Summoning the Holy Sword 92-105

 92 – ความรันทดของแอน จอร์เจีย


 


หลังจากที่กำจัดโครงกระดูกยักษ์ได้หลายตัว ทั้งกลุ่มเริ่มช้าลงมาก


 


ในช่วงที่วางแผน โรดส์ได้เตือนให้พวกเขาแข่งกับเวลาและต้องรีบ ดังนั้นทุกคนจึงสันนิษฐานว่าพวกเขาต้องวิ่งเข้าไปจัดการศัตรูทีละตัว และเดินหน้าต่อ


 


แต่มันไม่ใช่แบบนั้น


 


ทั้งกลุ่มเคลื่อนที่ได้ช้าราวกับเต่า เมื่อพวกเขาก้าวไปด้านหน้า 3 ก้าว พวกเขาต้องถอยกลับ 2 ก้าว มันเป็นสิ่งที่ช้าอย่างน่าเจ็บปวดและช้ายิ่งกว่าการเดินเล่นในป่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู โรดส์จะพยายามเร่งความเร็วขึ้นและฆ่าพวกมันให้เร็วที่สุดราวกับสายฟ้า  เป็นเรื่องยากมากที่จะจบการต่อสู้ได้ภายในเวลา 30 วินาที ก่อนที่จะเข้าไปซ่อนตัวและเริ่มแผนการเดิมซ้ำๆกับศัตรูตัวถัดไป


 


จริงๆแล้ว กลยุทธ์แบบกองโจรนี้ไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากบางกลุ่ม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าขบขันอย่างมาก


 


“หืมม”


 


ครึ่งเอลฟ์พึมพำออกมาอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าโรดส์หยุดและเริ่มเข้าไปหลบราวกับเป็นอาชญากร


 


“ดูชายคนนั้นคลานไปรอบๆสิ น่าเกลียดมาก เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าของพวกเรายังมีเกียรติซะยิ่งกว่าเขา”


 


“แอนคิดว่าพวกคุณไร้สาระมาก”


 


แน่นอน แอนคิดไม่เหมือนกัน


 


“ถ้าไม่ใช่หัวหน้าของแอนไม่มีความสามารถ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาสามารถสังหารโครงกระดูกยักษ์พวกนี้ได้หรอก”


 


“หืมมม ฉันไม่น่าทำตามแผนโง่ๆนี่ตั้งแต่แรกเลย”


 


ลูกครึ่งเอลฟ์ไม่สนใจคำโต้เถียงของแอน


 


“ถ้าหัวหน้าของพวกเราเข้าไปสู้ด้วย พวกเราได้ออกจากที่นี่ไปแล้ว”


 


“ถ้าคุณคิดแบบนี้ คุณก็ไม่ต้องมาตามแอนและคนอื่นๆ”


 


แอนเริ่มหน้าบึ้ง ดวงตาของเธอเย็นชาขึ้น


 


“คุณคงเก่งแต่พูด ถ้าพวกคุณมีความสามารถออกไปจากที่นี่แต่แรก หัวหน้าของคุณคงเลือกที่จะทำตามคำสั่งของหัวหน้าแอนหรอก”


 


“อย่าขำไปหน่อยเลย หัวหน้าของพวกเราต้องทำตามเขาเพราะพวกคุณกดดันเขาต่างหาก และพวกเราก็ไม่ใช่พวกเนรคุณด้วย”


 


ลูกครึ่งเอลฟ์หันไปรอบๆด้วยความโกรธ และเลือกที่จะไม่พูดต่อ เธอมองไปยังหุบเขาที่มืดมิดซึ่งส่งความรู้สึกแปลกๆมาหาเธอ แต่ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ปฏิเสธที่จะมองไปยังบุคคลที่อยู่ข้างเธอ


 


“หึๆ…”


 


แอนยังไม่หยุดคิด เธอมองไปยังลูกครึ่งเอลฟ์และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


 


“ถ้ามัวแต่สนใจแต่เกียรติยศ คุณก็เอาชีวิตไปทิ้งแล้ว พวกโง่เอ้ย คุณสมควรถูกทิ้งไว้ที่นี่จริงๆเลย”


 


“นี่แกกกกก!!!”


 


คำพูดแทงใจดำทำให้ลูกครึ่งเอลฟ์หันควับกลับมาทันที เธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไปและมองไปยังแอนด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตาม แอนไม่ได้หันหน้าหนีและเลือกที่จะมองกลับไปแทน


 


แอนยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่ลูกครึ่งเอลฟ์ตอนนี้หวาดกลัวเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกว่าใบหน้าของเธอชา เมื่อถูกสายตาของคนตรงหน้าจับจ้อง ราวกับว่ามันไม่ใช่สายตาของมนุษย์ แต่เป็นสายตาของสัตว์ร้าย


 


“พวกคุณกำลังทำอะไรกันน่ะ!”


 


เสียงของมาร์ลีนดังขึ้นทำลายบรรยากาศ เธอหยุดเดินและหันไปหาสองสาวด้านหลังเธอ


 


มาร์ลีนเปรียบเสมือนรองหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้าง เธอดูแลสิ่งต่างๆที่โรดส์ไม่สามารถเสียเวลามาสนใจได้ ขณะเดียวกันไลซ์และชายชราวอร์คเกอร์เองก็เป็นสมาชิกเก่า หนึ่งในนั้นไม่กล้าเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นและอีกคนก็ไม่มีความอดทนพอที่จะจัดการกับปัญหาภายในกลุ่ม


 


เนื่องจากมาร์ลีนเห็นบรรยากาศไม่เป็นมิตรระหว่างเด็กสาวทั้งสองคนด้านหลังเธอ เธอจึงไม่สามารถนั่งอยู่เฉยได้


 


มาร์ลีนจ้องมองไปยังไปยังทหารรับจ้างที่อยู่ถัดจากพวกเธอทั้งสอง และทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จริงๆแล้วมันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่ไม่เข้าไปกระตุ้นปัญหา ซึ่งมันจะไม่เป็นปัญหาใดๆ ถ้าพวกเขาทั้งสองกลุ่มไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน


 


“พี่มาร์ลีน เธอ….”


 


“ตอนนี้พวกเราอยู่ในสถานการณ์อันตราย”


 


มาร์ลีนขัดจังหวะแอน แม้ว่าเธอจะไม่ได้สนิมกับแอนมากนัก แต่เธอก็เข้าใจความคิดแปลกๆของแอนได้


 


ปกติแล้ว เมื่อคนทั่วไปมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน พวกเขาต้องมีนิสัยบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอีกคนหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้ากันได้ อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องเลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์ไว้อย่างมีเหตุผล มาร์ลีนเป็นตัวอย่างที่ดี แม้ว่าจะมีชายตรงหน้าเธอที่น่าเกลียดเหมือนหมู แต่ถ้าเขาคนนั้นเป็นเพื่อนเธอ เธอยังต้องยิ้มให้กับเขา นั่นเป็นสิ่งที่ ‘ผู้ใหญ่’ ทำกัน


 


แต่กับแอนซึ่งแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เธอไม่ได้สนใจว่าการกระทำของเธอจะมีประโยชน์หรือไม่ เธอยังคงเลือกเพื่อนของเธอจากสัญชาตญาณ…ราวกับสัตว์ ถ้าเป็นลูกหมา มันจะส่ายหาสงให้กับคนเพื่อเล่นด้วย แม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ได้ให้อาหารมันก็ตาม กลับกัน มันจะเห่าคนที่มันไม่ชอบ แม้ว่านั่นจะเป็นเจ้าของที่ให้อาหารมันทุกวัน


 


เป็นเรื่องที่ชวนปวดหัว….


 


นี่เป็นเหตุผลที่มาร์ลีนไม่อยากโน้มน้าวให้ทั้งสองหยุดทะเลาะกันเพราะว่ามันไร้ประโยชน์ กลับกันเธอกังวลกับเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าในตอนนี้…


 


“ไม่ว่าพวกคุณจะชอบหรือไม่ พวกเรามาถึงที่นี่แล้วและจะไม่หันหลังกลับไป พวกเราต้องเดินหน้าต่อ ดังนั้นฉันหวังว่าพวกคุณทั้งคู่จะมุ่งเป้าไปที่ภารกิจตรงหน้า”


 


โดยไม่มีการพูดอะไรต่อ มาร์ลีนหันศีรษะกลับไปด้านหน้าและเดินต่อ ใบหน้าไม่พอใจของลูกครึ่งเอลฟ์เป็นหลักฐานชัดเจน แต่เธอเลือกที่จะเงียบลง ในทวีปแห่งนี้ จอมเวทย์เป็นกลุ่มคนอันตรายที่ไม่ควรไปตอแยด้วย เธอไม่ควรนำตัวเองไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น มันจะดีกว่าถ้าเธอเลือกที่จะเงียบลง


 


โรดส์ไม่ได้สังเกตการทะเลาะกันเล็ฏๆ ตอนนี้ เขาวุ่นวายอยู่กับการซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหิน ขณะที่กำลังตรวจสอบพื้นที่ตรงหน้าด้วยสีหน้ามืดมน


 


พวกเขาใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมงในการจัดการกับโครงกระดูกยักษ์ทีละตัว จนฟ้าเริ่มมืด ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆระหว่างกลางวันและกลางคืนตลอดรอยต่อชายแดนระหว่างประเทศแห่งแสงและประเทศแห่งความมืด ราวกับดินแดนทั้งหมดนี้ตกอยู่ในความมืดตลอดกาล แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่โรดส์ขมวดคิ้ว


 


ตอนนี้ มีโครงกระดูกยักษ์ 2 ตัวอยู่ในหุบเขาซึ่งพวกมันอยู่ใกล้กันมาก


 


ก่อนหน้านี้โรดส์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการจัดการโครงกระดูกยักษ์แต่ละตัวเพราะว่าพวกเขาแยกตัวออกจากกัน แต่สองตัวนี้กลับแตกต่าง ราวกับคนเฝ้าประตู แม้ว่าตำแหน่งโครงกระดูกยักษ์ทั้งสองตัวจะห่างจากพวกเขาเพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาไม่ได้แยกตัวออกจากกันไม่พอที่โรดส์จะใช้กลยุทธ์ก่อนหน้านี้ได้


 


นี่มันลำบากมาก


 


แม้ว่าทั้งกลุ่มจะเชี่ยวชาญในการต่อสู้กับเหล่าโครงกระดูกยักษ์แล้วในตอนนี้ แต่การเผชิญหน้ากับพวกมัน 2 ตัวในเวลาเดียวกันเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างจากเดิมมาก


 


ถ้ามันมีเพียงโครงกระดูกยักษ์ 2 ตัว…บางทีมันอาจจะเป็นไปได้ โดยการให้มาร์ลีนที่อยู่ในแนวหลังสนับสนุนเขาและซีเลีย เขาสามารถจัดการโครงกระดูกยักษ์ได้ 1 ตัว จากนั้นเซเร็ครับหน้าที่จัดการอีก 1 ตัว และทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบลง แต่….


 


น่าเสียดายที่ความเป็นจริงไมใช่สิ่งที่ง่ายแบบนั้น


 


โรดส์รู้ว่าอะไรอยู่ด้านหลังของหุบเขา


 


อัศวินแห่งความตาย


 


เขามั่นใจว่าถ้ามาร์ลีนร่ายเวทย์จากระยะไกล อัศวินแห่งความตายจะสัมผัสได้ทันที อันเดดระดับสูงมีประสาทสัมผัสเวทมนตร์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาใช้เวทย์ใบ้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจจับได้


 


เมื่อตัดสินจากการต่อสู้ที่ผ่านมากับโครงกระดูกยักษ์แต่ละตัว โรดส์รู้ดีว่าทั้งกลุ่มไม่สามารถจัดการกับโครงกระดูกยักษ์ทั้ง 2 ตัวได้ทันเวลาก่อนที่อัศวินแห่งความตายจะมาถึง ต่อมา แม้ว่าพวกเขาจะจัดการกับโครงกระดูกทั้งสองได้ทันเวลา พวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับอัศวินแห่งความตายในทันทีโดยไม่มีโอกาสได้พักหายใจ


 


บอกตรงๆ โรดส์ลังเลที่จะเผชิญหน้ากับอัศวินแห่งความตายโดยตรง แม้ว่าระดับของมันจะต่ำกว่าเซเร็ค แต่มันต่างเพียง 5-6 ระดับเท่านั้น ช่องว่างนี้มีเพียงนิดเดียวเมื่อเป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และมอนสเตอร์อันเดด


 


ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่ามีดจะแทงลงไปที่ลำดับของอัศวินแห่งความตาย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเซเร็คถูกแทงล่ะ?


 


มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าให้เขาเขียนคำพูดสุดท้ายของเขาให้กับหญิงสาวที่เขารักมาทั้งชีวิต


 


แผนเดิมของโรดส์คือให้เซเร็คดึงความสนใจของอัศวินแห่งความตาย ขณะที่คนอื่นๆหนี หลังจากนั้นเขาและเซเร็คจะหนีตามหลังออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อทุกคนออกจากสันเขาแห่งความเงียบได้อย่างปลอดภัย อัศวินแห่งความตายจะไม่สามารถไล่ล่าพวกเขาได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าการพยายามเอาชนะอัศวินแห่งความตาย


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เขารู้ดีว่าแผนนี้ของเขากำลังจะล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัด ถ้าอัศวินแห่งความตายหันมาตามพวกเขาแทน โดยอ้างอิงจากภูมิประเทศ แผนใหม่นี้จะถูกเรียกว่า ‘หนึ่งคนปะทะกองทัพ’ และ ’หนึ่งคน’ หมายถึงตัวอัศวินแห่งความตาย


 


ตอนนี้พวกมันอยู่ในหุบเขาแคบ นั่นหมายความว่าอัศวินแห่งความตายจะอยู่ที่ตำแหน่งคอขวดซึ่งไม่ไกลจากที่นี่ แต่โรดส์ไม่มีทางเลือก แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหันหลังกลับ


 


ทำยังไงดี?


 


มันเหมือนกับว่าไม่มีทางออก หลังจากที่เอาชนะโครงกระดูกยักษ์ไปหลายตัว ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือการใช้เหยื่อล่อคนหนึ่งไปล่ออัศวินแห่งความตาย โดยให้คนที่เหลือหนี ตราบเท่าที่คนๆนั้นสามารถยื้อไว้ได้ โรดส์และเซเร็คจะกลับมาและต่อสู้กับอัศวินแห่งความตายร่วมกัน และถึงจุดนี้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน


 


แต่ใครจะสามารถทำแบบนั้นได้?


 


โรดส์หันกลับมาและมองไปยังคนในกลุ่ม


 


ทั้งมาร์ลีนและไลซ์เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ ดังนั้นการขอให้พวกเธอมาเป็นเหยื่อล่อนั้นเปรียบได้กับการส่งพวกเธอไปตาย เซเร็คมีความแข็งแกร่งมากี่สุด ดังนั้นหน้าที่ของเขาคือการจัดการโครงกระดูกยักษ์หนึ่งตัว แม้จะบอกได้ยากว่าเขาจะสามารถจัดการโครงกระดูกยักษ์ได้ก่อนที่อัศวินแห่งความตายจะมาถึง ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ โรดส์และซีเลียได้ช่วยเขาดึงความสนใจของมอนสเตอร์และเซเร็คเป็นคนโจมตีปิดฉาก แต่ตอนนี้จะไม่มีใครช่วยเหลือเขา ดังนั้นเขาต้องคิดวิธีจัดการมันทั้งหมดด้วยตัวเอง


 


ตาแก่วอร์คเกอร์? คุดลาและกลุ่มทหารรับจ้างเหรอ?


 


นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน คนพวกนี้ไม่แม้แต่จะป้องกันอันเดดทั่วไปได้ การขอให้พวกเขามาเป็นตัวชนอัศวินแห่งความตายก็เหมือนกับการส่งพวกเขาไปตาย ยิ่งไปกว่านั้น อุปสรรคของโรดส์คือการนำพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย ถ้าพวกเขาตายที่นี่แล้วเขาจะมาที่นี่แต่แรกทำไม


 


งั้นก็….


 


โรดส์เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาโบกมือไปด้านหลัง


 


“แอน มานี่หน่อย”


 


“หัวหน้า มีอะไรเหรอคะ?”


 


เมื่อได้ยินคำสั่ง แอนรีบวิ่งไปหาเขาในทันที ดวงตากลมโตของเธอจ้องมองไปยังเขา สิ่งที่ขาดหายไปอย่างเดียวในตอนนี้คือ หางที่กำลังแกว่งไปมาด้านหลังเธอ….


 


อ้าาา เธอดูเหมาะจริงๆ…


 


“ผมมีแผน”


 


โรดส์พูดและเดินเข้าไปใกล้แอน จากนั้นเขาก้มร่างลงต่ำและกระซิบ หลังจากนั้นเขาเงยศีรษะขึ้นและมองไปที่เธอด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“คุณเข้าใจเรื่องสำคัญที่ผมเพิ่งพูดนะ? คุณเต็มใจทำหน้าที่นี่ไหม?”


 


“แน่นอนค่ะ!”


 


แอนตอบกลับอย่างไม่ลังเลและพยักหน้ารัวๆ


 


“ฉันจะทำตามที่หัวหน้าขอมาค่ะ”


 


ถ้าเป็นปกติ โรดส์จะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่ครั้งนี้อาจเป็นเพราะสถานการณ์ที่ดึงเครียด เขาขมวดคิ้วและพูดขึ้น


 


“อัศวินแห่งความตายมีระดับ 35 มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับระดับผู้บัญชาการ ถ้าคุณคิดว่านี่หนักเกินไปสำหรับคุณ บอกให้ผมรู้ และผมจะไม่ให้คุณออกไปเสี่ยง ถ้าคุณไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้และยังดื้อรั้น ความเสี่ยงมันจะส่งผลไปถึงคนอื่นด้วย”


 


“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ หัวหน้า”


 


แอนพยักหน้า


 


“แต่ฉันเชื่อว่านี่เป็นเหตุผลที่ฉันมาที่นี่ค่ะ — นั่นเพราะว่าฉันมั่นใจค่ะ”


 


“…..”


 


เมื่อมองไปยังดวงตาเป็นประกายของเธอ โรดส์เงียบลง เขาศึกษาเด็กสาวคนนี้มาก่อน แต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่เข้าใจว่าเธอไปเอาความมั่นใจมาจากที่ไหน


 


โรดส์ไม่รู้เกี่ยวกับตรรกะความคิดของผู้หญิง เพราะเขาเพิ่งรู้จักเธอได้เพียงไม่กี่วัน


 


แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ต้องส่งเธอไปตาย


 


ในเกม ถ้าแทงค์ของปาร์ตี้ตาย มันก็ไม่เป็นอะไรมาก พวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพได้อย่างง่ายดายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในทวีปแห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างแตกต่างออกไป ไม่มีโอกาสที่สอง โรดส์ไม่ต้องการส่งเธอออกไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกแล้ว


 


ในขณะเดียวกันไลซ์และมาร์ลีนสังเกตพวกเขาทั้งสองจากระยะไกล พวกเขารู้สึกว่ามันไม่ง่าย เพราะพวกเธอไม่รู้ว่าโรดส์กำลังกระซิบอะไร แต่เนื่องจากโรดส์ยังไม่โจมตี พวกเจารู้ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแผนเกิดขึ้น


 


“ผมจะจัดการมันให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่ก่อนหน้านั้น คุณต้องยื้อมันเอาไว้”


 


โรดส์ตบไหล่ของแอน


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย เด็กสาวยังคงยิ้มออกมาอย่างมีชีวิตชีวิตราวกับมันเป็นเรื่องปกติ


 


“ไม่ต้องกังวลไป หัวหน้า ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ”



93 – Double Kill!!


 


หลังจากที่สอบถามความยินยอมของแอน โรดส์เรียกคนที่เหลือมาและบอกถึงแผนใหม่ เมื่อพวกเขาได้ยินแผนใหม่ที่โรดส์กำลังจะทำ ทุกคนถึงกันตกตะลึง


 


“ทำไมไม่ให้ข้ารับความเสี่ยงนี้ในหน้าที่นี้ไปล่ะ?”


 


เซเร็คถามออกมาตามปกติ


 


“คุณมีหน้าที่รับมือกับโครงกระดูกยักษ์อีกตัวหนึ่งซึ่งรอบนี้จะแตกต่างไปจากเดิมมาก”


 


โรดส์ส่ายศีรษะและตอบคำถามของเซเร็ค ก่อนที่จะมองไปยังมาร์ลีน


 


“คุณมาร์ลีน คุณไม่ต้องใช้เวทย์ใบ้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากอัศวินแห่งความตายยังไงก็รับรู้ถึงพวกเราแน่นอน สำหรับการต่อสู้ที่จะมาถึง ผมอยากให้คุณใช้เวทย์โจมตีให้โครงกระดูกพวกนั้น พวกมันมีความสามารถในการต่อต้านเวทมนตร์อยู่พอสมควร แต่ผมเชื่อว่าคุณจัดการพวกมันได้”


 


“ฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ!”


 


เพราะอะไรไม่รู้ มาร์ลีนกำหมัดแน่นและเอ่ยขึ้น เรื่องนี้กดดันเธออย่างมาก ไม่เพียงแต่จะมีการต่อสู้ที่ยากลำบากเกิดขึ้น แต่ยัง…..


 


จากนั้นความคิดนั้นหายไป ขณะที่เธอหันไปมองกลุ่มคน ก่อนที่จะมองไปยังแอน


 


“ไลซ์ เมื่อโครงกระดูกยักษ์ทั้งสองตัวล้มลง พวกเราต้องรีบไปหาแอนและช่วยเธอต่อทันที นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก”


 


“ค่ะ คุณโรดส์ ฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”


 


ไลซ์กำหมัดแน่นและพยักหน้า


 


“คุณโรดส์ แล้วพวกเราล่ะครับ?”


 


คุดลาที่ยืนอยู่ด้านหลังโรดส์อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น


 


“พวกเราสามารถ….”


 


“ภารกิจของพวกเราคือช่วยเหลือพวกคุณ ตอนนี้พวกเราเหลือเพียงก้าวเดียวเพื่อจบภารกิจ ดังนั้นผมไม่อยากให้พวกคุณมาเสี่ยง ยิ่งไปกว่านั้น ต้องมีคนปกป้องเหล่านักบวช ถ้าพวกคุณเข้าร่วมการต่อสู้ ใครจะเป็นคนปกป้องพวกเธอล่ะ?”


 


คุดลายอมแพ้ เขามองไปยังเหล่านักบวชที่หวาดกลัวด้านข้าวเขาและรู้ทันทีว่าพวกเธอไม่สามารถหนีออกไปได้ ถ้าไม่มีการช่วยเหลือของเขา เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าเขาสามารถยื้อเวลาอัศวินแห่งความตายได้ ตามที่โรดส์บอก อัศวินแห่งความตายแข็งแกร่งเกือบเทียบเท่าเซเร็คและเป็นอันเดดระดับสูงซึ่งมีความสามารถในการสั่งการ คุดลาค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่สามารถรับการโจมตีเต็มกำลังของมอนเสตอร์ประเภทนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเงียบๆและส่งสัญญาณไปยังกลุ่มของเขา


 


“เอาล่ะ ทุกคน! ประจำแหน่งได้!”


 


โรดส์ปรบมือและตะโกนออกมา จากนั้นเขามองไปยังซีเลียซึ่งอยู่ข้างเขา


 


“หลังจากที่จัดการศัตรูได้ บินออกไปทันที จำไว้ว่าคุณต้องปกป้องแอนด้วยชีวิต ห้ามเกิดอะไรขึ้นกับเธอเด็ดขาด”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ นายท่าน”


 


ถ้าแอนตาย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถชุบชีวิตเธอได้ แต่ถ้าวิญญาณอัญเชิญตาย  โรดส์สามารถอัญเชิญมันออกมาใหม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถติดตัวของซีเลียที่มีประโยชน์มากในการสังหารโครงกระดูกยักษ์ โรดส์จะส่งซีเลียไปยื้ออัศวินแห่งความตายแทนแอน


 


การส่งแอนไปนั้นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่โรดส์สามารถทำได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าโรดส์จะประเมินความแข็งแกร่งของเธอได้ยากจากการที่ทดสอบเธอ อีกทั้งเวลาที่พวกเขาใช้ร่วมกับยังน้อยเกินไปที่จะสัมผัสได้ถึงพลังที่แท้จริงของเธอ ดังนั้นทั้งหมดที่เขาทำได้คือการเชื่อใจเธอ เพราะว่าเธอเป็นคนเดียวที่มีโอกาสทำสำเร็จสูงสุด


 


จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม


 


วอร์คเกอร์ยิงธนูและดึงความสนใจของโครงกระดูกยักษ์ 2 ตัวราวกับที่ทำปกติ มอนสเตอร์ทั้งสองตัวขยับตัวอุ้ยอ้ายไปตามเสียงอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเพราะมันยืนยันความกลัวของโรดส์


 


แม้ว่าโรดส์ต้องการจะใช้กลยุทธ์เดิมในการจัดการกับโครงกระดูกยักษ์ทั้งสองตัว แต่ราวกับมีบางอย่างผิดปกติ  มอนสเตอร์เหล่านั้นหยุดกลางคัน


 


เมื่อโรดส์มองเห็น เขารู้ทันทีว่าถึงเวลาแล้ว เขากัดฟันแน่นและตะโกนออกมา


 


“ไป!!”


 


มาร์ลีนยกคทาขึ้นและยิงเวทย์ไปที่กระโหลกของโครงกระดูกตัวหนึ่ง ต่อมา ก้อนเมฆสีดำก่อตัวขึ้นเหนือร่างโครงกระดูกทั้งสอง


 


มาร์ลีนที่กระหายในการต่อสู้ หลังจากที่อดกลั้นมาเป็นเวลากว่า 5 ชั่วโมง ในที่สุดก็ได้ปลดปล่อยความหงุดหงิดทั้งหมดออกมาผ่านทางสายฟ้าฟาดลงมาจากฟากฟ้า


 


เปรี้ยง!! สายฟ้านับไม่ถ้วนฟาดลงมายังโครงกระดูกยักษ์ทั้งสอง เสียงของกระแสไฟฟ้าทำให้คนทั่วไปถึงกับสั่นกลัวได้ และพื้นดินถึงกับสั่นสะเทือนจากผลกระทบ เพื่อเพื่อนพ้องและชัยชนะของเธอ เธอไม่ออมมือแล้ว เธอดึงพลังวิญญาณส่วนใหญ่ของเธอและใส่ลงไปในเวทย์ทำลายล้างเพียงบทเดียว


 


ผลลัพธ์ที่ได้คือโครงกระดูกยักษ์ทั้งสองตัวที่ถูกสายฟ้าฟาดโดยไม่ทันตั้งตัวและถูกกดดันไปอย่างมาก


 


แม้ว่าพวกมันจะไม่มีเนื้อ พวกมันยังคงมีความสามารถในการต่อต้านเวทมนตร์ แต่ก็มีขีดจำกัด หลังจากผ่านไป 10 วินาที ร่างกายของโครงกระดูกยักษ์เริ่มแตกร้าวภายใต้แรงกดดันมหาศาล


 


ครั้งแล้วครั้งเล่าที่สายฟ้าฟาดไปที่ร่างของโครงกระดูกยักษ์ มันคำรามออกมาเสียงดังอย่างเจ็บปวดและโกรธแค้น แต่ก็ไร้ประโยชน์ราวกับพวกมันติดอยู่ใน’คุกสายฟ้า’ของมาร์ลีน


 


มากกว่านี้….มากกว่านี้!!!


 


ทุกคนมองไปยังมอนสเตอร์ที่น่าเศร้าซึ่งกำลังถูกช็อตโดยกระแสไฟฟ้านับล้านโวลต์ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขากำหมัดแน่นและอธิฐานให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งพวกมันตาย แต่น่าเสียดาย แต่นั่นเป็นเพียงความฝันเท่านั้น


 


กลุ่มก้อนเมฆสีเทาได้สลายหายไปในทันที แขนของมาร์ลีนร่วงลง ใบหน้าของเธอซีดเซียว ไม่ช้า เธอเอนตัวลงข้างต้นไม้พร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ เธอพบว่ามือทั้งสองของเธอสั่นทึมอย่างไม่สามารถควบคุมได้และไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้  เธออาจจะเป็นจอมเวทย์อัจฉริยะ แต่ก็ยังคงมีขีดจำกัด เวทย์ที่เธอร่ายกินพลังวิญญาณมหาศาล และการใช้งานมันเป็นเวลานานเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากแล้ว


 


ซู่!!!!!


 


กลุ่มควันลอยขึ้นไปในอากาศ กระดูกของพวกมันแตกร้าวและเต็มไปด้วยเขม่าควัน แต่พวกมันยังคงยืนอยู่


 


“บ้าเอ้ย!”


 


โรดส์สบถออกมา ประกายความไม่พอใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา แต่ในฐานะหัวหน้าที่มีประสบการณ์ เขารู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะบ่นออกมา


 


เขาดึงดาบออกมาและชี้ไปด้านหน้า


 


“ไป!!”


 


ทันทีที่พูดจบ เขาและซีเลียพุ่งตัวไปยังโครงกระดูกด้านซ้ายสุด ในขณะเดียวกันเซเร็คก็เคลื่อนที่ไปหาโครงกระดูกตัวขวาสุด


 


ก่อนที่มันจะฟื้นตัว ทั้งสองได้เข้าไปถึงโครงกระดูกยักษ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หนึ่งดาบศักดิ์สิทธิ์และและหนึ่งดาบโลหิตฟันลงไปยังฝ่ายตรงข้าม


 


ด้วยซีเลียที่มีปีก ความเร็วในการบินของเธอเร็วกว่าโรดส์มาก เธอไปถึงก่อนเขาและตวัดดาบของเธอไปยังโครงกระดูกยักษ์ สำหรับโครงกระดูกยักษ์ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากการถูกโจมตีด้วยสายฟ้า มันไม่ได้คิดอะไรและใช้มือป้องกันการโจมตี ในครั้งนี้ซีเลียไม่ได้กระเด็นถอยจากการปะทะ เธอเคลือบดาบของเธอด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์และเผามือของโครงกระดูก


 


ในเวลาเดียวกัน โรดส์ก็มาถึงจากด้านหลัง


 


ซีเลียตวัดดาบสีเงินและฟันไปยังขาขวาของโครงกระดูกยักษ์ หลังจากที่มันเสียสมดุล มันคำรามอย่างโกรธแค้นและล้มลงไป อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะยอมแพ้ กลับกันขณะที่มันล้มลงพื้น กระดูกทั้งหมดของมันแตกกระตายไปทั่วพื้น


 


บัดซบ!!


 


โรดส์สบถออกมาอีกครั้ง จากประสบการณ์นับไม่ถ้วนของเขา เขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โชคร้ายสิ่งที่เขาหวังไม่อยากให้เกิดกำลังจะเกิดขึ้น


 


โรดส์กัดฟันและกางฝ่ามือออก การ์ดสีแดงปรากฎขึ้นและลอยออกไป มันก่อตัวเป็นหมาล่าเนื้อสีดำและพุ่งไปยังกระโหลกของมัน


 


ทันใดนั้น เศษกระดูกนับไม่ถ้วนที่ดูไม่มีอะไร เริ่มก่อตัวขึ้นและหมุนวนล้อมรอบกระโหลก หลังจากนั้น มันก่อตัวเป็นวังวนขนาดใหญ่กลางอากาศกลายเป็นป้อมปราการป้องกันการโจมตีของโรดส์


 


โรดส์ตวัดดาบของเขาและส่งดาบแห่งการทำลายล้างตรงไปยังวังวนนั่น อย่างไรก็ตาม แสงนั่นถูกกลืนกินและหายไปในที่สุด ในขณะเดียวกัน ซีเลียสะบัดปีกบินขึ้นไปและพยายามเข้าไปจากด้านบน แต่เมื่อเธอเข้าไปได้กลางทาง เศษกระดูกหมุนวนขวางกั้นเส้นทางของเธอเอาไว้


 


นี่กำลังเป็นปัญหาแล้ว….


 


โรดส์คิดในใจ ขณะที่เขากำลังมองไปยังวังวนกระดูกตรงหน้าเขา สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการรอ


 


ทันใดนั้นประกายแสงส่องลงมาจากท้องฟ้าและบดขยี้วังวนนั้น ด้วยผลกระทบที่เกิดขึ้น กระดูกมากมากสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงคำรามดังสนั่น เกิดการระเบิดจากภายในป้องปราการกระดูก ไม่นานเศษกระดูกเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง เศษกระดูกหลายชิ้นเริ่มร่วงสู่พื้น เห็นได้ชัดว่าหมาล่าเนื้อได้ใช้การระเบิดตัวเองระเบิดหัวกระโหลกทำให้ใบหน้าของมันหายไปครึ่งหนึ่ง ดวงไฟของมันเองก็เหลือครึ่งเดียวเช่นกัน ทำให้มันดูอ่อนแอลงกว่าแต่ก่อน


 


แม้ว่าเวทย์ของมาร์ลีนจะไม่สามารถทำลายโครงกระดูกยักษ์ได้ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นถือว่ารุนแรงมาก และในตอนนี้มันส่งผลออกมาแล้ว


 


“ซีเลีย!”


 


ทูตสวรรค์พุ่งตัวไปด้านหน้าโดยปราศจากความลังเล ขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ ดาบของเธอเปลี่ยนกลายเป็นแสงสีเงินและเสียบทะลุกระโหลกของมัน ในที่สุดเศษกระดูกรอบๆก็เริ่มร่วงหล่นและหยุดการเคลื่อนไหว เมื่อพลังชีวิตของพวกมันถูกทำลาย


 


โรดส์ไม่อยู่ดูการปิดฉากของซีเลียเพราะเขาได้วิ่งออกไปอีกด้านหนึ่งด้วยความเร็วสูงสุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เซเร็คเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันเขา เขากำลังต่อสู้กับการป้องกันของวังวนโครงกระดูกยักษ์ โรดส์รู้ดีว่าเขามาช้าไปมาก ดังนั้นเขาจึงต้องจัดการมันให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้!


 


แต่เขามาช้าเกินไป


 


“ฮี้สสสส—-!!”


 


ทันใดนั้น เสียงแหลมๆของอาชาดังขึ้นมาแต่ไกล


 


โรดส์ตัวแข็งทื่อ


 


อัศวินแห่งความมืดมาถึงแล้ว!!



94 – ความมุ่นมั่นของแอน จอร์เจีย


 


ดาเรี่ยนลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ


 


ท้องฟ้าสีดำและหมอกสีขาวปกคลุมอยู่รอบตัวเขา อัศวินแห่งความตายตรวจสอบพื้นที่รอบๆอย่างเงียบๆ ขณะที่เขากำลังลูบแผงคอของม้าของเขา ไนท์แมร์ ซึ่งมันสัมผัสและตอบโต้กลับมาอย่างอ่อนโยน


 


อาจจะบอกได้ว่าโลกของอันเดดนั้นไร้สีสัน เมื่อพวกมันเลือกที่จะสละร่างเนื้อและเข้าสู่โลกอันเป็นนิรันดร์ พวกมันจะไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามได้อีกต่อไป ไม่ว่าสีสันเหล่านั้นจะงดงามตระการตาเพียงใด มันก็เหลือเพียงสีดำและขาวในดวงตาของอันเดดเท่านั้น  นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่เหล่าอันเดดกระหายเลือดและบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา ในดวงตาของพวกมัน ไม่มีสิ่งใดมีค่าให้พวกมันจดจำอีกต่อไป มีเพียงความตายและกสนทำลายเท่านั้นที่สามารถทำให้พวกมันรู้สึกสูงส่ง


 


ดาเรี่ยนครั้งหนึ่งเคยเป็นอัศวินที่ขึ้นตรงต่อกองทัพชายแดนของประเทศแห่งความมืด เขาฝ่าฝืนกฎของกองทัพและถูกบังคับให้ออกไปจากประเทศ ก่อนที่จะมาตั้งรกรากอยู่ที่หุบเขาร้างแห่งนี้


 


เป็นเวลา 200 ปีที่เขาอาศัยอยู่รอบๆหุบเขาแห่งนี้ สำหรับมนุษย์ส่วนใหญ่ นี่ถือว่าเป็นระยะเวลาที่นานมาก แต่ดาเรี่ยนรู้ดีว่าสำหรับอันเดดที่มีความเป็น ‘อมตะ’ 2 ศตวรรษเป็นช่วงเวลาเพียงพริบตา


 


มันยังคงเร็วเกินไปที่เขาจะกลับไปยังประเทศแห่งความมืด ถ้าเขากลับไปตอนนี้ เขาอาจจะถูกฆ่าได้


 


ข้าต้องอยู่ในสถานที่แห่งนี้อีกงั้นรึ?


 


ในตอนแรก ดาเรี่ยนถามคำถามนี้กับตัวเองหลายครั้ง แต่หลังจากนั้น เขาพบว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้อีกต่อไป ตั้งแต่การกลายมาเป็นอันเดด ความปรารถนาของมนุษย์ได้ค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ เหมือนกับเลือดเนื้อของเขา ทั้งความคิดเกี่ยวกับเวลาและความโดดเดี่ยวค่อยๆหายไปอย่างสมบูรณ์ จากจุดนี้ อันเดดจะเป็นเพียงหุ่นเชิดที่มีจิตสำนึกเท่านั้น


 


ดาเรี่ยนนั้นเป็นข้อยกเว้น เขายังคงมีอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาฝ่าฝืนคำสั่งจากเบื้องสูง


 


ดาเรี่ยนสั่นไหวเล็กน้อย


 


เขาสามารถรับรู้ได้ถึงออร่าของลูกน้องของเขา เหล่าโครงกระดูกยักษ์ ที่มีจำนวนน้อยลง มันเป็นสถานการณ์ผิดปกติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้ามาที่สันเขาแห่งความเงียบ โครงกระดูกยักษ์เหล่านี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแห่งความมืด กลับกันดาเรี่ยนได้ฝึก ‘ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์’ ของอันเดดกลุ่มนี้หลังจากที่เขามาที่นี่ แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกมันจะไม่ถึง 1 ใน 10 ของทหารโครงกระดูกในประเทศแห่งความมืด แต่เขามั่นใจว่าไม่ว่าใครก็ไม่กล้าต่อสู้กับเขาในสถานที่เปลี่ยนแห่งนี้


 


แต่ตอนนี้ มีบางสิ่งเปลี่ยนไป


 


พลังงานเวทมนตร์ที่คละคลุ้งกระจายไปทั่วในอากาศ


 


ดาเรี่ยนหันไปรอบๆและมองเห็นสายฟ้าฟาดที่ลงมาจากท้องฟ้า


 


บางคนกำลังโจมตีอยู่!!


 


ดาเรี่ยนหันไปมองอย่างระมัดระวังทันที เขาหยิบหอกและโล่ขนาดใหญ่ออกมาถือ ก่อนที่จะปิดหมวกเกราะลงบนใบหน้า หลังจากนั้น เขาไต่ขึ้นไปบนบังเหียนที่อยู่บนหลังของไนท์แมร์และมุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบ


 


สำหรับอันเดดระดับสูงที่มีจิตสำนึก เขาสามารถสัมผัสได้อย่างง่ายดายถึงกระแสเวทมนตร์ที่ปั่นป่วนในอากาศ  ราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดในมหาสมุทธ มันบีบคั้นหัวใจที่ตายด้านของเขา


 


ห๊ะ จอมเวทย์? จอมเวทย์วงเวทย์ระดับกลาง? คนพวกนี้ถูกส่งมาจากประเทศแห่งความมืดเพื่อสังหารข้าอย่างนั้นรึ?


 


เสียงระฆังดังขึ้นในหัวของเขา แต่มันหายไปในทันที เขาเป็นเพียงพลทหารต่ำต้อนในกองทัพซึ่งไม่ได้รู้ความลับทางการทหารอะไรเลย ประเทศแห่งความมืดไม่น่าส่งนักฆ่ามาสังหารคนอย่างเขาหรอก


 


แม้ว่าทางนั้นจะมีอันเดดจอมเวทย์ แต่คนพวกนั้นไม่ได้มีพลังในลักษณะนี้….


 


มันเป็นออร่าของสิ่งมีชีวิต….


 


เป็นพวกนักผจญภัยสินะ?


 


ดาเรี่ยนรู้สึกกังวลบางอย่าง แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกกระหายขึ้นมา สำหรับอันเดด เขาจะพึงพอใจจากการสังหารสิ่งมีชีวิต การมองดูพลังชีวิตของคนพวกนั้นค่อยๆสลายไปนำมาซึ่งความสุขและความรื่นรมณ์ของเขาเปรียบเทียบได้กับการที่สิ่งมีชีวิตให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตตัวน้อยขึ้นมา


 


ดาเรี่ยนเองก็ไม่มีข้อยกเว้น


 


ไนท์แมร์เริ่มควบตรงไปยังทิศทางที่กำลังวุ่นวายอยู่


 


มันกำลังมาแล้ว!!


 


แอนยืนขึ้นกลางหุบเขาด้วยใบหน้าที่มุ่นมั่น ดวงตาของเด็กสาวร่างเล็กจ้องมอองไปยังมอนสเตอร์ที่อยู่ในความมืด สำหรับบางคนที่อาจจะยิ้มได้เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ซึ่งครั้งนี้แอนเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง


 


มันไม่ใช่เพราะเธอกลัว แต่เป็นเพราะออร่าแห่งความตายที่นำมาซึ่งความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวของสิ่งมีชีวิต


 


เธอรู้ดีว่าเธอไม่สามารถหลบหนีได้อีกแล้ว


 


ด้วยโล่ในมือของเธอ เธอยืนขึ้นและตั้งท่าอย่างแน่วแน่


 


มาร์ลีนได้เดาเอาไว้ว่า แอนไม่ใช่คนที่ไม่สนใจในความสัมพันธ์ แต่วิธีที่เธอเลือกปฏิบัติกับเพื่อนและศัตรูนั้นอ้างอิงมาจากสัญชาตญาณของเธอ กลุ่มทหารรับจ้างของเธอทำให้เธอไม่มีความสุขมากๆ และสิ่งที่คนอื่นๆไม่ได้คิดคือ แอนไม่คิดจะเปลี่ยนใจ เธอเพียงต้องการสถานที่ที่จะทำให้เธอรู้สึกมีความสุข เมื่อหัวหน้าคนเก่าของเธออยู่ที่นั่น ทุกคนในมาร์คไวท์ดูเหมือนจะชอบเธอ พวกเขาสามารถทนต่อพฤติกรรมและปัญหาที่เธอสร้างได้ ดังนั้นแอนจึงยินดีทำงานหนักเพื่อรักษาชีวิตที่สงบสุขของเธอไว้ในทุกๆสนามรบ เธอจะนำตัวเองลงไป 100% และยืนอย่างกล้าหาญที่แนวหน้า ด้วยวิธีนี้ทำให้เธอได้รับคำสรรเสริญมากมายเมื่อจบภารกิจ และสำหรับแอน มันมากเกินพอแล้ว


 


แต่หลังจากการจากไปของหัวหน้าคนเก่า ทั้งกลุ่มทหารรับจ้างดูเปลี่ยนไป ความสุขในแต่ละวันเริ่มค่อยๆหายไป ราวกับผู้คนที่เคยยิ้มให้เธอนั้นได้จากไปหมดแล้ว เหล่าทหารรับจ้างเก่าๆก็เริ่มบอกว่าเธอไม่ได้เติมเต็มความหวังของหัวหน้าคนเก่า


 


แต่แอนไม่เข้าใจ! หัวหน้าคนเก่าจากไปอย่างสงบ แล้วความหวังมันจะไม่ถูกเติมเต็มได้อย่างไร?


 


จริงๆแล้วคนพวกนี้ต้องการอะไรกันแน่? แอนไม่รู้จริงๆ


 


สิ่งที่เธอรู้มีเพียงบ้านที่เคยสงบสุขและอบอุ่นก่อนหน้านี้ ตอนนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นสถานที่ที่หนาวเหน็บซึ่งเธอไม่ชอบไปเสียแล้ว


 


เธอเองก็คิดไม่ออกว่าหัวหน้าคนเก่าอยากให้เธอทำอะไร ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจออก และท้ายที่สุด เธอมาถึงกลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ของโรดส์


 


สตาร์ไลท์มีบรรยากาศที่เหมือนกันกลุ่มทหารรับจ้างมาร์คไวท์เก่าของเธอ ขณะเดียวกันใบหน้าของโรดส์ก็สงบนิ่งอยู่ตลอด แต่วิธีที่เขาพูดทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น มันเหมือนกับมาร์คไวท์ที่มีหัวหน้าคนเก่ามาคอยตำหนิเธออยู่ตลอด แต่เธอรู้ว่าเขาไม่ได้เกลียดเธอแต่อย่างใด


 


การอยู่กับมาร์ลีนและไลซ์ทำให้เธอสบายใจ พี่สาวทั้งสองแก่กว่าเธอ แต่พวกเธอไม่ได้มีออร่า ‘จอมปลอม’ ที่เธอเคยรู้สึกจากเหล่าทหารรับจ้างหญิงทั่วไปในมาร์คไวท์ มันเป็นสิ่งที่แอนไม่สามารถเข้าใจได้


 


ทั้งหมดนี้ เธอดีใจที่ทุกคนเป็นตัวของตัวเองและไม่แบ่งแยกเธอออกไป ไม่มีใครพยายามกีดกันเธอ และไม่มีสิ่งใดซับซ้อน ทุกสิ่งเป็นปกติตราบเท่าที่เธอทำหน้าที่ของเธอได้ดี แอนชอบชีวิตแบบนี้มาก


 


ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอไม่อยากสูญเสียมันไปอีกครั้ง


 


เมื่อโรดส์เรียกเธอออกไปและขอร้องให้เธอรับภาระอันหนักหน่วงนี้ เธอไม่ลังเลที่จะยอมรับในทันที


 


ไม่ว่าเธอจะต้องการรักษาชีวิตสงบสุขในปัจจุบันไว้หรือไม่ แต่เธอยังอยากปกป้องชีวิตของทุกคน และแอนมั่นใจว่าเธอสามารถทำได้


 


แม้ว่าหลังจากที่เข้าฟังแผนของโรดส์ เธอยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่ามอนสเตอร์ระดับผู้สั่งการ(ผู้บัญชาการ) หรือไม่ใช่ผู้สั่งการ แต่เมื่อเธอได้ยินเสียงพื้นดินสั่นสะเทือนและควบม้าที่กำลังเข้ามา แอนรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นศัตรูที่อันตรายมากคนหนึ่ง


 


แต่เธอไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด เธอเพียงรู้สึกว่าเลือดในร่างกายของเธอนั้นกำลังสูบฉีดเร็วขึ้นราวกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ


 


เธอยกโล่ขึ้นและกำมือแน่นด้วยมือซ้าย จากนั้นเธอทุบไปที่โล่ของเธอหลายครั้ง


 


ตูม!…ตูม!..ตูม!…


 


เสียงกลองศึก?


 


ดาเรี่ยนตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขาได้ยินเสียงนี้ แต่ในเวลาเดียวกัน เขามองเห็นดวงไฟชีวิตที่อยู่ตรงหน้าเขา


 


เจ้าต้องการท้าทายข้าสินะ? น่าสนใจ!!


 


อัศวินแห่งความตายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมา เขาชี้หอกไปด้านหน้าและตะโกน


 


ไนท์แมร์รับรู้ได้ถึงคำสั่งของเจ้านายและเร่งความเร็วขึ้นทันที ในชั่วเสี้ยววินาที กีบเท้าที่ไฟลุกโชนของมันหายไปจากพื้น ทั้งผู้ขี่และม้าหายตัวไปในทันที!


 


ดาเรี่ยนเอนกายและเล็งหอกไปที่ดวงไฟชีวิตซึ่งอยู่ในสถานที่เดียวกัน ในจุดนี้ เขาอดจินตนาการไม่ได้ว่าศัตรูจะมาสภาพเป็นอย่างไรหลังจากถูกหอกเสียบทะลุร่าง…สีหน้าที่สิ้นหวังและทุกข์ทรมานคงสะใจน่าดู….


 


แอนสังเกตเห็นว่าศัตรูเร่งความเร็วและตอบโต้โดยการยืดโล่ออก หนามเหล็กยาวยื่นออกมาด้านหน้าโล่ของเธอ ในครั้งนี้เธอไม่ได้ฝังโล่ของเธอลงไปที่พื้นเหมือนกับครั้งก่อน แต่เธอกลับพุ่งออกไปเพื่อโจมตี!!!!


 


ดาเรี่ยนเห็นสิ่งที่เธอทำ และเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หอกของเขาเล็งไปที่โล่ของแอน ซึ่งกำลังพุ่งมาด้านหน้า


 


มา!!!



95 – ความลังเลของแอน จอร์เจีย


 


โครงกระดูกยักษ์ล้มลงตรงหน้าโรดส์


 


เซเร็คลุกขึ้น ถอนหายใจ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาการล้มโครงกระดูกยักษ์ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่การฆ่ามันในระยะเวลาที่จำกัดเป็นอีกเรื่องนึง ถ้าเขาเป็นตำนาน บางทีเขาน่าจะสามารถลบตัวตนของโครงกระดูกยักษ์ได้ในดาบเดียว


 


จบ!


 


โรดส์ยืนยันการตายของมัน เมื่อได้รับค่าประสบการณ์ เมื่อเขามองไปที่ระบบแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ ตราบเท่าที่เขามีสิ่งนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่ศัตรูจะหลอกเขาจากความตายของมัน แต่เขาไม่มีเวลามาดีใจเพราะ…..


 


ตูม…ตูม..ตูม….ตูม!!!


 


ในขณะนั้น เสียงกลองดังมาแต่ไกลและทำลายความเงียบ


 


กลองศึก!?


 


โรดส์รู้สึกตกใจ


 


เขาตกใจมาก


 


แอนกำลังทำอะไรกัน?! นั่นไม่ใช่แผนของเขา!!


 


หลายคนเชื่อว่าการดวลเป็นเพียงการต่อสู้ของอัศวินเพราะพวกเขาเกี่ยวข้องกับเกียรติยศและศักดิ์ศรี แต่ในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่อัศวินเท่านั้นที่มีคุณสมบัตินี้


 


เพราะมีอีกคลาสหนึ่งที่ต่อสู้ด้วยเกียรติยศเช่นกัน!


 


นักรบโล่!


 


ดาบและโล่เป็นสิ่งตรงข้ามกันเสมอ เหมือนกับการโจมตีและการป้องกันซึ่งอยู่ขั้วตรงข้ามกัน


 


เสียงกลองศึกเป็นสัญญาณของนักรบโล่ที่จะประกาศตัวเพื่อท้าดวลกับอัศวิน โรดส์จำได้ว่าเขาเคยเห็นการต่อสู้หนึ่งที่ถุูกบันทึกไว้นานมาแล้วในเกม มันเป็นการต่อสู้ไม่ธรรมดาระหว่างประเทศขนาดใหญ่และประเทศขนาดเล็ก ในสมัยก่อนมีกองทหารม้าขนาดใหญ่ ในขณะที่ประเทศขนาดเล็กไม่มีม้า ไม่มีอาวุธและอยู่ในความสิ้นหวัง พวกเขาสร้างเครื่องกีดขวางอันแล้วอันเล่าเพื่อซื้อเวลาสำหรับศึกสุดท้ายของพวกเขา ซึ่งพวกเขาไม่มีอาวุธ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถใช้เครื่องกีดขวางเหล่านี้ชะลอการบุกของฝ่ายตรงข้ามลงได้


 


กองทัพของทั้งสองในที่สุดก็ปะทะกัน กองทัพของประเทศขนาดใหญ่นั้นมีจิตวิญญาณและมั่นใจอย่างมากว่าทหารเกราะหนักของพวกเขาสามารถสั่นสะเทือนสนามรบได้ แล้วประเทศขนาดเล็กล่ะ? พวกเขาซ่อนตัวอยู่หลังสิ่งก่อสร้าง สั่นทึมด้วยความกลัวราวกับกำลังรอกองทหารม้ามาทำลายพวกเขา


 


สีหน้าที่ซีดเซียวด้วยความกลัว ไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะรอดชีวิต


 


แต่ทันใดนั้น เสียงกลองดังกึ่งก้องมาจากที่ไหนไม่รู้


 


ตูม ตูม ตูม!!….


 


เสียงกลองทุ้มต่ำดังสะท้อนไปทั่วสนามรบ มันเสียดแทงเข้าไปในจิตใจของผู้คนที่หวาดกลัว ดวงวิญญาณที่หวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงกลองก็เริ่มสงบลงและเริ่มเคาะโล่ตามจังหวะเสียงของกลองศึก เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาเคาะดังขึ้นเรื่อยๆ….และไม่นาน โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว สีหน้าของพวกเขาจากความกลัวนั้นหายไป เหลือเพียงความมั่นใจถูกทิ้งไว้บนใบหน้าของพวกเขา


 


ในวันชี้ชะตา เมื่อเสียงกลองศึกดังขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด เป็นครั้งแรกที่กองทหารม้าไร้เทียมทานถูกกดดัน ราวกับว่ากองทัพขนาดเล็กตรงหน้าพวกเขาได้ถูกเปลี่ยนกลายเป็นป้องปราการที่ไม่สามารถเอาชนะได้


 


หลังจากจบศึกในครั้งนั้น ทหารโล่กลายมาเป็นคลาสที่สามารถเลือกได้ในเกม กลองศึกเป็นสัญลักษณ์ของนักรบโล่และในเวลาเดียวกันก็เป็นความอัปยศของเหล่าอัศวิน


 


ไม่มีการโจมตีใดที่พวกเขาไม่สามารถหยุดได้ เมื่อพวกเขาอยู่ในสนามรบพร้อมกับโล่! ไม่ว่าจะเป็นจอมเวทย์หรือเรนเจอร์ที่ทรงพลัง พวกเขาจะกลายเป็นป้อมปราการที่พึ่งพาได้ ในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘นักรบโล่’ ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันในแนวหน้า


 


แต่……ไม่มีการโจมตีใดสามารถถูกหยุดได้….เอ๊ะ? ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว


 


เนื่องจากอัศวินและนักรบโล่ได้กลายมาเป็นขั้วตรงข้ามกันโดยสมบูรณ์ เหล่าอัศวินคิดว่านักรบโล่ทำให้พวกเขาเสียชื่อเสียงและเกียรติยศ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเหล่านักรบโล่รู้สึกดีใจ เมื่อพวกเขาได้ทำลายตำนานอย่าง ‘อัศวินไร้พ่าย’


 


มันเป็นไปอย่างงดงาม กลองศึกเป็นการกระทำที่ยั่วยุเหล่าอัศวินและยังหมายถึงการดวล


 


แต่ในเกม ผู้คนใช้มันจะพูดราวกับ….


 


“เฮ้แกน่ะ นายอัศวิน โล่ของปู่แกอยู่ที่นี่แล้ว เข้ามาเร็วๆ แล้วคิดว่าไม้จิ้มฟันนั่นสามารถทำลายโล่ของปู่แกได้งั้นเหรอ?”


 


มันเป็นคำสบประมาทที่ไม่อาจทนได้และแทงใจดำของอัศวินทุกคน


 


ดังนั้นเมื่อโรดส์ได้ยินเสียงกลองศึก เขาจึงตกใจอย่างมาก!


 


แอนพยายามทำอะไรกัน? นั่นมันเป็นการประกาศสงครามโดยตรงเลยนะ! เขาควรบอกเธอให้ชัดว่าให้เธอไปยื้ออัศวินแห่งความตาย แต่ตอนนี้เธอกำลังยั่วยุคนตรงหน้าอย่างรุนแรง….


 


บ้าเอ้ย!


 


โรดส์ส่งคำสั่งให้ซีเลียผ่านทางกระแสจิต จากนั้นเขาหันหน้าไปหาคนอื่นรอบๆ


 


“คุดลา นำกลุ่มของคุณไปที่ทางออกเดี๋ยวนี้ ไปตามทางที่ผมบอกคุณก่อนหน้านี้ เร็ว!”


 


จากนั้นเขาเงยหน้าไปมองไลซ์ และกวักมือเรียกเธอ


 


“ไลซ์ มากันผม!”


 


โรดส์ไม่อาจเสียเวลาไปมากกว่านี้ได้ เขาโยนการ์ดสีดำออกมา จากนั้น เซนทอร์ปรากฎขึ้นกลางอากาศ ทำให้เหล่าทหารรับจ้างอดมองโรดส์อย่างประหลาดใจไม่ได้ เพราะว่าโรดส์ไม่เคยแสดงความสามารถในการอัญเชิญมาตลอดทาง


 


โรดส์ไม่สนใจพวกเขา ราวกับเขามีบางสิ่งที่สำคัญกว่าต้องทำตอนนี้ เมื่อโบกมือเสร็จ เขาขึ้นขี่หลังเซนทอร์และดึงไลซ์ขึ้นมาเกาะหลังเขา โชคดีที่หลังของอัศวินเซนทอร์มีพื้นที่ว่างพอสำหรับพวกเขาทั้งสองคน จากนั้นเขาตบไหล่ของเซนทอร์เป็นการส่งสัญญาณให้มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด


 


เซเร็คที่อยู่ด้านข้างเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน เขาไม่ได้เอ่ยถามสิ่งที่ไม่จำเป็นและตามโรดส์ไปอย่างติดๆ


 


“คุณโรดส์ เกิดอะไรขึ้นคะ?”


 


ไลซ์ถามด้วยน้ำเสียงที่กังวล เธอไม่เคยอยู่ใกล้ชิดกับโรดส์ขนาดนี้มาก่อน แต่สัญชาตญาณของเธอบอกว่าโรดส์ไม่ได้พยายามฉวยโอกาสจากเธอและมีหายนะบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเล็กน้อย


 


“ยัยบ้าเอ้ย…!!”


 


โรดส์ไม่ได้ตอบเธอ กลับกันเขาขมวดคิ้วและยกคิ้วขึ้น


 


ด้วยการกระทำนั้น แอนจะดึงดูดความสนใจของอัศวินแห่งความตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นั่นเท่ากับการมองหาความตาย เธอสามารถยื้อเขาได้โดยรับการโจมตีทั่วไป….และนั่นก็เพียงพอแล้ว….ดังนั้นทำไมเธอถึงตัดสินใจแบบนั้นกัน?!


 


เกียรติยศของนักรบโล่รึ?


 


โรดส์ไม่คิดว่าแอนจะสนใจกับเรื่องแบบนั้น มันอาจเป็นเพราะนิสัยของเธอที่ค่อนข้างตรงเกินไปมากกว่าสิ่งที่ทำให้เขาเชื่อว่าเธอให้ความสนใจในเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ทำไมเธอถึงทำแบบนั้น?


 


เนื่องจากที่เป็นภารกิจแรกอย่างเป็นทางการของเธอหลังจากที่เข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้าง โรดส์ไม่คิดว่าเธอจะมองว่าสตาร์ไลท์เป็นบ้านของเธอ บางทีถ้าเธอเป็นสมาชิกเก่าของกลุ่ม บางทีเขาอาจจะเข้าใจว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจทำสิ่งนี้


 


นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!!


 


เหล่าทหารรับจ้างต้องทำตามคำสั่ง แต่พวกเขาไม่ใช่ทหาร หน้าที่หลักของทหารคือการปฏิบัติตามคำสั่ง แม้ว่ามันจะหมายถึงความตาย แต่ทหารรับจ้างนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาเลือกที่จะไม่ทำตามคำสั่งก็ได้ ถ้าพวกเขาคิด!


 


หลังจากที่ขึ้นไปบนหลังเซนทอร์ได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดโรดส์ก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น


 


แอนกัดฟัน รอยยิ้มของเธอหายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วและแทนที่มาด้วยสีหน้าที่จริงจัง เธอถือโล่สีทองและเสริมด้วยโล่หัวใจศิลา โล่หัวใจศิลานั้นมีประโยชน์อย่างมากในการดูดซับความเสียหาย


 


ตรงหน้าเธอ อัศวินแห่งความตายถือหอก ขณะที่กำลังจ้องไปยังใจกลางโล่ ประกายไฟนับไม่ถ้วนกระจายอยู่รอบตัวเขา


 


ซีเลียที่มาถึงแล้ว แต่เธอเลือกที่จะไม่โจมตี กลับกันเธอลอยอยู่บนอากาศ ขณะที่มองการต่อสู้


 


“บัดซบ!”


 


โรดส์สบถ แน่นอนเขารู้แล้วว่าแอนพยายามทำอะไร มันเป็นสกิลที่น่ากลัวที่สุดของนักรบโล่ — การป้องกันสวนกลับ!!


 


พูดง่ายๆคือ เมื่อนักรบโล่ใช้สกิลนี้ พวกเขาจะใช้โล่ปะทะเข้ากับอาวุธของศัตรู และบังคับให้พวกเขาดวลกัน 1 ต่อ 1 และถ้าศัตรูอยากจะทิ้งอาวุธในการต่อสู้ พวกเขาจะถูกกระแทกโดยโล่ด้วยแรงมหาศาล


 


นั่นเป็นเหตุผลที่เธอยังคงความเกรี้ยวกราดของเธอกับอัศวินแห่งความตายอยู่ ตามที่เหล่าผู้เล่นบอก มันเป็นสกิลที่เอาไว้ใช้ยั่วยุคนอื่น และยังเป็นสกิลที่ยากที่จะหลบหนี


 


มันเป็นสกิลที่อ้างอิงมาจากกฏฟิสิกส์  โรดส์ไม่เข้าใจการทำงานของมัน แต่ทุกคลาสต่างหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวนี้ เมื่อสกิลนี้ถูกใช้ การต่อสู้จะจบลงที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้


 


นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ซีเลียไม่เคลื่อนไหวใดๆ เธอคิดว่าอัศวินแห่งความตายกำลังถูกยั่วยุและไม่ได้ระวังรอบๆ เธอสามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงได้ ถ้าเธอโจมตีในตอนนี้ แต่การโจมตีของเธออาจจะส่งผลต่อแอนที่กำลังตั้งสมาธิไปที่เป้าหมายของเธอ ถ้าเธอสูญเสียสมาธิ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้


 


“อะ-อะไร…กั-”


 


ไลซ์ตกตะลึงเมื่อเธอเห็นพวกเขากำลังจะต่อสู้กัน ราวกับว่าเวลาถูกหยุดไว้ พวกเขาเคลื่อนที่กันอย่างแปลกประหลาด ทำให้เธอไม่รู้สิ่งที่จะพูดต่อไป


 


“ไลซ์”


 


ในตอนนั้นเอง โรดส์พูดด้วยใบหน้ามืดมน


 


“ผมจะนับนะ เมื่อผมนับถึง ‘หนึ่ง’ คุณต้องร่ายบาเรียให้แอนและรักษาเธอไปพร้อมกัน”


 


“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”


 


ไลซ์บีบกำปั้นด้วยความกังวลและกัดริมฝีปาก


 


หลังจากที่พูดกับไลซ์จบ โรดส์ดึงดาบออกมาและหรี่ตาลง จากนั้นเขามองไปที่ตำแหน่งที่เปราะบางที่สุดของอัศวินแห่งความตาย โรดส์รู้ดีว่าทั้งสองกำลังแข่งขันเรื่องความอดทนและสมาธิ ด้วยการรับรู้ของอัศวินแห่งความตาย เขาสามารถสังเกตเห็นโรดส์ได้ ถ้าเขาสูญเสียสมาธิ และโอกาสชนะของแอนก็จะสูงขึ้น หลังจากนั้นการถูกมองจุดอ่อนโดยคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่น่าดีใจนัก


 


ในขณะนั้นเซเร็คได้มาถึง เขามองไปยังสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นและอ้าปากอุทานออกมา แต่ไม่นาน นักดาบก็สงบสติอารมณ์ เขาถือดาบและเริ่มตรวจสอบอัศวินแห่งความตายอย่างระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าเขามีความคิดเดียวกันโรดส์


 


คุดลาและคนอื่นๆยังคงหนีออกไปจากหุบเขา เมื่อเขามองไปยังการต่อสู้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แต่เขาก็ไม่ได้หยุดวิ่ง กลับกันเขาส่งสัญญาณให้ลูกน้องของเขาพาเหล่านักบวชออกไปอีกด้านหนึ่ง ตามที่โรดส์บอก ตราบเท่าที่พวกเขาออกไปจากที่นี่ได้ พวกเขาจะออกจากรอยต่อชายแดนและสันเขาแห่งความเงียบได้


 


แต่ตอนนี้เหมือนมีบางสิ่งขาดไป


 


สีหน้าของโรดส์ดำคล้ำ เขาสามารถมองเห็นมือของแอนที่กำลังสั่นและใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยเหงื่อ เธอไม่สามารถทนได้อีกต่อไป แต่มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลก – นั่นเพราะศัตรูของเธอคืออัศวินแห่งความตาย! ถ้าเป็นนักรบโล่อื่นๆทั่วไป บางทีคนๆนั้นอาจจะถูกส่งไปสวรรค์แล้ว แต่แอนกลับสามารถยื้อไว้ได้เป็นเวลานานมาก ก่อนที่จะแสดงสีหน้าของความพ่ายแพ้ แค่นั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว!


 


น่าเสียดาย ไม่ว่าเธอจะทำดีแค่ไหน สุดท้ายเธอก็พ่ายแพ้


 


ตอนนี้โรดส์ไม่ได้กำลังคิดหนทางชนะ แต่เขากำลังคิดถึงปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งก็คือการปกป้องชีวิตของแอน!!


 


เคล้ง!! ทันใดนั้น วินาทีที่ถูกหยุดไปกลับมาเป็นปกติ


 


โล่ที่อยู่ในมือของแอนร่วงลงด้านข้าง และต่อมา คมหอกพุ่งตรงมาหาเธอด้วยความเร็วที่น่าใจหาย



96 – การเปลี่ยนร่างของแอน จอร์เจีย


 


ในวินาทีที่อัศวินแห่งความตายโยนโล่ทิ้งไป โรดส์ เซเร็คและซีเลียต่างเคลื่อนไหวในทันที


 


ทั้งสามมีประสบการณ์การต่อสู้มหาศาล พวกเขาไม่รอให้แอนพ่ายแพ้ก่อนถึงจะเริ่มโจมตี ในความเป็นจริง พวกเขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเธอสามารถยื้อไว้ได้นานแค่ไหน ก่อนที่จะแพ้


 


พวกเขาพุ่งตัวตรงไปยังอัศวินแห่งความตายในทิศทางที่แตกต่างกัน และเล็งอาวุธของพวกเขาไปที่จุดอ่อนของมัน


 


เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูสามคนในเวลาเดียวกันไม่ใช่สิ่งที่จะรับมือได้ง่ายๆแม้แต่อัศวินแห่งความตายก็ตาม อย่างไรก็ตาม สำหรับอันเดด เขาได้ประโยชน์เรื่องสถานที่ ซึ่งเขาใช้ประโยชน์จากมันในทันที


 


มือขวาของดาเรี่ยนถือหอกไปด้านหน้าและในเวลาเดียวกัน ดาเรี่ยนหันศีรษะของเขาและสังเกตเห็นเปลวเพลิงสีเงินที่กำลังเผาผลาญแขนข้างซ้ายของเขา อย่างไรก็ตาม เขาปัดมันออกไปอย่างง่ายดายและขว้างเศษประกายไฟใส่โรดส์และเซเร็ค


 


ทั้งคู่ตั้งใจใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้และสร้างบาดแผลให้กับอัศวินแห่งความตาย แต่พวกเขาต้องถอยอย่างอดไม่ได้ เมื่ออัศวินแห่งความตายโจมตีสวนกลับมา


 


นี่เป็นส่วนที่สร้างปัญหาที่สุดของอันเดดคือพวกเขาไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด ถ้าดาเรี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิต แม้ว่าเขาจะยังไม่ตาย อย่างน้อยเขาก็พิการ แต่กับอัศวินแห่งความตาย การโจมตีด้วยดาบคาลิเบอร์เล่มนี้ทำได้เพียงแค่ทิ้งบาดแผลไว้บนร่างของเขาเท่านั้น


 


ขณะที่อัศวินแห่งความตายต้านทานการโจมตีของทั้งสาม ในเวลาเดียวกันนั้น แขนขวาของเขาที่ถือหอกอยู่พุ่งไปที่แอน ราวกับว่าเขาจะจัดการทุกอย่างไปพร้อมกัน


 


ปลายหอกแหลมทะลวงผ่านอากาศและตรงไปยังร่างของแอน บาเรียสีทองปรากฎขึ้นตรงหน้าเธอ แต่มันต้านได้ไม่ถึง 2 วินาที ก่อนจะแตกสลายไป


 


แสงสีเงินทะลวงผ่านร่างของเธอ


 


“แอน”


 


ไลซ์เกือบเป็นลม เมื่อเธอเห็นแอนถูกแทงโดยหอก แอนโค้งตัวลง ขณะที่ขาของเธอเริ่มล้มลงกับพื้นราวกับเธอไม่มีแรงจะยืนแล้ว


 


แต่ทว่า…..


 


“หืออออ….?”


 


อัศวินแห่งความตายหรี่ตาลงและมองไปยังนักรบโล่ที่ล้มลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสมาธิหลุดจากการมองสิ่งมีชีวิตที่สมควรจะตายไปแล้ว


 


ต่อมา แสงสว่างสีขาวสว่างจ้าและยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า ทะลุผ่านชั้นก้อนเมฆมากมาย


 


แอนไม่ได้กำลังคุกเข่าลงบนพื้น


 


กลับกันมือทั้งสองข้างของเธอกำลังจับปลายหอกพร้อมทั้งเลือดที่ไหลมาที่แขนและหน้า เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆและจ้องมองไปยังอัศวินแห่งความตายด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว แม้แต่รอยยิ้มก็กลับมาปรากฎบนใบหน้าของเธออีกครั้ง


 


“ในที่สุดฉันก็จับมันได้”


 


“อะไรกัน!?”


 


อัศวินแห่งความตายพยายามดึงหอกกลับ แต่เขารับรู้ได้ว่ามันไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว เขาถึงกับตกตะลึง แม้เขาจะคิดมาก่อนว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ แม้ว่าจะใช้พละกำลังทั้งหมดของเขาแล้ว เขาก็ไม่สามารถขยับมันได้


 


ในขณะนั้น โรดส์ไม่มีเวลามาชื่นชมความกล้าหาญของเธอ การลังเลอาจทำให้ความพยายามของแอนไร้ประโยชน์ เมื่ออัศวินแห่งความตายติดกับดัก เขาใช้ก้าวพริบตาและปรากฎตัวด้านข้างอันเดดทันที ดาบโลหิตในมือของเขาแหวกอากาศและฟันไปที่หน้าอกของอัศวินแห่งความตาย


 


อัศวินแห่งความตายสัมผัสได้ถึงอันตราย ดังนั้นมันจึงยอมทิ้งอาวุธหลักและดึงดาบออกมาจากเอวและเตรียมรับการโจมตีที่กำลังจะมาถึง


 


เคล้ง!! ประกายไฟกระจายไปทั่ว การเผชิญหน้ากับพละกำลังมหาศาลของอัศวินแห่งความตาย โรดส์จึงกระเด็นออกไป ก่อนที่จะหยุดและกลิ้งลงไปกับพื้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะล้มเหลว แต่กลับไม่มีประกายความหวั่นใจหรือตกใจให้เห็นในดวงตาของเขาแม้แต้น้อย ในทางตรงกันข้าม เขาแสยะยิ้มออกมาเมื่อมองไปยังไหล่ซ้ายของมัน ขณะที่เขาไม่สามารถสร้างบาดแผลสาหัสให้กับอัศวินแห่งความตายได้นั้น แต่เขาทิ้งบาดแผลยาวไว้บนร่างของมัน


 


“บัดซบ เจ้าสิ่งมีชีวิตนี่! ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสของ….”


 


ก่อนหน้านี้อัศวินแห่งความตายจะพูดจบ เซเร็คได้เคลื่อนไหวต่อ!


 


หลังจากที่เขาสูญเสียแรงจากแขนข้างหนึ่ง อัศวินแห่งความตายไม่สามารถป้องกันการโจมตีครั้งต่อไปได้ทั้งหมด


 


ประกายแสงดาบตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับสายฟ้าฟาด อย่างไรก็ตาม เซเร็คไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าอัศวินแห่งความตายเสียพละกำลังไปเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ประมาท


 


ดังนั้นก่อนที่พายุดาบจะถึงตัวอัศวินแห่งความตาย เขารวบรวมมันเป็นสายฟ้าอันใหญ่ก่อนที่จะส่งมันออกไป


 


การกระทำของเซเร็ครวดเร็วมาก การกระทำเช่นนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตที่หวาดกลัวได้ง่าย เช่น มนุษย์ แต่กับอันเดดที่ไร้ซึ่งความกลัว การเคลื่อนไหวเร็วๆไม่มีความหมาย พูดง่ายๆ มันเหมือนกับเอาภาพวาดของแวนโก๊ะมาแสดงให้กับคนตาบาดดู


 


อัศวินแห่งความตายตอบโต้อย่างรวดเร็วโดยการยกดาบขึ้นและป้องกันสายฟ้าฟาด เขากลับรู้สึกผลกระทบจากการต้านทานการโจมตีนี้ ซึ่งหมายความว่าเขาประสบความสำเร็จในการสร้างความเสียหายโดยตรง ตราบเท่าที่เขาสามารถ….


 


บาดแผลน่ากลัวขนาดใหญ่ปรากฎบนหน้าแกของอัศวินแห่งความตาย


 


ดาเรี่ยนมองไปยังหน้าอกของตนและเห็นดาบที่ห่อหุ้มไปด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังเผาผลาญร่างของเขาอยู่ จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นและมองไปยังการโจมตีของเซเร็คที่เขาป้องกันไว้ เมื่อคิดได้ก็สายเกินไป ในที่สุดเขาก็รู้แล้วเกิดอะไรขึ้น


 


ข้อแรก สิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้กำลังก่อกวนเขาอยู่


ข้อสอง เขาลืมทูตสวรรค์ไป


ข้อสาม เขาถูกจัดการ…..


 


เปลวเพลิงสีเงินบนหน้าอกของเขาปะทุขึ้นมาราวกับภูเขาไฟ อัศวินแห่งความมืดพยายามอ้าปากเพื่อคำรามออกมา แต่เปลวเพลิงกลับกลืนกินเสียงร้องของเขาไปทั้งหมด


 


จากนั้นดาเรี่ยนก็พักผ่อนไปชั่วนิรันดร์


 


เปลวเพลิงสีเงินกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้ว่าก้อนเมฆยังสว่างเจิดจ้าด้วยแสงของมัน


 


แต่ทว่าไลซ์ไม่ได้มีอารมณ์มองภาพที่สวยงามนี้ เมื่ออัศวินแห่งความตายทิ้งหอกของตน ไลซ์ไม่สนใจอันตรายและพุ่งไปด้านข้างแอน แม้ว่าเธอจะเตรียมใจมาแล้ว แต่ไลซ์ยังอดตรวจสอบลมหายใจของเธอไม่ได้


 


แอนล้มลงไปที่พื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่อัศวินแห่งความตายยอมแพ้ปล่อยอาวุธของตน เธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีก หอกหนาทิ้งบาดแผลไว้ที่หน้าท้องของเธอ เมื่อไลซ์มาถึงข้างเธอ เธอเห็นแอนกัดฟัน ขณะที่พยายามดึงหอกออกไปจากร่างของเธอ


 


ฉึก! หอกถูกดึงออกไป แต่สิ่งที่ตามมาคือเลือดที่ไหลทะลักท่วมบาดแผล แอนกัดริมฝีปากและเอื้อมมือที่สั่นเทาของเธอพยายามปิดบาดแผล


 


“แอน อย่าขยับ นอนลงเร็วๆเลยค่ะ!!”


 


ไลซ์กรีดร้องออกมา เมื่อเธอเห็นแอนกำลังพยายามทำบางอย่าง เธอรีบร่ายเวทย์รักษาหลายบทให้กับแอน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล มือหนึ่งปิดบาดแผลของเธอไว้ ในขณะที่อีกมือหนึ่งกำลังพยายามร่ายเวทย์ช่วยเธอ ทันใดนั้นเสียงคำรามต่ำๆดังออกมาจากปากของเธอ


 


จากมุมมองของไลซ์ มันเป็นปกติที่ความเจ็บปวดมากมายขนาดนี้จะทำให้ทนไม่ไหว แต่เธอยังคงเมินเฉยและร่ายเวทย์รักษาต่อไปที่แอน


 


อย่างไรก็ตาม ร่างของแอนเริ่มก้มตัวลงด้านข้าง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เจ็บปวดจากบาดแผลเลย กลับกัน เธอกำลังพยายามแยกตัวออกไป


 


“อย่า…เข้า…มา…”


 


แอนคำรามต่ำๆออกมา แต่ด้วยความเจ็บปวดไม่สามารถทำให้เธอพูดต่อได้ แม้ว่าเสียงของเธอจะผิดเพี้ยนไป


 


“อย่า..เข้-…..มา…พี่….สา….ว…ออ-อ….ก…ไป”


 


มือขวาของเธอกำเศษดินแน่น


 


“ไป ไปให้พ้น….เร็ว…เร็-…เร็…ว!!”


 


“แอน?”


 


ในขณะนั้นไลซ์รับรู้ได้ว่าท่าทางของแอนนั้นแปลกไป เธอเงยหน้าขึ้นมอง แต่ตอนนั้นเอง แอนใช้เรี่ยวแรงจากไหนไม่รู้ผลักเธอออกไป


 


“ออกไปให้พ้นจากฉัน!!”


 


“ว้ายย!!!”


 


ไลซ์ไม่สามารถต้านทานแรงผลักของแอนได้ เธอถอยไปไกลและล้มลงกับพื้น


 


“โอ๊ย เจ็บ….”


 


ไลซ์ตกอยู่ในความสับสน เธอคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น เธอไม่ใช่กำลังช่วยแอนรักษาบาดแผลหรอ? เธอมาที่นี่ทำไม? ใช่ไหม? แอน?


 


ไลซ์เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ถูกผลักออกมาเธอรู้สึกเหมือนเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง


 


แอนคลานอยู่บนพื้น ร่างกายของแอนสั่นทึม ไลซ์ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เธอเห็นร่างของแอนกำลังขยายใหญ่ขึ้น


 


มันไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดไปเอง


 


ม่านตางดงามสีเขียวของเธอเปลี่ยนไป มันถูกแทนที่ด้วยแววตาสัตว์ป่าสีเขียวที่กำลังมองแสงจันทร์ด้วยความเยือกเย็น แอนมองไปที่ไลซ์ในลักษณะนั้น จากนั้นเธอเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าและอ้าปากออก


 


“อ้าาาาาาาาาาา–!!”


 


ตามมาด้วยเสียงคำราม ชุดเกราะของเธอฉีกขาด ใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนแปลง ชั้นขนหนานุ่มงอกขึ้นมาบนร่างอันเปลือยเปล่าของเธอ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เหลือไว้เพียงหมาป่าสีดำสูง 3 เมตร!


 


เมื่อมันยืนขึ้นและมองไปบนท้องฟ้า


 


“บวู้—–วู้!!!”


 


เสียงหอนนั้นดังกึ่งก้องไปทั่วทั้งหุบเขา ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความกลัวอย่างมาก



97 – ความลับของแอน จอร์เจีย


 


“บวู้—บวู้!!!”


 


เมื่อเห็นฉากตรงหน้า ไม่ว่าใคร ไลซ์ที่ยังไม่ลุกขึ้น มาร์ลีนที่กำลังมองดูอยู่ห่างๆ หรือซีเลียและเซเร็คที่เพิ่งดึงอาวุธออกจากศพของอัศวินแห่งความตาย แม้แต่คุดลาและคนอื่นๆ ทั้งหมดถึงกับตกตะลึง


 


โรดส์เองก็ไม่มีข้อยกเว้น เขายืนขึ้นและมองไปยังหมาป่ายักษ์ที่กำลังคำรามอย่างโหดร้าย เขาตกใจเป็นอย่างมาก


 


สถานการณ์ในตอนนี้ เขาพบตัวตนที่แท้จริงของแอนแล้ว


 


ลูกครึ่งสัตว์!


 


คล้ายกับทูตสวรรค์กับมนุษย์ มนุษย์กับเอลฟ์ หรือปีศาจและสายเลือดผสมอื่นๆ พวกเขาทั้งหมดเป็นผลผลิตจากสายเลือดที่แตกต่าง สัตว์อสูรระดับสูงเองก็เช่นกัน พวกเขาสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์เพื่อมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์และให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไป สำหรับเผ่าพันธุ์อย่างลูกครึ่งทูตสวรรค์ ลูกครึ่งเอลฟ์หรือลูกครึ่งปีศาจอาจจะเป็รที่ยอมรับของผู้คนอยู่บ้าง แต่สำหรับลูกครึ่งสัตว์ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่หายากมาก เนื่องจากสัตว์อสูรและมนุษย์นั้นค่อนข้างแตกต่างกัน มีเพียงสัตว์อสูรระดับสูงเท่านั้นที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้


 


ถ้าพูดตามภาษาของประเทศของโรดส์แล้ว อาจจะเรียกได้ว่าสัตว์เหล่านั้นต้องบ่มเพาะพลังอย่างน้อย 1,000 ปีถึงจะสามารถกลายเป็นมนุษย์ได้ สัตว์อสูรระดับสูงเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากและทรงพลัง แม้แต่นักดาบระดับ 40 อย่างเซเร็คก็ไม่สามารถต่อกรกับสัตว์อสูรระดับสูงได้ ต่อให้มีเขาอีก 10 คนก็ไม่รอด แม้ว่าพวกมันจะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ร่างกายที่แท้จริงของพวกมันก็ยังคงเป็นสัตว์ป่า จนกว่าพวกมันจะได้อาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์เป็นเวลานาน เพราะโดยพื้นฐานพวกมันจะไม่เลือกมนุษย์มาเป็นคู่ของตน เหมือนกับหมาบ้าน ไม่ว่าเจ้านายของมันจะดีแค่ไหน มันก็ยังคงมองหาหมาอีกตัวอยู่ดี….อืมมม แต่ดูเหมือนนี่จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ค่อยเหมาะนัก


 


ไม่เหมือนกับโรดส์ที่ไม่เคยเห็นลูกครึ่งสัตว์มาก่อน ในเกม นักรบที่แข็งแกร่งบางส่วนเป็นเผ่าลูกครึ่งสัตว์ ซึ่งความแข็งแกร่งที่ว่ามานี้ ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากแอน ทำไมโรดส์ถึงไม่คิดมาก่อนนะ แต่ตอนนี้ เขาควรทำอย่างไรดี?


 


เมื่อมองไปยังหมาป่าดำขนาดใหญ่ หัวใจของโรดส์ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม


 


“นี่มัน…ไม่เคยคิดมาก่อน….”


 


เซเร็คสูดลมหายใจเข้าลึกๆและเดินมาข้างโรดส์


 


“คนของเจ้าซ่อนความลับนี้ไว้สินะ ตอนนี้พวกเราควรทำอะไรดีล่ะ?”


 


พวกเราควรทำอะไรดี?


 


โรดส์ขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบและถอนหายใจ


 


“ปล่อยให้ผมจัดการ”


 


เขาโบกมือจากนั้นเดินตรงไปที่หมาป่าดำยักษ์


 


“คุณโรดส์?”


 


เมื่อเห็นการกระทำนี้ มาร์ลีนและไลซ์เรียกชื่อเขาออกมาโดยไม่รู้ตัว เอาจริงๆตอนนี้พวกเธอรู้สึกสับสน เนื่องจากมันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่าเด็กสาวคนนี้ที่อาศัยอยู่กับพวกเขามาเป็นเวลาหลายวันสามารถกลายร่างเป็นหมาป่าได้ แม้ว่าในฐานะจอมเวทย์ แต่นั่นไม่ใช่กับมาร์ลีนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ การอ่านหนังสือและการได้เห็นด้วยตาตัวเองนั้นแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องพูดถึงยิ่งเป็นคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับเธอมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง…..


 


ตอนนี้มาร์ลีนกำลังมองไปยังหมาป่าดำยักษ์ หัวใจของเธอรู้สึกซับซ้อน เธอไม่รู้ว่าโรดส์พยายามทำอะไร แต่เธอรู้ดีว่าไม่มีสถานที่สำหรับลูกครึ่งสัตว์ในสังคมมนุษย์ แม้จะพูดแบบนั้น พวกเธอเกิดมาจากขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นลูกครึ่งทูตสวรรค์ ลูกครึ่งเอลฟ์หรือแม้แต่ลูกครึ่งปีศาจ พวกเขายังปรากฎในร่างมนุษย์ พวกเขาเกิดมาเป็นแบบนั้น อย่างไรก็ตาม อีกซีกหนึ่งของลูกครึ่งสัตว์นั้นเป็นสัตว์อสูรอย่างแท้จริง เมื่อตัดสินจากความแข็งแกร่ง ใครที่เกิดมาเป็นลูกครึ่งสัตว์จะแข็งแกร่งกว่าเผ่าพันธ์ุอื่นๆ แต่ด้วยตรรกะความคิดของมนุษย์ พวกเขาไม่ยอมรับลูกครึ่งสัตว์อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับเผ่าพันธุ์ผสมอื่นๆ


 


มาร์ลีนได้อ่านหนังสือมามากว่าบุคคลที่เกิดเป็นลูกครึ่งสัตว์จะอาศัยอยู่เหมือนกับมนุษย์ ก่อนที่ตัวตนของพวกเขาจะถูกเปิดเผย พวกเขาจะถูกขับไล่ บางส่วนถูกจับและทรมานตาย หรือไม่ก็ถูกเผาไฟจนตาย


 


โรดส์จะทำอะไร?


 


เมื่อมองโรดส์เดินตรงไปยังหมาป่ายักษ์สีดำ มาร์ลีนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรหรือทำอะไร แม้ว่าระยะเวลาที่เธอใช้ร่วมกับแอนนั้นจะไม่นาน แต่เธอก็ไม่ได้เกียจแอนแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ในโรงเรียนเวทมนตร์ มีลูกครึ่งสัตว์มากมาย ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกไม่คุ้นเคยหรือหวาดกลัวต่อพวกมัน แต่ทว่า…เธอไม่รู้ว่าโรดส์จะตัดสินใจทำอะไร


 


เธอไม่คิดว่าโรดส์จะฆ่าแอนเพียงเพราะความกลัว แต่ตอนนี้ การเผชิญหน้ากับหมาป่าสีดำขนาดยักษ์ เขาจะทำอะไร?


 


ราวกับระแวงการมาถึงของโรดส์ หมาป่าดำขนาดยักษ์ยืนขึ้นและมองไปที่เขาอย่างระมัดระวัง ในดวงตาสีเขียวที่น่าสะพรึงตัว ไม่มีร่องรอยความเป็นมิตรแม้แต่นิดเดียว


 


อ่าาาา….มีปัญหาแล้ว


 


ความระแวงจากดวงตาของหมาป่าดำทำให้โรดส์ขมวดคิ้ว เขามั่นใจว่าตัวตนของแอนกำลังหลับสนิทตามสัญชาตญาณของเธอ ถ้าเขาทำได้ เขาไม่อยากเข้าไปเสี่ยง แต่แอนเสี่ยงชีวิตของเธอเพื่อปกป้องพวกเขา เธอสละตัวเธอเองเพื่อปกป้องคนทั้งหมดที่นี่ มันไม่ใช่สิ่งที่น่าภาคภูมิใจ….ถ้าเธอไม่ทำตามคำสั่งของเขาและทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ


 


แต่ตอนนี้….


 


โรดส์ส่ายศีรษะและไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


“ไลซ์ เตรียมร่ายเวทย์รักษามาที่ผมนะ”


 


โรดส์ไม่ได้หันกลับไปและส่งคำสั่งแปลกๆมาให้ไลซ์ หลังจากนั้น เขาเดินไปตรงหน้าของหมาป่าสีดำและยื่นมือขวาออกไป


 


“—!!!”


 


ตามสัญชาตญาณของมัน หมาป่าสีดำอ้าปากและกัดไปที่มือของโรดส์


 


การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้สีหน้าของเซเร็คดำคล้ำขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์ก็จับดาบในมือของเธอแน่น ไลซ์ตกใจมาก แต่เธอกัดริมฝีปากบังคับตัวเองไม่ให้กรีดร้องออกมา


 


ใจร้ายมาก!!


 


ความรู้สึกเจ็บปวดมาจากมือของเขา โรดส์กัดฟัน เขารู้สึกได้ถึงคมเขี้ยวที่แหลมคมของหมาป่าทะลุผ่านมือของเขา ถ้ามันใช้แรงมากกว่านี้ บางทีมือทั้งมือของเขาอาจจะขาดกระจุยไปแล้ว! แต่เขาไม่ได้ถอยกลับหรือเคลื่อนไหวใดๆ เขากำลังเดิมพัน เดิมพันว่าแอนจะคิดว่าพวกเขาเป็นศัตรูหรือไม่


 


ถ้าแอนเป็นคนฉลาด โรดส์คงไม่ลงเดิมพันกับเรื่องแบบนี้ นั่นเป็นเพราะคนที่ฉลาดที่สุดมักชอบซ่อนความรู้สึกของพวกเขา ยกเว้นแต่พวกเขาไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร จินตนาการว่าคนพวกนี้สูญเสียสภาพจิตใจที่ดีไป มันไม่แปลกเลยถ้าพวกเขากลายทำทุกสิ่ง แต่กับแอนนั้นแตกต่าง เธอใช้ชีวิตของเธอโดยใช้สัญชาตญาณ โรดส์รู้สึกว่าเธอชื่นชอบไลซ์ มาร์ลีนและ….ตัวเขาอย่างมาก  ดังนั้นความรู้สึกเหล่านี้จะไปเชื่อมต่อกับสัญชาตญาณของเธอ…มันควรเป็นแบบนั้นเพราะว่าถ้ามันไม่ใช่แบบนั้น เขาจะต้องทุบตีเธอจนกระทั่งเธอสลบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่เขาจะฆ่าเธอ


 


เพราะเธอได้ทำเพื่อกลุ่มทหารรับจ้างนี้ไปมาก


 


โรดส์อดทนต่อความเจ็บปวด เขาใช้อีกมือหนึ่งลูบไปที่หัวของหมาป่าดำ


 


“—-!!!”


 


เมื่อรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของโรดส์ หมาป่าดำขู่ออกมา แต่ไม่นาน มันหรี่ตาลงและเริ่มอ้าปากที่งับมือของโรดส์


 


มันได้ผล!


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงมุมมองที่หมาป่าดำมีต่อโรดส์ โรดส์โล่งใจ เขาลูบหัวของมันอย่างแผ่วเบา จากนั้นเขาลดมือลงไปแตะที่ใบหน้าและจมูกของมัน หมาป่าดำไม่ได้หลบแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม มันกลับคลอเคลียกับมือของโรดส์อย่างเสน่หา จากนั้นม้าอ้าปากลง มันยื่นลิ้นออกมาและเลียไปที่บาดแผลที่มือของโรดส์ มันเอียงศีรษะและจ้องมองเขาอย่างไม่สบายใจ จากนั้นมันนั่งลงบนพื้นช้าๆ เขาไม่รู้ว่ามันพยายามขอโทษหรือว่ากลัวกันแน่ แต่เมื่อโรดส์ลูบไปบนหัวของมันอย่างต่อเนื่อง มันพอใจอย่างมาก และหลับตาลง ก่อนที่จะหลับลึกลงไปในที่สุด


 


ไม่นานร่างขนาดใหญ่หดตัวลง ขนและหางที่หนาฟูเริ่มหายไปช้าๆ หลังจากนั้นไม่นาน ผู้หญิงที่เปลือยปรากฎขึ้นตรงหน้าโรดส์ แต่ตอนนี้ไม่มีบาดแผลอีกต่อไปและเธอกำลังหลับอยู่


 


“เฮ้อออ…..”


 


จนถึงตอนนี้ โรดส์ก็ถอนหายใจออกใส เขาวางมือขวาลงและมองไปที่ไลซ์ที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างเร่งรีบ


 


“รักษาให้ผมหน่อย”


 


หลังจากที่ผ่านอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ทุกคนก็ถอนหายใจออกมา


 


อัศวินแห่งความตายถูกสังหารและไม่มีสิ่งมีชีวิตอันเดดเหลืออยู่ หลังจากที่ออกไปจากที่นี่ไปก็จะเป็นชัยชนะของพวกเขา สิ่งเดียวที่ทำให้โรดส์หดหู่คืออุปกรณ์ของอัศวินแห่งความตาย แม้ว่าอัศวินแห่งความตายจะมีอุปกรณ์ดีๆหลายชิ้น ยกตัวอย่างเช่น ‘แหวนต้องสาป’ ซึ่งสามารถเพิ่มความสามารถในด้านพิษ หรือ ‘สายตาแห่งความตาย’ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นตอนกลางคืนได้


 


โชคร้ายที่อุปกรณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับพวกปีศาจ เมื่อซีเลียใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาถูกเผาสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน เมื่อมองไปที่ศพที่เละเทะ โรดส์ก็ช่วยไม่ได้ แม้ว่าเขาพยายามคิดในแง่ดีและถามมาร์ลีนเรื่องการเก็บกวาดสนามรบ โดยหวังว่าจากโชคของเธอจะหาบางอย่างมาให้เขาบ้าง


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มือของมาร์ลีนนั้นดีมาก ดูเหมือนจะผิดจากที่พูดไปเล็กน้อย แต่เธอค้นพบกระเป๋ามิติจากชุดเกราะของอัศวินแห่งความตาย สำหรับไอเทมเวทมนตร์โดยทั่วไปแล้ว มันจะไม่ถูกเผาโดยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ มันจึงเป็นสิ่งที่โรดส์ได้รับ สำหรับสิ่งของภายใน โรดส์ไม่ได้คิดจะเปิดมันต่อหน้าทุกคน เนื่องจากมันยังไม่สายเกินไปที่จะตรวจสอบเมื่อพวกเขากลับไป


 


หลังจากนั้นโรดส์ ไลซ์และคนอื่นๆก็มารวมตัวกัน เมื่อพวกเขาเดินไปหาคุดลา เงาๆหนึ่งปรากฎขึ้นจากฝูงชนและขวางหน้าโรดส์


 


“นั่นมันหมายความว่าอย่างไร!!”


 


เด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์มองไปยังโรดส์อย่างโกรธเคือง


 


“สิ่งที่คุณหมายถึงก็คือสิ่งที่คุณหมายถึงนั่นแหละ?”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเด็กสาว โรดส์ตอบกลับอย่างไร้อารมณ์


 


“ผู้หญิงคนนั้น!”


 


ลูกครึ่งเอลฟ์ยื่นมือออกมาและชี้ไปยังแอนซึ่งกำลังถูกคลุมด้วยเสื้อคลุม ขณะที่กำลังหลับอยู่บนหลังของชายชราวอร์คเกอร์


 


“แกจ้างพวกลูกครึ่งสัตว์มาปกป้องพวกเราจริงๆเหรอ แกกำลังทำอะไรอยู่! แกไม่รู้เหรอ ไอ้พวกสัต*ป่*มันโคตรอันตราย?! แล้วถ้าสัตว์อสูรที่อยู่ในตัวเธอโจมตีพวกเราล่ะ แกตั้งใจทำแบบนี้ใช่ไหม!!”


 


เมื่อได้ยินคำใส่ความของเธอ ใบหน้าของไลซ์และมาร์ลีนดำมืดทันที เบื้องหลังเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ ก็มีบางคนมาจากสมาคม ตอนนี้พวกเขาเองก็รู้สึกไม่มีความสุข แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกับแอนเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ตลอดทางแอนก็เป็นคนปกป้องพวกเขาตลอด แม้ว่าตัวตนของเธอจะเป็นลูกครึ่งสัตว์ นั่นทำให้พวกเขาตกใจเล็กน้อย แต่คนเหล่านี้คิดว่าเรื่องนี้สามารถยอมรับได้ นี่เป็นเพราะพวกเขาได้ยินเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์กำลังด่าทอผู้ช่วยชีวิตพวกเขา พวกเขาจึงรู้สึกเสียใจอย่างมาก เซเร็คและตาแก่วอร์คเกอร์เองก็เริ่มจริงจังขึ้นและมองไปยังลูกครึ่งเอลฟ์อย่างไม่พอใจ


 


“เฮ้ เจ้าน่ะ!!”


 


แม้แต่คุดลาก็เริ่มหน้าเสีย ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ทหารรับจ้างที่อยู่ด้านข้างเขาเองก็เป็นเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไร แอนก็เป็นผู้ช่วยชีวิตพวกเขาและการมีลูกครึ่งสัตว์ในกลุ่มของพวกเขาเป็นปัญหาในกลุ่มอื่น ทำไมต้องไปยุ่งเรื่องคนอื่นด้วย?


 


“อันตราย?”


 


โรดส์ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเป็นมาร์ลีนที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตอนแรกเธอไม่อยากเข้าไปยุ่งกับพวกทหารรับจ้างหยาบคายพวกนี้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กสาวเอลฟ์ เธออดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมา


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะแอน คุณคงไม่สามารถเดินมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยหรอก ไม่เพียงแต่คุณยังจะไม่ขอบคุณ คุณยังด่าว่าพวกเราอีกรึ? คนหยาบคายแบบนี้สมควรปล่อยให้ตายไว้ที่นี่แหละ”


 


“แก…..อย่าคิดว่าฉันจะกลัวแกเพราะว่าแกเป็นจอมเวทย์นะ”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับคำด่าของมาร์ลีน เด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ยืนตัวแข็งทื่อ ก่อนจะนึกขึ้นได้


 


“อะไรกัน แกเองก็ไม่ได้ทำอะไร เอาแต่หลบอยู่หลังคนอื่นอย่างกับตัวตลก แกคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่? หืออ ฉันไม่คิดว่าไอ้*พว*หน้า***จะ….”


 


โรดส์ไม่ปล่อยให้เด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์พูดจบประโยค เขาต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของเธอ


 


โดยปกติแล้ว เนื่องจากเธอคาดไม่ถึงว่าจะมีการโจมตี เธอจึงถูกส่งกระเด็นลงไปนอนกองที่พื้น แต่โรดส์ไม่ปล่อยให้เธอพูดอะไรต่อ โรดส์ตามไปเตะซ้ำที่ท้องของเธอทำให้เด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ตัวงอเป็นกุ้งและอ้วกออกมา ในที่สุดโรดส์ก็หยุดและปัดมืออย่างไร้อารมณ์ นี่ทำให้คุดลาทำอะไรไม่ได้นอกจากเสียหน้า


 


“คุณโรดส์….”


 


“เพราะว่าเธอว่าคนของผม ผมไม่มีความสุข นั่นเป็นเหตุผลที่ผมต่อยเธอ แต่ตอนนี้ผมต่อยเธอไปแล้วและผมมีความสุขดี ตอนนี้พวกเราทั้งหมดเท่าเทียมกัน นั่นเป็นเหตุผลที่คุณไม่ต้องมาขอโทษผม หรือคุณคิดว่าผมติดหนี้คุณอยู่”


 


โรดส์พูดขัดจังหวะคุดลา หลังจากหมดสิ้นสิ่งที่เขาอยากจะพูด เขาหันกลับและเดินไปยังกลุ่มของเขา


 


“ภารกิจของพวกเราจบแล้ว พวกเราควรออกจากสถานที่บ้าๆนี่สักที”



98 – สัญญาณแห่งความโกลาหล


 


เมื่อพวกเขากลับมาถึงเมืองดีพสโตนอีกครั้ง คุดลาและพวกของเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาถูกตัดออกจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานาน เมื่อครั้งที่พวกเขายังติดอยู่ในถ้ำของสันเขาแห่งความเงียบ ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะออกมาเห็นภาพที่คุ้นเคยตรงหน้าอีกครั้ง ทหารรับจ้างบางคนที่รอดชีวิตมาได้ถึงกับร้องไห้ออกมาและคุกเข่าลงไปที่พื้น


 


คุดลาชะงักไปชั่วขณะ เขาทั้งโกรธแค้นและเสียใจ ระหว่างทางกลับ มีลูกน้องของเขา 2-3 คนบอกกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า พวกเขาจะออกจากกลุ่มทหารรับจ้างและลาออกจากการเป็นทหารรับจ้าง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยในกลุ่ม ทหารรับจ้างก็เป็นมนุษย์ ถ้าพวกเขาเฉียดใกล้ความตายบ่อยครั้ง เป็นปกติที่พวกเขาจะกลัวเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตของพวกเขา ในครั้งนี้พวกเขาโชคดีเพราะว่ามีกำลังเสริมมาจากสมาคมทหารรับจ้างมาช่วยพวกเขาได้ทัน แต่ครั้งต่อไปล่ะ? แล้วถ้ามีครั้งต่อไป มันจะเกิดอะไรขึ้น?


 


มันไม่ใช่เพราะแปลกที่พวกเขาบางส่วนจะยอมแพ้ต่อความกลัว แม้ว่าคุดลาเองจะพยายามหาวิธีมารั้งพวกเขาไว้มากแค่ไหน มันดูเหมือนจะไม่ได้ผลแล้ว สิ่งที่ทำให้เขากังวลคือจำนวนสมาชิกทหารรับจ้างในกลุ่ม มันลดลงในอัตราที่รวดเร็วมาก หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ บางคนเลือกที่จะออกไป นั่นหมายความว่ามีเพียง 3-4 คนเท่านั้นที่เหลืออยู่ ไม่ต้องพูดถึงคุดลาพบว่าแม้แต่ในบรรดาพวกเขาเอง ก็มีบางคนที่มีความคิดอยากจะออกเช่นกัน….


 


ปัญหาก่อนหน้านี้ของคุดลาไม่ใช่แค่ขาดกำลังคนในกลุ่มทหารรับจ้าง แต่เป็นเรื่องการคงของกลุ่มที่จะคงอยู่ต่อไปหรือไม่….


 


น่าเสียดายที่ตอนนี้ เขาไม่มีหนทางในการหยุดเรื่องพวกนี้ได้


 


“เฮ้อออ….”


 


คุดลาถอนหายใจและเงยหน้าขึ้น เขามองไปยังโรดส์และมาร์ลีนที่กำลังคุยกับอยู่อย่างลับๆ ครั้งนี้เขาได้เห็นความสามารถของโรดส์และกลุ่มทหารรับจ้างของเขาได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจำนวนของสมาชิกจะมีน้อยมาก ตามประสบการณ์ของคุดลา ภายใต้การสั่งการของโรดส์ ความสามารถที่คนเหล่านี้แสดงออกมานั้นเทียบเท่ากับกลุ่มทหารรับจ้าง 2 กลุ่มใหญ่ๆ คุดลาที่ไม่พอใจในตอนแรกก็เริ่มอดชื่นชมเขาไม่ได้ แม้ว่าเขายังสงสัยว่าทำไมโรดส์ถึงมีประสบการณ์มากมาย รวมถึงทักษะการสั่งการ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ทรงพลังมาก


 


ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เขาหวังว่าเขาจะสามารถคุยกับโรดส์เรื่องที่ให้สมาชิกของเขาเข้าร่วมกับกลุ่มของโรดส์ แต่ตอนนี้ ความหวังสุดท้ายได้มลายหายไป เพราะเรื่องของแอน บรรยากาศระหว่างพวกเขาลดลงจนไปถึงจุดที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง


 


ตลอดการเดินทางกลับ เห็นได้ชัดว่าโรดส์เมินเฉยราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน ยิ่งจอมเวทย์สาวนั้นยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ เธอมองมายังเขาและลูกน้องของเขา ใครก็ตามที่เห็นสายตานี้จะรู้ว่าเธอนั้นโกรธเคืองมาก แม้แต่เหล่านักบวชเองก็เย็นชาใส่พวกเขา คุดลาได้พยายามเข้าพูดคุยหลายครั้ง แต่ทุกครั้งจะถูกตอบกลับมาด้วยคำเหน็บแนม


 


สิ่งที่เขากังวลที่สุดไม่ใช่โรดส์และกลุ่มของเขา แต่เป็นเซเร็คและคนของทางสมาคมที่มาจากสมาคมทหารรับจ้างซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจต่อพวกเขามาก พวกเขาต้องรู้ว่าสมาคมทหารรับจ้างเป็นองค์กรที่สำคัญสำหรับพวกเขา เมื่อถูกขึ้นบัญชีดำ อนาคตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก


เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว อีกเหตุผลที่พวกเขาพยายามจะออกจากกลุ่มเพราะเรื่องนี้แหละ


 


“หัวหน้าคุดลา”


 


เมื่อคุดลาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เซเร็คเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“โรดส์และข้าจะกลับไปยังสมาคมทหารรับจ้าง เรื่องจากภารกิจนี้เสร็จสิ้นแล้วและพวกเจ้าทั้งหมดได้กลับมาอย่างปลอดภัย ตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดกลับไปพักได้ แต่ข้าหวังว่าจะได้รับรายงานรายละเอียดในพรุ่งนี้เช้านะ ข้าคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณ”


 


“ครับ คุณเซเร็ค!”


 


คุดลาตอบกลับอย่างกังวล หลังจากได้รับการตอบของเขา สีหน้าของนักดาบก็ผ่อนคลายลง จากนั้นเขามองไปยังผู้คนด้านหลังคุดลาและยิ้มออกมาพลางส่ายหัว


 


“พวกเจ้าทั้งหมดเสียเวลามามากพอแล้ว ลืมเรื่องพวกนั้นไปซะ ข้าจะไม่พูดอะไรอีก แต่คุณคุดลา ข้าหวังว่าเจ้าจะควบคุมกลุ่มทหารรับจ้างของเจ้าให้ได้ด้วยตัวเองนะ เพราะว่าทางสมาคทได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการหาคนมาเพื่อช่วยพวกคุณ แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณกับผู้ช่วยเหลือ…กลับทำให้ทางสมาคมรู้สึกอับอายอย่างมาก บอกตรงๆ คุดลา ข้าอยากเห็นความบริสุทธิ์ใจของเจ้า ข้าคิดว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกลุ่มทหารรับจ้าง”


 


“ครับ ท่าน ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านหมายถึงครับ ข้าจะจัดการปัญหานี้!”


 


คุดลาเข้าใจที่เซเร็คไม่พอใจและตอบกลับไปในทันที หลังจากที่ได้รับคำตอบ เซเร็คพยักหน้าอย่างพึงพอใจและหันกลับออกไป


 


ในขณะนั้นอีกด้านหนึ่ง โรดส์พูดกับมาร์ลีนเสร็จ พวกเขาทุกคนควรกลับไปที่สมาคมทหารรับจ้างเพื่อรับรางวัลจากประธาน แต่เนื่องจากแอนกำลังหลับอยู่ ไลซ์เองก็อยากอยู่ข้างเธอ ยิ่งไปกว่านั้น มาร์ลีนไม่ได้สนใจเกียรติของทหารรับจ้างแม้แต่น้อย นั่นทำให้เธอไม่สนใจในรางวัล ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าชายชราวอร์คเกอร์ไม่อยากจะไปที่สมาคมเพื่อรับรางวัล สำหรับเขา มันจะดีกว่าถ้าให้เขาได้พัก


 


นั่นเป็นเหตุผลที่โรดส์ปล่อยให้พวกเขากลับไปพักที่บ้านและตามเซเร็คไปตัวคนเดียว


 


สำหรับซีเลีย หลังจากที่พวกเขาออกมาจากสันเขาแห่งความเงียบ โรดส์เรียกเธอกลับและบอกคนอื่นว่าเธอกลับไปแล้ว หลังจากที่จบภารกิจ มันไม่ใช่เพราะวิญญาณอัญเชิญมีระยะเวลาจำกัด แต่เป็นเพราะพลังวิญญาณของโรดส์ไม่เพียงพอที่จะไปหล่อเลี้ยงพลังชีวิตของเธอ…


 


แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไป มาร์ลีนดึงเขาไว้และถามเขาเกี่ยวกับแอน สำหรับจอมเวทย์ เธอรู้โชคชะตาของแอนหลังจากที่ถูกเปิดเผยตัวตนดี ตอนนี้เธอกังวลว่าเมื่อคนพวกนั้นกระจายข่าวเรื่องตัวตนของเธอออกไป ผู้คนในเมืองดีพสโตนจะขอให้พวกเขาขับไล่เธอออกจากกลุ่มทหารรับจ้าง มาร์ลีนเองค่อนข้างกังวลว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น


 


แต่โรดส์ไม่คิดแบบมาร์ลีน เขาปลอบมาร์ลีนและบอกเธอว่าความคิดของคนในเมืองอื่นๆเกี่ยวกับลูกครึ่งสัตว์นั้นไม่ได้แข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองดีพสโตน ตราบเท่าที่แอนไม่สร้างปัญหา จะไม่มีใครทำอะไรเธอได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเธอ เขาสามารถขอให้ทางสมาคมทหารรับจ้างเข้ามาแทรกแทรงได้ ตราบเท่าที่แอนไม่ใช่ฝ่ายผิด


 


หลังจากที่ได้ยินคำตอบของโรดส์ มาร์ลีนสงบจิตใจลง จากนั้นเธอเข้าไปในรถม้าและทิ้งคนอื่นๆไว้ ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะทำตัวคล้ายกับรองหัวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่ต้องสงสัย….


 


“คุณโรดส์?”


 


เมื่อโรดส์มองไปยังรถม้าที่เดินทางออกไปไกล เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกายเขา โรดส์หันกลับไป เขาเห็นเด็กสาวที่งดงามกำลังยืนอยู่ตรงหน้า มือของเธออยู่ไม่สุข ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา หลังจากที่สบการตากับโรดส์ เธอก้มหน้าลงอีกครั้ง


 


“มีปัญหาอะไรเหรอครับ?”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของโรดส์ เด็กสาวลังเลไปครู่หนึ่ง เธอสั่นและเดินถอยหลัง จากนั้นโรดส์พบเหล่านักบวชหลายคนไม่ไกลและกำลังยิ้มให้กับเด็กสาวตรงหน้าเขา เด็กสาวคนนั้นหันกลับไปชั่วครู่ราวกับกำลังรวบรวมความกล้าและมองไปยังเพื่อนๆของเธอ จากนั้นเธอหันกลับมาหาโรดส์และเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเธอมีสีแดงระเรื่อ


 


“คือ-คือว่า…ก่อนหน้านี้…ที่สันเขาแห่งความเงียบ คุณช่วยชีวิตพวกเราไว้จากอันเดดพวกนั้น ฉันยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลยค่ะ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่หยาบคายมาก….ดังนั้นฉันรู้สึกขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตฉันไว้นะคะ…”


 


เมื่อพูดจบ เด็กสาวคนนั้นก้มหัวลงอีกครั้ง


 


เมื่อมองไปยังเด็กสาวที่กำลังเอียงอาย โรดส์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ดูเหมือนว่าด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างพวกเขา แม้ว่านักบวชเหล่านี้และไลซ์จะอ่อนแอ แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ขี้อาย แต่เด็กสาวคนนี้ดูเหมือนกับดอกไม้ในเรือนกระจก…..พวกเธอทั้งสองนั้นไม่สามารถเทียบกันได้


 


“คุณไม่ต้องมาขอบคุณผมหรอก”


 


โรดส์โบกมือ


 


“ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมควรทำ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณอยากขอบคุณจริงๆ แอนเป็นอีกหนึ่งคนที่ควรได้รับมัน”


 


“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”


 


เมื่อได้ยินคำตอบของโรดส์ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่กังวลอีกต่อไป


 


“ฉันได้คุยกับคนอื่นๆแล้ว ถ้าแอนตื่นขึ้นมา พวกเราจะไปพบเธอค่ะ ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ทำเพื่อพวกเราไว้มาก และพวกเราทั้งหมดต้องขอบคุณเธอเช่นกันค่ะ”


 


เมื่อพูดถึงตรงนี้ เด็กสาวหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อด้วยความเอียงอายเล็กน้อย


 


“แล้ว…คุณโรดส์ เรื่องเกี่ยวกับคุณแอน พวกเราทั้งหมดตกใจมากเลยค่ะ แต่พวกเรารับประกันได้ว่าพวกเราไม่กลัวคุณแอนเพราะเรื่องนี้หรอกค่ะ! พวกเราเป็นบวช ดังนั้นพวกเราต้องรักษาผู้คนมากมาย นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราเห็นได้ชัดว่าลูกครึ่งสัตว์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอย่างที่ตำนานได้กล่าวไว้และ…ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือของพวกเราในอนาคต ได้โปรดเรียกพวกเราได้ตลอดค่ะ ตราบเท่าที่พวกเราสามารถช่วยได้ พวกเราจะไปปฏิเสธอย่างแน่นอนค่ะ”


 


เด็กสาวพูดและโค้งไปยังโรดส์ จากนั้นเธอหมุนเดินกลับไปยังเพื่อนของเธอ ในครั้งนี้ เซเร็คอมยิ้มเล็กน้อยและปรากฎตัวต่อหน้าโรดส์


 


“การมีหน้าตาดีก็เป็นเรื่องดีแบบนี้ล่ะนะ แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนเลยนะว่านักบวชพวกนี้มาจากสมาคมทหารรับจ้าง เจ้าจะมาเอาไปง่ายๆไม่ได้หรอกนะ ไม่งั้นเพื่อนข้าจะทำให้เจ้าเสียใจ”


 


เมื่อได้ยินเรื่องตลกของเซเร็ค โรดส์กรอกตาไปมาและยักไหล่ ก่อนที่จะส่ายหัว


 


“ถ้ามันเป็นของของผม ผมจะไม่ปล่อยให้คนอื่นมาเอาไปหรอก แต่ถ้ามันไม่ใช่ของของผม ต่อให้ผมอยากได้แค่ไหน ผมก็ไม่รับหรอกครับ ผมไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก คุณเซเร็ค”


 


“ถ้าเด็กพวกนั้นได้ยินสิ่งที่เจ้าพูด พวกเธอคงจะเข้าใจผิดเป็นแน่ เอาล่ะ ปล่อยเรื่องไร้สาระไปเถอะ พวกเรามีสิ่งสำคัญต้องทำอีกไม่ใช่รึไง?”


 


จากด้านนอก สมาคมทหารรับจ้างดูเหมือนจะไม่แตกต่างไปจากเดิมเลย


 


แต่เมื่อโรดส์และเซเร็คเดินเข้ามาในห้องโถง พวกเขาพบบรรยากาศด้านในของสมาคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน


 


ในตอนนี้ ห้องโถงที่มีชีวิตชีวาไม่มีผู้คนคับคลั่งอีกต่อไป มีเพียงทหารรับจ้างบางกลุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะดูไม่มีชีวิตชีวา พวกเขาทั้งหมดต่างตัดพ้อไม่ก็ดื่มเหล้า เมื่อพวกเขารับรู้ได้ถึงตัวตนของโรดส์และเซเร็ค พวกเขาต่างเงยหน้าขึ้นมองและก้มหัวลงอย่างไม่มีชีวิตชีวา


 


โรดส์และเซเร็คมองไปยังพวกเขาทีละคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งสองเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่


 


เรื่องนี้เริ่มรุนแรงมากขึ้น


 


พวกเขาอยากได้รับการยืนยันจากประธานชรา


 


“พวกเราได้ตรวจสอบมาแล้ว แต่มันสายเกินไป”


 


ประธานชราที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้ เขาดูแก่ลงกว่าเดิมกว่าปกติ ความกระชุ่มกระชวยที่เคยมีก็จางหายไป


 


“เนื่องจากข้าได้ส่งคำเตือนฉุกเฉินไปยังกลุ่มทหารรับจ้างทั้งหมด บอกพวกเขาถึงปัญหาและบอกให้พวกเขาหยุดภารกิจทั้งหมด แน่นอนโดยไม่มีบทลงโทษใดๆ แต่พวกเรายังคงช้าเกินไป มีกลุ่มทหารรับจ้าง 32 กลุ่ม รวมถึง ‘วิคตอเรียส ไวน์’


21 กลุ่มมีสมาชิกลดลงอย่างน่าเป็นห่วงอีก 3 กลุ่มถูกยุบ  และ 5 กลุ่มสุดท้าย….ยังไม่มีข่าวจากสถานการณ์ของพวกเขา แต่ข้าคิดว่าพวกเขาคงหมดหวังแล้ว ตอนนี้ทั้งเขตพื้นที่ภาฟิวด์ รวมกลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ มีเพียง 4 กลุ่มเท่านั้นที่ไม่ได้รับความเสียหาย”


 


ประธานชราขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาจริงจังอย่างมาก ขณะที่บอกข่าวร้าย


 


“ตามรายงานใหม่ ครั้งนี้….เป็นหายนะครั้งใหญ่หลวง ตั้งแต่ที่สมาคมทหารรับจ้างในเมืองดีพสโตนได้ก่อตั้งขึ้น จนถึงตอนนี้ ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน! มันช่าง…เฮ้อ…!!”


 


เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของชายชราเริ่มดำมืด เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเลวร้ายมากสำหรับเขา


 


“แล้วพวกมันได้รับประโยชน์อะไรจากการพยายามทำลายพวกเรา?”


 


เซเร็คลูบเคราและพึมพำออกมา


 


โรดส์ไม่ได้ตอบคำถามนี้ เขารู้เหตุผลที่เมืองดีพสโตนต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของประเทศแห่งความมืด แต่ตอนนี้เขาไม่มีเหตุผลต้องพูดเรื่องนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เซเร็คและประธานชราจะเชื่อเขา เขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ผู้คนมากมายนั้นคิดว่าพวกเขาสามารถหยุดศัตรูได้ ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถหาสาเหตุพบ….อีกด้านหนึ่ง โรดส์รู้ว่าการหยุดยั้งศัตรูและหาสาเหตุไปด้วยไม่ใช่เรื่องที่สายเกินไป….เหมือนกับเรื่องราวในนิยายมากมาย ซึ่งนักโทษจะไม่สามารถถูกจับได้ ถ้าไม่สามารถหาสาเหตุจากสิ่งที่เขาทำได้ แน่นอนว่าโรดส์ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้


 


“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มทหารรับจ้างทั้ง 21 กลุ่มนั่น?”


 


โรดส์ถามเงียบๆ


 


“ครึ่งหนึ่งของพวกเขาก่อตั้งกลุ่มใหม่ บางส่วนไม่ยอมแพ้และวางแผนจะรับคนเพิ่ม ไม่ว่ายังไง จะเกิดตำแหน่งว่างใน 32 กลุ่มทหารรับจ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”


 


“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตำแหน่งว่างพวกนั้น?”


 


“ตามกฎแล้ว พวกเราจะพบชื่อของกลุ่มทหารรับจ้างบางกลุ่มที่เหลืออยู่ใส่ลงไปในตำแหน่งว่างพวกนั้น และกลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆเองก็จะลำบากมากขึ้น บอกตรงๆ…”


 


เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ขัดจังหวะประธานชรา ใบหน้าของเขาดำคล้ำกว่าเดิม แต่มันยังต้องรักษาอารมณ์และพูดขึ้น


 


“เข้ามา”


 


ชายหนุ่มอายุราว 27 ปีเดินเข้ามาด้านใน


 


เขาสวมชุดเกราะสีแดงที่ปลดปล่อยแสงเวทมนตร์อ่อนๆออกมา มันเป็นหลักฐานว่าชุดเกราะชิ้นนี้ราคาสูงมาก ดาบสีเขียวและมีดสั้นสีดำที่แขวนอยู่ที่ข้างเอวของเขา ใบหน้าที่หล่อเหลาแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาหรี่ตาลงและมองออกมาอย่างสงบนิ่ง


 


ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปหาทั้งสามในห้อง เขาประหลาดใจเล็กน้อบ แต่ยังคงยิ้มออกมาและเดินตรงไปยังประธานชรา ก่อนจะโค้งเคารพและส่งม้วนกระดาษในมือของเขาไปให้


 


“เรียนท่านประธาน ผมเป็นตัวแทนของกลุ่มทหารรับจ้าง ‘เจดเทียร์’ ผมมายื่นเรื่องตั้งกลุ่มครับ และนี่คือแบบร่างของพวกเรา”


 


“โอ้?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ประธานชรารับม้วนกระดาษมาจากมือของเขาและมองไปที่มัน เขาพยักหน้า ก่อนที่จะหยิบปากกาด้านข้างออกมาเซ็นชื่อของเขาลงไป


 


“ได้ ไม่มีปัญหา สมาคมทหารรับจ้างได้รับรู้ว่า ‘เจด เทียร์’ ได้ทำการตั้งกลุ่มใหม่อีกรอบอย่างเป็นทางการ นับแต่นี้ไป เจ้าสามารถแสดงตัวในฐานะกลุ่มทหารรับจ้างได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตามกฎและไม่ทำสิ่งที่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเรานะ”


 


“ได้โปรดมั่นใจครับ ท่านประธาน พวกเราจะทำหน้าที่ของพวกเราให้ดีที่สุด”


 


เมื่อพูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มโค้งคำนับ จากนั้นเขามองไปยังเซเร็คด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“เป็นเกียรติของผมมากที่ได้พบคุณเซเร็ค ผมไม่คิดว่าผมจะได้พบคุณที่นี่ ถ้าคุณมีเวลา รบกวนคุณมาที่กลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ของพวกเราหน่อยนะครับ ตอนนี้กลุ่มของพวกเราตกต่ำมาก ถ้าคุณไปปรากฎตัวที่นั่น ผมคิดว่าจิตวิญญาณของพวกเขาจะตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งแน่ๆครับ”


 


“ข้าจะพิจารณาคำเชิญของเจ้า”


 


เมื่อพูดจบ เซเร็คพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรต่อ ชายหนุ่มดูเหมือนไม่ตอบอะไร เขามองไปรอบๆและไปหยุดที่โรดส์ เมื่อคิดได้ เขายื่นมือออกไปที่เด็กหนุ่มอย่างอบอุ่น


 


“คุณคงเป็นคุณโรดส์สินะครับ หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างในข่างลือที่ถูกส่งไปที่สันเขาแห่งความตายไปทำปฏิบัติการช่วยเหลือ ยินดีที่ได้พบคุณอย่างมากครับ ชื่อของผมคือ….”


 


“คุณแฟรงค์ เชลิส”


 


โรดส์ยืนขึ้นและจับมือของเขา แต่เขานั้นไร้อารมณ์มาก ขัดกับใบหน้าของคนตรงข้ามที่ดูอบอุ่นมาก


 


“แปลกใจเหมือนกันนะครับที่ได้พบทายาทคนที่ 3 ของตระกูลทรงเกียรติอย่างเชลิสที่นี่ ไม่ใช่ว่าคุณควรอยู่ที่เมืองบาร์ซเหรอ คุณมาทำอะไรที่เมืองดีพสโตนเหรอครับ? ผมจำได้ว่าตระกูลของคุณมีชื่อเสียงเรื่องการทำธุรกิจมาก แล้วพวกเขาสนใจในตัวทหารรับจ้างตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”


 


เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที


99 – เจ้าของหัวใจ


 


แฟรงค์สาบานได้ว่าเขาไม่เคยเจอชายคนนี้มาก่อน เนื่องจากลักษณะภายนอกของโรดส์นั้นโดดเด่นมาก มันเป็นไปไม่ได้ที่คนจะลืมถ้าได้พบเจอเขาสักครั้ง แต่โรดส์กลับรู้ตัวตนของเขา นี่ทำให้ร่างกายของเขาสั่นไหวอย่างมาก


 


เขารู้ตัวตนของฉันได้ยังไงกัน?


 


ในตระกูลเชลิส ฉันเป็นคนที่ไม่มีสถานะใดๆเลยนะ


 


แม้แต่ขุนนางในเมืองบาร์ซ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักชื่อของเขา


 


ดังนั้นเด็กหนุ่มคนนี้รู้ได้อย่างไร?


 


แม้ว่าเขาจะตกใจลึกๆ แต่แฟรงค์ยังคงยิ้มออกมาได้และตอบกลับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


“ผมไม่คิดเลยนะครับว่าคุณโรดส์จะรู้จักคนไม่มีตัวตนแบบผมด้วย ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ”


 


“ไม่ต้องประหลาดใจหรอกครับ บาร์ซอยู่ไม่ไกลจากบ้านเกิดของผม ผมเคยเห็นคุณ 2-3 ครั้ง แต่ดูเหมือนว่าคุณแฟรงค์จะลืมนะครับ ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ พวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่….”


 


สีหน้าของโรดส์ยังคงเย็นชาราวกับปกติ แต่ดวงตาของเขาเปล่งประกายเย้ยหยัน


 


“ขุนนางตำแหน่งเล็กๆเหรอครับ?”


 


“แน่นอนสิครับ คุณโรดส์”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของโรดส์ แฟรงค์เริ่มระแวงขึ้นมา เขาสงสัยในตัวโรดส์อย่างมาก เขารู้เพียงโรดส์มาจากที่ราบตะวันออก แม้ว่าสถานที่แห่งนั้นจะอยู่ไม่ไกลจากตระกูลเชลิสในเมืองบาร์ซ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เปลี่ยวมาก แม้แต่อาณาจักรมันน์ก็ไม่คุ้นเคยกับที่นั่น เมืองบาร์ซ แม้ว่าเหล่าชนชั้นสูงจากทั้งสองฝ่ายจะติดต่อกันบ้าง แต่ก็เพียงไม่กี่ครั้ง จริงๆแล้วเขาเคยเห็นขุนนางจากที่ราบตะวันออกมาบ้าง แต่…ไม่มีคนลักษณะนี้?


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้แฟรงค์ไม่เพียงแต่สับสน แต่เขายังกระวนกระวายเล็กน้อย เขาเป็นเพียงหมากตัวเล็กๆเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างตกใจ อีกทั้งโรดส์ยังไม่ลังเลที่จะเปิดเผยตัวตนของเขาแม้แต่น้อย นั่นทำให้แฟรงค์ค่อนข้าวหวาดระแวง เขารู้สึกได้ถึงความกังขาจากประธานชราและเซเร็ค แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางหนีได้อีกต่อไป


 


ดังนั้นเขาจึงต้องรักษารอยยิ้มที่ขมขื่นและตอบกลับ


 


“ผมเองก็ไม่ได้อยากเป็นหรอกครับ จริงๆแล้ว ท่านพ่อของผมบอกให้ผมออกเดินทางเพื่อหาความรู้ แบะผมได้เรียนกระบวนท่าดาบมาตั้งแต่เด็กเพราะว่าผมมีพรสวรรค์เล็กๆน้อยๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างเพื่อสะสมประสบการณ์ครับ แต่ผมไม่คิดเลยว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นเร็วๆนี้….เพื่อรักษากลุ่มทหารรับจ้างไว้ ผมจึงจำเป็นต้องทำครับ”


 


“ทายาทขุนนางที่อยากมาเป็นทหารรับจ้างรึ?”


 


โรดส์มองไปที่เขาด้วยความอยากรู้


 


“คุณท่านเชลิสคงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้หรอก ใช่ไหมครับ? แล้ว…”


 


“ผมเองก็ไม่ได้ขออนุญาตท่านพ่อ ผมรู้ว่าทหารรับจ้างไม่ได้สิ่งที่น่าประทับใจสำหรับเหล่าชนชั้นสูง แต่การที่ได้รู้จักกับคนอื่นๆในหลายวันมานี้ ผมรู้สึกว่าการเป็นทหารรับจ้างก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนข่าวลือหรอกนะครับ ผมมีเพื่อนพ้องและเพื่อช่วยพวกเขา แม้ว่าจะขัดคำสั่งของท่านพ่อ ผมก็จะทำ”


 


“นี่เป็นเหตุผลสินะ”


 


โรดส์พยักหน้าและปล่อยมือของแฟรงค์


 


“ผมหวังว่าคุณจะทำสำเร็จนะ”


 


“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับ คุณโรดส์ ผมเองก็หวังว่ากลุ่มของคุณจำทำสำเร็จเช่นกันครับ”


 


แฟรงค์พยักหน้าไปทางโรดส์ จากนั้นเขาหันออกไป


 


“เจ้ารู้จักเขาด้วยรึ?”


 


หลังจากประตูปิดลง ประธานชราขมวดคิ้วและมองไปยังโรดส์ด้วยความสังสัย


 


“ผมเคยเห็นเขาไกลๆน่ะ แต่เขาไม่รู้จักผมหรอก”


 


โรดส์ตอบกลับไปราวกับว่าเขาไม่สนใจ จากนั้นเขาถามขึ้น


 


“แต่ผมไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะมาเป็นทหารรับจ้างที่นี่นะ”


 


“เขาอยู่ที่นี่มา 1 ปีแล้วน่ะ”


 


ประธานชรากล่าว


 


“ตอนนั้นที่ข้าก็เห็นเขาเป็นขุนนาง ตอนแรกข้าก็ไม่อยากยอมรับเขา แต่ด้วยทักษะการพูดที่ไหลลื่นและความแข็งแกร่งของเขาเองก็ไม่เลว นั่นเป็นเหตุผลที่ในการประเมินทหารรับจ้าง ข้าแนะนำให้เขาไปอยู่กับ ‘เจดเทียร์’ ข้าได้ยินข่าวดีมาจากเขา ในการต่อสู้กับพวกอันเดด ทั้งหัวหน้ากลุ่มเจดเทียร์และรองหัวหน้าต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เขาต้องจัดการทั้งกลุ่ม ดูๆไปแล้ว เขาทำได้ค่อนข้างดีเลยล่ะ”


 


หนึ่งปีที่แล้วรึ?


 


งั้นพวกเขาก็วางแผนนี้มานานแล้วสิ…


 


ฮืมม ประเทศแห่งแสงกำลังเล่นใหญ่เลย


 


หลังจากที่ได้ยินคำแนะนำของประธานชรา โรดส์ขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ได้พูดต่อ เห็นได้ชัดว่าประธานชราใช้เวลามากมายจัดการสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในสมาคม เขาเป็นหัวหน้าที่ยุ่งวุ่นวายมาก


 


“เอาล่ะ พอแล้ว ไอ้หนุ่ม เจ้ามีธุระอะไรกับข้าอีกไหม? ถ้าไม่มีก็ออกไปได้แล้ว ข้าเหนื่อยมาและอยากพัก”


 


“เดี๋ยวก่อน คุณประธาน เรื่องรางวัลภารกิจนี้….ตามที่ตกลงกันไว้ ตราบเท่าที่ผมพาทุกคนกลับมาได้อย่างปลอดภัย คุณจะมอบรางวัลให้ผมสองเท่า ตอนนี้ผมนำทุกคนกลับมาได้อย่างปลอดภัย และมีผู้ติดตามของผมบาดเจ็บ คุณควรแสดงความจริงใจหน่อยนะ ใช่ไหมครับ?”


 


“เจ้า…เจ้านี่มัน…เฮ้อ….”


 


“อย่าางที่เจ้าเห็น ตอนนี้พวกเรามีปัญหาใหญ่มากในสมาคม เจ้ารออีกหน่อยไม่ได้รึ? เจ้าจะรีบเอาเงินไปซื้อโลงรึไง?”


 


“เรื่องนี้ส่วนเรื่องนี้ นั่นมันอีกเรื่อง แน่นอนผมรู้สถานการณ์ในสมาคมดี แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่คุณจะปฏิเสธการมอบรางวัลให้ผม ตามข้อตกลง มอบรางวัลให้ผมด้วยครับ”


“ไอ้โลภมากเอ้ย!!!!”


 


ในขณะนั้น เสียงคำรามด้วยความโกรธดังกึ่งก้องไปทั่วเมืองดีพสโตน


 


แอนลืมตาขึ้นมา


 


เธอจ้องมองไปยังเพดานสีขาวด้วยความว่างเปล่า และหันไปมองหน้าต่าง มันเป็นช่วงเวลาเย็นแล้ว เกือบเริ่มเข้ากลางคืน เปลวไฟจากเทียนถูกจุดไว้ในห้อง สร้างความรู้สึกอบอุ่นและสงบสุข


 


“ฉัน….”


 


แอนตื่นขึ้นมาและส่ายศีรษะ เตียงนุ่มๆ ห้องที่ตกแต่งสวยงาม กลิ่นไม้และดอกไม้ในอากาศ นี่ทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ขึ้นมา


 


“ใช่แล้ว….ฉันกำลังต่อสู้กับอัศวินแห่งความตายและจากนั้นฉัน….”


 


เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของเธอเริ่มซีดลง ราวกับเธอเพิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นมาได้ เธออดไม่ได้ที่จะสั่นออกมาด้วยความกลัว


 


ฉั-ฉัน….ฉันแปลงร่าง…?


 


…ต่อหน้าหัวหน้า?


 


…ต่อหน้าพวกพี่สาว?


 


ฉัน..ฉันทำมันจริงๆรึ?


 


ก็อก ก็อก ก็อก


 


เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้แอนตกใจ เธอกรีดร้องออกมาด้วยความกังวล


 


“นั่นใคร?!”


 


“นี่ฉันเอง ไลซ์ เธอตื่นแล้วเหรอ? แอน?”


 


หลังจากที่เธอพูดจบ ไลซ์ยกซุปร้อนๆและเดินเข้ามาในห้อง มองไปที่ใบหน้าของแอน เธอโล่งใจอย่างมาก


 


“ดีเลย! เธอตื่นแล้ว! เธอรู้สึกอย่างไรบ้าง? เธอหมดสติไปเกือบ 2 วันแหนะและคงหิวมากสินะ ซุปนี่ ลุงวอร์คเกอร์เป็นคนทำเลยนะ ฉันคิดว่าเธอต้องชอบมันแน่ๆ”


 


เมื่อพูดจบ ไลซ์วางถ้วยไปบนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าแอนไม่ได้มีชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อน ตรงกันข้าม เธอกอดผ้าห่มแน่นเพื่อซ่อนใบหน้าและร่างกายของเธอ เผยให้เห็นเพียงสายตาที่ว่างเปล่า


 


“พี่-พี่สาว…คุณไม่กลัวฉันหรอ?”


 


“เอ๊ะ?”


 


เมื่อได้ยินคำถามชองแอน ไลซ์หันกลับมามองแอนด้วยความสงสัย


 


“ฉัน ฉันแปลงร่าง ใช่ไหม?”


 


แต่แอนเมินสายตาของไลซ์ไปอย่างสมบูรณ์ เธอมองและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอายๆ


 


“ฉันแปลงร่างใช่ไหม? พี่สาว? ทุกคนกลัวฉันกันหมดแล้ว…!…!”


 


“ลูกครึ่งสัตว์น่ะเหรอ?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ร่างของแอนสั่นทึม มือของเธอจิกผ้าห่มแน่นและก้มหน้าลงไป เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่ไลซ์ ตอนนี้เธอกระวนกระวายเพราะเธอไม่รู้ว่าเธอควรทำอย่างไร มันเป็นความผิดของเธอ เธอควรเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้ตั้งแต่แรก แต่เธอไม่กล้าพอเพราะหัวหน้าคนเก่าบอกให้เธอเก็บเรื่องตัวตนของตัวเองไว้เป็นความลับ ปฏิกิริยาของผู้คนในกลุ่มทหารรับจ้างเก่าของเธอหลังจากที่เห็นเธอกลายนั้นยังคงอยู่ในหัวของเธอตลอดเวลา ทุกคนแสดงสีหน้าหวาดกลัวและเกลียดชังเธอ ตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง พี่สาวไลซ์และหัวหน้าจะรู้สึกอย่างไร?


 


พวกเขาคงไม่ต้องการฉันอีกต่อไปแล้วใช่ไหม? พวกเขาจะไล่ฉันออกไปไหม?


 


เมื่อความคิดของแอนเตลิดออกไป ทันใดนั้น มือหนึ่งเข้ามาลูบไปที่หัวของเธอ ลูบผมของเธอด้วยความแผ่วเบา


 


“ไอ้เด็กโง่”


 


ไลซ์ลูบหัวของเธอเบาๆ เธอยิ้มออกมาขณะที่มองไปยังเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังสั่นกลัวตรงหน้าเธอ เมื่อเผชิญหน้ากับอัศวินแห่งความตาย เธอไม่แม้แต่จะสั่นไหว แต่ดูเธอตอนนี้สิ มันเหมือนกับคนละคน


 


“บอกตรงๆ ทุกคนเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ได้กลัว มาร์ลีน โรดส์และฉัน พวกเราทั้งหมดไม่ได้กลัว อย่าไปคิดกับเรื่องไร้สาระมาก เธอช่วยชีวิตพวกเราจากศัตรูไว้ตั้งเยอะ พวกเราสิต้องขอบคุณเธอ ทำไมถึงคิดว่าคนอื่นจะกลัวคุณล่ะ?”


 


“พี่สาวไลซ์….”


 


แอนเงยหน้าขึ้นและมองไปยังไลซ์ ดวงตาสุกสกาวสีเขียวใสเปล่งประกายออกมาราวกับว่ามันสามารถมองทะลุไปยังจิตใจของคนๆนั้นได้ ไลซ์ไม่ได้หลบสายตาเธอและมองเธออย่างอบอุ่น หลังจากนั้น แอนเริ่มเผยใบหน้าและรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาออกมา จากนั้นเธอกระโจนตัวเองเข้าสู่อ้อมอกของไลซ์ในทันที


 


“ฉันชอบพวกพี่ที่สุดเลย!!”


 


“แอ-แอน?”


 


เมื่อเห็นแอนกอดเธอ ไลซ์อดยิ้มออกมาไม่ได้ ถ้าแอนมีหางในตอนนี้ หางของเธอคงแกว่งไปมาราวกับเธอเป็น….


 


“แต่แอน เธอต้องเตรียมตัวก่อนนะ”


 


“เอ๊ะ?”


 


แอนหยุดนิ่ง เมื่อเธอได้ยินไลซ์พูดด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างออกไป


 


“เธอฝ่าฝืนคำสั่งของโรดส์ นี่ทำให้เขาโกรธมาก ในระหว่างทางกลับเมือง เขายืนกรานว่าเขาต้องลงโทษเธอ นั่นเป็นเหตุผลที่เธอต้องเตรียมใจเอาไว้ เธอต้องรู้ไว้ก่อนว่าการลงโทษของโรดส์นั้นน่ากลัวมาก”


 


“นั่น…นั่น…”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของไลซ์ แอนเผยสีหน้าเก้อเขิน เมื่อเธอกำลังติดหาข้ออ้าง เสียงหนึ่งดังมาจากท้องของเธอ


 


“จ็อกกก….”


100 – วิธีใช้แต้มสกิล


 


ทุกคนดีใจมากเมื่อแอนตื่นขึ้นมา และโรดส์เองก็ไม่มีข้อยกเว้น


 


แต่ทว่าการที่พวกเขามีความสุขนั้นจะไม่ได้หมายความว่าแอนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเธอ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถสังหารอัศวินแห่งความตายได้สำเร็จ แต่แอนยังฝ่าฝืนคำสั่งของโรดส์ หลังจากครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน โรดส์ตัดสินใจลงโทษเธอโดยการขังเธอไว้ในห้องมืดเป็นเวลา 3 วัน


 


ในขณะเดียวกัน มันอาจจะดูป่าเถื่อนมากในการทำแบบนี้ แต่โรดส์ไม่ยอมให้การฝ่าฝืนคำสั่งเกิดเป็นนิสัยในกิลด์ แอนมองไปยังเขาด้วยสายตาลูกหมาที่หวังให้เขาเปลี่ยนใจ แต่โรดส์ไม่สนใจแม้แต่น้อย


 


ย้อนกลับไปในเกม เหล่าผู้เล่นที่ฝ่าฝืนคำสั่งเพื่อเหตุผลต่างๆมีมากมาย เพราะว่าถ้าพวกเขาล้มเหลวและตาย พวกเขายังคงได้เกิดใหม่และกลับมาอีกเป็นรอบที่สอง


 


แต่กับแอนนั้นแตกต่างออกไป


 


สำหรับ NPC เมื่อตายไปแล้วคือจบกัน ใช่แล้ว แม้ว่าเธอจะทำหน้าที่ของเธอและยังคงเกี้ยวกราด แต่ท้ายที่สุด เธอยังคงได้รับบาดเจ็บสาหัส ถ้าไม่ใช่เพราะเธอมีสายเลือดลูกครึ่งสัตว์ บางทีเธออาจจะตายไปแล้ว โรดส์เข้มงวดมากกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น


 


ดังนั้นถ้าทุกสิ่งดำเนินไปอย่างลงตัวล่ะ? ถ้าทุกคนทำหน้าที่ต่างๆตามใจตัวเอง แล้วจะมีหัวหน้าไว้เพื่ออะไร?


 


ทั้งไลซ์และชายชราวอร์คเกอร์พยยายามขอความเห็นใจให้กับแอน แม้แต่มาร์ลีนก็หวังให้โรดส์คิดใหม่อีกครั้ง ท้ายที่สุด โรดส์ก็ยังคงยืนยันคำเดิม


 


โชคดีที่โรดส์ลดหย่อนให้เธอได้เล็กน้อย แม้ว่าเขาจะห้ามแอนออกไปข้างนอก แต่คนอื่นๆยังเข้าไปเยี่ยมเธอได้ ดังนั้นเธอจะไม่เหงาเกินไป โดยเฉพาะกับคนที่มีนิสัยแบบแอน เธอไม่สามารถนั่งจ้องมองท้องฟ้าและผืนหญ้าได้ทั้งวัน นั่นถือเป็นบทลงโทษที่ร้ายแรงมาก


 


หลังจากที่กลับมาจากสันเขาแห่งความเงียบ สตาร์ไลท์ได้เข้าสู่สถานะพักผ่อนชั่วคราว กลุ่มทหารรับจ้างอื่นเองก็เช่นกัน พวกเขาต่างได้รับบาดเจ็บสาหัสและจำเป็นต้องฟื้นฟูกำลังคน ก่อนที่พวกเขาจะรับภารกิจใหม่อีกครั้ง


 


แต่ข่าวที่น่าสนใจที่สุดในตอนนี้คือการก้าวกระโดดของสตาร์ไลท์ที่ขึ้นไปถึงอันดับที่ 3 ในการจัดอันดับ หลังจากที่จบภารกิจที่สันเขาแห่งความตาย สตาร์ไลท์มีคะแนนรวมทั้งหมด 9 แต้ม ทำให้พวกเขาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเป็นรองเพียง เบิร์นนิ่งเบลดและดาร์คแฟงก์ ซึ่งไม่ได้รับความเสียหายจากภารกิจก่อนหน้านี้


 


กลุ่มทหารรับจ้าง 2 อันดับแรก เบิร์นนิ่งเบลดและดาร์คแฟงก์ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเหล่าทหารรับจ้างในเขตภาฟิวด์ ทั้งคู่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะกลุ่มทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งและเทียบชั้นได้กับพวกกิลด์


 


ไม่มีใครคิดว่านอกเหนือจากสัตว์ประหลาดทั้งสองตัวนี้ จะมีคนที่สามารถกำชัยชนะกลับมาจากภารกิจที่ยากแสนยากจากสันเขาแห่งคววามเงียบได้ ยิ่งไปกว่านั้น ภารกิจเสร็จสิ้นด้วยคนเพียง 5 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น่าหัวเราะมากๆในภารกิจยากๆแบบนี้


 


ถ้าสตาร์ไลท์กระโดดขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ได้จากภารกิจนี้ภารกิจเดียว ก็อาจจะไม่มีใครตกใจมากนัก แต่เพราะสตาร์ไลท์ได้เข้าไปทำภารกิจช่วยเหลือและนั่นอาจจะไม่ได้พิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงมากนัก แต่ถ้าคนสักคนไปหาดูประวัติความสำเร็จของพวกเขา คนๆนั้นจะรับรู้ว่าพวกเขาได้สร้างปาฏิหาริย์ไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า


 


เก็บกวาดสุสานพาเวล – 3 แต้ม


 


ภารกิจมือใหม่ เก็บพืชเวทมนตร์ – 1 แต้ม


 


ภารกิจช่วยชีวิตในสันเขาแห่งความเงียบ – 5 แต้ม


 


ทั้งสามภารกิจนี้ สองในสามเกี่ยวข้องกับอันเดดและเป็นภารกิจที่มีความเสี่ยงสูงมาก อย่างไรก็ตามสตาร์ไลท์สามารถจัดการพวกมันทั้งสองได้โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว


 


กลุ่มทหารรับจ้างมากมายรับภารกิจที่อันตรายน้อยกว่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับสตาร์ไลท์ พวกเขาก็ยังเสียหายหนักอยู่ดี ลำพังทำภารกิจให้สำเร็จโดยมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว


 


ข่าวลือของสตาร์ไลท์กระจายราวกับไฟลามทุ่ง มันมีการพูดคุยกับแม้กระทั่งใน 2 กลุ่มทหารรับจ้างอันดับต้นๆ แต่มันก็ไม่แปลก เบิร์นนิ่งเบลดและดาร์คแฟงก์มีประวัติมาอย่างยาวนาน พวกเขาจบภารกิจไปมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถยังคงอยู่ในอันดับของพวกเขาได้ ถ้าพวกเขาสนใจทำภารกิจ บางทีผลลัพธ์ที่ได้เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา


 


อีกด้านหนึ่ง แม้ว่าสตาร์ไลท์จะมีสมาชิกเพียงไม่กี่คน แต่พวกเขายังคงได้รับคำเชิญให้ไปจัดการภารกิจช่วยชีวิต ดังนั้นในสายตาของคนมากมาย พวกเขารู้สึกกว่าสตาร์ไลท์แข็งแกร่งกว่ากลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่ทั้งสองกลุ่มมาก


 


แต่โรดส์ไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ หลังจากที่จัดการกับแอน เขาเก็บตัวเองอยู่แต่ในห้องและเริ่มวาดบางสิ่งบนกระดาษ ปัจจุบัน เขาวุ่นอยู่กับภารกิจสำคัญมาก นั่นคือการวางแผนใช้แต้มสกิลนั่นเอง


 


แต้มสกิลเป็นแกนกลางที่สำคัญมากสำหรับผู้เล่น สำคัญว่า EXP และอุปกรณ์ต่างๆ นั่นเป็นเพราะแต้มสกิลไม่เพียงแต่สามารถปลดล็อคและอัพเกรดต้นไม้พรสวรรค์ได้ แต่มันยังสามารถเพิ่มความชำนาญของสกิลต่างๆมากขึ้น


 


แต่ละคลาสมี 3 ต้นไม้พรสวรรค์และในแต่ละรากต้องใช้แต้มสกิลอย่างน้อย 37-39 แต้มเพื่อทำให้ทั้งหมดเต็มและไม่มีอะไรให้เหลือให้อัพเกรด แต้มสกิลที่เหลือจึงจะนำไปใช้ในการอัพเกรดความสามารภของสกิล


 


มี 3 ทางที่ใช้ในการเพิ่มความชำนาญของสกิล วิธีทั่วไปที่สุดคือการใช้สกิลบ่อยๆ หลังจากที่ใช้มันครบ 100 ครั้งหรือ 1,000 ครั้ง ความชำนาญของมันจะเพิ่มมากขึ้น


 


อีกทางหนึ่งคือการหาหนังสือสกิลที่เกี่ยวข้องกับสกิลและอ่านมัน


 


วิธีสุดท้ายคือการใช้แต้มสกิลเพื่อเพิ่มความชำนาญของมันโดยตรง


 


ผู้เล่นพบว่าวิธีแรกนั้นเสียเวลาเป็นอย่างมาก วิธีที่สองเองก็กินเวลาเช่นกัน เพราะตัวหนังสือสกิลเป็นสิ่งที่ดรอปยากมาก ยิ่งเป็นหนังสือสกิลระดับสูงนั้นเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าพอๆกับอุปกรณ์ระดับโบราณ ดังนั้นผู้เล่นมากมายจึงคิดว่าวิธีที่สามเป็นวิธีที่สะดวกสบายกว่ามาก หลังจากเลื่อนระดับ พวกเขาจะได้รับแต้มสกิล ซึ่งพวกเขาสามารถใช้มันได้ตามต้องการ


 


แล้วผู้เล่นจะสามารถเพิ่มความชำนาญของสกิลไปพร้อมกับความสามารถของตัวเองได้อย่างไรล่ะ? มันเป็นไปได้ ดูอย่างเซเร็ค ตอนนี้ชำนาญของเขาอยู่ในระดับ A ถ้าผู้เล่นยินดีใช้เวลาหลายปีในการฝึกฝนสกิลเดียว มันไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสกิลนั้นๆโดยไม่จำเป็นต้องใช้แต้มสกิล แต่มีผู้เล่นคนไหนบนโลกที่จะอดทนใช้เวลาหลายต่อหลายปีในการฝึกฝนสกิลเดียวกัน?


 


เกือบทุกสกิลต้องจำนวนแต้มสกิลมหาศาลเพื่อทำให้พวกมันตัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าโรดส์ต้องการทำให้กระบวนท่าดาบเงาจันทร์ไปถึงระดับ M (ระดับสูงสุด) เขาจำเป็นต้องใช้อย่างน้อย 25 แต้มสกิลในการทำเช่นนั้น ดังนั้นการอัพเกรด 1 สกิลให้ไปถึงระดับสูงสุดนั้นสามารถทำให้ผู้เล่นอัพเกรดต้นไม้พรสวรรค์ได้เกือบทั้งหมด


 


ระบบนี้จึงค่อนข้างส่งผลรุนแรงต่อนักดาบอัญเชิญ ซึ่งสกิลของพวกเขามีระดับต่ำกว่าสกิลของพวกคลาสเดี่ยวๆ นั่นหมายความว่านักดาบอัญเชิญต้องใช้แต้มสกิลเพิ่มอีก 1 แต้มในทุกสกิล มันเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยคุ้มค่า


 


ใน Dragon Soul Continent หลังจากที่ผู้เล่นไปถึงระดับสูงสุด เกมจะมอบรางวัลให้พวกเขาเป็นแต้มสกิลจำนวน 100 แต้ม อีกทั้งยังมีภารกิจพิเศษ อุปกรณ์ต่างๆมากมาย จำนวนแต้มสกิลทั้งหมดที่ผู้เล่นทั่วไปจะได้รับอยู่ราวๆ 200-300 แต้ม อย่างไรก็ตาม โรดส์มีราวๆ 500 แต้ม นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาอยู่ในจุดสูงสุด ด้วยแต้มสกิลที่เขามีมากกว่า เขาสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งและแสดงความชำนาญออกมาได้มากกว่าผู้เล่นคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนี้ กฎนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


 


เมื่อโรดส์สามารถเอาชนะอัศวินแห่งความตายได้ ระดับของเขาเลื่อนขึ้นไปที่ 16 เพราะอัศวินแห่งความตายเป็นบอสที่มีระดับสูงกว่าเขามากและเขาได้รับแต้มสกิล 7 แต้ม


 


โรดส์ใช้ 5 แต้มสกิลไปกับเสียงสะท้อนของวิญญาณและการหลอมรวมวิญญาณในพรสวรรค์ต้นไม้ของเขา จากนั้นเขาตั้งใจจะยกระดับกระบวนท่าดาบเงาจันทร์และกระบวนท่าดาบดาวตกซึ่งเป็น Rank C และ E ตามลำดับ  สำหรับแต้มสกิลที่เหลือ 5 แต้มนั้น เขาได้เก็บไว้ในภายหลัง


 


ถ้าทั้งหมดเป็นไปตามแผน ก่อนที่เขาจะไปถึงระดับ 100 เขาจะมีแต้มสกิลทั้งหมด 190 แต้ม


 


แต่นั่นเป็นหนทางอีกยาวไหลและสิ่งที่เขาต้องกังวลในตอนนี้คือปัญหาตรงหน้าเขา


 


โรดส์หยุดลากปากกาในมือของเขา


 


ถ้าผู้เล่นคนใดเห็นสิ่งที่เขาวาด ดวงตาของพวกเขาคงเบิกกว้าง บนกระดาษโรดส์ได้วาดแผนภาพความสัมพันธ์ของพรสวรรค์ต้นไม้ทั้งหมดของนักดาบอัญเชิญ จำนวนแต้มสกิลที่โรดส์ต้องใช้สำหรับกระบวนท่าดาบในปัจจุบัน พรสวรรค์ของเขาและสกิลของเขา โดยปราศจากคอมพิวเตอร์ เขาอ้างอิงจากความทรงจำของเขาและโรดส์จัดวางข้อมูลออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาสมกับที่ได้ชื่อว่าหอสมุดเดินได้จริงๆ


 


ฉันควรเพิ่มอะไรดี?


 


เขากำลังจดจ่ออยู่กับการวิเคราะห์ข้อมูลตรงหน้า


 


ถ้าเป็นผู้เล่นคนอื่นที่ได้รับรางวัลมากมายขนาดนี้ สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำคือการอัพเกรดพรสวรรค์ทั้งหมด ตอนแรกโรดส์อยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อเขาครุ่นคิดช้าๆว่า….เขาต้องการทำแบบนั้นจริงๆเหรอ?


 


เขาต้องเข้าใจก่อนว่านี่ไม่ใช่เกม ถ้าย้อนกลับไปในเกม Dragon Soul Continent โรดส์อาจจะมีแนวคิดแบบเดียวกับผู้เล่นเพราะเขาจะเอาตัวเองไปลง PvP แต่ทว่าตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว ผู้คนที่นี่ไม่รู้ว่าแต้มสกิลและความชำนาญคืออะไร พวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งคลาสนักดาบอัญเชิญ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว โรดส์จึงไม่คิดจะวางแผนโดยการใช้แนวคิดแบบเดียวกับตอนยังเป็นผู้เล่น


 


ฮืมมม…ฉันควรเพิ่มรากหนึ่งให้เต็มไปเลยดีไหม? แต่มันจะเปลืองมากเกินไปเพราะตอนนี้แต้มไม่พอที่จะทำให้พวกมันตัน….


 


โรดส์ยังไม่คิดจะใช้แต้มไปในกระบวนท่าดาบเพราะเขายังไม่ได้ปลดล็อคกระบวนท่าดาบที่เขาอยากได้


 


เขาควรทำอย่างไรดี?


 


อันดับแรก เขาต้องคิดถึงสิ่งที่เขาอยากจะทำต่อไป โรดส์อยากจะเลื่อนระดับให้เร็วที่สุด เนื่องจากมีเวลาเหลือไม่มาก เขาจำเป็นต้องฟาร์ม EXP อย่างมีประสิทธิภาพ


 


ทันใดนั้น แววตาของเขาทอประกายแวบ เขานึกถึงบางสิ่งได้ในอดีตเมื่อนานมาแล้วในกระดานข่าว มีผู้เล่นคนหนึ่งถามเขาเกี่ยวกับการอัพพรสวรรค์ของคลาสนักดาบอัญเชิญ ในขณะที่ผู้เล่นคนอื่นๆถามเรื่องที่สร้างสรรค์กว่านั้นเช่นการเพิ่มแต้มสกิล แต่ในตอนนั้น ด้วยข้อจำกัด เขาไม่ได้ตอบไป โรดส์เองจึงไม่ได้แนะนำอะไรเขาไป แต่ตอนนี้ ในโลกใบนี้ วิธีนี้ของเขาเป็นไปได้….


 


“ถ้าเขารวมคุณภาพเข้ากับปริมาณ…”


 


โรดส์เอนตัวพิงกำแพงและหลับตาลง ระบบพรสวรรค์ปรากฎขึ้นตรงหน้าของเขาและเขามุ่งความสนใจไปที่พรสวรรค์และต่อมาคือ ‘นักดาบอัญเชิญ’ ซึ่งนั่นคือ ‘ผู้ส่งสารวิญญาณ’


 


ระดับแรกของผู้ส่งสารวิญญาณ


 


[เกราะวิญญาณ (เมื่อวิญญาณอัญเชิญถูกเรียกออกมา จะได้รับการป้องกันจากเกราะวิญญาณ เพิ่มค่าสถานะป้องกัน 10%,20%,30%)]


 


[สามเป็นหนึ่ง(เมื่อมีวิญญาณอัญเชิญ 1 ตัวหรือมากกว่า คุณสมบัติของวิญญาณเพิ่มขึ้น 5%,10%)]


 


[ผู้ติดตามเงา (อนุญาตให้ผู้อัญเชิญมีธาตุเดียวกับวิญญาณ เพิ่มค่าสถานะโจมตี 30%,60%,90%)]


 


เอาล่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว!!


 


โรดส์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เชสลืมตาขึ้นมาและมองไปที่หน้าต่างข้อมูลอีกครั้ง จากนั้นเขาสงบจิตใจลงและยื่นมือออกมาเปิดไปที่พรสวรรค์ต้นไม้ที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา ไม่นาน ระบบแจ้งเตือนดังขึ้น


 


[ใช้ 1 แต้มสกิลเพื่อปลดล็อคพรสวรรค์ที่ถูกเลือก —- ผู้ส่งสารวิญญาณ]


 


โรดส์รู้สึกว่าร่างกายของเขาสั่นไหวเล็กน้อย หลังจากนั้นความอบอุ่นแพร่กระจายไปทั่วร่างของเขา


 


[ปลดล็อคระดับแรกของพรสวรรค์ผู้ส่งสารวิญญาณ: เกราะวิญญาณ (เมื่อวิญญาณอัญเชิญถูกเรียกออกมา จะได้รับการป้องกันจากเกราะวิญญาณ เพิ่มค่าสถานะป้องกัน 10%)]


 


[ได้รับสกิล: เกราะวิญญาณ Lv.1]


 


[ใช้ 1 แต้มสกิลเพื่อเลื่อนระดับเกราะวิญญาณ Lv.2 (เมื่อวิญญาณอัญเชิญถูกเรียกออกมา จะได้รับการป้องกันจากเกราะวิญญาณ เพิ่มค่าสถานะป้องกัน 20%)]


 


[ใช้ 1 แต้มสกิลเพื่อเลื่อนระดับเกราะวิญญาณ Lv.3 (เมื่อวิญญาณอัญเชิญถูกเรียกออกมา จะได้รับการป้องกันจากเกราะวิญญาณ เพิ่มค่าสถานะป้องกัน 30%)]


 


ดีล่ะ!


 


โรดส์บีบกำปั้นขึ้นมาอย่างดีใจ แต่เขายังไม่หยุด


 


[ปลดล็อคระดับแรกของพรสวรรค์ของผู้ส่งสารวิญญาณ: ผู้ติดตามเงา Lv.1 (อนุญาตให้ผู้อัญเชิญมีธาตุเดียวกับวิญญาณ เพิ่มค่าสถานะโจมตี 30%,60%,90%)]


 


[ได้รับสกิล: ผู้ติดตามเงา Lv.1]


 


[ใช้ 1 แต้มสกิลเพื่อเลื่อนระดับผู้ติดตามเงา Lv.2 (อนุญาตให้ผู้อัญเชิญมีธาตุเดียวกับวิญญาณ เพิ่มค่าสถานะโจมตี 60%)]


 


[ใช้ 1 แต้มสกิลเพื่อเลื่อนระดับผู้ติดตามเงา Lv.3 (อนุญาตให้ผู้อัญเชิญมีธาตุเดียวกับวิญญาณ เพิ่มค่าสถานะโจมตี 90%)]


 


โรดส์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อทำทุกอย่างเสร็จ เขายืนขึ้นและมองไปยังมือขวาของเขา เมื่อส่งความคิดไป การ์ดสีดำปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา


 


วืดดดดด!! การ์ดในมือของเขาถูกทำลายและกลายเป็นหมอกสีดำ มันหมุนรอบนิ้วมือของเขาและเข้าห่อหุ้มตัวโรดส์ในพริบตา จากนั้นเมื่อโรดส์ลืมตาขึ้นมา มีแสงสีแดงทอประกายอยู่ในแววตาของเขา


 


หอกความมืดที่อยู่ในมือขวาและมือซ้ายของเขา การ์ดสีดำที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนได้ปรากฎขึ้น ในเวลาเดียวกัน บาเรียสีฟ้าโปร่งใสปกคลุมร่างของโรดส์


[สกิลใช้งาน: เกราะวิญญาณ Lv.3]


 


[สกิลใช้งาน: ผู้ติดตามเงา Lv.3]


101 – เพิ่มความแข็งแกร่ง


 


“โอ้?”


 


โรดส์ยกคิ้วขึ้น


 


จากนั้นเขาเอนตัวลงไปที่เก้าอี้ กอดอกและนั่งรอวอร์คเกอร์เพื่อพูดคุย


 


“นี่เป็นเรื่องการสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับกลุุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ ข้าพบมาว่าพวกเขากำลังพยายามอย่างรวดเร็วและหัวหน้าคนใหม่พยายามรับสมัครสมาชิกมาจากกลุ่มทหารรับจ้างอื่น ข้าว่าข้อเสนอของพวกนั้นค่อนข้างน่าสนใจอย่างมาก และประกอบกับเร็วๆนี้ กลุ่มทหารรับจ้างมากมายเพิ่งถูกกวาดล้างมา กลุ่มพวกนั้นวางแผนจะสลายกลุ่มและไปเข้าร่วมกับเจดเทียร์”


 


“ความแข็งแกร่งของกลุ่มในปัจจุบันล่ะ?” โรดส์ถาม


 


ชายชราวอร์คเกอร์ขมวดคิ้วและครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ตอนนี้ กลุ่มเจดเทียร์มีสมาชิกราว 30 คน จากจำนวนเท่านี้ พวกเขาสามารถกลายเป็นกลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่ได้”


 


“เรื่องคลาสในกลุ่มเป็นยังไง?”


 


“เกือบจะคล้ายกับกลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆ พวกเขาเกือบทั้งหมดเป็นนักดาบทั่วไป โจร เรนเจอร์ เป็นคลาสที่พบได้ในกลุ่มทหารรับจ้างทั่วไป อ่า ใช่ และยังมีนักรบโล่ด้วย เนื่องจากมีสมาชิกจำนวนมากรอดมาได้จากภารกิจอันเดดก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งหมดจึงค่อนข้างน่าเกรงขาม บางทีถ้าพวกเขายังเติบโตด้วยความเร็วเท่านี้ ไม่นานพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก”


 


“ผมเห็นด้วย…แล้ว…อืมมมม…”


 


โรดส์เปลี่ยนท่านั่ง นิ้วของเขาดันไปที่คางและนั่งคิดเงียบๆ หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นอีกครั้ง


 


“แล้วอีกเรื่องที่ผมขอให้คุณทำล่ะ?”


 


“นั่น….มันค่อนข้างยากเลยนะ ไอ้หนุ่ม”


 


เมื่อโรดส์พูดถึงเรื่องนี้ ชายชราวอร์คเกอร์ขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาน่าเกลียดไปทันที


 


“เอาจริงๆ บางกลุ่มสนใจคำขอของเจ้านะ แต่พวกเขาบางส่วนก็ไม่สนใจในเวลาเดียวกัน คนที่ไม่สนใจเพราะพวกเขาอยากยืนด้วยสองเท้าของตัวเอง พวกเขาไม่เตะข้าออกไปจากประตูก็ปาฏิหาริย์มาแล้ว ข้าบอกเจ้าแล้ว ไอ้หนุ่ม เป็นเรื่องปกติที่คนพวกนั้นจะไม่สนใจคำขอของเจ้า เจ้ายังหากำลังคนได้ไม่พอ แล้วเจ้ายังคิดจะไปกลืนกินกลุ่มที่ใหญ่กว่าเจ้าเนี่ยนะ?”


 


“เฮ้อออ…และพวกคนที่อยากจะเข้าร่วมกับเจ้านั้น….ข้าเชื่อว่าพวกเขามีแรงจูงใจซ่อนเร้นอยู่ เป็นที่รู้กันดีว่ากลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์เสนอเงินจำนวนหนึ่งให้กับคนที่ยินดีเข้าร่วมกับพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเชื่อว่ากลุ่มทหารรับจ้างพวกนั้นเลือกที่จะเข้าร่วมกับเจดเทียร์เพราะถุงเงินของเขาหนากว่า”


 


แม้ว่าวอร์คเกอร์จะพยายามแนะนำโรดส์ แต่การตัดสินใจของเขานั้นไม่มีมูลความจริง


 


ใช่ เงินที่โรดส์เสนอไปไม่สามารถเทียบได้กับเจดเทียร์ แต่ในมุมอื่น สตาร์ไลท์มีแววไปได้ไกลกว่าเจดเทียร์ ไม่เพียงแต่พวกเขามีจอมเวทย์อัจฉริยะ พวกเขายังมีนักบวช ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของโรดส์ที่ไม่สามารถประเมินได้


 


ภารกิจล่าสุดที่สันเขาแห่งความเงียบได้เปิดเผยความแข็งแกร่งของโรดส์ออกมา ตอนแรกผู้คนคิดว่าโรดส์พึ่งพาเซเร็คในการจัดการภารกิจนี้ แต่หลังจากที่วิคตอเรียส ไวน์ยืนยันว่าโรดส์เป็นหัวหน้าปฏิบัติการนี้และเป็นหัวหอกในการเอาชนะอัศวินแห่งความตาย ทำให้ความสงสัยของพวกเขาลดน้อยลง


 


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวลือที่มาโรดส์มีทูตสวรรค์ในครอบครอง…


 


ชนชั้นสูงถือเป็นทูตสวรรค์แล้ว ผู้คนยังเคยเห็นเคยสัมผัสบ้างเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาไม่เคยเห็นชนชั้นสูงคนไหนอย่างทูตสวรรค์มาเป็นผู้ติดตามคนอื่น….


 


เมื่อคิดดังนี้ สตาร์ไลท์มีหัวหน้าที่แข็งแกร่งและมีสถานะเป็นชนชั้นสูง พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากที่มีจอมเวทย์และนักบวชคอยรักษาในเวลาที่จำเป็น คลาสเหล่านี้ทำให้ภารกิจทำได้ง่ายขึ้นกว่ากลุ่มที่มีแต่คลาสระยะประชิดที่ต้องคลำทางไปในดันเจี้ยนที่มืดมิด ยิ่งไปกว่านั้นโรดส์สนิทกับสมาคมทหารรับจ้าง — แม้แต่เซเร็คยังชื่นชมเขา


 


และตอนนี้กลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนี้กำลังรับสมัครคน?


 


พวกเขาจะเลือกกลุ่มแบบไหน? เงิน หรือ เส้นสาย


 


นี่เป็นสิ่งที่พวกเขารับรู้ได้


 


“คุณไม่ต้องบอกเรื่องพวกนี้กับผมหรอก ผมรู้”


 


โรดส์ส่ายศีรษะ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว มันดูเหมือนทุกอย่างไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น….


 


“ไม่มีใครอยากคุยกับพวกเราเลยเหรอ?”


 


“มี แต่ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่สนใจ”


 


ในครั้งนั้นวอร์คเกอร์ตอบออกมาอย่างมั่นใจ


 


“โอ้?”


 


สีหน้าของโรดส์เปลี่ยนไป


 


“บอกผมมาหน่อย”


 


ชายชราไม่ได้ตอบในทันที กลับกันเขาเผยรอยยิ้มออกมาอย่างแปลกประหลาด


 


“กลุ่มนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นกลุ่มที่เจ้าเคยช่วยชีวิตพวกเขาไว้…” ชายชราพูด


 


“เรดฮอว์ค เป็นกลุ่มทหารรับจ้างเรดฮอว์คที่ขึ้นตรงต่อชอว์น่า ข้าคิดว่าเจ้าควรรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเหตุการณ์ครั้งก่อนที่สุสานพาเวล คนจำนวนมากตาย บางคนออกไปและตอนนี้เรดฮอว์คเหลือสมาชิกเพียง 4 คนเท่านั้นรวมชอว์น่าแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่มีแต้มและเธอคิดจะยุบกลุ่ม นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าเธอขอเข้ามาคุย เห็นได้ชัดว่าเธอสนใจจะเจรจากับคุณ”


 


“ไม่มีปัญหา”


 


โรดส์พยักหน้า


 


“พวกเราสามารถนัดเวลาได้เลยถ้าเธออยากเจรจา มีใครอีกไหม?”


 


“อืม กลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆไม่ได้พูดอะไรมาก แต่มีบางคนจากมาร์คไวท์มาหาข้าและหวังให้ข้าช่วยพวกเขา ดูเหมือนว่าหลังจากที่แอนออกไป มาร์คไวท์จะเลือกหัวหน้าคนใหม่ได้และเริ่มกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ข้าคิดว่าคนพวกนั้นมาหาข้าเพราะพวกเขาตามแอนมา ข้าเชื่อใจคนพวกนี้ แต่พวกเขาอาจจะเป็นขยะ”


 


“มีกี่คนล่ะ?”


 


“ผมเข้าใจแล้ว ข้าจะถามแอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผมหวังว่าคุณจะสามารถหาข้อมูลเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้มาให้ผมด้วย ในขณะเดียวกันผมอยากให้คุณหาว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่กลุ่มทหารรับจ้างมาร์คไวท์”


 


“ไม่มีปัญหา ไอ้หนุ่ม”


 


วอร์คเกอร์เห็นด้วยอย่างยินดี แต่ไม่นานเขาแตะหนวดและมองไปที่โรดส์อย่างสงสัย


 


“แต่ไอ้หนุ่ม ทำไมเจ้าถึงอยากรับสมาชิกเพิ่มตอนนี้ล่ะ? มันเป็นเพราะสถานการณ์ก่อนหน้านี้เหรอ? แล้วเจ้ายังอยากให้ข้าจับตาดูกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์อีก? หัวหน้าของพวกนั้นทำอะไรเจ้ารึ?”


 


โรดส์ไม่ได้ตอบในทันที


 


เขาหันไปด้านข้างและมองไปยังหน้าต่าง ก่อนจะพูดออกมา


 


“คุณวอร์คเกอร์”


 


“หึ? ว่าไง?”


 


“เมื่อคุณเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าวัยเยาว์ คุณจะฆ่ามันไหม? หรือว่าคุณจะรอให้มันเติบโตมาก่อนแล้วกินผู้คน จากนั้นถึงฆ่ามัน?”


 


“เอ่-อออออ….”


 


ชายชราลังเล ก่อนจะตอบออกมา


 


“แน่นอน ข้าจะจัดการก่อนที่มันจะมีโอกาสโตขึ้นมา มิเช่นนั้น มันอาจจะสายเกินไปถ้ามันได้กินคนไปแล้ว?”


 


“ใช่แล้ว”


 


โรดส์ยืนขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง


 


“มันจะสายเกินไปที่จะฆ่าหลังจากที่มันได้ฆ่าคนไปแล้ว สิ่งที่ผมพยายามจะบอกก็คือมันจะดีกว่าถ้าเราเลือกใช้มาตราการป้องกัน”


 


“แต่..ไอ้หนุ่ม เจ้าจะรู้ได้อย่างไรรึว่าสัตว์พวกนั้นมันฆ่าคน?”


 


เมื่อมองไปยังแผ่นหลังของโรดส์ ชายชราเกาหัวและคิดว่าเหตุผลที่เด็กหนุ่มตรงหน้ามันแปลกประหลาดเกินไป


 


“บางทีมันอาจจะ……แต่มีการป้องกันไว้ก็ดีกว่า”


 


โรดส์หันกลับมาและมองไปยังวอร์คเกอร์


 


“คุณวอร์คเกอร์ ผมจำเป็นต้องให้คุณช่วยบางอย่าง”


 


“อีกแล้วเหรอ?”


 


วอร์คเกอร์กรอกตาไปมาทันที


 


“ข้าจะบอกให้นะ ไอ้หนุ่ม ข้าเป็นทหารรับจ้าง ไม่ใช่คนดูแล ทำไมข้าต้องเป็นคนทำทุกอย่างตลอดเลย!! ข้าต้องช่วยเจ้าเปลี่ยนผ้าอ้อมผืนต่อไปด้วยไหม? ที่ข้ากำลังจะบอกคือ ข้าเป็นทหารรับจ้าง ไม่ใช่ขี้ข้า ถ้าเจ้าปัญหาอะไร ออกไปขอร้องไลซ์ เด็กสาวคนนั้นเต็มใจช่วยเหลือเจ้า แม้ว่าเจ้าจะขอให้เธออุ่นที่นอนให้ เธอก็ไม่ปฏิเสธ”


 


“ช่วยผมมองหาคนที่ฉลาด รอบรู้และเรียบร้อยมาให้หน่อย ผมคิดว่ามันไม่ควรเป็นเรื่องยากสำหรับคุณและเส้นสายของคุณในเมืองดีพสโตน”


 


“ผมจะให้เงินคุณไป ใช้มันตามที่คุณเห็นสมควร แล้วให้คนๆนั้นคอยจับตาดูกลุ่มเจดเทียร์ ผมอยากรู้ว่าพวกเขาทำอะไรและตั้งใจจะทำอะไรต่อไป โดยเฉพาะข้อมูลของหัวหน้าของพวกเขา เขาคนนั้นต้องเรียงข้อมูลมาอย่างเป็นระเบียบและส่งมาให้ผมอย่างระมัดระวัง ผมคงไม่ต้องบอกคุณหรอกนะว่าผมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้”


 


“เฮ้! ไอ้หนุ่ม! เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึไง?! ข้าบอกว่าข้าไม่ใช่พี่เลี้ยงเจ้า ไปขอคนอื่น!”


 


“นี่เงิน 500 เหรียญทอง”


 


โรดส์พูดและหยิบถุงเงินโยนไปบนโต๊ะ


 


“ใช้เงินนั่นตามใจได้เลย ผมจะไม่หักมันจากเงินเดือนของคุณ”


 


“เจ้า….”


 


วอร์คเกอร์มองไปยังโรดส์ ขณะนั้น เขาถอนหายใจและเก็บถุงเงินเข้ากระเป๋า


 


“ได้ๆ ข้าไม่รู้ข้าไปโดนคำสาปแบบไหนถึงได้มีหัวหน้าเป็นคนแบบเจ้ากัน ข้าจะช่วยเจ้าหาคนๆนั้น แต่ถ้าเงินนี่ไม่พอ ข้าจะมาขอเจ้าเพิ่ม”


 


“ถ้าเงินพวกนั้น ‘ไม่พอ’ น่ะนะ”


 


วอร์คเกอร์ไม่ตั้งใจจะกวนเขาต่อ เขายืนขึ้นและมองไปยังโรดส์ ก่อนจะเดินออกไป แต่เมื่อชายชราเดินมาถึงหน้าประตู เขานึกบางสิ่งได้และรีบหันไปพูดออกไปอย่างรวดเร็ว


 


“อ่า ข้าเกือบลืม เมื่อตอนที่ข้าไปสมาคมทหารรับจ้าง ข้าได้รับข่าวมา ในอีก 3 วันข้างหน้า ทางสมาคมทหารรับจ้างจะมีประชุมด่วน หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างทุกกลุ่มต้องเข้าร่วม ข้าได้ส่งข้อความให้เจ้าแล้ว อย่ามาว่าข้านะถ้าเจ้าลืม”


 


หลังจากพูดจบ ชายชราวอร์คเกอร์ดึงประตูออกและเดินออกไป


 


โรดส์นั่งลงที่เก้าอี้เงียบๆและมองไปยังร่างของวอร์คเกอร์ที่ค่อยๆเดินหายไปจากทางเดิน


 


“อย่างน้อยก็น่าจะรู้วิธีปิดประตูหน่อยนะ คุณวอร์คเกอร์”


102 – ชนวนที่ถูกจุดขึ้น


 


ท่ามกลางความเหนื่อยช้าจากเรื่องต่างๆในกลุ่มของเธอ ชอว์น่ายังคงกระปรี้กระเปร่าราวกับปกติ


 


“สวัสดีค่ะ คุณโรดส์”


 


ชอว์น่าทักทายโรดส์ด้วยรอยยิ้ม


 


“บอกตรงๆ ฉันคิดว่าฉันฝันไปที่ได้ยินเรื่องของคุณจากตาแก่วอร์คเกอร์”


 


“ผมเองก็ประหลาดใจเหมือนกันที่ได้พบคุณ”


 


โรดส์พยักหน้าและตอบกลับพร้อมกับจับมือของชอว์น่า


 


“ไม่คิดเลยว่าฉันจะได้มารวมกลุ่มของกลุ่มของคุณ”


 


ชอว์น่ายิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อารมณ์ของเธอสั่นไหวเล็กน้อย แต่เธอยังคงรักษาความสงบและส่งสัญญาณไปยังคนอื่นๆอีก 3 คนด้านหลังเธอ


 


“ไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวหรอก เฮนรี่ มาร์ตินและเลวี่….ใช่ไหม?”


 


โรดส์ทวนชื่อพวกเขาทีละคนและย้ำเพื่อความมั่นใจ


 


พวกเขาทั้งสามต่างแปลกใจ เพราะเมื่อครั้งที่พวกเขาต่อสู้ร่วมก็นานมาแล้ว แต่โรดส์ก็ยังสามารถจำชื่อของพวกเขาได้


 


“คุณยังจำชื่อพวกเราได้ คุณโรดส์”


 


นักดาบที่ชื่อว่าเฮนรี่ยิ้มและพูดออกมา


 


เฮนรี่เป็นคนที่อยู่กลางสนามรบในสุสานพาเวล เขามั่นใจในความแข็งแกร่งของโรดส์ เพราะเขาเคยเห็นโรดส์สั่งการและเอาชนะเนโครแมนเซอร์มาได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสนับสนุนให้มีการเจรจาในครั้งนี้


 


“แน่นอน ผมจำได้”


 


“แต่ผมคิดว่าคนที่สร้างความประทับใจอย่างสุดซึ้งไว้จะอยู่ที่นี่ด้วยซ่ะอีก?”


 


ชอว์น่าและคนอื่นๆต่างยิ้มออกมาอย่างหน้าเสีย พวกเขารู้ดีว่าโรดส์กำลังพูดถึงใคร โชคดีที่เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขไปแล้ว ไม่เช่นนั้น ชอว์น่าคงไม่สามารถมาพบโรดส์ได้แน่นอน


 


“ถ้าคุณกำลังพูดถึงบาร์นนี่…คุณไม่ต้องมองหาเขาหรอกค่ะ เพราะว่าเขาได้ออกจากกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเราไปแล้ว”


 


“อ้าว?”


 


โรดส์แปลกใจเล็กน้อย


 


“นั่นไม่น่าใช่นะ เขาออกจากกลุ่มไปทำไมล่ะ?”


 


ชอว์น่าได้เตรียมตอบคำถามนี้ไว้แล้ว ดังนั้นเธอจึงส่งสัญญาณมือให้โรดส์นั่งลงและเริ่มอธิบาย


 


“ก่อนที่พวกเราจะมาพบกับตาแก่วอร์คเกอร์ พวกเราได้รับคำเชิญจากกลุ่มเจดเทียร์ บาร์นนี่ค่อนข้างสนใจในคำเชิญนี้ แต่พวกเราทั้งสี่ไม่เห็นด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยให้เขาเดินทางไปในเส้นทางที่เขาต้องการ ซึ่งเขาได้ออกจากกลุ่มไป”


 


อย่างไรก็ตาม ชอว์น่าอธิบายความจริงเพียงครึ่งเดียว หลังจากศึกที่สุสานพาเวล เรดฮอว์คได้รับความเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นตำแหน่งหัวหน้าของชอว์น่าจึงสั่นคลอน การเป็นทหารรับจ้างผู้หญิงทำให้เธอมีจุดอ่อน และตอนนี้มีอีก 2 คนที่ตายลงภายใต้การนำของเธอ ตำแหน่งของเธอจึงเริ่มไม่มั่นคง


 


ชอว์น่าวางแผนจะฟื้นฟู ก่อนที่จะเริ่มรับสมัครสมาชิก แต่เธอไม่คิดว่าผู้ติดตามของเธอจะทรยศในช่วงเวลาที่เธอตกต่ำ บาร์นนี่ทำการแข็งข้อขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาได้มาหาชอว์น่าเป็นการส่วนตัวและขอให้เธอมอบตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มมาให้กับเขา


 


บาร์นนี่สัญญาว่าเขาจะพัฒนากลุ่มทหารรับจ้าง แต่ชอว์น่าเข้าใจสิ่งที่บาร์นนี่คิด เป็นธรรมชาติที่เธอจะปฏิเสธข้อเสนอนี้และส่งผลให้บาร์นนี่โกรธ


 


ด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิง เธอสรุปได้เลยว่าเขาตั้งใจจะขายกลุ่มของเธอให้กับเจดเทียร์เพื่อแลกกับเงินก่อนโต อย่างไรก็ตามหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่สุสานพาเวล เธอเริ่มระมัดระวังคนที่มักยื่นข้อเสนอที่ดีมากเกินไป ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง


 


ดังนั้นหลังจากที่จบความสัมพันธ์ของพวกเขา บาร์นนี่ได้พาผู้ติดตามของเขาออกไปจากเรดฮอว์คและเดินทางไปที่เจดเทียร์ นั่นเป็นเหตุผลที่เหลือพวกเขาเพียง 4 คนเท่านั้น แน่นอน นี่ทำให้ชอว์น่าโกรธแค้นอย่างมาก แต่เมื่อชายชราวอร์คเกอร์ได้เข้ามาหาเธอ แม้ว่าจะเป็นเพียงประกายแสงท่ามกลางความมืดมิดรอบตัวเธอ


 


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนี่เป็นเรื่องลับ ชอว์น่าไม่ได้วางแผนทำให้ความสัมพันธ์นั้นดีขึ้นระหว่างการเจรจา โรดส์เองก็ไม่ชอบยุ่งกับปัญหาภายใน ดังนั้นพวกเขาทั้งคู่จึงเข้าประเด็นหลักในการเจรจา


 


“พูดตรงๆเลยนะ”


 


โรดส์ยืดมือออกและจับไปที่แก้วไวน์บนโต๊ะ


 


“จำนวนคนของคุณมีไม่มาก…ผมไม่รู้ว่าคุณสามารถรับมือกับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงได้ไหม….”


 


“ฉัน….เข้าใจค่ะ”


 


ชอว์น่าได้เตรียมใจเรื่องการถูกปฏิเสธไว้แล้ว เธอรู้ดีว่าเธอไม่อาจเทียบกับจอมเวทย์อย่างมาร์ลีนในการสร้างความเสียหาย หรือเทียบกับแอนที่เป็นตัวชนได้


 


พวกเขาเหลือเพียง 4 คนในกลุ่มเรดฮอว์ค ชอว์น่าและเฮนรี่ต่างเป็นนักดาบ มาร์ลีนเป็นนักรบโล่และคนสุดท้าย เลวี่ เป็นบาบาเรี่ยน


 


ถ้าพวกเขาถูกจัดอันดับตามระดับพลังของพวกเขา ชอว์น่าอยู่อับดับสูงสุด คนอื่นๆสูงกว่าหรือต่ำกว่านิดหน่อย แต่ชอว์น่ารู้ดีว่าเธออาจจะอยู่ในระดับสูงในกลุ่มทหารรับจ้างของเธอ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มของโรดส์ เธอเปรียบได้กับเศษขยะ


 


ถ้าเป็นแบบนั้น หน้าที่อะไรที่เขาจะมอบให้กลุ่มของเธอ ถ้าพวกเขาถูกรวมกลุ่มเข้าไป?


 


ชอว์น่ารู้สึกคิดไม่ออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทว่าโรดส์กลับทำให้คลายความกังวลทั้งหมดของเธอทันที


 


“ผมคิดว่าคุณกังวลเรื่องที่สตาร์ไลท์มีขนาดเล็ก ดังนั้นเมื่อพวกเราออกทำภารกิจ จะไม่มีใครเพื่อป้องกันฐานบัญชาการของพวกเรา เรื่องนี้อยู่ในใจผมมาได้สักพักแล้ว ดังนั้นถ้าคุณไม่มีปัญหากับการป้องกันฐานบัญชาการ ผมก็ยินดีต้องรับพวกคุณครับ”


 


ชอว์น่าและคนอื่นๆยังไม่ได้ตอบอะไร พวกเขาจิบไวน์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะปรึกษากัน


 


“ฉันขอบคุณในความเชื่อใจของคุณ แต่….ไม่มีหน้าที่ที่มันหนักกว่าให้พวกเราเหรอคะ?”


 


เพียงแวบแแรก มันดูเหมือนว่าการคุ้มกันฐานบัญชาการเป็นความคิดที่ไร้สาระมากและอาจจะเป็นหน้าที่ที่สำคัญน้อยที่สุดในบรรดาหน้าที่อื่นๆ แต่ในทางตรงกันข้าม บางคนคิดว่าฐานบัญชาการเป็นแกนกลางของกลุ่มทหารรับจ้าง มีเพียงสมาชิกที่ได้รับความไว้วางใจเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้คุ้มกันฐานบัญชาการ ขณะที่หัวหน้าไม่อยู่ ดังนั้นสิ่งที่ชอว์น่ากังวลยังมีอยู่ แม้ว่าเธออาจจะมีความสัมพันธ์กับไลซ์ แต่นั่นไม่ได้ทำให้โรดส์เชื่อใจพวกเธอ100% พวกเขาไม่กลัวว่าพวกเธอจะใช้โอกาสนี้แสดงลวดลายในช่วงเวลาที่โรดส์ไม่อยุู่รึ?


 


แต่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอคาดคิด โรดส์เหมือนว่าจะไม่ได้กังวลอะไรเลย


 


“ผมบอกไปแล้วว่าพวกเรากำลังขาดกำลังคน และเนื่องจากคุณเต็มใจที่จะหารือเรื่องพวกนี้กับผม ผมเชื่อว่าคุณจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายหรอก ยิ่งไปกว่านั้น หน้าที่สำคัญนี้จะผลัดกับรับผิดชอบไม่ใช่พวกคุณทั้งสามคน เมื่อถึงเวลา พวกเขาทั้งสามจะอยู่ภายใต้การสั่งการของคุณ ผมมั่นใจว่าคุณสามารถใช้งานพวกเขาได้ดีเพราะคุณเคยมีประสบการณ์เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมาก่อน”


 


“….”


 


ชอว์น่าอยากจะพูด แต่เธอลังเล


 


ถ้าเธอไม่เคยพบกับโรดส์มาก่อน เธอจะคิดว่าเขาล้อเล่น โรดส์ยื่นข้อเสนอมห้เธอได้ทำหน้าที่ที่สำคัญมากที่สุดในกลุ่มทหารรับจ้าง อย่างไรก็ตาม เธอเหมาะสมกับตำแหน่งนี้งั้นรึ? เธอไม่เคยแม้แต่เข้าร่วมกลุ่มสตาร์ไลท์ด้วยซ้ำ!


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวผมแดงครุ่นคิดอย่างหนัก


 


อีกด้านหนึ่งโรดส์นิ่งเงียบและรอให้ชอว์น่าตัดสินใจ มันไม่ใช่เพราะเขาเห็นว่าเธอกังวล แต่เป็นเพราะระบบแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมา เขามีวิธีสังเกตการณ์ฐานบัญชาการของเขาได้ตลอดเวลาที่เขาต้องการ ในอีกความหมายหนึ่ง ถ้าชอว์น่าทำอะไรไม่ดี โรดส์จะได้รับแจ้งเตือนในทันทีและระบบความปลอดภัยจะทำงานโดยการขังทุกคนไว้ด้านใน


 


ดังนั้นเขาไม่ต้องกังวลเรื่องใครจะพยายามทำลายฐานบัญชาการของเขาจากด้านใน กลับกันเขากังวลว่าคนด้านนอกจะโจมตีเข้ามาจากด้านนอก แม้ว่าฐานบัญชาการจะมีการป้องกันที่แน่นหนาและยากที่จะทำลาย ถ้ามีคนๆหนึ่งโจมตีฐานบัญชาการอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีใครหยุดพวกเขา มันถือได้ว่าเป็นหายนะ มันก็ไม่มีความหมายที่จะเปิดระบบความปลอดภัยถ้าไม่มีคนอยู่ด้านใน


 


กลุ่มทหารรับจ้างเรดฮอว์คของลอว์น่าอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา แต่ตอนนี้มันเป็นวิธีที่เป็นไปได้มากที่สุด


 


“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”


 


หลังจากที่ยืนยันข้อเสนอของโรดส์ ชอว์น่าหันหน้าไปหาสมาชิกของเธอและพูดคุยกันด้วยสีหน้าจริงจัง


 


จากนั้นครู่หนึ่ง เธอหันหน้ากลับมาหาโรดส์และพูดขึ้น


 


“เนื่องจากคุณโรดส์ได้เชื่อใจในตัวพวกเรา ทำให้พวกเราไม่สามารถปฏิเสธความเมตตาของคุณได้ พวกเรารับประกันว่าพวกเราจะทำหน้าที่ป้องกันฐานบัญชาการให้ดีที่สุดค่ะ!”


 


เมื่อได้ยินการตอบรับของชอว์น่า โรดส์พยักหน้าอย่างพึงพอใจในการตัดสินใจของเธอ จากนั้นเขาบุกขึ้นและจับมือกับเธอ


 


“เยี่ยม งั้นก็ยินดีต้อนรับพวกคุณเข้าสู่สตาร์ไลท์นะครับ”


 


เมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน รายละเอียดที่เหลือไม่ได้ยากอีกต่อไป จากนั้นพวกเขาตกลงกันเรื่องค่าตอบแทนและเงินเดือน


 


แต่ละเดือน ชอว์น่าและคนอื่นอีก 3 คนจะได้รับ 10 เหรียญทองขณะเดียวกันมันน้อยกว่าที่พวกเขาได้รับมาก่อน แต่มันเป็นเงินเดือนที่ไม่เลวเพราะหน้าที่ที่ได้รับมีความเสี่ยงต่ำ ในทางกลับกัน ถ้าชอว์น่าและคนอื่นๆละเลยหน้าที่ของพวกเขาและทำให้กลุ่มทหารรับจ้างเกิดความเสียหาย พวกเขาต้องชดเชยด้วยเงินส่วนของพวกเขา มันเป็นตรรกะที่เข้าใจได้ ตอนนี้ขั้นตอนสุดท้ายคือชอว์น่าได้ส่งเอกสารการยุบกลุ่มไปที่สมาคมทหารรับจ้างและรายงานว่าพวกเขาจะเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ในเวลาต่อมา


 


เมื่อถึงเวลาเซ็นเอกสารยุบกลุ่ม ชอว์น่าแสดงสีหน้าลังเล เนื่องมาจากเธอใช้เวลาหลายปีในการก่อตั้งกลุ่มเรดฮอว์ค เธอทำเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่จำเป็นต้องพึ่งพวกผู้ชายเพื่อที่จะแข็งแกร่ง เธอทำงานหนักเป็นสองเท่าเพื่อสร้างชื่อให้กับกลุ่มทหารรับจ้างของเธอ แต่ท้ายที่สุดความเป็นจริงก็ได้ตอกหน้าของเธอ


 


มือของชอว์น่าที่กำลังถือปากกาอยู่นั้นหยุดเคลื่อนไหว เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปยังโรดส์ที่ยืนข้างเธอ


 


ชายคนนี้จะแตกต่างจากคนอื่นๆไหม?


 


เขาโน้มน้าวใจไลซ์ได้ ดังนั้นเขาต้องมีบางสิ่งที่ทำให้คนอื่นๆติดตามเขา แต่….เธอเห็นอะไรในตัวเขากัน?


 


คิดตอนนี้ไปก็ไร้ความหมาย


 


หลังจากนั้นไม่นาน ชอว์น่ากัดริมฝีปากและเซ็นชื่อลงไปในกระดาษทันที


 


ต่อจากนี้ไป กลุ่มทหารรับจ้างเรดฮอว์คถูกยุบอย่างเป็นทางการ


 


เมื่อชอว์น่าออกจากสมาคมทหารรับจ้าง เห็นได้ชัดเลยว่าสีหน้าของเธอเหนื่อย แต่เธอยังคงสีหน้าสงบนิ่งไว้


 


“ตอนนี้คุณเป็นหัวหน้าของฉันแล้วนะคะ คุณโรดส์”


 


ชอว์น่ายิ้มออกมาอย่างขมขื่นและตบไปที่ไหล่ของโรดส์


 


“หลังจากเก็บของเสร็จ มาที่ฐานบัญชาการของผม ผมจะพาคุณดูรอบๆ คุณน่าจะรู้ตำแหน่งของบ้านนะ”


 


หลังจากคุยกับโรดส์เสร็จ ชอว์น่าหันกลับและเดินออกไป แต่เดินออกไปได้ไม่นาน น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ


 


“พี่ใหญ่? ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่?”


 


เมื่อเธอได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของชอว์น่าเปลี่ยนไปทันที โรดส์ขมวดคิ้วและหันกลับไปมอง


 


ชายหนุ่มเดินตรงมาหาเธอ เขาสวมชุดเกราะหนังใหม่ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อมองเห็นหญิงสาวผมแดง


 


“พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับพี่? พี่จะมารับภารกิจเหรอ?”


 


“นั่นไม่ใช่เรื่องของแก บาร์นนี่”


 


รอยยิ้มของหญิงสาวหายไปในทันที และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเย็นชา


 


“ข้าแค่ถาม….”


 


ปากของบาร์นนี่สั่นเทาเมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของเธอ จากนั้นเขามองไปยังโรดส์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ


 


“พี่ใหญ่ ทำไมพี่มากับไอ้…เจ้านี่เนี่ย?”


 


“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของแก บาร์นนี่”


 


ชอว์น่าพูดประโยคเดิมด้วยความเย็นชา


 


“แกไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรดฮอว์คแล้ว แกจะมากวนฉันทำไม? ยิ่งไปกว่านั้น เรดฮอว์คถูกยุบไปแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นสมาชิกของสตาร์ไลท์”


 


“อะไรนะ!?”


 


บาร์นนี่สะดุ้งโหยงราวกับแมวถูกเหยียบหาง


 


“พี่ใหญ่ พี่กำลังจะบอกว่าพี่ยุบกลุ่มเรดฮอว์คเพื่อไปเจ้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างของไอ้***นี่เหรอ? พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง? พี่ยอมแพ้ต่อกลุ่มเรดฮอว์คยังงี้แล้วข้า…”


 


“หุบปาก!! แกไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มเรดฮอว์ค เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้ฉันทำอะไรทั้งนั้น!”


 


“มีสิทธิ์เหรอ?”


 


สีหน้าของบาร์นนี่มืดมน


 


“พี่พูดแบบนี้กับข้าเสมอ….บอกข้าว่าข้าไม่มีสิทธิ์ทำอะไรทั้งนั้น ข้าไม่ได้กำลังพูดความจริงงั้นรึ?! มันเป็นเพราะพี่ปฏิเสธข้าตลอด! แม้แต่ตอนที่ข้ายังอยู่ในกลุ่มทหารรับจ้างของพี่ พี่ก็บอกให้ข้าหุบปากตลอดและบอกว่าข้าไม่มีสิทธิ์พูด ตอนนี้ข้าไม่ได้สมาชิกในกลุ่มอีกแล้ว พี่ยังมาบอกว่าข้าไม่มีสิทธิ์พูดสิ่งที่ข้าคิดเหรอ? จริงๆแล้วพี่ต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์มาบอกว่าให้ข้าพูดอะไร!”


 


บาร์นนี่ยื่นมือออกมาและชี้ไปที่โรดส์


 


“ข้าจะพูดตอนนี้ กลุ่มทหารรับจ้างขยะของไอ้***นี่ไม่มีอะไรเทียบได้กับกลุ่มเจดเทียร์ ข้าพูดถูกใช่ไหม?”


 


“ใช่!”


 


“ใช่แล้ว!”


 


ผู้คนที่ติดตามบาร์นนี่เริ่มเห็นด้วย


 


“แล้วมีใครอยากเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างขยะอย่างสตาร์ไลท์บ้างไหม?”


 


“เฮ้….ไม่แน่ ไอ้เจ้านั่นอาจใช้หน้าสวยๆของมันยั่วยวนคนอื่นก็ได้มั่ง? ดูหน้าของมันดิ มันเหมือนกับเด็กสาวไม่มีผิดใช่ไหม?”


 


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!! แม่งเหมือนผู้หญิงจริงๆว่ะ! บางทีมันอาจจะเป็นผู้หญิงปลอมตัวมาก็ได้! ไม่ใช่ว่ามันเป็นผู้หญิงไม้กระดานนะเลยปลอมตัวมาเป็นผู้ชายน่ะ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตลกชะมัด ยังไงก็เถอะ ผู้หญิงหน้าอกไม้กระดานยังไงก็ยังเป็นผู้หญิง คนแบบนี้ต้อง….”


 


ก่อนหน้าที่ชายคนนั้นจะพูดจบ ประกายแสงสีแดงตัดผ่านหัวของชายคนนั้น ในพริบตา ศีรษะครึ่งหนึ่งของชายคนนั้นปลิวลอยไปในอากาศตามมาด้วยเศษสมองที่สาดกระจายไปทั่ว ร่างของเขายังคงยืนนิ่งด้วยท่าทางหยาบคาย แต่หลังจากนั้นไม่นาน มันร่วงล้มลงไปกับพื้น


 


ตายไปแล้ว!!


 


ทุกคนตกตะลึงอย่างมาก พวกเขาทั้งหมดจ้องมองไปยังศพด้วยสายตาไม่เชื่อ


 


“แค่ระดับ 5 รึ? ฮืม ได้ค่าประสบการณ์แค่ 5 เอง พวกกระจอกนี่หว่า”


 


โรดส์ตวัดดาบของเขาอีกครั้งเพื่อสลัด ‘คราบเลือดสกปรก’ ออกไปจากตัวดาบของเขา จากนั้นเขาแสยะยิ้มออกมาและจ้องมองไปยังพวกที่เหลือ ทำให้คนที่เหลือเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง


 


“เจ้-เจ้า เจ้าทำอะไรไปลง!!”


 


บาร์นนี่ในที่สุดก็นึกได้ เขาหยุดหันไปมองศพและชี้นิ้วไปยังโรดส์ด้วยความโกรธแค้น แต่ในเวลาเดียวกัน เขาพยายามถอยหลังเพื่อหนีจากเขา มันไม่ใช่เพราะเขาอยากไปรวมกลุ่มกับพวกผู้ติดตามเขา แต่เพื่อให้ตัวเขาปลอดภัย


 


“เจ้ากล้าฆ่าคนในที่วสาธารณะ!! เจ้ารู้ไหมเขาเป็นสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์?! ทำแบบนี้มันไม่ต่างจากการประกาศสงครามเลยนะ!”


 


“ฆ่าคนรึ?”


 


โรดส์มองไปยังศพนั้นและเอียงหัวเล็กน้อย และยิ้มออกมาอย่างเย็นชา


 


“ผมเห็นเป็นแค่หมาตัวหนึ่ง ผมไม่เห็นใครที่คุณพูดถึงเลย…รวมถึงคุณด้วย”


 


โรดส์ก้มหน้าลงเล็กน้อยและมองไปยังบาร์นนี่อย่างน่าหวาดกลัว ริมฝีปากด้านหนึ่งแสยะออกมาราวกับปีศาจ


 


“เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงของโลกใบนี้ และในฐานะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ ผมเลยมีหน้าที่จัดการหมาขี้เรื้อนที่มันอาจจะไปทำให้หมาตัวอื่นๆติดเชื้อ….ด้วยโรคของพวกมัน”


 


โรดส์เดินตรงไปที่บาร์นนี่


 


“และสำหรับคุณ….บางทีคุณอาจจะลืมความเจ็บปวดครั้งก่อนสินะ คุณบาร์นนี่? ของขวัญของผมมัน คุณคงลืมมันไปง่ายๆ คุณคิดว่าผมควรมอบบางอย่างเพื่อเตือนให้คุณจำผมได้…ตลอดไปเลยดีไหม?”


 


“อ่า…อ่า….”


 


ลิ้นของบาร์นนี่แข็งขึ้นมาทันที ขณะที่โรดส์เดินเข้ามาทีละก้าวและพบว่าตัวเองตัวแข็งทื่อ แม้ว่าเขาจะมีจำนวนคนมากกว่าโรดส์ เขายังคงรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยเลย จากการรับรู้ของเขา ประกายตาที่เย็นชาในดวงตาคู่นั้นเหมือนกับมอนสเตอร์ที่สามารถฆ่าเขาได้ในพริบตาโดยไม่เสียเหงื่อเลยแม้แต่น้อย


 


“ปะ-ปะ…ไป…”


 


ฟันของเขาสั่นรัวราวกับมีอะไรติดอยู่ที่ลำคอ เห็นได้ชัดว่ามีเพียงสองคำ แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่สามารถพูดมันออกไปได้


 


บัดซบ!! บัดซบ!! บัดซบ!!


 


โรดส์เดินเข้ามาใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น บาร์นนี่เริ่มรู้สึกได้ถึงบาดแผลก่อนหน้านี้ที่เขาได้รับการรักษาแล้วเริ่มกลับมาเจ็บปวดอีกครั้ง


 


เหงื่อมากมายไหลท่วมหน้าผากของเขา แต่เขายังคงไม่สามารถขยับได้


 


ข้ากำลังจะตายงั้นรึ?


 


วืดดด!!


 


ทันใดนั้นเงาสีดำปรากฎขึ้นด้านหลังโรดส์ ในพริบตา กริชแหลมคมพุ่งตรงมายังแผ่นหลังของโรดส์


 


ในวินาทีที่กริชจะถึงแผ่นหลังของเขา เขาหายตัวไปและปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งด้านหลังมือสังหาร มือของเธอชาและสูญเสียการควบคุมกริชไปและทำให้มันร่วงลงสู่พื้น


 


ไม่ดีแล้ว!


 


เมื่อรับรู้ว่าการโจมตีของเธอล้มเหลว เธอวางแผนจะถอย แต่ก่อนที่เธอจะสามารถทำได้ วินาทีถัดมา เธอพบว่าตัวเองถูกตรึงไว้กับกำแพงแน่น


 


“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะ ดูเหมือนจะมีอีกคนที่ไม่เข้าใจบทเรียนนี้”


 


เขามองไปยังเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ที่ถูกตรึงติดกำแพง


 


“ผมไม่คิดว่าคุณเองก็มาเข้าร่วมกับเจดเทียร์เหมือนกัน ดูเหมือนว่ากลุ่มนี้จะเต็มไปด้วยพวกขยะทั้งนั้น พวกมันรับทุกคนเลยสินะ”


 


“อั่ก…อั่ก….”


 


ขาทั้งสองข้างของเธอเตะเข้าไปที่กำแพง มือของเธอพยายามขัดขืนมือของโรดส์ที่จับอยู่ อีกด้านหนึ่ง โรดส์ไม่ได้ขยับแม้แต่นิดเดียว เขาหันกลับไปมองบาร์นนี่


 


“เธอเป็นพรรคพวกของคุณสินะ? งั้นผมควรเริ่มจากเธอก่อนดีไหม?”


 


“ห-หยุดนะ!! ปล่อยเธอไป!”


 


แม้ว่าคำพูดของโรดส์จะปลุกเขาขึ้นมา บาร์นนี่รวบรวมความกล้าและดึงดาบออกมา และชี้ไปที่โรดส์


 


“เร็ว ปล่อยเธอไป! ไม่เช่นนั้น ข้าจะไม่ออมมือแล้วนะ!”


 


“ลูกผู้ชายพูดน้อยๆและทำให้มันเยอะๆ”


 


โรดส์ยิ้มออกมาอย่างเย็นชาเมื่อเห็นจุดอ่อนของบาร์นนี่ มือของเขาบีบคอของเธอแน่นขึ้น ส่งผลให้ร่างของเด็กสาวลอยขึ้นไปกลางอากาศ เรี่ยวแรงของเธอเบาบางลง ขาของเธอก่อนหน้านี้ที่เตะไปที่กำแพง ตอนนี้เริ่มอ่อนปวกเปียก


 


“ทุกไป! ไป!!”


 


เมื่อเห็นสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น บาร์นนี่ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาชูดาบขึ้นและส่งคำสั่งโจมตี เมื่อพวกเขาได้ยินคำสั่ง ทหารรับจ้างคนอื่นๆก็ชักดาบออกมาและวิ่งตรงไปยังโรดส์


 


ไม่ชั่วขณะนั้น เสียงทุ่มระเบิดดังออกมา


 


“ทุกๆคน หยุด!!!!!”


103 – อุบัติเหตุ


 


บาร์นนี่และพรรคพวกของเขาตกใจกับเสียงนั้นมากและรีบลดอาวุธลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหันกลับไปมอง


 


โรดส์ขมวดคิ้ว แต่มือของเขาไม่ได้คลายออกแม้แต่น้อย


 


“เกิดอะไรขึ้น?!”


 


ชายคนหนึ่งสวมชุดเกราะเวทมนตร์ตระการตาปรากฎตัวท่ามกลางฝูงชนที่กำลังมุงดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาคือแฟรงค์ หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ เมื่อเขาเห็นว่าคนก่อเรื่องเป็นโรดส์ ประกายเยือกเย็นแผ่ออกมาจากดวงตาของเขา แต่มันกลับหายไปในไม่ช้า


 


“คุณโรดส์ ปล่อยเธอไปเถอะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ในตอนนี้เป็นการยั่วยุกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ของผมอยู่นะครับ”


 


“แล้วถ้าผมไม่ปล่อยเธอล่ะ?”


 


โรดส์ผ่อนแรงลงเล็กน้อย และให้เด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ได้หายใจอีกครั้ง เธอยังคงไม่มีแรงขยับเขยื่อนใดๆ ราวกับหุ่นเชิดที่อยูาภายใต้การควบคุมของโรดส์


 


“ถ้าคุณเป็นคนฉลาด ปล่อยเธอไป นั่นเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา”


 


พวกเขาทั้งสองมองตากันอยู่นานอย่างไม่ยอมเลิกลา  กลุ่มคนเริ่มมุงดูเหตุการณ์เริ่มเงียบลง


 


“ก็ได้ แน่นอน”


 


โรดส์ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะและพยักหน้า จากนั้นเขาโบกมือและโยนเด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์ลงไปที่พื้น ขณะที่เธอร้องไห้ออกมา ไม่นานกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์บางส่วนมาพาเธอออกไปอย่างปลอดภัย


 


“หัวหน้า ชายคนนี้ เขา….”


 


“ผมรู้”


 


แฟรงค์ยกมือเป็นเชิงบอกให้บาร์นนี่หยุดพูด เขามองไปยังโรดส์ด้วยสายตาเยือกเย็น ขณะที่เขาขยับมือไปจับที่ดาบข้างเอวอย่างช้าๆ


 


“คุณโรดส์ แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่มันเกินไปรึเปล่าที่คุณฆ่าหนึ่งในคนของผม?”


 


“อะไรกัน เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว คุณบอกว่าคุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แล้วทำไมคุณถึงบอกผมว่าสิ่งที่ผมทำมันมากเกินไปล่ะ?”


 


โรดส์ยังคงยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว ดาบในมือของเขาสะท้อนแสงอาทิตย์ก่อตัวเป็นจิตสังหาร


 


“บางทีคุณอาจจะอธิบายให้ผมฟังได้นะ?”


 


“ขอโทษด้ววย ผมไม่สนใจทำเรื่องแบบนั้น ยิ่งไปกว่านั้น…ผมยังไม่หมดเรื่องกับชายคนนั้น”


 


โรดส์ยกดาบขึ้นและชี้ไปยังบาร์นนี่


 


“ผมบอกไปแล้วว่าผมจะมอบของขวัญที่เขาไม่มีวันลืม คุณกำลังขวางทางของผมอยู่นะ คุณแฟรงค์”


 


“….คุณโรดส์ ผมหวังว่าคุณคงรับรู้ผลกระทบของสิ่งที่คุณทำนะ”


 


ใบหน้าของแฟรงค์คล้ำลง


 


“สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นการประกาศสงครามกับเจดเทียร์”


 


“ประกาศสงครามรึ?”


 


เมื่อได้ยินการโต้ตอบของแฟรงค์ โรดส์ยิ้มออกมา


 


“ถ้าผมจำไม่ผิด สิ่งที่คุณหมายถึงคือ….คุณกำลังพยายามแข่งกับสตาร์ไลท์ในเรื่องของเงินเดือนไม่ใช่รึ?”


 


โรดส์ลดเสียงลงต่ำจนแทบไม่ได้ยิน แต่ใครที่ได้ยินเสียงนี้คงหนาวไม่ถึงกระดูก


 


“และเนื่องจากนั่นเป็นความตั้งใจที่แท้จริงของคุณ….”


 


โรดส์ยกดาบในมือขึ้นช้าๆ


 


“ผมจะไม่ออมมือละ!”


 


ก้าวพริบตา ทำงาน!


 


เงาตรงหน้าหายวับไป ตามมาด้วยประกายแสงสีแดงที่แทงตรงไปยังตำแหน่งหัวใจของแฟรงค์ แฟรงค์ได้ตะโกนและดึงดาบออกมาตั้งรับการโจมตี


 


เคล้ง…เคล้ง….เคล้ง!!


 


ประกายไฟมากมายสะท้อนออกมาจากการปะทะกันของดาบ ทั้งสอบงถอยหลังไหลายก้าวและมองหน้ากันและกันอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับเป็นการหยั่งเชิง พวกเขาทั้งสองพุ่งเข้าหากันอีกครั้ง


 


แฟรงค์เหวี่ยงดาบของเขาและแทงไปยังจุดสำคัญของโรดส์ โรดส์ตอบโต้กลับโดยการตวัดดาบและป้องกันการโจมตีที่หน้าอกของเขา ในขณะนั้นแฟรงค์พบว่าโรดส์ขว้างบางสิ่งออกมาจากมือของเขา การ์ดที่มีสีแตกต่างกัน 3 ใบถูกขว้างออกมา


 


“—-!!!”


 


ในพริบตา หมอกสีดำกระจายตัวและเข้าปกคลุมพวกเขาทั้งสอง


 


เกิดอะไรขึ้น?!


 


แฟรงค์ไม่มีเวลาตอบโต้ หอกสีดำปรากฎขึ้นในหมอกและแทงมายังเขา


 


นี่มันบ้าอะไรเนี่ย?!


 


แฟรงค์เริ่งตั้งหลัีก เขาถอยพลางหลบหอก แต่ก่อนที่เขาจะได้พัก หมาล่าเนื้อสีดำที่ท่วมไปด้วยเปลวเพลิงปรากฎตัวขึ้นจากหมอกและพุ่งตรงมายังเขา


 


“บ้าเอ้ย!!”


 


สีหน้าของแฟรงค์เคร่งเครียดอย่างมาก เขาขวางดาบและป้องกันการโจมตีที่เข้ามา และเมื่อหมาล่าเนื้ออยู่ตรงหน้าเขา ร่างของแฟรงค์ได้แยกออกเป็น 3 ร่างและฟันไปยังหมาล่าเนื้ออย่างต่อเนื่อง หมาล่าเนื้อถูกแยกส่วนเป็นชิ้นๆและในขณะนั้น เปลวเพลิงที่ลุกท่วมตัวของมันก็ระเบิดออกมา


 


ตูมมม!!! ระเบิดทำให้พื้นดินแตกกระจายเป็นเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆถูกระเบิดกระจายไปทั่ว แม้แต่สภาพแวดล้อมก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ราวกับมีฝุ่นในอากาศ หลังจากนี้คนที่เก็บกวาดสถานที่แห่งนี้คงได้สาปแช่งออกมาแน่


 


ในขณะนั้น แฟรงค์เริ่มเสียใจออกมา เขากลิ้งลงบนพื้นห่างไกลออกมาจากจุดระเบิด เสื้อผ้าที่สวยงามของเขาตอนนี้สกปรกไปหมด แม้ว่าเขาจะพยายามซักมันก็คงใช้เวลานานมาก


 


อย่างไรก็ตาม มีเรื่องที่น่าสนใจกว่าคือภัยคุกคามที่กำลังเข้ามามากกว่าเสื้อผ้าของเขาที่สกปรก


 


เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ผ่าก้อนเมฆให้แยกออกจากกัน ทูตสวรรค์เปลี่ยนร่างกายเป็นประกายแสงและพุ่งตรงไปยังแฟรงค์ ปีกของเธอส่องสว่างออกมาภายใต้ท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหนา ไม่ว่าสิ่งสกปรกจะเปื้อนเธอมากแค่ไหน เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ยังชำระล้างให้เธอจนหมดจรด


 


ทูตสวรรค์!!?


 


เมื่อเขาเห็นซีเลีย ดวงตาของแฟรงค์หรี่ลง เขามองไปยังดาบนั่นที่ชี้มาทางเขาอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยพลังอำนาจของอุปกรณ์เวทมนตร์ แฟรงค์จึงหนีรอดมาจากบาดแผลและพื้นที่อันตรายได้


 


แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโรดส์จะปล่อยเขาไป


 


เสียงกีบเท้าดังขึ้นจากด้านหลังของเขา


 


แฟรงค์ได้เพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่ทูตสวรรค์แล้ว และไม่มีเวลาหลบการโจมตีที่มาจากด้านหลัง อัศวินเซนทอร์ยกโล่ขึ้นและฟาดไปยังใบหน้าของแฟรงค์ ส่งเขาลอยตรงไปยังโรดส์ ในเวลาเดียวกัน ดาบสีแดงส่องสว่างขึ้นและแยกตัวเป็นชิ้นส่วนหนึ่งพันชิ้น พุ่งตรงไปยังแฟรงค์


 


จบแล้วงั้นรึ?


 


ขณะที่เขามองไปยังการโจมตีที่กำลังมาถึงเขา หัวใจของเขามืดบอด เขาเพิ่งได้เริ่มผจญภัยเท่านั้น นี่เขากำลังจะตายโดยที่ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเลยงั้นรึ?


 


ฉันไม่ยอม! ฉันไม่ยอม!


 


“หยุดได้แล้ว!!”


 


ด้วยน้ำเสียงชรา บาเรียลวดลายลึกลับปรากฎและขวางกั้นชิ้นส่วนเหล่านั้นเอาไว้ โรดส์หรี่ตาลง เมื่อเขาได้ยินเสียงนี้ เขาพลิกมือ การ์ดได้กลับเข้ามาปรากฎในมือของเขาและสลายหายไปในอากาศ


 


เมื่อสายลมได้พักฝุ่นออกไป


 


ทุกคนได้เห็นภาพตรงหน้าพวกเขา


 


ถนนที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ โรดส์ยืนอยู่เงียบๆและมองไปยังแฟรงค์อย่างไร้อารมณ์ สำหรับแฟรงค์แล้ว เขากำลังนอนไม่รู้ตัวอยู่บนพื้น


 


ชายชราสวมชุดคลุมสีดำได้ยืนขึ้นข้างแฟรงค์


 


บาเรียมิติ…จอมเวทย์ชั้นใน


 


โรดส์กำดาบในมือแน่น


 


ในที่สุดปลาตัวใหญ่ก็ออกมาแล้ว


 


“ไอ้หนุ่ม เจ้าทำมากเกินไปแล้ว”


 


ชายชรามองไปยังบาดแผลของแฟรงค์ ก่อนที่จะหันมามองโรดส์ เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของเขา โรดส์มองเขาอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย


 


“ผมไม่คิดว่าผมได้ทำอะไรรุนแรงเกินไปนะ”


 


โรดส์พูดและลดดาบลง ในเวลาเดียวกัน เซเร็คและประธานชราได้เดินฝา่ฝูงชนออกมาอย่างกังวล เนื่องจากมีเรื่องเกินขึ้นด้านนอก ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่สังเกต แต่เพียงเพราะโรดส์เคลื่อนไหวเร็วเกินไป พวกเขาจึงไม่มีเวลาหยุดมัน เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าสงบลง พวกเขาทั้งสองรีบเดินออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


 


“หยุด! เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? เจ้าถึงกล้าก่อเรื่องที่ด้านหน้าทางเข้าสมาคมทหารรับจ้าง! เจ้ายังเห็นทหารับจ้างเป็นคนอยู่ในสายตาของเจ้าอยู่อีกไหม!?”


 


“ตาแก่ ผมเองก็เป็นทหารรับจ้าง”


 


“เจ้า….เอาล่ะ พอได้แล้ว ออกไปได้แล้ว ข้าจะสืบหาเองว่าเกิดอะไรขึ้น! รอที่นี่ ก่อนที่ข้าจะจัดการเรื่องวุ่นวายนี้จบ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่ไหนทั้งนั้น!”


 


“ผมก็ไม่ได้คิดจะไปที่ไหนอยู่แล้ว!”


 


โรดส์ยักไหล่


 


“มันเป็นเพราะคุณแฟรงค์แห่งเจดเทียร์เป็นคนประกาศสงครามกับผม ผมแค่ตอบรับคำขอของเขาเท่านั้น มันเป็นเรื่องง่ายๆแค่นี้เองไม่ใช่เหรอ?”


 


“อย่าโยนความผิดให้คนอื่นและพูดเรื่องไร้สาระนะ!”


 


บาร์นนี่ได้ยินเสียงของโรดส์และรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว


 


“เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนสังหารคนของพวกเราก่อนและตอนนี้เจ้ากำลังบิดเบือนความจริงใช่ไหม? ท่านประธาน ดูไอ้***นี่มัน….”


 


“ใช่สิ ผมลืมเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง”


 


ประกายแสงสว่างขึ้น


 


บาร์นนี่หยุดพูดทันที เสียงของเขาร้องออกมาอย่างน่าหวาดกลัว


 


“อ้ากกกกก!!! หูข้า! หูข้า!!!”


 


เขายื่นมือออกมาและจับไปที่หูซ้ายที่หายไป เลือดไหลทะลักออกมาที่ช่องว่างระหว่างนิ้ว


 


“ไปกันเถอะ ชอว์น่า การแสดงจบลงแล้ว”


 


โรดส์พูดโดยไม่หันกลับไปมอง หญิงสาวได้แต่ยืนโง่งม ก่อนหน้าที่เธอจะตอบโต้ทัน โรดส์ได้เดินออกไปแล้ว


 


เสียดายจริง นี่เป็นโอกาสที่ดีมากแล้วที่จะได้ฆ่าไอ้กบฎตัวอันตรายนี่…..


 


แต่….โอกาสต่อไปยังคงมีอยู่


104 – กลุ่มสี่คน


 


ผลลัพธ์ในการสืบออกมาโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากพวกเขาก่อเรื่องที่ตรงหน้าสมาคมทหารรับจ้างและมีผู้คนเป็นพยานมากมาย พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกและพยายามสืบหาต้นตอต่อ


 


เซเร็คปวดหัวมาก เขาอยากโน้มน้าวให้โรดส์ไปไกล่เกลี่ยกับกลุ่มเจดเทียร์ แต่เขาไม่คิดว่าโรดส์ที่เคยเป็นคนคุยด้วยง่ายๆจะเมินเฉยต่อเขา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงเปลี่ยนไปราวกับคนละคนโดยที่ไม่มีเหตุผล


 


ในขณะเดียวกัน กลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์สงบนิ่งอย่างไม่คาดคิด แม้ว่าทหารรับจ้างมากมายจะโกรธแค้น แต่เนื่องจากหัวหน้าของเขาได้รับบาดเจ็บและไม่ได้สติอยู่ พวกเขาจึงไม่มั่นใจในสิ่งที่ควรทำ ถ้าหัวหน้าของเขาที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามากมาย ได้พ่ายแพ้ให้กับโรดส์ พวกเขาจะทำอะไรได้?


 


สำหรับโรดส์ เขาเศร้ามากที่ไม่สามารถทำการสังหารแฟรงค์ได้


 


เขารู้ดีว่าแฟรงค์กำลังจะทำอะไรในอนาคต ถ้าเขาสามารถกำจัดแฟรงค์ตั้งแต่ตอนนี้ ประเทศแห่งแสงจะไม่สามารถสร้างปัญหาในเมืองดีพสโตนได้อย่างน้อยอีก 1 ปี


 


ในเวลา 1 ปีนี้ เขาจะปรับปรุงเมืองดีพสโตนให้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อกรกับประเทศแห่งแสงได้


 


อย่างไรก็ตาม แผนของเขาล้มเหลว ตามสิ่งที่ชายชราวอร์คเกอร์บอกมา เขาจำเป็นต้องพักรักษาตัวเพียง  เดือนเท่านั้น โรดส์รู้สึกว่ามันสั้นเกินไป


 


เขาได้จัดการยั่วยุให้เกิดสงครามระหว่างทั้งสองกลุ่มได้สำเร็จ ซึ่งเป็นไปตามแผน


 


ในความเป็นจริง เมื่อโรดส์รับรู้ว่าแฟรงค์เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ เขาได้พยายามหาทางสร้างปัญหาขึ้น ในอนาคต เขาจึงจะโจมตีเจดเทียร์ที่พยายามพาคนของประเทศแห่งแสงเข้ามาได้ ถ้าเขาทำเรื่องนี้โดยไม่มีเหตุผล อีกฝ่ายอาจจะสงสัยในตัวโรดส์ แม้ว่าโรดส์จะรู้สิ่งที่ประเทศแห่งแสงกำลังวางแผนจะทำ แต่เขายังไม่อยากเปิดเผยให้คนอื่นได้รับรู้


 


โรดส์ตัดสินใจใช้วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการตั้งใจประเทศสงครามกับเจดเทียร์ สำหรับฝ่ายตรงข้ามที่เป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่ไม่ธรรมดา เขาต้องขัดขวางแผนของพวกมันโดยไม่ถูกจับได้


 


ถ้าประเทศแห่งแสงพบว่าโรดส์รู้แผนของพวกเขา พวกเขาจะใช้วิธีต่างๆมากมายพยายามทำให้เขาเงียบลง อย่างไรก็ตาม แต่ถ้ามันมีบางอย่างเกิดขึ้น เช่น การมีเรื่องกันระหว่างกลุ่มทหารรับจ้าง พวกเขาจะไม่เสี่ยงที่จะถูกเปิดเผยตัวพวกเขา


 


มันเหมือนกับการต่อสู้ระหว่างแก๊งยากูซ่า 2 แก๊ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะต่อสู้กัน ถ้ามีคนส่ง FBI หรือ CIA ไปช่วยหนึ่งในพวกเขา อีกฝ่ายหนึ่งคงสงสัยเป็นแน่


 


ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนบังลังก์ของเมืองโกลเด้นไม่ได้โง่ นั่นเป็นเหตุผลที่ประเทศแห่งแสงอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของเธอ


 


ตอนแรกโรดส์คิดหนักมาในการหาวิธียั่วยุกลุ่มเจดเทียร์โดยไม่ใช้กำลัง แต่เขาไม่เคยคิดว่าบาร์นนี่พร้อมเสิร์ฟตัวเองไว้บนจานมาให้เขาเลย


 


หลังจากที่ปะทะกัน โรดส์รู้สึกมั่นใจว่าเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่วุ่นวายนี้


 


อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาคือ ทัศนคติของกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มอื่น


 


ปกติแล้วในกลุ่มอื่นๆจะมีการต่อสู้ในลักษณะนี้ระหว่างกลุ่มอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่น่าแปลกคือกลุ่มทหารรับจ้างมากมายเปิดเผยตัวว่าได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทหารรับจางเจดเทียร์อย่างชัดเจน


 


นี่ทำให้โรดส์แปลกใจมาก แต่หลังจากที่คิดเรื่องนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขสทำแบบนั้น


 


เกือบๆจะ 2 ใน 3 ของกลุ่มทหารรับจ้าง 32 กลุ่มในเขตภาฟิวด์ได้รับความเสียหายหนักมาก อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้ เจดเทียร์ได้ใช้เงินมหาศาสและจ้างเหล่าทหารรับจ้าง มันเหมือนกับรนำเกลือไปโรยบนแผล


 


ถ้าเจดเทียร์เป็นเหมือนกับสตาร์ไลท์ที่กลับมาจากสันเขาแห่งความเงียบได้โดยไม่ได้รับความเสียหาย บางทีสถานะของพวกเขาอาจจะแตกต่างไปจากนี้ อย่างไรก็ตาม เจดเทียร์ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนสตาร์ไลท์ พวกเขาใช้เงินเพื่อจ้างเหล่าทหารรับจ้างซึ่งทำให้กลุ่มมากมายไม่พอใจ


 


ไม่ว่าใครที่ออกไป พวกเขาจะแสดงสีหน้าออกมาอย่างน่ารังเกียจ


 


มีการนินทามากมายเกี่ยวกับเจดเทียร์อยู่ในร้านเหล้าเพราะเนื่องจากเหล่าทหารรับจ้างต่างตกอยู่ในสภาพไม่ได้สติเพราะฤทธิ์น้ำเมา พวกเขาไม่มีทางเลือกได้แต่บ่นออกมาอย่างลับๆ ขณะที่เจดเทียร์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นกลุ่มทหารรับจ้างชั้นนำ เพียงแค่จำนวนอย่างเดียว พวกเขาก็นับไม่หมดแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่คิดว่าสตาร์ไลท์จะปรากฎตัวขึ้นและฉีกหน้าเจดเทียร์ การออกมาในครั้งนี้ทำให้พวกเขาพึงพอใจมาก มีบางคนยินดีช่วยเก็บกวาดขยะให้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องสนใจและสนับสนุนพวกเขาจากด้านหลังพอ แม้ว่าโรดส์จะเข้าใจว่าการสนับสนุนเล็กๆน้อยๆนั้นจะดูไม่มีความหมาย แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ซะทีเดียว มันทำให้สมาคมมองเจดเทียร์ในทิศทางที่ไม่ดีมากขึ้น และนั่นเพียงพอสำหรับโรดส์ เนื่องจากพวกเขาต้องรับมือในจุดนี้เพื่อจัดการกับเจดเทียร์ในอนาคต


 


แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้


 


“ที่นี่…สินะ?”


 


เด็กสาวเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่งดงามของเธอเผยให้เห็นสีหน้าไม่สู้ดี เธอกำชุดคลุมแน่นและมองไปที่บ้านหลังใหญ่ตรงหน้าเธอ ถัดจากเธอเป็นเด็กหนุ่มที่ถูกปกคลุมไปด้วยชุดคลุมกำลังลูบหัวของเด็กสาวอย่างอ่อนโยน


 


“อืม….อืมมม”


 


แม้ว่าเธอจะพยักหน้า สีหน้าของเธอไม่ได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ดูจากสภาพภายนอกแล้ว เด็กหนุ่มข้างเธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น จากนั้นเขามองไปยังพรรคพวกของเขาอีก 2 คน เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นก็กังวลเช่นกัน


 


คนทั้งสี่นี้มีอายุไล่เลี่ยกันและพวกเขากำลังสวมชุดคลุมของทหารรับจ้าง ชายหนุ่มและหญิงสาวตรงหน้าดูคล้ายกับพี่น้องกัน พี่ชายแบกธนูไม้เก่าและห้อยมีดบิน 5-6 เล่มไว้ที่เอว ชุดคลุมสีเขียวถูกคลุมไปที่หัวและร่างกายของเขา เหลือไว้เพียงคางที่เผยออกมา ดูเหมือนกับเรนเจอร์เป็นอย่างมาก ขณะที่เด็กสาวด้านข้างแต่งกายคล้ายกับเขา เธอไม่ได้มีบรรยากาศเรนเจอร์เหมือนพี่ชาย


 


เธอจับมือของเขาแน่นและมองไปรอบๆ เธอทำตัวคล้ายกับเด็กที่เพิ่งหนีออกจากบ้านมา


 


คนอื่นๆด้านหลังอีก 2 คนเป็นนักดาบที่สวมชุดเกราะหนัก ขณะที่อีกคนเป็นโชรที่กำลังหาวอยู่และคุกเข่าอยู่บนพื้น


 


แม้ว่าแต่ละคนจะมีสีหน้าแตกต่างกัน แต่พวกเขาทั้งหมดต่างมองไปยังคฤหาสน์เก่าตรงหน้าของพวกเขา


 


ผู้มาใหม่ทั้ง 4 คนอยากเข้าร่วมกับสตาร์ไลท์ ก่อนหน้านี้ พวกเขาเป็นคนของมาร์คไวท์และเป็นผู้ติดตามของแอน


 


ในขณะนั้น ทั้งสี่คนรู้สึกสับสนอย่างมาก


 


มาร์คไวท์เป็นกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มแรกของพวกเขา ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์การผจญภัยมาก่อน นั่นทำให้พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างและเป็นแอนที่คอยช่วยพวกเขาและพาพวกเขามาสมัคร จากนั้นพวกเขาได้ใช้ชีวิตในฐานะทหารรับจ้างเรื่อยมา ในตอนแรกพวกเขาคิดมาหลายวันก่อนที่จะมาลงเอยแบบนี้ พวกเขานั้นประหลาดใจมากที่หัวหน้าเก่าได้ตายลงแบบฉับพลันและสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา การต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าทำให้แอนอึดอัดจและสับสน นั่นทำให้พวกเขากังวลเกี่ยวกับเธอ แต่ในฐานะผู้มาใหม่ พวกเขาไม่มีสิทธิ์มาพูดเกี่ยวกับความเห็นของพวกเขา พวกเขาจึงได้แต่ดูว่ากลุ่มของเขาจะปล่อยแอนไปแบบไหน


 


ต่อมาเมื่อการแย่งชิงจบลง หัวหน้าคนใหม่ถูกแต่งตั้งขึ้นและเริ่มเก็บกวาดคนของหัวหน้าคนก่อนและไล่พวกเขาไปอยู่กับกลุ่มทหารรับจ้างอื่น นี่รวมถึงทั้งสี่คนที่มาอยู่ด้านหน้าประตูในตอนนี้


 


ในที่สุดพวกเขาได้คุยกับชายชราวอร์คเกอร์ เนื่องจากพวกเขาอยู่ที่มาร์คไวท์ได้ไม่นาน พวกเขาจึงตัดสินใจมาตามแอน


 


แต่ทว่าพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราเข้าร่วมกับสตาร์ไลท์ พวกเขาพบว่ามีเรื่องเกิดขึ้นเกี่ยวกับสตาร์ไลท์ ในขณะที่บางส่วนเป็นเรื่องที่ดี เช่นการฆ่าทหารรับจ้างของเจดเทียร์ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ธรรมดา แต่แล้วถ้าหัวหน้าคนใหม่ของพวกเขาเป็นคนโหดร้ายและทารุณล่ะ?


 


แต่เนื่องจากพวกเขาไม่มีทางเลือก หลังจากที่ถูกไล่ออกมาจากมาร์คไวท์และกังวลเกี่ยวกับแอน พวกเขาจึงทำได้เพียงออกมาเผชิญกับโชคชะตา


 


เมื่อพวกเขาทั้งสี่มาถึงทางเข้า ทหารรับจ้างผมแดงเดินออกมา เธอมองไปยังพวกเขาทั้งสี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มือขวาของเธอจับไปที่ดาบและขวางทางของพวกเขาเอาไว้


 


“พวกคุณเป็นใคร? แล้วมาทำอะไรที่ฐานบัญชาการของสตาร์ไลท์?”


 


“เอ่ออออ….”


 


ชอว์น่าแก่กว่าพวกเขาเพียงไม่กี่ปี แต่เนื่องจากเธอเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมาก่อน พลังอำนาจที่ออกมาจากเสียงของเธอยังคงมีอยู่ ไม่ต้องพูดถึงคนที่กำลังอยู่ตรงหน้าเธอ พวกเขาเป็นมือใหม่ที่มีประสบการณ์ได้เพียง 1 ปีเท่านั้น


 


เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่แหลมคมของชอว์น่า เด็กสาวที่สวมชุดคลุมรีบหลบไปด้านหลังพี่ชายทันที พี่ชายของเธอไอเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้น


 


“ขอโทษนะครับ คุณผู้หญิง แต่พวกเราเป็น–”


 


“คุณคือชอว์น่า หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างเรดฮอว์คไม่ใช่เหรอ!?”


 


ก่อนหน้าที่เขาจะพูดจบ เรนเจอร์คนนั้นอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเธอเห็นชอว์น่า


 


“พวกคุณเป็น….”


 


ชอว์หน้ามองพวกเขาด้วยความสงสัยและถามออกมา


 


“พวกเราเป็นผู้ติดตามเก่าของแอนครับ พวกเรามาที่นี่เพื่อ…”


 


“อ่า เป็นพวกคุณนี่เอง”


 


ชอว์น่าพยักหน้าหลังจากที่ได้รับการยืนยันตัวตน เธอวางมือที่กำลังจับไปที่ดาบลงและหันหน้าไปทางคฤหาสน์


 


“ตามฉันมา”


 


ภายใต้การนำของชอว์น่าทั้งสี่คนได้เข้ามายังคฤหาสน์และ ด้วยการตกแต่งภายในของคฤหาสน์ทำให้พวกเขาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ


 


เหตุผลที่กลุ่มทหารรับจ้างของโรดส์โด่งดังเป็นเพราะว่าฐานบัญชาการของพวกเขาเป็นบ้านผีสิงแห่งตระกูลไซริลเก่า ด้วยชื่อนี้ บ้านหลังนี้โด่งดังในเรื่อง ‘ผีๆ’


 


นี่เป็นเหตุผลที่ทั้งสี่คิดว่าบ้านน่าจะเก่าและผุผุง แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นด้านในกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใบแมงมุมหรือเฟอร์นิเจอร์เก่าๆเลย สิ่งที่พวกเขาเห็นมีเพียงโซฟาที่ดูนุ่มสบายและสนามหลังบ้านที่ดูสะอาดสะอ้าน มันอาจจะไม่ได้ดูหรูหรา แต่อย่างน้อยมันก็เรียบร้อย ไม่มีใครเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้จะเคยเป็นบ้านผีสิงในตำนานที่โด่งดังเป็นอย่างมาก


 


“คุณชอว์น่าครับ”


 


เมื่อมองไปยังสายผมแดง เรนเจอร์หนุ่มลังเลก่อนจะถามขึ้นมา


 


“ทำไม…คุณถึงมาอยู่สตาร์ไลท์เหรอครับ?”


 


“เพราะว่าเรดฮอว์คได้ถูกยุบไปแล้วน่ะสิ”


 


ชอว์น่ายักไหล่และตอบคำถามของเรนเจอร์หนุ่ม แม้ว่าเธอจะตอบอย่างสบายๆ แต่ยังคงมีประกายความเศร้าแฝงอยู่ด้วย เพราะว่านั่นเป็นกลุ่มทหารรับจ้างทที่เธอทุ่มเทเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อและน้ำตาไปกับมัน ตอนนี้มันได้จากไปแล้ว เธอจึงรู้สึกเศร้าสร้อย


 


ทั้งสี่ครอดรู้สึกเศร้าในน้ำเสียงของเธอไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดถาม เด็กสาวลอบมองพี่ชายตัวเองอย่างลับๆ เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังต่อว่าพี่ชายของเธอเพราะเรื่องที่ควรพูดและไม่ควรพูด หลังจากที่เห็นน้องสาวของตน เรนเจอร์หนุ่มส่ายศีรษะ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องทันที


 


“คุณชอว์น่าครับ หัวหน้าของสตาร์ไลท์เป็นคนแบบไหนเหรอครับ?”


 


ชอว์น่าหยุดเดิน ทั้งสี่คนที่กำลังตามหลังเธอต้องหยุดไปด้วย พวกเขามองไปยังหญิงสาวผมแดงอย่างสงสัยและรอให้เธอพูด หลังจากนั้นชอว์น่าหันกลับมา แต่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาคิด เธอกำลังยิ้ม!! นั่นหมายความว่าอะไรกัน?


 


“อืมม….การอธิบายคุณโรดส์นั้นเป็นเรื่องยาก นั่นเป็นเพราะฉันเพิ่งมาอยู่กับเขาได้ไม่นาน แต่ฉันให้คำแนะนำให้พวกคุณได้อย่างหนึ่ง”


 


“โปรดบอกมาได้เลยครับ”


 


ทั้งสี่เริ่มกังวลขึ้นมาทันที


 


“ข้อแรก คุณโรดส์มีอายุเท่าๆกับพวกเรา แต่อย่าได้ดูถูกเขาไป เขาสามารถพึ่งพาได้จริงๆ…แล้วจดไว้เลยนะเขายิ้มยากและอีกเรื่องหนึ่ง ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับใบหน้าของเขาต่อหน้าเขา….นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก–เป็นเรื่องสำคัญที่สามารถตัดสินชีวิตของพวกคุณได้เลย”


 


“…..”


 


ทั้งสี่อดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมาเลย แม้แต่รอยยิ้มของโจรก็เริ่มหายไปอย่างช้าๆ


 


เด๋กสาวที่ซ่อนตัวอยู่หลังพี่ชายอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า หน้าของเขามันแก่กว่าหรือว่าอ่อนกว่า ผู้หญิงสนใจเรื่องรูปร่างภายนอกอยู่ตลอดเวลา


 


“มันไม่ใช่แบบนั้น”


 


ชอว์น่ายิ้มออกมาอย่างขมขื่นและโบกมือ หลังจากที่คิดได้ครู่หนึ่ง เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างไร


 


“ยังไงก็เถอะ….ฉันหวังว่าพวกคุณทุกคนจะจำเรื่องพวกนี้ไว้นะ เขาเป็นผู้ชาย อย่าเข้าใจผิดจากการมองของพวกคุณ”


 


หลังจากที่พูดจบ ชอว์น่าเปิดประตู


 


“เข้าไปสิ คุณโรดส์กำลังรออยู่”


105 – อีกหนึ่งเรื่องประหลาดใจ


 


โรดส์มองไปยังทหารรับจ้างทั้งสี่ที่กำลังยืนอย่างกังวลตรงหน้าเขา แม้ว่าชายชราวอร์คเกอร์จะเตือนเขาแล้วว่าพวกเขาเป็นมือใหม่ เขาไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะกังวลมากขนาดนี้


 


“สวัส-สวัสดีครับ คุณ…โรดส์”


 


เรนเจอร์หนุ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมชอว์น่าถึงเตือนเขาว่าโรดส์เป็นผู้ชาย จริงๆถ้าชอว์น่าไม่เตือนเขาก่อนหน้านี้ มันคงเป็นเรื่องยากมากที่เขาจะไม่เรียกโรดส์ว่า ‘คุณผู้หญิง’


 


ถ้าเขาทำแบบนั้น อนาคตของเขาจะจบลงทันที


 


“ยินดีต้อนรับ แอนบอกผมแล้วเรื่องพวกคุณทั้งสี่คน”


 


โรดส์พยักหน้าและกล่าวทักทายพวกเขา


 


เรนเจอร์เดินออกมาและเริ่มแนะนำตัวพวกเขา


 


“ครับ คุณโรดส์ พวกเราเป็นผู้ติดตามของแอนครับ ผมชื่อแรนดอฟ และนี่คือน้องสาวของผมชื่อลาปิส พวกเราสองคนเป็นเรนเจอร์ อีกคนที่สวมชุดเกราะหนักคือแอนดอน และข้างๆเขาคือโจอี้ แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือน….จริงๆแล้วเขาเป็นโจรครับ”


 


“ผมเข้าใจแล้วครับ”


 


โรดส์พูดขึ้นหลังจากที่แรนดอฟแนะนำแต่ละคนออกมา


 


“แอนได้ประเมินความสามารถของพวกคุณไว้ค่อนข้างสูง แต่ผมยังอยากเห็นความสามารถของแต่ละคนอีกครั้ง ผมกำลังจะทดสอบพวกคุณทั้งสี่คน ตราบเท่าที่พวกคุณผ่าน ผมจะอนุญาตให้พวกคุณร่วมต่อสู้กับพวกเราในแนวหน้าได้ แต่ว่าถ้าคุณไม่ผ่าน ผมจะมอบหมายให้พวกคุณทำหน้าที่อื่น เข้าจนะ พวกคุณสามารถเตรียมตัวได้เท่าที่ต้องการ”


 


“ครับคุณโรดส์”


 


แรนดอฟรู้สึกโล่งอก โรดส์เป็นคนไร้อารมณ์อย่างที่ชอว์น่าพูด แต่อย่างน้อยน้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้เย็นชา


 


“คุณโรดส์ คุณแอนอยู่ที่นี่เหรอครับ? นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้พบเธอ…”


 


แรนดอฟถามออกมาด้วยความสงสัย


 


“แอน?”


 


โรดส์เงียบไปครู่หนึ่งและพยักหน้าออกมา


 


“ผมสามารถให้พวกคุณพบเธอได้ แต่คุณต้องเข้าใจก่อนว่าเธออยู่ระหว่างการลงโทษ เธอไม่สามารถออกมาข้างนอกได้”


 


การลงโทษ?


 


พวกเขามองหน้ากันและกันด้วยความกังวล


 


การลงโทษประเภทไหนกันที่แอนได้รับ?


 


ทำไมเธอถึงถูกลงโทษกัน?


 


มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะจินตนาการว่าทำไมเธอถูกลงโทษ ย้อนกลับไปที่มาร์คไวท์ แอนถูกลงโทษอยู่บ่อยๆเพราะการแสดงความคิดและกระทำออกมาตรงเกินไป ดังนั้นเธอมักสร้างปัญหาในกลุ่มอยู่บ่อยๆ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เนื่องจากหัวหน้าคนเก่าเป็นคนปกป้องเธอ อย่างไรก็ตาม เมื่อหัวหน้าคนเก่าตาย ปัญหาที่เธอสร้างเริ่มรุนแรงและถูกลงโทษเพราะมันบ่อยขึ้น


 


แรนดอฟคิดว่าบางทีแอนจะปฏิบัติตัวได้ดีขึ้นในสภาพแวดล้อมใหม่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้น….


 


แอนไปทำอะไรให้คุณโรดส์โกรธกัน?


 


เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?


 


ในขณะนั้น ความคิดมากมายไหลเข้ามาในหัวของพวกเขา


 


พวกเขาทั้งหมดกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เกี่ยวกับแอน พวกเขาจินตนาการว่าเธอถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินที่หนาวเย็นและมืดสนิท ถ้าเธอถูกปฏิบัติเช่นนั้น พวกเขาจะอยู่ในกลุ่มทหารรับจ้างนี้อย่างสงบสุขได้อย่างไร?


 


แต่พวกเขากลับโง่งมทันทีเมื่อโรดส์เปิดประตู


 


มือทั้งสองของเธอถูกซุกอยู่ราวกับเธอกำลังนั่งบนขอบเตียงด้วยความน่าเบื่อ เมื่อเธอได้ยินเสียงเปิดประตูและเห็นโรดส์ เด็กสาวกระโจนออกมาและวิ่งตรงไปหาโรดส์ทันที


 


“น่าาา หัวหน้าา ในที่สุดคุณก็มา! ถึงเวลาที่ข้าจะออกไปข้างนอกได้แล้วใช่ไหม?????”


 


แรนดอฟและคนอื่นๆมองไปยังเด็กสาวด้วยอาการอ้าปากค้าง ถ้าเด็กสาวมีหางในตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะแกว่งไปมาเร็วมากแค่ไหน


 


แต่ดูเหมือนว่าโรดส์จะไม่ได้หลงคารมณ์ของเธอ เขาชี้ไปที่เวลาและพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์


 


“ไม่ เที่ยงคืน”


 


อ่า นั่นคือ….การลงโทษ?


 


“ยังไงก็เถอะ เพื่อนของคุณมาเพื่อพบเธอน่ะ”


 


โรดส์ลูบหัวของแอนและชี้ไปยังกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเขา แอนเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทหารรับจ้างทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังโรดส์และกำลังมองมาที่เธอ


 


“อ่า แรนดอฟ ลาปิส ในที่สุดพวกนายก็มา!”


 


“พี่แอน!”


 


ลาปิสที่กำลังซ่อนอยู่ด้านหลังพี่ชายของเธอวิ่งออกไปและกอดแอน แอนลูบหัวของเธอและยิ้มออกมาเหมือนกับที่โรดส์ทำก่อนหน้านี้


 


“ลาปิส เธอยังเป็นลูกแมวขี้กลัวอยู่แบบนี้ — เธอเป็นแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ เข้าใจไหม? เธอเป็นทหารรับจ้างแล้ว! ถ้าเธอไม่มีความกล้าพอ เธอจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอานะ!”


 


“ฉันไม่ได้กลัวค่ะ! ฉันแค่กังวล!”


 


เด็กสาวเงยหน้าขึ้นและพยายามตอบ แต่ใบหน้าของเธอแดงกล่ำ


 


“คุณแอน ผมดีใจมากเลยครับที่ได้พบคุณอีกครั้ง”


 


แรนดอฟและคนอื่นๆอีก 2 คนเดินตรงไปยังแอนและทักทายเธอ


 


สำหรับโรดส์ เขาได้ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว เขาจึงปล่อยให้พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกัน


 


“แรนดอฟ แอนดอน โจอี้ พวกนายก็ยังอยู่ดี”


 


เมื่อมองไปยังทั้งสาม แอนหัวเราะและพูดออกมา แต่น้ำเสียงของเธอต่อมาเปลี่ยนไปเป็นจริงจังทันที


 


“แต่ว่าในสตาร์ไลท์ อย่าเรียกฉันว่าคุณแอนอีก ฉันเป็นเพียงทหารรับจ้างทั่วไปที่นี่ ดังนั้นต่อไปเรียกแค่ชื่อของฉันก็พอ พวกนายต้องจำไว้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างนี้เป็นของคุณโรดส์ อย่าทำเรื่องนี้ผิดพลาดอีก เข้าใจไหม? ไม่เช่นนั้น ฉันจะคลั่ง!!”


 


ทั้งสี่แปลกใจทันทีเมื่อแอนเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง


 


“แน่นอน..คุณ…ไม่สิ แอน”


 


“อ่า พี่แอน พี่ไปทำอะไรมาเหรอถึงได้รับการลงโทษ? แล้วมีใครแกล้งพี่ไหม?”


 


ลาปิสยกศีรษะขึ้นและถามอย่างสงสัย


 


“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่….”


 


สีหน้าของแอนเริ่มอึดอัดเมื่อเธอได้ยินคำถามของลาปิส ทั้งสี่คนได้แต่มองเธอด้วยสีหน้าแปลกๆ พวกเขาติดตามแอนมาเป็นเวลา 1 ปี ดังนั้นอาจจะบอกได้ว่าพวกเขารู้นิสัยของเธอดี แม้แต่กับหัวหน้าคนเก่า เมื่อแอนทำผิด เธอจะไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้เธอกำลังลังเล!


 


“มันก็แค่เรื่อง….ฉันไม่ได้ทำตามคำสั่งของหัวหน้าในภารกิจก่อนหน้านี้ นั่นทำให้หัวหน้าโกรธมากและบอกฉันถึงผลกระทบจากความผิดพลาดของฉัน ฉันไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาบอกให้ฉันทำ หึ!! หัวหน้าก็เข้มงวดเกินไป!”


 


เมื่อมองไปที่เด็กสาวที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงที่พูดออกมาอย่างไม่พอใจ ทั้งสี่ได้แต่มองหน้ากันและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น พวกเขาไม่เคยรู้ว่าแอนนั้นเข้าข้างตัวเอง เธอไม่เคยเกรงกลัวอะไรเลย อะไรทำให้โรดส์สามารถทำให้แอนว่านอนสอนง่ายขึ้นมา?


 


เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถหาคำตอบของคำถามนี้ได้ พวกเขาจึงไปที่สนามฝึกหลังบ้าน เป็นไลซ์ที่นำพวกเขาไป แน่นอนว่าในตอนแรก พวกเขามองเห็นโรดส์เป็นคนโหดเหี้ยมและทรงพลัง แต่ตอนนี้พวกเขามองเขาเป็นคนที่เป็นมิตรและลึกลับ พวกเขารู้สึกโล่งใจเมื่อพบว่าโรดส์ค่อนข้างใส่ใจในตัวของลูกน้องของเขา


 


เมื่อพวกเขามาถึงลานฝึก พวกเขามองเห็นโรดส์และมาร์ลีนกำลังยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา


 


“4 คนนี้เหรอ?”


 


มาร์ลีนขมวดคิ้วและแสดงออกถึงความไม่พอใจ


 


“บอกตรงๆ พวกเขาดูไม่เหมือนว่าพวกเขาต่อสู้ได้”


 


“ไม่เป็นไรเหรอก พวกเขาอาจจะมีความสามารถก็ได้”


 


โรดส์ส่ายหัว


 


“ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะจ้างคนที่ทรงพลัง เนื่องจากพวกเรากำลังขาดกำลังคน พวกเขาจะต้องพอใจในเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไร้พลังซะทีเดียว ด้วยการฝึก ผมคิดว่าคนพวกนี้ต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน”


 


หลังจากที่โรดส์พูดจบและเดินตรงไปยังพวกเขาทั้งสี่ ในสายตาของพวกเขา โรดส์มองมาด้วยความลังเล ความไม่เชื่อใจและความคาดหวัง นั่นทำให้โรดส์นึกย้อนกลับไปในเกม เมื่อเขาได้นำพวกมือใหม่ไปทำภารกิจ หลังจากที่ก่อตั้งสตาร์ไลท์ ในขณะนั้น ทหารรับจ้างสี่คนนี้เป็นเหมือนกับผู้เล่นเหล่านั้น


 


เอาล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ เขาควรจะทำสอบคนพวกนี้ด้วยการใช้วิธีเดียวกัน


 


“การทดสอบนั้นง่ายมาก ตราบเท่าที่คุณสามารถสร้างบาดแผลให้กับวิญญาณอัญเชิญของผมได้ นั่นหมายความว่าพวกคุณชนะ พวกคุณสามารถใช้อะไรก็ตามต้องการ ผมเพียงต้องการอยากเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกคุณ”


 


โรดส์พูดและถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นการ์ดสีดำปรากฎขึ้นในมือของเขา


 


โดยไม่รอให้พวกเขาตอบรับ อัศวินเซนทอร์ตัวใหญ่ได้ปรากฎขึ้นจากหมอก มันก้มหัวลงและมองไปยังทุกคนด้วยสายตาสีแดงเลือด ก่อนจะคำรามออกมา


 


นั่นมันอะไรกัน? มันมาจากไหน?


 


พวกเขาตกใจอย่างมากกับการปรากฎตัวของมอนสเตอร์ แต่ก่อนหน้าที่พวกเขาจะได้พูดอะไร โรดส์ได้ดีดนิ้วและพูดขึ้น


 


“การทดสอบเริ่มได้”


 


“—-!!!!”


 


อัศวินเซนทอร์คำรามออกมา มันยกหอกในมือของมันขึ้นและฟาดลงมาเป็นแนวตรง


 


“ไม่ดีแล้ว!”


 


แรนดอฟกลิ้งตัวหลบลงกับพื้นเพื่อหลบการโจมตีในแนวตรงของเซนทอร์ จากนั้นเขาหยิบธนูออกมาจากด้านหลังและเตรียมยิงและเล็งไที่อัศวินเซนทอร์ทันที


 


“ทุกคน เตรียมรูปแบบการต่อสู้ได้ ลาปิส!”


 


“ค่ะ พี่!!”


 


ลาปิสที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังยืดมือออกและหยิบของบางอย่างออกมาและขว้างไปหามันทันที


 


“เอ๊ะ?”


 


ทั้งโรดส์และมาร์ลีนยกคิ้วขึ้นมาในเวลาเดียวกัน พวกเขามองเห็นเธอขว้างขวดแก้วที่มีของเหลวโปร่งแสงบางอย่างออกมา เมื่อพวกแก้วพวกนั้นกระทบพื้น มันแตกเป็นเศษและของเหลวด้านในผสมกัน จากนั้นพริบตาเดียว ของเหลวที่ดูเหมือนไม่อันตรายถูกเปลี่ยนเป็นคมดาบที่สร้างมาจากน้ำแข็งและยิงออกไปทันที


 


ในขณะนั้น มาร์ลีนที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ


 


“โพชั่นน้ำแข็ง?”


 


“การผสานธาตุ….นั่นเป็นอัลเคมิสต์(นักเล่นแร่แปรธาตุ)”


 


โรดส์พูดออกมา


 


เขามองไปยังเด็กสาวตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ


 


เขาควรจะเก็บสมบัติชิ้นนี้ไว้อีกดีไหม?

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม