Summoning the Holy Sword 73-91

 73 – ภายในซากปรักหักพัง


 


[บททดสอบสำเร็จ ได้รับสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้พิทักษ์ กู้คืนเกียรติยศที่หายไป]


 


ระบบแจ้งเตือนสามารถเข้าใจได้ง่าย แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นตอนนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาด


 


โรดส์แน่นอนเขารู้ว่าเกียรติยศของเขาคืออะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาได้รับจากความพยายามของเขา บททดสอบที่เขาต้องเดินผ่านจนถูกขนาดนามว่า นักดาบอัญเชิญที่ทรงพลังที่สุด ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องเข้าร่วม การแข่งขันชิงแชมป์ PVP ที่มีผู้เล่นมากกว่าหนึ่งพันคนที่ต่อสู้กันผ่านการประลอง ทุกๆคนมีเรื่องราวที่ผ่านมา โรดส์ที่ได้รับชัยชนะและได้รับตำแหน่งนักดาบอัญเชิญที่เก่งกาจที่สุดใน Dragon Soul Continent


 


ตอนนี้ดูเหมือนว่าภารกิจในตอนนี้จะผลักให้เขาเดินไปตามเส้นทางในอดีตของเขาอีกครั้ง


 


แต่มันแปลกมาก เขารู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในโลกเกมอีกต่อไป ไม่มีผู้เล่น ไม่มีบริษัทเกม ไม่มีระบบการแข่งขัน PVP เหมือนกับเขาถูกส่งมาในยุคของราชวงศ์ถังโดยที่ตัวเขาเป็นแชมป์นักแข่งรถ F1


 


โรดส์เคยเห็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของผู้พิทักษ์มาก่อน ในเกม คลาสอื่นๆมากมายต่างก็มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์คล้ายๆกับที่เขาครอบครอง จอมเวทย์มีวงเวทย์ นักดาบมีสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ อัศวินมีสัญลักษณ์แห่งความอดทน และนักบวชมีหัวใจศักดิ์สิทธิ์ แม้กระทั่งโจรหรือมือธนูเองก็มีสัญลักษณ์เวทย์ สิ่งเหล่านี้จะได้รับจากบททดสอบเท่านั้น แต่มันไม่ได้เทียบเท่ากับสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้พิทักษ์ ซึ่งมันเป็นเหมือนพันธะวิญญาณมากกว่าสิ่งอื่นใด


 


เส้นสีเงินและดำพันกันอย่างต่อเนื่อง ก่อตัวเป็นลวดลายที่ซับซ้อนแต่ก็ยังสวยงามบนมือของเขา ลวดลายเหล่านี้เชื่อมต่อเข้ากับวงเวทย์อัญเชิญบนฝ่ามือของเขา เมื่อโรดส์จงใจซ่อน ลวดลายเหล่านี้จะหายเข้าไปใต้ผิวหนังของเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็น


 


[สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้พิทักษ์(หัวใจแห่งเกียรติยศ)


หัวใจแห่งเกียรติยศ: การใช้พลังงานของวิญญาณอัญเชิญจะลดลง 1 ใน 3 และระยะเวลาการอัญเชิญจะเพิ่มขึ้น 1 ใน 3]


 


เรียบร้อย!


 


ในที่สุดโรดส์ถอนหายใจออกมา เขาทิ้งตัวลงกับพื้นและรับดาบศักดิ์สิทธิ์ที่กลับมาในรูปแบบการ์ด ตอนนี้โรดส์เหนื่อยอย่างมาก ใบหน้าของเขาซีดเซียวจากการขาดเลือดอย่างเห็นได้ชัด เลือดที่อาบชุ่มมือของเขาเริ่มตกสะเก็ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว น้ำตาโลหิตเป็นอาวุธที่ไม่ธรรมดา ตราบเท่าที่มันได้รับเลือด มันจะแสดงพลังอำนาจของมันออกมา


 


แต่มันจะดีกว่านี้ ถ้าไม่ใช้เลือดของเขา


 


“คุณโรดส์!”


 


เมื่อการทดสอบจบลง บาเรียที่กีดขวางมาร์ลีนได้สลายหายไป ระหว่างการต่อสู้ ทั้งหมดที่เธอทำได้คือการมองดูโรดส์ต่อสู้ด้วยสีหน้ากังวล ตอนนี้เมื่อบาเรียถูกทำลาย เธอรีบวิ่งตรงไปที่โรดส์อย่างรวดเร็ว


 


“คุณได้รับบาดเจ็บ?!” มาร์ลีนถามออกมาอย่างกังวล เมื่อเธอเห็นบาดแผลที่มือของโรดส์ซึ่งอาบชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ


 


โรดส์โบกมือไปมาอย่างไร้กังวลและพูดว่า “บาดแผลเล็กน้อยน่า”


 


เขาพยายามลุกขึ้น แต่หลังจากที่สูญเสียเลือดไปมาก มาร์ลีนขมวดคิ้วและพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “คุณควรพัก รอบๆไม่มีศัตรูแล้ว หลังจากที่คุณฟื้นตัว พวกเราค่อยจัดการต่อ”


 


เมื่อเห็นการยืนกรานของเธอ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา อาการเสียเลือดและการใช้พลังวิญญาณเกินขีดจำกัดทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรง มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่จะฝืนตัวเอง ดังนั้นด้วยความช่วยเหลือของมาร์ลีน เขาเอนตัวลงใกล้ๆเสาเพื่อฟื้นตัว


 


ขณะที่โรดส์กำลังฟื้นตัว มาร์ลีนไม่อยู่เฉย เธอเดินไปเก็บผลึกโปร่งแสงหลายอัรและวางมันข้างๆโรดส์ ก่อนที่จะร่ายเวทย์เงียบๆ ไม่นานม่านโปร่งแสงสีรุ้งปรากฎขึ้นและปกคลุมร่างของพวกเขาทั้งสอง


 


“นี่เป็นเวทย์ป้องกันระดับกลาง” มาร์ลีนอธิบายพร้อมส่ายศีรษะเล็กน้อย เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของโรดส์ที่จ้องมองมายังเธอ “มันช่วยฟื้นฟูบาดแผลและความเหนื่อยล้าอย่างมาก ฉั-ฉัน..คิดว่าคุณควรพักผ่อนหลังจากที่ต่อสู้มาอย่างหนักน่ะ นี่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลเซเนีย มันไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถทำลายได้…”


 


เสียงของมาร์ลีนสั่นเล็กน้อยขณะพูด เป็นเวลาสองวันที่พวกเขาใช้เวลาเดินทางมาถึงก้อนหินแห่งความโศกเศร้า โรดส์คอยระมัดระวังตัวเสมอ เมื่อมีบางสิ่งเคลื่อนไหว เขาจึงตอบสนองได้อย่างทันท่วงที โดยแต่ละครั้ง เขาออกคำสั่งให้เธอตรวจสอบกลุ่มผู้ชายที่ติดตามพวกเขามา


บอกตรงๆ เธอเหน็ดเหนื่อยอย่างมากทำให้ต้องนอนลงกับพื้นแข็งๆที่หนาวเหน็บ ก้อนหินขรุขระและกลิ่นของพุ่มไม้ทำให้เธอคิดถึงเตียงนอนนุ่มๆที่เมืองโกลเด้น เธออยากคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก อย่างไรก็ตาม เธอรู้ดีว่าประสบการณ์ที่เธอได้รับนั้นเป็นสิ่งไร้ค่าไปเลยเมื่อเทียบกับกับโรดส์


 


จากที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนของโรดส์ ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้น เขาจะรีบแก้ไขมัน แต่หลังจากที่เดินทางมากับเขา มาร์ลีนเข้าใจแล้วว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากเท่าใดในการรับประกันความสำเร็จของเขา


 


อาจจะบอกได้ว่าเธอนั้นเหมือนโรดส์เป็นอย่างมาก ตั้งแต่เด็ก เธอถูกเรียกด้วยชื่อที่สูงส่งมาตลอด เช่น ‘ความภาคภูมิใจของตระกูลเซเนีย’ หรือ ‘จอมเวทย์อัจฉริยะ’ ‘นางฟ้าจอมเวทย์’ จากบุคคลภายนอก เธอเป็นอัจฉริยะที่สามารถจดจำเวทมนตร์ได้มากมายและความเข้าใจในด้านพลังวิญญาณนั้นเหนือล้ำกว่าคนทั่วไปมาก แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการประสบความสำเร็จ เมื่อเด็กคนอื่นๆกำลังวิ่งเล่นอยู่ด้านนอก เธอได้แต่นั่งอยู่ในห้องพร้อมด้วยกองหนังสือโบราณล้อมรอบตัวเธอ ขณะที่เหล่าเด็กผู้หญิงมัวแต่สนใจงานเลี้ยง เธอต้องอยู่คนเดียวอย่างเดียวดายในห้องใต้ดิน เพื่อฝึกฝนเวทย์ของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


แม้แต่เวลานอนของเด็กคนอื่นๆ เธอก็ได้แต่ฝึกมารยาททางสังคมหน้ากระจก ท้ายที่สุดชะตากรรมของเธอ ในขณะที่เหล่าขุนนางที่อยู่ในเมืองบ้านเกิดของเธอกำลังฝึกขี่ม้า สำหรับตัวเธอแล้ว เธอต้องเผชิญหน้ากับอันตรายมากมายในป่าแห่งนี้กับโรดส์


 


ผู้คนมากมายอิจฉาเธอ โดยทั่วไปแล้วเธอรู้สึกภูมิใจในพรสวรรค์และความสามารถของเธอเพราะว่าเธอเต็มใจฝึกฝนอย่างหนัก


 


อีกด้านหนึ่ง มาร์ลีนไม่อนุญาตให้ใครมาดูถูกเธอ ในความคิดของเธอ ถ้าเรื่องการฝึกฝนอย่างหนักของเธอหลุดออกไป คนเหล่านั้นจะเอาแต่นินทาเธอจึงเป็นเรื่องง่ายที่เธอจะถูกนินทา


 


นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มาร์ลีนเข้าใจโรดส์ แม้เมื่อเขาจะตำหนิเธอ เธอก็จะยอมรับความเห็นของเขาและนิ่งเงียบ เพราะเธอรู้ดีว่าชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอนั้นฉลาดกว่า พรสวรรค์ที่เหนือกว่าและยังพยายามมากกว่าเธอ เนื่องจากเธอไม่เคยให้ใครมาดูถูกความพยายามของเธอ โดยที่เธอเองก็ไม่ละเลยความพยายามของคนอื่น


 


แน่นอนไม่ว่าโรดส์จะรู้หรือไม่ว่ามาร์ลีนคิดอะไร เมื่อมองย้อนกลับไป เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่ม ไร้เดียงสา เขาพยายามนึกถึงแฟนเก่าของเขา เมื่อเธอบอกเลิกเขา เขารู้สึกสับสนมาก เมื่อเขาจินตนาการออกไป เธอไม่สนใจฉันแล้วหรอ? เธอไปหาผู้ชายคนใหม่รึ? พวกเขาไม่เหมาะกันสินะ?


 


แต่เขากลับพบความจริงที่ว่า เหตุผลที่เธอบอกเลิกเขาคือ เขามีเสน่ห์มากเกินไป ทำให้เธอรู้สึกกดดันอย่างมาก และค่านิยมของผู้หญิงในสมัยนี้ การมีแฟนที่หน้าตาสวยกว่าพวกเธอเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้


 


จากจุดนี้ โรดส์จึงไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีกต่อไป เนื่องจากมาร์ลีนรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา เขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปและหลับตาลงเริ่มฟื้นฟูความเหนื่อยล้า ยิ่งไปกว่านั้นตามความรู้ที่เขามี บาเรียนี้แข็งแกร่งอย่างมาก


 


แม้ว่าเสานี้จะแข็งและเย็น เขาก็ไม่สนใจแล้ว


 


“คุณโรดส์” เสียงกระซิบเบาๆดังขึ้น


 


โรดส์ลืมตาขึ้นและหันไปทางมาร์ลีน เขาเห็นเธอกำลังวางผ้าคลุมลงบนพื้น จากนั้นเขาสังเกตเห็นว่าเธอกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาลังเล


 


ร่างของมาร์ลีนแข็งค้างเมื่อเธอรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา


 


ไม่มี—อะไร…ไม่มีอะไรไปมากกว่าการตอบแทนน้ำใจให้เขา


 


เขาได้รับบาดเจ็บเพราะฉัน ในฐานะสมาชิกของตระกูลเซเนีย ฉันต้องตอบแทน


 


อืมม ใช่ ใช่! ใช่แล้ว มันต้องเป็นแบบนั้น!


 


“…ถ้าคุณไม่ว่าอะไร…คุณมานอนตรงนี้ก็ได้…”


 


มาร์ลีนปูผ้าไว้บนตักของเธอ ใบหน้าของเธอแดกกล่ำราวกับเลือดกำลังสูบฉีดขึ้นไป


 


“ฉันคิดว่าคุณควรได้พักผ่อนแบบสบายๆ มันดีต่อสุขภาพกว่าการไปนอนพิงเสาเย็นๆนั่น แล…และมือของคุณก็ยังเจ็บ แม้ว่าฉันจะไม่ได้ช่วยคุณในการต่อสู้ อย่างน้อยฉันก็ช่วยดูแลคุณได้ เวทย์รักษาของฉันอาจจะไม่ดีเท่าของไลซ์ แต่ฉันเป็นจอมเวทวย์ ฉันพอรู้จักเวทย์พื้นฐานบางบท…”


 


“ได้งั้นหรอ?” โรดส์พยักหน้าและตอบกลับไป


 


เมื่อมาร์ลีนเห็นเขาพยักหน้า เธอมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่มั่นใจและเต็มใจช่วยเขาทุกอย่าง


 


“แน่นอน! ไม่-ไม่มีปัญหา! เรื่องแค่นี้เอง สบายมาก!”


 


“ได้สิ”


 


เขาไม่รอให้มาร์ลีนเอ่ยอะไรออกมา เขาวางหัวลงบนตักของเธอและหลับตาลง เนื่องด้วยการเคลื่อนไหวที่กะทันหันของโรดส์ ร่างของมาร์ลีนแข็งทื่อ เมื่อเธอรู้สึกตัว เขาก็หลับลึกไปแล้ว


 


“…ไร้มารยาท!” มาร์ลีนเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังหลับอยู่บนตักของเธอ


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอส่ายศีรษะและถอนหายใจ หลังจากนั้นเธอจับมือของโรดส์มาบางบนมือของเธอ


 


โดยใช้มือที่ว่างอยู่ เธอเริ่มร่ายเวทย์ทำให้เกิดแสงสว่างอ่อนๆ เมื่อเธอเห็นบาดแผลของเขาชัดๆภายใต้แสง เธอประหลาดใจอีกครั้ง นิ้วโป้งและนื้วมืออื่นๆของเขาแตกทั้งหมด เลือดไหลลงมาที่แขนของเขาและหยดลงพื้น


 


“บาดแผลร้ายแรงมาก….”


 


เธอรู้ดีว่าบาดแผลของโรดส์ไม่ใช่บาดแผลทั่วไป แต่ตอนนี้เธอพยายามดูแลใกล้ๆ แต่กลับทำได้อย่างสั่นๆ เพื่อที่จะดูแลเขา เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าของเธอออกมาช้าๆและเช็ดเลือดอย่างแผ่วเบา


 


สำหรับจอมเวทย์ มาร์ลีนได้เรียนรู้ทักษะพื้นฐานในการรักษา แต่เธอไม่เคยใช้มันมาก่อน เพราะเธอยากที่จะได้รับบาดเจ็บ และถึงแม้ว่าคนอื่นจะได้รับบาดเจ็บ บาดแผลของพวกเขาก็ไม่ถึงตาย…อย่างน้อยกรณีนี้ก็ใกล้เคียงที่สุด


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้ เธอกำลังพันผ้าพันแผลอย่างเก้ๆกังๆ จึงได้แต่ตำหนิตัวเอง ถ้าเธอได้เรียนรู้วิธีการพันแผลมาจากไลซ์บ้างละก็….


 


เมื่อมองไปที่นิ้วมือของโรดส์ตอนนี้ มันมีลักษณะเหมือนกับแครอท


 


โอ้ยย..ถ้าไลซ์อยู่ที่นี่นะ….


 


ร่างของมาร์ลีนแข็งทื่อทันที


 


มาร์ลีนไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเธอนึกถึงร่างของไลซ์ ในใจของเธอกลับรู้สึกไม่สบายใจ ทำไมเธอถึงรู้สึกแบบนี้กัน? ไลซ์เป็นเพื่อนรักของเธอและเธอยังเป็นนักบวช ถ้าเธออยู่ที่นี่ เธอคงดูแลบาดแผลของโรดส์ได้ดีกว่านี้ มาร์ลีนไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเธอจินตนาการไลซ์กำลังดูแลบาดแผลของโรดส์ เธอกลับรู้สึกไม่ดีใจ


 


นี่เป็นเพราะฉันเหนื่อยมากหรอเนี่ย?


 


เธอขมวดคิ้วและพูดกับตัวเอง ท้ายที่สุดเธอก็ไม่พบคำตอบ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจให้ความสำคัญกับการพันแผลให้กับโรดส์


 


ภายในซากปรักหักพัง มีเพียงแสงเวทมนตร์เท่านั้นที่สว่างไสวท่ามกลางความมืด


74 – กลับเมืองดีพสโตน


 


โรดส์ลืมตาขึ้น


 


เขาไม่มีทางเลือกทำได้แต่ยอมนอนหลับ นี่เป็นการนอนหลับที่สบายที่สุดตั้งแต่ที่ออกมาจากเมืองดีพสโตน ความรู้สึกที่ปล่อยให้ทุกสิ่งผ่านไปและสนใจแต่การผ่อนคลายราวกับเป็นยาเสพติด มันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขารู้สึกสบายกับ ‘หมอน’ นุ่มๆใต้ศีรษะของเขาที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ


 


หลังจากที่ตื่นขึ้น สิ่งแรกที่โรดส์เห็นคือใบหน้าของมาร์ลีนที่กำลังหลับอยู่ อาการเหนื่อยล้าของเธอเป็นหลักฐานที่ชัดเจน เธอเอนหลังพิงเสา หลับตาโดยใช้มือของเธอหนุนเข่า เวทย์แสงที่เธอร่ายไว้ก่อนหน้าได้ดับลงเป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงแสงสลัวๆจากคบเพลิงเท่านั้น


 


โรดส์นั่งลงช้าๆ แต่เมื่อเขาใช้มือซ้ายพยายามยกตัวขึ้นจากพื้น เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างแปลกๆ เขาหันศีรษะและมองไปยังมือของเขา เมื่อเขาสังเกตเห็น ‘แครอท’ ทั้ง 5 ซึ่งสมควรจะเป็นนิ้วของเขา เขาถึงกับพูดไม่ออก


 


อย่างที่คิด เด็กสาวชนชั้นสูงคนนี้


 


โรดส์ถอนหายใจและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้


 


เขาเริ่มแกะผ้าพันแผลออกและพบว่ารอยแผลลึกบนฝ่ามือของเขาได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเผ่าพันธุ์ของเขาจะเป็นอะไร แต่ความสามารถในการฟื้นตัวที่รวดเร็วขนาดนี้ ถ้าเขาเป็นมนุษย์ทั่วไป บางทีรอยแผลนี้จะยังไม่ถูกรักษาและเขาต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีก 2 สัปดาห์


 


ขณะนี้ดวงตาของมาร์ลีนเปิดออกอย่างช้าๆ


 


“หืมมม….”


 


เธอกรนออกมาเบาๆและลืมตาขึ้น ดวงตาของพวกเขาทั้งสองสบตากัน


 


โรดส์เลือกที่จะไม่หลบสายตาของเธอและจ้องมองกลับไป หลังจากเห็นปฏิกิริยาของเธอที่ผ่านมา เขาค้นพบบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวของเธอ ยกตัวอย่างเช่น เธอมีความดันโลหิตต่ำ


 


สำหรับจอมเวทย์ อาการเวียนหัวไม่ใช่เรื่องดี


 


จริงๆแล้วเมื่อโรดส์พบเรื่องนี้ เขาเองก็ตกใจ เขาอยากให้มาร์ลีนตื่นจากฝันของตัวเอง แต่เมื่อเธอกอดเขาแน่นด้วยมือของเธอเอง แม้ว่าเธอจะดูบอบบางจากภายนอก แต่โรดส์ก็รู้ดีว่าเวทมนตร์ของเธอทรงพลังมากขนาดไหน ถ้าไม่ใช่ว่าเธอติดอยู่ในความฝัน เธออาจจะระเบิดร่างของเขาตายไปแล้วก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือเธอจำอะไรไม่ได้เลย!


 


ถึงตรงนี้ โรดส์ตัดสินใจถอยห่างจากเธอโดยเฉพาะเมื่อเธอตื่นขึ้นมา


 


แม้ว่าตอนนี้ดวงตาทั้งสองของเธอว่างเปล่าราวกับถูกมนต์สะกด เธอดูคล้ายกับตุ๊กตาที่ถูกชักใยและนอกจากนี้ ใบหน้าที่งดงามของเธอในตอนนี้สามารถปลุกสัญชาตญาณของชายทุกคนได้


 


แต่โรดส์รู้ดี ถ้ามีใครทำอะไรลงไป พวกเขาทุกคนตายหมดแน่


 


ต่อมา ร่างกายของเธอเริ่มส่ายไปมาราวกับลูกตุ้ม


 


หนึ่ง


 


สอง


 


สาม


 


ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องหลุดรอดออกมาจากปากของเธอ


 


“กรี๊ดดดดดดด!” ดวงตาที่ง่วงนอนของมาร์ลีนเปิดออก เมื่อเธอสังเกตเห็นโรดส์กำลังจ้องมองมาที่เธอ “คุ-คุณโรดส์ คุณตื่นแล้วหรอ?”


 


ดูเหมือนว่าในที่สุดเธอก็ตื่น


 


“สวัสดี คุณมาร์ลีน”


 


โรดส์โบกมือทักทายเธอ


 


“ดูเหมือนว่าคุณจะหลับฝันดีนะ”


 


“อืม…เมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับน่ะ” มาร์ลีนพูดออกมาเบาๆ


 


เธอกวาดตาไปรอบๆ แต่เธอนึกได้ว่าพวกเขาอยู่ใต้ดิน ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถบอกเวลาได้


 


มาร์ลีนพยายามยืนขึ้น แต่ขาของเธอไร้ความรู้สึกและล้มลงที่พื้น “โอ้ย..เจ็บ…”


 


“เตรียมตัวออกกันเถอะ พวกเรากำลังจะกลับเมืองดีพสโตนกัน”


 


“ได้…” มาร์ลีนก้มหัวเล็กน้อยและตอบกลับ เห็นได้ชัดว่าเธอค่อนข้างอาย


 


เธอยืนขึ้นอีกครั้งและเดินตรงไปยังก้อนผลึกโปร่งแสง ก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาและเก็บไปยังช่องเก็บของ ทันใดนั้น มาร์ลีนนึกบางสิ่งได้ เขาเดินตรงไปที่โรดส์และหยิบของออกมา 2-3 ชิ้นจากกระเป๋าของเธอ


 


“ใช่สิ ของพวกนี้….”


 


“อะไรหรอ?”


 


“ตามที่คุณสั่ง มันเป็นของที่ ‘ปล้น’ ได้มา”


 


ท้ายที่สุดเธอก็กลับมาเป็นเธอคนเดิม


 


“ฉันเจอของพวกนี้จากพวกสายลับ ฉันคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับคุณ…”


 


“เอ๊ะ?” โรดส์ส่ายหน้าเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเธอเกลียดการจัดการกับศพเหล่านั้นและดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยากทำมันอีก


 


แต่นี่คืออะไร?


 


มันไม่ใช่แนวทางของมาร์ลีนที่เธอจะทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอพูด หรือเด็กสาวคนนี้เปลี่ยนความคิดแล้ว?


 


แม้ว่ามาร์ลีนจะเกลียดการทำเช่นนี้ เธอยังคงเป็นเด็กสาวที่เด็ดเดี่ยว เมื่อเธอคิดได้ เธอจะจัดการภารกิจที่ได้รับอย่างครบถ้วน จากร่างของศพทั้งสาม มาร์ลีนพบอุปกรณ์เวทย์ 4 ชิ้น ส่วนใหญ่จะเป็นของทั่วไปซึ่งช่วยเพิ่มประสาทสัมผัสและพลังเวทย์ โรดส์รู้สึกว่าดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เนื่องจากกลุ่มทหารรับจ้างของเขานั้นเหมือนกับเด็กแรกเกิด อุปกรณ์เวทย์เหล่านี้ยังสามารถใช้หรือนำไปขายได้


 


อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์เวทมนตร์ชิ้นหนึ่งดึงดูดความสนใจของเขา มันเป็นกริชที่มือสังหาร(สายลับ)หญิงก่อนหน้านี้เป็นคนใช้ มันมีความสามารถในการทะลวงเวทมนตร์ระดับกลาง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังถูกเคลือบไปด้วยพิษอัมพาตตั้งแต่แรก วิธีการหลอมอาวุธประเภทนี้ต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างมาก คมมีดถูกสร้างมาจากเหล็กอัลลอยด์สีทองซึ่งถูกสร้างเป็นสุดยอดอาวุธสังหาร


 


น่าเสียดาย คลาสปัจจุบันของโรดส์ไม่ใช่โจร และกระบวนท่าดาบของเขาไม่อนุญาตให้เขาใช้กริช มันค่อนข้างไร้ประโยชน์ แต่ดูจากการประเมินแล้ว ถ้าเขานำมันไปประมูลในตลาดมืด เขามั่นใจว่าต้องได้ราคาอย่างงาม แต่เขากังวลมากกว่าว่าการนำกริชเล่มนี้ออกไปเปิดเผยกับสารธารณะ มันอาจนำปัญหาที่ไม่จำเป็นกลับมาสู่เขาได้


 


หลังจากตรวจสอบของที่ปล้นมา โรดส์พยักหน้าอย่างพอใจและเก็บมันเข้าไปในกระเป๋ามิติ


 


ภารกิจของพวกเขาสำเร็จแล้ว


 


เมื่อพวกเขากำลังออกไป โรดส์พบร่างของชายโชคร้าย 2 คนที่ทางเข้า หลังจากที่โรดส์และมาร์ลีนออกมาจากเส้นทางลับ หินที่อยู่บนปากถ้ำก็ปิดตัวลงมาอัตโนมัติและรูปปั้นก็กลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม


 


ถ้าเขาเลือกได้ เขาคงไม่อยากเข้ามาในสถานที่แห่งนี้อีกเป็นครั้งที่สอง


 


ทั้งคู่ลากร่างที่เหนื่อยล้ากลับไปยังเมืองดีพสโตน เมื่อพวกเขามาถึงประตูเมือง มันผ่านไปถึง 2 วัน พวกเขาตรงเข้าไปยังสมาคมทหารรับจ้างทันทีและส่งภารกิจให้กับชายแก่แฮงค์ หลังจากที่ส่งสมุนไพรเวทมนตร์ โรดส์ได้ยื่นตราสัญลักษณ์ที่เขาพบในป่าราตรี ซึ่งตอนนี้สตาร์ไลท์ได้เสร็จสิ้นภารกิจไปถึง 3 ภารกิจ ระดับของพวกเขาขึ้นมาถึงลำดับที่ 6 จากล่างสุด


 


เยี่ยม อย่างน้อยเขาก็ออกมาจากลำดับสุดท้ายได้


 


“ไอ้หนู เจ้าทำงานได้ดีนี่หว่า” ชายชราแฮงค์ตบไปที่ไกล่ของโรดส์อย่างเป็นมิตร


 


“เพียงครึ่งเดือน เจ้าสามารถจบภารกิจได้ถึง 3 อย่างและยังได้รับแต้มไปอีก 5 แต้ม ข้าล่ะอยากให้ไอ้พวกกลุ่มที่ขี้เกียจๆมาเอาอย่างเจ้าจังเลย หืมม..ถ้าพวกมันไม่ทำงานหนัก พวกมันต้องร้องไห้ที่ถูกยุบกลุ่มทิ้งแน่นอน!”


 


“ไม่มีอะไรหรอกครับ” โรดส์ส่ายศีรษะ


 


เขาไม่ได้สนใจมากนัก กลับกันเขากังวลกับเรื่องอื่นมากกว่า


 


“ไลซ์เป็นอย่างไรบ้างครับ? เธอไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”


 


“ไลศ์สบายดี…ไม่มีปัญหาอะไรนะ แต่….” ชายชราแฮงค์ขมวดคิ้วและชะงัก


 


ผ่านไปชั่วครู่ เขาได้พูดต่อ “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเร็วๆนี้ แต่นางเอาแต่ล็อกตัวเองอยู่แต่ในห้อง เห็นบอกว่ากำลังเรียนเวทย์บทใหม่ อาหารที่นางกินก็ถูกส่งไปโดยข้านี่แหละ ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่านางจะลืมกินข้าวเอาน่ะสิ ข้าไม่รู้ว่าทำไมนางถึงตั้งใจมาก…นางยังเป็นเด็กและยังมีเวลาเรียนรู้อีกมาก มันไม่ไร้ประโยชน์งั้นรึ ถ้าเธอเอาแต่ทำร้ายตัวเอง? ไอ้หนู ช่วยข้าโน้มน้าวนางหน่อย นางฟังเจ้าคนเดียว”


 


“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”


 


โรดส์พยักหน้านอมรับ เขาเองก็ไม่อยากให้ไลซ์ล้มป่วยเพราะการฝึกฝนของตัวเอง ความสามารถของเธอทำได้เพียงรักษาบาดแผลภายนอก ถ้าเธอล้มป่วยไป มันจะเป็นปัญหาได้


 


โรดส์โบกมือลาชายชราแฮงค์และหันกลับไปหามาร์ลีนที่อยู่ข้างกายเขา


 


“ไปกันเถอะ”


 


“ได้….สิ”


 


มาร์ลีนเผยแววตาสับสน แต่เธอรีบวางมือไปที่หน้าเรียกสติของเธอกลับมา


 


เมื่อทั้งคู่ออกจากสมาคมทหารรับจ้าง ทันใดนั้นมีเสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง


 


“ไง ไอ้หนุ่ม ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!”


 


พวกเขาหันกลับไปหาต้นเสียงและเห็นตาแก่วอร์คเกอร์ที่เดินมาพร้อมใบหน้ากระฉับกระเฉง เขาเดินออกมาจากฝูงชน


 


“ฉันคิดว่าหมาป่าพวกนั้นจะกินพวกเจ้าไปแล้ว แต่ดูจากตอนนี้ พวกเจ้าเพิ่งผ่านศึกหนักมาสินะ!”


 


“คุณวอร์คเกอร์” โรดส์ขมวดคิ้วและถามขึ้น “ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?”


 


“ข้าหรอ?”


 


ตาแก่วอร์คเกอร์หยิบเหยือกที่กอดไว้ออกมาและดื่มเข้าไป จากนั้นเขาหรี่ตาลงและยิ้ม จากนั้นก็มองมาที่เขา


 


“ขอบใจมากไอ้หนุ่ม ข้าเจอคนที่เจ้ากำลังตามหาแล้ว!”


75 – ข้อตกลง?


 


 


ตาแก่วอร์คเกอร์เดินอย่างผ่อนคลายมาหาโรดส์และทำท่าทางราวกับบาเทนเดอร์ที่กำลังส่งเบียร์เย็นๆมาให้ วอร์คเกอร์ส่งถุงเงินไปและกลืนน้ำลายอย่างพึงพอใจขณะมองไปที่โรดส์


 


“เรียบร้อยแล้ว คนที่เจ้าขอให้ข้าหามากำลังรออยู่ที่ฐานบัญชาการของพวกเรา พวกเราจะกลับไปพร้อมกันเลยไหม? ราคาทั้งหมด 300 เหรียญทอง…ค่อนข้างเลยแพงเลยล่ะ…”


 


“ผมหวังว่าคนที่คุณรับมาจะมีคุณสมบัติที่ผมต้องการนะ” โรดส์พูดและรับเงินกลับมาจากวอร์คเกอร์ “ไม่อย่างนั้น ผมจะตัดเงินเดือนส่วนของคุณเพื่อชดเชยกับส่วนที่ขาดทุนไป”


 


“อะ-อะไรกัน? เดี๋ยวก่อน” สีหน้าของวอร์คเกอร์แข็งค้าง “เจ้าไม่เคยบอกข้ามาก่อนเลยนะ!”


 


โรดส์ยักไหล่ราวกับไม่สนใจ “คุณไม่ถาม ผมก็ไม่บอก”


 


หลังจากที่เขาเก็บเงินเข้ากระเป๋าและเมินเฉยต่อสีหน้าของวอร์คเกอร์


 


“เจ้ากล้าเล่นลิ้นกับข้ารึ?”


 


“ผมไม่ได้เล่นลิ้น คุณวอร์คเกอร์” โรดส์พูดอย่างไม่แยแส


 


“ถ้าคนที่คุณรับมามีคุณสมบัติเพียบพร้อม คุณก็ไม่ควรกังวล หรือว่า…คุณต้องการหาเรื่องผม?”


 


”แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว”


 


ตาแก่วอร์คเกอร์ลูบหนวดอย่างโกรธๆ เมื่อโรดส์กล่าวโทษเขาเรื่องหน้าที่ที่เขาได้รับ แต่เขากลับเลือกที่จะเงียบ กลับกันถ้าเขามั่นใจมากเกินไป เขาต้องมีความกลัว! อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขาในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรผิดพลาด!


 


เมื่อวอร์คเกอร์คิดได้ดังนี้ เขาส่งสายตาไปมองมาร์ลีนซึ่งกำลังมองดูละครสั้นๆตรงหน้าอย่างเงียบๆ เนื่องจากเขารู้ว่าเธอไม่ได้สนับสนุนเขาอีกต่อไป การพูดอะไรออกไปก็ไร้ประโยชน์


 


“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ค่อนข้างมั่นใจว่าข้าพบคนที่เจ้ากำลังตามหา อย่าดูที่อายุของข้าอย่างเดียว ข้าไม่ได้โง่นะ เจ้าเตรียมตัวพบกับสิ่งที่เจ้าตามหาได้เลย”


 


“ดี ไปหาไลซ์และกลับบ้านกันเถอะ”


 


โรดส์ไม่ได้สนใจหัวข้อตรงหน้าอีกต่อไป เขาพยักหน้าและหันหลังกลับ


 


สถานที่ที่ไลซ์พักอยู่ชั่วคราวเป็นบ้านพักทั่วไปในสมาคมทหารรับจ้าง ตามที่ชายชราแฮงค์บอกมา เธอเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อฝึกฝนเวทมนตร์ ความจริงแล้ว เธอกำลังฝึกฝนอย่างหนัก แม้ว่าโรดส์จะเดินไปถึงหน้าประตูห้องเธอ พวกเขายังคงได้ยินบทเวทย์พึมพำดังออกมา


 


โรดส์ยกมือขึ้นเพื่อไม่ให้วอร์คเกอร์รบกวนเธอ เมื่อเขาไม่ได้ยินเสียงจากด้านหลังประตู เขาจึงเคาะประตูไป 2 ครั้ง


 


“ใครคะ?”


 


“ผมเอง ไลซ์”


 


“เอ๋?!!!! คุณโร-โรดส์!! รอเดี๋ยวนะคะ กำลังไปค่ะ!!”


 


เมื่อเธอจำเสียงของโรดส์ได้ เสียงกระโตกกระตากดังขึ้นจากด้านหลังของประตูทันที หลังจากนั้น เสียงสิ่งของมากมายเคลื่อนที่ไปมาดังขึ้นด้านหลังประตู พื้นไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดราวกับกำลังเกิดแผ่นดินไหว


 


ความวุ่นวายเกิดขึ้นเพียง 5 นาที ไม่นานปนะตูก็เปิดออกช้าๆเผยให้เห็นใบหน้าที่มีความสุขของไลซ์ เหงื่อบนหน้าผากของเธอเป็นหลักฐานชั้นดี


 


“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ คุณโรดส์ มาร์ลีน”


 


ไลซ์มองอย่างขี้เล่นไปทางมาร์ลีนและจับมือของเธอ


 


“ดีใจมากเลยในที่สุดพวกคุณก็กลับมา ฉันมัวแต่กังวลมากๆเลยค่ะ! ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหมคะ? มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นรึเปล่า?”


 


ไลซ์เริ่มยิงคำถามออกไปเป็นชุด สีหน้ากังวลของเธอแสดงออกมาอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม มาร์ลีนเผยสีหน้าออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อเห็นว่าไลซ์ไม่ได้ระแวงในตัวเธอ ใบหน้าของเธอก็เปี่ยมไปด้วยความสุข ความกังวลทั้งหมดสลายหายไปในทันที


 


ก่อนหน้านี้หลังจากที่โรดส์บอกว่าจะออกไปทำภารกิจกับมาร์ลีน ไลซ์พบว่าตัวเธอเองไม่สามารถหลับได้อย่างเป็นสุข ความกังวลในหัวใจของเธอกีดกันเธอจากความผ่อนคลาย ดังนั้นเมื่อเธอเห็นโรดส์และมาร์ลีนกลับมาอย่างปลอดภัย ความรู้สึกอัดอั้นทั้งหมดก็ถูกยกออกจากอก แม้ว่าโรดส์จะไม่ได้บอกให้เธอกังวล แต่เธอรู้จักศัตรูที่มาจากประเทศแห่งแสงดี เธอจะสามารถพักผ่อนอย่างสบายๆได้อย่างไร เมื่อเธอรู้ดีว่าพวกมันแข็งแกร่งขนาดไหน?


 


“ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนน่ะ” โรดส์พยักหน้าและยิ้ม “…แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนั้น ผมอยากอธิบายรายละเอียดเมื่อพวกเรากลับไปฐานบัญชาการ ตอนนี้ก็เก็บของๆคุณเถอะ”


 


“ค่ะ!”


 


ไลซ์พยักหน้าและตรงเข้าไปเก็บของในห้องนอนของเธอ


 


ความรู้สึกแปลกประหลาด เธอรู้สึกว่าการได้อยู่ในบ้านพักมาเป็นเวลานานมากเท่าที่จำได้ แต่ตอนนี้เธอมีบ้านเป็นของตัวเอง การอยู่ที่นี่คงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกอีกต่อไป แม้ว่าที่นี่จะมีห้องให้บริการและมีอาหารครบ 3 มื้อต่อวัน แต่เธอไม่อาจคิดว่ามันเป็นบ้านของเธอได้ ดังนั้นตอนนี้เมื่อเธอสามารถกลับบ้านได้ ความดีใจของเธอพุ่งพล่านออกมา เธอเก็บของอย่างรวดเร็วและออกจากสมาคมทหารรับจ้างไปพร้อมกับโรดส์


 


ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ถนนแทบไม่มีผู้คนเดินอยู่ กลับกันคนที่อยู่บนถนนมีเพียงทหารที่กำลังลาดตระเวนบนหลังม้าของพวกเขา


 


เมื่อเดินไปตามถนน โรดส์ถามไลซ์เริ่มการฝึกฝน เนื่องจากเขาสงสัยว่าเธอสามารถเรียนรู้ได้มากแค่ไหน


 


“ฉันกำลังพยายามค่ะ! คุณโรดส์ ตราบเท่าที่คุณให้เวลาฉันมากพอ ฉันสามารถเรียนศรแห่งแสงได้ค่ะ!”


 


ไลซ์พูดออกมาอย่างมั่นใจเมื่อเธออธิบายถึงการฝึกฝนของเธอ การเรียนเวทมนตร์ไม่ใช่เรื่องง่าย การฝึกฝนคนเดียวเป็นเรื่องยากมาก บอกตรงๆไลซ์ไม่ได้อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนเวทมนตร์และสกิลเป็นปัญหาหลักของเธอ การเรียนรู้เวทย์เพิ่ม โรดส์มั่นใจว่าความแข็งแกร่งของเธอจะเพิ่มมากขึ้นแน่นอน


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นของเธอ เขารู้สึกว่าจะดีกว่าถ้าไม่บอกเธอ


 


“การฝึกฝนอย่างหนักเป็นบททดสอบที่ดี แต่คุณต้องดูแลตัวเองด้วย มันอันตรายมากนะ ถ้าคุณรีบร้อนมากเกินไป การเป็นผู้ใช้เวทย์ คุณต้องเรียนรู้อย่างใจเย็น สบายๆ ทีละก้าว” โรดส์พูดขึ้น จากนั้นเขายกคิ้วและมองไปที่ดวงตาของไลซ์ “ผมได้ยินมาจากลุงแฮงค์ว่าคุณไม่ได้ก้าวออกมาจากห้องเลยใน 2-3 ที่ผ่านมานี้เพราะมัวแต่ฝึกฝน แม้ว่าความขยันเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่มันไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป คุณต้องเข้าใจก่อนว่าตำแหน่งของคุณในกลุ่มทหารรับจ้างคือตำแหน่งที่ไม่สามารถหาใครมาแทนได้ในตำแหน่งผู้สนับสนุน”


 


“ค่ะ….” ใบหน้าตื่นเต้นของไลซ์หม่นลงและเธอก้มหน้าลงในทันที มาร์ลีนรีบเดินมาด้านข้างเธอเพื่อให้กำลังใจ


 


“คุณโรดส์พูดถูก ไลซ์ เจ้าไม่ควรเร่งรัดในการเรียนรู้บทเวทย์ใหม่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเวทมนตร์ ฉันรู้ว่าเธอรู้ดี แต่ฉันเชื่อนะว่าถ้าเธอใจเย็นกว่านี้ มันจะทำให้เธอสามารถควบคุมมันได้ในไม่ช้า ไม่ต้องรีบ คุณโรดส์เค้าเป็นห่วงสุขภาพของเธอนะ”


 


“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันตื่นเต้นมากเกินไป ขอบคุณนะ มาร์ลีน” ไลซ์ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้


 


“ไม่มีปัญหา แต่…” มาร์ลีนกลับมามองรอยยิ้มของไลซ์และมองไปที่โรดส์


 


“คุณโรดส์ คุณเรียนเวทมนตร์มาก่อนงั้นเหรอคะ?” เธอถามด้วยความสงสัย


 


“แน่นอนว่าไม่ แต่ว่าแม้แต่นักดาบก็ไม่สามารถเรียนกระบวนท่าดาบได้ถ้าเร่งรีบมากเกินไป ผมสันนิษฐานว่าจอมเวทย์คงเป็นเหมือนกัน อย่างไรก็เถอะ ดูแลตัวเองด้วย อย่าหักโหมมากเกินไป เดี๋ยวจะล้มป่วยไปซะก่อน” โรดส์ตอบคำถามของเธออย่างเฉยเมย


 


เขาเองก็ไม่เคยเรียนกระบวนท่าดาบมาก่อน ในฐานะผู้เล่น พวกเขาเรียนรู้จากการกดอัพแต้มสกิล นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องพวกนี้ เหตุผลที่โรดส์เตือนไลซ์ให้ดูแลตัวเองเพราะว่าเขาอยากให้เธอปลอดภัยและเขาเองก็รับภารกิจใหม่มาแล้วด้วย


 


มีช่วงเวลาหนึ่งในเกม NPC จอมเวทย์สาวตกอยู่ในความสิ้นหวังจากการเลื่อนระดับ เธอจึงตัดสินใจเสี่ยงฝึกฝนเวทย์อัญเชิญระดับสูงซึ่งมีผลร้ายย้อนกลับ นั่นทำให้เธออัญเชิญมอนสเตอร์ที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ออกมา สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น…..คงเป็นสิ่งที่จินตนาการได้ไม่ยาก


 


ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนแปลกหน้า โรดส์คงไม่เห็นมันอยู่ในสายตา แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนที่เขารู้จัก มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


พวกเขาพูดคุยกับไปจนถึงทางเข้าฐานบัญชาการ ภายใต้แสงจันทร์ พวกเขาเห็นบางคนกำลังยืนอยู่ที่ประตู ถ้ากำลังเพลิดเพลินกับค่ำคืนที่สงบ คงสังเกตเห็นกลุ่มคนเดินเข้าหา บุคคลนิรนามโบกมือให้กับพวกเขา


 


“เฮ้ๆ ตาแก่ คุณกลับมาแล้ว!”


 


“ฮิ ฮิ!”


 


มาร์ลีนและไลซ์พยายามกลั่นหัวเราะ แต่ในที่สุดพวกเธอก็ทำไม่ได้


 


สีหน้าของชายชราซีดลงทันที เขามองไปยังบุคคลนิรนามและตะโกนขึ้น “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว อีหนู อย่ามาเรียกข้าว่าตาแก่!”


 


“คุณยังเรียกฉันว่า ‘อีหนู’ แอน ได้เลย ทำไมฉันจะเรียกคุณว่าตาแก่ไม่ได้?”


 


ทุกคนเห็นรูปร่างของบุคคลนิรนามตรงหน้ากำลังใช้มือเท้าเอว


 


เมื่อมาถึงประตู เด็กสาวที่พลังงานเหลือล้นมาพร้อมกับใบหน้าที่งดงามและผมสีทองหยิกเล็กน้อย ดวงตาของเธอมีสีเขียวหยิ่งยโส เรียวขายาวของเธอแต่ละข้างเล็กมาก ถ้าย้อนกลับมาในโลกของโรดส์ เด็กสาวคนนี้ยังสามารถเป็นไอดอลหรือคนดังได้ง่ายๆ


 


สิ่งเดียวที่ไม่เหมาะกับรูปร่างของเธอคือโล่สีทองที่มีขนาดกว่า 1 เมตร เมื่อเห็นดังนั้นโรดส์สามารถบอกได้ว่านั่นคือนักรบโล่ขั้นพื้นฐาน ซึ่งใช้ โล่ทะลวง มันเป็นอุปกรณ์สั่งทำพิเศษ โดยที่ตัวของมันนั้นสามารถแยกออกไป 2 ส่วนได้


 


ในสถานการณ์ปกติ นักรบโล่จะใช้รวมกันเป็นหนึ่งชิ้น พวกเขาสามารถถือมันได้ด้วยมือทั้งสอง และเมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันตราย พวกเขาจะแยกชิ้นส่วนออกเป็น 2 ส่วนโดยมันจะยื่นส่วนที่ต่อออกมาจากด้านล่าง นอกเหนือจากนี้ส่วนฐานที่ยื่นออกมา นักรบโล่สามารถใช้มันขุดดินได้ ทำให้พวกเขาสามารถปักหลักรับการโจมตีได้


 


ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้นนักรบโล่จึงต้องใช้ร่วมกับโล่ชนิดอื่นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้น เมื่อโครงสร้างภายในเสียหาย มันจะไม่สามารถใช้รูปแบบหลังได้จนกว่าจะถูกซ่อมแซม


 


อย่างไรก็ตาม โรดส์รู้ดีว่าโล่ทะลวงถูกจัดว่าเป็นอุปกรณ์ที่หนักที่สุดลำดับที่ 5 ใน Dragon Soul Continent คนส่วนใหญ่ไม่สามารถถือมันได้ ถ้าใช่คู่กับดาบ แม้แต่เหล่าผู้เล่น ถ้าพวกเขาไม่เลือกบาบาเรี่ยนหรือเผ่าคนแคระ มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกมันขึ้น


 


เมื่อโรดส์เห็นเด็กสาวคนนี้ถือโล่ของเธอด้วยมือเดียว มันทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าโล่นี้เป็นของปลอม


 


“วอร์คเกอร์? นี่เหรอคนที่คุณกำลังพูดถึง?”


 


ใบหน้าของโรดส์ยังคงสงบนิ่ง แต่คำถามของเขาได้เผยให้เห็นมุมมองของเขากับเรื่องนี้


 


“ใครกัน ไอ้เด็กนี่?”


 


ตาแก่วอร์คเกอร์หยุดเถียงกับเด็กสาวทันทีและยืนขึ้นข้างเธอและหันหน้ามาทางโรดส์


 


“อย่าตัดสินหนังสือจากที่ปกสิ ให้ข้าได้พูดก่อน เด็กสาวตรงหน้านี้แข็งแกร่งมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเงินของเจ้า เอ่อ…เจ้าก็ไม่สามารถเรียกตัวนางได้เลยนะ”


 


“หือ? เอาล่ะ ผมอยากได้ยินว่าเธอแข็งแกร่งขนาดไหน…และทำไมคุณถึงไม่ไปหาผู้ชาย?”


 


“ฮิ ฮิ ฮิ” ชายชรายิ้มกว้างและเดินมาหาโรดส์ ก่อนจะกระซิบข้างหู


 


“ง่ายๆเลยนะ เจ้าคิดว่ามันง่ายรึไงที่จะหานักรบโล่ได้? ถ้าเจ้าสามารถหามันได้ง่ายๆ เจ้าจะไม่ถามข้าหรอกว่าทำไม ใช่ไหม? และเรื่องเพศของเธอ…ฮิฮิฮิ….เนื่องจากเจ้าเป็นเด็กหนุ่ม….เจ้าคิดว่ายังไง?” วอร์คเกอร์ยิ้มกว้างกว่าเดิม จากนั้นเขาส่ายศีรษะและพูดขึ้น “เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เนื่องจากพวกเราทั้งคู่เป็นผู้ชาย ข้าเข้าใจดี ดูจากรูปร่างของนางแล้ว เงินเจ้าไม่สูญเปล่าแน่นอนใช่ไหมล่ะ?”


 


“…..”


 


โรดส์เดินไปข้างหน้าและไม่สนใจวอร์คเกอร์ ก่อนที่โรดส์จะพูดอะไร เด็กสาวกระโดดมาขวางเขา


 


เมื่อเธออยู่ตรงหน้าเขา ความสูงของเธอเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน โรดส์สูง 180 ซม.และถือว่าไม่ได้เตี้ย อีกด้านหนึ่ง มาร์ลีนและไลซ์สูงเพียงครึ่งศีรษะของเขาเท่านั้น แต่เด็กสาวคนนี้กลับสูงเกือบเท่าเขา!


 


เด็กสาวยื่นมือออกมาจับและพูดขึ้น “คุณเป็นหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างนี้รึ? คุณดูเด็กมาก! ดีใจที่ได้พบคุณนะ พี่สาว!”


 


บรรยากาศในห้องทั้งหมดวังเวงในทันที


76 – จุดเริ่มต้นของกลุ่มทหารรับจ้าง


 


คนที่กำลังทำความรู้จักกับโรดส์ทำให้เขารู้หนึ่งสิ่งเกี่ยวกับตัวเขา


 


เขาเกลียดการถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง


 


หลังจากที่เห็นท่าทางที่แสดงกับโรดส์ไปครู่หนึ่ง ไลซ์ถึงกับผงะ สำหรับมาร์ลีน เธอเองก็ตกใจเล็กน้อย แม้แต่ตาแก่วอร์คเกอร์ยังไม่กล้าหัวเราะกับเรื่องนี้ เพราะเขารู้ดีว่ามันเป็นการล้ำเส้นที่เขาไม่ควรข้าม


 


และตอนนี้เด็กสาวที่ไม่รู้จักได้เรียกเขาว่า ‘พี่สาว’ ในน้ำเสียงปกติ


 


สายลมเย็นๆพัดผ่านร่างของทั้งสาม


 


“…ผมขอบอกอะไรคุณไว้ก่อนนะ คุณผู้หญิง” โรดส์ตอบกลับเบาๆ “ผมเป็นผู้ชาย”


 


น่าประหลาดใจ โรดส์ไม่ได้หัวเสียอย่างที่พวกเขาคิด กลับกับเขาเพียงแค่โบกมือเท่านั้น


 


เด็กสาวประหลาดใจ “ผู้ชาย?”


 


เธอเริ่มสังเกตโรดส์อีกครั้งอย่างรอบคอบ ขณะที่ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ


 


หลังจากนั้นเธอจับไหล่ของโรดส์และพูดขึ้น “พี่ชาย ฉันขอโทษ! คุณสวยเกินไป”


 


ใบหน้าของทั้งสามซีดลง เด็กสาวได้พูดขึ้นอย่างไม่ลดละโดยเฉพาะคำว่า ‘สวย’


 


“คุณผู้หญิง…”


 


“แอน แอน จอร์เจีย คุณสามารถเรียกฉันว่า แอน พี่ชาย” เด็กสาวแนะนำตัวเองว่า แอน


 


“งั้น…แอน…” โรดส์วางมือลงบนหน้าผากของเขาและหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แม้ว่าผมจะบอกให้วอร์คเกอร์เป็นคนรับคุณเข้ามา แต่ผมยังไม่ยอมรับคุณเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของกลุ่มทหารรับจ้างของผมนะ อันดับแรก คุณต้องทำตัวให้เหมาะสมและจากนั้นคุณถึงจะได้เข้าร่วมกลุ่ม ไม่เช่นนั้น…”


 


โรดส์หันกลับมาช้าๆและเหลือบมองไปยังชายชราวอร์คเกอร์ที่เริ่มถอยหลังไป


 


“ผมจะตัดค่าจ้างในส่วนของคุณสำหรับเรื่องนี้”


 


“ไม่มีปัญหา!”


 


ไม่ว่าเด็กสาวจะได้ยินเขาหรือไม่ หรือบางทีเธออาจจะไม่ได้ฟังเขาเลยด้วยซ้ำ เธอยอมรับข้อเสนอของโรดส์ จากนั้นเธอแตะไปที่โล่ในมือของเธอและเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ


 


“แอนจะยอมรับข้อเสนอไม่ว่าบททดสอบจะเป็นอะไร!”


 


“เยี่ยมมาก”


 


โรดส์พยักหน้าจากนั้นเขาหันหลังกลับและมองไปยังชายแก่วอร์คเกอร์ซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาซีดลงกว่าเดิม


 


“ถ้างั้นคุณวอร์คเกอร์ คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าผมอยากให้ช่วยอะไรหน่อย? อย่างไงก็เถอะ นี่เป็นคำสั่ง”


 


“….”


 


ชายชรากรอกตาไปมา


 


เนื่องจากนี่เป็นคำสั่ง ทำไมต้องถามเขากัน?


 


บททดสอบของโรดส์ง่ายมาก เขาขอให้แอนป้องกันการโจมตีของตาแก่วอร์คเกอร์เป็นช่วงเวลาหนึ่ง เธอจะผ่านการทดสอบตราบเท่าที่เธอสามารถอยู่รอดได้จนจบ แน่นอนโรดส์มีเหตุผลของตัวเองในการทำเรื่องนี้


 


หลังจากที่มาถึงโลกนี้ โรดส์สังเกตได้ว่าสกิลมากมายมีจุดที่แตกต่างกันเมื่อเทียบกับในเกม ยกตัวอย่างเช่น คลาสตัวแทงค์ ในเกมตราบเท่าที่ผู้เล่นมีสกิลยั่วยุ มอนสเตอร์จะติดตามพวกเขาจนกว่าจะตาย  อย่างไรก็ตามในโลกใบนี้ มันไม่ง่ายแบบนั้น แม้ว่ามอนสเตอร์ระดับต่ำยังไล่ล่าผู้ที่สร้างความเสียหายมากที่สุด และไม่สนว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดมากเท่าไหน


 


ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการต่อสู้กับเนโครแมนเซอร์ โรดส์พยายามให้ตัวแทงค์ของเรดฮอว์คดึงความสนใจของเนโครแมนเซอร์ไว้ แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เนโครแมนเซอร์ไม่แม้แต่จะมองมาที่เขา กลับกันเนโครแมนเซอร์กลับเลือกให้ความสนใจกับโรดส์ ซึ่งโรดส์ไม่ได้สร้างความเสียหายมากที่สุดและไม่ได้เป็นที่คุกคามมากที่สุดในการต่อสู้…นี่หมายความว่าความเป็นจริงมีบางอย่างแตกต่างไปจากในเกม แม้ว่าสิ่งต่างๆจะคล้ายกัน


 


ดังนั้นเขาสรุปได้ว่าคลาสตัวแทงค์ในโลกนี้ไม่ได้มีประโยชน์เหมือนก่อนหน้านี้ ไม่สำคัญว่าจะตอนนี้หรือในเกม อาชีพแทงค์ทำหน้าที่สนใจเพียงการป้องกัน ในเกม แทงค์ทำหน้าที่ยั่วยุมอนสเตอร์และพวกเขาต้องคอยรับความเสียหายแทนคนในทีม อย่างไรก็ตามปัจจุบันแทงค์สามารถทำได้เพียงป้องกัน นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วและความสามารถในการป้องกันและความสามารถอื่นที่จะใช้ในการปรับให้เข้ากับสถานการณ์ มิเช่นนั้นไม่มีแทงค์คนไหนสามารถอยู่ได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู


 


และนี่เป็นสิ่งที่โรดส์ต้องการทดสอบ


 


“เฮ้ไอ้หนุ่ม! เจ้าให้ข้าทำแบบนี้ เจ้าหาข้ออ้างทำให้ข้าเจ็บตัวใช่ไหม!!!”


 


ตาแก่วอร์คเกอร์หน้าซีด แต่โรดส์ได้ตัดสินใจไปแล้วและไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้


 


“นี่เป็นการทดสอบที่ยุติธรรม คุณวอร์คเกอร์ เด็กสาวคนนี้ถูกเลือกมาโดยคุณ ดังนั้นคุณต้องเชื่อใจในความแข็งแกร่งของเธอ คุณควรผ่อนคลายและปล่อยให้เธอทำหน้าที่ของเธอไป”


 


“อย่าคิดนะว่าเจ้าจะหลอกข้าโดยใช้คำพูดพวกนั้น! เจ้ามันร้าย!”


 


ชายชราชูกำปั้นให้กับโรดส์อย่างโกรธๆ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังคงมองอย่างกังวลไปยังแอนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับโล่ในมือขวาของเธอ


 


“อีหนู ข้ากำลังฝากชีวิตของข้าไว้กับเจ้านะ เจ้าต้องปกป้องข้า!!”


 


“มั่นใจได้ ตาแก่ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก”


 


“อะไรนะ?! น่าจะ?! เจ้าเอาคำพูดของเจ้าคืนไปแล้วข้าจะเชื่อใจเจ้ามากกว่านี้!”


 


อย่างไรก็ตาม โรดส์ไม่รอให้วอร์คเกอร์พูดจบและเริ่มเคลื่อนไหวทันที


 


เขายื่นแขนออกมาและเรียกการ์ดทั้งสามออกมาตรงหน้าเขา การ์ดแต่ละใบลอยไปในอากาศและเริ่มถูกอัญเชิญออกมาตรงหน้าโรดส์ ทันใดนั้น อัศวินเซนทอร์ นักฆ่าเปลวเพลิงและวิหควิญญาณปรากฎขึ้นในเวลาเดียวกัน


 


“นี่มันเจ๋งมาก! พวกมันเป็นตัวอะไรกัน?”


 


แอนมองไปยังโรดส์อย่างเหลือเชื่อ ดวงตาของเธอเบิกกว้างเกือบทำให้วอร์คเกอร์หัวใจวาย


 


“อีหนู! อย่าวอกแวกไป! นั่นเป็นพวกผู้ติดตาม แล้วก็อย่าไปแตะหมานั่น มันระเบิดได้!”


 


“คุณมีเวลา 3 นาที ตราบเท่าที่คุณยังสามารถยืนอยู่ได้ใน 3 นาทีและสามารถป้องกันวอร์คเกอร์ไม่ให้ได้รับบาดเจ็บได้ ถือว่าคุณผ่านบททดสอบนี้”


 


หลังจบคำอธิบายของเขา โรดส์มองไปยังมาร์ลีนและพูดขึ้น “ช่วยผมจับเวลาหน่อย”


 


“ได้ค่ะ คุณโรดส์”


 


มาร์ลีนพยักหน้าและหยิบนาฬิกาออกมา จากนั้นโรดส์เริ่มดีดนิ้วเป็นสัญญาณเริ่มการทดสอบ


 


“โจมตี”


 


“—-!!!”


 


วิญญาณอัญเชิญทั้งสามพุ่งออกไปตามคำสั่งของโรดส์


 


ปกติแล้วในแนวหน้านั้นจะเป็นนักฆ่าเปลวเพลิงที่อาจหาญ หลังจากที่ระเบิดตัวเองไปหลายต่อหลายครั้ง มันเริ่มมีพฤติกรรมมาโซคิส หมาที่น่าสงสารตอนนี้กำลังมีสีหน้าตื่นเต้นเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย ถ้านักฆ่าเปลวเพลิงเป็นมนุษย์ มันคงถูกส่งไปพบจิตแพทย์


 


ในขณะเดียวกัน เด็กสาวที่ได้ยิ้มออกมาเริ่มหุบยิ้มและเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง เธอก้มร่างลงและวางโล่ไว้ด้านหน้าของเธอ และเปลี่ยนท่าทีเป็นป้องกัน จากนั้นตามมาด้วยเสียง ‘เคล้ง’ เสียงตะขอของข้อต่อดังขึ้นจากโล่ทั้งสองข้างเพื่อเพิ่มส่วนขยาย หมาล่าเนื้อสีดำเห็นสิ่งที่มันไม่รู้จัก มันจึงพุ่งตรงไปด้านหน้า


 


แอนใช้คำรามสู้ศึกและเพิ่มแรงขับเคลื่อนใส่ตัวเอง พุ่งตรงไปยังหมาล่าเนื้อสีดำราวกับรถไฟ


 


โล่ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัมถูกควงอยู่บนแขนข้างหนึ่งราวกับมันเบาเหมือนขนนก อย่างไรก็ตาม เสียงที่กระทบกับนั้นเป็นตัวพิสูจน์ว่าโล่อันนี้มีน้ำหนักมหาศาล นักฆ่าเปลวเพลิงคิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะว่องไวขนาดนี้ มันถูกส่งลอยไปในอากาศ มันหอนออกมาและถีบตัวลุกขึ้น มันถึงกับร้องเอ๋ง


 


ในเวลาเดียวกัน อัศวินเซนทอร์ได้มาถึงตรงหน้าเธอแล้ว


 


มันตวัดหอกไปด้านหน้า แต่ก่อนที่อาวุธของมันจะสัมผัสกับโล่ของแอน เธอเอียงตัวหลบเล็กน้อยเพื่อหลบการโจมตีของเซนทอร์ แอนหมุนตัวหลบและฟาดโล่กลับไปที่สีข้างของเซนทอร์ที่หอกของมันกำลังจะถึงร่างของตาแก่วอร์คเกอร์ ทำให้ร่างของมันซวนเซ ผลที่ได้ทำให้หอกของเซนทอร์พลาดเป้า


 


แม้ว่าอันตรายตรงหน้าจะเพิ่งหายไป แอนยังไม่ละความสนใจ ตรงกันข้าม หลังจากเซนทอร์ถูกปลดอาวุธ เธอดึงโล่ของเธอลงและปลดมันไว้กับพื้น


 


เคล้ง!! โล่ทั้งใบเปลี่ยนรูปร่าง มันขยายตัวและห่อหุ้มร่างกายของเธอ ในเวลาเดียวกัน อัศวินเซนทอร์ที่ถือโล่ไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง มันใช้โล่ฟาดไปที่แอน


 


ปัง!!! เสียงดังสนั่นทำให้หัวใจของพวกเขากระตุกเล็กน้อย สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อัศวินเซนทอร์ถอยไปหลายก้าว มในขณะเดียวกัน เด็กสาวเองก็ถอยไปเล็กน้อยซึ่งแตกต่างจากอัศวินเซนทอร์


 


วิหควิญญาณที่กำลังโผบินอยู่ในอากาศโฉบตัวลงมา


 


วิญญาณอัญเชิญธาตุลม ความเร็วของวิญญาณอัญเชิญ 2 ตัวก่อนหน้านี้ไม่สามารถเทียบกับมันได้ มีเพียงประกายแสงพุ่งตรงไปยังวอร์คเกอร์


 


นี่คือจุดสิ้นสุด


 


เมื่อพบว่าวิหควิญญาณกำลังโจมตีมายังตำแหน่งของเขา วอร์คเกอร์รู้ดีว่ากำลังจะมีบางสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น แต่เขาไม่สามารถหยุดได้ เพราะวิหควิญญาณเร็วเกินไป แม้ว่าเขาอยากจะตอบโต้ แต่มันเป็นไปไม่ดไ ในขณะนี้ ชายชรากำลังร้องไห้อยู่ในใจ


 


ค่าจ้างของข้าจะต้องถูกตัดงั้นรึ?


 


ทันใดนั้นแอนปรากฏตัวและจับไปที่คอเสื้อของวอร์คเกอร์และดึงเขาลงมาที่พื้น จากนั้นใช้โล่ของเธอป้องกัน


 


ชายชราที่ตามปฏิกิริยาไม่ทัน ไม่กี่วินาทีต่อมา เขารู้ตัวอีกทีว่ากำลังนอนอยู่บนพื้น อย่างไรก็ตาม การกระทำนี้ทำให้วิหควิญญาณพลาดเป้าหมาย แต่มันยังไม่ยอมแพ้ กลับกัน มันเรียกสายลมและพัดไปยังโล่


 


“ตูมมมม!!!”


 


วืดดดด!!!


 


ตาแก่วอร์คเกอร์รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกมาจากอีกด้านหนึ่งของโล่ แรงกดดันถูกส่งผ่านทะลุโล่มายังแอนและตัวเขา ชายชราที่น่าสงสารรู้สึกเหมือนกำลังกลายเป็นเนื้อบด เขาถึงกับกลั้นหายใจ เมื่อเขาอยากร้องขอความช่วยเหลือ เขารู้สึกว่าร่างของเขาเบาขึ้น ในขณะนั้นเขารับรู้ได้ว่าเด็กสาวกระโดดขึ้นไป


 


เวลาดูเหมือนช้าลง ร่างของเด็กสาวลอยไปในอากาศ ใบหน้าจริงจังของเธอมองไปยังวิญญาณอัญเชิญทั้งสามและเหยียดมือซ้ายออกมา มันปรากฏโล่ชิ้นที่สองที่ค้ำไว้ในโล่ทะลวง


 


ครืดดดดด!! กังหันบนโล่เริ่มหมุนด้วยความเร็วสูง จากนั้นมันก่อตัวเป็นบาเรียลมซึ่งป้องกันการโจมตีของวิญญาณอัญเชิญทั้งสามอย่างสมบูรณ์


 


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า โรดส์ขมวดคิ้ว จากนั้นเขาชักดาบออกมาและพุ่งออกไป


 


ประกายแสงสว่างขึ้น คมดาบสีเงินตัดผ่านท้องฟ้าในยามค่ำคืนและพุ่งตรงไปยังกระแสลม


 


ตูมมมมมมมมม!!!


 


ตามมาด้วยแรงระเบิด ตัวดาบถูกหยุดการเคลื่อนไหว


 


ตาแก่วอร์คเกอร์ถอยไปหลายก้าวและทิ้งตัวลงที่พื้น ใบหน้าที่หวาดกลัวเป็นหลักฐานชัดเจน ถัดจากเขาเป็นรอยแยกที่ถูกทิ้งไว้โดยควบแน่นดาบ


 


ในเวลานั้น มาร์ลีนยกนาฬิกาขึ้นมาดู


 


3 นาทีหมดลงแล้ว


 


“ไม่เลวนี่ คุณแอน”


 


โรดส์เก็บดาบของเขา


 


“ผมรับรู้ความแข็งแกร่งของคุณแล้ว บอกตรงๆคุณมีสิ่งที่ผมต้องการทุกอย่าง แต่นี่เป็นเพียงบททดสอบนี้ ผมหวังว่าความสามารถของคุณจะสามารถใช้ในการต่อสู้จริงได้นะ”


 


“ไม่ต้องกังวลไป พี่ชาย”


 


เด็กสาวเก็บโล่ของเธอและยิ้มออกมาอย่างสดใสอีกครั้ง


 


“ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวังค่ะ!!”


 


“ผมก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน”


 


เขาพยักหน้าและหันไปสนใจไลซ์


 


“ไลซ์ ให้เธอเลือกห้อง มาร์ลีน คุณไปพักได้ สำหรับคุณ….”


 


เมื่อเขาหยุดพูด โรดส์มองไปยังชายชราวอร์คเกอร์ที่กำลังลุกขึ้นจากพื้น


 


“คุณวอร์คเกอร์ ตามมาที่ห้องอ่านหนังสือด้วย ผมหวังว่าจะได้ยินขั้นตอนการรับสมัครของคุณ”


77 – เรื่องราวที่เริ่มบานปลาย


 


เมื่อตาแก่วอร์คเกอร์เข้าไปในห้องอ่านหนังสือ โรดส์หันกลับมาถามเขา “มันเกิดอะไรขึ้น?”


 


“อะไรรึ? อะไรเกิดขึ้น?”


 


ชายชรามึนงงเล็กน้อยกับคำถามของโรดส์


 


“คุณไม่ต้องบอกก็รู้ว่านักรบโล่หายากมากแค่ไหน? แต่คุณกลับไปจ้างมาได้ง่ายๆด้วยเงินเพียงแค่นั้นงั้นรึ?”


 


โรดส์นั่งลงด้านหลังโต๊ะและเคาะโต๊ะด้วยนิ้วของเขา


 


“คุณจะไม่บอกผมหน่อยเหรอ?”


 


 


“ก็ได้ ตามที่เจ้าต้องการ”


 


ในที่สุดวอร์คเกอร์ก็เข้าใจสิ่งที่โรดส์หมายถึง เขาถอนหายใจและนั่งลงบนเก้าอี้


 


“ข้าจะบอกความจริงเจ้า ข้าพานางมาจากกลุ่มทหารรับจ้างมาร์คไวท์”


 


“มาร์คไวท์?”


 


เมื่อได้ยินชื่อนี้ โรดส์ถึงกับขมวดคิ้ว


 


“กลุ่มทหารรับจ้างลำดับที่ 3 ในเมืองดีพสโตนงั้นเหรอ? คุณไปมาเธอมาได้ยังไง?”


 


“ก็เริ่มจาก….”


 


วอร์คเกอร์เริ่มอธิบายวิธีที่เขาเรียกตัวเธอ เมื่อจบการรายงาน ในที่สุดโรดส์ก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไมเด็กสาวที่ชื่อ แอน ถึงยินดีเข้าร่วมกลุ่มของพวกเขา


 


ง่ายๆก็คือมันเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจภายในของกลุ่มสัญลักษญ์สีขาว


 


ในภารกิจก่อนหน้านี้ หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่อาจมีชีวิตรอดกลับมาได้ โดยทั่วไปแล้วพวกเขาต้องเลือกหัวหน้าคนใหม่ ดังนั้นรองหัวหน้าทั้งสองจึงตัวเลือกรองลงมาและจบลงด้วยการแข่งขันกันเอง โดยรองหัวหน้าแต่ละคนมีพรรคพวกเป็นของตนเอง การแข่งขันของทั้งสองจึงเริ่มบานปลายขึ้นเรื่อยๆ


 


แอนถูกดึงตัวเข้าไปอยู่ในการชิงอำนาจและเริ่มไม่มีความสุข เธอเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกชุบเลี้ยงมาโดยหัวหน้าคนก่อนและสนิทกับเขามาก ตอนนี้เขาได้จากไปแล้ว แอนโกรธเป็นอย่างมากและพบว่าสมาชิกของพวกเขาต่อสู้กันเองแทนที่จะเคารพการจากไปของหัวหน้าคนก่อน แม้ว่าเธอจะพยายามไกล่เกลี่ยให้กับทั้งสองฝ่ายนับครั้งไม่ถ้วน แต่มันก็ไร้ผล ดังนั้นเธอจึงเลิกโน้มน้าวพวกเขา


 


บางทีการที่เธอถูกเก็บมาเลี้ยงโดยหัวหน้าคนก่อนตั้งแต่เด็ก เธอจึงมีนิสัยซื่อตรงคล้ายกับเขามาก เมื่อเธอพยายามพูด ไม่มีใครมองตาเธอ หัวใจของพวกเขาไม่ยอมรับเธอ ตั้งแต่ที่พวกเขาไม่ฟังเธอ มันจึงไม่ได้หมายความว่าเธอต้องหลบอยู่หลังพวกเขาไปตลอด นั่นเป็นเหตุผลที่เธอตัดสินใจออกมาจากกลุ่มทหารรับจ้าง


 


แม้ว่าแอนจะเปรียบเสมือนลูกสาวของหัวหน้า แต่เธอก็มีสิทธิ์ที่จะไปอย่างที่เธอต้องการ กลุ่มทหารรับจ้างไม่มีสิทธิ์บังคับสมาชิกให้อยู่ ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างทหารรับจ้างและกลุ่มคล้ายกับพนักงานกับบริษัท ใน Dragon Soul Continent ไม่มีสัญญาผูกพันธะพวกเขาไว้


 


แม้จะพูดแบบนี้ แต่ทหารรับจ้างบางคนก็เลือกที่จะอยู่ในกลุ่มไปจนกระทั่งพวกเขาจะแข็งแกร่งหรือไม่ก็ตายในดันเจี้ยน


 


หลังจากที่กล่าวมานั้น ความเสี่ยงจากการออกผจญภัยคนเดียวนั้นสูงกว่ามาก และในช่วงเวลานี้การออกจากกลุ่มทหารรับจ้างถือว่าเป็นการทรยศและทำให้ไม่เป็นที่ต้องการของกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นสิ่งที่แอนทำนั้นเสี่ยงมาก เมื่อเธอตัดสินใจออกจากกลุ่ม


 


ในกรณีของเธอ แม้ว่าแอนจะเลือกอยู่ต่อ รองหัวหน้าทั้งสองก็ไม่ต้องการเธอ เนื่องจากเธอเป็นคนของหัวหน้าคนก่อน แม้ว่าจะยังเป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาในการใช้โล่นักรบ รองหัวหน้าทั้งสองก็ยังไม่สนใจความสามารถของเธอ โดยเฉพาะเมื่อเธอโตขึ้น พวกเขากลับว่าเธอจะรวบรวมพรรคพวกและยึดครองตำแหน่งหัวหน้า ถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้เธอจะถูกขับไล่โดยไม่มีคำเตือน ผู้คนมากมายจะเอาไปนินทา ดังนั้นพวกเขาจึงแก้ปัญหาง่ายๆคือ ถ้าใครก็ตามจ่ายให้เธอ 300 เหรียญทอง คนๆนั้นสามารถพาเธอไปได้


 


300 เหรียญทองไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆสำหรับกลุ่มทหารรับจ้าง พวกเขาต้องใช้เงินในการแจกจ่ายให้กับสมาชิก รวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายในกลุ่ม ขณะที่เงินรางวัลในการจบภารกิจก็ไม่ได้มาก และหัวหน้าต้องจ่ายเงินให้กับเหล่าสมาชิกแต่ละคน แม้จะเล็กน้อยก็ตาม


 


และถึงแม้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่จะสามารถจ่ายไหว กลุ่มพวกนั้นต้องคอยระแวงปัญหาแบบเดียวกับที่เกิดกับกลุ่มทหารรับจ้างมาร์คไวท์อีก ไม่ว่าใครจะเป็นหัวหน้าในอนาคต แอนก็ไม่อาจจะอยู่ได้อีกต่อไป


 


ส่วนใหญ่กลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่จะพยายามหาทางออกเสมอ ไม่ว่าจะแช่งชักหักกระดูกมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ต้องการสร้างศัตรูเพราะคนๆเดียว มันไม่คุ้มกัน


 


แม้ว่าความสามารถของแอนจะไม่ได้ดีขึ้นขั้นยอดเยี่ยม และกลุ่มทหารรับจ้างก็ไม่ได้ขาดกำลังคน อีกทั้งนักรบโล่ในทีมของพวกเขายังไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของกลุ่มได้มากนักอีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับการชิงอำนาจภายในของกลุ่มอื่น


 


แน่นอนศัตรูของกลุ่มทหารรับจ้างมาร์คไวท์เองก็อยากซื้อตัวแอนไปเพื่อแก้แค้น และโชคร้ายที่ศัตรูของกลุ่มมาร์คไวท์ก็รวมถึงแอนด้วย แม้ว่าปัจจุบันเธอจะแปลกแยกออกมาจากกลุ่ม แต่เธอก็เลือกไม่ไปเข้าร่วมกับกลุ่มศัตรู


 


สุดท้ายมีขุนนางร่ำรวยบางคนอยากได้เธอไปเป็นเมียน้อย


 


แอนไม่โง่พอที่จะรับข้อเสนอของคนเหล่านั้น นอกจากกลุ่มทหารรับจ้างเธอไม่คิดจะเข้าร่วมกับอะไรทั้งนั้น


 


ระหว่างอุบัติเหตุ กลุ่มทหารรับจ้างมากมายกำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่ ทั่วไปแล้ววอร์คเกอร์จะเข้าไปหาข่าวด้วยและเขานึกถึงคำพูดของโรดส์ที่ให้หาสมาชิกที่สามารถรับการโจมตีได้


 


แอนเองก็ยินดีรับคำเชิญของวอร์คเกอร์ กลุ่มทหารรับจ้างขนาดเล็กที่มีแรงกดดันน้อยกว่าและสร้างปัญหาน้อยกว่า เนื่องจากกลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่ไม่ต้องการตัวเธอ เธอจึงไม่ต้องการเข้าร่วมกับพวกเขา


 


แอนเหนื่อยใจมากกับการชิงอำนาจภายในกลุ่ม เมื่อคิดได้ดังนี้ เธอจึงอยากไปใช้ชีวิตแบบกลุ่มทหารรับจ้างทั่วไปและภารกิจฆ่าเวลา


 



 


“นั่นล่ะสิ่งที่เกิดขึ้น”


 


หลังจากได้ยินคำอธิบายของวอร์คเกอร์ โรดส์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ


 


“งั้นมาคุยเรื่องต่อไป….สิ่งที่ผมให้คุณไปสืบมา..เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


“ก็สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างแปลกนะ ไอ้หนุ่ม”


 


ชายชราดีดตัวขึ้นทันที


 


“ตามคำสั่งของเจ้า ข้าได้ไปสืบมา 32 กลุ่มและรู้ไหมข้ารู้อะไรมา? นอกเหนือจากภารกิจในปัจจุบัน ภารกิจทั้งหมดก่อนหน้านี้เกี่ยวข้องกับวิญญาณคนตายทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดเริ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน!”


 


“ภารกิจทั้งหมดถูกรับไปหมดแล้วเหรอ?”


 


“ไม่ ไม่ทั้งหมด”


 


ชายชราส่ายศีรษะและโบกมือ


 


“กลุ่มทหารรับจ้างทั้งหมดเข้าใจดีว่าการจัดการอันเดดยากแค่ไหน นอกเหนือจากกลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่ ไม่มีใครโง่พอที่จะเอาชีวิตของพวกเขาไปเสี่ยง ตามที่ข้าได้ยินมา ภารกิจพวกนี้ได้รับมอบหมายจากบางคนที่เสนอเงินก้อนใหญ่มาก ดังนั้นทหารรับจ้างพวกนั้นเลยรับภารกิจไป”


 


“แล้วตอนนี้ล่ะ? สถานการณ์เป็นยังไง?”


 


“มีเพียง 5 กลุ่มที่รอดกลับมาได้ และแต่ละกลุ่มมีคนตายจำนวนมาก….เหมือนกับสถานการณ์ของกลุ่มเรดฮอว์ค ดังนั้นตอนนี้พวกเขาต่างขาดกำลังคน ข้าได้ยินมาว่าบางกลุ่มไม่แม้แต่สำเร็จภารกิจ และได้รับกลับมาเพียงบาดแผลลึก”


 


“คุณรู้เกี่ยวกับสถานที่และเนื้อหาของภารกิจพวกนั้นไหม? นอกเหนือจากนี้ ข้อมูลของลูกค้าล่ะ?”


 


“เรื่องนี้….ข้าไม่แน่ใจนะไอ้หนุ่ม”


 


ชายชราแบมือออกอย่างช่วยไม่ได้


 


“สิ่งที่เจ้าอยากได้มันเป็นความลับ ถึงแม้ว่าข้าจะถามไป พวกเขาก็ไม่บอกข้าหรอก แต่ข้าเชื่อว่าสมาคมทหารรับจ้างต้องมีบันทึกเกี่ยวกับภารกิจพวกนั้น อย่างไรก็เถอะ สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างวุ่นวาย ปกติแล้วไม่มีใครเสนอเงินมากมายแม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการกำจัดอันเดดก็ตาม มันทำให้ข้าสงสัยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น….”


 


“ข้าทำได้แค่เดาเท่านั้นล่ะ”


 


โรดส์นั่งลงบนเก้าอี้และครุ่นคิดขณะที่เคาะโต๊ะเบาๆ เพื่อความแน่ใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ โรดส์พยายามเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมและเขาคิดอะไรบางอย่างออก


 


ใช่แล้ว! ตอนนั้น ผู้เล่นมากมายมาจากดินแดนแห่งแสงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ถ้าโรดส์จำไม่ผิด พวกเขามาที่นี่เพื่อทำภารกิจที่ได้รางวัลอย่างงาม แต่เนื้อหาของภารกิจนั้น….


 


โรดส์เริ่มขมวดคิ้ว


 


ถ้าเป็นอย่างนั้น….! โรดส์จำแต่สิ่งสำคัญ แต่เขายังพยายามสรุปสิ่งที่เขาคาดเดา


 


“สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เกี่ยวโยงกัน ผมจะไปที่สมาคมทหารรับจ้างพรุ่งนี้เพื่อไปหาหลักฐานบางอย่าง”


 


“สมาคมทหารรับจ้าง?”


 


ชายชราขมวดคิ้ว


 


“เจ้าจะจัดการกับคนพวกนั้นเหรอ? อย่าหาว่าข้าไม่บอกเจ้านะ แต่ปากของพวกเขาปิดเงียบมาก ไม่มีทางที่เจ้าจะรวบรวมข้อมูลจากพวกเขาได้ง่ายๆ”


 


“ผมรู้ว่าต้องทำอะไร”


 


โรดส์ส่ายหัว จากนั้นเขาหลับตาและคิดต่อ


 


“หน้าที่ต่อไปของคุณคือหาสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำต่อไป แล้วอย่างลืมตรวจสอบกลุ่มทหารรับจ้างที่ไม่รู้จักที่เพิ่งมาถึงเมืองดีพสโตนด้วย”


 


“กลุ่มที่ไม่รู้จัก? พวกนั้นเข้ามาทุกๆ 2-3 วันเลย เมืองดีพสโตนเป็นเมืองใหญ่ มันไม่ปกติหรอกรึที่จะมีกลุ่มใหม่ๆเข้ามาบ้าง?”


 


“คุณพูดถูก มันปกติ แต่ถ้ามีกลุ่มมากมายปรากฏตัวขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ นั่นละที่ไม่ปกติ”


 


“เจ้าหมายความว่า….”


 


เมื่อโรดส์พูดจบ ใบหน้าของชยชราเปลี่ยนไปทันที เขาไม่ได้โง่ มีเรื่องแปลกๆมากมายที่โรดส์ให้เขาไปสืบมา ดังนั้นเขาจึงเดาได้ว่ามันสำคัญมากแค่ไหน แต่แน่นอนเขาไม่รู้ว่าใครจะกล้าทำเรื่องแบบนี้


 


“มีบางคนกำลังวางแผนทำลายกลุ่มทหารรับจ้างในเมืองดีพสโตนรึ? ไอ้หนุ่ม เจ้ามีหลักฐานรึไง?”


 


เมื่อเห็นใบหน้าที่เคร่งเครียดของวอร์คเกอร์ โรดส์กรอกตาไปมา เขาจะไปรู้ข่าวได้อย่างไร? ถ้าเขาเป็นคนทั่วไป โรดส์คงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีบางสิ่งแปลกๆและไม่สนใจเรื่องพวกนั้น


 


อย่างไรก็ตาม โรดส์เป็นคนที่ข้ามมิติมา เขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องเตรียมตัวรับมือกับ ‘เหตุการณ์แปลกๆ’ อย่างระมัดระวัง


 


“เมื่อข้าได้ข่าวใหม่มา ข้าจะมารายงานเจ้า”


78 – ศัตรูอยู่ในแสงสว่าง ส่วนฉันอยู่ในความมืด


 


ไม่มีสถานที่ใดดีไปกว่าบ้าน


 


นั่นเป็นความคิดแรกที่ไหลเข้ามาในหัวของโรดส์เมื่อเขาลืมตาขึ้น มันเป็นตอนเช้า แสงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า แสงแดดอุ่นๆทะลุหน้าต่างเข้ามาแสดงถึงวันใหม่ที่สดใส


 


แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ 1 วันหลังจากที่เขากลับมา แต่โรดส์กลับไม่เลือกที่จะผ่อนคล่น กลับกันเขาลุกขึ้นจากเตียง เปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปหลังสวยเพื่อฝึกกระบวนท่าดาบ มันเป็นนิสัยจากในเกมที่เขาไม่สามารถลืมได้ หลังจากล็อกอิน เขาจะค้นหาสถานที่เพื่ออุ่นเครื่องและหาสิ่งอื่นทำเพื่อฆ่าเวลา การฝึกฝนประจำวันนี้สามารถช่วยเพิ่มค่าสถานะพื้นฐานของเขาและยังเพิ่มความคล่องตัวในการต่อสู้ ดังนั้นหลังจากที่ข้ามมิติ เขาบังคงติดนิสัยเดิมๆ อย่างน้อยการฝึกของเขาก็ช่วยให้เขาคุ้นชินกับประสาทสัมผัสและเป็นการผ่อนคลายไปในตัว


 


ฐานบัญชาการที่สงบสุขในยามเช้า บนชั้นสาม โรดส์อยู่ในห้องที่ใหญ่ที่สุดในฐานบัญชาการซึ่งเป็นห้องอ่านหนังสือและห้องนอนของเขารวมกัน สำหรับทหารรับจ้างผู้หญิง พวกเขาทั้งหมดอยู่ในห้องพักแขกบนชั้นสองอย่างสบาย มีเพียงวอร์คเกอร์ที่นอนในห้องพักคนใช้ที่ชั้นแรก แต่แน่นอน นี่เป็นที่พักชั่วคราว โรดส์ไม่พอใจกับที่พักในตอนนี้ แต่เนื่องจากพวกเขามีเงินไม่มาก จึงช่วยไม่ได้


 


เมื่อโรดส์เดินลงบันได เขาได้ยินเสียงเรียกเขา


 


“เอ๊ะ หัวหน้า สวัสดีค่ะ! คุณตื่นเช้าจัง”


 


เป็นเด็กสาวคนเดียวที่กล้าพูดกับเขาด้วยท่าทางแบบนี้


 


“คุณก็เหมือนกันหนิ?”


 


โรดส์ส่ายหน้าและมองไปยังแอนที่กำลังยืนอยู่ที่ระเบียง


 


“ผมจะบอกอะไรให้นะ คุณแอน คุณควรระวังเรื่องการแต่งกายหน่อย?”


 


“หืมม?”


 


เมื่อมองตามสายตาของโรดส์ แอนมองไปที่เสื้อผ้าของตนด้วยความอยากรู้ ตอนนี้เธอไม่ได้ใส่เกราะอ่อนที่เธอใส่เมื่อคืน กลับกันมีเพียงชุดนอนบางๆปกคลุมร่างบางๆที่เธอภาคภูมิใจกับท่อนบนที่ใหญ่เป็นพิเศษ เมื่อลมพัดผ่าน โรดส์จึงเหลือบไปเห็นจุดสีชมพูที่อยู่ใต้ชุดที่แอนกำลังใส่อยู่ตอนนี้


 


“หืมม? ก็ดีไม่ใช่หรอ? ใส่แล้วเย็นสบายแถมปลอดโปร่งด้วยแต่งตัวแบบนี้”


 


เมื่อได้ยินเด็กสาวพูด เธอยกมือขึ้นเท้าเอว เผยให้เห็นทรวดทรงมากขึ้นกว่าเดิม โรดส์ทำได้แต่ยอมรับ รูปร่างของแอนเหมือนกับเจ้าหญิงในฝัน เธอมีทรวดทรงที่ดึงดูดตา ขณะเดียวกันรูปร่างของเธอยังร่าทะนุถนอม ยิ่งไปกว่านั้น การปฏิบัติตัวของเธอยังล่อตาล่อใจเป็นอย่างมาก


 


“มันไม่สดชื่นเกินไปหน่อยหรอ?”


 


B+


 


ดวงตาของโรดส์มองไปที่หน้าอกของเธอและทำการประเมิน วินาทีต่อมา เขายักไหล่และพูดขึ้น “นี่มันกลุ่มทหารรับจ้างนะ ฉันว่าเธอควรระวังหน่อยก็ดี”


 


“ว้า…น่าเบื่อ! ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่มาร์คไวท์ พ่อก็บอกให้แอนทำแบบนี้ ตอนนี้แอนอยู่ที่นี่ หัวหน้ายังมาสั่งฉันอีก”


 


แอนเบะปากอย่างไม่พอใจ


 


จากนั้นเธอเสริม “ผู้ชายประหลาด หัวหน้า แอนไม่ได้โป๊สักหน่อย แต่ถ้าแอนทำ จะมีใครตื่นเต้นไหมน้า? สำหรับแอน ต่อให้มีผู้ชายมาเปลือยตรงหน้า แอนก็ไม่ตื่นเต้นหรอกค่ะ”


 


“….”


 


เส้นสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากของโรดส์ เมื่อเขาเห็นเธอครั้งแรก โรดส์เดาได้ว่าคนๆนี้ไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้เขาเจอตาแก่ส่งเรื่องปวดหัวมาให้อีกแล้ว


 


ขณะนั้น ผู้กอบกู้ก็ปรากฏตัวขึ้น


 


“หือ…คุณแอน? คุณตื่นแล้วหรอ? ฉันได้ยินเสียงคุณโรดส์….”


 


ขณะที่กำลังขยี้ตา ไลซ์หาวและเดินออกมาอย่างงัวเงีย เมื่อเธอเห็นการแต่งตัวของแอน ดวงตาของไลซ์เบิกกว้างทันที


 


“อะ-อะ-แอนนน!! เธอกำลังทำอะไร?!”


 


“เอ๊ะ? แอนกำลังออกมาสูดอากาศตอนเช้าไง?”


 


“คุณออกมาแบบนี้ไม่ได้ มันไม่เหมาะสม ทำไมคุณไม่ใส่เสื้อผ้า?!”


 


“แต่แอนก็ใส่เสื้อผ้าอยู่นะ? คุณก็เห็น นี่ไง เสื้อผ้า?”


 


“ว้ายยย อย่ายกขึ้น!!! คุณโรดส์อยู่ที่นี่! ทำตัวดีๆหน่อย!”


 


“แต่แอนกำลังทำอะไรหรอ? แอนก็ไม่ได้โป๊นะ เสื้อผ้าตัวนี้ก็ไม่มีปัญหา ใช่ไหม? หรือว่าเสื้อตัวนี้มันมีปัญหาหรอคะ?”


 


“ไม่ใช่!!! คุณโรดส์ ออกไปด้วยค่ะ คุณแอน ตามฉันมานี่ คุณจะออกมาข้างนอกแบบนี้ไม่ได้!!!”


 


“อ้าว…แต่มันสบายดีนะแบบนี้…”


 


“ไม่ก็คือไม่!!!”


 


หลังจากที่เห็นแอนที่กำลังถูกดึงกลับเข้าไปในห้องอย่างไม่เต็มใจโดยไลซ์ เขาส่ายศีรษะออกมา ถอนหายใจ อย่างไรก็ตาม เขาโชคดีพอที่จะได้เป็นพยานกับ ‘ภาพที่งดงาม’ ในเช้าวันนี้


 


โรดส์ต้องยอมรับว่าเธอมีเสน่ห์มากจริงๆ เธอสดใส ร่าเริง ตรงไปตรงมา แต่กลับสนใจคนรอบข้างน้อยมาก ถ้าเธออยากทำอะไร เธอจะทำในแบบของเธอและไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง ข้อดีคือเธอสามารถกล้าหาญและแน่วแน่ อีกด้านหนึ่ง เธอเป็นคนที่ทำก่อนคิด โรดส์เข้าใจดีว่าทำไมรองหัวหน้าทั้งสองจากมาร์คไวท์ถึงต้องการไล่เธอออก…


 


มาร์ลีนและไลซ์เองก็รับรู้ถึงจุดนี้


 


หลังจาก ‘อุบัติเหตุ’ ในช่วงเช้า ทุกคนได้มารวมตัวรับประทานอาหารเช้า เมื่อโรดส์และไลซ์อาศัยในฐานบัญชาการเพียง 2 คน พวกเขาสามารถทานกันแบบเรียบง่าย แต่ตอนนี้มีคนเพิ่มมากขึ้น โรดส์ต้องจัดโต๊ะสำหรับทานอาหารเช้าใหม่


 


วอร์คเกอร์รับหน้าที่แทนไลซ์ในการทำอาหาร 3 มื้อต่อวันได้อย่างน่าประหลาด อาหารของเขาอร่อยมาก! นั่นทำให้มาร์ลีนถึงกับเอ่ยปากชมอาหารที่เขาทำ แน่นอนทุกสิ่งจะสมบูรณ์แบบ ถ้าเขาหยุดดื่มเบียร์ในทุกมื้อ


 


“สิ่งที่พวกคุณทุกคนควรทำในวันนี้คือพักผ่อน” โรดส์พูดขึ้นและเริ่มคุยเรื่องตารางของวันนี้ ขณะที่กำลังถือขนมปังนึ่งไว้ในมือ


 


“ผมต้องไปสมาคมทหารรับจ้างเพื่อรวบรวมข้อมูล พวกคุณสามารถทำสิ่งที่ต้องการได้ แต่ต้องไม่สร้างปัญหา ถ้าใครอยากออกไปข้างนอก พาคนอื่นไปด้วย”


 


“สมาคมทหารรับจ้าง?”


 


มาร์ลีนยกคิ้ว ขณะที่เธอกำลังหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากของเธอ


 


“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เอถาม


 


โรดส์ส่ายหัว แม้เขาจะไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะดีกว่าถ้าเขาไม่ทำให้เซเร็คและคนอื่นๆปวดหัว


 


“ผมไม่สามารถบอกอะไรได้ตอนนี้ ผมต้องไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อน”


 


“คุณให้ฉันตามไปด้วยได้ไหม คุณโรดส์?”


 


“ไม่จำเป็นหรอก คุณคงเหนื่อยจากการเดินทาง คุณไม่ต้องไปหรอกวันนี้”


 


“…คุณโรดส์”


 


ครั้งนี้ ไลซ์ยกมือขึ้นอย่างไม่มั่นใจ


 


“พวกเราจำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรไหมคะ?”


 


“พวกเราจะต้องเดินทางไปอีก 2-3 วันข้างหน้า คุณสามารถเตรียมสำหรับเรื่องนั้นได้”


 


“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”


 


เมื่อทุกคนพูดคุยกันอย่างวุ่นวาย แอน ที่นั่งอยู่เงียบๆเอ่ยขึ้น


 


“พี่มาร์ลีน พี่ไลซ์ แอนรู้สึกแปลกๆ ทำไมไม่มีใครเรียกหัวหน้าว่าหัวหน้าเลยล่ะคะ?”


 


“เอ๊ะ?”


 


ทั้งมาร์ลีนและไลซ์ต่างนิ่งเงียบไป


 


“ในกลุ่มทหารรับจ้างเก่าของแอน ทุกคนเรียกหัวหน้าว่าหัวหน้า ทำไมพี่สาวทั้งสองเรียกหัวหน้าด้วยชื่อกันล่ะคะ?”


 


“นี่มัน…”


 


ทั้งสองแสดงมีหน้าออกมาอย่างอึดอัด แม้แต่วอร์คเกอร์ที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆก็รู้สึกไม่สบายใจและยกแก้วขึ้นมาปิดบังใบหน้า อย่างไรก็ตาม โรดส์ช่วยให้พวกเขาออกมาสถานการณ์ที่พูดไม่ออก


 


“ทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง มาร์ลีนมาเข้าร่วมกลุ่มของพวกเราชั่วคราม สำหรับไลซ์ ผมมั่นใจว่าเธอมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณจะเรียกผมว่าอะไร มันไม่ใช่ข้อบังคับที่ต้องเรียกผมว่า หัวหน้า ถ้ารู้สึกสบายใจเรียกผมอย่างอื่นก็ได้ตามที่คุณต้องการ”


 


“ถ้าอย่างนั้น…”


 


แอนกระพริบดวงตาสีเขียวสดใสมองทุกคนด้วยความอยากรู้ จากนั้นเธอไม่ได้พ฿ดอะไรและหันไปสนใจอาหารตรงหน้าของเธอ


 


ไลซ์ มาร์ลีนและวอร์คเกอร์ต่างถอนหายใจออกมา แต่พวกเขายังคงมีแววตาซับซ้อนอยู่ภายใน


 


ในขณะนั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น


 


ไลซ์รีบลุกไปเปิดประตุ เธอพูดคุยกับคนมาใหม่ด้วยน้ำเสียงต่ำครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับจดหมายมา จากนั้นเธอกลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้าแปลกๆ


 


“เกิดอะไรขึ้นเหรอไลซ์? มีอะไรรึเปล่า?”


 


มาร์ลีนถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าของไลซ์ ไลซ์ส่งจดหมายและพูดขึ้น “คุณโรดส์ มีคำเชิญจากสมาคมทหารรับจ้างค่ะ ท่านประธานและคุณเซเร็คอยากพบคุณ พวกเขาหวังว่าคุณจะไปที่นั่นเพื่อแก้ปัญหา”


 


“ปัญหา?”


 


โรดส์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มีปัญหาระหว่างเขากับสมาคมทหารรับจ้างได้อย่างไร?


 


“นี่มัน…”


 


สีหน้าในตอนนี้ของไลศ์เริ่มแปลกใจมากขึ้น เธอมองมาที่มาร์ลีนอย่างกังวลและกลับมามองโรดส์


 


“ตามที่คนส่งจดหมายบอกมา คุณคลินตันจากประเทศแห่งแสงมาถึงสมาคมทหารรับจ้างและอ้างว่าคุณได้สังหารผู้ติดตามของเขา เขาขอให้พวกเราอธิบายและอยากให้พวกเราชดใช้ค่าเสียหาย…”


 


“มันจะมากไปแล้ว!”


 


ก่อนที่ไลซ์จะพูดจบ มาร์ลีนฟาดโต๊ะและลุกขึ้นด้วยความโกรธ


 


“ไอ้ขยะพวกนั้น…ดูเหมือนว่าพวกมันจะส่งคนมาสังหารพวกเราในป่า เฮอะ…ตอนนี้พวกมันกำลังกลบเกลื่อนความจริง! พวกมันอยากให้เราอยู่เฉยๆรอความตายรึยังไง?”


 


หลังจากที่มาร์ลีนหันกลับและมองไปยังโรดส์ด้วยแววตาโกรธเคือง


 


“คุณโรดส์! ไปสมาคมทหารรับจ้างกัน! ฉันอยากให้ไอ้พวกบ้านั่นได้รู้ว่าอาณาจักรมันน์ของพวกเราไม่ใช่เมืองที่จะถูกกลั่นแกล้งได้ง่ายๆ!”


 


“พอได้แล้ว มาร์ลีน อย่าตกใจไป”


 


โรดส์ใจเย็นอย่างน่าแปลกใจ เขายื่นมือและรับจดหมายจากไลซ์และอ่านเนื้อหาในนั้นอย่างรอบคอบ หลังจากอ่านจบ เขาเก็บจดหมายเข้าในกระเป๋าของเขาและยืนขึ้น


 


“ไปพักกันได้แล้ว ผมจะไปสมาคมทหารรับจ้างด้วยตัวเอง ผมคิดว่าที่นั่นต้องมีเรื่องเข้าใจผิด”


 


“เรื่องเข้าใจผิด?!”


 


มาร์ลีนหัวเราะเยาะออกมา


 


“คุณโรดส์ มันจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปได้ยังไง? ก็เห็นๆอยู่? คนของประเทศแห่งแสงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่….”


 


“ผมคิดว่าไม่ใช่นะ”


 


โรดส์โบกมือและไม่สนใจคำบ่นของมาร์ลีน


 


“พวกเราไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นมาก่อน นั่นต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่นอน คลินตันใส่ร้ายพวกเรา แต่ผมไม่รู้ว่าเขาทำไปทำไม”


 


“….”


 


ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก


 


ทั้งหมดมองไปที่โรดส์ที่สงบนิ่งราวกับแตงกวา เขากำลังแสดงท่าทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


79 – การเตือนเล็กๆ


 


เสียงพูดคุยโต้เถียงเริ่มดังขึ้นมา


 


ปีเตอร์ยืดตัวของเขาขึ้นและมองเอกสารในมือของเขา เมื่อเขาถอนแว่นออก เขาสังเกตเห็นว่าสายตาของเขาเริ่มเลือนลาง แต่มันดีสำหรับเขา…อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องมองใบหน้าที่น่ารำคาญพวกนั้น ไม่อย่างนั้นมันคงอยากที่เขาจะทำงานต่อได้


 


“เงียบ เงียบ!!”


 


เสียงทุ้มดังขึ้นกลบเสียงโต้ตอบกันไปมา


 


“ทุกคน พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกันนะ”


 


ชายที่สวมชุดคลุมหรูหรายืนขึ้นและกางมือออก


 


“ไม่กี่เดือนมานี้ มีการโจมตีเรือเหาะอย่างต่อเนื่องตลอดแนวบริเวณชายแดน ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้สมาคมพ่อค้าไม่พอใจ แต่ยังทำให้ราคาสินค้าในประเทศแห่งแสงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย พวกเราต้องหามาตราการตอบโต้ให้เร็วที่สุด!”


 


“พวกเราสามารถทำอะไรได้บ้าง?”


 


อีกคนหนึ่งดึงกระดาษลงและอ้าแขนออก


 


“พวกเราได้ส่งหน่วยสอดแนไปเรียบร้อยแล้ว แต่พวกเรายังไม่ได้รับรายงานที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ พวกเราต้องหาว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังให้ได้”


 


“มันต้องใช้เวลา พวกเรามีหลักฐานเพียงน้อยนิด ดังนั้นพวกเราต้องสืบเรื่องนี้เพิ่ม”


 


“พวกเราไม่มีเวลาแล้ว! ราคาสินค้าที่สูงขึ้นส่งผลต่อการสนับสนุนของประชาชน พวกเราต้องหาทางพลิกสถานการณ์นี้ให้ได้หรือไม่ก็ทั้งประเทศจะเข้าสู่ความโกลาหลในไม่ช้า”


 


ประเด็นที่พวกเขากำลังพูดกันอยู่คืออะไร? คุณอาจจะเรียกได้ว่า ไม่มีสาระ


 


ปีเตอร์ก่ายมือไปที่หน้าผากและถอนหายใจ พวกเขาพูดคุยกับทุกวัน แต่พวกเขาไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาได้ ในขณะนี้ ร่างดำทมิฬยืนขึ้น


 


“ข้ามีบางอย่างอยากพูด”


 


บอร์เด้


 


เมื่อได้ยินเสียงของเขา ชายชราปีเตอร์หันไปสนใจทันที เขาคว้าแว่น พร้อมด้วยปากกาในมือ


 


บอร์เด้อยู่ในวัย 40 ปี ริมฝีปากหนาๆและผมสีทางที่หวีกลับไปด้านหลังอย่างสง่างาม เขาแต่งกายในชุดแจ็คเก็ตสีดำ เขาก้าวออกมาที่แท่น ส่งผลให้เสียงน่ารำคาญเริ่มเงียบลง


 


“ข้าคิดว่าการประชุมครั้งนี้เสียเวลาเปล่า พวกเราไม่ควรคิดหาวิธีแก้มัน ไม่ว่าพวกเราจะตั้งใจหรือไม่ พวกเราต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้ขณะที่พวกเรากำลังพูดกันอยู่ ราคาสินค้ากำลังพุ่งขึ้นอยู่ ถึงมันจะไม่มาก แต่มันก็ทำให้ประชาชนไม่มีความสุข พวกท่านได้ยินหรือไม่?”


 


บอร์เด้กล่าวออกมาอย่างตรงประเด็น


 


“ถูกต้องที่พวกเรามีความรับผิดชอบมากมาย—แต่พวกเราไม่สามารถปล่อยสิ่งเหล่านี้ไปได้ ข้าเห็นด้วยกับการสืบหาต้นตอของการโจมตี พวกเราควรกำหนดราคาสินค้าไม่ให้มันสูงไปกว่านี้ นี่เป็นสิ่งที่พวกเราควรทำ!”


 


“แต่พวกเราจะทำอย่างไรละ ท่านบอร์เด้?”


 


เมื่อได้ยินคำถามของสมาชิกคนหนึ่ง บอร์เด้ยิ้มออกมา


 


“พวกเราสามารถขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรมันน์ได้ ให้พวกเขาช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนสินค้าในตอนนี้และทำให้ราคาสินค้ามีเสถียรภาพมากขึ้น”


 


“ข้าคัดค้าน!”


“ข้าเองก็คัดค้านด้วย!”


 


บางคนยืนขึ้นและแสดงจุดยืนของพวกเขา


 


“ความสัมพันธ์ของพวกเรากับพวกเขายังเป็นเหมือนเมื่อก่อน พวกเราไม่ได้ติดต่อกับพวกเขามาเป็นเวลานาน นี่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเขาไม่ต้องการช่วยพวกเรา! ถ้าพวกเราส่งคำขอร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขา พวกเขาอาจจะใช้จุดนี้บังคับให้ยินยอมรับข้อเสนอในอนาคตได้!”


 


“ใช่แล้ว! พวกเผด็จการ…ข้าไม่เชื่อว่าผู้หญิงพวกนั้นจะใจดีพอมาช่วยเหลือพวกเราโดยไม่หวังผมประโยชน์ตอบแทนหรอก”


 


“ทำไมนางต้องมาสนใจพวกเราว่าจะอยู่หรือตาย? นางเป็นปีศาจที่สามารถฆ่าคนของพวกเราได้โดยไม่ลังเลเพื่อรักษาดินแดนของนาง คนแบบนี้เป็นนางฟ้ารึไง? ยากที่จะเชื่อ ข้าขอคัดค้านข้อเสนอนี้ ท่านบอร์เด้ ประเทศแห่งแสงของพวกเราเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาด้วยเสรีนิยม ข้าขอปฏิเสธการเข้าร่วมกับพวกปีศาจ”


 


“มันไม่สำคัญหรอก ยังไงอาณาจักรมันน์ก็ยังคงเป็นพันธมิตรของพวกเรา”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับความเห็นที่หลากหลาย บอร์เด้โบกมือเรียกความสนใจอีกครั้ง


 


“พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ดินแดนอื่นไม่มีทรัพยากรเพียงพอหรือความสามารถมากพอที่จะช่วยเหลือพวกเรา พวกเราควรส่งสารแสดงความหวังดีของพวกเราต่อท่านหญิงลิเดียให้เห็นที่สุดเท่าที่ทำได้ ตราบเท่าที่พวกเขายินดีแลกเปลี่ยนกับพวกเราด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ต่ำ พวกเราสามารถให้พวกเขาตัดสินใจหาข้อเสนอที่เหมาะสมได้ ข้าหวังว่าทุกๆคนที่นี่จะเข้าใจว่าข้าทำไปทำไม ใช่แล้ว การทะเลาะกันของพวกเราไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์และข้ามั่นใจว่าพวกท่านคงไม่อยากให้ข้าเตือนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าพวกเราไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้…ข้าคิดว่าพวกท่านทุกคนคงรู้ดีว่าข้ากำลังพูดถึงอะไร”


 


เมื่อได้ยินดังนี้ คนที่ต่อต้านบอร์เด้เริ่มเงียบลง พวกเขามองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าการโต้กลับไปจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีมากนัก อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางคนที่เลือกยืนยันความเห็นของตน


 


“แต่…แต่อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผู้คนรู้ว่าพวกเราขอความช่วยเหลือมาจากอาณาจักรมันน์? ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป พวกเราจะโดนระเบิดลูกใหญ่เหมือนกัน”


 


“ข้าคิดว่าเจ้าไม่ต้องไปกังวลเรื่องนี้”


 


บอร์เด้กดมือลงต่ำ


 


“ผู้คนส่วนใหญ่กังวลเรื่องราคาสินค้าที่สูงขึ้น ตราบเท่าที่พวกเราไม่บอกพวกเขา ไม่มีใครรู้ว่าอาหารและสินค้าต่างๆมาจากที่ไหน การขอร้องอาณาจักรมันน์ไม่ใช่สิ่งที่มีเกียรติ แต่สำหรับประชาชนของดินแดนพวกเรา พวกเราต้องยอมลดศักดิ์ศรีของพวกเรา”


 


บอร์เด้หยุดพูดไปชั่วขณะ


 


“พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ของพวกเขา ดังนั้นตอนนี้พวกเขาคงไม่มองมาที่เรื่องเหล่านี้หรอก”


 


เมื่อเหล่าสมาชิกสภาได้ยินเรื่องนี้ ความกังวลในแววตาของพวกเขาสลายหายไปและถูกแทนที่ด้วยความดีใจ เรื่องนี้ทำให้พวกเขาปวดหัวอยู่นาน ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่พวกเขาจะโล่งอก เหล่าสมาชิกในสภาต่างรู้ดีว่าตราบเท่าที่พวกเขาระงับความโกรธของประชาชนได้ พวกเขาจะได้รับเลือกตั้งในปีถัดไป


 


ศักดิ์ศรี? มันคืออะไร? มันสามารถกินได้ไหม?


 


“งั้นท่านบอร์เด้ แล้วเรื่องคนส่งสาส์น…”


 


“ข้าจะเป็นคนไปเอง”


 


บอร์เด้ยืดอกขึ้นและพูดขึ้นอย่างมั่นใจ “ข้าจะแสดงความจริงใจของสภาพวกเราให้ท่านหญิงลิเดียเห็นเอง”


 


จากนั้นบอร์เด้เงยหน้าขึ้นมองด้านหน้า


 


“ข้าหวังว่าทางสภาจะอนุญาตคำขอนี้”


 


สมาชิกสภาทั้งหมดคิดไปในแนวทางเดียวกันและมองไปยังชายชรา เขาดูแก่แล้ว เขาอยากอยู่ในตำแหน่งนี้มานานแค่ไหนกัน? บ้าเอ้ย ถ้าไม่มีเขา สภาแห่งนี้จะเป็นยังไงกัน?


 


หืมม ดูเหมือนว่าเขาจะลงเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย ถึงตอนนั้น….


 


สมาชิกทุกคนคิดเหมือนกัน พวกเขายังคงให้ความสนใจชายที่ยืนอยู่บนแท่น


 


“มันอาจจะเป็นการมาของยุคสมัยใหม่”


 



 


ในขณะนั้น ณ เมืองดีพสโตนที่ห่างไกล ฉากตรงหน้าเกิดขึ้นในสมาคมทหารรับจ้าง


 


“ไอ้เลวเอ้ย!!”


 


ทหารรับจ้างหลายคนตกใจเมืองเห็นบิลลี่ ใบหน้าของพวกเขาซีดมาก ซึ่งบิลลี่ปิดประตูด้านหลังเขา เขาเดินเข้ามาที่ห้องโถงและออกจากสมาคมทหารรับจ้าง ก่อนที่จะขึ้นรถม้าหรูหราออกไปจากตึก


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


ชายที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเงาถามขึ้น


 


“ชายคนนั้นปฏิเสธทุกอย่าง”


 


บิลลี่ยืดแขนออกอย่างช่วยไม่ได้


 


“แม้ว่าข้าจะทำตามคำขอของเจ้า ทั้งแสดงหลักฐานและภาพถ่ายเวทมนตร์ออกมาเพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็นฆาตกร เขาไม่มีทางทีอะไรเลย และบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี่พวกเราเป็นคนกรุเรื่องขึ้น!!”


 


เมื่อนึกถึงสีหน้าสงบนิ่งของโรดส์ บิลลี่นึกกับกัดฟันด้วยความโกรธ เขาอยากจะตัดหัวโรดส์ด้วยมือของตัวเอง เขาใช้เวลามากมาย อธิบายและแสดงหลักฐานออกมา แต่ชายคนนั้นกลับโต้กลับได้ทั้งหมด


 


“แล้วทางสมาคมทหารรับจ้างล่ะ?”


 


“พวกเขาบอกว่าพวกเขาจะตามสืบต่อเอง”


80 – ขอกำลังเสริม


 


ประธานชราและเซเร็คไม่ได้โง่ ปกติแล้วพวกเขาไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับสถานการณ์วุ่นวายระหว่างอาณาจักรมันน์และประเทศแห่งแสง แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกขอบคุณโรดส์สำหรับข้อมูลที่ให้มาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทหารรับจ้างและอันเดด ขณะที่พวกเขากำลังดูบันทึกมารมอบหมายงาน พวกเขากลับได้ข้อสรุปเดียวกับชายชราวอร์คเกอร์ นั่นคือเริ่มมีสิ่งแปลกๆเกิดขึ้นจริงๆ


 


สมาคมทหารรับจ้างไม่สามารถปฏิเสธปัญหาที่เกิดขึ้นของทั้งสองดินแดนได้ แต่พวกเขาไม่สามารถเมินเฉยต่อสถานการณ์เลวร้ายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาได้ ในฐานะสมาชิกระดับสูงสุดอย่างประธานชราและเซเร็คได้กลิ่นแปลกๆมาก่อนที่โรดส์จะเข้ามาเตือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลุ่มทหารรับจ้างกลับมาในสภาพบาดเจ็บสาหัส


 


“ดูเหมือนจะมีบางอย่างแฝงตัวในเงามืดนะ”


 


เมื่อมองไปที่กระดาษในมือ สีหน้าของเซเร็คมืดมนลง


 


“สิ่งที่เกิดขึ้นพวกนี้…ข้าไม่อยากให้เกิดขึ้นหรอก ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ ข้าจะไปเอง”


 


“มันสายเกินไปแล้วที่จะมาเสียใจตอนี้ เพื่อนข้า”


 


ชายชราถอนหายใจและกรอกตาไปมองโรดส์


 


“เจ้าคิดอย่างไรบ้างกับเรื่องพวกนี้?”


 


“บางทีอาจะเป็นเพราะอันเดดพวกนี้มีสมบัติล้ำค่าก็ได้?”


 


โรดส์เมินเฉยเขาอีกครั้ง เมื่อชายชรากรอกตามามองเขา เขาถอนใจเฮือกใหญ่และถามตัวเองทำไมเขาถึงไปถามโรดส์กัน


 


“ผู้ที่มอบภารกิจมาจากหลายพื้นที่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน นั่นคือพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา…”


 


เมื่ออ่านถึงจุดนี้ สีหน้าของเซเร็คบิดเบี้ยวเล็กน้อย


 


“ข้าไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นการก่อกบฏหรือไม่จากข้อมูลที่พวกเราดู แต่มันประจวบเหมาะกันมากเกินไป”


 


ก็อก ก็อก ก็อก!


 


ในขณะนั้น เสียงเคาะรัวๆดังขึ้นจากด้านหลังประตู ทำลายบรรยากาศอึมครึมภายในห้องทั้งหมด ทั้งสามมองไปในทางเดียวกัน ชายชราเริ่มมีสีหน้าจริงจังขึ้น


 


“เข้ามา”


 


“ท่าน-ท่านประธาน!”


 


ประตูถูกผลักออกตามมาด้วยทหารรับจ้างที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดวิ่งตรงมาพร้อมกับตาแก่แฮงค์ ดูจากเสื้อผ้าของเขา สามารถบอกได้ว่าเขามีอาชีพโจร


 


“เกิดอะไรขึ้น?!” ประธานเอ่ยยถามขึ้น


 


ทหารรับจ้างที่เปียกโชกไปด้วยเลือดใช้เรี่ยวแรงที่เหลือยืนขึ้นตรงหน้าประธาน เห็นได้ชัดว่าเรี่ยวแรงของเขาใกล้หมดลงแล้ว


 


“ท่าน-ท่าน ภารกิจของพวกเราล้มเหลว…ข้าได้วางแผนหนีออกมา…ได้โปรด ได้โปรดส่งกำลังเสริมไปช่วยเพื่อนข้าด้วยเถอะ…”


 


“เจ้าคือ….”


 


เซเร็คเดินตรงไปยังทหารรับจ้างอย่างรวดเร็ว หลังจากตรวจสอบแล้ว เขาพูดขึ้น “เจ้าคือชาดจากกลุ่มทหารรับจ้าง ‘วิคตอเรียส ไวน์’ ไม่ใช่รึ? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”


 


“พวกข้า พวกข้าได้รับภารกิจให้ไปที่สันเขาแห่งความเงียบ แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีอันเดดมากมายถึงเพียงนี้….ท่านรองหัวหน้าได้เสียชีวิตไปแล้ว ท่านหัวหน้าได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ แต่ตอนนี้พวกของข้ากำลังถูกรุมล้อมโดยอันเดดพวกนั้น…ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะยื้อไว้ได้นานแค่ไหน….”


 


“อะไรนะ? สันเขาแห่งความเงียบ?!”


 


เซเร็คอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อได้ยินเรื่องนี้


 


“นั่นมันภารกิจระดับ 5 ดาว! กลุ่มทหารรับจ้างของเจ้าไม่มีสิทธิ์ในการรับภารกิจนี้!”


 


“ข้า…ข้ารู้…แต่ภารกิจของพวกเรามีเพียงค้นหาสิ่งของตามรอบนอกสันเขา…พวกข้าไม่คิดว่ามันจะอันตรายถึงขนาดนี้ ใครจะไปรู้ว่า…”


 


“ลืมมันไปซะ ไม่ต้องพูดตอนนี้”


 


เซเร็คถอนหายใจ


 


“แฮงค์ พามันไปรักษาเดี๋ยวนี้ ข้าจะหาทางแก้ปัญหานี้กับท่านประธานเอง”


 


“ครับ ท่านเซเร็ค”


 


ชายชราแฮงค์ตอบรับและแบกร่างของทหารรับจ้างออกไป เมื่อนายทหารออกไป เซเร็คส่ายศีรษะของเขา


 


“ไอ้โง่เอ้ย! ทำไมพวกมันถึงโง่แบบนี้! พวกมันกล้าเข้าไปในสันเขาแห่งความเงียบได้ยังไงกัน? ที่นั่นเป็นชายแดนของประเทศแห่งความมืด ไอ้โง่พวกนั้น…แค่เพราะเงินถึงกับกล้าเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น”


 


“พวกเราควรทำยังไงดีตอนนี้?”


 


“เนื่องจากพวกเขาร้องขอกำลังเสริม พวกเราต้องช่วยพวกเขา นี่เป็นความรับผิดชอบของสมาคมทหารรับจ้างของพวกเรา แม้ว่าจะเป็นกลุ่มทั่วไป ตราบเท่าที่พวกเขาลงทะเบียนไว้กับพวกเรา พวกเขาอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของพวกเรา”


 


“แต่…”


 


ใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความตึงเครียด


 


“ก่อนอื่นเลยไม่ต้องพูดถึงความอันตรายของที่นั่น ถ้าพวกเราจะเรียกกำลังเสริมไป จะเหลือกลุ่มทหารรับจ้างเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่อยู่ในเมืองดีพสโตน พวกราทั้งคู่รู้ดีว่าพวกเขาเพิ่มแพ้มาหมาดๆ การร้องขอกำลังเสริมในทางปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้”


 


“งั้น…ให้ข้าไปคนเดียวล่ะกัน?”


 


“อย่าทำเป็นตลกไป เพื่อนข้า”


 


ประธานชราส่ายศีรษะทันที


 


“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าไปคนเดียว? นี่เป็นภารกิจระดับ 5 ดาวนะ! เจ้าเป็นนักดาบและเจ้าสามารถการันดีความปลอดภัยของตัวเองได้…แต่คนอื่นที่เจ้าพาไปด้วยล่ะ พวกเขาจะปลอดภัยกลับมารึ?”


 


“….”


 


เซเร็คไม่ตอบ


 


เขารู้ความแข็งแกร่งของตัวเองดี พรสวรรค์ในกระบวนท่าดาบของเขาอยู่ในชั้นเลิศ แต่เขาไม่รู้เรื่องการออกคำสั่งกลุ่มทหารรับจ้างเลย การไปที่นั่นเพื่อฆ่าอันเดดนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่การฆ่าอันเดดไปพร้อมๆกับการนำกลุ่มคนบาดเจ็บออกมาด้วยนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้….


 


ในขณะนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้น


 


“ผมคิดว่าพวกคุณลืมไปว่ายังมีกลุ่มทหารรับจ้างที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บอยู่”


 


“ฮืมมม?”


 


ประธานและเซเร็คหันกลับไปมองโรดส์ที่เงียบอยู่ตลอดเวลาในทันที ตอนนี้เขากำลังกอดอกและล้มตัวไปบนเก้าอี้ กำลังมองไปยังชายชราทั้งสองคน


 


“เจ้าหมายถึง สตาร์ไลท์ สินะ”


 


ประธานชราส่ายศีรษะและหัวเราะออกมา


 


“ไอ้หนู….กลุ่มทหารรับจ้างของเจ้าตอนนี้มีสมาชิกเพียง 5-6 คน….ต่อให้เจ้ามีมากกว่านี้ 2-3 เท่า สันเขาแห่งความเงียบก็ไม่ใช่สถานที่สำหรับเจ้า อย่าสร้างเรื่องไปมากกว่านี้เลย”


 


“นั่นเป็นความคิดของคุณคนเดียว ไม่ใช่ของผม ตาแก่”


 


โรดส์ไม่ถอย กลับกันเขาขยับตัวเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ


 


“ผมมั่นใจในคนของผมและเชื่อผมเถอะ ผมรู้จักสันเขาแห่งความเงียบมากกว่าที่คุณคิด…”


 


“โอ้?”


 


ทั้งสองมึนงงในทันที หลังจากที่ประธานแก่หัวเราะและอ้าปากจะพูดบางสิ่ง อย่างไรก็ตาม เซเร็คได้หยุดเขา เขาเดินตรงไปที่โรดส์และพิจารณาเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างรอบคอบ


 


“คุณมั่นใจว่าคุณสามารถจัดการได้ไหม?”


 


“ข้าไม่เคยรับภารกิจนี้ ข้าไม่มั่นใจ แต่ว่าเจ้าจะมากับข้าใช่ไหม? ถ้างั้นข้าไม่มีปัญหาเรื่องความแข็งแกร่งของเจ้า”


 


โรดส์ยืนขึ้นทันที


 


“แต่ผมมี 2 เงื่อนไข”


 


“เงื่อนไขอะไร?” ประธานเอ่ยขึ้นอย่างสับสน


 


โรดส์ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว


 


“ข้อแรก คุณต้องหานักบวชมาให้ผม 4 คนและต้องมาจากสมาคมเท่านั้นได้ใช่ไหม?”


 


“ก็ได้ แต่….”


 


ชายชราขมวดคิ้วและมองไปที่โรดส์ด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มจะเอานักบวชไปทำอะไรถึง 4 คน


 


“เจ้าจะเอาคนพวกนั้นไปทำอะไร? เจ้าควรรู้ว่าเด็กพวกนั้นไม่มีประสบการณ์การผจญภัยมากนัก เนื่องจากพวกเขามีหน้าที่หลักในหน่วยรักษาภายในของสมาคม ให้ข้าพูดตรงๆคือ พวกเขาไม่มีเวทย์โจมตีเลย ไม่ต้องคิดจะให้คนพวกนั้นช่วยฆ่าอันเดด”


 


“นั่นเป็นปัญหาของผม หน้าที่ของคุณเพียงแค่รอให้ผมพาพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัยแค่นั้น ตอนนี้ ผมอยากรู้ว่าคุณยอมรับเงื่อนไขข้อนี้หรือไม่?”


 


“ได้สิ”


 


ชายชราประธานไม่ลังเลที่จะตอบตกลงกับเงื่อนไขของโรดส์ อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และเขาแค่สงสัยว่าเด็กหนุ่มจะขอนักบวชไปทำไมถึง 4 คน


 


“ข้าจะให้พวกเขาเตรียมตัว จากนั้นพวกเขาจะตามเซเร็คไปรวมกลุ่มกับพวกเจ้า แล้วเงื่อนไขที่สองล่ะ?”


 


“เงื่อนไขที่สองนั้นง่ายมาก”


 


โรดส์ชูอีกนิ้วขึ้นมา


 


“ผมอยากรู้จำนวนแต้มที่ผมจะได้รับจากภารกิจนี้”


 


ใบหน้าของประธานชราเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำทันที


 


“ไอ้เด็กโลภ! เจ้ากล้ามากนะที่เสนอเงื่อนไขนี้ออกมาในเวลาแบบนี้?!”


 


“นั่นเป็นเหตุผลที่ผมต้องพูดเรื่องเงื่อนไขกับคุณ ตาแก่”


 


โรดส์ดึงมือขวาลงและยักไหล่


 


“ทั้งหมดเพราะว่านี่เป็นภารกิจที่เสี่ยงต่อชีวิตของพวกเรา….มันก็สมควรที่จะมีค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับพวกเราไม่ใช่หรอกรึ?”


 


ท้ายที่สุดประธานชรายอมรับข้อเสนอของโรดส์ ชายชราสามารถเลือกที่จะต่อรองได้ แต่เขารู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นสำคัญกว่า ดังนั้นจึงได้ยอมรับเงื่อนไขของโรดส์


 


ถ้าสตาร์ไลท์สามารถจบภารกิจและกลับมาได้อย่างปลอดภัย กลุ่มทหารรับจ้างจะมอบรางวัลของภารกิจระดับ 5 ดาวให้พวกเขาด้วย รวมถึงเหรียญทองจำนวณหนึ่งและอุปกรณ์เวทมนตร์บางชิ้น


 


รางวัลเหล่านี้ไม่สามารถเรียกได้ว่ามากมาย แต่ก็เหลือเฟือสำหรับภารกิจระดับ 5 ดาว


 


หลังจากทุกอย่างจบ พวกเขาตกลงและตัดสินใจออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ในยามเช้า โรดส์ออกจากสมาคมทหารรับจ้างทันทีที่จบการพูดคุย


 


“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่!!”


 


ประธานชราทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ด้วยความโกรธ เขามองไปยังเซเร็คอย่างไม่พอใจที่ซึ่งกำลังเหลือบมองและยิ้มออกมา


 


“เจ้าคิดจริงๆเหรอว่าไอ้หนุ่มนั่นพูดเรื่องจริง? ข้าคิดว่ามันกำลังหรอกเรา สันเขาแห่งความเงียบเป็นบ้านพักตากอากาศที่ใครก็สามารถเข้า-ออกได้ง่ายๆงั้นรึ? แม้จะบอกว่ามันคุ้นเคยกับที่นั่นดีงั้นหรอ? ไร้สาระ!”


 


“ข้าไม่คิดแบบนั้นนะ”


 


เซเร็คยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายศีรษะ


 


“เจ้าเองก็รู้สึกความสำเร็จที่เขาสร้างขึ้น เด็กหนุ่มคนนั้นสามารถก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างขึ้นมาได้ เขาเข้าไปยังสุสานพาเวลได้ในทันทีและยังกลับออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังพากลุ่มทหารรับจ้างเรดฮอว์คกลับมาได้อย่างปลอดภัย ไอ้หนุ่มนั่นบอกว่าเขาคุ้ยเคยกับอันเดด…มันไม่บังเอิญไปหน่อยรึ? เขาเพิ่งจัดการเนโครแมนเซอร์ที่เอาตัวรอดมาได้เป็นเวลาหลายปี”


 


“เจ้าพยายามจะพูดอะไรเซเร็ค?”


 


“ข้าไม่ได้พยายามจะพูดอะไร….”


 


เซเร็คหันศีรษะและมองไปนอกหน้าต่าง


 


“ข้าเพียงแค่คิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเด็กที่น่าสนใจมาก”


81 – มุ่งหน้าสู่สันเขาแห่งความเงียบ


 


ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นในวันที่สอง โรดส์มาถึงทางเข้าเมืองดีพสโตนพร้อมด้วยกลุ่มของเขา เซเร็คที่อยู่ในชุดเกราะหนังทั่วไปและดาบเวทมนตร์ แม้ว่าเขาจะมาถึงก่อน แต่ในขณะนั้นเซเร็คเองก็ถือว่าเป็นทหารรับจ้าง เมื่อมองเห็นการมาถึงของโรดส์ เซเร็คก้าวออกมาและโบกมือให้เขา


 


“เจ้ามาตรงเวลาดีนี่”


 


เซเร็คพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาเหลือบมองไปยังไลซ์ มาร์ลีนและชายชราวอร์คเกอร์ ดวงตาของเขามาหยุดอยู่ที่แอน ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่ทว่าเขาคืนสติอย่างรวดเร็วและทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม


 


“ดูเหมือนเจ้าจะพร้อมแล้วนะ”


 


“ใช่ครับ”


 


โรดส์ตอบเสียงเบาๆ


 


ในขณะที่ทั้งกลุ่มดูสงบนิ่ง เมื่อโรดส์ทิ้งระเบิดลงเมื่อคืน ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึงไม่ต่างกัน


 


ไลซ์กังวลเรื่องความปลอดภัยของคนในกลุ่ม


มาร์ลีนตกใจด้วยความตื่นเต้น เธอไม่รู้ว่าสันเขาแห่งความเงียบคือที่ไหน


ชายชราวอร์คเกอร์บ่นโรดส์ว่ากำลังพาคนทั้งกลุ่มไปตาย


และแอนที่ไม่ออกความเห็น มันไม่สำคัญว่าเธอจะไปที่ไหน ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนขี้เกียจ  ดังนั้นปฏิกิริยาของเธอจึงเหมือนกับกำลังไปออกทริปท่องเที่ยว


 


“คนที่ผมขอมาล่ะครับ?”


 


“พวกเขาอยู่นี่แล้ว”


 


เซเร็คโบกมือไปยังเด็กสาวทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหลังของเขา คนแก่ที่สุดอายุราว 25 ปีและเด็กที่สุดอายุประมาณไลซ์


 


แตกต่างไปจากทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์ นักบวชทั้งสี่คนเผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัวออกมาอย่างชัดเจน มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักบวชมากมายจะถูกขอให้มาเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างเพื่อออกผจญภัย ไลซ์เป็นข้อยกเว้นพิเศษ


 


“ทั้งหมดสามารถร่ายเวทย์รักษาและบาเรียได้ เอาบ่ะไอ้หนู ข้าต้องเตือนเจ้าก่อนว่าพวกเขาเป็นคนของสมาคมทหารรับจ้าง แม้ว่าเพื่อนของข้าจะฝืนตัวเองให้ยอมรับข้อเสนอของเจ้า แต่มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถส่งพวกเขาไปตายได้ ข้าอยากให้มันชัดเจนตรงนี้…ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กพวกนี้ ข้าจะออกมาพร้อมกับพวกเขาทันที แต่ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เจ้าไว้ใจพวกเขาได้”


 


“ไม่มีปัญหา”


 


เมื่อได้ยินคำเตือนของเซเร็ค โรดส์ไม่ได้พูดอะไรและขอบคุณเขา จากนั้นเขาเดินตรงไปยังนักบวชทั้งสี่คนที่มองมาที่เขาด้วยความสงสัยและไม่สบายใจ บอกตรงๆพวกเขาไม่อยากออกเดินทางไปด้วย แต่ในฐานะสมาชิกของสมาคม พวกเขาต้องทำตามคำสั่ง


 


อีกอย่างนักบวชพวกนั้นบอบบางกว่าเหล่าจอมเวทย์มากนัก


 


“ผมคิดว่าคนของคุณควรระมัดระวังสถานที่ที่พวกเรากำลังจะไปนะ” โรดส์เมินเฉยต่อสายตาของพวกเขาและพูดเสียงเรียบ “พวกคุณควรรู้ไว้ว่าที่นั่นอันตรายมากและคุณอาจตายได้ อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่คุณทำตามคำสั่งของผม ผมจะปลอดภัย”


 


โรดส์กางมือออก


 


“โปรดทำตามคำสั่งของผม ถ้าผมบอกให้คุณทำอะไร แค่ทำมันและเชื่อในผลลัพธ์ ถ้าคุณทำตามที่ผมพูด คุณจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายใดๆ ผมเข้าใจสถานการณ์ของพวกคุณในตอนนี้ พวกคุณยังไม่เชื่อคำพูดของผม แต่ความจริงจะเป็นตัวพิสูจน์สิ่งที่ผมพูดออกไป และผมไม่อยากให้ใครฝ่าฝืนคำสั่งไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ผมหวังว่าจะไม่มีใครทำสิ่งที่ทำให้ผมลำบากใจ”


 


โรดส์หยุดไปชั่วขณะและกวาดตาไปมองนักบวชทั้งสี่คนซึ่งมีสีหน้าหลากหลาย


 


“ผมจะทิ้งพวกคุณไว้กับไลซ์ ถ้าคุณมีคำถามอะไร คุณสามารถถามเธอได้ ผมรู้ว่าบางคนในกลุ่มของคุณอาจจะแข็งแกร่งกว่าเธอ แต่กรุณาเชื่อมั่นใจทีมของผม ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ไปมากกว่าเธอ ถ้าคุณไม่อยากลำบาก ผมแนะนำให้ฟังคำแนะนำของเธอ”


 


โรดส์ไม่พูดต่อและเขาส่งสัญญาณให้ทุกคนออกเดินทางได้ ในขณะนั้นเซเร็คเดินตรงเข้าไปหาโรดส์ด้วยรอยยิ้มขมขื่น


 


“จริงๆ…ข้าว่าเจ้าพูดแรงกับเด็กสาวพวกนั้นเกินไปหน่อยนะ?”


 


“ผมไม่ได้สนใจในตัวของพวกเธอหรอก”


 


โรดส์ยักไหล่และส่ายศีรษะของเขา


 


“พวกเรากำลังออกไปทำภารกิจ นี่ไม่ใช่ทริปท่องเที่ยวหรือการออกเดทหรอกนะครับ ดังนั้นผมไม่มีเวลามาสนใจว่าพวกเขาจะชอบหรือไม่….ผมสนใจอย่างเดียวคือให้พวกเขาทำตามคำสั่งของผม หลังจากจบภารกิจผมไม่สนใจอะไรในตัวพวกเขาหรอกครับ”


 


“ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก” เซเร็คยิ้ม “สิ่งที่คุณพูดไปดูคล้ายกับพวกทหารเลยนะ”


 


“งั้นหรอครับ?”


 


เมื่อได้ยินการเปรียบเทียบ โรดส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


“ใช่แล้วล่ะ มันเป็นความมุ่งมั่นและความเด็ดเดี่ยวที่ต้องเจอเมื่อออกทำภารกิจ….ดีละ ในความคิดของข้า ข้าเป็นเพียงทหารรับจ้างธรรมดาไม่มีทักษะการพูดแบบนั้นหรอก”


 


โรดส์ไม่ตอบ ขณะเดียวกันเขาหันกลับและเดินตรงไปยังรถม้า


 


สันเขาแห่งความเงียบไม่ใช่ที่ที่อยู่ใกล้เมืองดีพสโตน ยิ่งไปกว่านั้นมีหลายคนในกลุ่มที่ไม่คุ้นเคยกับการเดินทาง ดังนั้นเซเร็คจึงจัดเตรียมกองคาราวานไว้ให้ในการเดินทาง รถม้ามีทั้งหมด 6 ล้อและใช้ม้าทั้งหมด 8 ตัวในการลาก เนื่องจากสมาคมทหารรับจ้างไม่เข้มงวดเหมือนกับทหาร รถม้าเหล่านี้ถูกใช้ในการเดินทางของสมาชิกในสมาคมซะส่วนใหญ่


 


แม้ว่าจะมีลมแรงที่สันเขาแห่งความเงียบ สมาคมทหารรับจ้างห้ามไม่ให้ใช้เรือบินในการเดินทางครั้งนี้ เหตุผลนั้นง่ายมาก ข้อแรกเพราะว่าเกิดการโจมตีเรือบินพ่อค้าขึ้นเร็วๆนี้ เรือบินนั้นตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่าย ข้อสองคือที่นั่นไม่มีท่าเรือและโรดส์และผู้ติดตามของเขาไม่เคยมีประสบการณ์จากการกระโดดจากที่สูง โลกนี้ไม่มีร่มชูชีพ และแม้ว่าพวกเขาจะลงพื้นได้อย่างปลอดภัย พวกเขาอาจจะถูกกินโดยอันเดดพวกนั้น


 


การตายก่อนทำภารกิจให้สำเร็จถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรแก่การทำตาม


 


ดังนั้นแม้ว่ากองคาราวานจะช้ากว่า แต่มันปลอดภัยกว่าเรือบินมากนัก


 


โชคร้ายสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปตามที่วางแผนไว้ตลอด


 


ถนนมุ่งหน้าสูงสันเขาแห่งความเงียบนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก มันเต็มไปด้วยทางขรุขระและยากลำบากและเกือบจะไม่มีใครกล้าเดินทางไปยังดินแดนร้างเหล่านั้น แม้ว่าไลซ์และชายชราวอร์คเกอร์จะเคยเป็นทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์มาก่อนยังไม่กล้ามาที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงมาร์ลีนและนักบวชทั้งสี่คน พวกเขาไม่สนใจภาพลักษณ์ของพวกเขาอรกต่อไป พวกเขาล้มกลิ้งออกมาจากรถม้าและอ้วกออกมา แต่มีบางคนที่แปลกประหลาด แอนยังคงแสดงสีหน้าสงบนิ่ง เธอเป็นคนเดียวที่หลับอยู่ที่มุมรถม้า


 


ตามแผนเดิมของพวกเขา หลังจากที่มาถึงสันเขาแห่งความเงียบ ทั้งหมดจะต้องออกเดินทางทันที แต่ที่ไหนได้ทุกคนในตอนนี้มึนเมาไปกับการเดินทางอย่างมาก แข้งขาของพวกเขาอ่อนยวบ พวกเขาไม่แม้แต่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู….ซึ่งเป็นนักบวชทั้งสี่คน โรดส์และเซเร็คไม่มีทางเลือก ครึ่งหนึ่งของพวกเขาทั้งหมดจำเป็นต้องพัก


 


“หวังว่าคนพวกนั้นจะสามารถต้านไว้ได้จนกระทั่งพวกเราไปถึงนะ”


 


โรดส์กระซิบกับตัวเองและมองไปยังกลุ่มก้อนเมฆที่ดำมืดอยู่เหนือป่า


 


ค่ำคืนผ่านมาถึง แต่ป่านี้กลับแปลกมาก ไม่มีเสียงของสัตว์ดังออกมาแม้แต่ตัวเดียว


 


โรดส์รู้แล้วว่าอะไรอยู่ตรงหน้า มันไม่มีอะไรเลยนอกว่าออร่าแห่งความตาย เขาได้แต่หวังว่าคนพวกนั้นจะอยู่รอดจนกระทั่งพวกเขาไปถึง


 


แต่โรดส์ไม่เชื่อในความสามารถของพวกเขาในการเอาชีวิตรอด เขาเคยมีประสบการณ์มากมายคล้ายกับภารกิจนี้ในเกม ส่วนใหญ่ NPCs จะยอมจำนนต่อความตาย ก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง ซึ่งมันส่งผลอย่างมากต่อความพยายามของโรดส์ที่ต้องต่อสู้เข้าไปจนถึงจุดช่วยเหลือ


 


“ไม่ต้องกังวลไป”


 


เซเร็คมองโลกในแง่บวกและพูดขึ้น


 


“ข้ารู้จักหัวหน้าของวิคตอเรียส ไวน์ดี เขาเป็นชายหนุ่มที่รอบคอบมากคนหนึ่ง เขาไม่มาตายง่ายๆหรอก แม้ว่าโอกาสในการรอดชีวิตจะเข้าใกล้ศูนย์ พวกเราก็ต้องทำเต็มที่เพราะพวกเราคือสมาคมทหารรับจ้าง”


 


ความรับผิดชอบ


 


โรดส์ไม่ได้ตอบเซเร็ค สมาคมทหารรับจ้างแสดงออกมาว่าเป็นองค์กรที่แข็งแกร่ง และพวกเขาเต็มไปด้วยกลุ่มทหารรับจ้างระดับสูง อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีอำนาจในการยุบกลุ่มทหารรับจ้างเพื่อยกระดับของตัวเอง พลังและความรับผิดชอบเป็นของคู่กัน เหล่าทหารรับจ้างจะต้องรับคำสั่งของสมาคมและในทางกลับกันสมาคมจะคอยช่วยเหลือเหล่าทหารรับจ้างเป็นการตอบแทน


 


การร้องขอกำลังเสริมจากสมาชิกที่น่ารังเกียจของสมาคมนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่หรือตายไปแล้ว เมื่อสมาคมทหารรับจ้างได้รับคำร้อง พวกเขาจะต้องส่งคนออกไปช่วยเหลือ


 


สิ่งนี้แสดงถึงความน่าเชื่อถือและความยึดมั่นอันแรงกล้าที่มีต่อสัญญา ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลที่กลุ่มทหารรับจ้างส่วนใหญ่กล้าออกไปผจญภัยก็เพราะเรื่องนี้


 


ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่ประเมินราคาไม่ได้


 


“ฉัน…ฉันเดินต่อไม่ไหวแล้ว ไลซ์”


 


มาร์ลีนพักที่ต้นไม้ ขาของเธออ่อนแรงลงราวกับเยลลี่ หัวของเธอหมุนไปมาราวกับไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป สิ่งปฏิกูลเปอะเปื้อนไปทั่วร่างของเธอ ความรู้สึกที่แย่กว่าต้นไม้เวทมนตร์ที่เธอเคยกิน เธอเงยหน้าขึ้นและอาเจียนออกมา  ในขณะที่ไลซ์ร่ายเวทย์ช่วยบรรเทาอาการของเธอ


 


“อดทนไว้มาร์ลีน หายใจเข้าลึกๆ พักสักหน่อยนะ”


 


“หายใจเข้าลึกๆ…อ็อกกกกกก….!!!”


 


ร่างของมาร์ลีนก้มลงและลำคอของเธอสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้


 


….ดูเหมือนว่าเธอจะอ้วกสิ่งที่เธอกินไปเมื่อคืนออกมาหมดเลย


 


นักบวชคนอื่นเองก็ไม่ดีไปกว่ามาร์ลีน โชคดีที่พวกเธอร่ายเวทย์รักษาได้ อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของพวกเธอซีดเซียวเป็นอย่างมากและล้มตัวลงนอนลงไปที่พื้นอย่างเหนื่อยล้า ถ้าใครมาเห็นภาพตรงหน้า พวกเขาอาจจะไม่เชื่อว่าคนเหล่านี้จะมาเผชิญหน้ากับเหล่าอันเดด


 


“หาววววว….”


 


มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเดินทางครั้งนี้


 


แอน


 


เธอหาวออกมาขณะที่ปีนลงจากกองคาราวานและยืดร่างกาย หลังจากยืดเส้นยืดสายเสร๋จ เธอมองไปยังคนเหล่านั้นด้วยแววตาแปลกใจและพบว่าเด็กสาวทั้งหมดจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาคมกริบ


 


มันช่วงไม่ยุติธรรม…


 


จากนั้นเธอหันไปหาโรดส์และพูดขึ้น “อ่า หัวหน้า พวกเรามาถึงแล้วเหรอ? เมื่อไหร่พวกเราจะออกเดินทางล่ะ?”


 


“3 ชั่วโมงนับจากนี้ ให้พวกเขาพักกันหน่อย”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่มีพลังงานเต็มเปี่ยม โรดส์รีบชี้ไปที่จุดตั้งแคมป์อย่างรวดเร็วและตอบ


 


“คุณเองก็ควรไปหาอะไรกินและพักบ้าง จากนี้ไปพวกเราจะเริ่มภารกิจแล้ว อย่าลืมหน้าที่ของตัวเอง”


 


“แน่นอน…รับประกันได้หัวหน้า เมื่อแอนอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีปัญหาแน่นอน!”


 


หลังจากตอบเขา แอนฮัมเพลงและเดินไปยังจุดตั้งแคมป์และหยิบเนื้อออกมาจากกระเป๋า 2-3 ชิ้นและเริ่มย่างกินที่แคมป์ไฟ เมื่อเทียบกับเด็กสาวคนอื่นๆที่เหลือพลังงานไม่ถึงครึ่งของเธอ มาร์ลีนที่เฉียดตายและกลุ่มของเธอ ที่ตอนนี้อยูีในสภาพตรงกันข้าม


 


“ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าจะรับเธอ”


 


เซเร็คหยิบแก้วน้ำร้อนออกมา 2 ใบและนั่งข้างโรดส์ ในขณะเดียวกัน เขาส่งแก้วใบหนึ่งให้โรดส์


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีหลายเรื่องซ่อนอยู่สินะ”


 


“คุณรู้จักแอนเหรอ?”


 


“ข้าเคยเจอไม่กี่ครั้งหรอก นิสัยของเธอค่อนข้างสร้างปัญหา ความสามารถของเธออยู่ในระดับสูงเลยล่ะ อย่าตัดสินจากความว่าง่ายของเธอ เพราะว่าเมื่อเธอเอาจริง เด็กสาวคนนี้ทรงพลังอย่างมาก”


 


“ผมเองก็เห็นด้วย”


 


เขาไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของแอนมากนัก แต่เมื่อมองที่ความสามารถจากการทดสอบรับเข้ากลุ่ม เขาสามารถเห็นได้ชัดว่าความสามารถของเธอเป็นของจริง และ….


 


“คุณรู้เกี่ยวกับอดีตของเธอรึเปล่าครับ?”


 


ด้วยร่างผอมเพียวนั้น แอนสามารถหยิบโล่ขึ้นมาได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวและขว้างออกไปได้ โรดส์ได้แต่สงสัย เขาคิดว่าค่าสถานะ Vit และ Str ของเขาค่อนข้างสูงแล้วนะ แต่การหยิบโล่ที่มีน้ำหนักหลายสิบกิโลออกมาถือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในความเป็นจริงแล้ว ก่อนที่จะมาที่นี่ โรดส์ได้มอบโล่หัวใจศิลาที่เขาได้มาจากก้อนหินแห่งความโดดเดี่ยวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตีให้กับเธอและโล่นั้นแน่นอนว่าไม่ได้มีน้ำหนักเบาๆ


 


แอนนั้นดีใจเป็นอย่างมากหลังจากที่ได้รับโล่เวทมนตร์ เธอวิ่งเข้ามากอดและจูบเขา นั่นทำให้โรดส์ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แต่เนื่องจากเป็นนิสัยของเธอ เขาทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย


 


“ข้าก็บอกได้ไม่หมดหรอกนะ แต่ข้ารู้มาว่ากลุ่มทหารรับจ้างมาร์คไวท์พบเธอที่ภูเขา ในขณะนั้น เธออายุเพียง 1-2 ปี และเธออยู่ร่วมกับสัตว์ป่า นั่นทำให้ชายคนหนึ่งนำเธอออกมาและรับเธอมาเลี้ยง ดูเหมือนว่านรกจะไม่ใช่ที่ของเธอ….เท่าที่ข้านึกได้เธอจะกัดคนที่แตะต้องเธอและชายคนนั้นถูกกัดไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”


 


“บอกตรงๆ มีคนมากมายบอกเขาให้ขายเธอ บ้างก็ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บเธอเอาไว้ แต่ชายคนนั้นก็ดันทุรังและยืนกรานจะเก็บเธอไว้ ท้ายที่สุดเธอสอนให้เธอพูด เขียนและเรียนรู้เหมือนกับมนุษย์ บางทีจนถึงตอนนั้น เขาคงคิดว่าเธอเปรียบเสมือนลูกสาวของเขา เด็กค่อยๆโตขึ้นและกลายเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่นิสัยของเธอ….ยังไงก็เถอะ ข้าได้ยินทุกสิ่งเกี่ยวกับมาร์คไวท์และการออกมาถือเป็นเรื่องดี ความแข็งแกร่งของเด็กคนนั้นหาตัวได้ยากนัก ข้าเคยสงสัยว่าชาติกำเนิดของเธออาจจะเป็นบาบาเรี่ยน(คนเถื่อน) แต่….”


 


จากนั้นเซเร็คยิ้มออกมา


 


“ข้าไม่เคยได้ยินบาบาเรี่ยนที่มีหุ่นผอมเพียวขนาดนี้มาก่อนในชีวิตของข้า ถ้าเธอเป็นคนแคระ เธอก็สูงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังสวยด้วยสิ”


 


เซเร็คหยุดและสีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง


 


“เอาล่ะ เรื่องคุยเอาไว้แค่นี้ก่อน กลับมาที่เรื่องที่จะเกิดขึ้นก่อน ข้าอยากรู้วิธีที่เจ้าจะพาพวกเราเข้าไปในสันเขาแห่งความเงียบได้อย่างปลอดภัย เจ้าบอกแค่ว่าเจ้าคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี….ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเจ้า ในฐานะที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ข้าอยากรู้แผนของเจ้า”


 


“แน่นอน ไม่มีปัญหา”


 


โรดส์เงยหน้าขึ้นและเผยให้เห็นสีหน้ามั่นใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน


 


มันไม่ใช่การแสดง เขามีประสบการณ์ทำให้เขามั่นใจอย่างมาก ย้อนกลับไปในเกม สันเขาแห่งความเงียบเป็นดันเจี้ยนที่มีปัญหามาก ผู้เล่นมากมายได้เรียกมันว่า ‘ดินแดนแห่งการทำลายล้างกิลด์’ และใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาในดินแดนแห่งนี้จะต้องเผชิญหน้ากับความตาย นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมทุกคนเลือกที่จะผ่านดันเจี้ยนนี้ เนื่องจากไอเทมที่ได้จากที่นี่เรียกได้ว่าน้อยมาก  และตัวดันเจี้ยนเองก็แข็งแกร่ง นั่นทำให้ไม่มีผู้เล่นอยากที่เข้าไปลุย


 


ในฐานะราชาแห่งเฟิร์สคิลในเกม โรดส์จบดันเจี้ยนนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยและสร้างรูปแบบที่บรรดาผู้เล่นเรียกกันว่า ‘รูปแบบ 9+1’


 


สำหรับรูปแบบ 9+1 นั้นประกอบไปด้วยนักบวช 9 คนและผู้เล่นที่มีระยะโจมตี AOE(โจมตีระยะกว้าง) ในดันเจี้ยน โรดส์จะป้องกันเหล่านักบวชและใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์สังหารเหล่าอันเดด


 


ยังไงก็ตาม สันเขาแห่งความเงียบที่เคยถูกเรียกว่า ‘ดินแดนแห่งการทำลายล้างกิลด์’ ได้กลายมาเป็นสถานที่ฟาร์มค่าประสบการณ์สำหรับเหล่านักบวช เนื่องจากพวกเขาเป็นคลาสสายสนับสนุน มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเลื่อนระดับกับผู้เล่นคนอื่นในดันเจี้ยนหรือการจัดการสันเขาแห่งความเงียบด้วย ‘รูปแบบ9+1’ ดังนั้นดันเจี้ยนนี้จึงกลายมาเป็นจุดเก็บระดับหลักของเหล่านักบวช เมื่อพวกเขาอยากจะเป็นผู้เล่นสาย PK หรือ PvE ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถจบสันเขาแห่งความเงียบได้อย่างลื่นไหล พวกเขาจะได้รับสกิลและค่าประสบการณ์มากมายจากที่นี่


 


ในฐานะหัวหน้ากิลด์ โรดส์เคยพาพวกนักบวชมาเก็บระดับที่นี่และฝึกฝนในดันเจี้ยน สำหรับตัวเขาเอง เขาสามารถหลับตาเดินผ่านสถานที่นี้ได้อย่างง่ายดาย


 


มีเรื่องสำคัญที่มาก ซึ่งครั้งหนึ่ง เขาได้นำเหล่านักบวชเข้ามาเคลียร์ดันเจี้ยนและในด่านสุดท้าย บอสไม่ปรากฎตัวขึ้น นี่ทำให้เขาไม่มีทางเลือกได้แต่ออกจากดันเจี้ยนเพื่อรีเซ็ตมหท่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ผู้เล่นมากมายบอกว่าบอสถูกสังหารโดยโรดส์มากเกินไปจนกลัวเขาไปในที่สุด


 


นั่นเป็นเหตุผลแม้ว่าหลายคนจะหวาดกลัวการเข้าสันเขาแห่งความเงียบนี้ แต่โรดส์ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวต่อสถานที่แห่งนี้อีกแล้ว


 


ครั้งนี้ โรดส์ได้นำนักบวชมาด้วย 5 คนซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ ‘รูปแบบ 9+1’ แต่เขาไม่ได้กังวลแต่อย่างไร เขาเป็นคนพัฒนารูปแบบนี้ขึ้นมาเอง ดังนั้นเขารู้จุดเข้าและออกทั้งหมดของแผนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสมาคมทหารรับจ้างยังไม่สามารถมอบนักบวชให้เขา 8-9 คนได้ในคราวเดียว แค่ 4 คนก็ถือว่าเต็มที่แล้ว ไลซ์ที่มีสายเลือดทูตสวรรค์สามารถแทนที่ช่องว่างได้ถึง 2 ช่องในแผนนี้และมาร์ลีนที่มีเวทย์ AoE ดังนั้นจึงไม่ใช่ปัญหา


 


ท้ายที่สุด เซเร็คเอวก็มีส่วนในภารกิจนี้ นักดาบระดับ 40 นั้นเพียงพอสำหรับช่องว่างที่เหลือ


 


ดังนั้นโรดส์มั่นใจอย่างมาก


 


“สำหรับภารกิจนี้ นักบวชทั้งหมดจะเป็นตัวหลักในการสร้างความเสียหาย”


 


“นักบวชเนี่ยนะ?”


 


เซเร็ครู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


“แม้ว่าข้าจะคาดหวังกับเรื่องนี้….แต่ไอ้หนู เจ้าต้องเข้าใจนักบวชพวกนี้ไม่ใช่อัศวินวิญญาณนะ พวกเธอไม่มีเวทย์โจมตี และยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนี้ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ เจ้าจะผลักพวกเธอไปตายหรือไงกัน?”


 


โรดส์ส่ายศีรษะ


 


“ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาไปอยู่แนวหน้า จะดีกว่าถ้าให้พวกเขาโจมตีจากแนวหลัง”


 


“ดังนั้นผมอยากให้คุณเซเร็คไปรวมกับพวกเขาในแนวหลังและปกป้องพวกเขา ความกดดันของพวกเขาจะได้ลดลง ถ้าคุณอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม ผมกังวลเล็กน้อยที่คุณบอกว่าพวกเธอไม่เคยต่อสู้มาก่อน”


 


“ความกดดันของพวกเราจะลดลง?”


 


เซเร็คสับสนทันที เขาเคยมาที่สันเขาแห่งความเงียบมาก่อนและเข้าใจว่าอันเดดพวกนี้จะออกมาเป็นคลื่นๆ แม้ว่าเขาจะเป็นปรมจารย์นักดาบก็เป็นเรื่องยากที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพอันเดด ดังนั้นเด็กหนุ่มคนนี้พูดมาได้อย่างไรว่าแรงกดดันจะลดลง ถ้าให้เขาไปอยู่แนวหลัง?


 


บางทีเจ้าอาจจะไม่กลัวอันเดดละมั้ง?


 


เจ้ากำลังปั่นหัวพวกข้าอยู่? หรือว่าเจ้ามีแผน?


 


ทันใดนั้น เซเร็คคิดในใจ ร่างเงาของชายชราวอร์คเกอร์ปรากฎขึ้นออกมาจากป่าด้วยสีหน้าขนลุกขนพอง


 


“ข้าพบร่องรอยที่พวกเขาทิ้งเอาไว้แล้ว”


 


เขาเดินไปหาโรดส์และพูดเสียงต่ำ


82 – เข้าสู่สันเขาแห่งความเงียบ


 


เมื่อทุกคนเสร็จสิ้นการพัก พวกเขาก็เริ่มเดินทางเข้าไปในป่า


 


ป่าแห่งนี้เงียบมาก ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีดร้อง


 


ทั้งกลุ่มเดินผ่านดงไม้ เงาของพวกเขาเริ่มถูกกลืนเข้าไปในความมืด แสงส่วนใหญ่ไม่อาจทะลุผ่านใบไม้ทึบเข้ามาได้


 


เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้อยู่ระหว่างประเทศแห่งแสงและประเทศแห่งความมืด มันเป็นจุดที่มืดที่สุดสำหรับคนที่มาจากประเทศแห่งแสง


 


“มีคนอยู่ตรงนั้น!”


 


หนึ่งในนักบวชตกใจและชี้ไปทิศนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่ไกลจากพวกเขา ใบหน้าซีดๆกำลังมองพวกเขาอย่างเงียบงัน


 


“ปล่อยพวกมัน ไปต่อเถอะ”


 


โรดส์ไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับไปและสั่งเดินหน้าต่อ อย่างไรก็ตาม ความกลัวได้ส่งผลทำให้นักบวชคนนั้นเริ่มลังเล


 


“แต่ว่าดวงวิญญาณร้ายพวกนั้น…พวกมัน…”


 


“ถ้าคุณไม่ไปควรพวกมัน พวกมันก็ไม่มากวนคุณหรอก”


 


ในขณะนั้นโรดส์รู้สึกว่ากำลังนำกลุ่มมือใหม่อย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่คนพวกนี้เห็นบางสิ่งน่ากลัว พวกเขาจะกรีดร้องออกมา โดยเฉพาะเหล่าผู้เล่นหญิงสาว…ในกลุ่มของเขาแต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป บางคนสงบนิ่ง บางคนกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว บางคนตัวแข็งทื่ออย่างหวาดผวา โรดส์เห็นพวกนั้นมาหมดแล้ว ในตอนแรก โรดส์ได้ใจดีให้คำแนะนำกับพวกเขา แต่หลังจากที่ผ่านไปหลายครั้ง เขาเหนื่อยกับการทำแบบนั้นแล้ว


 


ถ้าพวกเขายังกลัวกับเรื่องแบบนี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในพื้นที่ด้านในของสันเขาแห่งความเงียบ? พวกเขาไม่ล้มลงไปนอนกองกับพื้นก่อนเหรอ?


 


“แต่ว่า….”


 


เมื่อเห็นโรดส์เมินเฉยต่อความกลัวของเธอ นักบวชคนนั้นรู้สึกขัดใจ จากการรับรู้ของของเธอ ดวงวิญญาณร้ายเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เป็นกลุ่ม เนื่องจากโรดส์สนใจพวกมัน ทำไมเขาไม่สั่งโจมตีล่ะ? และตอนนี้พวกเขาเดินลึกเข้ามาในป่า จำนวนของดวงวิญญาณเริ่มเพิ่มมากขึ้น วิญญาณเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ในเงาของต้นไม้และพุ่งผ่านไปยังต้นไม้อีกต้นเพื่อสังเกตการณ์พวกเขาด้วยดวงตาที่ตายด้าน


 


ขณะที่พวกเขาเดินทางลึกเข้ามาในป่า จำนวนของดวงวิญญาณร้ายยังคงเพิ่มมากขึ้น แม้แต่มาร์ลีน ไลซ์และตาแก่วอร์คเกอร์เริ่มรู้สึกกังวลออกมา พวกเขาสัมผัสได้ว่าพวกเขาถูกจ้องมองโดยวิญญาณรอบๆและรู้สึกราวกับดวงวิญญาณพวกนี้จะพุ่มเข้ามาและกัดกินพวกเขา นักบวชทั้งสี่เริ่มไม่สามารถเดินได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าโรดส์เดินเร็วมากและพวกเธอไม่อยากรั้งท้าย พวกเธออาจจะหยุดเดินไปเพราะความกลัวไปแล้ว


 


มีเพียงโรดส์และเซเร็คที่ยังคงสงบนิ่ง โรดส์มั่งใจว่าดวงวิญญาณพวกนี้จะไม่โจมตีพวกเขา แม้ว่าจำนวนของพวกมันจะเพิ่มขึ้นมาอย่างน่ากลัว แต่นั่นเป็นเพียงหน้ากากซ่อนความหวาดกลัวเท่านั้น ถ้าไม่มีใครไปยั่วยุพวกมัน พวกมันจะไม่โจมตี ไม่ว่ายังไง พวกมันยังคงดุร้ายและส่งแรงกดดันไปยังเหยื่อตลอดเวลา


 


อย่างไรก็ตามโรดส์ได้มอบหมายให้เซเร็คอยู่ด้านหลังตามแผน ถ้านักบวชคนใดตัดสินใจหลบหนีออกไปด้วยความหวาดกลัว อย่างน้อยก็ยังมีเซเร็คที่คอยช่วยเหลือพวกเธอจากการออกไปฆ่าตัวตาย


 


แต่ว่าท้ายที่สุด ไม่มีใครในกลุ่มกล้าทำอย่างที่โรดส์คิด ใช่ พวกเธอหวาดกลัว แต่ตลอดการเดินทางมาถึงที่นี่ ไม่มีใครเลือกที่จะหนีออกไป โรดส์อดไม่ได้ ที่จะชื่นชนพวกเธอเล็กน้อย บางทีอาจะเป็นเพราะคลาสของพวกเธอทำให้จิตใจของพวกเธอแข็งแกร่งกว่าผู้เล่นทั่วไปและอีกอย่างพวกเธอเคยเห็นศพจริงๆมาก่อน สำหรับเหล่าผู้เล่นแล้ว พวกเขาอาจจะมั่นใจและพูดออกมาได้อย่างกล้าหาญ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศพจริงๆตรงหน้าแล้ว? พวกเขาแต่ละคนก็มีสภาพไม่ต่างกัน


 


ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่มีปัญหานี้แล้ว


 


โรดส์เหวี่ยงฝักดาบเพื่อจัดการกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา เผยให้เห็นฉากเวทมนตร์ตรงหน้าทุกคน


 


ป่าหนาทึบเป็นเพียงม่านสีทึบที่ขวางกั้นสู่อีกด้านหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ม่านนั้นถูกเผยออกมาแล้ว ทุกสิ่งถูกเผยออกมาให้ทุกคนเห็น


 


ทุ่งหน้ากว้างไร้ที่สิ้นสุดถูกพบ อาวุธที่แตกหักและอุปกรณ์ที่เหม็นเน่าวางอยู่กลาดเกลื่อนและถูกพบอยู่บนหญ้าสูง


 


นานมาแล้ว สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสนามรบที่น่าเศร้า ประเทศแห่งแสงและความมืดเข้าห้ำหั่นกันและต่อสู้กันบนทุ่งหญ้าแห่งนี้เป็นเวลากว่า 200 ปี ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน ผู้คนนับไม่ถ้วนถูกฆ่าตาย เลือดเนื้อกลายมาเป็นผืนแผ่นดินของทุ่งหญ้าแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว แต่การคงอยู่ของพวกเขายังไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์


 


ไม่ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ไม่มีใครรู้ แม้แต่พวกชนชั้นสูงของประเทศแห่งแสงและความมืดก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ ในทุ่งหญ้าเปิดกว้างนี้ ดวงวิญญาณคนตายจะถูกอัญเชิญออกมาอีกครั้ง พวกเขาจะเดินเตร็ดเตร่และต่อสู้กันอีกครั้งไปตลอดกาล


 


และนั่นเป็นสถานการณ์ปัจจุบันที่โรดส์กำลังเห็นอยู่ตอนนี้


 


บนพื้นหญ้า มันเหมือนกับทุ่งหญ้าว่างเปล่า แต่ห่างไกลออกไป สีแสงสว่างกระพริบเป็นบางช่วงท่ามกลางความมืด มันเหมือนกับห้องมืดปิดไฟ เมื่อใดก็ตามที่มีแสงสว่างขึ้น จะเผยให้เห็นเงาของผู้คนกำลังต่อสู้และตะโกนใส่กัน


 


ตรงหน้าโรดส์เป็นเงาของนักรบที่ทั้งร่างถูกธนูปักอยู่ มันพุ่งตรงมาที่โรดส์ เผยให้เห็นใบหน้ากระโหลดที่มีเศษเนื้อติดอยู่ ดูจากสีหน้าแล้วมันโกรธอย่างเห็นได้ชัด


 


ราวกับถ้าทุกสิ่งเป็นการแสดง นั่นคงเป็นสิ่งที่สร้างปัญหาและท้าทายมากในส่วนของสันเขาแห่งความเงียบ อันเดดจะปรากฎตัวออกมาแบบสุ่ม ในตำแหน่งและเวลาที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และถ้าอันเดดยังไม่หายไป แสดงว่าพวกเขาสามารถสัมผัสร่างของพวกมันได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีแสงสว่างถูกส่องออกมาจากใจกลางกลุ่ม?


 


พวกมันจะวิ่งเข้ามา


 


ในสถานที่แห่งนี้ เวทมนตร์ม่านพลังความมืดเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ ความมืดที่นี่ไม่ใช่ความืดทั่วไป แม้ว่ามันจะแตกต่างไปจากความมืดที่มาจากประเทศแห่งความมืด แต่ความมืดที่นี่ถูกผสานรวมกับแสงสว่างและกลายเป็นธาตุใหม่อย่างสมบูรณ์ มันอาจจะดูแปลกประหลาดไปบ้าง


 


ต่อจากนี้ไปพวกเขาควรทำอะไรต่อ? สำหรับผู้เล่นจำนวนมาก มันไม่ใช่สิ่งซับซ้อน


 


หนทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีคือการบุกโจมตีก่อน


 


“ไลซ์ แสงศักดิ์สิทธิ์”


 


โรดส์ส่งสัญลักษณ์มือไปยังไลซ์


 


บอลแสงศักดิ์สิทธิ์ปรากฎออกมาบนฝ่ามือขแงเธอละส่องสว่างไปรอบๆ


 


นักรบก่อนหน้านี้ที่พยายามโจมตีโรดส์ได้ปรากฎตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก่อนหน้านั้นเขาเหวี่ยงดาบสกัดดาบของนักรบและใช้สันดาบฟาดไปที่ลำตัวโครงกระดูกของมัน ส่งผลให้มันลงไปกองกับพื้นและแตกกลายเป็นชิ้นๆ หลังจากนั้น ชิ้นส่วนพวกนั้นถูกเปลี่ยนกลายเป็นฝุ่นและสลายหายไปกับสายลม


 


“ทั้งหมดที่พวกคุณควรทำคือระวังอันตรายรอบๆ”


 


โรดส์หันกลับมาและบอกตำแหน่งของคนทั้งหมดด้านหลังเขา ไลซ์และทหารรับจ้างคนอื่นๆเริ่มจริงจัง พวกเขาไม่ได้โง่ พวกเขาเข้าใจว่าโรดส์ตั้งใจแสดงให้พวกเขาเห็นถึงอันตรายของสันเขาแห่งความเงียบ พวกเขาคิด แม้ว่าจะเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่มีอาวุธครบเครื่อง พวกเขาก็อาจจะคิดแล้วคิดอีก ก่อนที่จะเข้ามาที่นี่


 


“เอาล่ะ ผมมีข่าวดี พวกคุณทุกคนไม่ต้องกังวลว่าพวกมันจะสุ่มปรากฎตัวอีกต่อไป เพราะผมมั่นใจได้ว่าจากนี้ไป ศัตรูจะปรากฎตัวออกมาจากทุกที่!”


 


โรดส์ไม่ได้หันกลับไป ดาบของเขาตวัดไปอย่างรวดเร็ว ประกายแสงสีเงินสว่างขึ้นท่ามกลางความมืดและตัดผ่านร่างของอันเดดขาดเป็นสองท่อน


 


“ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ผมอยากให้พวกคุณตั้งใจ ตาแก่วอร์คเกอร์ คุณต้องระวังหลัง มาร์ลีน ไลซ์ ผมอยากให้พวกคุณทั้งคู่รับผิดชอบด้านซ้ายและขวา แอน หน้าที่ของคุณคือปกป้องพวกเธอ จำเอาไว้ อย่าหยุดเคลื่อนที่! ที่แห่งนี้มีอันเดดนับไม่ถ้วนและตราบเท่าที่พงกเราสามารถผ่านทุ่งหญ้านี้ไปได้ พวกเราจะชนะ ทุกคนเข้าใจไหม?”


 


“ค่ะ หัวหน้า!!”


 


แอนตอบกลับมาอย่างผ่อนคลาย เธอยิ้มและโบกมืออย่างสนุกสนานเมื่อเธอตอบคำถามของโรดส์ การกระทำของเธอทำให้คนอื่นคิดว่าเด็กสาวคนนี้ไม่เข้าใจบรรยากาษตรงหน้าเอาเสียเลย


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่านักบวช ตอนแรกพวกเธอคิดว่าพวกเธอจะได้รับการปกป้องจากนักรบโล่ แต่หลังจากที่เห็นท่าทางของเธอ พวกเธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่าแอนดูไว้ใจไม่ได้


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเซเร็ค บางทีพวกเธออาจจะหนีไปแล้ว


 


“ตามผมมา”


 


โรดส์ก้าวไปด้านหน้า


 


วินาทีถัดมา สิ่งน่ากลัวเริ่มปรากฎขึ้น


 


แสงสว่างส่องทะลุผ่านความมืด อันเดดหลายร้อยตัวปรากฎตัวขึ้นและวิ่งตรงเข้ามา หลังจากที่เห็นการคงอยู่ของแสงสว่าง พวกมันวิ่งตรงเข้ามาอย่างที่พวกเขาคิด อันเดดทั้งหมดกรีดร้องและพุ่งตรงมายังกลุ่มของโรดส์ในเวลาเดียวกัน!!


 


นี่สินะ


 


สีหน้าของเซเร็คบิดเบี้ยวทันทีเมื่อเขาเห็นภาพตรงหน้า ก่อนหน้านี้เขาเคยลองมาที่นี่ สิ่งที่เขาตกใจมากที่สุดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นคือเหล่าอันเดดนับไม่ถ้วนที่ปรากฎตัวออกมาจากความมืดอย่างไม่มีสิ้นสุด


 


เมื่อมองไปยังกองทัพตรงหน้า มันดูเหมือนกับไร้ความหวัง อย่างน้อยพวกเขาก็ควรใช้ดวงตาของพวกเขานับจำนวนของพวกมันทั้งหมดได้ อย่างไรก็ตามในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีใครสามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดของจำนวนกองทัพอันเดดได้และทำได้เพียงต่อสู้จนพวกเขาเหนื่อยล้า มันเป็นสิ่งที่หลายๆคนที่นี่ไม่สามารถทนได้


 


ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าความรู้สึกสิ้นหวังอีกแล้ว


 


จากนี้ไปโรดส์จะจัดการอย่างไร?


 


เซเร็คมัวแต่มองต่อไปไม่ได้ เขาต้องป้องกันด้านหลังและสนใจการต่อสู้ตรงหน้า เขาอยากจะเห็นว่าโรดส์จะลด ’แรงกดดันนี้’ได้อย่างไร


 


เมื่อดวงตาของเซเร็คมองไปยังโรดส์ เขาแปลกใจมาก โรดส์ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย!!!


 


“ไลซ์ ร่ายลำแสงศักดิ์สิทธิ์ไปด้านหน้า”


 


โรดส์ชี้ออกไปในทิศทางนั้นอย่างใจเย็น


 


“ค่ะ คุณโรดส์!”


 


ในขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์ถูกควบคุมอยู่บนมือซ้ายของเธอ ไลซ์ยืดแขนขวาออกมา จากนั้นลำแสงศักดิ์สิทธิ์ถูกส่งลงมาจากสวรรค์และปัดเป่าอันเดดที่อยู่ด้านใน


 


“พวกคุณทั้งหมดก็ทำแบบเดียวกัน ร่ายลำแสงศักดิ์สิทธิ์ไปยังที่เดียวกัน”


 


นักบวชทั้งสี่ผงะเล็กน้อย เมื่อโรดส์สั่งพวกเธอ แต่พวกเธอก็ยังคงทำตามคำสั่งและยกแขนออกมาเพื่อร่ายลำแสงศักดิ์สิทธิ์


 


ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ถูกส่งไปยังเหล่าอันเดด แต่ละครั้งเมื่อเหล่านักบวชร่ายลำแสงศักดิ์สิทธิ์ การเคลื่อนไหวของอันเดดจะช้าลงไปเหมือนกับยายแก่ ราวกับว่าพวกมันตกลงไปในหลุมโคลน


 


“มาร์ลีน โซ่สายฟ้า”


 


เสียงประกายสายฟ้าดังออกมาจากปลายนิ้วของเธอ ในพริบตามันพุ่งตรงไปยังฝูงอันเดด


 


ตอนแรกมันเป็นสายฟ้าเส้นเดียวที่ดูอ่อนแรง แต่เมื่อมันสัมผัสกับเหยื่อตัวแรก ประกายสายฟ้าสาดกระจายไปหาอันเดดที่อยู่รอบๆด้วย สายฟ้าช็อตต่อเนื่องกระจายไปยังอันเดดตัวแล้วตัวเล่า ไม่นานทั้งสนามรบถูกช็อตไปด้วยสายฟ้าจำนวนมาก หลังจากนั้นพวกมันระเบิดออก อันเดดหลายร้อยตัวล้มลงไปกับพื้นและหยุดการเคลื่อนไหว


 


“อะไรกัน….?”


 


มาร์ลีนตกใจอย่างมาก เมื่อมองเห็นความรุนแรงของเวทมนตร์ของเธอ เธอมองไปยังนิ้วมือของเธออย่างอดไม่ได้ จากนั้นเธอพยักหน้าอย่างเหลือเชื่อ โซ่สายฟ้าเป็นหนึ่งในเวทมนตร์ระดับต่ำที่สุด สายฟ้าแต่ละเส้นไม่ได้มีพลังมากมายและหลังจากที่ช็อตไปยังเป้าหมายต่อไปความเสียหายเวทมนตร์ของมันจะลดลงเล็กน้อย ตอนแรกมาร์ลีนคิดว่าโรดส์จะขอให้เธอใช้เวทย์ที่ทรงพลังมากกว่านี้ แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า….เธออดสงสัยไม่ได้ว่าเธอกำลังต่อสู้กับกองทัพอันเดดหรือฝูงหุ่นไล่กากันแน่?


 


แบบนี้มีโอกาสเป็นไปได้งั้นรึ?


 


เซเร็คที่รั้งท้ายก็รู้สึกประหลาดใจ เขารู้มาว่านักบวชระดับสูงและอัศวินวิญญาณสามารถใช้เวทย์ทำลายอันเดดได้ แต่นักบวชระดับต่ำแบบนี้ก็ทำเรื่องแบบนี้ได้?


 


หืมมมม….มันไม่ถูกต้อง…..


 


ค้อนแห่งความยุติธรรมของนักบวชระดับสูงหรือแสงแห่งการลงทัณฑ์ของอัศวินวิญญาณจะสามารถทำลายอันเดดได้ในเวลาไม่กี่วินาที แต่นักบวชระดับต่ำทั้งหมดสามารถทำให้การเคลื่อนไหวของพวกมันช้าลงได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว


 


เซเร็คอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังโรดส์


 


เด็กหนุ่มนั่นคิดวิธีนี้ออกมาได้ยังไงกัน?


 


ไม่ใช่แค่เซเร็คเท่านั้นที่ตกใจ ความเป็นจริงแล้วนักบวชทั้งสี่คนเองก็ตกใจอย่างมาก! พวกเธอตอบสนองแบบเดียวกับในตอนที่ไลซ์พบว่าพลังของเธอส่งผลต่อพวกอันเดด บางคนในกลุ่มพวกเธอมองไปยังมือของตัวเองด้วยความสงสัย


 


น่าเสียดายที่โรดส์ไม่ให้โอกาสพวกเธอได้ตบหน้าตัวเองเพื่อเช็คว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือความฝัน


 


“ตอนนี้พวกคุณรู้สิ่งที่พวกคุณสามารถทำได้แล้วนะ เริ่มเดินหน้าต่อได้”


 


การเผชิญหน้ากับกองทัพอันเดดนับไม่ถ้วนที่ปรากฎตัวขึ้นมาอีกครั้งภายใต้แสงไฟ โรดส์ยกดาบขึ้นมาและชี้ตรงไปด้านหน้า


83 – การเปลี่ยนแปลง


 


เปลวไฟลุกโชนทิ้งไว้ตามรายทาง


 


จากนั้นเสียงระเบิดดังขึ้นท่ามกลางเหล่าอันเดด คลื่นความร้อนกระจายออกมาทั่วทุกทิศทาง ทุกสิ่งที่สัมผัสเปลวเพลิงกลายเป็นเถ้าถ่าน


 


มาร์ลีนปัดมือของเธอ เธอไม่สามารถจำได้ว่าเธอสังหารอันเดดไปมากเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอมีความสุขแบบนี้เมื่อได้ร่ายเวทย์ออกมา ทุกๆการโบกมือของเธอจะกำจัดอันเดดไปมากกว่าร้อยตัว มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่า ‘ฉันสามารถทำลายทุกสิ่งได้!’ เธอเคยเห็นอาจารย์ของเธอใช้พลังทำลายในระดับเดียวกัน ซึ่งเป็นเวทมนตร์ระดับสูงที่มาร์ลีนไม่สามารถร่ายได้ ตอนนี้มาร์ลีนเริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับอาจารย์ของตน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือเธอกำลังร่ายเวทมนตร์ระดับต่ำขั้นพื้นฐาน


 


ในขณะเดียวกัน คนอื่นๆนอกจากมาร์ลีน นักบวชคนอื่นๆเริ่มทำหน้าที่ของตนเองเช่นเดียวกัน ภายใต้คำแนะนำของโรดส์ พวกเธอใช้ลำแสงศักดิ์สิทธิ์คนแล้วคนเล่า พวกเธอกวาดมันออกไปทำให้เหล่าอันเดดนั้นอ่อนแอลง มาร์ลีน โรดส์และเซเร็คจะรับหน้าที่สังหารพวกมันเอง


 


ชายชราวอร์คเกอร์ยืนอยู่ใจกลางของกลุ่มและตะโกนไปรอบๆ เพื่อบอกกับคนในกลุ่มว่าอันเดดกำลังจะมาในทิศทางไหนบ้าง


 


แอนเผยด้านที่น่าไว้ใจออกมา


 


ที่หางตาของเธอ เธอมองเห็นโครงกระดูกธนูกำลังยิงธนูไฟไปยังพวกเขา


 


แอนตอบโต้กลับทันที


 


โล่ในมือขวาของเธอยืดออก ขณะที่เธอพุ่งไปยังหนึ่งในนักบวช เธอยกโล่ขึ้นทันเวลาและป้องกันลูกธนูไฟออกไปบางส่วน จากนั้นเธอหมุนตัวและปาโล่ไปในอากาศ


 


โล่หนาขนาดใหญ่หมุนควงไปในอากาศเป็นวงกลมและป้องกันลูกธนูส่วนใหญ่ที่ถูกยิงออกมา หลังจากนั้นมันหมุนกลับเข้ามาในมือของแอนซึ่งรับไว้อย่างง่ายดาย แรงกระแทกกลับมาทำให้เธอเสียสมดุลเล็กน้อย


 


โรดส์ไม่ได้อัญเชิญวิญญาณของเขาออกมา ความแข็งแกร่งของอันเดดพวกนี้ไม่ได้มีมากเหมือนจำนวน แต่ละตัวอ่อนแอมาก แต่ถ้าเป็นเขาเมื่อก่อน เขาอาจจะต้องพยายามอย่างมากกว่าจะมาถึงที่นี่ ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของทุกคน ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก หลังจากที่มีคนใช้ธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้ อันเดดพวกนี้ก็ไม่ต่ายอะไรไปจากไก่ที่ถูกส่งเข้าโรงเชือด อย่างที่บอกไป ทำไมเขาต้องใช้ดาบฆ่าไก่ล่ะ? โรดส์ไม่มีแผนจะใช้พลังวิญญาณอันมีค่าของเขาไปจัดการกับไก่พวกนี้


 


อย่างไรก็ตาม หัวหน้าของวิคตอเรียส ไวน์สามารถข้ามผ่านเส้นทางที่ยากลำบากนี้ไปพร้อมกลุ่มของเขาได้งั้นรึ?


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้รับตำแหน่งที่แน่นอนจากคนที่รอดมาได้ เขาอาจคิดว่าคนๆนั้นคุยโวออกมาซะแล้ว ถ้าเป็นโจรตัวคนเดียว บางทีมันอาจจะไม่ยากเกินไปที่จะข้ามผ่านสถานที่แห่งนี้มาได้ แต่กลับการนำคนทั้งกลุ่มออกมาล่ะ? นั่นเป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โรดส์คิดว่าพวกเขาคงโชคดีที่ผ่านที่นี่ไปได้


 


น่าเสียดายที่โชคดีไม่ได้อยู่กับพวกเขาตลอดไป


 


“ทางซ้าย!”


 


โรดส์ยกดาบขึ้นและชี้ไปยังด้านซ้าย ทุกคนหันไปมองทันที เขาไม่ได้สนใจเส้นแบงเขตเล็กๆระหว่างจุดสองจุด เพราะเขารู้ว่าทุ่งหญ้าแห่งนี้ป็นสนามรบ และที่ศูนย์กลาง มีอันเดดที่แข็งแกร่งกว่าอยู่ ไม่เพียงแต่อันเดดโครงกระดูกหรืออัศวินแห่งความตาย โรดส์ยังกล่าวถึงดวงวิญญาณที่รวมร่างกลายเป็นสัตว์เวทมนตร์! โรดส์ไม่อยากไปยั่วยุสิ่งมีชีวิตพวกนั้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลือกที่จะอ้อมผ่านจุดกึ่งกลางออกไป เส้นทางนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะดึงดูดความสนใจของสัตว์พวกนั้น


 


ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่เซเร็ค ทุกคนมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว แอนย้ายตำแหน่งของเธอจากซ้ายมาเป็นขวา ในขณะที่นักบวชเหล่านั้นเคลื่อนที่สลับตำแหน่งไปเรื่อยๆโดยมีไลซ์เป็นหัวหน้า ในระหว่างการเปลี่ยนรูปแบบนั้น เหล่านักบวชเริ่มพักการร่ายเวทย์ลำแสงศักดิ์สิทธิ์เป็นการชั่วคราว ส่งผลให้ธาตุศักดิ์สิทธิ์รอบๆลดลงเล็กน้อย ในขณะนั้น กองทัพอันเดดพุ่งตรงเข้ามาจากความมืดและกระโจนใส่พวกเขา


 


ดาบส่องสว่างไปในความมืด


 


ประกายแสงก่อตัวเป็นกำแพงดาบและเมื่อเหล่าอันเดดพุ่งเข้าหากำแพง พวกมันทั้งหมดถูกหยุดการเคลื่อนไหวไว้อย่างสมบูรณ์ เมื่อลำแสงดาบหายไป ทิ้งร่างของพวกมันกลายเป็นศพในสภาพไม่สมบูรณ์


 


ปากของเซเร็คกระตุกเล็กน้อย ขณะที่เขาหยิบดาบกลับมา


 


ความชื่นชมของเขาที่มีต่อโรดส์นั้นเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว โรดส์เด็กกว่าเขามากนัก แต่เขากลับสามารถสั่งการกลุ่มทหารรับจ้างให้ต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในตอนแรก เขาคิดว่าเขาจะใช้วิธีเดิมในการจัดการกับเหล่าอันเดดต่อ แต่เมื่อมาถึงครึ่งทาง แนวทางการต่อสู้ของเขาเปลี่ยนไปในทันที


 


เซเร็คคิดว่าโรดส์จะตะโกนใส่นักบวชเหล่านั้นให้ร่ายเวทย์ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาคิดผิด กลับกัน โรดส์กลับพุ่งเข้าไปในฝูงอันเดดและจัดการกับอันเดดที่แข็งแกร่งและปล่อยที่เหลือให้เหล่านักบวชจัดการโดยทิ้งไว้เพียงบางส่วน


 


มันไม่ใช่สิ่งที่เซเร็คเคยคิดมาก่อน มันเป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาดและวางแผนไว้อย่างละเอียดอ่อนท่ามกลางสนามรบ ไม่เหมือนกันเขา โรดส์ดูคุ้นเคยกับทุกคลาส เขาตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและสั่งการได้ถูกเวลา ดังนั้นทั้งกลุ่มเข้าใจคำสั่งของเขาได้อย่างชัดเจน เซเร็คไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่บทบาทของเหล่านักบวชเริ่มเลือนหายไป แม้ว่าพวกเธอจะทำหน้าที่ของพวกเธอได้ดีที่สุดแล้ว


 


ตอนนี้พวกเขามาได้ 2 ใน 3 ของเส้นทางทั้งหมดแล้ว


 


“เฮ้ พวกคุณ 4 คน พวกคุณสามารถร่ายเวทย์ได้อีกกี่ครั้ง?”


 


โรดส์พูด ขณะที่มองไปยังป่าที่มืดมิดซึ่งอยู่ไม่ไกล


 


“ฉันสามารถร่ายแสงศักดิ์สิทธิ์ได้อีก 4 ครั้ง”


“ประมาณ 3 ครั้ง?”


“ฉันยังร่ายได้อีก 4-5 ครั้ง”


 


เมื่อได้ยินคำตอบของพวกเธอ โรดส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ความเร็วที่พวกเขาใช่นั้นถือว่าช้ามาก  ซึ่งไม่น่าแปลก มีนักบวชเพียง 5 คน…จำนวนแค่นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่พอที่จะรับมือกับเหล่าอันเดดที่พุ่งเข้ามานับไม่ถ้วน


 


“ทุกคนรวมตัวกัน! พวกเราต้องวิ่งแล้ว! สนใจแค่รอบตัวพอ – แอนมุ่งเป้าไปที่เหล่านักบวช อย่าให้พวกเขาล้าหลัง พวกคุณ 4 คน! รอคำสั่งของผมและมองไปยังตำแหน่งที่ผมชี้ ตอนนี้….สาม สอง หนึ่ง….วิ่งงงงงงง!!”


 


เมื่อได้ยินคำว่า ‘วิ่ง’ ทุกคนพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วและตามโรดส์ให้ใกล้ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้


 


หลังจากที่ธาตุศักดิ์สิทธิ์หายไป เหล่าอันเดดที่ถือรั้งเอาไว้เริ่มวิ่งไล่ล่าพวกเขาทันที พวกมันพุ่งไปยังกลุ่มของโรดส์จากทุกทิศทาง เหล่านักบวชไม่กล้าหันกลับไปมองฝูงอันเดดที่กำลังไล่ล่าพวกเธอจากด้านหลัง โชคดีที่ไลซ์และตาแก่วอร์คเกอร์จับตาดูพวกเธออยู่ ดังนั้นพวกเธอจึงไม่ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง


 


“ตอนนี้แหละ!!! ปล่อยได้!”


 


ประกายแสงสีขาวแผ่กระจายไปยังฝูงอันเดดรอบๆพวกเขา 4-5 เมตร อันเดดที่อยู่ใกล้ๆถูกบังคับให้ถอยกลับไปโดยโรดส์ ดาบของเขาตัดหัวของอันเดดนักรบที่กำลังขวางทางเขาอยู่ จากนั้นเขาตวัดดาบของเขาไปด้านหน้า ตามมาด้วยเสียงลมกรรโชก ประกายแสงสีเงินเป็นประกายออกมาจากตัวดาบของโรดส์ซึ่งถูกส่งไปยังสนามรบในทันที พริบตาเดียว อันเดดจำนวนมากด้านหน้าของพวกเขาถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นช่องว่างใจกลางสนามรบ


 


ในขณะนั้น มาร์ลีนก็ร่ายเวทย์เสร็จ พลังเวทมนตร์ถูกรวบรวมไว้ที่ปลายคทา ตอนแรกมันเปล่งแสงออกมาไม่นาน จากนั้นมันก่อตัวขึ้นเป็นเฮอร์ริเคน


 


พายุเฮอร์ริเคนเข้าจัดการกับกองทัพอันเดดที่ขวางทางพวกเขา ในขณะนั้นเหล่าอันเดดทำได้เพียงจ้องมองกระแสพายุเชี่ยวกราดที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า เมื่อเห็นโอกาสตรงหน้า โรดส์วิ่งไปที่ชายแดนของทุ่งหญ้าทันที ซึ่งนั่นเป็นจุดนัดพบ


 


“เข้าไปในป่า เร็วเข้า!”


 


โรดส์หยุดและชี้ไปในป่าทึบ ขณะที่ความมืดในป่าทำให้ดูไม่ปลอดภัย แต่มันก็ดีกว่าการถูกไล่ล่าโดยฝูงอันเดด


 


แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีแรงและความเร็วเท่ากับโรดส์


 


“โอ้ยย!”


 


นักบวชคนหนึ่งสะดุดและล้มลงกับพื้น เมื่อนักบวชอีกคนเห็นเธอล้มลง เธอหยุดและวิ่งกลับไปช่วยเธอ แต่เธอไม่คิดว่าขาของเธอจะอ่อนแอลงเช่นกัน โดยปกติแล้ว นักบวชเหล่านี้ไม่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายหนักๆ อย่างเช่นการเดินเป็นเวลานานหรือการเผชิญหน้าในการต่อสู้เป็นเวลาหลายชั่วโมง นักบวชเหล่านี้ถึงขีดจำกัดแล้ว


 


“เร็วเข้า! ลุกขึ้นสิ!!”


 


นักบวชที่ถูกตะโกนใส่เริ่มเสียงสั่นและร้องไห้ออกมา เธอเห็นได้ว่าเหล่าอันเดดใกล้มาถึงตัวเธอแล้ว และแม้ว่าสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเธอจะบอกให้เธอยืนขึ้น แต่ความกลัวทำให้ขาของเธอไม่ทำตามคำสั่ง เด็กสาวตกใจและใช้มือของเธอพยายามคลานไปข้างหน้า เธออยากหนีให้พ้นจากอันเดดเหล่านี้สักเล็กน้อยก็ยังดี…


 


ในขณะนั้น มือแห้งกรังโผล่มาจากพื้นและจับขาของเธอไว้ อีกด้านหนึ่ง เหล่าอันเดดเริ่มทำลายบาเรียและพุ่งตรงเข้ามา


 


“ไม่!!”


 


เมื่อสองคนในกลุ่มกรีดร้องออกมา เงาๆหนึ่งปรากฎตัวขึ้นทันที


 


แอนพุ่งตรงออกไปราวกับเสือชีตาร์ เธอกางโล่ออกมาและกระแทกเหล่าอันเดดถอยไปราวกับกระบวนรถไฟ ดาบสีแดงถูกแทงไปยังความมืดและตัดผ่านเป็นเส้นตรง มือที่จับขาของนักบวชถูกตัดในทันที ในเวลาเดียวกัน เสียงของโรดส์ตะโกนดังขึ้น


 


“ไลซ์ เอาเวทย์ออก!”


 


แสงสีขาวหายไปในทันที


 


ทุกสิ่งกลับสู่ความมืด


 


เหล่าอันเดดก็หายไปเช่นกัน


 


“เฮ้อออ…”


 


ตั้งแต่แรก ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินมาได้อย่างราบรื่น…จนถึงตอนนี้ โรดส์รู้สึกโล่งใจ เขาลดดาบลงและมองไปรอบๆ


 


“พวกคุณไม่เป็นไรนะ? มีใครได้รับบาดเจ็บไหม?”


 


“พวกเรายังไหว”


 


สองสาวที่เกือบตายตกอยู่ในอาการสั่นทึม พวกเธอกอดกันแน่น พวกเธอไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เฉียดตายแบบนี้มาก่อน มันเกือบทำให้พวกเธอคิดว่าพวกเธอจะตายซะแล้วเมื่อพวกเธอหลับตา


 


“แอนล่ะ?”


 


“แอนยังมีพลังเต็มร้อย! ไม่มีปัญหา!”


 


“คุณเซเร็คล่ะครับ?”


 


“ข้าสบายดี ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ”


 


“ทั้งสองคนลุกไหวไหม?”


 


“อือออ…”


 


แม้ว่าความมืดจะซ่อนสีหน้าของพวกเธอ แต่ตัดสินจากน้ำเสียงลังเลของพวเธอ โรดส์เดาคำตอบได้เรียบร้อยแล้ว


 


‘มีปัญหาแล้ว’


 


“คุณเซเร็ค คุณกับผมแบกไปคนละคนนะครับ”


 


“ได้สิ”


 


เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ โรดส์ก้มร่างของเขาลงและแบกเด็กสาวคนหนึ่ง นั่นทำให้เธอรู้สึกตกใจอย่างมาก แต่โรดส์ไม่สนใจ


 


“พวกเราต้องออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้ การเดินทางของเราอีกไกล…พวกเราไม่สามารถช้าไปกว่านี้ได้แล้ว”


84 – ความช่วยเหลือที่เข้ามา


 


ทุกคนรู้สึกเหนื่อยเจียนตายหลังจากที่ผ่านป่าเข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม โรดส์ไม่อนุญาตให้หยุดพัก เขาแบกร่างนักบวชที่ไม่สามารถเดินได้ตลอดทาง จนกระทั่งเขาพบน้ำพุ นั่นเป็นที่ที่เขาปล่อยให้ทุกคนได้พักหายใจ


 


“ฮ้าาาา….!!”


 


ในที่สุด! พวกเขาก็ได้พัก หลายคนล้มตัวลงนอนไปที่พื้นและหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง วอร์คเกอร์ผิวปากเสียงต่ำ ขณะที่เขานั่งบนก้อนหินเพื่อพักผ่อน


 


เซเร็คและแอนเป็นเพียง 2 คนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความเหนื่อยล้า ทั้งคู่มองไปรอบๆอย่างเงียบๆและมองไปยังคนๆหนึ่งที่กำลังวิ่งไปมาเพื่อแบ่งอาหารให้แต่ละคน


 


“คุณต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าพลังของคุณจะกลับมา?”


 


โรดส์ถามขณะที่เขานั่งอยู่บนก้อนหิน นี่ไม่ใช่เกม ค่า HP และ SP จะไม่เพิ่มเมื่อนั่งพัก กินขนมปังหรือน้ำ พลังวิญญาณเป็นสิ่งที่มาจากจิตวิญญาณ บางทีมันอาจถูกเรียกคล้ายกับพลังงาน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียวคือถ้าใครก็ตามเกิดพลังวิญญาณหมดลง นั่นหมายความว่าเขาคนนั้นจะต้องพิการหรืออาจถึงตายได้


 


ในเกม เมื่อค่า SP ต่ำลง ค่าสถานะตัวละครก็จะลดลงครึ่งหนึ่งและถ้าพวกเขาไม่หาสถานที่พักฟื้นค่า SP แล้วล่ะก็พวกเขาจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้


 


ในโลกใบนี้ โรดส์พบว่ามันใช้กฎข้อเดียวกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้ใช้เวทมนตร์อย่างมาร์ลีนและไลซ์ไม่อยากใช้พลังวิญญาณออกมา พวกเธอรู้ดีว่าเมื่อพวกเธอไม่สามารถควบคุมปริมาณพลังวิญญาณไว้ล่ะก็  พวกเธออาจจะตายได้


 


“พวก-พวกเราต้องการพักอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง….”


 


โรดส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย นั่นมันช้ามาก! ต้องรู้ก่อนว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีที่ไหนปลอดภัย เขาไม่ได้พูดออกไปเพราะเขาต้องการรักษาขวัญกำลังใจของคนในกลุ่มเอาไว้ แต่เขารู้ดีว่าดวงวิญญาณร้ายในป่านี้แตกต่างไปจากป่าก่อนหน้านี้ พวกมันจะซ่อนตัสอยู่ตามเงามืดและพร้อมโจมตีทุกเวลา ตัวตนของวิญญาณเหล่านี้ยากที่จะรับรู้และกลุ่มของเขายังต้องการความช่วยเหลือของเหล่านักบวช โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงศักดิ์สิทธิ์ของไลซ์ที่มีความสามารถในการล่าพวกมัน แต่ว่าในขณะนี้ไลซ์กำลังนวดไหล่ของมาร์ลีนที่กำลังหลับตาอยู่ โรดส์รู้ว่าเธอไม่สามารถใช้เวทย์รักษาได้ในเวลานี้


 


‘ช้ามากเกินไป…คนพวกนั้นจะเอาตัวรอดได้ไหม?’


 


เซเร็คเห็นโรดส์ขมวดคิ้วกับตัวเอง


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


โรดส์ส่ายศีรษะและมองไปยังนักดาบและยิ้มไปให้เขา


 


“ผมแค่กำลังกังวลเล็กน้อยว่าพวกเราเสียเวลามากเกินไป”


 


โรดส์ส่ายศีรษะต่อ


 


“เสียเวลา?”


 


เมื่อได้ยินเขาพูด เซเร็คอดกลั้นขำไม่ได้ จากนั้นเขาส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้และมองไปที่เด็กหนุ่มด้วยความเงียบ เขาไม่คิดแบบเดียวกับสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมา


 


ในความคิดของเขา สิ่งที่โรดส์ทำนั้นสมบูรณ์แบบมาก นับตั้งแต่หลังจากที่เข้ามายังสันเขาแห่งความเงียบจนถึงตอนนี้ กลุ่มของเขาใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง แม้ว่าการต่อสู้ที่ทุ่งหญ้าจะใช้พลังของเขาเป็นหลัก แต่กลับไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายเลยแม้แต่น้อย…มีเพียงคนที่เหนื่อย บางทีอาจไม่มีใครในเมืองดีพสโตนที่มีทักษะสั่งการได้ดีเท่ากับโรดส์


 


เมื่อเขาเห็นโรดส์ขมวดคิ้ว เขาคิดว่าเด็กหนุ่มอาจจะกำลังกังวลกับปัญหาที่ใหญ่กว่านี้ แต่ที่จริงแล้วเขากลับเสียใจที่การทำงานของกลุ่มช้าเกินไป?


 


ถ้าคำพูดพวกนี้กระจายออกไป หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมากมายคงจะอายไม่กล้าสู้หน้าตัวเองเลยล่ะ….


 


“ข้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำถือว่าค่อนข้างดีเลยนะ”


 


เซเร็คไม่รู้ว่าโรด์กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงยิ้มและพยายามปลอบใจโรดส์ด้วยการเข้าไปตบไหล่


 


“แม้ข้าจะมาตัวคนเดียว โดยปกติมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะมาถึงที่นี่ได้โดยใช้เวลาเพียงแค่นี้ ความจริงเจ้าพาพวกเราทั้งหมดมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัย นั่นพิสูจน์แล้วว่าเจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งเพียงไหน อย่างน้อยในเมืองดีพสโตน ข้าไม่เคยเห็นใครน่าเชื่อถือเช่นเจ้า แต่นั่นทำให้ข้าอยากรู้ว่า…”


 


เซเร็คหรี่ตาลงและตรวจสอบเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา


 


“เมื่อไหร่กันที่เจ้ารู้ว่าลำแสงศักดิ์สิทธิ์ของนักบวชทำให้พวกอันเดดอ่อนแอกัน? มันคงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเพิ่งรู้ใช่หรือไม่?”


 


“ตอนที่ผมอยู่ที่ที่ราบตะวันออก ผมเคยต่อสู้กับอันเดดมานับไม่ถ้วน สำหรับคุณอาจจะเพิ่งรู้ แต่ในสถานการณ์พวกนั้น ผู้คนไม่มีทางเลือกได้แต่พยายามหาทางเอาชีวิตรอด”


 


โรดส์สร้างเรื่องโกหกโดยไม่กระพริบตา ทุกคำพูดประกอบไปด้วยทฤษฎี ที่ราบตะวันออกเป็นชายแดนที่เชื่อมต่อกับประเทศแห่งความมืด มันน่าจะเป็นสถานที่ที่เปลี่ยวที่สุดในอาณาจักรมันน์ ข้อพิพาทกับประเทศแห่งความมืดไม่เคยจบลง เนื่องด้วยเงื่อนไขในการใช้ชีวิตและการเอาตัวรอดนั้นทำให้สถานที่แห่งนั้นให้กำเนิดคลาสพิเศษที่มีชื่อว่า ‘นักล่าวิญญาณ’


 


นักรบที่โตมาจากที่ราบตะวันออกและสามารถบอกได้ว่าพวกเขามีประสบการณ์และความสามารถในการจัดการกับอันเดด เรื่องราวเหล่านี้ถูกบอกเล่าต่อกันมา เมื่อพวกเขาได้จับดาบครั้งแรก สิ่งที่พวกเขาฆ่าคืออันเดด การต่อสู้ระหว่างพวกเขากินเวลาหลายร้อยปี แต่ทั้งสองฝั่งไม่หยุดยั้ง แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเงียบลง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นยังคงเป็นเหมือนเดิม


 


เซเร็คพยักหน้า เขาไม่สงสัยในคำอธิบายของโรดส์เพราะเขารู้ประวัติของโรดส์ กลับกัน เขาสงสัยว่าทำไมคนแบบเขาถึงออกมาจากสถานที่เปลี่ยนแบบนั้น ทุกคนในอาณาจักรมันน์รู้ดีว่าที่ราบตะวันออกเป็นสถานที่ลึกลับและเปล่าเปลี่ยว พวกเขาไม่ทำการค้าขายกับเมืองอื่นๆ แบะยังเป็นเรื่องยากที่คนนอกจะเข้าไปในดินแดนของพวกเขา พวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนของตนและจัดการเรื่องของพวกเขา ไม่สนใจโลกภายนอก


 


บางครั้งเซเร็คสงสัยว่าโรดส์เป็นคนประเภทไหน แต่เมื่อมองด้วยตาตัวเอง เขาคิดว่าโรดส์และคนจากที่ราบตะวันออกในจินตนาการของเขาแตกต่างกันเป็นอย่างมาก


 


“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่านักรบที่กล้าหาญของที่ราบตะวันออกได้ต่อสู้กับอันเดดทั้งวันทั้งคืนตัวคนเดียว…ตอนนี้ดูเหมือนว่าข่าวลือนั้นจะเป็นเรื่องจริงสินะ”


 


เซเร็คฉลาดและเลือกที่จะไม่พูดหัวข้อนี้อีก เขายักไหล่และมองไปรอบๆอีกครั้ง


 


“ที่นี่ไม่ปลอดภัย”


 


เห็นได้ชัดเจนว่านักดาบตรงหน้าสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่ในป่า


 


“ผมรู้ แต่พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้”


 


โรดส์ยกคิ้วขึ้น จริงๆแล้วเขาไม่อยากเปิดเผยพลังของเขามากนัก เนื่องจากมันไม่ใช่เรื่องดี แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก ความแข็งแกร่งโดยรวมของกลุ่มของเขานั้นต่ำมาก


 


การใช้ธาตุศักดิ์สิทธิ์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดการกับสถานการณ์นี้ งั้น….


 


โรดส์ยืนขึ้น


 


“เจ้ากำลังทำอะไร?”


 


“ข้าจะไปหาเพื่อน ข้าจะกลับมาเร็วๆนี้”


 


เซเร็คไม่ได้ถามต่อ เขารู้ดีว่าโรดส์ไม่อยากอธิบายให้ยืดยาว ในฐานะนักดาบ เขาชื่นชมทัศนคติของโรดส์


 


วอร์คเกอร์ มาร์ลีนและที่เหลือคิดจะลุกขึ้นและตามเขาไป แต่โรดส์หยุดพวกเขาอย่างรวดเร็ว และทำสัญลักษณ์มือให้เขานั่งลง จากนั้นเขาบอกว่าเขามีบางอย่างต้องทำและจะกลับมาเร็วๆนี้


 


หลังจากเห็นโรดส์ออกไป บางคนอดสงสัยไม่ได้ แต่พวกเขาต้องฟังคำสั่งและนั่งพัก หลังจากที่อยู่กับโรดส์มานาน พวกเขาเริ่มเชื่อใจเขาอย่างไม่มีเหตุผล นั่นทำให้พวกเขาฟังคำสั่งของโรดส์อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง


 


โรดส์สังเกตรอบๆในป่าใกล้ๆ เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เขายืดแขนขวาออกมา


 


วงเวทย์อัญเชิญก่อตัวขึ้นที่ฝ่ามือของเขา การ์ดสีขาวลิยขึ้นช้าๆตรงหน้าเขา ทันใดนั้น การ์ดสีขาวก่อตัวเป็นดาบสีขาวลอยอยู่ในอากาศ


 


[ดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกเรียกออกมา ต้องการเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์หรือไม่?]


 


ต้องการ


 


โรดส์พยักหน้า จากนั้นดาบที่งดงามตรงหน้าเริ่มส่องประกายแสงออกมา แสงสีขาวถูกกระจายไปทุกทิศทางและเลือนหายไปในเวลาต่อมา แสงสีขาวก่อตัวเป็นเด็กสาวที่งดงามอีกครั้ง


 


“นายท่าน ข้าตอบรับการอัญเชิญของท่าน”


 


เด็กสาวคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าโรดส์ มือขวาของเธอถือดาบเสียบไว้ที่พื้นอย่างมั่นคง จากนั้นเธอมองไปยังดวงตาของโรดส์อย่างจริงจัง ดวงตาของเธอเป็นประกายใส และมีประกายสีทองสะท้อนออกมาอย่างมีเสน่ห์ ทำให้รู้สึกหลงไหลไม่น้อย


 


ตรงกันข้ามกับไลซ์ เด็กสาวคนนี้เป็นทูตสวรรค์สายเลือดบริสุทธิ์


 


“ยืนขึ้นเถอะ ไม่ต้องมีพิธีการอะไรหรอก”


 


เขาไม่คุ้นเคยที่เด็กสาวคุกเข่าตรงหน้าเขา แม้ว่าจะมีวิญญาณอัญเชิญเพศหญิงมากมายในหมู่วิญญาณอัญเชิญ วิญญาณอัญเชิญส่วนใหญ่จะเป็นวิญญาณธาตุน้ำและธาตุลมทั่วไป ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้เล่น


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเธอจะมาในร่างไหน แต่จริงๆพวกเธอก็ยังคงเป็นดวงวิญญาณ มันเป็นครั้งแรกที่โรดส์ได้เห็นวิญญาณอัญเชิญที่เปลี่ยนร่างจากดาบมาเป็นเด็กสาว เมื่อเขาคิดได้ดังนั้น เขาจึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้


 


“ในการต่อสู้ครั้งหน้า ผมจะขอความช่วยเหลือจากคุณหน่อย”


 


เนื่องจากเขาอัญเชิญเธอมา เขาจึงไม่ต้องถ่อมตัว


 


“คุณควรสัมผัสได้ถึงอันเดดรอบๆสินะ พวกนั้นแหละที่เป็นปัญหา คุณคิดว่าคุณตายได้ไหม?”


 


“ฉันไม่ตายค่ะ นายท่าน”


 


เมื่อได้ยินคำถามของโรดส์ เด็กสาวทูตสวรรค์ยิ้มและพยักหน้า


 


“ฉันเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่กลัวความตาย ตราบเท่าที่คุณสามารถรักษาพลังของคุณไว้ได้ ฉันจะยังคงอยู่ค่ะ”


 


“งั้นดีมาก”


 


โรดส์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ


 


“ผมจะนำคุณออกไปด้วย จำไว้ จากนี้ไปคุณคือ…”


 


“…คุณมีชื่อไหม?”


 


โรดส์ครุ่นคิดซึ่งเขาไม่รู้ว่าเธอมีชื่อหรือไม่


 


“ฉันมีค่ะ นายท่าน”


 


เด็กสาวคำนับด้วยการนำมือขวามาไว้ที่อกของเธอ


 


“ฉันชื่อดาบศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาลที่ 10 เครื่องหมายแห่งดวงดาว ขณะนี้ฉันอยู่ในร่างมนุษย์ ท่านสามารถเรียกฉันว่า ซีเลีย”


 


“งั้นซีเลีย คุณจำไว้ว่าคุณต้องไม่เปิดเผยตัวตนของคุณต่อหน้าคนอื่นๆ ถ้าคุณมีคำถาม คุณแค่ถามผมเท่านั้น เข้าใจนะ?”


 


“ฉันเข้าใจค่ะ นายท่าน”


 


โรดส์พยักหน้าและหันไปรอบๆ จากนั้นเขามุ่งหน้ากลับไปที่น้ำพุ


 


เมื่อเขามาถึงน้ำพุ ทุกๆคนกำลังพักอยู่


 


“เฮ้ ไอ้หนุ่ม เจ้าไปไหนมารึ?”


 


ชายชราวอร์คเกอร์ถือเหยือกไวน์ไว้ที่เอวและถามออกมาอย่างสงสัย เมื่อเขาเห็นเด็กสาวที่อยู่ในชุดเกราะหนักด้านหลังโรดส์ เขาถึงกับตัวแข็งทื่อในทันที


 


“….คุณโรดส์?”


 


ไลซ์เองก็ประหลาดใจ เธอรีบยืนขึ้นทันทีและตรวจสอบเด็กสาวผู้มาใหม่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยความสงสัย ซึ่งคนอื่นๆในกลุ่มก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขาอดแปลกใจไม่ได้ ไม่เพียงแต่โรดส์ไปพาเด็กสาวมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เด็กสาวยังคงมีปีกคู่ใหญ่อยู่กลางแผ่นหลัง มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเธอเป็นทูตสวรรค์…..


 


มันเป็นความรู้ทั่วไปซึ่งทูตสวรรค์เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงในทวีปแห่งนี้ ส่วนใหญ่พวกเขาจะอยู่ในระดับสูง แม้แต่ทูตสวรรค์ระดับต่ำที่สุดยังถือเป็นตัวตนระดับสูงในบรรดาคนทั่วไป ในเมืองดีพสโตน แม้แต่เจ้าเมืองก็ไม่เคยเห็นทูตสวรรค์มาก่อน แต่ตอนนี้มันอะไรกัน? โรดส์เพิ่งออกไปเดินเล่นและกลับมาพร้อมกับทูตสวรรค์?


 


เธอเป็นใครกัน?


 


ในหัวของเซเร็คเต็มไปด้วยคำถามมากมาย


85 – ดินแดนแห่งความกลัว


 


“แนะนำตัวหน่อยสิ”


 


โรดส์เมินเฉยต่อสายตาที่จ้องมองมาอย่างแปลกประหลาดจากทุกคนและส่งสัญญาณให้ซีเลียแนะนำตัว เธอถือดาบด้วยมือขวาและทำท่าโค้งคำนับของอัศวิน


 


“ฉัน ซีเลีย เป็นผู้ติดตามของนายท่าน”


 


จากนั้นเธอเงยหน้าขึ้นและเงียบลงราวกับว่าหมดสิ้นหน้าที่ของเธอ


 


แต่ทุกคนถึงกับตกใจกับการแนะนำตัวของเธอ


 


ผู้ติดตามของนายท่าน


 


แม้ว่าเด็กสาวไม่ได้บอกว่าใครคือนายท่าน แต่ทุกคนรู้ทันทีเมื่อเห็นท่าทางของเธอ สายตาทั้งหมดจ้องมองไปยังโรดส์ช้าๆ


 


ทูตสวรรค์เป็นสิ่งมีชีวิตชนชั้นสูงที่อยู่เหนือกว่าตัวตนของพวกเขาไปมาก ใครจะไปคิดว่าหนึ่งในพวกนั้นจะถูกเรียกมนุษย์ว่า ‘นายท่าน?’


 


‘เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน?’


 


“คุณโรดส์ เอิ่มมม….”


 


ไลซ์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกด้านหนึ่ง มาร์ลีนกำลังขมวดคิ้วและมองไปที่ซีเลีย เธอสามารถจำได้ในทันทีว่าโรดส์เป็นคนอัญเชิญมาในตอนที่อยู่ในโบราณสถานด้วยกัน ตอนนี้เด็กสาวคนนั้นปรากฎตัวออกมาอีกครั้ง


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ เธอมองไปยังโรดส์ด้วยสีหน้าซับซ้อน อีกด้านหนึ่ง โรดส์ดูเหมือนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เขาพยักหน้าตอบรับเธอ แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่มาร์ลีนรู้สิ่งที่เขาหมายถึง


 


“พวกเราจะออกเดินทางในตอนนี้ เส้นทางของพวกเรายังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง”


 


เมื่อโรดส์สั่งเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเขาอยากให้ใครถามอะไรออกมาอีกต่อไป


 


ไม่นานเขาเริ่มสั่งการมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคนตามลำดับ


 


“ตอนนี้พวกเรามีซีเลียอยู่ด้วย มั่นใจได้ว่าพลังของเธอเพียงพอที่จะปกป้องทุกคน แอน หน้าที่ของคุณคือประสานงานกับซีเลีย สไตล์การต่อสู้ของทูตสวรรค์ค่อนข้างแตกต่างไปจากมนุษย์ ดังนั้นผมหวังว่าคุณจะปรับตัวเข้ากับรูปแบบการโจมตีของซีเลียได้นะ ถ้าคุณทำไม่ได้ บอกให้ผมรู้ เข้าใจนะ?”


 


“ค่ะ แอนเข้าใจค่ะ!”


 


แอนยกมือขึ้นและแสดงให้เห็นถึงใบหน้าที่เข้าใจอย่างที่ทำมาตลอด เธอยังคงมองไปยังซีเลียอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่าเธอตื่นเต้นอย่างมากกับเด็กสาวมีปีกคนนี้


 


“ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว เริ่มออกเดินทางได้”


 


เมื่อโรดส์ปรบมือของเขา ทุกคนเริ่มออกเดินทางในรูปแบบที่จัดเอาไว้ทันที ก่อนที่จะเข้าไปในป่าลึก


 


“ไอ้หนู เจ้าแข็งแกร่งขึ้นและยังลึกลับขึ้นทุกทีเลยนะ”


 


ริมฝีปากของเซเร็คยกขึ้นและกระซิบไปยังโรดส์


 


“ถ้าผมทำได้ คุณคงจับไม่ได้หรอกครับ”


 


โรดส์ตอบกลับอย่างใจเย็น เมื่อเห็นเซเร็คพยายามทดสอบเขา และหันกลับไปด้านหน้า เมื่อเซเร็คเห็นดังนั้น เขารีบเดินตามไปเงียบๆ ท้ายที่สุดเขาหยิบอาวุธออกมาและตามโรดส์ไป


 



 


“—-!!!!”


 


เสียงกรีดร้องดังลั่นไไปทั่วป่าที่เงียบงัน เงาสีขาวนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปยังต้นไม้ สายตาที่ดำมืดและเต็มไปด้วยความเคียดแค้น พวกมันมีแขนบางเรียวและพยายามไล่ล่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าพวกมัน จากระยะไกลพวกมันได้กลิ่นเหม็นสาปมนุษย์และพวกมันใช้กรงเล็บตวัดไปยังพวกคนเหล่านั้นทันที แต่ทว่าพวกมันกลับรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่หายไป


 


จากนั้นแสงสีขาวสว่างออกมา


 


ทูตสวรรค์ขัดขวางดวงวิญญาณร้ายเหล่านั้น หลังจากสัมผัสได้ถึงตัวตนชั่วร้ายก่อนที่พวกมันจะมาถึง พวกมันรีบถอยออกไปด้วยความกลัว ใบหน้างดงามของซีเลียซึ่งตอนนี้ไร้ซึ่งอารมณ์ ขณะเธอกำลังถือดาบที่เต็มไปด้วยลวดลายศักดิ์สิทธิ์โบราณ เธอง้างดาบออกและฟันไปยังวิญญาณร้ายขาดเป็นสองท่อนอย่างไร้ความเมตตา และจบตัวตนของพวกมันหายไปอย่างสมบูรณ์


 


โรดส์สามารถบอกได้ว่ามีคนมากมายกำลังจ้องมองไปยังซีเลีย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลก เขายังคงเดินต่อไปอย่างสบายๆและทูตสวรรค์ก็กลับมาหาเขา มันจะเป็นเรื่องแปลกมากถ้าไม่มีใครให้ความสนใจทูตสวรรค์ที่อยู่ข้างเขา


 


แม้ว่าซีเลียจะไปศูนย์กลางความสนใจทั้งหมดในตอนนี้ แต่เธอดูไม่มีการตอบสนองใดๆออกมา เธอเพียงทำตามคำสั่งของโรดส์เท่านั้น


 


เซเร็คเลิกมองไปที่เธอ


 


ในฐานะนักดาบ เขาเคยเห็นลูกครึ่งทูตสวรรค์มาก่อนในชีวิตของเขา เด็กสาวคนนี้เป็นทูตสวรรค์จริงๆและดูไม่เหมือนภาพลวงตาที่ถูกสร้างโดยเหล่าอันเดด แม้จะมีข่าวลือเกี่ยวกับอันเดดระดับสูงที่สามารถปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์ได้ แต่พวกมันไม่สามารถปลดปล่อยออร่าศักดิ์สิทธิ์แบบเดียวกับที่ซีเลียกำลังทำอยู่ได้


 


รัศมีแห่งความสงบและเบาสบาย นั่นเป็นตัวพิสูจน์ว่าซีเลียเป็นทูตสวรรค์ อย่างไรก็ตาม เซเร็คพบสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือกระบวนท่าดาบที่เธอใช้ ดูจากการโจมตีที่ต่อเนื่อง เขาสังเกตเห็นกระบวนท่าดาบที่เธอใช้ช่างคล้ายคลึงกับเด็กหนุ่มตรงหน้า


 


ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมีความสัมผัสบางอย่าง


 


อึดใจต่อมา ชายชราวอร์คเกอร์หยุดและเรียกโรดส์ทันที “ไอ้หนุ่ม ตรงนี้”


 


ตาแก่วอร์คเกอร์ก้มลงและใช้มือกดไปที่พื้น หลังจากนั้น เขายืนขึ้นและหันไปมองโรดส์


 


“มีร่องรอยมนุษย์อยู่ที่นี่ มีประมาณ 7-8 คนกำลังเดินทางขึ้นเหนือและดูเหมือนร่องรอยยังใหม่อยู่….ข้าว่าห่างจากเราไม่เกิน 3 วัน”


 


เมื่อทุกคนได้ยินการวิเคราะห์ของวอร์คเกอร์ พวกเขาถึงกับตะลึง การหาร่องรอยของมนุษย์ในป่าหนาทึบเปรียบได้กับการหาเข็มในกอหญ้า ถ้าไม่ใช่เพราะประสบการณ์การเป็นเรนเจอร์ของเขา พวกเขาคงเดินทางเป็นวงกลมมา 4-5 วันแล้ว


 


ตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ โรดส์ไม่ได้ตื่นเต้น หลังจากได้ยินรายงานของโรดส์ สีหน้าของเขาเริ่มดำคล้ำ


 


“คุณแน่ใจนะว่าทางเหนือ?”


 


“อืมม…ใช่สิ ข้ามั่นใจ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังไล่ตามบางสิ่งที่เร็วมาก…และกลุ่มของพวกเขาไม่ค่อยมีระเบียบ แต่ดูเหมือน…”


 


ชายชราวอร์คเกอร์เดินไปรอบๆอีกครั้งและตอบกลับด้วยความมั่นใจ


 


“ด฿เหมือนว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ด้านหลัง”


 


โรดส์ไม่ตอบ เขามองไปยังเส้นทางที่ตรงไปยังทิศเหนือ ภายใต้เงามืดที่ปกคลุมอยู่ แม้แต่เงาของตนเองก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถส่องทะลุผ่านไปด้วย อย่างไรก็ตาม โรดส์สามารถเดาสิ่งที่อยู่ในทิศทางนี้ได้อย่างมั่นใจ ภายในป่านี้ ถ้ำมืดและ…..


 


“เฮ้อออ…มีเส้นทางไปสวรรค์ แต่พวกเขากลับเลือกลงนรกแทน”


 


โรดส์คิดจะยอมแพ้ เขาอยากเดินกลับไปบอกกับทุกคนให้เก็บของและกลับบ้ายไปนอนได้เลย แต่เขารู้ดีว่ามันเป็นแค่สิ่งที่เขาทำได้แค่คิด ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันและเดินหน้าต่อ


 


“ทุกคนตามผมมา การเดินทางต่อจากนี้จะยากสุดๆ อย่าพลาดล่ะ!”


 


หลังจากออกคำสั่ง โรดส์มองไปยังซีเลีย


 


“ไปตรวจสอบสถานการณ์ด้านหน้า แต่อย่าออกไปไกลเกินไป”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ นายท่าน”


 


บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไปภายในป่าดำมืด


 


คนที่โง่ที่สุดยังรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ป่าก่อนหน้านี้ยังเขียวชอุ่ม แต่จากนี้ไปป่าทั้งหมดได้เหี่ยวแห้งและน่าขนลุกเป็นอย่างมาก ต้นไม้ที่เป็นพุ่มถูกแทนที่ด้วยต้นไม้แห้งกรัง กิ่งของพวกมันพันกันเป็รนรูปร่างที่น่าสะพรึงกลัว เมื่อใครเข้าไปมองใกล้ๆ มันดูเหมือนแขนของมนุษย์ที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ


 


ซีเลียเดินไปข้างหน้า ความมืดหนาทึบไม่ส่งผลต่อเธอแม้แต่น้อย เธอไม่สนใจสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากคำสั่งของโรดส์


 


ทันใดนั้น เธอเคลื่อนไหวออกไปอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อเธอหันไปรอบๆ เงาขนาดยักษ์ปรากฎขึ้นบนท้องฟ้า แม้ว่าเธอจะตอบสนองและยกดาบขึ้นมากันได้ทัน แต่เห็นได้ชัดว่าช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของเธอและเงานั่นมีมากเกินไป เธอย่อตัวลงที่พื้นไม่กี่วินาที ก่อนที่เธอจะบินออกไปบนท้องฟ้า


 


“คุณซีเลีย!!”


 


ไลซ์กรีดร้องออกมา ในชณะนั้น ราวกับได้ยินเสียงของเธอ เงาขนาดยักษ์หันกลับมาและมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา หลังจากเงาดำจ้องมองมาที่เธอ ไลซ์พูดไม่ออกทันทีราวกับมีพลังล่องหนกำลังรัดร่างของเธอไว้


 


“นักบวช! ร่ายลำแสงศักดิ์สิทธิ์เดี๋ยวนี้! เซเร็คคุ้มกันด้านหลัง พวกนี้น่ารำคาญมาก!”


 


โรดส์ไม่ได้แปลกใจกับการซุ่มโจมตี เขายกดาบขึ้นและสั่งการกลุ่มของเขา ขณะที่กำลังวิ่งไปด้านหน้า เมื่อโรดส์สั่งการเสร็จ เขาไปถึงด้านข้างของเงาร่างยักษ์แล้ว


 


“—-!!!”


 


ราวกับว่ามันสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม ร่างเงาขนาดยักษ์ยกแขนขึ้นและฟาดลงไปที่เขาทันที แต่ว่าโรดส์ได้ก้าวออกไปด้านข้างก่อนแล้ว เพียงชั่วพริบตาที่แขนของมันฟาดลงมา โรดส์ได้ถอยกลับไปแล้ว


 


มือของเงาขนาดยักษ์ฟาดลงไปที่พื้นและสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่ว


 


ในเวลานี้ แสงศักดิ์สิทธิ์เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของมอนสเตอร์ตรงหน้า เมื่อทุกคนรวมถึงเซเร็คเห็นมัน พวกเขาทำได้เพียงกลั้นหายใจ


 


“ร่ายแสงศักดิ์สิทธิ์ให้ข้า! นั่นมันตัวบ้าอะไรกัน!?”


 


เงาขนาดยักษ์จริงๆแล้วคือร่างทารกขนาดยักษ์


 


รูปร่างของมันดูคล้ายกับเด็กทารกทั่วไป หัวกลม ดวงตากลมโต 2 ข้างและร่างกายอ้วนท้วนที่เปลือยเปล่า อย่างไรก็ตามส่วนที่น่าขนลุกที่สุดคงเป็นผิวสีเขียวน้ำทะเลและรอยแผลเป็นทั่วร่างของมัน ถ้ามันเป็นเด็กทารกทั่วไป มันคงตายไปแล้ว


 


แต่มันยังมีชีวิต


 


ดูเหมือนว่ามันได้ดูดกลืนออร่าวิญญาณร้ายรอบๆไปหมดแล้ว ทารกที่เปราะบางเป็นมอนสเตอร์อันตรายที่สูง 3 เมตร มันพึมพำขณะที่มองไปรอบๆ ประกายตาของมันสะท้อนเงาของทุกคน เมื่อทารกยักษ์อ้าปาก มันไม่มีฟันเลยแม้แต่ซี่เดียว แต่สิ่งที่ตามมาคือเสียงคำรามเบาๆ


 


“แม่……..แแแแแแม่…………..”


 


เมื่อได้ยินเสียงโหยหวนและน่าขนลุกนี้ ผู้หญิงทุกคนในกลุ่มขนลุกในทันที พวกเธอสั่นออกมาด้วยความกลัว แม้แต่อันเดดหรือวิญญาณร้ายยังไม่สามารถทำให้พวกเธอหวาดกลัวได้ขนาดนี้ แต่เสียงคำรามของทารกยักษ์ส่งผลให้พวกเขาตกอยู่ในความกลัวในทันที แอนซึ่งปกติเป็นคนยิ้มแย้มเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม


 


บ้าเอ้ย ฉันรู้แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น


 


โรดส์เห็นสีหน้าของทุกคนและขมวดคิ้ว แต่ว่าเขาไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว แต่ละครั้งที่ทารกยักษ์ฟาดกำปั้นลงมาที่พื้น เขาจะใช้ก้าวพริบตาหลบ ดาบในมือของเขาสะท้อนประกายแสงสีแดงและแทงไปที่คอของทารกร่างยักษ์


 


ผิวที่เน่าเหม็นแข็งกว่าเหล็กกล้า แม้ว่าโรดส์จะใช้แรงทั้งหมดในการโจมตี มันทำได้เพียงบาดแผลเล็กน้อย ส่งผลให้ทารกยักษ์กรีดร้องออกมาราวกับเด็กที่ถูกแกล้งและใช้มือไล่จับโรดส์


 


“ตาแก่วอร์คเกอร์ ใช้ธนูไฟและยิงไปที่ตาของมัน สำหรับคนอื่นๆ รีบร่ายลำแสงศักดิ์สิทธิ์เร็ว พวกคุณรออะไรกันอยู่!”


 


โรดส์ตะโกนออกไปด้วยความโกรธและกระตุ้นคนอื่นจากอาการมึนงง เรนเจอร์ชรารีบหยิบธนูและลูกธนูออกมาจากด้านหลังและจุดไฟทันที เขาง้างธนูและยิงตรงไปยังดวงตาของทารกยักษ์ด้วยความแม่นยำ


 


“โฮกกกก!”


 


เสียงกรีดร้องดังออกมาอย่างเจ็บปวดและล้มลงพื้น ในขณะนี้ เสาศักดิ์สิทธิ์ส่องมาจากฟากฟ้าและอัดกระแทกไปยังร่างของมอนสเตอร์ ส่งผลให้มันดิ้นไปมาอย่างเจ็บปวดและพยายามใช้มือทั้งสองต้านเอาไว้ แต่ดาบแห่งการทำลายล้างของโรดส์ได้เฉือนเข้าไปที่หัวของมันทันที ของเหลวสีดำน่าขยะแขยงไหลทะลักออกมาจากบาดแผลและตกลงไปที่พื้น ก่อให้เกิดควันดำเมื่อมันสัมผัสกับสิ่งใดก็ตาม ในที่สุดทูตสวรรค์ก็ปรากฎตัวออกมาและจัดการขั้นเด็ดขาด ดาบของเธอแทงตัดทะลุหัวใจของทารกร่างยักษ์อย่างเต็มแรง


 


เพลิงศักดิ์สิทธิ์ถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวดาบและกลืนกินร่างทั้งร่างของมอนสเตอร์ ในพริบตา ร่างของมันกลายเป็นเถ้าถ่าน


 


ต่อมา เสียงคำรามต่ำๆหลายครั้งดังขึ้นจากรอบๆ


 


ไม่นาน ร่างเงาหลายร่างเดินออกมาจากความมืดช้าๆ


 


….


 


มีสาวๆโผล่ออกมาอีกแล้วววว




86 – ทะลวงฝ่าวงล้อม


 


“รวมตัวกันเป็นรูปแบบวงกลม”


 


หลังจากได้ยินเสียงคำรามหลายครั้ง โรดส์ตื่นตัวในทันที


 


“แอน จัดการด้านซ้าย! กางโล่ของคุณและตั้งลงไปที่พื้น! มาร์ลีน สนับสนุนทางด้านขวาด้วยเวทย์โล่น้ำแข็งระดับ 5 เดี๋ยวนี้! คุณเซเร็ค ด้านหลังเป็นหน้าที่ของคุณ ไม่ว่ายังไง ห้ามปล่อยให้อะไรก็ตามผ่านมาได้!”


 


“นักบวชทั้งหมด เตรียมพร้อมร่ายเวทย์โล่ผู้พิทักษ์ ผมอยากให้พวกคุณร่ายออกมาใน 3 วินาที! ไลซ์คุณร่ายลำแสงศักดิ์สิทธิ์ไปตรงกลางกลุ่ม และวอร์คเกอร์ คุณรับหน้าที่เสริมในจุดที่ขาด”


 


“เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ!”


 


ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน หลังจากที่ได้รับคำสั่ง


 


แอนก้าวไปด้านหน้าสองก้าวและกางส่วนเสริมของโล่ออก มันส่งเสียงดังกึ่งก้องไปทั่ว ซึ่งส่วนที่กางออก มีลักษณ์แหลมคม โล่ขนาดใหญ่ปักลงไปที่พื้นทันที ส่งผลทำให้ร่างของแอนล้มลงไปทันที เธอดึงที่จับเหล็กที่อยู่ด้านข้างโล่ ทันใดนั้นหอกหนามยาวโผล่ออกมาจากส่วนเสริมของโล่ ทำให้ตอนนี้ด้านหน้าโล่ทั้งหมดดูคล้ายกับเม่น


 


ตรงข้ามกับฝั่งของแอน มาร์ลีนเองก็จริงจังไม่แพ้กัน เธอยกไม้คทาขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่คุ้นเคยและร่ายเวทย์ออกมา กำแพงน้ำแข็งถูกปลดปล่อยออกมา มันก่อตัวขึ้นมาทีละชั้น จากนั้นราวกับมาถึงช่วงสำคัญ มาร์ลีนร่ายเวทย์ออกมาเสียงดัง ส่งผลให้หนามแหลมคมยื่นออกมาจากพื้นดินราวกับหอก


 


ซีเลียกางปีกของเธอออกและบินตรงไปยังโรดส์ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เธอจับดาบด้วยมือทั้งสองข้าง ใบหน้าของเธอสบายๆและม่านตาของเธอส่องสว่างกว่าที่เคยเป็น


 


เซเร็คไม่ได้ตึงเครียดเหมือนกับแอนและมาร์ลีน หลังจากได้ยินคำสั่งของโรดส์ เขาไม่ได้เคลื่อนที่แต่อย่างใด แต่ถ้าใครสังเกตสีหน้าของเขาดีๆ จะเห็นว่าเขาตึงเครียดเป็นอย่างมาก เขาหรี่ตามองไปยังกลุ่มมอนสเตอร์ตรงหน้าและมือของเขาจับไปที่ดาบจับของดาบและเริ่มเคลื่อนที่ช้าๆ…


 


แสงสว่างสีทองส่องสว่างออกมา


 


นั่นหมายความว่านักบวชได้ร่ายเวทย์โล่ผู้พิทักษ์และกางบาเรียศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมพวกเธอทั้งสี่แล้ว ไลซ์เริ่มร่ายเวทย์ ขณะที่เธอให้ความสนใจไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าเธอ


 


เสียงคำรามต่ำดังขึ้นและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


 


“พวกเราพลาดไม่ได้ ไม่ว่าพวกคุณจะเห็นอะไร อย่าตื่นกลัว! พวกคุณห้ามหลุดออกจากตำแหน่งเด็ดขาด!”


 


ณ เวลานี้ สิ่งที่โรดส์ทำได้คือการเตือนพวกเขา สถานที่แห่งนี้คือสันเขาแห่งความเงียบ เป็นดินแดนที่น่าสยดสยองมากที่สุด จริงๆแล้วพวกมือใหม่ไม่ควรมาที่นี่ ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเธอไม่มีประสบการณ์ บางทีสถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับการฝึกอย่างมาก แต่ยังไงก็ตาม เขาไม่ได้หวังให้เด็กที่ยังไม่เข้าเรียนมาทำข้อสอบข้อเขียนหรอกใช่ไหม?


 


เงาขนาดใหญ่หลายร่างเข้ามาใกล้ขึ้น รูปร่างของพวกมันคล้ายคลึงกับทารกร่างยักษ์ก่อนหน้านี้ มาร์ลีนกำไม้คทาแน่นและไม่กล้าหายใจ ผิวหนังที่น่าขยะแขยงส่งกลิ่นเหม็นผ่านอากาศเย็นมายังกลุ่มของพวกเขา….นี่ถือเป็นการโจมตีที่ร้ายกาจมาก


 


“ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องสนใจการเคลื่อนไหวของพวกมัน”


 


โรดส์ไม่จำเป็นต้องมองไปยังด้านหลัง เขารู้ดีกว่ากลุ่มของพวกเขากำลังพยายามจดจำรูปแบบการเคลื่อนไหวของพวกมัน


 


“สนใจแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของคุณ พื้นที่เปิดกว้างของพวกเรามีน้อย พวกมันไม่มีโอกาสที่จะเข้ามารุมพวกเราหรอก อย่าละความสนใจ แค่จัดการอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าคุณและปล่อยที่เหลือให้คนอื่นๆจัดการ คุณเซเร็ค ผมอยากให้คุณสนับสนุนทั้งสองด้านเพราะพวกเรามีคนไม่พอ ผมเชื่อว่ามันคงไม่เป็นปัญหากับคุณมาก”


 


“ข้าจะทำให้ดีที่สุด”


 


ดาบแสงปรากฎขึ้นอีกครั้งและส่องแสงออกมาท่ามกลางความมืด


 


เงามากมายเริ่มเร็วมากขึ้น เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาการเคลื่อนไหวของพวกมันในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนสนใจเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า รวมถึงนักบวชทั้งสี่ โรดส์สั่งให้พวกเธอร่ายเวทย์โล่ผู้พิทักษ์ออกมาเมื่อจำเป็น


 


“ฟุ…ฟุ…ฟุ….”


 


ตามมาด้วยเสียงหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ร่างเงาขนาดยักษ์หายไป


 


ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งกลุ่ม ในพริบตา เสียงที่น่าขนลุกหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แต่ทว่ากลิ่นเหม็นเริ่มลอยคละคลุ้งไปในอากาศและมันเหม็นขึ้นทุกวินาที


 


“สิบ เก้า แปด เจ็ด…”


 


โรดส์นับในใจ เขายกดาบขึ้นและมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้า


 


“สาม สอง หนึ่ง….ไลซ์ ร่ายลำแสงศักดิ์สิทธิ์เดี๋ยวนี้!!!”


 


เมื่อได้รับคำสั่ง ไลซ์ยกมือขึ้นทันที เธอเริ่มร่ายเวทย์ที่เตรียมมาก่อนหน้านี้ ธาตุศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกเป็นประกายแสง มันส่งตรงไปยังทุกคนด้านใน ออร่าความอบอุ่นกระจายไปทั่ว และในขณะนั้นความสงบสุขได้เข้าปกคลุมประสาทสัมผัสทั้งห้า


 


เงาดำมากมายปรากฎตัวขึ้นในทันที


 


อย่างที่คาดการณ์ไว้ เมื่อเงาดำพุ่งตรงมาหาพวกเขา ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ของไลซ์เข้าปกคลุมทุกคนด้านในและในเวลาเดียวกัน มันส่องสว่างไปรอบๆ เมื่อเงาเหล่านั้นสัมผัสกับแสงสว่าง ธาตุศักดิ์สิทธิ์ทำให้พวกมันทุกข์ทรมาน


 


พวกมันพยายามทลายเข้ามา แต่เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกโจมตีจุดอ่อนร้ายแรง


 


แม้ว่าจะไม่เพียงพอที่จะฆ่าพวกมัน แต่ทั้งกลุ่มรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยมมาก


 


เซเร็คเปล่งลมหายใจและตวัดดาบไปด้านหน้า ห่าฝนดาบที่ถูกเรียกออกมาทะลุผ่านความมืด “การแสดงแห่งแสง” สร้างแสงระยิบระยับราวกับกระกายสายฟ้า กระบวนท่าดาบของเขาเองก็เช่นเดียวกัน รวดเร็วมาก ไม่ต้องพูดถึงความเสียหายที่ทำได้ สกิลของเซเร็คถูกใช้ออกมาพร้อมด้วยแววตาสนุกสนาน


 


หนึ่งในทารกขนาดยักษ์ทุบกำปั้นลงไปยังโล่หนาม


 


ถ้ามันเป็นสิ่งมีชีวิตด บางทีความเจ็บปวดอาจจะทำให้มันถอยกลับไปแล้ว แต่มันคืออันเดด มันไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ดังนั้นมันไม่ต่างอะไรไปจากสิ่งกีดขวาง ทารกยักษ์สั่นร่างและยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง


 


แต่ครั้งนี้ แอนยืดขาออกและเตะไปที่ด้านล่างของโล่สุดแรง ส่วนที่ปักดินอยู่พลิกขึ้นมาทันที ในเวลาเดียวกัน เศษดินและทรายลอยขึ้นไปในอากาศ สร้างหมอกพรางเป็นการชั่วคราว เมื่อการมองเห็นของทารกยักษ์ถูกปิดกั้น โดยใช้ประโยชน์จากการที่มันตาบอด แอนกดสวิทช์ไปที่โล่ของเธออีกครั้ง


 


“—-!!!”


 


เสียงระเบิดอากาศดังขึ้นอย่างรุนแรงที่ขอบโล่ ส่วนแหลมคมที่อยู่ด้านล่างถูกส่งไปในอากาศและแทงทะลุหัวของทารกร่างยักษ์ทันที


 


ตูม!!! มอนสเตอร์ไร้หัวสูญเสียพละกำลังทั้งหมด ร่างของมันส่ายโงนเงนและล้มลงกับพื้น ไม่มีการตอบสนองใดๆอีกต่อไป


 


มาร์ลีนยกคทาในมือขึ้น


 


ราวกับกระแสน้ำไหลอยู่ตรงหน้า ชั้นน้ำแข็งพุ่งออกจากปลายเท้าของเธอ ทารกยักษ์ที่ตกอยู่ภายใต้ผลของลำแสงศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในความเย็น จากนั้นมันลื่นน้ำแข็งและล้มลงไปบนพื้น


 


ชั้นน้ำแข็งแตกกระจายและถูกเปลี่ยนกลายมาเป็นหอกน้ำแข็งเสียบแทงไปยังร่างของทารกยักษ์ในทันที ก่อนหน้าที่มอนสเตอร์จะได้แตะต้องร่างของมาร์ลีน ทั้งร่างของมันเต็มไปด้วยรูพรุนนับไม่ถ้วนซึ่งยากจะมีชีวิตอยู่ ใบหน้าที่ว่างเปล่าของมันจ้องมองมายังเด็กสาว ไม่รู้ว่าโกรธหรือกำลังยิ้มอยู่ การเผชิญหน้ากับมอนเสตอร์ที่น่าสยดสยอง มาร์ลีนอยู่ในอาการสงบนิ่งเหมือนกับก่อนหน้านี้ เธอยกคทาขึ้นและร่ายเวทย์ซึ่งถูกรวบรวมไว้ที่ใจกลางทับทิม


 


“Airy, ari!!”


 


เปลวเพลิงปกคลุมไปยังร่างของทารกยักษ์ และกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง


 


สำหรับเงาที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ซีเลียได้เตรียมตัวเตรียบร้อย ขณะยกดาบขึ้น


 


ในครั้งนี้ เธอไม่ได้ปลิวกระเด็นไปเหมือนก่อนหน้านี้ กลับกัน สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวเป็นโล่และป้องกันการโจมตีทั้งหมดที่ศัตรูสร้างขึ้น ทารกยักษ์ตกลงมาจากฟากฟ้าและทุบลงไปที่โล่ แต่มันไม่สามารถทำลายการป้องกันนี้ได้ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน


 


โรดส์ดึงดาบออกมาและกรีดมือซ้ายของเขาไปที่ตัวดาบ


 


เมื่อดาบได้สัมผัสเลือด แสงสีแดงสว่างสดใสขึ้นและกลิ่นของเลือดทำให้เหล่าอันเดดคลั่ง พวกมันคำรามอีกครั้งและเพิ่มความรุนแรงในการโจมตี แม้ว่าโล่ผู้พิทักษ์จะไม่สามารถคงอยู่ได้นานกว่านี้และมันเริ่มผิดรูป


 


ซีเลียถอนบาเรียออกและถอยกลับ นั่นไม่ใช่เพราะว่าเธอต้านไม่ไหว แต่….


 


คมดาบแห่งการทำลายล้างถูกยิงออกมาจากจุดที่ซีเลียอยู่และปะทะกับร่างของอันเดด แรงปะทะที่ทรงพลังทำให้พวกมันถอยกลับ ขณะที่ผิวของพวกมันเริ่มปรากฎร่องรอยฉีดขาด เผยให้เห็นเลือดและบาดแผล สำหรับอันเดด มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร มันกรอกตาไปมาและหัวเราะคิกคัก


 


แต่จากนี้ไปพวกมันจะขำไม่ออก


 


ประกายแสงสีเงินรูปเสี้ยวพระจันทร์ตัดผ่านลำคอของมันและกลืนหายไปในความมืด


 


บนท้องฟ้า ทูตสวรรค์กำลังถือดาบของเธอ สีหน้าของเธอไร้ซึ่งอารมณ์


 


ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสู่ความเงียบ


 


“พวกมันถอยไปชั่วคราว”


 


โรดส์เช็ดดาบและเลือดที่อยู่บนมือของเขา สีหน้าของโรดส์ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด


 


“เดินทางต่อได้ หวังว่าพวกเราจะหาไอ้พวกปัญญาอ่อนได้ก่อนที่พวกเราจะเผชิญหน้ากับการโจมตีรอบต่อไปนะ”



87 – รวมตัว


 


ไม่นานหลังจากที่เหล่าอันเดดถอยออกไป ชายชราวอร์คเกอร์พบร่องรอยใหม่


 


“พวกเขาทิ้งร่องรอยไว้!”


 


วอร์คเกอร์และเซเร็คเริ่มรู้สึกตื่นเต้น เมื่อพวกเขาเห็นสัญลักษร์แปลกๆที่ลำต้นของต้นไม้


 


“พวกเขาอยู่ใกล้ๆ…ข้าคิดว่าพวกเขาคงอยู่แถวๆนั้น!”


 


ชายชราวอร์คเกอร์ชี้ไปยังถ้ำดำมืดไม่ไกลไปจากพวกเขา แม้ว่าชายชราวอร์คเกอร์จะไม่ชี้ให้พวกเขาเห็นสัญลักษณ์คล้ายกับที่อยู่บนพื้นผิวถ้ำ ทุกคนก็สามารถเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจากชิ้นส่วนของเหล่าอันเดดที่กระจายอยู่ที่ทางเข้า รอยเท้าที่สับสนยังคงเผยให้เห็นว่ามีมนุษย์อยู่ที่นี่และมีหลักฐานว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง


 


“ไปกันเถอะ”


 


โรดส์ไม่อยากชักช้าในป่านี้มากเกินไป ดังนั้นเขาจึงรีบสั่งให้กลุ่มของเขาเคลื่อนที่ ขณะที่การเดินทางของพวกเขาราบรื่น พวกเขาเข้ามาได้ 2 ใน 3 ของสันเขาแห่งความเงียบ พวกเขายังเหลืออีก 1 ใน 3 สำหรับเดินทางไปเพื่อช่วยชีวิตกลุ่มทหารรับจ้างที่เหลือ


 


อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆนอกจากเซเร็คเผยให้เห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้า การพักเล็กน้อยก่อนหน้านี้ไม่สามารถฟื้นกำลังของทุกคนได้ เมื่อเห็นสภาพของพวกเขาในตอนนี้ โรดส์รู้สึกว่าพวกเขาคล้ายกับ NPC ที่ไม่อยากขัดขวางผู้เล่นที่จะเข้าไปสังเวยชีวิตของพวกเขา เพื่อปูทางไปสู่ลาสบอส


 


แน่นอนว่าโรดส์ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น การพยายามต่อสู้กับลาสบอสตัวคนเดียวโดยไม่มีเพื่อรร่วมทีมเป็นเพียงแค่การฆ่าตัวตาย ดังนั้นเขาจึงบอกให้กลุ่มของเขาตามเขามาทีหลัง ขณะที่กำลังเข้าไปในถ้ำมืด


 


วูซซซซซ! เมื่อโรดส์เข้ามาในถ้ำ ทันใดนั้น กริชพุ่งออกมาจากความมืดและมุ่งเป้ามาที่ลำคอของโรดส์ เห็นได้ชัดว่าการโจมตีนี้หมายเอาชีวิตของเขา


 


ถ้าเป็นคนอื่น บางทีชีวิตของพวกเขาอาจจะถึงจุดจบโดยไม่อาจขัดขืนได้แม้แต่น้อย ผู้ที่ซุ่มโจมตีนั้นไม่รู้ว่าโรดส์นั้นแตกต่าง ในฐานะผู้เล่นระดับท็อปของ Dragon Soul Continent โรดส์พบเจอการสอบสังหารจากผู้เล่น PK อยู่บ่อยๆ เมื่อมือสังหารโจมตีมา ปฏิกิริยาของเขาจึงตอบสนองอัตโนมัติ


 


เขาใช้ดาบป้องกันกริชและโจมตีสวนกลับไปทันที มือสังหารตกใจเล็กน้อย การลอบโจมตีของมันถูกพบเจอ ดังนั้นมันจึงพยายามถอย แต่โรดส์ไม่ปล่อยโอกาสนี้ออกไป เขาแทงดาบของเขาไปในทิศทางของกริช และหยุดไว้ที่ลำคอของมือสังหาร


 


“หยุด! โรดส์ เขาเป็นมิตร”


 


เซเร็คหยุดโรดส์อย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเห็นกริช ไลซ์วิ่งตามมาและส่องแสงสว่างไปยังถ้ำด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์


 


ท้ายที่สุดโรดส์ก็สามารถมองเห็นเรือนร่างของมือสังหาร


 


ครึ่งใบหน้าถูกปกปิดไปด้วยหน้ากากสีดำ ชุดเกราะหนังรวดรูปขับเน้นรูปร่างผอมเพียวและหน้าอกที่สั่นสะเทือนขึ้นลงจากการที่เธอหายใจ หูยาวของเธอสั่นเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาของเธอจ้องมองไปยังดาบที่จ่อที่ลำคอของเธอ


 


เธอคือลูกครึ่งเอลฟ์


 


“คุณเป็นสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างวิคตอเรียส ไวน์ใช่ไหม?”


 


โรดส์ลดดาบลงและถามอย่างไร้อารมณ์ ราวกับคนที่โจมตีเขาไม่ใช่เธอ


 


“ใช่ ฉันเป็นสมาชิกของวิคตอเรียส ไวน์ค่ะ พวกคุณมาจากสมาคมทหารรับจ้างเหรอคะ?”


 


“ใช่แล้ว”


 


เซเร็คเดินออกมาด้านหน้า


 


“ข้า เซเร็ค พวกเราได้รับคำร้องมาจากหนึ่งในสมาชิกของเจ้าและรีบมาที่นี่เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาทันเวลานะ”


 


“คุณ-คุณคือ…คุณเซเร็ค!”


 


ลูกครึ่งเอลฟ์ดวงตาเป็นประกาย


 


“พวกคุณมาที่นี่จริงๆ! ดีมาก!! รีบไปช่วยเพื่อนของฉันกันเถอะค่ะ!!”


 


เธอจับมือของเซเร็คและดึงเขาลึกเข้าไปในถ้ำ


 


“พวกเราทำตามคำสั่งของหัวหน้าให้หนีมาที่นี่….”


 


เมื่อเธอนำไป เธอสรุปสภาพของกลุ่มของเธอให้ฟัง


 


“ตอนแรก หัวหน้าของพวกเราไม่ได้วางแผนจะเข้าไปในส่วนลึกของสันเขาแห่งความตายเพราะพวกเรารู้ดีว่าที่นี่อันตรายแค่ไหน แต่เมื่อพวกเรามาถึงรอยต่อชายแดน พวกเราถูกโจมตีและรุมล้อมโดยเหล่าอันเดด พวกเราจึงตัดสินใจหนีออกมา แต่เมื่อพวกเรารู้ตัวอีกที พวกเราได้เข้ามาลึกมากแล้ว แม้ว่าพวกเราจะพยายามทะลวงฝ่ากองทัพอันเดดมากแค่ไหน แต่พวกเราก็ไม่เคยทำสำเร็จ ดังนั้น…พวกเราไม่มีทางเลือกได้แต่เดินเข้ามาสำรวจภายในเพื่อหาทางออก”


 


“เอาล่ะ พวกคุณคงรู้เรื่องราวที่เหลือแล้ว ในกลุ่มพวกเรามีคนได้รับบาดเจ็บและหัวหน้าของพวกเราส่งบางคนออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ โชคดีที่พวกคุณมาถึงเร็วมาก…ไม่เช่นนั้น….”


 


คนพวกนี้เลือกสถานที่ที่อันตรายที่สุดได้เก่งจริงๆ


 


โรดส์ขมวดคิ้วและคิดในใจ


 


“ใครน่ะ?”


 


เมื่อทุกคนมาถึงจุดสิ้นสุดของถ้ำ เสียงทุ้มดังขึ้น


 


“นี่ฉันเอง คนจากสมาคมทหารรับจ้างมาถึงแล้ว!”


 


“อะไรนะ?!”


 


เสียงทุ้มตอบกลับมาด้วยความตื่นเต้นทันที


 


“พวกเขามาแล้วจริงๆเหรอ?! เร็ว เร็วมาก พาพวกเขาเข้ามาข้างใน!!”


 


ไม่นาน เสียงดังกึ่งก้องสั่นสะเทือนถ้ำเล็กน้อย ก้อนหินที่อยู่ที่จุดสิ้นสุดถ้ำถูกกลิ้งออกไปด้านข้าง เผยให้เห็นเส้นทางลับ ในเวลาเดียวกัน ชายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเดินออกมาจากทางเข้า เมื่อดวงตาของเขาพบเห็นเซเร็คและคนอื่นๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความยินดี


 


“คุณเซเร็ค? ข้าไม่คิดว่าคุณจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง พวกเราดีใจเป็นอย่างยิ่ง…”


 


“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก มันเป็นสิ่งที่สมาคมทหารรับจ้างสมควรทำ”


 


เซเร็คโบกมือของเขาและยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปมองโรดส์


 


“ถ้าเจ้าอยากขอบคุณใครสักคน ขอบคุณเขาโน่น พวกเรามาที่นี่ไม่ได้ถ้าไม่ได้เขา”


 


“เอ๊ะ!!?”


 


ชายคนนั้นผงะเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เซเร็คพูด เขามองไปยังโรดส์ด้วยความอยากรู้ขณะหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปสนใจโรดส์ เขาคิดว่าโรดส์เป็นผู้ติดตามของเซเร็ค แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้น….


 


หลังจากนั้นไม่นาน เขาหยิบสังเกตโรดส์และเชิญทั้งกลุ่มเข้าไปด้านใน


 


“ทุกคนเข้ามาด้านในเถอะ ข้างนอกอันตรายมาก อันเดดพวกนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่หนังเหนียวมาก”


 


สำหรับกลุ่มทหารรับจ้างที่มีชื่อว่า วิคตอเรียส ไวน์ ทุกคนอาจจะนึกถึงความโชคดีอย่างน่าเหลือเชื่อ น่าเสียดายที่สมาชิกของพวกเขาจะไม่ได้ดีเหมือนชื่อ หลังจากที่เข้ามาด้านในถ้ำ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้กลุ่มของโรดส์หายใจเข้าลึกๆ


 


5-6 คนได้รับบาดเจ็บหนักและกำลังเอนหลังพิงกำแพง พวกเขาอาบไปด้วยเลือดและรอยแผลมากมาย บางบาดแผลเผยให้เห็นเนื้อสดที่มีเลือดไหลออกมา!! เสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดยังคงดังไปทั่วถ้ำ แต่เมื่อพวกเขาเห็นโรดส์และคนอื่นๆเข้ามา ประกายความหวังปรากฎขึ้นในแววตาของพวกเขา


 


“ไลซ์”


 


โรดส์ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ไลซ์และนักบวช 4 คนเข้าใจหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาพุ่งตรงไปยังเหล่าทหารรับจ้างและเริ่มรักษาบาดแผลของพวกเขา


 


“ข้าชื่อ คุดลา หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างวิคตอเรียส ไวน์”


 


ชายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อใช้พลังเหนือมนุษย์ยกก้อนหินปิดกลับที่เดิม ก่อนที่จะเดินมาโค้งคำนับอย่างสุภาพ


 


“ในฐานะตัวแทนของกลุ่มทหารรับจ้าง ข้าอยากขอบคุณทุกท่านจากก้นบึ้งหัวใจ จริงๆแล้วข้าไม่คิดว่าพวกเราจะรอดมาถึงตอนนี้ได้ คุณเซเร็ค ขอขอบคุณ….”


 


จากนั้นชายนาม คุดลา หันไปหาโรดส์


 


“และเขาคือ?”


 


คุดลาไม่เข้าใจและพยายามศึกษาเด็กหนุ่มตรงหน้า จากคำอธิบายของเซเร็คก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่ช่วยพวกเขาไว้ เขาเป็นใครกัน?


 


“เขาเป็นหัวหน้าสตาร์ไลท์ ข้าว่าเจ้าอาจเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนใช่ไหม?”


 


“เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้าง ‘สตาร์ไลท์’ ข้าคิดว่าเจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาก่อนนะ”


 


เซเร็คยิ้มและพยายามแนะนำเขา หลังจากได้ยินคำแนะนำของเซเร็ค คุดล่ามีสีหน้าประหลาดใจ


 


“ได้ข่าวว่าเขา…แต่…ทำไม…”


 


“ทางสมาคมขาดแคลนกำลังคนในตอนนี้”


 


ก่อนหน้าที่คุดลาจะพูดจบ เซเร็คตอบแทนช่องว่างที่หายไป ใบหน้าของเขามืดมนทันที


 


“เจ้าอาจจะยังไม่รู้นะ แต่ทหารรับจ้างทุกกลุ่มในเมืองดีพสโตนถูกทำลายโดยกองทัพอันเดด มีเพียง 5-6 กลุ่มที่รอดกลับมา แต่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอาการบาดเจ็บสาหัส และยังไม่มีข่าวสำหรับกลุ่มอื่นๆ”


 


“มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน!!”


 


คุดล่าตกใจ


 


“ข้าว่า…”


 


“สมาคมทหารรับจ้างในตอนนี้กำลังสืบหาเกี่ยวกับภารกิจและตัวผู้มอบภารกิจ พวกเจ้าได้รับภารกิจอะไรมารึ?”


 


“พวกเราได้รับภารกิจให้ค้นหามรดกตกทอดของนักเดินทาง”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียด สีหน้าของคุดลาเริ่มจริงจัง


 


“ข้าได้ยินมาว่ามีนักเดินทางตายที่รอยต่อชายแดนของสันเขาแห่งความเงียบ ผู้มอบหมายภารกิจที่อ้างว่าเป็นพี่ชายของนักเดินทาง เขากังวลมากเพราะน้องชายของเขายังไม่กลับมา ดังนั้นเขาจึงขอให้พวกเราช่วยออกตามหาเขา ตอนแรกข้าปฏิเสธไป แต่คนๆนั้นแสดงความซื่อสัตย์ เขามอบเงินมัดจำให้พวกเรา 300 เหรียญทอง… ”


 


“เขาอาศัยอยู่ที่เมืองดีพสโตนงั้นรึ?”


 


เซเร็คถาม


 


คุดลาเงียบลงก่อนที่จะส่ายหัว


 


“ไม่นะ จากที่ข้าได้ยิน เขาดูเหมือนทางใต้…อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่คนของแคว้นภาฟิวด์ เขาบอกว่าเขาต้องเดินทางบ่อยและอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน”


 


อย่างที่คิด


 


เซเร็คและโรดส์มองตากันและกัน ทั้งคู่เข้าใจความหมายของสิ่งที่พวกเขาหมายถึง


 


ดูเหมือนว่าวิตอเรียส ไวน์จะเป็นหนึ่งในเหยื่อ มรดกตกทอดของนักเดินทางเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้น คล้ายกับเรดฮอว์คที่พยายามค้นหาดาบที่ไม่มีตัวตน ท้ายที่สุด มันเป็นเพียงข้ออ้างที่จะพาพวกเขาไปยังพื้นที่เสี่ยงอันตราย แต่การทำแบบนี้พวกมันต้องจ่ายเงินหลายร้อยเหรียญทองเพื่อทำเรื่องแบบนี้….พวกมันใจกว้างขนาดนั้นเลยรึ?


 


พวกมันกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?



88 – พักในถ้ำ


 


การเข้ามาถึงของโรดส์และเซเร็คทำให้สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้าง ‘วิคตอเรียส ไวน์’ รู้สึกโล่งใจอย่างมาก จริงๆแล้วหลังจากที่พวกเขาขอกำลังเสริม สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้คือการรอคอย แต่ในโลกใบนี้ไม่มีโทรศัพท์ดาวเทียม แม้ที่นี่จะมีเวทมนตร์ที่สามารถสื่อสารได้จากระยะทางไกล แต่แน่นอนว่ากลุ่มทหารรับจ้างขนาดเล็กแบบนี้ไม่มีของแบบนั้น บางครั้งพวกเขาจะเหลือบมองไปยังความมืดและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ บางคนถึงกับคิดไปกว่าคนที่ถูกส่งไปจะไม่สามารถหลบหนีและตายอยู่ในดินแดนที่มืดมิดแห่งนี้ แล้วพวกเขาจะเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไรกัน?


 


แต่เมื่อพวกเขายกดาบขึ้นและเตรียมจะฆ่าตัวตาย พวกเขาไม่สามารถเอาชนะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ได้ บางทีอาจะเป็นเพราะคนที่ถูกส่งไปหลบหนีไปได้สำเร็จและคนของทางสมาคมรีบเร่งรัดเดินทางมาที่นี่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ตราบเท่าที่พวกเขาเอาชีวิตรอดมาได้ พวกเขาก็ยังคงมีความหวัง!!


 


การตกอยู่ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายทำให้หลายวันมานี้ พวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ความตาย ความหวัง ความสิ้นหวัง ทุกครั้งที่พวกเขาลืมตาขึ้น พวกเขาไม่สามารถรอให้คนเหล่านั้นมาถึงได้ แต่ละวันผ่านไป เสบียงอาหารเริ่มร่อยหรอไป ทำให้พวกเขาทรมานมากขึ้น ในสันเขาแห่งความเงียบนั้นมีเหล่าอันเดดอยู่ทุกที่ ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถกินได้นอกจากศพ แม้ว่ามันจะดูบ้าคลั่งจะไปกินซากศพ แต่ศพพวกนี้กลับเน่าสลายและส่งกลิ่นเหม็นราวกับจะให้พวกเขาตายได้ทุกเมื่อ


 


พวกเขารู้ขีดจำกัดของตัวเอง ถ้าโรดส์ไม่ปรากฎตัวออกมา บางทีพวกเขาอาจจะเกิดบ้าไปกินซากศพด้วยความสิ้นหวัง


 


โชคดีที่โอกาสที่จะเกิดเรื่องเหล่านั้นได้หมดสิ้นไป


 


ด้วยการรักษาของเหล่านักบวช บาดแผลของเหล่าทหารรับจ้างได้รับการรักษาโดยใช้เวลาไม่นาน หลังจากได้กินอาหารที่พวกเขานำมา เหล่าทหารรับจ้างเริ่มรู้สึกผ่อนคลายและหลับพักผ่อนอย่างมีความสุข มันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่พวกเขาต้องตื่นออกมาท่ามกลางความมืดมิดและความทุกข์ทรมาน


 


เหล่านักบวชที่เหนื่อยล้าก็ได้โอกาสพัก ทั้งหมดนั้นแตกต่างไปจากไลซ์ พวกเธอไม่เคยมีประสบการณ์การผจญภัย แม้ว่าพวกเธอจะพักหลายครั้งมาก่อน แต่นักบวชเหล่านี้ก็ไม่อาจสงบจิตใจได้ พวกเธอกังวลว่าอันเดดที่น่าหวาดกลัวจะมาจากที่ไหนสักแห่ง นอกเหนือจากนี้ โรดส์ยังคงเร่งความเร็วในการเดินทาง ซึ่งเป็นเหตุผลให้พวกเธอไม่มีเวลาในการตั้งสติ ตอนนี้พวกเธอก็สามารถพักผ่อนได้ หลังจากที่พวกเธอรักษาคนอื่นๆเสร็จ


 


มาร์ลีนดูดีกว่านักบวชเหล่านั้นมาก แม่ว่าเธอจะรับภาระหนักหลังจากที่เข้ามายังสันเขาแห่งความเงียบ แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับเหล่านักบวช เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่านักบวชซึ่ง ‘เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ’ เธอเพียงแค่เหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้นเพราะเธอแค่เครียดมากเกินไปเท่านั้น ตอนนี้เธอนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของกองไฟ กำลังกินอาหาร ขณะที่พูดคุยกับไลซ์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แอนที่มีพลังงานเต็มที่ก่อนหน้านี้ได้เข้าไปนอนกับทั้งสองคนและหลับไป เมื่อมองเห็นใบหน้าที่กำลังหลับอย่างมีความสุขของเธอทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าสมองของเธอทำงานยังไงกันแน่


 


ชายชราวอร์คเกอร์ไม่ได้รวมตัวอยู่กับเหล่าเด็กสาว เขานั่งอยู่ฝั่นตรงข้ามและกำลังดื่มไวน์และมองไปยังกองไฟที่อยู่ตรงหน้าสับสน ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่


 


ช่างเป็นกลุ่มคนประหลาด


 


เมื่อมองไปยังคนเหล่านี้ คุดล่าได้แต่สงสัย บอกตรงๆเขาไม่เคยเห็นกลุ่มทหารรับจ้างที่มีสมาชิกแปลกๆมารวมตัวกันแบบนี้มาก่อน ถ้าอ้างอิงจากสมาคมทหารรับจ้างทั่วไป อาชีพที่โจมตีระยะใกล้อย่างนักดาบ โจร เรนเจอร์และนักรบมีหน้าที่สำคัญมาก ในทางกลับกันยังมีจอมเวทย์และนักบวชอีก ข้อแรกอาชีพเหล่านี้หาจับตัวได้ยากมาก ข้อสองสำหรับจอมเวทย์และนักบวช พวกเขาจะไม่ยอมที่จะอยู่รวมกับคนอื่น เนื่องจากจอมเวทย์เป็นชนชั้นสูง และพวกเขาจะไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีมาออกเดินทางกับคนชั้นต่ำแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเหล่านักบวชยังมั่นใจในความฉลาดของคน แม้วว่าพวกเขาจะถูกบังคับให้ติดตามกลุ่มทหารรับจ้าง พวกเขาจะต้องเป็นคนออกคำสั่ง และท้ายที่สุด มันมีข้อจำกัดเรื่องตัวตนของพวกเขาที่จะร่วมเดินทางไปยังกลุ่มทหารรับจ้าง ยิ่งกับนักบวชที่ไม่มีสกิลในการป้องกันตัว ถ้าทั้งกลุ่มตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ พวกเขาจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ตาย


 


นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมสมาคมทหารรับจ้างมีภารกิจอันตรายมากมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตประเภทอันเดด นั่นเพราะภารกิจเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสันเขาแห่งความตาย สิ่งมีชีวิตประเภทอันเดดไม่หวาดกลัวความเจ็บปวดและความตาย ราวกับตำรวจที่ไม่สามารถหยุดซอมบี้ได้ด้วยปืนพก มันสามารถถูกจินตนาการได้ว่าเมื่อกลุ่มทหารรับจ้างเหล่านี้ใช้อาวุธธรรมดาไปเผชิญหน้ากับเหล่าอันเดดจำนวนมหาศาล


 


แม้เรนเจอร์จะสามารถโจมตีอันเดดได้จากระยะไกล แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไม่หวาดกลัวความตาย พวกมันคงไม่สนใจลูกธนูที่ถูกยิงใส่ดอกหรือสองดอกหรอกใช่ไหม?


 


อีกด้านหนึ่ง กลุ่มทหารรับจ้างของโรดส์เรียกได้ว่ามีความหลากหลายมากๆ มีทั้งจอมเวทย์ นักบวช นักดาบ เรนเจอร์ นักรบโล่…มันดูไม่เหมือนกลุ่มทหารรับจ้างเลย ไม่ต้องพูดถึง….


 


คุดลามองไปยังเด็กสาวที่กำลังยืนหลับตาอยู่ข้างโรดส์ ปีกสีขาวด้านหลังเธองดงามดูคล้ายกับเสื้อคลุม


 


ทูตสวรรค์


 


คุดลาสามารถสาบานกับดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ว่าเขาไม่เคยเห็นทูตสวรรค์มาเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างมาก่อน ตอนแรกเขาคิดว่าเด็กสาวทูตสวรรค์เป็นคนรู้จักของเซเร็ค เนื่องจากเซเร็คมีสถานะสูงส่งและเป็นหนึ่งในคนสำคัญของสมาคมทหารรับจ้างในเมืองดีพสโตน สำหรับกลุ่มทหารรับจ้างขนาดเล็ก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีบุคคลลึกลับและคาดเดาไม่ได้มาอยู่ด้วย แต่เมื่อเขามองไปยังซีเลีย ซึ่งเรียกโรดส์อย่างสุภาพว่า ‘นายท่าน’ แต่เขานี้เป็นถึงสายเลือดบาบาเรี่ยนที่กล้าลงไปต่อสู้กับอันเดดที่น่าเกรงขามพวกนั้น


 


เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?


 


คุดลาไม่รู้จักและพยายามสิบถามเซเร็ค แต่นักดาบคนนี้ไม่ได้ให้คำตอบเขา นั่นทำให้เขารู้สึกว่าโรดส์ลึกลับมากขึ้น


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จำเป็นจ้องขอบคุณเด็กหนุ่มคนนั้นและ….


 


ในความคิดของเขา คุดลายืนขึ้นและเดินตรงไปที่โรดส์


 


“คุณโรดส์ ข้าดีใจมากที่เข้าร่วมในปฏิบัติการช่วยเหลือครั้งนี้ด้วย ข้ามาที่นี่เพื่อแสดงความขอบคุณเจ้าและกลุ่มของเจ้า”


 


แม้ว่ารูปร่างของเขาจะดูสูงใหญ่ แต่คำพูดของบาบาเรี่ยนคนนี้แสดงออกถึงความอ่อนโยนอย่างชัดเจน เขาจดจำคำเตือนของเซเร็คได้ อย่าพูดถึงอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับใบหน้าของโรดส์……เพราะสิ่งที่คาดเดาไม่ได้อาจจะเกิดขึ้น


 


มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุดลาที่จะเข้าใจสิ่งที่เซเร็คหมายถึง เขาเองก็ตกใจเหมือนกันในตอนแรกที่เขาพบโรดส์ แต่ตอนนี้…


 


“พวกเรา’วิคตอเรียส ไวน์’ จะไม่ลืมความช่วยเหลือที่กลุ่มทหารรับจ้างของคุณ โปรดมั่นใจ หลังจากกลับไป พวกเราจะตอบแทนอย่างแน่นอน…สำหรับพี่น้องของคุณที่เสียสละเพื่อพวกเรา พวกเราจะไม่ปล่อยให้พวกเขาตายอย่างสูญเปล่า!!”


 


ชายคนนี้กำลังพูดอะไรกัน?


 


โรดส์เงยหน้าขึ้นและรู้สึกมึนงงเมื่อมองไปยังชายตรงหน้าเขา เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ชายตรงหน้ากำลังพูดถึง ในเวลาเดียวกัน เซเร็คยิ้มและพูดขึ้น


 


“เจ้าผิดแล้ว คุดลา ตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาที่สันเขาแห่งความเงียบ ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ด้านหลังเลย อย่าดูถูกความสามารถในการสั่งการของเขา บอกตรงๆในความคิดของข้า เจ้ายังไม่สามารถเทียบกับเจ้าหนูนั่นได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ต้องไปสาปแช่งเขาด้วยการพูดถึงการเสียสละและตายอย่างเปล่าประโยชน์ ระวังไว้ จะเป็นเขาแหละที่ต้องพูดกับเจ้า”


 


ไม่มีใครตาย?!!!


 


เมื่อได้ยินดังนั้น คุดลาถึงกับตกตะลึง เขามองไปยังโรดส์ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว ไม่ใช่ประหลาดใจ ทหารรับจ้างทุกคนรู้ดีว่าสันเขาแห่งความเงียบเป็นสถานที่แบบไหน ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มทหารรับจ้างขนาดเล็ก แม้แต่สมาคมทหารรับจ้างยกมาทั้งหมด พวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับความตายที่จะเกิดขึ้นเลย


 


แต่ตอนนี้ เซเร็คกลับบอกเขาว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือตายเลย!


 


เด็กหนุ่มคนนี้ทำได้อย่างไรกัน!?


 


ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดแบบนี้ คุดลาคงไม่อาจเชื่อได้ แต่เมื่อได้ยินจากปากของเซเร็ค ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสมาคมทหารรับจ้าง ซึ่งสามารถเชื่อถือได้ เมื่อนึกได้ดังนี้ คุดลาตกอยู่ในอาการตกใจ เขาเองก็เป็นหัวหน้าทหารรับจ้างและเขารู้ดีถึงข้อห้ามในบรรดาทหารรับจ้าง การพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างชัดเจน


 


“ข้าขอโทษ ข้า….”


 


“คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก คุณคุดลา”


 


โรดส์หยุดการอธิบายของคุดลาอย่างใจเย็น เขาไม่ได้สนใจเรื่องงมงายพวกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่เกี่ยวข้องกับเข้าหมายของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่กังวล


 


“แต่ผมมีคำขอร้องอย่างหนึ่งครับ”


 


“ว่ามาเลยครับ คุณโรดส์”


 


เมื่อได้ยินน้ำเสียงของโรดส์เปลี่ยนไป คุดลารู้สึกโล่งใจและเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น


 


“อย่างที่เซเร็คพูด ผมมั่นใจว่าพวกคุณทุกคนสามารถออกไปจากสันเขาแห่งความืดได้อย่างปลอดภัย แต่ผมมีเรื่องอยากจะขอร้อง ผมรู้ว่าคุณเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้าง แต่บอกตรงๆผมไม่เชื่อในความสามารถในการสั่งการของคุณ ดังนั้นเงื่อนไขของผมคือ ก่อนที่พวกเราจะออกไป ผมอยากให้พวกของคุณทุกคน รวมถึงคุณทำตามคำสั่งของผมอย่างไม่มีข้อแม้ ถ้าคุณสัญญากับผมข้อนี้ได้ ผมมั่นใจว่าทุกๆคนจะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าคุณไม่สามารถทำได้…”


 


เมื่อพูดถึงตรงนี้ โรดส์หยุดและมองไปยังสีหน้าของคุดลาที่เริ่มดำคล้ำขึ้น


 


“เพื่อเป็นการปกป้องทุกคน ผมต้องทำมีการเสียสละเกิดขึ้น”


 


เขาเชื่อว่าคุดลาเข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึงอย่างแน่นอน


 


แน่นนอน หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของคุดลาเปลี่ยนไป ตอนแรกสีหน้าของเขาสีเป็นเขียว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เขาบีบกำปั้น ก่อนจะผ่อนคลายออกมาและบีบอีกครั้ง ไม่มีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของบาบาเรี่ยนอีกต่อไป เขามองเด็กหนุ่มเงียบๆด้วยใบหน้าดำมืด ซึ่งเด็กหนุ่มคนนี้อายุน้อยกว่าเขาเกือบ 20 ปี


 


ความจริงแล้วเขาไม่ยอมรับสิ่งที่โรดส์พูด เขาคิดว่าทักษะการสั่งการของเขาไม่มีปัญหา หรือว่าเพราะเขาไม่สามารถรักษาคนของเขาไว้ได้จนถึงตอนนี้ แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบอีกครั้ง เขายอมรับว่าโรดส์ไม่ผิด เพราะถ้าเด็กหนุ่มสามารถนำทุกคนมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงทักษะในการสั่งการของเด็กหนุ่ม แม้ว่าจะรวมความแข็งแกร่งของเซเร็คในฐานะนักดาบเข้าไปด้วย แต่ความช่วยเหลือของเขาก็มีจำกัด สำหรับหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์ คุดลาเข้าใจในส่วนนี้อย่างชัดเจน เซเร็คเพียงคนเดียว ไม่สามารถดูแลกลุ่มทหารรับจ้างทั้งหมดได้


 


แล้วเขาควรทำอย่างไรดี?


 


“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปบอกผู้ติดตามของข้า”


 


ท้ายที่สุด คุดล่าพยักหน้าและหันเดินออกไป ความสุภาพและความเคารพที่มีก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปหมดแล้ว


 


“เจ้าไม่ควรปฏิบัติกับเขาแบบนั้นนะ โรดส์”


 


เมื่อเห็นร่างของคุดลา เซเร็คยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและส่ายศีรษะ


 


“ผมอค่พูดสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”


 


โรดส์ไม่ได้มองกลับไป เหตุผลที่เขาเลือกปฏิบัติอย่างหยาบคายเพราะเรื่องสำคัญนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้และอีกเหตุผลหนึ่งคือโรดส์รู้สึกไม่ค่อยดีกับคุดลา ถ้าไม่ใช่เพราะเขานำกลุ่มของเขาเข้ามาในสถานที่อันตรายแบบนี้ พวกเขาคงจบภารกิจนี้ได้ง่ายๆและเร็วกว่านี้มาก แต่ตอนนี้…การมาถึงที่นี่ทำให้โรดส์อดไม่ได้ที่จะโกรธ แม้ว่าสิ่งที่พูดออกไปจะไม่ได้กระทบต่อคุดลา เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่สันเขาแห่งความเงียบ ดังนั้นการไม่ระวังต่อสถานที่อันตรายแห่งนี้ ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีนัก


 


ยิ่งไปกว่านั้น ภาระทางสมองนั้นทำให้เขารู้สึกโกรธ….ในเกม โรดส์มีประสบการณ์มาแล้ว ตราบเท่าที่ใครจะทำอันตรายที่ส่งผลต่อกลุ่ม ไม่ว่าพวกเขาจะอาสาหรือไม่ จะตั้งใจหรือไม่ จะใจดีหรือโหดเหี้ยม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม


 


เนื่องจากผลลัพธ์ไม่ได้เปลี่ยนไป คำอธิบายของเขาก็ไม่มีความหมาย


 


กลืนคำอธิบายพวกนั้นและเดินหน้าต่อไม่ใช่สไตล์ของเขา


 


เมื่อได้ยินคำตอบของโรดส์ เซเร็คไม่ได้พูดต่อ เนื่องจากเขามาจากสมาคมทหารับจ้าง มันไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งเหยิงระหว่างกลุ่มทหารรับจ้าง 2 กลุ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มคนนี้ยังภาคภูมิใจและมั่นใจอย่างมาก เขาไม่ปล่อยให้ใครสงสัยในตัวเขา


 


นี่ทำให้เซเร็ครู้สึกได้ถึงบางอย่างที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย คุ้นเคยเพราะเขาเคยเห็นผู้สั่งการคนหนึ่งที่แข็งแกร่งที่ดื้อรั้นมาก มันเป็นสิ่งที่คล้ายกับวัฏจักร เขาต้องทำให้ผู้คนเชื่อฟังเขาอย่างไม่มีข้อโต้แย้งและไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้อื่น แม้ว่าบางครั้งมันอาจจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ถูกต้อง แต่มันยังคงมีอำนาจในตัวของมัน


 


เขาพบสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเพราะเขาไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มคนไหนที่มีความสามารถขนาดนี้มาก่อน คนพวกนั้นไม่หยิ่งผยองก็เป็นพวกไม่สนใจโลก ไม่เพียงแต่จะไม่รู้จักความกลัว นี่เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาตาบอดจากความมั่นใจในตัวเอง และความมั่นใจหลอกๆทำให้คนอื่นสับสน มันเหมือนกับเสือกระดาษที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาในการต่อสู้จริงเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม โรดส์นั้นไม่เหมือนกัน จากที่เห็น เซเร็ครู้สึกได้ถึงรัศมีบางอย่างซึ่งรู้สึกได้จากผู้บังคับบัญชาตัวจริงเท่านั้น ถ้าเขารู้ว่าโรดส์ครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวหน้ากิลด์ที่แข็งแกร่งที่สุดมนเกมล่ะก็ บางทีเขาอาจจะเข้าใจว่าทำไมโรดส์ถึงมีรัศมีแห่งความมั่นใจและดื้อรั้น


 


หลังจากที่ตอบเซเร็ค โรดส์ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะเขามีสิ่งสำคัญต้องทำ


 


ในดันเจี้ยนระดับสูง นอกจากของดรอปที่ไร้ค่าจากสันเขาแห่งความเงียบแล้ว มีเพียงค่าประสบการณ์จำนวนมากที่ได้รับ หลังจากที่เขานำทุกคนผ่านสนามรบที่เต็มไปด้วยความมืดและแสงสว่าง ทั้งป้องกันการโจมตีของสิ่งมีชีวิตอันเดด ค่าประสบการณ์ที่โรดส์ได้รับทำให้ระดับของเขาพุ่งทะลุไปถึงระดับ 15


 


สำหรับโรดส์ มันเป็นข่าวดี ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้รับแจ้งเตือนจากระบบขึ้นมา


 


หลังจากเขามาถึงระดับ 15 ระบบในที่สุดก็แจ้งเตือนว่าเขาได้พบกับเงื่อนไขในการปลดผนึกกระบวนท่าดาบขั้นที่ 2 ซึ่งเขาได้ปลดล็อคไปแล้ว



89 – ดาวตก


 


โรดส์ไม่คิดมาก่อนว่าเขาสูญเสียอะไรไปบ้าง หลังจากที่ถูกย้ายมาในโลกใบนี้ นอกจากช่องเก็บของและสกิลกระบวนท่าดาบ สิ่งที่เขาเหลืออยู่มีเพียงความทรงจำและเด็คการ์ดศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้รับเป็นของที่ระลึก


 


โรดส์ไม่สามารถใช้งานกระบวนท่าดาบได้เพราะเขาสูญเสียค่าสถานะที่จำเป็นในการใช้พวกมันไป อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าก็ยังดีเพราะเขารู้วิธีเก็บพวกมันคืนมา ซึ่งบางสกิลได้รับมาจากค่าชื่อเสียงที่ต้องเก็บสะสม บางสกิลได้มาจากพบโบราณสถานและบางสกิลจำเป็นต้องใช้เงื่อนไขเฉพาะก่อนที่เขาจะเรียนรู้พวกมันได้ แต่หลังจากผจญภัยมาเป็นเวลาหลายปีในเกม เขาได้ปักหมุดสถานที่และเงื่อนไขของสกิลกระบวนท่าดาบไว้แล้ว


 


ไม่ว่าสกิลจะเรียนรู้ได้ยากหรือง่าย โรดส์รู้ดีว่าส่วนที่ยากที่สุดคือช่วงเริ่มต้น และเนื่องจากตอนนี้เขามีโอกาาที่จะลดเวลามาเรียนรู้ เป็นธรรมดาที่เขาจะกระตือรือล้น ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำทั้งหมดเป็นงานหนักเพื่อให้ได้รับสกิลที่ต้องการและเขาต้องปลดล็อคมัน


 


แน่นอน สำหรับผู้เล่นเก่า โรดส์สามารถจดจำเงื่อนไขที่จำเป็นในการปลดล็อคสกิลพวกนั้นได้ โชคร้ายที่เขามีปัญหาใหญ่


 


เขาไม่สามารถตรวจสอบค่าสถานะของเขาได้


 


โรดส์ยังไม่ได้ปลดล็อคสายเลือดของเขา ดังนั้นค่าสถานะของเขาจึงขึ้นว่า ‘?’ ก่อนที่เขาจะถึงระดับ 10 เขาทำได้เพียงคาดเดาค่าสถานะของเขาอย่างยากลำบาก แต่หลังจากปลดล็อคต้นไม้พรสวรรค์ที่ 3 ค่าสถานะของเขาเพิ่มขึ้นตามระดับของเขาซึ่งเขาไม่รู้ นี่เป็นเหตุผลที่แต่ละเผ่าพันธ์ุมีการพัฒนาที่แตกต่างกัน ดังนั้นเขาต้องทิ้งทุกสิ่งให้โชคชะตาเป็นตัวค้นหากระบวนท่าดาบให้กับเขา


 


สกิลที่โรดส์ต้องการนั้นคือ ‘ระบำแห่งความมืด’ ตามชื่อของมัน มันเป็นกระบวนท่าดาบประเภทซ่อนตัว มันช่วยลดการคงอยู่ของผู้ใช้ได้อย่างมหาศาล ในขณะเดียวกันมันยังช่วยเพิ่มความเสียหายและโอกาสในการโจมตีคริติคอล


 


สำหรับคลาสนักดาบอัญเชิญที่เป็นลูกผสม โรดส์จึงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ซึ่งหน้ากับคลาสต่อสู้ระยะประชิดสายตรงอื่นๆ โดยเฉพาะถ้าคนเหล่านั้นมีระดับสูงกว่าเขา ดังนั้นระบำแห่งความมืดจึงเหมาะกับเขาอย่างมาก จุดอ่อนเดียวของสกิลนี้คือมันต้องการค่า Dex สูง สกิลนี้มีต้นกำเนิดมาจากเอลฟ์ที่ถูกทอดทิ้งโดยใช้เทคนิคชั่วร้าย ดังนั้นมันจึงเป็นมรดกตกทอดของเหล่าเอลฟ์ หากไม่มีร่างกายที่ผอมเพียว การเรียนรู้กระบวนท่าดาบนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝันลมๆแล้งๆ


 


แต่ทว่าน่าสงสารที่มันไม่ได้เป็นไปตามที่เขาหวัง


 


กระบวนท่าดาบที่โรดส์ได้รับไม่ใช่ ‘ระบำแห่งความมืด’ ที่เขามองหา แต่กลับเป็น ‘ดาวตก’


 


โรดส์มองไปยังสกิลใหม่ที่ขึ้นมา บอกตรงๆเขารู้สึกเศร้ามาก ซึ่งจริงๆแล้วชื่อกลุ่มทหารรับจ้างของเขามีชื่อว่า ‘สตาร์ไลท์(แสงดาว)’ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยากได้สกิลที่มีชื่อว่า ‘ดาว’ ไม่ว่าอย่างไร สกิลก็ยังคงเป็นสกิล


 


สำหรับสกิลกระบวนท่าดาบหายาก กระบวนท่าดาบดาวตกเอาชนะท่าดาบเงาจันทร์ได้ทั้งความแข็งแกร่งและความทรงคุณค่า เนื่องจากท่าดาบเงาจันทร์เป็นเพียงกระบวนท่าดาบพื้นฐาน


 


นอกจากนั้นแล้ว มีมากกว่าหนึ่งสิ่งที่โรดส์ไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่เขาเลื่อนระดับ เขาจะได้รับ 2 แต้มสกิลตลอด ก่อนหน้านี้ที่ซากปรักหักพัง ขณะที่เขาวุ่นวายอยู่กับการต่อสู้ เขาไม่ได้คิดถึงมันมากนัก แต่ตอนนี้เขายังคงไม่สามารถหาคำตอบได้ แม้ว่าจะนั่งคิดมาแล้วครึ่งวัน


 


ในเกม เขาเคยได้ยินบางคนที่ได้รับสายเลือดแบบสุ่มซึ่งเพิ่มค่าสถานะและแต้มสกิลเมื่อเลื่อนระดับ ดังนั้นทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้คือการสันนิษฐานว่าสายเลือดลึกลับของเขาจะเกี่ยวข้องกับ ‘สายเลือดแบบสุ่ม’ ที่ชายคนนั้นพูดถึง


 


เขาเปิดระแบบแจ้งเตือนขึ้นตรงหน้า


 


ปราศจากความลังเล โรดส์ใช้แต้มสกิล ระบบแจ้งเตือนที่คุ้นเคยปรากฎขึ้นตรงหน้าของเขาอีกครั้ง


 


[ใช้ 1 แต้มสกิล ‘กระบวนท่าดาบดาวตก’ ถูกปลดล็อค ระดับ E สกิลพิเศษ: หลักฐานแห่งความโกรธเกรี้ยว]


 


หลังจากที่ได้รับข้อมูล โรดส์รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลเข้ามาที่หน้าอกและแพร่กระจายไปทั่วร่าง จากนั้นระบบแจ้งเตือนดังขึ้นอีกครั้ง


 


[ความเกรี้ยวกราดของความยุติธรรม: การใช้ดาบในฐานะตัวแทนแห่งความตาย นำพาพลังวิญญาณทำให้ศัตรูดับดิ้นด้วยความโกรธของคุณ – พลังทำลายล้าง….]


 


โรดส์บีบมือแน่นด้วยความยินดี แววตาของเขาเผยให้เห็นความมั่นใจ


 


ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น


 


สำหรับแต้มสกิล 5 แต้มที่เหลือ โรดส์เลือกที่จะเก็บมันไว้ ทันใดนั้น เขาคิดบางอย่างได้ ถ้าทุกสิ่งราบรื่นแบบนี้ บางทีเขาอาจจะ….


 


แต่โรดส์ไม่มีเวลามากพอ เพราะมีปัญหาอยู่ตรงหน้าเขา


 


เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ทุกคนจะฟื้นตัว เหล่าทหารรับจ้างที่เต็มไปด้วยบาดแผลเพิ่งได้รับการรักษาและเหล่านักบวชที่เหนื่อยล้าอย่างมาก ในขณะเดียวกันพวกเขาอยากอยู่ในที่ปลอดภัยของถ้ำ ตรรกะของพวกเขาจึงผิดเพี้ยนไปหมด


 


ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องออกไป


 


แม้ว่าจะเลือกเก็บดาบอย่างไม่เต็มใจ เขารวบรวมสมาชิกและบอกให้พวกเขาฟังคำสั่งของโรดส์ ชในขณะที่โรดส์บอกว่าเขาไม่สามารถประสานงานกับคนเหล่านี้ได้ 100% ซึ่งพวกเขาเคารพการตัดสินใจของโรดส์และทำตามคำสั่งของเขาไปเงียบๆ


 


แต่มีแกะดำ 1-2 ตัว


 


“ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ”


 


เสียงแหลมดังสะท้อนไปทั่วถ้ำ หญิงสาวเดินออกมาจากฝูงคน เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นโจรที่เกือบถูกฆ่าโดยโรดส์ก่อนหน้านี้


 


แม้ว่าใบหน้าของเธอจะถูกปิดไว้ใต้ผ้าสีดำ แต่มันไม่สามารถซ่อนประกายตาสงสัยไว้ในสายตาของเธอได้


 


“หัวหน้าคะ ฉันคิดว่าคุณทำดีมากแล้ว ทุกคนที่นี่เอาชีวิตรอดมาได้เพราะคำสั่งของหัวหน้า แต่ตอนนี้คุณจะมาบอกให้เอาชีวิตของพวกเราไปอยู่ในมือของคนแปลกหน้า? ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ! ฉันจะฟังแต่คำสั่งของหัวหน้า”


 


“นั่นเป็นปัญหาของคุณ”


 


โรดส์ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามอง


 


“ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ มันไม่สำคัญ ถ้าคุณอยากออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย ทำตามคำสั่งของผม ผมเจอปัญหามามากพอแล้วเพื่อมาที่นี่ และผมไม่อยากพอศพใครกลับไปด้วย ผมไม่อยากมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ ไม่ว่าคุณจะเรียกร้องยังไง มันก็ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผมหรอก”


 


“คุณ…คุณเซเร็ค…คือคุณเองก็…”


 


เมื่อได้ยินคำตอบของโรดส์ เด็กสาวกัดฟันแน่น เธอมองไปยังเซเร็คเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขาเพียงหยิบตอบกลับมาแห้งๆ


 


“ข้าขอโทษด้วย แต่ข้าคิดว่าแบบนี้น่ะดีแล้ว อย่างที่โรดส์พูด พวกเราไม่สามารถผิดพลาดได้หลังจากที่พวกเราเข้ามาถึงที่นี่ ตอนนี้เราพบพวกคุณแล้ว พวกเราจะช่วยคุ้มกันพวกคุณกลับเมืองดีพสโตน เรื่องจากคุดล่าได้ขอร้องให้พวกเราช่วย นั่นหมายความว่าเขาไม่สามารถนำทุกคนกลับไปได้อย่างปลอดภัย ไม่เช่นนั้น พวกเจ้าจะขอความช่วยเหลือจากพวกเราทำไมกัน?”


 


“….”


 


เธอไร้ซึ่งคำพูดใดๆ จริงๆแล้วมันเป็นเช่นนั้น ถ้าคุดบามีพลังมากพอที่จะพาพวกเธอกลับไปอย่างปลอดภัย ทำไมพวกเขาต้องขอความช่วยเหลือจากทางสมาคมกันล่ะ?


 


“แต่-แต่พวกเราไม่รู้จักชายคนนี้….”


 


“คนพวกนี้ไม่เชื่อในหัวหน้าของพวกเรา!”


 


ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขัดจังหวะเด็กสาว เหล่าทหารรับจ้างหันไปและพบต้นเสียงนั้นคือแอน ซึ่งยืนเงียบอยู่ด้านข้าง กลับกันสีหน้าของเธอไม่ได้สนุกสนาน แต่กลับเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง


 


“แอนเชื่อในหัวหน้าของพวกเรา ถ้าหัวหน้าบอกว่าเขาสามารถนำพวกคุณทั้งหมดออกไปได้อย่างปลอดภัย เขาสามารถทำได้อย่างแน่นอน เนื่องจากพวกคุณไม่สามารถทำได้ หยุดทำให้เสียเวลาได้แล้ว เข้าใจไหม?”


 


“แกจะพูดอะไรกันแน่?!”


 


โจรคนนั้นโกรธ ขณะที่เธอกระโดดขึ้นและเผยให้เห็นกริชทั้งสองในมือของเธอ


 


“แกดูถูกพวกเราหรอ?”


 


“แอนกำลังพูดความจริง ถ้าพวกคุณมองไม่เห็น ก็ลองไปมองหาลูกตาดูล่ะกัน!”


 


แอนพูดออกมาอย่างเย็นชาและยกคางขึ้น โล่ในมือของเธอถูกยกขึ้นมาทันที เมื่อเธอเตรียมต่อสู้


 


“ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ก็เข้ามาสิ!”


 


ความขัดแย้งได้มาถึงจุดแตกหัก เสียงเย็นๆของโรดส์ดังขึ้นราวกับนำถังน้ำแข็งสาดลงไปที่ทั้งสองคน


 


“พวกคุณทั้งคู่หยุดได้แล้ว”


 


เสียงของโรดส์ไม่ได้ดังมาก แต่เมื่อได้ยินทั้งคู่ไม่อาจเมินเฉยต่อมันได้ แอนทำหน้ามุ่ยและลดโล่ลง เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามของเธอเองก็ลดกริชลงเช่นกัน แอนจึงเลือกที่จะหยุด


 


“ผมจะพูดอีกครั้งเดียว”


 


โรดส์ยกนิ้วขึ้นเหนือหน้าผากของเขา


 


“เรื่องนี้ถูกตัดสินไปแล้ว พวกคุณทั้งหมดไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ผมจะไม่ให้คุณเซเร็คกดดันพวกคุณ แต่คุณคุดลากับผมเห็นตรงกันแล้ว ถ้ามีใครไม่พอใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้ ก็เดินไปหาคุณคุดลาเอาล่ะกัน พวกเราไม่สามารถเสียเวลาไปมากกว่านี้ได้แล้ว และถ้าพวกคุณสองคนยังทำแบบนี้อีก ผมจะปล่อยพวกคุณไว้ใจกลางกลุ่มอันเดด”


 


“….”


 


บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที แต่โชคดีที่ไม่มีใครคัดค้านคำพูดของโรดส์ ท้ายที่สึดเขาจึงเดินหน้าต่อไป


 


ทั้งเซเร็คและคุดล่าแนะนำให้ใช้เส้นทางเดิมก่อนหน้านี้ แต่แผนของโรดส์นั้นแตกต่างออกไป


 


“นั่นเป็นการตัดสินใจที่โง่มาก”


 


โรดส์ตอบกลับอย่างเยือกเย็น


 


“ทำไมล่ะ?”


 


เซเร็คมองไปยังโรดส์ด้วยความมึนงง


 


“มันอาจจะจริงที่พวกเราคุ้นเคยกับเส้นทางพวกนั้น และถ้าพวกเราย้อนกลับไป พวกเราจะไปได้เร็วกว่า…”


 


จากนั้นโรดส์ส่ายศีรษะ


 


“….อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่สามารถผ่านทุ่งหญ้านั่นได้อีกครั้ง”


 


“แต่ตอนที่พวกเราเข้ามา….”


 


“มันแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้”


 


โรดส์รู้ว่าสกิลดาบของเซเร็คนั้นไร้เทียมทาน แต่เรื่องอื่นนั้น เขายังไม่เข้าใจมากนัก


 


โรดส์โบกมือและอธิบายแผนการของเขาอย่างอดทน


 


“ก่อนหน้านี้ ผมได้เตรียมจำนวนคนมาอย่างรอบคอบ ด้วยนักบวช 5 คนนั้นก็ยากมากแล้วที่จะสนับสนุนทั้งกลุ่ม ตอนนี้พวกเรามีคนเพิ่มมาอีก 6 คน แน่นอนว่ากลุ่มของพวกเราจะใหญ่มากขึ้น นั่นหมายความว่าพวกเรามีคนที่ต้องป้องกันมากกว่าจำนวนนักบวช ซึ่งถ้าพวกเขาหมดแรงกลางทาง นั่นเป็นการฆ่าตัวตาย”


 


“และนั่นเป็นเหตุผล”


 


ดวงตาของเซเร็คเบิกกว้างขค้น หลังจากที่เข้าใจจุดที่โรดส์อธิบาย คุดลาที่กำลังยืนอยู่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ขณะที่เขาคิดตาม จากนั้นเขาถามออกมาอย่างสงสัย


 


“งั้นพวกเราควรทำอย่างไรต่อ?”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับคำถาม โรดส์ตอบอย่างไม่ลังเล


 


“เดินหน้าต่อ”


 


“อะไรนะ?!”


 


ทั้งเซเร็คและคุดลาตกใจอย่างมาก พวกเขามองไปยังโรดส์อย่างเหลือเชื่อ ราวกับสิ่งที่พวกเขาได้ยินนั้นผิด


 


โอ้ ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์….มาที่นี่ว่าอันตรายมากแล้ว ทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ต้องเลือกที่จะเดินหน้าต่อแทนกัน…? ทำไมกัน…?



90 – เดินหน้าเพื่อถอย


 


หลังจากสังเกตเห็นความสงสัยในใบหน้าของแต่ละคน โรดส์รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว


 


“พวกเราไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะกลับทางเดิม”


 


“อันเดดแต่ละตัวนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่พวกมันไม่เก่งมาก เมื่อพวกมันวิ่งมาเป็นฝูง และเนื่องจากกลุ่มของพวกเราใหญ่ขึ้น พวกเราจะต้องเพิ่มระยะการป้องกันและนั่นหมายถึงพวกเราต้องเจอกับศัตรูที่มากขึ้น ถ้าพวกเรายังคงเดินหน้าต่อ แม้ว่าความแข็งแกร่งของอันเดดจะเพิ่มขึ้น แต่อย่างน้อยพวกเราก็ไม่โดยรุมแบบก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น อันเดดระดับสูงมักอยู่ตัวเดี่ยวๆ และไม่รวมตัวกัน ทำให้พวกเรามีโอกาสรอดมากขึ้น”


 


“แต่อันเดดระดับสูงมีพลังในการสั่งการอันเดดระดับต่ำ…”


 


เห็นได้ชัดว่าเซเร็ครู้เกี่ยวกับพวกอันเดดมาบ้าง


 


“ไม่ต้องกังวลไป มันจะไม่เกิดขึ้น”


 


โรดส์ถือดาบและวาดแผนที่บนพื้น อันดับแรก เขาวาดวงกลม จากนั้นตามด้วยเส้น


 


“พวกเราอยู่ที่นี่ โชคดีสถานที่แห่งนี้อยู่ในช่วงรอยต่อ ดังนั้นพวกเราสมควรออกจากที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว ถ้าพวกเราเร่งคงวามเร็วอีกหน่อย จากนั้นพวกเราจะผ่านตรงนี้….”


 


โรดส์ชี้ไปยังเส้นที่มใกล้รอยต่อและพูดต่อ


 


“จากนั้นพวกเราจะมาถึงพื้นที่อีกส่วนหนึ่งของสันเขา มีหุบเขาอยู่ที่นี่ ตราบเท่าที่พวกเราผ่านหุบเขานี้ไปได้ พวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้”


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”


 


คุดลาอดสงสัยไม่ได้ เขามองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา สิ่งที่บอกมานั้นมันไม่มีเหตุผลเลย


 


“เพราะว่าผมเคยมาที่นี่แล้ว”


 


เหมือนกับปกติ โรดส์ไม่ได้บอกรายละเอียดและตอบกลับคุดลาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


 


“มีอันเดด 2 ประเภทที่หุบเขาแห่งนี้ ตัวแรกคือโครงกระดูกยักษ์…ผมเดาว่าพวกคุณส่วนใหญ่คงถึงภาพมันออกตามชื่อนะ มันมีโครงกระดูกเพลิงขนาดใหญ่ที่มีพละกำลังทหาศาล ซึ่งความแข็งแกร่งของมันทำให้ขาดความคล่องตัว”


 


“มันมีความสามารถพิเศษในการทำลายตัวเองในวินาทีสำคัญ แม้ว่าการต่อส้จะดูเหมือนจบแล้ว อย่าคิดว่าคุณชนะแล้ว ชิ้นส่วนกระดูกยังสามารถโจมตีได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้เชื่อมต่อกับร่างต้น แต่มันก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน มีดวงวิญญาณไฟซ่อนอยู่ในกระโหลกของมัน ดังนั้นตราบเท่าที่พวกเราสามารถบดขยี้กระโหลกของมันได้ พวกเราจะสามารถเอาชนะมอนสเตอร์ตัวนี้ได้ โครงกระดูกยักษ์ไม่ได้มีความฉลาดมากนัก ถ้าพวกเราประสานงานกันและหลบการโจมตีของมันได้ พวกเราจะสามารถเอาชนะมันได้”


 


โรดส์อธิบายถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของโครงกระดูกยักษ์อย่างชัดเจน เซเร็คและคุดลาพยักหน้าอย่างเข้าใจเรื่องวิธีในการจัดการมัน


 


“ต่อมา ใกล้กับทางออกหุบเขาเป็นอาณาเขตของอัศวินแห่งความตาย”


 


โรดส์ใช้ดาบของเขาวาดวงกลมอีกวง


 


“อัศวินแห่งความตายนั้นทรงพลังมาก คุณลองจินตนาการว่าความแข็งแกร่งของมันใกล้เคียงกับคุณเซเร็คและอย่างที่คุณเซเร็คพูดก่อนหน้านี้ มันเป็นอันเดดระดับสูงซึ่งมีความสามารถในการควบคุมอันเดดระดับต่ำ ลูกสมุนที่มันสั่งการได้นั้นคือพวกโครงกระดูกยักษ์”


 


มือของโรดส์หยุดลง


 


“ซึ่งเป็นเหตุผลว่าพวกเราต้องจัดการโครงกระดูกยักษ์ทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ว่าโครงกระดูกยักษ์จะไม่สามารถส่งโทรจิตเตือนอัศวินแห่งความตายได้ ถ้ามันถูกโจมตีหรือการต่อสู้ดังเกินไป อัศวินแห่งความตายจะสัมผัสได้ถึงพวกเรา….จากนั้นใครก็คงเข้าใจนะว่านี่แหละปัญหา”


 


คุดลาประหลาดใจเล็กน้อยและอดเห็นด้วยกับกลยุทธ์ของโรดส์ไม่ได้ ตอนแรกเขาคิดว่าโรดส์จะเด็กเกินไปที่จะเป็นผู้บัญชาการ แต่ตอนนี้หลังจากที่ได้ยินรายละเอียดในการจัดการกับมอนสเตอร์และวิธีการเอาชนะพวกมัน ความสงสัยทั้งหมดของเขาหายไปในทันที


 


โรดส์เผยคำแนะนำที่ทั้งกลุ่มไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้อแรก เขาอธิบายการโจมตีของศัตรูและสอนวิธีรับมือกับการโจมตีเหล่านี้ เขาบอกถึงรายละเอียดของสกิลที่พวกเขาต้องใช้ ซึ่งเป็นทักษะที่น่าชื่นชมและเป็นสิ่งที่มีสาระอย่างมาก


 


ณ สถานที่แห่งนี้ เขารู้ได้ทันทีว่าเขาไม่มีความรู้เท่ากับโรดส์เพราะเขารู้ว่าไม่มีหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างคนใดใช้วิธีการแบบนี้ ส่วนใหญ่หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างทั่วไปจะมอบตำสั่งให้โจมตี ป้องกันหรือถอย และคุดลาเชื่อว่านั่นเป็นวิธีในการสั่งการกลุ่มทหารรับจ้าง เขารู้ว่าจุดที่ยากที่สุดในการสั่งการคือความเร็วปฏิกิริยาของหัวหน้ากลุ่มและความเข้าใจคำสั่งของลูกน้อง อย่างไรก็ตาม โรดส์ได้เปิดโลกใหม่ให้กับเขา


 


คุดลาตกใจอย่างมาก มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการออกมาได้


 


ทหารรับจ้างแต่ละคนมีระดับสกิลแตกต่างกัน และสไตล์การต่อสู้ยังไม่เหมือนกัน ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้สั่งการจะบอกให้พวกเขาทำทีละขั้นตอน


 


ไม่ต้องสงสัยเลยถ้าคุดลาเป็นผู้เล่น เขาคงเป็นจอมปลวกที่อยู่ในรัง สำหรับโรดส์ที่พูดออกมาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าที่จะต่อสู้กับบอส ผู้เล่นทุกคนจะต้องเตรียมพร้อม


 


“เอาล่ะ เข้าใจแล้วนะ”


 


โรดส์ปรบมือ


 


ย้อนกลับไปในเกม หลังจากที่เขาสั่งการ โรดส์มักจะพูดบางอย่างเพิ่มเติม เช่น “ถ้าพวกคุณไม่สนใจ ผมจะเตะคุณออกไป” แต่เนื่องจากตอนนี้เขาไม่ได้เล่นเกม ถ้ามีบางสิ่งผิดพลาด มันไม่สามารถย้อนกลับมาได้


 


โรดส์ไม่สนใจที่จะโต้เถียงกับพวกคนตาย


 


หลังจากจบการพูดคุยกับเซเร็คและคุดลา โรดส์เข้าไปรวมตัวกับทุกคน และอธิบายอันตรายที่พวกเขาจะเจอ รวมถึงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน ในครั้งนี้ รูปแบบกลุ่มจะแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย โรดส์ ซีเลียและเซเร็คจะเป็นหน่วยโจมตีหลัก ในขณะที่แอนจะรับหน้าที่ป้องกันเหล่านักบวช สำหรับเหล่าทหารรับจ้าง พวกเขาไม่ได้รับหน้าที่หนักมาก เนื่องจากโรดส์ไม่คุ้นชินกับพวกเขา กลับกันเขาเตรียมให้คนพวกนั้นร่วมมือกันป้องกันจากด้านหลังร่วมกับคุดลา เนื่องจากเขาได้บอกวิธีการจัดการกับโครงกระดูกยักษ์ไปแล้ว โรดส์มองเห็นว่าคุดลาเป็นคนฉลาด ดังนั้นจึงไม่น่ามีปัญหา


 


อย่างไรก็ตาม มีสองจุดใหญ่ๆที่เปลี่ยนไปในครั้งนี้


 


“แล้วฉันล่ะ? ฉันไม่ต้องไปโจมตีหรอ?”


 


มาร์ลียขมวดคิ้ว


 


“เวทย์วงกว้างของคุณจะส่งผลเป็นวงกว้าง มันรบกวนคนอื่นๆ เป้าหมายของพวกเราคือการจบการต่อสู้โดยใช้เวลาน้อยที่สุด และไม่ดึงความสนใจมาที่พวกเรามากเกินไป”


 


“ฉันก็เห็นด้วย….”


 


เมื่อได้ยินคำอธิบายของโรดส์ มาร์ลียพยักหน้า จากนั้นเธอเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่ให้ฉันร่ายเวทย์ใบ้ล่ะ? ถ้าทำแบบนั้น ฉันสามารถป้องกันไม่ให้ศัตรูได้ยินเสียงได้นะ”


 


โรดส์ประหลาดใจอย่างมาก


 


“คุณสามารถร่ายเวทย์ใบ้ได้เหรอ?”


 


“แน่นอน!”


 


มาร์ลีนพยักหน้ารัวๆราวกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก


 


“แต่คุณเป็นจอมเวทย์ธาตุไม่ใช่รึ?”


 


“ฉันชำนาญเวทมนตร์ธาตุ แต่ฉันก็ใช้เวทย์ลวงตากับเวทย์พื้นฐานได้นะ”


 


“…..”


 


โรดส์มองไปยังมาร์ลีนที่เงยหน้าขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ ในที่สุดโรดส์ก็เข้าใจเหตุผลที่ผู้คนเรียกเธอว่าจอมเวทย์อัจฉริยะในรอบร้อยปี….ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเลยมีผู้เล่นมากมายบ่นเรื่องที่ไม่สามารถเอาชนะเธอได้ อาจะเรียกได้ว่าเด็กสาวคนนี้เป็นหนึ่งในร่างก็อปปี้ของบอสเลยก็ว่าได้


 


“ไอ้หนู ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยากให้ข้า….”


 


วอร์คเกอร์จับคางของเขาและเผยแววตาซับซ้อน หน้าที่ของเขาก่อนหน้านี้คือการมองหาและแกะรอยศัตรูจากระยะไกล เรียกได้ว่าเขาไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้เลย อย่างไรก็ตาม โรดส์ตัดสินใจว่าต้องใช้งานเขาในครั้งนี้


 


“เจ้าอยากให้ข้าไปล่อความสนใจของมอนสเตอร์ พวกมันประสาทสัมผัสไวไหม?”


 


“ไวสิ”


 


โรดส์พยักหน้า


 


“แต่ไม่ต้องกังวลไป ผมจะบอกสิ่งที่คุณต้องทำ”


 


สำหรับแอนและไลซ์ หน้าที่ของพวกเธอไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาไม่แม้แต้บอกไลซ์ถึงสิ่งที่ต้องทำ เพียงขอให้เธอควบคุมจักหวะการโจมตี ไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบที่กำลังจะมาถึง แต่มันยังเป็นโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์มากขึ้น ไลซ์ยังคงทำหน้าที่โจมตีได้อย่างคงเส้นคงวา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเธอมากนัก


 


โรดส์ไม่ได้พูดอะไรกับแอนมากเช่นกัน แต่เขาเข้าใจเหตุผลที่รองหัวหน้ามาร์คไวท์อยากหาโอกาสไล่เธอออก วิธีที่เธอแสดงความคิดเห็นออกมานั้นตรงเกินไป ทหารรับจ้างส่วนใหญ่กำลังมองมาที่เธอตอนนี้ ทิ้งไว้เพียงโจรลูกครึ่งเอลฟ์ที่เคยคิดจะฆ่าเธอ ถ้ามีโอกาส


 


จนถึงตอนนี้ ภายใต้บรรยากาศที่ดึงเครียด แอนยังคงฮัมเพลงออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าจะเป็นเรื่องไม่ตั้งใจ แต่ต้องบอกว่า….เธอเหมาะสมกับตำแหน่งแทงค์อย่างมาก วิธีที่เธอแสดงออกมานั้นดุดันและแข็งกร้าวมาก


 


หลังจากออกมาจากโขดหิน ลมเย็นๆพักเข้ามา ทำให้ทุกคนหนาวสั่น


 


“ไปกันเถอะ”


 


โรดส์พูดเสียงเรียบ ขณะที่เขาเดินออกจากถ้ำตามมาด้วยคนอื่นๆ


 


บางทีทเทพธิดาแห่งโชคก็เข้าข้างพวกเขา พวกเขาเดินผ่านป่าโดยไม่พบกับเหตุการณ์ใดๆ  และเมื่อพวกเขาออกจากป่า ทุกคนรู้สึกโล่งอก แต่ก่อนที่พวกเขาจะผ่อนคลาย พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคใหม่


 


ตูม! ตูม! ไลซ์ร่ายแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมมาทันที ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ขอบหน้าผา เมื่อมองไปที่เงาด้านล่างที่กำลังเดินไปมาในหุบเขา ทุกคนรับรู้ได้ทันทีเมื่อพวกเขาเห็นมอนสเตอร์


 


โครงกระดูกยักษ์


 


เหมือนกับชื่อของมัน พวกมันเป็นโครงกระดูกไม่มีเนื้อ พวกมันสูงประมาณ 3 เมตรและโครงกระดูกของพวกมันไม่ได้ดูอ่อนแอแต่อย่างใด แต่พวกมันทั้งหมดเดินวนไปมารอบๆหุบเขาอย่างไร้ซึ่งความคิด หัวขนาดใหญ่ของมันหมุนไปรอบๆตลอดเวลา  ด้านในนั้นเผยให้เห็นดวงไฟที่มอบชีวิตให้กับมัน มันสว่างราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็ก เปล่งแสงสีเขียวสว่างไปรอบหุบเขา


 


เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง พวกเขาจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่?


 


ไม่มีใครมั่นใจ


 


“โอเค ฟังผมดีๆนะ”


 


โรดส์สูดลมหายใจเข้าและพูดเสียงต่ำ เขาหันไปรอบๆและส่งสัญญาณให้ชายชราวอร์คเกอร์


 


วอร์คเกอร์ก้มลงอย่างรวดเร็วและเดินไปข้างหน้า เงาทั้งสองก้าวตรงไปยังโขดหินใกล้ๆหุบเขา


 


“ยิงธนูไปที่นั่น จำไว้นะ ห้ามยิงโดน ยิงแค่เฉียดๆ ประมาณ 5 เมตรพอ”


 


“ได้”


 


ชายชราวอร์คเกอร์พยักหน้า จากนั้นเขาดึงคันธนูออกมาและเล็งไปที่เป้าหมาย ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายไป ขณะที่เขากำลังเล็ง


 


เมื่อโครงกระดูกยักษ์มองกลับไปและเดินไปอีกฟากหนึ่งของหุบเขา โรดส์ตะโกน


 


“ตอนนี้แหละ!!”



91 – โครงกระดูกยักษ์


 


วืดดดด!!


 


ลูกธนูพุ่งตัดอากาศและปักลงที่กองหินที่อยู่ไม่ไกลจากโครงกระดูกยักษ์ตัวหนึ่ง เสียงนั้นทำให้โครงกระดูกยักษ์หันกลับมาหาต้นเสียง เปลวไฟในดวงตาของมันทอประกายน่าสะพรึงกลัวและจ้องมายังกองหิน


 


วิญญาณศักดิ์สิทธิ์!!….ทำไมปฏิกิริยาของมันไวแบบนี้!


 


ชายชราวอร์คเกอร์กลืนน้ำลายในทันที เขาคิดว่าเขาเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของโครงกระดูกยักษ์เร็วกว่าที่เขาคิด


 


โครงกระดูกบ้านี่มันเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร? นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!


 


จากนั้นเขาได้แต่ถอนหายใจลึกๆ เสียงต่ำๆของโรดส์ดังขึ้นข้างเขา


 


“ถอย”


 


ทั้งคู่ถอยกลับไปอย่างช้าๆ จากนั้นตามคำสั่งของโรดส์ วอร์คเกอร์ยิงลูกธนูอีกดอกไปที่อีกพื้นที่หนึ่ง


 


โครวกระดูกยักษ์ขยับตัวและเดินไปยังต้นเสียง


 


ไม่ไกล ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของมันจะเชื่องช้าเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่านี่เป็นเพราะขนาดตัวของมันที่ใหญ่มาก เพียงไม่กี่ก้าวของโครงกระดูกยักษ์ มันเดินเข้ามาใกล้กับกลุ่ม มันอ้าปากและเผยให้เห็นความมืดภายในร่างของมัน จากนั้นมันเอนตัวและตรวจสอบรอบๆด้วยแววตาที่ลุกเป็นไฟ


 


โรดส์ยกนิ้วขึ้น


 


นั่นเป็นสัญญาณ


 


มาร์ลีนยกไม้คทาขึ้น ลำแสงสีเทาพุ่งเป็นเส้นตรงไปยังร่างของโครงกระดูกยักษ์ ในเวลาไม่ถึงวินาที แสงสีเขาก่อตัวเป็นบาเรียครึ่งวงกลมซึ่งปกคลุมร่างของโครงกระดูกยักษ์เอาไว้ราวกับนกที่ติดอยู่ในกรง บาเรียนั้นเปล่งแสง ก่อนที่จะหายไปในอากาศ อย่างไรก็ตาม เส้นบางๆยังคงเชื่อมต่อระหว่างไม้คทาของมาร์ลีนและโครงกระดูกยักษ์อยู่ ในพริบตา ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบอย่างฉันพลัน


 


“พวกเรามีเวลา 30 วินาที!”


 


มาร์ลีนจับไม้คทาของเธอแน่น ขณะกำลังประคองเวทมนตร์ จากนั้นเธอเตือนทั้งกลุ่มทันทีถึงขีดจำกัดของเวทย์ใบ้  สำหรับมอนสเตอร์ขนาดใหญ่แบบนี้ 30 วินาทีคือขีดจำกัดของเธอ


 


แต่ 30 วินาทีก็เพียงพอสำหรับโรดส์ ซีเลียและเซเร็คในการเข้าถึงตัวของโครงกระดูกยักษ์แล้ว


 


“—-!!!”


 


ประสาทสัมผัสของโครงกระดูกยักษ์สัมผัสได้ถึงศัตรูในทันที และมันเงยหน้าขึ้น เมื่อมันรับรู้ได้ถึงออร่าศักดิ์สิทธิ์ของทูตสวรรค์ มันโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที  ในพริบตา มันยกกระบองกระดูกขนาดใหญ่ขึ้นและคำรามออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว


 


เมื่อยกสิ่งที่คล้ายค้อนขึ้นมา โครงกระดูกยักษ์เหวี่ยงกระบองไปที่ร่างนั้น ทำลายกองหินแถวหน้าผาพังทลายไปทั้งหมด ก้อนหินบางก่อนกลิ้งร่วงลงมาและกรพแทกพื้นอย่างรุนแรง แต่กลับไม่เกิดเสียงอะไรแม้แต่น้อย มันเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด….ราวกับกำลังดูละครใบ้


 


ซีเลียเหวี่ยงดาบของเธอไปยังกระบองของโครงกระดูกยักษ์ แม้ว่าจะไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้น แต่ประกายไฟยังเผยให้เห็นความรุนแรงในการต่อสู้ ในตอนแรกด้วยความแข็งแกร่งของโครงกระดูกยักษ์ทำให้ร่างของทูตสวรรค์เซไปบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเธอกางปีกของเธอออกและปลดลอยสายลมกรรโชกซึ่งผลักตัวเธอไปด้านหน้า ทำให้ศัตรูถึงกับชะงัก เห็นได้ชัดว่าโครงกระดูกยักษ์ไม่ได้ยอมแพ้ ขณะเดียวกันนั้นมันก้าวออกมาด้านหน้าและยกกระบองขึ้นฟาดอีกครั้ง มันอยากจะทุบแมลงเล็กๆตัวนี้ให้แหลกละเอียดเร็วที่สุดเท่าที่มันจะทำได้


 


แต่มันไม่สามารถทำได้


 


ดาบเล่มหนึ่งฟันลงไปที่แขนของโครงกระดูกยักษ์ ทำให้มันต้องหยุดโจมตีและให้ซีเลียได้พักหายใจ แม้ว่าเกือบลมแรงจะทำให้เธอหน้าคว่ำ อย่างน้อยเธอก็สามารถหลบออกจากกระปะทะครั้งนี้ได้ จากนั้นโครงกระดูกยักษ์หันไปสนใจโรดส์ซึ่งปรากฎอยู่ใต้เท้าของมัน


 


“—-!!!!”


 


การยั่วยุนี้ทำให้โครงกระดูกยักษ์โกรธมากยิ่งขึ้น สำหรับลูกน้องของอัศวินแห่งความตาย มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ฉลาดนัก เป้าหมายการมีชีวิตอยู่ของมันคือการทำลายชีวิต ซึ่งทำให้มันรู้สึกดีเล็กน้อยหลังจากที่ได้ฆ่า อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านมาเป็นเวลานาน ไม่มีสิ่งใดปรากฎตัวขึ้น นี่ทำให้โครงกระดูกตัวนี้โกรธและมีความเกลียดชังมากยิ่งขึ้น มันจะหยุดก็ต่อเมื่อมันหรือศัตรูของมันตายแล้วเท่านั้น


 


โครงกระดูกยักษ์ยกกระบองขึ้นอีกครั้ง เตรียมที่จะเปลี่ยนโรดส์ให้กลายเป็นเศษเนื้อ เมื่อสัมผัสได้ถึงการโจมตีที่กำลังเข้ามา โรดส์ถอยไปหลายก้าวเพื่อหลบ


 


ในขณะเดียวกัน เสาแสงศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากท้องฟ้าและห่อหุ้มร่างของโครงกระดูกยักษ์


 


ไลซ์ยกมือทั้งสองขึ้น เธอกัดริมฝีปากด้วยความกังวล ขณะที่ตั้งสมาธิกับเวทมนตร์ของเธอถัดจากเธอเป็นนักบวชคนอื่นๆที่กำลังร่ายเวทย์ลำแสงศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำให้โครงกระดูกยักษ์อ่อนแอลง


 


มาร์ลีนที่กำลังอยู่ในจุดเดิม เธอจับไม่คทาแน่นอย่างไม่พอใจ เพราะเธอไม่สามารถช่วยกลุ่มของเธอได้เลย ตามแผน เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เวทย์ธาตุที่ทรงพลังใดๆ เนื่องจากมันอาจดึงดูดเหล่าอันเดดตัวอื่นๆเข้ามา มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเจ็บใจ


 


“20 วินาที!”


 


กระบองของโครงกระดูกยักษ์ฟาดลงอีกพื้นอีกครั้ง ระเบิดเศษหินออกเป็นวงกว้าง เศษหินบางส่วนกระแทกไปยังร่างของโรดส์


 


โรดส์สามารถหลบมันได้ แต่เขาก็ไม่สามารถกลับเข้าไปโจมตีได้เช่นกัน พลังงานถูกควบแน่นไปที่ดาบจากรอบตัวเขา เมื่อเขาเริ่มใช้พลังวิญญาณ หลังจากนั้นโรดส์ก้าวออกไปครึ่งก้าวและยกมือขวาขึ้น ก่อนที่จะฟันลงอย่างช้าๆ


 


ดูจากภายนอกการโจมตีนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่เมื่อดาบชี้ไปข้างหน้า ปลายดาบเกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาทันที เมื่อดาบของเขาสัมผัสกับพื้น แสงสว่างมหาศาลก่อตัวขึ้นที่ปลายดาบและระเบิดออก พื้นราบเรียบถูกแบ่งออกเป็นสองฟากด้วยดาบขนาดยักษ์ ทุกๆคนตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นแสงสว่างปรากฎขึ้นรอบๆ


 


นี่เป็นสกิลกระบวนท่าดาบใหม่ ‘ดาวตก’ — หลักฐานแห่งความโกรธเกรี้ยว


 


เมื่อเทียบท่าดาบเงาจันทร์กับท่าดาบระบำแห่งความมืดซึ่งต้องใช้ค่า Int และ Agi  ท่าดาบดาวตกเป็นกระบวนท่าดาบที่มีพื้นฐานมาจากความแข็งแกร่ง ดาวตกไม่ได้ยิ่งใหญ่ตระการตาหรือเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับกันพลังที่แท้จริงของมันคือพลังทำลาย แม้ว่าโครงกระดูกยักษ์จะแข็งแกร่งมากจนไม่สามารถหัวเราะเยอะได้ แต่โรดส์กลับมั่นใจว่าสกิลของมันสามารถจัดการมันได้


 


โครงกระดูกยักษ์ที่อยู่ใจกลางการต่อสู้ไม่สามารถป้องกันการโจมตีเข้ามาถึงได้ ร่างขนาดใหญ่ของมันเสียสมดุลและล้มลงไปด้านหลังทันที แต่ก่อนที่มันจะลุกขึ้นมา แสงสว่างอีกครั้งหนึ่งเล็กตรงไปที่ลำตัวของมันที่ปราศจากการป้องกัน


 


ตั้งแต่เวทย์ใบ้กลืนกินเสียงทั้งหมด ในขณะนี้ที่ร่างของโครงกระดูกยักษ์ยังไร้ซึ่งบาดแผล หลังจากรับการโจมตีเข้าไป โครงกระดูกของมันเริ่มแตกร้าว กระดูกส่วนอื่นๆเรื่มสั่นและพร้อมแตกได้เตลอดเวลา เป็นสัญญาณเผยให้เห็นว่าชัยชนะเกือบจะเป็นของพวกเขา แต่โรดส์รู้ดีว่านี่เป็นสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด


 


“10 วินาที!”


 


“เซเร็ค”


 


เซเร็คที่กำลังซ่อนตัวอยู่เผยตัวออกมา หลังจากที่เตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ทั้งร่างของเขาเรืองแสงและพุ่งตรงไปด้านหน้า ดาบในมือของเขาระเบิดเป็นประกายแสงวงกลมโจมตีไปยังโครงกระดูกยักษ์ ทั้งซีเลียและโรดส์ตามมาและโจมตี โดยการส่งคลื่นพลังดาบ 2 เส้นตรงไปยังโครงกระดูกยักษ์


 


เมื่อมันสัมผัสได้ถึงออร่าของนักดาบ โครงกระดูกยักษ์ตอบสนองในทันที มันยืดแขนซ้ายออกมาโดยสัญชาตญาณและพยายามป้องกันการโจมตี แต่ต้องล้มเหลวไป


 


การโจมตีเต็มกำลังของปรมาจารย์ดาบระดับ 40 ไม่ใช่การโจมตีทั่วไปที่จะสามารถป้องกันได้โดยอันเดดระดับกลางๆ ความจริงแล้วดาบของเซเร็คไม่แม้แต่จะสัมผัสกับมือของโครงกระดูกยักษ์ มันทะลุผ่านไป ในชั่วอึดใจ ดาบของเซเร็คแทงทะลุปากของมัน


 


ในพริบตาเดียว กระโหลกของโครงกระดูกแหลกเป็นชิ้นๆ ขากรรไกรล่างและคางของมันหายไป ทิ้งไว้เพียงเศษกระโหลกที่เหลือที่เต็มไปด้วยรอยแตก ดวงไฟส่องประกายวิบวับราวกับกำลังทำบางอย่าง แต่ในขณะนั้น คลื่นดาบเสี้ยวจันทร์พุ่งเข้าหามันในทันทีและดับเปลวเพลิงอย่างสมบูรณ์


 


เมื่อสูญเสียแหล่งพลังชีวิต ร่างใหญ่ของมันล้มลงกับพื้นซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เวทย์ใบ้ของมาร์ลีนถึงขีดจำกัด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม