Summoning the Holy Sword 120-127

 120 – ช่วยเหลือคนของฮิลเลอร์(1)


 


“นี่มันอะไร?”


 


ไลซ์คิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองลาปิสซึ่งกำลังดึงฮู้ดขึ้นปกปิดทั้งร่างของเธอ ทุกครั้งที่เขามองลาปิส เขาอยากจะบ่นเธอว่าทำไมเธอถึงกลัวเขา หรือเธอกลัวว่าเขาจะกินเธอ?


 


แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาบ่น


 


“เข้าใจแล้ว เธอกลับไปได้แล้ว จำไว้ อย่าลืมทำหน้าที่ของตัวเอง”


 


“ค่ะ หัวหน้า”


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโรดส์ ลาปิสถอนหายใจลึก เธอวิ่งออกไปจากเต๊นท์ของโรดส์ราวกับโจร เมื่อมองไปยังร่างที่กระวนกระวายของเธอ โรดส์อดถอนหายใจและไม่พูดอะไรออกมา


 


สภาพของไลซ์เป็นไปอย่างที่เขาคิด มีบางอย่างที่เธอไม่สามารถปรับตัวได้ แม้ว่าไลซ์จะพยายามทำดีที่สุด แต่ท้ายที่สุดเธอก็ยังไม่สามารถเดินออกมาจากเงามืดในจิตใจของเธอได้ มันไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากแม้ว่าไลซ์จะคิดว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว แต่เธอยังพยายามหลีกเลี่ยงทุกสิ่ง ตอนนี้เมื่อเธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาตรงหน้าได้ เธอจึงต้องเผชิญหน้ากับมัน แม้ว่ามาร์ลีนจะบอกว่าเธอนั้นช่วยได้ แต่โรดส์ไม่คิดว่ามาร์ลีนทำได้ เพราะมาร์ลีนไม่เคยมีประสบการณ์กับมันมาก่อน ดังนั้นแน่นอนว่าเธอไม่เข้าใจว่าไลซ์รู้สึกอย่างไร โรดส์คิดว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในโลกใบนี้คือเมื่อคนๆหนึ่งไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กลับเอาแต่พูดว่า “ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ” กับอีกคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงปกติ มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากเนื่องจากพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์กับมันมาก่อน พวกเขาสามารถบอกได้ว่าพวกเขาเข้าใจได้อย่างไร?


 


แต่ด้วยความช่วยเหลือของโรดส์ที่บอกเธอได้ไม่มาก เขารู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ถ้าตัวไลซ์เองไม่สามารถผ่านจุดนี้ไปได้ จะไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้อีกต่อไป โรดส์เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ไลซ์ผ่านจุดๆนี้ไปได้ด้วยตัวเธอเอง


 


อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสดีมากอยู่ตรงหน้าเขา


 


หลังจากที่รู้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างเบิร์นนิ่งเบลดได้เผชิญหน้ากับอันตราย โรดส์ได้ตัดสินใจช่วยพวกเขาในทันที แม้ว่ามันจะอันตราย แต่มันยังเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ฝึกฝนผู้ติดตามของเขา ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเหตุการณ์เรือบินล่ม โรดส์เคยสงสัยว่าอสรพิษลมพวกนั้นถูกควบคุม มันแปลกเกินไปที่เบิร์นนิ่งเบลดจะถูกโจมตีในเวลาแบบนี้ บางทีพวกเขาอาจจะเผชิญหน้ากับคนที่ควบคุมอสรพิษลมและถูกล้อมเอาไว้ โดยปกติกลุ่มอสรพิษลมทั่วไปอาจจะมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันตัว ในกรณีนี้ นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ล้างแค้น เขาจะไม่ปล่อยตัวการที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บไปได้ง่ายๆแน่


 


เมื่อโรดส์ถูกส่งมาที่โลกใบนี้พร้อมบาดแผลสาหัส เขายังสามารถฝ่าวงล้อมของศัตรูและหลบหนีออกมาได้ ตอนนี้โรดส์ไม่ได้ ‘อ่อนแอ’ เหมือนแต่ก่อน เขาเลื่อนระดับขึ้นมาแล้วและเขามั่นใจว่าเขามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะจัดการกับพวกมัน แลกนอกเหนือจากนั้นเขายังมีไพ่ลับ….


 


หลังจากได้พักมาตลอดทั้งวัน ลาปิสได้ทำภารกิจที่โรดส์มอบให้เสร็จ ขอบตาดำสองชั้นปรากฎขึ้นใต้ดวงตาของเธอ เธอส่งกระเป๋าที่เต็มไปด้วยโพชั่นมาให้โรดส์ ปกติแล้ว ลาปิสที่น่าสงสารมีแผนจะนอนต่อหลังจากนั้น แต่เธอไม่คิดว่าหลังจากที่โรดส์ได้รับโพชั่นจากเธอ เขาจะบอกให้ออกเดินทาง เมื่อเผชิญหน้ากับความเลวร้ายตรงหน้า ลาปิสจึงได้แต่ทำตามคนอื่นและเริ่มออกเดินทางต่อด้วยความขมขื่น


 


อีกด้านหนึ่งแล้ว ไลซ์ดูเหมือนว่าจะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ในขณะนั้น เธอกำลังเดินอยู่ข้างลาปิสที่กำลังฟื้นฟูพลังงานของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปกติ


 


“ฉันไม่คิดเลยว่าลุงนั่นจะตกอยู่ในอันตราย….”


 


ด้านหลังโรดส์ แอนที่ดูปกติ เธอกำลังกัดแอปเปิ้ลที่เธอเด็ดมาจากไหนก็ไม่รู้และพูดขึ้น


 


“เธอรู้จักเขาเหรอ?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของแอน มาร์ลีนถามขึ้นมาอย่างสงสัย ขณะที่กำลังถือคทาอยู่ในมือ


 


“ฉันไม่รู้จะพูดยังไง ฉันเคยเจอเขาไม่กี่ครั้งกับหัวหน้าคนก่อนน่ะ เขาเป็นคนที่เงียบขรึมมาก เขามีสีหน้าเรียบเฉยตลอดและไม่แม้แต่จะพูดสักนิด ฉันจำได้ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาพูดเพียงคำว่า “อือ” เป็นคำตอบให้กับลูกน้องของเขา บอกตรงๆ ในตอนนั้นฉันคิดว่าเขาเป็นใบ้”


 


แอนหัวเราะออกมา


 


“เขาเป็นตาลุงที่น่าทึ่งมาก ฉันคิดว่าเขาเกือบจะเหมือนกับหัวหน้ามากเลยล่ะ? เขาเองก็แข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะดาบของเขา ใช่แล้ว แข็งแกร่งมากๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นคนประเภทที่ไม่แม้แต่จะเมตตาต่อผู้หญิงเหมือนกับหัวหน้า…ใช่แล้ว ฉันคิดว่าหัวหน้าน่าจะเข้ากับเขาได้ดีเลยล่ะ?”


 


“ห๊าา….” เมื่อได้ยินคำตอบของแอน มาร์ลีนมองไปยังโรดส์ด้วยสีหน้าซับซ้อน แต่ไม่ได้พูดอะไร


 


โรดส์ได้ปฏิเสธคำขอของทหารับจ้างคนนั้นที่ขอร้องเขา ทหารรับจ้างคนนั้นขอร้องให้เขาไปขอความช่วยเหลือจากสมาคมทหารรับจ้าง แต่ในความคิดของโรดส์ มันเป็นเรื่องที่เสียเวลามาก เมื่อพวกเขาออกไปจากป่าราตรีและกลับมาพร้อมกับกำลังเสริมจากสมาคมทหารรับจ้าง บางทีกลุ่มทหารรับจ้างเบิร์นนิ่งเบลดอาจจะกลายเป็นเพียงตำนานไปแล้ว เนื่องจากอสรพิษลมนั้นเป็นมอนสเตอร์ระดับต่ำและจัดการได้ง่ายกว่าอันเดด โรดส์จึงตัดสินใจให้ทหารรับจ้างคนนั้นพาพวกเขาไปยังตำแหน่งของกลุ่มทหารรับจ้างเบิร์นนิ่งเบลด เพื่อไปช่วยพวกเขา


 


แม้ว่าทหารรับจ้างคนนั้นจะสงสัยและลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่เขารู้ว่าถ้าเขากลับไปขอความช่วยเหลือที่สมาคม มันอาจจะสายเกินไป มันดีกว่าที่เขาจะให้พวกเขาลองดูก่อน เนื่องจากโรดส์ได้ช่วยเหลือ ‘วิคตอเรียส ไวน์’ ไว้จากสันเขาแห่งความเงียบ เขาควรที่จะแข็งแกร่งระดับหนึ่ง


 


หลังจากที่เร่งรีบมาตลอดทั้งวัน โรดส์และคนอื่นๆก็มาถึงตำแหน่งนั้น


 


“ที่..ที่นี่แหละ”


 


เมื่อชี้ไปยังป่าที่อยู่ไม่ไกลจากเขา ทหารรับจ้างคนนั้นปาดเหงื่อและพูดออกมา


 


“หัวหน้าและคนอื่นๆติดกับดักอยู่ด้านใน ถ้าพวกเราไม่รีบ….”


 


ในความเป็นจริง แม้ว่าเขาจะไม่พูด ทุกๆคนก็สังเกตได้จากภาพแปลกประหลาดในป่า


 


อสรพิษลมจำนวนมหาศาลกำลังก่อตัวขึ้นกลางอากาศและปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือป่าราวกับกลุ่มก้อนเมฆ พวกมันหมุนเป็นวงกลม จากรอบๆ พวกมันสามารถถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจน


 


อย่างที่คิด พวกมันถูกควบคุมโดยใครบางคน


 


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า โรดส์มั่นใจมากว่ามันไม่ใช่ภัยธรรมชาติแต่เป็นฝีมือของมนุษย์ นี่เกิดขึ้นจากจอมเวทย์ที่มีพันธะ ซึ่งการควบคุมกลุ่มของมอนสเตอร์จำนวนมากต้องควบคุมจากดวงวิญญาณของหัวหน้า มันแทบจะเหมือนกับนักดาบอัญเชิญ เนื่องจากพวกมันเองก็อาศัยจำนวนในการเอาชนะ สิ่งที่แตกต่างไปจากนักดาบอัญเชิญคือพวกมันไม่สามารถใช้ความสามารถของมอนสเตอร์ได้อย่างอิสระ การควบคุมมอนสเตอร์หลายหมื่นตัวแบบนี้สามารถทำได้ในป่าเท่านั้น และพวกมันต้องมั่นใจว่ามอนสเตอร์ที่มันทำพันธะด้วยยังไม่ตาย ไม่เช่นนั้น ไม่เพียงแต่เหล่ามอนสเตอร์จะไม่ทำตามคำสั่งแล้ว แต่มันจะโจมตีจอมเวทย์กลับ


 


“นั่นเป็นจอมเวทย์พันธะ”


 


มาร์ลีนสังเกตได้อย่างรวดเร็ว เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปอย่างหวาดระแวง


 


“พวกเราสามารถหาตัวมันได้ไหม? เนื่องจากเขาสามารถควบคุมมอนสเตอร์จำนวนมหาศาลได้ บางทีมันอาจจะเป็นถึงจอมเวทย์วงเวทย์ขั้นกลางที่ 3 และมอนสเตอร์ที่มันควบคุมอาจจะเป็นมอนสเตอร์ระดับผู้บัญชาการ”


 


“ไร้ประโยชน์ แม้ว่าพวกเราจะหาตัวมันได้ มันก็ไม่ปล่อยเราไปหรอก”


 


โรดส์ส่ายหัสและปฎิเสธความคิดของมาร์ลีน แม้ว่ามันจะเป็นกฎเหล็ก-จะยิงคน-ต้องยิงม้า จะจับโจร-ต้องจับหัวหน้า แต่มันก็ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เรื่องจากมีอสรพิษลมมากมาย ถ้าพวกเขาไม่สามารถโจมตีได้ก่อน พวกเขาจะเป็นฝ่ายถูกไล่ให้จนมุมและโรดส์ไม่ต้องการให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึัน


 


“เป้าหมายของพวกเราคือไปรวมกลุ่มกับเบิร์นนิ่งเบลดก่อน ด้วยความช่วยเหลือของฮิลเลอร์ มันเป็นเรื่องง่ายที่เราจะจัดการกับพวกมัน พวกเราเองก็ต้องเตรียมพร้อม เมื่อเริ่มมืด เราจะเริ่มเคลื่อนไหว”


 


อาจบอกได้ว่าฮิลเลอร์เป็นคนที่ฉลาดมาก การถูกล้อมโดยงูจำนวนมหาศาล เขายังสามารถสงบสติอารมณ์และพาลูกน้องของเขาฝ่าพุ่มไม้หนาและต้านทานการโจมตีของศัตรูออกไปได้ มันเป็นการตัดสินใจที่ยากเพราะเมื่อผู้คนเห็นจำนวนของอสรพิษลม พวกเขามักจะหวาดกลัวจนไปกล้าทำอะไร


 


ดูเหมือนว่ากลุ่มทหารรับจ้างอันดับ 1 ในเขตภาฟิวด์จะแข็งแกร่งสมชื่อ


 


เมื่อเขาออกคำสั่งออกไป โรดส์จะมองไปยังไลซ์ ในเวลานี้ สีหน้าของเธอราบเรียบมากและนั่งอยู่ข้างเขาเงียบๆ สายตาของเธอซับซ้อนเล็กน้อย ขณะที่มองไปยังฝูงอสรพิษงูที่อยู่ไกลออกไป โรดส์ได้ไม่เข้าไปปลอบเธอโดยตรง เขาเข้าใจว่าถ้าไลซ์สามารถเอาชนะได้ด้วยตัวเอง มันเป็นเรื่องที่ดีกว่า


 


ตกดึก


 


ภายใต้คำสั่งของโรดส์ ทหารรับจ้างคนนั้นที่เตรียมตัวมาเป็นเวลานานได้ออกมาทันที พวกเขาลอบเข้าไปในป่าและลอบเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆโดยอาศัยพุ่มไม้และกิ่งไม้ป้องกันการมองเห็นของอสรพิษลม ในตอนแรก สิ่งเหล่านี้เป็นไปอย่างราบรื่น อสรพิษลมพวกนี้บินอยู่บนอากาศและไม่คิดจะเข้ามาตรวจสอบในป่าเลยแม้แต่น้อย ในความคิดของพวกเขา พื้นที่แคบๆนั้นอันตรายมากและทำให้เคลื่อนไหวได้ยาก นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาจึงเคลื่อนที่ไปบนพื้น ป่าที่เต็มไปด้วยใบไม้และพุ่มไม้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา


 


อย่างไรก็ตาม เร็วๆนี้ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับอันตราย


 


เมื่อพวกเขาเข้าไปลึกขึ้น จำนวนของอสรพิษลมเริ่มมากขึ้น พวกมันไม่ได้เข้ามาโจมตีโรดส์ ในทางตรงกันข้าม พวกมันอยู่ที่นี่เพื่อโจมตีศัตรูที่เข้ามา


 


“ไม่น่าจะเป็นแบบนี้นะ คุณโรดส์”


 


มาร์ลีนยกไม้คทาขึ้นและขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินเสียงกระพือปีกและเสียงคำรามไม่ไกลจากป่า มาร์ลีนพูดขึ้นอย่างไม่มั่นใจ “แม้ว่าจะอ้างอิงตามหนังสือ อสรพิษลมพวกนี้มีการมองเห็นในตอนกลางคืนแย่มาก แต่พวกมันก็ยังมีประสาทการได้ยินที่ดีมาก ในป่าใหญ่แบบนี้ พวกเรา…”


 


“ไม่ต้องกังวลไป ผมเตรียมการไว้แล้ว”


 


โรดส์หยิบโพชั่นออกมา 4 ขวดจากกระเป๋า หลังจากนั้นเขาส่งใช้ชอว์น่า แอนและแรนดอฟ


 


“เปิดมัน”


 


หลังจากที่ได้ยินคำสั่งของโรดส์ ทั้งสามรีบเปิดขวดออกอย่างรวดเร็ว ไม่นาน กลิ่นเหม็นและฉุนคละคลุ้งออกมารอบบริเวณ


121 – ช่วยเหลือคนของฮิลเลอร์(2)


 


กลิ่นเหม็นฉุนจากขวดกระจายไปทั่วบริเวณ ทำให้คนอื่นๆเริ่มขมวดคิ้วและปิดจมูก ไม่นานกลิ่นเริ่มแรงขึ้น แม้แต่แอนที่มีสีหน้ายิ้มแย้มก็เริ่มมีสีหน้าขมขื่น เห็นได้ชัดว่าเธอไม่สามารถทนต่อกลิ่นประเภทนี้ได้


 


ในทางตรงกันข้าม ลาปิส (ตัวการ) ดูไม่สนใจ กลิ่นนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อเธอ เพราะว่าเธอเป็นอัลเคมิสต์ เธอได้ปรุงโพชั่นมาตลอดทั้งวัน เธอสามารถทนกลิ่นเหม็นที่รุนแรงกว่านี้ได้อีกมาก ในความคิดของเธอ นี้เป็นเหมือนของว่างเท่านั้น


 


มาร์ลีนหน้าซีดลงเล็กน้อย แต่เหตุผลไม่ใช่เพราะกลิ่นเหม็นนี้ เธอชี้ออกไปและหลับตา ในขณะนั้น เธอมองไปที่โรดส์ด้วยความประหลาดใจและไม่เข้าใจ


 


“นี่มันควบแน่นพลังธาตุลม!”


 


สำหรับจอมเวทย์ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง มาร์ลีนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานธาตุรอบๆ ในขณะที่กลิ่นเหม็นประหลาดกระจายตัวออกไป เธอก็รับรู้ได้ถึงการรวมตัวกันของพลังธาตุลมและถูกกดลงกับพื้น มันเหมือนกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ดุ ขณะเล่นอย่างสนุกสนาน พวกเขาจึงนั่งลงกับพื้นและอยู่เงียบๆอย่างไร้ซึ่งอารมณ์


 


สำหรับจอมเวทย์ แน่นอนมาร์ลีนรู้ว่านี่หมายถึงอะไร การควบแน่นธาตุลมอย่างฉับพลันนั้น นั่นหมายถึงเวทมนตร์ที่เชื่อมต่ออยู่จะร่ายได้ยากขึ้น พลังจากโล่พายุของเธอลดลงอย่างมาก แต่ว่าเธอก็ยังสามารถร่ายเวทย์ได้ นี่คือความสัมพันธ์ของเวทมนตร์และพลังธาตุซึ่งเหมือนกับคนงานกับโรงงาน ถ้าคนงานทำงานอย่างหนัก โรงงานของสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เต็มที่ แต่ถ้าคนงานทำงานอย่างขอไปที มันเป็นไปไม่ได้ที่จะผลิตพลังงานมหาศาลได้


 


อย่างไรก็ตาม มาร์ลีนประหลาดใจเพราะว่าการควบแน่นพลังธาตุเป็นผลลัพธ์ที่มาจากโพชั่นหายากและอัลเคมิสต์มือใหม่ส่วนใหญ่ไม่สามารถปรุงพวกมันได้ แต่ว่าโรดส์นั้นดูเหมือนคุ้นเคยกับมันมาก นั่นเป็นเพราะเขามอบสูตรนี้ให้กับลาปิส  มาร์ลีนเป็นคนเขียนสูตรให้กับโรดส์เอง จำนวนวัตถุดิบในรายการนั้นถูกบันทึกอย่างละเอียด แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาอย่างมาร์ลีนยังไม่รู้ผลลัพธ์อย่างแน่นอนของโพชั่นนี้หลังจากเขียนสูตรนี้เสร็จ เธอสามารถคาดเดาได้จากสมุนไพรเวทมนตร์ที่ใช้ โพชั่นนี้อาจจะแค่สร้างควันเป็นวงกว้างได้


 


แต่ตอนนี้ มาร์ลีนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เธอไม่สามารถเข้าใจได้ว่าโรดส์ไปเอาสูตรนี้มาจากไหนและเขาจำมันได้อย่างไร เขาไม่ใช่อัลเคมิตส์ เขาไม่ควรเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นโพชั่นควบแน่นธาตุลมนั้นเป็นของที่หายากมาก


 


เขาเป็น….


 


มาร์ลีนกำหมัดแน่นและวางมือไปบนอก เธอรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นรัว


 


ในเวลานั้น กลิ่นประหลาดเริ่มกลืนหายไปในอากาศและภาพแปลกๆได้ปรากฎขึ้นตรงหน้าพวกเขา


 


อสรพิษลมที่แต่เดิมกำลังบินอยู่รอบๆป่าเริ่มกรีดร้องและร่วงลงมาสู่พื้นราวกับพวกมันถูกก้อนหินฟาดลงมา อสรพิษบางส่วนโชคดีพอที่จะหลบหนีออกจากหายนะตรงหน้าราวกับพวกมันเห็นผี พวกมันคร่ำครวญและหนีกระจายหายไป พวกมันไม่แม้แต่จะสนใจปีกและร่างกายของพวกมันที่เต็มไปด้วยบาดแผล พวกมันพยายามกางปีกออกเพื่อหนีออกไปจากป่านี้ให้เร็วที่สุด


 


ในพริบตา ทั้งป่าเหลือเพียงความว่างเปล่า เหลือเพียงอสรพิษลมไม่กี่ตัวที่ล้มอยู่กับพื้นและกรีดร้องออกมา จากนั้นเสียงของพวกมันก็หายไป


 


“หึ!” เมื่อเห็นภาพตรงหน้า โรดส์สบถออกมาอย่างเย็นชา


 


เขาคุ้นเคยกับภาพตรงหน้าดี ในเกม อัลเคมิสต์ส่วนมากฆ่ามอนสเตอร์ด้วยวิธีนี้ อสรพิษลมไม่เหมือนกับนกที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่เหมาะสำหรับการบิน เหตุผลที่พวกมันสามารถบินได้บนท้องฟ้าไม่ใช่เพราะพวกมันมีปีก ถ้าท้องฟ้าเป็นมหาสมุทร อสรพิษลมเหล่านี้ก็เหมือนกับเรือที่แล่นไปบนน้ำทะเล


 


แต่ตอนนี้หลังจากที่พลังธาตุลมลดลงอย่างรวดเร็วจากการใช้โพชั่นควบแน่น มหาสมุทรขนาดใหญ่ก็ถูกเปลี่ยนกลายเป็นสระน้ำแห้งๆ ที่ไม่มีน้ำ เหลือเพียงปลาที่ดิ้นอย่างทุรนทุราย นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอสรพิษลมตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้


 


พวกมันเป็นเพียงกลุ่มมอนสเตอร์โง่ๆที่มีระดับไม่เกิน 5 และมันกล้าทำให้ฉันคนนี้ขายหน้า ถ้าฉันไม่แก้แค้น อย่ามาเรียกฉันว่าโรดส์!!


 


โรดส์กระทืบซ้ำลงไปที่อสรพิษลมตัวหนึ่งที่กำลังดิ้น ภายใต้ฝ่าเท้ามันกรีดร้องออกมาอย่างน่าสงสาร แต่โรดส์ไม่สนใจ เขาออกแรงเต็มที่และบดขยี้อสรพิษลมให้กลายเป็นก้อนเนื้อในทันที จากนั้นเขาหันไปสั่งการทันที


 


“ผลของโพชั่นนี้อยู่ได้ไม่นาน! เร็วเข้า พวกเราต้องไปต่อแล้ว!”


 


เมื่อได้ยินคำสั่งของโรดส์ ทหารรับจ้างที่เหลือมีสีหน้าแตกต่างกันไปและรีบออกเดินทางต่อ พวกเขาติดตามโรดส์และเดินเข้าไปในป่าเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตของกลุ่มทหารรับจ้างเบิร์นนิ่งเบลด


 


ไม่มีใครสังเกตเห็นใบหน้าของไลซ์ที่เริ่มซีดลง ขณะที่มองไปบนท้องฟ้า


 


ใบไม้หนาเริ่มบดบังท้องฟ้า เสียงกรีดร้องของอสรพิษลมดังขึ้นเป็นระยะจากทุกทิศทาง มันทำให้เธอนึกถึงฝันร้ายที่เธอฝันเมื่อคืน ความมืดเข้าปกคลุมทุกสิ่ง กลุ่มอสรพิษลมจำนวนมหาศาล และ…


 


ไลซ์อดสั่นกลัวไม่ได้


 


นั่นเป็นเพียงแค่ฝันร้าย ไม่เป็นไร มันเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น


 


จากนั้น มือข้างหนึ่งตบไหล่ของเธอ


 


“พี่ไลซ์”


 


“ห๊าา!!”


 


ไลซ์ที่กำลังหวาดกลัวอยู่กระโดดและหันไปทันที จากนั้นเธอเห็นแอนที่กำลังยืนข้างเธอ เด็กสาวที่สนใจเพียงแค่การกินและการนอนหันมามองหน้าเธอ ดวงตาสีเขียวของไลซ์สะท้อนความกลัวและสีหน้ากังวลใจออกมา


 


“พี่เป็นอะไรไหม? พี่ไม่สบายใจเหรอ?”


 


“ไม่นะ ฉัน…ฉัน..แค่มึนนิดหน่อยนะ”


 


ไลซ์ไม่รู้จะพูดอะไร เธอจึงเลือกจะตอบแบบผ่านๆ


 


“ฮืมมมม….”


 


หลังจากที่แอนได้ยินคำตอบของไลซ์ เธอมองไปที่ไลซ์อีกครั้ง ก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มออกมาอย่างร่าเริง


 


“เมื่อพวกเราเริ่มต่อสู้ พี่สาวมายืนข้างหลังแอนนะ เข้าใจไหม? แอนจะปกป้องพี่สาวเอง!”


 


“อ่า…จ๊ะ เข้าใจแล้วล่ะ ขอบใจมากนะ แอน”


 


เมื่อเห็นคำตอบที่สับสนของไลซ์ แอนไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเพียงยิ้มและตบไหล่ของไลซ์ หลังจากนั้นเธอกระโดดขึ้นไปข้างหน้า เมื่อเห็นท่าทางของแอน ไลซ์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา จากนั้นเธอยื่นมื่อออกมาและจับไปที่แก้มของตัวเอง


 


ใช่แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากลัว ฉันมีหน้าที่ที่ต้องทำ!


 


หลังจากคิดได้ดังนี้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะกำมือทั้งสองข้างและมองไปด้านหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ความสับสนทั้งหมดในหัวของเธอได้มลายหายไป


 


…..


 


วืดดด!!


 


ประกายไฟสีแดงทะลวงผ่านความมืดราวกับมังกรไฟ อสรพิษลมที่น่าสนใจมากมายที่อยู่ตรงหน้าไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้หลบ พวกมันถูกกวาดและกลายเป็นเถ้าถ่านภายในพริบตา


 


“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


ฮิลเลอร์มองไปยังป่ามืดและถามโดยไม่หันกลับมามอง


 


“เลวร้ายมากครับหัวหน้า 2 ใน 3 ของพวกเราบาดเจ็บสาหัส มี 5 คนมีสภาพไม่ดีและดูเหมือนจะติดพิษครับ แม้ว่าพวกเราจะทำเต็มที่แล้ว….แต่จำนวนคนที่รอดนั้นดูเหมือนจะไม่มากครับ”


 


“เข้าใจแล้ว”


 


เมื่อได้ยินการตอบรับของผู้ติดตาม สีหน้าของฮิลเลอร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาถือดาบเพลิงยักษ์ไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ขณะที่มองไปรอบๆ อสรพิษลมที่เริ่มสูญเสียพวกพ้องของพวกมันไปเริ่มไม่ดุร้ายเหมือนแต่ก่อน นี่เป็นโอกาสสำหรับฮิลเลอร์จะได้พัก แต่เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์คนนี้ยังไม่ลดความระมัดระวังเพราะเขารู้ดีว่าสถานการณ์ตรงหน้ายังไม่ดีขึ้นเลย


 


กลุ่มทหารรับจ้างของฮิลเลอร์ถูกโจมตีโดยเหล่าอสรพิษลมในวันที่ 2 ที่พวกเขาเข้ามาในป่าราตรี เนื่องจากกลุ่มทหารรับจ้างเบิร์นนิ่งเบลดเป็นกลุ่มทหารรับจ้างอันดับหนึ่งและมอนสเตอร์ประเภทนี้ไม่อาจต่อกรกับพวกเขาได้


 


แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป จำนวนของอสรพิษลมเริ่มเพิ่มมากขึ้น ฮิลเลอร์เริ่มสังเกตว่าสถานการณ์ไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้และเริ่มไม่ปกติ เขาเริ่มตัดสนใจนำคนของเขาเข้ามาในป่า หลังจากนั้นสถานการณ์เริ่มแปลกประหลาดขึ้นไปอีก โดยทั่วไปแล้ว หลังจากที่เข้ามาในป่า อสรพิษลมเหล่านี้จะเลือกถอยกลับ แต่ในครั้งนี้พวกมันกลับไม่หนีไปเหมือนปกติ ในทางตรงกันข้าม พวกมันกลับเลือกที่จะล้อมป่าและเริ่มรุมโจมตีพวกเขาตลอดทั้งวันทั้งคืน


 


การต่อสู้ครั้งต่อไปจะถือเป็นโชคชะตาของเขา


 


“บอกทุกคนให้เตรียมตัว พวกเราจะลองอีกครั้งหนึ่ง”


 


ฮิลเลอร์ยกดาบยักษ์ขึ้น เปลวเพลิงเริ่มเคลื่อนตัวและลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง


 


“พวกเราต้องฝ่าวงล้อมออกไปให้เร็วที่สุด!”


 


“….ครับ หัวหน้า”


 


หลังกจากที่ได้ยินคำสั่งของฮิลเลอร์ คนเหล่านั้นไม่รู้สึกลังเล แม้ว่าพวกเขาจะถูกโจมตีและบางส่วนได้รับบาดเจ็บ แต่ตราบเท่าที่เป็นคำสั่งของหัวหน้า พวกเขาจะทำตามโดยปราศจากความลังเล นั่นเป็นเหตุผลที่หลังจากได้ยินคำสั่งของฮิลเลอร์ ผู้ติดตามของเขาจึงไม่ได้ลังเลและบอกคำสั่งนี้ให้กับคนอื่นๆรับรู้


 


ในเวลาเดียวกัน เสียงกรีดร้องหนึ่งดังขึ้น


 


เกิดอะไรขึ้น? อสรพิษพวกนั้นเริ่มโจมตีอีกแล้วรึ?


 


การเปลี่ยนแปลงฉับพลันที่เกิดขึ้นดึงความสนใจของฮิลเลอร์ เขารีบมองไปรอบๆด้วยความระมัดระวัง แต่ด้วยความประหลาดใจ สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่อสรพิษลมที่กำลังพุ่งเข้ามาโจมตีพวกเขา แต่กลับเป็นอสรพิษลมที่กำลังหลบหนีออกมาอย่างแตกตื่นและตะเกียกตะกายหนีออกจากป่า


 


เกิดอะไรขึ้น?


 


ฮิลเลอร์ยังสับสนกับสถานการณ์นี้ เมื่อเขาได้กลิ่นประหลาด หลังจากนั้นเขาเห็นกลุ่มคนเดินออกจากป่ามาหาเขา


 


“ผมดีใจนะครับที่พวกคุณยังมีชีวิตอยู่” เด็กหนุ่มที่ยืนตรงหน้าพวกเขาพูด


 


…………………..


ฝากติดตามเพจ KN Translate ด้วยนะครับ


กลุบลับกลุ่ม 3 เปิดแล้วนะครับ (121-170)


122 – ช่วยเหลือคนของฮิลเลอร์(3)


 


ฮิลเลอร์ผ่อนอาวุธลงเพราะเขาระบุตัวตนของคนสองคนจากลุ่มคนตรงหน้าเขาได้ ชายคนแรกเป็นหนึ่งในคนที่เขาส่งไปขอความช่วยเหลือจากสมาคนทหารรับจ้างและอีกคนหนึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ โรดส์


 


เขามาที่นี่ทำไม?


 


ความคิดแรกของฮิลเลอร์คือสมาคมทหารรับจ้างได้รับคำร้องขอกำลังเสริมและส่งสตาร์ไลท์มาที่นี่ แต่ทว่าเขารีบลบความคิดเหล่านั้นออกไปจากหัวในทันทีเพราะเวลามันสั้นเกินไป เขาได้ส่งคนของเขาไปเมื่อวานนี้ ไม่ว่าจะเร็วมากแค่ไหน มันเป็นไปไม่ได้ที่คนของเขาจะไปถึงเมืองดีพสโตนและร้องขอกำลังเสริมมาได้ แต่ฮิลเลอร์ไม่ได้พูดอะไรและวางดาบลง ขณะที่ผู้ติดตามของเขาด้วยใบหน้าสงสัย เขารู้ว่าทหารรับจ้างของเขาจะสามารถให้คำตอบเขาได้อย่างแน่นอน


 


“นี่ครับ หัวหน้า” หลังจากมองไปที่ฮิลเลอร์ ทหารรับจ้างคนนั้นลังเล “เมื่อพวกเราออกไปได้ พวกเราถูกโจมตีโดยกลุ่มอสรพิษลมอีกกลุ่มครับ พวกเราไม่มีเวลาพอที่จะหลบนี รวมถึงผมด้วย แต่โชคดีที่กลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ของคุณโรดส์ได้เข้ามาช่วยเหลือข้าไว้ หลังจากรับรู้ถึงเหตุการณ์นี้ พวกเขาอาสามาช่วยพวกเราครับ….”


 


หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของผู้ติดตามของเขา ฮิลเลอร์มองไปยังโรดส์อย่างช้าๆ เขายื่นมือออกมาและตบหนักๆไปที่ไหล่ของคนตรงหน้า “ขอบคุณ”


 


คำพูดเพียงสองคำอธิบายความรู้สึกทั้งหมดของฮิลเลอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


เนื่องจากพวกเขาอยู่ระหว่างการหลบหนี พวกเขาไม่มีเวลามาดื่มและพูดคุยเพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ไม่นานไลซ์และลาปิสได้ขอเข้ามารักษาคนที่ได้รับอาการบาดเจ็บและพิษ ในเวลานี้ หน้าที่สำคัญตกเป็นของนักบวชอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่อย่างเบิร์นนิ่งเบลดจะมีนักบวชเหมือนกัน แต่ฮิลเลอร์ไม่ได้พาพวกเขามาทำภารกิจบ่อยๆ แต่ด้วยความสามารถของพวกเขา พวกเขาสามารถทำได้ทั้งป้องกันการโจมตีและรักษาได้ในสถานการณ์แบบนี้


 


เมื่อไลซ์และคนอื่นๆกำลังรักษาบาดแผล โรดส์เริ่มคุยเรื่องปัญหานี้กับฮิลเลอร์ หรือบอกตรงๆ โรดส์กำลังคุยกับคนสนิทของฮิลเลอร์ เพราะในหลายๆกรณี ฮิลเลอร์เป็นคนพูดยาก คนสนิทของเขาจึงช่วยเขาในการอธิบายความหมาย ยกเว้นแต่เขาจะพูดว่าใช่ ฮิลเลอร์จะส่ายหัวเพื่อเป็นการปฏิเสธ และดูเหมือนจะไม่คิดว่าจะพูดอะไรต่อ


 


ถ้าสีหน้าของโรดส์ในตอนนี้เหมือนกับก้อนน้ำแข็งที่เย็นชาและไม่มีวันละลาย งั้นความเงียบของฮิลเลอร์ก็เปรียบเมือนกับก้อนหินพันปี เขายืนเงียบๆและไม่คิดจะแสดงความเห็นใดๆออกมา แต่ถึงอย่างนั้น คนอื่นๆก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อเขาได้


 


“พวกเราได้ลองฝ่าวงล้อมของอสรพิษลมและทำได้มาหลายครั้ง แต่มันก็ยังล้มเหลวในตอนสุดท้าย อสรพิษลมพวกนี้จัดการได้ไม่ยาก แต่พวกมันมีตัวหัวหน้าที่เป็นลอร์ดระดับผู้บัญชาการ ซึ่งนั่นแหละเป็นตัวปัญหา”


 


“มีลอร์ดระดับผู้บัญชาการมากขนานั้นเลยรึ?” โรดส์ถามออกไป


 


“ใช่” คนสนิทพยักหน้า


 


“มีอสรพิษลมระดับลอร์ดทั้งหมด 3 ตัว ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ไหน พวกมันจะเข้ามาขวางพวกเราและ…พวกเราจะถูกโจมตีโดยเวทมนตร์ ผมคิดว่ามีบางคนกำลังควบคุมอสรพิษลมพวกนี้อยู่เบื้องหลัง…ไม่ว่าอะไร เป้าหมายของพวกมันคือขังเราไว้ที่นี่ แม้พวกเราจะไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของพวกเราเป็นใคร แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่อันตรายมากคนหนึ่ง” เมื่อพูดจบ คนสนิทหันไปมองฮิลเลอร์ ซึ่งฮิลเลอร์พยักหน้าตอบเล็กน้อย


 


“ด้วยการใช้โพชั่นควบแน่นพลังธาตุลม อสรพิษลมทั่วไปไม่สามารถเข้าใกล้พวกเราได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับอสรพิษลมพวกนี้จะทำให้อสรพิษลมระดับลอร์ดรู้ตัว ผมคิดว่าพวกมันน่าจะกำลังมาที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราต้องออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้”


 


โรดส์เปิดกระเป๋าและหยิบโพชั่นออกมา 4 ขวด “นี่สำหรับพวกคุณ วิธีใช้ก็เปิดขวดและถือไว้ในมือ การควบแน่นพลังธาตุลมจะทำให้อสรพิษลมทั่วไปไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้ สำหรับอสรพิษลมระดับลอร์ด แม้ว่าพวกมันจะเก่ง แต่ถ้าไม่มีความช่วยเหลือของกลุ่มอสรพิษลม มันก็ไม่น่ายากเกินไปที่จะจัดการ ปัญหาอย่างเดียวคือจอมเวทย์นั่น….”


 


โรดส์ขมวดคิ้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่สังเกตเห็นพวกเขาและพยายามเข้ามาสังหารพวกเขาทั้งหมดที่นี่ แม้ว่าความคิดเหล่านี้จะน่าสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว


 


“พวกคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับระดับของมันไหม?”


 


“นั่นมัน….”


 


คนสนิทตอบและมองไปที่ฮิลเลอร์ด้วยสีหน้าไม่ดี ก่อนที่จะพูดขึ้น


 


“พวกเราไม่ใช่จอมเวทย์ ดังนั้นพวกเราไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ครับ แต่ผมสามารถบอกได้ว่าในครั้งแรก พวกเราถูกโจมตีมาโดยพายุทอร์นาโด และในครั้งที่สอง มีบาเรียสายฟ้ากระจายตัวไปรอบๆ สองครั้งนี้ทำให้พวกเราได้ยินบาดเจ็บหนักมาก พวกเราได้ลองอีกหลายครั้ง แต่พวกเราไม่สามารถต้านทานเวทย์พวกนั้นได้เลย และหลังจากนั้นพวกเราต้องรับมือกับอสรพิษลมระดับลอร์ดอย่างเหนื่อยล้า”


 


“พวกเราไม่มีเวลามากแล้วตอนนี้” เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ โรดส์คิดขึ้นได้


 


“เตรียมตัวต่อสู้ พวกเราจะเดินหน้าต่อทันที คุณคิดว่ายังไงครับ คุณฮิลเลอร์?”


 


“แน่นอน”


 


เมื่อได้ยินคำถามของโรดส์ ฮิลเลอร์ยืนขึ้นและตอบสั้นๆด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น หลังจากนั้นเขาตบไปที่ไหล่ของโรดส์ และชี้ไปทางเหล่าทหารรับจ้างที่อยู่ด้านหลังเขาและส่งสัญญาณมือ


 


“…สิ่งที่หัวหน้าหมายถึงคือ พวกเราทุกคนจะฟังคำสั่งจากคุณ” คำพูดที่ถูกแปลออกมาจากสัญลักษณ์มือ


 


เมื่อเผชิญหน้ากับความคิดของฮิลเลอร์ โรดส์กรอกตาของเขาอย่างช่วยไม่ได้


 


ไม่นานภายใต้ความวุ่นวาย กลุ่มทหารรับจ้างเบิร์นนิ่งเบลดได้เก็บสัมภาระและแบกร่างเดินตามโรดส์กลับทางเดิม


 


จอมเวทย์ในชุดคลุมดำลืมตาขึ้น “น่าสนใจ”


 


เขาลอยอยู่บนอากาศอย่างเงียบๆ และมองไปยังป่าที่อยู่ไกลออกไป สำหรับจอมเวทย์ เป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่เปิดเผยตัวตนออกไปเผชิญหน้ากับอันตราย โดยเฉพาะจอมเวทย์สายพันธะเพราะจอมเวทย์สายพันธะส่วนใหญ่จะเรียนรู้เพียงวิธีการควบคุมมอนสเตอร์ระดับบอส(หัวหน้า) ดังนั้นระดับเวทมนตร์ของพวกเขาจะต่ำกว่าจอมเวทย์ทั่วไปมาก แม้ว่าจอมเวทย์ชุดคลุมดำจะแข็งแกร่งมาก แต่เขาก็ยังไม่อยากออกไปเสี่ยง เขาพึ่งพาความสามารถในการสั่งการของเขามากกว่าพลังอำนาจ ในความคิดของเขา ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในจุดที่เขาไม่สามารถเอาตัวรอดไปได้แล้ว และเลือกเผชิญหน้ากับศัตรู นั่นก็เหมือนกับเขาได้ตายไปแล้ว


 


นั่นเป็นเหตุผลที่มันเป็นทางเลือกสุดท้าย เขาจะไม่เปิดเผยตัวตนเด็ดขาด


 


ในขณะนั้นด้วยพลังเวทย์ของเขา จอมเวทย์ชุดดำสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จากระยะไกล


 


“ไอ้พวกโง่ปัญญาอ่อนนั้นยังไม่ตายไปอีก มันเหนือความคาดหมายของข้าไปเหมือนกัน….และยังมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาได้อีก…หึ?”


 


เมื่อสังเกตผ่านดวงตา จอมเวทย์ชุดดำมองไปยังโรดส์ จากนั้นเขาหลับตาและครุ่นคิด


 


“ข้าว่าชายคนนั้นมันดูคุ้นๆนะ อ่าาาา ใช่แล้ว…เมื่อวาน แฟรงค์ขอร้องให้ข้า…เป้าหมายของมันดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มคนนี้สินะ ไม่คิดเลยว่ามันจะเข้ามาที่นี่เพื่อให้ข้าได้จัดการด้วยตัวเอง!!”


 


จอมเวทย์คนนั้นพูดกับตัวเองและหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นเขายกมือขวาขึ้น และพึมพำบางอย่าง หลังจากที่ได้ยินเวทย์ที่เขาร่าย อสรพิษลมรอบๆเริ่มกรีดร้องออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง จากนั้นพวกมันพุ่งตรงเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นทันที!


 


“พร้อมแล้ว ออกเดินทางได้!!”


 


กลุ่มอสรพิษลมดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อโรดส์ ในทางกลับกัน เมื่อเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์พวกนี้ เขาสงบนิ่งมา กหลังจากนั้นเขาหยิบโพชั่นก่อนหน้านี้ออกมาและโยนออกไปด้านข้าง ไม่นานกลิ่นเหม็นคละคลุ้งกระจายไปรอบๆและทำให้คนรอบข้างเริ่มปิดจมูก


 


อสรพิษลมที่พุ่งเข้ามาก่อนหน้านี้เริ่มสูญเสียเป้าหมายไปอย่างสมบูรณ์ พวกมันร่วงลงกับพื้นทีละตัวราวกับอุกกาบาต เหล่าอสรพิษลมที่สูญเสียแรงสนับสนุนจากพลังธาตุลมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป พวกมันคลานเข้ามาและอ้าปากกระโจนเข้ามาอย่างไร้ความปราณี


 


“มาร์ลีน!”


 


เมื่อได้ยินคำสั่งของโรดส์ มาร์ลีนที่เตรียมตัวไว้แล้วได้ยกคทาขึ้นในทันที ไม่นานสายฟ้าฟาดถูกปล่อยออกมาจากคทาของเธอและพุ่งตรงไปยังกลุ่มอสรพิษลม ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังต่อเนื่อง เศษเลือดจากเหล่าอสรพิษลมกระจายไปทั่วป่า คละคลุ้งปนกับกลุ่มเหม็นก่อนหน้านี้ มันน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างมาก


 


“โอ้?”


 


เมื่อเห็นการโจมตีของเขาล้มเหลว จอมเวทย์ชุดดำขมวดคิ้ว เขาหลับตาลง จากนั้นเริ่มเห็นร่องรอยแห่งความดีใจปรากฎขึ้นบนใบหน้า


 


“ข้าไม่ได้เห็นคนแบบนี้มาสักพักแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีคนที่มีลูกเล่นมาด้วย ไม่เลว ไอ้เด็กนั่นฉลาดกว่าไอ้พวกโง่พวกนั้นเยอะ งั้นต่อไป…พวกแกจะรับมือกับนี่ยังไง?”


 


หลังจากที่พึมพำกับตัวเอง จอมเวทย์ชุดดำล้วงมือเข้าไปในปากและผิวปาก จากนั้น


 


“—-!!”


 


เสียงคำรามดึงกึ่งก้องไปทั่ว อสรพิษลมสีขาวขนาดใหญ่ยาว 6-7 เมตร 3 ตัวได้ปรากฎตัวออกมาจากก้อนเมฆ ดวงตาสีแดงของพวกมันเต็มไปด้วยสัญชาตญาณนักฆ่าและความโกรธ พวกมันกระพือปีกลงมาและพุ่งออกไป


 


“พวกมันเป็นพวกลอร์ด! ระวังตัวด้วย!!”


 


เมื่อได้ยินเสียงคำรามดังกึ่งก้อง โรดส์รีบยกดาบขึ้นและเตือนคนอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน ร่างยักษ์ทั้งสามร่วงลงมาและขวางกั้นเส้นทางตรงหน้าของพวกเขา


 


ตูม!!!!


 


พลังทำลายบดขยี้ต้นไม้เก่าแก่ที่สุดได้ภายในพริบตา หางของมันกวาดไปด้านข้าง ทำลายต้นไม้หลายสิบต้นหายไปในพริบตา พวกมันก้มหัวลงราวกับกำลังเตรียมตัวโจมตีเหยื่อ


 


ในขณะนั้น โรดส์ออกคำสั่งทันที


 


“โจมตี!”


123 – ช่วยเหลือคนของฮิลเลอร์(4)


 


“ฟ่ออออออ!!”


 


ตามมาด้วยเสียงขู่ อสรพิษลมระดับลอร์ดเลื้อยในป่าราวกับปลา แม้ว่าการควบแน่นธาตุลมจะส่งผลต่อพวกมันระดับหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในระดับเดียวกับอสรพิษลมทั่วไป ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่พวกมันรับรู้ได้ถึงการควบแน่นธาตุลมรอบๆ อสรพิษลมระดับลอร์ดเริ่มโกรธเกรี้ยวและตวัดหางไปมา และคำรามออกมา ในพริบตา ต้นไม้ใหญ่มหาศาลถูกฉีกกระชากและลอยไปทางกลุ่มคนตรงหน้าพวกมัน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ต้นไม้พวกนั้นจะลอยเข้าไปหากลุ่มคนตรงหน้า มังกรเพลิงบินลงมาจากฟ้าและบดขยี้ต้นไม้เหล่านั้นกลายเป็นผุยผง


 


ฮิลเลอร์ถือดาบยักษ์ขณะที่ยืนอยู่ด้านข้างโรดส์


 


“ผมควรทำอะไร?”


 


“มุ่งเป้าไปที่การโจมตี”


 


โรดส์ตอบคำถามโดยปราศจากความลังเลและส่งสัญญาณให้กับคนที่เหลืออย่างรวดเร็ว


 


คนแรกที่เคลื่อนไหวคือแอน


 


เธอพุ่งผ่านทหารรับจ้างคนอื่นๆราวกับชีต้าร์ การก้าวเท้าของเธอรวดเร็วมาก โล่สีทองขนาดใหญ่ที่ถืออยู่ในมือของเธอราวกับไม่มีตัวตน ต่อมา แอนได้ยืดโล่ออกเธอออก คมมีดได้ปรากฎออกมาและหมุนไปรอบๆ แต่ในครั้งนี้ เธอไม่ได้ขว้างมันออกไป กลับกัน เธอจับที่จับและดึงมันออก โล่สีทองของเธอที่หมุนอยู่แยกออกเป็นสองส่วน ราวกับดอกไม้ที่กำลังบานออกมาอย่างช้าๆ โล่หัวใจศิลาถูกฝังไว้ใจกลางของโล่ที่กางออกและหมุนอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น โล่ในมือของแอนได้ถูกเปลี่ยนกลายเป็นโล่ขนาดเท่าโต๊ะอาหารขนาดยักษ์ที่สามารถป้องกันแอนได้ถึง 2 คน


 


หลังจากนั้น แอนย่อตัวลงและเหวี่ยงโล่ออกไปด้วยแรงทั้งหมด


 


โล่ที่หมุนอยู่ลอยเข้าไปในป่ามืด ด้วยแสงสะท้อนที่เกิดขึ้น อสรพิษลมระดับลอร์ดสังเกตเห็นการโจมตี พวกมันหลบไปด้านข้างของคมมีดที่ออกมาจากโล่ซึ่งตัดผ่านใบไม้และกิ่งไม้นับไม่ถ้วน ทิ้งไว้เพียงร่องรอยพลังทำลายมหาศาล


 


อย่างไรก็ตาม โรดส์ได้เริ่มโจมตีไปแล้ว


 


พลังงานดาบถูกปล่อยออกมาจากสกิลดาบแห่งการทำลายล้างลอยขนานไปกับท้องฟ้าในยามค่ำคืน หลังจากที่โรดส์เลื่อนระดับ ดาบแห่งการทำลายล้างทรงพลังและรุนแรงมากขึ้น ถ้าเป็นดาบแห่งการทำลายล้างก่อนหน้านี้มันเหมือนกับแสงเลเซอร์ แต่ตอนนี้ลำแสงได้รวมตัวและหมุนวนราวกัยอุกกาบาตที่ส่องประกายในยาวค่ำคืน


 


ตามมาด้วยมาร์ลีนซึ่งเป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์ แม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์ที่ได้ภารกิจกับโรดส์มาได้ไม่นาน แต่ความสามารถของเธอราวกับคุ้นเคยกับโรดส์มาเป็นเวลาหลายปี หลังจากที่ร่ายเวทย์ด้วยภาษามังกร ทับทิมสีแดงที่ปลายคทาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวโปร่งใส อุณหภูมิรอบๆเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว คทาของเธอชี้ไปที่ท้องฟ้าและก่อให้เกิดหมอกสีขาวเข้าปกคลุม หลังจากที่หมอกได้เข้าปกคลุม แท่งน้ำแข็งหลายร้อยแท่งได้รวมตัวกันเป็นดาบยาวและลอยมาอยู่ข้างเธอ ในพริบตา มาร์ลีนกระโดดออกมา


 


คนอื่นๆก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเช่นกัน กลุ่มทหารรับจ้างเบิร์นนิ่งเบลดก็เริ่มเดินหน้าอย่างรวดเร็ว เรนเจอร์ได้ยกธนูขึ้นและเล็งไปที่ดวงตาของอสรพิษลมระดับลอร์ด เหล่าโจรเริ่มใช้สกิลพิษไปที่มีดบินและส่งมีดบินไปยังเป้าหมาย เหล่านักดาบวิ่งเป้าไปหสจุดอ่อนและมาถึงลำตัวของมอนสเตอร์และเริ่มโจมตี พวกเขาอีกส่วนเริ่มเข้าไปขวางอสรพิษลมที่กำลังพุ่งเข้ามาอีกตัว


 


กลุ่มทหารรับจ้างเบิร์นนิ่งเบลดนั้นได้แสดงความแข็งแกร่งของพวกเขาออกมาในฐานะกลุ่มทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง แม้ว่าหัวหน้าของพวกเขาจะไม่ได้มอบคำสั่งอย่างชัดเจน แต่พวกเขายังสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างชัดเจนโดยไม่มีความลังเล


 


อสรพิษลมได้หลบการการโจมตีโล่บินของแอนมาได้ มันคิดไม่ถึงว่าการโจมตีถัดมาจะรุนแรงมาก อุกกาบาตที่ส่องสว่างทะลวงผ่านปีกเล็กๆของมันและฉีกปีกของมันเป็นชิ้นๆอย่างง่ายดาย ทำให้เลือดไหลออกมาจากบาดแผลของมัน


 


ลอร์ดอสรพิษลมที่ได้รับบาดเจ็บล้มฟาดพื้นในทันที เดิมที มันพึ่งพาปีกของมันในการพยุงตัวเมื่อไม่มีการสนับสนุนจากธาตุลมรอบๆ แต่ทว่าเมื่อปีกของมันได้รับบาดเจ็บ มันจึงเหมือนกับเครื่องบินที่ได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่มีทางที่จะลงจอดได้ ทางเดียวที่ทำได้คือร่วงลงไป


 


อสรพิษลมระดับลอร์ดได้พยายามตะเกียกตะกายเงยหัวขึ้นมา ก่อนที่มันจะได้แสดงความโกรธออกมา คมดาบนับร้อยที่ลอยอยู่กลางอากาศพุ่งเข้ามาหามันจากสามทิศทาง ในพริบตา ดาบน้ำแข็งมากมายได้เสียบทะลุร่างของอสรพิษลมระดับลอร์ดจนพรุน


 


สำหรับสิ่งมีชีวิตธาตุ ระดับพลังป้องกันของลอร์ดอสรพิษลมนั้นไม่ได้ต่ำ แต่เป็นเพราะความได้เปรียบเรื่องธาตุ ถ้ามาร์ลีนใช้ธาตุลม สถานการณ์คงจะวุ่นวายมากขึ้น สำหรับจอมเวทย์โดยธรรมชาติ มาร์ลีนรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตธาตุคืออะไร แม้ว่าคมดาบน้ำแข็งจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดในการจัดการกับลอร์ดอสรพิษลม แต่นั่นก็เพียงพอที่จะยับยั้งการเคลื่อนไหวของมัน


 


อย่างที่คิด อสรพิษลมระดับลอร์ดไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในขณะนี้และการระเบิดอย่างต่อเนื่องพอที่จะทำให้มันซวนเซไปบ้าง เนื่องจากมันมีความสามารถในการต้านทานเวทมนตร์ คมดาบของมาร์ลีนจึงเปรียบได้กับยุงกัด แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนให้ฝูงยุงนับร้อยกัดได้ในเวลาเดียวกัน


 


ในขณะนั้น ฮิลเลอร์วิ่งเข้ามาและยกดาบเพลิงในมือของเขาขึ้นสูง เปลวไฟปะทุขึ้นมาจากตัวดาบรุนแรงมากขึ้น ราวกับมีดวงอาทิตย์ขนาดย่อมอยู่ตรงหน้า จากนั้นเขาเหวี่ยงดาบลง


 


“—-!!”


 


เปลวเพลิงที่ร้อนรุ่มสามารถเฉือนผ่านเกล็ดที่ภาคภูมิใจของอสรพิษลมระดับลอร์ดได้อย่างง่ายดาย เลือดของมันสาดกระจายและอสรพิษลมกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มันเงยหน้าขึ้นมาและอ้าปากในทันที ก่อนจะพุ่งกระโจนออกมา นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดเท่าที่มันทำได้ มันยังสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วโดยใช้กล้ามเนื้อของมัน หลายคนละเลยส่วนนี้ หลังจากที่เกือบสังหารอสรพิษลมได้และได้กลายเป็นอาหารมื้อค่ำของมันซะเอง


 


แน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่ฮิลเลอร์จะละเลยเรื่องแบบนี้


 


สิ่งที่เขาทำนั้นเร็วมากเช่นกัน หลังจากที่ดาบของเขาฟันลงไปที่อสรพิษลมระดับลอร์ด ฮิลเลอร์กระโดดกลับในทันทีและป้องกันการโจมตีด้วยดาบของเขา แต่แม้ว่าเขาจะคำนวนการเคลื่อนไหวไว้หมดแล้ว แต่คมเขี้ยวของอสรพิษลมก็ยังเจาะลึกเข้ามาที่ดาบยักษ์ของเขา เปลวเพลิงสีแดงเริ่มเผาผลาญและตามมาด้วยกลิ่นเหม็นไหม้


 


ร่างของฮิลเลอร์สั่นเล็กน้อย ในขณะที่คมเขี้ยวของมันปะทะกับดาบของเขา จากนั้นอสรพิษลมพ่นพิษออกมา โชคดีที่ดาบเพลิงของเขาได้เผาพิษของมันทันเวลา แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ


 


หมอกสีดำประหลาดห่อหุ้มร่างของฮิลเลอร์จากภายใน แก๊สที่ปรากฎออกมานั้นน่าสะอิดสะเอียนและมันสามารถฆ่าคนอ่อนแอให้ตายได้ ในเวลานั้นอสรพิษลมได้ทำการโจมตีซ้ำ เนื่องจากการโจมตีก่อนหน้านี้ของมันประสบความสำเร็จ มันหดคอลงและโจมตีอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้น อสรพิษลมระดับลอร์ดได้ยืดหัวออกมาอย่างรวดเร็ว แรงของมันทำให้กิ่งไม้รอบๆแตกกระจายออก แต่มันไม่ได้สนใจเรื่องนั้น กลับกันมันหันกลับมามองด้วยสายตาโกรธแค้นแทน


 


โรดส์ที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ด้านข้างของอสรพิษลมตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาตวัดดาบอย่างรวดเร็ว การโจมตีนี้ที่เกือบจะตัดปีกของอสรพิษลมได้และทิ้งบาดแผลกว้างไว้ อสรพิษลมจ้องมองมาที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยว ไม่นานอากาศรอบๆตัวอสรพิษลมเริ่มหมุนวนและเปลี่ยนกลายเป็นคมดาบโจมตีไปยังโรดส์ ขณะที่โรดส์กระโดดหลบการโจมตีของมัน อสรพิษลมได้หดคอของมันลงอีกครั้งและจ้องมอง ราวกับมันกำลังจะฉีกกระชากเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ


 


มันดูไม่เหมือนว่าโรดส์กำลังกระโดด เขาขว้างบางสิ่งออกมาจากมือขวา มันเห็นเพียงประกายแสงปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา


 


ตามสัญชาตญาณ อสรพิษลมงับไปที่ร่างนั้นอย่างรวดเร็วและความรู้สึกของเลือดและเนื้อที่ถูกขบเคี้ยวในปากทำให้มันรู้สึกพึงพอใจ


 


แต่ความสุขของมันหายไปในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที


 


ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงระเบิดออกมาจากปากของมัน คลื่นอัดอากาศฉีกกระชากปากและลิ้นของมัน ตอนนี้ฟันของมันแตกละเอียด และเมื่อมันอ้าปากออกมา อสรพิษลมระดับลอร์ดไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนเดิมอีกต่อไป หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มันเริ่มที่จะถอยออกมาและพยายามหลบหนีจากสถานที่แห่งนี้ ราวกับมีพลังล่องหนมาปกคลุมร่างของมันไว้ สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของมันเริ่มเตือนมันทันที


 


อสรพิษลมระดับลอร์ดเริ่มถอยโดยใช้พลังธรรมชาติในการสร้างบาเรียลม สิ่งเดียวที่มันต้องการในตอนนี้คือการออกไปจากสถานที่แห่งนี้ มันลืมแต่กระทั่งเสียงที่ดังสะท้อนในหัวของมัน


 


เพราะแบบนั้น อสรพิษลมจึงไม่ได้สังเกตเห็นรอยนูนๆบนพื้นที่พุ่งทะลวงผ่านบาเรียลมของมันไปได้อย่างง่ายดายและตรงไปที่ร่างของมัน


 


เมื่อมันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆบนพื้น มันก็สายเกินไปแล้ว


 


ก้อนหินแหลมคมพุ่งทะลวงผ่านร่างของอสรพิษลมระดับลอร์ดราวกับไม้เสียบลูกชิ้น การโจมตีด้วยธาตุตรงข้ามทำให้มันถึงขีดจำกัด การดิ้นรนและกรีดร้องของมันไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงชะตาของมันแม้แต่น้อย มันกวาดหางของมันไปรอบๆและทำลายต้นไม้รอบๆทุกต้น เลือดมากมายไหลทะลักออกมาจากบาดแผลของมัน ตามมาด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงของอสรพิษลมทำให้เกิดควันสีขาวเล็กน้อยบนพื้น ไม่นานร่างของอสรพิษลมระดับลอร์ดที่เหนื่อยล้าก็หยุดลง ร่างที่ถูกแทงของมันไม่มีลมหายใจอีกต่อไป


 


“เฮ้ออออ…”


 


มาร์ลีนถอนหายใจออกมา เธอลดไม้คทาลงและหันไปมองด้านอื่นในทันที


 


การต่อสู้ระหว่างอสรพิษลมง่ายกว่าที่พวกเขาคิด เพราะว่าการร่วมมือกันระหว่างโรดส์และฮิลเลอร์ทำให้พวกเขาชดเชยจุดอ่อนของกันและกัน กลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ของโรดส์แข็งแกร่งกว่าในการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง ในขณะที่กลุ่มทหารรับจ้างเบิร์นนิ่งเบลดของฮิลเลอร์นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าในบรรดาพวกเขาจะไม่มีใครที่มีความสามารถโดดเด่นกในการต่อสู้แบบเดียวกับฮิลเลอร์ แต่พวกเขากลับสามารถรับมือกับอสรพิษลมทั้งสองตัวในเวลาเดียวกันได้ แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โรดส์กังวลเกี่ยวกับจำนวนศัตรูที่พวกเขาต้องรับมือเพราะพวกเขามีเพียงไม่กี่คน และฮิลเลอร์ก็กังวลเกี่ยวกับการจัดการศัตรูเพราะว่ากลุ่มของเขามีความแข็งแกร่งไม่มากพอ


 


แต่ตอนนี้ การผสานงานระหว่างกลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์และเบิร์นนิ่งเบลดทำให้พวกเขาชดเชยจุดอ่อนซึ่งกันและกัน เมื่อแอน มาร์ลีนและโรดส์เข้าร่วมด้วย ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพียงพอที่จะสังหารลอร์ดอสรพิษลมระดับ 25 ลงได้ ในขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นมาของจำนวนทหารรับจ้างทำให้เวทย์รักษาหมู่ของไลซ์มีประโยชน์มากขึ้น ขณะที่โรดส์มุ่งเป้าไปที่เป้าหมายของเขา ไลซ์ยังคงร่ายเวทย์รักษาของเธอให้กับเหล่าทหารรับจ้างที่กำลังเผชิญหน้ากับอสรพิษลมตัวอื่น เมื่อโรดส์เข้ามารวมกลุ่มกับทหารรับจ้างคนอื่นๆ ผลลัพธ์ของการต่อสู้จึงเป็นไปตามที่คิด


 


จอมเวทย์ชุดดำลืมตาขึ้นมา


 


เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สำหรับจอมเวทย์ วินาทีที่พันธะวิญญาณขาดลง มันไม่ต่างอะไรไปจากการเห็นแฟนคนแรกของเขาเข้าไปโอบกอดเศรษฐีอ้วนโดยไม่มีความลังเล ซึ่งมันเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่สามารถจินตนาการได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับจอมเวทย์ที่ทรงพลัง เขาสงบจิตใจลงและลูบหัวอสรพิษลมระดับลอร์ดอย่างไร้อารมณ์


 


เขารู้เหตุผลแล้วว่าทำไมอสรพิษลมที่เขาส่งไปถึงหายไป ด้วยสภาพเแวดล้อมที่เกิดจากการควบแน่นธาตุลม ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออสรพิษลมอย่างมาก ตอนนี้เขาต้องรอ


 


เขาเชื่อว่าเวลาที่เหมาะสมจะต้องมาถึง


124 – ช่วยเหลือคนของฮิลเลอร์(5)


 


ฮิลเลอร์ได้ลดดาบลงและมองไปที่โรดส์ ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา โรดส์มองไปยังซากอสรพิษลมที่นอนอยูู่ ฮิลเลอร์คิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่รู้


 


บอกตรงๆ เขาไม่ได้รู้สึกประทับใจหรือรู้สึกไม่ดีกับกลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์


 


เมื่อตอนแรกที่เขารับรู้ถึงการคงอยู่ของพวกเขา เขาเพียงไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเป็นไปแล้วและเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก มันผ่านมาเป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่ที่เขาได้กลายมาเป็นทหารรับจ้างครั้งแรก เขาเห็นสิ่งต่างๆมามากและไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดกับมัน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทหารรับจ้างหน้าใหม่ หัวหน้าคนใหม่ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา


 


หลังจากที่ได้พบโรดส์ที่งานประชุมทหารรับจ้างครั้งแรก ฮิลเลอร์เริ่มสงสัยเกี่ยวกับชายหนุ่มรูปงามคนนี้ มันไม่ใช่เพราะรูปร่างของเขา แต่เป็นเพราะทัศนคติของเขา ระหว่างงานประชุมทหารรับจ้าง โรดส์ได้บอกว่าอยากจะทำลายกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาเกลียดคนเหล่านั้นมากมาย แต่เป็นเหมือนถ้อยคำดูถูกจากคนที่ยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่าและมองลงมายังมดปลวกที่อยู่ด้านล่าง เขาเหมือนกับรู้สึกโกรธที่มดปลวกเหล่านั้นกำลังขวางทางเขา


 


เขาไม่แม้แต่จะคิดว่าคนพวกนั้นเป็นมนุษย์


 


ฮิลเลอร์ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงรู้สึกแบบนั้น ปกติแล้ว เขาคิดว่าโรดส์ควรเป็นคนโหดร้าย ป่าเถื่อน — หัวใจของเขาผิดเพี้ยนไปหมดแล้วและไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับคนตรงหน้า โรดส์เป็นคนฉลาด มีเหตุผล สงบและใจเย็น และโรดส์เองก็เลือกที่จะมาช่วยเขา นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้มีความคิดในแง่ลบแบบที่ฮิลเลอร์คิดในตอนแรก


 


แต่ทัศนคติของเขายังเหมือนเดิม


 


ฮิลเลอร์รู้สึกว่าวิธีที่โรดส์มองเขา นอกจากความสงบแล้ว ยังมีร่องรอยของความชื่นชมอยู่ในแววตาของเขา แต่มันไม่ได้ชื่นชมต่อความเป็นมนุษย์ ตรงกันข้าม วิธีที่โรดส์มองฮิลเลอร์นั้นเหมือนกับคนๆหนึ่งกำลังมองรูปปั้นในตำนาน


 


เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?


 


โรดส์ไม่รู้ว่าฮิลเลอร์กำลังคิดอะไรในตอนนี้ หลังจากได้ร่วมต่อสู้กับฮิลเลอร์ มันทำให้เขาจึงถึงชีวิตก่อนหน้านี้ในฐานะผู้เล่น ในช่วงเวลานั้น เขาได้ยอมรับภารกิจประเภทนี้ การต่อสู้ร่วมกับ NPC ได้รับ EXP เลื่อนระดับ เสร็จสิ้นภารกิจ ได้รับอุปกรณ์และได้รับรางวัล ไม่เคยเลือนหายไปเลย


 


ตอนนี้ มันเหมือนกับว่าเขาได้ย้อนเวลากลับไปยังวันวานเหล่านั้น


 


“อสรพิษลมยังเหลืออีก 2 ตัว”


 


โรดส์มองไปยังสนามรบและความเศร้าเล็กน้อยปรากฎขึ้นในดวงตาของเขา


 


“ตายไปตัวหนึ่งแล้วและจอมเวทย์ก็ยังไม่ปรากฎตัวเลย”


 


“ฉันคิดว่าเขาจะปรากฎตัวในเร็วๆนี้ค่ะ” ขณะที่กำลังถือคทา ใบหน้าของมาร์ลีนมืดมนเล็กน้อย “แม้ว่าจะมีเพียงเล็กน้อย แต่ฉันสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังเวทมนตร์ เขาควรกำลังจับตาดูพวกเราอยู่….นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยค่ะ คุณโรดส์ แม้ว่าฉันจะไม่มั่นใจ แต่ฉันคิดว่าระดับเวทมนตร์ของฝ่ายตรงข้ามอยู่เหนือกว่าของฉันค่ะ มันน่าจะเป็นปัญหาแน่”


 


“พวกเรามีโพชั่นควบแน่นอีกกี่ขวด?”


 


“8 ขวดค่ะ น่าจะใช้สนับสนุนพวกเราได้อีกราวๆ 1 ชั่วโมงค่ะ” ไลซ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว หลังจากตรวจสอบของในกระเป๋า


 


หนึ่งชั่วโมง


 


โรดส์เงยหน้าขึ้นและมองไปยังท้องฟ้า กลุ่มอสรพิษลมยังคงหมุนวนรอบอยู่เหนือพวกเขาและดูเหมือนว่ามันไม่มีแผนที่จะถอยแม้แต่น้อย นั่นหมายความว่าแม้ว่าพวกเขาจะสามารถยื้อไปได้อีก 1 ชั่วโมง มันก็ไม่มีความหมาย


 


“พวกเราควรทำยังไงต่อดีค่ะ? หัวหน้า?”


 


แอนถือโล่สีทองไว้ในมือ ใบหน้าของเธอเปรอะเลือดเล็กน้อย แต่เธอยังคงร่าเริงและมองไปยังทหารรับจ้างคนอื่นๆที่กำลังนั่งอยู่เงียบๆ ระหว่างการต่อสู้ แรนดอฟและคนอื่นๆไม่สามารถใช้ชุดสกิลที่พวกเขาได้เรียนมาได้ในทันที เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูระดับนี้ พวกเขาลืมชุดสกิลที่พวกเขาได้เรียนมาทั้งหมดและกลับไปใช้สไตล์การต่อสู้เดิม แต่ผลลัพธ์ที่ได้ยังเป็นไปตามที่เขาคิด ถ้าไม่ได้ชอว์น่ามาสั่งการ ความแข็งแกร่งของสตาร์ไลท์ในปัจจุบันจะลดลงอย่างมาก


 


ความสามารถของลาปิสยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ตอนแรกเธอรวบรวมความกล้าในการต่อสู้ แต่เมื่อหางของอสรพิษลมพุ่งผ่านเหนือหัวของเธอ เด็กสาวที่น่าสงสารกรีดร้องและล้มลงกับพื้นและเอามือกุมหัวเธอทันที เธออยู่ตรงนั้นจนจบการต่อสู้ แม้ว่าการป้องกันในรูปแบบนั้นของเธอจะค่อนข้างแย่ แต่ท่าป้องกันของเธอก็สมบูรณ์แบบ ขณะที่ทหารรับจ้างคนอื่นๆที่นอนหมอบอยู่บนพื้นต่างได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีสวนกลับของอสรพิษลมระดับลอร์ด แต่เธอกลับอยู่ที่เดิมจนจบการต่อสู้ได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย


 


อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ได้ส่งผลอะไรกับเธอ….เพราะว่าเธอนั่งนานเกินไป ตอนนี้เธอจึงไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้….


 


“เรียกฮิลเลอร์มาที่นี่ พวกเราจะคุยเรื่องการต่อสู้ครั้งต่อไป” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง โรดส์ได้ทำการตัดสินใจ


 


“อะไรนะ จะล่อมันออกมาเหรอ?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของโรดส์ คนสนิทของฮิลเลอร์พูดออกมาทันที ฮิลเลอร์เองก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่วิธีที่เขามองโรดส์นั้นเต็มไปด้วยความสับสน


 


“ใช่แล้ว” โรดส์พยักหน้าและอธิบายอย่างรวดเร็ว “ไม่มีโพชั่นควบแน่นมากพอในการป้องกันคนจำนวนมาก มันใช้ได้อีกประมาณ 1 ชั่วโมง ภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะออกไปจากที่นี่ แต่ถ้าพวกเรารอจนกระทั่งพวกเราใช้โพชั่นควบแน่นหมด ปัญหาต่างๆจะหนักมากขึ้น ระหว่างนี้ จอมเวทย์ที่ซ่อนตัวอยู่นั้นจะใช้ลูกเล่นเดิมวางกับดักเราไว้ที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราต้องล่อให้มันออกมาและบังคับให้มันมาเผชิญหน้ากับพวกเรา ถ้าพวกเราสามารถจัดการเขาได้ ทุกอย่างก็จบ”


 


“แต่เป็นเรื่องยากมากที่จอมเวทย์จะออกมาต่อสู้ในแนวหน้านะ” คนสนิทพูดขึ้นขณะมองไปที่มาร์ลีนที่กำลังหลับตาอยู่


 


“ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากมีโพชั่นควบแน่นเหลืออีก 8 ขวด พวกเราไม่สามารถออกจากที่นี่ไปก่อนที่โพชั่นจะหมดใช่ไหม? แล้วพวกเราสามารถปรุงมันเพิ่ม….”


 


“วัตถุดิบพวกนั้นหมดไปแล้ว” โรดส์ตอบกลับ “และไม่มีเวลามาปรุงโพชั่นพวกนั้นอีกแล้ว แต่….นี่คือสิ่งที่ผมกำลังจะพูด”


 


“คุณหมายความว่ายังไง?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของโรดส์ คนสนิทประหลาดใจเล็กน้อย


 


“มันง่ายมาก แม้พวกเราจะรู้ว่าพวกเรามีโพชั่นควบแน่นเพียง 8 ขวด แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ พวกเราสามารถแกล้งทำเป็นใช้โพชั่นในการต่อสู้กับเหล่าอสรพิษลม ถึงตอนนี้มันจะปรากฎตัวออกมาเอง แผนของผมนั้นง่ายมาก อันดับแรก พวกเราจะใช้ผลของโพชั่นและเคลื่อนที่ไปด้านหน้าเพื่อแสดงให้มันเห็นว่าพวกเราไม่ได้ตื่นตกใจ หลังจากนั้นพวกเราจะแสดงให้มันเห็นว่าพวกเรามีความสามารถในการผชิตโพชั่นตลอดเวลา เมื่อทำแบบนั้น มันจะต้องออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเหล่าอสรพิษลมนั้นกลัวการควบแน่นธาตุลม แต่สำหรับจอมเวทย์สายพันธะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับมัน ตราบเท่าที่พวกเราสามารถล่อให้เขาออกมาต่อสู้กับพวกเราได้ นั่นหมายความว่าพวกเราได้ประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง ต่อมา พวกเราก็เหลือแค่จัดการมัน”


 


“แต่…ถ้าไม่ใช่แบบนั้น….”


 


“พวกเราก็จะตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” โรดส์ตอบสิ่งที่เขาหมายถึง


 


“แต่ถ้าพวกเราใช้โพชั่นควบแน่นจนหมด ชะตาของพวกเราก็เหมือนเดิม นั้นเป็นเหตุผลที่อย่างน้อย พวกเราต้องเริ่มก่อน เนื่องจากจอมเวทย์ส่วนใหญ่…”


 


เมื่อพูดถึงตรงนี้ โรดส์มองไปยังมาร์ลีนและพูดต่อ “จะหยิ่งและคิดว่าสติปัญญาของพวกเขานั้นสามารถมองแผนการต่างๆได้ทะลุปลุโปร่ง ผมคิดว่า…พวกเราสามารถใช้จุดนี้เล่นงานมันได้”


 


“แต่…แต่…”


 


เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ คนสนิทได้ยืนขึ้น แต่เขาไม่ได้พูดจนจบและถูกหยุดโดยฮิลเลอร์ ชายหนุ่มที่จริงจังและสงบนิ่งตอนนี้มองไปที่โรดส์และพยักหน้า “เริ่มกันเถอะ”


 


มันเป็นการตีความและคำอธิบายที่หมดจรด


 


จอมเวทย์ชุดดำเริ่มสังเกตเห็นเป้าหมายของเขาเริ่มเคลื่อนไหว


 


แต่ทว่ามันแตกต่างไปจากที่เขาคาดคิด พวกเขาไม่ได้พยายามออกจากป่าอย่างเร่งรีบ ในทางกลับกัน การเคลื่อนไหวของพวกเขารัดกุมและมีระเบียบ แต่ก็ไม่ได้เร็วมากเกินไป ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเดินไปยังเขครอบนอกป่าราตรี เกิดอะไรขึ้น? พวกมันไม่กลัวเหล่าอสรพิษลมที่ล้อมอยู่งั้นรึ?


 


เมื่อเห็นดังนี้ จอมเวทย์ชุดดำขมวดคิ้ว เขาเริ่มเสียใจที่ประเมินศัตรูต่ำเกินไป ซึ่งทำให้เขาเสียอสรพิษลมระดับลอร์ดไปถึง 2 ตัว แต่เนื่องจากเขายังมีไพ่ลับ มันจึงไม่เป็นปัญหาที่เขาจะเสียตัวเบี้ยเล็กๆน้อยๆ อย่างน้อยเขาก็สามารถเห็นความแข็งแกร่งของคนพวกนั้น ในบรรดาคนพวกนั้น ไม่น่ามีใครที่จะมีความสามารถเพียงพอในการจัดการกับเขา รวมถึงจอมเวทย์สาวที่เขาสังเกตเห็นก่อนหน้านี้ แม้ว่าเด็กสาวจะเข้าสู่วงเวทย์ระดับกลางได้ตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจ เธอก็ยังไม่สามารถนำมาเทียบกับเขาได้


 


อย่างไรก็ตาม….


 


เมื่คิดถึงตรงนี้ จอมเวทย์ชุดดำหรี่ตาลง เด็กสาวที่มากด้วยพรสวรรค์ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ เขาใช้เวลากว่า 50 ปีกว่าจะแข็งแกร่งได้ในระดับนี้ แต่เด็กสาวคนนั้นอายุเพียง 17-18 ปี กลับสามารถเข้าถึงวงเวทย์ระดับกลางได้แล้ว ถ้าเขาไม่จัดการเธอตอนนี้ มันอาจจะเป็นการสร้างนักรบที่แข็งแกร่งให้กับประเทศนี้ได้ในอนาคต สำหรับเขา มันไม่ใช่เรื่องดีเลย


 


เขาจำเป็นต้องตัดการเธอ ก่อนที่เธอจะเติบโตขึ้นไป


 


เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ จอมเวทย์ชุดดำบีบมือแน่นและค่อยๆรวบรวมเวทมนตร์ของเขา


 


เหล่าทหารรับจ้างต่างเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างระมัดระวังภายใต้คำสั่งของหัวหน้าทั้งสอง


 


แม้ว่าพวกเขาจะสับสนว่าทำไมพวกเราไม่ออกไปจากสถานที่บ้าๆนี่ในทันที แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามและทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เมื่อมองไปรอบๆ ขณะที่ฟื้นฟูพละกำลัง


 


ในขณะนี้โรดส์กำลังเดินอยู่ด้านข้างมาร์ลีน “คุณไม่สามารถรู้ระดับของศัตรูได้ใช่ไหม?”


 


“มันเป็นเรื่องยากมากค่ะ คุณโรดส์ แต่ฉันมั่นใจว่าศัตรูคนนี้แข็งแกร่งกว่าฉันมาก ความสามารถในการควบคุมเวทมนตร์ของเขาสูงกว่าฉัน ฉันจึงไม่สามารถรับรู้ความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างถูกต้อง ยกเว้นแต่ในการต่อสู้แบบเผชิญหน้า แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำแบบนั้น”


 


นั่นแหละที่เป็นปัญหา


 


โรดส์ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้กลัวศัตรูเพราะว่าเขาจะไม่สามารถจัดการได้ เขาสามารถอัญเชิญซีเลียเพื่อจัดการปัญหานี้ได้ แต่นั่นเป็นวิธีที่โรดส์ไม่อยากใช้เพราะการอัญเชิญการ์ดออกมานั้นใช้พลังวิญญาณมาก มันจะดีกว่าถ้าเขาเก็บมันเอาไว้


 


ตอนแรกโรดส์หวังว่าเขาจะสามารถจัดการปัญหานี้ได้โดยใช้พลังของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะไม่ได้ดีมากนัก


 


แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะอัศวินแห่งความตายซึ่งเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมากได้ ถ้าเป็นการต่อสู้แบบซึ่งหน้า ตราบเท่าที่พวกเขามีจำนวนคนและความแข็งแกร่งเพียงพอ มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับจอมเวทย์มันแตกต่างออกไป พวกเขาทั้งขี้ขลสดและหวาดกลัว พวกเขามีวิธีมากมายในการเอาชีวิตรอด ยกเว้นแต่ในการโจมตีถึงตาย คนของโรดส์เพียงคนเดียวที่สามารถต่อสู้ได้คือมาร์ลีน ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นอัจฉริยะ แต่เธอก็ไม่ใช่นักรบเต็มตัว มาร์ลีนยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้แบบเผชิญหน้าอยู่


 


แล้วเขาควรทำอย่างไรดี? เขาควรใช้ซีเลียเหรอ?


 


ลองดูสถานการณ์ตรงหน้าก่อนแล้วกัน


 


เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ โรดส์เงยหน้าขึ้นและมองไปยังท้องฟฟ้าอีกครั้ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาดึงมาร์ลีนออกมาและผลักไปด้านข้างทันที


 


“ระวัง!”


 


ในขณะนั้น สายฟ้าฟาดจากก้อนเมฆที่มืดครึ้มผ่าลงมาในจุดที่มาร์ลีนยืนอยู่ก่อนหน้านี้


125 – งานเปิดตัวดอกบัวสีแดง(1)


 


“ฉันขอโทษด้วยค่ะ คุณโรดส์ ฉันไม่รู้….”


 


มาร์ลีนกำมือแน่น ขณะที่มองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ถัดจากเธอซึ่งกำลังฟังเธอพูดด้วยความเจ็บปวด เธอรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจในตัวเอง เธอไม่ใช่คนที่ยึดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ถึงแม้ว่าเธอจะถูกเรียกว่าเป็นจอมเวทย์มากว่าสิบปี แต่เธอได้เรียนรู้แล้วว่ามีคนที่แข็งแกร่งกว่าเธอมากมาย ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์และความสามารถ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบความแข็งแกร่งกันได้ บางทีมันอาจเป็นเพราะอายุของเธอ ดังนั้นจึงไม่มีใครแข็งแกร่งไปกว่าเธอ แต่ถ้าเป็นทั้งทวีป มีจอมเวทย์มากมายที่แข็งแกร่งกว่าเธอ ไม่มีทางที่เธอจะขอต่อสู้กับจอมเวทย์ที่มีอายุเท่ากันเพราะมันดูเป็นเรื่องเพ้อฝัน


 


นั่นเป็นเหตุผลที่มาร์ลีนไม่เคยอายที่ยอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง แต่ทว่าในตอนนี้เธอรู้สึกไม่เต็มใจ ตามประสาทสัมผัสของเธอที่มีต่อการตอบสนองของธาตุ เธอดูเหมือนสามารถสัมผัสกระแสเวทมนตร์ที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ได้ อีกอย่างหนึ่งเธอสามารถรับรู้ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งขนาดไหน หลังจากที่ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน เธอเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าการรู้ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเธอทำเรื่องนี้ได้ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ มันคงจะไม่สายเกินไปแบบนี้


 


แต่เธอไม่สามารถทำได้ ระดับการควบคุมเวทมนตร์ของจอมเวทย์คนนั้นต่ำกว่าเธอ แต่เขามีประสบการณ์มากกว่า เธอพยายามหลายต่อหลายครั้ง แต่เธอไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลย เธอรู้ว่าระดับของฝ่ายตรงข้ามมากกว่าเธอ แต่เธอไม่รู้ว่ามากกว่าเท่าไหร่ มันเหมือนกับเห็นชายหนุ่มในหมอก


 


ถ้าฉันแข็งแกร่งกว่านี้ล่ะก็…..


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ มาร์ลีนเหม่อลอย


 


ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่ทันได้สังเกตคลื่นเวทมนตร์มหาศาลที่รวมตัวกันเหนือศีรษะของเธอ


 


ตูม!!


 


เสียงแผ่นดินไหวดังกึ่งก้องเข้าไปในหูของเธอ


 


สัมผัสเย็นๆที่หลังของเธอทำให้เธอกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง สิ่งแรกที่เธอเห็นคือโรดส์กำลังกอดเธอแน่นซึ่งทำให้เธอหน้าแดงมาก อย่างไรก็ตาม ในชั่วอึดใจหลังจากที่เธอเห็นก้อนเมฆสีดำบนท้องฟ้า สีหน้าของมาร์ลีนเปลี่ยนไปทันที


 


เธอรีบหยิบคทาในมือขึ้นมาและร่ายเวทมนตร์ ไม่นาน บาเรียโปร่งใสได้เข้าปกคลุมรอบตัวเธอทันที


 


“ทุกคนกระจายตัวออกไป! เรนเจอร์และโจรเข้าประจำตำแหน่ง ที่เหลือทำหน้าที่ป้องกัน!”


 


โรดส์ไม่มีเวลามาถามคนอื่น เขารีบกลิ้งและลุกขึ้นมา ในขณะเดียวกัน เขาได้สั่งการคนอื่นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายของเขามาก เขาไม่คิดว่าจอมเวทย์คนนั้นจะไร้ความอดทนและโจมตีด้วยตัวเองในทันที โดยปกติแล้ว โรดส์คิดว่าเขาจะรอซ่อนตัวอยู่ในเงามืด แต่เขากลับโจมตีในทันทีและ….


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ โรดส์ถึงกับสับสนและมองไปยังมาร์ลีน


 


พวกเขาเดินอยู่ด้านหน้าของกลุ่ม พวกเขาไม่สมควรถูกโจมตี โรดส์รับรู้ถึงจุดอ่อนของจอมเวทย์ดี พวกเขาเชี่ยวชาญในด้านเวทมนตร์ระดับกว้าง แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะเผชิญหน้ากับการโจมตีเป็นกลุ่ม นั่นเป็นเหตุผลที่โดยทั่วไปแล้ว ก่อนที่จอมเวทย์จะโจมตี พวกเขาจะร่ายเวทย์ป้องกันตัวเอง พวกเขาจะโจมตีกองกำลังหลัก หลังจากนั้นจะค่อยๆเก็บกวาดที่เหลือ นี่เป็นเหตุผลที่โรดส์ไม่คาดคิดว่าจอมเวทย์คนนี้จะโจมตีเขาเป็นคนแรก เขาคิดว่าจอมเวทย์คนนั้นจะเลือกโจมตีไปตรงกลางหรือด้านหลัง จากนั้นจะเริ่มโจมตีเป็นวงกว้างเพื่อจัดการกับคนอื่นๆ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าโจมตีมาร์ลีน


 


แม้ว่าเมื่อนับแล้วจะมีจอมเวทย์เพียงคนเดียวในกลุ่ม และถ้าศัตรูสามารถจัดการกับเธอได้เป็นคนแรก การเคลื่อนไหวต่อไปจะง่ายขึ้น โรดส์จึงรู้สึกแปลกๆ จอมเวทย์ที่สามารถควบคุมกลุ่มอสรพิษลมและกักขังกลุ่มทหารรับจ้างเบิร์นนิ่งเบลดมาเป็นเวลาหลายวันได้ จะสูญเสียความอดทนเพราะการปรากฎตัวของพวกเขารึ?


 


ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ไม่สำคัญ


 


ในขณะนี้ สายฟ้าฟาดได้ระเบิดลงมาที่พื้น เห็นได้ชัดว่าทหารรับจ้างเหล่านี้ได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี หลังจากที่พวกเขาได้รับคำสั่งของโรดส์ พวกเขากระจายตัวไปอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวอยู่ตามพุ่มไม้ แม้ว่านี่จะทำให้พวกเขากดดันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสรพิษลม ถ้าพวกเขารวมตัวกัน มันมีโอกาสที่จะจับจอมเวทย์คนนั้นได้ มีเพียงมือใหม่ไม่กี่คนที่นี่ ดังนั้นส่วนใหญ่รู้ทฤษฎีเหล่านี้หมดแล้ว


 


โรดส์ดึงมาร์ลีนและแอนพาไลซ์ไปซ่อนที่ด้านหลังก้อนหิน สายฟ้าฟาดยังคงระเบิดอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เมื่อผสานเสียงแผ่นดินไหวกับประกายสายฟ้าทำให้ทุกคนเกือบจะตาบอด พื้นดินยุบตัวลงเนื่องจากผลกระทบของสายฟ้าฟาด ต้นไม้รอบๆล้มลงมาเกือบทั้งหมดและที่เหลือเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและควันไหม้


 


เป็นเวลาครู่หนึ่ง มันเหมือนกับจุดจบของโลกได้มาถึง


 


นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของจอมเวทย์


 


โชคดีที่พายุสายฟ้านั้นไม่ได้กินเวลานานและจบลงภายในเวลา 2-3 นาที อย่างไรก็ตาม โรดส์และคนอื่นๆไม่ได้มีเวลาได้คิด เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากใกล้ๆ!


 


“คุณฮิลเลอร์ ทำตามแผนเดิม!”


 


เมื่อมองผ่านป่า โรดส์สามารถเห็นร่างหนึ่งที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ จอมเวทย์นั้นสามารถร่ายเวทย์ได้ในระยะที่ตนสามารถมองเห็นได้เท่านั้น นี่จึงเป็นประโยชน์สำหรับโรดส์ แต่แม้ว่าเขาจะเปิดเผยตัวออกมา มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถจัดการมันได้ง่ายๆ เมื่อมองเห็นอสรพิษลมที่มันนั่งอยู่ เห็นได้ชุดว่าทุกอย่างเริ่มไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้ว


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโรดส์ ฮิลเลอร์ได้สั่งให้คนอื่นๆเตรียมตัวตั้งรับการมาถึงของอสรพิษลม ครั้งนี้ พวกเขาจะไม่สามารถใช้โพชั่นควบแน่นพลังธาตุลมได้เพราะนี่เป็นแผนของโรดส์ ถ้าพวกเขาใช้มันตั้งแต่ต้น จอมเวทย์คนนั้นจะถอยกลับทันทีและการจัดการกับเขาจะเป็นเรื่องยากขึ้น แผนนี้เป็นการใช้ความแข็งแกร่งของพวกเขาในการต้านทานการโจมตีของอสรพิษลม หลังจากที่จอมเวทย์รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถใช้ความสามารถจากโพชั่นได้อีก เขามีโอกาสที่จะต่อสู้ต่อ ถ้าพวกเขาใช้ประโยชน์จากตรงนี้ บางทีพวกเขาอาจจะมีโอกาสจัดการกับจอมเวทย์คนนี้ได้


 


นี่เป็นศึกระหว่างจอมเวทย์


 


มาร์ลีนปกคลุมตัวเองด้วยเวทย์ป้องกัน เธอยืนขึ้นและมองไปบนท้องฟ้าอย่างมืดมน เธอพึมพำเวทย์โบราณ ในเวลาเดียวกัน จอมเวทย์ที่กำลังนั่งอยู่บนหัวของอสรพิษลมได้บีบกำปั้น ตอนนี้จอมเวทย์คนนั้นได้รวบรวมเวทมนตร์และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอสรพิษสายฟ้าคำราม


 


จากนั้น จอมเวทย์ชุดดำได้กดมือลง ขณะนั้นมาร์ลีนได้กดคทาลงต่ำจนถึงพื้น


 


อสรพิษสายฟ้าได้อ้าปากของมันและเล็งเป้าหมายมาที่เธอ ในเวลาเดียวกันนั้นคริสตัลน้ำแข็งบนคทาขอบมาร์ลีนได้เริ่มเปล่งแสงและรวบรวมเวทมนตร์ อินทรีย์น้ำแข็งและกางปีกออกมา


 


ทั้งสองฝ่ายเริ่มปะทะกันอีกครั้ง


 


เสียงระเบิดดังสะท้อนไปทั่วท้องฟ้า แม้แต่อากาศยังบิดเบี้ยวเนื่องจากปริมาณพลังธาตุจากเวทมนตร์ของพวกเขา คริสตัลน้ำแข็งได้กระจายไปรอบๆและกลายเป็นหิมะ ก่อนที่จะร่องลงพื้นอย่างสวยงาม


 


อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายยังไม่หยุดโจมตี


 


มาร์ลีนพึมพำเบาๆและเรียกพายุเพลิงออกมาโจมตี พวกมันพัดตรงไปยังจอมเวทย์ชุดดำ แต่ทว่าครั้งนี้ เขาไม่ได้ตอบสนองอะไร ทันใดนั้นอสรพิษลมได้อ้าปากและคำรามออกมา ต่อมา พายุลมก่อตัวขึ้นและสร้างบาเรียลมขึ้นมาหลายเมตร


 


ทั้งสองฝ่ายยังคงต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง


 


แต่ในครั้งนี้ สีหน้าของมาร์ลีนเปลี่ยนไป


 


เมื่อบาเรียพายุได้ขวางกั้นพายุเพลิงของเธอ มันกลืนกินพลังของพายุเพลิงของเธอไปจนหมดสิ้น พลังที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถถล่มเมืองได้นั้นได้ดูดพลังของเธอและเปลี่ยนกลายเป็นพลังของบาเรีย มาร์ลีนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกได้ถึงพลังงานตีกลับมายังร่างของเธอ เธอทำได้เพียงถอยหลังไป 2-3 ก้าวก่อนจะตั้งหลัก อย่างไรก็ตาม อัญมณีที่ส่องแสงของเธอได้ดับลง เห็นได้ชัดว่าพลังลึกลับนั้นได้ทำให้มันเสียหาย


 


นั่นเป็นมอนสเตอร์ลอร์ดระดับหัวหน้า!


 


ความคิดนี้ได้ไหลเข้ามาในหัวของเธอ เธออดไม่ได้ที่จะตกใจ แน่นอนเธอรู้ว่าการเผชิญหน้ากับลอร์ดอสรพิษลมระดับหัวหน้าเป็นอย่างไร ฝ่ายตรงข้ามนั้นสามารถควบคุมได้ทุกสิ่งแม้กระทั่งพลังธาตุลม ซึ่งทำให้เธอไม่สามารถใช้เวทย์ธาตุลมในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ หรือแม้กระทั่งรู้ว่าเธอจะร่ายเวทย์ธาตุลม


 


การเผชิญหน้ากับศัตรูที่ลอยอยู่กลางอากาศ ถ้าเธอไม่ใช้เวทย์ธาตุลม เธอควรจะจัดการมันอย่างไร?


 


จอมเวทย์คนนั้นไม่รอให้มาร์ลีนหาคำตอบ สายฟ้าฟาดระเบิดออกมาจากบาเรียลมอีกครั้งและพุ่งตรงไปยังมาร์ลีน แม้ว่าเธอจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่เธอก็ทำได้เพียงยกคทาขึ้นมาเมื่อสายฟ้าฟาดพุ่งมาถึงด้านหน้าเธอแล้ว เกราะป้องกันแตกกระจายออก เมื่อถึงขีดจำกัดของมัน มันแตกสลายทันทีที่สายฟ้าฟาดสัมผัสกับมัน และเกือบจะสัมผัสโดนร่างของมาร์ลีนจนกระทั่งบาเรียสีทองได้ปรากฎและขวางไว้


 


ตูม!!!


 


มันไม่สำคัญว่าศัตรูจะโจมตีสำเร็จหรือไม่ แม้ว่าสายฟ้าฟาดจะถูกป้องกันไว้ได้ แต่มันยังคงสร้างแรงระเบิดมหาศาล ท่ามกลางเปลวเพลิง ร่างของมาร์ลีนปลิวไปด้านหลังและกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ไม่นานมือข้างหนึ่งจับไปที่ไหล่ของเธอ จากนั้นแสงสีทองเข้าปกคลุมร่างของเธอและรักษาบาดแผล


 


ไลซ์ก้มตัวลงข้างมาร์ลีน สีหน้าของเธอจริงจังอย่างมาก ตรงหน้าของเธอ แอนกำลังยกโล่ขึ้นและจับจ้องไปยังบุคคลที่ลอยอยู่กลางอากาศ


 


“ไม่คิดเลยจริงๆ…..”


 


เมื่อมองไยังเด็กสาว 4 คนตรงหน้าเขา จอมเวทย์ชุดดำสบถออกมา เขาเหลือบมองไปยังเหล่าอสรพิษลมที่รับคำสั่งของเขาและเริ่มโจมตี แต่คนพวกนั้นกลับสามารถป้องกันการโจมตีของอสรพิษลมได้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ พวกมันจะตายในไม่ช้า ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่สิ่งที่สำตัญที่สุดในตอนนี้คือการสังหารจอมเวทย์คนนี้ซะ


 


แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กันมาหลายต่อหลายรอบ แต่จอมเวทย์ชุดดำสามารถรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของมาร์ลีนได้ อ้างอิงจากอายุของเธอ มันเรื่องที่คาดไม่ถึงที่ทักษะในการควบคุมและปฏิกิริยาของเธอที่สามารถทำให้เธอมาถึงจุดนี้ได้ จอมเวทย์ชุดดำไม่เคยเห็นเด็กที่น่ากลัวแบบนี้มาก่อน ตอนนี้เขาได้ยกเลิกความคิดที่จะนำเธอกลับไปเป็นคนรับใช้ เขาวางแผนที่จะฆ่าคนพวกนี้ให้หมด เพราะว่าเด็กที่มีพรสวรรค์แบบเธอ ต่อให้เขาควบคุมเธอได้บางครั้ง แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะมั่นใจได้ว่าจะไม่มีปัญหาตามมาในอนาคต


 


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดหากต้องปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งหายนะไว้หลังบ้าน


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ จอมเวทย์ชุดดำหรี่ตาลง เขาตบไปที่หัวของลอร์ดอสรพิษลมและมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังขวางทางของเขา


 


เดี๋ยวก่อน ชายที่แต่งตัวชุดดำหายไปไหน?


 


ทันใดนั้น เสียงเสียดแทงดังมาจากด้านหลังของเขา


 


วินาทีต่อมา โรดส์ได้ถือดาบสีแดงและเล็งไปที่หัวใจของจอมเวทย์ชุดดำ


126 – งานเปิดตัวดอกบัวสีแดง(2)


 


จอมเวทย์ชุดดำตอบสนองไม่ทัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะตาย เมื่อดาบของโรดส์เกือบสัมผัสถึงร่างของเขา ลอร์ดอสรพิษลมที่อยู่ใต้ร่างของจอมเวทย์ได้สะบัดห่างและฟาดไปที่โรดส์!


 


นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจอมเวทย์ชุดดำลอยอยู่กลางอากาศ ในสถานการณ์แบบนี้ มันไม่เหมือนกับมีใครบางคนพยายามโจมตีเขาจากด้านหลัง  นั่นเป็นเหตุผลที่เขาร่ายเวทย์ป้องกันธนูและป้องกันเวทมนตร์ไว้ แต่ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการโจมตีซึ่งหน้า เนื่องจากพลังวิญญาณของจอมเวทย์เป็นสิ่งล้ำค่ามาก เขาจึงจำเป็นต้องรักษามันไว้ ถ้าเป็นการต่อสู้บนพื้น เขาไม่ทำแบบนี้แน่ แต่นี่เขากำลังลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งเป็นเหตุผลที่จอมเวทย์ชุดดำจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้


 


แต่ดูเหมือนว่าเขาต้องเปลี่ยนความคิดแล้ว


 


จอมเวทย์ชุดดำรีบถอยอย่างรวดเร็วและลอร์ดอสรพิษลมได้ขวางทางโรดส์เอาไว้ จอมเวทย์จะไม่เลือกที่จะต่อสู้กับนักดาบในการต่อสู้ซึ่งหน้า มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดี


 


เขาบินมาที่นี่ได้อย่างไร?


 


จอมเวทย์ชุดดำได้หรี่ตาลงและมองไปที่โรดส์อย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นเขาได้จับจ้องไปยังปีกโปร่งแสงที่อยู่ด้านหลังของโรดส์


 


นั่นมันอะไร?


 


สิ่งที่เขาค้นพบทำให้จอมเวทย์ชุดดำประหลาดใจมาก ทูตสวรรค์? ทูตสวรรค์ไม่ควรมีปีกโปร่งแสงแบบนี้? และปีกนั่นมันเล็กเกินไป ดูไม่เหมือนกับทูตสวรรค์ แต่เหมือนกับนกมากกว่า ดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ แต่เขาไม่สามารถตรวจจับร่องรอยของเวทมนตร์ได้เลย


 


“ชิ!”


 


เมื่อจอมเวทย์ชุดดำมองมาที่โรดส์อย่างระแวง โรดส์จึงได้แต่ถือดาบไว้ในมือและแอบเสียใจ อ้างอิงจากสกิลผู้ติดตามเงาจากพรสวรรค์ผู่สื่อสารวิญญาณ เขาได้ผสานตัวเองเข้ากับวิหควิญญาณและได้รับความสามารถในการบินบนท้องฟ้า


 


เดิมทีโรดส์ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้เมื่อจอมเวทย์ชุดดำต่อสู้กับมาร์ลีน เขาจะจัดการเขาในการโจมตีเดียว เนื่องจากจอมเวทย์ไม่ได้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิดและพวกมันไม่สามารถป้องกันได้ เมื่อย้อนกลับไปในเกม อาจจะบอกได้ว่าพวกเขามีค่าพลังชีวิตที่ต่ำ นั่นเป็นเหตุผลในความคิดของโรดส์ ถ้าเขาสามารถจัดการจอมเวทย์ได้ตอนนี้ เมื่อจอมเวทย์ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก จากนั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการกับเขา


 


อย่างไรก็ตาม น่าสงสารที่แม้แต่ชายตรงหน้ายังทำเรื่องผิดพลาดได้


 


โรดส์มองไปยังลอร์ดอสรพิษลมตรงหน้าเขาและกัดฟัน ลอร์ดอสรพิษลมตัวตรงหน้าเขานี้มีระดับแตกต่างไปจากอีกสองตัวก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ลอร์ดอสรพิษลมระดับหัวหน้า มีปัญหาแล้ว….เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ โีดส์ได้แต่มองมาร์ลีนที่กำลังนอนอยู่บนพื้นไม่ไกลจากเขา เขาไม่รู้ว่าสภาพของเธอเป็นอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถพึ่งพาเธอได้แล้ว


 


“มาร์ลีน! ลุกขึ้น!!”


 


“ฉั-….”


 


มาร์ลีนฝืนตัวเองนั่งลง แต่ทั้งร่างของเธอไร้เรี่ยวแรงและอ่อนแรงอย่างมาก ดูภายนอกอาจจะไม่ได้หนักนา แต่ในความเป็นจริงแล้ว การปะทะกันด้วยเวทมนตร์ที่ทรงพลังนั้นส่งผลทำให้พลังวิญญาณในร่างของเธอปั่นป่วน ตอนนี้เธอไม่แม้แต่จะใช้เวทมนตร์เพื่อปรับสมดุลพลังในร่างของเธอได้ ไม่ต้องพูดถึงการโจมตีเลย


 


“บ้าเอ้ย ชายคนนั้นแข็งแกร่งมาก ฉันต้องไปช่วยเขา”


 


มาร์ลีนยกคทาขึ้นด้วยสีหน้าเศร้า เธอมองไปบนท้องฟ้าและเห็นร่าง 3 ร่างกำลังเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน แน่นอนเธอรู้แผนของโรดส์และรู้ว่าตำแหน่งของเธอควรอยู่ตรงไหนในแผน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแผนของเขาจะล่มไปแล้ว จากนั้นเขาจะมีวิธีอื่นอีกไหม?


 


มาร์ลีนคิดไม่ออกเช่นกัน


 


แต่ไม่นาน เธอสังเกตเห็นมือหนึ่งที่วางอยู่บนร่างของเธอ


 


“อย่าเพิ่งขยับ มาร์ลีน สภาพของเธอยังไม่ดีนัก”


 


ไลซ์ส่ายหน้าและหยุดการกระทำของมาร์ลีน จากนั้นเธอเงยหน้าไปบนท้องฟ้า


 


“ฉันคิดว่าฉันสามารถใช้มันได้นะ”


 


“เธอ?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของไลซ์ มาร์ลีนแปลกใจมาก เมื่อเธอคิดได้ดังนั้น ดวงตาของเธอเบิกกว้าง


 


“เธอต้องการใช้มันเหรอ? แต่เธอยังไม่สามารถควบคุมมันได้เลยนะ! ไลซ์ เธอทำไม่ได้ เธอเองก็เป็นผู้ใช้เวทย์ เธอต้องเข้าใจความเสี่ยงในการใช้ทักษะที่ไม่สามารถควบคุมได้! ถ้าคุณโรดส์อยู่ที่นี่ เขาจะบอกให้เธอหยุดแน่นอน!”


 


“แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ และพวกเราไม่มีทางเลือก” ไลซ์พูด ขณะที่หันไปมองป่าที่อยูไม่ไกล


 


ที่นั่นภายใต้การสั่งการของฮิลเลอร์และชอว์น่า เหล่าทหารรับจ้างกำลังต่อสู้กับเหล่าอสรพิษลม ผลของโพชั่นควบแน่นธาตุลมเริ่มทำให้พวกมันอ่อนแอลงและเหล่าอสรพิษลมบางส่วนได้เริ่มเข้ามาใกล้พวกเขา ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้านไว้ได้นานแค่ไหน


 


“ฉันจะไม่ปล่อยให้ฝันร้ายเป็นจริง ฉันจะปกป้องทุกคน ฉันทำได้แน่นอน!”


 


“เธอทำไม่ได้! แอน หยุดเธอซะ!”


 


“แอน ฉันอยากให้เธอช่วย ฉันอยากให้เธอปกป้องพวกเราเมื่อฉันกำลังร่ายเวทย์”


 


“ไม่นะ แอน! หยุดเธอ มันเป็นการฆ่าตัวตาย!!”


 


“เอ๊ะ?”


 


แอนมองไปยังสีหน้ากังวลของมาร์ลีนและสีหน้าจริงจังของไลซ์ เธอเริ่มลังเล เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกของเธอที่เผชิญหน้ากับอะไรแบบนี้ แอนไม่รู้ว่าเธอจะเลือกฟังใคร


 


“แอน เชื่อในตัวฉัน”


 


ไลซ์วางมือทั้งสองข้างไปบนหน้าอกของเธอและสีหน้าของเธอเริ่มจริงจังมากขึ้น


 


“เธอจำการต่อสู้ระหว่างเธอกับอัศวินแห่งความตายที่สันเขาแห่งความเงียบได้ไหม? ฉันเองก็จะทำแบบเดียวกัน ฉันแค่อยากจะปกป้องทุกคน ฉันไม่อยากให้ทุกคนได้รับบาดเจ็บและฉันสามารถทำได้ เชื่อในตัวฉัน ฉันมั่นใจว่าฉันทำได้ ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด มันเป็นเรื่องยากที่จะพูดว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น”


 


“…ก็ได้ พี่สาวไลซ์”


 


เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ แอนพยักหน้าและยกโล่ขึ้น


 


“ฉันจะปกป้องพวกพี่ทั้งสองเอง!”


 


ในขณะนั้น โรดส์กำลังต่อสู้กับลอร์ดอสรพิษลมอีกครั้ง


 


หางของมันได้วะบัดมายังโรดส์ คลื่นลมทำให้เขาเสียสมดุลและคมเขี้ยวของอสรพิษลมได้ปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา การกัดเพียงครั้งเดียวของมันสามารถทำให้ร่างของเขาขาดเป็นชิ้นๆได้ ในขณะนั้น ลักษณะเฉพาะของวิหควิญญาณ ‘ความว่องไว’ ได้ถูกใช้งาน เมื่อลอร์ดอสรพิษลมกัดลงมา ร่างของโรดส์ได้เปลี่ยนกลายเป็นแสงสีเขียวและบินถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เพื่อหลบหนีเทพแห่งความตาย อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่จบ หลังจากที่รับรู้ว่าการโจมตีของมันพลาดเป้า อสรพิษลมเบิกตากว้างและมองไปยังโรดส์ หลังจากนั้นโรดส์รู้สึกได้ว่าร่างกายหนักขึ้น วิหควิญญาณเดิมทีได้ผสานเข้ากับร่างของเขาได้ถูกบังคับให้ออกจากร่างของเขาด้วยพลังบางอย่าง จากนั้นมันเปลี่ยนกลับไปเป็นการ์ดและสลายหายไปในอากาศ


 


ไม่ดีแล้ว!


 


หัวใจของโรดส์ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาเห็นการเคลื่อนไหวนี้ตั้งแต่แรก เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเป็นลอร์ดระดับหัวหน้า นั่นหมายความว่ามันมีความสามารถในการควบคุมธาตุลมอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะเป็นมอนสเตอร์ระดับหัวหน้า ตอนแรกเขาตั้งใจจะถอยทันทีเมื่อการโจมตีของเขาล้มเหลวและรอคอยโอกาสใหม่ แต่ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามจะเร็วกว่าที่เขาคิด จากการโจมตีก่อนหน้านี้ โรดส์เกือบที่จะรู้ระดับของจอมเวทย์ชุดดำที่กำลังควบคุมอสรพิษลมแล้ว


 


จอมเวทย์พันธะนั้นสามารถสร้างพันธะกับลอร์ดอสรพิษลมระดับหัวหน้าได้ นั่นหมายความว่าเขามีระดับอย่างน้อย 50 จอมเวทย์ชั้นสูง!


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ โรดส์อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งในใจ ไอ้พวกบัดซบประเทศแห่งแสงนั้นใจกว้างจริงๆ พวกมันเอาจอมเวทย์วงเวทย์ขั้นกลางระดับ 50 ที่สามารถเป็นได้ถึงตัวแทนของสมาคมเวทมนตร์ในเมืองเล็ก มาเป็นโจรที่นี่ ดูเหมือนว่าประเทศแห่งแสงอยากจะจัดการทุกคนในเมืองนี้!


 


แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาบ่น หลังจากที่เขาสูญเสียการสนับสนุนจากวิหควิญญาณ โรดส์ไม่มีความสามารถในการบินอีกต่อไปและได้เปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ เขากำลังร่วงลงพื้นตามแรงโน้มถ่วง ในเวลาเดียวกัน โรดส์เห็นประกายแสงตรงหน้า สายฟ้าฟาดนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นบนฟ้าและมุ่งเป้าลงมาที่เขา


 


ชายคนนี้เร็วมาก อ่า ฉันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว!


 


เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ โรดส์ได้ความคิดใหม่ขึ้นมาทันที เจ่ยื่นมือซ้ายออกมา วงเวทย์อัญเชิญปรากฎขึ้นกลางอากาศ ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฎขึ้นมาในมือของเขา เขาบีบมีนเต็มแรง


 


หลังจากนั้น มือสีขาวได้สัมผัสไปมายังร่างของเขา


 


ซีเลียได้กางปีกออกและชะลอการร่วงหล่นของโรดส์ เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองและกางปีกของเธอเข้าปกป้องโรดส์ด้วยร่างกายของเธอ หลังจากนั้นสายฟ้ามหาศาลได้ฟาดลงไปยังร่างของเธอ


 


ตูม!! ตูม!! ตูม!!


 


ตามมาด้วยเสียงฟ้าลั่น ประกายสายฟ้าได้ฉีกกระชากปีกของเธอ ร่างกายของเธอราวกับเรือลำเล็กใจกลางพายุในมหาสมุทร แต่เธอกัดฟันและทนรับการโจมตีต่อเนื่องของสายฟ้าฟาด


 


“ทูตสวรรค์?!”


 


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า จอมเวทย์ชุดดำผงะ การเคลื่อนไหวของเขาช้าลงทันที เขาไม่รู้ว่าทูตสวรรค์ปรากฎตัวออกมาจากที่ไหน สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในประเทศแห่งแสง เขารู้ดีว่าทูตสวรรค์เป็นตำแหน่งของชนชั้นสูงในดินแดนหลัก ถ้าคนอื่นๆรู็ว่าเขาได้ฆ่าทูตสวรรค์ไปล่ะก็เขาได้ตายแน่!


 


จอมเวทย์ชุดดำส่ายหัวและเริ่มลังเล ไม่มีอะไรให้เสียแล้ว เนื่องจากเขาได้เริ่มโจมตีไปแล้ว ตราบเท่าที่เขาสามารถสังหารคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดได้ เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเปิดโปงเรื่องนี้! ทูตสวรรค์คนนี้ดูไม่ได้แข็งแกร่งมาก ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะกำจัดเธอ!


 


เรื่องสำคัญแบบนี้ไม่ควรชักช้า ดังนั้นจอมเวทย์ได้เคลื่อนไหวทันที


 


จอมเวทย์ชุดดำได้ยกมือขึ้นทันทีและควบคุมพลังของเขาโจมตีปิดฉากไปยังเป้าหมาย


 


ในขณะนั้นเอง แสงสีทองสว่างไสวได้ปรากฎขึ้นทันทีและดึงความสนใจของเขา


 


เมื่อจอมเวทย์ชุดดำหันศีรษะไปมอง เขาเห็นลำแสงสีทองที่งดงามเป็นประกาย


127 – งานเปิดตัวดอกบัวสีแดง(3)


 


ไลซ์กางมือออก


 


แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ก่อตัวขึ้นบนมือของเธอและลอยไปมาซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน


 


ปัจจุบัน พลังศักดิ์สิทธิ์ถูกใช้อย่างไหลลื่นราวกับน้ำพุได้ปรากฎออกมาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน พลังนี้ไหลทะลักออกมาจากมือของไลซ์ราวกับม้าพยศ ตอนนี้ไลซ์พัดริมฝีปากของเธอและพยายามควบคุมพลังของตน อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายนัก ในฐานะนักบวช เธอใช้พลังในการสนับสนุนมาโดยตลอด ดังนั้นในเรื่องของการโจมตีเธอจึงไม่มีประสบการณ์ มันเหมือนกับคนที่ขับรถคลาสสิก แต่เมื่อถูกเปลี่ยนมาเป็นรถ F1 มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขาขับได้อย่างชำนาญ


 


แต่ไลซ์ยังคงฝืนเอาไว้ บางครั้งเธอรู้สึกเหมือนว่าเธอไม่สามารถควบคุมเวทมนตร์ได้ แต่เวทมนตร์นั้นแหละที่กำลังควบคุมเธอ มันเหมือนกับสัตว์ร้าบละโมบที่กำลังดูดกลืนพลังของเธอ เธอรู้สึกเหมือนร่างกายของเธอเริ่มเหนื่อยและเรี่ยวแรงของเธอเริ่มหายไป แต่เธอยังคงควบคุมมันเอาไว้ เธอไม่อยากให้ฝันร้ายกลายมาเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าอะไร เธอก็ไม่อาจยอมรับอนาคตแบบนั้นได้! ตราบเท่าที่เธอยังอยู่ที่นี่ เธอจะไม่ปล่อยให้ตัวเองไร้พลังและดูคนอื่นตายไปทีละคนเหมือนกับก่อนหน้านี้!


 


นี่คือกลุ่มทหารรับจ้างของฉัน ฉันจะปกป้องมันไม่ว่ายังไงก็ตาม!


 


พลังนั้นเริ่มแข็งแกร่งขึ้นและยิ่งควบคุมได้ยากขึ้น


 


ไลซ์พยายามขยับมือของเธอช้าๆเพื่อควบคุมพลัง เธอพึมพำเวทย์โบราณเป็นภาษามังกร ภาษานั้นได้ทำให้พลังตรงหน้าควบคุมได้ง่ายขึ้น ทำให้มันฟังคำสั่งของเธอ ไลซ์มองไปบนท้องฟ้า


 


ลำแสงสีทองมหาศาลระเบิดออกมาจากมือของเธอ พวกมันกระจายตัวกันไปหลายทิศทาง แสงสว่างระยิบระยับได้เข้าปกคลุมทุกคน ในขณนั้นแม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังสูญเสียความสว่างของมันไปชั่วขณะ


 


“คำตัดสินศักดิ์สิทธิ์!?”


 


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าของจอมเวทย์ชุดคลุมดำเริ่มเปลี่ยนไป แม้ว่าจอมเวทย์และนักบวชจะเป็นผู้ใช้เวทย์เหมือนกัน แต่พลังงานที่พวกเขาใช้นั้นแตกต่างกันอย่างมาก ในขณะที่เวทย์โจมตีของนักบวชนั้นซับซ้อนไม่ได้แตกต่างจากจอมเวทย์ แต่ในด้านของพลังทำลาย พลังโจมตีของนักบวชรุนแรงกว่าจอมเวทย์มากนัก เขามั่นใจว่าเขาสามารถป้องกันเวทมนตร์ของมาร์ลีนได้โดยใช้เวทมนตร์ของตนเอง แต่เมื่อเผชิญหน้ากัยพลังวิญญาณของไลซ์ เขาไม่มั่นใจว่าเขาจะสร้างรับมือกับการโจมตีตรงหน้าได้


 


จอมเวทย์ชุดดำตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขายกมือซ้ายขึ้นและสายฟ้าได้ปรากฎออกมาจากนิ้วของเขา มันเชื่อมต่อกันและก่อตัวเป็นตาข่าย และเล็งเป้าไปที่ลำแสงสีทอง


 


ไม่นาน ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน


 


ลำแสงสีทองปะทะกับกำแพงสายฟ้าและระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยประกายสายฟ้าและการระเบิด ทั้งท้องฟ้าราวกับกำลังถูกทำลาย มันเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก


 


หลังจากที่ร่ายเวทย์ ไลซ์ล้มลงกับพื้น เวทย์โจมตีนั้นเกินความสามารถของเธอ มันกลืนกินพลังงานเกือบทั้งหมดในร่างของเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอมีสายเลือดลูกครึ่งทูตสวรรค์อยู่ในร่าง เธออาจจะหมดสติไปแล้ว


 


แอนรีบเข้ามารับร่างของไลซ์และนำไปวางข้างมาร์ลีน ในเวลาเดียวกัน สายฟ้าฟาดได้พุ่งลงมาจากท้องฟ้า โชคดีที่แอนได้เตรียมตัวไว้นานแล้ว เธอรีบดึงไลซ์ไปด้านหลังและตั้งโล่เพื่อป้องกันพวกเขาทั้งสาม ในเวลาเดียวกัน ผิวของเธอได้เปลี่ยนกลายเป็นก้อนหิน ในพริบตา มันเข้าปกคลุมร่างของเธอและเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นรูปปั้นที่งดงาม


 


ตูม!!!


 


สายฟ้าฟาดได้ระเบิดโลกสีทองอย่างรุนแรง แรงกระแทกมหาศาลสั่นสะเทือนร่างของเธอ แต่เธอยังคงกัดฟันและต้านทานเอาไว้ แต่เห็นได้ชัดว่าก้อนหินที่ปกคลุมผิวหนังของเธอได้หลุดลอกออกมาจากการโจมตีตรงหน้า ถ้าเธอรับการโจมตีแบบนี้อีกครั้ง เธออาจจะไม่สามารถต้านทานมันได้อีกต่อไป


 


ในวินาทีนั้น มือหนึ่งตบเข้ามาที่ไหล่ของเธอ


 


“เธอไม่เป็นไรนะ แอน”


 


แอนหันไปมองอย่างแปลกใจ เธอเห็นว่าโรดส์เข้ามายืนข้างเธอ เขาดูสะบักสะบอม แต่สีหน้าของเขายังคงความสงบเหมือนเดิม


 


“ที่เหลือให้ผมจัดการเอง”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของโรดส์ แอนไม่ได้ปฏิเสธ เธอได้ถอยกลับไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปดูแลไลซ์และมาร์ลีน ดูจากไกลๆแล้วเหล่าทหารรับจ้างรอบๆไม่สามารถต้านทานไว้ได้อีกแล้ว พวกเขาเริ่มเอาแต่ตั้งรับและมีบางคนเริ่มหันหลังกลับและตะโกนบอกพวกเขา แต่สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นไม่สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน กลิ่นเหม็นกระจายไปรอบๆ นั่นหมายความว่าเหล่าทหารรับจ้างได้ใช้งานโพชั่นควบแน่นธาตุลมไปแล้ว 4 ขวด


 


โรดส์มองไปบนท้องฟ้า กลุ่มควันค่อยๆสลายไปอย่างช้าๆ จอมเวทย์ชุดคลุมดำและลอร์ดอสรพิษลมได้ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง


 


โรดส์ขมวดคิ้ว


 


บอกตรงๆโรดสืไม่อยากจะใช้ไพ่ลับของเขาถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะอันดับแรก มันกินค่าประสบการณ์ของเขา และอับดับที่สอง ข้อมูลของการ์ดของเขานั้นไม่ชัดเจน เขาไม่อยากใช้พลังที่เขาไม่เข้าใจหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ แต่ดูเหมือนว่าเขาต้องใช้มันแล้ว


 


โรดส์ตัดสินใจหลังจากรับรู้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของจอมเวทย์ชุดดำ เมื่อเขาโจมตีพลาดไป จอมเวทย์ระดับ 50 นั้นยากเกินไปที่จะจัดการ แม้ว่าพลังโจมตีของจอมเวทย์พันธะจะไม่ได้รุนแรงเหมือนกันเวทมนตร์ของจอมเวทย์สายพลังธาตุหรือจอมเวทย์สายจิตวิญญาณ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับศัตรูด้วย ถ้าโรดส์มีระดับเท่ากับเขา เขาคงจัดการจอมเวทย์คนนี้ไปนานแล้ว แต่ช่องว่างระหว่างระดับทำให้โรดส์ต้องตัดสินใจแบบนี้ การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นเหมือนกับการต่อสู้ระหว่างนักบวชระดับ 80 กับนักรบระดับ 10 แม้ว่านักบวชจะไม่ได้ใช้สกิลอะไรเลยและใช้เพียงไม้เท้าก็เพียงพอที่จะฆ่านักรบที่สวมชุดเกราะเต็มยศ นี่คือความแตกต่างระหว่างพวกเขา เพราะถ้าโรดส์ไม่ทำอะไรกับช่องว่างนี้ นั่นหมายความว่าการต่อสู้กำลังจะจบลง


 


นี่เป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้น


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ โรดส์จึงยื่นมือออกมา การ์ดสีแดงปรากฎขึ้นในมือของเขา


 


ตามมาด้วยการปรากฎตัวของการ์ดสีแดง อุณหภูมิรอบๆค่อยๆสูงขึ้นทันที….


 


ดาบเพลิงส่องประกายออกมา


 


เหล่าอสรพิษลมกรีดร้องออกมาและกลายเป็นเถ้าถ่าน ฮิลเลอร์ดึงดาบในมือออกมาและถอยหลังมาพักหายใจ จากนั้นเขาหันกลับไปมอง แต่เขายังไม่ได้รับสัญญาณจากโรดส์ เกิดอะไรขึ้น? โรดส์เจอปัญหารึ? หรือว่า….เมื่อคิดดังนี้ ฮิลเลอร์ได้ส่ายศีรษะ มันไม่มีความหมายที่เขาจะมัวมาคิดเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการนำคนของเขาเข้าจัดการมอนสเตอร์พวกนี้


 


ฮิลเลอร์ได้หยิบโพชั่นควบแน่นออกมา เขาไม่รู้เหตผล แต่อสรพิษลมพวกนี้เริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในตอนนี้ได้แล้ว ในตอนแรกพวกเขาบางคนสามารถทะลวงฝ่าพวกมันไปได้ แต่ตอนนี้จำนวนของพวกมันเพิ่มมากขึ้นและเห็นได้ว่าพวกมันไม่ได้โง่ หลังจากที่พวกมันเห็นว่าการโจมตีระยะประชิดไม่ได้ผล พวกมันเริ่มพ่นพิษออกมาจากระยะไกล ทำให้เกิดเรื่องน่าปวดหัวขึ้น


 


ลมร้อนพัดผ่านมาจากด้านหลัง


 


ฮิลเลอร์อดไม่ได้ที่จะสั่นกลัวกับลมร้อนที่พัดผ่านเขา แม้แต่เขายังรู้สึกเหมือนกันเข้าไปอยู่ในเตาอบ


 


หลังจากนั้น เปลวเพลิงที่เผาผลาญอยู่บนตัวดาบของเขาเริ่มอ่อนลง


 


เกิดอะไรขึ้น?


 


เมื่อมองไปที่ดาบในมือ ฮิลเลอร์แปลกใจ อาวุธธาตุชิ้นนี้รับใช้เขามาเป็นเวลาหลายปีและเขาไม่เกิดเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ดาบเล่มนี้ถูกสร้างมาจากธาตุไฟ ตราบเท่าที่มีพลังธาตุไฟในอากาศ มันจะไม่ถูกทำลาย แต่เกิดอะไรขึ้นกัน?


 


เกิดอะไรขึ้น?


 


ฮิลเลอร์ไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนี้ ในขณะนั้น จอมเวทย์ชุดดำที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศได้คิดเช่นเดียวกัน


 


กลุ่มควันจากการระเบิดก่อนหน้านี้พัดผ่านไป จอมเวทย์ชุดดำมองเห็นเหล่ามดปลวกที่กำลังยืนอยู่ด้านล่างได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้ซ่อนอะไรไว้อีกแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มประหลาดสามารถลอยบนอากาศได้อย่างไร แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่คิดว่าอสรพิษลมจะมีความสามารถในการควบคุมธาตุลมได้ ลอร์ดอสรพิษลมตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เขาได้รับมาอย่างยากลำบากและไม่สามารถเทียบกับสองตัวก่อนหน้านี้ได้


 


ดีล่ะ จบแล้วสินะ


 


จอมเวทย์ชุดดำยกมือขวาขึ้นและชี้ไปยังกลุ่มคน พลังงานเรื่มรวมตัวกันระหว่างนิ้วของเขา ตราบเท่าที่เขาต้องการ พลังงานจะเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้ามหาศาลเพื่อที่จะทำลายเหล่ามดปลวกด้านหน้าเขา


 


จากนั้น เขาเห็นเด็กหนุ่มผมดำยกมือขวาขึ้นและกระแสลมร้อนปรากฎขึ้นมาในพริบตา


 


ในขณะนั้น จอมเวทย์ชุดดำตกตะลึงทันที เขาไม่สามารถร่ายเวทย์ที่เขาเตรียมไว้แล้วได้


 


ราวกับมีบางอย่างผนึกมันเอาไว้และไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้


 


เกิดอะไรขึ้น?


 


เด็กหนุ่มคนนั้นสามารถผนึกเวทมนตร์ของเขาได้รึ? มันเป็นไปไม่ได้อย่างไร?


 


จอมเวทย์ชุดดำเหงื่อตกทันที เขามองไปยังโรดส์ด้วยสีหน้าสับสน มันเป็นไปไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนั้นไม่มีพลังมากขนาดนั้นแน่ ถ้าเขาสามารถผนึกเวทมนตร์ได้จริงๆ เขาสมควรตายไปนานแล้ว มันพยายามทำอะไรกัน?


 


จอมเวทย์ชุดดำได้ลอบมองอย่างสงสัย หลังจากนั้นเขาจึงสัมผัสได้


 


คลื่นพลังสีแดงกำลังหมุนเวียนในอากาศโดยมีโรดส์เป็นศูนย์กลาง มันเหมือนกับหมอกสีแดงที่รวมตัวกันเป็นพายุและเคลื่อนที่เข้าใกล้ตำแหน่งศูนย์กลาง


 


ไม่มีกระแสเวทมนตร์


 


ไม่มีเสียงคำรามที่น่าหวาดกลัว


 


แต่จอมเวทย์ชุดดำกลับไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกกลัว มันเหมือนกับว่าเขากำลังยืนอยู่ที่หน้าผาและกำลังจะตกลงมา เขาไม่สามารถขยับได้ ราวกับมีมือขนาดใหญ่มาจับร่างเขาเอาไว้ มันไร้ประโยชน์ที่เขาจะดิ้นรน


 


ในเวลาเดียวกัน โรดส์ได้บีบการ์ดในมือแน่น


 


ควันสีแดงได้เริ่มปรากฎและรวมตัวกัน


 


ดอกบัวสีชาดได้ปรากฎขึ้นบนท้องฟ้า

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม