Summoning the Holy Sword 54-72

 54 – เข้าร่วมการต่อสู้


 


“ฮ่า!”


 


เธอโจมตีเหล่าอันเดดด้วยดาบของเธออีกครั้ง ชอว์น่าก้าวถอยหลังและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แผลที่ไหล่ของเธอทำให้เธอเริ่มมึนงง แม้แต่แขนของเธอก็เริ่มไม่มีความรู้สึก อย่างไรก็ตาม อันเดดรอบตัวพวกเขายังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เธอรู้สึกหมดกำลังใจ


 


ฉันจะมาตายที่นี่งั้นรึ?


 


เธอกัดริมฝีปากทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด แต่กลับไม่สามารถทำให้แรงกดดันและความสิ้นหวังในใจเธอลดลงไปได้ เธอคิดว่าเธอเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจนี้ดีแล้ว แต่เมื่อเธอพากลุ่มของเธอเข้ามาที่นี่ เธอพบว่าเธอยังไร้เดียงสาเกินไป


 


สำหรับภารกิจระดับ 4 ดาว สุสานพาเวลเป็นอะไรที่เหมือนง่าย แต่ยาก ราวกับหยดน้ำลงไปในมหาสมุทร มันเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่พวกเขาจะตายลง เธอนำคนของเธอจะโจมตีเหล่าอันเดดฝูงแล้วฝูงเล่า พวกเขาสูญเสียมากเกินไป จนถึงตอนนี้ กลุ่มของเธอเสียคนไป 5-6 คนและที่เหลือส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?


 


เธอไม่มีความคิดจะถอย แต่สุดท้าย เธอต้องเลือกที่จะแบกรับความสูญเสียไว้บนบ่าของเธอ ตอนนี้ เธอถอยไม่ได้แล้ว มีเพียงทางเดียวคือต้านเอาไว้และฆ่าเนโครแมนเซอร์ซะ


 


อย่างไรก็ตาม ชอว์น่ารู้ดีว่ามันเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าพวกเขายังไม่สามารถต่อสู้กับอันเดดเหล่านี้ได้ พวกเขาจะไปจัดการกับเนโครแมนเซอร์ได้อย่างไร?


 


ชอว์น่าไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนั้น แม้ว่าคนของเธอก็หมดหวังที่จะเอาชนะอันเดดเหล่านี้ สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขายังสู้ต่อคือความหวังในการรอดชีวิต


 


แต่เวลาของพวกเขามีจำกัดเหลือเกิน


 


“ไม่นะ!!”


 


กลิ่นเหม็นเข้ามาในจมูกของเธอ เธอไม่รู้สึกถึงแขนของเขา ทำให้ดาบของเธอหลุดจากมือออกไป เปลวเพลิงบนพื้นกระจายไปทั่ว ด้วยสภาวะที่เธอหมดแรง อันเดดตัวหนึ่งถือโอกาสนี้พุ่งเข้าหาเธอ


 


สมองของเธอว่างไปหมด


 


ในขณะนั้น หัวใจของชอว์น่าดิ่งลงเหว สำหรับทหารที่มีประสบการณ์โชกโชน เธอรู้แน่นอนว่าผลลัพธ์ของการหมดแรงท่ามกลางสนามรบเป็นอย่างไร ตอนนี้เธอต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่มาจากความประมาท – ความตาย


 


โชคดีที่ยมทูตมารับตัวเธอไว้พอดี


 


ในขณะที่ชอว์น่าหลับตา ประกายแสงสีขาวส่องสว่างขึ้นกลางอากาศ มันฟาดไปที่อันเดดตัวนั้นร่วงลงไปที่พื้นราวกับถูกค้อนยักษ์ทุบ


 


จากนั้นตามมาด้วยแสงสว่างเจิดจ้าและแผ่นดินสั่นสะเทือนและระเบิดออกมาอย่างรุนแรง


 


“ตูม!!”


 


ในชั่วพริบตาอันเดดถูกกำจัดโดยทหารรับจ้างสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน เหล่าทหารรับจ้างถึงกับตกตะลึง เมื่อพวกเขามองเห็นคนไม่กี่คนยืนอยู่ที่โมงค์ฝั่งตรงข้าม


 


“พี่ชอว์น่า พี่เป็นอะไรไหม?!”


 


เมื่อรู้ว่าอันตรายถูกกำจัดไปแล้ว ไลซ์รีบตรงไปหาหญิงสาวผมแดงที่ได้รับบาดเจ็บ มาร์ลีนร่ายเวทย์เสร็จ เธอสะบัดผมยาวๆไปทางด้านหลัง จกนั้นเธอยิ้มให้โรดส์อย่างมั่นใจราวกับกำลังจะบอกว่าให้เขาชมเธอ


 


เป็นยังไงล่ะ? ดูสิ? ฉันทำได้ยอดเยี่ยมใช่ไหมล่ะ?


 


เมื่อเห็นสัญลักษณ์ของมาร์ลีน เขาถึงกับพูดไม่ออก…อย่างที่คิดสิ่งที่ ‘นักเรียนผู้สูงศักดิ์’ สนใจมี 5 ความเครียด 4 ความงาม 3 ความรัก เมี่อเขาออกคำสั่ง เขาไม่ได้คิดว่าไลซ์จะรู้จักกับคนเหล่านี้ ตอนนี้ เขารู้สึกว่าโชคดีที่มาร์ลีนมีความคิดเป็น ‘นักเรียนผู้สูงศักดิ์’  ไม่ใช่ ‘ผู้เล่น’ หรืออย่างอื่น….


 


“นั่น เรดฮอว์ค….”


 


เมื่อมองเห็นนักดาบผมแดง วอร์คเกอร์พึมพำกับตัวเอง เขาและโรดส์มองหน้ากัน ทั้งคู่มีความคิดเหมือนกัน


 


“ไลซ์?”


 


หลังจากที่รอดพ้นมาจากความตาย ชอว์น่าไม่ได้มีเวลามาดีใจ เธอตกใจมากที่เห็นคนตรงหน้า


 


“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?”


 


“ฉันมาทำภารกิจให้สำเร็จค่ะ”


 


ไลซ์ตอบและก้มลงไปหาชอว์น่า จากนั้นเธอยื่นแขนออกไปและแสงสีขาวจางๆปรากฎออกมา บาดแผลบนร่างของนักดาบสาวได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว แม้แต่พิษจากเหล่าอันเดดก็หายไปด้วย


 


นั่นเป็นความสำคัญของนักบวชในกลุ่ม แม้ว่าเหล่าทหารรับจ้างจะมีบางคนที่เรียนรู้เวทย์รักษา แต่แน่นอนมันไม่อาจเทียบได้กับเวทย์รักษาของนักบวช กลุ่มทหารรับจ้างไม่เคยให้ความสนใจที่จะปกป้องนักบวชในกลุ่ม ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนนักบวชที่สนใจจะเป็นนักผจญภัยเองก็ลดลงมาก เหตุผลก็คือนักบวชส่วนใหญ่เดินทางไปที่วิหาร มีเพียงนักบวชอย่างไลซ์เท่านั้นที่เลือกจะเป็นนักผจญภัยโดยไม่มีเหตุผล


 


หลังจากที่รักษาบาดแผลของชอว์น่าแล้ว ไลซ์ยืนขึ้นอีกครั้งและเดินไปหาคนอื่น ในการต่อสู้ครั้งนี้ ชอว์น่าและลูกน้องของเธอทั้งหมดได้รับบาดเจ็บ บางคนถึงกับไม่สามารถต่อสู้ได้ ถ้าบาดแผลของพวกเขาไม่ได้รับการรักษาทันเวลา พวกเขาอาจจะกลายเป็นพี่น้องกับสิ่งมีชีวิตที่พวกเขากำลังสู้อยู่ในตอนนี้


 


ชอว์น่าหยุดมองไปยังไลซ์และหันความสนใจไปหาโรดส์และคนอื่นๆ เธอยืนขึ้นและยิ้ม ก่อนจะยื่นมือออกมา


 


“ขอบคุณที่ช่วยนะคะ”


 


“ด้วยความยินดีครับ”


 


เมื่อจับมือของชอว์น่าแล้ว โรดส์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


 


“ดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วนะที่ฉันได้ขอบคุณคุณ”


 


ชอว์น่าวางมือลงและมองโรดส์ด้วยสีหน้าประหลาดใจและสงสัย แม้ว่าเธอจะเคยพบเขาแค่ 2 ครั้ง เธอรู้เพียงว่าเขาช่วยชีวิตไลซ์ เขาก็ต่อสู้กับเซเร็คและผ่านการประเมิน จริงๆแล้วเขาแข็งแกร่งมาก แต่ดูเหมือนว่า…ชายคนนี้จะไม่ง่าย?


 


ชอว์น่ามองไปยังคน 2 คนด้านหลังเขา คนแรกที่เธอมองคือมาร์ลีนซึ่งสวมชุดคลุมเวทมนตร์ นั่นทำให้ชอว์น่าตกใจอย่างมาก จอมเวทย์หายากยิ่งกว่านักบวช แล้วมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร? และ…ที่ยืนถัดจากเธอ นั่นไม่ใช่ตาแก่วอร์คเกอร์ที่ชอบดื่มเหล้าอยู่ในสมาคมรึไง?


 


คนเหล่านี้มาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร?


 


ชอว์น่าอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองไลซ์ จากนั้นเธอหันไปมองโรดส์


 


“ขอโทษนะคะ พวกคุณมา….?”


 


“พวกเรามาที่นี่เพื่อทำภารกิจ”


 


โรดส์ตอบอย่างตรงไปตรงมา


 


“ทางฉันก็เหมือนกัน”


 


“พวกคุณมีกันแค่ 4 คนเหรือ?”


 


“ใช่แล้ว”


 


หากเป็นคนอื่นๆ ชอว์น่าอาจจะคิดว่าโรดส์กำลังล้อเล่น สุสานพาเวลเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย ทหารรับจ้างมากมายต้องมาจบชีวิตที่นี่ ถ้ามี 4 คนที่รอดล่ะใช่ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น โรดส์และคนอื่นๆไม่ได้กำลังตกที่นั่งลำบาก ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขา เหมือนกับว่าพวกเขาไมได้ถูกโจมตีมาเลย


 


สิ่งที่ชายคนนี้พูดมาเป็นความจริงงั้นรึ?


 


ชอว์น่ากระพริบตาอย่างประหลาดใจ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังไม่เชื่อ พวกเขามีแค่ 4 คนแต่ยังเข้ามาในส่วนลึกของสุสานได้โดยไม่มีบาดแผลงั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไร? เด็กหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งจริงๆหรือ?


 


เมื่อนักดาบสาวผมแดงกำลังวุ่นวายอยู่กับการค้นหาความแข็งแกร่งของโรดส์ ไลซ์ซึ่งรักษาคนที่ได้รับบาดเจ็บเสร็จ เธอกลับไปยืนด้านข้างโรดส์และพูดบางอย่างกับมาร์ลีน ทั้งสองคนในกลุ่มเหมือนกำลังกระซิบบางอย่าง แต่ชอว์น่าไม่ได้สนใจพวกเขาอีกต่อไป เพราะในเวลานี้โรดส์พูดทำลายความเงียบ


 


“คุณจะทำอะไรต่อไป?”


 


“ต่อไป?”


 


เมื่อได้ยินคำถามของโรดส์ ชอว์น่าหยุดคิด ในที่สุดเธอก็เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบัน


 


พวกเธอกำลังทำภารกิจ


 


และเด็กหนุ่มคนนี้เองก็กำลังทำภารกิจ


 


นั่นหมายความว่า


 


ชอว์น่ารู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องยุ่งเกิดขึ้นแล้ว


 


โดยทั่วไป เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นบางครั้งระหว่างทำภารกิจ เนื่องจากมีภารกิจมากมายและก่อนหน้าที่พวกมันจะเสร็จสิ้น มีหลายคนรับภารกิจไป ดังนั้นการปะทะกันมักเกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ หากพบเจอกับกลุ่มทหารรับจ้างที่มีความสัมพันธ์อันดีด้วย พวกเขาจะเลือกที่จะถอนตัวหรือร่วมมือกัน ถ้ามีความสัมพันธ์แย่ พวกเขาจะต่อสู้กันโดยตัดสินจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น


 


ตอนนี้ พวกเราควรเลือกอะไรดี?


 


ชอว์น่าล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้อับอีกฝ่าย เนื่องจากอีกฝ่ายช่วยชีวิตพวกเขาไว้ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอเลือกที่จะถอนตัว เธอจะให้คำตอบกับสมาชิกที่ตายไปอย่างไร? เธอพยายามอย่างมากจนมาถึงจุดนี้ ดังนั้นเธอจะหนีได้อย่างไร? แต่…ชอว์น่ารู้ดีว่าเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของกลุ่มของตน ปัจจุบันการเอาชนะเนโครแมนเซอร์เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น


 


“ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันหวังว่าเราจะร่วมมือกันได้นะ”


 


ในที่สุดชอว์น่าก็กัดฟันและตัดสินใจออกมา


 


“พวกเราไม่ต้องการคะแนนหรือรางวัล จริงๆแล้ว พวกเรามาที่นี่เพื่อหาดาบเท่านั้น ตามรายงาน มันอยู่ในมือของเนโครแมนเซอร์ พวกเราจะร่วมมือกับคุณ ถ้าพวกเราได้รับดาบ พวกเราจะไม่รับรางวัลที่เหลือ”


 


ดาบ?


 


โรดส์ประหลาดใจเล็กน้อย


 


เขาจำไม่ได้ว่ามีดาบอยู่ในสุสานนี้ด้วย


 


นี่ฉันลืมเรื่องนี้ไปเหรอ?


 


หรือว่ามีเหตุการณ์อื่นมาเกี่ยวข้อง?


 


โรดส์ขมวดคิ้วและครุ่นคิด แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรต่อ เขาตัดสินใจถามเธอตรงๆ


 


“คุณชอว์น่า ผมจำไม่ได้ว่าสมาคมมอบภารกิจนี้ให้คุณเหรอ?”


 


“พวกเราได้รับภารกิจส่วนตัว”


 


ชอว์น่าส่ายศีรษะและตอบกลับ


 


….ถ้าเป็นอย่างนั้น…..


 


เมื่อได้ยินคำตอบของเธอ ความสงสัยของโรดส์คลี่คลาย  เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปและพยักหน้า


 


“ผมให้สัญญากับคุณได้ แต่ผมมีเงื่อนไข”


 


นักดาบสาวผมแดงมีสีหน้าดีขึ้น แต่ก็ถามออกมาอย่างกังวล


 


“เงื่อนไขของคุณคืออะไร?”


 


“ง่ายมาก”


55 – ต่อสู้ในสุสาน


 


ท่าทางและความมั่นใจของโรดส์ทำให้ชอว์น่าพูดไม่ออก อย่างที่พูดไป เขาชี้ไปที่ตัวเอง ตอนแรกชอว์น่าคิดว่าพวกเขาร่วมมือกัน แต่เมื่อโรดส์ออกคำสั่งกับคนในกลุ่มออกไป ไม่ใช่ว่าเรียกร้องให้พวกเธอทำตามคำสั่งของเขาหรอกหรือ?


 


แม้ว่าทุกคนจะแผยปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป ตอบสนองต่อคำสั่งของโรดส์


 


ตาแก่วอร์คเกอร์วางมือบนหน้าอกและกำลังดูสนุกสนานอยู่กับการวิ่งอยู่รอบๆ ระหว่างการวิ่งที่ยากลำบาก เขาได้เห็นและยอมรับความสามารถในการสั่งการของโรดส์ เขาสามารถบอกได้ว่าความรู้และความยืดหยุ่นในการเตรียมพร้อมของโรดส์นั้นอยู่ในระดับสูง น่าเสียดายข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเขาคือคำพูดที่แหลมคม ถ้าเขาพูดว่าหนึ่ง นั่นหมายความว่าหนึ่ง ถ้าเขาพูดว่าสอง ก็ต้องเป็นสอง เขาไม่ให้โอกาสผู้อื่นปฏิเสธเขา โรดส์ทำให้ชอว์น่าและคนในทีมเห็นแล้วว่าพวกเธออ่อนแอเกินไป และเขาไม่เชื่อใจพวกเธอ มันจะเป็นเรื่องดีกว่าถ้าจะทิ้งทุกอย่างไว้กับเขา


 


แม้ว่าเขาจะพูดปกติ แต่วิธีที่เขาพูดเหมือนกับการเอามือตบไปที่หน้า


 


เมื่อเทียบกับวอร์คเกอร์ที่อยากรู้ว่าสถานการณ์ต่อมาจะคลี่คลายอย่างไร มาร์ลีนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ชอว์น่าต้องตัดสินใจเข้าร่วมกับโรดส์ เธอไม่เข้าใจว่าทหารรับจ้างทำงานกันยังไง แต่เธอรู้ว่ามีกลุ่มของเธอเพียง 4 คนที่เข้ามาด้านในได้โดยที่แทบไม่เสียเหงื่อ ซึ่งไม่ใช่ชอว์น่าและคนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนคนมากกว่า แต่พวกเขากำลังจะตาย ดังนั้น การทำตามคำสั่งของโรดส์เป็นสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดไม่ใช่รึ?  เพื่อผลประโยชน์…? เอ๊ะ…จอมเวทย์ไม่เคยคิดว่าจำนวนเป็นข้อได้เปรียบ


 


ในทางกลับกัน ไลซ์ค่อนข้างอึดอัด เธอเป็นคนเดียวในทีมที่รู้จักชอว์น่าเป็นอย่างดีและตอนนี้ เพื่อนของเธอกำลังจะกลายมาเป็นลูกน้อง ยิ่งไปกว่านั้นความตรงไปตรงมาของโรดส์ไม่สนใจศักดิ์ศรีที่อยู่บนใบหน้าของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้ไลซ์ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้โง่และในเวลานี้ เธอเข้าใจดีว่าอยู่เงียบๆต่อไปจะดีกว่า


 


ในฐานะหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์ ชอว์น่ารู้ดีว่าเธอจะต้องตอบอย่างรวดเร็ว และเธอมองไปยังโรดส์ อย่างไรก็ตามเธอยังลังเล


 


ความจริงนั้นเรียบง่าย เธอไม่อยากรับเงื่อนไขของเขา! เนื่องจากทั้งสองคนมาจากสองกลุ่มที่แตกต่างกัน และคนของเธออาจถูกใช้เป็นโล่มนุษย์ แต่เมื่อเห็นถึงทัศนคติที่มุ่งมั่นของโรดส์ เห็นได้ชัดว่าไม่มีการประนีประนอม หากเธอไม่เห็นด้วย เส้นทางต่อไปที่เธอจะเดินคือความตาย


 


เมื่อชอว์น่าจมอยู่กับความคิด มีเสียงจากด้านหลังดังขึ้น


 


“หึ ทำไมพวกเราต้องไปฟังคำสั่งของเจ้านี่ด้วย! พี่ใหญ่ ไม่ต้องไปฟังมัน! พวกเรามีคนเยอะกว่า ทางนู้นสิต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเรา!”


 


ทหารรับจ้างหนุ่มสวมชุดเกราะหนัง เหน็บดาบสองมือไว้ด้านหลัง เขามองไปยังโรดส์อย่างไม่สนใจ


 


“บาร์นนี่ หุบปากไปซะ”


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่ทหารรับจ้างหนุ่มพูดมา ชอว์น่าเริ่มปวดหัว เธอโบกมือและบอกให้เขาหยุด แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มชื่อบาร์นนี่ไม่ได้สนใจฟังคำพูดของเธอเลย


 


“แต่พี่ใหญ่ ชายคนนี้เขา…มากเกินไป..เขาเพิ่งจะบอกว่าให้พวกเราไปเป็นโล่ให้พวกมันเข้าไปคว้ารางวัลมา! คนน่ารังเกียจแบบนี้ พวกเรา….”


 


“คนน่ารังเกียจ?”


 


โรดส์ไม่ได้โกรธ แต่กลับเป็นมาร์ลีนที่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เธอลุกขึ้นยืน


 


“นั่นเป็นวิธีที่ทหารรับจ้างปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณงั้นเหรอ?! ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรา แกได้ตายอยู่ในสุสานไปแล้ว!”


 


 


“ต่อให้ไม่มีพวกเจ้า พวกเราก็อยู่ได้”


 


บาร์นนี่กัดฟันและตอบกลับ มาร์ลันพูดอย่างเย็นชาและไม่สนใจเขาอีกต่อไป ในความคิดของเธอ สำหรับขุนนาง เธอไม่จำเป็นต้องไปเสียน้ำลายอันมีค่าของเธอไปกับทหารรับจ้างหยาบคายแบบเขา


 


ท่าทางเย่อหยิ่งของมาร์ลีนทำให้ทหารรับจ้างหนุ่มโกรธ เขาถุยน้ำลายลงพื้นและกำลังจะพูด อย่างไรก็ตาม กลับเป็นชอว์น่าที่โกรธ


 


“หุบปากไปเลยนะ บาร์นนี่! ถ้าฉันได้ยินคำพูดออกมาจากปากของแก แกออกจากกลุ่มไปเลย”


 


“พี่ใหญ่….”


 


เมื่อเห็นชอว์น่าโกรธ บาร์นนี่ก็รู้สึกผิดอย่างมาก


 


ใครจะไปสนล่ะว่าพวกมันเป็นขุนนางหรือไม่?


 


พวกเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ แต่พวกคนน่ารังเกียจเหล่านี้พยายามใช้เราเป็นโล่มนุษย์งั้นรึ?


 


ถุ้ย!


 


พวกเราทหารรับจ้างก็มีศักดิ์ศรี พวกเราจะยอมให้ใครมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเราได้อย่างไร?


 


บางทีพี่ใหญ่อาจจะกลัวขุนนางพวกนี้ แต่ข้าไม่ใช่!


 


แม้ว่าพวกเขาจะมีเงินและอำนาจ แต่ข้าจะต่อสู้ด้สวยทุกอย่างที่ข้ามีจนกว่าจะตาย!


 


“ข้ายอมรับข้อเสนอ”


 


ในที่สุดชอว์น่าก็ตัดสินใจ ที่สุดแล้วอันเดดเหล่านั้นเป็นงานที่ยากเกินไปสำหรับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังครุ่นคิดถึงวิธีในการเอาชนะเนโครแมนเซอร์บ้านั่นไม่ได้ เนื่องจากเด็กหนุ่มคนนี้มั่นใจอย่างมาก ทางที่ดีปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการ


 


“ผมต้องการให้ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งของผมอย่างไม่มีเงื่อนไข”


 


หลังจากที่ได้ยินคำตัดสินใจของชอว์น่า โรดส์เริ่มพูดอีกครั้ง ขณะที่เขามองไปยังทหารรับจ้างด้านหลังเธอด้วยสีหน้าสงบ


 


“ถ้าคุณเชื่อฟังคำสั่งของผม ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาชีวิตของพวกคุณ ไม่เช่นนั้น…ชีวิตของพวกคุณจะไม่เกี่ยวข้องกับผม”


 


เมื่อเขาพูดจบ โรดส์สังเกตสีหน้าของทหารรับจ้างหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังนักดาบสาวผมแดง


 


“ถ้าใครไม่ยินดีฟังคำสั่งของผม คุณสามารถลุกขึ้นยืนได้ ผมไม่อยากมีปัญหาระหว่างต่อสู้”


 


“ฮึบ!”


 


บาร์นนี่รู้ว่าโรดส์กำลังมองเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงถอนลมหายใจออกมา ในความคิดของเขา ขุนนางคนนี้พยายามคำขู่เพื่อให้พวกเขาแบ่งแยกทีม ดังนั้นเขาจะไม่ออกไปอย่างแน่นอน เมื่อเขาพบหลักฐานว่าขุนนางนั่นวางแผนอะไรไว้ เขาจะหยุดมัน


 


ไม่ว่าเจ้าจะต้องการอะไรจากข้า ข้าจะไม่ให้เจ้าทำสำเร็จ!


 


ชายหนุ่มกำหมัดและสาบานกับตัวเองอย่างลับๆ


 



 


เมื่อรวมกลุ่มกับทีมของชอว์น่า ความเร็วในการจัดการกับอันเดดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในไม่ช้า พวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ชั้นล่างของสุสานใต้ดิน


 


“ตูม! ตูม! ตูม!”


 


เสียงสายฟ้าฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง อันเดดมากมายกระเด็นไปไกลและชิ้นส่วนของมันกระจัดกระจายลงพื้น


 


แท้จริงแล้ว พวกเขาแข็งแกร่งมาก…..


 


ขณะที่เธอเหลือบมองไปยังจอมเวทย์สาว ซึ่งถือคทากวัดแกว่งอย่างง่ายดายและขุนนางหนุ่ม โรดส์ ซึ่งออกคำสั่งอยู่ด้านหน้าอย่างใจเย็น ความสงสัยในตอนแรกของชอว์น่าเริ่มลดลง การหลอมรวมเวทมนตร์ของมาร์ลีนและคำสั่งที่ไหลลื่นของโรดส์เป็นการผสานงานที่สมบูรณ์แบบ  เหล่าอันเดดที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ชอว์น่าและทีมของเธอเกือบเอาชีวิตไม่รอดถูกกำจัดอย่างง่ายดาย


 


ไม่มีข้อสงสัย พวกเขาแข็งแกร่งมาก…..


 


ชอว์น่าอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหมาล่าเนื้อสีดำที่ติดตามอยู่ด้านหลังโรดส์ เธอเคยดูการประเมินของโรดส์ เธอรับรู้ความแข็งแกร่งของโรดส์ในดันเจี้ยนได้ชัดเจนยิ่งกว่าตอนที่เธอเคยเป็นผู้ชม


 


“พวกเรามาถึงแล้ว”


 


แตกต่างไปจากชอว์น่าที่ฟุ้งซ่าน โรดส์ไม่เคยหยุดสนใจศัตรู หลังจากที่จัดการคลื่นอันเดดหลายต่อหลายกลุ่ม เขาตรวจสอบบริเวณรอบๆตลอดจากนั้นเขาเอาแหวนออกมาจากกระเป๋าของเขาและสวมลงบนนิ้ว หินผูกวิญญาณที่เขาได้รับมาจากบ้านผีสิงถูกฝังอยู่ที่หัวแหวน โรดส์ได้ตัดหินออกเป็น 3 ส่วนและใส่มันลงไปในแหวนเงินที่เขาหาซื้อมา โดยใช้ทักษะเล่นแร่แปรธาตุระดับต่ำของเขา


 


ขนาดของหินผูกวิญญาณสามารถบ่งบอกได้ถึงระดับของวิญญาณที่ถูกขังได้ ยกตัวอย่างเช่น หินก้อนเล็กไม่สามารถกักขังวิญญาณที่แข็งแกร่งได้ แต่ถ้าหินก้อนใหญ่เกินไปและวิญญาณดวงเล็ก มันจะเป็นการเสียเปล่า ตอนนี้หินมีขนาดพอดี และเหตุผลที่โรดส์นำหินผูกวิญญาณออกมานั้นเป็นอีกหนึ่งเรื่อง


 


วูซซซซซ!!


 


หมอกหนาทึบไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


เมื่อหมอกหายไป ทั้งกลุ่มตกอยู่ในความเงียบ ทันใดนั้นมีเงาปรากฏขึ้นบนพื้น และพุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว หากเป็นแต่ก่อน ทุกคนคงจะตกใจกับการโจมตีอย่างกระทันหัน แต่โรดส์ได้วางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว มาร์ลีนเริ่มร่ายเวทย์อย่างบ้าคลั่ง เธอสร้างกำแพงลมปกป้องทีมเอาไว้และป้องกันไม่ใช่เงาดำเข้ามา


 


โครงกระดูกค่อยๆก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมา


 


“หิ หิ หิ หิ หิ….”


 


ในเวลาเดียวกันนั้น น้ำเสียงเย็นเยือกและคมกริบดังสะท้อนมาจากทุกทิศทางออกมาพร้อมกับรัศมีแห่งความชั่วร้ายและความตาย


 


“ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเจ้าสามารถบุกมาถึงห้องของข้าได้…”


 


“เนโครแมนเซอร์!”


 


ชอว์น่าคำรามเสียงต่ำ จากนั้นเธอยกดาบขึ้น ไม่นานเปลวเพลงสีแดงอาบทั่วดาบ เป็นคุณสมบัติของอาวุธเวทมนตร์ธาตุไฟที่เธอได้รับมากเป็นเวลานาน มันถูกเรียกว่า ‘ดาบเผาไหม้’


 


“ฟังคำสั่งของผมและอย่าลืมคำพูดของผมก่อนหน้านี้”


 


เมื่อเปรียบเทียบสีหน้าของชอว์น่าที่ตึงเครียดกับโรดส์ที่สงบนิ่ง เขาถือเครื่องหมายแห่งดวงดาวไว้ในมือและหรี่ตามองหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปรอบตัวเขา ความมืดเริ่มหนาแน่นขึ้น มันเหมือนกัยผ้าม่านที่มองไม่เห็นและเหนี่ยวรั้งทุกคนในห้อง โลกของพวกเขากำลังจมสู่ความมืดมิด ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าการโจมตีครั้งถัดไปจะมาจากที่ไหน


 


อย่างไรก็ตาม โรดส์รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น


 


เขายกดาบขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยขึ้นเหนือหัว


 


วินาทีถัดมา ทุกคนพบว่าดาบของโรดส์เปล่งแสงทะลุผ่านความมืดราวกับหลอดไฟในยามค่ำคืน


 


คล้ายกับการเปิดเวทีโรงละคร ม่านแห่งความมืดถูกฉีกออก เนโครแมนเซอร์ ซึ่งสวมชุดคลุมสีดำกำลังถอยหลังไปอย่างน่าสังเวช ในมือของมันถือไม้เท้าที่ทำขึ้นจากโครงกระดูก ตอนนี้ มันมองโรดส์ด้วยสีหน้าตกใจ


 


เด็กหนุ่มคนนี้มองทะลุศิลปะแห่งความมืดของเขาได้งั้นรึ?


 


แต่โรดส์ไม่สนใจว่าเนโครแมนเซอร์จะหาคำตอบอย่างไร? ในวินาทีถัดมา โรดส์ยกดาบขึ้นอีกครั้งและฟันลงไปทันที


 


“ทำตามแผน!”


56 – เหมือนกับหมู….


 


เนโครแมนเซอร์สบถออกมาอย่างเย็นชากับการโจมตีของโรดส์ กำแพงกระดูกถูกสร้างขึ้นตรงหน้ามันและป้องกันการโจมตีของโรดส์ ในเวลานี้ ชอว์น่าและทหารรับจ้างคนอื่นๆเคลื่อนไหวตามคำสั่งของโรดส์และประจำตำแหน่งล้อมรอบเนโครแมนเซอร์


 


“หึๆ แค่เล่ห์กลเล็กๆน้อยๆ”


 


แม้ว่าเนโครแมนเซอร์จะไม่สามารถหลบหนีได้อีกต่อไป เห็นได้ชัดว่ามันไมได้ถือว่าชอว์น่าหรือทหารรับจ้างคนอื่นเป็นภัยคุกคาม มันตะคอกออกมาอย่างเย็นชา ทำให้เกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาในดวงตาที่ว่างเปล่าของมัน ขณะที่มันกำไม้เท้าและพุ่งไปด้านข้างและตวัดอาวุธไปในแนวขวาง


 


โดยทั่วไปแล้ว จอมเวทย์จะอ่อนแอต่อการโจมตีทางกายภาพ แต่เนโครแมนเซอร์นั้นเป็นข้อยกเว้น หลังจากที่มันสูญเสียร่างมนุษย์ไป มันได้รับพลังที่เหนือกว่าร่างกายของมนุษย์จะทนได้ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของเนโรแมนเซอร์ชอว์น่ายกอาวุธขึ้นตามสัญชาตญาณและยกอาวุธขึ้นเพื่อป้องกัน แต่แรงกระแทกที่ได้รับไม่ต่างอะไรไปจากการถูกคนป่าฟาด ร่างของชอว์น่ากระเด็นไปไกล ถ้าปฏิกิริยาของเธอช้ากว่านี้แม้แต่นิดเดียว เธออาจลอยไปกระแทกเพดาน


 


“อย่าปะทะโดยตรง รักษาระยะห่างไว้และอย่าหยุดโจมตี!”


 


โรดส์เห็นสภาพที่น่าสังเวชของชอว์น่าและขมวดคิ้ว ก่อนที่จะเตือนเธอีกครั้ง หลังจากได้ยินเสียงของเขา ชอว์น่าและคนอื่นๆเริ่มตั้งสติและล้อมเนโครแมนเซอร์ต่อไปและเริ่มโจมตีด้วยการโจมตีระยะกลางและระยะไกล เนื่องจากเนโครแมนเซอร์มีร่างกายที่ผิดปกติและครอบครองพลังมหาศาล มันจึงขวางโรดส์ด้วยกำแพงกระดูก ในขณะที่แกว่งไม้เท้าเพื่อจัดการคนอื่นๆ เปลวเพลิงในดวงตาของเขาเผยรัศมีของความอันตรายออกมา


 


แต่นั่นคือทั้งหมดที่มันทำได้


 


หลังจากหลบการโจมตีมากมาย เนโครแมนเซอร์เยาะเย้ยและยกแขนซ้ายของมันขึ้น เสกลูกบอลพลังงานลบออกมาปลายนิ้วกระดูกของมัน จากนั้นมันชี้ออกไปด้านนอก รอเวลาที่เหมาะสมที่จะ…..


 


อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้มันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อกำแพงกระดูกของมันสั่นสะเทือน


 


ปัง!! พายุโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง เมื่อกำแงกระดูกของมีนพังทลายลงราวกับอาคารตึกถล่ม ในเวลาเดียวกัน ประกายแสงสะท้อนเข้ากับกระดูกของมันและพุ่งตรงมายังหน้าผากของเนโครแมนเซอร์


 


บ้าน่า เกิดบ้าอะไรขึ้น!


 


เนโครแมนเซอร์เกิดอาการตกตะลึง พลังงานด้านลบที่มันควบแน่นไว้กระจายตัวออกมาทันที ในขณะนี้เกิดลมกรรโชกขึ้นใต้เท้าของมันและหลบการโจมตีของโรดส์อย่างรวดเร็ว มันกวาดตาไปและพบกับเด็กสาวในชุดคลุมหรูหรากำลังถือคทาและชี้มาทางมัน


 


“บ้าน่า เวทย์ของข้าไร้ผลงั้นรึ?!”


 


สีหน้าของเนโครแมนเซอร์แย่ลง มันคิดว่ามาร์ลีนเป็นเพียงจอมเวทย์ฝึกหัด นั่นเป็นเหตุผลที่ตัวตนของเธอไม่ได้รับความสนใจ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเวทมนตร์ของเธอ มันพบว่าพลังของเธอเหนือกว่าจอมเวทย์ฝึกหัดไปมาก เธอได้เข้าสู่วงเวทย์ขั้นกลางแล้ว! มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลบล้างเวทย์ป้องกันบนตัวของมันได้ในทันทีด้วยช่องว่างระหว่างระดับ แต่สิ่งที่เธอทำนั้นอันตรายมาก….


 


ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวของเนโครแมนเซอร์ ไม่มีเวลาแล้ว มันกำลังหาวิธีรับมือกับเธอ ไม้เท้าในมือของเขาร่วงลงบนพื้นและหายไป


 


มีเพียงโรดส์ที่มองเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆนี้


 


“วอร์คเกอร์ ไลซ์ สนใจพื้นที่รอบๆ!”


 


โรดส์ลดดาบลงและตะโกนใส่ทั้งสอง วินาทีถัดมาพื้นดินสะเทือนขึ้นมาทันที


 


“ตูมมมมม!!!”


 


กรงเล็บของอันเดดมากมายผุดขึ้นมาจากรอยแยกบนพื้น พวกมันถืออาวุธเก่าแตกหักและร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ แม้ว่าความเร็วของพวกมันจะเชื่องช้า แต่ด้วยท่าทางและจำนวนที่เหนือกว่า พวกมันล้อมทหารรับจ้างทุกคนไว้ โรดส์คาดเดาการเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้อย่างถูกต้อง โชคดีที่เขาเตือนทุกคนไว้แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น ทุกคนจะวิ่งไปมาเหมือนกับไก่หัวขาด ตอนนี้ทหารรับจ้างแต่ละคนกระจายไปรอบๆสนามรบและกำลังฆ่าอันเดดที่เพิ่งขึ้นมาใหม่ สองทหารรับจ้างจากกลุ่มเรดฮอว์คคุ้มกันไลซ์และมาร์ลีนจากด้านข้างทันที ไลซ์ร่ายเวทย์เกราะป้องกันให้ทุกคนทันที ในขณะที่มาร์ลีน เธอไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย  เธอชี้ไม้คทาไปที่เนโครแมนเซอร์และร่ายเวทย์วิเคราะห์เวทย์ป้องกันบนร่างของมัน


 


การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการแข่งกันเวลา


 


“ชิ!”


 


เมื่อเนโครแมนเซอร์รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ตื่นตระหนกอย่างที่มันคิด มันจึงถอยกลับอีกครั้งและหลบการโจมตี 2 ครั้งในเวลาเดียวกัน เนื่องจากการโจมตีบางครั้งอ่อนแอเกินไป มันจึงไม่ได้สนใจจะป้องกัน แม้การโจมตีพวกนั้นจะโจมตีถูกมัน ก็ไม่ได้เกิดบาดแผลขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้มันกังวลคือ ชายผมดำข้างหน้า ไม่ว่ามันจะทำอไร ชายคนนี้สามารถตอบโต้มันได้ทุกครั้ง แปลกมาก….เด็กหนุ่มคนนี้ยังเด็กมาก เขารู้จักสไตล์การต่อสู้ของข้าได้อย่างไร?


 


“วูซซซซ!”


 


โรส์ไม่ได้สนใจสิ่งที่เนโครแมนเซอร์คิด เขาตวัดดาบและพุ่งไปด้านหน้าอีกครัง เมื่อดาบของเขาปะทะเข้ากับไม้เท้า มันเปิดประกายแสงสว่างจ้า ในเวลาต่อมา เขาพบว่าเส้นเวทมนตร์ที่อยู่บนอากาศเริ่มกระจายหายไป


 


“ฉันทำได้แล้ว!”


 


เมื่อเห็นปรากฎการณ์นี้ โรดส์กลับมายืนอย่างมั่นคง ในขณะเดียวกัน สีหน้าของเนโครแมนเซอร์มืดมนลงอีกครั้ง มันถอยกลับอีกครั้งและยกไม้เท้าในมือขึ้น


 


ในเวลาเดียวกัน มาร์ลีนเล็งร่างของเนโครแมนเซอร์ด้วยคทาในมือของเธอ


 


ประกายแสงสีขาวควบแน่นที่หัวทับทิมบนไม้คทาและยิงออกไปด้านหน้า ในพริบตาที่เวทมนตร์สมบูรณ์ มันพุ่งชนเข้ากับร่างของเนโครแมนเซอร์ทันที


 


“ตูม!!!!!”


 


คลื่นความร้อนไหลทะลักออกมาจากจุดปะทะ แม้แต่โรดส์ก็อดไม่ได้ที่จะต้องถอยห่างออกไป 2-3 ก้าว อุณหภูมิในห้องสูงขึ้น เนโครแมนเซอร์ร้องคำรามออกมาท่ามกลางเปลวเพลิง


 


“ไอ้พวกชั่ว!! พวกเจ้าทุกคนต้องชดใช้!!”


 


เวทย์ป้องกันที่ปกป้องร่างของเนโครแมนเซอร์ถูกลบล้างออกไป มันไม่ได้ทำตัวสูงส่งเหมือนแต่ก่อน และคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น แทบจะในทันที หอกกระดูก 5-6 เล่มพุ่งตรงไปยังมาร์ลีนทันที แต่ก่อนที่จะเสียบทะลุร่างของมาร์ลีน นักรบโล่ปรากฎตัวออกมาสกัดกั้นและเบี่ยงวิถีของหอกออกไป โล่ของเขาถูกตั้งขึ้นกับพื้นเพื่อปกป้องร่างของมาร์ลีนไว้ด้านหลังของเขา


 


ตูมมมม!! ตามมาด้วยเสียงปะทะกันของโลหะ ปรากฎว่าหอกบางส่วนแตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อย่างไรก็ตาม แรงกระแทกทำให้นักรบโล่ล้มลงกับพื้นเช่นกัน


 


บัดซบ


 


บาร์นนี่กวัดแกว่งดาบสองมือสังหารอันเดดเบื้องหน้า จากหางตาของเขา เขาสังเกตเห็นร่างของโรดส์กำลังต่อสู้กับเนโครแมนเซอร์ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าโรดส์แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ และภาพที่เห็นดูเหมือนจะสะท้อนเข้าไปในความคิดของเขา เนโครแมนเซอร์เริ่มคลั่ง และภายใต้การโจมตีที่รุนแรง ขุนนางนั่นและพี่ใหญ่ไม่สามารถหลบการโจมตีของมันได้ ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเขาไม่อาจเอาชนะมันได้!


 


บาร์นนี่ฟันอันเดดอีกตัวและมองกลับไป เขาเห็นสภาพที่ ‘น่าสังเวช’ ของชอว์น่าและขุนนางตลกนั่นที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเนโครแมนเซอร์ราวกับไม่ได้ต้องการช่วยเหลือเธอ


 


ดูสิ ข้าพูดถูก ไอ้บ้านั่นมันวางแผนใช้พวกเราเป็นโล่มนุษย์และฉวยรางวัลไป! บ้าเอ้ย! ข้าไม่ยอมให้มันทำได้หรอก!


 


บาร์นนี่ตัดสินใจใช้วิธีของตัวเอง เขาหันหน้าและยกดาบ ก่อนจะพุ่งไปยังเนโครแมนเซอร์


 


“ไปตายซะ ไอ้มอนสเตอร์ชั่วร้าย!!”


 


บาร์นนี่ตะโกนเสียงดัง ขณะที่ตวัดดาบ  แต่เขาไม่ได้เห็นว่าชอว์น่าที่อยู่ในสภาพ ‘น่าสังเวช’ จะเปลี่ยนตำแหน่งและมายืนด้านหน้าเขา


 


เสียงคมดาบดังขึ้น


 


เมื่อพบภัยคุกคามจากด้านหลัง ชอว์น่าประหลาดใจอย่างมาก ภายคำสั่งของโรดส์ เธอและเพื่อนของเธอจะเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อรับมือการโจมตีสวนกลับของเนโครแมนเซอร์ หลังจากที่มันคลั่ง เนโครแมนเซอร์จะโจมตีเต็มกำลังและกำลังจะหมดแรง อีกนิดเดียวพวกเขาจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ชอว์น่าไม่คิดว่ามีใครบางคนกำลังแทงข้างหลังเธอ?!


 


ตอนนี้นีกดาบสาวผมแดงไม่มีโอกาสถอยอีกแล้ว สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือกัดฟันและตั้งหลักกับพื้น แต่ในเวลานี้เนโครแมนเซอร์ใช้โอกาสที่ชอว์น่ากำลังสับสนกับเป้าหมายของตัวเอง มันงอนิ้วกระดูกและร่ายเวทย์ออกมา


 


“ปัง!!”


 


“อ้ากกก!!”


 


ชอว์น่าที่กำลังไขว้เขว เธอไม่สามารถหลบการโจมตีของเนโครแมนเซอร์ได้ หอกกระดูกแทงทะลุไหล่ซ้ายของเธอ แรงกระแทกผลักร่างเธอกระเด็นไปไกล ก่อนจะร่วงลงกับพื้น


 


เนโครแมนเซอร์เห็นโอกาสนี้ชูมือขึ้นและเตรียมตัวหลบหนี


 


“บ้าเอ้ย!!”


 


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า โรดส์สบถออกมา เขาพลิกมือขวาและการ์ดสีแดงปรากฏขึ้น


 


“มาร์ลีน ใช้พลังเต็มพิกัดโจมตีมัน!!”


 


โรดส์ตะโกนออกมาสุดเสียงและโยนการ์ดสีแดงในมือออกไป ในไม่ช้า นักฆ่าเปลวเพลิงปรากฏตัวและพุ่งเข้าหาศัตรูที่กำลังจะหนี เงาสีแดงปรากฎขึ้นในความมืดและมีเสียงระเบิดดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงคำรามของเนโครแมนเซอร์ที่ดังกึ่งก้องไปทั่วทุกทิศทาง


 


ชิ อย่างที่คิด เวทย์ป้องกันยังไม่ถูกลบล้าง


 


วิญญาณอัญเชิญเมื่อสัมผัสกับเวทย์ป้องกัน พวกมันจะถูกทำลายทันที โรดส์พุ่งผ่านควันดำไปทันที


 


สถานะของเนโครแมนเซอร์เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ตอนนี้มันอยู่ในสภาพ ‘โคม่า’ เวทย์ป้องกันของมันถูกลบล้างไปกว่า 70-80% นั่นเป็นเหตุผลที่เนโครแมนเซอร์ไม่สามารถป้องกันการระเบิดของนักฆ่าเปลวเพลิงได้อย่างสมบูรณ์ เสื้อคลุมที่มันสวมฉีกขาดและอยู่ในสภาพรุ่งริ่ง แม้แต่แม้เท้ากระดูกเองก็เริ่มบิ่น


 


“ไอ้พวกมนุษย์ต้องสาป!!”


 


เมื่อเห็นโรดส์พุ่งเข้ามา เนโครแมนเซอร์กัดฟันและสาปแช่งออกมา มันยกมือทั้งสองและเล็งไปที่โรดส์


 


บอลสายฟ้าสีแดงพุ่งตรงไปยังตำแหน่งของโรดส์ อย่างไรก็ตาม โรดส์ไม่เลือกที่จะหลบ กลับกันเขาถือดาบและวิ่งมาข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง


 


มันตายแน่!!


 


เมื่อเห็นว่าโรดส์ไม่สนใจป้องกันตัวเองและพุ่งมาอย่างต่อเนื่อง เนโครแมนเซอร์เผยรอยยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ ในความคิดของมัน เด็กหนุ่มคนนี้กำลังพุ่งเข้ามาหาความตายในไม่ช้า


 


แต่ทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของมันเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความกลัว


 


ปีกสีขาวโปร่งแสงคู่หนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าโรดส์ ขนนกสีขาว อ่อนโยนขยับไปมากลางสายลม ราวกับปีกของนางฟ้าบนสวรรค์


 


เนโครแนมเซอร์ไม่มีเวลาให้ชื่นชมความงาม เพราะลูกบอลพลังงานลบสีแดงของมันพุ่งอยู่ดีๆและสลายหายไป


 


“เจ้าเป็น……”


 


เนโครแมนเซอร์อ้าปากออกมา แต่ในเวลาเดียวกัน ดาบของโรดส์แทงทะลุร่างของมันไปพร้อมกัน


57 – บาร์นนี่ผู้โชคร้าย


 


โรดส์ยืนขึ้น


 


เนโครแมนเซอร์ที่เป็นตัวตนชั้นสูงและกำลังนอนอยู่ต่อหน้าเขาในฐานะศพคนหนึ่ง


 


แต่โรดส์ไม่ได้ยิ้มออกมา ใบหน้าของเขามืดลง เขาจ้องมองไปที่มือซ้ายของเขาอย่างหมองหม่น


 


ขณะที่ปีกของทูตสวรรค์สามารถป้องกันพลังงานลบส่วนใหญ่ได้ แต่ท้ายที่สุด ช่องว่างระหว่างระดับยังห่างกันเกินไป ปัจจุบัน แขนซ้ายของเขากลายมาเป็นสีเขียว น่าสะอิดสะเอียนลุกลามไปยังร่างกายส่วนที่เหลือ


 


ถ้าไม่ใช่เพราะค่าสถานะที่ผิดปกติของเขา บางทีแขนของเขาอาจจะแตกไปแล้ว


 


“เฮ้อออ….”


 


โรดส์ถอนหายใจ เขามองไปที่แหวนที่อยู่บนนิ้ว ความแวววาวบนหินเริ่มมัวหมอง ลงมาก หากสังเกตอย่างใกล้ชิดจะเห็นว่ามีความมืดที่มีชีวิตกำลังหมุนวนอยู่ภายในอย่างต่อเนื่อง


 


ผูกวิญญาณสำเร็จ


 


แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการ แต่เขายังสามารถทำตามเป้าหมายเดิมได้ อย่างไรก็ตาม….


 


แค่คิดถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขาโกรธ เขามั่นใจว่าเขาทำภารกิจที่เลือกได้สำเร็จอย่างแน่นอน เหตุผลที่สุสานพาเวลเป็นภารกิจระดับ 4 ดาวไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของบอส แต่เป็นเพราะพลังงงานด้านลบที่เหล่าอันเดดปลดปล่อยออกมานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งมีชีวิตอย่างชัดเจน ก่อนการบุกรุก ภายใต้การปกครองที่สงบสุขของมังกรแห่งแสงไม่มีการระบุว่ามนุษย์ได้ต่อสู้กับเหล่าอันเดด นั่นเพราะประสบการณ์การต่อสู้กับนั้นไร้ค่า NPC นั้นไม่เหมือนผู้เล่นที่สามารถฟื้นคืนชีพได้หากพวกเขาตาย นี่เป็นสาเหตุที่สมาคมทหารรับจ้างต้องพิจารณาว่าภารกิจเกี่ยวกับอันเดดนั้นจะอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับภารกิจอื่น


 


แต่ในความคิดของโรดส์ เนื่องจากเขามีนักบวชในปาร์ตี้ เขารู้ดีว่าพลังงานบวกของเธอสามารถต่อต้านกับพลังงานลบของอันเดดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้น มาร์ลีน ในฐานะ ‘ผู้มีพรสวรรค์’ ที่เพิ่มเข้ามาในทีม โอกาสที่จะได้รับชัยชนะมีมากถึง 90% ถ้าเธอเชื่อฟังคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด การพัฒนาในแง่บวกในอุโมงค์ที่ได้รับการส่งเสริมจากความคิดของโรดส์ว่าการจัดการอันเดดในระยะประชิดนั้นง่าย แต่พวกมันจะล้มลงเป็นกลุ่มถ้าเผชิญหน้ากับเวทมนตร์ ดังนั้นข้อได้เปรียบเหล่านี้ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นที่พวกเขาจะได้รับชัยชนะ แต่เขาไม่คิดว่า…..


 


โรดส์ส่ายศีรษะและเก็บหินผูกวิญญาณ ก่อนจะเดินกลับไป


 


เขาเดินไปหากลุ่มคนเมื่อรู้ว่าสถานการณ์กำลังวุ่นวาย


 


ไลซ์กำลังรักษาบาดแผลสาหัสของชอว์น่าที่กำลังนอนอยู่บนพื้น ในขณะที่ตัวปัญหาที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทั้งหมดมองดูอยู่ด้านข้าง วอร์คเกอร์เก็บกวาดสนามรบเสร็จ และมาร์ลีนยืนอยู่ด้านข้างเขาด้วยใบหน้าเย็นชา แม้ว่าทหารรับจ้างเรดฮอว์คจะไม่ได้ดูดีไปกว่ากันมากนัก ขณะที่พวกเขากำลังล้อมชอว์น่าและกังวลเกี่ยวกับบาดแผลของเธอ


 


“ข้าขอโทษ หัวหน้า….ข้าขอโทษ หัวหน้า!!! ข้าไม่ได้พยายาม…”


 


บาร์นนี่คุกเขาสลงข้างชอว์น่าด้วยใบหน้าซีดๆ เขาสัมผัสได้ว่าคนอื่นๆมองเขาด้วยความโกรธ สถานการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน มันทำให้เขาหวาดกลัวและสำนึกผิดอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมที่โรดส์เป็นหัวหน้าทีมและเพื่อนๆของเขาถูกดึงเข้าไปต่อสู้อย่างขมขื่น ในขณะที่โรดส์ยืนซ่อนอยู่ด้านหลัง ดังนั้นเขาจึงพยายามช่วย ทำไมคนเหล่านี้ต้องโกรธเขาด้วย? พวกเขาไม่ได้คิดถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากนี้รึ?


 


เมื่อบาร์นนี่มีความหวัง เขาพบว่ามีเสียงเท้าเดินเข้ามาด้านหลังเขาและเป็นเสียงเท้าของ ‘ผู้ร้าย’ ที่กำลังเดินตรงเข้ามา


 


บาร์นนี่รู้สึกว่าเลือดในร่างกายเดือดอย่างมาก หัวหน้ากลุ่มของเขาได้รับบาดเจ็บเพราะทำเพื่อกลุ่ม แต่ดูเหมือนว่าโรดส์จะไม่สนใจ


 


พวกขุนนางเป็นพวกเลือดเย็นจริงๆ!


 


ด้วยความโกรธของเขา บาร์นนี่กระโดดและชี้นิ้วไปที่โรดส์และตะโกนสาปแช่งเขา


 


“มันเป็นเพราะเจ้า!!! ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า—-”


 


ก่อนที่บาร์นนี่จะพูดจบ หมัดลอยเข้ามาที่หน้าของเขา


 


“ปัง!!!”


 


โรดส์ชกไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างไร้ความปราณี บาร์นนี่กรีดร้องออกมา ขณะที่เขากลิ้งไปบนพื้น จากนั้นเขาจ้องมองมายังชายที่ยืนตรงหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่สนใจเลือดที่ไหลออกมาจากจมูกของเขา


 


“ทำไมแกไม่ทำตามคำสั่ง?”


 


โรดส์พูดเสียงต่ำ แต่ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก แม้แต่ไลซ์ทีร่กำลังพันแผลให้กับชอว์น่า


 


เพราะว่าโรดส์หัวเราะออกมา!


 


ทุกคนคุ้นเคยกับโรดส์ที่มีใบหน้าสวยงาม แต่เขาเป็นคนจริงจังตลอดเวลาและไม่เคยยิ้มออกมา ทุกคนจึงคิดว่ามันน่าเสียดาย แม้แต่ตาแก่วอร์คเกอร์ยังหยอกล้อออกมา ถ้าเขายิ้มมากกว่านี้ บางทีอาจทำให้สาวๆทั้งเมืองหลงเสน่ห์ได้


 


แต่ตอนนี้โรดส์หัวเราะออกมาจริงๆ และมันเป็นเสียงหัวเราะที่น่าหลงใหล อย่างไรก็ตาม ทุกคนรู้สึกเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง


 


“ตอบมา”


 


โรดส์ขยับแขนและยิ้ม ก่อนที่จะเดินไปหาบาร์นนี่ ต่อมาเขายกเท้าซ้ายขึ้นและกระทืบลงที่หน้าอกของบาร์นนี่ บังคับให้เขาก้มลงกับพื้น


 


“เฮือก!!!”


 


“ผมจำได้ว่า ก่อนเริ่มการต่อสู้ ผมบอกชัดเจนนะว่าให้แกรับผิดชอบพื้นที่รอบๆเนโครแมนเซอร์ หากไม่มีคำสั่งของผม ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้โจมตี…แกโง่เหรอ? หรือว่าแกมีปัญหากับการได้ยินเสียง?”


 


“…บัดซบ”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับการเหยียดหยามและรอยยิ้มของโรดส์ บาร์นนี่รู้สึกหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณราวกับว่าเขากำลังถูกรัดโดยงูเหลือม แต่เขายังไม่ยอมแพ้และถ่มน้ำลายใส่เท้าของโรดส์แทน


 


“คิดเหรอว่าข้าไม่รู้ เจ้าซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเนโครแมนเซอร์ เจ้าต้องการให้พวกเราเป็นโล่มนุษย์? ข้าจะไปฟังคำสั่งของเจ้าได้ยังไง? หรือเจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ซ่อนอย่างนั้นรึ? ทุกๆคนเห็นการกระทำอันขี้ขลาดของเจ้าหมดแหละ ใช่ไหม เฮนรี่?!”


 


เฮนรี่เป็นนักดาบที่ต่อสู้เคียงข้างชอว์น่า ตอนแรกบาร์นนี่คิดว่าเฮนรี่จะสนับสนุนเขา แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด เขาเงยหน้าขึ้นและหลบสายตาของบาร์นนี่


 


ความจริงแล้ว เฮนรี่ค่อนข้างไม่พอใจเพราะบาร์นนี่ทำลายแผนอันไร้ที่ติของพวกเขา แม้ว่าเขาจะดูน่าสมเพช แต่ตราบใดที่ทำตามแผนของโรดส์อย่างถูกต้อง พวกเขาจะสามารถหลบการโจมตีของเนโครแมนเซอร์ได้ คำแนะนำท่ามกลางสนามรบมีความสำคัญอย่างมาสำหรับเหล่าทหารรับจ้าง แต่สุดท้ายแล้วกลับเละเทะเพราะเด็กเพียงคนเดียว!


 


มันคล้ายกับว่ามีคนสองคนพยายามเต้นแทงโก้ด้วยกัน พวกเขาฝึกมาหลายพันชั่วโมงเพื่อเข้าใจจังหวะซึ่งกันและกัน แต่กลับมีไอ้ขี้เมาคนหนึ่งเข้ามาทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง


 


ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครมีความสุข ถ้าเกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้น


 


แต่เพราะบาร์นนี่เป็นเพื่อนของเขา เขาจึงไม่ได้พูดอะไร แม้แต่ตอนนี้ เขายังไม่หยุดเถียงโรดส์เพื่อระบายความโกรธ


 


“เฮน-เฮนรี่….”


 


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเพื่อร่วมทีม บาร์นนี่กัดฟัน ในความคิดของเขา เขาไม่คิดว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาจะไม่พอใจเขา ตรงกันข้ามเขาคิดว่าเพื่อนของเขาต้องกลัวขุนนางคนนี้!


 


ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดอะไรออกมา….


 


แต่ไม่ใช่กับข้า! ข้าจะไม่ยอมก้มหัวและไม่ยอมแพ้!


 


“ฮืมม จะพูดอะไรก็พูดไป แต่ข้าไม่ยอม….อ้ากกกกก!!”


 


บาร์นนี่ยังไม่ทันพูดจบ คมดาบแทงทะลุฝ่ามือของเขา ความเจ็บปวดกลืนกินคำพูดของเขาทั้งหมดและแทนที่ด้วยเสียงร้อง จากนั้นโรดส์ดึงดาบออกและเตะไปที่เด็กหนุ่ม เขากระเด็นไปไกล ก่อนจะหมดสติลง


 


เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของบาร์นนี่ มาร์ลีนอดไม่ได้ที่จะสั่งกลัว เธอจำสิ่งที่โรดส์พูดกับเธอเมื่อตอนที่เธอเข้ามาครั้งแรกได้ ในเวลานั้น เธอไม่เห็นโรดส์อยู่ในสายตา แต่โชคดีหลังจากได้ต่อสู้กัน เธอไม่สงสัยในตัวโรดส์อีกเลย ถ้าเธอยังมีทัศนคติที่เย่อหยิ่งเหมือนเธอคนเดิม คนที่นอนอยู่บนพื้นในตอนนี้อาจจะเป็นเธอ


 


เมื่อนึกถึงการต่อสู้ มาร์ลีนมั่นใจว่าโรดส์ไม่แสดงความเมตตาใดๆออกมา


 


หลังจากที่เตะบาร์นนี่ออกไป โรดส์กอดอกและลบรอยยิ้มออกไปจากใบหน้า เขาเมินเฉยต่อทุกสิ่งและใบหน้าหวาดกลัวจากผู้คนรอบข้าง


 


“เก็บกวาดสนามรบ”


 


คราวนี้ โรดส์ได้รับทรัยากรมหาศาล เนื่องจากเนโครแมนเซอร์อาศัยอยู่ในสุสานพาเวลมาเป็นเวลาหลายปี เป็นธรรมดาที่เขาจะซ่อนสมบัติเอาไว้ หลังจากที่ค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง คริสตัลเวทมนตร์ถุงใหญ่ อัญมณีและพืชถูกวางไว้ตรงหน้าเขา แน่นอน โรดส์เองก็นำสิ่งที่เขาเก็บได้มาไว้ที่นี่ด้วย เขาก้มตัวลงและค้นหาสิ่งของเหล่านั้น ก่อนจะพบกล่องไม้ที่มีออร่าความศักดิ์สิทธิ์ เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจและหันหน้าไปทางไลซ์


 


“คุณโรดส์ มีอะไรเหรอคะ?”


 


เมื่อเห็นท่าทางของโรดส์ ไลซ์รีบเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบ ท่าทางของเธอสับสนเล็กน้อย เพราะเธออยากเข้าไปรักษาแผลของบาร์นนี่ แต่โรดส์บอกว่า ‘ปล่อยเขาไว้’ ดังนั้นเธอจึงทิ้งเขาไปอย่างช้าๆ เอาจริงๆไลซ์ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่บาร์นนี่ได้รับ แต่ในฐานะนักบวช เธอไม่อาจมองข้ามชีวิตอื่นๆเพราะความชอบส่วนตัวได้


 


“นี่สำหรับคุณ”


 


“นี่คือ….”


 


ไลซ์ได้รับหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่โรดส์ส่งมาให้และพลิกอ่านด้วยความสงสัย จากนั้นสีหน้าของเธอสดใสทันที เธอรู้แล้วว่าหนังสือเล่มนี้มีค่ามาก


 


“นี่คือหนังสือศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมคะ?”


 


“ใช่แล้ว”


 


โรดส์ตบไหล่ของเด็กสาว


 


“ด้วยพลังของคุณตอยนนี้ ผมเชื่อว่าการเรียนรู้เวทย์พวกนี้ไม่ใช่ปัญหา โชคดีนะ”


 


“แน่นอนค่ะ! ฉันจะพยายามค่ะ! ขอบคุณค่ะ คุณโรดส์!”


 


ไลซ์เผยรอยยิ้มกว้างและกอดหนังสือศักดิ์สิทธิ์แน่น แน่นอนเธอรู้ว่ามันมีค่ามหาศาล ในวิหาร มีเพียงไม่กี่คนที่มีคุณสมบัติเพียงพอได้เรียนรู้เวทย์ระดับสูง โดยทั่วไปแล้วนักบวชจะได้รับอนุญาตให้เรียนรู้เวทย์ระดับพื้นฐานเท่านั้น จากจุดนี้ เมื่อเธอได้รับหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่เวทย์ระดับสูงบันทึกอยู่  ไลซ์มั่นใจว่าถ้าเธอเรียนรู้เวทย์เพียงครึ่งเดียว ความแข็งแกร่งของเธอจะเพิ่มขึ้นอีกมาก


 


ในเวลาเดียวกัน มาร์ลีนเดินเข้าไปหาทั้งคู่ แต่เมื่อเทียบกับไลซ์ ที่กำลังมีความสุขอยู่กับหนังสือศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าของเธอค่อยข้างตกใจ นั่นเพราะตอนนี้โรดส์ได้บอกให้เธอไปจัดการศพของเนโครแมนเซอร์ นี่เป็นการทดสอบทที่ท้าทายอย่างมากสำหรับมาร์ลีน เธอไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน แม้ว่ามาร์ลีนจะเปล่งเสียงประท้วงออกมา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับโรดส์ ‘เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกในกลุ่มทหารรับจ้างของผม คุณต้องทำตามคำสั่ง’ คำพูดเหล่านี้ทำให้จอมเวทย์สาวยอมแพ้และทำตามคำสั่งขณะที่เธอกลั้นหายใจ


 


“ฉันทำตามภารกิจเสร็จแล้วค่ะ คุณโรดส์”


 


“โอ้?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของมาร์ลีน โรดส์มองไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ


 


“คุณเจอของอะไรรึเปล่า?”


 


“ทุกอย่างอยู่ที่นี่หมดแล้ว”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของโรดส์ มาร์ลีนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหุ่นยนต์ จากนั้นเธอยื่นมือออกมาเผยให้เห็นแหวนที่เธอพบ


 


แต่เธอไม่คิดว่าโรดส์จะไม่เอามันไป กลับกัน เขาจ้องมองมันเงียบๆและไม่พูดอะไร


 


“คุณโรดส์?”


 


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของโรดส์ มาร์ลีนเรียกเขาอีกครั้ง ในที่สุดโรดส์ก็ตอบและพยักหน้าในที่สุด


 


“อ่า ผมรู้…คุณทำงานหนัก”


 


โรดส์พูดและมองไปที่เธอ


 


เป็นโชคดีของเธอนะคุณหนู….เธอค้นหาแหวนวิญญาณมืดในตำนานเจอ…


58 – อีกด้านหนึ่งของกระดาน


 


แสงแดดยามเช้าส่องเป็นประกายอีกครั้ง แสงสว่างส่องผ่านหน้าต่างตกลงมายังพื้นห้อง แสงอุ่นๆทำให้ดวงตาของเด็กสาวหรี่ลงเล็กน้อย ร่างของเธอสัมผัสกับโซฟานุ่มๆในเวลาว่างยามบ่าย


 


ด้านนอกหน้าต่าง มีระลอกคลื่นในแม่น้ำมาพร้อมกับสายลมเย็นๆ….กิ่งไม้ที่เขียวชอุ่มและเสียงฮัมเพลง โคมไฟระย้าเวทมนตร์ส่องแสงออกมาอย่างงดงาม ทำให้สีของภาพวาดที่แขวนบนผนังทอแสงออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็สามารถสัมผัสได้ถึงสรวงสวรรค์ของงานศิลปะ


 


ประตูแกะสลักเป็นรูปวิหค 9 ตัวถูกเปิดออก ร่างของขุนนางสาวเดินมาบนพรมแดง ก่อนจะคุกเข่าให้กับหญิงสาวที่นอนอยู่บนโซฟา


 


“ฝ่าบาท”


 


“ว่าไง?”


 


เมื่อเห็นขุนนางสาวตรงหน้าเธอ ดวงตาของเด็กสาวเปิดอย่างช้าๆ ดวงตาสีเขียวของเธอทำให้เธอดูขี้เล่นและขี้เกียจ แสงสุกสกาวที่ส่องผ่านหน้าต่างราวกับผ้าไหมที่ห่อหุ้มร่างที่งดงามและมีเสน่ห์ของเธอ รูปร่างผอมเพรียว เรียวขาของเธอห้อยลงมาจากโซฟาอย่างเย้ายวนใจ ผมสีทองเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์เหมือนกับว่ามันเป็นมงกุฎ


 


“อะไรนะ แครอล”


 


“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านสั่ง ทางสมาคมพ่อค้าได้ดำเนินการแล้ว ตามคำสั่งของท่าน พวกเราสามา-”


 


ผู้หญิงคนนั้นหยุดพูดและปิดปากของเธอ นี่เป็นเพราะว่าเธอเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าเธอหลับตาอีกครั้ง ตามความเข้าใจในตัวฝ่าบาทของเธอ เธอตัดสินใจหยุดพูดและรอคำสั่งของเธอ


 


“พืชที่เน่าเสียช่างน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ” เธอพูด ขณะที่เธอหลับตา เธอยื่นมือออกมาลูบแมวสีดำที่นอนอยู่บนตักของเธอ “แต่พวกมันเป็นอาหารให้กับเหล่าต้นกล้าที่จะเติบโตกลายเป็นดอกไม้ที่งดงาม การหยุดกระบวนการเติบโตของสิ่งมีชีวิตที่งดงามไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิด”


 


“ฉันเห็นด้วยค่ะ ฝ่าบาท”


 


แม้ว่าคำพูดของเธอจะดูไม่สอดคล้องกัน แต่หญิงสาวยังคงเข้าใจความหมายเบื้องลึกในคำพูดของเธอ เธอพยักหน้าตอบ แต่ใบหน้าของเธอเผยให้เห็นความซับซ้อน


 


“…จากรายงานครั้งล่าสุด พื้นที่แถบภาฟิวด์” เธอลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อ “…ดูเหมือนจะมีหนูจากสภา”


 


“ปล่อยพวกมันไป”


 


เด็กสาวหยุดลุบแมวดำและถอนหายใจออกมา


 


“ลูกน้องที่น่ารักของฉันรู้ดีว่าต้องทำอะไร ผู้ปกครองและลูกน้องนั้นรู้เห็นกันอยู่แล้ว ลูกน้องที่ผ่านคุณสมบัติจะเข้าใจสิ่งที่ฉันหมายถึง มีเพียงดอกไม้ที่ผ่านพายุมาได้เท่านั้นจึงจะมาสิทธิ์รับความชอบจากฉัน ฉันเชื่อว่าพวกเขารู้ว่าต้องทำอะไร”


 


“ค่ะ ฝ่าบาท”


 


เมื่อเด็กสาวได้ยินคำตอบที่เชื่องช้า เธอยิ้มออกมาอย่างสดใส


 


“หลังจากทำงานมาหนัก ฉันเชื่อว่าเธอต้องเหนื่อยแน่ ลองดื่มชาถ้วยนี้เป็นไง? นี่เป็นชาแดงสดที่ข้าเพิ่งซื้อมา ข้าคิดว่ามันเหมาะกับเจ้านะ”


 


“ขอบคุณค่ะ ฝ่าบาท”


 


“แครอล เจ้าอ่อนโยนเกินไป…แต่นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าชอบเจ้า มานี่ ไม่ต้องไปยืนตรงนั้น มาอยู่ใกล้ๆข้าเป็นยังไง?”


 


“ฝ่าบาท….”


 



 


ลมพัดแรงขึ้น


 


โรดส์รู้สึกโล่งใจ เมื่อเขากลับมายังเมืองดีพสโตนอย่างปลอดภัย


 


ระหว่างทางกลับ พวกเขาไม่พบเจอสิ่งรบกวนใดๆ อย่างที่มาร์ลีนว่าไว้ เหล่าอันเดดต้องใช้พลังงานของเนโรแมนเซอร์ในการรักษาร่าง ตอนนี้มันตายไปแล้ว เป็นธรรมดาที่อันเดดเหล่านั้นจะสลายกลายเป็นฝุ่นตามเดิม


 


ภารกิจนี้สำเร็จ ในที่สุดโรดส์ก็สร้างแกนวิญญาณที่เขาต้องการได้ ไลซ์ได้รับหนังสือศักดิ์สิทธิ์ และวอร์คเกอร์ได้รับเสื้อคลุมที่สามารถต้านทานการโจมตีด้วยธาตุได้


 


ในการแบ่งของแหวนวิญญาณมืดนั้น โรดส์และมาร์ลีนนั้นมีความเห็นต่างกัน


 


ใน Dragon Soul Continent คำจำกัดความว่า ‘แรร์ไอเทม’ ถูกแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกเป็นไอเทมที่มีน้อย และประเภทที่สองคือไอเทมที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของตัวมันเองได้ เช่น ดาบของโรดส์ เครื่องหมายแห่งดวงดาวที่เป็นประเภทแรก และแหวนวิญญาณมืดเป็นประเภทที่สอง ไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองชิ้นก็เป็น ‘แรร์ไอเทม’ และแหวนวิญญาณมืดครอบครองสกิลที่มีค่ามาก แต่กับผู้เล่น


 


[หมอกเงา : ผู้ถือไอเทมสามารถสร้างหมอกเป็นวงกว้าง AOE เมื่ออยู่ภายในหมอก ผู้ถือไอเทมจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระตามที่เขาต้องการ และยังได้รับความสามารถติดตัว ‘ซ่อนตัว’ ผลลัพธ์จะหายไปเมื่อผู้ถือไอเทมถูกโจมตี]


 


อีกวิธีหนึ่งในการอธิบายความสามารถนี้คือ : เป็นการเคลื่อนไหวทะลุมิติภายในขอบเขตที่กำหนด ในเกมแหวนวงนี้เป็นอุปกรณ์หายากมาก เนื่องจากความสามารถของมันสามารถใช้ได้ทุกคลาส ไอเทมนี้ถูกตามหาอย่างมากโดยเฉพาะคลาสจอมเวทย์  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีสกิลที่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วและหมอกเงานั้นเป็นวิธีแก้ไขข้อบกพร่องนั้นได้และยังสามารถป้องกันการซุ่มโจมตีได้ ถ้าผู้ถือถูกโจมตีก็สามารถใช้สกิลนี้หลบหนีได้ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ ขอบเขตพื้นที่ที่จำกัด แต่เหล่าผู้เล่นใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการผจญภัย มันจึงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย


 


แม้ว่ามันจะเป็นไอเทมหายากและมีประโยชน์ แต่โรดส์ไม่ได้คิดจะผูกขาดไอเทมทั้งหมดไว้กับตัวเอง เขาค่อยๆอธิบายวิธีการใช้งานแหวนวิญญาณมืดให้มาร์ลีนฟังและถามเธอว่าเธออยากได้หรือไม่


 


แต่เขาไม่เคยคิดว่ามาร์ลีนจะแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างมาก! เหตุผลของเธอนั้นง่ายมาก! อย่างแรก เธอเป็นจอมเวทย์วงเวทย์ขั้นกลางและมีเวทมนตร์ช่วยชีวิตมากมายและอย่างที่สอง เธอรู้สึกว่าหมอกเงาไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าที่โรดส์อธิบาย ในการต่อสู้ เมื่อเนโครแมนเซอร์ใช้ทักษะเดียวกันเพื่อซ่อนตัวเอง โรดส์ยังสามารถทำลายได้อย่างง่ายดายด้วยดาบของเขา เธอเชื่อว่ามันเป็นการดีที่สุดที่เธอจะไม่ฝากชีวิตของเธอไว้กับบางสิ่งที่ไม่น่าไว้ใจ ดังนั้นโรดส์จึงรับแหวนเอาไว้


 


….จริงหรือ?


 


เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับผู้เล่นที่ยินดีจ่ายเงินมหาศาลเพื่อขอซื้อไอเทมแรร์ที่ถูกตีตราว่า ‘ไม่น่าไว้ใจ’ โดย NPC


 


เขาสงสัยว่าสีหน้าของพวกเขาจะเป็นอย่างไร


 


“ขอบคุณที่ช่วยนะคะ คุณโรดส์”


 


สีหน้าของชอว์น่าดีกว่าเดิมมาก แม้ว่าการโจมตีของเนโครแมนเซอร์จะโจมตีจุดตาย แต่เนื่องจากนักดาบสาวผมแดงมีประสบการณ์โชกโชน เธอหลบการโจมตีได้ทันเวลาและได้รับบาดเจ็บแค่หัวไหล่ ด้วยการรักษาของไลซ์และนอนพัก เธอจึงไม่มีปัญหาตามมา


 


อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วกลุ่มทหารรับจ้างเรดฮอว์คเสียหายอย่างหนักเมื่อเทียบกับกลุ่มของโรดส์ พวกเขาเข้าสุสานพาเวลมาจากด้านบน แต่พวกเขายังไม่เจอดาบที่พวกเขาค้นหา นั่นทำให้ชอว์น่าเศร้าอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เป็นไปตามที่โรดส์คิดเพราะเขาจดจำสิ่งของทั้งหมดที่ดรอปจากสุสานพาเวลได้และไม่เคยได้ยินภารกิจลับที่เกี่ยวข้องกับดาบ


 


ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาได้ยินภารกิจที่ชอว์น่าอธิบาย เขาคิดว่ามันเป็นภารกิจพิเศษสำหรับ NPC และผู้เล่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นแปลกๆ……


 


“คุณชอว์น่า คุณแน่ใจนะว่าลูกค้าของคุณกำลังหาดาบอยู่?”


 


“ค่ะ”


 


เธอถอนหายใจและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้


 


“เขาบอกว่ามันเป็นมรดกตกทอดของตระกูลของเขาและพาเวลขโมยมันไป ดังนั้นเขาจึงขอร้องให้พวกเรามาหาดาบ ตามข้อตกลง เขาจ่ายมัดจำให้พวกเรา 150 เหรียญทอง ดังนั้นฉันจึงไม่คิดว่ามันเป็นภารกิจปลอม แต่ตอนนี้ ฉันหาดาบไม่เจอ ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี….”


 


ไม่น่าแปลกใจที่ชอว์น่าจะไม่สงสัยในภารกิจ เพราะตามกฎแล้ว เงินมัดจำจะไม่ได้รับคืนเมื่อภารกิจไม่สำเร็จ ในทางกลับกัน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว เงินส่วนนี้ก็จะต้องจ่ายออกไป มีกรณีมากมายที่ลูกค้าจ่ายเงินมัดจำก้อนเล็กๆเพื่อเป็นการยืนยันให้ทมำภารกิจ ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็จะจ่ายที่เหลือหลังจากภารกิจเสร็จสิ้น เนื่องจากลูกค้าของเธอเสนอเงินมัดจำให้เธอถึง 150 เหรียญทอง มันเทียบจะเท่ากับการทำภารกิจระดับ 3 ดาว มันเป็นเงินก้อนโต ชอว์น่าจึงไม่ได้สงสัยในตัวของลูกค้า ซึ่งท้ายที่สุดเขาโขนเงินก้อนนี้ทิ้งเพื่อความสนุกสนาน?


 


แต่การเศร้าเสียใจกับเรื่องนี้ในตอนนี้นั้นไม่มีประโยชน์ ดาบที่ชอว์น่าตามหาเป็นดาบโบราณ มันเป็นดาบที่มีอยู่ในเกม แต่ดาบเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นดาบสำหรับตกแต่ง เนื่องจากเธอไม่พบมัน ภารกิจของเธอจึงถือได้ว่าล้มเหลวและเธอสูญเสียลูกน้องไปมากมาย ดังนั้นเธอจึงเศร้าอย่างมาก  เธอกล่าวลาโรดส์และคนอื่นๆ และเดินตรงไปในสมาคมทหารรับจ้างพร้อมสมาชิกที่เหลือ มีเพียงบาร์นนี่เท่านั้นที่ถูกอุ้มมาโดยนักรบโล่ เด็กหนุ่มที่น่าสงสารยังไม่ตื่นจากสภาพโคม่า แต่ถ้าโรดส์เดาไม่ผิด เขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกต่อไป


 


เมื่อชอว์น่าและคนอื่นๆเดินจากไป ดวงตาของโรดส์เปล่งประกายเย็นชา


 


“พวกเขาถูกหลอก” โรดส์พูดขึ้น


 


“เอ๊ะ?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไลซ์เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง แม้แต่ชายชราเองยังขมวดคิ้ว


 


“มันคืออะไรรึ ไอ้หนุ่ม? เจ้าบอกว่าพวกเขากำลังถูกหลอกรึ? ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?”


 


“ง่ายๆ”


 


โรดส์ยักไหล่


 


“ถ้าเป็นอย่างที่ลูกค้าพูดจริงๆ” ดวงตาของโรดส์หรี่ลง ขณะที่เขาพูดขึ้น “งั้นทำไมพวกเขาถึงเชื่อใจทหารรับจ้างมากขนาดนั้น ดาบนั่นเป็นถึงสัญลักษณ์ประจำตระกูลเลยนะ? ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมเขาไม่เดินทางมาด้วย”


 


โรดส์พูดออกมาและสรุปอย่างใจเย็น


 


“ใช่”


 


มาร์ลีนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย


 


“สำหรับขุนนางอย่างพวกเรา มรดกของตระกูลคือจิตวิญญาณของตระกูล สามารถบอกได้ว่ามันเป็นตัวที่บ่งบอกถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตระกูล ถ้ามรดกหายไป ต้องเป็นหน้าที่ของสมาชิกในตระกูลที่ต้องตามหามันให้เร็วที่สุด ถ้าเป็นมรดกของตระกูลเซเนียถูกขโมยไป ไม่เพียงแต่ข้าจะขอร้องให้กลุ่มทหารรับจ้างช่วยเท่านั้น แต่ข้าจะออกตามหาไปกับพวกเขาด้วย มีเพียงสายเลือดกของตระกูลเท่านั้นที่จะสามารถรื้อฟื้นความรุ่งโรจน์ให้กลับมาอีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ทหารรับจ้างคนหนึ่งได้รับมรดกประจำตระกูลไป นั่นหมายถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตระกูล ฉันไม่ไว้ใจ ถ้ามีใครเก็บมรดกประจำตระกูลไปและนำมันไปขาย พวกเขาจะกลายเป็นเศรษฐีใหม่ทันที อย่างที่คุณโรดส์พูด มันต้องมีปัญหาแน่”


 


“ปัญหาอะไรเหรอคะ?”


 


เมื่อได้ยินคำอธิบายโดยละเอียดจากมาร์ลีน สีหน้าของไลซ์เครียดขึ้นทันที เนื่องจากชอว์น่าเป็นเพื่อนที่แสนดีของเธอ ตอนนี้เธอรู้ว่าชอว์น่ามีอันตราย แน่นอนเธอไม่สามารถใจเย็นได้


 


“ผมก็ไม่รู้”


 


โรดส์ส่ายศีรษะ จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังเมืองดีพสโตนที่อยู่ตรงหน้า


 


“แต่บางทีอาจจะมีเงื่อนงำบางอย่าง”


59 – คำเชิญจากตระกูลเคลเลอร์


 


สถานการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นกับกลุ่มทหารรับจ้างเรดฮอว์คทำให้โรดส์สงสัย แม้ว่าภายนอกอาจจะดูเหมือนอุบัติเหตุ แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เช่นเดียวกับชอว์น่าที่พูดถึงบุคคลที่ได้มัดจำเงิน 150 เหรียญให้เธอ เงินจำนวนนั้นมากเกินไปในการเล่นสนุกแบบนี้


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง


 


โรดส์ชั่งน้ำหนักในใจและปฏิเสธที่จะให้ไลซ์นำข้อมูลนี้ไปบอกกลุ่มเรดฮอว์ค เนื่องจากบาร์นนี่ก่อเรื่องขึ้น โรดส์จึงไม่สนใจจะเข้าไปยุ่งและขอให้วอร์คเกอร์ไปที่สมาคมทหารรับจ้างเพื่อทำหน้าที่เป็น ‘ตัวเอง’ เหมือนเดิม


 


“เมื่อคุณกลับไปที่สมาคม ช่วยสอดส่องดูว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง” โรดส์พูดกับวอร์คเกอร์ ขณะที่นั่งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือและเขียนบางอย่างลงกระดาษ


 


“แจ้งให้ผมทราบทันทีถ้ามีเรื่องแปลกๆ ถ้าเป็นไปได้ หาแทงค์ให้ผมด้วย”


 


“แทงค์? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”


 


โรดส์เอื้อมมือไปตบหน้าผากของเขาทันที เขารีบแก้ไขประโยคอย่างรวดเร็ว


 


“เอ่อ…หาคนที่สามารถยืนในแนวหน้าได้”


 


“จำไว้ พวกเราไม่ต้องการมากกว่า 2 คน แม้ว่าตอนนี้พวกเราจะขาดแคลนสมาชิก แต่สิ่งที่พวกเราต้องแก้ไขคือการทำงานเป็นทีม”


 


“คนที่สามารถยืนในแนวหน้าได้รึ…?”


 


เมื่อได้ยินคำขอร้องของโรดส์ วอร์คเกอร์ลูบคางและจมอยู่ในความคิด


 


“ฮึมมม…ข้ามีคนอยู่ในใจนะ แต่ไอ้หนู ข้าคิดว่าต้องเตรียมจ่ายเงินสักหน่อย”


 


“เท่าไหร่?”


 


โรดส์เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ชายชราที่อยู่ด้านหน้าเขา


 


“300 เหรียญทอง”


 


วอร์คเกอร์แสยะยิ้มออกมา


 


“แค่นั้น?”


 


โรดส์ขมวดคิ้ว รางวัลที่เขาได้รับมาจากการจบภารกิจสุสานพาเวลมีเพียง 500 เหรียญทอง ตอนนี้ตาแก่วอร์คเกอร์บอกว่าต้องใช้เงินเกินกว่าครึ่ง นั่นทำให้โรดส์งุนงงอย่างมาก โดยทั่วไปแล้ว การค้นหาทหารรับจ้างนั้นไม่ได้ใช้เงินมากขนาดนั้น ทหารรับจ้างอย่างดีก็ประมาณ 100 เหรียญทอง และมีทหารรับจ้างอีกหลายคนที่ไม่ต้องการเงินเพื่อเข้าร่วมกลุ่ม ยกตัวอย่างเช่น มาร์ลีนและวอร์คเกอร์ วอร์คเกอร์ต้องการเพียง 50 เหรียญทอง ส่วนมาร์ลีนสนใจเพียงประสบการณ์ที่ได้รับ แต่ตอนนี้วอร์คเกอร์กลับต้องการเงินถึง 300 เหรียญทองเพื่อสรรหาคน?


 


วอร์คเกอร์ยิ้มออกมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นปฏิกิริยาของโรดส์ นับตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้าง โรดส์มีท่าทีประชดประชันเขาตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงอยากมให้โรดส์ลิ้มรสยาของตัวเองสักหน่อย แน่นอน เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นแต่แรกอยู่แล้วเพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม แต่ ฮิฮิ….เมื่อมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง การใช้เงินเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


“แน่นอน”


 


แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจ แม้ว่าโรดส์จะตกใจในตอนแรก แต่เขากลับไม่โกรธหรือไม่พอใจ กลับกัน เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าและหยิบถุงเงินออกมาและโยนไปบนโต๊ะ


 


“นี่ 500 เหรียญทอง รับไว้สิ”


 


“เอ๊ะ?”


 


เมื่อเห็นอย่างนั้น ใบหน้าของวอร์คเกอร์แข็งค้างทันที


 


“เฮ้ ไอ้หนุ่ม นี่มันเงินทั้งหมดของพวกเราไม่ใช่รึ? เจ้าจะเอามาให้ข้าแบบนี้เหรอ?”


 


โรดส์ยักไหล่ “มันไม่สำคัญหรอก ตอนนี้พวกเรายังไม่จำเป็นต้องใช้เงิน เพราะคุณต้องใช้มัน รับมันไปเถอะ”


 


เขาไม่แม้แต่เหลือบตาไปมองถุงเงิน เขาโยนถุงเงินให้วอร์คเกอร์ 500 เหรียญทองเป็นเงินมหาศาล แต่สำหรับโรดส์ 500 เหรียญทองไม่ต่างอะไรไปจากหยดน้ำในมหาสมุทร ย้อนกลับไปในเกม เมื่อตอนที่เขาเป็นหัวหน้ากิลด์ เขาจัดการเงินหลายล้านเหรียญทองในแต่ละวัน ดังนั้นเงินแค่ 500 เหรียญทองไม่เพียงพอจะทำให้เขารู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย บอกตรงๆเขากลัวว่าวอร์คเกอร์จะไม่กล้าใช้เงินมากกว่า เขาจึงหักส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายเอาไว้


 


มีเพียงวอร์คเกอร์เท่านั้นที่รู้ว่าโรดส์คิดอะไรอยู่ตอนนี้…เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับคำแนะนำของเขาโดยไม่สงสัย น่าเสียดายที่การอ่านใจคนอื่นไม่ใช่หน้าที่หลักของเขา ดังนั้นวอร์คเกอร์จึงมองโรดส์ในมุมมองที่ดีขึ้นเพราะการกระทำของเขาถือได้ว่าใจกว้างมาก


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงไป ไอ้หนู”


 


วอร์คเกอร์หยิบถุงเงินและเดินออกไปด้วยท่าทางเคร่งครึม


 


“ข้าสัญญาว่าข้าจะพาผู้สมัครที่ทำให้เจ้าพอใจกลับมา”


 


วอร์คเกอร์โค้งและยิ้มออกมาเล็กน้อย


 


“ข้ามั่นใจได้ว่าเงินของเจ้าจะถูกใช้อย่างคุ้มค่า”


 


“ผมก็หวังแบบนั้น”


 


ในขณะที่โรดส์สดใจกระดาษตรงหน้า เขาไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มแปลกๆของวอร์คเกอร์ โรดส์วางปากกาลงและมองไปที่วอร์คเกอร์


 


“มีอะไรอีกไหม?”


 


“ใช่ ข้ามีเรื่องอยากถาม พวกเราจะรับภารกิจต่อไปเมื่อไหร่?”


 


“ผมรับมาแล้ว พวกเราจะออกเดินทางในอีก 2 วัน”


 


“2 วัน?”


 


ชายชราขมวดคิ้ว


 


“แล้วข้าจะเอาเวลาที่ไหนไปหาข้อมูลล่ะ?”


 


“มาร์ลีนกับผมจะเป็นคนทำภารกิจนี้เอง”


 


โรดส์ส่ายศีรษะและตอบกลับ


 


“ไลซ์ต้องใช้เวลาศึกษาเวทย์ใหม่และคุณเองก็มีเรื่องต้องทำ นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเราทั้งคู่จะไปเอง” โรดส์เหลือบไปมองเด็กสาวที่นั่งอยู่มุมหนึ่งในห้องอ่านหนังสือ “ไม่ต้องกังวลไป พวกเราไปแค่ป่าราตรีเพื่อไปเก็บพืชสำหรับเล่นแร่แปรธาตุ เป็นภารกิจระดับ 2 ดาว”


 


มาร์ลีนรับรู้ได้ถึงสายตาของโรดส์ เธอยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ การกระทำเช่นนี้ทำให้โรดส์ส่ายหัวและถอนหายใจออกมา


 


เอาจริงๆ โรดส์ไม่ได้วางแผนจะพามาร์ลีนไปด้วย เขาอยากออกเดินทางไปด้วยตัวเองและหาอุปกรณ์ที่ซ่อนอยู่ภายในป่าราตรี อย่างไรก็ตาม มาร์ลีนเมื่อได้ยินเรื่องนี้และรีบเสนอตัวตามเขาไป เพราะเหตุผลที่เธอมาที่นี่เพื่อเก็บประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่เธอจะออกไปจากเมืองดีพสโตน เมื่อเจอกับคำขอร้องของมาร์ลีน โรดส์จึงตกลงจะพาเธอไป ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้เธอก็เป็นหนึ่งในสมาชิกในกลุ่มทหารรับจ้างของเขา บวกกับความแข็งแกร่งของเธอ ในฐานะจอมเวทย์วงเวทย์ขั้นกลาง อาจมีประโยชน์บ้างถ้าเกิดเรื่องขึ้น


 


“โอเค ข้าเข้าใจแล้ว”


 


วอร์คเกอร์พยักหน้าและลุกขึ้น


 


“ข้าจะไปจัดการเรื่องของข้าและไปสังเกตการณ์ในสมาคม ข้าอยู่ที่นั่น ถ้าเจ้าอยากเจอข้า”


 


เมื่อเขาพูดจบ ชายชราหันหน้าออกและเดินจากไป แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไป เสียงเคาะประตูดังขึ้น


 


เป็นไลซ์ เธอเปิดประตูเข้ามาและเดินไปหาโรดส์ เธอส่งซองบางอย่างให้เขา


 


“คุณโรดส์ นี่ถูกส่งมาโดยตระกูลเคลเลอร์”


 


ร่องรอยความสับสนปรากฏบนใบหน้าของเธอ เมื่อเธอส่งจดหมายให้โรดส์ การแกะสลักบนจดหมายที่งดงาม สัญลักษณ์สีทองเป็นสัญลักษณ์ที่เผยให้เห็นตัวตนและตระกูลที่สูงส่ง


 


“ตระกูลเคลเลอร์?”


 


โรดส์มึนงงและขมวดคิ้ว จากนั้นเขารับจดหมายมาจากเธอ


 


“พวกเรารู้จักคนพวกนี้เหรอ?”


 


เมื่อได้ยินคำถามของโรดส์ ไลซ์มองโรดส์อย่างราบเรียบ


 


“อืมม…คุณโรดส์ คุณลืมไปแล้วเหรอคะ?”


 


“อะไรเหรอ?”


 


“เมื่อตอนที่พวกเรากลับมาเมืองดีพสโตนจากป่าราตรี คุณช่วยชีวิตคุณหนู….”


 


“เรื่องนั้นเหรอ”


 


โรดส์ตอบกลับอย่างชัดเจน เมื่อเห็นจากสีหน้าของเขา เขาลืมเรื่องนี้จริงๆ ไลซ์มึนงง แต่เธอกลืนน้ำลายและตัดสินใจไม่พูดอะไร พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่ได้รู้จักกันเป็นอย่างดี หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ไม่มีการติดต่อกันเลย แต่ทางตระกูลเคลเลอร์ติดต่อกับโรดส์โดยไม่คาดคิด เธอไม่รู้ว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอะไร


 


“หัวหน้าตระกูลเคลเลอร์เชิญผมไปกินมือเย็นเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยชีวิตลูกสาวของเขา”


 


โรดส์อ่านเนื้อหาออกมาเสียงดังและวางจดหมายลงบนโต๊ะ


 


“แล้ว…มีใครอยากไปกับผมไหม?”


 


ชายชราถอนตัวออกเป็นคนแรก เขาเดินออกจากห้องและโบกมือให้โรดส์


 


“ดื่มชากับพวกขุนนางน่าเบื่อรึ? ตัดข้าออกไปเลย ข้าไปละ ไอ้หนู มั่นใจได้ภารกิจที่เจ้ามอบให้ ข้าจะจัดการเอง”


 


“ฉัน ฉันก็…”


 


ไลซ์พูดด้วยความลังเล เผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่าอึดอัดใจ จากนั้นเธอก้าวถอยหลัง 2-3 ก้าว


 


“ฉันกำลังเรียนรู้เวทย์บทใหม่ และฉันคิดว่า…ฉันไม่ควรไปค่ะ”


 


“มาร์ลีน?”


 


เมื่อเห็นวอร์คเกอร์และไลซ์ไม่สนใจ โรดส์จึงหันไปสนใจคนสุดท้ายในห้อง มาร์ลีนคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะพยักหน้า


 


“แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยสนใจ…แต่ฉันเดาว่ามันน่าจะผ่อนคลายได้บ้าง มาสิ ไลซ์! ไปด้วยกันเถอะ”


 


“เอ๊ะ? แต่ฉัน…”


 


“เวทมนตร์ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะเรียนได้ในวันเดียวนะ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ได้ร่วมงานเลี้ยงน้ำชามาตั้งแต่เด็ก”


 


“เอ่อ-คือ…”


 


เนื่องจากการคะยั้นคะยอของมาร์ลีน ใบหน้าของไลซ์แดงกล่ำ เธอรีบมองไปยังโรดส์ เมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร เธอรู้สึกโล่งใจและพยักหน้า


60 – งานเลี้ยงในยามค่ำคืน


 


เพล้ง!!


 


เสียงแจกันร่วงลงพื้นแตกเป็นชิ้นๆ


 


“ทำไมท่านพ่อต้องชวนไอ้หมอนั่นมาด้วย ท่านพ่อ!?”


 


เฮเลนยืนขึ้นในห้องนั่งเล่นและมองไปยังเคลเลอร์อีกคนด้วยใบหน้าเคร่งครึม


 


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาขว้างอะไรแบบนี้”


 


เมื่อมองไปที่ใบหน้าบวมเปล่งของลูกสาว เคลเลอร์ถอนหายใจ แต่สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้น


 


“ไม่ว่ายังไง คนๆนั้นก็ช่วยชีวิตลูก อย่างน้อยลูกก็ต้องพูดบางอย่างออกไป ลูกลืมที่พ่อสอนไปหมดแล้วรึ?”


 


เคลเลอร์ขึ้นเสียง นั่นทำให้เฮเลนขดตัวลง แต่เมื่อรู้ตัวว่าเธอแสดงท่าทางขี้ขลาดออกไป เธอยืนตรงขึ้นอีกครั้ง


 


“ข้าไม่สน ไม่ว่ายังไง ข้าเกลียดหมอนั่น! ข้าไม่เคยคิดจะขอบคุณหมอนั่น แม้ว่าพ่อจะฆ่าข้า!”


 


“เจ้า…! เจ้ามันนิสัยเสีย…!”


 


เขาชี้นิ้วไปยังลูกสาวไม่รักดีด้วยความโกรธ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลูกสาวที่น่ารักของเขาถึงกลายเป็นเด็กดื้อรั้นไปได้


 


“กลับไปที่ห้องของลูก เดี๋ยวนี้! คืนนี้ สาวน้อย เจ้าต้องอยู่ที่นี่!”


 


“ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น! หึ!!”


 


เฮเลนย่ำเท้าและหันกลับไป เธอออกจากห้องไปด้วยความโกรธ เคลเลอร์มองร่างของลูกสาวหายไปหลังประตู เขานั่งลงบนเก้าอี้และถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในตอนนี้ใบหน้าของเขาเหมือนแก่ขึ้นอีก 10 ปี


 


เขาเหนื่อยมาก


 


“นายท่าน…”


 


เบนเดินเข้ามาหาเคลเลอร์อย่างนุ่มนวลและโค้งอย่างเคารพ เขามองไปยังสีหน้าของเจ้าของของเขา ก่อนจะพูดออกมาอย่างลังเล “เกี่ยวกับคุณหนู…”


 


“จับตาดูเธอไว้ให้ดี คืนนี้ อย่าให้เธอออกไปจากห้อง”


 


เคลเลอร์โบกมือและถอนหายใจอีกครั้ง เขานวดคิ้วทั้งสองข้างด้วยมือของเขา ในขณะที่โบกมือให้เบนออกไปจากห้อง


 


เคลเลอร์โบกมือและถอนหายใจ เขาเอามือก่ายหน้าผากอย่างเหนื่อยล้า


 


“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน ข้าเหนื่อย ข้าอยากนอนพัก รายงานข้าถ้าพวกเขามาถึง ข้าจะไปต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง”


 


“ขอรับ”


 


หลังจากได้รับคำสั่งของเคลเลอร์ เบนออกไปทันที เคลเลอร์หลับตาเป็นเวลานานและไม่พูดอะไร ตอนนี้มีภาระหน้าที่มากเกินไปสำหรับเขา ไม่เพียงแต่ภาระของตระกูล แต่ยังมีสมาคมพ่อค้าที่เป็นปัญหาใหญ่ เมื่อพวกเขาพยายามลักพาตัวลูกสาวของเขาเพื่อข่มขู่เขา เขาจึงตัดสินใจตัดขาดจากสมาคมพ่อค้า เขาไม่เคยคิดว่าคนที่คิดแต่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียวในสมองจะกลายเป็นพวกสกปรกชั่วช้า นับตั้งแต่ที่เขารู้จุดยืนของตัวเอง เขาตัดสินใจไม่เกี่ยวข้องกับสมาคมอีกต่อไป เพื่อความปลอดภัย เขาจึงห้ามไม่ให้เฮเลนออกไปข้างนอกหรือจนกว่าเรื่องนี้จะจบ แน่นอนเขาเดาว่าเฮเลนต้องไม่พอใจอย่างมาก แต่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว เขาต้องรับผิดชอบชีวิตของทุกคน


 


เคลเลอร์รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติที่ 2-3 ที่ผ่านมา แต่เขาคิดไม่ออก แม้ว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเมืองโกลเด้น แต่เคลเลอร์รู้ดีว่าเด็กสาวคนนั้นเคลื่อนไหวแล้ว นั่นหมายความว่าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของเขาใกล้จะถึงจุดจบแล้ว


 


เคลเลอร์ส่ายหัวและทิ้งอารมณ์ด้านลบออกไป เนื่องจากเขาไม่เข้าใจ เขาจึงคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไป เวลานี้งานเลี้ยงอาหารค่ำจะได้รับเกียรติจากประธานสมาคมทหารรับจ้างและดยุค เขาต้องถือโอกาสนี้พูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับปัญหานี้ในเชิงลึกเนื่องจากมีความสำคัญมาก นอกจากนี้เขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว


 


ในตอนแรก เคลเลอร์ไม่ตั้งใจจะเปิดเผยเรื่องนี้เพราะมันเป็นปัญหาภายในของสมาคมพ่อค้า แต่หลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวลูกสาวของเขา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้าเป็นเพียงแค่การผิดใจกันทั่วไป พวกเขาไม่ควรใช้วิธีที่รุนแรงแบบนี้เพื่อบังคับเขา


 


ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องเตรียมการไว้ก่อน


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ เคลเลอร์อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตลูกสาวของเขา แม้ว่าเมืองดีพสโตนจะเป็นเมืองเล็ก แต่การหาคนๆเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตาม โรดส์นั้นค่อนข้างมีชื่อเสียง ดังนั้นการหาข้อมูลของเขาจึงไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่เคลเลอร์คิด


 


เมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามาในเมืองดีพสโตน เขาได้รับการประเมินโดยเซเร็คและเขาชนะ หลังจากนั้นเขากลายมาเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างที่มีสมาชิกเพียง 2 คน จากนั้น เขาใช้เงินซื้อบ้านผีสิงของตระกูลไซริล ยิ่งไปกว่านั้น มีข่าวลือมาว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม บอกตรงๆถ้าไม่ใช่ความจริงที่เขาฝีมือของเขาเก่งกาจ เขาคงยากที่จะเชื่อว่าคนๆหนึ่งจะทำเรื่องทั้งหมดได้


 


เด็กหนุ่มคนนี้นำกลุ่มทหารรับจ้างที่ ‘เล็กมาก’ ไปจัดการเนโครแมนเซอร์ที่สุสานพาเวล ซึ่งเป็นภารกิจระดับ 4 ดาว แม้ว่าจะมีคนจำนวนมากสงสัยในหลักฐานที่พวกเขาเอามา แต่เจ้าหน้าที่ของสมาคมทหารรับจ้างได้ออกมายืนยันกับผู้คนว่านั่นเป็นหัวและไม้เท้าของเนโครแมนเซอร์เป็นของจริง


 


โรดส์ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาเป็นที่สนใจของผู้คนมากมายในขณะนี้ ความจริงแล้วเขานำคนกี่คนไปจัดการกับภารกิจอันตรายได้ นั่นหมายความว่าเขาต้องเป็นคนที่มีความพิเศษมาก ทหารรับจ้างเองก็เป็นมนุษย์เช่นกัน เป็นธรรมดาที่พวกเขาต้องทำงานเพื่อความแข็งแกร่งและใช้ชีวิตให้สมดุล


 


แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร?


 


เขาเป็นคนแบบไหนกัน?


 


เคลเลอร์หลับตาและรำพึงกับตัวเอง


 



 


เมื่อยามราตรีมาถึง บรรยากาศที่เงียบงันเต็มไปด้วยแสงไฟ


 


โคมระย้ามากมายส่องแสงสว่างออกมา ในขณะที่รถม้าหรูหราขับวนไปมาอย่างไม่ขาดสาย ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่เหล่าขุนนางจะได้พูดคุยกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ พวกเขาก็สนุกสนานได้ด้วยตัวเอง


 


ดังนั้น งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้จึงเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา


 


“บ้านหลังนี้รับคนจำนวนมากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”


 


ประธานสมาคมเดินลงมาจากรถม้าและพึมพำอย่างไม่มีความสุข  ขณะที่มองไปยังเหล่าขุนนางที่สวมเสื้อผ้าหรูหรา


 


“ทุกครั้งที่ข้ามาที่นี่ ข้านึกว่าข้ามาเดินตลาด เสียงดังโวกเวกทำให้ข้าปวดแก้วหู!”


 


“ไง เพื่อนข้า หายากนะที่คุณเคลเลอร์จะเชิญพวกเรามาด้วย อย่าหัวเสียไปตาแก่”


 


เมื่อเทียบกับประธานสมาคมทหารรับจ้างที่สวมชุดลำลองสบายๆแล้ว เซเร็คอยู่ในชุดที่หรูหรามากขึ้น งานเลี้ยงเฉลิมฉลองของเมืองดีพสโตนเป็นแหล่งรวมเหล่าขุนนางที่แต่งตัวอย่างหรูหรา ที่เอวของเขายังคงมีดาบเวทย์แขวนอยู่อย่างสบายๆ


 


“ชายคนนั้นกำลังมีปัญหาน่ะสิ”


 


โดยไม่สนใจสายตาไม่พอใจของใครหลายคน ประธานสมาคมเดินเข้าในในห้องโถง เขาหยิบไปป์ออกมาและเคาะกับประตู


 


“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ทำให้เขาถึงดูเหนื่อยล้าล่ะ? ดูสิ แม้แต่คลูทซ์จิ้งจอกเฒ่ายังมา ดูเหมือนว่าเขากำลังจะมีปัญหาใหญ่จริงๆ”


 


“บางที ข้าได้ยินมาว่าเกิดเรื่องขึ้นที่สมาคมพ่อค้า แต่…ถ้านั่นเป็นปัญหา เขาคงไม่มองหาพวกเรา สมาคมทหารรับจ้างหรือไม่ก็คลูทซ์ให้ช่วยแก้ปัญหาหรอก เจ้าคิดว่าไง?”


 


“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ถ้ามีใครกล้ามีเรื่อง ข้าจะใช้ค้อนทุบมันให้ตายเอง เจ้าไม่คิดอย่างนั้นรึ?”


 


“นั่นก็ไม่ถูกเท่าไหร่นะ….”


 


เซเร็คยังพูดไม่จบประโยค ก่อนที่ประตูจะเปิดออกอีกครั้ง


 


เสียงดังอื้ออึงในห้องโถงเงียบไปทันที


 


สำหรับเหล่าขุนนาง มีเพียงไม่กี่อย่างที่สามารถดึงความสนใจของพวกเขาได้ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังมองไปยังคนมาใหม่ทั้ง 3 ที่กำลังเดินมาบนทางเดิน


 


โรดส์ยืนอยู่ด้านหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ เขาสวมชุดสีดำทั้งชุดโดยขับเน้นผิวสีซีดแลเร่างกายที่ผอม ผมยาวสีดำยาวถึงไหล่ ใบหน้าที่สะดุดตาเผยประกายเย็นชาออกมาทำให้เขาดูมีเสน่ห์อย่างแปลกประหลาด


 


ตามหลังเขามาเป็นสองสาวที่งดงามไม่แพ้กัน


 


ชุดของมาร์ลีนไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก เธอยังอยู่ในชุดคลุมอันหรูหราที่สมบูรณ์แบบสำหรับเธอ ไม้คทาทับทิบที่อยู่ข้างกายเธอเปล่งประกายความหรูหราออกมา


 


ในขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับทั้งสองคน ชุดของไลซ์สุภาพกว่ามาก เธออยู่ในชุดเดรสสีขาวเป็นประกายราวกับว่าเธอเป็นดอกลิลลี่สีขาวที่ได้รับความรักจากทุกคน


 


ทุกคนในห้องโถงเป็นคนที่โดดเด่น แต่ผู้มาใหม่ทั้ง 3 โดยเด่นด้วยกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก ในไม่ช้าบางกลุ่มเริ่มกระซิบและนินทา


 


“อืมม…ดูเหมือนว่างานเลี้ยงนี้จะดีกว่าที่ฉันคิด”


 


มาร์ลีนไม่สนใจคนรอบตัวเธอและมองไปรอบๆ


 


“มา-มาร์ลีน อย่าหยาบคายสิ”


 


ไลซ์ยื่นมือออกไปและดึงแขนเสื้อของมาร์ลีน


 


“เธอไม่ต้องกังวลไปน่า ไลซ์ ผ่อนคลายไว้”


 


อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามาร์ลีนไม่ได้สนใจคำแนะนำของไลซ์เลย


 


“พวกเรามาที่นี่เพื่อสนุกสนาน ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวคนนี้ยินดีมาเข้าร่วมงานเลี้ยงต่ำต้อยเช่นนี้ นั่นเพียงพอให้พวกเขาเชิดหน้าชูตาได้แล้ว”


 


หลังจากมาร์ลีนพูดจบ ชายวัยกลางคนแต่งตัวดีปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าห้องโถง หลังจากสังเกตเห็นโรดส์และคนอื่นๆ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเล็กน้อยและรีบเดินมาทางพวกเขาทันที


 


“สวัสดีครับ คุณโรดส์…ข้า เคลย์เตอร์ เคลเลอร์ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าช่วยลูกสาวของข้าและหวังว่าจะได้พบกัน ตอนนี้ ความหวังของข้าเป็นจริงแล้ว ในนามของตระกูลเคลเลอร์ ข้ายินดีต้อนรับเจ้าสู่งานเลี้ยงนี้”


 


“ไม่ต้องสุภาพก็ได้ครับ คุณเคลย์เตอร์ ผมดีใจมากที่ได้รับคำเชิญของคุณ”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคน โรดส์ตอบกลับด้วยท่าทางสุภาพ  เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ขุนนาง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะคิดไปในเกม เขาเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้มาหลายต่อหลายครั้ง เขาจึงดึงออกมาใช้


 


เมื่อได้ยินคำตอบของโรดส์ เคลย์เตอร์ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข จากนั้นเขาหันไปสนใจบุคคลที่อยู่ด้านหลังของโรดส์


 


“คุณโรดส์ครับ แล้วสองคนนี้คือ..?”


 


“สวัสดีค่ะ” มาร์ลีนก้าวออกมาครึ่งก้าวและจับกระโปรงเล็กน้อย “ชื่อของฉันคือมาร์ลีน เซเนีย ดีใจมากที่ได้พบคุณค่ะ คุณเคลย์เตอร์”


 


“เซเนีย?”


 


เมื่อได้ยินคำตอบของมาร์ลีน เคลย์เตอร์ตกตะลึงในทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและมองไปทางโรดส์


 


ชายคนนี้เกี่ยวข้องกับคนจากตระกูลเซเนียเหรอ?


 


ตัวตนของเขาเป็นใครกัน?


 

 

 


ตอนที่ 61

 

61 – แขกที่ไม่คาดคิด


 


เคลเลอร์รู้สึกว่าตัวตนของโรดส์สับสนมากเกินไป เดิมทีเขาไม่ได้สนใจในเบื้องหลังของโรดส์เพราะแม้แต่ในบรรดาขุนนาง พวกเขาก็มีหลายชนชั้น ตราบใดที่คุณมีเงิน คุณสามารถซื้อตำแหน่งระดับต่ำและได้เข้าสู้แวดวงขุนนาง ยิ่งไปกว่านั้นจากความรู้ที่เขารวบรวมมา เชสพบว่าโรดส์นั้นมาจากที่ราบตะวันออก พื้นที่ที่เป็นอิสระและถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก นั่นเป็นสาเหตุที่เคลเลอร์ไม่ได้สนใจในเรื่องราวของเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามุมมองของเขาจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะการมีความสัมพันธ์กับตระกูลเซเนียไม่ใช่สิ่งที่ขุนนางทั่วไปจะทำได้ อิทธิพลของตระกูลเซเนียแผ่ขยายไปทั่วทั้งทวีป ในขณะที่ตระกูลเคลเลอร์ที่ถือว่าร่ำรวย แต่เมื่อเทียบกับตระกูลเซเนีย ตระกูลของเขาเปรียบเสมือนเรือเล็กในมหาสมุทร


 


แน่นอน เคลเลอร์ได้ยินชื่อของมาร์ลีน เซเนีย อัจฉริยะจอมเวทย์ที่หาตัวจับได้ยากของศตวรรษ ด้วยอายุเพียงเท่านี้ เด็กสาวสามารถเข้าถึงวงเวทย์ขั้นกลางได้ อนาคตของเธอยังอีกยาวไกล มีข่าวลือว่าเธอได้มีโอกาสเข้าร่วมกับกองทัพเวทมนตร์ประจำราชวงศ์


 


และเป็นคนเดียวกันกับจอมเวทย์อัจฉริยะที่ยืนอยู่ด้านหลังโรดส์งั้นรึ?


 


เธอหมายความว่าตัวตนของโรดส์นั้นสูงกว่างั้นรึ?


 


ถ้ามาร์ลีนได้ยินสิ่งที่เคลเลอร์คิดในใจตอนนี้ เธออาจจะโยนบอลไฟใส่หน้าเขาทันที สาเหตุที่มาร์ลีนยืนด้านหลังโรดส์คือเธอจะได้กระซิบกับไลซ์ได้สะดวก สำหรับสถานะของเธอ….อย่างน้อยมาร์ลีนก็รู้ว่าสถานะของเธอสูงกว่าทุกคนในงานเลี้ยงแห่งนี้


 


เคลเลอร์ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงที่มาร์ลีนยืนด้านหลังโรดส์และยิ่งให้เกียรติพวกเขามากขึ้นไปอีก ก่อนจะพาพวกเขาไปยังที่นั่ง การกระทำในครั้งนี้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นของแขกมากมาย เนื่องจากตระกูลเคลเลอร์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูลลำดับที่ 1 ในเมืองดีพสโตน เป็นเรื่องยากที่จะเห็นพวกเขาก้มหัว ความนอบน้อมที่เคลเลอร์แสดงออกมาทำให้ทุกสายตามองลงมาที่โรดส์


 


ไม่ว่าจะเป็นไปตามที่เคลเลอร์ต้องการหรือไม่ โรดส์ลงไปนั่งข้างเซเร็ค เมื่อสังเกตเห็นโรดส์และคนอื่นๆกำลังเดินเข้ามาหาเขา นักดาบยิ้มและยืนขึ้น


 


“สวัสดี โรดส์ ไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่นี่นะ”


 


“สวัสดีครับ คุณเซเร็ค”


 


โรดส์จับมือเซเร็คและพยักหน้า


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะบัตรเชิญของคุณเคลเลอร์ ผมคงไม่ได้มีโอกาสมางานแบบนี้หรอกครับ”


 


“อ๊ะ? งั้นเหรอ”


 


เมื่อได้ยินคำตอบของโรดส์ เซเร็คยิ้มและไม่พูดอะไรออกมา เขามองไปที่มาร์ลีนด้วยสีหน้าซับซ้อน


 


“ข้าได้ยินข่าวมาจากแฮงค์ว่าการตัดสินใจของเจ้า…..”


 


“ฉันไม่คิดว่าการตัดสินใจของฉันผิดหรอกนะ ลุงเซเร็ค”


 


มาร์ลีนเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ


 


“คุณก็รู้สาเหตุที่ฉันมาอยู่ที่นี่ ท่านพ่อส่งฉันให้มาเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่ฉันถูกขังอยู่แต่ในบ้าน ฉันคิดว่าคุณโรดส์สามารถช่วยฉันได้ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างของเขาและพวกเราก็ทำภารกิจสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ใช่ไหมล่ะ?”


 


“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า ข้าไม่รู้ว่าจะไปอธิบายกับพ่อเจ้ายังไงน่ะสิ”


 


เซเร็คส่ายศีรษะ แต่มาร์ลีนไม่สนใจ


 


“ฉันตัดสินใจด้วยตัวเอง แล้วฉันจะไปอธิบายให้ท่านพ่อฟังเอง”


 


เธอตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ จากนั้นเธอดึงแขนไลซ์และเดินออกไป


 


“เฮ้ออ…คุณหนูนี่ดื้อจริงๆ…”


 


เมื่อเห็นเงาของมาร์ลีนหายไปในฝูงชน เซเร็คถอนหายใจและหันไปหาโรดส์


 


“ข้าจะปล่อยให้เด็กคนนั้นอยู่ในมือเจ้านะ โรดส์ ข้าหวังว่าคุณจะดูแลเธอเป็นอย่างดี เธอมีความสามารถ แต่เธอหยิ่งยโสเกินไป ไม่แปลกใจเลยที่เธอมีทั้งพลังและความสามารถ แต่ในโลกนี้ การมีพลังและความสามารถไม่ใช่ทุกสิ่ง ถ้าเธอยังเป็นแบบนี้ ข้ากลัวว่าเธอจะต้องเสียใจในภายหลัง”


 


เซเร็คหยุดไปพักหนึ่ง จากนั้นเขาหันไปข้างหูโรดส์และกระซิบกับเขา


 


“ยังไงก็เถอะ พวกเราได้รับรายงานแปลกๆ มีสายลับจากประเทศแห่งแสงกำลังมองหาเด็กหนุ่มผมสีดำที่เรียกวิญญาณอัญเชิญออกมาได้”


 


โรดส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไร


 


“เจ้าไปมีปัญหาอะไรกับพวกเขารึ?” เซเร็คถามต่อ


 


น้ำเสียงของเซเร็คหนักแน่น ไม่มีอะไรแปลกไป แต่ดวงตาของเขามองดูโรดส์อย่างรอบคอบและพยายามตรวจจับการเคลื่อนไหวบนใบหน้าของเขา


 


แต่โรดส์ส่ายศีรษะและยักไหล่ของเขา


 


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ คุณเซเร็ค”


 


โรดส์หรี่ตาลงและให้คำตอบครุมเครือ


 


“ผมไม่คิดว่าผมจะไปทำอะไรที่เป็นการจุดประกายความหวังของคนอื่นหรอกครับ”


 


เซเร็คยังคงเงียบ จากนั้นเขายิ้มและตบไปที่ไหล่ของโรดส์


 


“ข้าเข้าใจดี ไม่ต้องกังวล ที่นี่ไม่ใช่ประเทศแห่งแสง ไอ้พวกบ้านั่นไม่กล้าทำอะไรเปิดเผยหรอก แต่อย่างไรก็เถอะ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่นำเรื่องนี้ไปพัวพันกับมาร์ลีนนะ เนื่องจากตัวตนขเงเธอค่อนข้างอ่อนไหว แม้ว่าความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรมันน์และประเทศแห่งแสงจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่จะดีกว่าถ้าเจ้าไปเอามือไปแหย่รังแตน”


 


เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของเซเร็ค โรดส์ถอนหายใจอย่างลับๆ ความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรมันน์และประเทศแห่งแสงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานหลายปี แม้ว่าภายนอก ทั้งสองประเทศจะเป็นพันธมิตรกัน ประวัติศาสตร์ของทั้งสองหยั่งรากลึกไปมาก นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว


 


แม้ว่าประเทศแห่งแสงจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เป็นมิตรมากกว่าประเทศอื่น เมื่อพบว่ามังกรแห่งแสงรุ่นแรกได้ก่อตั้งสภาขึ้นโดยมี 13 ขุนนางเป็นสมาชิก เนื่องจากมังกรแห่งแสงไม่เห็นด้วยกับการคุมอำนาจเผด็จการของมังกรแห่งความมืด  มังกรแห่งแสงจึงเลือกเส้นทางที่แตกต่าง มันยกสิทธิ์ทั้งหมดในการตัดสินใจให้กับสภาและปัญหาต่างๆจะถูกตัดสินใจโดยการลงคะแนนเสียง


 


อย่างไรก็ตาม อาณาจักรมันน์นั้นเป็นข้อยกเว้น


 


โครงสร้างการปกครองของอาณาจักรมีรากฐานแตกต่างไปจากประเทศแห่งแสง และด้วยเหตุนี้ รอยร้าวระหว่างประเทศทั้งสองจึงเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องยิ่งแย่ลงไปอีก เพราะภูมิประเทศของอาณาจักรมันน์อยู่ในจุดที่ยอดเยี่ยมมาก เครือข่ายการค้าของอาณาจักรตั้งอยู่รอบชายแดนของประเทศแห่งแสง พวกเขามีแม่น้ำและทะเลสาปเพียงพอต่อความต้องการพื้นฐานของประชาชน รวมถึงเหมาะสำหรับการค้าขาย รอบๆอาณาจักรมีเหมืองคริสตัลเวทมนตร์และเหมือนแร่มากมาย นั่นทำให้ประเทศข้างเคียงอิจฉาความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรมันน์อย่างมาก


 


แน่นอน ประเทศแห่งแสงเองก็เช่นกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความอิจฉาของพวกเขาที่มีต่ออาณาจักรมันน์เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามสานสัมพันธ์ต่อกัน แต่ภายในแล้ว พวกเขาเกลียดชังความรุ่งเรืองของอาณาจักรมันน์และคิดว่าอาณาจักรมันน์ใช้วิธีปกครองแบบเผด็จการเหมือนกับประเทศแห่งความมืด  ท้ายที่สุดแล้วทั้งอาณาจักรจะถูกดึงลงเหว ดังนั้นประเทศแห่งแสงจึงตำหนิอาณาจักรมันน์เป็นอย่างมาก ในความคิดของพวกเขา พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับประเทศแห่งความมืดโดยการค้าขายกับพวกเขา ในฐานะประเทศ ‘ผู้ช่วยเหลือ’ จะต้องกำราบ ‘ความชั่วร้าย’ ของประเทศแห่งความมืด


 


สำหรับอาณาจักรมันน์ พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาบริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไปขโมย บีบบังคับหรือใช้เล่ห์เหลี่ยม ไม่มีเหตุผลที่ประเทศแห่งแสงจะมาดูถูกพวกเขาแบบนี้ พวกเขาผิดเหรอที่เจริญรุ่งเรือง?


 


ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรมันน์และประเทศแห่งแสงจึงตกต่ำลง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ชอบประเทศแห่งแสงที่มาทำหน้าที่เป็น ‘ผู้ช่วยเหลือ’ และมองข้ามกฎหมายของประเทศอื่นๆ


 


ในเงามืด ประเทศแห่งแสงพยายามเข้าครอบงำดินแดนและความมั่งคั่งของอาณาจักรมันน์ พวกเขากำการกบฏอย่างต่อเนื่องและถอดถอน ‘ผู้นำที่ไม่เชื่อฟัง’ ออกจากตำแหน่ง เพื่อให้พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในดินแดนเหล่านั้นในนามของประเทศแห่งแสง


 


และนี่เป็นสาเหตุที่ทั้งสองประเทศไม่ลงรอยกัน แม้ว่าเรื่องส่วนใหญ่จะได้รับการรักษาอย่างลับๆ นั่นเป็นเหตุผล ในความคิดของเซเร็ค มันไม่ใช่คำขอที่มากเกินไป


 


แต่โรดส์รู้อนาคตข้างหน้า และเข้าใจว่าประเทศแห่งแสงกำลังเล่นกับไฟ


 



 


เพลงอันไพเราะถูกบรรเลงอยู่


 


หลังจากขอบคุณเซเร็ค โรดส์เดินไปที่หน้าต่างและมองไปยังท้องฟ้าด้านนอก ในขณะที่ถือแก้วไวน์ในมือ


 


ในระหว่างที่พูดคุยหลายต่อหลายครั้ง เขาคิดอยากจะเปิดเผยแผนการที่ชั่วร้ายของประเทศแห่งแสงกับเซเร็ค เขาสามารถระบุปัญหาในปัจจุบัน รวมถึงแนวทางการแก้ไขได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาไม่ได้พูดอะไรกับเซเร็คเลย การอธิบายให้คนๆหนึ่งเข้าใจว่าคุณรู้อนาคตได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ และถึงอย่างนั้นเขาจำเป็นต้องมีหลักฐานมารองรับคำพูดของเขา สุดท้ายคือประเด็นที่เขาจะพูดคืออะไร? มีแต่ปัญหาที่จะเข้ามาหาตัวเขา


 


“คุณโรดส์คะ?”


 


ในเวลานี้ เสียงของไลซ์ดังขึ้นจากด้านหลัง เธอเดินมาหาเขาด้วยแววตาของความกังวล


 


“มีอะไรรึเปล่าคะ? คุณดูสีหน้าไม่ดีเลย”


 


“เกิดเรื่องแล้วล่ะ”


 


โรดส์จิบไวน์ในมือและกำลังลิ้มรสชาติที่หวานละมุน แต่มันไม่อาจกลบความคิดในหัวของเขาได้


 


“จำคนที่พวกเราพบในป่าราตรีได้ไหม? หลังจากที่ผมคุยกับเซเร็ค คนพวกนี้ตามเรามาที่นี่”


 


“เอ๊ะ?!”


 


เมื่อได้ยินเรื่องที่น่าตกใจ ไลซ์หน้าซีดลงทันที เธอกำมือแน่น เห็นได้ชัดว่าเธอประหลาดใจอย่างมาก


 


“คนพวกนั้นเป็นใครและทำไมถึงมาที่นี่ล่ะคะ?”


 


“ตามที่เซเร็คบอก พวกนั้นน่าจะเป็นสายลับจากประเทศแห่งแสง”


 


โรดส์พูดออกมาอย่างเย็นชา


 


ถ้าเขาสามารถจัดอันดับสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดในโลกใบนี้ได้ ประเทศแห่งแสงคงขึ้นไปอยู่อันดับที่ 1 ซึ่งผู้ที่จุดชนวนสงครามจริงๆหรือประเทศแห่งความมืด แต่การถูกทรยศโดยคนที่คุณเรียกว่า ‘พันธมิตร’ เป็นสิ่งที่น่าอับอายมาก


 


ด้วยความแข็งแกร่งของโรดส์ในปัจจุบันไม่เพียงพอที่จะไปท้าทายประเทศแห่งแสง แต่เนื่องจากพวกเขาส่งอาหารเรียกน้ำย่อยมาให้เขาอุ่นเครื่อง เขายินดีรับข้อเสนอของพวกเขา


 


เมื่อเพลงหยุดลง


 


โรดส์และไลซ์หันกลับมาในเวลาเดียวกันและพบว่าคนอื่นๆเองก็ทำแบบเดียวกัน


 


ที่ทางเข้ามีชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีขาว ถือไม้เท้าสีดำและเหยียดรอยยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ บรรยากาศรอบๆตัวของเขาแสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้น และข้างหลังของเขามีทหารของตระกูลเคลเลอร์ 2 นายนอนกองอยู่


 


“ท่านบิลลี่”


 


บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้า เคลเลอร์เดินผ่านฝูงชนอย่างเร่งรีบและเมื่อเขาเห็นชายตรงหน้า เขามีสีหน้าตกใจ ก่อนที่จะออกไปต้อนรับเขาทันที


 


“ข้าไม่คิดว่าท่านจะมา โปรดยกโทษให้ข้าด้วยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง”


 


“ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก คุณเคลย์เตอร์”


 


ชายหนุ่มนาม บิลลี่ หัวเราะและยกมือขึ้น แม้ว่าเสียงของเขาจะไม่ดัง แต่มันยังคงดังกึ่งก้องไปทั่วห้องโถงที่เงียบกริบนี้


 


“ข้าเพียงแค่รู้สึกอยากมา หวังว่าเจ้าจะไม่โทษข้าหรอกนะที่มาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ”


 


“ท่านใจดีเกินไปแล้ว”


 


รอยยิ้มของเคลเลอร์ยังไม่หายไป สำหรับตระกูลที่มีรากฐานมาจากพ่อค้า รอยยิ้มถือเป็นทักษะสำคัญ


 


“ข้ากังวลว่าท่านบิลลี่จะคิดว่างานเลี้ยงนี้มันโทรมเกินไปจึงไม่ได้เชิญท่าน มันเป็นความผิดของข้าเอง”


 


“ชายคนนั้นเป็นใครกัน?”


 


เมื่อมองเห็นชายหนุ่ม โรดส์ขมวดคิ้ว เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นคนๆนี้ในเมืองดีพสโตน


 


“เขาเป็นทูตพิเศษจากประเทศแห่งแสง”


 


เมื่อได้ยินคำถามของโรดส์ ขุนนางคนหนึ่งตอบคำถามของเขา ด้วยน้ำเสียงของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชื่นชอบในตัวตนของ ‘ทูตพิเศษจากประเทศแห่งแสง’


 


“หนึ่งสัปดาห์ที่แล้วที่เขามาถึงที่เมืองดีพสโตน ข้าไม่รู้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ แต่การปรากฏตัวของเขานั่นหมายความว่าประเทศแห่งแสงกำลังจะทำเรื่องไม่ดีขึ้นอีกครั้ง”


 


ทูตพิเศษจากประเทศแห่งแสง?


 


โรดส์และไลซ์มองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อตำแหน่งนี้


 


“เจ้าไม่ต้องสุภาพหรอก คุณเคลเลอร์ ความจริงแล้วข้ามาที่นี่เพราะคนๆหนึ่ง”


 


ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างงดงาม เขาเดินผ่านฝูงชน ก่อนที่จะเข้าไปจับมือใครบางคน


 


“สาวสวย ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกัน”


 


พรวดดดดด!


 


โรดส์ยังดื่มไวน์ในมือไม่หมด แต่เขาพ่นออกมาทันที ไลซ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างเอามือขึ้นมาปิดปากเช่นกัน เมื่อเธอมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้ามาร์ลีน


 


ตอนนี้ ใบหน้าของมาร์ลีนเองก็ซีดลงเช่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 62

 

62 – ท้าประลองรึ? ขอโทษด้วยนะ


 


“คุณคลินตัน”


 


มาร์ลีนดึงมือออกมาอย่างเย็นชา


 


“พวกเราไม่ได้สนิทกัน โปรดรักษาศักดิ์ศรีของฉันด้วย”


 


“ชิ ชิ” ชายหนุ่มเดาะลิ้นของเขาและตอบกลับ “เจ้าผิดแล้ว มาร์ลีน”


 


แม้จะถูกปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ชายหนุ่มยังไม่ถอย เขาเริ่มหน้าด้านมากขึ้น


 


“ตระกูลของพวกเราสนิทสนมกันไม่ใช่รึ? เมื่อพวกเรายังเด็ก พ่อแม่ของพวกเราเคย-?”


 


“นั่นเป็นเรื่องนานมาแล้ว”


 


มาร์ลีนพูดขัดด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


“เนื่องจากตระกูลของเจ้าย้ายไปยังประเทศแห่งแสง ความสัมพันธ์ที่พวกเราเคยมีเป็นโมฆะ โปรดระวังพฤติกรรมของคุณด้วย อย่าทำตัวเป็นนักเลงใส่กระโปรง มันไม่สุภาพ”


 


“มาร์ลีน…” บิลลี่ถอนหายใจ “ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจ้ากลายเป็นคนดื้อรั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


 


แม้ว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ออกมา ใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่จางหาย


 


“อย่างที่มีคำกล่าวไว้ คนที่ปีนขึ้นยอดน้ำตกจะไม่ลงมาแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่ตระกูลคลินตันของพวกเราทำยังไงล่ะ เพื่อทำให้พวกเราไปอยู่ในจุดที่ดีกว่า ตอนนี้พวกเราอยู่ในดินแดนอิสระ มีชีวิตที่สงบสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเราไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใดๆ…เจ้าไม่คิดเหรอว่ามันงดงามขนาดไหน มาร์ลีน? ยุคของพวกคนแก่ผ่านไปแล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่กับปัจจุบัน พวกเราจะเป็นคนสร้างอนาคตเจ้าไม่สงสัยเหรอว่าโลกเป็นอย่างไร ความจริงแล้วมันเป็นอย่างไร…? เจ้ายังเด็กมาก อย่าผูกตัวเองไปกับประเพณีหรือคำโกหกเลย ถ้าเจ้าต้องการ การสามารถพาเจ้าเที่ยวรอบๆประเทศแห่งแสงได้ บางทีเจ้าอาจจะเปลี่ยนมุมมองของเขา”


 


“…คนทรยศ” มาร์ลีนจ้องทองชายตรงหน้าด้วยสายตาน่ารังเกียจ เธอไม่ซ่อนความเกลียดชังแม้แต่น้อยและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ฉันไม่สนใจคนที่ทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อไปเป็นสุนัขรับใช้หรอก คุณออกไปได้แล้ว คุณคลินตัน ฉันหวังว่าเราจะคิดว่าพวกเราไม่เคยพบกันอีก”


 


“เจ้าผิดอีกแล้ว มาร์ลีน”


 


อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของบิลลี่หนากว่าที่มาร์ลีนคิดไว้เยอะ แม้ว่าทุกคนจะมองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ แต่เขาพูดกับมาร์ลีนเหมือนทั้งห้องโถงมีพวกเขาเพียง 2 คน


 


เขาเผยรอยยิ้มออกมาและพูดต่อ “จะนับว่าพวกเราทิ้งศักดิ์ศรีได้อย่างไร? พวกเราทั้งหมดอยู่ภายใต้การปกป้องของมังกรแห่งแสงไม่ใช่รึ? ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรามีศัตรูคนเดียวกันไม่ใช่รึ? ทำไมเจ้าถึงเกลียดชังประเทศแห่งแสงล่ะ? พวกเรากำลังต่อสู้เพื่อทุกคนอยู่นะ…พวกเราไม่สมควรถูกเรียกว่าคนทรยศ มันไม่ยุติธรรมเลย”


 


ชายหนุ่มพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมาอย่างเศร้าสร้อย แต่มาร์ลีนไม่ได้คล้อยตาม เธอยังคงมีสีหน้าเย็นชาและมองไปยังเขาด้วยความเหยียดหยามราวกับกำลังมองตัวตลก


 


“สถานที่แห่งนี้ไม่ต้อนรับคนอย่างคุณ คลินตัน ถ้าคุณเมินเฉยต่อคำพูดของฉัน…”


 


จอมเวทย์สาวอัจฉริยะยกไม้คทาขึ้นและชี้ไปยังเขา


 


“งั้นฉันจะทำให้คุณออกไปด้วยวิธีของฉันเอง”


 


ใบหน้าของเขาแข็งกระด้างเมื่อเห็นไม้คทาของเธอ ปากของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่เขายังรักษาความสงบได้


 


“อ่า….” เขาส่วยหัวด้วยความเสียใจ “เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ มาร์ลีน เจ้าไม่เป็นเหมือนครั้งพวกเรายังเด็ก อะไรทำให้เจ้าเปลี่ยนไปขนาดนี้? โอ้ ใช่แล้ว…ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามากับชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาอยู่ไหนล่ะ? เขาวิ่งหนีไปตั้งแต่ที่เห็นข้าแล้วรึ?”


 


“แก!!”


 


มาร์ลีนโกรธขึ้นมาทันที เธอกัดฟันและเตรียมด่าเขาออกมา ในขณะที่เธอกำลังจะด่า ทันใดนั้นน้ำเสียงนุ่มนวลดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน


 


“ผมได้ยินมาว่าผู้คนจากประเทศแห่งแสงเก่งเรื่องการพูดไร้สาระ วันนี้ผมได้เห็นด้วยตาตัวเอง ดีใจจริง แล้วก็ได้ยินมาว่ามีคนที่ดีแต่พูด แต่ไม่กล้าเจอกันแบบตัวต่อตัว”


 


โรดส์เดินออกมาท่ามกลางฝูงชนและตรงไปหาบิลลี่


 


“เจ้าเองสินะชายคนนั้น เจ้าคิดผิดแล้ว”


 


แม้ว่าจะได้ยินคำเหยียดหยามของโรดส์ ท่าทางเย่อหยิ่งของบิลลี่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป


 


“แน่ใจนะ?”


 


โรดส์มองดูชายตรงหน้าและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ


 


“ฮืมม…ดูเหมือนว่าคุณเป็นคนที่รักประเทศจริงๆ ผมขอโทษสำหรับพฤติกรรมหยาบคายด้วย”


 


“คุณโรดส์…!”


 


มาร์ลีนไม่พอใจกับท่าทางของโรดส์และอ้าปากขึ้นเพื่อจะพูดบางอย่าง แต่เธอถูกขัดจังหวะโดยบิลลี่


 


“โอ้โห…ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนฉลาดนะที่เข้าใจเหตุผล ข้าทำทุกอย่างเพื่อประเทศของข้า น่าเสียดาย…” บิลลี่หยุดพูดและหันไปมองมาร์ลีน “น่าเสียดายทืทุกคนไม่เข้าใจ”


 


“ผมเข้าใจคุณดี”


 


โรดส์แสดงท่าทางออกมาราวกับเขาเข้าใจความรู้สึกของบิลลี่ดี เอาจริงๆ เมื่อตอนที่เขายินยินว่ามาร์ลีนมางานเลี้ยงกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาแทบจะบ้าคลั่งและอยากจะเอาชนะชายคนนั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะฉลาดพอที่เข้าใจในตัวเขา ความโกรธของเขาจึงลดน้อยลง เนื่องจากอีกฝ่ายไว้หน้าเขา เขาก็ยินดีรับไว้ อย่างไรก็ตาม โชคไม่ดีที่ประโยคต่อไปของโรดส์ทำให้ใบหน้าของเขาซีดลงทันที


 


“นี่คือคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้ช่วยชีวิต’ งั้นรึ? เก็บความหวังดีของคุณแล้วเอาไปใส่ถังขยะนะ ถ้าอยากช่วยเหลืออาณาจักรมันน์จริงๆ คุณต้องเริ่มจากการเอาตัวเองออกไปจากที่นี่ก่อน ไม่ใช่ทุกคนจะไปสนใจกับการเสียสละเพื่อประเทศอะไรของคุณ ผมชื่นชมความคิดที่เสียสละของคุณจริงๆ”


 


“พรึบ!”


 


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า….”


 


เหล่าขุนนางไม่ใช่คนโง่ เป็นเรื่องธรรมชาติที่พวกเขาจะเข้าใจความหมายของโรดส์ หลังจากที่โรดส์พูดจบ หลายคนเริ่มหัวเราะออกมา ขุนนางจำนวนมากที่มาในงานเลี้ยงนี้ต่างเกลียดชังชายหนุ่มที่มาจากประเทศแห่งแสงอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเขาเป็นทูตพิเศษ พวกเขาจึงไม่มีใครกล้าพูดออกมาโดยตรง แต่ตอนนี้โรดส์กำลังพูดสิ่งที่พวกเขาคิดออกมา มันทำให้พวกเขามีความสุขมาก แม้แต่สีหน้าของมาร์ลีนเองก็ผ่อนคลายลง เธอมองไปที่โรดส์และยิ้มออกมา ด้วยสถานะของเธอ เธอเคยพบปะผู้คนมามากมายที่มีสถานะสูงกว่า แต่ไม่เคยมีใครฉลาดและใจเย็นเท่าโรดส์ ยิ่งไปกว่านั้น โรดส์ยังดูมีเสน่ห์และแข็งแกร่งมากด้วย ในอีกความหมายหนึ่ง – เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบได้ ถ้าเขายิ้มบ่อยขึ้น


 


แม้ว่าเธอจะพยายามซ่อนยังไง บิลลี่ก็ยังสังเกตเห็นรอยยิ้มหัวเราะของมาร์ลีน ตั้งแต่ที่เขามาถึงที่นี่ เธอไม่เคยยิ้มให้เขาเลยแม้แต่น้อย เขาจึงเดือดดาลอย่างมาก


 


ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มคนนี้พูดเพียงไม่กี่คำ เธอก็ยิ้มออกมาแล้วรึ?


 


“ดี ดี! ถ้าเป็นอย่างนั้น…!”


 


บิลลี่ขึ้นเสียงและชี้ไม้เท้าไปทางโรดส์ น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความโกรธ


 


“ข้าขอท้าประลองเจ้า!”


 


“ท้าประลองรึ?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดจากปากของบิลลี่ ทุกๆคนตกใจอย่างมาก เคลเลอร์ที่กำลังมองดูจากด้านข้างเริ่มเครียดมากขึ้น เขาไม่อยากให้มีเรื่องเกิดขึ้นในงานเลี้ยงที่เขาเป็นเจ้าภาพ ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร โรดส์พูดขึ้นทันที


 


“ท้าประลองรึ? การท้าประลองควรมีการเดิมพันสิ ผมพูดถูกไหม?”


 


“ผู้หญิงคนนี้”


 


บิลลี่ยื่นมือออกมาและชี้ไปยังมาร์ลีน


 


“ถ้าข้าชนะ ข้าอยากให้เจ้าทิ้งเธอไป และเธอจะเป็นของข้า แต่ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะยอมแพ้ต่อเธอ เจ้าคิดว่าเงื่อนไขนี้เป็นอย่างไร?”


 


“อย่างนั้นรึ…ผมเข้าใจแล้ว” โรดส์พยักหน้าและพูดต่อ “งั้นผมขอปฏิเสธ”


 


“ดีมาก…เนื่องจากเจ้ายอมรับแล้ว งั้น…อะไรนะ? เจ้าปฏิเสธ?”


 


ไม่เพียงแต่บิลลี่เท่านั้นที่พูดไม่ออก แต่ขุนนางทุกคนเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เมื่อพวกเขาได้ยินคำตอบของโรดส์ การปฏิเสธการท้าประลองเปรียบเสมือนการโยนศักดิ์ศรีของขุนนางทิ้งไป?


 


“ทำไมเจ้าปฏิเสธล่ะ? เจ้ากลัวข้ารึ?”


 


“อย่างที่คิด เจ้านี่มัน IQ ต่ำจริงๆด้วย”


 


โรดส์ถอนหายใจยาว ขณะที่เขามองบิลลี่อย่าง ‘เอ็นดู’  ราวกับครูกำลังมองดูนักเรียนที่ได้คะแนนต่ำ


 


“ผมอยากเตือนคุณว่าคุณมาร์ลีนไม่ใช่สิ่งของ เธอไม่ได้เป็นของผม หรือของคุณ ถึงแม้ว่าคุณชนะ คุณคิดว่ามาร์ลีนจะเชื่อฟังคุณอย่างนั้นรึ?” โรดส์พูดออกมาอย่างเหยียดหยาม “ผมขอเตือนอีกครั้ง เธอไม่ใช่สิ่งของของใครทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงไม่มีอำนาจในการตัดสินตัวเธอ ถ้าเธอจะไปกับคุณ ผมก็รั้งเธอไว้ไม่ได้”


 


โรดส์เหลือบมองไปยังมาร์ลีนและเห็นเธอเงยหน้าขึ้นอย่างสง่างาม จากนั้นเธอเดินไปยืนด้านข้างโรดส์และยกไม้คทาขึ้นและชี้ไปทางบิลลี่


 


“ใช่แล้ว คุณคลินตัน ฉัน มาร์ลีน เซเนีย ไม่ใช่สิ่งของของใคร ไม่มีใครสามารถสั่งฉันให้อยู่หรือไปได้ ถ้าคุณอยากพาฉันไปด้วย ก็เข้ามาและพาฉันไปสิ”


 


ในขณะนั้น เห็นได้ชัดว่ามาร์ลีนไม่สามารถระงับความโกรธได้ เสื้อคลุมเวทมนตร์ของเธอเรืองแสงออกมา แม้แต่คทาทับทิมในมือของเธอเองก็เริ่มส่องแสงออกมา


 


“เจ้า…”


 


เขาเห็นมาร์ลีนกำลังจริงจัง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์มหาศาลกำลังไหลเวียนอยู่ในร่างเล็กๆของเธอ ถ้าเขาบังคับเธอ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธออาจฆ่าเขาจริงก็ได้


 


“การใช้กำลังกับผู้หญิง ดูไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยนะครับ คุณคลินตัน”


 


แม้ว่าบิลลี่จะดูน่าสงสาร แต่โรดส์ไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ในความคิดของเขา ทุกคนที่มาจากประเทศแห่งแสงต้องถูกบดขยี้จนตาย


 


“ก็ได้ครับ ถ้าคุณอยากสู้จริงๆ ผมไม่รังเกียจที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง”


 


“นับข้าไปด้วย ไอ้หนู”


 


ในเวลานี้เซเร็คเดินออกมาจากฝูงชน


 


“เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าอยู่ในเมืองดีพสโตนซึ่งอยู่ภายใต้อาณาจักรมันน์ หากเจ้าต้องการต่อสู้ที่นี่ ข้าว่าเจ้าต้องคิดให้ดี”


 


“เซเร็ค….”


 


เมื่อเซเร็คเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ บิลลี่เห็นว่าสถานการณ์เกินกว่าจะควบคุมได้แล้ว เขาไม่ได้โง่ ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างสร้างภาพว่าเขาเป็นทูตพิเศษ แต่จริงๆแล้วกำลังดูถูกเหยียดหยามเขา ถ้าเขายังดื้อดึงจะอยู่ต่อ เขาอาจจะถูกโยนออกจากงานเลี้ยงได้ สำหรับทูตแล้ว การสูญเสียบางอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องกังวล…


 


“ดูเหมือนว่าข้าจะอยู่นานเกินไปแล้ว ข้าขอลาล่ะ”


 


บิลลี่พูดขณะกัดฟันด้วยความโกรธ จากนั้นเขาหันหลังกลับและเดินออกไป


 


เมื่อบิลลี่เดินจากไป มาร์ลีนเก็บไม้คทาและยิ้มให้กับโรดส์


 


“ขอบคุณนะ คุณโรดส์ เพราะคุณ เราเลยกำจัดคนน่ารังเกียจออกไปได้”


 


“ไม่ใช่ปัญหาหรอก ผมแค่ไม่ชอบคนงี่เง่าพวกนั้น”


 


โรดส์โบกมือ นั่นทำให้มาร์ลีนหัวเราะเบาๆ จากนั้นทั้งคู่ยกแก้วไวน์ในมือ


 


“เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง คุณรังเกียจไหม ถ้าฉันจะดื่มอวยพรให้?”


 


“แน่นอน ไม่มีปัญหา”


 



 


งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างปกติ ด้านนอกอาคาร บิลลี่นั่งอยู่บนรถม้า ใบหน้าของเขาแดงกล่ำและอารมณ์เสียอย่างมาก


 


“ข้าขอโทษด้วยครับ ท่าน”


 


ในขณะนั้น ชายหนุ่มถ่อมตัวลงและก้มหัวของเขาให้กับบุคคลอีกคนหนึ่งในรถม้า


 


“ข้าล้มเหลวที่ไม่สามารถทำตามคำขอที่ทำให้ชายคนนั้นเคลื่อนไหวได้”


 


“ไม่ต้องกังวลไป คลินตัน”


 


อีกฝั่งหนึ่งของรถม้า มีชายคนหนึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด


 


“พวกเรายังมีโอกาส ไม่ว่าจะเจ้าหรือข้า”


 


จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปบนท้องฟ้า


 


“เราจะบรรลุเป้าหมายของพวกเรา”

 

 

 


ตอนที่ 63

 

63 – ไปด้วยกัน


 


หลังจากทุกสิ่งจบลง งานเลี้ยงกลับมารื่นเริงอีกครั้ง นั่นเพราะการกระทำที่กล้าหาญของโรดส์ เหล่าขุนนางที่เคยสงสัยในตัวเขาต่างเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับตัวเขา เนื่องจากความสัมพันธ์ของอาณาจักรมันน์และประเทศแห่งแสงไม่อาจคืนดีกันได้ และโรดส์ได้ดูถูกทูตที่พวกเขาส่งมา เหล่าขุนนางจึงมองว่าโรดส์เป็นพวกเดียวกับตน หลังจากนั้นทุกคนจึงคิดไปว่า ศัตรูของศัตรูคือมิตร


 


การได้รู้จักกับเซเร็คและมาร์ลีนช่วยทำให้ชื่อของโรดส์โด่งดังขึ้นไปอีก หนึ่งในนั้นเป็นยอดนักดาบที่มีชื่อเสียงในเมืองดีพสโตน และอีกคนเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเซเนีย และยังเป็นจอมเวทย์อัจฉริยะ เมื่อพวกเขายอมรับในตัวโรดส์ นั่นทำให้เขามีคุณสมบัติเพียงอพที่จะยืนเคียงข้างพวกเขา


 


ต่อจากนี้ไป คนเหล่านี้จะไม่ทำเรื่องให้เขาลำบากใจ เนื่องจากไม่ใครโง่พอที่จะสร้างปัญหากับอสูรกาย


 


ดังนั้นหลายต่อหลายครั้งที่เหล่าขุนนางเข้ามาดื่มให้กับโรดส์และพูดคุยกับเขาเล็กน้อย นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ถึงสายตาแอบมองจากหญิงสาวร่ำรวยหลายคนที่หวังจะใช้เวลาในช่วงค่ำคืนกับเขา การกระทำตามใจตนเองไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมของพวกขุนนาง หญิงสาวร่ำรวยเหล่านี้มักชอบหาความสุขจากหนุ่มหล่อ เหมือนกับผู้ชายที่อยากมีความสุขกับสาวงาม


 


น่าเสียดาย ก่อนที่หญิงสาวเหล่านี้จะเข้าถึงตัวโรดส์ สายตาเย็นชาของมาร์ลีนเริ่มทำงานขึ้นมาทันที


 


“หน้าด้าน”


 


เด็กสาวอีกคนที่อยู่ในชุดสวยงามหน้าแดง ก่อนจะเดินจากไป มาร์ลีนตะโกนและยกแก้วขึ้นจิบไวน์ ในฐานะขุนนางคนหนึ่ง มาร์ลีนรู้ดีว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไร


 


“ผมขอถามหน่อยนะ…มาร์ลีน นี่คุณมาดื่มกับผมหรือมาเป็นคนคุ้มกันของผมเนี่ย?”


 


เมื่อโรดส์อยู่ข้างมาร์ลีน เขารู้ว่าเธอกำลังทำอะไร เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเขามาก ก่อนที่จะถูกส่งมาที่โลกนี้ โรดส์มีแฟนหลายคน แต่เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบนั้นมาก่อน โรดส์จึงไม่สนใจเรื่องนี้ หลังจากปล่อยให้มันเป็นเรื่องธรรมชาติและบางคนรู้สึกว่าโรดส์สวยงามกว่าพวกเธอ และเลือกที่จะออกไป


 


ดังนั้นสำหรับโรดส์จึงค่อนข้างเปิดกว้างสำหรับเรื่องนี้ ถ้าคนอื่นยินดี เขาก็ไม่รังเกียจที่จะสนุกไปกับสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าในขณะนี้จะมีสาวสวยสองคนนั่งอยู่ข้างเขา…อย่างที่มีคนบอกไว้ สุนัขจิ้งจอกจะกินเหยื่อที่อยู่ไกลก่อน โรดส์ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้กับพวกเธอ ประโยชน์ของความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนคือต่อจากนั้นไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน


 


“อะไรกัน? นี่คุณสนใจผู้หญิงพวกนั้นเหรอ?”


 


มาร์ลีนพูดและเงยหน้าขึ้น ขณะที่ชี้ไปยังเหล่าหญิงสาวที่ร่ำรวยขึ้นด้วยความตกใจ หลังจากสังเกตเห็นว่ามาร์ลีนมองพวกเธอ พวกเธอรีบกระจายหัวและหายไป


 


“อย่างน้อยคุณก็น่าจะมีตัวเลือกให้ผมบ้างนะ”


 


“…อ่อนหัดจริงๆ”


 


มาร์ลีนมองไปยังโรดส์ด้วยแววตาราบเรียบ แต่เขาไม่ได้สนใจอะไร


 


“มาร์ลีน….มันจะไม่ดีกว่าเหรอ นี่มันเป็นชีวิตส่วนตัวของคุณโรดส์นะ…”


 


เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไป ไลซ์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามโรดส์พยายามไกล่เกลี่ยเรื่องนี้


 


“อะไรนะ? เธอกำลังบอกว่าฉันต้องปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ไปมีความสุขแบบนั้นเหรอ? ไลซ์ เธอเองก็ทนไมได้หรอก ไม่อย่างนั้น หลังจากที่เธอแต่งงาน เธอจะถูกเอารัดเอาเปรียบได้นะ!”


 


“แค่ก-แต่งงาน?!”


 


ไลซ์ตกใจอย่างมาก เธอแอบมองไปยังโรดส์ที่อยู่ข้างๆเธอ จากนั้นใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง เพราะเธอสำลักไวน์ที่กำลังดื่มโดยไม่รู้ตัว


 


“แค่ก แค่ก…มันเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องแบบนี้นะ? ฉัน….”


 


“เธอจะพูดอะไรกัน? ปีที่แล้ว ฉันถูกพ่อเซ้าซี้เรื่องแต่งงาน หึ โชคดีที่ไม่มีผู้ชายที่มีคุณสมบัติเพียงพอในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นล่ะก็…” มาร์ลีนคิดถึงเรื่องนี้และพูดขึ้น “เอ๊ะ แต่ฉันคิดว่าเธอไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้หรอก”


 


จากนั้นเธอมองไปยังไลซ์ด้วยแววตาอิจฉาและพยักหน้า


 


“ดูเหมือนว่าการอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่นะ อย่างน้อยเธอก็สามารถตัดสินได้ด้วยตัวเองได้…ไม่เหมือนกับฉัน”


 


มาร์ลีนรู้สึกว่าเธอพูดมากไป ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้าและเงียบลง


 


บรรยากาศเริ่มแย่ลงกว่าเดิม แต่หลังจากนั้นโรดส์ทำลายความเงียบและพูดขึ้น “อ่า ใช่ มาร์ลีน ผมมีบางอย่างจะบอกคุณ”


 


“อะไรล่ะ? ถ้าเป็นเรื่องผู้หญิงอ่อนหัดพวกนั้นล่ะก็ฉันไม่อยากได้ยินหรอกนะ”


 


“มันเกี่ยวกับภารกิจของเรา”


 


มาร์ลีนหันกลับมาและมองไปที่โรดส์


 


“มีอะไรเหรอ?”


 


แตกต่างจาหญิงสาวคนอื่น โรดส์ไม่ได้กลัวเมื่อมาร์ลีนจ้องตาเขา บางครั้งแววตาของเธอเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ ความมั่นใจและความเย่อหยิ่ง แต่มันไม่ได้มีผลต่อเขา


 


“ผมคิดว่าผมไปคนเดียวจะดีกว่า”


 


“ทำไมล่ะ?”


 


มาร์ลีนขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะอยู่กับโรดส์ได้ไม่นาน แต่เธอรู้ว่าเขาเปลี่ยนใจได้ยาก ถ้าจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขากลับคำพูดของตัวเอง


 


“ผมคิดว่าคุณได้ยินจากไลซ์แล้ว เรื่องที่พวกเราพบกันครั้งแรก”


 


มาร์ลีนพยักหน้าและเอียงศีรษะเล็กน้อย แม้ว่าโรดส์จะสั่งไม่ให้ไลซ์พูดถึงเหตุการณ์เรือบินตกให้ใครฟัง แต่มาร์ลีนเป็นเพื่อนสนิทของไลซ์และเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม เธอจึงรับรู้เรื่องนี้


 


“อย่างที่ผมบอก อุบัติเหตุก่อนหน้านี้เกี่ยวข้องกับประเทศแห่งแสง ยิ่งไปกว่านั้น เซเร็คเพิ่งบอกผมว่าสายลับพวกนี้กำลังหาข้อมูลของผม ผมรู้สึกว่าถ้าผมออกไปทำภารกิจนี้ คนพวกนี้มาหาผมแน่”


 


“ดังนั้นคุณเลยไม่อยากให้ฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”


 


“ตัวตนของคุณไม่เหมาะกับภารกิจนี้ เรื่องนี้ค่อนข้างอันตราย เพื่อทำลายชื่อเสียง คนพวกนี้ยินดีทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย มาร์ลีน ตอนที่พวกมันโจมตีเรือพ่อค้า คุณไม่ได้อยู่ที่นั่น ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ”


 


“แล้วไลซ์ล่ะ?”


 


มาร์ลีนขมวดิ้วและถามออกมา


 


“เนื่องจากเธออยู่ในเมืองดีพสโตน ไม่มีอะไรต้องกังวล ประเทศแห่งแสงไม่โง่พอที่จะเคลื่อนไหวออกมาอย่างเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้น ผมเตรียมความปลอดภัยไว้ในฐานบัญชาการแล้ว ตราบใดที่เธอไม่ละเลยความปลอดภัยของตัวเอง ทุกอย่างสบายมาก”


 


โรดส์ไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากเขาสามารถควบคุมระบบความปลอดภัยของฐานบัญชาการได้อย่างสมบูรณ์ หากมีใครบางคนพยายามบุกเข้ามา เขาจะได้รับการแจ้งเตือนในทันทีและผู้บุกรุกจะต้องรับมือกับการป้องกันตัวเองของฐานบัญชาการในระดับหนึ่ง


 


“สำหรับไลซ์….”


 


โรดส์มองไปยังเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างเขา


 


“หลังจากที่ผมออกไป คุณจะให้คุณอยู่ในสมาคมทหารรับจ้างสักพัก ผมจะขอร้องให้เซเร็คดูแลพวกคุณทั้งคู่เอง”


 


“ค่ะ คุณโรดส์”


 


ไลซ์เศร้าเล็กน้อย เพราะเธอต้องจากบ้านไป เธออยากไปกับเขา แต่จำนวนเวทมนตร์ที่เธอมีนั้นน้อยเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เวทย์ของเธอส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับธาตุศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายความว่ามันจะมีประโยชน์เมื่อเผชิญหน้ากับอันเดดเท่านั้น การไปทำภารกิจกับโรดส์จะเป็นภาระมากกว่าการไปช่วยเหลือ


 


“สำหรับมาร์ลีน….”


 


หลังจากที่ไลซ์ตอบรับ โรดส์หันไปอีกด้าน แต่คำพูดของเขายังไม่จบประโยค มาร์ลีนตอบกลับมาในทันที


 


“ฉันปฏิเสธค่ะ”


 


“เอ๊ะ?”


 


“แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับฉัน สำหรับตระกูลเซเนีย การหลบหนีไม่ใช่แนวทางของฉันค่ะ และ…” มาร์ลีนหรี่ตาลงเล็กน้อย และพูดขึ้น “นี่คืออาณาจักรมันน์ ประเทศของพวกเรา ถ้าไอ้พงกประเทศแห่งแสงจะทำอะไรที่นี่ พวกมันต้องได้รับอนุญาตก่อน คุณโรดส์ ฉันหวังว่าฉันจะสามารถช่วยคุณได้…เช่นเดียวกับที่คุณช่วยฉัน ตอนนี้ถึงตาของฉันตอบแทนแล้ว คุณแข็งแกร่ง แต่ศัตรูไม่ได้มีคนเดียว ฉันเป็นจอมเวทย์วงเวทย์ชั้นกลาง ดังนั้นฉันจึงสามารถต่อสู้กับคนจำนวนมากได้ อย่างน้อย ฉันหวังว่าคุณจะพิจารณาข้อเสนอของฉันนะคะ”


 


หลังจากได้ยินสิ่งที่เธอพูด โรดส์หลับตาลงและคิด


 


มาร์ลีนทำให้เขานึกถึงบางอย่าง ถ้าศัตรูอยากโจมตีเขา เมื่อเขาเข้าไปในป่าราตรี เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะซุ่มโจมตี แม้ว่าเขาจะจัดการคนเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง แต่มาร์ลีนสามารถจัดการคนพวกนั้นได้มากกว่า


 


ถ้าโรดส์ม่รู้ว่าภารกิจนี้อันตราย เขาไม่เคยคิดจะพามาร์ลีนมาด้วยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ สถานการณ์ของเขาชัดเจนมาก ดังนั้นการมีคนมาเพิ่มอีกคน…อาจจะช่วยได้ ทำไมจะไม่ดีล่ะ?


 


“ได้ ผมยอมรับข้อเสนอของคุณ”


 


สุดท้าย โรดส์พยักหน้า


 


“แต่ผมว่าคุณรู้เงื่อนไขของผมนะ”


 


“ฉันรู้ว่าฉันต้องทำตามคำสั่งของคุณ ฉันไม่อยากตายเพราะศักดิ์ศรีงี่เง่าของตัวเองหรอกค่ะ”


 


“งั้น…”


 


โรดส์ยื่นมือของเขาออกมา


 


“ยินดีต้อนรับกลับมาอีกครั้งนะ”


 


มาร์ลีนจับมือโรดส์และยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ


 


แต่ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตไลซ์ที่กำลังมองพวกเขาด้วยแววตาซับซ้อน มือของเธอบีบชายกระโปรงแน่น ขณะที่เธอกัดริมฝีปากล่าง


 


ฉันอยากแข็งแกร่งขึ้น….

 

 

 


ตอนที่ 64

 

64 – เข้าสู่เทือกเขา


 


ประกายแสงแดดส่องผ่านช่องว่างระหว่างก้อนเมฆ


 


โรดส์หยุดเดิน เขาจ้องมองไปยังเส้นทางขึ้นนินเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาหันกลับและมองไปยังเด็กสาวที่กำลังสูดลมหายใจอยู่ด้านหลังเขา


 


“คุณมาร์ลีน เดินให้เร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม?”


 


“เดี๋-เดี๋ยวก่อน…ให้ฉัน…หายใจหน่อย…”


 


สภาพของมาร์ลีนในตอนนี้ เสื้อคลุมของเธอเปื้อนไปด้วยคราบโคลน กิ่งไม้และใบไม้มากมาย เช่นเดียวกับใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอสูญเสียภาพลักษณ์ที่สง่างามของเธอไปจนหมดสิ้น ถ้ามีใครมาเห็นสภาพที่น่าสงสารของเธอตอนนี้ พวกเขาคงคิดว่าเธอเพิ่งกลับมาจากสงคราม แต่ในความเป็นจริง เธอแค่ปีนเขาเท่านั้น


 


“ฉัน…ไม่เคยคิด…ว่ามันจะ…เหนื่อยขนาดนี้….”


 


เธอพูดและหายใจ ขณะที่เธอกำลังปีนขึ้นมาอย่างช้าๆ ความกระตือรือร้นที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น เมื่อโรดส์เห็นเธอในสภาพนี้ เขาเริ่มเสียใจที่พาเธอมา  ความแข็งแรงเป็นจุดอ่อนของจอมเวทย์ เขาลืมเรื่องนี้ไปอย่างชัดเจน


 


ระหว่างทำภารกิจก่อนหน้านี้ มาร์ลีนไม่ได้ตกอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนี้เพราะเธอใช้เวทมนตร์ของเธอลอยขึ้นไปตามทางลาดชัน อย่างไรก็ตาม เส้นทางขึ้นเขาบริเวณนี้ชันมาก เธอจึงปฏิเสธที่จะใช้เวทมนตร์และเลือกเดินแทน และนั่นทำให้เธอหมดแรง


 


ในตอนแรกที่เริ่มปีน เธอมีความกระตือรือร้นมาก เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เธอออกสำรวจป่าโดยไม่มีทหารคุ้มกัน อิสรภาพที่ได้รับมานืทำให้เธอมีชีวิตชีวากว่าโรดส์มาก


 


น่าเสียดายที่ความกระตือรือร้นไม่สามารถกินและเปลี่ยนเป็นพลังงานได้


 


ดังนั้นความกระตือรือร้นของเธอค่อยๆจางหายไปและกลายเป็นความทุกข์ทรมาน


 


ถนนที่ขรุขระ พุ่มไม้หนา หนามของต้นไม้….การมองดูธรรมชาติจากระยะไกลเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่การเดินผ่านพวกมันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และแย่ลงไปอีก เมื่ออยากจะนั่งพัก ตามคำแนะนำของโรดส์ เธอต้องตรวจสอบพื้นที่รอบๆอย่างระมัดระวังว่ามีงูพิษอยู่ใกล้ๆรึเปล่า


 


ขอบคุณดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยฉันก็มีเวลามากพอที่จะเขียนหลุมฝังศพของตัวเอง


 


มาร์ลีนเหนื่อยและเวียนหัวอย่างมาก เธอรู้สึกแย่ยิ่งกว่าการเรียนหนังสือกฎเวทมนตร์ 1,000 เล่มในหอคอยเวทมนตร์


 


“ฉันไม่รู้จริงๆว่าไลซ์ปรับตัวเข้ากับชีวิตแบบนี้ได้ยังไงกัน”


 


สุดท้ายมาร์ลีนเลือกที่จะไม่นั่งบนพื้น แต่เลือกที่จะยืนพิงต้นไม้แทน


 


“เธอต้องทรมานมากแน่ๆ…เมื่อก่อนเธอเป็นเด็กขี้แยอยู่เลย”


 


“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้”


 


โรดส์พูดอย่างห้วนๆ เขากำลังเปรียบเทียบภูเขาลูกนี้กับ ‘ความจำในเกม’ ของเขา จากนั้นเขาวางมือบนฝักดาบที่อยู่บนเอวของเขา ดาบเล่มนี้เป็นของขวัญจากเคลย์เตอร์ เห็นได้ชัดว่าตระกูลเคลเลอร์รู้สึกขอบคุณโรดส์มาก และตอบแทนโดยการมอบอาวุธเวทมนตร์ให้


 


เมื่อเทียบกับเครื่องหมายแห่งดวงดาว การปรากฏตัวของ ‘น้ำตาเลือด’ ซึ่งเป็นดาบจากยุคกลาง ตัวดาบมีสีแดงเข้มและมีเวทมนตร์หายากที่ใกล้เคียงกับชื่อของมัน เมื่อดาบเล่มนี้ได้สัมผัสกับเลือด มันจะแหลมคมมากขึ้นและทนทานขึ้น อาวุธที่เพิ่มความแข็งแกร่งได้นั้นหายากและเป็นที่ต้องการอย่างมาก


 


 


โรดส์ยอมรับของขวัญชิ้นนี้อย่างเปิดเผย ในขณะที่เครื่องหมายแห่งดวงดาวยังคงเป็นที่ชื่นชอบของเขา แต่มันกินช่องอัญเชิญของเขา เขารู้สึกว่ามันเสียเปล่ามาก วงเวทย์ของนักดาบอัญเชิญที่โรดส์ครอบครองอยู่นั้นคือ ‘สิบเด็ควิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด’ เขาสามารถตัดสินใจใส่มันเป็น ‘การ์ดหลัก’ ได้ถ้าเขาต้องการ ยกตัวอย่างเช่น ในกองทัพ ถ้าเปรียบเทียบโดยให้ผู้เล่นเป็นผู้บัญชาการ และวิญญาณอัญเชิญเป็นทหาร ‘การ์ดหลัก’ เปรียบเสมือนหัวหน้าหมวด เมื่อการ์ดหลักถูกติดตั้ง วิญญาณอัญเชิญนั้นสามารถถูกอัญเชิญขึ้นมาได้โดยไม่ต้องใช้พลังวิญญาณ ถ้าพลังของพวกมันหมด พวกมันจะกลับเข้ามาในวงเวทย์และขึ้นว่า ‘เติมพลังงาน’ ก่อนจะสามารถเรียกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง


 


สำหรับคลาสนักดาบอัญเชิญ การตัดสินใจเลือกการ์ดหลักเป็นสิ่งที่สำคัญและต้องระวังให้มาก เมื่อการ์ดหลักถูกตั้งขึ้น มันจะไม่สามารถเปลี่ยนได้จนกว่าผู้เล่นจะลบทิ้ง นั่นเป็นสาเหตุที่โรดส์จึงยังไม่เลือกติดตั้งเครื่องหมายแห่งดวงดาวเป็นการ์ดหลัก เพราะระดับของเขายังต่ำอยู่ ถ้าเขาพบเจอการ์ดที่ดีกว่าในอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินไป


 


โรดส์เคยทำเรื่องนี้ผิดพลาดมาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำสองแน่นอน


 


มาร์ลีนพูดต่อ “แต่เธอดู…แปลกๆไปนะ”


 


“จริงรึ?”


 


โรดส์แปลกใจเล็กน้อย


 


ไลซ์ดูแปลกไปเหรอ? ทำไมเขาไม่รู้สึกแบบนั้น?


 


“ฮืมมม….ฉันจะบอกยังไงดี…”


 


มาร์ลีนขมวดคิ้วและกำลังหาวิธีอธิบายมันออกมา แต่สุดท้ายเธอไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร


 


“ฉันบอกไม่ถูก แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเธอแปลกไปจากเดิม ยิ่งกว่านั้น….ไม่รู้สิ”


 


มาร์ลีนจำได้ว่าตอนที่เธอกำลังจะออกไปทำภารกิจกับโรดส์ ไลซ?กำมือแน่นราวกับกำลังลังเลว่าจะพูดบางอย่างออกมา แต่ตอนนั้นเธอไม่ได้พูดอะไรและออกไป ในฐานะผู้หญิงเธอรู้ว่าไลซ์อิจฉาและกังวลในเวลาเดียวกัน แต่มาร์ลีนไม่รู้เหตุผลว่าทำไม


 


เป็นเพราะเธออยากตามมาด้วย ทำไมเธอคลั่งเหรอ? แต่ไลซ์ไม่ใช่คนแบบนั้น…


 


มาร์ลีนเด้งตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน


 


คลื่นเวทมนตร์พุ่งไปในอากาศ ส่งสัญญาณไปยังร่างกายของเธอ ทำให้เธอตอบสนองในทันที


 


โรดส์สังเกตได้ว่าร่างองมาร์ลีนกระตุกเล็กน้อย


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


“มีคนกำลังมา”


 


มาร์ลีนหันหัวกลับไปและมองไปยังภูเขาด้านล่างที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้


 


“การตรวจจับของฉันบอกว่ามีคนกำลังมาทางพวกเขา หนึ่ง…สอง…สาม สามคน แต่มีโอกาสจะเพิ่มมากขึ้น…”


 


“พร้อมแล้ว ไปกันเถอะ”


 


โรดส์ขับด้ามของดาบ


 


“ทำตามแผนที่วางไว้”


 


“เข้าใจแล้ว”


 


มาร์ลีนรับคำสั่งและยกไม้คทาขึ้นและชี้ไปยังต้นไม้ข้างเธอ เครื่องหมายลึกลับสว่างขึ้นและฝังลงไปยังลำต้นของต้นไม้


 


“ไปกันเถอะ”


 


“ทำไมพวกเราไม่ซุ่มโจมตีและฆ่าคนพวกนี้ไปเลยล่ะ?”


 


มาร์ลีนถามคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ ในความคิดของเธอคนพวกนี้ไม่ได้แข็งแกร่ง ถ้าโรดส์และเธอร่วมมือกัน พวกเขาสามารถกำจัดคนพวกนี้ได้ง่ายๆ ดังนั้นทำไมพวกเขาต้องกลัวคนพวกนี้ด้วย? นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ


 


“ง่ายๆ เพราะที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองดีพสโตน”


 


โรดส์ตอบคำถามโดยปราศจากความลังเล


 


“ถ้าพวกเราจัดการพวกมันตอนนี้ คนพวกนี้จะส่งสัญญาณขอกำลังเสริมทันที จากนั้นพวกเราจะสูญเสียความได้เปรียบ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกมันไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ซ่อนของพวกมัน  ให้คนพวกนี้ตามเราลึกลงไปโดยที่พวกมันไม่ทันระวังตัว ถ้าพวกมันรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ การขอกำลังเสริมจะใช้เวลานาน ดังนั้นแทนที่จะจัดการพวกมันที่นี่ พวกเราเดินทางต่อไปโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการซุ่มโจมตีดีกว่า”


 


“ฉันเห็นด้วย…”


 


มาร์ลีนพยักหน้าและไม่พูดอะไรเกี่ยวกับแผนอีกต่อไป เธอสามารถเดาได้ว่าโรดส์วางแผนอะไรไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอค่อนข้างรำคาญเหงื่อที่ไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ


 


“แต่ถ้าคุณแค่มองหาสมุนไพรเวทมนตร์ พวกเราต้องเดินเข้ามาลึกขนาดนี้เลยเหรอ?”


 


พวกเขาเดินขึ้นภูเขามาตั้งแต่เช้า และมาร์ลีนเหนื่อยจะตายแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องเข้ามาในป่าลึก ในเมื่อมีสมุนไพรมากมายที่รอบๆป่า


 


“แน่นอน ถ้าพวกเรามองหาสมุนไพรเวทมนตร์ พวกเราไม่ต้องเข้ามาในป่าลึก แต่บังเอิญ ผมไปเจอแผนที่ขุมสมบัติที่ชี้ไปยังป่าราตรี ถ้าพวกเราหาพบ มันจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มของเรา”


 


สีหน้าของโรดส์เฉยชาเหมือนเดิม มันไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาโกหก และเนื่องจากมาร์ลีนเชื่อใจการตัดสินใจของเขา เธอจึงหยุดสงสัยในสิ่งที่เขาทำ


 


“สมบัติเหรอ?”


 


ดวงตาของมาร์ลีนเปล่งประกายครู่หนึ่ง เธอนึกไม่ออกว่าสมบัติแบบไหนที่ถูกฝังไว้ที่นี่ เรื่องราวการผจญภัยในจินตนาการที่เธอเคยอ่านมาทำให้เธอไม่เชื่อเรื่องพวกนี้แม้แต้น้อย แต่เมื่อไปที่สุสานใต้ดิน การล่าสมบัติเริ่มฟังดูน่าเชื่อถือมากขึ้น


 


“แล้วเราจะไปทางไหนต่อ?”


 


“ทางเหนือ”


 


โรดส์ชี้ไปด้านหน้า

 

 

 


ตอนที่ 65

 

65 – ก้อนหินแห่งความโศกเศร้า


 


“การเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนถึงตอนนี้” ชายชุดดำพูด ในขณะที่สังเกตร่องรอยบนพื้นอย่างระมัดระวัง


 


“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” ชายชุดดำอีกคนตอบกลับอย่างไม่ไว้วางใจ “แต่ทำไมข้ารู้สึกว่าทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด?”


 


ชายทุกคนสวมชุดคลุมดำทั้งหมด เหลือเพียงดวงตาของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกปิดไว้หมด แม้กระทั่งเสียงของเขาดัดแปลง และไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ไม่มีใครสามารถบอกได้


 


“ตามข้อมูลของพวกเรา เด็กหนุ่มตรงหน้ามีนิสัยค่อนข้างระมัดระวังอย่างมาก ทำไมตอนนี้เขาถึงดูไม่ระวังตัวเลย?”


 


“ไม่แปลกหรอก ที่ข้าหลายถึงคือมีสาวสวยอยู่ข้างกาย…” ชายชุดดำอีกคนหัวเราะเสียงต่ำ


 


ชายอีก 3 คนที่เหลือหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แต่ในไม่ช้าพวกเขากระซิบกันอีกครั้ง


 


“พวกเราควรทำตามคำแนะนำ รอให้พวกมันเข้าไปในป่าลึก แล้วพวกเราค่อยโจมตี จำไว้! พวกเราต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย!”


 


“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ?”


 


“จับเป็นเธอถ้าเป็นไปได้ ไม่ว่าจะทุบให้สลบหรือวางยาเธอ แต่ถ้าพวกเราล้มเหลว เราต้องปิดปากเธอ จอมเวทย์เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก พวกเจ้าทั้งหมดต้องระวัง”


 


ชายทั้งหมดพยักหน้ารับทราบ แน่นอนพวกเขารู้ว่าจอมเวทย์จัดการยากแค่ไหน ถ้าเธอตั้งใจหลบหนี ไม่มีใครสามารถหยุดเธอได้


 


“เอ๊ะ?”


 


ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวใกล้ๆ เขาทำสัญลักษณ์มืออย่างรวดเร็วและค่อยๆดึงกริชออกมาช้าๆ ก้าวเข้าไปทีละก้าว ตรงไปยังพุ่มไม้ คนอื่นๆที่อยู่ด้านหลังก้มลงและดึงอาวุธออกมาทันที จากนั้นชายชุดดำที่ใกล้พุ่มไม้ที่สุดตวัดกริชไปยังพุ่มไม้ทันที


 


วูซซซซซ! พุ่มไม้สั่นไหว มีกระรอกตัวหนึ่งกระโดดออกมา มันปีนขึ้นต้นไม้และจ้องมองมนุษย์อย่างหวาดกลัว ก่อนจะหายตัวไป


 


เมื่อชายเหล่านั้นรู้ตัวว่าผิดพลาด พวกเขามองหน้ากันโดยไม่พูด จากนั้นพวกเขากระโดดหายไปในพุ่มไม้


 


ในขณะเดียวกัน มาร์ลีนกำลังกระทืบเท้าไปบนลำธารด้วยความโกรธ


 


“อร้ากกก!” มาร์ลีนหงุดหงิดอย่างมาก เธอชูกำปั้นขึ้นและชกไปในอากาศ “คนพวกนั้นมันโหดร้ายเกินไปแล้ว! พวกมันรอ…”


 


โรดส์ไม่ชอบให้ใครลอบตามมาด้วย แต่เนื่องจากเขาเป็นคนปล่อยพวกมันเอง เป็นธรรมดาที่เขาจำเป็นต้องหาทางติดตามคนพวกนั้นกลับ นี่เรียกว่า ‘วัฏจักร’


 


ดังนั้นหลังจากมาถึงก้อนหินแห่งความโศกเศร้า โรดส์ไม่ได้พยายามหาสมบัติแต่อย่างใด กลับกันเขาขอให้มาร์ลีนค้นหาวิธีตอบโต้ชายชุดดำที่ลอบตามมา เป้าหมายหลักของเขาคือการค้นหาความตั้งใจของคนพวกนั้น เป้าหมายรองคือเขาต้องการให้มาร์ลีนรู้ว่าสิ่งต่างๆไม่ง่ายเหมือนที่คิด


 


ในตอนแรกมาร์ลีนไม่สนใจคนเหล่านี้ในสายตาของเธอ เธอเป็นขุนนางสายเลือดบริสุทธิ์ เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเธอ เธอได้สัมผัสกับด้านที่ ‘สว่างกว่า’ และอีกด้านหนึ่ง เธอไม่มีความรู้มากนัก ในความคิดของเธอ ชายชุดดำพวกนั้นไม่ต่างอะไรไปจากโจร ดังนั้นเมื่อโรดส์ขอให้เธอตรวจสอบพุ่มไม้ เธอจึงบ่นออกมาไม่หยุด


 


แต่หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด เธอพบดงาหลายคนซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ ใบหน้าของมาร์ลีนซีดลงทันที แต่ด้วยความเย่อหยิ่ง เธอจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา นั่นเพราะเธอไม่ได้โง่


 


สำหรับจอมเวทย์ เธอรู้ดีว่าการถูกโจมตีจากด้านหลังเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของเธอ ในการต่อสู้จริง เธอจะร่ายเวทย์เกราะป้องกันก่อนเสมอ เพื่อไม่ให้เธอกังวลเกี่ยวกับลูกหลงหรือการถูกลอบโจมตี จอมเวทย์ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน – นั่นเป็นการใช้พลังที่สิ้นเปลืองอย่างมาก


 


ถ้าเธอไม่ได้เตรียมตัวและเดินผ่านพุ่มไม้ ผลที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงมาก ดังนั้นทันทีที่เธอเห็นชายชุดดำเหล่านั้น เธอหยุดไม่สนใจพวกเขาและจับตาดูอย่างจริงจัง


 


โรดส์มองดูเธออย่างระมัดระวังและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตั้งแต่แรก เขาได้สังเกตเห็นความแข็งแกร่งของศัตรู ถ้าอ้างอิงจากระดับ คนเหล่านี้มีระดับสูงกว่าเขา โชคดีที่การเฝ้าระวังและเทคนิคลับต่างๆมีระดับต่ำกว่าที่โรดส์คิด ทำให้เขามั่นใจว่าเขาสามารถจัดการคนพวกนี้ได้


 


ภายนอก โรดส์และมาร์ลีนดูค่อนข้างเฉยชา แต่จริงแล้วในเงามืดมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าคนพวกนั้นจะแข็งแกร่งหรือไม่ โรดส์จำเป็นต้องหาตำแหน่งของพวกเขาก่อน ก่อนที่เขาจะโจมตี ดังนั้นในการเลือกตำแหน่งในการซุ่มโจมตีนั้น โรดส์ได้เปรียบอย่างมาก


 


และในระหว่างที่กำลังหาคนพวกนั้น โรดส์พบบางอย่างที่น่าสนใจ


 


“ช่างเป็นคนที่รักสัตว์จริงๆ” โรดส์พูดและเหยียดรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย โดยไม่แน่ใจว่าเขากำลังชมมาร์ลีนหรือประชดประชัน และในเวลาเดียวกัน กระรอกวิ่งขึ้นมาบนไหล่ของเธอ


 


“บอกตรงๆ ผมคิดว่าจอมเวทย์จะชอบอะไรที่มันแปลกกว่านี้ซะอีก”


 


“แปลก?” มาร์ลีนยกคิ้วขึ้นและมองไปยังโรดส์


 


“คุณคิดว่าความชอบของฉันจะแปลกเหมือนวิญญาณอัญเชิญของคุณเหรอ? นี่คือลูกน้อยของฉัน! ถ้าพวกเราไม่เดินทางไกลขนาดนี้ ฉันไม่เอามันมาที่นี่หรอก”


 


วิญญาณอันเชิญที่อ่อนแอและน่าสงสารถูกโยนไปในกองไฟทันที…


 


โรดส์ถอนหายใจและส่ายหัวของเขา เขามองไปยังกระรอกที่นั่งอยู่บนไหล่ของมาร์ลีน มันกำลังใช้ฟันเล็กๆแทะลูกนัท


 


จากมุมมองของหญิงสาว ความน่ารักคือความยุติธรรม โรดส์เข้าใจ ‘ความจริงนี้’ อย่างชัดเจน เนื่องจากเขาเคยเป็นหัวหน้ากิลด์มาก่อน ผู้เล่นหญิงมากมายในกิลด์ของเขาไม่ได้เลือกสัตว์เลี้ยงโดยดูจากสกิล พรสวรรค์หรือความสามารถในการต่อสู้ พวกเธอเลือกเพราะความสงยงาม ความน่ารัก ความมีเสน่ห์ ไม่ว่าเขาจะอยู่โลกใบไหน ผู้หญิงมักจะมีด้านนี้เสมอ


 


“ไปกันเถอะ”


 


ในลำธาร มีพุ่มไม้เตี้ยๆมากมายกระจัดกระจายไปทั่วกำแพงหิน เมื่อสายลมพัดผ่าน เศษดินและใบไม้จะปลิวไปทั่ว


 


“พวกเราจะหาสมบัติกันที่นี่จริงๆเหรอ คุณโรดส์?” มาร์ลีนบ่นออกมาโดยมือของเธออีกข้างกำลังกันใบไม้ออกไปจากใบหน้าของเธอ


 


“มันดูวังเวงแบบนี้จะมีสมบัติจริงๆเหรอ?”


 


“เพราะว่ามัน ’วังเวง’ ถึงทำให้มีสมบัติอยู่ที่นี่ล่ะ มาร์ลีน”


 


โรดส์เดินเข้าไปในเงาและสำรวจพื้นที่รอบๆ


 


“คุณรู้รึเปล่าว่าที่นี่ถูกเรียกว่า ก้อนหินแห่งความโศกเศร้า?”


 


มาร์ลีนส่ายหัว เธอไม่ใช่คนพื้นที่ในเมืองดีพสโตน เธอจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?


 


“นานมาแล้วมีค่ายโจรถูกสร้างขึ้นบริเวณนี้ ในเวลานั้นเมืองดีพสโตนยังไม่ถูกสร้างขึ้น เหมืองแร่ทั้งหมดถูกผูกขาดโดยพ่อค้ากลุ่มใหญ่ ไม่เพียงแต่เหล่าพ่อค้าจะใช้ประโยชน์จากคนงานเหมือง แต่พวกเขายังไม่จ่ายค่าตอบแทนหรือจัดหาอาหารให้ด้วย สุดท้ายพวกโจรจึงฆ่าพ่อค้าทิ้งและแจกจ่ายเงินให้กับทุกคน”


 


ปากของมาร์ลีนกระตุกเล็กน้อย เธอเกลียดขุนนางโหดเหี้ยม เธอรู้ดีว่ามันเป็นหน้าที่ที่ขุนนางต้องจัดการ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด สำหรับคนธรรมดาที่ต้องลุกขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของตัวเอง นั่นทำให้เธอไม่มีความสุข


 


ประสาทการรับรู้ของโรดส์มองเห็นทันที เขาเห็นปฏิกิริยาของมาร์ลีนอย่างชัดเจน แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไร เมื่อตอนที่เขามาโลกใบนี้ เขาพบว่าวัฒนธรรมและความเชื่อของคนบนโลกใบนี้แตกต่างไปจากของเขา ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ ถ้าเขาเล่าเรื่องนี้ให้คนบนโลกของเขาฟัง พวกเขาจะปรบมือและยกย่องผู้ที่กล้าหาญที่กล้าลุกขึ้นต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่ง แต่นั่นไม่ใช่กับโลกใบนี้


 


ในขณะที่มาร์ลีนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เธอไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชม  เนื่องจากเธอเป็นขุนนาง ความเห็นของเธอจึงแตกต่างไปจากคนทั่วไป เธอได้รับการดูแลอย่างดี ทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับขุนนางในตัวเธอดูยิ่งใหญ่มาก เช่นเดียวกับศักดิ์ศรีของพวกเขา ดังนั้นการได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ มาร์ลีนไม่อาจยอมรับได้


 


สำหรับประชาชนที่เป็นคนชั้นต่ำ พวกเขาไม่รังเกียจ ถ้าตัวเอกจะเป็นโจร ตราบเท่าที่คนพวกนั้นสามารถแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้ พวกเขาจะเห็นเหล่านั้นเป็นวีรบุรุษ


 


โรดส์ไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของมาร์ลีน และไม่สนใจจะเปลี่ยนมุมมองของเธอ


 


เขาเริ่มนึกถึงคำอธิบายของภารกิจดั้งเดิมและพูดต่อ “ในเวลานั้น พวกโจรมีชื่อเสียงมากในหมู่ผู้คน ซึ่งทำให้พ่อค้าร่ำรวยอิจฉาพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็แก้เผ็ดและสั่งให้ทหารบุกค่ายโจร แม้ว่าทหารจะมีมากกว่า แต่จิตวิญญาณของพวกโจรไม่หวั่นไหว พวกเขาต่อสู้กับทหารด้วยความกล้าหาญและเสียชีวิตลงด้วยศักดิ์ศรี ในคืนต่อมา หลังจากที่ทหารจากไป ผู้คนต่างโศกเศร้ากับการตายของเหล่าวีรบุรุษและจึงสร้างหลุมฝังศพขึ้นมา ดังนั้น นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ ก้อนหินแห่งความโศกเศร้า”


 


“เป็นเรื่องที่วิเศษมาก…แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนั้นล่ะ?”


 


“ผมไม่รู้”


 


โรดส์ส่ายศีรษะอย่างง่ายๆ รายละเอียดของภารกิจมีแค่นี้และไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งใด “ถ้าคุณอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รออ่านตอนต่อไป”


 


“มันเป็นเรื่องที่วิเศษมาก”


 


มาร์ลีนพยักหน้า แต่เธอดูสับสน


 


“แต่คุณโรดส์ อย่างที่คุณพูดมา คนพวกนั้นท้ายที่สุดก็เป็นโจร พวกเขาเป็นกลุ่มอาชญากร พวกเขาจะทิ้งสมบัติได้อย่างไร?”


 


“มาร์ลีน ให้ผมถามคุณก่อน ทำไมตระกูลเซเนียถึงแข็งแกร่ง? เพราะชื่อเสียงเพียงอย่างเดียวรึ?”


 


“แน่นอนว่าไม่ใช่” มาร์ลีนตอบอย่างรีบร้อน


 


เธอไม่ชอบวิธีที่โรดส์ถามอย่างตรงไปตรงมา


 


“พวกเรา ตระกูลเซเนียไม่ได้มีอดีตที่น่ายกย่องเท่านั้น หืมม..ถ้าคุณรู้ว่า..ไลซ์เป็น….-”


 


มาร์ลีนปิดปากทันที จากนั้นเธอรู้สึกผิดและมองไปยังโรดส์ หลังจากพบว่าสีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป เธอรู้สึกโล่งใจ ในเวลาเดียวกัน เธอส่ายหัสอย่างลับๆ


 


ไลซ์…จะดีกว่าถ้าเธอบอกคุณโรดส์ไปอย่างเปิดเผยว่าเธอเป็นใคร ไม่อย่างนั้น ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่ต้องระวัง ฉันเองก็ต้องระวังด้วย ลำบากจริงๆ


 


“โจรพวกนั้นก็เหมือนกัน” โรดส์พูดถึง ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดก่อนหน้านี้


 


เธอไม่รู้ว่าเขาได้ยินหรือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน


 


เขาพูดต่อ “คุณไม่คิดว่ามันแปลกเหรอที่พวกเขามีความสามารถในการจัดการกับพวกโจรได้ในตอนแรก? ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าเสี่ยงชีวิตไปเป็นโจร เพราะพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นได้ พวกเขาต้องมีใครหนุนหลัง ถ้าเราลองมองที่ประเด็นนี้ พวกเราจะพบเรื่องไม่คาดคิด”


 


โรดส์เริ่มแทรกความจริงลงไปเพียงครึ่งเดียวในการเล่าเรื่องของเขา ย้อนกลับไปในเกม มีภารกิจลับมากมายมาจากข่าวลือ ตำนานหรือแม้แต่นิทาน ผู้เล่นเป็นกลุ่มที่อ่อนโยนต่อเนื้อเรื่องพวกนี้มากเพราะมันเป็นเกมเสมือนจริง ดังนั้นตรรกะเรื่องพวกนี้จึงไม่ได้ไกลจากโลกในความเป็นจริงมากนัก ประโยคแปลกๆที่ถูกใส่ไว้ในเกมอาจกลายเป็นภารกิจลับได้ทั้งหมด


 


ในเกม ก้อนหินแห่งความโศกเศร้าเปิดขึ้น เมื่อผู้เล่นได้ยินนักกวีร้องเพลงที่โรงเตี๊ยม เป้าหมายของผู้เล่นที่ไปโรงเตี๊ยมคือไปแสวงหาการผจญภัย ดังนั้นพวกเขาจึงรอให้กวีร้องเพลงเพื่อให้ภารกิจลับถูกเปิดออก


 


แน่นอนว่ามาร์ลีนไม่เกี่ยวข้องกับมัน – นั่นเป็นเหตุผลที่เธอมองโรดส์ด้วยความประหลาดใจพ เธอตกใจในประสาทรับรู้ของโรดส์ในการเปลี่ยนเรื่องราวเหล่านี้มาเป็นข้อมูล  มาร์ลีนรู้สึกว่ายิ่งเธอใช้เวลากับชายคนนี้มากเท่าใด เธอยิ่งคิดว่าตัวตนของเขาลึกลับมากขึ้นเท่านั้น มีอะไรในโลกใบนี้ที่เขาทำไม่ได้บ้าง?


 


เขาเป็นใครกันแน่?


 


ความสงสัยของมาร์ลีนเพิ่มสูงขึ้น


 


“ตรงนี้แหละ”


 


ในขณะนั้นโรดส์หยุดอยู่หน้าถ้ำ เขาตรวจสอบปากถ้ำอย่างระมัดระวังและเดินเข้าไปด้านใน มาร์ลีนลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่เธอจับกระโปรงและเดินตามหลังไป


 


ทั้งคู่ส่องคบไฟไปตามทางอุโมงค์ มีเพียงเสียงเท้าของพวกเขาทั้งสะท้อนไปภายในถ้ำ บางครั้งมีเสียงหยดน้ำหยดลงมาที่พื้น จากที่ตรวจสอบ ไม่มีอะไรแปลกประหลาดในถ้ำใต้ดินนี้


 


ไม่นานหลังจากที่เข้ามา มาร์ลีนที่อยู่ด้านหลังกรีดร้องออกมาทันที


 


“กรี๊ดดดดดดด!”


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


โรดส์หันกลับมาอย่างรวดเร็วและมองไปที่เธอ


 


“ฉันรู้สึกว่ามีอะไรโดนฉันจากด้านหลัง” มาร์ลีนพูดออกมาเสียงสั่นๆ น้ำเสียงของเธอเหมือนจะร้องไห้


 


“โดนคุณ?”


 


ก่อนที่เขาจะหันหลับไป โรดส์คิดถึงสิ่งต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่เขาคิดว่ามันไม่น่ามีอะไรอยู่ เขาจึงยกคบเพลิงและโบกไปมาด้านหลังมาร์ลีน


 


“ไม่เห็นมีอะไรเลย”


 


“หรื-หรือฉันเข้าใจผิด?”


 


มาร์ลีนหันหน้ากลับมา ใบหน้าของเธอแดงกล่ำและไม่รู้จะพูดอะไรออกมา


 


โรดส์ไม่ได้ว่าอะไรเธอ ไม่นานทั้งคู่เดินต่อ แต่หลังจากเดินไปได้ 3 ก้าว เสียงร้องของมาร์ลีนดังขึ้นอีกครั้ง


 


“กรี๊ดดด!”


 


“เอ๊ะ?”


 


โรดส์หันกลับไปอีกครั้ง เขาไม่เห็นอะไรอยู่ด้านหลังเธอ แต่ครั้งนี้ เขาเห็นใบหน้าของมาร์ลีนซีดกว่าเดิมมาก ทั้งร่างของเธอสั่นทึมราวกับเธอเห็นผี


 


“ไ-ไม่ มันไม่ถูกต้อง…มันต้องมีบางอย่าง…! ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ฉันรู้สึกว่ามันอยู่บนหลังฉัน…โรดส์ ช่ว-ช่วยฉันด้วย! มั-มันคืออะ-?”


 


ก่อนที่มาร์ลีนจะพูดจบ โรดส์พบบางอย่างที่คอของเธอ


 


“อย่าขยับนะ!”


 


วูซซซ! เขาตวัดดาบผ่านลำคออย่างรวดเร็ว ‘ผู้ร้าย’ กระเด็นไปบนผนัง ในขณะนั้น พวกเขาทั้งสองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมัน


 


มันเป็นแมงมุมตัวเท่าฝ่ามือ!


 


แม้ว่าแมงมุมตัวนี้จะถูกฟันและ แต่มันยังพยายามขยับร่างกายเพื่อหลบหนี เลือดสีน้ำตาลของมันไหลออกมาจากบาดแผล มันพ่นใยออกมาราวกับกำลังเจ็บปวด


 


สายตาของมันน่าขยะแขยงมาก


 


แม้แต่โรดส์ที่เคยเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจกว่านี้มามาก สีหน้าของเขายังเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เขาสะบัดดาบออกมาอีกครั้ง แมงมุมตัวนั้นถูกฟันขาดเป็นชิ้นๆ


 


“เฮ้ออ…”


 


หลังจากกำจัดแมงมุมเสร็จ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา


 


“มาร์ลีน คุณบาดเจ็บรึเปล่า? คุณเป็นยังไ-”


 


โรดส์ยังพูดไม่จบ เมื่อร่างกายที่นุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอมเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา


 


“….” โรดส์พูดไม่ออก


 


“ฮืกก…”


 


มาร์ลีนเกาะโรดส์ไว้แน่น เธอเอาหัวมุมเข้าไปในอ้อมกอดของเขา แม้ว่าเขาจะไม่เห็นสีหน้าของเธอ แต่เขาได้ยินเสียงสะอื้นของเธออย่างแผ่วเบา


 


ผู้หญิงคนนี้ร้องไห้จริงๆรึ?


 


โรดส์ขมวดคิ้วด้วยความสับสน เขายื่นมือซ้ายออกไปและตบไปที่ไหล่ของเธอ


 


น่าแปลกใจที่เด็กสาวคนนี้ยังไม่ตอบสนอง แขนของเธอยังเกาะร่างของโรดส์แน่น เขายอมรับว่า ขนมปังก้อนโตของเธอดึงดูดสายตาของเขามากๆ


 


“คุณมาร์ลีน? ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”


 


“ฮึก…ฮึก…มันตายแล้วเหรอ? บน-บนหลังของฉัน ไม่มีมอนสเตอร์น่าเกลียดแล้วใช่ไหม? คุณโรดส์ ช่วยดูให้หน่อยสิ มอนสเตอร์น่าเกลียดออกไปจากหลังของฉันแล้วใช่ไหม?”


 


โรดส์มองไปที่หลังของมาร์ลีนและใช้คบไฟส่อง สิ่งที่เขาเห็นคือผ้าคลุมที่สะอาดไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน


 


“ไม่มีอะไรแล้ว คุณมาร์ลีน”


 


เมื่อเธอได้ยินคำพูดยืนยันของเขา ในที่สุดมาร์ลีนก็โล่งใจ เธอเงยหน้าชึ้ยและเช็ดดวงตาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเธอนึกบางอย่างออก เธอจึงยิ้มออกมาอย่างน่าอายและพูดขึ้น “ฉัน-ฉันมีบางอย่างต้องทำ ฉันจะกลับมาเร็วๆนี้ โอเคนะ?”


 


“…แน่นอน ไม่มีปัญหา ระวังตัวด้วย”


 


ท่าทางสดใสของเธอเริ่มกลับมาเหมือนปกติ โรดส์ไม่รู้ว่าในหัวของเธอตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงมองดูเธอวิ่งไปที่มุมเงียบๆด้วยความสงสัย จากนั้นคบเพลิงที่อยู่ตรงนั้นถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อเธอกลับมา เธอมาพร้อมกับความรู้สึกกระปรี่กระเปร่า


 


อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ท่าทางของเธอที่กลับมาเป็นปกติ  เสื้อคลุมหรูหราของเธอที่เธอใส่ประจำ….ก็เปลี่ยนไปรึ?


 


“คุณมาร์ลีน?”


 


“เอ๊ะ? ไม่เป็นไร ฉันขอโทษด้วยที่ทำตัวไม่เป็นมืออาชีพ คุณโรด์ ฉันตกใจและลื่นล้มลงไปน่ะ….ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว เราไปกันเถอะ”


 


“ก่อนจะไป ผมมีคำถาม”


 


“อะไรล่ะ?”


 


“คุณ…กลัวแมงมุมเหรอ?”


 


“โอ้…ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า…ฮ่า…” มาร์ลีนฝืนตัวเองหัวเราะออกมา เมื่อเธอได้ยินคำถามของโรดส์


 


“คุณพูดอะไรน่ะ คุณโรดส์ คุณกำลังล้อฉันเล่นเหรอ คุณจะไปรู้อะไร? ผู้หญิงคนนี้น่ะรึจะไปกลัวไอ้พวกตัวดำ มีขนหยุบหยับ แปดขากันล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้ ฉันแค่ตกใจเล็กน้อยและลื่นล้มลงไปเฉยๆ แมลงไร้ประโยชน์พวกนี้รู้แต่วิธีทำให้ผู้คนหวาดกลัวด้วยขากรรไกรเล็กๆเท่านั้นแหละ ฉันไม่ได้กลัวเล้ย!!!”


 


น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนกลัวจริงๆ…

 

 

 


ตอนที่ 66

 

66 – เบื้องหลังข่าวลือ


 


หลังจากเข้ามาภายในถ้ำ ทั้งคู่เดินต่อไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่ามาร์ลีนยังไม่ลดท่าททีระแวงของเธอ ไม่เพียงแต่เธอยังร่ายเวทย์เกราะไว้เท่านั้น แต่เธอยังเดินชิดกับโรดส์ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ มือขวาของเธอเกาะไปที่ชายเสื้อของโรดส์ตลอดเวลา ม่านตาของเธอมองซ้าย-ขวาไปมา เพื่อค้นหาการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ การเฝ้าระวังในระดับนี้ แม้แต่ชายชุดดำก็ไม่อาจหลบเลี่ยงไปจากสายตาของเธอได้


 


“คุณโรดส์ ที่นี่จริงๆเหรอ?” มาร์ลีนถามหลังจาดสูดลมหายใจเข้าไป อากาศเย็นทำให้หนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง


 


หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาลึกภายในถ้ำ ภายในเริ่มหนาวเย็นมากขึ้น โรดส์ยังค่อนข้างสงสัยเพราะเขาไม่เคยำภารกิจนี้มาก่อน ในเวลานั้น เขามุ่งเป้าไปที่การค้นหาศักยภาพของนักดาบอัญเชิญอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มาทำภารกิจนี้


 


สาเหตุที่เขารู้เกี่ยวกับก้อนหินแห่งความโศกเศร้าเพราะเขาอ่านการผจญภัยของผู้เล่นคนอื่นในหน้าฟอรั่ม ผู้เล่นเหล่านั้นโพสต์ภาพถ่ายประสบการณ์ของพวกเขา รวมถึงสิ่งของที่ได้รับเมื่อจบภารกิจ ความตั้งใจของเขาคือการเปิดเผยภารกิจ ก่อนหน้านี้ไม่มมีใครคิดว่าการฟังนักกวีร้องเพลงจะได้รับการเปิดภารกิจลับ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจึงทำให้ผู้เล่นมากมายพยายามค้นหาเนื้อเรื่องและข้อสังเกตเมื่อเสาะหาภารกิจลับอื่นๆ


 


สถานการณ์ในตอนนี้เป็นเหมือนกับที่เขาพบในโพสต์บนฟอรั่ม แต่ในตอนนั้นผู้เล่นเขียนว่า “หลังจากผมเดินผ่านถ้ำไปสักพัก….”


 


…จบที่นั่นรึ


แล้ว…‘สักพัก’ นี่นานแค่ไหน?


มีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้


มันอาจจะไม่นานมาก ไม่อย่างนั้น ผู้เล่นคนนั้นคงไม่เขียนว่า ‘สักพัก’


บ้าเอ้ย! อาจจะผิดพลาดที่ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับภารกิจนี้


 


เขาพูดสิ่งเหล่านี้ในใจ ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งสองสังเกตเห็นบางอย่างเปลี่ยนไป


 


แสงสว่างส่องมาที่ดวงตาของพวกเขา ขณะที่พวกเขาเดินออกจากถ้ำแคบ


 


พวกเขาพบพื้นถ้ำที่กว้าง หินย้อยมากมายอยู่ตามพื้น มีน้ำหยดมาบ้างบางครั้ง  ผนังถ้ำที่เปียกสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านรูถ้ำมากมาย แม้แต่ต้นไม้ที่อยู่ในมุมมืดยังพยายามยืดต้นอ่อนออกไปรับแสง


 


“สวยงามมาก…”


 


โรดส์เห็นถาพตรงหน้า เขาไม่ได้แปลกใจ แต่สำหรับมาร์ลีน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ มันไม่ได้มืดและน่ากลัวอย่างที่เธอคิดไว้ มันมีเสน่ห์และงดงามในตัวเอง


 


มาร์ลีนกำลังดื่มด่ำกับพลังของธรรมชาติที่งดงาม ในขณะที่โรดส์จับจ้องไปบนก้อนหินก้อนใหญ่mujvp^j[ornho


 


ก้อนหินก้อนนี้ตรงกับที่โรดส์เคยเห็นในฟอรั่ม


 


หินงอกกลับหัวขนาดใหญ่ถูกแกะสลักเป็นหินราบเรียบและมีหลายชื่อสลักอยู่บนนั้น มันเป็นชื่อของโจรที่ถูกฆ่าตาย หลังจากการตายของพวกเขา พวกเขาถูกฝังอยู่ที่นี่ภายใต้หลุมศพของคนทั่วไป


 


“พวกเขาแฝงตัวในตอนกลางคืนและตายภายใต้ความมืดมิด แต่พวกเขานำแสงสว่างมาสู่พวกเรา”


 


โรดส์พึมพำข้อความที่ถูกจารึกไว้เหนือหลุมศพ เขาโค้งคำนับและมองไปยังด้านหลังของหิน


 


เวลาผ่านไปนาน หลุมศพสูญเสียรูปลักษณ์เดิมของมัน ถ้าไม่ใช่เพราะกองหินก้อนเล็กๆที่เรียงตัวอย่างสวยงาม คงไม่มีใครคิดว่านั่เป็นหลุมศพ


 


“ฉันควรทำอะไรต่อไปเหรอ คุณโรดส์? คุณคงไม่ได้ให้ข้ามาเป็นโจรปล้นสุสานหรอกใช่ไหม?” มาร์ลีนถามโรดส์ด้วยความกังวล ไม่ว่าอย่างไร การขุดสุสานไม่ใช่สิ่งที่เหล่าขุนนางควรทำ


 


“แยกกันไปตรวจสอบพื้นที่บริเวณนี้”


 


โรดส์พบที่ตั้งของสมบัติแล้วเพราะเขาจดจำเนื้อหาของรูปที่ผู้เล่นโพสต์ไว้ในฟอรั่มได้อย่างชัดเจน แต่เขาไม่โง่พอที่จะเดินเข้าไปยังสถานที่เก็บสมบัติและลงมือขุด นั่นเพราะจะทำให้มาร์ลีนสงสัย เขาไม่อยากสร้างเรื่องปวดหัวเพิ่ม เขาจึงตัดสินใจทำตามวิธีปกติ


 


มาร์ลีนโล่งใจ เมื่อเธอได้ยินว่าโรดส์ไม่ได้สั่งให้เธอขุดหลุมศพ เธอพยักหน้าและหันไปด้านซ้ายของถ้ำ ในขณะที่โรดส์สำรวจทางด้านขวา เมื่อมาถึงจุดนี้ โรดส์อดสงสัยไม่ได้ว่าที่นี่แตกต่างอะไรไปจากในเกมหรือไม่


 


แต่เมื่อเขาเห็นหีบฝุ่นที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ที่มุมห้อง ในที่สุดโรดส์ก็โล่งอก


 


เขาเดินไปที่หีบและก้มลงศึกษาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา


 


ด้วยอำนาจของกาลเวลา ด้านบนของหีบหนาเตอะไปด้วยฝุ่น โรดส์ยื่นมือออกมาอย่างแผ่วเบาและปัดฝุ่นออกจากฝาด้านบน จากนั้นเขาตบไปที่จุดต่างๆอย่างชำนาญ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่โดนกับดัก หลังจากนั้นเขาจับฝาและเปิดมันออก


 


เอี๊ยดดดด….ฝุ่งกระจัดจายไปทั่วทุกที่เมื่อเขาเปิดฝาหีบออก มันส่งเสียงคล้ายกับบานพับประตูที่ขึ้นสนิม หลังจากที่เป่าไล่ฝุ่นออก หัวใจของเขาเต้นโครมครามด้วยความดีใจ


 


ภายในหีบมีอาวุธที่ถูกซ่อนไว้โดยพวกโจร ส่วนใหญ่พวกมันจะขึ้นสนิมและผ่านการทดสอบโดยกาลเวลา อย่างไรก็ตาม มีอาวุธบางชิ้นที่ส่องประกายแวววาวกว่างชิ้นอื่น ราวกับพวกมันเป็นของใหม่ นี่คือคุณลักษณะของอุปกรณ์เวทมนตร์


 


[เขี้ยวที่แตกหัก(กริช) อุปกรณ์เวทมนตร์(ยอดเยี่ยม) เมื่อโจมตีเป้าหมาย มีโอกาส 30% ทำให้เกิดอัมพาต 3 วินาที]


 


[ธนูพงไพร(คันธนู) อุปกรณ์เวทมนตร์(ยอดเยี่ยม) สามารถใช้พลังวิญญาณเพื่อใช้ความสามารถฮอว์คอาย 1 ชั่วโมง]


 


[หัวใจศิลา(โล่) อุปกรณ์เวทมนตร์(หายาก) เมื่อถูกโจมตี มีโอกาสใช้งาน ‘ร่างเหล็ก’ และดูดซับความเสียหาย 4,000 แต้ม  , เพิ่มความสามารถในการต้านทานเวทมนตร์ 10%]


 


[คำสัตย์แห่งหมาป่า(ดาบ) อุปกรณ์เวทมนตร์(ยอดเยี่ยม) เมื่อโจมตีเป้าหมาย มีโอกาสทำให้อีกฝ่ายติดสถานะเลือดไหล , เพิ่มความเสียหาย 30%]


 


ในหีบ โรดส์พบอุปกรณ์เวทมนตร์ 4 ประเภท เขายังพบกระเป๋ามิติซึ่งทำให้เขาดีใจมาก กระเป๋ามิติมีราคาแพงมากและหาได้ยาก ในเกม ผู้เล่นทั้งหมดได้รับมาคนละใบโดยอัตโนมัติ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันมีราคาแพงมาก


 


หลังจากเกิดเหตุเรือบินตก เขาได้ถามแมทเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในตอนแรกเขาตั้งใจจะซื้อจากแมทสักใบ แต่แมทบอกเขาว่ากระเป๋ามิติส่วนใหญ่อยู่กับจอมเวทย์ เนื่องจากกระเป๋ามิติเป็นเวทย์ระดับสูง บางทีคนทั่วไปอาจจะไม่สามารถใช้มันได้ตลอดชีวิต


 


แม้แต่พ่อค้านักเดินทางอย่างแมทยังไม่สามารถหากระเป๋ามิติได้ บางทีอาจจะมีเพียง 4-5 คนเท่านั้นในเมืองดีพสโตนที่มีกระเป๋านี้ โรดส์รู้มาว่าเซเร็คและมาร์ลีนมีกันคนละใบ สำหรับเด็กสาวผู้น่าสงสาร เธอคิดว่าการผจญภัยของเธอไม่ได้ยาวนานจึงไม่ได้หยิบมาด้วย เสื้อคลุมของมาร์ลีนเองก็มีคุณสมบัติคล้ายกัน แต่มันไม่สามารถจุของได้มากเท่ากระเป๋ามิติ


 


โรดส์อยากได้มานานแล้วตั้งแต่เขามาถึงโลกใบนี้ ย้อนกลับไปในเกม เหล่าผู้เล่นในเกมโยนกระเป๋ามิติระดับต่ำที่มีช่องว่าง 10 ช่องโดยที่ไม่มีใครต้องการมัน แต่ตอนนี้แม้แต่กระเป๋ามิติที่มีช่องว่าง 4 ช่องสำหรับมือใหม่ เขายังไม่มีมันเลย…ช่างน่าสงสาร


 


แม้ว่าเขาจะคิดไว้แล้วว่าของที่เขาได้รับจะค่อนข้างดี มันดีเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก! ในตอนแรก เขาวางแผนจะตามหาอุปกรณ์ที่คล้ายกับของพวกนี้ แต่ของพวกนั้นอยู่ในดันเจี้ยนถัดไป อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาได้รับพวกมันมาทั้งหมดโดยไม่ต้องต่อสู้กับศัตรู! บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ภารกิจนี้น่าดึงดูดใจ ไม่เหมือนภารกิจทั่วไป ภารกิจลับจะทดสอบความฉลาดและการสังเกตของผู้เล่น


 


โรดส์เก็บของทั้งหมดที่เขาพบใส่ลงไปในกระเป๋ามิติโดยไม่สนใจสิ่งใด หลังจากตรวจสอบหีบทั้งใบแล้ว เขาเห็นเศษผ้าซ่อนอยู่ใต้หีบ แต่ในตอนนี้โรดส์รู้สาเหตุแล้วว่าทำไมโพสต์นี้ถึงถูกกระจายไปทั่วอินเตอร์เน็ต


 


[ผู้สงสารเงา(เสื้อคลุม) อุปกรณ์เวทมนตร์(ลึกลับ) เมื่อสวมใส่ สามารถปกปิดตัวตนได้ถึง 70% , คุณสมบัติ ‘ซ่อนตัว’]


 


เสื้อคลุมนี้เป็นอุปกรณ์ระดับ ‘ลึกลับ’ ชิ้นแรกที่เขาพบในโลกใบนี้ อุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นไอเทมที่เหล่าสายลับ โจร นักฆ่าหรือเรนเจอร์ ‘ต้องมี’ ในเกม ณ โรงประมูล ราคาของมันสูงถึง 25,000,000 เหรียญทอง และไม่เคยต่ำลงมาเลย นอกจากอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับ ‘โบราณ’ มันมีอุปกรณ์ชิ้นไหนดีไปกว่านี้แล้ว


 


นอกจากนี้ เสื้อคลุมนี้มีเพียง 10 ชิ้นเท่านั้นใน Dragon Soul Continent ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของกลุ่มนักฆ่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีผู้เล่นคนหนึ่งได้รับผ้าคลุมนี้ เขาสามารถผ่านการทดสอบการเป็นนักฆ่าได้ทันที ส่วนที่เหลือต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์และผ่านภารกิจมากมายเพื่อให้ได้มา แต่พวกเขาก็ทำไม่สำเร็จ


 


และตอนนี้ สิ่งประดิษฐ์ระดับตำนานชิ้นนี้ก็มาอยู่ในเงื้อมมือของเขา


 


น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่โจร ด้วยเหตุผลนี้ทำให้มูลค่าของเสื้อคลุมนี้ลดลงอย่างมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย


 


เมื่อโรดส์กำลังวุ่นวายอยู่กับการเก็บของ มาร์ลีนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของถ้ำ เธอมองไปยังส่วนที่แปลกของถ่ำด้วยความสงสัย


 


“นี่อะไรเนี่ย?” เธอพึมพำกับตัวเอว


 


กำแพงที่เธอมองอยู่นั้นถูกห่อด้วยเถาวัลย์ ซ่อนสิ่งที่อยู่ด้านในไว้ เธอยกไม้คทาขึ้นอย่างระมัดนะวังและร่ายเวทย์เพื่อแก้เถาวัลย์


 


เมื่อเถาวัลย์สลายตัวออก สิ่งแรกที่เธอเห็นคือใบหน้า


 


“กรี๊ด!”


 


มาร์ลีนกรี๊ดออกมาเบาๆและโบกไม้คทาไปมา หลังจากนั้น เธอเห็นว่ามันเป็นเพียงรูปปั้น


 


รูปปั้นแสดงให้เห็นชายหนุ่มที่มีศักดิ์ศรีอยู่ในชุดเกราะเต็มยศและถือดาบไว้ในมือ แม้ว่ามันจะค่อนข้างเก่า แต่รูปปั้นนี้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์และทำให้ดูมีกำลังใจ


 


“นี่มัน…รูปปั้นจากยุคฟาซิคาร์ลไม่ใช่รึ?”


 


ความสงสัยของมาร์ลีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอเดินตรงไปและตรวจสอบรูปปั้น จากนั้นเธอยื่นมือออกไปแตะที่ใบหน้าของมัน


 


และในขณะนั้น เสียงของโรดส์ดังขึ้น “เกิดอะไรขึ้น มาร์ลีน? คุณพบอะไร?”


 


“เอ๊ะ?”


 


มาร์ลีนแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงโรดส์เรียกเธอ ในขณะนั้นเธอหมุนตัวกลับ มีเสียงดังออกมาจากรูปปั้น ทั้งคู่ตกใจเพราะใบหน้าของรูปปั้นหดตัวลง ดวงตาของมันสว่างขึ้น! จากนั้นรูปปั้นกลิ้งไปมาบนพื้นและฟันเถาวัลย์ขาดด้วยดาบของมัน


 


“อะไรกั-….มาร์ลีน! ระวัง! มาทางนี้!”


 


โรดส์ตกใจอย่างมากเพราะเขาจำไม่ได้ว่ามีสิ่งนี้ในโพสต์ และเห็นได้ชัดว่านี่เป็นถ้ำโดยธรรมชาติ จะไปมีรูปปั้นได้อย่างไร?


 


อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเวลาคิดแล้วและรีบดึงมาร์ลีนกลับมาด้านหลังและชักดาบออกมาทันที


 


บ้าเอ้ย…มันไม่น่ามีสิ่งมีชีวิตแปรธาตุที่นี่ได้สิ จริงไหม?


 


อย่างไรก็ตาม ตรงกันข้ามกับสิ่งที่โรดส์คิด รูปปั้นพวกนี้ไม่ได้โจมตี มันเก็บดาบไปด้านหลังและเงียบลง


 


ต่อมา เสียงต่ำๆดังกึ่งก้องไปทั่วถ้ำ


 


ครืดดด…กำแพงหินที่อยู่ถัดจากรูปปั้นเริ่มสั่นไหว จากนั้นมันเริ่มเอียงไปด้านข้าง เผยให้เห็นทางเดินสูง 3 เมตร


 


“…”


 


โรดส์และมาร์ลีนมองหน้ากันอย่างไร้คำพูด


 


สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?


67 – อีกถ้ำหนึ่ง


 


“….”


 


“….”


 


ทางเดินด้านหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงสว่างที่ทำให้มองไม่เห็นภายใน


 


ทั้งโรดส์และมาร์ลีนจ้องมองไปที่ทางเข้า ‘ถ้ำใหม่’


 


“มาร์ลีน คุณทำอะไรลงไป?” โรดส์ถามเพื่อทำลายความเงียบ


 


“ฉันไม่-ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” มาร์ลีนพูด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย


 


ท่าทางของเธอทำให้เห็นว่าเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ


 


โรดส์เองก็กำลังตกใจเช่นกัน


 


เขาค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีข้อความใดๆที่บ่งบอกว่ามีถ้ำซ่อนอยู่ด้านหลังรูปปั้น ถ้ามีอะไรแบบนี้ในเกม มันคงเหลื่อนอินเตอร์เน็ตเป็นแน่ อย่างไรก็ตามยังมีความเป็นไปได้บางอย่างอยู่ ผู้เล่นค้นพบทางเข้าจริง แต่เนื่องจากมันไม่มีอะไร เขาจึงไม่ได้ประกาศออกไป


 


แต่ไม่ว่าเขาจะมองไปที่ทางเข้ามากเท่าใด เขาก็คิดไม่ออกว่าทำไมคนๆหนึ่งต้องออกแบบกลไกเพียงเพราะเรื่องสนุกงั้นเหรอ?


 


แม้ว่ามันจะฆ่าเขา แต่เขาก็ยังเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง ทางเดินลับและกับดักเป็นสิ่งที่มาคู่กันใช่ไหม? มีเพียงทางเดียวที่จะหาคำตอบได้


 


เข้าไปและสำรวจ


 


แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดไมได้ที่จะรู้สึกลังเล ถ้าย้อนกลับไปในเกม เขาจะเดินหน้าไปทันทีโดยไม่รอช้า แต่ตอนนี้ สถานการณ์มันเปลี่ยนไป เขาไม่สามารถ ‘ฟื้นคืนชีพ’ ได้ถ้าเขาตาย ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางที่ไม่รู้จัก ถ้ามีกับดักและมอนสเตอร์รออยู่ด้านใน? แน่นอนว่าพวกมันสร้างปัญหาให้เขาแน่


 


ไม่ว่าอย่างไร มันไม่ใช่ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้สำหรับโรดส์


 


“มาร์ลีน” โรดส์พูดอย่างเบาๆ พร้อมกับเน้นย้ำเสียงของเขา “ยืนเฝ้าที่หน้าประตู ผมจะเข้าไปสำรวจ ถ้าผมไม่ออกมาใน 20 นาทีหรือถ้าคุณได้ยินเสียงระเบิด คุณต้องออกไปจากที่นี่ทันที เข้าใจไหม?”


 


เมื่อพูดจบ โรดส์ตัดสินใจ เขาชัดดาบออกมาและตวัดไปด้านข้าง การ์ดสีแดงลอยขึ้นไปในอากาศ


 


กรอออ! หมาล่าเนื้อสีดำปรากฏขึ้นข้างกายเขา


 


“ฉันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร!” มาร์ลีนส่ายหัวและปฏิเสธ


 


จากนั้นเธอขมวดคิ้วและพูดขึ้น “คุณต้องการให้ฉันหนีไปงั้นรึ? ถ้าฉันทำแบบนั้น ฉันจะไปอธิบายให้ไลซ์ฟังได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเซเนียไม่ใช่พวกขี้ขลาด…”


 


โรดส์โบกมือขึ้นขัดมาร์ลีน “มันไม่ใช่เรื่องของความกล้าหาญ มาร์ลีน พวกเราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในถ้ำ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา พวกเราคิดกับตักอยู่ในนั้นล่ะ? ถ้าหนึ่งในพวกเราอยู่ข้างนอกและถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเรายังมีความหวังอยู่”


 


“นั่นก็จริง…แต่…” มาร์ลีนเริ่มรู้สึกสับสนกับเรื่องนี้และเริ่มขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นเธอกัดฟันและตะโกนออกมา “ฉันมีแผน!”


 


“แผน?” โรดส์หันไปหามาร์ลีนและมองเธอด้วยความแปลกใจ


 


“ฉัน-ฉันมีมรดกตกทอดของตระกูลฉัน มันเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์”


 


เมื่อโรดส์จ้องมองมาที่เธอ มาร์ลีนหน้าแดงเล็กน้อยและพูดติดอ่าง


 


“ไม่ว่าจะมีอันตรายร้ายแรงขนาดไหน ตราบเท่าที่ฉันยังมีสติ ฉันสามารถเทเลพอร์ตออกจากที่นี่ไปยังพื้นที่ของตระกูลเซเนียได้ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้สามารถใช้งานได้สูงสุด 2 คน ถ้าคุณจับมือฉันไว้ พวกเราสามารถออกจากที่นี่พร้อมกันได้ตลอดเวลา ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลไป”


 


ในตอนแนก น้ำเสียงของมาร์ลีนแหลมปรี๊ด แต่เมื่อเธอพูดไป น้ำเสียงของเธอเริ่มกลับมาเป็นปกติ โรดส์แปลกใจอย่างมากกับสิ่งที่เธอพูดออกมา


 


เขารู้ว่าจอมเวทย์มีสกิลและอุปกรณ์ช่วยชีวิตมากมาย แต่เนื่องจากมาร์ลีนเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเซเนีย ไม่ว่าอย่างไร เขาเชื่อว่าเธอต้องมีไพ่ลับ แต่เขาไม่เคยคิดว่าเธอจะเปิดเผยให้เขารู้อย่างชัดเจนในลักษณะนี้ คนๆหนึ่งต้องเก็บสกิลหรืออุปกรณ์ลักษณะนี้ไว้เป็นความลับ จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย มันเป็นสิ่งที่ห้ามบอกใคร แต่ตอนนี้….เธอ….


 


“นั่-นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันจะเข้าไปกับคุณ คุณโรดส์”


 


มาร์ลีนไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงสูญเสียความกล้าหาญไปอีกครั้งเมื่อโรดส์มองมาที่เธอ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอยืนกรานจะเข้าไปด้วย


 


“แม้ว่ามันจะอันตราย แต่ในฐานะจอมเวทย์ ฉันมีวิธีมากมายในการปกป้องตัวเอง ถ้าสถานการณ์เกินกว่าที่ควบคุมได้ ฉันสามารถออกจากที่นี่ได้ทันที นั่นไม่เพียงพอหรือ?”


 


หลังจากที่ได้ยินเหตุผลของมาร์ลีน โรดส์ครุ่นคิดกับตัวเอง บอกตรงๆเขาไม่อยากให้เธอติดตามเขาไป ตัวละครในปัจจุบันของเขาไม่ได้เหมือนก่อนหน้านี้ หากเป็นก่อนหน้านี้ ถ้าพระเจ้าขวางทางเขา เขาจะฆ่าพระเจ้านั้น ถ้ามีมารมาขวางทางเขา เขาจะสังหารมารนั้นทิ้ง! แต่ตอนนี้ เขามีระดับเพียง 10 แม้แต่การเอาชนะโจรระดับสูง เขายังต้องวางแผนแล้ววางแผนอีก เขาจะเข้าไปด้านในอย่างปลอดภัยได้หรือ?


 


โรดส์ไม่รู้


 


แต่สุดท้าย เขาก็เห็นด้วย


 


“โอเค” โรดส์พยักหน้า “แต่ฉันหวังว่าคุณจะสามารถปกป้องตัวเองได้นะ”


 


เนื่องจากมาร์ลีนมีแผนการหลบหนี เขาตัดสินใจเชื่อใจเธอ อย่างน้อยโอกาสในการรอดชีวิตก็สูงขึ้น


 


“แน่นอน!”


 



 


ไม่มีแสงสว่างภายในถ้ำ


 


ในตอนแรก โรดส์ระมัดระวังอย่างมากเพราะจากประสบการณ์ของเขา เส้นทางลับมักจะมาพร้อมกับกับดักที่อาจทำให้ถึงตายได้ ยกตัวอย่างเช่น กับดักพื้น ถ้าเขาก้าวพลาด มันจะเกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงตามมา


 


ทางเดินลับเป็นทางเดินเรียบ ด้วยความช่วยเหลือจากคบเพลิง เขาสังเกตเห็นการแกะสลักที่งดงามบนกำแพงทั้งสองด้าน


 


“ภาพจิตรกรรมจากยุคฟาซิสคาร์ลค่ะ คุณโรดส์” มาร์ลีนกำลังจดจ่ออยู่กับการสำรวจภาพวาดที่งดงามบนกำแพง


 


เธออดไม่ได้ที่จะรูสึกทึ่งกับการออกแบบที่ซับซ้อน จอมเวทย์ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษามาอย่างดี เป็นปกติที่พวกเขาจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม โรดส์ไมได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ เขาใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการตรวจหากับดัก…แต่ดูเหมือนว่าจะหาไม่พบเลย


 


“ระวังและจับมือผมให้แน่น” โรดส์จับมือของเธอ เมื่อเดินลึกลงไป และไม่ไกลจากโรดส์ มีนักฆ่าเปลวเพลิงเดินนำอยู่ด้านหน้า มันตอบสนองต่อ ‘กับดัก’ ด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อวิญญาณอัญเชิญตาย มันสามารถอัญเชิญใหม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสุนัขที่น่าสงสารนี้เคยตายมากกว่า 12 ครั้ง จะเป็นอะไรไปถ้าตายอีกซักครั้ง? มันควรชินกับเรื่องแบบนี้


 


นักฆ่าเปลวเพลิงที่น่าสงสารมีความคิดที่แตกต่างออกไป น่าเสียดายที่มันไม่สามารถปฏิเสธได้


 


หมาล่าเนื้อสีดำกระโดดไปมาตามคำสั่งของโรดส์ มีวงแหวนไฟรอบตัวมัน เพื่อสร้างแสงสว่างบนทางเดินที่มืดมิด


 


หลังจากเดินไปได้สักพัก โรดส์พบบางอย่างแปลกๆ เขาบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่มันวกวนอยู่ในหัวของเขา


 


ทำไมทางเดินลับถึงปรากฏขึ้นที่นี่? พวกเรามาหาอะไรที่นี่?


 


ปัจจุบัน โรดส์กำลังคิดอยู่ใน ‘โหมดผู้เล่น’ และไม่ได้สนใจสิ่งต่างๆรอบตัว มาร์ลีนไม่ได้สนใจภาพวาดบนผนังอีกต่อไป กลับกัน ศีรษะของเธอก้มลงมองไปยังมือของเธอที่กำลังจับมือของโรดส์ เธอไม่รู้ว่าอากาศมันร้อนหรือว่าอย่างไร แต่เธอรู้เพียงว่าใบหน้าของเธอร้อนช่า


 


ทันใดนั้น นักฆ่าเปลวเพลิงหยุดเดิน จากนั้นมันเดินวนบนพื้นสองรอบและวิ่งไปข้างหน้า


 


“เกิดอไรขึ้น?”


 


หัวใจของโรดส์บีบรัดแน่น เขาไม่ได้หยุดหมาล่าเนื้อของเขา กลับกัน เขาก้าวไปยืนด้านหน้ามาร์ลีนพร้อมกับดาบในมือ จากนั้นเขาตรวจสอบรายละเอียดรอบตัวเขา


 


แต่หลังจากนั้นสักพัก ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


โรดส์ขมวดคิ้ว จนถึงตอนนี้ เขาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาและมันทำให้เขารู้สึกเครียด ถ้ามีมอนสเตอร์หรือกับดักบนทางเดินนี้ เขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคย แต่นี่เขาไม่พบอะไรเลย…มันแปลกมาก แน่นอนว่าเขามาไกลขนาดนี้ เขาจึงไม่มีความคิดจะถอย


 



 


ในที่สุดทั้งคู่ก็เดินออกมาจากทางเดิมแคบๆ และพบว่าตัวเองอยู่บนบันไดหินที่พาลงสู่ชั้นใต้ดิน นักฆ่าเปลวเพลิงอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เมื่อมันสังเกตเห็นเจ้านายของมันมาถึง มันจึงโค้งร่างและคำรามออกมา


 


“คุณมาร์ลีน คุณมีเวทย์อะไรที่ใช้ส่องแสงได้ไหม?”


 


โรดส์ถือคบเพลิงไปใกล้บันได แต่เขามองไม่เห็นอะไรด้านล่าง เพื่อความปลอดภัย เขาจึงตัดสินใจใช้วิธีอื่น อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่ง มาร์ลีนยังไม่ตอบ ศีรษะของเธอก้มลงและมองไปที่มือของเธออย่างว่างเปล่า


 


“คุณมาร์ลีน?”


 


“เอ๊ะ?”


 


โรดส์เรียกเธออีกครั้ง ในที่สุดเธอก็ฟื้นมาจากอาการไม่รู้ตัว


 


“โอ้-โอ้…เวทย์แสงใช่ไหม? ฉันมีสิ รอสักครู่” มาร์ลีนพูดพร้อมกับสะบัดหน้า


 


เธอรีบคลายมือของเธอจากการจับมือของโรดส์และหลับตา หลังจากร่ายเวทย์ บอลแสงส่องประกายอยู่บนฝ่ามือของเธอ แสงสว่างจากบอลแสงส่องผ่านความมืดไปทั่วบริเวณ


 


หลังจากเห็นภาพตรงหน้าของพวกเขา ทั้งสองแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง


68 – สถานที่ที่ถูกลืม


 


มันคือเศษซากปรักหักพัง


 


หลังจากที่มองแวบแรก ถ้ำใต้ดินทั้งหมดเป็นรูปลูกบาศก์ มีวังอันงดงามตั้งอยู่ใจกลาง คูน้ำที่เปี่ยมไปด้วยน้ำล้อมรอบไปพระราชวัง ราวกับกำลังปกป้องวังแห่งนี้ ทางเข้า-ออกเพียงทางเดียวคือบันไดหินก่อนหน้านี้


 


“สถานที่แห่งนี้อยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้กัน?”


 


มาร์ลีนจ้องมองภาพเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ โรดส์ดูดีขึ้นเล็กน้อยเพราะเขามีประสบการณ์มากกว่าเธอ เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของมาร์ลีน โรดส์เพียงแค่ยืนเงียบๆและนึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวกับซากปรักหักพังแห่งนี้


 


แม้ว่าทั้งสองจะถูกคาดว่าเป็นสองอัจฉริยะในหมู่ผู้เยาว์ แต่พวกเขาไม่ได้รอบรู้ทุกสิ่ง โรดส์มีความรู้ที่ได้มาจากเกมและมาร์ลีนได้ศึกษาตำนานบางส่วนเกี่ยวกับเวทมนตร์มา ไม่มีใครมีความรู้ด้านโบราณคดี ถ้ามีนักวิชาการอยู่ที่นี่ บางทีเขาอาจจะรู้ที่ตั้งของมัน


 


“คุณเจอเบาะแสอะไรไหม?”


 


โรดส์ใจเย็น เขาโบกมือและส่งสัญญาณให้หมาล่าเนื้อออกไปสำรวจ ขณะที่พวกเขาเดินตามอยู่ห่างๆ อย่างไรก็ตาม โรดส์ไม่ได้ลดความระมัดระวังลงแม้แต่น้อย เขากวาดตาไปรอบๆตลอดเวลา


 


วังทั้งหมดเปล่งประกายความหรูหรา เสาแต่ละต้นถูกแกะสลักอย่างประณีตราวกับว่าพวกมันเพิ่งถูกสร้างเสร็จได้ไม่นาน มีลูกแก้วเวทมนตร์ลอยอยากลางอากาศ ภายใต้แสงสว่างนี้ เงามืดทั้งหมดจางหายไป


 


ไม่มีศพ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์และไม่มีอาวุธ


 


ว่างเปล่า


 


นั่นเป็นความประทับใจแรกที่โรดส์ได้รับจากสถานที่แห่งนี้


 


ความจริงแล้ว ‘ซากปรักหักพัง’ ไม่สมควรถูกเรียกว่าซากปรักหักพังเพราะว่าส่วนใหญ่พวกมันยังไม่เสื่อมโทรม สถานที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากบันได เสาและรูปปั้น


 


เมื่อย้อนกลับไปในเกม โรดส์เคยเห็นเศษซากปรักหักพังมามากมาย แต่ละที่มีเอกลักษณ์พิเศษของตัวมันเอง อย่างน้อยพวกมันก็มีอาวุธ ชุดเกราะหรือเฟอร์นิเจอร์ที่พังถูกทิ้งไว้รอบๆ อีกทั้งยังมีร่องรอยของการใช้ชีวิตประจำวันหลงเหลืออยู่ แต่สถานที่แห่งนี้แตกต่างออกไป ทุกสิ่งดูเหมือน…ตายไปแล้ว พื้นที่ทั้งหมดไม่มีร่องรอยของการใช้ชีวิต แม้แต่คูน้ำที่อยู่รอบๆวังยังไม่มีเสียงน้ำไหลออกมา


 


“ที่นี่แปลกมาก”


 


โรดส์ลดดาบลงและเดินไปยังเสาที่ใกล้ที่สุด ดวงตาของเขาตรวจสอบข้อความที่ซับซ้อนและรูปแบบการแกะสลักของเสา น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถหาเบาะแสอื่นในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ด้านหลังของโรดส์ มาร์ลีนกำลังทำสิ่งเดียวกัน แต่เธอพบเบาะแสเร็วกว่าโรดส์


 


“ฉันคิดว่ามันถูกสร้างในยุคของอาณาจักรฟาซิคาร์ลค่ะ คุณโรดส์”


 


อาณาจักรฟาซิคาร์ลเป็นอาณาจักรลึกลับอยู่ในยุคเดียวกับยุคแห่งการสร้าง แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลานั้น แต่วันหนึ่งทั้งอาณาจักรหายไป แม้แต่ในบันทึกประวัติศาสตร์มีเพียงไม่กี่ฉบับที่เอ่ยถึงอาณาจักรนี้


 


สิ่งที่แปลกคือประเทศใดที่ทรงพลังถึงขนาดทำให้พวกเขาหายไปราวกับควันไฟ และไม่ว่าผู้คนจะออกค้นหามากเท่าไหร่ เศษซากอาณาจักรของอาณาจักรฟาซิคาร์ลก็ไม่ถูกค้นพบ แม้แต่ในประเทศแห่งแสงและประเทศแห่งความมืดก็ไม่พบเศษซากบันทึกที่เหลืออยู่ของอาณาจักรฟาซิคาร์ล


 


ไม่ว่าบันทึกของประเทศใดๆก็ไม่มีข้อมูลของอาณาจักรฟาซิคาร์ล แม้ว่าชื่อ ‘ฟาซิคาร์ล’ จะถูกเขียนไว้ในเวทย์มังกรในยุคบรรพกาล


 


อาณาจักรลึกลับนี้ควรมีอุปกรณ์ที่มีค่าถูกเก็บไว้


 


“แต่ที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร….”


 


ด้วยความช่วยเหลือของเวทย์แสง โรดส์มองไปยังจุดสื้นสุดของวัง


 


ไม่มีหีบสมบัติ ไม่มีดาบ ไม่มีสิ่งใดเลย มีแท่นบูชาหินเพียงก้อนเดียวถูกตั้งไว้ทำให้โรดส์เริ่มรู้สึกเสียใจ


 


ด้านข้างของแท่นบูชามีรูปปั้นอัศวิน 2 นาย พวกเขาสวมชุดเกราะแบบเต็มชุดและถือดาบชูไปบนท้องฟ้า ราวกับว่าพวกเขากำลังต้อนรับแขกผู้มาเยือนและแสดงความแข็งแกร่งออกมา


 


“ดูแล้วไม่มีอะไร พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ”


 


โรดส์ไม่ยอมกลับไปมือเปล่า แต่ที่แห่งนี้แปลกเกินไป และโรดส์รู้สึกว่ามันไม่ง่าย ถ้าเขาตายในเกม เขายังสามารถเกิดใหม่ได้ แต่ถ้าตอนนี้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าถ้าไม่มีสิ่งใด ก็ไม่ควรเสียเวลาไปมากกว่านี้ ดังนั้นการถอยจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด


 


มาร์ลีนไม่พอใจเล็กน้อยกับความไร้เหตุผลของโรดส์ แต่เธอยังคงทำตามคำสั่งและวางแผนจะออกไป เมื่อเธอยืนขึ้นและกำลังจะออกไป ในขณะนั้นกระรอกที่คุ้นเคยของเธอปรากฎขึ้นจากความมืดและวิ่งเข้ามาหาเธอ มันร้องออกมาทำให้สีหน้าของมาร์ลีนเปลี่ยนไปทันที


 


“คุณโรดส์ พวกมันอยู่ที่นี่!”


 


บ้าเอ้ย!


 


โรดส์สาปแช่งออกมา แต่เขายังคงสงบจิตใจ เขาคาดไว้แล้วว่าชายชุดดำจะต้องตามเขาเข้ามาในถ้ำนี้ บอกตรงๆว่ามันเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะฝังคนพวกนั้นไว้ที่นี่เพราะไม่มีใครรู้ แต่น่าเสียดายเวลาของเขาไม่พอ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ก็จะไม่มีปัญหาใดๆตามมา แต่ตอนนี้พวกเขากลับค้นพบซากปรักหักพังที่ไม่รู้จักซึ่งเป็นสถานที่ลึกลับอย่างไม่คาดคิด!


 


โรดส์หันกลับไปและยืนยันว่าไม่มีทางออกอื่น เขาเดาว่าชายพวกนั้นไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เหมือนกัน มีเพียงผู้รอบรู้เท่านั้นที่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ยังไม่ถูกค้นพบ


 


“คุณมาร์ลีน”


 


โรดส์วางแผนในใจของเขาและดึงเธอมาหาเขา จากนั้นก็กระซิบข้างหู “ผมมีแผนและต้องใช้ความช่วยเหลือของคุณด้วย…”


 



 


กลุ่มเงาปรากฏขึ้นในความมืดและหยุดอยู่ที่ทางเข้าถ้ำ


 


พวกเขามองหน้าซึ่งกันและกัน ก่อนจะส่งสัญญาณมือออกมา


 


เป้าหมายอยู่ใกล้


 


ประจำตำแหน่ง


 


จากนั้นชายชุดดำหลายคนพุ่งเข้าไปในถ้ำ


 


ต่างจากมาร์ลีนที่ใช้เวลาไปกับการมองดูผนังถ้ำที่สวยงาม ชายเหล่านี้ไม่เสียเวลาเหล่านั้น เมื่อพวกเขาพบถ้ำใต้ดินแคบๆและเดินไปตามทาง ก่อนจะพบถ้ำขนาดใหญ่ภายในนั้น พวกเขาแทรกตัวไปตามช่องว่างและเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเงามืด


 


หลังจากที่ตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาไม่พบใคร


 


ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเข้าอื่น พวกมันบินหนีไปไหนรึเปล่า?


 


นั่นเป็นไปไม่ได้


 


ในไม่ช้า พวกเขาพบทางเดินลับด้านหลังรูปปั้น ไม่แปลกใจเพราะพวกเขาทั้งหมดเป็นมืออาชีพ และพวกเขาไม่มีความลังเล ไม่เหมือนกับโรดส์ที่ระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา


 


แต่พวกเขายังคงตื่นตัวอยู่เสมอ พวกเขาทิ้งชายสองคนไว้ที่ทางเข้า ในขณะที่อีก 3 คนเดินเข้าไปในทางเดินลับเพื่อติดตามเป้าหมาย


 


คนพวกนั้นวุ่นวายเหลือเกิน…


 


โรดส์ที่ซุ่มอยู่ในเงามืดเริ่มรู้สึกปวดหัว เมื่อเขาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มชายชุดดำ เขาไม่ได้กังวลว่าจะถูกค้นพบโดยศัตรูเพราะเขาเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน บ่อยครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับนักฆ่าและโจร ถ้าเขาไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ เขาคงตายไปหลายแสนครั้งแล้ว เพื่อเป็นการรับประกัน เขายังเปิดใช้งานเสื้อคลุมผู้ส่งสารเงา อุปกรณ์เวทมนตร์ชิ้นนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง หลังจากใช้งาน ร่างกายของเขากลืนไปกับสภาพแวดล้อม แต่ว่าจะมีคนออกค้นหาเขาอย่างรอบคอบ ก็เป็นเรื่องยากที่จะหาเขาพบ


 


โรดส์มั่นใจในความสามารถของเขา ไม่เพียงแต่เขามีผู้ส่งสารเงา  เขายังสวมแหวนวิญญาณมืดอยู่ด้วย


 


ในการ PVP ทั้งอุปกรณ์และสกิลมีความสำคัญมากพอๆกัน


 


ชายชุดดำ 3 คนเดินผ่านโรดส์โดยไม่ได้สังเกตตัวตนของเขา พวกเขาไม่รู้ว่าโรดส์ได้ชักดาบและกำลังปลดปล่อยจิตสังหารออกมา


 


หืม! ฉันจะทำให้แกรู้ว่าใครกันแน่ที่จะเป็นผู้ถูกล่า!!


 


แม้ว่าเขาจะได้เปรียบ แต่โรดส์ไม่ตัดสินใจอย่างเร่งด่วน โดยพื้นฐานการเคลื่อนไหวของสามเหลี่ยม เขารู้ว่าแต่ละคนจะสนับสนุนอีกคนได้สบายๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีกคน สองคนที่เหลือจะตอบโต้และโจมตีสวนกลับมาทันที ถ้าหากโรดส์ไม่สามารถฆ่าพวกเขาทั้งสามได้ในคราวเดียว การโจมตีในตอนนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด


 


นอกจากนี้ ตัวละครในปัจจุบันของเขามีม่คุณสมบัติเพียงพอที่จะต่อสู้กับพวกเขาทั้งสามคนพร้อมกัน


 


ดังนั้น โรดส์จึงต้องอดทนเพราะเขารู้ว่าชายชุดดำพวกนี้กำลังจะทำอะไร


 


เมื่อซ่อนตัวอยู่ด้านหลังพวกเขาอย่างเงียบเชียบ เขารอโอกาสที่จะโจมตี


 


ไม่นานหลังจากที่ชายชุดดำเดินผ่านทางเดินและพบบันไดหิน


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้มีเวทย์แสงเหมือนมาร์ลีน ในขณะเดียวกัน เมื่อพวกเขามองเห็นแสงไฟสลัวๆอยู่ไกลๆ พวกเขาจับจ้องทันที


 


ด้วยความระมัดระวัง ชายชุดดำเหล่านั้นค่อยๆย่ำลงบนบันได และในไม่ช้าพวกเขาเห็นมาร์ลีนกำลังถือคบเพลิงและยืนอยู่ข้างเสา


 


นี่แหละโอกาส!!


69 – ใครกันแน่ที่เป็นนักล่า


 


ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวของชายชุดดำทั้งสามคน


 


ใครจะปล่อยโอกาสที่สวรรค์ส่งมากัน? เด็กสาวคนเดียวอยู่ท่ามกลางความมืดที่ตอนนี้กำลังหมกหมุ่นอยู่กับบางอย่าง…ถึงแม้ว่าจะเป็นจอมเวทย์ เธอก็คงไม่อาจหลบหนีจากการเคลื่อนไหวของเขาได้แน่


 


อย่างไรก็ตาม..


 


ชายทั้งสามตรวจสอบรอบๆพร้อมกับคิ้วที่เริ่มขมวด เห็นได้ชัดว่าพวกเขากังวลเรื่องการซุ่มโจมตี พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเดินเล่นและต้องระมัดระวัง แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ พวกเขาสรุปได้ว่ามันไม่เสี่ยงมากที่พวกเขาจะจัดการเด็กสาวเดี๋ยวนี้


 


ไม่ว่าอย่างไร พวกเขายังคงสับสน ทำไมเด็กสาวคนนั้นถึงลดความระมัดระวังกัน? เป้าหมายหลักในการลอบสังหารในครั้งนี้อยู่ที่ไหน?


 


ถ้าเขาตายไปแล้ว จอมเวทย์สาวคนนั้นไม่น่าจะสงบนิ่งแบบนี้ เขาทิ้งเธอไว้ในถ้ำด้านในคนเดียวงั้นรึ?


 


ชายทั้งสามมองหน้ากันและส่งสัญญาณมือเพื่อสื่อสาร ท้ายที่สุด พวกเขาไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นนอกเหนือจากสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์ไว้แล้ว ตามข้อมูลที่ได้รับ เด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างเก่ง ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่เขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนและทิ้งจอมเวทย์สาวไว้ที่นี่เพื่อออกสำรวจซากปรักหักพัก ขณะที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นในความมืดได้ไกล แต่อย่างน้อยพวกเขายังสามารถคาดการณ์ตำแหน่งของคบเพลิงที่อยู่ไกลออกไป


 


หัวหน้าของชายชุดดำทั้งสามเดินตรงเข้าไปเงียบๆ ต่อมาเขาเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่จับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว เขายกมือขวาขึ้นช้าๆและกวาดลงเป็นเส้นโค้ง


 


เริ่มแผนการได้!


 


ชายคนอื่นๆพุ่งผ่านความมืดอย่างเงียบกริบเมื่อได้รับคำสั่ง


 


จิตสังหารของพวกเขาไหลทะลักออกมา


 



 


มาร์ลีนกำลังเหลือบมองรูปแบบเสาโค้งที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตตรงหน้าเธอ เธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับลวดลายเหล่านี้ หัวของเธอส่ายไปมาเมื่อคำพูดของโรดส์ถูกส่งมาก่อนที่จะจากไป


 


คนพวกนั้นเริ่มโจมตีคุณแล้ว ผมอยากให้คุณแกล้งทำเป็นว่าคุณไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องกังวลไป ผมมีวิธีหยุดพวกเขา มั่นใจได้มาร์ลีน ผมไม่ปล่อยให้คุณเป็นอะไรไปแน่


 


โรดส์พ๔ดออกมาเพื่อรับประกันว่าเขาเชื่อใจเธอ 100% แต่การเป็นเหยื่อนั้นก็เปรียบเสมือนกับขยะที่ไม่มีใครสนใจ ดังนั้นเธออดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังพื้นที่รอบๆ


 


ในขณะนั้น ภายใต้แสงไฟสลัว เงาเคลื่อนที่ไปมา ถ้ามาร์ลีนสังเกตอย่างรอบคอบ เธอจะพบว่ามีบางคนกำลังซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ


 


เธอถูกแรงกดดันไม่ใช่น้อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอได้ยินวิธีการต่างๆจากโรดส์เกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาใช้จัดการกับเธอ หัวใจของเธอถึงกับเย็นเฉียบ ความตายเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกอยู่ในความกลัว มันเลวร้ายกว่าความตายมากเมื่อจินตนาการว่าสิ่งที่พวกเขาจะทำหลังจากจับตัวเธอได้


 


จริงๆแล้วมาร์ลีนสามารถเร่งเวทย์แสงให้ส่องสว่างไปรอบๆเพื่อที่เธอจะสามารถเห็นศัตรูที่กำลังซ่อนตัวอยู่ได้ แต่ท้ายที่สุด เธอกล้ำกลืนความกลัวและเลือกที่จะเชื่อใจโรดส์


 


ชายที่ไม่มีเหตุผล!


 


เมื่อเธอคิดว่าควรเชื่อใจชายหนุ่มคนนั้น มาร์ลีนรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ ทำไมเธอต้องเชื่อเขากัน? ทำไมเธอถึงต้องเต้นอยู่บนฝ่ามือของชายคนนั้น? เพราะว่าเขาโน้มน้าวเธอรึ? หรือเพราะว่าเหตุผลอื่นกันแน่….


 


แม้แต่เผชิญหน้ากับพ่อของเธอ มาร์ลีนยังไม่เคยเชื่อฟัง ดังนั้นทำไมเธอต้องฟังคำพูดของเขากัน? แต่ทว่า ก่อนหน้านี้คำพูดทุกคำที่เขาพูดล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถเถียงได้


 


เพราะว่าการประลองก่อนหน้านี้รึ? ไม่น่าจะใจ


 


แม้ว่าเขาจะเป็นชายคนแรกที่สามารถบาดแผลให้กับฉัน ฉันก็ไม่ใช้ผู้หญิงอ่อนแอที่จะต้องเชื่อฟังเพราะความกลัว ใช่ไหม?


 


มาร์ลีนส่ายศีรษะเธออีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ เธอก็ไม่สามารถสลักความคิดเกี่ยวกับชายคนนี้ออกไปจากหัวของเธอได้


 


จานั้นเธอหันมาพูดกับตัวเอง “หยุดคิดเรื่องเขาได้แล้ว!”


 


ดังนั้นเพื่อที่จะสลัดความคิดเหล่านี้ออกไป เธอเริ่มที่จะหันไปถอดความความหมายของสัญลักษณ์โบราณบนเสา


 


ความคิดของผู้หญิงช่างซับซ้อน….


 


“…อัศวินที่ถูกเลือก…ปกป้องโลก…”


 


นิ้วเรียวของเธอสัมผัสไปยังลวดลายลึกลับและกำลังตรวจสอบสัญลักษณ์โบราณอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เธอจะพึมพำกับตัวเอง


 


“…ขุมพลัง…มาจาก..พันธะวิญญาณ…ใต้มิติ…”


 


เสียงของเธอเบาบางลง ขณะที่สีหน้าของเธอเริ่มสนใจมากขึ้น


 


มาร์ลีนไม่สนใจอันตรายรอบกายเธออย่างสมบูรณ์


 



 


โอกาส!


 


ชายชุดดำพยักหน้าอย่างเย็นชา ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาไม่เร่งรีบ พวกเขารู้ดีว่าศัตรูของพวกเขาเป็นจอมเวทย์ และยังเป็นอัจฉริยะจอมเวทย์คนหนึ่ง ดังนั้นถ้าพวกเขาไม่มั่นใจ 100% ที่จะจับตัวเธอ การโจมตีและสูญเสียโอกาสเป็นการกระทำที่โง่เง่า


 


ในตอนแรก พวกเขาพบว่าเธอค่อนข้างระวังตัว ดงนั้นพวกเขาจึงหยุดการเคลื่อนไหวก่อน แต่พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าการระมัดระวังตัวของเธอนั้นเป็นเพราะการมาถึงของพวกเขา กลับกันพวกเขาไม่คิดว่ามันแปลกสำหรับเด็กสาวอย่างเธอที่อยู่ท่ามกลางถ้ำที่มืดสนิท และยิ่งไปกว่านั้นเธอยังอยู่คนเดียว ตอนนี้เธอค่อยๆจมอยู่กับตัวเองและเครื่องหมายแปลกๆบนเสา ในที่สุดพวกเขาก็ได้โอกาสเข้าประชิด


 


หนึ่งในชายชุดดำยื่นมือออกมาและดึงเสื้อคลุมออก จากนั้นเขาก้มตัวลงต่ำและคลานตรงไปที่เธออย่างช้าๆ


 


โชคร้ายที่มันไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้


 


คมดาบสีแดงถูกแทงไปที่ลำคอของเขาอย่างไร้เสียง ดวงตาของชายคนนั้นเบิกกว้างอย่างหวาดกลัวขณะที่เขากำลังสูญเสียสติ เขาจับคอของเขาและพยายามตะโกนของสมาชิกคนอื่น แต่เขาพบว่าเขาทำได้เพียงแค่อ้าปากและตวัดลิ้นไปมาอย่างไม่มีเสียง ในขณะนั้นคมมีดที่เยือกเย็นตัดผ่านร่างของเขา


 


หลังจากนั้น ความมืดเข้าปกคลุมทั้งโลกของเขา


 


ร่างกายที่สูญเสียพลังชีวิตล้มลงกับพื้น แต่ก่อนที่ร่างนั้นจะตกพื้น โรดส์คว้าร่างนั้นและวางลงอย่างเบามือ จากนั้นโรดส์เหลือบไปมองรอบๆอย่างรวดเร็วและหายตัวไป


 


ความมืดทั้งหมดกลืนกินร่างของเขา


 



 


ผ่านไปสักพักแล้ว ทำไมมันยังไม่จัดการอีก?


 


ชายที่กำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเสาขมวดคิ้วอย่างสงสัย เขามองไปยังมาร์ลีนที่ไร้การป้องกันและเริ่มรู้สึกรำคาญ ตามแผนของพวกเขานั้น คนหนึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบการโจมตี ในขณะที่คนอื่นๆคอยช่วยเหลือเขาถ้าเกิดผิดแผน แต่ตอนนี้ ดูจากเวลาที่ล่วงเลยไป มันควรจะจัดการได้แล้ว?


 


หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกัน?


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณ ชายคนนั้นจึงเลือกที่จะรออยู่รอบๆ


 


แต่สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือเลือดสีแดงฉาน


 


“—”


 


เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากลำคอของเขาและล้มลง เป็นอีกครั้งหนึ่งที่โรดส์พุ่งไปอย่างรวดเร็วและคว้าร่าง ก่อนที่จะวางลงเบาๆบนพื้น ถ้าใครสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของโรดส์ในตอนนี้ คงไม่มีใครคิดแน่ว่าเขาเป็นนักดาบ


 


คนที่สองถูกจัดการ


 


เมื่อได้รับการยืนยันว่าเขาได้รับค่าประสบการณ์ เขาเตรียมตัวถอยอีกครั้ง


 


แต่ทันใดนั้น เสียงตวัดดังมาจากด้านหลังของเขา


 


โรดส์กิ้งหลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ เขารู้สึกเย็นเยือกที่ไหล่ซ้ายของเขา เมื่อเงาสีดำพุ่งผ่านร่างของเขา


 


อย่างที่คาดไว้เป็นพวกผู้เชี่ยวชาญ


 


โรดส์กัดฟันแน่นและอดทนต่อความเจ็บปวดที่ไหล่ซ้าย เขาอยากที่จะจัดการทั้งสาม ดังนั้นเขาจึงตรงไปที่ทางเข้า ถ้าทุกทิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเขาคงได้กลับบ้านไปแล้ว น่าเสียดาย ศัตรูของเขาไม่ให้โอกาสเขา


 


เมื่อการโจมตีแรกล้มเหลว เงาสีดำไม่ได้โจมตีโรดส์ซ้ำ กลับกันเขาหันหลังกลับและพุ่งตรงไปยังมาร์ลีน


 


โรดส์ยืนขึ้นและขยี้การ์ดสีเขียวบนฝ่ามือ อัญเชิญวิหควิญญาณพุ่งตรงไปยังชายชุดดำคนสุดท้าย


 


เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แม้โรดส์จะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของศัตรู มาร์ลีนเองก็ไม่ได้พบว่ามีอะไรผิดพลาด แต่เมื่อชายชุดดำเลิกซ่อนตัว มันสายเกินไปแล้ว มาร์ลีนหันกลับมาและพบว่ากริชที่แหลมคมกำลังตรงมาที่เธอ ช่องว่างระหว่างกริชและตัวเธอนั้นเหลือไม่ถึงครึ่งเมตร!


 


เสื้อผ้าของมาร์ลีนนั้นมีเวทย์ป้องกันอยู่ แต่เธอไม่คิดว่าชายคนนี้จะสามารถทำลวงเข้ามาได้อย่างง่ายดายราวกับเขากำลังตัดเนย


 


อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมา สิ่งเดียวที่มาร์ลีนได้ยินคือเสียงระเบิด


 


ตูม!!! คลื่นลมถูกสร้างโดยวิหควิญญาณกระแทกไปยังหลังของชายชุดดำ มันเหมือนกับมีกำปั้นที่มองไม่เห็นต่อยใส่ศัตรู ส่งผลให้ร่างของเขาร่วงลงกับพื้น


 


โรดส์ถอนหายใจ


 


เมื่อเขาเห็นว่าชายคนนั้นกำลังพุ่งตรงไปที่มาร์ลีน เขารู้อยู่แล้วว่าแผนล่อลวงของเขามาถึงจุดจบ เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ระวังตัวมาก พลังของเขาสามารถทะลวงผ่านเวทย์ป้องกันของมาร์ลีนได้ เขาเลือกได้ถูกต้องที่จะโจมตีเข้าไปแทนที่จะไปกังวลเรื่องเวทย์ป้องกันของเธอ


 


และเห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจของเขาเองก็ถูกต้อง


 


แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโล่งอก


 


มาร์ลีนพุ่งตรงไปยังโรดส์และในเวลาเดียวกันนั้น ชายชุดดำลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ แม้ว่าการโจมตีของวิหควิญญาณจะส่งผลอย่างรุนแรง แต่ความเสียหายที่ได้รับก็ไม่ได้ทำให้ถึงตายแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ชายคนนี้ยังเป็นมือสังหารชั้นสูง การสังหารเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย


 


มือซ้ายของโรดส์ที่ขวางกั้นมาร์ลีนไว้ ในขณะที่มือขวาของเขายกดาบขึ้นมา


 


ในเวลาเดียวกันนั้น ชายชุดดำหยิบมีดและกริชออกมา พร้อมทั้งปลดปล่อยจิตสังหาร


70 – กลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


ทั้งสองคนตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ


 


โรดส์ยืนอยู่ตรงหน้ามาร์ลีน กำลังยกดาบขึ้นและพึมพำในใจ เขาเกรงว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูชั้นสูงอยู่ ความจริงแล้วคำเรียกที่ใช้ว่า ชั้นสูง เป็นระดับที่อยู่เหนือล้ำกว่ามนุษย์ทั่วไปและอาจเรียกได้ว่า เหนือมนุษย์ ไปแล้ว แม้ว่าสายลับคนนี้จะไม่รู้ความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนๆนี้จะไม่แข็งแกร่ง อย่างที่เห็นความเร็วของสายลับคนนี้รวดเร็วมาก คนส่วนใหญ่ไม่อาจตอบโต้ได้ทัน ยิ่งไปกว่านั้น…ครั้งนี้มันเป็นมนุษย์ จะดีกว่าถ้าศัตรูตรงหน้าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ถูกเล่นแร่แปรธาตุที่มีสติปัญญาเพียงเล็กน้อย


 


แต่ตอนนี้ ไม่มีเวลามาเสียใจอีกแล้ว


 


“มาร์ลีน ตั้งสมาธิให้ดี อย่าให้มันมีโอกาสได้โจมตี เข้าใจนะ?”


 


“ฉันจะพยายาม”


 


เมื่อได้ยินคำสั่งของโรดส์ มาร์ลีนซึ่งกำลังตั้งสมาธิอยู่แล้ว เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นไปอีก เธอไม่เคยเห็นความเร็วขนาดนี้มาก่อน อีกทั้งศัตรูยังสามารถทำลายได้แม้กระทั่งโล่เวทมนตร์ป้องกันของเธอ นั่นทำให้มาร์ลีนรับรู้ได้ถึงความอันตราย เธอถอยหลังและสงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะยกคทาขึ้น


 


ในวินาทีนั้นสายลับเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง


 


เร็วมาก!


 


ในพริบตาเดียว โรดส์เห็นกริชพุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขา เขาประหลาดใจมากและตวัดดาบขึ้นป้องกันกริบตรงหน้า


 


แต่จากนั้น เขารับรู้ได้ถึงเรี่ยวแรงมหาศาลกดทับลงมาจากดาบ ทำให้เขากระเด็นถอยไปหลายเมตร ส่งผลให้เขาล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง แม้ว่าการโจมตีนี้จะหนักหน่วงมาก แต่เขาก็ยังคงกัดฟันลุกขึ้นมา เขากวัดแกว่งดาบในมือและป้องกันกริชของสายลับอีกครั้ง


 


ตูม!!!


 


ร่างของโรดส์เสียสมดุลและคุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่อุปกรณ์เวทมนตร์ในมือของเขาลากยาวกับพื้น ส่งเสียงดังครืดออกมา


 


มันเป็นบาบาเรี่ยนหรือสายลับกันแน่!?


 


มือหนึ่งของโรดส์จับที่ดาบจับ ในขณะที่อีกมือหนึ่งจับไปที่ตัวดาบ เขาคำรามออกมาเบาๆ


 


คนนี้ๆรับมือได้ยากจริงๆ ความเร็วและความแข็งแกร่งของมันเหนือกว่า ถ้าไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้มาก่อน ฉันคงตายไปนานแล้ว


 


“เอ๊ะ?”


 


เมื่อมองเห็นสีหน้าที่มืดมนของโรดส์ สายลับถึงกับมึนงง


 


เขาไม่ได้ประเมินโรดส์ต่ำไป จากก่อนหน้านี้ผู้ติดตามของเขา 2 คนถูกสังหารอย่างเงียบงัน เขาเคยเห็นมาว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนกล้าหาญและมีประสบการณ์การต่อสู้ อีกทั้งโรดส์เองยังสามารถรับรู้ถึงตัวตนของเขาและหลบการโจมตีกะทันหันของเขาได้ นั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่าย และนั่นเป็นสิ่งที่เขาพลาดไป การโจมตีแรกของเขาล้มเหลว เขาจึงตัดสินใจออกมาเผชิญหน้ากับโชคชะตา


 


เขาไม่เคยจินตนาการว่าความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้จะเหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้อย่างเทียบไม่ติด เมื่อเขาโจมตีอีกครั้ง


 


เขาสามารถรับการโจมตีของเขาได้งั้นรึ?


 


เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังต้านทานการโจมตีของเขา สายลับถึงกับงุนงง โดยทั่วไปแล้ว เขารู้ว่าคนทั่วไปไม่สามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้ถ้าไม่ใช่พวกชั้นสูง แต่นักดาบคนนี้ยังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตระดับสูง แต่กลับสังหารผู้ติดตามของเขาได้ถึง 2 คน? มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก


 


โดยปกติแล้วประสบการณ์การต่อสู้และความแข็งแกร่งนั้นเป็นของคู่กัน เมื่อคนๆนั้นมีประสบการณ์การต่อสู้มากขึ้น ความแข็งแกร่งของคนๆนั้นจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่แม้ว่าคนๆนี้จะมีประสบการณ์การต่อสู้มาก แต่พละกำลังของเขากลับอ่อนแอ ทำไมกัน? แน่นอนว่าสายลับชุดดำไม่มีทางรู้ว่าโรดส์ได้รับประสบการณ์การต่อสู้มาจากอีกโลกหนึ่ง ในฐานะสายลับ การระวังภัยถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ตั้งแต่ที่มีบางอย่างผิดปกติและศัตรูของเขายังแสดงท่าทีออกมาอย่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว  ภาพตรงหน้าของเขาราวกับเป็นเรื่องโกหก นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องระมัดระวังไม่นำตัวเองไปติดกับดักหรือสร้างปัญหา


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ สายลับชุดดำช่วยไม่ได้ จึงใช้แรงน้อยลง


 


เมื่อเห็นดังนี้ โรดส์ตอบโต้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมสายลับตรงหน้าถึงทำแบบนี้ เขาไม่อาจปล่อยโอกาสตรงหน้าให้หลุดลอยไปได้! โอกาสที่จะจบทุกอย่างในครั้งเดียว


 


เขายืดมือซ้ายออกมาและชี้ตรงไปทางเดียวกับดาบ


 


เปลวเพลิงสีแดงสดปรากฏขึ้นบนมือของโรดส์และพุ่งตรงไปยังสายลับตรงหน้า ตามมาด้วยเสียงคำรามของหมาล่าเนื้อสีดำที่ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางเปลวเพลิง มันอ้าปากและพุ่งตรงไปข้างหน้า


 


“นี่มันตัวบ้าอะไรเนี่ย!!”


 


เมื่อเห็นเปลวเพลิงตรงหน้า สายลับถึงกับมึนงง เขาถอยหลังเพื่อหลบหนีการโจมตีด้วยเปลวเพลิงอย่างรวดเร็ว แต่นักฆ่าเปลวเพลิงไม่ปล่อยให้สายลับได้ตั้งตัว มันกระโจนไปกลางอากาศและอ้าปาก คมเขี้ยวสีขาวแหลมคมทำให้สายลับตรงหน้าตกใจเล็กน้อย แต่สำหรับสายลับชั้นสูงแล้ว เขาไม่ได้หวาดกลัวศัตรูตรงหน้า การเผชิญหน้ากับหมาล่าเนื้อ สายลับอย่างเขาได้แต่กัดฟันกรอด เขาโบกมือและประกายแสงสว่างตวัดผ่านร่างของนักฆ่าเปลวเพลิง


 


สายลับขยับมือของเขาอีกครั้งและหลบศพของนักฆ่าเปลวเพลิง ทางเลือกของเขาถูกต้อง แต่เขาไม่รู้ว่านักฆ่าเปลวเพลิงมีคุณสมบัติพิเศษ….


 


ตูม!!!!


 


เสียงระเบิดดังสนั่น เปลวเพลิงสีแดงสดสาดกระจายไปทั่ว แม้ว่าพระราชวังจะสั่นไปทั้งหลัง สายลับได้แต่ถอยหนีอย่างมืดมน ความสงบนิ่งทั้งหมดหายไป ดวงตาของเขาตอนนี้เหลือเพียงความตื่นตระหนก


 


อย่างที่คิด! เด็กหนุ่มคนนี้พิลึกมาก!


 


เขาปากริชที่ถูกหลอมละลายในมือซ้ายทิ้งออกไปและกัดฟัน เขาไม่เคยเห็นเวทย์อัญเชิญวิญญาณที่แปลกขนาดนี้มาก่อน มันเป็นการเรียกโดยตรงโดยไม่มีขั้นตอนการร่าย ยิ่งไปกว่านั้น วิญญาณอัญเชิญยังสร้างความเสียหายได้รุนแรงขนาดนี้?


 


นี่เป็นพลังของอุปกรณ์เวทมนตร์รึ หรือความสามารถของตัวมันกันแน่?


 


ขณะที่สายลับกำลังตื่นตกใจ ประกายแสงสีขาวพุ่งผ่านหมอกควันตรงมายังร่างของเขา


 


มันเป็นดาบสีขาวบริสุทธิ์!


 


“บ้าน่า!”


 


ชายในชุดคลุมดำเคยผ่านการต่อสู้มันนับครั้งไม่ถ้วน เขารู้ดีว่าสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้เริ่มพลิกกลับตั้งแต่ที่ศัตรูของเขาโจมตีเขาอย่างเลือดเย็น ยิ่งไปกว่านั้น แนวทางการต่อสู้แปลกๆของโรดส์สร้างความลำบากให้เขามากขึ้นไปอีก เขาจับกริชขึ้นมาและขว้างออกไปเพื่อขวางการโจมตีของดาบ จากนั้นเขาถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว ใช่แล้ว สายลับคนนี้กำลังโจมตีกลับพร้อมทั้งสร้างโอกาสหนีไปในตัว ยังเหลือเวลาอยู่ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอยู่ที่นี่นานกว่านี้!


 


แต่ตอนนี้ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง


 


เมื่อกริชที่ขว้างไปเพื่อป้องกันดาบที่พุ่งมา ดาบนั่นเปลี่ยนสภาพกลายเป็นแสงสีเขียวอย่างกะทันหันและปรากฎรูปร่างเป็นนก มันลอยไปในอากาศและวนกลับมา ก่อนจะพุ่งมาทางเขา


 


ตัวพวกนี้มันบ้าอะไรกัน!!


 


แม้ว่าเขาจะผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน เขายังคงสับสนเพราะว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันเกินกว่าที่เขาเคยพบเจอมาก่อน วิญญาณอัญเชิญที่ระเบิดได้  จากนั้นนกที่เปลี่ยนรูปร่างมาเป็นดาบ? หรือจะดาบที่กลายสภาพมาเป็นนก? พระเจ้าช่วย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?


 


แม้ว่าจิตใจของเขาจะตกต่ำอย่างมาก แต่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกไป นี่เป็นเพราะเขาสามารถมองเห็นได้ไม่ไกลจากนก ร่างของโรดส์พุ่งผ่านหมอกควันตรงเข้ามาพร้อมกับดาบในมือ


 


“ฮึบบ!!00


 


ถึงจุดนี้ สายลับปราศจากความลังเล มือซ้ายของเขาคว้ากริชออกมาจากเอวและปาไปที่นกวิญญาณ ขณะที่มือขวาของเขากำกริชอีกอันแน่นไว้เหนืออก หลังจากเผชิญหน้ากันก่อนหน้านี้ เขาได้เรียนรู้บางอย่าง ถ้าวิหควิญญาณที่ถูกอัญเชิญออกมานั้นระเบิดได้เหมือนกับหมาล่าเนื้อ เขาคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นใช่ไหม?”


 


อย่างที่คิด


 


โรดส์ดีใจอย่างมาก เมื่อเขาเห็นว่าปฏิกิริยาของสายลับตรงหน้า เมื่อสายลับถอยกลับ โรดส์ที่สับสนเล็กน้อยก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป โรดส์ที่เคยคิดว่าศัตรูตรงหน้าเป็นพวกชอบเล่นกับเหยื่อ แต่ตอนนี้เขาพบความจริงแล้ว ความจริงก็คือศัตรูตรงหน้ากลัวเขา!


 


หรืออีกทางหนึ่งคือ ศัตรูกลัววิธีการต่อสู้ของเขา


 


ด้วยความคิดนี้ โรดส์ตัดสินใจในทันที โอกาสในการจัดการในครั้งเดียว เนื่องจากศัตรูไม่เข้าใจวิธีการต่อสู้ของเขา เขาจึงครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ในโลกใบนี้ยังไม่เคยมีนักดาบอัญเชิญมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้กับคนเหล่านั้น มันส่งผลให้เกิดความลังเล แต่มันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับโรดส์ ถ้าศัตรูสามารถเข้าใจแนวทางการต่อสู้ของเขา ความตายของโรดส์จะขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น


 


โรดส์เองก็ไม่ได้โง่ เนื่องจากสายลับคนนี้ระวังตัวมาก เขาไม่เลือกที่จะไม่โจมตีออกไปโดยตรง โรดส์หยุดและขว้างดาบสีแดงในมือออกไป


 


ประกายแสงพุ่งผ่านความมืดและพุ่งตรงมาข้างหน้า


 


มันทำอะไร!?


 


เมื่อเห็นดาบของโรดส์ สายลับขว้างกริชในมือออกไปทันที


 


ควบแน่นดาบ แยกโจมตี! เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นนักดาบชั้นสูงแล้ว! ข้าถูกหลอก!! ข้าเกือบติดกับดักแล้ว!


 


เมื่อคิดได้ดังนั้น สายลับในชุดดำถึงกับเหงื่อตก


 


เด็กหนุ่มคนนี้ชอบเล่นกับเหยื่อหรือไง?


 


การคาดเดาของเขาตรงกับที่โรดส์คิดไว้ก่อนหน้านี้พอดี


 


เป็นการเข้าใจผิดที่งดงาม


 


เมื่อเผชิญหน้ากับควบแน่นดาบ สายลับชุดดำยากที่จะป้องกันการโจมตีได้ด้วยมือเปล่า เขากระโดดถอยหลังเพื่อหลบการโจมตี แต่เสียงที่เขาได้ยินนั้นทำให้เลือดในตัวของเขาเยือกเฉียบ


 


วืดดดด!!!


 


เพราะว่าในขณะนี้ มาร์ลีนได้ล็อกเป้ามาที่เขาแล้ว เธอยกไม้คทาในมือขึ้นและชี้มาด้านหน้า!


 


คมมีดสายลมล่องหนตัดผ่านอากาศพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย


 


“กรร!!”


 


เสียงหงุดหงิดดังขึ้น


 


แม้ว่าทักษะของสายลับชุดดำจะไม่ได้เลวร้าย แต่ความเร็วของเขายังถูกจำกัดในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เขาพยายามหลบการโจมตีของโรดส์อย่างยากลำบาก เมื่อต้องเจอกับคมมีดสายลมของมาร์ลีน เขาไม่อาจต้านทานได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการกลิ้งไปบนพื้นและพยายามหลบการโจมตี ถึงแม้อย่างนั้นเขายังถูกโจมตีด้วยคมดาบ


 


เมื่อเขายืนขึ้น ร่างทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล แม้กระทั่งผ้าคลุมหน้าก็ขาดหลุดลุ้ย


 


“เอ๊ะ?”


 


หลังจากที่เห็นใบหน้าของสายลับชัดๆ มาร์ลีนถึงกับโง่งมทันที


 


เพราะว่าใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังผ้าคลุมหน้านั้นที่จริงแล้วเป็นเด็กสาว


 


ตอนนี้ใบหน้าสีขาวนวลเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ดวงตาสีฟ้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ เพราะไม่พอใจที่ใบหน้าที่แท้จริงของเธอถูกเปิดเผย สายลับคนนี้ไม่คิดจะถอยอีกต่อไป เธอตะโกนออกมาและถือกริช พุ่งตรงไปยังมาร์ลีน!


 


“มาร์ลีน โจมตี!”


 


แม้ว่าเธอจะได้ยินคำสั่งของโรดส์และเวทมนตร์ถูกรวบรวมไว้ที่ปลายคทาของเธอ แต่เธอไม่สามารถยกคทาเมื่อเธอเห็นว่าเป็นเด็กสาวตรงหน้าเธอราวกับว่ามือของเธอถูกถ่วงด้วยน้ำหนัก 1000 กิโลกรัมซึ่งเธอยกไม่ขึ้น


 


นั่นเป็นเพราะเด็กสาวคนนั้นอายุพอๆกับเธอ! ฉันต้องฆ่าเธอจริงๆหรอ?


 


ความคิดนี้ไหวแปลบเข้ามาในหัวของเธอทำให้เธอเสียสมาธิ ในไม่กี่อึดใจ มาร์ลีนสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว


 


“ตาย!!”


 


ราวกับเสือดาว สายลับชุดดำปรากฏขึ้นตรงหน้ามาร์ลีนและตะโกนขณะที่กำลังแทงกริชลงไป


 


“บ้าเอ้ย!!”


 


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า โรดส์กัดฟัน เขาไม่ได้วิ่งตรงไป กลับกันเขาเลือกที่จะถอยหลัง


 


ต่อมา ความมืดกลืนกินร่างของเขา


 


“อ่า….”


 


เสียงคำรามอย่างโกรธแค้นของเด็กสาวสั่นประสาทของมาร์ลีน แม้ว่าเธอจะพยายามตั้งสมาธิ แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงเคียวของยมทูตที่กำลังคร่าชีวิตของเธอ


 


กำลังรอรับดวงวิญญาณของเธอ


 


“—!!!”


 


ในขณะนั้น เลือดของมาร์ลีนเย็นยะเยือก เธอหลับตาในขณะที่กำคทาในมือแน่ ในหัวของเธอว่างเปล่าไปหมด


 


ฉันกำลังจะตายสินะ?


 


นั่นเป็นความคิดของมาร์ลีนในช่วงชณะนั้น


 


กริชกำลังพุ่งเข้ามา มันแทงทะลุโล่ของเธอ ตามมาด้วยเลือดที่สาดกระจายออกมา


 


“ตาย!”


 


แต่มาร์ลีนไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด


 


ฉันตายแล้วงั้นหรอ?


 


เธอลืมตาขึ้นมาอย่างประหลาดใจ สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอคือมือขนาดใหญ่ที่ถูกกริชแทงทะลุฝ่ามือ


 


แล้วเจ้าของมือนั่นก็คือ


 


“คุณโรดส์!”


 


“กรรร!!”


 


โรดส์ใช้มือหนึ่งป้องกันการโจมตีของสายลับ เขาคำรามออกมาและตวัดอีกมือหนึ่งที่กำลังถือดาบอยู่


 


สีหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความโกรธ ดวงตาของเธอเป็นสีเลือด จากนั้น-เสี้ยวจันทร์- ลำแสงส่องสว่างออกมา ก่อนที่หัวของเด็กสาวจะร่วงลงไปอย่างรุนแรง ร่างที่เสียสมดุลเองก็ร่วงลงกับพื้น เลือดสีแดงสว่างไหลทะลักออกมาจากลำคอ ศพที่นอนอยู่กระตุกไม่หยุด ราวกับปลาตายที่กำลังพยายามเอาชีวิตรอด


 


“เฮ้อออ….”


 


เมื่อเขาเห็นศัตรูของเขาล้มลง โรดส์ถอนหายใจออกมมา เขาคุกเข่าลงกับพื้นและกัดฟัน เขาดึงกริชออกมาจากมือของเขาด้วยรุนแรง จากนั้นเขาหันหลังกลับและมองมาร์ลีนด้วยความโกรธ


 


“ผมบอกให้คุณโจมตี ทำไมคุณไม่ทำตาม!”


 


“….”


 


มาร์ลีนพูดไม่ออก


 


เธอไม่เคยเห็นโรดส์โกรธมาก่อน ที่ผ่านมาสีหน้าของโรดส์ส่วนใหญ่จะสงบนิ่ง และมีบ้างที่จะขมวดคิ้ว แต่ในครั้งนี้ เขาเหมือนกับคนบ้า ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาดุร้ายอย่างมาก ดวงตาของเขาเป็นประกายเย็นชาและมุ่งตรงมาที่เธอ


 


“ตอบมาสิ!”


 


“ฉั-ฉันขอโทษ….”


 


มาร์ลีนรู้สึกว่าเธอไร้ค่าและเมื่อเผชิญหน้ากับความโกรธของโรดส์ เธอพูดไม่ออก ถ้าเธอทำตามคำสั่งของโรดส์ในตอนนั้น เธออาจจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับอันตราย แต่เธอเสียสมาธิและไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ไม่ว่าอย่างไร มันเป็นความผิดของเธอ และนี่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ ความรู้สึกที่เธอไม่ได้รู้สึกมาเป็นเวลานาน


 


“มัน…มันเป็นความผิดของเธอเองค่ะ….”


 


มาร์ลีนก้มหัวลง


 


“ฉันขอโทษค่ะ คุณโรดส์ ฉันไม่ควรพลาดเองค่ะ….”


 


“ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่คุณต้องรู้ ในเวลานี้ ถ้าคุณลังเล คุณอาจจะตายไปแล้ว!”


 


คำขอโทษของมาร์ลีน โรดส์ยังไม่ยอมรับมัน แต่เขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธมันออกไป


 


“โชคดีที่ผมเตรียมการไว้แล้ว แต่ถ้าเป็นไลซ์ล่ะ? ถ้าเป้าหมายของศัตรูเป็นไลซ์ล่ะ? ตอนนั้นคุณจะยังลังเลที่จะปล่อยให้เธอกลายเป็นศพและเสียใจไปทั้งชีวิตไหม!”


 


“….”


 


มาร์ลีนสั่นไหวเล็กน้อยและไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้


 


“….เนื่องจากคุณรู้ว่าคุณผิด ผมจะมอบบทลงโทษให้ คุณจะยอมรับมันไหม?”


 


“แน่นอนค่ะ คุณโรดส์ คุณต้องการให้ฉันทำอะไร?”


 


เมื่อเห็นว่าโรดส์ให้โอกาสได้แก้ไขความผิดพลาด มาร์ลีนรีบเอ่ยามขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่โรดส์ทำนั้นคือยื่นดาบมาให้เธอ


 


“ใช้ดาบนี่ ตัดหัว 2 ศพนั่น จากนั้นเผาพวกมันทิ้งซะ”


 


“เอ๊ะ?”


 


“ถ้าคุณไม่เคยฆ่าคนมาก่อน งั้นคุณก็สามารถฆ่าศพพวกนี้ก่อนได้ ถือเป็นการฝึกฝน”


 


สำหรับมาร์ลีน มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เธอลังเลที่จะมองไปยังดาบที่โรดส์ส่งมาให้เธอ เธอตัวสั่นเทาเมื่อยื่นมือออกไปรับ ท้ายที่สึด เธอกัดฟันและรับมันมา


 


“ผมหวังว่าคุณจะจำได้นะ ถ้าคุณไม่ฆ่าพวกมัน หัวที่วางอยู่ตรงนี้อาจจะเป็นหัวของคุณหรือของเพื่อนคุณ…ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจจุดนี้นะ”


 


เมื่อเห็นว่ามาร์ลีนรับดาบและเดินไปยัง 2 ศพ โรดส์ถอนหายใจออกมา เขาเอนกายพิงเสาและนั่งลง ขณะที่กัดฟัน ‘ฉันต้องบอกว่ามันเจ็บมาก’ กริชที่แทงทะลุฝ่ามือของเขา ความเจ็บปวดนั้นยากเกินจะต้านทานและยิ่งไปกว่านั้นกริชนั่นยังเคลือบไปด้วยพิษร้ายแรงระดับสูง…


 


โชคดีที่พลังชีวิตของฉันมากพอ


 


โรดส์ยกมือซ้ายขึ้นและมองไปยังแสงสีเขียวใจกลางฝ่ามือของเขา เขาหายใจเข้าลึกๆ เขามองไปยังหน้าต่างระดับที่แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถต้านพิษได้โดยสมบูรณ์ ถ้าไม่เช่นนั้น เขาคงเป็นไอ้โง่ที่เสียเวลามาสอนให้มาร์ลีนรู้จักวิธีการฆ่า กลับกันเขากลับล้างพิษได้เรียบร้อยแล้ว


 


แต่ไม่ว่าโรดส์หรือมาร์ลีนก็ไม่ได้สังเกตว่าเลือดที่หยดลงพื้นจากมือซ้ายของโรดส์นั้นมีลักษณะแปลกๆ มันไม่ได้แห้งเหมือนเลือดทั่วไป ในทางตรงกันข้าม เลือดมันเหมือนกับมีชีวิตของตัวมันเอง มันไหลไปที่คูน้ำรอบๆพระราชวังและกระจายตัวออกไป


 


ท่ามกลางความมืด ณ สถานที่ที่ไม่มีใครมองเห็น พลังลึกลับได้ดึงดูดเลือดเหล่านั้นมา มันไหลขึ้นไปตามพื้น ขึ้นเสา และไปจบที่แท่นพิธีกรรม ก่อนจะรวมตัวกัน….


 


“คุณโรดส์ ฉันทำเสร็จแล้ว”


 


ในเวลานั้น มาร์ลีนทำตามคำสั่งของโรดส์ได้เสร็จสิ้น ใบหน้าของเธอซีดเซียว เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ แต่โรดส์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขามองไปยังศพทั้ง 3 ที่อยู่ไม่ไกลและยืนขึ้น จากนั้นพยักหน้าให้มาร์ลีน


 


“ดีมาก เตรียมตัวออกจากที่บ้าๆนี่กัน มีคนอยู่ข้างนอกอีก 2 คน และพวกเราต้องจัดการพวกมัน อย่าทำผิดเหมือนเดิม…”


 


“อ้า!!!!”


 


โรดส์พูดไม่ทันจบประโยค เสียงกรีดร้องดังขึ้นขัดจังหวะเขา


 


เกิดอะไรขึ้น?


 


โรดส์มองไปยังต้นเสียงอย่างระมัดระวัง มันน่าจะมาจากเส้นทางลับ สายลับสองคนนั้นถูกฆ่าแล้วงั้นหรอ? เกิดอะไรขึ้น?


 


“ระวังตัวด้วย ไปกันเถอะ!”


 


เขาไม่ลืมที่จะพันแผล โรดส์พามาร์ลืนและวางแผนที่จะออกไปจากที่นี่ พวกเขาไปได้ไม่ไกล เมื่อแสงสีทองสว่างขึ้น


 


บุคคลลึกลับปรากฏตัวขึ้นในอากาศธาตุ กำแพงลึกลับปิดผนึกทางเดินทั้งหมด ในขณะเดียวกัน โรดส์มองเห็นรูปปั้น 2 ฝั่งที่อยู่ข้างเสาเปล่งแสงออกมา!


 


มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย….


 


ถ้าเป็นไปตามที่โรดส์คิด รูปปั้นพวกนั้นกำลังหันมาทางโรดส์และยกดาบขึ้น!


 


จากนั้นเสียงทุ้มดังสะท้อนกึ่งก้อง


 


“เชื้อสายของอัศวินผู้พิทักษ์ ในที่สุดเจ้าก็มาเข้ารับบททดสอบสินะ?”


 


บททดสอบ?


 


โรดส์และมาร์ลีนมองหน้ากัน


 


บททดสอบอะไร?


 


“ฉัน-ฉันอ่านข้อความจากเสาเมื่อกี้นี้ค่ะ คุณโรดส์” มาร์ลีนพูดอย่างตะกุกตะกัก


 


“ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะเคยถูกใช้เป็นบททดสอบสำหรับอัศวินค่ะ พวกเขามาที่นี่เพื่อฝึกฝน จากนั้นเมื่อพวกเขาได้รับการยอมรับ พวกเขาก็จะได้รับคำนำหน้าว่า ผู้พิทักษ์…แต่ฉันไม่รู้ว่าพวกมันกำลังปกป้องอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนจะเป็นของล้ำค่า…”


 


“ไม่ว่าพวกมันจะปกป้องอะไรอยู่ มันก็ไม่สำคัญกับพวกเราหรอก”


 


ความเจ็บปวดมือซ้ายของโรดส์รุนแรงขึ้น ไลซ์ไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากที่จะรักษาให้หาย แม้ว่าโรดส์จะพันผ้าพันแผลแล้ว แต่มันจะดีกว่าถ้าเขาไม่ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวด ดูเหมือนว่านี่จะเป็นภารกิจลับ แต่ด้วยสถานการณ์ของโรดส์ในตอนนี้ เขาไม่สนใจท้าทายอะไรทั้งนั้น เขาได้รับบาดเจ็บและลงแรงไปมากกับการต่อสู้กับสายลับก่อนหน้านี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาใช้แหวนวิญญาณมืด ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าการทดสอบอะไร เขาต้องปฏิเสธไปให้หมด


 


“ผมขอโทษด้วย พวกเราไปผิดทาง” โรดส์พูดขณะที่เกาะบ่าของมาร์ลีน “ไปกันเถอะ”


 


แต่ไม่มีเสียงตอบรับคำตอบของโรดส์ มันหยุด จากนั้นก็พูดต่อ


 


“ตราบเท่าที่เจ้าสามารถเอาชนะอำนาจของเทพได้  เจ้าจะได้ครอบครองพลังและความรับผิดชอบทั้งหมด ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์”


 


…นี่มันโลกจริงไม่ใช่รึ? มันจะไม่เมตตากันหน่อยรึไง? ทำเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์เกมไปได้?


 


แม้ว่าเขาจะบ่นออกมา แต่โรดส์ยังรู้ว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นไร้ประโยชน์


 


“มาร์ลีน ใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ของเธอซะ ไปกันเถอะ” เขาพูด ขณะที่จับมือกับมาร์ลีน


 


“ได้สิ คุณโรดส์”


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโรดส์ เธอพยักหน้าและหลับตา เธอเหยียดมือขวาออกมาและวางไปที่หน้าอกของเธอ ทันใดนั้นแสงสว่างห่อหุ้มร่างของพวกเขา….แต่ทันใดนั้น มันสลายหายไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


“มิติถูกผนึก! คุณโรดส์ มิตินี้ถูกผนึกไว้แล้ว!”


 


มาร์ลีนเริ่มกังวล เธอยกคทาขึ้นและชี้ไปรอบๆอย่างระมัดระวังโดยไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ในเวลาเดียวกัน มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง


 


“ยอมรับการทดสอบ เชื้อสายผู้พิทักษ์”


 


หลังจากเสียง รุปปั้นทั้งสองขยับออกมาด้านหน้า แต่ละตัวถือดาบอยู่ในมือคนละเล่มและเอื้อมมือออกมา


 


เดี๋ยว เดี๋ยว สัญลักษณ์มือนั่นมัน….


 


สีหน้าของโรดส์เปลี่ยนไปทันที


 


ถ้าเป็นไปตามที่โรดส์คิด วงเวทย์ลึกลับปรากฎขึ้นที่มือของรูปปั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งสองเริ่มหมุนมือไปในอากาศช้าๆ


 


ต่อมา รูปปั้นคำรามและถือการ์ดออกมา!


 


“โฮกกก!!”


 


ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปทั่ว รูปปั้นคล้ายกับเสือชีต้า 2 ตัวปรากฏขึ้นบนพื้น พวกมันเดินเข้ามาล้อมโรดส์และมาร์ลีน ดวงตาที่เบิกกว้างของพวกเขาจ้องมองมาที่โรดส์ตาไม่กระพริบ


………………………………….


ฝากกดติดตามเพจ KN Translate


ตอนนี้มีกลุ่มลับถึงกลุ่มที่ 2 (71-120) แล้วนะครับ


71 – เสียงเรียกร้องของดาบศักดิ์สิทธิ์


 


“…”


 


โรดส์ไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อเขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น


 


บ้าชิบ!


 


รูปปั้นหิน 2 ตัวสูงราวๆ 2 เมตร โรดส์กัดฟันและหายใจเข้าลึกๆ เขารู้ดีว่าพระราชวังแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับนักดาบอัญเชิญ


 


ตามตำนานที่ว่ามานั้น นักดาบอัญเชิญเป็นคลาสลึกลับแต่โบราณ เมื่อผู้เล่นเลือกคลาสนี้ เขาจะต้องถูกเรียกว่าผู้สืบทอด


 


ไม่ใช่ว่ารายละเอียดคลาสหรือบทนำที่ให้ผู้เล่นมานั้นผิดพลาดหรืออาจจะมีมากกว่านั้น เมื่อลองคิดดูว่าคลาสที่เขาเลือกนั้นอาจเป็นคลาสพิเศษก็ได้?


 


ตอนนี้มันน่าสงสัยคือ คลาสนักดาบอัญเชิญอาจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเหล่าผู้เล่น แต่มันเป็นคลาสที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักรฟาสคาร์ล


 


เมื่อคิดได้ถึงตอนนี้ ไม่สิ ไม่มีเวลาคิดกับเรื่องนี้อีกแล้ว


 


“คุณโรดส์!”


 


เสียงของมาร์ลีนดังขึ้นด้านหลังเขา เมื่อเขาหันกลับไป เขาจบบาเรียสีทองแบ่งแยกพวกเขาทั้ง 2 ออกจากกัน


 


มาร์ลีนยืนอยู่ในบาเรียอีกอันหนึ่งและมองโรดส์ด้วยสายตาไม่มั่นใจ


 


อ่า…มันคงเป็นบทสอบเดี่ยวสินะ…เสียเวลาชะมัด ฉันไม่สามารถใช้ตัวช่วยได้สินะ


 


โรดส์ไม่ได้เอาแต่ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เขาเริ่มมาที่นี่ สิ่งที่เขากังวลมาตลอดมีเพียงวิธีเอาตัวรอดจากสถานที่แห่งนี้ออกไป


 


4 ต่อ 1? แกต้องการแกล้งกันรึไง?


 


“หึ” โรดส์พึมพำในใจ


 


เขาก้าวออกมาครึ่งก้าวและยกดาบขึ้นด้วยมือขวา ทันใดนั้น แสงสว่างส่องลงมาที่ดาบในมือของเขาจากนั้นส่องสว่างไปทั่วร่าง และท้ายที่สุดไปจบลงที่ขา ลวดลายที่สวยงามปรากฏใต้เท้าโรดส์ การ์ดสีเขียวและสีแดงกำลังลอยอยู่รอบๆตัวเขา ราวกับทั้งคู่เป็นธาตุลมและธาตุไฟ


 


“—!!”


 


นักฆ่าเปลวเพลิงและวิหควิญญาณเป็นคู่หู่ที่น่าเกรงขาม ทั้งคู่คำรามแสดงถึงความแข็งแกร่งส่งไปยังเสือชีต้าหินทั้ง 2 ตัว


 


แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด


 


เมื่อเขาจบภารกิจสุสานพาเวล ค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับทำให้เขาเลื่อนไปถึงระดับ 10 ความจริงมันน่าจะเพิ่มได้มากขึ้นอีก หลังจากสังหารชายชุดดำทั้งสาม ค่าประสบการณ์ที่ได้รับก็ค่อนข้างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวหัวหน้าที่เป็นเด็กสาว รวมถึงเขายังได้รับค่าประสบการณ์ 2000 หน่วยจากการสังหารพวกมันทั้งหมด และเลื่อนระดับมาถึง 12 เพิ่มขึ้น 2 ระดับในครั้งเดียว


 


ดูเหมือนว่าการฆ่าพวกมันทั้งหมดจะเป็นประโยชน์อย่างมาก แต่…


 


โรดส์มองไปยังบาดแผลที่มือซ้ายและถอนหายใจ


 


เขาไม่สามารถละเลยบาดแผลเหล่านี้ได้


 


เลื่อนระดับ!


 


[EXP 6000/2500 เลื่อนระดับ ต้นไม้พรสวรรค์ปลดล็อก ระดับ 10]


 


เลื่อนระดับ!


 


โรดส์อยากสร้างทางเลือกทันที แต่ระบบแจ้งเตือนต่อมาทำให้เขาตกใจ


[EXP 3500/3000 เลื่อนระดับ พรสวรรค์ต้นไม้ปลดล็อก ได้รับแต้มสกิล 2 หน่วย ระดับ 11]


 


[EXP 500/4000 พรสวรรค์ต้นไม้ปลดล็อก ได้รับแต้มสกิล 2 หน่วย ระดับ 12]


 


ได้รับแต้มสกิล 2 หน่วย?


 


โรดส์อยากขยี้ตาอีกครั้ง เขาคิดว่าเขากำลังฝันไป แต่ความจริงที่ระบบไม่อาจโกหกเขาได้ มีเลข 2 ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาจริงๆ


 


ห๊ะ?


 


ถ้าจำไม่ผิด ผู้เล่นจะได้รับแต้มสกิลเพียง 1 หน่วยต่อระดับเท่านั้น ทำไมฉันถึงได้ 2 หน่วยล่ะ?


 


ระบบเปลี่ยนไปงั้นหรอ? หรือว่ามันอาจจะเป็นบัค?


 


แม้ว่าในหัวของเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัย โรดส์ไม่อาจลังเลกับแต้มสกิลของเขาที่ได้รับมาใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นค่อยมาพูดคุยที่หลังได้ ถ้าเขาตายตอนนี้ เขาจะสูญเสียทุกสิ่ง ไม่ว่ายังไง ถ้าแต้มสกิล 4 หน่วยที่ได้รับมาเป็นเรื่องจริง เขาก็แค่ใช้มัน!


 


[ใช้แต้มสกิล 1 หน่วยเพื่อเลื่อนระดับ ท่วงทำนองวิญญาณ ระดับ 2 (ทุกๆ 10 ระดับจำนวนวิญญาณอัญเชิญสูงสุดเพิ่มขึ้น +1)]


 


[ใช้แต้มสกิล 1 หน่วยเพื่อเลื่อนระดับ ท่วงทำนองวิญญาณ ระดับ 3 (ทุกๆ 10 ระดับ จำนวณวิญญาณอัญเชิญสูงสุดเพิ่มขึ้น +1)]


 


[วิญญาณอัญเชิญ +3]


 


[จำนวณวิญญาณที่อัญเชิญได้ทั้งหมด 4]


 


[ใช้แต้มสกิล 1 หน่วย พรสวรรค์จ้าวอัญเชิญถูกปลดล็อก หลอมรวมระดับ 1 (ฟิวชั่นวิญญาณ 2 ดวงเพื่อสร้างวิญญาณอัญเชิญดวงใหม่ ใช้วิญญาณ 1 ดวง)]


 


[ได้รับสกิลติดตัว : หลอมรวมระดับ 1]


[ใช้แต้มสกิล 1 หน่วยในการเลื่อนระดับ หลอมรวมระดับ 2 (เมื่อใช้แกนวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องสังเวยดวงวิญญาณ)]


 


[แกนวิญญาณถูกตรวจพบ ต้องการหลอมรวมหรือไม่?]


 


โรดส์ยืดแขนซ้ายออกมา


 


ในมือของเขา เขาถือแกนวิญญาณที่เขาได้รับมาจากเนโครแมนเซอร์ หมอกสีดำทมิฬหมุนวนรอบอัญมณี


 


“ฟิวชั่น!”


 


ตามมาด้วยเสียงตะโกน ลวดลายที่อยู่ใต้เท้าของเขาเริ่มสว่างขึ้น ทั้งวิหควิญญาณและนักฆ่าเปลวเพลิงกลับเข้าสู่การ์ดอีกครั้งและหมุนวนรอบตัวโรดส์ เมื่อการ์ดเหล่านั้นเริ่มเข้ามาสู่จุดกึ่งกลาง ในเวลาเดียวกันนั้น แกนวิญญาณเริ่มสั่นสะเทือน หมอกสีดำปรากฏขึ้นและก่อตัวเป็นวัตถุคล้ายกับดวงดาว การ์ดทั้งสองใบดึงดูดกันราวกับแม่เหล็ก เมื่อพวกมันเข้าใกล้กันเพียงพอ จากนั้นพวกมันผสานกันทันที


 


วืดดดด!! หมอกก่อตัวขึ้นกลืนกินร่างของโรดส์ มาร์ลีนตกใจอย่างมาก เมื่อเธอเป็นสักขีพยานให้กับภาพตรงหน้า แม้แต่รูปปั้นหินและรูปปั้นเสือชีต้าก็มองภาพตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง


 


ภาพต่อมา การ์ดสีดำปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอก มันลอยเข้าหามือของโรดส์อย่างช้าๆ เหนือการ์ดนั้นมีรูปอัศวินเซนทอร์(ครึ่งคนครึ่งม้า) สวมชุดเกราะสีดำที่กลางอก บนหัวของมันมีหมวกเหล็ดขนาดพอดีหัวถูกสวมอยู่เผยให้เห็นเพียงดวงตาสีแดงกล่ำ ในมือของมันถือหอกแหลม


 


[ได้รับทหารแห่งนรก 1/5 วิญญาณอัศวินนักล่า]


 


[วิญญาณอัศวินนักล่า(ธาตุความมืด) สามารถใช้ในการหลอมรวมได้ การโจมตีมีผลกัดกร่อน สกิลพิเศษ – ชาร์จ(พุ่งไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองด้านหลังคือเส้นทางของเซนทอร์] ระดับ 5


 


การทดลองใช้ธาตุลมกับธาตุไฟ ทำให้เกิดฑาตุเฉพาะขึ้นมา


การโจมตีเบาที่ไม่สามารถเจาะทะลุเกราะของมันได้ ประเภทเกราะหนัก


[โจมตี: 3 ป้องกัน: 4]


เยี่ยม!


 


เมื่อถือการ์ดนั้นไว้ในมือ โรดส์รับรู้ได้ถึงความมั่นใจที่ไหวเวียนไปทั่วร่างของเขา


 


และตอนนี้


 


เมื่อเขาเริ่มการต่อสู้ ระบบแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาอีกครั้ง


 


[หลอมรวมเวทมนตร์สำเร็จ ดาบของคุณเรียกร้อง แกนวิญญาณจะถูกกลืนกินในเร็วๆนี้]


 


มันกำลังทำอะไร?


 


เมื่อมองไปที่หน้าต่างข้อมูลของเขา โรดส์ขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะเคยได้รับวิญญาณอัญเชิญมาหลายต่อหลายดวง แต่เขายังคงไม่เข้าใจกระบวนการในเด็คดาบศักดิ์สิทธิ์ ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเลื่อนระดับ ระบบแจ้งเตือนถามเขาว่าต้องการหลอมรวมเวทมนตร์หรือไม่และเขาเลือกที่จะปฏิเสธ แต่เขาไม่แม้แต่จะอัญเชิญมันออกมา ตอนนี้ทำไมระบบถึงแจ้งเตือนด้วยตัวมันเองกันล่ะ? ทำไมมันถึงอยากกลืนกินแกนวิญญาณ?


 


โรดส์เข้าใจการแจ้งเตือนไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดถึงมันอีก อย่างไรก็ตาม คลาสนักดาบอัญเชิญเป็นอาชีพที่มีปัญหาตลอด เขามั่นใจในเรื่องนั้น


 


แกนวิญญาณในมือของโรดส์แตกสลายกลายเป็นผุยผง การ์ดสีขาวปรากฎขึ้นในมือของเขาทันที


 


[โปรดเลือกกระบวนท่าผูกพันธะ]


 


นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?


 


ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในเกม เขาคงบันทึกเรื่องทั้งหมดนี้แล้วนำไปโพสต์ในกระดานข่าวให้ทุกคนช่วยกันคิด แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ระบบยังไม่ให้โอกาสเขาได้เลือกคำว่า ‘ไม่’ ดังนั้นสิ่งที่เขาควรตอบมีเพียง ‘ใช่’ ‘โอเค’ ‘แน่นอน’?


 


เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีทางเลือก


 


[กระบวนท่าดาบผูกพันธะ: กระบวนท่าดาบเงาจันทร์]


 


โรดส์สาปแช่งอยู่ในใจ แต่เขายังคงเลือกกระบวนท่าดาบเงาจันทร์ เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้


 


อย่างไรก็ตาม ระบบแจ้งเตือนทำให้เขาดีใจขึ้นมาเล็กน้อย


[การผูกพันธะเสร็จสิ้น โปรดเลือก ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่’]


 


ปราศจากความลังเล โรดส์เลือก ‘ใช่’


 


ต่อมาแสงสีขาวสว่างขึ้น


 


หมอกปกคลุมร่างของโรดส์ก่อนหน้านี้กระจายหายไป ความจริงแล้วมันสว่างมากจนมาร์ลีนต้องหลับตา อึดใจต่อมา แสงสว่างได้หายไป ทุกสิ่งกลับมาเป็นปกติ เมื่อมาร์ลีนลืมตาขึ้นมา เธอทำได้เพียงเบิกตากว้างกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอ


 


โรดส์ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ซ้ายมือของเขามีหมาล่าเนื้อสีดำและขวามือของเขามีเซนทอร์สูง 2 เมตรกำลังกวัดแกว่วงหอกในมือ และวิหควิญญาณกำลังเกาะที่ไกล่ของโรดส์ นี่คือสิ่งที่อยู่ตรงหน้า


 


แต่มีบางสิ่งบางอย่างเพิ่มขึ้นมาในบรรดาวิญญาณอัญเชิญทั้งหมด


 


เด็กร่างเบ็กที่ยืนอยู่ด้านข้างอัศวินเซนทอร์


 


มันคือเด็กสาว งดงามราวกับนางฟ้า


 


ผมสีขาวยาวสลวยปะบ่ามาพร้อมกับใบหน้าที่งดงามน่าทะนุถนอม เธอสวมชุดเกราะอัศวินวาไครี่ ดวงตาสีฟ้ามีออร่าเย็นชา ชุดเกราะของเธอขับเน้นส่วนโค้งเว้าของร่างกาย ปีกสีขาวกางออกช้าๆ ทั้งหมดนี้ดูไม่เหมือนดาบที่เพิ่งชักออกมาจากซอง ไม่แม้แต่น้อย


 


เธอยกดาบขึ้นและแสดงสีหน้าที่แตกต่าง


 


“ลำดับที่ 10 ดาบศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาล เครื่องหมายแห่งดวงดาวรับคำสั่งค่ะ นายท่าน”


 


“ดีมาก”


 


เมื่อโรดส์มองไปที่เธอ เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ


 


แต่เขายังคงซ่อนสีหน้าและพยักหน้ายอมรับเธอ จากนั้นเขาดึงดาบในมือของเขาและชี้ไปตรงหน้า


 


“ดีล่ะ ถึงเวลาเริ่มแล้ว!”


72 – บททดสอบ VS เกียรติยศ


 


มันเป็นการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรม


 


และมันเป็นแบบเดิมไปจนจบ


 


“—!!!”


 


เสือชีต้าหินกระโจนตรงไปที่นักฆ่าเปลวเพลิงที่อยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว หมาล่าเนื้อสีดำโต้กลับอย่างเจ็บแสบด้วยเปลวไฟของมันและขัดขวางการเคลื่อนไหวของชีต้าหิน เสือชีต้าอีกตัวใช้โอกาสนี้โจมตีหมาล่าเนื้อสีดำจากด้านข้าง แต่ก่อนที่มันจะจมเขี้ยวของมันไปที่เนื้อสดๆของหมาล่าเนื้อ สายลมกรรโชกอย่างรุนแรงมาจากบนฟ้า ทำให้เสือชีต้าหินถึงกลับกระเด็นไปไกล


 


หลังจากที่เห็นเสือชีต้าลุกขึ้นอย่างช้าๆ วิหควิญญาณหยุดโจมตีและสังเกตอย่างถี่ถ้วนด้วยดวงตาของมัน เห็นได้ชัดว่ามันประสบความสำเร็จในการดึงความสนใจของชีต้าหิน ดวงตาของพวกมันทั้งสองปรากฏความเกลียดชัง แต่อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมา เงาสีดำเข้าปกคลุมร่างของพวกมันไว้


 


อัศวินเซนทอร์ย่ำเท้าลงบนพื้นและฟาดโล่สีทองในมือซ้ายของมันไปที่เสือชีต้าหิน ในขณะที่หอกยาวในมือขวา


 


ในขณะเดียวกันนั้น


 


เช้ง! ดาบหินส่งเสียงบาดหูถูกวาดลงมาที่พื้น


 


โรดส์หลบการโจมตีของรูปปั้นหินและในเวลาเดียวกัน เขาฟันดาบในมือซ้ายของเขาไปที่ข้อต่อของมัน


 


เลือดไหลไปทั่วตัวดาบ มันส่งผลให้สีของตัวดาบแดงฉานมากขึ้น


 


ในขณะนั้น รูปปั้นหินไม่ได้หยุดการโจมตีของโรดส์ กลับกันมันใช้ดาบของมันโจมตีสวนกลับไป เมื่อเห็นโรดส์หลบการโจมตีของมันได้ นางฟ้าผมขาวลอบโจมตีจากด้านหลัง เธอพุ่งลงมาจากด้านบนและตวัดดาบลงมาราวกับอุกกาบาตตก


 


ปีกของเธอโผบินไปในอากาศ ดาบหนักของรูปปั้นหินเริ่มส่งผลของมันออกมา ในเวลาเดียวกัน ดาบที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดปรากฏขึ้นจากด้านหลัง มันแทงตรงไปที่ร่างของรูปปั้นหิน ทันใดนั้นเอง การเคลื่อนไหวของรูปปั้นก็ช้าลง และก่อนที่ดาบของโรดส์จะถูกดึงออกไป แสงสีเงินส่องตรงมาที่ร่างของมัน


 


ตูม!!!! ร่างกายของมันระเบิดออกมาเป็นส่วนๆกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง


 


อีกด้านหนึ่ง หอกของอัศวินเซนทอร์แทงทะลุร่างของรูปปั้นอีกตัวหนึ่ง การโจมตีของรูปปั้นหินนั้นไม่สามารภทำอันตรายใดๆกับอัศวินเซนทอร์ได้ นอกทางทิ้งร่องรอยขาวๆไว้ที่ชุดเกราะสีดำ


 


มาร์ลีนถึงกับสับสนอย่างมาก ดวงตาของเธอเบิกกว้างและปากของเธออ้าค้าง จากที่เธอรับรู้มา การต่อสู้ในระดับนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าหรือตำนานเท่านั้น ราชาที่ห้อมล้อมไปด้วยผู้ติดตามที่ไว้เนื้อเชื่อใจ ยกดาบขึ้นและเดินหน้าเข้าสู้สนามรบโดยปราศจากความเกรงกลัว พวกเขาบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางทางของพวกเขา ถ้าศัตรูมีหนึ่งร้อย พวกเขาก็จะสังหารพวกมันหนึ่งร้อย ถ้าศัตรูมีหนึ่งพัน พวกเขาก็จะฆ่าพวกมันทั้งหนึ่งพัน! ตอนนี้ แม้ว่าศัตรูจะไม่ได้มีถึงหนึ่งพัน แต่โรดส์ยังคงออกคำสั่งพวกเขาราวกับราชาไร้เทียมทาน


 


อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงการรับของคนภายนอก ในความเป็นจริงแล้ว โรดส์กำลังรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เขาอัญเชิญวิญญาณอัญเชิญทั้ง 4 เพื่อจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และไม่ต้องการยืดเยื้อ การโจมตีแรกชุดแรกของเขาสำเร็จในการทำลายรูปปั้นหิน 1 ตัวและเสือชีต้าหินอีก 1 ตัว ตอนนี้เขากำลังเริ่มการโจมตีชุดที่สอง


 


ในเวลาเดียวกัน รูปปั้นหินที่เหลือโบกอาวุธและออกคำสั่งให้ชีต้าหินเข้าโจมตีโรดส์


 


แต่โรดส์เร็วกว่า


 


เมื่อได้รับคำสั่งจากโรดส์ อัศวินเซนทอร์กู่ร้องและพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง มันพุ่งตรงไปยังชีต้าหินพร้อมกันโรดส์ นักฆ่าเปลวเพลิงและนางฟ้าผมขาวที่ตามมาอย่างติดๆ


 


พวกเขาดูเหมือนก็ไม่มีใครมาหยุดพวกเขาไว้ได้อีกแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม โรดส์รู้ดีว่าเขาใช้แรงมากเกินไปแล้ว เขาต้องจบการต่อสู้ในเร็วๆนี้ ไม่เช่นนั้น มันจะดึงเขาเข้าสู่หายนะ ขณะเดียวกันเขาไม่รู้ว่าบททดสอบที่แท้จริงคืออะไร ตามประสบการณ์ของเขาในเกม สิ่งที่เขาคิดไม่น่าจะผิดพลาดมากนัก


 


ครี๊ดดดดด!!! เสียงร้องแสบแก้วหูดังสะท้อนไปทั่ว


 


โรดส์พบว่าเส้นทางตรงหน้าของเขาถูกขวางกั้นโดยรูปปั้นหิน 4 ตัวที่มาจากไหนไม่รู้ รูปปั้นชีต้าร์หลายตัวกำลังล้อมพวกเขาและกำลังรอโอกาสในการโจมตี


 


โรดส์ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ เขาเลือกที่จะพูดกับดาบของเขา นักฆ่าเปลวเพลิงพุ่งออกไปข้างหน้าและตรงเข้าหากลุ่มรูปปั้นหินอย่างไม่เกรงกลัว ร่างของมันถูกโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน แสงระเบิดสว่างขึ้น เผยให้เห็นช่องว่างในการทะลวงผ่านกองทัพศัตรู


 


ช่องว่างนี้เพียงพอสำหรับโรดส์และคนอื่นๆ


 


อัศวินเซนทอร์พุ่งตรงไปด้านหน้าพร้อมทั้งควงหอกในมือ มันบดขยี้ทุกอย่างที่ขวางหน้า เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับการปะทะกันของอัศวินเซนทอร์ หนึ่งในนั้นเสียสมดุลล้มลงไป ในเวลานั้น อัศวินเซนทอร์แทงหอกไปที่เสือชีต้าหินที่พยายามลอบโจมตีทางอากาศ


 


“จัดการมัน!” โรดส์ตะโกนสั่งขณะที่เขาวิ่งผ่านอัศวินเซนทอร์ หลังจากได้รับคำสั่งของโรดส์ อัศวินเซนทอร์ยกหอกขึ้นและฟาดโล่และหอกไปที่ดวงตาของมัน วิหควิญญาณบนวนไปมาบนอากาศ คอยสร้างสายลมก่อกวนรูปปั้นอื่นๆ


 


เศษหินกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง


 


จากที่เริ่มการต่อสู้จนถึงตอนนี้ เวลาทั้งหมดผ่านไปเพียง 3 นาทีเท่านั้น โรดส์รู้สึกได้ถึงเรี่ยวแรงที่เริ่มหมดลง เมื่อเขาระเบิดนักฆ่าเปลวเพลิงทิ้ง เขาต้องใช้พลังงานมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้น การให้ดาบของเขาได้กลืนกินเลือด แม้ว่ามันจะเพิ่มความคมมากยิ่งขึ้น แต่เลือดที่สูญเสียไปก็ทำให้ใบหน้าของเขาซีดลงเช่นกัน ขาของเขาเริ่มสั่น มันบ่งบอกสัญญาณเลวร้าย


 


ปัง! โรดส์ก้าวถอยหลังไป 1 ก้าว หลังจากรับการโจมตี ในที่สุดดาบของเขาก็สามารถตัดผ่านหินได้ เสียงบาดหูดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เขาก็พบเป้าหมายของเขา


 


มันเป็นรูปปั้นหินขนาดใหญ่ที่เขาเคยเห็นมาก่อน เห็นได้ชัดว่าวัสดุบนร่างของมันแตกต่างไปจากตัวอื่นๆ


 


โรดส์เริ่มกังวล


รูปปั้นหินตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นๆมาก โชคดีที่มันไม่ได้ถืออาวุธ อย่างไรก็ตาม การคงอยู่ของมันก็เป็นปัญหาเพราะขนาดของมันปิดกั้นประตูด้านหลังมันไปถึง 2 ใน 3 ส่วน


 


อย่างไรก็ตาม เขาคนนี้ไม่ใช่ว่าจะถูกจัดการได้ง่ายๆ


 


“แสดงเกียรติของเจ้าออกมา! ผู้สืบทอด!”


 


มีเพียงผีเท่านั้นที่รู้ว่ามันกำลังพูดอะไร


 


โรดส์บ่นพึมพำ แต่เขาไม่ลืมที่จะส่งสัญญาณให้นางฟ้าผมขาวเข้ามายืนข้างเขา เขารู้ดีว่าบอสตัวนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเอาชนะได้ด้วยกำลัง มันต้องมีเงื่อนไขหรือจุดอ่อนแน่นอน ถ้าเขาเผชิญหน้ากับบอสที่ต้านทานเวทย์ได้ ต่อให้เป็นเวทย์ระดับพระเจ้าก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้มันได้ ในทางกลับกัน ถ้าเขาใช้ท่อนไม้ เขาอาจจะเอาชนะมันได้ง่ายๆ เนื่องจากรูปปั้นนั่นไม่ได้โจมตีในทันทีและเลือกพูดกับเขา โรดส์สรุปได้ว่าบอสตัวนี้ไม่สามารถเอาชนะได้ในการต่อสู้


 


“เกียรติยศ! ผู้สืบทอด!”


 


รูปปั้นหินยักษ์ตะโกนเสียงดังออกมา ทำให้เขาปวดหูเล็กน้อย


 


เกียรติ? เกียรติยศอะไร?


 


สมองของโรดส์คิดอย่างหนัก เขาพยายามนึกถึงรายละเอียดของคลาสนักดาบอัญเชิญ ประวัติ ทางเดิน ภารกิจ….แต่เขายังไม่สามารถหาสิ่งที่เชื่อมต่อกับสิ่งที่เรียกว่าเกียรติยศได้ ในเกมข้อมูลของนักดาบอัญเชิญไม่ได้มีมากมาย ผู้เล่นมักสนใจในการผจญภัยมากกว่าเนื้อเรื่อง


 


เมื่อความคิดทั้งหมดไหลเข้ามาในหัส นางฟ้าผมขาวก้าวออกมาครึ่งก้าว


 


“ท่านผู้พิทักษ์ ข้านี่แหละคือเกียรติยศของนายท่าน!”


 


ตามมาด้วยคำพูดของเธอ ร่างของเธอส่องแสงออกมาอ่อนๆ ปากของเธอเป็นประกายวงเวทย์ จากนั้นเธอลอยขึ้น แต่วินาทีต่อมา แสงสว่างปรากฏขึ้นที่ร่างของเธอและหายไป ทิ้งไว้เพียงดาบสีขาวที่ปกคลุมไปด้วยออร่าศักดิ์สิทธิ์


 


เครื่องหมายแห่งดวงดาว


 


นี่คือ ‘เกียรติยศ’ งั้นหรอ?


 


โรดส์เหลือบไปมองดาบที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา หัวใจของเขารู้สึกแปลกๆ มนุษย์ที่แปลงร่างเป็นดาบไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเห็นได้ทุกวัน


 


ท้ายที่สุด โรดส์เอื้อมมือออกไปจับที่ด้าม


 


อ่อนโยน เยือกเย็น นุ่มนวลถูกส่งเข้ามาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าเขาไม่ได้เป็นพยานด้วยตัวเอง เขาคงไม่เชื่อว่ามีอาวุธที่สามารถแปลงเป็นคนได้


 


ขณะที่กำลังถือดาบ โรดส์คิดกับตัวเอง


 


เกียรติของฉันคืออะไร?


ทำไมดาบนี่ถือเป็นเกียรติยศของฉัน?


เดี๋ยวนะ…เกียรติยศที่มันพูดถึงคือ…..


 


ประกายแววตาของโรดส์สว่างวาบ เขาไม่ลังเลอีกแล้ว เขานกดาบขึ้นและชี้ตรงไปที่รูปปั้นหินยักษ์


 


ใช่แล้ว….! ฉันลืมไปได้ยังไงกัน?


 


มันเป็นเกียรติยศในอดีตของฉัน!


 


เกียรติยศที่ฉันได้ไปต่อสู้และได้รับการยอมรับ!


 


….เกียรติยศในอดีต


 


ตัวตนในอดีตของฉัน!


 


ในเวลานั้น แสงสีขาวพุ่งออกมาจากดาบตรงไปที่หน้าผากของรูปปั้นหินและหายไป


 


“—–!!!!!”


 


หลังจากที่แสงพุ่งเข้าสู่ร่างของมัน รูปปั้นหินยักษ์เริ่มแตกสลาย จากนั้นร่างของมันกลายเป็นฝุ่นและหายไปเป็นอากาศธาตุ


 


ในเวลาเดียวกัน ระบบแจ้งเตือนปรากฎขึ้นตรงหน้าโรดส์

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม