


คำพูดของซือหยูนั้นเฉียบคมและตรงประเด็น


 


ชายแก่ตัวแข็งทื่อ เขาไม่พอใจ


 


“เจ้าพูดกับข้ารึ?”


 


ชายแก่ยืนขึ้น รังสีของอำมฤตระดับหนึ่งขั้นต้นแผ่ออกมาจนคนรอบๆถอยห่าง ทำให้พื้นที่โล่ง


 


ทุกคนตกตะลึง เด็กหนุ่มผมเงินผู้นี้บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!


 


ในครั้งแรก เขาต่อต้านสองอัจฉริยะอำมฤตระดับสาม จากนั้นก็ยังพูดย้อนใส่ผู้ตรวจวัดพลังจนสถานการณ์เป็นเช่นนี้!


 


พวกเขาเห็นใจซือหยูเพราะชายแก่ทำเกินไปหน่อย แต่การใช้ชีวิตอย่างฉลาดและปล่อยเรื่องเล็กน้อยให้ผ่านไปนั้นเป็นหนทางรอดในโลกใบนี้ การไหลไปตามอารมณ์ตัวเองจะสร้างปัญหาเสียมากกว่า


 


แต่ที่ทำให้คนดูเหงื่อไหลออกมาก็คือซือหยูไม่ยับยั้งตัวเอง เขากลับพูดและหัวเราะเสียงดัง


 


“นอกจากเจ้าแล้วจะเป็นใครงั้นเรอะ? เจ้ากลัวพลังพวกนั้นจนต้องทำตามืดบอด และเจ้าก็ยังนับถือคนพวกนั้นอีก!”


 


“แต่กับพวกเราที่ต่ำต้อยกว่า เจ้าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย! เจ้าคิดว่าคนที่ตาขาวอย่างเจ้ามีสิทธิ์มาเป็นผู้ทดสอบพลังจริงๆรึ?”


 


เหล่าผู้คนเงียบกริบ!


 


เจ้าเด็กคนนี้เป็นบ้าไปแล้วรึไงกัน?


 


เขากล้าพูดออกมาเช่นนี้!


 


สีหน้าของชายแก่หม่นหมอง


 


“เจ้าหนู! เจ้าดูหมิ่นคนที่ดูแลเมืองอันยี่ ข้าสงสัยในความชั่วร้ายของเจ้า เจ้าต้องตามข้าออกไป!”


 


แต่ในใจเขาหัวเราะ หลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครกล้าประเมินพลังตัวเองสูงเกินไปและมีกิริยาเช่นนี้ในเมืองอันยี่


 


ถ้าเขาไม่ลงโทษซือหยูให้หลาบจำ ศักดิ์ศรีของเขากับเกียรติของเมืองอันยี่จะไปอยู่ที่ใดกัน?


 


แต่ที่ทำให้ผู้วัดพลังหัวเราะยิ่งกว่าก็คือซือหยูที่ไม่เสียใจแม้แต่น้อย เขากลับโจมตีออกมาทันที!


 


อัสนีสีม่วงแล่นผ่านปลายดัชนีไปยังชายแก่!


 


ชายแก่อยากจะรับมือการโจมตนั้น แต่เมื่อสายอัสนีเข้ามาใกล้เขาก็ตระหนักได้ว่าสายอัสนีที่เบาบางนั้นมีพลังทำลายล้างมหาศาล!


 


สายอัสนีแล่นผ่านร่างทำให้เขาตัวสั่นอย่างหยุดไม่อยู่!


 


พลังวิญญาณในร่างบ้าคลั่งอย่างไม่เคยเป็นและเขาควบคุมมันไม่ได้เลย


 


ร่างกายของเขาชาไปทั้งตัว


 


และเขาก็ยังพูดไม่ได้!


 


เขาทำได้แค่มองดัชนีของซือหยูพุ่งเข้ามาอย่างสิ้นหวัง!


 


คลื่นทะเลกระหน่ำที่สูงถึงนภาปรากฏในจิตใจ!


 


แค่ส่วนเล็กๆของสายอัสนีก็ทำให้เขาต่อต้านไม่ได้แม้แต่น้อย!


 


พลังนั่นมันคืออะไรกัน?


 


เมื่อเห็นสายอัสนีกำลังจะถึงตัว ชายแก่หน้าซีดราวกับผี ขาเขาสั่นโดยไม่รู้ตัว ลำคอของเขาแห้งเป็นผง หัวใจกำลังกรีดร้องด้วยความโศกเศร้า


 


เขาได้พลาดไปดูหมิ่นยอดฝีมือเข้าแล้ว!


 


ชายแก่หวาดกลัวจนหลับตาตัวสั่น


 


แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างที่เขาคิดว่าจะได้รับ มีเพียงสายลมกรรโชกแรงงที่พักผ่าน


 


จากนั้นแผ่นศิลาก็ส่งเสียง


 


เหล่าผู้คนก้มหน้า


 


“อำมฤตระดับสองขั้นต้น! นี่มันเรื่องจริงเรอะ เขาอายุแค่สิบหก พรสวรรค์เขาเหนือว่าสองคนที่เข้าไปก่อนหน้าอีก!”


 


“หา! ยอดฝีมืออีกแล้ว!”


 



 


ชายแก่กลับมาเป็นปกติ เขาหันไปมองข้อความเล็กๆบนแผ่นศิลาและเบิกตากว้าง


 


“อำมฤต…ระดับสอง…”


 


ซือหยูพูดอย่างไม่ยี่หระ


 


“เจ้ายังอยากให้ข้าตามเจ้าไปที่ไหนอีกหรือไม่?”


 


ชายแก่หน้าแดง เขาอับอายแม้จะแสดงใบหน้าให้เห็น


 


เขาที่มีพลังเช่นนี้จะต้องมีพื้นเพอันน่าตกตะลึงเป็นแน่


 


มองดูพลังของซือหยูเพียงอย่างเดียว ชายแก่อำมฤตระดับหนึ่งขั้นต้นอย่างเขามิอาจดูหมิ่นได้เลย


 


ชายแก่โค้งคำนับอย่างอับอาย


 


“โปรดเข้าเมืองเถอะครับท่าน”


 


“ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี ไม่คุ้มแน่ถ้าเจ้าจะตัดสินผู้คนจากภายนอก!”


 


ซือหยูไม่คิดจะเสียเวลาอีก เขาเดินมือไพล่หลังเข้าเมือง


 


ไม่ว่าจะเป็นการเตือนของเขาหรือการออมมือเมื่อครู่ ทั้งสองสิ่งนั้นคุ้มค่ากับการโค้งคำนับของชายแก่


 


หลังจากนี้ไป มุมมองต่อผู้คนของชายแก่จะถูกปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น


 


ฉีหยุนเซี่ยงเข้าเมืองอย่างง่ายดาย เมื่อถึงคราวตู่หลง ชายแก่สับสนเล็กน้อย


 


“เจ้าหน้าคุ้นๆนะ”


 


ตู่หลงยิ้ม


 


“ข้าก็แค่ขยะที่กลับมา”


 


ชายแก่พยักหน้าเบาๆและไม่ถามอะไร


 


ทั้งสี่เข้าเมืองและหาโรงเตี๊ยมที่มีเนื้อที่กว้าง


 


ฮั่วฉีหลานกับซือหยูพูดคุยกันสองคน


 


“ที่บ่มเพาะจะเปิดในคืนจันทร์เต็มดวงเท่านั้น การเดินทางของพวกเราเร็วมากจนเกินกว่าที่ข้าคิด รอก่อนเถอะ”


 


ฮั่วฉีหลานรีบร้อนตลอดการเดินทาง เมื่อนางนั่งลงก็ยืดตัวคลายอิริยาบถ รูปร่างของนางดูงดงามและสง่างามใต้แสงอ่อนๆ


 


ซือหยูนิ่งงันเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างอันงดงามนี้


 


“เข้าใจแล้ว! ถ้าไม่มีอะไร ข้าจะกลับห้องไปพัก”


 


ซือหยูฝืนใจเย็นและรีบยืนขึ้น เขาไม่คิดจะอยู่นานไปกว่านี้


 


ฮั่วฉีหลานจ้องมองซือหยู แม้มันควรจะเป็นการมองธรรมดา นางก็รู้สึกได้ว่าซือหยูนั้นต่างออกไป


 


นางขยับดวงตาเล็กน้อยและแสร้งยิ้ม


 


“เจ้าหนู ข้าสนใจเจ้า เจ้าไม่อยากจะใกล้ชิดกับข้าสักหน่อยรึ?”

 

 

 


ตอนที่ 312

 

นางพูดและเดินเข้ามาพร้อมกับพูดเยาะเย้ย


 


“ถ้าเจ้าถอดหน้ากาก ข้าจะจูบเจ้า”


 


นางจะไม่สงสัยหน้ากากที่ซือหยูไม่เคยถอดออกได้ยังไง?


 


ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตลอดการเดินทาง นางรู้สึกว่าซือหยูนั้นเป็นคนที่นางเคยเจอ


 


แต่นางก็จำไม่ได้ว่าซือหยูเป็นใคร


 


แต่จะโทษนางที่จะจำซือหยูไม่ได้ก็ไม่ได้


 


ประการแรก ตอนที่พวกเขาเจอกันที่เกาะเฉินยี่ เสียงของซือหยูนั้นแหบแห้งเพราะการใช้อรหันต์แปดอักษร เสียงของเขาในตอนนี้แตกต่างจากตอนนั้นมาก


 


ประการที่สอง ด้วยความต่างของฐานพลังหลายขั้น ตอนที่พบกันในเกาะเฉินยี่ ซือหยูเป็นแค่มังกรระดับห้า แต่ตอนนี้เขาเป็นอำมฤตระดับหนึ่งขั้นต้น ความต่างระหว่างพลังนั้นยากที่นางจะเอามาเชื่อมโยงกันได้


 


ซือหยูกลอกตา เขาอย่างจะรีบกลับห้องให้เร็วกว่านี้ และตอนนี้เขากำลังถูกยั่ว


 


ซือหยูแอบหายใจเข้าลึก เขาใช้จังหวะที่ตัวเองยังใจเย็นเดินออกนอกประตู


 


“พักเถอะศิษย์พี่ ข้าจะกลับห้อง”


 


แต่ก่อนที่ซือหยูจะดึงประตูให้เปิด เสียงจากคนโรงเตี๊ยมก็ดังมาจากอีกฝากของประตู


 


“ผู้พักแรมสองคนที่อยู่ข้างใน ข้าขออภัยด้วย โปรดเข้าใจว่าโรงเตี๊ยมมีห้องที่ถูกจองไว้แล้ว ท่านสองคนจะไปอยู่ที่อื่นได้หรือไม่?”


 


รู้ได้เลยว่าผู้พูดกำลังลำบากใจ


 


“ข้ามิอาจโต้แย้งกับคนที่ของไว้ก่อนได้ ข้ายินดีจะจ่ายเงินคืนเป็นสองเท่า”


 


ซือหยูเลิกคิ้ว


 


“จองไว้งั้นรึ? ผู้ใดกัน?”


 


ถ้าพวกเขายังไม่ได้เข้ามาในโรงเตี๊ยม พวกเขาก็ไม่คิดมากถ้ามีคนจองเอาไว้


 


แต่พวกเขาเข้ามาข้างในแล้ว และยังมีคนที่จองมาบังคับให้พวกเขาออกไป ดูเหมือนคนที่จองจะเป็นคนที่หยาบคายยิ่งนัก


 


ปั่ก ปั่ก–


 


เสียงฝีเท้าดังมาจากบันได


 


“แน่นอน เป็นคนที่พวกเจ้ามิอาจต่อกรได้! รีบไปตอนนี้จะเป็นการดี มิเช่นนั้นอาจจะออกไปไม่ได้อีกแม้จะต้องการ!”


 


ตามด้วยเสียงนั้น ชายร่างอ้วนเตี้ยก็มองผู้ตู้แลโรงเตี๊ยมด้วยมือที่ไพล่หลัง


 


“ใช้ไม่ได้! เจ้าทำเรื่องแค่นี้ยังไม่ได้เลย!”


 


เขาอายุประมาณยี่สิบปี ฐานพลังของเขาธรรมดา เขามีพลังเพียงมังกรระดับห้า


 


ซือหยูดูเหมือนจะเคยเห็นคนคนนี้มาก่อน บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่จ้องมองเขาที่ทางเข้าเมือง


 


“เจ้าไม่ได้ยินข้าเรอะ ออกไปได้แล…”


 


ชายร่างอ้วนหยาบคายมาก เขาจ้องซือหยูกับคนที่เหลือ


 


แต่เมื่อมองเห็นซือหยู เขาก็ตัวแข็งทื่อ


 


ความหยาบคายบนใบหน้าแทนที่ด้วยหน้าที่ถอดสี เขาตัวสั่นและกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก


 


เขาจ้องซือหยูด้วยตาที่แทบจะหลุดออกจากเบ้า เขากลัวและชิงชัง


 


“เจ้า…เจ้า…หยินหยู!”


 


แค้นรึ? จิตสังหารของซือหยูปะทุออกมา


 


“เจ้ารู้จักข้ารึ?”


 


อ๊า—–


 


เขาที่ถูกซือหยูถามหน้ากากและรีบเดินลงบันได


 


พวกซือหยูมองหน้ากันไปมา


 


ฉีหยุนเซี่ยงที่เดินเข้ามาหลังจากได้ยินเสียงเอะอะมองคนที่เดินหนีไป


 


“ข้าว่าเขาชื่อต้วนหยูรึเปล่านะ? เขาเคยสู้กับข้าหนึ่งครั้งในงานประชุมพันธมิตร เขาเป็นแค่มังกรระดับสี่ในตอนนั้น ข้าว่าเขาน่าจะได้เข้าตำหนักเฉินเทียน”


 


ต้วนหยูรึ? ซือหยูคุ้นชื่อนี้


 


แต่ถ้าหากคนในตำหนักเฉินเทียนมาที่นี่ นั่นก็หมายความว่า…


 


ฟึ่บ–


 


คลื่นลมมากมายพุ่งมาจากบันได หนึ่งในนั้นแทบจะมาถึงทันทีและมาถึงชั้นสองก่อนใคร


 


ร่างของเขามีกล้ามเนื้อ รูปลักษณ์ดีและดูแข็งแกร่ง


 


เขาปล่อยจิตสังหารมหาศาลออกมาทันทีเมื่อเห็นซือหยู!


 


รังสีพลังที่น่ากลัวคล้ายกับของหลิงเสี่ยวเทียนแพร่กระจายไปทั่ว


 


ฉีหยุนเซี่ยงหยุดหายใจไปชั่วครู่ แววตาเต็มไปด้วยความชิงชังอย่างลึกซึ้ง


 


“ฮั่น! เจียง! หลิน!”


 


ฮั่นเจียงหลินทำลายครอบครัวของนาง!


 


ใครจะไปคิดว่าจะได้มาเจอกับเขาในวันนี้อีก?


 


ความโกรธแค้นเกือบจะทำให้ฉีหยุนเซี่ยงเสียความเยือกเย็นไป


 


ในตอนนั้นเอง มือใหญ่ได้วางบนไหล่ของนางอย่างอ่อนโยน ปลดปล่อยนางออกจากพลังที่ทำให้นางขยับตัวไม่ได้


 


ซือหยูมองฮั่นเจียงหลินตรงๆด้วยความประหลาดใจ


 


เจ้าพันธมิตรแห่งร้อยดินแดนมีเรื่องอะไรถึงต้องมาอยู่ที่เมืองอันยี่กัน?


 


“หึหึ เจ้าพันธมิตรฮั่น เจ้าเป็นอย่างไรรึ? ไม่เจอกันครึ่งปีแต่เจ้าก็ยังหล่อเช่นทุกที แล้วเจ้าก็ยังคงรังแกผู้คนเหมือนเดิม”


 


ซือหยูหัวเราะเบาๆ รังสีพลังจากฮั่นเจียงหลินทำอะไรเขาไม่ได้


 


ก่อนหน้านี้ เมื่อฮั่นเจียงหลินได้ยินชื่อหยินหยู พลังของเขาปะทุออกมาจนแทบจะควบคุมไม่ได้


 


แต่ตอนนี้เขาต้องอดทนเอาไว้


 


แววตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่เขาก็ต้องข่มใจเอาไว้


 


ตอนนี้ซือหยูได้เป็นรองเจ้าาตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬแล้ว สถานะของเขาสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเขาสังหารซือหยูต่อหน้าทุกคน สิ่งที่รอเขาอยู่ก็มีแต่ความพิโรธเต็มกำลังของอาณาจักรทมิฬ นั่นเป็นสิ่งที่เขารับมือไม่ได้


 


“หยินหยู!! ครึ่งปีมานี้ทำให้เจ้าเติบโตเยอะพอดู คู่ควรแก่การยินดีนัก!”


 


ฮั่นเจียงหลินกัดฟัน เขาพยายามที่จะไม่ฆ่าซือหยู


 


ซือหยูยิ้ม


 


“เช่นเดียวกันเจ้า บาดแผลของลูกชายเจ้าเป็นอย่างไรงั้นรึ?”


 


เปรี๊ยะ—


 


ฮั่นเจียงหลินกำหมัดแน่น เขาปล่อยจิตสังหารออกมาทั่วร่าง


 


เขาถึงขีดกำจัดแล้ว!


 


แววตาเขาแดงดั่งโลหิตราวกับสัตว์ป่าที่กำลังจะล่าเหยื่อ ฟันในปากบดขยี้กันเอง


 


“ต้องขอบคุณเจ้า เขาตายไปแล้ว!”


 


ก่อนหน้านี้ ลูกชายเขาถูกซือหยูทำร้ายจนเหลือเพียงลมหายใจ


 


และโอสถฟื้นฟูกายาอันแสนสำคัญก็ถูกซือหยูชิงไปในงานประชุมพันธมิตร


 


นอกจากความตายก็ไม่มีชะตาอื่นให้กับบุตรชายของเขา


 


ซือหยูลูบใบหูตัวเอง


 


“เช่นนั้นรึ ข้าเสียใจด้วยนะ”


 


ปั่ก ปั่ก ปั่ก–


 


ทันใดนั้นเอง สองคนเดินเข้ามา


 


เป็นชายหนุ่มและสตรี


 


บุรุษนั้นอายุประมาณยี่สิบปี รูปลักษณ์ของเขาดูธรรมดาแต่ก็ดูดุร้ายเล็กน้อย แววตาเขาเหมือนกับอสรพิษร้าย


 


แต่พลังของเขาอยู่ที่อำมฤตระดับสามขั้นต้น!


 


ส่วนสตรีนั้นอายุประมาณสามสิบปี


 


รูปลักษณ์ของนางธรรมดา นางหยิ่งยโส ผลักทุกคนให้หากจากตัว


 


แต่พลังของนางแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นางมีพลังอำมฤตระดับสามขั้นสูง อีกไม่นานจะได้เป็นอำมฤตระดับสี่


 


ชายหนุ่มไม่คิดจะมองกลุ่มซือหยู เขาพูดอย่างประหลาดใจ


 


“ท่านอาจารย์ หยินหยูอยู่ที่นี่จริงๆรึ?”


 


อาจารย์รึ?


 


ฉีหยุนเซี่ยงที่ยืนหลังซือหยูมองไปยังชายหนุ่ม ความชิงชังของนางเพิ่มขึ้นอีกครั้ง นางยิ้มเยาะ


 


“เกาคังแห่งสามราชันย์สวรรค์ของตำหนักเฉินเทียนเปลี่ยนใจเร็วนัก ยอมรับเจ้าคนชั่วนี่เป็นอาจารย์แล้วรึ?”


 


“พ่อข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าเลยตอนที่เจ้าอยู่ในตำหนักเฉินเทียน!”


 


ชายหนุ่มคือเกาคัง


 


เมื่อได้ยินเขาก็หลบสายตา เขาสีหน้าหม่นหมอง


 


“หยุน…หยุนเซี่ยง”


 


บุตรสาวของเจ้าตำหนัก สตรีที่งดงามที่สุดในตำหนักเฉินเทียนเมื่อครั้งอดีต คนในพันธมิตรคนใดกันที่จะไม่ต้องการความงดงามของนาง?


 


เกาคังเกิดมาในครอบครัวที่แร้นแค้น เจ้าตำหนักฉีคือตำนานที่เขาได้แต่แหงนหน้ามอง


 


บุตรสาวของเขางดงามและบริสุทธิ์ ตัวตนของนางสูงส่ง เขาเคยแอบหวังจะแต่งงานกับฉีหยุนเซี่ยงและได้เป็นบุตรเขยของเจ้าตำหนักฉีอยู่หลายครั้ง


 


แต่ในวันนี้ เจ้าตำหนักฉีอยู่ที่ใดมิอาจทราบได้ ฮั่นเจียงหลินได้กลายเป็นผู้ที่ทรงอำนาจสูงสุดในร้อยดินแดน


 


เมื่อฮั่นเจียงหลินบอกว่าอยากเป็นอาจารย์ของเขา เขาก็ไม่ตัดสินใจนานก่อนจะมาอยู่ใต้เจ้าพันธมิตรฮั่น


 


นี่คือโอกาสเดียวในชีวิตของเขา

 

 

 


ตอนที่ 313

 

ส่วนสองราชันย์สวรรค์ที่เหลือนั้นปฏิเสธการสงบศึกของฮั่นเจียงหลินและถูกจองจำในที่สุด


 


นี่คือการปฏิบัติต่อเหล่ายอดฝีมือระดับแนวหน้า ส่วนศิษย์ที่เหลือที่ไม่ยอมจำนนในอำนาจล้วนถูกเขาฆ่าทิ้ง!


 


ดังนั้นจำนวนศิษย์ในตำหนักเฉินเทียนจึงลดลงไปกว่าครึ่ง!


 


ความหวังของเกาคังหายไปเมื่อได้เจอกับฉีหยุนเซี่ยงอีกครั้ง เขาเหลือเพียงแต่ความเสียใจกับสิ่งที่เขาไม่มีวันทำสำเร็จ


 


“หยุนเซี่ยง ฟังข้าอธิบายก่อน! เจ้าตำหนักฮั่นเป็นคนที่ยิ่งใหญ่และทะเยอทะยานมาก ด้วยความชี้แนะของเขา เหล่ายอดฝีมือในร้อยดินแดนต่างได้มีโอากสร้างชื่อด้วยตนเอง!”


 


“หยุนเซี่ยง วางความเกลียดชังต่อเจ้าพันธมิตรฮั่นของเจ้าลงเถอะ เจ้าพันธมิตรฮั่นมิใช่คนใจแคบอย่างที่เจ้าคิด ถ้าเจ้าคิดจะกลับมา เจ้าพันธมิตรฮั่นจะต้องให้โอกาสเจ้าแน่นอน…”


 


ฉีหยุนเซี่ยงโกรธจนพูดอะไรไม่ออก


 


ตอนที่พ่อของนางยังอยู่ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยเหลือสามราชันย์สวรรค์และยังให้โอกาสกับพวกเขาก่อน!


 


แต่เกาคังกลับหันหลังให้เจ้าตำหนักฉีและยอมรับศัตรูเป็นอาจารย์!


 


ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นไป เพราะอย่างไรเขาก็ยกยอศัตรูของพ่อนาง เขาทำอย่างกับเขาไม่ได้อะไรเลยตอนที่พ่อนางยังอยู่ในตำหนักเฉินเทียน!


 


และเขาก็ยังสร้างข้ออ้างเพื่อให้นางยกโทษต่อศัตรูที่สังหารพ่อของนาง!


 


ฉีหยุนเซี่ยงโกรธแค้นเป็นอย่างมาก!


 


เมื่อเห็นฉีหยุนเซี่ยงเงียบ เกาคังคิดว่าเขาได้ทำให้นางประทับใจ น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขึ้นและเปี่ยมด้วยควาสมรัก


 


“หยุนเซี่ยง โปรดกลับมาเถอะ แทนที่จะเร่ร่อนไปที่โลกภายนอก ทำไมไม่กลับตำหนักเฉินเทียนเล่า? เจ้าจะเป็นองค์หญิงที่เหนือว่าคนมากมายดังเดิม ถ้าเจ้าเต็มใจ ข้าจะให้เจ้าอยู่กับข้าไปตลอดครึ่งชีวิตที่เหลื….”


 


ขณะที่เขากำลังหยินยื่นความรัก เสียงกระแอมดังขึ้นทำลายบรรยากาศ


 


“โขลก โขลก…เจ้าคือเกาคังใช่หรือไม่?”


 


ซือหยูลูบไหล่ของฉีหยุนเซี่ยงและทำให้ร่างอันสั่นเทิ้มเยือกเย็นลงมาก


 


“แม้เจ้าตำหนักฉีจะเอื้อเฟื้อต่อเจ้า เจ้าก็ยังหันหลังให้และเข้าร่วมกับศัตรู นั่นคือความไม่รู้สำนึก ไม่ว่าเจ้าจะเลียแข้งเลียขาเจ้าพันธมิตรฮั่นเท่าใดเพื่อความบริสุทธิ์ ความจริงข้อนี้ก็ไม่มีวันล้างออกไปได้!”


 


“เจ้าเกลี้ยกล่อมให้ฉีหยุนเซี่ยงลืมความตายของพ่อนาง…เจ้ามันน่ารังเกียจยิ่งกว่าเดรัจฉาน หยุดทำตัวไร้ยางอายและเกลี้ยกล่อมคนให้เป็นอย่างเจ้าได้แล้ว”


 


ซือหยูส่ายหัวด้วยความผิดหวังและมองฮั่นเจียงหลิน


 


“เจ้าตัดสินใจได้ดี หากมันทรยศเจ้าตำหนักฉีวันนี้ หมายความว่าพรุ่งนี้มันก็ทรยศเจ้าได้ นกสองหัวเช่นนี้เลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ เจ้าพันธมิตรฮั่นเป็นคนที่กินทุกที่เมื่อหิวงั้นรึ? เพราะอย่างนั้นเจ้าก็เลยยอมรับขยะทุกชนิดมาเป็นศิษย์เช่นนี้?”


 


การเยาะเย้ยถากถางพุ่งแทงจิตใจทำให้เกาคังหน้าแดงก่ำ


 


สิ่งต้องห้ามสำหรับเขาก็คือคนที่เยาะเย้ยเขาว่าเป็นคนไม่รู้สำนึก!


 


“หุบปาก! ข้าแค่คิดถึงความสุขของฉีหยุนเซี่ยง เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? เจ้าก็แค่พูดจาใส่ร้ายทุกคน แล้วก็เอามือสกปรกของเจ้าออกจากฉีหยุนเซี่ยงซะ!”


 


ซือหยูกุมไหล่ทั้งสองข้างของฉีหยุนเซี่ยงดังเดิม หลังจากที่รู้สึกว่านางใจเย็นลง เขาก็เอามือออกโดยไม่รู้ตัว


 


แต่ฉีหยุนเซี่ยงก็เอนกายมาหาเขาอย่างเคยราวกับเป็นหญิงสาวผู้สิ้นหวังที่ไม่คิดจะออกจากที่หลบภัย


 


เกาคังที่ได้เห็นโกรธแค้นเป็นอย่างมาก!


 


เทพีลำดับหนึ่งแห่งพันธมิตรร้อยดินแดนและยังเป็นนางฟ้าในฝันของคนนับไม่ถ้วน ได้อยู่ในครอบครองของหยินหยูแล้วงั้นรึ?


 


“เจ้าต้องให้ข้าพูดอีกรอบหรือไม่? หยุด…”


 


ซือหยูพูดแทรกอย่างไม่ปรานีและขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยง


 


“แม้เจ้าจะไม่รู้สำนึก เจ้าก็ยังทนไม่ได้เมื่อถูกคนว่ากล่าวรึ?”


 


“มองหน้าตัวเองในกระจกเสียบ้าง ทุกคนที่มองเจ้าก็ขยะแขยงกันหมด!”


 


สำหรับซือหยูที่นับถือน้ำใจผู้คนอย่างมาก คนที่ไม่รู้สำนึกคือคนที่เขาเกลียดชังที่สุด


 


“เจ้า….”


 


เกาคังโกรธจนดวงตาแทบจะปล่อยเพลิงออกมา


 


ฮั่นเจียงหลินที่อยู่ข้างๆสีหน้าไม่พอใจ


 


“หยินหยู ข้าจองที่นี่ไว้ทั้งหลัง เจ้าออกไปได้แล้ว!”


 


เขาไม่คิดจะโต้แย้งกับซือหยูอีก เพราะอย่างน้อยนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่ถูกที่ควร


 


แต่ซือหยูก็ใจเย็นจนทุกคนตกใจ เขาประสานหมัดและยืนขึ้น


 


“เจ้าคิดว่าข้าจะไปเพียงเพราะเจ้าให้ข้าไปงั้นรึ? ข้ามาที่นี่ก่อน พวกเจ้าต้องอยู่ที่นี่โดยมีข้า”


 


เกาคังตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“เจ้าโง่พอที่จะปฏิเสธการไว้หน้าเช่นนี้รึ พวกข้าพูดกับเจ้าอย่างเอื้เฟื้อ เจ้าไม่คิดจะแสดงความเกรงใจบ้างรึ?”


 


ซือหยูมองรอบๆ


 


“ถ้าพวกเจ้าวิเศษนักทำไมไม่จองโรงเตี๊ยมทั้งเมืองอันยี่เล่า ถ้าพวกเจ้ายิ่งใหญ่นัก ทำไมต้องมาจองโรงเตี๊ยมเล็กๆนี่กัน?”


 


โรงเตี๊ยมนี้ธรามดาไม่เตะตานัก ดังนั้นจึงไม่มีอะไรหรูหราให้เสพสุข


 


แต่ฮั่นเจียงหลินก็จองที่นี่ทุกห้องในทันที ทำให้ซือหยูแอบเดาว่าเขาจะต้องมีเหตุแอบแฝง


 


ราวกับฮั่นเจียงหลินไม่คิดจะทำอะไรอย่างเปิดเผย เขาจึงเลือกโรงเตี๊ยมที่ห่างไกลตัวเมืองเช่นนี้


 


และเขายังจองทั้งโรงเตี๊ยม เพื่อที่จะได้ไม่มีคนแปลกหน้า


 


หรือว่าเขากำลังจะทำสิ่งผิดกฎหมาย?


 


เกาคังดูเหยียดหยามจนหน้าแดง ถ้าไม่ใช่เพราะฮั่นเจียงหลินที่อยู่กับเขา เขาก็คงจะซัดพลังใส่ซือหยูให้หุบปากไปแล้ว


 


ฮั่นเจียงหลินจ้องซือหยูอย่างเย็นชา


 


“อย่างไรก็ยังมีทางออก หยินหยู เจ้าระวังตัวให้ดี! พวกข้าจะไป!”


 


“พวกเขาทำให้โรงเตี๊ยมวุ่นวายและมีโอกาสสูงที่เจ้าพันธมิตรฮั่นจะถูกเผยตัว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุให้พวกเขาต้องโต้เถียงกันในโรงเตี๊ยม”


 


ใบหน้าเกาคังโศกเศร้า แต่เขาก็ทำได้เพียงลืมความไม่พอใจและออกไปพร้อมกับฮั่นเจียงหลิน


 


หลังจากที่คนจากร้อยดินแดนออกไป ซือหยูก็คิดอะไรขึ้นมาได้


 


“เร็วๆนี้ที่เมืองอันยี่จะมีงานอะไรงั้นรึ?”


 


คนโรงเตี๊ยมที่ถูกถามงุนงง


 


“หรือว่าพวกท่านจะไม่ได้มาเพราะการประมูลของตระกูลตู่?”


 


เอ๋? ซือหยูกับฮั่วฉีหลานคิ้วกระตุกพร้อมกัน


 


คนโรงเตี๊ยมหัวเราะ


 


“เช่นนั้นพวกท่านก็ไม่รู้จริงๆสินะ?”


 


“การประมูลของตระกูลตู่จะจัดทุกสองปี พวกเขาจะส่งบัตรเชิญไปให้เหล่าขุมกำลังจากทวีป พวกท่านจะต้องไม่ใช่คนของกุมกำลังแน่ถึงไม่ได้บัตรเชิญ”


 


เมื่อซือหยูนึกถึงสองคนที่มาจากหอสดับหิมะเขาก็เข้าใจ


 


ถ้าเป็นเช่นนั้น ที่นั่นก็จะมีคนของวิหคเพลิงด้วยใช่หรือไม่? เซี่ยนเอ๋อจะมาไหมนะ? จิตใจซือหยูอบอุ่นขึ้น เขาคาดหวังขึ้นมาทันที


 


ฮั่วฉีหลานพูดหลังจากที่ครุ่นคิด


 


“การประมูลของตระกูลตู่รึ? มันพิเศษอย่างไรกัน?”


 


คนโรงเตี๊ยมส่ายหัวตอบนาง เพราะเขาก็ไม่รู้เช่นกัน


 


“ฮ่าๆๆ ไม่มีอะไรพิเศษในการประมูลสินะ มันใกล้กับป่าทมิฬมาก ดังนั้นจึงมีต้นธาตุจักรวาลที่หาได้ยากจากโลกภายนอก”


 


“ยอดฝีมือจะมอบของให้กับตระกูลตู่ที่จะทำการประมูลเพื่อเอาค่าธรรมเนียมตอบแทน เป็นเช่นนั้น”


 


“เพราะการประมูลจะจัดขึ้นทุกครึ่งปีและที่ประมูลอยู่ใกล้กับป่าทมิฬ ของคุณภาพดีจึงมักจะปรากฏในงาน นั่นจึงเป็นเหตุที่คนจากอาณาจักรทมิฬอย่างพวกเจ้าไม่ได้รับบัตรเชิญ ข้าเกรงว่าเจ้าตำหนักฉีหลานก็รู้ดียิ่งกว่าใคร”


 


ฮั่วฉีหลานถอนหายใจแรง


 


“ฮื่ม! ตระกูลตู่ก็แค่กลัวหลังจากที่พ่ายแพ้ให้กับอาณาจักรทมิฬ”


 


“แปดตระกูล ฉิน ชี่ หมิง ยี่ กุย ตู่ หวัง ลี่ ที่เทียบเท่าอาณาจักรทมิฬในยุครุ่งเรื่องที่สุด พวกนั้นเผชิญหน้ากับอาณาจักรทมิฬได้เลย”


 


“ในประวัติศาสตร์หลายหมื่นปีของอาณาจักรทมิฬ ทุกครั้งที่พวกเราตกต่ำ หนึ่งในแปดตระกูลก็จะรุ่งเรือง เมื่อพวกเรารุ่งเรือง แปดตระกูลก็จะตกต่ำลงไป”


 


“ตระกูลตู่คือหนึ่งในแปดตระกูลโบราณ ทำไมพวกนั้นไม่ส่งบัตรเชิญให้พวกเรากัน?”


 


ซือหยูที่ได้ฟังเข้าใจสถานการณ์ แปดตระกูลโบราณกับอาณาจักรทมิฬมีเรื่องราวเป็นมาเช่นนี้เอง


 


“เช่นนั้น ตอนนี้ระหว่างแปดตระกูลกับอาณาจักรทมิฬ…ใครเหนือกว่ากันรึ?”


 


ซือหยูสงสัย


 


ฮั่วฉีหลานโกรธซือหยู


 


“ก็ต้องเป็นอาณาจักรทมิฬสิ! ราชาแห่งความมืดรุ่นนี้มีพลังที่น่าตกใจและเหนือว่าราชาแห่งความมืดทุกรุ่น ด้วยการนำของราชา พวกเราเหนือกว่าแปดตระกูลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!”

 

 

 


ตอนที่ 314

 

“หลายร้อยปีก่อน สองตระกูลใหญ่ที่กุมอำนาจในทวีปตอนเหนือ ตระกูลตู่กับตระกูลยี่ล้วนถูกราชาแห่งความมืดบดขยี้”


 


“ตระกูลตู่กำลังยืนด้วยตัวคนเดียวขณะที่ตระกูลยี่ถูกทำลายล้างไปโดยราชาแห่งความมืด นามของตระกูลยี่ถูกลบหายไปจากประวัติศาสตร์”


 


“ตระกูลลี่คือตระกูลเดียวในแปดตระกูลที่ถูกชื่อไปจากหน้าประวัติศาสตร์!”


 


ซือหยูตกตะลึง ราชาแห่งความมืดจะต้องแข็งแกร่งอย่างมากแน่ ถึงเอาชนะทั้งสองตระกูลได้


 


และตระกูลยี่ยังถูกกวาดล้างจนสิ้น นามของมันหายไปจากโลก


 


“ส่วนหกตระกูลที่เหลือมีดินแดนอยู่ทางตะวันออก ใต้ และตะวันตก และพวกตระกูลนั้นก็มีข้อพิพาทอยู่กับตำหนักรองของอาณาจักรทมิฬ”


 


ฮั่วฉีหลานพูดอย่างหม่นหมอง


 


การพูดคุยครั้งนี้ได้เผยความลับของทวีป ซือหยูได้รู้อะไรขึ้นมาก


 


เขาเคยคิดว่าอาณาจักรทมิฬจะเป็นตัวตนที่ไม่มีใครเทียบได้ในทวีปเฉินหลง ในที่สุดเขาก็ได้รู้แล้วว่ายังมีแปดตระกูลในตำนานอยู่อีก


 


ตู่หลงอับอาย


 


“เจ้าตำหนักฉีหลานพูดไม่ผิด พันปีก่อน ทวีปตอนเหนือถูกปกครองโดยตระกูลตู่และตระกูลยี่ พวกเขาก่อตั้งพันธมิตรกับอีกหกตระกูลและต่อสู้กับอาณาจักรทมิฬด้วยกัน”


 


“ร้อยปีก่อน อาณาจักรทมิฬตกอยู่ใต้พลังกดดันของแปดตระกูล สถานการณ์นั้นย่ำแย่ ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ราชาแห่งความมืดได้บ่มเพาะวิชาระดับพระเจ้าและโต้กลับกับแปดตระกูลด้วยพลังมหาศาล!”


 


“และเขาก็ได้มายังทวีปนี้เพื่อทำลายตระกูลตู่กับตระกูลยี่! เขาได้กลับมาควบคุมต้นกำเนิดของอาณาจักรทมิฬอีกครั้ง นั่นคือทวีปแห่งนี้!”


 


“และตระกูลตู่ได้ยอมแพ้จึงถูกไว้ชีวิต แต่ราชาแห่งความมืดได้สั่งไม่ให้คนตระกูลตู่ออกจากป่าทมิฬ มิเช่นนั้นพวกเขาจะพบกับการทำลายล้าง! เมืองอันยี่คือสถานที่เดียวที่ตระกูลตู่จะออกมาจากป่าได้”


 


“แท้จริงแล้วเมืองอันยี่ก่อตั้งขึ้นจากตระกูลตู่และมีอำนาจควบคุมเมืองอยู่ในเงามืด”


 


“ส่วนตระกูลยี่นั้นขัดขืน พวกนั้นถูกราชาแห่งความมืดฆ่าล้างสิ้น นามของตระกูลยี่ถูกลบหายไปจากโลก!”


 


“หลายร้อยปีต่อมาคือจุดรุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักรทมิฬ จนพวกเราได้มีตำหนักรองอยู่ที่ตะวันออก ตะวันตก และทิศใต้ ใครๆก็ได้เห็นความน่ากลัวของราชาแห่งความมืด!”


 


“เขาปกครองทั้งทวีปเฉินหลง ราชาแห่งความมืดนั้นไร้เทียมทาน!”


 


ซือหยูฟังจบ เขาตกใจอยู่นาน


 


ราชาแห่งความมืดไร้เทียมทานยิ่งนัก!


 


เขามีพลังเหนือบรรพบุรุษและปกครองได้ทั้งทวีป


 


เขาเป็นใครกัน ถึงปกครองทั้งทวีปเฉินหลงได้เช่นนี้?


 


ซือหยูสงสัยว่าเขาจะไปถึงระดับของราชาแห่งความมืดด้วยหม้อเก้ามังกรได้หรือไม่?


 


ฮั่วฉีหลานยิ้มบางๆ


 


“เจ้าคิดอะไรอยู่ ศิษย์น้องหยินหยู?”


 


ซือหยูตาเป็นประกาย


 


“หึหึ ตระกูลตู่ไม่ต้องการให้เราเข้าร่วม แต่ยังไงพวกเราก็ต้องไปอยู่ดี!”


 


ที่เขาคาดหวังก็คือโอกาสที่จะได้พบกับคนของวิหคเพลิง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เจอเซี่ยนเอ๋อ เขาก็ถามเรื่องเกี่ยวกับเซี่ยนเอ๋อได้


 


พวกเขาได้แยกจากกันมาครึ่งปีแล้ว ซือหยูเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของเซี่ยนเอ๋อ


 


เจ้าแห่งวิหคเพลิงนั้นนับถือวิหคเพลิงแห่งความตายอย่างสูง เขาจะต้องดูแลนางเป็นอย่างดีแน่ แต่ด้วยนิสัยของเซี่ยนเอ๋อ…นางจะบ่มเพาะพลังอย่างจริงจังหรือไม่นะ?


 


หรือว่านางจะไปซ่อนตัวและไปหาที่เล่นสนุกโดยพาพวกคนรับใช้ไปสร้างปัญหาด้วยกันนะ? หรือนางจะ…คิดถึงเขาบ้างหรือไม่?


 


ซือหยูยิ้มอย่างเดียวดาย เขารู้สึกขมขื่นเมื่อคิดถึงเซี่ยนเอ๋อ


 


สาวน้อยขี้เล่นอย่างเซี่ยนเอ๋อ…นางจะเหงาไหมนะ?


 


“หึหึ ข้าคิดไว้แล้ว การประมูลจะจัดขึ้นในอีกสามวัน เมื่อจบการประมูลจะเป็นช่วงจันทร์เต็มดวง พวกเราจะไปบ่มเพาะได้ทันเวลาพอดี”


 


ฮั่วฉีหลานพูดสิ่งที่ซือหยูคิด


 


ซือหยูพยักหน้า


 


“ก็ได้ พักที่นี่อีกสองวันเถอะ”


 


ซือหยูพูดจบก็มองตู่หลง


 


“เจ้ากลับบ้านได้แล้ว”


 


ตู่หลงหัวเราะอย่างขมขื่น


 


“เมื่อก่อนข้านั้นดื้อด้าน ข้าทิ้งสถานะนายน้อยตระกูลตู่ไปเพื่อออกสู่โลกภายนอกป่าทมิฬ”


 


“ข้าจะไปมีหน้ากลับตระกูลตู่ตอนนี้ได้อย่างไร? ข้าขอตามเจ้าไปที่งานประมูลเสียดีกว่า บางทีข้าอาจจะได้พูดคุยกับคนตระกูลตู่ ข้าจะได้รู้ว่าพวกนั้นจำข้าได้หรือไม่ ถ้าพวกเขาจำได้ข้าก็จะกลับไป แต่ถ้าพวกเขาลืมข้าไปแล้ว…ข้าจะกลับตระกูลตู่ไปทำไมกัน?”


 


เขาคือนายน้อยตระกูลตู่งั้นรึ?


 


ทุกคนตกตะลึง!


 


พวกเขาไม่รู้เลยว่าตู่หลงจะมีตำแหน่งเช่นนี้


 


ตำแหน่งนายน้อยของหนึ่งในแปดตระกูลเก่าแก่นั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก!


 


แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งความเป็นนายน้องของตระกูลตู่ในอดีตไป


 


ทุกคนพักในโรงเตี๊ยม


 


ซือหยูยังคงบ่มเพาะพลังอยู่เช่นเดิม


 


ตอนนี้เก้าดัชนีอัสนีจินตนาของเขาอยู่ที่ระดับหนึ่งขั้นสูง เขาเริ่มบ่มเพาะระดับสอง


 


โอรสสวรรค์จ้องนภาเพิ่งจะสำเร็จระดับหนึ่งขั้นกลาง ยังคงห่างไกลกว่าจะถึงระดับสอง


 


สุดท้ายคืออรหันต์แปดอักษรที่อีกไม่นานจะถึงขั้นต้น


 


แต่ก็น่าแปลกที่การทะลวงฐานพลังหลายขั้นของซือหยูไม่ได้ทำให้อรหันต์แปดอักษรเติบโตขึ้นเลย


 


ราวกับว่าหนทางจากขั้นเริ่มต้นไปถึงขั้นต้นนั้นจะเนิ่นนาน


 


ความยากในการบ่มเพาะวิชาระดับตำนานนั้นเหนือกว่าวิชาระดับอำมฤตอย่างมาก


 


ตลอดการบ่มเพาะ ซือหยูไม่ได้อะไรมากนัก


 


เขาทำได้แค่ปรับฐานพลังอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูงให้มั่นคงขึ้น ถ้ามีโอกาส…เขาจะพยายามทะลวงพลังเป็นอำมฤตขั้นสอง


 


นั่นจะเป็นคืนจันทร์เต็มดวง และเป็นวันที่การประมูลของตระกูลตู่จบลง


 


พวกเขาทั้งสี่ออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ประมูลกลางเมืองอันยี่


 


ทางเข้านั้นมีการป้องกันอย่างแน่นหนา มีทหารขอบเขตอำมฤตอย่างน้อยสิบคน


 


ชายแก่ที่เต็มไปด้วยผมขาวนั่งอยู่หลังโต๊ะทางเข้า เขาตรวจสอบของในมืออย่างอดทน


 


ซือหยูเดินเข้าไป ชายแก่ไม่แม้แต่เงยหน้า


 


“หยุด ส่งมัดจำมา”


 


นี่คือกฎสามัญในการประมูลทั่วไป


 


“ข้าต้องวางมัดจำเท่าไหร่รึ?”


 


ทหารข้างๆตอบอย่างไร้อารมณ์


 


“ยิ่งเจ้ามัดจำมากเท่าใด ที่นั่งของเจ้าก็จะยิ่งมีระดับขึ้นเท่านั้น เจ้าอาจจะได้นั่งที่นั่งพิเศษอีกด้วย”


 


หากเป็นอย่างนั้น…ซือหยูพยักหน้าและหยิบต้นมังกรขาวออกมา


 


นี่คือสิ่งที่เขาได้มาจากวิหารเซี่ยนหยุน มันจะเพิ่มฐานพลังของคนที่มีพลังต่ำกว่ามังกรระดับสามได้หนึ่งระดับ


 


ผู้เฒ่ายังคงไม่เงยหน้า เขาพูดเบาๆ


 


“ต้นมังกรขาวหนึ่งต้น ที่นั่งระดับต่ำ วางไว้บนโต๊ะ”


 


ซือหยูตกใจกับประสาทสัมผัสอันทรงพลังของเขายิ่งนัก เขาบอกได้ว่าของที่ซือหยูหยิบออกมาคือต้นมังกรขาวโดยที่ไม่มองด้วยซ้ำ


 


ฟึ่บ–


 


ซือหยูหยิบกล่องหยกออกมา ขนวิหคเพลิงที่เปล่งแสงสีชาดสดใสเปล่งประกายอยู่ภายใน


 


พลังงานอันอบอุ่นค่อยๆไหลออกมาจากช่องว่างของกล่อง


 


ชายแก่สูดกลิ่นอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองกล่องหยก


 


เขาเอามาดูใกล้ๆ ท่าทางใจเย็นของเขาเปลี่ยนไปเป็นหม่นหมอง


 


“นี่มัน…ขนวิหคเพลิง!”


 


“เจ้าเป็นคนจากวิหคเพลิงงั้นรึ? ข้าจำไม่ได้เลยว่าพวกนั้นบอกว่าจะมางานประมูล”


 


ชายแก่มองพวกเขาทั้งสี่อย่างสงสัย


 


เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสงสัยถึงต้นตอของขนวิหคเพลิง


 


ซือหยูเลิกคิ้ว


 


“ข้าไม่มีสิทธิ์ได้ขนวิหคเพลิงแม้จะไม่ได้เป็นคนจากวิหคเพลิงเลยรึ? ถ้าข้ากล้าเอาออกมา ข้าก็ต้องไม่กลัวคนจากวิหคเพลิงอยู่แล้ว”


 


ชายแก่พูดอย่างไม่เป็นมิตร


 


“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะขโมยหรือได้ขนนี่มายังไง ข้ากังวลถึงคนที่ตัวตนไม่ชัดเจนว่าจะมาสร้างปัญหาในงานประมูลมากกว่า!”


 


คนทางฝั่งซือหยูเริ่มไม่พอใจ ชายแก่พูดออกมาอย่างไม่ให้เกียรติ!


 


ซือหยูพูดไปแล้วว่าเขาได้ขนวิหคเพลิงมาด้วยตัวเอง แต่เขาก็ยังยืนกรานว่าพวกซือหยูโกหกและจะเข้ามาโกงงาน


 


ซือหยูขมวดคิ้ว เขาพูดอย่างใจเย็น


 


“ข้าขอถามคำถามเดียว ของที่ข้าเอามานั้นมากพอที่ข้าจะได้เข้าไปหรือไม่?”


 


แต่ชายแก่ก็ใจร้ายกับพวกซือหยูเป็นอย่างมาก


 


“มันพอ แต่เข้าไปไม่ได้!”


 


“พวกเราตระกูลตู่ไม่ต้อนรับคนชั้นต่ำอย่างเจ้า”


 


ชายแก่มีอคติอย่างมาก เขาโบกมือราวกับจะปัดแมลงวัน


 


“ไปซะ ที่ข้าพูดถือเป็นคำขาด!”


 


ชั้นต่ำรึ? ซือหยูไม่รู้จะพูดคุยกับคนแก่ดื้อด้านเช่นนี้ยังไง


 


ที่นี่คือพื้นที่จัดงานประมูลของตระกูลตู่ และเขาไม่ควรจะก่อเรื่องที่นี่ เขาได้แต่ข่มความโกรธ


 


“ก็ได้ ข้าจะไปเข้าประมูล ไปกันเถอะ”


 


เขาทำเหมือนยอมแพ้ก็เพราะว่าตู่หลงส่งสัญญาณว่ามีวิธีอื่นให้เข้าไปโดยไม่ต้องผ่านชายแก่


 


“ข้าไม่ส่งพวกเจ้าหรอกนะ”


 


ชายแก่นั่งลงหัวเราะเหยียดหยาม


 


เขาเจอคนแบบซือหยูมามากจนเกินไป คนที่ทำใจเย็นหลังจากที่ถูกปฏิเสธ


 


“แล้วเจ้ามองขนวิหคเพลิงเสร็จรึยัง? เอามันคืนข้า”


 


ซือหยูหยิบกล่องหยกบนโต๊ะ


 


แต่ซือหยูไม่คิดเลยว่าชายแก่จะชิงมันไปก่อนเขา ชายแก่รีบคว้ากล่องหยกไว้ในมือก่อนจะเก็บเอาไว้กับตัว


 


ซือหยูแววตาเย็นชา


 


“นี่มันหมายความว่ายังไง?”


 


ชายแก่ไม่เงยหน้า เขาพูดอย่างเรียบเฉย


 


“พวกเราตระกูลตู่มีหน้าที่ตรวจสอบของที่มีที่มาน่าสงสัย!”


 


“ข้าบอกว่าข้าได้มาจากเจ้าแห่งวิหคเพลิง!”


 


น้ำเสียงซือหยูเย็นยะเยือก


 


ชายแก่โบกมืออย่างขยะแขยง


 


“เจ้าจะพูดมากไปแล้ว! ข้าจะติดต่อคณะวิหคเพลิงและสืบหาต้นตอของขนนี่ ถ้าเจ้าพูดจริง ข้าก็จะคืนให้เจ้า อีกสามวันเจ้าค่อยกลับมา!”


 


เขาชิงของของซือหยูไปและยังคงขออย่างหยาบคายให้ซือหยูกลับมารับคืนในอีกสามวัน!


 


เขาไม่รู้เลยว่าเขาจะได้ของคืนจากหนึ่งในแปดตระกูลโบราณในเมืองอันยี่หรือไม่


 


แม้เขาจะเอาคืนมาได้ ขนวิหคเพลิงก็ใช้ได้เพียงครั้งเดียว เขาจะเอาคืนมาทำไมถ้าหากพวกชายแก่เอาไปใช้แล้ว?


 


“ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ส่งมันมา!”


 


ซือหยูโกรธเกรี้ยว


 


ดูเหมือนว่าชายแก่จงใจหาเรื่องซือหยูเพื่อที่จะเอาขนวิหคเพลิงไว้กับตัว!


 


ความไร้ยางอายต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ยากจะได้เห็น แม้จะเป็นซือหยูเองก็ตาม


 


ปั้ง–


 


ชายแก่ทุบโต๊ะ ใบหน้านั้นขยะแขยง


 


“ข้าก็ไม่คิดจะพูดซ้ำ! ไสหัวไป! ไอ้พวกคนชั้นต่ำ!”


 


เมื่อเห็นพวกซือหยูยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่คิดจะกลับไป ชายแก่ตะคอก


 


“ทหารไปไหน?”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ทหารขอบเขตอำมฤตสิบคนปรากฏตัวขึ้นมาล้อมพวกเขาสี่คนทันที


 


หัวหน้าของเหล่าทหารคือชายที่ร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เขามีพลังอำมฤตระดับสองขั้นต้น


 


“ผู้เฒ่าลี่ มีอะไรรึ?”


 


ชายแก่ที่ถูกเรียกว่าผู้เฒ่าลี่มองออกมาอย่างขยะแขยง


 


“พวกชั้นต่ำพวกนี้แอบอ้างว่าเป็นคนจากคณะวิหคเพลิง ข้ายึดของที่พวกมันขโมยมาไว้แล้ว ไล่พวกมันออกไป ถ้าพวกนั้นขัดขืนเจ้าก็จับตัวเอาไว้!”


 


หัวหน้าทหารมองซือหยูอย่างเย็นชา


 


“ช่างกล้านัก ข้าเห็นพวกแอบอ้างมามากมาย แต่ก็ไม่เคยได้ยินคนที่กล้าแอบอ้างว่าเป็นคนของวิหคเพลิง”


 


ซือหยูยังคงนิ่งเงียบ สีหน้าของเขาเยือกเย็น


 


พวกตระกูลตู่สมคบคิดต่อกัน ซือหยูไม่คิดจะพูดอะไรอีก ปัญหาเช่นนี้ต้องแก้ด้วยกำลัง


 


“ฮื่ม! เจ้าไม่ต้องปฏิเสธ มันไม่ได้ผลหรอก! ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”


 


หัวหน้าทหารทำราวกับว่าซือหยูจะโต้ตอบ เขายกมือขึ้นมาโดยไม่มองซือหยู


 


ซือหยูมองอย่างเย็นชา แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเยือกเย็น


 


“เจ้าหาเรื่องเองนะ!”

 

 

 


ตอนที่ 315

 

หัวหน้าทหารถอนหายใจแรง


 


“เจ้ากล้ามาก่อเรื่องในที่ประมูลของตระกูลตู่งั้นรึ? ก่อนจะมา เจ้าไม่รู้รึว่าเมืองอันยี่เป็นที่รู้จักเพราะอะไร?”


 


เขาเห็นคนมามากมายที่โง่เขลาอย่างซือหยู


 


“จับพวกมันไปสืบสวน!”


 


หัวหน้าทหารสั่งคนของตัวเอง


 


ทหารคนอื่นเก้าคนรีบทำตามคำสั่ง พวกเขาเข้าโจมตีซือหยูและคนในกลุ่มเขาจากทุกทิศทาง


 


ซือหยูไร้เหตุผลที่จะทนกับเรื่องนี้แล้ว


 


ในหนทางเดียวในการจัดการกับคนเช่นนี้


 


คือการใช้พลัง!


 


“วิบัติอัสนีเยือกแข็ง!”


 


ซือหยูตะโกนเบาๆ เมฆาครึ้มก่อตัวขึ้นบนนภาทันที


 


มังกรอัสนีม่วงพุ่งลงมาโดยมีกลุ่มซือหยูเป็นศูนย์กลาง มังกรอัสนีคำรามอย่างบ้าคลั่ง


 


เปรี๊ยะ—


 


เปรี๊ยะ—


 


อั้ก—


 


ทหารอำมฤตระดับหนึ่งทั้งเก้าคนที่ล้อมซือหยูกระเด็นลอยออกไปเพราะมังกรอัสนีก่อนที่จะรู้ตัวเสียอีก!


 


หัวหน้าทหารเบิกตากว้าง!


 


แค่การโจมตีเดียวก็ทำให้อำมฤตเก้าคนกระเด็นไปแล้วรึ?


 


เขาตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่และเริ่มตอบสนอง หัวใจเขาเต้นอย่างรวดเร็ว เขากลืนน้ำลาย เขาพยายามพูดขู่แต่ก็เป็นความขี้ขลาดจากจิตใจ


 


“อวดดีนัก! เจ้ากล้าทำร้ายทหารตระกูลตู่!”


 


แววตาซือหยูคมกริบ


 


“เจ้าจะเล่นตลกกับข้ารึ? ถ้าไม่ให้ข้าทำอะไรเลย งั้นเจ้าก็อยากให้ข้ารอให้พวกนั้นเข้ามาทำร้ายข้ารึ?”


 


พูดจบซือหยูก็เดินเข้าหาหัวหน้าทหาร


 


หัวหน้าทหารฝืนใจเย็น


 


“เจ้าจะทำอะไร? ถ้าเจ้าทำร้ายข้า ตระกูลตู่จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”


 


ซือหยูส่ายหัว


 


“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ทหารอย่างเจ้ามีสิทธิ์พูด!”


 


“ทหารอย่างเจ้าควรจะปกป้องเจ้านาย ไม่ใช่ให้เจ้านายคอยปกป้องเจ้า!”


 


ซือหยูพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย เขาพูดและเดินชี้ดัชนีไปทางหัวหน้าทหาร


 


หัวหน้าทหารรีบป้องกัน


 


“อย่าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้า!”


 


ไม่นานเขาก็ใจเย็นลงเล็กน้อย


 


เมื่อครู่ เขาตกใจกับวิบัติอัสนีเยือกแข็ง แต่ในตอนนี้เมื่อเขาสัมผัสดีๆ เขาก็พบว่าซือหยูเป็นแค่อำมฤตระดับหนึ่ง ซึ่งยังห่างไกลกับเขา


 


“วายุสามกระหน่ำ!”


 


หัวหน้าองครักษ์ตะโกนเบาๆ ฝ่ามือเขาเป็นดั่งเวหาที่ทะลวงชั้นเงาในนภา


 


นี่คือวิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นต้น!


 


ซือหยูไม่สนใจ บอลอัสนีก่อตัวขึ้นที่ปลายดัชนี


 


“ดัชนีสายฟ้าดารา!”


 


ซือหยูใช้พลังเพียงแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น


 


ครืน—


 


ครืน—


 


การโจมตีทั้งสองปะทะกัน ฝ่ามือของหัวหน้าองครักษ์ไหม้เกรียม


 


อ๊าก—


 


หัวหน้าองครักษ์ถอยหลังไปสามก้าว เขาหน้าซีดเผือด


 


“วิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง! จะ…เจ้าเป็นใครกัน?”


 


ชายหนุ่มอายุสิบหกใช้วิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูงได้จริงๆรึ?


 


เขาที่มีระดับปัญญาสูงส่งเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครหนุนหลัง


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“เอ๋? เจ้าเลิกจับข้าไปสืบสวนแล้วรึ เจ้ากลับพยายามจะถามข้าตรงนี้น่ะหรือ?”


 


ซือหยูส่ายหัว เขาเดินไปพร้อมกับยื่นดัชนี!


 


ฝ่ามือของหัวหน้าองครักษ์เจ็บปวดอย่างมาก ไม่มีทางที่เขาจะป้องกันซือหยูได้ เขารีบถอยและร้องตะโกน


 


“อย่าให้มันมากนัก!”


 


ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่น


 


“มากไปรึ? เมื่อครู่ ใครกันที่อยากจะจับข้าหลังจากคุยกันไม่รู้เรื่อง? และใครกันที่ไม่ให้ของของข้าคืนและยังไล่ข้าออกไป?”


 


“เจ้าเอาของของข้าไปและยังอยากจะจับตัวคนของข้าอีก เลิกพูดได้แล้ว!”


 


เปรี๊ยะ–


 


ดัชนีสายฟ้าดาราพุ่งเข้าใส่ตัวเขาตรงๆ


 


หัวหน้าองครักษ์ร้องครวญครางและหมดสติไปกับพื้น


 


“มีพลังแค่นั้นแต่ก็ยังกล้าเอาของของคนอื่นไปอีกรึ?”


 


ซือหยูส่ายหัวและมองไปยังชายแก่!


 


ในตอนนั้น ชายแก่รู้แล้วว่าสถานการณ์กำลังย่ำแย่และกำลังจะหนี


 


ชายแก่หน้าซีดราวกับคนตาย เขารีบเข้าไปในที่ประมูลอย่างรีบร้อน


 


“จะหนีไปไหน?”


 


ซือหยูเดินราวกับยืนอยู่บนปีก เงาของเขาดั่งภาพลวง เขาบีบคอชายแก่เอาไว้หลังจากที่จับตัวได้


 


“ปละ…ปล่อยข้า!”


 


ชายแก่ร้องอย่างเจ็บปวด


 


ฟึ่บ–


 


ซือหยูชิงกล่องหยกคืนและหัวเราะอย่างเย็นชา


 


“ถึงเจ้าจะแก่เฒ่าเช่นนี้ เจ้าก็ยังใช้กลเช่นนี้อีก เจ้าไม่มียางอายบ้างรึ?”


 


ในความเป็นจริง จิตใจของซือหยูนั่นเป็นดั่งคันฉ่องกระจ่าง


 


ผู้ประเมินสมบัติอย่างชายแก่ผู้นี้นั่นตรวจสอบสมบัติมามากมาย และเขาก็ยังมองดูผู้คนมานับไม่ถ้วน!


 


เขารู้ดีวว่าสมบัติของใครควรจะหมายตาและของใครที่ไม่ควร


 


พลังของซือหยูกับคนที่มาด้วยนั้นไม่สูงและดูไม่คุ้นหน้า และพวกเขายังอ่อนวัยไร้ผู้อาวุโสติดตาม ดังนั้นพวกเขาคือคนที่ดีที่สุดที่จะรังแก


 


เขาไม่คิดเลยว่าพลังของซือหยูจะเหนือกว่าที่มองดูจากภายนอก นั่นทำให้เขาต้องเจ็บปวดอย่างมาก


 


“ข้าคือผู้ตรวจสมบัติของตระกูลตู่ นี่ยังไม่สายเกินไป ถ้าเจ้าหยุดตอนนี้  ไม่อย่างนั้นตระกูลตู่จะไม่…”


 


เพี๊ยะ—


 


ซือหยูตบหน้าชายแก่อย่างแรงจนเขามึนงง


 


“ไม่รู้สำนึก!”


 


ซือหยูพูดอย่างเยือกเย็น


 


“ข้าบอกเจ้าไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าขนวิหคเพลิงนั่นข้าได้มาอย่างถูกต้อง ตอนนั้นเจ้าก็ไม่ควรจะโลภมากเช่นนี้!”


 


“ข้าทนความไร้สาระของเจ้ามาหลายครานัก ตอนนี้เจ้าควรจะหยุดได้แล้ว!”


 


“น่าเวทนานักที่เจ้ามาท้าทายความอดทนข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเรื่องเป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะแก้ไขทุกสิ่งได้ด้วยตำแหน่งคนตรวจสมบัติงั้นรึ?”


 


ซือหยูโยนเขาลงกับพื้น ชายแก่ไม่มีฐานพลังสูงนัก เขากระแทกกับพื้นและกระอักเลือดออกมา เขาร้องอย่างเจ็บปวด


 


“เจ้าบอกว่าพวกข้าจะโกงเจ้าแล้วยังบอกว่าพวกข้าเป็นคนชั้นต่ำ เจ้าไม่คิดเลยรึว่าคนที่ชั้นต่ำจริงๆคือเจ้า! เพราะเจ้าโลภกับของของข้า เจ้าใช้วิธีไร้ยางอายในการชิงมันไป!”


 


ซือหยูเก็บกล่องหยกที่ใส่ขนวิหคเพลิงไว้กับตัวและปล่อยจิตสังหารออกมา


 


ซือหยูยกขาขึ้นและกำลังจะสั่งสอนกาเฒ่าด้วยบทเรียนที่เขาไม่มีวันลืม


 


ในตอนนั้น ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็รีบออกมาจากที่ประมูล


 


เขาอายุประมาณห้าสิบปี เส้นผมนั้นขาวแซมดำ แต่ก็มีสีขาวที่มากกว่า


 


เขาสวมชุดสีเทา เขาดูมีพลังอำนาจ


 


“โปรดหยุดเถอะ!”


 


ชายวัยกลางคนชุดสีเทานั้นฐานพลังไม่น้อย เขาเป็นอำมฤตระดับสองขั้นสูงและแข็งแกร่งกว่าหัวหน้าทหารหลายเท่า


 


ชายแก่บนพื้นที่ร้องครวญครางมองราวกับได้เจอผู้กอบกู้ เขาคลานและกลิ้งไปหาชายวัยกลางคนทันที


 


“นายท่าน โปรดช่วยข้าด้วย คนผู้นี้ชั่วช้าดุร้ายนัก เขาพยายามจะบุกเข้าไปในงานประมู….”


 


เพี๊ยะ—


 


แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฝ่ามือยักษ์ก็ตบหน้าเขาอย่างไร้ปรานี


 


ด้วยพลังมหาศาล ฟันของชายแก่หลายซี่หลุดออกมาจากปากพร้อมกับโลหิต เขาเบิกตากว้าง


 


“นายท่าน ทำไมถึง….”


 


“เจ้าโง่! เจ้ายังไม่คิดจะขอโทษอีกรึ? คนที่ยืนอยู่หน้าเจ้าคือเจ้าตำหนักฉีหลานกับเจ้าตำหนักหยินหยู!”


 


ชายวัยกลางคนในชุดเทาเสียใจกับคนของเขามากที่ไม่ได้ดั่งหวัง


 


ทั้งร่างของชายแก่สั่นเครือ


 


“เจ้า…ตำหนัก!”


 


ริมฝีปากเขาสั่นระริก ชายแก่มองไปทางซือหยูและฮั่วฉีหลาน ใบหน้ามีแต่ความกลัว


 


“ขะ…ข้าขอโทษ…”


 


ซือหยูไม่คิดจะมองเขา เขาหันไปสนใจชายชุดเทาและรู้สึกทึ่งเล็กๆ


 


เขาเพิ่งจะได้เป็นเจ้าตำหนักแค่สามเดือน และก็เพิ่งจะแสดงตัวอย่างเป็นทางการต่อตำหนักรองในหนึ่งเดือนก่อน


 


แต่คนคนนี้กลับรู้ถึงตัวตนของทั้งเขาและฮั่วฉีหลาน


 


ซือหยูเริ่มระแวง


 


ตระกูลตู่นั้นเก็บตัวอยู่ในป่าทมิฬ แต่พวกเขาก็รู้ข่าวในโลกภายนอกเป็นอย่างดี!


 


ตระกูลตู่ยังคงมีอำนาจ!


 


“ข้าคือตู่หมิงฮั่ว ผู้จัดงานประมูลของตระกูลตู่ เป็นเกียรติยิ่งนักที่พวกท่านมางานประมูลของพวกเรา ถ้าหากไม่เป็นไร เชิญพวกท่านนั่งที่พิเศษในห้องของแขกผู้มีเกียรติเถอะ”


 


ตู่หมิงฮั่วยิ้มอย่างสดใส

 

 

 


ตอนที่ 316

 

ตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผยแล้ว ซือหยูไม่คิดจะซ่อนตัวตนอีก


 


“ขอบคุณ!”


 


ซือหยูพูดขอบคุณและไปยังห้องรับรองของแขกพิเศษโดยมีคนรับใช้เดินนำทาง


 


เมื่อเห็นซือหยูกับพรรคพวกเดินเข้าไป รอยยิ้มของตู่หมิงฮั่วก็แทนที่ด้วยสีหน้าดุร้าย


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าตบเจ้าทำไม?”


 


ตู่หมิงฮั่วยืนมือไพล่หลังถาม


 


ชายแก่ลูบใบหน้า


 


“เพราะข้าไม่ตรวจสอบตัวตนของคนให้ดี และหาเรื่องผิดคน”


 


แต่คาดไม่ถึงที่ตู่หมิงฮั่วส่ายหัว


 


“นั่นก็แค่รองเจ้าตำหนัก! ถ้าหลิงเสี่ยวเทียนไม่มาเอง พวกเราตระกูลตู่ก็ไม่ต้องไปกลัวเจ้าเด็กสองคนนั่น! การฆ่าพวกมันก็ง่ายดายนัก!”


 


“ข้าตบเจ้าก็เพราะเจ้ามันจิตใจคับแคบ! เจ้าทำเช่นนี้เพียงเพื่อขนวิหคเพลิง! มันไม่คุ้มค่าเลย!”


 


ตู่หมิงฮั่วมองชายแก่ด้วยความผิดหวัง


 


“อนาคตของเจ้าก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเจ้า ถ้าเจ้าอยากได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ เจ้าก็ต้องกล้าฝันแล้วกล้าทำให้เป็นจริง!”


 


ตู่หมิงฮั่วสั่งสอน


 


ชายแก่ตัวสั่นยอมรับ เขาก้มหน้า


 


“แล้วเจ้าได้มองชายที่แขนขาดหรือไม่?”


 


ตู่หมิงฮั่วหรี่ตา


 


ชายแก่ตัวแข็งทื่อ เขาหันมาตอบอย่างระวัง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


“เขาดูจะคล้ายกับ…นายน้อยในอดีต! ตู่หลง!”


 


ตู่หมิงฮั่วตอบกลับ


 


“ใช่แล้ว นั่นแหละเขา!”


 


ตู่หมิงฮั่วแววตาเยือกเย็น


 


“ถ้าเขาออกไปแล้ว เขาจะกลับมาให้พวกเรากังวลเพื่อสิ่งใดกัน?”


 


“ไปบอกนายท่านเดี๋ยวนี้ ให้เขาตัดสินใจ!”


 


ชายแก่ไม่โต้แย้ง เขาไปทำตามคำสั่งทันที


 


ที่ห้องพิเศษ


 


ห้องนี้กว้างและสบาย มันตั้งอยู่ในที่สูงเพื่อให้คนที่มาเข้าร่วมได้เห็นทุกอย่างในงานประมูล


 


ซือหยูนั่งบนเก้าอี้นุ่มและครุ่นคิด


 


ตระกูลตู่นั้นเป็นภัยต่ออาณาจักรทมิฬ แล้วเหตุใดราชาแห่งความมืดถึงปล่อยให้พวกเขารอดมาจนถึงตอนนี้เล่า?


 


ด้วยจิตวิญญาณของราชาแห่งอาณาจักรทมิฬ เขาไม่แสดงความสงสารเวทนาเลยสักครั้ง แต่ทำไมเขาถึงไม่กำจัดตระกูลตู่กัน?


 


ถ้าตัดหญ้าโดยไม่ถอนราก มันก็จะเติบโตขึ้นมาอีกครั้ง


 


หรือว่าราชาแห่งความมืดมีเรื่องอะไรเกินขึ้นในอดีต…แล้วไม่กล้าทำลายพวกเขา?


 


แต่ราชาแห่งความมืดก็เป็นนักรบที่ไร้เทียมทานในทวีป เขาเหนือกว่าราชาในอดีตทุกคน


 


ใครกันจะหยุดราชาแห่งความมืดได้?


 


เขาครุ่นคิด และตู่หลงก็หัวเราะขึ้นมา


 


“ดูเหมือนว่าข้าไม่ควรจะกลับมานะ”


 


เขามีความหลักแหลมอยู่แล้ว เขาจะไม่สังเกตเห็นสายตาประหลาดของตู่หมิงฮั่วได้อย่างไร?


 


ซือหยูไม่ตอบ นี่เป็นทางเลือกของตู่หลง


 


การประมูลกำลังจะเริ่มขึ้น


 


ผู้คนในชั้นล่างเริ่มเคลื่อนไหว พวกเขามาจากขุมกำลังที่ต่างกันในทวีป ฐานพลังของพวกเขาสูงส่ง


 


ด้วยสายตาผู้คนมากมาย ตู่หมิงฮั่วกลับมาดำเนินการประมูล


 


“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน การประมูลที่พวกท่านตั้งตารอเริ่มขึ้นแล้ว!”


 


ตู่หมิงฮั่วพูดเสียงดัง


 


“ข้าขอชิ้นแรกจะได้หรือไม่?”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ผ้าม่านเปิดออก สาวรับใช้สองคนถือคัมภีร์โบราณที่ฉีกขาดเดินเข้ามาอย่างช้าๆ


 


“ชิ้นแรกคือคัมภีร์ฝึกสัตว์อสูรของหนึ่งในแปดตระกูลโบราณ ตระกูลยี่! ระดับความสมบูรณ์อยู่ที่สามในสิบส่วน!”


 


เมื่อได้ยิน เหล่าผู้คนส่งเสียงดังขึ้นมาทันที


 


ชื่อของแปดตระกูลนั้นเป็นความลับกับคนมากกว่าเก้าในสิบส่วนของทวีปเฉินหลง


 


มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับรู้ถึงตำนานนั้น


 


ใครจะไปคิดว่าของประมูลชิ้นแรกจะเป็นของจากตระกูลที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างตระกูลยี่แห่งแปดตระกูลกัน?


 


“อย่างที่ทุกคนรู้ ตระกูลยี่แห่งแปดตระกูลนั้นเชี่ยวชาญการฝึกสัตว์อสูรและควบคุมได้ตามใจนึก”


 


เหล่าผู้คนเริ่มพูดคุยกัน


 


พวกเขารอคอยการเริ่มให้ราคา


 


แม้ว่าจะเป็นคัมภีร์ที่มีพลังสามในสิบส่วนและผลของมันก็อาจจะไม่น่าประทับใจ แต่ก็ยากที่จะมองข้ามชื่อของหนึ่งในแปดตระกูล


 


“ข้าคงไม่ต้องพูดถึงความตระการตาของคัมภีร์นี้ คนที่ส่งมาให้ข้าเพียงแค่ขอตำราอำมฤตเท่านั้น แต่ต้องเป็นตำราแบบเต็มเล่ม”


 


เมื่อได้ยิน เสียงวุ่นวายกว่าครึ่งของคนก็เงียบไป!


 


วิชาระดับอำมฤตนั้นไม่ได้พบเจอได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็มีไว้สำหรับเหล่าผู้ทรงอำนาจในทวีป


 


และก็ยากยิ่งกว่าที่จะได้ตำราฉบับเต็ม!


 


ตำราระดับอำมฤตถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ส่วนมากเหลือเพียงแค่เศษชิ้นส่วนตำราเท่านั้น


 


ฉบับเต็มนั้นหายากมาก


 


นอกจากสามขุมกำลังหลัก ตำหนังรองของอาณาจักรทมิฬ และหนึ่งในแปดตระกูลเก่า…ตระกูลตู่ ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าคนอื่นจะมีตำราวิชาระดับอำมฤตแบบเต็มเล่ม


 


ราคามหาศาลเช่นนี้ทำให้คนไม่อยากได้มัน


 


ตอนนี้เหลือไม่กี่คนที่มีความลังเลในสายตา


 


“ข้าสงสัยว่าอีกฝ่ายต้องการวิชาแบบใด?”


 


คำถามดังขึ้นมาจากกลุ่มผู้คน ยังมีคนที่คิดจะยอมรับข้อเสนอ


 


“ใช่แล้ว พูดถึงวิชาที่อีกฝ่ายต้องการก่อนเถอะ ค่าของวิชาโจมตีกับวิชาสนับสนุนแตกต่างกันมากนัก วิชาโจมตีก็มีหลายประเภท ยากที่จะบอกค่าได้แค่คำว่าวิชาระดับอำมฤตแบบเต็มเพียงอย่างเดียว”


 


ตู่หมิงฮั่วยิ้ม เขากำลังจะตอบ


 


แต่ก็มีเสียงดังออกมาจากห้องรับรองพิเศษ


 


“ข้ามีทุกวิชาที่เขาต้องการ คัมภีร์นั่นเป็นของข้า”


 


ซือหยูเคยได้ยินเสียงนี้ นี่ไม่ใช่หนึ่งในบุตรของหอสดับหิมะ เว่ยเทียนเฉินหรอกรึ?


 


คำพูดของเขาฟังดูบ้ามาก


 


เขาไม่ถามว่าอีกฝ่ายต้องการวิชาแบบใดและตัดสินเอาเองว่าของประมูลเป็นของเขา!


 


นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าหอสดับหิมะมีตำราระดับอำมฤตฉบับเต็มอยู่มากเพียงใด!


 


“วิชาโจมตีธาตุเพลิง”


 


ตู่หมิงฮั่วมองไปยังห้องรับรองพิเศษ


 


ในห้องรับรองเงียบไปชั่วครู่


 


พรึ่บ–


 


ตำราสีเพลิงถูกโยนออกจากห้องรับรอง


 


ตู่หมิงฮั่วยื่นมือรับ เขายิ้มและโยนคัมภีร์ที่ฉีกขาดไปที่ห้องรับรองพิเศษ


 


“ยินดีด้วย การประมูลชิ้นแรกจบลงแล้ว”


 


เหล่าผู้คนมองที่ห้องรับรองของเว่ยเทียนเฉิน สีหน้าพวกเขาตกตะลึง


 


ซือหยูนั้นตกใจ เว่ยเทียนเฉินมีตำราอยู่กับตัวด้วยงั้นรึ?


 


ฮั่วฉีหลานใบหน้าเคร่งเครียด


 


“สมกับเป็นอาลักษณ์วิเศษ เว่ยเทียนเฉิน! ว่ากันว่าเขามีความทรงจำที่จะภาพได้! เขาจดจำทุกสิ่งที่เห็นได้ตลอดกาล”


 


“และเขาก็ยังบ่มเพาะวิชาพิเศษที่ทำให้ดึงความทรงจำจากสมองออกมาเป็นกระดาษได้อีก นั่นจึงทำให้คนเรียกเขาว่าอาลักษณ์วิเศษ”


 


ยังมีคนที่มีพรสวรรค์ประหลาดอยู่บนโลกในนี้


 


ซือหยูตกใจมาก


 


การประมูลดำเนินต่อไป


 


แต่ของที่ถูกนำมาประมูลล้วนเป็นของธรรมดา ยังห่างไกลเกินกว่าที่จะเตะตาได้


 


เป็นเช่นนั้นจนมีของชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น


 


“ต่อไป เรามีของจากตระกูลตู่”


 


ตู่หมิงฮั่วหยิบกล่องหยกออกมา หยดสีเพลิงอยู่ด้านในนั้น


 


เมื่อมันปรากฏออกมา แหวนเทพน้ำแข็งของซือหยูก็ทำงาน


 


ซือหยูตกใจเล็กน้อย แหวนเทพน้ำแข็งของเขาเป็นสมบัติเทพที่พังแล้ว แหวนโดยส่วนมากถูกทำลาย คุณสมบัติวิญญาณลดลงไปกว่าครึ่ง


 


แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่มันก็ทำงานเมื่อหยดสีเพลิงนั้นอยู่ในระยะที่นับว่าใกล้


 


หยดสีเพลิงนั้นน่ากลัวขนาดนี้เชียวรึ?


 


เหล่าผู้คนเงียบไปนานก่อนจะส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง


 


“ไม่นะ! นั่นมันหยดหมื่นพลของตระกูลตู่!”


 


“มันจะทำให้สมบัติเทพลืมความทรงจำของเจ้าของเมื่อถูกเอาไปล้าง นั่นคือของที่มีแต่ตระกูลตู่เท่านั้น!”


 


หยดหมื่นพล!


 


ตู่หลงรู้สึกโหยหา


 


“สระหมื่นพลจะหยดหนึ่งหยดในทุกสิบปี ถ้าเจ้าได้มันมา เจ้าจะชำระล้างสมบัติเทพได้ มันเคยมีอยู่เป็นบ่อเล็กๆที่รวบรวมมาหมื่นปี แต่ก็ถูกราชาแห่งความมืดเอาไป หลายร้อยปีที่ผ่านมา จำนวนที่ตระกูลตู่มีนั้นเหลือเพียงน้อยนิด”


 


“หยดที่เจ้าเห็นนั่นมีพลังหนึ่งในสิบส่วนของของจริง”


 

 

 


ตอนที่ 317

 

“ต่อให้เป็นของจริงก็ต้องใช้ถึงสิบหยดในการชำระล้างผนึกของเจ้าของเดิมของสมบัติเทพอย่างหมดจด ส่วนหยดที่เจ้าเห็นจะต้องใช้ร้อยหยด”


 


ที่เวทีประมูล ตู่หมิงฮั่วพูดตอบ


 


“ใช่แล้ว นี่คือหยดหมื่นพล และถ้าพวกท่านครอบครองสมบัติเทพ แค่หนึ่งหยดที่สะกัดมาจากหยดต้นกำเนิดก็จะล้างผนึกของเจ้าของสมบัติเทพไปได้”


 


“นี่คือครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ตระกูลตู่จะเอามันออกมาประมูล!”


 


คนใช้เวทีส่งเสียงดังและตกใจอย่างมาก


 


การใช้หยดหมื่นพลนี้ไม่ต่างจากการได้สมบัติเทพมาครอง!


 


หลายขุมกำลังนั้นมีสมบัติเทพอยู่แล้ว


 


และแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีวันได้รับสมบัติเทพแบบสมบูรณ์มาก่อน พวกเขาก็เคยได้รับสมบัติเทพที่ถูกใช้แล้วมาบ้าง


 


แต่สมบัติเทพนั้นก็ตัดสินผู้เป็นเจ้าของมานานแล้ว พวกเขาเอามันมาใช้ไม่ได้


 


ถ้าพวกเขาได้หยดต้นกำเนิด นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะครอบครองสมบัติเทพได้สำเร็จ!


 


แม้แต่ซือหยูก็สนใจมากเช่นกัน


 


ตอนที่ไหมเทพน้ำแข็งอยู่ในมือ เขาใช้พลังสูงสุดได้แค่สามในสิบส่วนเท่านั้น


 


“ราคาล่ะ ข้าต้องการมัน!”


 


เป็นเสียงเว่ยเทียนเฉินอีกครั้ง


 


เมื่อเขาพูด คนใต้เวทีก็เริ่มไม่พอใจ


 


“เดี๋ยวสิ! ทำไมต้องเป็นแค่เจ้า? ข้าก็อยากได้เหมือนกันนะ!”


 


“โปรดบอกพวกเรา หยดหมื่นพลนั่นราคาเท่าใด?”


 


แววตาของพวกเขาลุกโชติช่วง บรรยากาศเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว


 


เทียบกับคัมภีร์ฝึกสัตว์อสูร เหล่าผู้คนส่งเสียงดังกว่าเดิมสองเท่า!


 


ตู่หมิงฮั่วหัวเราะ


 


“เรียบง่ายนัก สมบัติเทพหนึ่งชิ้น!”


 


สมบัติเทพหนึ่งชิ้นแลกกับหยดหมื่นพลหนึ่งหยด!


 


ความหวังของผู้คนสลายไป พวกเขาเงียบกริบ


 


การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ไม่คุ้มค่าเลย


 


แม้แต่เว่ยเทียนเฉินก็ลังเลอยู่เล็กน้อย


 


“สมบัติเทพที่เจ้าพูดถึงนั้นต้องเป็นสมบัติเทพที่สภาพสมบูรณ์หรือไม่?”


 


ตู่หมิงฮั่วตอบ


 


“แน่นอน! สมบัติเทพที่ไม่สมบูรณ์จะเอาไปทำอะไรได้เล่า?”


 


แม้แต่เว่ยเทียนเฉินผู้ตระการตาก็ลังเลเล็กน้อย สมบัติเทพแบบสมบูรณ์นั้นยากที่จะได้พบเจอ ดังนั้นการแลกเปลี่ยนเช่นนี้ถือว่าเป็นการเสียสมบัติเทพไปโดยเปล่าประโยชน์


 


ในตอนนั้น เสียงที่ฟังสบายๆก็ดังมาจากห้องพิเศษอีกห้อง


 


“ข้ามีสมบัติเทพและคิดจะแลกกับหยดหมื่นพล”


 


ฟึ่บ–


 


หม้อทองแดงใบเล็กลอยออกมาจากห้องพิเศษ หม้อทองแดงใยเล็กนั่นใช้เพื่อการต้มโอสถวิญญาณ


 


แต่หลังจากที่เหลือบตามอง ตู่หมิงฮั่วก็โยนมันกลับไป


 


“ขออภัย ข้าแลกไม่ได้หรอก”


 


“ทำไมกัน?”


 


คนในห้องพิเศษข่มความโกรธเอาไว้


 


ตู่หมิงฮั่วมองรอยๆ


 


“ที่ข้าต้องการไม่ใช่สมบัติเทพระดับต่ำ ข้าต้องการสมบัติเทพระดับกลาง!”


 


เมื่อได้ยิน เหล่าผู้คนระเบิดความโกรธ!


 


“ตระกูลตู่เป็นบ้าไปแล้วงั้นรึ? คิดได้แม้กระทั่งจะใช้สมบัติเทพระดับกลางเป็นข้อแลกเปลี่ยน!”


 


“ทวีปแห่งนี้มีสามขุมกำลังเท่านั้นที่มีสมบัติเทพระดับกลาง และสมบัติเทพพวกนั้นก็ได้มาจากบรรพบุรุษ ทำไมต้องเอาของจากบรรพบุรุษมาแลกกัน?”


 


“น่าขันสิ้นดี สมบัติเทพระดับกลางมีค่าเทียบเท่าเศษตำราระดับตำนาน มันเทียบไม่ได้กับหยดหมื่นพลหยดเดียวหรอก!”


“ฮ่าๆๆ ตระกูลตู่อยากจะลองเสี่ยงโชคเอาสมบัติเทพงั้นเรอะ?”


 


เหล่าผู้คนเงียบลงไปมาก ตู่หมิงฮั่วผิดหวังเล็กน้อย


 


“สินค้าล้มเหลวในการประมูล! สินค้าชิ้นต่อไป!”


 


ซือหยูมองไปยังห้องพิเศษที่มีสมบัติเทพโยนออกมา


 


“นั่นมันฮั่นเจียงหลินใช่หรือไม่?”


 


ฉีหยุนเซี่ยงกำหมัดแน่น


 


“ใช่! ข้าไม่มีวันลืมเสียงของมันไปตลอดชีวิตแน่”


 


เป็นเขาอย่างที่คิดเลย


 


และก็เป็นอย่างที่คิดว่าฮั่นเจียงหลินพยายามเดินทางไกลมาถึงเมืองอันยี่ด้วยตัวเองก็เพื่อการประมูล


 


แต่พวกเขาไม่รู้ว่าฮั่นเจียงหลินต้องการประมูลสิ่งใด


 


ของในการประมูลครั้งนี้ไม่มีอะไรพิเศษนัก


 


แม้จะมีของที่ดีกว่านี้ ซือหยูก็ไม่สนใจเท่าใดนัก เขายังคงมองหาพวกที่มาจากคณะวิหคเพลิง


 


แต่ก็อย่างที่ชายแก่ในทางเข้าพูด คณะวิหคเพลิงไม่ได้ตอบรับคำเชิญในครั้งนี้


 


“ชิ้นสุดท้าย! ของที่ทุกคนตั้งตารอ!!”


 


แม้ว่าสิ่งนั้นจะยังไม่ปรากฏ เหล่าผู้คนก็ตื่นเต้นแล้ว


 


การประมูลที่จัดทุกครั้งในครึ่งปี ของชิ้นสุดท้ายทุกชิ้นล้วนเป็นของที่น่าตกตะลึง


 


พรึ่บ–


 


ยอดฝีมือขอบเขตอำมฤตสิบคนใช้พลังวิญญาณดึงธนูใหญ่สีเงินออกมาด้วยความยากลำบาก


 


มันมีเพียงคันธนู ไร้ซึ่งศรธนู


 


ลายมังกรสีเงินสลักอยู่บนธนู มังกรนั้นดูราวกับมีชีวิต


 


ธนูมีคุณสมบัติวิญญาณอย่างมาก ราวกับสิ่งของที่มีชีวิต


 


นอกจากหอกเทพพังสลาย นี่เป็นสมบัติเทพที่มีคุณสมบัติวิญญาณมากที่สุดที่ซือหยูเคยเจอ!


 


“ของชิ้นสุดท้ายคือ…”


 


ตู่หมิงฮั่วที่ปล่อยให้ผู้คนสงสัยพูดด้วยความตื่นเต้น


 


“สมบัติเทพระดับกลาง ธนูมังกรฟ้าดิน!”


 


“ธนูนี้ไร้ศร ผู้ใช้ต้องใช้พลังวิญญาณจากร่างสร้างลูกธนูขึ้นเอง พลังที่ปล่อยออกมาจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณผู้ใช้ ยิ่งแข็งแกร่ง ธนูก็จะยิ่งมีพลัง”


 


เหล่าผู้คนเงียบกริบ


 


พวกเขาต่างตกตะลึง!


 


“สมบัติเทพขั้นกลาง…เป็นไปได้รึ? สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ถูกนำมาประมูลจริงๆรึ?”


 


“หา! ข้ากำลังฝันอยู่เรอะ?”


 


“ตลอดการประมูลที่ผ่านมา ของที่ล้ำค่าที่สุดที่เคยประมูลก็คือธนูคันนี้ไม่ผิดแน่!”


 


“พวกเขากำลังจะก่อสงครามในทวีปนี้งั้นรึ?”


 


ธนูนี้ล้ำค่ายิ่งนัก พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อแย่งมา


 


“หอสดับหิมะต้องการธนูคันนี้!”


 


เว่ยเทียนเฉินยืนขึ้น หัวใจเขาเต้นระรัว เขาจ้องมองธนูยาวจากห้องแขกพิเศษและหายใจอย่างรวดเร็ว


 


สมบัติเทพระดับกลางนั้นน่าตกใจจนเกินไป!


 


“ขออภัยด้วย ธนูคันนี้เป็นของพันธมิตรร้อยดินแดน!”


 


ฮั่นเจียงหลินใจเย็นและไม่ยอมแพ้


 


สองจากสามขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ในทวีปเปิดเผยตัว!


 


เหล่าผู้คนเงียบยิ่งกว่าเดิม ไม่มีใครกล้าจะแข่งกับพวกเขา


 


แววตาซือหยูเต็มไปด้วยเพลิง เขาตื่นเต้นมาก


 


นี่มันคือธนูจริงๆ!


 


อาวุธแรกที่ซือหยูใช้คือธนูโลหิตของเซี่ยจิงหยู


 


และในตอนนี้ที่ไหมเทพน้ำแข็งถูกทำลาย ธนูที่เป็นสมบัติเทพระดับกลางก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา หรือว่านี่จะเป็นบัญชาจากสวรรค์?


 


เว่ยเทียนเฉินปรามเบาๆ


 


“เจ้าพันธมิตรฮั่น ตามคำสั่งของเจ้าแห่งหอสดับหิมะ ข้ามาที่นี่เพื่อเอาธนูคันนี้ หวังว่าเจ้าพันธมิตรฮั่นจะเอื้อเฟื้อและมอบมันให้ข้า!”


 


ฮั่นเจียงหลินหัวเราะ


 


“หุ่นเชิดน้อยๆอย่างเจ้ามีสิทธิ์จะพูดกับข้ารึ? คงจะดีกว่าถ้าผู้บัญชาเจ้ามาด้วยตัวเอง เจ้ายังห่างไกลที่จะมาชี้แนะข้า!”


 


“ท่านตู่ โปรดบอกพวกข้าทีว่าเจ้าของธนูคันนี้ต้องการสิ่งใดเพื่อแลกเปลี่ยน!”


 


ตู่หมิงฮั่วยิ้ม


 


“ของที่ต้องแลกนั้นธรรมดานัก…สมุนไพรเทพธาตุไฟ!”


 


คำว่า สมุนไพรเทพ ที่เข้าหูเหล่าผู้คนนั้นไม่ต่างกับเสียงฟ้าผ่า


 


“สมุนไพรเทพรึ? สมบัติเทพในตำนานที่ใช้แลกเศษวิชาระดับตำนานได้น่ะรึ”


 


“สมุนไพรเทพยังมีเหลืออยู่ในโลกใบนี้อีกรึ?”


 


“หรือว่าเจ้าของธนูจะรู้อยู่แล้วว่าสมบัติเทพเช่นนั้นไม่มีอยู่จริงและตั้งใจจะเข้ามาก่อเรื่อง?”


 


ไม่นานก็มีมุมมองมากมายจากผู้ร่วมประมูล


 


เว่ยเทียนเฉินชักสีหน้าและพูดอย่างไม่พอใจ


 


“สมุนไพรเทพเท่านั้นรึ?”


 


เห็นได้เลยว่าเว่ยเทียนเฉินไม่พอใจ


 


ตู่หมิงฮั่วพยักหน้า


 


“เจ้าของธนูระบุชัดเจนว่าจะแลกกับสมุนไพรเทพธาตุไฟเท่านั้น”


 


เว่ยเทียนเฉินกำหมัดและยอมแพ้ไปอย่างไม่พอใจ แต่เขาก็สังเกตทุกอย่างอย่างใกล้ชิด


 


ฮั่นเจียงหลินยังคงสีหน้าดังเดิม เขาหยิบกล่องหยกที่มีสมุนไพรสีชาดราวกับรูปปั้นหยกออกมา


 


ข้อบกพร่องก็คือสามในสิบส่วนของสมุนไพรเทพนั้นถูกทำลายไป มันเป็นสมุนไพรเทพที่ไม่สมบูรณ์


 


“สมุนไพรหยกเพลิงสวรรค์พิโรธ…สมุนไพรเทพธาตุไฟ!”


 


เหล่าคนดูส่งเสียงโวยวาย


 


“นั่นมันของปลอมรึเปล่า? ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ถ้าเขามีสมุนไพรเทพ เขาก็อาจจะไม่มีสมุนไพรเทพธาตุไฟสิ!”


 


“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่! มันจะต้องถูกตัดสินของประมูลมาล่วงหน้าแล้วว่าของจะต้องตกเป็นของฮั่นเจียงหลิน!”


 


“ใช่แล้ว ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าของธนูจะต้องตั้งใจมอบธนูให้กับฮั่นเจียงหลินอยู่แล้ว การประมูลนี้เป็นแค่การส่งมอบเท่านั้น”


 


ซือหยูสีหน้าหม่นหมอง ใครกินที่ไปทำข้อตกลงกับฮั่นเจียงหลิน?


 


เขาที่ใช้สมบัติเทพระดับกลางมาแลกเปลี่ยน เขาต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เพียงใดกัน?


 


เขาควรจะแข่งกับฮั่นเจียงหลินดีไหมนะ?


 


ในตอนนั้นเอง เสียงของหยุนย่าสีก็ดังมาจากกล่องหยก


 


“เจ้าหนู ทำไมเจ้าไม่ประมูลแข่งเล่า? มีโอกาสสูงนักที่จะมีความลับในธนูเงินนั่น ดูจากภายนอก มันไม่ใช่สมบัติเทพระดับกลางธรรมดาๆแน่”


 


“หาทางเอาธนูนั่นมา เจ้าจะได้ของที่คุ้มค่าแน่!”

 

 

 


ตอนที่ 318

 

ฉวยโอกาสทั้งหมด

อะไรนะ…สมบัติเทพระดับกลางที่เห็นตรงหน้าเป็นแค่ฉากลวง แต่ยังอะไรอื่นอีกอยู่ในธนูเงินนี้รึ?


 


ซือหยูถามโดยไม่ลังเล


 


“ท่านตู่ ท่านจะตัดสินคนที่ได้ของอย่างไรถ้าหากมีคนเสนอสมุนไพรเทพอีก? หรือว่าเจ้าของธนูจะอยู่ที่นี่?”


 


ตู่หมิงฮั่วชักสีหน้าแต่ก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว


 


“แน่นอนว่าพวกเราจะดูจากมูลค่าของสินค้า ถ้าใครเสนอดีกว่าก็จะได้ของไป ตามธรรมเนียมของการประมูล”


 


เขาย่อมไม่ลืมเรื่องสำคัญอยู่แล้ว


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็มีสมุนไพรเทพธาตุไฟมาเสนอเหมือนกัน”


 


พรึ่บ–


 


เขาโยนกล่องหยกออกไป ด้านในนั้นมีสมุนไพรที่ร้อนระอุไปด้วยเพลิงเข้มข้น


 


นั่นคือสมุนไพรเพลิงเยือกแข็ง


 


ซือหยูเก็บสมุนไพรเยือกแข็งเอาไว้ ส่วนสมุนไพรเพลิงนั้นใช้ในการแลกเปลี่ยน


 


เหล่าผู้คนสีหน้าเปลี่ยนไป


 


“สมุนไพรเทพธาตุไฟอีกแล้วรึ! นี่มันวันอะไรกัน!”


 


“ดูนั่นสิ ความสมบูรณ์ ความสด และพลังที่มี สมุนไพรอันที่สองเหนือกว่าอันแรกเยอะเลย!”


 


ตู่หมิงฮั่วใบหน้าบิดเบี้ยว เขาไม่รู้ว่าจะทำอะไร


 


แต่เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขายิ้มและโยนสมุนไพรของฮั่นเจียงหลินกลับคืน


 


“หึหึ ผู้ที่เสนอได้สูงที่สุดคือผู้ชนะ ยินดีด้วย ธนูมังกรฟ้าดินเป็นของเจ้าแล้ว! ธนูนี้หนักมาก โปรดมารับไปที่หลังเวที”


 


เขาพูดโดยไม่ทิ้งช่องว่างให้ซือหยูได้พูดแทรกก่อนจะเก็บธนูไปที่หลังเวที


 


ซือหยูกับอีกสามคนออกจากห้องพิเศษไปยังหลังเวที


 


ที่ที่เรียกว่าหลังเวทีนั้นเป็นเพียงทางเดินแคบๆ


 


มันมีม่านบังจากเวทีประมูลแค่เท่านั้น


 


ในตอนนี้เอง ตู่หมิงฮั่วยืนรอซือหยูด้วยรอยยิ้ม


 


“ธนูอยู่ที่ไหน?”


 


ซือหยูถามทันที ที่เขาเห็นคือเหล่าอำมฤตที่แบกธนูลึกเข้าไปในทางเดินโดยไม่คิดจะส่งให้กับซือหยู


 


“นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”


 


ซือหยูสายตาเย็นชา!


 


ตู่หมิงฮั่วยิ้มอย่างเป็นมิตร


 


“หึหึ เจ้าตำหนักหยินหยูอย่าโกรธไปเลย ฟังข้าก่อน”


 


“ตระกูลตู่ได้หมายตาธนูมังกรฟ้าดินคันนี้ และมันจะต้องเป็นของพวกเรา มีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นในการประมูลเสมอ ตระกูลตู่มีสิทธิ์ในการได้รับของไปก่อน”


 


ตู่หมิงฮั่วอธิบาย


 


ซือหยูตัวแข็งทื่อ แววตาของเขาเย็นยะเยือก


 


“เจ้าจะบอกว่าการประมูลเป็นโมฆะงั้นรึ?”


 


ตู่หมิงฮั่วพยักหน้า


 


“ท่านจะพูดเช่นนั้นก็ย่อมได้ ขออภัยที่ข้าไม่ได้บอกท่านเจ้าตำหนักหยินหยูล่วงหน้า พวกเราจะให้ของชดเชยที่เหมาะสมในภายหลัง”


 


ซือหยูโกรธแค้นแต่ก็ไม่โต้ตอบการตัดสินใจนี้


 


การประมูลของตระกูลตู่อยู่ในดินแดนตระกูลตู่ กฎต่างๆต้องถูกตั้งไว้โดยพวกเขาอยู่แล้ว


 


ส่วนเหล่าคนนอก ถ้าไม่อยากจะเจอปัญหา…พวกเขาก็ต้องอดทนกับกฎเหล่านี้


 


แต่…


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น คืนสมุนไพรเทพของข้ามา”


 


ตู่หมิงฮั่วหัวเราะเบาๆ


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู เป็นเช่นนี้ ข้าให้สมุนไพรกับลูกค้าที่ประมูลไปแล้ว เขาเดินทางออกไปแล้ว ข้าว่ายากนักที่จะตามเขาทัน”


 


“อะไรนะ?”


 


ฉีหยุนเซี่ยงตกใจ


 


“ถ้าเจ้าไม่คิดจะให้ของประมูลกับหยินหยู แล้วเจ้าจะเอาของของเขาไปให้คนอื่นทำไมกัน?”


 


ตู่หมิงฮั่วหัวเราะ


 


“ด้วยเรื่องนี้ พวกเราทำได้แค่พยายามชดเชยอย่างสูงสุด”


 


ฟึ่บ–


 


ตู่หมิงฮั่วหยิบขวดหยกออกมา ในขสดนั้นมีหยดหมื่นพลอยู่หนึ่งหยด


 


“มูลค่าของหยดหมื่นพลนี้ไม่ด้อยไปกว่าสมบัติเทพระดับกลางชิ้นนั้นเลย หากพวกเราเป็นฝ่ายผิด พวกเราก็จะให้สิ่งนี้กับเจ้าตำหนักหยินหยูเป็นการชดเชย”


 


ตู่หมิงฮั่วพูดและยัดขวดหยดใส่มือซือหยู


 


เขาประสานหมัดและหันไปกับกลุ่มที่กำลังขนธนูสีเงิน


 


ซือหยูหัวเราะเสียงดัง


 


“ท่านตู่ เจ้ากำลังเล่นตลกกับข้าเรอะ?”


 


“เจ้าเอาของของข้าไปให้คนอื่น แล้วก็โยนของที่ไม่มีใครต้องการมาให้ข้างั้นรึ? เจ้าคิดว่าข้าจะเล่นกับเจ้ารึ?”


 


ถ้าตู่หมิงฮั่วไม่คิดจะให้ธนูกับซือหยูและคืนสมุนไพรเทพ ซือหยูก็คงไม่คับข้องใจเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะไม่พอใจเท่าใด


 


แต่ตู่หมิงฮั่วกลับส่งสมุนไพรเทพให้กับเจ้าของธนูที่นำมาประมูล นั่นหมายความว่าซือหยูกับเจ้าของธนูแลกเปลี่ยนสำเร็จแล้ว


 


สมุนไพรเทพเป็นของผู้นำของมาประมูล


 


ธนูเงินก็ต้องเป็นของซือหยู!


 


แต่ตระกูลตู่กับเข้ามายุ่งและเอาธนูเงินของซือหยูไปแล้วโยนหยดหมื่นพลที่เจือจางมาแล้วสิบเท่า!


 


หยดหมื่นพลนี้เป็นที่หัวร่อในการประมูลเมื่อครู่


 


แม้จะเป็นหยดที่ไม่เจือจาง มูลค่าของมันก็ยังเทียบไม่ได้กับสมบัติเทพระดับกลาง


 


และตระกูลตู่ก็ทำอย่างลับๆ พวกเขาเจือจางกว่าสิบรอบเพื่อโกหกเหล่าผู้คน!


 


นี่มันเกินไปแล้ว!


 


ตู่หมิงฮั่วที่ได้ยินหันกลับมามองอย่างไม่พอใจ


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู ท่านจะก่อเรื่องรึ? ข้าให้ของล้ำค่าเป็นสิ่งชดเชยไปแล้ว พวกเราสูญเสียไปมหาศาลนะ!”


 


ซือหยูหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“เจ้าอยากจะปลอบใจข้าด้วยหยดอะไรไม่รู้ที่ไม่มีใครอยากได้เรอะ? ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าเสียหาย ข้าก็จะคืนมันให้เจ้า เอาธนูของข้ามา!”


 


ตู่หมิงฮั่วใบหน้าเย็นชาลง


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู ข้านับถือท่านในฐานะเจ้าตำหนัก อย่ามาทำตัวไร้เหตุผลในดินแดนของข้าจะดีกว่า! นี่ไม่ใช่ตำหนักรองของอาณาจักรทมิฬนะ!”


 


ตู่หมิงฮั่วเผยธาตุแท้ออกมา


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ไร้เหตุผลเรอะ!”


 


“ใช้ขยะที่เจือจางมาแลกกับสมบัติเทพระดับกลางของข้า! แล้วยังบอกว่าข้าได้กำไรน่ะเรอะ!”


 


ซือหยูหัวเราะอย่างโกรธแค้น


 


“ตู่หมิงฮั่ว อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ!”


 


“ข้าจะนับถึงสาม ออกไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นก็อย่าโทษข้าที่ใช้กำลัง!”


 


เขาใช้ขยะมาแลกกับสมบัติของซือหยู แล้วเขาก็ยังมีหน้ามาไล่ซือหยูออกไป!


 


ซือหยูยิ้มอย่างเยือกเย็น


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องนับ ข้าดีกับตระกูลตู่เกินไปแล้ว! อย่าโทษข้าก็แล้วกัน เจ้าเป็นคนทำให้ข้าต้องลงมือ!”

 

 

 


ตอนที่ 319

 

ภัยซ่อนเร้นแห่งอาณาจักร

ในตอนนั้นเอง


 


“ฮ่าๆๆๆ ท่านเจ้าตำหนักหยินหยู ความหยาบคายอะไรกัน!”


 


เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากลึกในทางเดิน


 


เกาคัง ทรราชย์แห่งตำหนักเฉินเทียนยืนอยู่ข้างธนูมังกรฟ้าดิน เขามองซือหยูและหัวเราะเสียงดัง


 


กลุ่มคนนั้นแบกธนูเงินมาตรงหน้าเขา เกาคังหายใจเบาๆและปล่อยพลังวิญญาณออกมายกธนูด้วยความยากลำบาก


 


เขาเป็นอำมฤตระดับสองขั้นสูงและยังต้องใช้พลังสูงสุดเพื่อแบกธนูนั้น


 


ซือหยูแววตาเย็นชา


 


“ฮ่าๆๆ เมื่อกี๊เจ้าเพิ่งบอกว่าตระกูลตู่อยากได้ธนูนั้นไม่ใช่รึ? แค่พริบตาเจ้าก็เอามันให้กับคนอื่นแล้วรึ?”


 


ตู่หมิงฮั่วยกสามดัชนีขึ้นและพูดอย่างไม่แยแส


 


“ก็ถ้าธนูนั่นเป็นของตระกูลตู่ไปแล้ว ข้าก็คิดว่าคนนอกอย่างเจ้าตำหนักหยินหยูไม่มีสิทธิ์จะมีปากเสียงนะ!”


 


“ข้าจะเริ่มนับ หนึ่ง!”


 


ตู่หมิงฮั่วลดนิ้วลงหนึ่งนิ้ว


 


อย่าที่เขาพูด ยิ่งคิดใหญ่เท่าใด อนาคตก็จะยิ่งสดใสเท่านั้น


 


แค่ขนวิหคเพลิงนั้นไม่ควรค่าให้เขาหมายตาด้วยความโลภ ส่วนรองเจ้าตำหนักก็ไม่อยู่ในสายตาเขาเช่นกัน


 


แต่สมุนไพรเทพที่เทียบได้กับวิชาระดับตำนานที่ถูกใช้แลกกับธนูมังกรฟ้าดินนั้นควรค่าพอที่เขาจะเสี่ยง


 


เกาคังถือธนูเงินและหัวเราะอย่างเยือกเย็น


 


“เจ้าตำหนักหยินหยูนี่ร่ำรวยและทะนงตน ข้าคิดว่าคงไม่เป็นไรหากจะช่วยร้อยดินแดนซื้อสมบัติเทพระดับกลางสักครั้ง ใช่หรือไม่?”


 


เมื่อมองให้ดี ฮั่นเจียงหลินไม่ต้องจ่ายอะไรเลยด้วยซ้ำและยังใช้ธนูมังกรฟ้าดิน


 


แต่เป็นซือหยูเองที่ราคามหาศาลที่มากพอจะแลกตำราระดับตำนานเพื่อให้ได้ธนูนั้นมา


 


แต่ในตอนนี้ ตระกูลตู่ได้อยู่ข้างเดียวกับร้อยดินแดน พวกเขาไม่ต้องจ่ายอะไรเลยและยังได้ธนูมาอีก


 


หรือพูดอีกอย่างก็คือ…ซือหยูจ่ายค่าธนูแทนพวกเขา!


 


“นี่จะถือว่าเป็นการตอบแทนร้อยดินแดน เพราะอย่างไรเจ้าก็มาจากร้อยดินแดน เป็นคนก็ไม่ควรจะไม่รู้สำนึก!”


 


เกาคังหัวเราะอย่างชั่วร้าย เขายกสมบัติเทพและกระชากม่านบินออกไปข้างนอก


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ได้ยินคำว่าไม่รู้สำนึกจากคนทรยศที่ไม่รู้สำนึกนี่มันน่าหัวร่อนัก!”


 


“ดูเจ้าจะพอใจนักนะที่ได้เป็นขี้ข้าฮั่นเจียงหลิน!”


 


ซือหยูชิงชังเกาคังจากก้นบึ้งของจิตใจ


 


ถึงคนจะจน แต่ก็มิอาจเป็นนกสองหัวได้


 


ไม่เพียงแต่เกาคังจะยากจน เขายังเป็นเสียยิ่งกว่านกสองหัว!


 


ใบหน้าเกาคังหม่นหมองเล็กน้อย เขากำหมัดและพยายามที่จะไม่โจมตี เขาเหลือบตามองซือหยู


 


“เจ้าเห่าต่อไปตรงนั้นเถอะ ข้าจะเอาธนูของเจ้าไปแทนเจ้าพันธมิตรฮั่น!”


 


พรึ่บ–


 


หลังพูดจบ เกาคังกระชากม่านให้กว้างขึ้นด้วยฝ่ามือ


 


ซือหยูยิ้มอย่างเยือกเย็น


 


“ใครอนุญาตให้เจ้าไปรึ?”


 


เมื่อซือหยูพูดจบ เขาหันไปมองฉีหยุนเซี่ยง


 


“ถ้าข้าฆ่าคนที่ทรยศต่อเจ้าตำหนักฉี ท่านเจ้าตำหนักฉีจะตำหนิข้าหรือไม่?”


 


การที่เกาคังหันหน้าเข้าหาศัตรูทำให้ฉีหยุนเซี่ยงผิดหวังและขยะแขยงเป็นอย่างมาก


 


และเกาคังก็ยังหว่านล้อมอย่างไร้ยางอายให้นางยอมจำนนต่อฮั่นเจียงหลิน ต่อสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ที่ไม่รู้สำนึกเช่นนี้ ฉีหยุนเซี่ยงรู้สึกแต่ความชิงชัง


 


“ไปฆ่ามันซะ ถึงเจ้าไม่ทำ ถ้าท่านพ่ออยู่ที่นี่ ท่านก็ต้องชำระล้างที่นี่อยู่แล้ว คนชั่วช้าที่ไร้ความภักดีเช่นนี้สมควรตาย ถ้าท่านพ่อรู้ ท่านก็ต้องขอบคุณเจ้า”


 


ซือหยูพยักหน้าอย่างโล่งใจ


 


“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะหน้าที่ที่เหนือกว่าพลังของข้า มือของข้าจะเปื้อนโลหิตแทนเจ้าตำหนักฉี!”


 


คำตอบของฉีหยุนเซี่ยงทำให้หัวใจเกาคังแทบหยุดเต้น และในเวลาเดียวกันเขาก็โกรธเกรี้ยวไปพร้อบกับเพลิงพิโรธอันไร้ขอบเขต


 


“หยินหยู! เจ้าคิดว่าเจ้ามันตระการตานักเรอะที่ได้เป็นรองเจ้าตำหนัก?”


 


“เจ้ามันอวดดีจนถึงขนาดที่คิดจะฆ่าข้าแล้วรึ? เจ้าก็แค่กบที่หวังกินจันทรา ไม่รู้จักประเมินพลังตัวเอง!”


 


ในตอนนี้ สีหน้าของตู่หมิงฮั่วเยือกเย็นขึ้น เขาลดนิ้วที่สองลง


 


“สอง!”


 


“ไม่ต้องนับอีกแล้ว!”


 


ตาขวาของซือหยูเปล่งแสงสีแดง!


 


ฟึ่บ–


 


พลังมิติปรากฏที่เกาคัง


 


ยอดฝีมือในเมืองพันธมิตรจะไม่รู้ถึงพลังมิติของซือหยูได้อย่างไร?


 


เกาคังชักสีหน้า เขาถือธนูเงินแน่น


 


“อย่าคิดว่าจะย้ายธนูของข้าไปได้!”


 


แววตาซือหยูเปล่งแสงสีแดงอันงดงาม


 


“ใครบอกเจ้าว่าข้าจะย้ายธนู? ข้าจะย้ายเจ้ามา!”


 


ฟึ่บ–


 


ทันใดนั้นเสียงมิติที่ฉีกออกก็ดังขึ้น เกาคังกับธนูถูกดูดเข้าไปในพลังมิติไร้ขอบเขต


 


เกาคังปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่หน้าซือหยู


 


ก่อนที่เกาคังจะได้เห็นสิ่งรอบข้างอย่างชัดเจนเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาก่อน


 


“ดัชนีสายฟ้าดารา!”


 


แมท้ว่าซือหยูจะใช้พลังเพียงหกในสิบส่วน มันก็ยังคงน่ากลัว


 


เกาคังรู้สึกถึงพลังทำลายล้างที่เข้ามาใกล้


 


หัวใจเขาเต้นอย่างรุนแรง เขารีบป้องกันการโจมตี!


 


แต่เขาจะป้องกันพลังสายฟ้าทำลายล้างที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร?


 


ครืน—


 


ครืน—


 


สายอัสนีสั่นคลอนสวรรค์ ฉีกกระชากม่านงานประมูลจนขาดสะบั้น พื้นที่บนเวทีกับหลังเวทีไม่ถูกแยกออกจากกันอีกแล้ว!


 


เหล่าผู้เข้าร่วมประมูลที่กำลังจะกลับตกตะลึง พวกเขาหันไปมองและพบเกาคังที่กระอักเลือดออกมาพร้อมกับกระแทกเวทีอย่างแรง


 


จากนั้นชายหนุ่มผมสีเงินก็พุ่งเข้ามาที่หน้าเกาคังแทบจะในทันที เขาหยิบธนูเงินที่ตกอยู่กับพื้น


 


เมื่อซือหยูสัมผัสธนูมังกรฟ้าดิน เขาก็รู้สึกได้ว่ามันหนักมาก


 


ด้วยพลังเพียงอย่างเดียวนั้นมิอาจขยับมันได้ ธนูเงินนี้วางอยู่กับพื้นและไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว


 


เมื่อยกไม่ได้ เขาจึงปล่อยพลังวิญญาณออกมาก่อนจะหยิบขึ้น แต่ก็ยากที่เขาจะยืนขึ้นได้


 


ความรู้สึกหนักอึ้งของธนูนั้นเทียบได้เขาภูเขาหนักร้อยศอก!


 


เพียงแค่ถือมันก็ยากลำบากเช่นนี้ แล้วการเหนี่ยวธนูเพื่อใช้งานจะยากเพียงใดกัน?


 


และเขายังอยู่ต่อหน้าศัตรูที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะหนีหรือจะสู้ก็ต้องเอาธนูไปด้วย


 


ซือหยูคิดอะไรขึ้นมาได้ อกของเขาร้อนขึ้นเล็กน้อย


 


จากนั้นธนูเงินในมือก็หายไปทันที


 


คันฉ่องจักรวาล!


 


ของที่เขาได้มาจากซากใต้ถ้ำ ในทวีปเฉินหลงแห่งนี้มีไม่ถึงห้าคนที่ครอบครองกระจกเช่นนี้


 


ในกระจกมีพื้นที่สิบตารางเมตร ซึ่งเหลือเฟือที่จะเก็บธนู


 


เกาคังเช็ดคราบโลหิตทิ้งไป


 


“เจ้าเอาธนูไปซ่อนไว้ที่ไหน? เอามันออกมา! ต้องเป็นพลังพื้นที่ของเจ้า!”


 


พรึ่บ–


 


หลังจากที่เขาพูดจบ ซือหยูก็เข้ามาในพริบตาและเหยีบลงบนอกของเขา


 


เอื้อก—


 


เกาคังกระอักเลือดออกมา อวัยวะภายในของเขาถูกบดขยี้


 


“ที่เจ้าควรห่วงไม่ใช่ธนู เจ้าควรจะห่วงชีวิตเจ้ามากกว่า! ข้าบอกแล้วว่าข้าจะกำจัดเจ้าแทนเจ้าตำหนักฉี!”


 


ซือหยูสีหน้าเย็นชา แววตาไร้ซึ่งความลังเล


 


เขาไม่รู้สึกเมวทนาในการสังหารคนเช่นนี้เลย


 


แต่ในตอนนั้นเอง เมื่อเขากำลังจะฆ่าเกาคัง…


 


คว้าง—


 


เสียงของมีคมดังมาจากข้างหลัง


 


ซือหยูหลบตัวไปทางด้านข้างเล็กน้อย เขาระวังตัวอยู่แล้วและหลบอาวุธลับทมิฬได้


 


ที่ปลายอาวุธลับนั้นมีของเหลวสีเขียว มันคงจะเป็นยาพิษ!


 


ตระกูลตู่กล้าสังหารรองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬ ความกล้าของพวกเขาเกินกว่าที่ทุกคนคาดไว้มาก!


 


พวกเขาเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน?


 


เพราะท้ายสุดตระกูลตู่ก็ยังคงเป็นภัยซ่อนเร้นต่ออาณาจักร ถ้าพวกเขาไม่ถูกกำจัด พวกเขาก็จะเป็นภัยต่ออาณาจักรทมิฬต่อไป!


 


จิตสังหารฉาบแววตาของซือหยู เขาหันไป


 


“เจ้าหยุดนับแล้วงั้นรึ? เจ้ายังนับไม่ถึงสามไม่ใช่เรอะ!”


 


ตู่หมิงฮั่วหน้าแดง


 


เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าซือหยูมีพลังประหลาดซุกซ่อนเอาไว้?


 


ในครั้งแรก ซือหยูได้ยักย้ายศัตรูอย่างน่าตกใจโดยใช้พลังของตัวเอง จากนั้นเขาก็ใช้จังหวะที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัวโจมตีจนสาหัส!


 


ในสายตาตู่หมิงฮั่ว สิ่งที่ซือหยูทำนั้นไม่ต่างจากการลอบโจมตี แต่แม้ว่าเขาจะเข้าใกล้ซือหยู เขาก็ล้มเหลวที่จะช่วยเกาคัง และเขาก็ยังปล่อยให้ซือหยูชิงธนูมังกรฟ้าดินไปได้ ธนูอยู่ที่ใดนั้นเขาไม่รู้เลย


 


นี่คือการเสียศักดิ์ศรีอย่างมาก!


 


ตั้งแต่เริ่ม ถ้าเขาใช้พลังแทนที่จะคิดว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมและไม่คิดจะนับถึงสาม สถานการณ์ก็คงไม่ลงเอยเช่นนี้


 


“เจ้ายังรู้จักความละอายอยู่หรือไม่? เจ้ายังมีสิทธิ์มาบอกว่าตัวเองเป็นรองเจ้าตำหนักของอาณาจักรทมิฬอีกเรอะ! เจ้าชิงของของคนอื่นแล้วยังทำร้ายเขา เจ้าสังหารคนเพื่อชิงสมบัติ ความผิดของเจ้านั้นหนักหนาสมควรได้รับการลงโทษ เจ้าไม่กลัวว่าชื่อเสียงของอาณาจักรทมิฬจะหม่นหมองรึ?”


 


ตู่หมิงฮั่วเดินเข้าไปอย่างโกรธเกรี้ยว

 

 

 


ตอนที่ 320

 

การกลับมาของบุตรชาย

ไม่ว่าจะอย่างไร เขาต้องป้ายความผิดให้ซือหยูก่อน เพื่อคงศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้


 


เพราะอย่างไรที่นี่ก็เต็มไปด้วยตัวแทนจากขุมกำลังทั้งหมดในทวีป ภาพลักษณ์ของตระกูลตู่จะถูกทำลายไม่ได้


 


ซือหยูนั้นใจเย็น เขายืนมือไพล่หลัง


 


“โอ้? ข้าชิงของคนอื่นมารึ? เจ้ากำลังพูดถึงธนูมังกรฟ้าดินใช่หรือไม่? ท่านตู่ ทำไมไม่พูดต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นี่ล่ะว่าเป็นข้าหรือเกาคังที่ประมูลได้ธนูคันนั้น?”


 


“ทำไมธนูที่ข้าจ่ายไปมหาศาลกลายเป็นของของเกาคังไปได้ จากที่ท่านพูด? ทำไมของที่เป็นของข้าถึงไปอยู่ในมือเกาคังเล่า?”


 


“เจ้าคิดว่าข้าป่าเถื่อนไร้เหตุผล หรือทุกคนที่นี่ก็ป่าเถื่อนไร้เหตุผลไปด้วย?”


 


ตู้หมิงฮั่วไปหน้าบิดเบี้ยว ต่อหน้าสายตาผู้คนเช่นนี้ การกระทำไร้ยางอายจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตระกูลตู่


 


แต่ก็โชคร้ายนักที่เหล่าผู้คนเริ่มพูดคุยกันแล้ว


 


พวกเขาล้วนเป็นคนฉลาด มิเช่นนั้นก็เป็นตัวแทนของสำนักหรือตระกูลจากทั้งทวีปไม่ได้


 


แม้พวกเขาจะไม่รู้รายละเอียด แต่พวกเขาก็พอจะเดาเรื่องราวได้


 


“หึหึ แม้แต่การประมูลของตระกูลตู่ก็มีการชิงสมบัติของคนอื่นรึ? แล้วก็ยังทำกับรองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬ ความกล้าของตระกูลตู่นี่น่าตกใจนัก!”


 


“ฮ่าๆๆๆ อย่างที่ข้าคิดเลย ตระกูลตู่คงไม่ส่งสมบัติเทพระดับกลางให้แน่ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าพวกนั้นจะกล้าลงมือกับรองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬ ข้าสงสัยนักว่าพวกเขามีความกล้าขนาดนี้ได้ยังไง? นี่ก็หลายร้อยปีมาแล้ว ตระกูลตู่ลืมความเจ็บปวด รอยแผลเป็นหายดีแล้วรึ? พวกเขาไม่กลัวว่าราชาแห่งความมืดจะมาทำลายตระกูลหรอกรึ?”


 


“ข้าว่ามันแปลกเสียยิ่งกว่า ธนูเงินของเจ้าตำหนักหยินหยูไปอยู่ในมือเกาคังได้อย่างไรกัน เรื่องราวจะต้องน่าสนใจแน่”


 


“ถ้าข้าเดาถูก ตระกูลตู่จะต้องมีการตกลงกับฮั่นเจียงหลินไปแล้ว มิเช่นนั้นฮั่นเจียงหลินก็คงจะเตรียมของประมูลมาได้ไม่ถูกเช่นนี้ เรื่องนี้ถูกเตรียมการเอาไว้แล้ว”


 


“แต่เจ้าตำหนักหยินหยูกลับมีสมุนไพรเทพที่ดีกว่าซะได้ ตระกูลตู่เลยต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะได้มอบธนูให้ฮั่นเจียงหลิน”


 


“แต่พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าตำหนักหยินหยูจะลงมืออย่างรวดเร็วจนพวกเราได้เห็นเช่นนี้”


 


ตู่หมิงฮั่วได้ยินเสียงจากเหล่าผู้คนมากมาย


 


เขาต้องรีบกู้สถานการณ์โดยเร็ว มิเช่นนั้นชื่อเสียงของตระกูลตู่จะย่อยยับเพราะคนเหล่านี้


 


แผนเดียวที่เขาใช้ได้ตอนนี้คือจับตัวซือหยูทันทีและอธิบายกับเหล่าผู้คนว่าซือหยูพยายามจะหลอกพวกเขา มิเช่นนั้นเรื่องจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม!


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู! ตระกูลตู่อธิบายกับเจ้าไปแล้ว เจ้ามันไร้เหตุผลแล้วยังใส่ร้ายตระกูลตู่ ถึงเจ้าจะเป็นรองเจ้าตำหนักเจ้าก็มิอาจทำเช่นนี้ได้!”


 


“ทำไมไม่ไปกับพวกเราเล่า แล้วพวกเราจะได้สะสางเรื่องราวกัน?”


 


ตู่หมิงฮั่วก้าวยาวๆเข้าไปอย่างเย็นชา


 


เหล่าผู้คนระเบิดเสียงดังก้อง


 


“ตระกูลตู่ไม่สนใจชีวิตตัวเองแล้วหรือไงกัน? ถึงได้กล้าทำกับรองเจ้าตำหนักของอาณาจักรทมิฬเช่นนี้?”


 


“นี่จะต้องเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมแน่ รอดูก่อนเถอะ!”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“จับข้าสิ แล้วก็หาข้ออ้างแบบขอไปทีของเจ้ามาบอกเหล่าผู้คน!”


 


ตู่หมิงฮั่วเดินเข้ามาใกล้ รังสีพลังอำมฤตระดับสองขั้นสูงนั้นหนาและหนักอึ้ง


 


ตู่หมิงฮั่วส่ายหัว


 


“ไม่รู้สำนึก! พวกเรา ตระกูลตู่จะสั่งสอนเจ้าแทนอาณาจักรทมิฬ!”


 


“ผนึกวารีสวรรค์!”


 


ตู่หมิงฮั่วตัวสั่น ร่างของเขาสร้างไอวารีออกมากระจายไปทั่วพื้นที่


 


ด้วยผลของพลังวิญญาณ ไอวารีได้ควบแน่นเป็นผนึกวารีขนาดเท่าฝ่ามือ


 


ซือหยูยิ้มและไม่พูดอะไร มือขวาของเขาสร้างบอลอัสนีขึ้นมา


 


สายฟ้าสีม่วงเปล่งประกายจากบอล ปล่อยพลังทำลายล้างออกมา


 


ตู่หมิงฮั่วส่ายหัว


 


“โชคร้ายนัก เจ้าจะลอบโจมตีเป็นครั้งที่สองไม่ได้แล้ว”


 


แต่ซือหยูก็ยังคงยิ้มและไม่พูดอะไร เขายืนอยู่ที่เดิม


 


แต่ก่อนที่นภาที่เต็มไปด้วยผนึกวารีจะพุ่งเข้าใส่ เขาก็ยกดัชนีขึ้น


 


ในตอนนั้น บอลอัสนีมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเป็นสองเท่า


 


พลังทำลายล้างนั้นเหนือว่าที่ใช้ครั้งแรกมหาศาล!


 


เปรี๊ยะ—


 


ครืน—-


 


ผนึกวารีเข้าปะทะกับอัสนีและกลายเป็นไอในไม่นาน


 


บอลอัสนีพุ่งเข้าใส่ร่างของตู่หมิงฮั่วอย่างไร้สิ่งกั้นขวาง


 


อั่ก—


 


ตู่หมิงฮั่วกระเด็นไปยังม่านที่ขาดและกระแทกเข้ากับกำแพง กำแพงแตกไปด้วยรอยแยกหลายรอย


 


ตู่หมิงฮั่วตาเหลือก ร่างของเขาถูกพลังฉีกกระชากและบาดเจ็บหลายแห่ง


 


เพียงการโจมตีเดียวก็ทำให้เขาบาดเจ็บหนัก เขาอยู่ในสภาพปางตาย!


 


เหล่าผู้คนตกตะลึงอย่างมาก!


 


“ทำให้อำมฤตระดับสองขั้นสูงอยู่ในสภาพนั้นได้ในคราเดียวเลยรึ?”


 


“หา! ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าตำหนักหยินหยูเพิ่งจะอายุสิบหก!”


 


“พรสวรรค์อะไรกันนี่!”


 


“เดี๋ยวก่อนสิ! แล้วฐานพลังของเขาเติบโตจนถึงขั้นนี้ได้ยังไง ที่งานประชุมพันธมิตร ข้าได้ยินมาว่าเขามีพลังแค่มังกรระดับห้าไม่ใช่รึ? เขาสำเร็จขอบเขตอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูงและมีพลังที่ไม่ต่ำกว่าอำมฤตระดับสองขั้นสูงในครึ่งปีได้ยังไงกัน?”


 


“เขานับว่าเป็นมหายอดฝีมือแห่งทวีปได้เลย ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมฮั่นเจียงหลินถึงอยากจะฆ่าเขานักในตอนนั้น!”


 


“ฮ่าๆๆ ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร ข้าว่าสีหน้าของฮั่นเจียงหลินต้องน่าเกลียดมากแน่ๆในตอนนี้ คนที่ควรจะเป็นมหายอดฝีมือในพันธมิตรร้อยดินแดนกลับเป็นรองเจ้าตำหนักของอาณาจักรทมิฬไปแล้ว!”


 



 


บนห้องพิเศษ


 


สีหน้าของฮั่นเจียงหลินดุร้ายและอัปลักษณ์


 


มดปลวกที่เขาสังหารได้ด้วยการสะบัดดัชนีในตอนนั้นมีพลังถึงระดับนี้ได้ยังไง?


 


เขาที่อายุแค่สิบหก กลับเอาชนะหนึ่งในสามราชันย์สวรรค์แห่งตำหนักเฉินเทียน เกาคัง!


 


ไม่ว่าจะเหตุผลใด จากมุมมองของคนนอก ฮั่นเจียงหลินได้ส่งมหายอดฝีมือไปอยู่ในมือคนอื่นแล้ว


 


พลังต่อสู้ที่ซือหยูแสดงออกมาได้ทำให้ทุกคนตกตะลึง


 


ตู่หมิงฮั่วตาเหลือกจากความเจ็บปวดและตกใจ


 


รองเจ้าตำหนักหนึ่งคน คนที่เขาสังหารได้โดยง่าย กลับมีพลังที่สังหารเขาได้!


 


ซือหยูเดินเข้าไปมองอย่างเยือกเย็น


 


“ข้าปะทะกับเจ้าตรงๆและเอาชนะได้โดยไม่ยากเย็น! ทำไมข้าจะต้องลอบโจมตีเล่า?”


 


ในตอนนี้ ตู่หมิงฮั่วเบิกตากว้าง เขาแอบรู้สึกกลัว


 


เขาย้อนกลับไปคิดถึงศิษย์ในตระกูลตัวเอง


 


เมื่อศิษย์ของเขาเอาเปรียบหยินหยู เขาไปบอกว่าศิษย์ของเขานั้นประเมินหยินหยูผิดไป


 


และเขาก็ยังบอกว่าหยินหยูไม่มีค่าใด ความผิดพลาดของศิษย์เขาก็คือการมีจิตใจที่เล็กจ้อย


 


เขาย้อนคิด…มันน่าขันเพียงใดกัน?


 


ตัวจริงที่ตัดสินหยินหยูผิดไปก็คือตัวเขาเอง!


 


ครืน—-


 


ซือหยูเดินไปข้างหน้า ดันฝ่ามือเข้าใส่อกตู่หมิงฮั่วหมายจะเอาชีวิต


 


“ไม่นะ! ข้าจะขอโทษ!”


 


ตู่หมิงฮั่วสีหน้าเปลี่ยนไป เขาพยายามพูดเอาตัวรอด


 


เสียงตะโกนของเขาทำให้ทุกคนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว


 


ตู่หมิงฮั่วเป็นฝ่ายผิดจริงๆ!


 


แต่ซือหยูนั้นไม่คิดจะอ่อนข้อ


 


“ข้าไม่ต้องการคำขอโทษของเจ้า!”


 


แต่ก่อนที่เขาจะสังหารตู่หมิงฮั่ว ร่างหนึ่งก็บินเข้ามาขวางตู่หมิงฮั่ว เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตู่หลง!


 


ตู่หลงขอร้องอย่างขมขื่น


 


“ท่านเจ้าตำหนักหยินหยู โปรดเมตตาเขาเถอะ เห็นแก่เขาที่เป็นคนตระกูลเดียวกับข้า!”


 


ซือหยูช้าลง เขาสีหน้าเย็นชา


 


“หลีกไป!”


 


เขาจะต้องถูกกำจัด!


 


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าซือหยูมีพลังเหนือศัตรู คนที่ตายในวันนี้ก็คงจะเป็นเขา


 


หากเป็นเช่นนั้น ตู่หมิงฮั่วจะปล่อยซือหยูไปถ้าตู่หลงเข้ามาขอร้องรึ?


 


คำตอบก็คือไม่!


 


“เจ้าควรจะรู้ว่าทำไมเจ้าถึงยังมีชีวิตรอดได้อยู่!”


 


ซือหยูไร้ซึ่งความปรานีใด


 


ความขมขื่นของตู่หลงรุนแรงขึ้น ความผิดในการลอบสังหารรองเจ้าตำหนักนั้นหนักหนาอยู่แล้ว และเขาก็สมควรจะต้องโทษประหาร


 


แต่เป็นซือหยูที่ไว้ชีวิตเขาและให้โอกาสเขาได้กลับมายังเมืองอันยี่


 


สิ่งที่เขาตอบแทนซือหยูไปเล็กน้อยนั้นถูกตอบแทนกลับเป็นร้อยเท่า เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะขอร้องซือหยูอีกต่อไป

 

 

 


ตอนที่ 321

 

ยุ่งเรื่องของคนอื่น

ปั่ก–


 


ที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือภาพตู่หลงที่คุกเข่าต่อหน้าซือหยู


 


ทั้งสองมือและหน้าผากของเขาสัมผัสกับพื้นดิน เขาพูดอย่างจริงใจ


 


“ข้ารู้ว่าข้าไม่มีสิทธิ์จะขอความอภัยจากท่าน ข้าจะรับใช้ท่านไปสามปี โปรดไว้ชีวิตเขาเถอะ!”


 


บุรุษที่แท้จริงไม่คุกเข่าให้ใครง่ายๆ


 


ตู่หลงคือนายน้อยคนก่อนของตระกูลตู่ และยังเป็นหัวหน้าลำดับสองของโจรสลัดวารีทมิฬ เขาเคยมีตำแหน่งใหญ่โตเหนือว่าผู้คนมากมาย และเขาก็ยังมีคนที่เคารพนอบน้อม


 


แต่ในตอนนี้ เขาคุกเข่าต่อหน้าซือหยูและขอร้องให้ซือหยูยกโทษให้คนในตระกูลที่เขาไม่คุ้นหน้า


 


ซือหยูตกใจ


 


“มันคุ้มค่ากันรึ? พวกนั้นจำนายน้อยตระกูลไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ”


 


ตู่หลงกลับตระกูลตู่ไม่ได้อีกแล้ว


 


ตู่หลงหัวเราะเยาะตัวเอง


 


“ข้าละอายใจเกินกว่าจะกลับตระกูลตู่ แต่ข้าก็ยังมีสายเลือดของตระกูลตู่”


 


“ข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกหลานของตระกูลตู่มาเป็นสิบปีแล้ว ข้าละอายเกินกว่าจะกลับไป ข้าขอร้องให้ท่านเอาข้าไปรับใช้เสียสามปี ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้คนในตระกูลข้าสืบเชื้อสายต่อไป ได้โปรดเถอะท่านเจ้าตำหนัก ได้โปรดรับฟังคำขอของข้าด้วย!”


 


ตู่หลงคุกเข่าอีกครั้ง


 


เสียงหน้าผากกระแทกพื้นดังลั่น


 


บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายสำหรับขยะที่มิอาจกลับตระกูลจะทำเพื่อตระกูลได้


 


บุรุษยังคงอยู่ได้หากไร้หัวใจ แต่จะต้องตายหากไร้รากเหง้า


 


จิ้งจองตายด้วยใบหน้าที่หันเข้าหารัง แล้วจะต่างอะไรกับเขา?


 


ซือหยูลดมือลงช้าๆ เขาหันออกมาอย่างเงียบเชียบ


 


“ไปกันเถอะ นี่จะมีครั้งเดียวเท่านั้น”


 


ตู่หมิงฮั่วจ้องตู่หลงที่คุกเข่าและพูดด้วยเสียงแหบพร่า


 


“ท่านคือนายน้อยตู่หลงงั้นรึ?”


 


ตู่หลงยืนขึ้นช้าๆ เขาหันหลังให้ตู่หมิงฮั่ว


 


“เจ้ายังไม่คิดจะหนีไปอีกรึ?”


 


ตู่หมิงฮั่วตาเป็นประกาย เขารีบหนีด้วยความยากลำบาก


 


“เจ้าก็ไปได้เหมือนกัน”


 


ซือหยูพูด


 


“เจ้ากับข้าไม่ได้มีเรื่องบาดหมางต่อกัน ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามารับใช้ข้าสามปี”


 


ซือหยูนับถือคนที่ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์อย่างสูงส่งเช่นนี้


 


ตู่หลงหัวเราะเยาะตัวเอง


 


“ร่างกายกับฐานพลังของข้าพิการไปแล้ว แต่หัวใจของข้าก็ยังคงเต้นอยู่ ตู่หลงผู้นี้ไม่เคยคืนคำ”


 


ซือหยูมองเขาอย่างลึกซึ้งและถอนหายใจ


 


“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจทีหลัง”


 


ซือหยูพูดจบและกลับไปยังบนเวทีประมูล


 


เขายังไม่ได้จัดการเรื่องของคนทรยศตำหนักเฉินเทียน…เกาคัง!


 


แต่เกาคังก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกแล้ว


 


เขาจะต้องหนีไปในตอนที่ซือหยูกำลังสู้อยู่เมื่อครู่


 


ดวงตาซือหยูเปล่งประกายแสงอันเย็นชา ดวงตานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


“ข้าบอกว่าข้าจะฆ่าเจ้าวันนี้ ไม่ว่าใครจะปกป้องเจ้ามันก็เปล่าประโยชน์!”


 


ซือหยูมองไปยังห้องพิเศษที่มีฮั่นเจียงหลินอยู่ แต่เขาก็พบเพียงแค่ฮั่นเจียงหลินกับสตรีอายุสามสิบอยู่ที่นั่น


 


เกาคังได้เป็นศัตรูกับรองเจ้าตำหนักอย่างเปิดเผย ดังนั้นฮั่นเจียงหลินจึงไม่ออกตัวเพื่อปกป้องเกาคัง


 


อย่างที่เขาคิด เกาคังหนีออกไปแล้ว ถ้าซือหยูจากไป เขาจะกลับมารวมตัวกับฮั่นเจียงหลินอีกครั้ง


 


แต่ทุกแห่งในที่ประมูลนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน เขาทำได้แค่หนีออกไปข้างนอก!


 


ฟึ่บ–


 


ซือหยูพุ่งทะลุหลังคอและบินขึ้นสูงในพริบตา เขาใช้พลังดวงตา ระยะร้อยห้าสิบลี้อยู่ในการควบคุมของเขา


 


หลังจากที่มองผ่านรอบๆไปแล้วเขาก็เห็นคนที่บาดเจ็บสาหัสปะปนอยู่กับผู้คน เขาสะท้อนในแววตาของซือหยู


 


“ตามข้ามา!”


 


ซือหยูหันกลับไปตะโกนเบาๆ ฮั่วฉีหลานกับฉีหยุนเซี่ยงบินตามเขา


 


ในห้องพิเศษ


 


ปั้ง—


 


เอ้าอี้ไม้ที่ฮั่นเจียงหลินนั่งกลายเป็นฝุ่นผงกระจายทั่วห้อง


 


เขากำหมัดแน่นพร้อมกับจิตสังหารที่อัดแน่นอยู่เต็มดวงตา


 


ซือหยูชิงธนูเงินของเขาไปและยังไล่ล่าศิษย์ของเขาเพื่อที่จะสังหาร!


 


เมื่อคิดถึงความชิงชังที่เขามีเมื่อซือหยูฆ่าลูกชาย ฮั่นเจียงหลินอยากจะฉีกซือหยูให้เป็นชิ้นๆ


 


แต่เขาก็โจมตีอย่างเปิดเผยไม่ได้


 


“ยู่เหลียน ถึงตาเจ้าแล้ว! จงจำไว้ ถ้าเจ้าไม่แน่ใจว่าจะฆ่ามันได้ อย่าแสดงตัวออกมา!”


 


สตรีอายุสามสิบข้างฮั่นเจียงหลินพยักหน้า


 


“เข้าใจแล้ว! ข้าต้องทำสำเร็จแน่!”


 


ฮั่นเจียงหลินพยักหน้า


 


“นั่นแหละ ด้วยพลังของเจ้า เจ้าจะต้องฆ่ามันได้ในการโจมตีเดียว ถึงมันจะบ่มเพาะวิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง ด้วยมือเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่มันจะมีชีวิตรอด”


 


เฉินยู่เหลียนคือรองเจ้าพันธมิตรร้อยดินแดนลำดับสาม นางมีฐานพลังอำมฤตระดับสามขั้นกลาง


 


ด้วยพลังของซือหยู เขาไม่มีทางหนีไปได้อย่างแน่นอน!


 


เกาคังที่รับรู้ถึงอะไรบางอย่างหันไปมองขอบนภา เขาอ้าปากค้างและชักสีหน้า!


 


ซือหยูนำคนของเขามุ่งหน้าเข้ามา!


 


เกาคังอยากจะหนีไปยังโรงเตี๊ยมอย่างเงียบเชียบ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้หนีไปไกลอย่างที่เป็นไปได้!


 


ฟึ่บ–


 


เกาคังลากร่างที่บาดเจ็บสาหัสและพยายามหนีอย่างหมดท่า


 


ความตายที่ใกล้เข้ามาทำให้เกาคังข่มความเจ็บปวดเอาไว้ เขาเร่งความเร็วและเคลื่อนไหวเร็วอย่างกับสายฟ้า ในพริบตาเขาก็ไปได้ไกลหลายลี้


 


ซือหยูไล่ล่าอย่างรีบร้อน


 


หนึ่งชั่วยามผ่านไป


 


ซือหยูไล่เกาคังออกมาจากเมืองอันยี่ไปทางป่าทมิฬ เกาคังซ่อนตัวในป่าทำให้ยากที่ซือหยูจะหาตัวเจอ


 


แต่ในท้ายสุดเขาก็มิอาจข่มความเจ็บปวดเอาไว้ได้และซือหยูก็ตามทัน


 


“หยินหยู! เหตุใดเจ้าต้องป่าเถื่อนเช่นนี้? เจ้าไม่ได้มีเรื่องอะไรกับข้าซักหน่อย!”


 


เกาคังนอนแผ่กับพื้น เขาหน้าซีดเผือด แววตานั้นโศกเศร้า


 


ซือหยูบินลงช้าๆอย่างเยือกเย็น


 


“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังมาอ้อนวอนขอความเมตตาอีกรึ?”


 


“ฮั่นเจียงหลินฮุบเอาตำหนักเฉินเทียนไป เพราะเหตุนั้น เมื่อคิดถึงชีวิตและอนาคตเจ้า เจ้าช่วยไม่ได้ที่ต้องยอมจำนนต่อฮั่นเจียงหลินและเป็นศิษย์มัน เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”


 


“แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือเจ้าที่ไม่มีความรู้สึกผิดและยังคงไม่รู้สำนึก! แทนที่เจ้าจะละอายใจ เจ้ากลับภาคภูมิใจเสียได้! และเจ้าก็ยังหว่านล้อมให้ฉีหยุนเซี่ยงเป็นคนเช่นเจ้าได้อย่างไร้ยางอาย!”


 


“ตอนที่เจ้ารับใช้ฮั่นเจียงหลิน ข้าไม่เห็นความรู้สึกโศกเศร้าของเจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้ากลับทำมันอย่างปลื้มใจ! เจ้าเคยสำนึกบุญคุณที่เจ้าตำหนักฉีชุบเลี้ยงเจ้าบ้างหรือไม่?”


 


ซือหยูเดินเข้าไป แววตาเย็นยะเยือก


 


“ทรราชย์ย่อมต้องชดใช้ในการทรยศ เจ้าตำหนักฉีไม่อยู่ที่นี่ ข้าก็จะลงโทษเจ้าแทนเขา!”


 


ซือหยูตั้งใจจะฆ่าเกาคัง เกาคังรู้ดีว่าเขาต้องตายอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังคงโกรธแค้น


 


“หยินหยู! ข้าเป็นคนทรยศแล้วยังไงรึ? ข้าไม่รู้สำนึกแล้วยังไง? นี่มันปัญหาของเจ้างั้นเรอะ? เจ้าต้องมายุ่งกับเรื่องของข้างั้นเรอะ?”


 


เกาคังพูดอย่างโกรธเกรี้ยวราวกับว่าอยากจะกินมนุษย์


 


หึ–


 


ซือหยูแววตาเย็นชา เขาทำลายฐานพลังของเกาคังด้วยดัชนีเดียว


 


“อย่างที่เจ้าพูด ข้าไม่มีสิทธิ์จะทำอะไร แต่ถ้าเป็นหยุนเซี่ยงก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”


 


ซือหยูถอยไปหนึ่งก้าวและให้ฉีหยุนเซี่ยนเดินเข้ามา


 


แววตาอันงดงามของฉีหยุนเซี่ยงนั้นเยือกเย็น นางไม่สงสารเกาคังแม้แต่น้อย


 


“เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”


 


เกาคังสีหน้าเคร่งเครียด ฉีหยุนเซี่ยงคือบุตรสาวของำเจ้าตำหนัก ถ้านางไม่มีสิทธิ์ลงโทษเขาก็ไม่มีใครมีสิทธิ์นั้นอีกแล้ว


 


“ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็ตายซะ!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงตะโกนและกำลังจะปลิดชีวิตเกาคัง


 


แต่ก่อนที่นางจะได้ฆ่าเกาคังนั้นเอง…


 


“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่คิดว่านี่มันน่าละอายใจรึ ที่คนหลายคนรุมทำร้ายคนที่ไร้การป้องกันเช่นนี้?”


 


เสียงหัวเราะอันสง่างามดังมาจากต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลนัก


 


หนุ่มน้อยผิวพรรณดีราวกับราชวงศ์อยู่บนต้นไม้และยิ้มมองลงมา


 


ซือหยูเคยเห็นคนคนนี้


 


ตอนที่เขาเข้าเมือง เพื่อที่จะได้เอาใจศิษย์พี่เว่ย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแทรกแถว เขาทำแม้กระทั่งชี้พัดใส่ซือหยูและทำให้ซือหยูต้องถอยกลับอย่างไร้เหตุผล


 


คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือหนึ่งในสี่บุตรชายจากหอสดับหิมะ


 


เขามีฐานพลังอำมฤตระดับสามขั้นต้น พลังนับว่าน่าชมเชย


 


ซือหยูเหลือบตามอง


 


“อะไรของเจ้า? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ยืนดูแล้วหุบปากไปซะ!”


 


แม้ซือหยูจะไม่มีเรื่องบาดหมางระหว่างกัน ซือหยูก็ไม่ได้ประทับใจเขานัก


 


และเห็นได้ชัดว่าเขาตามซือหยูมาตั้งแต่งานประมูล แรงจูงใจของเขานั้นชัดเจน…เว่ยเทียนเฉินนั้นมุ่งมั่นมากที่จะได้ธนูมังกรฟ้าดินนี้


 


ฟึ่บ–


 


ชายหนุ่มบินลงช้าๆอย่างสง่างาม


 


เขายิ้มแย้มอย่างใจดีราวความไม่พอใจที่มีต่อซือหยูได้หายไป เขาแนะนำตัว


 


“ข้าคือจางซือยี่ บุตรลำดับสี่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งหอสดับหิมะ”


 


บุตรลำดับสี่รึ?


 


ฉีหยุนเซี่ยงกับฮั่วฉีหลานแอบตกใจ


 


พวกนางที่อยู่ในทวีปแห่งนี้จะไม่รู้จักบุตรทั้งสี่แห่งหอสดับหิมะได้อย่างไร?


 


เหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้อยู่ที่หอสดับหิมะ พวกเขาคือตัวตนที่ตระการตาที่สุด


 


แม้จางซือยี่จะเป็นลำดับสี่ แต่ในทวีปแห่งนี้ก็มีน้อยคนมากที่เหนือกว่าเขา


 


ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงหญิงสาวสองคนที่ตกตะลึง จางซือยี่ยิ้ม


 


“ถ้าพวกเจ้ารู้จักตัวตนของข้าอยู่แล้ว ถ้าเจ้าเชื่อใจข้า เจ้าจะให้ข้าจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่?”


 


จางซือยี่พูดและเดินเข้ามา


 


“เดี๋ยวก่อน!”


 


ซือหยูพูดขึ้นมาทันที

 

 

 


ตอนที่ 322

 

ทิ้งข้ออ้าง

จางซือยี่หยุดเดิน เขาหัวเราะ


 


“มีอะไรรึ?”


 


“ข้าสนิทกับเจ้ารึอย่างไร?”


 


ซือหยูยืนมือไพล่หลัง


 


รอยยิ้มของจางซือยี่หายไป


 


“ไม่หรอก แต่ข้าคือหนึ่งในบุตรทั้งส….”


 


เขาไม่คิดว่าซือหยูจะพูดแทรก


 


“ถ้าเจ้าไม่รู้จักกับข้า ข้าจะเชื่อใจเจ้าไปทำไมกัน? เจ้าเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่รึ? ถ้าเจ้าไม่เกี่ยวอะไรแล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับเรื่องของคนอื่นกัน?”


 


จางซือยี่ตัวแข็งทื่อ เขาไม่พอใจเล็กน้อย


 


ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้พบซือหยูมาจนถึงตอนนี้ ซือหยูทำให้เขาหงุดหงิดอย่างมาก


 


แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเป็นเขาเองที่มาหาเรื่องในทั้งสองครา


 


จางซือยี่ข่มความไม่พอใจ เขาฝืนยิ้ม


 


“ข้าคือหนึ่งในบุตรทั้งสี่ เจ้าไม่เชื่อในชื่อเสียงของข้ารึ?”


 


“ส่วนการยุ่งเรื่องของเจ้า หึหึ ข้าก็แค่มาช่วยเหลือเมื่อเห็นเรื่องไม่เป็นธรรมเท่านั้น นี่มิใช่หน้าที่ของผู้บ่มเพาะพลังหรอกรึ?”


 


ซือหยูส่ายหัว


 


“บุตรทั้งสี่ดังมากนักรึ? ขออภัย ข้าไม่เคยได้ยินชื่อพวกเจ้าเลย! ถึงจะเคยได้ยินก็ค่อยให้ข้าเชื่อใจเจ้าตอนที่เจ้าแห่งหอสดับหิมะมาเองเสียยังดีกว่า!”


 


“ส่วนเรื่องความไม่ยุติธรรม เจ้าช่วยหนูให้รอดจากสุนัขที่วิ่งไล่จับก็เป็นการช่วยเหลือในความไม่เป็นธรรมเหมือนกัน เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า”


 


ซือหยูพูดโดยไม่เกรงใจ


 


จางซือยี่มิอาจข่มความโกรธได้อีก หลังจากที่ถูกปฏิเสธหลายครั้งหลายหน เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่หายไป สีหน้าของเขาไม่เป็นมิตรอีกแล้ว


 


“ฮื่ม! ข้าหวังดีและพยายามจะช่วยคลี่คลายเรื่องผิดใจของพวกเจ้า แต่เจ้ายังไม่ยินดี เจ้ากลับดูหมิ่นข้า!”


 


“ข้าจะต้องจัดการเรื่องนี้!”


 


จางซือยี่สะบัดพัดในมือ


 


ซือหยูหัวเราะเยาะ


 


“หวังดีรึ? เจ้าปลิ้นปล้อนเก่งนัก จริงๆเจ้าก็แค่หวังอยากได้ธนูมังกรฟ้าดินของข้า”


 


“ข้าต้องพูดให้ชัดก่อนเจ้าจะหยุดใช่หรือไม่?”


 


จางซือยี่หัวเราะ


 


“คนที่เป็นแค่รองเจ้าตำหนักอย่างเจ้าคิดจะใส่ร้ายข้าด้วยลมปากพล่อยๆรึ?”


 


“จางซือยี่ผู้นี้จะกระทำการชั้นต่ำอย่างนั้นรึ? ข้าก็แค่ทนเห็นเจ้ารังแกเขาไม่ได้ เจ้าจำนวนเยอะกว่ายิ่งนัก ข้าพูดแทนความไม่ยุติธรรมที่เขาได้รับก็เท่านั้น”


 


จางซือยี่อยากจะได้ธนูมังกรฟ้าดินอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็ยังดึงดันที่จะพูดว่าเขาเข้ามาเพื่อความยุติธรรม การโกหกคำโตเช่นนี้ทำให้ซือหยูหัวเราะ


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูเมือง ซือหยูก็อาจจะเชื่อสักหนึ่งในสิบส่วนว่าเขาคิดอย่างที่พูดจริงๆ


 


แต่เมื่อตัดสินจากเรื่องในอดีต คนที่หยาบคายเช่นนี้จะออกรับหน้าปกป้องคนอื่นได้อย่างไร?


 


“ย่อมได้ บอกข้ามาว่าเจ้าจะแก้สถานการณ์ยังไง?”


 


ซือหยูยิ้มเบาๆ


 


ฉีหยุนเซี่ยงแอบเป็นกังวล ทำไมเขาถึงปล่อยให้คนอื่นจัดการกับเรื่องนี้กัน?


 


อีกฝ่ายพยายามจะปกป้องเกาคังอย่างเห็นได้ชัด!


 


ฮั่วฉีหลานเลิกคิ้ว การเปลี่ยนแปลงความคิดของซือหยูนั้นเหนือความคาดหมาย


 


ตู่หลงก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ในสายตาของเขา หยินหยูจะไม่ยอมรามือ เหตุใดเขาถึงยอมรับกับคำขออันไร้สาระเช่นนี้?


 


จางซือยี่ยิ้มกว้าง


 


“หึหึ ดูเหมือนเจ้าจะคิดดีแล้วสินะ!”


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเข้ามาแทรกเพื่อคลี่คลายความบาดหมางของพวกเจ้า!”


 


จางซือยี่พูดช้าๆ


 


“ข้าคิดว่าพวกเราต้องย้อนกลับไปมองตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อไขข้อบาดหมางของพวกเจ้า!”


 


“เจ้าตำหนักหยินหยู เจ้าเป็นคนที่ทำร้ายเกาคังและขโมยธนูของเขาไป นี่เป็นเหตุที่เกิดปัญหาขึ้น”


 


ซือหยูกำลังฟังอยู่หัวเราะออกมา


 


“ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย ใครกันที่จ่ายสมุนไพรเทพไปเพื่อการประมูล? ทำไมเจ้าถึงพูดว่าธนูนั่นเป็นของเขา? ข้าผิดรึที่ทำร้ายเขาเพื่อเอาธนูของข้าคืนมา?”


 


จางซือยี่หัวเราะและส่ายหัว


 


“ขออภัย ข้าแค่เห็นตอนที่เจ้าส่งสมุนไพรเทพออกไปเท่านั้น ข้าไม่แน่ใจว่าธนูเงินนั่นเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์! แต่ตระกูลตู่ที่จัดงานส่งธนูให้กับเกาคัง นั่นก็หมายความว่าธนูนั่นเป็นของเกาคัง แล้วเจ้ามีเหตุผลอะไรไปทำร้ายเขาแล้วชิงของของเขามา?”


 


จางซือยี่พูดบิดเบือนความจริง เขาพลิกผิดเป็นถูก มันช่างน่าขันนัก


 


ซือหยูไม่คิดจะพูดต่อ เขายักไหล่


 


“เอาล่ะ แล้วเจ้าจะคลี่คลายเรื่องของพวกข้ายังไงรึ?”


 


จางซือยี่หัวเราะ


 


“ง่ายดายนัก ถ้าเจ้ายอมรับแล้วว่าเจ้าทำผิด!”


 


“เพื่อคลี่คลายเรื่องระหว่างพวกเจ้า อย่างแรก เจ้าจะต้องคืนธนูที่ชิงมาให้เขาไป! อย่างที่สอง เจ้าจะต้องขอโทษที่ทำร้ายเขา!”


 


“เจ้าจะต้องทำอย่างแรกซะ ส่วนอย่างที่สอง…”


 


จางซือยี่มองเกาคัง


 


“เจ้าจะเห็นแก่ข้าแล้วให้อภัยอีกฝ่ายได้หรือไม่? เพราะเจ้าไม่ทำเรื่องให้ชัดเจนและทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้ เจ้าก็มีส่วนผิดเหมือนกัน เจ้าจะให้อภัยอีกฝ่ายหรือไม่?”


 


เกาคังจะไม่ยอมรับได้อย่างไร? เขาพยักหน้าอย่างงุนงง


 


“ก็ได้ก็ได้ ข้าให้อภัยเขา เขาไม่ต้องขอโทษ!”


 


ซือหยูนั้นไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหัวให้กับยอดฝีมืออย่างหนึ่งในบุตรทั้งสี่ของหอสดับหิมะงั้นรึ?


 


จางซือหยูยิ้มและมองซือหยูอีกครั้ง


 


“หึหึ เป็นยังไงเล่า? เจ้าไม่ต้องขอโทษเลย แค่คืนธนูให้เขาก็พอ”


 


ซือหยูพูด


 


“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วใช่หรือไม่?”


 


“ไม่ แค่นี้ก็พอ! เรื่องบาดหมางระหว่างเจ้าจะได้จบลงเสียที่นี่!”


 


จางซือยี่หัวเราะอย่างใจเย็น


 


ซือหยูพยักหน้า


 


“อืม!”


 


ซือหยูพูดจบและก้าวไปข้างหน้า


 


ฉั่วะ–


 


โลหิตสดๆกระจายไปทุกหนแห่ง ชิ้นเนื้อลอยขึ้นกลางอากาศ


 


หัวของเกาคังที่ถูกเหยียบระเบิดกลายเป็นซาก


 


เขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้กรีดร้องก่อนที่จะถูกเหยียบตาย!


 


คนรอบๆเงียบกริบ พวกเขาตกตะลึงกับการกระทำของซือหยู


 


โลหิตกระจายทั่วชุดของจางซือยี่ ตรงกันข้ามกับใบหน้าที่ซีดเผือดของเขายิ่งนัก


 


จางซือยี่ที่ตกตะลึงชักสีหน้าทันที เขาตะโกน


 


“ทำอะไรของเจ้า?”


 


ซือหยูยกขาขึ้น เขาสะบัดโลหิตเบาๆ


 


“ข้าก็ฆ่ามันน่ะสิ เจ้าไม่เห็นรึ?”


 


จางซือยี่ใบหน้าดุร้ายยิ่งกว่าเดิม


 


“ข้าถามเจ้าว่าทำไมเจ้าไม่ทำตามที่ข้าบอก? ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่นะ!”


 


ซือหยูกอดอก


 


“ช่วยรึ? ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องสะสางความบาดหมางอะไรนั้นเลย การฆ่าเขามิใช่ทางออกหรอกรึ?”


 


“แปลกนัก เจ้าก็เห็นอยู่ว่าแค่ข้าเหยียบมันไปเรื่องก็จบแล้ว แต่เจ้ากลับเสนอวิธีที่ข้าต้องเสียสมบัติเทพและยังต้องขอโทษอีก”


 


“ตั้งแต่แรกที่ข้าเจอเจ้า ข้าคิดว่าเจ้ามันเยิ่นเย้อ เจ้าถึงกับคิดวิธีอ้อมโลกซะได้!”


 


ซือหยูส่ายหัวและหันไปมองฉีหยุนเซี่ยง


 


“ขอโทษนะ จริงๆข้าอยากจะให้เจ้าเป็นคนได้ฆ่าเขา”


 


ฉีหยุนเซี่ยงตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้ม


 


“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าก็เป็นศิษย์ตำหนักเฉินเทียนเหมือนกัน แม้จะไม่นาน เจ้าก็นับว่าเป็นศิษย์ของพ่อข้า นี่นับว่าเป็นการชำระล้างตำหนัก”


 


“หึหึ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ไปกันเถอะ”


 


ซือหยูมองท้องนภา นี่ก็ถึงกลางคืนแล้ว พวกเขาต้องรีบไปบ่มเพาะพลังในที่ของอาณาจักรทมิฬ


 


ฮั่วฉีหลานมองซือหยู นางเคยคิดว่าซือหยูจะยอมจำนนจริงๆ…เมื่อคิดเช่นนั้น…


 


ครืน—-


 


รังสีรพลังอันน่ากลัวระเบิดมาจากด้านหลัง


 


จางซือยี่โกรธแค้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำ


 


“หยินหยู! เจ้าปั่นหัวข้าเรอะ!”


 


ในตอนนี้ จะมีคำอื่นใดอธิบายเรื่องนี้ได้อีก?


 


เขาพูดโดยตั้งใจว่าจะให้โอกาสจางซือยี่ในการไกล่เกลี่ยเรื่องราว แต่ท้ายสุดเขาก็สังหารคนที่จางซือยี่เข้ามาปกป้องต่อหน้าต่อตาจางซือยี่


 


ซือหยูหันไปมองและยิ้มเยาะ


 


“ปั่นหัวรึ? ก็เจ้ามันดึงดันนัก ข้าจะไปทำอะไรได้?”


 


“ไม่มีใครขอให้เจ้าเข้ามายุ่งเรื่องของข้า เจ้าก็ยังเอาตัวเองมาให้ถูกดูหมิ่น เจ้าจะไปโทษใครกันเล่า?”


 


จิตสังหารฉาบแววตาจางซือยี่


 


“เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”


 


ซือหยูไม่สนใจ เขาหันหลังเตรียมจะเดินทาง


 


“ข้าบอกให้หยุด!”


 


เสียงคำรามลั่นดังมาจากข้างหลัง


 


ฟึ่บ–


 


จางซือยี่เร็วปานสายฟ้า เขาเข้ามาขวางทางด้วยความดุดัน


 


“ส่งธนูมังกรฟ้าดินมา!”


 


จางซือยี่ฝืนข่มจิตสังหาร


 


ในที่สุดเขาก็ทิ้งข้ออ้างไปและเผยธาตุแท้ออกมา


 


ซือหยูหัวเราะอย่างดูถูก


 


“โอ้? เกาคังก็ตายไปแล้ว เจ้ายังอยากจะช่วยเกาคังให้ได้ธนูอีกรึ?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม