Summoning the Holy Sword 106-112

 106 – หลอก?


 


น้ำแข็งไม่สามารถสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของเซนทอร์ได้ เพียงแค่ยกโล่ขึ้นและป้องกันการโจมตีเหล่านั้น


 


เมื่อเผชิญหน้ากับการพุ่งเข้ามาของอัศวินเซนทอร์ แม้แต่นักดาบเกราะหนักก็ถูกบังคับให้ถอย


 


แต่ในขณะที่เขาหมุนตัวถอยกลับไปหลายก้าว โชคชะตาของเขาได้ถูกตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว


 


นักดาบเกราะหนักยกดาบขึ้นและตั้งใจจะสวนกลับ ทันใดนั้นเงาตะคุ่มปกคลุมเหนือร่างของเขา เมื่อเขามองผ่านไหล่ของเขาออกไป เขาเห็นร่างอันใหญ่โตของอัศวินเซนทอร์ที่สูงกว่าเขาหลายเซนติเมตรอยู่ไม่ห่างไปจาใบหน้าของเขา!


 


บ้าเอ้ย!!


 


นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาสามารถจำได้ก่อนที่สติของเขาจะหลุดลอยไป อัศวินเซนทอร์ฟาดโล่ไปยังหน้าอกของเขาและส่งเขาลอยไป เมื่อร่วงลงพื้น เขาได้แต่ครางออกมาและเอามือกุมท้องเอาไว้


 


เขาได้ออกจากการต่อสู้แล้ว


 


“แอนดอน!”


 


เรนเจอร์หนุ่มที่เป็นคนโจมตีไม่คิดว่าเพื่อนของเขาจะพลาดท่าในการโจมตีเดียว ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขาตกใจอย่างมากและปล่อยลูกธนูตรงไปยังอัศวินเซนทอร์พลางถอยหลังออกไป แผนเดิมของเขาคือจะให้นักดาบไปดึงความสนใจของอัศวินเซนทอร์ ในขณะที่พวกเขาทั้งสามหาโอกาสโจมตี แต่ทว่าแผนของเขาต้องเปลี่ยนภายในเวลาไม่ถึง 10 วินาที เรนเจอร์หนุ่มไม่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในแผนนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงถอยหลังและคิดหาทางเลือกอื่นๆ


 


ในขณะนั้น โจรที่ได้ซ่อนตัวอยู่นั้นเริ่มเคลื่อนไหวออกมา


 


ถ้าเขารู้ว่าแอนดอนจะพลาดท่า เขาจึงไม่ลังเลและถอยเหมือนกับเรนเจอร์หนุ่มคนนั้น แต่มันสายเกินไปแล้ว ตอนที่เขาโจมตี แอนดอนได้ถูกล้มไปเรียบร้อยแล้ว ในพริบตา ผลลัพธ์ก็ออกมาเช่นเดียวกัน


 


ถ้าอัศวินเซนทอร์ไม่ออมมือเอาไว้ บางทีซี่โครงของเขาอาจจะแตกไปแล้ว


 


เมื่อสองคนออกจากการต่อสู้ไป อัศวินเซนทอร์พุ่งความสนใจไปที่แรนดอฟและพุ่งตรงไปหาเขา


 


“ลาปิส!”


 


แรนดอฟดึงคันธนูออกมาอย่างรวดเร็วและตะโกนออกมา เขายิงธนูออกไปอีก 1 ดอกที่หน้าอกของเซนทอร์ แต่ถูกเกราะของมันป้องกันไว้ได้ เด็กสาวที่แรนดอฟตะโกนเรียกรู้สึกตัวและคว้าไปที่ขวดอีกใบหนึ่ง ก่อนที่จะปามันลงไปตรงหน้าแรนดอฟ


 


บนพื้นที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อัศวินเซนทอร์เกือบเข้าถึงตัวแรนดอฟ ร่างอันใหญ่โตของมันหยุดชะงักและเอียงตัวไปด้านข้างอย่างช้าๆ อัศวินเซนทอร์ตกที่นั่งลำบากแล้ว ขาหน้าของมันจมลงไปในพื้นและดูเหมือนว่าจะเป็นโคลน มันเริ่มดูดขาของมันลงไปลึกขึ้นยิ่งมีนเคลื่อนไหว


 


“นั่นเป็นการผสานธาตุอย่างแท้จริง”


 


มาร์ลีนพูดออกมาและลูบคางด้วยนิ้วของเธอ เธอมองไปยังเด็กสาวด้วยความสงสัยและดวงตาที่เป็นประกาย


 


“นั่นแปลกมาก….เนื่องจากเธอได้เรียนเกี่ยวกับการผสานธาตุ ทำไมเธอถึงเลือกใช้เวทย์เริ่มต้นแบบนี้?”


 


เมื่อโรดส์เห็นว่ามาร์ลีนกำลังพูดกับตัวเอง เขาเลือกที่จะเงียบ เขากำลังให้ความสนใจไปที่เด็กสาวที่ชื่อลาปิส สำหรับสิ่งที่มาร์ลีนคิด โรดส์รู้ความสงสัยของเธอดี


 


ปกติแล้วเมื่อบางคนสามารถไปถึงระดับผสานธาตุได้แล้ว นั่นหมายถึงความสามารถของคนๆนั้นจะเทียบได้กับอัลเคมิสต์เต็มตัว อัลเคมิสต์สามารถสร้างไอเทมเวทมนตร์และร่ายเวทย์ระดับต่ำผ่านการปรุงยา แต่ลาปิสไม่ได้แสดงอุปกรณ์เวทมนตร์ใดๆออกมาหรือแม้แต่ร่ายเวทย์ระดับต่ำ ทั้งหมดที่เธอทำคือการเลียนแบบเวทย์ระดับฝึกหัด แม้ว่าเวทย์ของเธอจะยอมรับได้ แต่ต้องผ่านการฝึก และมันก็ไม่ใช่ปัญหาที่เธอเก็บเวทย์เหล่านั้นไว้ในขวด เนื่องจากพวกมันสามารถเรียนรู้ได้ง่าย


 


เป้าหมายของการเล่นแร่แปรธาตุคือการทำเรื่องยากๆให้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่ลาปิสทำมาทั้งหมดนั้นคือการทำให้สิ่งต่างๆยุ่งยากมากขึ้น


 


สำหรับอัลเคมิสต์ระดับนี้ ไม่เพียงแต่มาร์ลีนจะเมินเฉยใส่ แต่มันยังถูกป้องกันได้โดยบาเรียของไลซ์ แทนที่จะเสียเวลาปรุงเวทย์ไว้ในขวด แสดงสกิลเรนเจอร์ของเธอออกมาไม่ดีกว่าเหรอ?


 


เมื่อพวกเขาทั้งสองคนยังพยายามมองหาความตั้งใจของเธอ แต่การต่อสู้ได้ถูกตัดสินไปแล้ว


 


แม้ว่าพวกเขาจะรับมืออัศวินเซนทอร์ได้อย่างน่าประหลาดใจ แต่แรนดอฟไม่สามารถจัดการได้ เมื่ออัศวินเซนทอร์รู้ว่ามันไม่สามารถออกมาจากกับดักได้ มันจึงปาหอกไปทางแรนดอฟโดยที่เขาไม่ได้เตรียมตัว ในระหว่างที่กำลังยิงธนูออกมา เขาไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลาและเป็นคนที่สามที่ออกนอกการทดสอบ


 


ลาปิสที่กำลังยินอยู่เป็นคนสุดท้าย เมื่อรู้ว่าพี่ชายของเธอออกไแล้ว เธอจึงพยายามโจมตีศัตรูโดยการใช้การเล่นแร่แปรธาตุ แต่ด้วยความสามารถของเธอทำให้โรดส์และมาร์ลีนถอนหายใจออกมาในเวลาเดียวกัน


 


อัศวินเซนทอร์รับรู้การเคลื่อนไหวของเธอและปาโล่ไปยังเธอ เสียงกรีดร้องดังออกมาเมื่อโล่พุ่งผ่านศีรษะของเธอ ลาปิสในตอนนี้สูญเสียความกล้าและล้มลงเอามือกุมหัวของเธอทันที เห็นได้ชัดว่าเธอลืมสิ่งที่เธอควรทำไปหมดแล้ว


 


กลุ่มมือใหม่


 


ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบใช้เวลาไม่ถึง 30 วินาทีสำหรับอัศวินเซนทอร์ในการเก็บกวาดพวกเขาทั้งหมดให้ลงไปนอนกองที่พื้น โรดส์ส่ายหัวเล็กน้อย บอกตรงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แย่กว่าพวกผู้เล่นมือใหม่เสียอีก


 


การขอให้พวกเขาออกไปทำภารกิจกับเขาด้วยผลลัพธ์แบบนี้งั้นรึ?


 


เป็นไปไม่ได้


 


โรดส์เรียกวิญญาณอัญเชิญกลับ


 


จากสีหน้ามืดมนของโรดส์ ทั้งสี่รู้ว่าพวกเขาแสดงความสามารถของออกมาได้อย่างไม่น่าพอใจ


 


“บอกตรงๆ….ความสามารถของพวกคุณต่ำกว่าที่ผมต้องการไว้มาก”


 


โรดส์ไม่ได้ใส่คำหวานไว้ในคำพูดของเขา นี่ทำให้สีหน้าของแต่ละคนเริ่มย่ำแย่มากขึ้น แต่พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่โรดส์พูดเป็นความจริง


 


“ผมจะให้โอกาสพวกคุณอีกครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ ผมจะสอนวิธีการฝึกฝนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวคุณเอง ถ้าคุณสามารถพัฒนาได้สำเร็จ คุณอาจจะมีโอกาสได้มาเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของกลุ่มทหารรับจ้างของผม แต่ถ้าล้มเหลว ผมก็ขอโทษด้วย…”


 


โรดส์แบมือออกมา


 


“คุณสามารถเป็นคนรับใช้ที่นี่ได้”


 


ทั้งสี่คนตกใจและเงยหน้ามองไปที่โรดส์ แรนดอฟอ้าปาก แต่ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของเขา พวกเขาไม่สมคารถูกปฏิบัติเช่นนี้ แรนดอฟสามารถบอกได้ว่าความสามารถของพวกเขาอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์จริงๆ


 


ในอดีต พวกเขาสามารถเมินเฉยต่อระดับสกิลได้เพราะว่าแอนเป็นแกนหลักในกลุ่มของเขา แต่ตอนนี้เธอออกไปแล้ว และพวกเขาพบว่าพวกเขาไม่สามารถจัดการหน้าที่กันได้อย่างเหมาะสมเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง


 


พวกเขาสามารถเป็นทหารรับจ้างได้อยู่ใช่ไหม?


 


ขณะที่แรนดอฟจมอยู่ในความคิด เสียงของโรดส์ดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง


 


“คำตอบของคุณล่ะ?”


 


“ได้ครับ!!”


 


แรนดอฟยืนขึ้นและตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


“พวกเรารับประกันว่าพวกเราจะทำตามคำขอของคุณได้อย่างแน่นอนครับ”


 


“ผมก็หวังไว้เหมือนกัน”


 


คำตอบของแรนดอฟไม่ได้ทำให้โรดส์มั่นใจแต่อย่างใด


 


โชคดีที่ชอว์น่าเตือนพวกเขาเกี่ยวกับอารมณ์ของโรดส์ ไม่เช่นนั้นแรนดอฟคงคิดว่าเขาไม่สนใจอะไรเลย แต่มุมมองของโรดส์ที่ทิ้งไว้ให้ทำให้เขารู้สึกโกรธ บางทีเขาอาจจะไม่กระวนกระวายใจมากนัก ถ้าเขาได้รับรอยยิ้มกลับมาบ้าง


 


“แต่ผมมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากถามเกี่ยวกับลาปิส”


 


เมื่อได้ยินแบบนี้ แรนดอฟตื่นตัวขึ้นมาทันที ลาปิสจับขากางเกงพี่ชายของเธอไว้ทันที และมองไปยังชายหนุ่มที่แก่กว่าเขาไม่กี่ปี แม้ว่าโรดส์จะเห็นว่าพวกเขาทั้งสองกังวล แต่เขาไม่คิดจะหยุดและพูดต่อทันที


 


“ผมเห็นว่าคุณอยู่ในระดับผสานธาตุ แต่ทำไมคุณถึงไม่ใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ล่ะ? มันไม่น่าจะยากที่เธอจะใช้เวทย์ระดับต่ำ ทำไมถึงพยายามสร้างแต่เวทย์เบื้องต้น?”


 


“เอ่อ-…คือว่า”


 


สีหน้าของแรนดอฟผ่อนคลายเล็กน้อยหลังจากที่เข้าใจสิ่งที่โรดส์ถามออกมา มันไม่ใช่คำถามที่แปลก ในมาร์คไวท์ก็ถามพวกเขาแบบเดียวกันในการรับสมัคร


 


“ลาปิสไม่ได้มีพรสวรรค์มาก เธอชอบการเล่นแร่แปรธาตุและสามารถเข้าใจทุกทฤษฎีได้ตั้งแต่เด็ก แต่ว่าเธอชะงักอยู่ที่คอขวดและไม่สามารถพัฒนาได้มาตั้งแต่นั้น ใช่ครับ เธอมีความสามารถในการผสานธาตุ แต่เธอไม่สามารถสร้างโพชั่นระดับสูงได้…”


 


“เดี๋ยวก่อน”


 


สีหน้าของโรดส์แปลกไปทันทีและหยุดก่อนที่โรดส์จะพูดต่อ อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของมาร์ลีนเองก็แปลกประหลาดเช่นกัน


 


“คุณหมายความว่า….เธอสามารถเข้าใจทุกวิชาในการเล่นแร่แปรธาตุเหรอ? ตั้งแต่ศาสตร์การรังสรรค์ลึกลับ โพชั่นไปจนถึงโครงสร้าง ทั้งหมดนี้เลยเหรอ?”


 


“ค่-ค่ะ ท่าน”


 


ในครั้งนี้ ลาปิสตอบออกมาด้วยตัวเองอย่างกล้าๆกลัวๆ


 


“ฉัน เมื่อฉันได้เรียนการเล่นแร่แปรธาตุ ฉันคิดว่าวิชาการเล่นแร่แปรธาตุทั้งหมดทุกวิชาจำเป็นต้องเรียนไปพร้อมกัน ดังนั้น…”


 


“….”


 


โรดส์และมาร์ลีนมองหน้ากันและไร้คำพูด พวกเขาในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงทำแบบนั้นได้


 


เหมือนกับคนที่เรียนภาษาต่างประเทศ พวกเขาจะเรียนภาษาๆหนึ่งในเวลานั้น แต่สำหรับลาปิส เธอเลือกที่จะเรียนทั้งหมดในครั้งเดียว นั่นทำให้ความสามารถและความรู้ของเธอแตกต่างกันเป็นอย่างมาก การผสานธาตุเป็นพื้นฐานที่แท้จริงของการเล่นแร่แปรธาตุ แต่บ่อยครั้งที่ผู้คนมักจะเชี่ยวชาญเพียงวิชาเดียว ถ้าเธอเลือกเรียนในศาสตร์การรังสรรค์ลึกลับ การผสานธาตุของเธอจะสามารถสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ได้ ถ้าเธอเลือกที่จะเรียนเรื่องการสร้างโพชั่น การผสานธาตุของเธอจะถูกใช้ไปในการสร้างโพชั่น และถ้าเธอเลือกเรียนในเรื่องของโครงสร้าง การผสานธาตุของเธอจะถูกใช้เป็นแกนกลางในการเพิ่มพูนโครงสร้างเวทมนตร์


 


วิชาที่แตกต่างกันจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน แต่เด็กสาวผู้โลภมากคนนี้ต้องการกลืนกินทั้งหมดในครั้งเดียว


 


บางทีนี่อาจจะเรียนคนพวกนี้ได้ว่าเป็นพวกไม่มีความกลัว


 


แต่สิ่งที่ทำให้มาร์ลีนและโรดส์ไร้คำพูดคือความสามารถของเธอจากการเรียนรู้วิชาทั้งสาม ปกติแล้วคนทั่วไปจะใช้เวลาทั้งชีวิตศึกษาเรียนวิชาเดียวไปทั้งชีวิต แม้ว่าพวกเขาจะโลภมากและต้องการเรียนเพิ่ม พวกเขาก็ไม่มีเวลา


 


แม้แต่ผู้เล่นยอดมนุษย์ก็ไม่สามารถหลีกหนีข้อจำกัดนี้ไปได้ เมื่อผู้เล่นต้องเลือกวิชา มันจะกินแต้มสกิล 1 แต้ม ถ้าพวกเขาต้องการปลดล็อคอีกวิชาหนึ่ง พวกเขาต้องเสียเพิ่มอีก 5 แต้มสกิล แต้มสกิลเหล่านี้จะถูกใช้ไปกับการเลื่อนระดับไป 6 แต้ม ดังนั้นการใช้แต้มสกิลมหาศาลทำเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ดูไร้สาระ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกๆวิชามีสกิลที่แตกต่างกันและต้องการความรู้ที่แตกต่างกัน แม้ว่าผู้เล่นที่น่าเบื่อที่สุดที่ต้องการจะเป็นราชาแห่งอัลเคมิสต์ยังไม่สามารถทำได้ ถ้าไม่ใช้เวลาไปกับเรื่องนี้นานถึง 5 ปี


 


อย่างน้อยจากที่โรดส์จำได้ จากช่วงเวลาหลายปีในการเล่น Dragon Soul Continent Online เขาไม่เคยเห็นใครที่สามารถประสบความสำเร็จในการเรียนวิชาทั้งสามได้ในการเล่นแร่แปรธาตุมาก่อน


 


แต่ตอนนี้มีบุคคลประหลาดอยู่ตรงหน้าเขาที่ทำได้ ถึงจะเป็นแค่ส่วนของทฤษฎี


 


เธอเป็นอัจฉริยะใช่ไหม?


 


ในขณะนั้นโรดส์รู้สึกหมดหนทางอย่างเต็มที่ เขาตบไปที่ไหล่ของเธอและให้คำแนะนำ


 


“ไอ้หนู….แค่นั้นก็พอแล้ว…ลบตัวละครทิ้งแล้วไปเล่นใหม่ซะ”



107 – การเข้าร่วมประชุมทหารรับจ้าง


 


แน่นอนโรดส์ล้อเล่น ไม่มีทางที่เธอจะลบตัวละครของเธอได้ เนื่องจากโลกใบนี้ไม่ใช่เกม


 


โรดส์และมาร์ลีนรู้สึกสงสารเธอ เธอมีพรสวรรค์ แต่เธอไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องเกี่ยวกับเส้นทางของนักเล่นแร่แปรธาตุ บางทีถ้าเธอได้รับ เธออาจจะกลายเป็นหนึ่งในอัลเคมิสต์อัจฉริยะคนถัดไปในทวีป


 


แต่โรดส์ไม่ได้วางแผนจะให้เธอยอมแพ้ เนื่องจากลาปิสได้เข้าร่วมกับสตาร์ไลท์แล้ว เขาจะพยายามและช่วยเหลือเธอให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ว่าลาปิสทำในสิ่งที่ผู้เล่นไม่สามารถทำได้ แต่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับ NPC ที่มีบุคคลิกแตกต่างไปจากผู้เล่น โรดส์จึงหันไปหามาร์ลีนซึ่งมองมาทางเขา เหมือนกับจอมเวทย์อัจฉริยะที่อยู่ข้างเขาซึ่งเรียกได้ว่าชำนาญ ‘เวทมนตร์ทุกรูปแบบ’


 


“มันเป็นไปไม่ได้หรอก คุณโรดส์”


 


มาร์ลีนพูดขึ้นราวกับว่าอ่านความคิดของโรดส์ได้


 


“ขณะที่ฉันเรียนวิธีการปรุงโพชั่น ฉันไม่มั่นใจเกี่ยวกับอีก 2 วิชาเลย แม้ว่าคุณจะให้ฉันสอนเธอ ฉันก็สอนสิ่งที่ฉันไม่รู้ไม่ได้หรอกนะ”


 


นั่นแสดงให้เห็นว่าการเป็นอัจฉริยะไม่ได้หมายความว่าเธอจะทำได้ทุกอย่าง


 


“แค่ลองเอง”


 


โรดส์เข้าใจความยากของมาร์ลีนเหมือนกับคลาสของเขาที่มีปัญหาคล้ายๆกัน หนึ่งในสกิลที่จำเป็นสำหรับคลาสนักดาบอัญเชิญคือศาสตร์การรังสรรค์ลึกลับเหมือนกัน


 


มาร์ลีนมองด้วยความสับสนบนหน้าตัวเอง ความมั่นใจที่มีเป็นปกติของเธอไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว โรดส์รู้ดีว่าเขาไม่ควรฝืนเร่งสิ่งต่างๆให้เร็วขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ขอร้องให้เธอทำหน้าที่นี้ ถ้าเธอไม่สามารถทำได้ แต่เขาไม่มีใครที่มีความรู้เวทมนตร์ไปมากกว่าเธอ ดังนั้นเขาจึงอยากให้เธอลอง


 


หลังจากที่จ้างทั้งสี่คนมา โรดส์บอกชายชราวอร์คเกอร์ให้หยุดรับสมัครคน


 


ด้วยการเพิ่มเข้ามาของชอว์น่า แรนดอฟ ลาปิสและคนอื่นๆ สตาร์ไลท์ได้มีจำนวนสมาชิกขั้นต่ำ 12 คนแล้ว ถึงมันจะใช้เวลา แต่โรดส์ก็ทำได้


 


แม้ว่าจะไม่มีอัจฉริยะในบรรดาคนที่รับเข้ามาใหม่ แต่โรดส์ก็ไม่ได้กังวล ทหารรับจ้างเหล่านี้ยังเด็กและมีเวลาฝึกเพียงพอ โรดส์ครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวหน้ากิลด์ขนาดใหญ่ ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับการพัฒนามือใหม่ ตราบเท่าที่เขามีเวลามากพอ เขามั่นใจว่าเขาสามารถพาพวกเขามาถึงมาตราฐานทั่วไปของผู้เล่นทั่วไปได้ ขณะเดียวกันเขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาสามารถฝึกพวกเขาจนไปถึงระดับเดียวกับมาร์ลีนได้ อย่างน้อยพวกเขาก็พึ่งพาตัวเองได้ในการทำภารกิจ


 


ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มลงตัวแล้ว โรดส์มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ


 


การเข้าร่วมประชุมของสมาคมทหารรับจ้าง


 


เมื่อโรดส์มาถึงสมาคมทหารรับจ้าง มันเริ่มมืดแล้ว


 


“สวัสดีครับ คุณโรดส์”


 


ทหารรับจ้างคนหนึ่งที่มีต้อนรับแขกได้ออกมาทำความเคารพโรดส์ด้วยความสุภาพและเชิญเขาเข้าไปด้านใน เมื่อเขาเข้ามาในห้องโถง เขาพบกับสมาคมทหารรับจ้างที่ดูแตกต่างไปจากปกติ


 


โต๊ะและเก้าอี้สำหรับทหารรับจ้างได้หายไปหมด เหลือเพียงเฟอร์นิเจอร์เพียงอย่างเดียวคือเก้าอี้ 32 ตัวหันเข้ามากับเป็นวงกลมมาในทิศทางของศูนย์กลางห้องโถง ผู้คนมากมายได้มาถึงแล้ว ทำให้ห้องโถงขนาดใหญ่ดูหนาแน่นมาก


 


บางส่วนกำลังโต้เถียงกันอย่างเงียบๆ ในขณะที่คนอื่นๆทะเลาะกันอย่างเปิดเผย และในบรรดาพวกเขามีบางคนไม่มีความสุข และอีกฝ่ายหนึ่งจ้องมองที่ฝ่ายหนึ่งด้วยสายตาเย็นชา


 


คนพวกนี้เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างทั้ง 32 คนในเขตภาฟิวด์ ในขณะนี้ พวกเขาทั้งหมดได้มารวมตัวกัน


 


การมาถึงของโรดส์ได้ส่งผลให้ผู้คนมากมายหยุดคุยและให้ความสนใจไปยังร่างของดาวรุ่งคนใหม่ สตาร์ไลท์ได้ก่อตั้งขึ้นมาอย่างไม่มีความอายจากการเกือบล่มสลายของกลุ่มก่อนหน้านี้ อีกทั้งฐานบัญชาการของกลุ่มยังเป็นรางวัลที่น่าสนใจมาจากภารกิจที่พวกเขาทำ ยิ่งไปกว่านั้น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสตาร์ไลท์และเจดเทียร์เป็นตัวจุดประกายความแตกแยกท่ามกลางบรรดากลุ่มทหารรับจ้าง เหตุการณ์นี้ดึงสตาร์ไลท์ลงมาเป็นเชื้อเพลิง และหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างเหล่านี้สงสัยว่าเด็กหนุ่มลึกลับคนนี้เป็นใคร


 


ภายใต้การนำของพนักงาน ในที่สุดโรดส์ก็มาถึงที่นั่งและนั่งลง เก้าอี้ได้ถูกเตรียมไว้ตามลำดับของกลุ่มทหารรับจ้างและที่นั่งของกลุ่มสตาร์ไลท์อยู่ถัดจากที่นั่งอันดับที่ 2 นั่นก็คือที่นั่งอันดับที่ 3


 


บางส่วนไม่พอใจที่โรดส์ได้อันดับที่ 3 แต่ก่อนหน้าที่พวกเขาจะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ประธานชราก็ฟาดค้อนลงมาและทำให้ทั้งหมดเงียบลง


 


“พอแล้ว! เนื่องจากพวกเจ้าทุกคนมาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าขอประกาศเริ่มวาระการประชุมทหารรับจ้างได้”


 


หัวหน้าทั้งหมดหยุดพูดและมองไปยังประธานชราด้วยความคาดหวัง


 


ตาแก่นั่นสูงส่งขนาดนี้เลยรึ? ไม่คิดเลยแหะ


 


โรดส์นั่งอยู่บนเก้าอี้และกอดอก ขณะที่มองไปยังชายชราอย่างสนุกสนาน เขาไม่ได้มองนานมากนัก ก่อนจะหันไปมองหัวหน้าคนอื่นๆที่อยู่รอบๆ เนื่องจากในอนาคตคนพวกนี้อาจจะเป็นพันธมิตรหรือศัตรู


 


โรดส์คุ้นเคยกับ 3 คนในหมู่พวกเขา คนแรกเป็นคนที่กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งอับดับที่ 1 คือนักดาบที่ใช้ดาบสองมือ ‘เฟลม’ ฮิลเลอร์ เขาใช้เวลา 20 ปีในการพากลุ่มทหารรับจ้างของเขาขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่ง เขาได้รับ ‘พรจากดวงวิญญาณแห่งไฟ’ ซึ่งสร้างความอิจฉาให้กับผู้เล่นมากมาย


 


ถัดเป็นฮิลเลอร์เป็น ‘ชาโดว’ ชอน หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างอันดับที่ 2 ‘ดาร์คแฟงก์’  เขาสวมชุดหน้ากากสีขาวและชุดคลุมสีดำปกคลุมไปทั้งร่าง มีข่าวลือว่าเขาเคยเป็นโจรในอยู่หนึ่งในประเทศทางตอนเหนือ แต่ด้วยความผิดพลาด เขาได้หลบหนีมาที่เมืองดีพสโตนและมาตั้งหลักที่นี่ เมื่อเทียบกับกลุ่มทหารรับจ้างดั้งเดิมอย่างเบิร์นนิ่งเบลด ดาร์คแฟงก์เต็มไปด้วยสังคมโจรและนักฆ่า วิธีที่พวกเขาฝึกเน้นไปทางการทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และการใช้อาวุธลับ นี่ทำให้กลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนี้เต็มไปด้วยบรรดาคลาสที่มีความคล่องตัวสูงอย่าง เรนเจอร์และโจร


 


อย่างไรก็ตาม ชอนไม่ได้ดูเหมือนจะสนใจการเลื่อนขั้นของกลุ่มทหารรับจ้างของเขาขึ้นเป็นกิลด์ เขานำดาร์คแฟงก์มาเป็นเวลาหลายปี และแต่ละปีเขาจะได้อับดับที่ 2 และไม่เคยได้ที่ 1 ด้วยเหตุนี้ ดาร์คแฟงก์จึงได้ถูกเรียกว่า ‘ที่สองตลอดกาล’ อย่างเปิดเผย แต่ไม่นานหลังจากนี้ ชื่อเรียกนี้ก็หายไปตามกาลเวลา


 


ถัดต่อจากโรดส์เป็นหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างเก่าของแอน มาร์คไวท์ เขามองไปยังโรดส์ด้วยความเกลียดชัง เพราะว่าสตาร์ไลท์ได้ยึดครองตำแหน่งที่ 3 ของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น โรดส์ได้ ‘รับ’ สมาชิกเก่าบางส่วนของมาร์คไวท์ไป แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องปกติ แต่การคงอยู่ของสมาชิกเก่าของพวกเขาทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ


 


เมื่อโรดส์หยุดตรวจสอบรูปร่างของหัวหน้าทุกคน ประธานชราได้กล่าวบทความเปิดเสร็จ หลังจากนั้นเขาไอและเคาะค้อนในมือของเขา


 


“ทั้งหมดที่พวกเจ้าควรรู้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้สร้างความเสียหายให้กับกลุ่มทหารรับจ้างทั้งหมดในเขตภาฟิวด์ การประชุมครั้งนี้คือการตัดสินใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ตอนนี้ข้ากำลังจะประกาศการตัดสินใจครั้งล่าสุดที่ทางสมาคมได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้”


 


กลุ่มทหารรับจ้างมากมายประหลาดใจ แม้ว่าหัวหน้าของเบริ์นนิ่งเบลดเองก็ขมวดคิ้ว ถ้าสมาคมทหารรับจ้างตัดสินใจไปแล้ว กลุ่มทหารรับจ้างก็ไม่สามารถต่อต้านมันได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับ


 


“สมาคมทหารรับจ้างได้ตัดสินใจเนื่องจากความวุ่นวายจากเหตุการณ์นี้ พวกเราจะขอเลื่อนการประเมินออกไปเพื่อให้มั่นใจว่าทุกกลุ่มมีเวลาเพียงพอในการตั้งตัว ในช่วงเวลานี้ ทางสมาคมจะไม่ปล่อยภารกิจใดๆและห้ามไม่ให้กลุ่มทหารรับจ้างใดๆรับภารกิจเป็นการส่วนตัว ถ้าใครฝ่าฝืนกฎนี้และรับภารกิจ ทางสมาคมทหารรับจ้างจะไม่มีส่วนรับผิดชอบในการสูญเสียและจะไม่จ่ายค่าตอบแทนไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม”


 


เมื่อประธานชราพูดจบ ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบทันที จากนั้นชายคนหนึ่งเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้และตะโกนออกไป


 


“ผมขอคัดค้าน!!!”


108 – การคัดค้าน


 


ทุกคนมองไปยังเสียงนั้นด้วยความประหลาดใจ แม้แต่โรดส์เองก็สงสัยและได้มองดูคนที่กล้าคัดค้านการตัดสินใจของสมาคมทหารรับจ้าง


 


ผู้คนมากมายคิดว่านั่นเป็นเพราะเจดเทียร์เพราะพวกเขาได้รับประโยชน์นี้จากการ ‘ขโมย’ คนจากกลุ่มอื่นๆ อย่างไรก็ตาม คนที่คัดค้านการตัดสินใจนั้นเป็นกลุ่มทหารรับจ้างลำดับที่ 2 จากด้านล่าง แมดด็อก


 


เขาพยายามทำอะไรกัน?


 


ทหารรับจ้างมากมายมองไปยังเขาอย่างเงียบๆ


 


แมดด็อกเป็นหนึ่งในกลุ่มทหารรับจ้างที่ได้รับความเสียหายรุนแรงจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ควรคัดค้านการตัดสินใจนี้ ถ้าสมาคมทหารรับจ้างเปลี่ยนการตัดสินใจ กลุ่มทหารรับจ้างที่อ่อนแออย่างแมดด็อกจะได้รับความเสียหายมากกว่านี้ ดังนั้นทำไมเขาถึงคัดค้านกัน?


 


“หึ”


 


ชอนที่นั่งอยู่ข้างโรดส์ ถอนหายใจออกมาทางจมูกอย่างดูถูก เสียงที่เปล่งออกมาจากหน้ากากนั้นทั้งทุ้มและเยือกเย็น


 


ดวงตาของฮิลเลอร์ปิดลงและไม่ตอบสนอง ทำให้คนอื่นๆรู้ว่าเขาไม่สนใจ


 


สำหรับโรดส์ เขาสงสัยว่าว่าเรื่องนี้เริ่มมีกลิ่นแปลกๆ เขาหันกลับไปและมองไปยังตัวแทนของกลุ่มเจดเทียร์ที่ไม่ได้นั่งอยู่ห่างจากเขามาก


 


แฟรงค์ยังคงไม่ได้สติและต้องนอนอยู่บนเตียงอีกร่วมเดือน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมาเข้าร่วมการประชุมนี้ได้ กลับกันเขาส่งรองหัวหน้ามาเป็นตัวแทนของเจดเทียร์ โรดส์รู้จักเขาดี ย้อนกลับไปในเกม ทั้งแฟรงค์และรองหัวหน้าของเขาได้สมรู้ร่วมคิดกันและโรดส์ได้พบพวกเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ช่างน่าสงสารที่เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยในตอนที่แฟรงค์ปะทะกับเขา ถ้าเขาสามารถฆ่าใครคนใดคนหนึ่งได้ มันอาจถือเป็นชัยชนะของโรดส์เลยก็ว่าได้


 


หืมม….จากนี้จะเป็นยังไงต่อเนี่ย?


 


โรดส์กรอกตาไปมาและเริ่มคิดวิธีในการกำจัดเขาในการประชุมในครั้งนี้…..


 


รองหัวหน้าเจดเทียร์นั่งอยู่บนที่นั่งด้วยสายตาว่างเปล่าบนใบหน้า ราวกับไม่มีอะไรทำให้เขาต้องกังวล อย่างไรก็ตามโรดส์รู้ดีว่าเจดเทียร์มีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่


 


ทุกคนรู้ดีว่าเจดเทียร์มีเงินมหาศาล กลุ่มทหารรับจ้างแมดด็อกนั้นรับสินบนอย่างเห็นได้ชัด มันไม่ใช่เรื่องแปลกเรื่องจากเหล่าทหารรับจ้างต้องการเงินเพื่อใช้ชีวิตและการรากฐานในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะกับกลุ่มทหารรับจ้างระดับต่ำที่ไม่มีประวัติ ไม่มีเกียรติและไม่มีศักดิ์ศรี ตราบเท่าที่มีเงิน พวกเขาสามารถคลานเข่าเข้าไปเลียรองเท้าของ ‘ผู้ให้ผลประโยชน์’ ได้


 


บางทีเจดเทียร์เป็นกลุ่มที่ต้องการต่อต้านการตัดสินใจของสมาคมทหารรับจ้างจากด้านหลังและจ่ายเงินให้กลุ่มทหารรับจ้างระดับต่ำให้ออกมาในฐานะ ‘ผู้พูด’ สำหรับกลุ่มพวกนี้ไม่ว่าทางสมาคมทหารรับจ้างจะทำการตัดสินใจในครั้งนี้หรือไม่ พวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน


 


ยกตัวอย่างเหตุการณ์ของแมดด็อก อันดับของพวกเขาในตอนนี้อยู่ลำดับที่ 2 จากสุดท้าย แม้ว่าการประชุมนี้จะไม่เกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากการถูกยุบกลุ่มนเวลาต่อมาได้ ดีกว่าการรอคอยอย่างไร้ค่า จะไม่ดีกว่าเหรอถ้าพวกเขาจะได้รับเงินก่อนถูกยุบกลุ่ม?


 


เรื่องนี้เป็นเรื่องค่อนข้างฉลาด เนื่องจากเจดเทียร์รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มทหารรับจ้างทั้งหมดนี้ ถึงยังนั้น พวกเขาก็ม่สามารถต่อต้านการตัดสินใจของสมาคมต่อหน้าสาธารณะได้ ราวกับเป็นการบอกให้คนอื่นๆมาเกลียดเขา ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รับความเกลียดชัง แต่สมาคมทหารรับจ้างจะไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจด้วย


 


ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือจากกลุ่มอื่นๆ เจดเทียร์ประสบความสำเร็จในการสร้างปัญหาภายในระหว่างกลุ่มทั้งหมดในนี้


 


ให้โรดส์เดา เมื่อหัวหน้ากลุ่มแมดด็อกยืนขึ้นต่อต้าน จะมีหัวหน้ากลุ่มอีก 3 คนลุกขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน และแน่นอนพวกเขาทั้งหมดมีอับดับที่ต่ำ


 


“พวกเราไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของสมาคมครับ”


 


“ใช่แล้ว มันไม่ยุติธรรม! มันไร้เหตุผลมากเกินไป!”


 


คำพูดเหล่านี้จุดประกายความไม่พอใจของแต่ละฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


“พวกเจ้ากำลังพูดอะไรกัน? เป็นบ้าอะไรขึ้นกับสมองของพวกเจ้า? เจ้ามีคนเพียงไม่กี่คนในกลุ่มแล้วยังจะอยากรับภารกิจต่อ? เจ้าบ้าไปแล้วรึ!!”


 


“พวกเราเพียงต้องการปกป้องธรรมเนียมของสมาคมทหารรับจ้าง! ตั้งแต่แรกไม่มีครั้งไหนเลยที่สมาคมให้พวกเราหยุดรับภารกิจ กลับกัน ครั้งนี้พวกเราแค่โชคร้าย แต่ปัญหานั้นพวกเราต้องจัดการให้ได้ด้วยตัวของพวกเราเอง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่เพราะเราไร้ความสามารถไม่ใช่รึ? ดูอย่างสตาร์ไลท์สิ พวกเขาขาดสมาชิกตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มครั้งแรก แต่ดูพวกเขาตอนนี้สิ! ถ้าพวกเราทำตามกฎอย่างเข้มงวด สตาร์ไลท์จำเป็นต้องรอให้มีจำนวนคนครบก่อนถึงจะเริ่มนับคะแนนไม่ใช่เหรอ?”


 


เมื่อสตาร์ไลท์ถูกพูดถึง กระโต้เถียงกันของผู้คนเริ่มเงียบลง ทุกคนถือโอกาสนี้มองไปยังโรดส์และกำลังรอดูปฏิกิริยาของเขา


 


ไอ้พวกบัดซบเจดเทียร์ ฉันรู้ว่าแกให้ไอ้พวกบ้านี่ทำเรื่องนี้


 


โรดส์สบถเงียบๆในใจ เขาเข้าใจว่าเจดเทียร์พยายามดึงเขาออกไป ถ้าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วยการใช้กำลัง พวกเขาจะใช้วิธีสกปรกเล่นไม่ซื่อแทน


 


“ไอ้หนุ่ม เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?”


 


ประธานชราพูดออกมาเสียงเรียบ โรดส์เดาได้ว่าชายชราต้องแสยะยิ้มออกมาในความโชคร้ายของเขาภายใต้ใบหน้าเย็นชานั้นแน่นอน เขาต้องรู้สึกดีใจจนเขาอาจมีอายุถึง 100 ปีได้


 


แต่โรดส์ไม่ได้วางแผนจะทำให้ชายชราพอใจ


 


“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ มันก็เป็นอย่างที่คุณผมไม่รู้ชื่อพูด” โรดส์ยักไหล่และตอบด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย


 


“พวกเราแข็งแกร่ง แต่พวกเราก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมทหารรับจ้าง ดังนั้นพวกเราเคารพในการตัดสินใจของทางสมาคมทหารรับจ้างครับ”


 


สีหน้าของทุกคนดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของโรดส์ แม้ว่าเจดเทียร์จะเป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ที่สุดที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในเหตุการณ์นี้ แต่ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาที่ไม่มีหลักฐาน มันแตกต่างไปจากสตาร์ไลท์ที่ไม่มีสมาชิกเพียงพอแต่กลับประสบความสำเร็จในภารกิจมากมาย ก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ พวกเขาได้ทำภารกิจอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นถ้าสมาคมทหารรับจ้างไม่ให้หยุดกลุ่มทหารรับจ้างทั้งหมดไว้ สตาร์ไลท์ไม่ทำทุกภารกิจจนหมดเลยเหรอ?


 


ตอนนี้โรดส์ได้แสดงให้เห็นว่าสตาร์ไลท์ยินดีและเห็นด้วยกับการตัดสินใจของทางสมาคม นั่นหมายความว่าสตาร์ไลท์จะไม่สามารถมีคะแนนสูงกว่านี้ได้ในเดือนหน้า ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อพวกเขา อย่างไรก็ตาม นี่ทำให้หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆมองพวกเขาในทิศทางบวกมากขึ้น ขณะที่พวกเขาเข้าใจว่าโรดส์ไม่ได้กำลังจะใช้โอกาสนี้ทำลายพวกเขา ในขณะที่พวกเขากำลังฟื้นฟูกลุ่ม ถือว่ามากเกินพอสำหรับพวกเขาแล้ว


 


ทุกคนในตอนนี้หันไปมองชายสองคนที่นั่งอยู่บนที่นั่งที่สูงกว่า


 


แม้ว่าสมาคมทหารรับจ้างจะถืออำนาจสูงสุดเหนือหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างทั้งหมด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหัวหน้าทุกกลุ่มจะต้องทำตามการตัดสินใจของพวกเขา บางครั้งเพื่อเป็นการปกป้องกลุ่มของตัวเอง หัวหน้ากลุ่มจะออกมาต่อต้านการตัดสินใจของสมาคม ตามกฎระเบียบแล้ว คนที่มีสิทธิ์ปฏิเสธการตัดสินใจของสมาคมทหารรับจ้างคือหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้าง 3 อันดับสูงสุด!


 


โรดส์ได้ประกาศจุดยืนของเขาไปแล้ว จากนั้นเบิร์นนิ่งเบลดและดาร์คแฟงก์ล่ะ?


 


ฮิลเลอร์ในที่สุดก็ลืมตาออกมา ขณะที่มองไปยังโรดส์ เขาพูดขึ้น


 


“เบิร์นนิ่งเบลดเห็นด้วยกับการตัดสินใจของสมาคมทหารรับจ้างครับ”


 


สำหรับชอน เขาเงียบเป็นปกติ แต่จากการพยักหน้าของเขา ดูเหมือนชายคนนี้จะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของสมาคม


 


เนื่องจากหัวหน้ากลุ่ม 3 อันดับแรกไม่คัดค้าน เป็นเรื่องปกติที่กลุ่มอื่นๆในระดับต่ำกว่าจะไม่สามารถบ่นได้ คนพวกนี้เพียงได้รับสินบนเพื่อประท้วง แต่เมื่อทำไม่ได้แล้ว ท้ายที่สุดประธานชราก็เหวี่ยงค้อนลงมาและยุติการคัดค้านและบอกคำตัดสิน


 


“30 วันต่อจากนี้ไปนับจากวันพรุ่งนี้ สมาคมทหารรับจ้างจะหยุดมอบภารกิจทั้งหมด จนกระทั่งคำตัดสินจะถูกยกเลิก กลุ่มทหารรับจ้างทั้งหมดห้ามไม่ให้รับภารกิจเป็นการส่วนตัวเด็ดขาด ถ้าใครฝ่าฝืนคำสั่งนี้ คะแนนของพวกเขาจะถูกหักในทันที”


 


แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้ผลลัพธ์นี้ แต่สิ่งที่ประธานชราพูดต่อมาทำให้พวกเขาถึงกับตกตะลึง


“จากนี้ไป สมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างแต่ละกลุ่มต้องมาลงทะเบียนที่อยู่ในเขตภาฟิวด์และต้องมีประสบการณ์มากกว่า 1 ปี หลังจากจบเดือนนี้ สมาคมทหารรับจ้างจะทำการตรวจสอบแต่ละกลุ่ม ถ้าใครถูกพบว่าฝ่าฝืนกฎ คนๆนั้นจะถูกขับไล่ออกจากกลุ่มทหารรับจ้างทันที”


 


หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมากมายมองหน้ากันทันที พวกเขาเริ่มสับสนเกี่ยวกับความหมายของกฎประหลาดนี่ พูดง่ายก็คือ ทางสมาคมทหารรับจ้างจะอนุญาตให้ประชาชนในเขตภาฟิวด์เท่านั้นที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างได้


 


ก่อนหน้านี้สมาคมทหารรับจ้างจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ตราบเท่าที่สมาชิกได้ทำการลงทะเบียนในสมาคมทหารรับจ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม สมาคมทหารรับจ้างในเมืองดีพสโตนได้ออกกฎแปลกๆ พวกเขาทำไปทำไม?


 


โรดส์เข้าใจว่าทำไม ดูเหมือนว่าเซเร็คและประธานชราจะตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้แล้ว


 


หลังจากประกาศคำตัดสินออกไป ประธานชราไม่สนใจคนอื่นๆที่กำลังประท้วงในจุดนี้ หลังจากนั้นประธานชราได้หยิบเอาระเบียบวาระการประชุมขึ้นมา


 


“ต่อมา พวกเรา สมาคมทหารรับจ้างจะทำการแก้ไขปัญหาระหว่างกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์และสตาร์ไลท์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้”


 


ทุกคนเริ่มพึมพำเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้



109 – ต่อสู้จนถึงที่สุด!


 


ดูเหมือนว่าทุกคนจะเริ่มนินทาโดยตัดสินได้จากสีหน้าของพวกเขา มันดูเหมือนว่าพวกเขาให้ความสนใจปัญหานี้มากกว่าความเป็นความตายของกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขา


 


ชายคนหนึ่งที่ไร้ซึ่งอารมณ์บนใบหน้ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้มองไปยังประธานชราอย่างตื่นเต้น


 


ในด้านตรงข้าม โรดส์นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างขี้เกียจ ดูจากสีหน้าที่ผ่อนคลายของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาไม่แม้แต่มองตาของประธานชรา


 


ไอ้เด็กเวร!


 


ประธานชราคิดในใจออกมาอย่างไม่พอใจ เขาคิดว่าโรดส์น่าจะสนใจเรื่องนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มทหารรับจ้างของเขาและอยากจะเอาใบหน้าไร้อารมณ์หวานๆของเขาออกไป แต่ที่ไหนได้ มันกลับทำให้เขาโกรธขึ้นมาแทน


 


หึ ยังมีเวลาเหลือในการจัดการเรื่องนี้ทีหลัง


 


ประธานชราลอบมองไปที่โรดส์ แต่เขายังระงับความโกรธและเริ่มพูดต่อ


 


“ตามที่พวกเราสืบค้นมา พวกเรามีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเจดเทียร์เป็นคนปลุกปั่นเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม หัวหน้าของสตาร์ไลท์ก็ทำเกินกว่าเหตุ ดังนั้นพวกเราจะตัดสินใจจากการกระทำของทั้งคู่ แต่ก่อนหน้าที่ข้าจะเปิดเผยคำตัดสิน ข้าอยากให้ทั้งสองพูดอะไรบางอย่างหน่อย”


 


ในขณะนั้นชายหนุ่มที่นิ่งเงียบตั้งแต่แรกเริ่มยืนขึ้น


 


“กลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ไม่สามารถทนต่อการยั่วยุของอีกฝ่ายได้ จนกว่าหัวหน้าของสตาร์ไลท์จะขอโทษออกมาจะไม่มีทางยุติปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเราได้”


 


หลังจากที่เขาพูดออกไป ทุกคนรู้สึกตกใจ หลังจากนั้นพวกเขามองโรดส์ด้วยความสงสัย


 


โรดส์ไม่ได้มีทางทางเสียใจอย่างที่หลายคนคิด เขาลืมตขึ้นและมองไปยังชายคนนั้นพร้อมรอยยิ้มที่นุ่มนวล จากการรับรู้ของคนอื่น แต่ทว่ารอยยิ้มนี้ที่ส่งให้พวกเขานั้นมันเย็นชามากราวกับพวกเขาถูกสาดด้วยน้ำแข็งเย็นๆ


 


“ผมจะแก้แค้นเป็นสิบเท่า ใครก็ตามที่ดูถูกผมจะถูกลงโทษ สำหรับกลุ่มที่มีแต่พวกขยะเป็นสมาชิกก็สมควรไปอยู่ในถังขยะมากกว่ามาอยู่ในการประชุมนี้”


 


บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที


 


ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขาไม่คิดเจดเทียร์จะกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าสมาคมทหารรับจ้าง โรดส์เองก็ไม่ยอมและเขาบอกว่าเขาตั้งใจจะทำลายเจดเทียร์ นี่หมายความว่ากลุ่มทหารรับจ้างทั้งสองได้ประกาศสงครามซึ่งกันและกันแล้ว


 


เหล่าหัวหน้ากลุ่ม0เริ่มรู้แล้วว่าเรื่องนี้กำลังจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!


 


มีกลุ่มทหารรับจ้างมากมายที่ไม่ได้เป็นมิตรซึ่งกันและกัน แต่ถ้าพวกเขาเสียชีวิตเพราะความขัดแย้งนี้โดยไม่มีเหตุผลหรือผลประโยชน์เพียงพอ แน่นอนว่ามันไม่คุ้ม


 


อย่างไรก็ตาม หัวหน้าของเจดเทียร์ได้ถูกส่งไปอยู่บนเตียงโดยโรดส์ มั่นใจได้ว่าพวกเขาไม่ยอมรับเรื่องที่หัวหน้าของเขาถูกทุบตีและกลุ่มของพวกเราถูกเยาะเย้ยเพราะว่าเรื่องติดสินบน? ถ้าพวกเขาเลือกที่จะก้มหัวตั้งแต่ตอนนี้ พวกเขาจะยังมีหน้าไปสู้คนอื่นในอนาคตได้อีกรึ? โดยครั้งนี้ แม้ว่าโรดส์จะไม่ได้ทำอะไร แต่เจดเทียร์เองก็ขายหน้ามากเกินไปที่จะอยู่ที่นี่


 


สิ่งที่โรดส์ทำให้คนอื่นๆรู้สึกกลัวเล็กน้อย ใช่ เขาเป็นคนแข็งกร้าว และเป็นชายคนหนึ่งง พวกเขาต้องระวังโรดส์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะโกรธ เขาก็ไม่ควรฆ่าทั้งกลุ่มเพียงเพราะความโกรธ ใช่ไหม? นี่มันเผด็จการมาก!


 


ถ้าเป็นคนอื่นที่พูดแบบเดียวกับที่โรดส์พูด ทุกคนอาจจะคิดว่าเขาแค่อยากระบายความโกรธ แต่เมื่อย้อนไปดูความสำเร็จของสตาร์ไลท์ที่ผ่านมาเร็วๆนี้ โรดส์เอาชนะพวกเขาที่ด้านหน้าทางเข้าสมาคมทหารรับจ้าง ดังนั้นมันแสดงให้เห็นว่าเขามีความแข็งแกร่งพอที่จะสนับสนุนคำพูดของเขา


 


พวกเขาควรอะไรดี?


 


แม้ว่าเวลานี้พวกเขาจะไม่ผิดกฎหมาย กฎหมายทั่วไปใช้ไม่ได้กับเหล่าทหารรับจ้าง ถ้าทหารรับจ้างฆ่าคนทั่วไป พวกเขาจะถูกประหารตามกฎหมาย แต่ถ้าทหารรับจ้างฆ่าทหารรับจ้างด้วยกัน การตัดสินจะตกเป็นของสมาคมทหารรับจ้าง


 


แต่ทว่าการตัดสินนั้นเป็นเรื่องยากที่จะพูดออกมา แน่นอนสิ่งที่กลุ่มทั้งสองทำนั้นมากเกินไป สมาคมทหารรับจ้างสามารถมอบบทลงโทษที่คล้ายกับการจำคุกหรือแม้แต่การลงโทษโดยเมืองหลวงได้ แต่สถานการณ์แบบนี้นั้นหาได้ยากมาก


 


และครั้งนี้ สถานะของทั้งสองนั้นค่อนข้างพิเศษ


 


โรดส์และแฟรงค์เป็นเหล่าชนชั้นสูง หนึ่งในนั้นมาจากที่ราบตะวันออก อาณาจักรมันน์ และอีกคนเป็นขุนนางมาจากอาณาจักรบาร์ซ ประเทศแห่งแสง สามารถบอกได้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของกลุ่มทหารรับจ้างสองกลุ่มเท่านั้น แต่มันอาจเกี่ยวโยงไปถึงการต่อสู้กันของเหล่าชนชั้นสูง หรืออาจจะถูกเปลี่ยนกลายเป็น ‘ปัญหาระดับประเทศ’ ระหว่างอาณาจักรมันน์และประเทศแห่งแสง


 


ทุกคนต่างรอคำตัดสินของสมาคมทหารรับจ้าง


 


ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาตัดสินจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่ายหนึ่งแน่นอน ทางสมาคมจะไม่สามารถลงโทษพวกเขารุนแรงเกินไปได้ ดังนั้นพวกเขาไม่น่าจะสร้างปัญหาอีกเร็วๆนี้?


 


โรดส์ได้ฆ่าคนไปในที่สาธารณะ ดังนั้นคลัทซ์ ดยุคแห่งเมืองดีพสโตน เขาได้ส่งคนไปสืบเรื่องราวเหล่านี้ ถ้าพวกเขายังคงสร้างปัญหาอีก….


 


ยังไงก็ตาม ประธานชราและเซเร็คมึนงงมาก ในความคิดของพวกเขา โรดส์เป็นบุคคลที่ดื้อรั้นมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพยายามฆ่าคนอย่างไร้ความปราณี แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยว่าเจดเทียร์ได้ทำบางสิ่งบางอย่างลงไป แต่มันเป็นเพียงแค่การคาดเดา แต่ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าโรดส์จะเลือกฆ่าคน 99 คนมากกว่าปล่อยคน 1 คนไป


 


ประธานชราไม่สามารถรู้สิ่งที่โรดส์คิดได้ อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจว่าโรดส์กำลังยืนอยู่ฝั่งอาณาจักรมันน์ แต่การกระทำของเขายังคงลึกลับต่อไป เมื่อเขาพบแฟรงค์ครั้งแรก เขาเปิดเผยฐานะของแฟรงค์ออกมา และต่อมาเขาได้ฆ่าคนในตอนกลางวันแสกๆโดยไม่ลังเล ถ้าไม่ใช่เพราะชายชราลึกลับที่ปรากฎตัวขึ้นมา แฟรงค์คงตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว


 


ไม่ใช่ว่าเจดเทียร์เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างที่ใครๆคิด หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ประธานชราได้ส่งคนออกไปหาข้อมูลของชายชราลึกลับที่ช่วยชีวิตแฟรงค์ แต่กลับไม่พบร่องรอยอะไรเลยราวกับเขาไม่มีตัวตน


 


เนื่องจากเจดเทียร์และสตาร์ไลท์มีท่าทีแปลกๆทั้งคู่ ต้องมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังแน่นอน!


 


ประธานชราถอนหายใจและพูดขึ้น


 


“ตามกฎระเบียบของสมาคมทหารรับจ้าง กลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ได้เริ่มทำการยั่วยุก่อน การลงโทษของพวกเขาคือตัด 2 คะแนนและค่าปรับ 1,500 เหรียญทอง กลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ แม้ว่าจะมีเหตุผลของตัวเอง แต่หัวหน้าโรดส์ได้ฆ่าคนในที่สาธารณะและสร้างภาพลักษณ์แย่ๆออกมา การลงโทษของพวกเขาคือตัด 2 คะแนนและค่าปรับ 1,500 เหรียญทอง จากนี้ไปทั้งสองฝ่ายห้ามก่อเรื่องหรือเหตุการณ์แบบนี้อีก ไม่เช่นนั้นสมาคมทหารรับจ้างจะยุบกลุ่มทันที”


 


ทุกคนตกใจทันที


 


ดูเหมือนว่าสมาคมทหารรับจ้างจะมอบบทลงโทษค่อนข้างรุนแรง


 


แต่เจดเทียร์และสตาร์ไลท์จะสนใจเหรอ?


 


เมื่อเห็นสีหน้ามืดมนของรองหัวหน้ากลุ่มเจดเทียร์และสีหน้าไม่ยินดียินร้ายของโรดส์ แม้แต่ประธานชรายังไม่เชื่อว่าเรื่องจะจบลงแบบนี้


 


ทั้งสองฝ่ายเงียบลงและเริ่มทำให้คนอื่นๆกังวล การลงโทษที่มอบให้นั้นไม่ใช่เรื่องเบาๆ ถ้าเหตุการณ์คล้ายๆกันเกิดขึ้นอีก พวกเขาจะถูกบังคับให้ยุบกลุ่มทิ้ง นั่นเป็นผลลัพธ์ที่แลวร้ายที่สุด


 


พวกเขาจะไม่สู้กันต่อ….จริงๆเหรอ?


 


ดังนั้นการประชุมทหารรับจ้างจึงได้จบลงเพียงเท่านี้ ทุกคนออกไปด้วยความเห็นที่หลากหลายในสถานการณ์นี้ แม้ว่าสิ่งต่างๆมากมายจะเกิดขึ้นระหว่างการประชุม แต่ทหารรับจ้างส่วนใหญ่พึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ตามมา อย่างน้อยพวกเขาก็มีเวลาเพียงพอที่จะฟื้นฟูความแข็งแกร่งของพวกเขา ก่อนที่จะเริ่มทำภารกิจอีกครั้ง และสำหรับกลุ่มทหารรับจ้างที่ไม่ได้รับความเสียหาย นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะได้พัก


 


โรดส์มีแผนที่คล้ายๆกัน


 


30 วันที่ถูกหยุดไปไม่ได้สร้างประโยชน์แต่เพียงกลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมของโรดส์ที่จะได้พัฒนาความสามารถของเขา


 


เขาอยากใช้ประโยชน์จากเวลานี้ในการฝึกกลุ่มคนที่รับเข้ามาใหม่ไปจนกว่าพวกเขาจะมีความสามารถพร้อมตามต้องการ ถ้าพวกเขาทำได้ดีกว่าที่คิด มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด


 


ดังนั้นหลังจากกลับฐานบัญชาการ เขารีบรวบรวมทุกคนและบอกให้พวกเขาเตรียมตัวสำหรับการฝึก ใน 3 วันนี้พวกเขาทุกคนกำลังจะไปที่ป่าราตรี!



110 – นี่แหละที่เรียกว่าการฝึก


 


ป่าราตรี


 


ไลซ์มีประสบการณ์มากมายกับสถานที่แห่งนี้


 


แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำภารกิจ แต่ไลซ์ก็ไม่รู้สึกผ่อนคลาย ป่าแห่งนี้ดึงความทรงจำร้ายๆของเธอกลับมา เมื่อเธอเดินผ่านหญ้า เธอนึกถึงความตายของหัวหน้าคนก่อนและเพื่อนๆของเธอในป่าแห่งนี้ มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก


 


มันไม่ใช่เรื่องแปลกเนื่องจากมันเป็นประสบการณ์แรกที่เธออยากลบมันออกไป เธอสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่และเดินไปตามหลังกลุ่มอย่างเงียบๆ ความคิดของเธอหมกมุ่นอยู่กับอดีตที่ผ่านมา


 


แม้ว่ามาร์ลีนจะเป็นเพียงคนเดียวที่สนิทกับไลซ์ต่อจากโรดส์ เธอก็ไม่สามารถปลอบใจเธอได้เพราะว่าเธอเองก็กำลังหมกมุ่นอยู่กับบางสิ่งอยู่ อัจฉริยะจอมเวทย์กำลังมองไปข้างหน้าด้วยความซึมเศร้า ขณะที่เธอกำลังเดินอยู่ข้างไลซ์ เห็นได้ชัดว่าความคิดของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอัลเคมิสต์เรนเจอร์ ลาปิส ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเธอ


 


หลังจากวันนั้น มาร์ลีนยอมทำตามคำขอของโรดส์และพยายามสอนลาปิสเกี่ยวกับ ‘พื้นฐาน’ ของการเล่นแร่แปรธาตุ ตอนแรกมาร์ลีนไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้ แต่ไม่ใช่ เธอคิดผิด


 


แม้ว่าเธอจะไม่ได้เรียนเรื่องศาสตร์การรังสรรค์ลึกลับและโครงสร้าง อย่างน้อยเธอก็รู้วิธีการปรุงโพชั่น ตราบเท่าที่เธอสามารถสอนให้ลาปิสในวิชานี้ได้ มันก็ไม่ควรเป็นปัญหามากนัก


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอคุยกับลาปิสเรื่องโพชั่น….เธอรับรู้ว่าเธอไม่สามารถทำทุกอย่างได้ แม้ว่ามาร์ลีนจะค่อนข้างมั่นใจในความรู้เกี่ยวกับหัวข้อนี้ ลาปิสเองก็ผิดปกติเกินไป ความรู้เกี่ยวกับอัลเคมิสต์ของเธอเหนือล้ำเกินกว่าความเข้าใจของคนทั่วไปมาก


 


วิธีที่ง่ายกว่าในการอธิบายการพูดคุยของพวกเธอสองคนคือ


 


“ลาปิส หลังจากที่พวกเราตั้นแอปเปิ้ลจนเป็นน้ำ มันยังอุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วน หลังจากนั้นใส่ของบางอย่างเพิ่มลงไป พวกเราจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ผ่อนคลายและมีชีวิตชีวาได้….”


 


“แต่พี่มาร์ลีน หลังจากที่ตัดแอปเปิ้ลเป็นชิ้นๆ พวกเราสามารถใช้มันเพื่อความสวยความงามได้เช่นกันนะคะ….”


 


“ตอนนี้ ลาปิส พวกเราไม่ได้กำลังพูดเรื่องความสวยความงาม ประเด็นหลักของเราคือน้ำผลไม้….”


 


“แต่ทำไมพวกเราไม่สามารถใช้มันเป็นเป้าหมายเกี่ยวกับความสวยความงามได้ล่ะคะ หลังจากที่ทำน้ำผลไม้เสร็จ?”


 


“…..” (แอดก็งงเหมือนกัน)


 


นั่นเป็นกระบวนการคิดของลาปิส มาร์ลีนตัดสินใจยอมแพ้หลังจากที่อดทนสอยเธอมา 2 วัน การเป็นอัจฉริยะของเธอ มาร์ลีนได้เก็บความภาคภูมิใจของเธอลงไป แต่ท้ายที่สุดเธอบอกโรดส์ว่าเธออยากออกจากการเป็นครู โรดส์เองก็ไม่ได้บังคับให้เธอทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ดังนั้นเขาจึงตอบรับคำขอของเธอ


 


สำหรับลาปิส มาร์ลีนไม่มั่นใจเกี่ยวกับอนาคตของเธอ เธอยิมรับว่าวิธีคิดของลาปิสมีความเป็นเอกลักษณ์มากและแตกต่างไปการแนวทางการสอนของโรงเรียนเวทมนตร์ นั่นเองก็เป็นจุดอ่อนใหญ่หลวงของลาปิสเช่นกัน


 


ต้องเข้าใจก่อนว่าความรู้เกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุเป็นสิ่งที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นเวลาหลายพันปี มันผ่านมือของอัลเคมิสต์มานับไม่ถ้วนกว่าจะมาเป็นระบบการเรียนที่มีประสิทธิภาพ ลาปิสไม่สามารถเข้าใจประโยชน์จากการเรียนแบบนี้ได้และได้สร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมา ถ้า 1 วิชาจำเป็นต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการเป็นผู้เชี่ยวชาญ แล้ว 3 วิชาล่ะ?


 


โรดส์รู้สึกแตกต่างออกไป เขามาจากโลกที่ทันสมัย ดังนั้นเขารู่ว่ามีหลายอย่างที่มีเอกลักษณ์ในตัวของมันเอง เขาได้อ่านนิยายมากมายที่ตัวละครหลักที่เป็นคนโง่ๆ และไม่ได้เก่งกาจมากมาย บางทีลาปิสอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้?


 


มันไม่ได้สำคัญ ถ้าลาปิสจะล้มเหลว โรดส์ได้เตรียมพร้อมให้ลาปิสกลายมาเป็นคนรับใช้ภายในฐานบัญชาการ อย่างน้อยเธอก็อยู่ในสายตาและโรดส์ไม่อยากเสียเงินของเขาเพื่อใช้ในการฝึกเธอ


 


“พี่ไลซ์ พี่เป็นอะไรไหมคะ?”


 


แอนที่ร่าเริงอยู่ตลอดเวลาเดินเข้ามาหาไลซ์


 


ไลซ์เงยหน้าขึ้นและยิ้มอย่างขมขื่นออกมา แม้ว่าทิวทัศน์ของป่าราตรีในฤดูใบไม้ผลิจะสวยงาม แต่ไลซ์ไม่ได้มีความสุขกับมันเลยแม้แต่น้อย เธอรู้ดีว่าเธอทำตัวแปลกๆ แต่เธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเธอได้


 


“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่รู้สึกไม่ดีน่ะ”


 


ไลซ์ไม่ได้อธิบายต่อ เธอไม่อยากยกอดีตของเธอขึ้นมาพูด แต่…ทำไมเธอไม่ปล่อยมันไปล่ะ?


 


แม้แต่ตัวไลซ์เองก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไม


 


“อืออออ….”


 


เมื่อได้ยินคำตอบที่คลุมเครือของไลซ์ แอนลอบมองไปยังเธอชั่วขณะและเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีชีวิตชีวา


 


“แม้ว่าแอนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาว แอนยังคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าพี่สาวมีความสุข ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆที่เป็นห่วงพี่จะพากันเศร้าไปด้วยนะ ถ้าพี่มีความสุข ทุกคนก็จะมีความสุขไปด้วย มันไม่ดีกว่าเหรอคะ?”


 


แอนไม่ได้พูดเปล่าและวิ่งกลับไปด้วยท่าทางแข็งแรง ไลซ์เห็นเด็กสาววิ่งออกไปด้วยสีหน้าซับซ้อน เธอยืดมือออกและจับไปที่ใบหน้าของตัวเธอได้


 


“….คนที่เป็นห่วงฉัน…จะรู้สึกเศร้าไปด้วย….สินะ?”


 


เธอพูดกับตัวเอง


 


จากนั้นเธอเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้


 


ทุกคนมาถึงที่หมายก่อนพระอาทิตย์ตกดิน


 


สถานที่นั้นคือรอยต่อระหว่างป่าราตรีและเขตภาฟิวด์ ลมอุ่นๆพัดพื้นหญ้าอย่างแผ่วเบาเผยให้เห็นความสงบร่มเย็น


 


ชอว์น่าและพรรคพวกเริ่มตั้งแคมป์กัน พวกเธอมีความเชี่ยวชาญมาก ใน 10 นาที พวกเธอได้เตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว


 


ค่ายที่พักของพวกเขาถูกตั้งไว้บนเนินหินใกล้รอยต่อระหว่างทางลงป่าทั้งสองด้าน ชายชราวอร์คเกอร์และแรนดอฟมีสกิลของเรนเจอร์โดยใช้ในการวางกับดักมากมายรอบๆค่ายที่พัก แม้ว่ามันควรเป็นทริป ‘พักผ่อน’ แต่เพื่อความปลอดภัย มันก็ไม่ใช่เรื่องผิด


 


ขณะที่พวกเขากำลังติดตั้งกับดัก พวกเขาเริ่มวางแผนจับกระต่ายป่าที่กำลังหนีจากเหยี่ยว ดูเหมือนว่าพวกมันจะกลายเป็นอาหารมื้อต่อไปของพวกเขา


 


ตลอดการผจญภัยเต็มไปด้วยความผ่อนคลายตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงตอนนี้ แต่หลังจากที่ปล่อยให้พวกเขาเพลิดเพลินกับสตูกระต่ายป่าเป็นอาหารเย็น โรดส์นึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ


 


“นี่เป็นตารางการฝึก”


 


โรดส์พูดขณะที่ส่งกระดาษให้กับชอว์น่า แรนดอฟและคนที่เหลือ ขณะที่พวกเขาได้อ่านเนื้อหา โรดส์เริ่มพูดขึ้น


 


“พวกคุณทั้งหมดคงรู้แล้วนะว่านี่คืออะไร สิ่งที่ผมต้องการเป็นอย่างแรกคือชำนาญในทักษะเหล่านี้ แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้ยาก และพวกคุณเองก็อาจเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะพวกนี้ แต่ความต้องการของผมนั้นเข้มงวดกว่านั้น”


 


“ครับ นี่คือ….”


 


ในขณะนั้น แรนดอฟและคนที่เหลือที่เพิ่งอ่านเนื้อหาในกระดาษจบ พวกเขาแปลกใจและมองไปหาโรดส์อย่างไม่เชื่อ


 


ดวงตาของแรนดอฟเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง สิ่งที่อยู่ในกระดาษตอนนี้คือสกิลมากมายของคลาสเรนเจอร์ สกิลเหล่านี้ถูกจัดเรียงในลักษณะที่เขาไม่คุ้นเคย อีกทั้งยังมีระยะเวลาการใช้งานและคูลดาวน์ กระดาษแผ่นนี้บอกกับเขาว่าสกิลอะไรที่เขาควรใช้เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยสกิลที่สองและจากนั้นสกิลสุดท้าย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังแสดงให้เขาเห็นถึงการผสานสกิลที่เอาไว้ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย!


 


อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้เล่นคนอื่นเห็นกระดาษในบี้ พวกเขาคงไม่แปลกใจเหมือนแรนดอฟและคนอื่นๆ ถ้าพวกเขาอยู่ในเกมตอนนี้ พวกเขาอาจจะเสิร์ชหาข้อมูลบนเว็บไซด์ว่า ‘วิธีการทำดาเมจสูงสุด’ และสิ่งที่พวกเขาจบจะเป็นสิ่งที่แรนดอฟกำลังดูอยู่ในตอนนี้


 


นั่นเป็นวิธีการฝึกที่โรดส์คิดขึ้น


 


ก่อนหน้านี้โรดส์ได้ถามแรนดอฟและคนอื่นๆเกี่ยวกับสกิลที่พวกเขาเรียน แน่นอนสำหรับ NPC พวกเขาจะไม่มี ‘ความสามารถแบบผู้เล่น’ ดังนั้นพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าผู้เล่น แต่ถ้าพวกเขาได้รับรูปแบบใช้สกิลที่ดี เขายังสามารถสร้างแผนการโจมตีที่สมบูรณ์แบบได้


 


นั่นเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของโรดส์


 


เนื่องจากเหล่ามือใหม่ไม่สามารถคิดแผนของตัวเองได้ เขาจึงควรที่จะสอนพวกเขาทีละขั้นตอนถึงวิธีการใช้สกิลให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะโง่มากแค่ไหน หลังจากที่ได้อ่านรายละเอียด ‘คำแนะนำสกิล’ พวกเขาควรที่จะสามารถพัฒนาขึ้นได้มาก


 


ถ้าพวกเขายังไม่สามารถทำได้ดี….ในครั้งนี้เขาคงต้องพิจารณาให้แรนดอฟสวมชุดเมดและไปยืนหน้าทางเข้าของฐานบัญชาการ


 


บอกตรงๆ ในด้านประสบการณ์การต่อสู้ แรนดอฟและคนอื่นๆถือเป็นมือใหม่อย่างสมบูรณ์ แต่พวกเขายังคงเป็นทหารรับจ้างที่ผ่านการประเมินมาได้ ดังนั้นพวกเขาต้องมีความเข้าใจทักษะของตัวเองระดับหนึ่ง


 


แรนดอฟและคนที่เหลือแปลกใจมากที่พบว่าโรดส์ได้มอบของขวัญที่ล้ำค่ามาให้พวกเขาแบบนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ถ้าไม่มีประสบการณ์มาหลายปี และถ้าพวกเขาอยากไปถึงความสามารถระดับเดียวกับโรดส์ พวกเขาจะต้องเสียสละเวลามากมายหลายปีเพื่อสะสมประสบการณ์


 


ความแตกต่างระหว่างมีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์นั้นเหมือนกับกลางคืนและกลางวัน เมื่อเปรียบเทียบนักดาบ 2 คนที่ใช้สกิลเดียวกัน ถ้าหนึ่งในนั้นมีประสบการณ์หลายปี ขณะเดียวกันกับอีกคนที่เป็นมือใหม่ พวกเขาใช้สกิลเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


 


ดังนั้นตอนนี้โรดส์ได้พัฒนาคอมโบสกิลที่สามารถสร้างความเสียหายได้สูงสุดให้กับพวกเขา พวกเขาปลาบปลื้มมาก


 


ดังนั้น แรนดอฟและคนอื่นๆเริ่มมองไปยังโรดส์ด้วยความชื่นชมอย่างมาก


 


เขาไปหาความรู้เกี่ยวกับทักษะพวกนี้มาได้อย่างไร?!



111 – เปลวเพลิงแห่งความแค้น


 


ภายในห้องมืด


 


บรรยากาศกดดันทำให้ทุกๆคนไม่สามารถหายใจออกมาได้


 


“ไอ้ชั่*นั้นมันพูดอะไรนะ?!”


 


แฟรงค์บีบเตียงและกัดฟันกรอด ใบหน้าที่หล่อเหลาเมื่อก่อนของเขาตอนนี้ถูกห่อไปด้วยผ้าพันแผล


 


“ครับ ท่าน”


 


ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงพูดพร้อมก้มหัวลง


 


“ได้ ได้เลย..….”


 


แฟรงค์กัดฟันและพูดกับตัวเอง จากนั้นเขาบีบกำปั้นและฟาดไปลงที่เตียง


“ไอ้ชั่วนั่นมันคิดอะไรของมัน! หืมม! มันเป็นแค่ขุนนางชั้นต่ำในประเทศป่าเถื่อนนั่น กล้าดียังไงมาต่อต้านข้า!”


 


ชายคนนั้นตัวสั่นขณะที่เจ้านายของเขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธ


 


สำหรับคนรับใช้ที่ติดตามแฟรงค์มาตั้งแต่้ขายังเด็ก เขารู้ถึงอดีตของแฟรงค์ดี ในบาร์ซ แม้ว่าเขาจะเป็นทายาทลำดับที่ 3 ของตระกูลชั้นสูง แต่เขาไม่เคยได้รับความเคารพจากตระกูลของเขาเลย แฟรงค์ไม่ได้รับความสนใจเพราะว่าเขาไม่ได้โดดเด่นเหมือนกับพี่ชายทั้งสองคน แม่ของเขาเป็นคนอ่อนแอและไม่แม้แต่จะต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเองในตระกูล แล้วจะให้เธอช่วยลูกชายของเธอน่ะหรือ?


 


หลังจากความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างเขาและครอบครัว แฟรงค์เลือกที่จะออกมา จากตอนนั้น เขาได้สาบานกับตัวเองว่าเขาจะต้องประสบความสำเร็จก่อนที่จะไปทวงสิ่งที่เคยเป็นของเขาคืน เพื่อสำเร็จเป้าหมายนั้น เขาฝืนตัวเองให้อดทนต่อความอัปยศและความขมขื่นมาตลอดทาง ท้ายที่สุดเขาก็ได้คว้าโอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวมาไว้ได้ และตราบเท่าที่เขาทำภารกิจนี้สำเร็จ เขาจะสามารถกลับไปยังบ้านเกิดของเขาด้วยความเชิดหน้าชูตา


 


เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำโดยไม่ต้องกังวลถึงพี่ชายทั้งสอง แม่ของเขาจะไม่ต้องทนทรมาณเป็นคนรับใช้อีกต่อไป


 


นั่นเป็นเหตุผลที่เขาถึงมาที่เมืองดีพสโตนและทำงานกับทหารรับจ้างเหล่านี้


 


คล้ายกับคนส่วนใหญ่ที่มาจากประเทศแห่งแสง แฟรงค์มีความปรปักษ์ชัดเจนต่ออาณาจักรมันน์ ในความคิดของเขา อาณาจักรมันน์เต็มไปด้วยพวกขี้ขลาด พวกเขาขายดวงวิญญาณเพื่อแลกกับเงิน คนพวกนี้เป็นเหมือนปลิงที่ไม่มีอนาคตและความหวังที่อยู่ตามถนน พวกเขาหันไปเดินตามเพียงคนที่มีเงินมากที่สุด ทำเหมือนตาบอด หูหนวก ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองร่ำรวย


 


อย่างไรก็ตามเพื่อประโยชน์ในอนาคตของเขา เขาไม่มีทางเลือกได้แต่อาศัยอยู่กับพวกขี้ขลาด ภายนอกนั้น เขาทำงานหนักให้ดูคล้ายกับคนอื่นๆ แต่ในจิตใจของเขาแล้ว แฟรงค์ไม่เคยรู้สึกอะไรเลยนอกจากดูถูกคนพวกนี้ จากการรับรู้ของเขา พวกเขาไม่ต่างอะไรไปจากเครื่องมือที่ให้เขาใช้เพื่อปูทางไปสู่ความสำเร็จ


 


ตามแผนแล้ว เขาต้องยึดกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์เอาไว้ให้ได้ ซึ่งเขาทำได้แล้ว แฟรงค์อยากทำภารกิจนี้ให้เสร็จภายใน 1 ปี ตราบเท่าที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น….


 


แต่การมาของคนๆหนึ่งที่ชื่อ โรดส์ ที่ปรากฎตัวมาจากไหนไม่รู้และเข้ามาทำลายความหวังและความฝันของเขา


 


แฟรงค์ไม่เคยเฉียดตายมากขนาดนี้มาก่อน แม้ว่าเขาจะทำงานเป็นทหารรับจ้างมาเป็นเวลา 1 ปีและเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายมานับไม่ถ้วน มันไม่น่าหวาดกลัวเหมือนกับที่เขาได้เผชิญหน้ากับโรดส์


 


โชคดี เขารอดชีวิตมาได้


 


ถ้าคนๆนั้นไม่ปรากฎตัวขึ้นมาข้างเขา เขาอาจจะกลายเป็นศพไปแล้ว


 


เมื่อคิดถึงเรื่องความตาย ร่างกายของเขากลับมาสั่นอีกครั้ง แต่ว่าเขาเริ่มสงสัยในบางสิ่ง


 


ชายคนนั้น…โรดส์….ทำไมมันถึงอยากฆ่าเขามากขนาดนี้? มันเป็นเพราะการประกาศสงครามเหรอ? นั่นมันไม่ถูกต้อง….มันไม่ทำเกินไปหน่อยรึ?


 


มันไม่กลัวถูกหักหลังจากกลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆเหรอถ้ามันฆ่าเขา? หรือมันบ้าไปแล้ว?


 


ข้อมูลที่เขาได้รับมาจากคลินตันบอกมาว่า โรดส์ไม่ใช่คนง่ายๆ ตามที่คลินตันพูดมา เขาได้ส่งผู้ติดตามไปสังหารโรดส์ แต่คนที่ส่งไปทั้งหมดกลับถูกฆ่าแทน


 


บางที….มันอาจจะรู้ภารกิจของเขา….?


 


เมื่อเขาคิดถึงความเป็นไปได้ที่ภารกิจของเขาจะรั่วไหลออกไป แฟรงค์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง


 


งั้นก็หมายความว่ามันรู้แผนของเขาทั้งหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงชิงโจมตีก่อนรึ?


 


“เหตุการณ์ในเมืองดีพสโตนเป็นอย่างไรบ้าง? มีข่าวอะไรใหม่บ้างไหม? คลัซ”


 


“สมาคมทหารรับจ้างได้มีประกาศออกมาเท่านั้นครับ”


 


“ว่ามา”


 


แฟรงค์ขมวดคิ้วหลังจากได้รับรายงานจากสมาคมทหารรับจ้าง ถ้าชายคนนั้นรู้แผนของเขา เมืองดีพสโตนควรที่จะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว หรือพวกมันกำลังรอให้เขาก่อเรื่องผิดพลาด? หรืออีกด้านหนึ่ง มีโอกาสที่เขาจะคิดมากเกินไป


 


ในกรณีนี้ กฎระเบียบใหม่ของสมาคมทหารรับจ้างจะส่งผลให้การดำเนินการขั้นต่อไปในแผนการของเขาทำได้ยากขึ้น


 


เขาควรทำอย่างไรดี?


 


“ส่งคนไปติดตามรังหมาป่าและรายงานสถานการณ์ให้พวกเขา”


 


“ครับ”


 


หลังจากรับคำสั่งของแฟรงค์ ชายคนนั้นก้มตัวลงและเดินออกไป แต่ในขณะนั้น แฟรงค์เรียกเขากลับมาอีกครั้ง


 


“เดี๋ยวก่อน แล้วมีข่าวอะไรเกี่ยวกับสตาร์ไลท์บ้างไหม?”


 


“พวกเขาได้ออกไปจากเมืองดีพสโตนแล้วครับ”


 


.”เอ๋?”


 


แฟรงค์ยกคิ้วขึ้นทันที


 


“แล้วพวกมันไปที่ไหน?”


 


“ตามรายงาน พวกเขาได้มุ่งหน้าไปยังป่าราตรีครับ แต่สำหรับสิ่งที่พวกเขาทำ….ผมไม่รู้ครับ”


 


“ป่าราตรีรึ? เดี๋ยวนะ ข้าจำได้ว่า….”


 


แววตาดีใจปรากฎขึ้นในดวงตาของแฟรงค์ เขาฝืนตัวเองลุกขึ้นและมองไปยังผู้ติดตามของเขา


 


“ไปตามคลินตันและบอกเขาเกี่ยวกับสตาร์ไลท์ในป่าราตรี…และข้าอาจ…..”


 


คำพูดสุดท้ายเบาบางจนแทบไม่ได้ยิน แต่สีหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยเจตนามุ่งร้าย


 


ในขณะเดียวกัน โรดส์ได้เริ่ม ‘การฝึกพื้นฐาน’ ให้กับแรนดอฟและคนอื่นๆ


 


โรดส์ไม่เพียงแต่มอบหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่บอกพวกเขาเกี่ยวกับความสามารถทั้งหมด แต่มันเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในการพัฒนาความแข็งแกร่งอีกด้วย


 


ในยุคนี้ การฝึกฝนสกิลเป็นเรื่องง่ายมาก แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเรียนเทคนิคต่างๆจากอาจารย์ได้ แต่ความสามารถในการผสานสกิลเป็นอีกปัญหาหนึ่ง นี่เป็นเพราะตัวละครของทุกคนและสไตล์การต่อสู้นั้นแตกต่างกัน ดังนั้นวิธีการสอนของอาจารย์ต่างๆจึงแตกต่างกันไปด้วย


 


ทุกคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และสิ่งที่จะทำให้มันสมบูรณ์แบบคือประสบการณ์ อ้าวอิงจากผู้คนที่เดินทางไกลและออกผจญภัยเพื่อสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้จริง  ระหว่างการเดินทางนั้นพวกเขาจะค่อยๆชำนาญสกิลนั้นๆและพัฒนาสไตล์การต่อสู้ส่วนตัว นั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำไมนักผจญภัยต้องออกเดินทาง นั่นเพราะประสบการณ์การต่อสู้นั้นมาจากการฝึกฝนและประสบการณ์ต่อสู้ที่มาจากการต่อสู้เฉียดตายนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


บางทีหลังจากใช้เวลาหลายปี แรนดอฟและคนอื่นๆจะชำนาญการใช้สกิลของพวกเขาและพัฒนาแนวทางการต่อสู้ของตนเองออกมา แต่โรดส์ไม่สามารถนานขนาดนั้นได้ เมื่อตัดสินจากระดับสกิลของพวกเขาในตอนนี้ พวกเขาอาจจะตายตั้งแต่เริ่มผจญภัยมากกว่าประสบความสำเร็จ


 


กระดาษที่เขาส่งมาให้แรนดอฟและคนอื่นๆอ่านนั้นคือ ‘ระดับทั้งหมด’ กลยุทธ์ที่เขาพัฒนามาจากผู้เล่นจำนวนหลายล้านคน


 


แม้ว่ามันจะเป็นเพียง ‘ระดับทั้งหมด’ มันได้บันทึกพื้นฐานทั้งหมด รวมถึงวิธีการใช้ ใน Dragon Soul Continent Online ถ้าผู้เล่นอยากเล่นให้เก่ง คนเก่าๆมากมายบอกพวกนั้นว่าให้มองหาหนังสือแนวทางสำหรับมือใหม่ ถ้าพวกเขาเข้าใจแนวทางและพื้นฐานได้ดี การเอาชนะดันเจี้ยนทั้งหมดก็ไม่ใช่ปัญหา


 


ถ้าสกิลเป็นภาษา มันจะต้องคิดเป็นคำๆ และเมื่อนำมารวมกัน คำเหล่านั้นจะรวมเป็นประโยคและความหมาย ถ้าคนๆหนึ่งอยากเปลี่ยนคำให้กลายเป็นประโยคที่ลื่นไหลพร้อมด้วยคำศัพท์ที่สละสลวย นั่นก็เหมือนกับใช้งานสกิลในระดับสูง


 


เมื่อดูเนื้อหาแล้ว แรนดอฟและคนอื่นๆที่ดูเหมือนเด็กซึ่งเริ่มหัดเรียนภาษาและไม่สามารถสะกดคำออกมาได้ ดังนั้นวิธีที่จะสอนภาษาให้กับเด็กพวกนี้ล่ะ? โดยการให้พวกเขาพูดซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าพวกเขาจะเข้าใจมันทั้งหมด


 


ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถเรียนคำศัพท์เหล่านั้นได้ พวกเขาจะสามารถสร้างประโยคของตัวเองได้ สำหรับพวกเขาที่จะสามารถตีความของประโยคได้ไหมนั้น…..นั่นเป็นเรื่องที่โรดส์ยังไม่ได้คิด ยังไงก็เถอะ ได้เวลาเริ่มแล้ว!


 


และหลังจากนี้ไป โศกนาฏกรรมก็ได้เริ่มขึ้น


 


โรดส์ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆกับพวกเขาว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทำแบบนี้ ในขณะเดียวกันพวกเขาไม่ได้ร้องขอเหตุผล ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถอ่านและทำตามได้อย่างถูกต้อง พวกเขาจะเข้าใจเหตุผลตามมาโดยธรรมชาติ ในความคิดของโรดส์ วิธีการฝึกนี้เป็นวิธีที่ดีกว่าการนำกลุ่มมือใหม่เข้าดันเจี้ยน


 


เช้าวันต่อมา ภาพแปลกๆได้ปรากฎขึ้นที่ค่ายที่พักของสตาร์ไลท์


 


แรนดอฟที่ก้มตัวลงและกระโดดขึ้น ในขณะเดียวกัน เขาดึงคันธนูออกมาและเล็งไปที่ต้นไม้ด้านหน้าของเขา หลังจากยิงเสร็จ เขาไม่ได้หยุดและกลิ้งกลับหลังไปในทันที ด้วยการเคลื่อนไหลที่รวดเร็วนี้ มือซ้ายของเขาได้คว้าลูกธนูอีกลูและง้างยิงออกมาอีกครั้ง


 


สำหรับนักดาบเกราะหนัก แอนดอนได้ทำชุดการเคลื่อนไหวซ้ำๆซากๆกับดายและโล่


 


ไปข้างหน้า ถอยหลัง เหวี่ยงดาบไป ป้องกัน หมุนตัว เหวี่ยงดาบไปอีกครั้ง


 


เขาทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกภายใต้แสงอาทิตย์ร้อน เหงื่ออาบชุ่มไปทั่วหน้าผากของเขา ดวงตาของเขาเองยังจับจ้องไปยังพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้าราวกับกำลังมีศัตรูรอโจมตีเขาอยู่


 


โจอี้เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เขาไม่ได้มีรอยยิ้มผ่อนคลายบนใบหน้าอีกต่อไป ในขณะนั้น เขากำลังขมวดคิ้วและพุ่งเป็นวงกลมอย่างปรากเปรียดและกวัดแกว่งกริชไปด้านหน้า


 


ข้าจะบอกให้นะ ไอ้หนุ่ม วิธีนี้มันจะได้ผลจริงๆรึ?”


 


ชายชราวอร์คเกอร์พูดด้วยความกังวล ขณะเขามองไปยังชายทั้งสามที่กำลังฝึกอย่างต่อเนื่อง


 


“ในสนามรบจริงๆทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอด พวกเขาจะใช้การเคลื่อนไหวพวกนี้รับมือได้ทุกสถานการณ์ได้อย่างไร? ถ้าศัตรูไม่ได้ต่อสู้ในลักษณะนั้น พวกเขาไม่จบสิ้นเลยรึ?”


 


“ผมไม่ได้สนใจวิธีที่พวกเขาต่อสู้ แต่ผมต้องบอกถึงสิ่งที่พวกเขาต้องทำ นี่เป็นความต้องการของผม”


 


ชายชราหมดคำพูด เมื่อได้ยินคำตอบของโรดส์ หลังจากนั้นเขากรอกตาไปมาและมองไปยังโรดส์ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ


 


“อ่า…พอเถอะ ไอ้หนุ่ม ข้าอยากรู้เหตุผลของเจ้า มันแปลกมาก มันจะไม่มีปัญหาเลยถ้ามันไม่ใช่วิธีการต่อสู้ที่ไม่มีการยืดหยุ่นแบบนี้”


 


“นั่นเป็นปัญหาของผม ไม่ใช่คุณ วอร์คเกอร์ เรื่องที่ผมขอให้คุณไปทำก่อนหน้านี้เป็ยยังไงบ้าง?”


 


วอร์คเกอร์มองไปยังเขาและยืนขึ้น


 


“ข้าเจอสถานที่ที่ตรงกับความต้องการของเจ้า และข้าได้รวบรวมข้อมูลบางส่วนมา เนื่องจากคนพวกนั้นจัดการได้ไม่ง่าย….แต่เจ้าตั้งใจจะ….”


 


ชายชราวอร์คเกอร์หมดคำพูด เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของโรดส์ เขารู้คำตอบนั้นทันที เขายักไหล่และไม่กวนเขาต่อ


 


“ยังไงก็เถอะ รับไปและข้าจะไม่พูดถึงมัน แต่ไอ้หนุ่ม ไลซ์ในหลายวันมานี้ดูเธอเศร้าๆนะ ถ้าเจ้าพอมีเวลา เจ้าควรไปหาเธอหน่อย เจ้าควรรู้ว่าขวัญกำลังใจเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ในทหารรับจ้างทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกับปัญหาจริงจังอย่างไลซ์….”


 


วอร์คเกอร์ยินขึ้นและใช้มือจับไหล่ของโรดส์ ก่อนจะหันหน้าและเดินออกไป เขาเชื่อว่าเขาไม่ต้องทำสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเพราะเขาเข้าใจดีว่าโรดส์ไม่ใช่คนประเภทนั้น


 


โรดส์ไม่ได้ตอบ เขาเพียงเหลือบมองไปยังค่ายที่พัก


 


ที่นั่นมีเด็กสาวสวย 3 คนในกลุ่มทหารรับจ้างกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน


 


โรดส์ไม่ได้มอบหมายภารกิจอะไรให้หญิงสาวทั้งสามคน หลังจากที่รู้จักกับพวกเธอมาครู่ใหญ่ โรดส์เข้าใจบุคคลิกและเทคนิคของแต่ละคน ไลซ์ค่อนข้างพิเศษ เธอจัดการคูลดาวน์ของเธอได้ดีกว่าผู้เล่นเสียอีก โรดส์มั่นใจว่าถ้าผู้เล่นนักบวชที่แข็งแกร่งที่สุด กวนอิมพันมือ ถูกส่งมาโลกนี้ เธออาจจะสู้ไลซ์ไม่ได้ในเรื่องนี้


 


มาร์ลีนเองก็พิเศษไม่ต่างจากไลซ์ แต่พรสวรรค์ของเธอคือความชำนสญในระบบเวทมนตร์ทั้งหมด เธอสามารถเทียบได้กับผู้เล่นระดับสูงที่สุด แใ้ว่าโีดส์จะอยากมอบการฝึกให้เธอ แต่มันเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าเขาคุ้นเคยกับบทเวทย์ แต่เขาไม่ใช่จอมเวทย์ ดังนั้นมันจึงมีสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจอย่างท่องแท้


 


สำหรับอัจฉริยะ ‘โดยทั่วไป’ แล้ว ความเข้าใจของมาร์ลีนคือทักษะโจมตีที่หลากหลายนั้นถือว่าค่อนข้างดี ในสุสานพาเวล โรดส์แทบไม่ต้องบอกสิ่งที่เธอควรทำ และมาร์ลีนเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการ เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างช้าๆ และโรดส์สามารถมองเห็นได้


 


ถ้ามาร์ลีนเป็นคนในทาง ‘ทฤษฎี’  แอนคงจะเป็นคนในทาง ‘ปฏิบัติ’ อย่างแท้จริง โรดส์รู้สึกได้ถึงความดิบเถื่อนในตัวเธอ โหดร้าย เอกลักษณ์ ไม่ธรรมดาและไม่มั่นคง แต่ทั้งหมดนั้นได้สร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง ความสามารถของแอนในการโฟกัสไปที่เป้าหมายและการตอบสนองเรียกได้ว่าสุดยอด ดังนั้นเขาไม่คิดว่าจะมีอะไรไปสอนเธออีกแล้ว


 


สำหรับชายหนุ่มที่น่าสงสารที่ไม่ตรงตามความต้องการของโรดส์ พวกเขาต้องฝึกหนักรอบๆค่ายที่พัก


 


โลกภายนอกนั้นไม่ได้ใจดีหรอกนะ ความล้มเหลวรอคุณอยู่ ถ้าคุณไม่ประสบความสำเร็จ


 


จากนั้นโรดส์ยืนขึ้นและเดินตรงไปยังเนินเขาด้านข้าง



112 – การ์ดหลัก


 


เด็กสาวทั้งสามสังเกตเห็นโรดส์กำลังเดินมาหาพวกเธอจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง


 


จริงๆแล้ว พวกเธอเป็นไพ่ลับของสตาร์ไลท์เพราะว่าสตาร์ไลท์ขาดทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์และพวกเธอทั้งหมดก็เป็นสาวงาม


 


ทหารรับจ้างบางกลุ่มอิจฉามากเมื่อพวกเขาเห็นสาวงามทั้งสามคน แม้แต่บางคนยังเรียกพวกเธอว่าเป็นโสเภณีอย่างลับๆเมื่อพวกเธออยู่ด้วยกัน


 


แน่นอน สิ่งเหล่านี้ถูกพูดกันในที่ลับ ไม่มีใครกล้ากล่าวโจมตีสตาร์ไลท์โดยตรง เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวว่าโรดส์ได้ทำให้เจดเทียร์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย


 


แต่มันก็ไม่ได้ลดความอิจฉาของพวกเขาที่มีต่อสตาร์ไลท์ลงแม้แต่น้อย


 


ในบรรดาหญิงสาวทั้ง 3 คน ไลซ์เป็นคนประเภทนุ่มนวล อ่อนหวาน ผ้าคลุมนักบวชสีขาวเหมาะกับผมสีทองเป็นประกายของเธอ ทำให้เธอดูเหมือนดอกลิลลี่ที่บอบบาง แม้ว่าเธอจะกำลังยิ้มอยู่ในตอนนี้ แต่ประกายความเศร้ายังคงอยู่ในส่วนลึกในจิตใจของเธอ


 


แอนเป็นคนที่อ่อนต่อโลกกว่าพวกเธออีก 2 คนมาก แม้บางคนจะเขียนคำว่า ‘อ่อนต่อโลก’ ไว้บนหัวของเธอ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเป็นคู่แข่งของแอนได้ในเรื่องความไร้เดียงสาต่อโลก


 


แอนหาวและนอนลงบนพื้น เธอกำลังมีความสุขกับแสงแดดอุ่นๆ ผมสีทองของเธอถูกมัดรวบกลายเป็นหางม้า เผยให้เห็นความเยาว์วัยและความเป็นธรรมชาติ ตรงกันข้ามกับความระมัดระวังของไลซ์และมาร์ลีน แอนดูเหมือนจะชื่นชอบเปิดเผยเรือนร่างของเธอ ชุดเกราะที่เธอใส่อยู่ในตอนนี้รัดรูปและขับเน้นร่างกายที่ผอมเพียวออกมา ด้วยบุคลิกที่มีชีวิตชีวา ใครก็รู้ว่าเธอตั้งใจเลือกชุดที่มีลักษณะเปิดเผยแบบนี้


 


แรนดอฟและคนอื่นๆมีภูมิคุ้มกันต่อชุดของแอนเพราะพวกเขาเคยเห็นมาก่อน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ติดตามของชอว์น่านั้นต่างจ้องแอนตาเป็นมัน นี่ทำให้ชอว์น่าโกรธมาก และเธอดุกลุ่มของเธอว่าไม่มีดีอะไรเลยถ้ายังไม่สามารถควบคุมความต้องการของตัวเองได้


 


บอกตรงๆ ชอว์น่าเองก็มีความงดงามในแบบของเธอเอง ในขณะที่เธอไม่ได้งดงามมากมายเมื่อนำไปเทียบกับสามสาว แต่ผู้หญิงสาวห้าวและแข็งแกร่งแบบเธอก็ดึงดูดผู้ชายไม่น้อย


 


ถ้าโรดส์เป็นชายอ้วนบ้ากามน่าเกลียด บางทีทุกคนอาจจะเรียกเขาว่าไอ้อ้วนลามก แต่แม้ว่าพวกเขารู้ว่าเขารับหญิงสาวมากมายเข้ามาในสตาร์ไลท์ แต่ไม่มีใครกล้าเรียกโรดส์ว่าไอ้ลามกเลยแม้แต่น้อย แล้วเหตุผลคืออะไรล่ะ?


 


เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นเป็นเพราะรูปร่างของเขายังไงล่ะ! รูปร่างของเขาไม่ได้แตกต่างไปจากคนที่เหลือมาก จะบอกว่าเขาเป็นคนลามก? ไม่ดีกว่าเหรอถ้าให้เขาซื้อกระจกและมองไปยังรูปร่างของตัวเอง ถ้าเขาเป็นคนลามกแบบนั้นน่ะ?


 


ขณะที่หลายคนกำลังวุ่นวายกับการฝึกฝน หญิงสาวทั้งสามกำลังคุยกันในหลายๆเรื่อง…จริงๆแล้วมีเพียงมาร์ลีนและไลซ์ที่กำลังคุยกันอยู่ อีกด้านหนึ่งใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของแอนกำลังเผยให้เห็นว่าเธอกำลังหลับฝันดี


 


“อ่า คุณโรดส์”


 


ไลซ์ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว มาร์ลีนยิ้มและพยักหน้า


 


“คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?”


 


โรดส์ถามไลซ์


 


“มันแปลกเล็กน้อยค่ะ…ครั้งสุดท้ายที่พวกเรามาที่ป่าราตรีก็มาเพื่อภารกิจและไม่ได้มีเวลาได้พบทิวทัศน์แถวนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาที่นี่โดยไม่มีภารกิจค่ะ”


 


ไลซ์พูดด้วยรอยยิ้มและเหลือบมองไปยังป่าไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากเธอ


 


“มันสวยจริงๆ ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าฉันกังวลจนหัวหมุน ในตอนที่ฉันได้มาทำภารกิจครั้งแรกที่นี่ ในตอนนั้นหัวหน้าและคนอื่นๆต่างหัวเราะใส่ฉัน….”


 


ไลซ์หยุดพูดและเหลือบมองไปป่าอย่างเงียบๆ เธอรู้ดีว่าเธอไม่ควรพูดเรื่องนี้ แต่เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงมัน


 


เมื่อเห็นสีหน้าที่เศร้าสร้อยของเธอ โรดส์ขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้สังเกตอารมณ์ของเธอ แต่ความทรงจำที่เจ็บปวดของเธอไม่ใช่สิ่งที่จะถูกจบออกไปได้ง่ายๆ


 


ถ้ามันเป็นปัญหาในการต่อสู้ โรดส์อาจจะสามารถคิดวิธีแก้ปัญหาได้ แต่นี่เป็นปัญหาทางจิตใจ และความสามารถของโรดส์ในการเดาว่าผู้คนกำลังคิดอะไรอยู่ก็พอๆกับคนทั่วไปที่อยู่ถัดจากตัวเขา


 


ไลซ์มองออกไปด้านนอกอย่างสบายใจ แต่ในใจลึกๆมีรอยแผลเป็นที่ไม่ว่านักบวชคนไหนก็ไม่สามารถรักษาได้ ถ้าอุบัติเหตุที่คล้ายๆกันเกิดขึ้น บางทีรอยแผลเป็นนัน้อาจจะเปิดขึ้นอีกครั้งและนำมาซึ่งความเจ็บปวดที่มากกว่าเดิม


 


“ฉันจะออกไปตรวจสอบทุกคนหน่อยค่ะ”


 


ไลซ์ดูเหมือนว่าสังเกตเห็นบางสิ่ง ดังนั้นเธอจึงยิ้มออกมาแห้งๆและเลือกที่จะเดินออกไป โรดส์มองร่างของเธอเดินจากไปอย่างคิดไม่ออก


 


“ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ตะทิ้งรอยแผลเป็นลึกไว้ให้เธอเลยนะคะ”


 


มาร์ลีนที่เงียบอยู่ได้พูดขึ้น


 


“จริงๆแล้ว…”


 


โรดส์พยักหน้าเห็นด้วย


 


“คุณมีแผนอะไรไหมคะ? คุณโรดส์”


 


“ตอนนี้เหรอ? ไม่มีนะ”


 


“เนื่องจากมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น พวกเราต้องทำตัวตามสถานการณ์ไปเท่านั้น มาร์ลีน คุณช่วยรายงานผมด้วยถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ?”


 


“ไม่มีปัญหาค่ะ ปล่อยให้เห็นหน้าที่ฉันเถอะค่ะ คุณโรดส์”


 


มาร์ลีนไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธไลซ์ที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอ แม้ว่าเธอจะเป็นจอมเวทย์อัจฉริยะ เธอเองยังเป็นจิตแพทย์ด้วย คนอื่นๆที่อยู่ข้างเธอ ไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้


 


โรดส์พยักหน้า จากนั้นเขาเดินตรงไปยังลำธารที่อยู่ตรงเนินเขา


 


มาร์ลีนขมวดคิ้วเมื่อมองไปยังร่างของโรดส์ เธอรู้สึกได้ถึงเหตุการณ์ที่คล้ายกัน


 


อ่าใช่แล้ว…มันเหมือนกับที่สันเขาแห่งความเงียบ เขาเข้าไปในป่าและอัญเชิญทูตสวรรค์ออกมาใช่ไหม?


 


แต่ตอนนี้เขาจะทำอะไร? เขาจะออกไปอัญเชิญใครออกมาอีกใช่ไหม?


 


มาร์ลีนจมอยู่กับความคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ตะสั่นหัวของเธอ โรดส์มีความลับมากเกินไป มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเข้าไปยุ่งกับความลับของเขา เธอเชื่อว่าเขาจะบอกความจริงเมื่อเวลามาถึง


 


แต่เมื่อเธอมองไปยังโรดส์ที่กำลังเดินไป เธออดไม่ได้ที่จะถึงนึกพระราชวังใต้ดิน สิ่งก่อสร้างในยุคฟาสคาร์ล….รูปปั้นแปลกๆและการทดสอบ…


 


เป็นเขาจริงๆหรือ?


 


ทันใดนั้น ดวงตาของเธอทอประกายตกตะลึง เธอไม่คิดว่าหัวใจของเธอเคยเต้นเร็วแบบนี้มาก่อน ความคิดที่เป็นไปไม่ได้โจมตีเธอ ถ้าเป็นอย่างที่เธอคิด จากนั้นโรดส์….


 


เธอส่ายหัวและสลัดความคิดบ้าๆทั้งหมดออกไป


 


ในขณะน้ัน แอนที่ควรจะหลับอยู่ได้ลืมตาขึ้นและมองไปยังมาร์ลีน ใบหน้าที่งดงามของเธอแดงช่าในขณะนี้


 


โรดส์รู้สึกว่าป่านี้มีชะตาคู่กับเขา


 


เขาเดินเข้าไปในป่าลึกและหลังจากที่มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เขาๆได้หยิบแกนวิญญาณขนาดเล็กออกมา มันเป็นหินผูกวิญญาณชิ้นที่สอง หินนี้มีวิญญาณของอัศวินแห่งความตายที่พ่ายแพ้ก่อนหน้านี้ จริงๆแล้วโรดส์ไม่คิดจะผูกวิญญาณของวิญญาณดวงนี้แม้แต่น้อย เนื่องจากเขาพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่กลับเป็นเพราะความบ้าบิ่นของแอน ดังนั้นโรดส์จึงเปลี่ยนใจและนำหินผูกวิญญาณออกมาผนึกวิญญาณของอัศวินแห่งความตาย


 


ไม่เหมือนกับเนโครแมนเซอร์ วิญญาณของอัศวินแห่งความตายไม่ได้มีสีดำบริสุทธิ์ มันมีสีเทา โรดส์อดรู้สึกกังวลไม่ได้เมื่อเขามองไปยังหมอกที่หมุนอยู่รอบๆ


 


อัศวินแห่งความตายเป็นมอนสเตอร์ระดับมากกว่า 30 และเขามีระดับเพียง 15 เท่านั้น เขามีระดับไม่ถึงครึ่งหนึ่งของมันด้วยซ้ำ แกนวิญญาณที่มาจากมอนสเตอร์ระดับสูงสามารถทำให้เขาอัญเชิญดวงวิญญาณระดับสูงได้ ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือลดความไม่มีเสถียรภาพของมันให้เหลือน้อยที่สุด


 


การ์ดระดับสูงนั้นหายากมาก ในเกม ผู้เล่นนักดาบอัญเชิญส่วนใหญ่ต้องหลอมรวมการ์ดระดับสูง 3 ใบถึงจะได้มันมา แน่นอน ถ้าหนึ่งในนั้นเป็นแกนวิญญาณระดับสูง คนๆนั้นอาจจะได้รับการ์ดระดับสูงตามไปด้วย ซึ่งโอกาสที่จะได้รับนั้นจะมากกว่าการหลอมรวมการ์ด 3 ใบทั่วไป


 


โรดส์หวังว่าแกนวิญญาณระดับ 30 ของเขาจะไม่เปลี่ยนเป็นขยะ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง โรดส์ตัดสินใจเริ่มทันที


 


“….เฮ้อออ”


 


โรดส์หายใจออกและมองไปยังแกนวิญญาณที่ปกคลุมไปด้วยหมอกในมือของเขา เขาตรวจสอบรอบๆเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมากวนเขา จากนั้นเขาหลับตาและเริ่มขึ้น


 


ไม่นานประกายแสงลึกลับได้ปรากฎขึ้นจากมือของเขา ราวกับสายน้ำ มันไหลไปทั่วร่างของเขาและไหลลงสู่พื้น หลังจากนั้นโดยมีโรดส์เป็นศูนย์กลาง มันก่อตัวเป็นวงเวทย์ขนาดใหญ่!


 


หลังจากนั้นชุดการ์ดลอยขึ้นไปในอากาศ พวกมันบินไปมาอยู่ภายในวงเวทย์ พวกมันทั้งหมดทอแสงที่แตกต่างกันออกมา


 


ในขณะนั้น โรดส์ชูมือขวาขึ้นและแสดงตัวตนของแกนวิญญาณต่อหน้าชุดการ์ด


 


นี่เป็นวิธีที่เขาคิดขึ้น ดีกว่าการปล่อยให้แกนวิญญาณไปหลอมรวมด้วยตัวมันเอง มันจะดีกว่าถ้าเขาวางมันไปที่การ์ดที่เขามี ด้วยการกระทำนี้ เขามีโอกาสได้รับดวงวิญญาณในอัตราที่สูงขึ้น นั่นเป็นการสรุปของเขาเอง หลังจากที่ผ่านการทดสอบและความผิดพลาดมานับครั้งไม่ถ้วนและได้นำวิธีการมาจากกระดานข่าว


 


และตอนนี้ เขามีโอกาสได้เห็นมันด้วยตาตัวเอง


 


ราวกับรับรู้ถึงการคงอยู่ของแกนวิญญาณ ชุดการ์ดเริ่มส่องประกายแสงลึกลับ แกนวิญญาณเริ่มเปลี่ยนสีราวกับว่ามันกำลังสื่อสารกับชุดการ์ด แกนวิญญาณส่องแสงแวบวัยและเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว จากขาวไปดำ ไปแดง ไปเขียว สีสันต่างๆเริ่มเปลี่ยนไปเร็วกว่าที่ตาของโรดส์จะมองทัน


 


แต่ทันใดนั้น สีหน้าของโรดส์เปลี่ยนไป


 


เขาพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง


 


แกนวิญญาณในมือของเขาเริ่มสั่นและวงเวทย์รอบตัวเขาเริ่มสลายตัวลงเช่นกัน


 


เกิดอะไรขึ้น? เขาไม่เคยพบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน


 


โรดส์สงบสติลงและเก็บความสงสัยไว้ในใจ เขาพยายามควบคุมวงเวทย์ แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้วงเวทย์ระเบิดออกมาด้วยพลังที่รุนแรงกว่าเดิม


 


แกร็กก


 


เมื่อแกนวิญญาณในมือเริ่มแตก ร่างของเขาเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวด


 


เหลือเพียงความมืดปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา จากนั้นเขาหมดสติลง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม