Summoning the Holy Sword 113-119

 113 – สูญเสียและได้รับ


 


“โร..ดส์…”


 


มันมืดมาก


 


“…โรดส์….”


 


เสียงเบาบางดังขึ้นในหัวของเขา ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาราวกับมีใครบางคนกำลังแทงมีดเสียบเข้าไปในสมองของเขา มันอดไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกทรมานและอยากจะเอามันออกไป


 


“…คุณโรดส์…!!”


 


เสียงที่คลุมเคลือดังขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากที่แสงอบอุ่นได้สลายความมืดทั้งหมดให้หายไป


 


โรดส์ลืมตาขึ้น


 


สิ่งแรกที่เขาเห็นคือสีหน้าที่กังวลของไลซ์


 


“คุณโรดส์ คุณเป็นอะไรไหม! เกิดอะไรขึ้นคะ??”


 


ฉัน? ได้รับบาดเจ็บรึ?


 


โรดส์ส่ายหัวเพื่อเรียกคืนสติ เขาพิงไปที่ต้นไม้และค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ หลังจากนั้นเขามองไปรอบๆ เขาเห็นมาร์ลีนที่กำลังยืนอยู่ข้างเขา แม้ว่าเธอจะไม่ได้ดูกังวลเหมือนกับไลซ์ แต่เธอก็ไม่สามารถซ่อนประกายตากังวลไว้ได้


 


“หลังจากที่ฉันรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานเวทมนตร์มหาศาล ฉันรีบวิ่งมาที่นี่และเห็นคุณกำลังนอนอยู่บนพื้น เกิด…อะไรขึ้นกันคะ? พื้นที่รอบตัวคุณเละเทะไปหมดเลย”


 


ฉันทำอะไรไป?


 


โรดส์มองไปรอบๆด้วยสีหน้าแปลกๆ เขาสามารถมองเห็นป่าที่เงียบสงบที่ตอนนี้เละเทะไปหมด ต้นไม้รอบๆตายหมด ใบไม้ของพวกมันแห้งหมดราวกับในฤดูหนาว หญ้ารอบๆเองก็ตายหมดเช่นกัน ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ถูกเปลี่ยนกลายเป็นทะเลทรายอย่างสมบูรณ์!


 


เกิด..อะไรกัน?


 


โรดส์ตกตะลึงอย่างมาก เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ถ้าคิดอย่างมีระบบ มันเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น สำหรับนักดาบอัญเชิญ เขาได้อัญเชิญวิญญาณมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อย้อนกลับไปตอนเขาระดับ 50 เขาได้ปลุกแกนวิญญาณระดับ 80 และไม่มีผลกระทบใดๆตามมาแบบนี้ เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


 


“คุณโรดส์คะ? คุณเป็นอะไรไหม? คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง? คุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าคะ?”


 


คำถามจากไลซ์ถูกยิงออกมาเป็นชุดปลุกไลซ์ออกจากความคิดของเขา เขารีบเปิดหน้าต่างสถานะและโง่งมไปในทันที


 


เขาพบว่าค่าประสบการณ์ของเขาถูกรีเซ็ตกลับไปเป็นศูนย์!!


 


เขามีค่าประสบการณ์เหลือ 5,000 แต้มหลังจากที่เอาชนะอัศวินแห่งความตายและสามารถทำให้เขาเลื่อนระดับไปถึงระดับ 17 ได้ แต่โรดส์พบว่าค่าประสบการณ์ของเขาหายไป!! พวกมันไปอยู่ที่ไหน?!


 


เหตุการณ์แบบรี้ยิ่งทำให้เขาสับสนมากขึ้นไปอีก เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ในเกมมาก่อน เขาเจอกับบัคงั้นเหรอ? ถ้ามันเป็นในเกม เขาคงสรุปได้ง่ายๆ….แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น?


 


สีหน้าของโรดส์มืดมนลง มันแปลกมากที่ระบบแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาในตอนนี้ แต่เขาไม่เข้าใจว่ามันเด้งขึ้นมาเพราะอะไร เขาปัดมันออกไปจากความคิด ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ มันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้ันในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ง่าย ถ้ามันเป็นบัคของระบบ เขาสามารถยื่นคำร้องต่อ GM ได้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นตอนนี้ล่ะ? ถ้าบัคมันเกิดขึ้นจากร่างกายของเขา เขาควรจะไปปรึกษาใคร?


 


เขาควรจะเขียนคำว่า ‘โปรดแก้บัค’ และปักมันไว้กลางถนนเลยไหม?


 


…..


 


“คุณโรดส์?”


 


สีหน้าที่สับสนของโรดส์ทำให้ไลซ์และมาร์ลีนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย


 


“คุณเป็นอะไรไหม? คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ?”


 


“คุณโรดส์ ถ้ามีปัญหาอะไร บอกพวกเราก็ได้นะ….”


 


“ไม่มีอะไรหรอก…ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายของผมหรอก”


 


โรดส์พยายามฟื้นตัวและโบกมือ เขามั่นใจว่าไม่มีปัญหาเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา และอ้างจากสิ่งที่เขาเห็น ดูเหมือนว่าปัญหาจะอยู่ที่ระบบ ค่าสถานะของเขายังปกติและระดับของเขายังเท่าเดิม ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดกับสกิล พรสวรรค์และระดับของเขา แล้วทำไมค่าประสบการณ์ 5,000 แต้มของเขาถึงหายไป?


 


สำหรับเขาที่กำลังคิดเรื่องนี้ โรดส์ได้นึกบางเรื่องขึ้นมาได้


 


ทำไมเขาถึงสลบไป?


 


เขากำลังทำอะไรก่อนหน้านี้?


 


ใช่แล้ว! เกิดอะไรขึ้นกับการ์ดของฉัน?


 


หัวใจของโรดส์เริ่มตกไปที่ตาตุ่ม หลังจากนั้นเขายื่นมือขวาออกมา


 


เมื่อคิดดังนี้ การ์ดสีแดงได้ปรากฎขึ้นมาที่ฝ่ามือของเขา โรดส์เบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเขาเห็นการ์ดใบนี้ ที่มุมบนของการ์ดมีสัญลักษณ์ ‘I’ และมีรูปดอกไม้พันอยู่รอบๆขอบการ์ดทั้งใบราวกับเปลวเพลิง นี่ทำให้การ์ดใบนี้ดูเก่าแก่และลึกลับเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้โรดส์มึนงงเข้าไปใหญ่คือ สีแเดงเข้มที่อยู่ใจกลางการ์ดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่อัญเชิญ


 


มันว่างเปล่า…?


 


มันเกิดอะไรขึ้น?


 


เขาอัญเชิญได้แต่อากาศงั้นเหรอ?


 


เขาขมวดคิ้วและพลิกการ์ด ไม่นานบรรทัดข้อความได้ปรากฎขึ้น


 


[2/10 เด็คการ์ดดอกบัวสีแดงได้ถูกสะสม — ความรัก 7 ประการ]


 


[ความรัก 7 ประการ(ธาตุไฟ ผู้บัญชาการ): ระดับผู้บัญชาการ ไม่เหมาะสำหรับการหลอมรวม]


 


[การควบคุมธาตุ: สาสมารถเผาผลาญได้ทุกสิ่ง]


 


[สกิลพิเศษ: ดอกบัวสีแดง(ส่งผลให้ประสาทสัมผัสลุกโชนราวกับเปลวไฟ แข็งแกร่งพอที่จะทำลายโลกทั้งใบลงได้)]


 


[การจัดการแห่งไฟ (ทุกธาตุจะถูกเปลี่ยนเป็นธาตุไฟ)]


 


[การควบคุมระดับลอร์ด (สามารอัญเชิญดวงวิญญาณระดับต่ำในเด็คออกมาได้ไม่จำกัด)]


 


[ดอกบัวสีแดง(ยังไม่สมบูรณ์)]


 


[คำเตือน: การใบนี้มีระดับเหนือกว่าการควบคุม แต่ละครั้งที่การใบนี้ถูกอัญเชิญ ผู้ถือการ์ดจะสูญเสียค่าประสบการณ์ 5%]


 


[จำนวนวิญญารอัญเชิญ: 1]


 


นี่สินะ


 


ในที่สุดโรดส์ก็โล่งใจเมื่อมองไปที่ระบบแจ้งเตือน ค่าประสบการณ์ 5,000 แต้มของเขาไม่ได้หายไปเพราะบัค แต่เป็นเพราะพวกมันถูกกลืนกินไปโดยการ์ดใบนี้


 


โรดส์รู้สึกว่าค่าประสบการณ์ที่เสียไปนั้นมีเหตุผลเพียงพอ เพราะการ์ดใบนี้อยู่เหนือความคาดหวังของเขาไว้มาก


 


วิญญาณ ระดับ ผู้บัญชาการ!!


 


สามคำนี้เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดนั้นคุ้มค่ามาก


 


สิ่งที่เรียกว่า วิญญาณระดับผู้บัญชาการ คือคำนิยามที่มนุษย์ใช้เรียกระดับของสัตว์เวทมนตร์


 


หลังจากได้กลายมาเป็นสัตว์เวทมนตร์ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ครอบครองพลังธาตุมากมาย ตามลำดับแล้ว สัตว์เวทมนตร์ถูกจัดไว้ 3 ระดับ : ระดับพิเศษ , ระดับหัวหน้าและระดับผู้บัญชาการ


 


วิญญาณระดับพิเศษนั้นจะเป็นตัวบ่งบอกว่าสัตว์เวทมนตร์เหล่านั้นมีพลังมหาศาล แต่มันไม่สามารถใช้ได้อย่างอิสระ ยกตัวอย่างเช่น แมวธาตุสายฟ้าจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตามสัญชาตญาณการเคลื่อนที่ สัตว์เหล่านี้เพิ่งได้รับการเลื่อนระดับมาใหม่และถูกจัดว่าเป็นสัตว์เวทมนตร์ที่มีอันตรายน้อย นักฆ่าเปลวเพลิงของโรดส์เองก็เป็นหนึ่งในดวงวิญญาณระดับพิเศษ


 


วิญญาณระดับหัวหน้านั้นจะสามารถควบคุมและจัดการพลังของตนได้ตามต้องการ สัตว์เวทมนตร์ประเภทนี้ยากที่จะรับมือเพราะพวกมันมีความฉลาดในระดับหนึ่ง เมื่อรวมเข้ากับพรสวรรค์โดยธรรมชาติของมัน จึงเป็นสิ่งพิสูจน์ว่ามันเป็นอันตรายต่อนักผจญภัยส่วนมาก


 


ถ้าวิญญาณระดับหัวหน้าถูกพิจารณาว่าเป็นอันตรายแล้ว วิญญาณระดับผู้บัญชาการจะเป็นฝันร้ายสำหรับนักผจญภัยทุกคน วิญญาณระดับผู้บัญชาการมีพลังอำนาจในการสั่งการธาตุได้ พวกมันเป็นสัตว์เวทมนตร์ในจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ซึ่งพวกมันสามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้ และสิ่งที่ทำให้พวกมันน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมากคือพวกมันถูกมองว่าเป็นตัวแทนของธาตุทั้ง 5 ในทวีปแห่งนี้


 


ไม่เพียงแต่พวกมันจะสามารถสยบธาตุอื่นๆได้ตามต้องการ พวกมันยังสามารถเปลี่ยนธาตุของสิ่งมีชีวิตที่มีระดับต่ำกว่าได้ตามต้องการ


 


นี่หมายความว่าถ้าเป้าหมายเป็นสิ่งมีชีวิตธาตุน้ำแข็ง แต่มีระดับต่ำกว่าผู้บัญชาการ ดวงวิญญาณธาตุไฟระดับผู้บัญชาการสามารถแทนที่ธาตุน้ำแข็งด้วยธาตุไฟได้ ซึ่งบางครั้งพวกมันจะเผาฝ่ายตรงข้ามให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา


 


ย้อนกลับไปในเกม มีผู้เล่นเพียง 5 คนเท่านั้นที่มีดวงวิญญาณระดับผู้บัญชาการและพวกเขาทั้งหมดต่างมีระดับ 80 แม้ว่าสตาร์ไลท์ของโรดส์วางแผนและได้รับชัยชนะจากการปะทะกับพวกเขา ดังนั้นข้อจำกัดในการอัญเชิญจึงมีเหตุผลมากสำหรับการ์ดหนึ่งใบที่สามารถอัญเชิญดวงวิญญาณธาตุไฟระดับผู้บัญชาการ


 


ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณธาตุไฟระดับผู้บัญชาการไม่ถือว่าเกินเลย ถ้ามันไม่มีข้อจำกัดในการอัญเชิญ บางทีโรดส์อาจจะสามารถยึดครองทั้งอาณาจักรมันน์ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองเล็กๆอย่างเมืองดีพสโตน มันคงถูกบดขยี้เป็นผุยผงในพริบตา


 


อย่างไรก็ตาม โรดส์สับสนอย่างมากเพราะเขาเคยต่อสู้กับดวงวิญญาณระดับผู้บัญชาการทั้ง 5 มาก่อนและดวงวิญญาณธาตุไฟระดับผู้บัญชาการที่ควรมีชื่อเรียกว่า ‘รากริส’ ดังนั้นดวงวิญญาณธาตุไฟระดับผู้บัญชาการที่มีชื่อว่า ‘ความรัก 7 ประการ’ นี่มาจากไหน?


 


เขาอยากที่จะอัญเชิญวิญญาณดวงนี้ออกมาทันทีและทดสอบว่ามันทำได้อย่างไร แต่เขาไม่มีทางเลือกจึงได้แต่เก็บความสงสัยไป เพราะเขาไม่สามารถจ่ายค่าประสบการณ์ 5,000 แต้มได้อีก


 


ถ้าเขาเสียค่าประสบการณ์ไปอีก 5,000 แต้ม เขาจะถูกบังคับให้ลดระดับลงมา 1 ระดับ


 


โรดส์จึงทำได้แต่เก็บการ์ดลงไป หลังจากที่อธิบายไลซ์และมาร์ลีนจบ เขาก็เดินออกไป


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่เขาจะมีเวลาคิดเรื่องการ์ด ชายชราวอร์คเกอร์ได้พุ่งเข้ามาหาเขา เมื่อเขาเดินเข้าไปยังค่ายที่พัก


 


“ไอ้หนุ่ม ข้าพบบางอย่าง”


 


เรนเจอร์ชราพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


114 – เบื้องหลังการซุ่มโจมตี


 


สำหรับชายชราวอร์คเกอร์ โรดส์คือตัวตนที่ขัดแย้ง


 


ปกติแล้ว เขาจะหนักแน่น โง่เง่า แม้บางครั้งจะอ่านใจยาก โหดเหี้ยม บ้าคลั่งและยังมีความกล้าพอที่จะฆ่าคนด้านหน้าสมาคมทหารรับจ้าง ในการประชุมทหารรับจ้าง เขาไม่แม้แต่จะปกติความต้องการที่จะทำลายกลุ่มทหารรับจ้าง นี่ทำให้โรดส์ดูเหมือนคนบ้า แต่ในด้านอื่นๆ เขาเองก็เป็นคนรอบคอบและขี้อายเล็กน้อย ในครั้งนี้ พวกเขาได้เดินทางมาที่ป่าราตรีและโรดส์ได้ขอให้วอร์คเกอร์ออกไปดูรอบๆว่าเกิดอะไรผิดปกติรอบตัวพวกเขารึเปล่า เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำภารกิจ


 


ชายชราวอร์คเกอร์เองก็รู้ดีว่ามันมีเหตุผลที่โรดส์กังวล เนื่องจากเขาเพิ่งำแยั่วยุกลุ่มเจดเทียร์มาในงานประชุม ในเมืองดีพสโตน โรดส์ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเพราะสมาคมทหารรับจ้างจับตาดูพวกเขาอยู่ แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะบอก เมื่อพวกเขาเข้ามาในป่าราตรี ถ้าเจดเทียร์ตัดสินใจลอบโจมตีอย่างลับๆ พวกเขาทั้งหมดอาจจะตายที่นี่ แม้ว่าสมาคมทหารรับจ้างจะอยากสืบเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันได้


 


นั่นเป็นเหตุผลที่โรดส์ได้ขอให้พวกเขาระวังตัว วอร์คเกอร์แอไม่ได้ที่จะชื่นชมในส่วนนี้ของเขาและรู้สึกเชื่อใจ เพราะการกระทำของโรดว์พิสูจน์ว่าเขาไม่ใช้พวกโง่เขลาที่สนใจแต่ตัวเอง ถ้าเขาสร้างปัญหากับเจดเทียร์เพียงเพราะเขาอยากทำ นั่นหมายถึงโรดส์อาจจะเป็นไอ้บ้าคนหนึ่งที่ทำอะไรตามสัญชาตญาณโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่ตามมา ถ้าเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ หลังจากนั้นเรื่องต่างๆคงเป็นปัญหามากขึ้น


 


แต่โรดส์ไม่ได้เตือนเขาด้วยคำพูด เขาชี้ไปในหลายทิศทางให้เขาดู ดังนั้นเขาจึงรอบคอบมาก นั่นทำให้วอร์คเกอร์แปลกใจ เขาไม่เข้าใจว่าคนที่อายุราว 20 ปีนี้จะมีทักษะการสั่งการและเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ได้อย่างไร


 


และบางสิ่งก็เกิดขึ้นจริงๆจากทิศทางที่โรดส์ชี้ไปก่อนหน้านี้


 


“นั่น”


 


ขณะที่กำลังซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ ชายชราวอร์คเกอร์ชี้ไปยังจุดสีดำไกลออกไปและบอกโรดส์ โรดส์มองไปยังทิศทางนั้น หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้น


 


“มีกี่คน?”


 


“ประมาณ 6-7 คน”


 


“แล้วพวกมันเจอเรารึยัง?”


 


“ข้าคิดว่าพวกมันกำลังตามร่องรอยที่พวกเราทิ้งไว้น่ะ”


 


ชายชราวอร์คเกอร์ตอบกลับมาอย่างมั่นใจ


 


เนื่องจากการลบร่องรอยและการแกะรอยเป็นหนึ่งในความสามารถของเรนเจอร์ ถ้าเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้ล่ะก็ เขาคงเกษียญตัวเองและกลับไปนอนที่บ้านแล้ว


 


“แล้วด้านอื่นเป็นยังไงบ้าง?”


 


“ยังไม่มีการเคลื่อนไหลในตอนนี้”


 


วอร์คเกอร์มองไปยังโรดส์แ ขณะที่เขาพูด


 


“เจ้ามีแผนอะไรรึ?”


 


“ฉันกำลังวางแผนอะไรเหรอ?”


 


เมื่อได้ยินคำถามของวอร์คเกอร์ โรดส์ถอนหายใจเล็กน้อยและตอบด้วยน้ำเสียง ‘จริงจัง’


 


“แน่นอน ผมจะฆ่าพวกมันทั้งหมด เนื่องจากพวกมันกล้ามาที่นี่ ผมจะไม่ปล่อยพวกมันกลับไป”


 


เมื่อพูดถึงตรงนี้ โรดส์หยุด


 


“ผมอยากให้คุณช่วย บอกชอว์น่าและแรนดอฟให้เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นบอกแรนดอฟให้วางกับดักในระยะ 5 เมตรรอบค่ายที่พัก”


 


ชายชราแปลกใจเล็กน้อย


 


“แค่สองคนนั้นรึ? แล้วคนอื่นล่ะ….”


 


“พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้”


 


โรดส์ส่ายศีรษะ เขาไม่ได้วางแผนจะให้มือใหม่เข้าร่วมการต่อสู้ ข้อแรกพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ ข้อสองโรดส์ยังไม่เชื่อใจพวกเขา


 


ต้องเข้าใจว่าการต่อสู้ระหว่างกลุ่มทหารรับจ้าง 2 กลุ่มนั้นแตกต่างไปจากการสังหารมอนสเตอร์ คนส่วนมากรู้สึกผิดหลังจากได้ฆ่ามนุษย์ บางทีการเผชิญหน้ากับบททดสอบมากมายและอันตรายจะทำให้พวกเขาค่อยๆยอมรับได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสนุกกับมัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังคงอยู่ใน ‘ระยะเวลาต้องห้าม’ ที่ถูกตั้งไว้โดยสมาคมทหารรับจ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะติดระเบิดเวลาไว้ที่กลุ่มของตัวเอง


 


“นั่นเป็นเหตุผลที่รู้กันแค่ผมกับคุณ”


 


“ผมจะอยู่ที่นี่และสังเกตการเคลื่อนไหวของพวกมัน คุณไปหามาร์ลีนและชอว์น่า นอกจากนี้แจ้งพวกเขา ผมอยากให้คุณตรวจสอบพื้นที่อื่นๆ ผมมั่นใจว่าเจดเทียร์คงไม่คิดว่าคนแค่นี้จะจัดการพวกเราได้ ผมสงสัยว่าพวกมันกำลังวางแผนบางอย่าง ดังนั้นผมจะออกไปสืบเอง”


 


“ไม่มีปัญหา”


 


เมื่อได้ยินโรดส์มอบหน้าที่ให้กับเขา ชายชราวอร์คเกอร์พยักหน้าอย่างมืดมน


 


“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”


 


……


ตกดึก


 


เปลวไฟถูกจุดขึ้นที่ค่ายที่พัก ไม่ไกลมีบางคนได้กลิ่นหอมหวนออกมาจากหม้อขนาดใหญ่


 


เหล่าทหารรับจ้างที่เหนื่อยมาทั้งวันอดไม่ได้ที่จะท้องร้องออกมา เมื่อพวกเขาเห็นอาหารมื้ออร่อย อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องกักเก็บสีหน้าหิวโหยเอาไว้เมื่อพวกเขามองไปยังคนๆหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนหินที่ขอบของค่ายที่พัก


 


ไลซ์รู้สึกไม่ดี


 


สีหน้ามืดมนของเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะโรดส์ที่ยังไม่กลับมา เมื่อย้อนกลับไปในตอนกลางวัน ชายชราวอร์คเกอร์ได้รับคำสั่งของโรดส์และแจ้งต่อเธอว่าเขาจะไม่กลับมาคืนนี้เพราะเขามีเรื่อวต้องทำ แม้เขาจะขอให้มาร์ลีนและชอว์น่าเพิ่มความระมัดระวังตัวและส่งคนที่ไม่คิดว่าจะมาเข้าร่วมกับค่ายที่พัก


 


เด็กสาวทูตสวรรค์นั่งอยู่บนโขดหินเงียบๆ ปีกสีขาวของเธอส่องประกายท่ามกลางความมืดราวกับเธอกำลังเพลิดเพลินอยู่กับแสงจันทร์ ดวงตาทั้งสองของเธอหลับสนิทและใบหน้าที่ไร้อารมณ์ราวกับเธอเป็นดาบที่แหลมคมเล่มหนึ่งทำให้ผู้คนที่มองรู้สึกหนาวสั่น


 


เธอคุ้นเคยกับกลุ่มคนที่ได้ร่วมกันต่อสู้ที่สันเขาแห่งความเงียบและรู้ดีว่าเด็กสาวทูตสวรรค์เป็นหนึ่งในผู้ติดตามของโรดส์ แต่สำหรับชอว์น่าและแรนดอฟซึ่งยังไม่เคยพบกับเด็กสาวทูตสวรรค์มาก่อน พวกเขาจึงรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก เมื่อพวกเขาเห็นซีเลียครั้งแรก


 


ทูตสวรรค์เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงซึ่งหาตัวจับได้ยาก แต่ทว่าตัวตนที่สูงส่งระดับซีเลียกลับกลายมาเป็นผู้ติดตามของโรดส์และได้รับคำสั่งให้มาปกป้องพวกเขา พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ


 


เพราะเหตุนี้ คนมากมายจึงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ แม้ว่าซีลเียจะไม่สนใจมนุษย์รอบๆตัวเธอ แต่พวกเขาอดรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นที่ส่งมายังพวกเขาราวกับพวกเขาเป็นเพียงขอนไม้กองหนึ่ง


 


ตำนานกล่าวไว้ว่าทูตสวรรค์เป็นผู้ส่งสารของมังกรทั้งห้า แม้ว่ายุคสมัยจะผ่านไปนานเท่าใด ตำนานยังคงอยู่ตราตรึงใจของทุกคน


 


เหล่าทหารรับจ้างยังคงงงงวยว่าทูตสวรรค์ชั้นสูงแบบเธอทำไมถึงมาเป็นผู้ติดตามของโรดส์


 


แรนดอฟและมือใหม่คนอื่นๆอดรู้สึกลัวไม่ได้ แม้ว่าชอว์น่าได้ที่รู้จักกับโรดส์ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกตกใจ เธอรู้ว่าโรดส์เป็นขุนนาง แต่เธอไม่คิดว่าเขาจะสามารถรับสมัครทูตสวรรค์มาเป็นผู้ติดตามได้


 


ชายคนนี้เป็นใครกันแน่….?


 


ในขณะนั้นไม่เพียงแต่พวกเขายังมึนงง พวกเขายังรู้สึกโล่งใจที่เลือกเข้าร่วมกับสตาร์ไลท์ แม้ว่าในทางทฤษฎี การเข้าร่วมกับเจดเทียร์จะได้รับรางวัลมากกว่า แต่การติดตามเด็กหนุ่มที่คาดเดาไม่ได้นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเขามีอนาคตที่สดใสกว่า


 


แตกต่างไปจากคนอื่นๆ สำหรับซีเลีย ไลซ์รู้สึกงงงวยเล็กน้อย


 


ไลซ์รู้สึกว่าเด็กสาวที่ชื่อซีเลียคนนี้ปรากฎตัวขึ้นกะทันหันเกินไป เธอไม่เคยได้ยินโรดส์พูดว่าเขามีทูตสวรรค์เป็นผู้ติดตาม ดังนั้นไลซ์จึงสงสัยในที่มาของเธอ


 


เธอมาจากที่ไหนกัน?


 


เธอเป็นใคร?


 


ในกลุ่มทหารรับจ้าง มีเพียงมาร์ลีนเท่านั้นที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของซีเลีย แต่เธอไม่ได้ปากโป้งออกมา เธอรู้ว่าโรดส์ไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เธอจึงไม่ได้บอกคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องนี้สามารถเก็บไว้เป็นความลับระหว่างพวกเขาทั้งสองคน….


 


สำหรับแอน เธอเป็นคนร่าเริงตลอดเวลา เมื่อเธอเห็นซีเลียอีกครั้ง เธอวิ่งตรงเข้าไปหาเธอและจับมือของทูตสวรรค์ขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังกล้าเข้าไปลูบปีกของซีเลีย หลายๆคนถึงกับตกใจและกลัวว่าทูตสวรรค์จะโกรธ แต่โชคดีที่ทูตสวรรค์คนนั้นไม่สนใจ


 


ไลซ์ตัดชิ้นเนื้อออกมาหลายชิ้นและเดินไปหาซีเลีย


 


“คุณซีเลียคะ”


 


เมื่อได้ยินบางคนเรียกชื่อของเธอ เธอลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆ เธอมองเห็นไลซ์กำลังยืนอยู่ข้างเธอด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ ขณะที่กำลังถือจานไว้ในมือ


 


“คือ…คุณหิวไหมคะ? คุณอยากกินอะไรหน่อยไหม?”


 


“ฉันไม่หิว”


 


ซีเลียส่ายศีรษะและตอบอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้ไลซ์รู้สึกอับอายเล็กน้อย เธอยืนอยู่ข้างซีเลียแบบนั้นโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ไลซ์เพียงแค่อยากทำตามใจ เนื่องจากเธออยากที่จะพูดคุยและเข้าใจเธอมากกว่านี้ แต่ว่าเธอไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เธออับอาย…


 


ขณะที่ไลซ์กำลังขายหน้า ซีเลียลืมตาขึ้นอีกครั้งและมองไปยังไลซ์


 


“ฉันรู้สึกได้ถึงสายเลือดของฉันในตัวเธอ…”


 


“คะ?”


 


ไลซ์อ้าปากค้างและก้าวถอยหลัง เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปยังซีเลียและรอให้เธอพูดต่อ


 


อย่างไม่คาดคิด หลังจากที่ซีเลียพูดพบ เธอหลับตาลงอีกครั้งและเพลิดเพลินกับ ‘การอาบแสงจันทร์’ ราวกับบทสนทนาของพวกเขาจบลงเพียงเท่านั้น


 


“….”


 


นี่ทำให้ไลซ์อยากร้องไห้


115 – มือสังหารในความมืด


 


โรดส์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ค่ายที่พักเพราะเขามีสิ่งสำคัญกว่าต้องไปจัดการ


 


ขณะที่กำลังซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ โรดส์มองไปยังค่ายที่พักที่อยู่ไม่ไกลจากเขาอย่างระมัดระวัง มันเป็นกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ที่เตรียมตัวมาอย่างเต็มที่ พวกมันติดตามร่องรอยที่โรดส์และคนอื่นทิ้งไว้ตลอดทาง พวกมันแกะรอยอย่างอดทนจากด้านหลัง โรดส์ซึ่งไม่ได้เตรียมตัวมาแต่แรกจึงให้วอร์คเกอร์ตรวจสอบสถานที่ที่พวกนั้นอาจปรากฎตัวขึ้นได้ และหากกลุ่มนี้ตามมาทันพวกเขา สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะเป็นปัญหาใหญ่ตามมาแน่นอน


 


แม้ว่าเขาจะสามารถฆ่าหนอนทั้งหมดนี้ได้ แต่โรดส์ยังไม่โจมตีทันที เขาใช้เวลาตลอดกลางวันตรวจสอบกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ หลังจากเขามั่นใจว่าไม่มีกำลังเสริม เขาจึงโล่งใจ


 


โรดส์คุ้นเคยกับการต่อสู้ประเภทนี้ แม้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์จะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่มันยังห่างไกลจากผู้เล่นคนอื่นๆมากนัก ในเกมเมื่อ เมื่อโจมตีศัตรู พวกเขาจะใช้ทุกวิธีในการห่ำหั่นศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิลด์ใหญ่อย่างโรดส์ พวกเขาตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่าย มันเป็นเรื่องปกติที่กิลด์หลายกิลด์จะแอบลอบติดตาม วางแผนและโจมตีกิลด์อื่นๆ โรดส์เองก็เคยถูกซุ่มโจมตีและแอบไปลอบโจมตีด้วยตัวเอง หลังจากผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาเป็นเวลาหลายปีกับผู้เล่นคนอื่นๆ เขาคุ้นเคยกับกลยุทธ์การต่อสู้แบบนี้มาก


 


แต่ทว่าในบรรดาผู้เล่นมากมาย มีวิธีสกปรก น่าไม่อายและเจตนาชั่วร้าย ซึ่งการซุ่มโจมตีของกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์นั้นเหมือนกับผู้หญิงที่เปลือยกายไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้น ด้วยเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิด เธอจะตกอยู่ภายใต้เล่ห์กลเหล่านั้น


 


โดยปกติแล้ว โรดส์กังวลว่าเจดเทียร์จะใช้วิธีสกปรกเช่นกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะกังวลมากเกินไป เจดเทียร์ไม่แม้แต่กลัวว่าจะถูกพบ พวกเขาเพียงแค่ส่งหน่วยลาดตระเวนไปดูรอบๆเป็นบางครั้ง ถ้าพวกเขาถูกเห็นโดยคนอื่น พวกเขาจะคิดว่าคนพวกนั้นที่เข้ามาในป่าเป็นเพียงนักผจญภัย


 


โรดส์ไม่สนใจชายเหล่านี้อีกต่อไป เนื่องจากพวกเขามาจากกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ พวกเขาจำเป็นต้องถูกฆ่า ยิ่งคนตายมากเท่าไหร่ ปัญหาก็จะน้อยลงเท่านั้น ไม่เพียงแค่นั้น ถ้ากลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขาลดลงโดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้ มันจะส่งผลต่อกลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆเช่นกัน ถ้าเขาสามารถจัดการเจดเทียร์ได้โดยวิธีการนี้ เขาไม่สนใจเรื่องอื่นทั้งนั้น


 


กลางคืนเริ่มมืดลง


 


เพื่อเป็นการป้องกัน กลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ไม่ได้จุดไฟไว้บนกองไฟ พื้นที่รอบๆค่อยๆเงียบลง เหบือไว้เพีนวเสียงแมลงที่ดังเป็นครั้งคราว ราวกับค่ำคืนกำลังเล่นเพลงกล่อม


 


เวลาผ่านไป


 


โรดส์ส่งสัญญาณให้ชายชราวอร์คเกอร์ที่อยู่ข้างเขา ร่างของพวกเขาหายไปจากความมืดราวกับงูพิษทั้งสอง


 


เบลเดิยไปที่เต๊นท์ด้วยความหนาว “บ้าเอ้ย”


 


ความรู้สึกเย็นสบาย เบลสาปแช่งในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะรางวัลมหาศาล เขาจะไม่มีในที่บ้าๆแห่งนี้


 


หัวใจของเบลเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่เขาพูดอะไรไม่ได้ สำหรับสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้าเจดเทียร์ เขาถูกครอบงำโดบเงินของแฟรงค์มาเป็นเวลานาน ในความคิดของเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงินแล้วในโลกใบนี้ ด้วยอำนาจของเงิน คุณสามารถได้เงินตำแหน่งดีๆ อำนาจและผู้หญิง แต่เมื่อไม่มีเงิน คุณจะไม่มีอะไรเลย เงิน เขาเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลกนี้


 


เพราะเหตุผลนี้เอง เขาจึงกลายเป็นลูกน้องของแฟรงค์ไปโดยปริยาย


 


เบลไม่รู้สิ่งที่แฟรงค์อยากให้ทำ เขาสนใจเพียงแค่ว่าเงินมากแค่ไหนที่เขาจะได้รับ ดังนั้นเมื่องแฟรงค์ส่งเขาและคนของเขามายังป่าราตรีเพื่อทำลายกลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ เบลไม่ลังเลและยอมรับในทันที โดยไม่มีเหตุผลอื่นเมื่อได้เห็นถึงเหรียญทองบนโต๊ะ นี่สิเรียกว่าการตัดสินใจของนักรบ


 


หลังจากที่มองไปยังเต๊นท์รอบๆและมั่นใจว่าไม่มีไอ้โง่ตัวไหนสังเกตเห็นเขา เบลเดินช้าๆไปที่รอบนอกของค่ายที่พัก ไม่นานเขาสามารถมองเห็นหญิงสาวเรนเจอร์ที่เขามอบหมายหน้าที่ให้คุ้มกันพื้นที่รอบๆ ในขณะนั้น เธอกำลังเบื่อและหาว ขณะที่พิงต้นไม้ เมื่อเห็นเบลมาถึง เด็กสาวไม่ได้ประหลาดใจ ตรงกันข้าม เธอกลับยิ้มให้เขา


 


เบลยิ้มกลับและเดินไปด้านข้างเธอ เขาอดไม่ได้ที่จะสำรวจสิ่งที่อยู่ใต้ชุดเกราะหนัง เขาเริ่มนวดก้อนเนื้อสองลูกที่อวบอิ่มที่อยู่บนร่างกายของเธออย่างนุ่มนวล เรนเจอร์สาวคนนี้ได้เข้าร่วมกับกลุ่มของเบลหลังจากที่ถูกจ้างโดยแฟรงค์ เมื่อเขาเห็นเธอครั้งแรก เขาได้หลงเสน่ห์เธอไปแล้ว หลังจากที่ใช้เงินมหาศาลไปมาก ผู้หญิงที่เป็นคนเจ้าระเบียบคนนี้ได้ยอมคุกเข่าต่อหน้าเขาและกลายเป็นเพื่อนสนิมร่วมเตียงของเขาไปในทันที เหตุผลที่เขาหลบหนีออกมาจากเต๊นท์คือเพื่อฆ่าเวลาจากอาการเบื่อ ในยุคนี้ นี่เป็นกิจกรรมกลางคืนกิจกรรมเดียวที่มีความสุขทั้งกายและใจโดยที่ไม่เสียเวลามากนัก


 


สิ่งที่โรดส์บอกเกี่ยวกับกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ว่าเป็นกลุ่มที่รวมไปด้วยกลุ่มขยะนั้นไม่ใช่เรื่องผิดซะทีเดียว สำหรับคนที่ซื้อได้ด้วยเงินนั้นจะไม่มีความจงรักภักดีแม้แต่น้อย ซึ่งศีลธรรมและความซื่อสัตย์ของพวกเขานั้นแทบจะไม่มีอยู่เลย แฟรงค์เองก็รู้ว่าคนของเขาไม่มีประโยชน์อื่นนอกจากการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มของเขา บางทีนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงติดตามแฟรงค์อยู่ด้านหลังราวกับโจร


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรอไม่ไหวเหมือนกันนะ…..”


 


“หัวหน้า ในที่สุดท่านก็มา ฉันรอมาตั้งนานแหนะ”


 


เมื่อเจอกับการล้อเล่นของเบล เด็กสาวยิ้มและเดินไปด้านหน้า เธอดันหน้าอกของตัวเองไปทางเขา เมื่อมือของเธอเอื้อมถึงคอเขาและดึงเข้ามาจูบ


 


“อื้อ….มมมม…”


 


เบลเอื้อมมือไปจับหน้าอกของเธอและนวดเค้น ตรงหน้าของชายหนุ่ม หญิงสาวนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวน เธอยิ้มเล็กน้อยและมีความคิดที่จะดึงมือของเบลเข้ามาแน่นอีก เธอไม่ได้ซ่อนความคิดของเธอ รอยยิ้มและยื่นมือทั้งสองข้างออกไป เมื่อเผชิญหน้ากับการยั่วยวน เบลไม่คิดจะถอย เขาเผยให้เห็นสัญชาตญาณชายหนุ่มและอดกอดหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ จากนั้นเสียงครางด้วยความตื่นเต้นดังสะท้อนไปทั่ว


 


โรดส์แอบอยู่ที่พุ่มไม้อย่างเงียบๆ เขากำลังถอนหายใจและมองการเคลื่อนไหวที่หนักแน่นของคนทั้งสองคนอยู่ตรงหน้า แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเห็นฉากที่ไม่คาดคิด แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอาย เขาเพียงแปลกใจ แต่ก็สงบลงได้ในทันที เขาไม่ได้โจมตีออกไปทันทีกลับกัน เขาเพลิดเพลินกับ ‘ช่วงเวลาแห่งความสุข’ ตรงหน้าเขา


 


พวกเขาทั้งสองคนถูกจับตามองโดยไม่รู้ตัว การเคลื่อนไหวของพวกเขายิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มันอาจเป็นเพราะมันตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อได้มาทำกันในป่า พวกเขาเริ่มจังหวะแห่งความสุขกันอย่างช้าๆและครางออกมาเสียงต่ำ อย่างที่มีคำกล่าวเคยกล่าวไว้ ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นคุ้มค่ามากกว่าเหรียญทอง 1,000 เหรียญ ถ้าพวกเขาไม่มีความสุขในค่ำคืนนี้ พวกเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกต่อไป


 


ในความเป็นจริง มันสายเกินไปแล้ว


 


เพราะครั้งนี้ โรดส์กระโดดลงไปที่พื้นหญ้าราวกับแมว


 


ดาบสีแดงแทงทะลุหน้าอกของเบลและลำคอของหญิงสาว ก่อนที่จะปักพวกเขาไปที่ต้นไม้


 


“—-!!!”


 


ความตายเข้ามาในทันที


 


เบลหยุดสั่นไหวในทันทีและหญิงสาวที่กลัวมากจนเบิกตากว้าง ไม่มีแม้กระทั่งแววตาแห่งความโกรธบนดวงตาของพวกเขา บนร่างกายของพวกเขา ของเหลวสีเหลืองได้ไหลออกมาและหยดลงที่พื้น มันส่งกลิ่นเหม็นออกมา


 


โรดส์ดึงดาบกลับและร่างของพวกเขาค่อยล้มลงที่พื้นอย่างไร้ลมหายใจ


 


แต่โรดส์ ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเพียงมองไปรอบๆ หลังจากนั้นก็หายตัวเข้าไปในความมืดอีกครั้งอย่างไร้ร่องรอย


 


ในขณะนั้น ภายในค่ายที่พักเงียบกริบ


 


ชายชราวอร์คเกอร์หยิบกริชไว้ในมือ ภายใต้การย่องที่เงียบกริบ ลำคอของชายคนหนึ่งถูกหักลง ดวงตาของเขาเบิกกว้างและมองไปบนท้องฟ้าตรงหน้าเขา เหมือนกันว่าเขายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีเขาไม่จำเป็นต้องรู้อะไรอีกต่อไป


 


“เป็นยังไงบ้าง?” โรดส์เดินออกมาจากพุ่มไม้และกระซิบออกมา


 


“ข้าจัดการคนตรงนั้นไปแล้ว แล้วเจ้าล่ะ ไอ้หนุ่ม?”


 


“ง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะ ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นคู่รักมาพลอดรักกันในป่าแห่งนี้ พวกนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ดูเหมือนว่ากลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์จะไม่ได้เก่งอย่างที่ผมคิด”


 


โรดส์หยุดพูด เขามองไปยังค่ายที่พักด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นส่งสัญญาณ “ปล่อยที่เหลือให้ผมจัดการเอง”


 


เมื่อคนที่รอดชีวิตอยู่ตื่นขึ้นมาจากอาการหลับลึก สีหน้าที่เย็นชาของโรดส์และวอร์คเกอร์ได้ปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา


 


“แกไปใคร!?”


 


หลังจากที่เห็นสองคนนั้นชัดๆ เขาสะดุ้งขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกัน เขาเอื้อมมือไปแตะด้านข้างเอวทันที แต่เขาพบว่าไม่มีอาวุธ กลับกันเขารู้สึกหนาวเย็นไปถึงสันหลัง


 


“เหวออออ!!!”


 


ดาบสีแดงแทงทะลุแขนของเขาและกดเขาลงกับพื้น เสียงกรีดร้องของเขาดังสะท้อนไปทั่วป่า นกมากมายที่แต่เดิมหลับอยู่เริ่มตื่นเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง พวกมันกางปีกและบินออกไปบนท้องฟ้า


 


“ช่ว-ช่วยด้วย!!”


 


“ผมคิดว่าจะดีกว่านะถ้าคุณเก็บแรงเอาไว้ คุณคนที่ผมไม่รู้จักชื่อ”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่กำลังตะเกียกตะกาย โรดส์ยังคงผ่อนคลายและสงบดั่งปกติ เขาดึงเก้าอี้มาและนั่งลงตรงหน้าชายคนนั้น


 


“เพื่อนคุณตายหมดแล้ว เหลือเพียงคุณคนเดียว ถ้าคุณทำตัวดี ผมอาจจะปล่อยคุณไป แต่ถ้าคุณทำตัวไม่ดีพอ…..”


 


โรดส์พูดไม่จบ แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ด้านหลังนั้นชัดเจนมากพอแล้ว


 


ในขณะนั้น ชายคนนั้นไม่พยายามขัดขืนอีกต่อไป เขาจับแขนของตัวเองและพยักหน้า เขาไม่ได้โง่ เขากรีดร้องเสียงดังออกมา แต่กลับไม่มีใครเข้ามาตรวจสอบเขา นั่นหมายความได้อย่างเดียวคือทุกคนตายหมดแล้ว ไม่มีใคร…รวมถึงเขาคิดว่าความตายจะมาเยือนถึงที่


 


“ดีมาก”


 


เมื่อเห็นชายคนนั้นพยักหน้า โรดส์ปรบมืออย่างพอใจ จากนั้นเขาขยับเข้าไปใกล้ชายคนนั้นมากขึ้น ดวงตาของเขาทอประกายเยือกเย็น


 


“งั้นต่อจากนี้ไป….ผมมีคำถามที่อยาจะถามคุณ….ผมหวังว่าคุณตอบคำถามผมอย่างสัตย์จริงนะ”


116 – การแข่งขัน


 


“พิสสส”


 


ดาบสีเลือดแทงทะลุหัวของชายคนนั้น ในขณะที่เขายังมีประกายตาแห่งความกลัว แต่สีหน้าของเขากลับว่างเปล่า


 


โรดส์ยืนขึ้นและตวัดดาบออกไป หลังจากนั้นเขามองไปป่ารอบๆด้วยสีหน้าจริงจัง


 


สิ่งที่ชายคนนี้พูดและสิ่งที่เขาคิดนั้นแทบจะเหมือนกัน กลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ไม่ได้ถูกส่งมาที่นี่แค่ 1 กลุ่ม ตามที่หนอนขยะคนนี้พูด ครั้งนี้กลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ได้ส่งกองกำลังมาถึง 2 ใน 3 ของกลุ่ม พวกเขาได้แบ่งออกมาเป็น 3 กลุ่มเพื่อติดตามและโจมตีสตาร์ไลท์เมื่อจำเป็น บอกตรงๆกลุ่มที่โรดส์ได้ทำการโจมตีนั้นไม่ใช่แม้แต่หน่วยโจมตี พวกเขามีหน้าที่เพียงลาดตระเวน ตามที่กลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ได้เตรียมการไว้ บางส่วนทำหน้าที่ค้นหาเป้าหมาย ในขณะที่หน่วยโจมตีจะทำหน้าที่ล้อมกรอบเป้าหมาย  หน่วยสุดท้ายได้หายไป หลังจากที่เข้ามาในป่าราตรี พวกเขาเป็นกำลังเสริม แต่ชายที่โรดส์ถามนั้นไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน


 


ปกติแล้ว ทั้งสองหน่วยไม่ควรอยู่ไกลกันมากเกินไปเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน แต่ทว่าสถานการณ์นี้ได้พลิกเป็นตรงกันข้าม ตามที่ได้รับรายงานมา คนที่นำกองกำลังหลักเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาในเจดเทียร์ได้ไม่นานและเบลไม่ยินดีที่จะทำตามคำสั่งของคนๆนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมหลังจากที่พวกเขาเข้ามาที่ป่าราตรี ทั้งสองจึงไม่ค่อยถูกกัน ดังนั้นเบลจึงได้นำหน่วยของเขาออกมา เขาจำเป็นต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาก่อนเริ่มการโจมตีและจากนั้นจึงส่งคนเข้าไปแจ้งหน่วยหลัก ถ้าไม่ใช่เพราะเขา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีไอ้โง่คนไหนสามารถหาเป้าหมายที่นี่เจอ!


 


แม้ว่าโรดส์จะรู้ว่าจุดเริ่มต้นของเจดเทียร์เป็นการรวมตัวของกลุ่มขยะ แต่การขยายตัวของพวกเขากลับทำให้โรดส์ประหลาดใจ เขาเริ่มสงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามจงใจทำตัวอ่อนแอเพื่อล่อลวงให้เขาออกไปหรือไม่ ไม่เช่นนั้น นั่นหมายความว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่เป็นการฆ่าตัวตายรึ?


 


สิ่งที่โรดส์สนใจนั้นไม่ใช่ตำแหน่งที่ตั้งของกองกำลังหลักที่ไม่รู้อยู่ที่ไหน แต่เป็นกำลังเสริม


 


ไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่ป่าราตรีและสิ่งเดียวที่ผ่านมาได้คือการใช้เรือบิน โดยปกติแล้วพวกโจรและเหล่าอันธพาลจะไม่อยู่ที่นี่ เนื่องจากพวกเขาไม่มีปีกจะไปปล้นของคนอื่น นั่นเป็นเหตุผลจากอีกมุมหนึ่ง มันอาจเป็นเพราะป่าราตรีเป็นที่เปล่าเปลี่ยว บางทีอาจจะมีนักผจญภัยหลงเข้ามาเป็นบางครั้ง แต่คนทั่วไปไม่เลือกที่จะอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน แต่การหากำลังเสริมในป่าแห่งนี้มันแทบเป็นไปไม่ได้? พวกเขาวางแผนจะคุยกับผ่านสัตว์ป่ารึไงกัน?


 


ความเข้าใจของโรดส์ที่มีต่อแฟรงค์คือเขาเชื่อว่าแฟรงค์ไม่ได้เป็นคนโง่ดักดาน ส่วนใหญ่แล้วคนจะเรียกกำลังเสริมเป็นกองกำลังที่แท้จริงในการโจมตีในครั้งนี้และทหารรับจ้างเหล่านี้เป็นเพียงแค่ตัวล่อ พวกเขาจะไม่รอจนกว่ากำลังเสริมจะมาถึงเพื่อโจมตี


 


แม้ว่าโรดส์อยากจะรู้มากขึ้น แต่ชายคนนี้เป็นเพียงแค่ผู้ติดตามและไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับรายละเอียดของสถานการณ์จริง บางทีหัวหน้าอาจจะรู้อะไรมากกว่านี้ แต่โชคร้ายที่เขาตายภายใต้อ้อมกอดของหญิงสาวไปแล้ว จนถึงตอนนี้โรดส์เพิ่งจะรู้ตัวว่าชายหนุ่มที่เขาเพิ่งฆ่าไปอย่างง่ายดายก่อนหน้านี้เป็นหัวหน้าหน่วยนี้ โอ้ ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาคิดว่าชายคนนั้นเป็นเพียงทหารรับจ้างขี้เหงาทั่วไปที่กำลังมองหาความสนุก


 


“พวกเราควรทำอะไรต่อดี? ไอ้หนุ่ม พวกเราควรจัดการคนพวกนั้นไปด้วยเลยไหม?”


 


“แค่พวกเราสองคนเหรอ?”


 


โรดส์ส่ายหัว มีคนมากกว่า 20 คนในกองกำลังหลัก แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะกลับไปได้อย่างปลอดภัยหลังจากที่จัดการหมด พวกเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าศัตรูจะไม่แตกตื่น โรดส์ยังไม่อยากไปปลุกหมาป่าที่กำลังหลับอยู่ นโยบายของเขาคือการเก็บกวาดและไม่ทิ้งร่องรอย และเขาไม่ตั้งใจจะทำอะไรแค่ครึ่งทาง


 


ท้ายที่สุด โรดส์ตัดสินใจถอยชั่วคราว


 


ในกรณีนี้โดยที่ไม่มีหน่วยสอดแนม มันเป็นไปได้ยากสำหรับพวกเขาที่จะหาตัวเขาพบ ตามที่หนอนขยะนั่นบอกมา กลุ่มทั้งสองไม่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันเลย มันเหมือนกับว่ากลัวฝ่ายตรงข้ามจะสร้างปัญหา ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถทุกสิ่งทุกอย่างได้ก่อนที่อีกฝ่ายหนึ่งจะรู้ตัว สถานการณ์ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา


 


แน่นอน โรดส์ทิ้งให้วอร์คเกอร์อยู่ด้านหลังและปล่อยให้เขาไปตรวจสอบในทิศทางที่เชลยก่อนหน้านี้ได้บอกพวกเขา เรนเจอร์ชราที่น่าสงสารได้วิ่งติดตามโรดส์ตลอดทั้งคืน เขาอยากที่จะกลับไปนอนคนเดียวแต่กลับกันเขาได้รับคำสั่งให้อยู่ต่อในป่าอย่างทุกข์ทรมาน นี่ทำให้เรนเจอร์ชราอยากจะทุบโต๊ะตรงหน้า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคำบ่นของเขา โรดส์ไม่ได้พูดอะไรออกมาและหายไปง่ายๆ เรนเจอร์ชราจึงได้แต่มึนงงและท้ายที่สุดเขาก็ส่ายหัวและถอนหายใจ หลังจากนั้นเขาก็ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาต่อ


 


เมื่อโรดส์กลับไปที่ค่ายที่พัก มันเป็นเวลาเกือบรุ่งสาง


 


หลังจากที่ได้ยินจากซีเลียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โรดส์รับหน้าที่ต่อจากเธอ แม้ว่าเขาในตอนนี้จะมีระดับถึง 15 แล้ว แต่พลังวิญญาณของเขายังพอๆกับจอมเวทย์ระดับต่ำ ในการให้ซีเลียคงอยู่ต่อนั้น เขาจำเป็นต้องจ่าย 30 พลังวิญญาณต่อ 1 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นราคาที่มหาศาล นี่เป็นเหตุผลที่เขาเลือกถอยชั่วคราว หลังจากที่ให้ซีเลียอยู่มาตลอดทั้งคืน เขาได้ใช้พลังวิญญาณไปถึง 1 ใน 3 ส่วน ด้วยเงื่อนไขนี้ เขาจึงไม่กล้าเอาตัวเองไปเสี่ยง


 


หลังจาที่ทักทายชอว์น่าที่รับหน้าที่ตลอดทั้งคืน เขาได้แจ้งต่อทหารรับจ้างคนอื่นๆถึงแผนที่พวกเขากำลังจะเริ่มฝึกใหม่ หลังจากนั้นเขาเดินกลับไปที่เต๊นท์ของเขาและเข้าไปหลับในทันที


 


เมื่อโรดส์ตื่นขึ้นมาในวันถัดไป มันเป็นเวลากลางวันแล้ว


 


ภายนอกเต๊นท์ เหล่าทหารรับจ้างได้ยินคำสั่งให้เก็บกวาดทุกอย่าง พวกเขาเริ่มดับกองไฟ เก็บกู้กับดักและเปลี่ยนทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม มาร์ลีนและคนอื่นๆมองอย่างเบื่อๆเล็กน้อย เมื่อเห็นเด็กสาวกำลังเพลิดเพลินอยู่กับธรรมชาติ คนอื่นๆก็ไม่คิดจะเข้าไปรบกวนวันหยุดที่หาได้ยากของเธอ


 


“ท่าน ทุกอย่างพร้อมแล้วค่ะ”


 


เมื่อเห็นโรดส์ออกมา ชอว์น่ารีบเดินเข้ามาต้อนรับเขา ครั้งนี้ทัศนคติของเธอแสดงความเคารพมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ก่อนหน้านี้เธอเรียกเขาว่า ‘หัวหน้า’ ซึ่งดูห่างเหิน หลังจากที่เห็นซีเลีย เธอเลิกคิดแบบนั้นทันที มันเป็นปกติที่จะเรียกเขาว่า ‘ท่าน’ เนื่องจากเขามีผู้ติดตามเป็นทูตสวรรค์


 


โรดส์เองก็จึงรับรู้ได้ว่าคนที่เข้ามาใหม่มีการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกัน น้ำเสียงและความคิดของเขาดูท่าทางแสดงการเคารพมากขึ้นและมีร่องรอยของความกลัวในดวงตาของพวกเขา แม้แต่ลาปิสที่หวาดระแวงเขาและเอาแต่หลบหลังพี่ชายมาตลอด ตอนนี้เธอเริ่มทำท่าทางเหมือนกับเป็นแฟนคลับของเขาและมองเขาด้วยสายตาเป็ประกาย


 


แน่นอนสำหรับโรดส์ นั่นเป็นสิ่งที่ดี เขาใช้การทำท่าทางเหมือนชนชั้นสูงโดยการอ้างอิงจากความรู้ของเขา วิธีที่เขาพูดและการกระทำของเขา แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนกับชนชั้นสูงมากขึ้น ไม่มีใครสงสัยในตัวเขาอีกต่อไป เพราะว่าทหารรับจ้างทั่วไปจะมีทูตสวรรค์มาเป็นผู้ติดตามได้อย่างไร? มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้!


 


ในทางตรงกันข้าม มุมมองของไลซ์นั้นแปลกประหลาด หลายครั้งที่เธอพยายามพูดกับเขา เธอดูเหมือนมีบางอย่างอยากจะพูด แม้ว่าโรดส์จะถามว่าเธอมีปัญหาอะไรไหม แต่เธอเอาแต่ส่ายหัว เมื่อเห็นไลซ์เป็นแบบนี้ โรดส์ไม่รู้ว่าเขาต้องทำอะไร ดังนั้นเขาจึงปล่อยเธอไป


 


เห็นได้ชัดว่าโรดส์คุ้นเคยกับป่าราตรีเป็นอย่างมาก ไม่นานหลังจากที่พวกเขาได้ออกมาจากค่ายที่พัก โรดส์ได้พาพวกเขามาที่หุบเขา


 


“ผมคิดว่าพวกคุณทุกคนคุ้นเคยกับการฝึกมาแล้วนะ”


 


เมื่อเจอกับคำถามของโรดส์ ทหารรับจ้างทุกคนพยักหน้า เนื่องจากวิธีการฝึกของโรดส์นั้นไม่ได้ซับซ้อน พวกเขาเพียงแค่ใช้ทักษะตามลำดับเท่านั้น ซึ่งพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าทักษะพวกนี้จะสามารถใช้ได้หลากหลายแนวทาง ตอนนี้พวกเขาได้จดจำการผสานทท่าต่างๆไว้หมดแล้ว ต่อมา พวกเขาจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเชี่ยวชาญกับมันมากแค่ไหน


 


“ดีมาก”


 


พวกเขาพยักหน้าและโรดส์ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนที่จะโบกมือ และชี้ไปที่หุบเขาตรงหน้า


 


“นี่เป็นส่วนที่สองของการฝึก วิธีนั้นง่ายมาก ผมอยากให้พวกคุณทุกคนเข้าไปในหุบเขานี้ ที่ปลายของหุบเขาจะมีน้ำพุใสและหินน้ำแข็งที่สามารถพบเจอได้ที่นั่น ผมอยากให้พวกคุณนำหินพวกนั้นกลับมาให้ผม แน่นอน ผมไม่ลืมที่จะบอกพวกคุณว่ามีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ในหุบเขา พวกมันจะโจมตีศัตรูทุกคนที่บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ของพวกมันโดยไม่ได้รับอนุญาต ระวังตัวให้ดี มีเวลาให้ 3 ชั่วโมง ผมหวังว่าพวกคุณจะกลับมาที่นี่ได้ก่อนอาหารเย็นนะ ตอนนี้ไปได้!”


 


แม้ว่าเหล่าทหารรับจ้างจะตื่นตระหนกเล็กน้อยและมึนงงหลังจากที่โรดส์ออกคำสั่ง พวกเขาได้แต่กัดฟันและเดินทางเข้าไปในหุบเขา ไม่นานเงาของพวกเขาออกหายไปในป่า เหลือเพียงโรดส์ แอน ไลซ์ มาร์ลีนและลาปิสที่อยู่ด้านนอก เมื่อเห็นร่างของพี่ชายหายไป ลาปิสเป็นกังวลเล็กน้อย แต่เธอรู้ดีว่าจากความแข็งแกร่งของเธอ มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเข้าร่วมกับพวกเขา ดังนั้นเธอจึงทำได้แต่อดทนรอด้านนอก


 


ไลซ์เองก็กระวนกระวายอยู่ด้านนอกหุบเขาและเดินตรงไปหาโรดส์ เธอถามขึ้น “จะไม่มีปัญหาจริงๆเหรอคะ คุณโรดส์?”


 


แอนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ถัดจากโรดส์ เธอกำลังแทะแอปเปิ้ลในมือ เธอจึงถามขึ้นมาเช่นกัน “ต้องให้แอนไปช่วยพวกเขาไหม?”


 


“ไม่จำเป็นหรอก”


 


เมื่อเจอกับคำถามของทั้งสอง โรดส์ส่ายศีรษะ เนื่องจากเขากล้าที่จะพาพวกมือใหม่มาที่นี่ เขาต้องคิดเอาไว้แล้ว นี่เป็นภารกิจของกลุ่มมือใหม่ แม้ว่ามันจะเป็นภารกิจกลุ่ม แต่จำนวนของมอนสเตอร์ก็ไม่ได้เกินไป มีเพียงหมาป่า หมาและสัตว์อื่นๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพวกมันไม่ได้อันตรายมาก อย่างน้อยเมื่อเทียบกับดันเจี้ยนทั่วไปแล้ว ระดับความอันตรายของภารกิจกลุ่มถือว่าต่ำกว่ามาก ถ้าพวกมือใหม่ไม่แม้แต่จะสามารถออกมาจากอันตรายระดับนี้ได้ โรดส์ต้องพิจารณาแล้วว่าพวกเขาเหมาะกับกลุ่มของเขาหรือไม่


 


“ด้านในมันไม่ได้อันตรายเกินไป ดังนั้นไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก อย่างที่มีคนบอกไว้ แม้แต่สิงโตยังผลักลูกของมันลงจากหน้าผาและปล่อยให้ลูกของมันปีนขึ้นมาด้วยตัวเอง ถ้าพวกเขาไม่แม้แต่จะผ่านการทดสอบนี้มาได้ งั้นก็เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ที่จะให้พวกเขาอยู่ต่อ”


 


“หัวหน้า….นั่นมันสิ่งโตและลูกของมันนะ…”


 


เมื่อหันไปเห็นรอยยิ้มของแอน ใบหน้าของโรดส์ยังคงไร้อารมณ์เหมือนเดิม “ที่บ้านเกิดของผม คนคำกล่าวที่ว่า อาจารย์ก็ยังคงเป็นอาจารย์อยู่วันยังค่ำ ตอนนี้ผมถือว่าเป็นอาจารย์ของพวกเขาครึ่งหนึ่งแล้ว” โรดส์ตอบอย่างใจเย็น


117 – เผชิญหน้าในป่า


 


“กรรรร…!!”


 


หมาป่าพุ่งตรงมาด้านหน้า กับดักที่ซ่อนอยู่ทำงานและล็อคขาของมันไว้ แต่หมาป่ากลับไม่ได้ล้มลงแต่อย่างใด กลับกัน มันคำรามและยังคงกระโจนออกไปข้างหน้า กรงเล็บของมันพุ่งผ่านแรนดอฟและคนอื่นๆทิ้งรอยข่วนขนาดใหญ่ไว้ที่พื้น


 


แรนดอฟกลิ้งหลบการโจมตีไปด้านข้างและยิงธนูไปที่มัน


 


หมาป่าซึ่งติดกับดักอยู่แล้วจึงไม่สามารถหลบถูกธนูที่ยิงเข้ามาได้ เมื่อล๔กธนูยิงโดนขาของมัน นั่นทำให้หมาป่ารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นและหยุดดิ้น มันอ้าปากและคำรามออกมาด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตาม ธนูดอกที่สองได้เจาะทะลุหัวของมันไปอย่างง่ายดาย


 


“เฮ้ออ…”


 


หลังจากที่ดึงดาบเพลิงออกมาจากร่างของหมาป่าร่างสุดท้าย ชอว์น่าปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของเธอและหันกลับมา


 


“ทุกคนเป็นอะไรไหม?”


 


“ไม่มีปัญหา”


 


“ผมไม่เป็นอะไรครับ”


 


เมื่อได้ยินคำถามของชอว์น่า ทุกๆคนยกมือขึ้นเพื่อบอกว่าพวกเขาไม่เป็นอะไร หลังจากที่มั่นใจว่าทุกสิ่งเป็นปกติ ชอว์น่าพยักหน้า เธอเดินนำพวกเขาไปต่อ อย่างที่โรดส์คิด การทดสอบนี้ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับพวกเขา แม้ว่าจะไม่มีทักษะที่โรดส์ได้สอนพวกเขา พวกเขาก็ยังสามารถจัดการสัตว์ป่าพวกนี้ได้ตามความสามารถของพวกเขา แต่ว่าพวกเขารู้ว่าเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาทำภารกิจ แต่เพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถพื้นฐาน ถ้าพวกเขาทำตัวเหลวไหล พวกเขาไม่มีทางประสบควาสำเร็จแน่


 


แรนดอฟได้ถอนกรงเล็บออกมาจากศพของหมาป่าเพื่อทำเป็นกรงเล็บเหล็ก เมื่อมองไปที่แอนดอนและโจอี้ เขาเห็นร่องรอยของความดีใจและประหลาดใจจากใบหน้าของพวกเขา


 


ในตอนแรก การโจมตีของพวกเขาดูไม่รุนแรงมากพอเพราะศัตรูของพวกเขาคืออาการ แต่ในการต่อสู้จริง ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่พวกเขาเริ่มคุ้นเคยกับแนวทางการต่อสู้ พวกเขาเริ่มเห็นพัฒนาการของตนเอง ก่อนหน้านี้พวกเขาเองก็กังวลแบบเดียวกับวอร์คเกอร์ ซึ่งกังวลว่าการฝึกแบบนี้จะช่วยในการต่อสู้จริงได้เหรอ เพราะแม้แต่ทหารรับจ้างมือใหม่ยังรู้ว่าทุกอย่างในสถานรบเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้ว่าทุกสิ่งจะเป็นไปตามแผน ดังนั้นพวกเขาจึงสับสน แต่หลังจากที่พวกเขาได้ลองทำ พวกเขาพบประสิทธิภาพที่แท้จริงของสกิลที่โรดสอนพวกเขา


 


ก็จริงที่ในสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดและไม่สามารถคาดเดาได้ แต่จากสกิลที่โรดส์ได้สอนพวกเขา โดยทั่วไปพวกเขาไม่ต้องคิดว่าจะจัดการกับศัตรูด้วยวิธีไหนเพราะฝ่ายตรงข้ามให้ปล่อยให้คิด


 


แม้ว่าคลาสและสกิลที่เรียนมาจากโรดส์นั้นจะแตกต่างกัน แต่ทึกคนยังสังเกตได้ถึงสิ่งที่คล้ายคลึงกันหลังจากที่ได้ต่อสู้มาสักพัก สกิลที่โรดส์ได้มอบให้พวกเขามานั้นเป็นท่าต่อเนื่องที่ถูกทำลายได้ยาก ในเวลาเดียวกัน มันเองก็อันตรายมากเช่นกัน ไม่ว่าโจรจะเคลื่อนที่ได้เร็วมากราวกับสายฟ้าหรือนักดาบหรือแม้แต่นักดาบเกราะหนัก ทั้งหมดเหมือนกัน เมื่อพวกเขาโจมตี การโจมตีถัดไปจะทำให้ศัตรูหมดหนทางในการโต้กลับ ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งป้องกันหรือตำแหน่งรักษา วิธีนี้พวกเขาจะลดความเสี่ยงในการถูกโจมตีกลับระหว่างการต่อสู้ ความรู้สึกนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นและเร้าใจ


 


พวกเขาคิดเพียงว่าการโจมตีที่รุนแรงและดุดันจะถูกใช้จากคนที่มีความสามารถระดับสูงเท่านั้น แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะสามารถทำสิ่งเดียวกันได้ หมาป่าและหมาในป่าเหล่านี้กลายเป็นเป้าหมายในการฝึกของพวกเขา แม้ว่าสัตว์ป่าเหล่านี้จัดการได้ไม่ง่ายนักในตอนแรก แต่ตอนนี้เหล่าทหารรับจ้างกลับสามารถบดขยี้พวกมันจนกระทั่งพวกมันไม่สามารถต่อกรได้แล้ว ซึ่งนั่นทำให้พวกเขามีความสุขจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ แม้ต่อมาสัตว์ป่าพวกนี้จะไม่แม้แต่กล้ามายั่วยุพวกเขาอีก แต่เหล่าทหารรับจ้างไม่ได้หยุดที่นั่น พวกเขาเหมือนกับก็อบลินที่เริ่มมองหาศัตรู


 


อย่างไรก็ตาม ชอว์น่าได้หยุดการกระทำที่ประมาทของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะออกเดินทางออก โรดส์ได้บอกพวกเขาว่าสกิลที่เขาสอนเป็นเพียงการผสานทักษะพื้นฐาน แม้ว่ามันจะมีประสิทธิภาพมาก แต่มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากมายนัก ปัจจุบัน เขาหวังเพียงว่าให้พวกเขาชำนาญในการให้สกิลเหล่านั้นเพื่อพัฒนาการโจมตีของตัวพวกเขาเองแทนที่จะต้องไปพึ่งเรื่องโชคลาง ถ้าพวกเขายังทำแบบนี้ต่อไป มันจะเริ่มอันตรายมากขึ้น


 


เห็นได้ชัดว่าชอว์น่าเข้าใจสิ่งที่โรดส์หมายถึง แม้ว่าการผสานท่าเหล่านี้จะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกเขาได้ แต่มันยังไม่สามารถเชื่อถือได้มากนัก เหตุผลที่ทำให้พวกเขาดูยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเป็นเพราะศัตรูของพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งนั่นเอง จากนั้นไม่สำคัญว่าคอมโบสกิลของพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ศัตรูที่แข็งแกร่งยังคงสามารถส่งพวกเขาไปยังสวรรค์ได้ เพราะว่าช่องว่างระหว่างระดับที่มากเกินไปและความแข็งแกร่งไม่สามารถทดแทนด้วยการใช้สกิลเหล่านั้น


 


ในฐานะอดีตหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้าง ชอว์น่าค่อนข้างรับรู้ได้เร็วเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของทีม เมื่อเธอเห็นว่าทุกคนเริ่มประเมินตัวเองสูงขึ้น เธอจึงต้องสาดน้ำเย็นเพื่อปลุกให้ทุกคนตื่น


 


“จริงจังหน่อย พวกเรายังไม่ผ่านการทดสอบนะ ดังนั้นอย่างตื่นเต้นเกินไป ระวังตัวด้วย ทางออกอยู่ข้างหน้าแล้ว!”


 


เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของชอว์น่า คนอื่นๆก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ พวกเขารวมกลุ่มกะนและเดินไปข้างหน้าภายใต้การนำของชอว์น่า


 


ไม่นานพวกเขาได้มาถึงน้ำพุที่โรดส์ได้พูดไว้ น้ำพุงนั่นอยู่ติดกับหน้าผาและน้ำนั้นใสมากจนสามารถมองทะลุผ่านไปได้ ภายในมีอัญมณีโปร่งใสที่สะท้อนแสงอาทิตย์อยู่ พวกมันเป็นหินน้ำแข็ง หินระดับต่ำที่ถูกสร้างอยู่ใต้แหล่งน้ำ มันเป็นเหตุผลที่โรดส์เลือกสถานที่นี้ ไม่เพียงแต่เขาจะปล่อยให้ผู้ติดตามของเขาได้ฝึกฝน แต่เขายังสามารถเก็บหินพวกนี้มาเป็นวัตถุดิบในการเล่นแร่แปรธาตุของลาปิสได้ด้วย ถ้าเขาจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำไมเขาจึงจะไม่ทำล่ะ?


 


สำหรับเหล่าทหารรับจ้าง ชอว์น่าได้เก็บหินเหล่านั้น เธอหยิบเหยือกออกมาจากเอวและเทน้ำทิ้ง หลังจากนั้นเธอได้บอกให้คนอื่นๆเทน้ำออกมาและใส่หินเข้าไปด้านใน หลังจากที่ใส่จนเต็มสองเหยือกใหญ่ๆและมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ชอว์น่าส่งสัญญาณให้ทุกคนออกเดินทางกลับ


 


“เดี๋ยวก่อน!!” ทันใดนั้นแรนดอฟตะโกนขึ้น เขาขมวดคิ้วและย่นจมูกเล็กน้อย


 


“มีกลิ่นเลือดที่นี่”


 


“กลิ่นเลือด?”


 


ทุกคนตกใจไปชั่วขณะ หลังจากนั้นพวกเขาหยิบอาวุธของพวกเขาออกมาเป็นรวมกลุ่มเป็นวงกลมโดยเอาหลังชนกันเมื่อป้องกันรอบด้าน หลังจากที่สังหารหมู่ไปก่อนหน้านี้ สัตว์ป่าทั้งหมดต่างเกรงกลัวพวกเขาและไม่กล้าก่อปัญหาอีก นั่นจึง


เป็นเหตุผลที่ไม่มีใครถูกโจมตีเมื่อพวกเขามาถึงน้ำพุ หรือว่าจะเป็นบอสของที่นี่?


 


ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มปรากฎขึ้นมา พวกเขาพยายามสงบสติอารมณ์และฟังเสียงรอบด้านอย่างตั้งใจ ไม่นานเสียงต่ำๆดังขึ้นผ่านสายลม


 


“อ้า…อ้าาาาาา…”


 


“มีคนอยู่ที่นี่!”


 


ชอว์น่ากระโดดและวิ่งตรงไปยังต้นเสียง คนอื่นๆรีบตามเธอไปเช่นกัน ไม่นานในพุ่มไม้ไม่ไกลจากพวกเขา พวกเขาพบทหารรับจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ


 


เขาดูเหมือนนักดาบ แต่กลับไม่มีอาวุธอยู่ในปลอกดาบและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เมื่อดูจากบาดแผลสาหัสบนหลังของเขา ดูคล้ายกับว่าทหารรับจ้างคนนี้ตกมาจากหน้าผา ถ้าไม่ใช่เพราะพุ่มไม้ใหญ่นี้ เขาอาจจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าแถวนี้ไปแล้ว


 


“พวกเราควรทำอย่างไรดี พี่ใหญ่?”


 


ทหารรับจ้างที่อยู่รอบๆชายหนุ่มเริ่มเป็นกังวล พวกเขาต่างมองไปที่ชอว์น่า เพราะว่าเธอในตอนนี้เป็นหัวหน้าของกลุ่ม


 


เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามมากมาย ชอว์น่าไม่ได้ตอบในทันที แต่มองไปยังทหารรับจ้างคนนั้น หลังจากที่เห็นสัญลักษณ์ที่หน้าอกของเขา ชอว์น่าเบิกตากว้าง


 


“พาตัวเขากลับไป บางทีไลซ์อาจจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้”


 


ชอว์น่าไม่ลังเลและรีบตอบคำถามในทันที หลังจากนั้นเธอได้ให้คนๆหนึ่งแบกร่างของทหารบาดเจ็บกลับไปอย่างระมัดระวัง


 


ชอว์น่ามองไปยังแผ่นหลังของทุกคน จากนั้นเธอก้มหัววลงมองตราสัญลักษณ์ในมือของเธอ


 


มันเป็นตราสัญลักษณ์ที่เธอได้รับมาจากทหารรับจ้างคนนั้น


 


พวกเขาสามารถจินตนาการได้ว่าโรดส์จะตกใจขนาดไหนที่เห็นพวกเขาพาคนเจ็บกลับมาจากป่า เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเขาต้องหาคนอื่นกลับมา แต่ทว่าโรดส์ยังคงบอกให้ไลซ์รักษาเขา จากนั้นเขาเดินตรงไปหาชอว์น่าและถามขึ้น


 


“เกิดอะไรขึ้น? เขาเป็นใคร?”


 


“ฉันเองก็ไม่มั่นใจค่ะ”


 


เมื่อได้ยินคำถามของโรดส์ ชอว์น่าส่ายหัว


 


“พวกเราทำตามคำสั่งของคุณและไปถึงน้ำพุ พวกเราพบเขาแถวนั้นและดูเหมือนว่าเขาเพิ่งผ่านการต่อสู้อย่างรุนแรงมาก ถ้าไม่ใช่เพราะโชคของเขา เขาอาจจะไม่รอดมาถึงตอนนี้ และ….ฉันพบสิ่งนี้บนตัวเขา”


 


ชอว์น่ายื่นมือออกมาและมอบตราสัญลักษณ์ให้โรดส์


 


หลังจากที่เขาได้รับตราสัญลักษณ์


 


หลังจากที่เขารับตรามา โรดส์หรี่ตาลงเล็กน้อย


 


มันเป็นตราสัญลักษณ์สีแดง ด้านบนเป็นวงกลมและมีสัญลักษณ์เปลวเพลิงอยู่ตรงกลาง และใจกลางเปลวเพลิงมีดาบปรากฎอยู่


 


โรดส์คุ้นเคยกับตราสัญลักษณ์นี้เป็นอย่างดี ไม่กี่วันก่อน เขาเคยเห็นสิ่งที่คล้ายๆกันที่งานประชุมทหารรับจ้าง


 


มันเป็นตราสัญลักษณ์ของกลุ่มทหารรับจ้าง ‘เบิร์นนิ่งเบลด’


118 – เบิร์นนิ่งเบลดตกอยู่ในอันตราย


 


เมื่อเห็นสัญลักษณ์ในมือของเขา โรดส์สับสนทันที


 


เขาคุ้นเคยกับเบิร์นนิ่งเบลด นี่เป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่ก่อตั้งมาเป็นเวลานาน แข็งแกร่ง เป็นที่รักและเคารพอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในระหว่างการเลื่อนระดับระหว่างกลุ่มทหารรับจ้างและกิลด์ทหารรับจ้าง แต่ก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าจำนวนของสมาชิกที่อยากเข้าร่วมนั้นมีมากมาย ทำให้เบิร์นนิ่งเบลดเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่เนื้อหอมมาก หัวหน้ากลุ่มของพวกเขา ฮิลเลอร์ เองก็มีฝีมือไม่น้อย เขาทั้งฉลาด ใจเย็นและกล้าหาญ จากสิ่งที่โรดส์จำได้ ฮิลเลอร์เป็นคนนำคนของเขาออกไปพยายาม ‘หยุดความโกลาหล’ อย่างกล้าหาญ แต่น่าเสียดายพวกเขาเป็นกองกำลังเดียวที่เข้าไป ท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกกลืนหายเข้าไปในฝูงชน


 


อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องเบ่าในภายหลัง ตอนนี้สิ่งที่โรดส์สนใจมากที่สุดคือทหารรับจ้างที่ได้รับบาดเจ็บเป็นสมาชิกของกลุ่มเบิร์นนิ่งเบลดจริงหรือไม่ ถ้าเขาเป็น แล้วทำไมเขาจึงได้รับบาดเจ็บแบบนี้? เนื่องจากเบิร์นนิ่งเบลดนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่ควรที่จะมีอะไรในป่าราตรีที่สามารถทำร้ายพวกเขาได้ แม้แต่เขาก็สามารถนำสตาร์ไลท์เข้ามาเพื่อพักผ่อนได้ แต่เบิร์นนิ่งเบลดกลับเผชิญหน้ากับเรื่องร้ายแรงรึ?


 


ความคิดแรกที่ผ่านเข้ามาในหัวของเขาคือเจดเทียร์ได้ทำการโจมตีเบิร์นนิ่งเบลด อย่างไรก็ตาม เขาได้ลบความคิดนี้ออกไปเมื่อชายชราวอร์คเกอร์ได้ส่งข้อความผ่านวิหควิญญาณมาให้เขา เจดเทียร์ยังไม่ได้เคลื่อนไหวและดูเหมือนยังไม่เร่งรีบแต่อย่างใด กลุ่มของโรดส์เองก็มาที่นี่เหมือนกับมาพักผ่อน แต่กลุ่มคนที่ถูกส่งมาโจมตีพวกเขาสมควรเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มาพักผ่อนที่นี่ พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มที่น่าขยะแขยงที่มารับเงินโดยไม่ทำงาน เมื่อเทียบกับพวกมืออาชีพที่ไม่มีทางทรยศกลุ่มของตัวเองเพื่อเงินหรอกใช่ไหม?


 


ยิ่งไปกว่านั้น เบิร์นนิ่งเบลดนั้นแข็งแกร่งมาก ต่อให้มี 10เจดเทียร์ พวกเขาก็ไม่สามารถเทียบกับเบิร์นนิ่งเบลดได้ ดังนั้นพวกเขาจะกล้าโจมตีเบิร์นนิ่งเบลดได้อย่างไร? พวกเขาไม่กลัวว่าถ้ากล้าไปโจมตีเบิร์นนิ่งเบลด พวกเขาจะเป็นคนที่ลงไปนอนกับพื้นเอง? แม้ว่าสมาคมทหารรับจ้างจะออกคำสั่งห้ามต่อสู้ ถ้าหนึ่งในกลุ่มทหารรับจ้าง 3 อับดับแรกอยากทำลายกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ ต่อให้เป็นราชาจากสวรรค์ก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาไว้ได้ แฟรงค์ไม่ใช่คนโง่ ทำไมเขาต้องมาทำเรื่องโง่ๆแบบนี้ด้วย?


 


เขาถือตราสัญลักษณ์ไว้ในมือและครุ่นคิด แต่ท้ายที่สุด เขาก็ยังคิดไม่ออก ตามสถานการณ์ปัจจุบัน อาจจะเป็นกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ที่มาที่นี่เพื่อผจญภัย และเผอิญเจอบางอย่างโดยอุบัติเหตุ และร่วงตกหน้าผามา นั่นดูเป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากกว่า สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจำเป็นต้องรอจนกว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บจะตื่นขึ้น


 


โรดส์รีบสั่งการทุกคนพักผ่อนอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกไม่ดีอยู่ลึกๆในใจ เขารู้เหตุผลดีว่าทำไม แต่โรดส์ยังรอบคอบและติดต่อวอร์คเกอร์ผ่านวิหควิญญาณอีกครั้ง  จากข่าวที่เขาได้รับ ดูเหมือนว่ากลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์จะยังไม่เคลื่อนไหวอะไร


 


ดูเหมือนว่าอันตรายจะไม่ได้มาจากพวกเขา


 


แล้วความรู้สึกอันตรายนี้มาจากที่ไหนกัน?


 


โรดส์ไม่ได้คำตอบอย่างที่เขาหวังไว้ แม้ว่าทหารรับจ้างคนนั้นจะหลบหนีจากความตายมาได้ แต่นั่นเป็นเพราะเวทย์รักษาของไลซ์ ตามที่ไลซ์บอก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและคงไม่ตื่นในเร็วๆนี้ นอกจากรอแล้วเขาไม่มีอะไรที่สามารถทำได้


 


แน่นอน เขาหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรร้ายๆขึ้น แค่นี้ก็มีปัญหามากพอแล้ว


 


แต่ชีวิตไม่ได้ง่ายแบบนั้น สิ่งที่คุณหวังจะไม่เกิดขึ้น และสิ่งที่คุณไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นเสมอ


 


เมื่อมองไปที่ไลซ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาอดไม่ได้ที่จะเริ่มปวดหัว


 


“คุณอยากถามซีเลียงั้นรึ?”


 


“ค่ะ คุณโรดส์”


 


ไลซ์พยักหน้าด้วยความรู้สึกสงสัย


 


“ฉันรู้สึกสงสัยความสัมพันธ์ของพวกคุณทั้งสองคนค่ะ เธอเป็นผู้ติดตามของคุณจริงๆเหรอคะ? และทำไมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?”


 


“….”


 


โรดส์เกาหัวและไม่รู้จะตอบอะไร เขาไม่ใช่จอมเวทย์ที่ไม่เคยออกเดตกับผู้หญิงมาก่อน เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งถามเกี่ยวกับผู้หญิงอีกคน ปกติแล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะดี


 


ตอนแรก เขาหวังว่าหญิงสาวอีก 2 คนที่เหลือจะเข้ามาช่วยเหลือเขา แต่เขากลับได้แต่เสียใจ


 


แอนกำลังนอนหลับอยู่บนพื้นหญ้าอย่างเป็นปกติ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรในชีวิตของเธอสำคัญไปกว่าการกินและการหาเรื่องสนุกทำ มาร์ลีนเองก็ดูเหมือนจะติดเชื้อแบบเดียวกับไลซ์ มือของเธอจับแก้มของตัวเองและหลับตา โรดส์ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่


 


ในกรณีนี้ ไม่มีกำลังเสริมอื่นๆแล้ว


 


“เธอเป็นผู้ติดตามของผมจริงๆ” โรดส์ไม่ได้โกหก ในอีกมุมหนึ่ง วิญญาณอัญเชิญถือเป็นผู้ติดตามของเขา  “จริงๆแล้ว….มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นมากมายก่อนหน้านี้ เธอตัดสินใจเข้ามาดูแลผมและช่วยผม มันก็แค่นี้แหละ”


 


โรดส์ตอบอย่างชัดเจน เมื่อพูดถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เขาจำเป็นต้องระมัดระวังและไม่ควรอธิบายความหมายให้มันชัดเจนเกินไป บางครั้งผู้ชายนั้นจะซื่อตรงและอธิบายเรื่องต่างๆชัดเจนจนเกินไป อย่างไรก็ตาม ในความคิดของผู้หญิง นั่นทำให้ดูเหมือนว่าเขาประเมินความฉลาดของเธอต่ำเกินไปหรือไม่ก็รู้สึกผิด เนื่องจากพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้โง่ เรื่องนี้ชัดเจนพอแล้วและเขาไม่ได้อธิบายรายละเอียดมากนักอย่างเช่นการถามว่าทำไมเธอต้องใส่กระโปรงหรืออะไรแบบนั้น


 


นี่เป็นความแตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิง สำหรับผู้ชาย พวกเขาจะต้องการรายละเอียดและคำอธิบายที่ชัดเจน แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะผ่านไปแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้ชายไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงถึงชอบกวนใจพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะอธิบายทุกอย่างไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างไปจากผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เนื่องจากถ้าเขาสามารถจำได้แม้กระทั่งสีเล็บของเธอและเหตุผลที่เธอมาที่นี่ ถ้ามันไม่ใช่ว่าเขาใส่ใจผู้หญิงคนนั้น ทำไมเขาถึงจำเรื่องทั้งหมดได้ล่ะ?


 


เขาไม่อยากทำผิดซ้ำสองเหมือนกับตอนที่เขายังหนุ่ม….มันถือเป็นบทเรียนในชีวิต


 


อย่างที่คิด หลังจากที่ได้รับคำตอบของโรดส์ ไลซ์พยักหน้า เธอดูเหมือนว่าเข้าใจสิ่งที่โรดส์หมายถึง


 


เรียบร้อย


 


แม้ว่าเธอจะสับสนเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้ถามต่อ โรดส์รู้สึกโล่งใจอย่างมาก แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าโรดส์จะคิดยังไงกับคำตอบของเขา เนื่องจากเธอยอมรับมัน เขาก็เองไม่คิดจะคิดเกี่ยวกับปัญหานี้ต่อ ในโลกใบนี้ มันจะมีความสุขมากกว่าถ้ารู้น้อยลง


 


ในเวลานั้น เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น


 


“เฮือก…”


 


“เขาตื่นแล้ว!”


 


หลังจากที่ได้ยินเสียง ไลซ์รีบหันกลับไปและวิ่งตรงไปยังเต๊นท์ สีหน้าของโรดส์เปลี่ยนเป็นจริงจังขณะเดินตามเธอไป เมื่อเขามาถึงเต๊นท์ เขาเห็นทหารรับจ้างคนนั้นกำลังกระดกน้ำอย่างหิวกระหายหลังตื่นขึ้นมา ราวกับว่าเขาเพิ่งรอดตายมาจากทะเลทรายและก็พบโอเอซิสในที่สุด ไลซ์นั่งลงข้างเขาและช่วยจับถุงน้ำอย่างระมัดระวัง


 


“อ้า…”


 


หลังจากที่ดื่มน้ำไปครึ่งถุง ทหารรับจ้างคนนั้นถอนหายใจลึกๆ เขาหันมาและมองไปทางโรดส์


 


“ขอบคุณมาก ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณ ผมอาจจะ…”


 


“ไม่มีปัญหา มันเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำ”


 


โรดส์โบกมือและหยุดคำพูดของเขา หลังจากนั้นเขายื่นตราสัญลักษณ์ออกมา


 


“นี่เป็นของคุณ ใช่ไหม…ผมสงสัยว่าคุณเป็นสมาชิกของเบิร์นนิ่งเบลด คุณได้รับบาดเจ็บที่นี่ได้อย่างไร?”


 


“เรื่องนั้น….”


 


เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ ทหารรับจ้างคนนั้นตกใจเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาเริ่มจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและกระโดดขึ้นมาทันที


 


“ใช่แล้ว พวกเราถูกโจมตี! บ้าเอ้ย!! ผมต้องรีบกลับไปช่วย โอ๊ยย….”


 


แต่เมื่อเขาตื่นขึ้น เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดทั่วร่างของเขา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวและเหงื่อแตกพลั่กออกมาจากหน้าผาก มันอาจจะเป็นเพราะบาดแผลของเขา ไลซ์ที่จับตัวเขาและช่วยเขานอนลงอีกครั้ง


 


“คุณไม่สามารถขยับตัวได้ คุณได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งยังไม่ได้รับการรักษา….”


 


“แต่ผมไม่สามารถเสียเวลาอยู่ที่นี่ได้ ผมต้องรีบกลับไปที่สมาคมทหารรับจ้างและขอความช่วยเหลือ…บ้าเอ้ย….”


 


“เกิดอะไรขึ้นกับเบิร์นนิ่งเบลดงั้นรึ?”


 


หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพพูด โรดส์ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่เขาคิด แต่ว่าโรดส์ยังคงสงสัย ในป่าราตรี สิ่งที่สามารถทำร้ายกลุ่มทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้จนพวกเขาต้องไปร้องขอความช่วยเหลือจากสมาคมทหารรับจ้างคืออะไร?


 


“ใช่แล้ว คุณผู้หญิ-…”


 


หลังจากที่มองโรดส์อย่างรอบคอบ ชายคนนั้นรีบพูดแก้ไขประโยคของตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น


 


“ถ้าผมจำไม่ผิด คุณคงเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ใช่ไหม?”


 


“ใช่แล้ว ผมเอง” แม้ว่าประโยคก่อนหน้านี้จะทำให้โรดส์ขมวดคิ้ว แต่โรดส์แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและรีบพูดขึ้น “คุณบอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ ผมคิดว่าผมช่วยได้”


 


“คือว่า….”


 


หลังจากที่ได้ยินมาถึงตรงนี้ หรืออาจเป็นเพราะเขารู้ว่าเขามีบาดแผลร้ายแรงและไม่สามารถทำภารกิจของเขาได้ เขาจึงถอนหายใจและเริ่มอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น


 


หลังจากงานประชุมทหารรับจ้างจบลง ข้อแรก ฮิลเลอร์ได้นำกลุ่มทหารรับจ้างของเขามาที่ป่าราตรี เพราะว่ามันเป็นทางกลับไปยังเมืองไลท์วินด์ และข้อสองเพราะว่าเขามีความคิดเดียวกันกับโรดส์ เขาอยากฝึกผู้ติดตามของเขา แม้ว่าจะมีกฎห้ามทำภารกิจ 1 เดือน แต่สำหรับทหารรับจ้าง มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องต่อสู้ฝึกปรือเป็นครั้งคราว


 


ตอนแรกสิ่งต่างๆก็เป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่ทว่าบางสิ่งเกิดขึ้นและเบิร์นนิ่งเบลดได้เข้าไปยังอาณาเขตของอสรพิษลมและถูกโจมตี ในช่วงแรก พวกเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับอสรพิษลมมากนัก เนื่องจากพวกมันเป็นสัตว์เวทมนตร์ที่พบเห็นได้บ่อยๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาทุกคน จำนวนของอสรพิษลมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขารับรู้ว่าสถานการณ์เริ่มแย่ลง พวกเขาก็ถูกล้อมไว้โดยอสรพิษลมแล้ว


 


เนื่องจากมันเป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีออกไปสถานการณ์นี้ ฮิลเลอร์จึงตัดสินใจส่งกลุ่มเล็กๆฝ่าวงล้อมของอสรพิษลมไปเพื่อไปขอความช่วยเหลือ


 


อย่างไรก็ตาม โชคของพวกเขาไม่ดีนัก ไม่ว่าพวกมดจะอ่อนแอมากแค่ไหน แต่ถ้ามีมดเป็นร้อยหรือเป็นพันตัวมันก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาตายได้ เหมือนกันกับอสรพิษลม แม้ว่าพวกเขาจะฝ่าวงล้อมของอสรพิษลมออกมาได้ แต่พวกเขาต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส สำหรับผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย ทหารรับจ้างคนนี้ได้ตกลงมาจากหน้าผา เมื่ออสรพิษลมตัวหนึ่งไล่ล่ามาถึง โชคดีที่เขาสามารถรอดชีวิตมาได้


 


“ถูกล้อมโดยอสรพิษลมรึ?”


 


หลังจากได้ยินเรื่องนี้ โรดส์พบเรื่องที่ไม่คาดคิด กลุ่มอสรพิษลมในจำนวนไม่กี่ร้อยตัว มันอาจจะแข็งแกร่งพอที่จะโจมตีกลุ่มทหารรับจ้างขนาดเล็ก แต่มันไม่ควรแข็งแกร่งพอที่จะโจมตีกลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่ที่พร้อมรบเต็มที่หรอกใช่ไหม?


 


“จำนวนของพวกมันมีเท่าไหร่?”


 


เมื่อได้ยินคำถาม ทหารรับจ้างคนนั้นที่แต่เดิมสงบสติอารมณ์ได้เริ่มแสดงสีหน้าออกมาอย่างหวาดกลัว


 


“หลายพัน! พวกมันมีหลายพันตัว!”


 


หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ หัวใจของโรดส์ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม


 


เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่โรดส์ ในขณะนั้น เธอบีบมือแน่นและคิดแบบเดียวกัน ก่อนจะมองไปที่โรดส์


 


ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น


119 – ฝันร้ายที่ซ่อนอยู่


 


ภายใต้ค่ำคืนที่มืดมิด เด็กสาวกำลังมองท้องฟ้าด้วยความว่างเปล่า


 


ไม่มีใครอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่า ไม่เพียง “ฮึก ฮึก” ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวา


 


“คุณโรดส์? มาร์ลีน?”


 


ไลซ์ก้าวไปข้างหน้าอย่างลังเล เธอเรียกชื่อคนในกลุ่มออกมาเบาๆ แต่ไม่มีใครตอบ นี่คือที่ไหน? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? ไลซ์ไม่ได้รับคำตอบ เธอรู้สึกเพียงว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นและลมหายใจของเธอเริ่มไม่มั่นคง…..


 


เสียงฝนหยดลงมาจากท้องฟ้าบนลงใบหน้าของเธอ


 


ฝนกำลังตก?


 


ไลซ์แตะไปที่หยดน้ำฝนบนใบหน้าของเธอ เมื่อเธอแบมือออกมา เธอพบว่านิ้วมือของเธออาบชุ่มไปด้วยสีแดง เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า เธอตกตะลึงในทันที


 


เหนือหัวของเธอ มาร์ลีนกำลังมองมาที่เธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ร่างของเธอขาดเป็นชิ้นๆ อสรพิษลมนับไม่ถ้วนกำลังฉีกร่างของเธอเป็นชิ้นๆด้วยคมเขี้ยวของมัน ร่างของมาร์ลีนห้อยอยู่กลางอากาศราวกับหุ่นเชิดที่พังแล้ว มือของเธอห้อยอยู่และเลือดค่อยๆไหลลงมาผ่านปลายนิ้วของเธอและค่อยๆหยดลงพื้นอย่างช้าๆ ข้างๆเธอ มีเพียงหัวของโรดส์ถูกทิ้งไว้ หัวของเขาถูกคมเขี้ยวของอสรพิษลมเจาะทะลุ ประกายในดวงตาของเขาหายไป ในขณะนั้น ไลซ์พบว่าสิ่งที่ปกคลุมท้องฟ้าไม่ใช่ก้อนเมฆ แต่มันเป็นฝูงงู พวกมันกระพือปีกไม่หยุด ขณะที่ความโลภและความกระหายปรากฎขึ้นในแววตาของพวกมัน รวมตัวกันเป็นความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด


 


เสียงกระพือปีกของพวกมันดังขึ้นเรื่อยๆ


 


“มาร์ลีน!! คุณโรดส์!!”


 


ไลซ์ตะโกนออกมาในที่สุด ความรู้สึกกลัวและเศร้าได้ไหลทะลักเข้ามาในจิตใจของเธอ ร่างของเธอสั่นทึม แม้ว่าภาพตรงหน้าของเธอจะค่อยๆพร่ามัว อสรพิษลมที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารของมันเหมือนจะได้ยินเสียงตะโกนของเธอ พวกมันคำรามและพุ่งตรงเข้าไปหาเธอ มันสายเกินไปที่เธอจะยกมือขึ้นขวาง ในวินาทีถัดมา เธอรู้สึกได้ถึงคมเขี้ยวของพวกมันที่กัดไปที่ลำคอของเธอ


 


เธอลืมตาขึ้นทันที


 


เธอมองไปยังเต๊นท์ตรงหน้าด้วยความว่างเปล่าและในที่สุดก็รู้สึก เธอหันไปมองรอบๆและเห็นมาร์ลีนกำลังหลับอยู่ข้างเธอ จากรอยยิ้มของมาร์ลีน เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังฝันดี


 


“มันเป็นแค่ความฝัน…มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น…”


 


ไลซ์โล่งอก แต่เมื่อเธอรู้สึกตัวมือของเธอก็ยังไม่หยุดสั่น สิ่งที่เกิดขึ้นในความฝันมันเหมือนจริงมากเกินไป แม้แต่ตอนนี้ เธอยังจำใบหน้าเหล่านั้น เลือด มันช่างน่าสยดสยอง…


 


“เอือก…!!”


 


เมื่อคิดถึงตอนนี้ ไลซ์รู้สึกได้ถึงความสะอิดสะเอียน เธอรีบปิดปากและวิ่งออกไปด้านนอกเต๊นท์ เธอคลานไปข้างลำธารและอ้วกออกมา


 


“อ้วกกก….”


 


เมื่อคลานไปอยู่บนหิน ร่างของเธอรู้สึกอ่อนเพลีย เธอไม่สามารถหยุดอาการสั่นได้ สายลมเย็นๆที่พัดเข้ามาทำให้เธอหนาวสั่นราวกับกระตายที่กำลังหนาวเหน็บ แม้จะเป็นอย่างนั้น เธอก็ยังไม่สามารถลืมฝันร้ายก่อนหน้านี้ได้ มันดูเหมือนเป็นเรื่องจริง เธอแตะไปที่ลำคอของเธอและนึกถึงภาพที่ลำคอของเธอถูกกัดโดยคมเขี้ยวของมันอีกครั้ง


 


“อ้วกกก….”


 


ไลซ์มองลงไป


 


ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ฉันยังไม่ดีขึ้นอีกเหรอ? ฉันควรไม่เป็นไรแล้วสิ คุณโรดส์เองก็บอกว่าฉันจะไม่เป็นอะไร แต่ไม่รู้ทำไม….มันเป็นเพียงแค่ความฝัน ไลซ์ ไม่เป็นไร เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง เธอต้องนึกไว้ อย่ากลัว อย่าไปกลัว…


 


ไลซ์กำมือแน่นและไม่หยุดพูดกับตัวเอง อย่างไรก็ตาม ร่างของเธอยังคงสั่นมากขึ้นไปอีก ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปยังร่างของเธอ เหงื่อเย็นๆไหลท่วมไปทั่วร่างทำให้เธอเริ่มมึนงงและเริ่มไม่ฟังเสียงของเธอ ในเวลาเดียวกัน เธอรู้สึกเหนื่อยมาก เธอหลับตาและหลับไปในที่สุด….


 


ในเวลานี้ เสียงหนึ่งดึงเธอกลับเข้ามาสู่ความเป็นจริง


 


“พี่ไลซ์ เกิดอะไรขึ้น?”


 


ไลซ์เงยหน้าขึ้น เธอมองไปยังลาปิสที่ดึงเสื้อคลุมขึ้นมาและกำลังเดินออกมานอกเต๊นท์ ขณะมองไปยังเธอ เมื่อเธอเห็นไลซ์ เธอดูเหมือนตกใจ ดังนั้นเธอจึงรีบออกมาจากเต๊นท์และวิ่งตรงมายังไลซ์


 


“พี่ไลซ์ เกิดอะไรขึ้นคะ? พี่ไม่เป็นไรนะ? ฉันควรไปเรียก….”


 


เมื่อพูดได้เพียงครึ่งเดียว ลาปิสหยุดลง เมื่อหน้าที่รักษาในกลุ่มเป็นหน้าที่ของไลซ์ แต่ตอนนี้กลับเป็นไลซ์ที่ป่วย ลาปิสไม่รู้ว่าเธอควรไปหาใคร…เธอไม่สามารถขอให้ไลซ์ช่วยรักษาตัวเองได้ใช่ไหม?


 


“ไม่จำเป็น” ไลซ์พูดขึ้น และดึงมือของลาปิส เธอยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและส่ายหัว


 


“ฉันแค่ฝันร้ายและเหนื่อยนิดหน่อย….ฉันขอไปนอนกับเธอได้ไหม?”


 


ตอนแรกไลซ์วางแผนจะไปนอนที่เต๊นท์ของเธอ แต่เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับมาร์ลีน เธอเปลี่ยนใจทันที เธอไม่สามารถลืมฝันร้ายได้หลังจากที่เห็นมาร์ลีนอีกครั้ง เธอไม่อยากปลุกมาร์ลีนให้ตื่นและทำให้เธอกังวล เนื่องจากนี่เป็นปัญหาของไลซ์


 


“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา!”


 


หลังจากได้ยินคำขอของไลซ์ ลาปิสตกลงโดยไม่ลังเล หลังจากนั้นเธอประคองร่างของไลซ์และพาเธอเข้าไปยังเต๊นท์


 


ต่างจากคนอื่นๆ เต๊นท์ของลาปิสสำหรับนอนคนเดียว มันไม่ได้เป็นเพราะเธออยากจะทำตัวพิเศษเหมือนกับโรดส์ แต่ในฐานะอัลเคมิสต์ สภพาแวดล้อมที่เงียบเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเธอ ในขณะนี้ เครื่องมือเล่นแร่แปรธาตุมากมายถูกวางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้นวางในเต๊นท์ของลาปิส มันมีของเหลวสีดำและเขียวกำลังกลิ้งอยู่ภายในและให้สีสันและรสสัมผัสที่แปลก


 


“ทำไมเธอยังไม่นอนล่ะ?”


 


“หัวหน้าบอกให้ฉันทำเรื่องพวกนี้ให้เสร็จ”


 


เมื่อได้ยินคำถามของไลซ์ สีหน้าของลาปิสมืดมนเล็กน้อยและเธอตอบออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้ยินคำตอบของเธอ ไลซ์ยิ้ม แน่นอน เธอรู้ว่าทำไมลาปิสถึงเศร้าสร้อยแบบนี้ ในช่วงกลางวัน โรดส์ได้มห้ชอว์น่าและคนอื่นๆไปหาสมุนไพรป่าในป่า หลังจากนั้นเขายกมันทั้งหมดพร้อมทั้งสูตรการปรุงให้กับลาปิส โรดส์อยากให้เธอทำโพชั่นตามสูตรเหล่านี้ แม้ว่าลาปิสยากจะเถียงกับโรดส์ แต่เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ‘หยุดพูดเรื่องไร้สาระและทำสิ่งที่ผมบอก’ และทิ้งเธอไว้ ในขณะนั้น เธอทำได้อย่างเดียวคือสิ่งที่โรดส์บอกให้ทำ โรดส์ไม่อยากอธิบายและอยากให้เธอทำสิ่งที่เขาขอ สำหรับอย่างอื่น เขาดูเหมือนไม่สนใจ


 


แม้ว่าลาปิสจะรู้สึกว่าหัวหน้าค่อนข้างเผด็จการ แต่เธอไม่มีทางเลือก ใช่ไหม?


 


เธอทำได้เพียงกัดฟันและยอมรับ เนื่องไม่ว่าอะไร คนอื่นๆก็ได้รับหน้าที่ในกลุ่ม มีเพียงเธอที่ไม่มีอะไรทำ นี่ทำให้เธอรู้สึกผิดเล็กน้อย โดยปกติแล้ว ลาปิสจะรู้สึกดีใจที่เธอได้มีส่วนร่วมบางอย่างกับกลุ่มในตอนนี้


 


“มาเถอะ พี่ไลซ์ นี่เป็นชาสมุนไพร มันจะช่วยให้พี่รู้สึกดีขึ้น”


 


ลาปิสส่งชามาให้ไลซ์ ไลซ์รับชาและมองไปยังเต๊นท์ที่อบอุ่นตรงหน้าเธอ มันทำให้เธอและความคิดของเธอสงบลง


 


“ขอบใจมากนะ ลาปิส แต่…ทำไมเธอถึงแต่งตัวแบบนี้ตอนอยู่ในเต๊นท์ล่ะ?”


 


เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าเธอ ไลซ์อดไม่ได้ที่จะสงสัย แม้ว่าจะเป็นในเต๊นท์ ลาปิสก็ยังคงสวมชุดคลุมและดูเหมือนว่าเธอไม่มีแผนจะถอดมันออกและไม่เพียงแค่เธอเท่านั้น พี่ชายของเธอยังคงทำสิ่งเดียวกัน บอกตรงๆ ไลซ์เองก็สงสัยเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว


 


“ฉันเองก็แต่งตัวแบบนี้มานานมากแล้ว ยังไงก็เถอะ พี่ไลซ์ พี่ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”


 


เมื่อเห็นไลซ์ดื่มชาอุ่นๆของเธอด้วยความสบายใจ ลาปิสถามขึ้นมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ไลซ์ยิ้มออกมาและส่ายหัว


 


“ไม่มีอะไรหรอก ลาปิส ฉันแค่ฝันร้ายน่ะ….มันเป็นฝันร้ายที่ฉันไม่อยากจำและพูดถึงมันอีก”


 


“โอ้….”


 


หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ไลซ์พูด ลาปิสดูเหมือนจะเข้าใจและพยักหน้า เธอไม่เข้าใจอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่ไลซ์หมายถึง แต่เธอรู้สึกว่าเนื่องจากไลซ์ไม่อยากพูดเกี่ยวกับมัน เธอก็จะไม่พูดถึงมันอีกและกลับไปนั่งตรงหน้าชั้นวางไม้และเริ่มปรุงโพชั่นต่อ


 


ใช่แล้ว มันเป็นแค่ความฝัน….


 


ไลซ์นั่งมองร่างของลาปิส จากนั้นเธอค่อยๆหลับตาลงและรู้สึกง่วงนอน ก่อนที่จะหลับสนิทไปในทันที


 


ไลซ์ไม่รู้เลยว่าเธอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ลาปิสที่กำลังวุ่นอยู่กับการปรุงโพชั่น หันกลับมาและลอบมองไปที่ไลซ์ เธอเดินไปหาไลซือย่างระมัดระวังและดังผ้าห่มของเธอขึ้น เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวและสงบนิ่ง ลาปิสลังเลไปชั่วขณะ เธอเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและหยิบตราเวทมนตร์สีเขียวอ่อนออกมาและวางลงไปที่หน้าผากของไลซ์


 


แสงสีเขียวอบอุ่นแผ่ออกมาจากตรานั่นและห่อหุ้มร่างของไลซ์ หลังจากนั้น แสงค่อยๆจากหายไป สีหน้าไลซ์ดูดีขึ้น ในทางกลับกันเป็นลาปิสที่ขมวดคิ้ว เธอกำมือทั้งสองข้างแน่นและลอบมองไปยังไลซ์ จากนั้นเธอมองออกไปนอกเต๊นท์


 


“คงจะดีกว่าถ้าบอกหัวหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้….”


 


ลาปิสพูดกับตัวเอง เธอหมุนตัวและเดินออกไปจากเต๊นท์

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม