Strongest Abandoned Son บุรุษผู้ถูกทอดทิ้ง 470-476

 บทที่ 470 : ขัดแย้งกับเซียงหมิงหวัง


 


เขารู้ว่าหินจิตวิญญาณถูกใช้ในอดีตโดยจอมยุทธ์เพื่อปรับปรุงความแข็งแกร่งของพวกเขาโดยการตรวจจับพลังภายใน แต่ใช้งานได้เฉพาะผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นปฐพี ถ้ามันมีแค่ฟังก์ชั่นนั้น มันก็จะไร้ค่ามากกว่ายาจิตวิญญาณปฐพี


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือการใช้งานจริงๆของหินจิตวิญญาณนั่นมีค่านับไม่ถ้วนมากกว่ายาจิตวิญญาณปฐพี


 


“ฮะ?” ชีซรือเฮิงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก มันไม่เหมือนที่เขาต้องการกริชอย่างสิ้นหวัง แต่เขารู้ว่ามันมีค่ามากกว่าหินจิตวิญญาณของเขา


 


แม้ว่าเขาไม่ต้องการ เขาก็สามารถใช้เพื่อแลกยาจิตวิญญาณปฐพีได้


 


ทุกคนรู้สึกงงงวยและรู้ทันทีว่าเย่โม่พยายามประจบเซียงหมิงหวังทางอ้อม เกือบทุกคนมั่นใจว่าชีซรือเฮิง จะใช้กริชนั้นแลกกับยาจิตวิญญาณปฐพี


 


กูหยังเฮอเห็นสิ่งนี้และรู้สึกโล่งใจ แต่ก็ผิดหวังเล็กน้อยในเวลาเดียวกัน


 


เซียงหมิงหวังได้ยินคำพูดของเย่โม่ แต่เยาะเย้ย มันสายเกินไปแล้ว ทันทีที่เขาได้รับกริช เขาจะสอนบทเรียนให้ชายหนุ่มคนนี้ เขาคิดว่านิกายลี้ลับยุ่งได้ง่ายๆงั้นเรอะ?


 


“เอาไปสิ” ชีซรือเฮิงกลัวว่าเย่โม่จะเสียใจกับการตัดสินใจของเขาและรีบส่งหินจิตวิญญาณของเขาไปที่เย่โม่


 


เย่โม่ส่ายหัว ทำไมถึงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างผู้คน? เจิงเจิงเซียเป็นห่วงเรื่องแก่นแท้สีเหลืองของเขาจะไม่คุ้มค่าพอกับกริชของเย่โม่ แต่ชีซรือเฮิง คนนี้รู้ว่าสิ่งของของเขามีค่าน้อยกว่ากริชของเย่โม่ แต่เขาต้องการค้าขายให้เร็วที่สุด


 


เย่โม่เก็บหินใต้หุบเหว แต่ไม่ได้มอบสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ให้ เขาหยิบขวดเครื่องลายครามออกมาแทน และพูดว่า “นี่คือเม็ดยาเพิ่มลมปราณ มันมีความสามารถอย่างไม่ต้องสงสัยที่จะให้คุณไปถึงขั้นปฐพีระดับกลาง โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ซ่อนอยู่”


 


ชีซรือเฮิงรับขวดโดยไม่เจตนา เขาวางแผนที่จะใช้กริชเพื่อรับยาจากเซียงหมิงหวัง แต่เย่โม่กำลังให้ยาแก่เขาในตอนนี้


 


“นี่…” ชีซรือเฮิงมองเย่โม่อย่างกังวล เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับยาเพิ่มลมปราณ ถ้าเขาถูกโกงล่ะ


 


ตึง! – เซียงหมิงหวังตบโต๊ะในขณะที่เขายืนขึ้นทันใด “เย่โม่การประมูลครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความยุติธรรม นายเอาของใครจากคนอื่นมา แต่ให้ยาไร้ประโยชน์กลับไปแทน นายคิดว่าฉันจะไม่ทำอะไรกับนายรึไงห่ะ?”


 


ชีซรือเฮิงมองเย่โมและเซียงหมิงหวังอย่างชัดเจน ถ้าเขารู้ว่าสิ่งต่างๆ จะออกมาเช่นนี้ เขาจะไม่หินออกมาแน่ เขาสามารถยุ่งกับทั้งเย่โม่หรือเซียงหมิงหวังได้รึไงกัน หากเป็นเพียงเย่โม่ เขาจะยอมรับสถานการณ์และเพียงมอบหินแก่เย่โม่


 


แต่เขารู้ว่าถ้าเขาทำเช่นนั้นในตอนนี้ มันจะหมายถึงการเริ่มต้นความขัดแย้งกับเซียงหมิงหวัง เซียงหมิงหวังกำลังมองหาโอกาสที่จะโจมตีเย่โม่ และถ้าเขาทำเช่นนั้น เซียงหมิงหวังจะเสียโอกาส


 


ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น เซียงหมิงหวังกำลังจะต่อสู้กับเย่โม่! มีละครที่ต้องดูในตอนนี้ แม้ว่าหลายคนต้องการที่จะสนับสนุนเซียงหมิงหวัง แต่เซียงหมิงหวังก็เรียกเย่โม่เป็นการส่วนตัว ดังนั้นหากพวกเขาสนับสนุนเซียงหมิงหวังอย่างเปิดเผย มันจะหมายถึงการต่อสู้กับเย่โม่ หากพวกเขาทำให้เย่โม่โกรธ และเขาก็ไปสังหารหมู่พวกเขา นั่นแหละจะเป็นจุดสิ้นสุดสำหรับพวกเขา


 


เซียชรังเทียนและยวี๋เทาทั้งคู่ก็ก้มหัวลง พวกเขาไม่กล้าแสดงว่าพวกเขารู้จักเย่โม่ และต้องการให้เซียงหมิงหวังฆ่าเย่โม่ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงเช่นนั้น


 


“เซียงหมิงหวัง เอาตาข้างไหนมาดูไม่ทราบห่ะที่ว่าของที่ฉันให้มันไร้ประโยชน์? นายยังไม่ได้ดูยาของฉัน แต่คุณรู้ว่ามันไร้ประโยชน์เรอะ? ดูเหมือนว่าคุณเป็นอมตะหรือไม่ก็คนโง่นะ!” เย่โม่พูดอย่างเหยียดหยาม


 


ทันทีที่เย่โม่พูดอย่างนี้ ทุกคนก็ตกใจ เซียงหมิงหวังคือใคร? รองประมุขนิกายถ้ำน้ำเต้า มีชื่อเสียงเป็นอันดับ 2 รองจากพระภิกษุอูเต๋าเท่านั้น! แม้ว่าจะมีใครบางคนต้องการที่จะไม่เห็นด้วยกับพวกเขา พวกเขายังคงต้องเรียกเขาอย่างนับถือคือ ประมุขเซียง แต่เย่โม่เพียงแค่พูดชื่อของเขาและเรียกเขาว่าคนโง่!


 


กูหยังเฮอปรบมือให้กับความกล้าหาญของเย่โม่ในใจ แต่ไม่สามารถยืนขึ้นเพื่อช่วยเหลือเย่โม่ได้


 


“ดีเลย ฉันเคยเห็นคนที่อวดดีมาก่อน แต่ฉันไม่เคยเห็นใครที่อวดดีอย่างแกเลย! ฉันต้องการเป็นพยานให้กับตัวเองถึงพลังของผู้ชายที่ฆ่าสมาชิกขั้นปฐพี 6 คนจากนิกายธารา ฉันหวังว่าพลังของแกจะแข็งแรงพอๆ กับลิ้นของแกนะ” เซียงหมิงหวังไม่สามารถระงับความโกรธของเขาได้อีกต่อไปและเขาดึงดาบยาวออกมา


 


เฟิงอู๋ผู้ซึ่งนั่งถัดจากเซียงหมิงหวังลุกขึ้นยืนและเตือนเขา “พี่เซียงใจเย็นๆ พี่สามารถสู้กับเขาหลังจากสิ่งต่างๆ ชัดเจนนะ นี่เป็นการรวมตัวกันเพื่อค้าขาย มันคงไม่ดีถ้าความวุ่นวายนี้ใหญ่เกินไป แม้ว่าพี่จะต่อสู้ พี่ก็ไม่สามารถต่อสู้ที่นี่ได้ด้วยความเคารพต่อกษัตริย์ชิงกวง เรายังอยู่ในวังของเขานะ”


 


“มีอะไรให้ชัดเจนห่ะ เป็นยาที่ทำให้คนๆหนึ่งก้าวขึ้นไปถึงขั้นหนึ่งในขั้นปฐพี? ทุกคนรู้ว่ายาจิตวิญญาณปฐพีอันมีค่านั้นมีอยู่แล้วมานาน ด้วยอดีตที่น่าสังเวชของเขา มันชัดเจนว่าเขาโกหก” เซียงหมิงหวังพูดอย่างไม่ลังเล แต่เขายังไม่ได้โจมตี


 


เฟิงอู๋พยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของเซียงหมิงหวัง แต่เขามองเย่โม่ และพูดว่า “เย่โม่ นายพูดว่ายาเพิ่มลมปราณของนายสามารถเพิ่มขั้นพลังได้ 1 ระดับแม้ในขั้นปฐพี แต่ไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่าเป็นของจริงหรือของปลอม เราต้องรอครึ่งเดือนแม้หลังจากกินยาจิตวิญญาณปฐพี นอกจากนี้ทุกคนที่นี่รู้ว่ามันยากที่จะปรุงยาในปัจจุบัน ดังนั้นไม่ว่ายาเพิ่มลมปราณของนายจะเป็นของจริงหรือของปลอม ขอแนะนำให้นายส่งหินจิตวิญญาณคืนให้กับประมุขชี และให้หนึ่งในบรรดากริชที่นายแก่ประมุขชี”


 


เย่โม่พยักหน้าแม้ว่าเฟิงอู๋คนนี้จะเหมือนเซียงหมิงหวังเล็กน้อย แต่เขาก็ยังค่อนข้างยุติธรรม


 


เย่โม่ยิ้มแล้วพูดว่า “ยาเพิ่มลมปราณของฉันไม่ใช่สิ่งที่ยาจิตวิญญาณปฐพีจะสามารถเปรียบเทียบได้ด้วยซ้ำ ยังมีอีก 1 หรือ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะสิ้นสุดการประชุม เฮ้คุณ ถ้าคุณกินยาของฉันตอนนี้และมันไม่แสดงผลใดๆ ภายใน 1 ชั่วโมง ฉันจะคืนหินให้คุณและให้กริชด้วย ไม่ว่ายาของฉันจะเป็นของปลอมหรือไม่ มันไม่ควรเกี่ยวข้องกับคนอื่น”


 


คำพูดของเย่โม่ทำให้ฉากทั้งหมดถูกปราบด้วยความเงียบงัน ยาของเขามีผลกระทบที่ไร้สาระเช่นนี้จริงหรอ? ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมไม่มีใครเคยได้ยิน? คำพูดของเย่โม่ฟังดูมีความมั่นใจมากและทุกคนสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ในอีก 1 ชั่วโมงต่อมา เขาจะยังคงพูดโกหกหรอ?


 


“ฉันคิดว่าพี่ชีควรทดลองก่อนนะ ไม่มีใครรู้ว่ายาเม็ดนี้เป็นของจริงหรือปลอมนิ” เจิงเจิงเซียแสดงความคิดเห็น


 


เย่โม่ถอนหายใจ เจิงเจิงเซียคนนี้เป็นคนซื่อตรงแน่นอน เขายังคงเต็มใจที่จะช่วยเย่โม่พูดในตอนนี้ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาไม่รังเกียจการแก้แค้นของเซียงหมิงหวัง


 


ชีซรือเฮิงเป็นเพียงหัวหน้ากลุ่มเล็กๆ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าสิ่งนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงกังวล


 


ในขณะที่เขาได้ยินเย่โม่สัญญาว่าผลลัพธ์จะปรากฏใน 1 ชั่วโมง เขาจึงกินมันโดยไม่คิดอะไรอีก เขาต้องการให้เรื่องนี้จบเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


บทที่ 471 : หน้าด้านสุดๆ


 


เมื่อชีซรือเฮิงใส่เม็ดยาเข้าไปในปากของเขา เขารู้สึกว่ามันละลาย ลมปราณที่เผ็ดร้อนพุ่งพล่านขึ้นจากจุดตันเทียนของเขา แต่มันก็ไม่รู้สึกอึดอัด เขาพูดความจริงเกี่ยวกับยาเม็ดนี่หรอ? การแสดงออกของชีซรือเฮิงปลี่ยนไป เขานั่งลงเพื่อกลั่นยาโดยไม่ลังเล


 


ทันทีหลังจากนั้น เขารู้สึกว่าของเหลวเปลี่ยนเป็นลมปราณภายในเติมเส้นชีพจรของเขา


 


เฟิงอู๋จ้องที่ชีซรือเฮิง เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุขเมื่อเขานั่งลงเพื่อกลั่นยา เขาก็รู้ว่าเย่โม่อาจพูดความจริงเกี่ยวกับยาเม็ดนี้


 


เย่โม่เป็นชายหนุ่มในวัย 20 ปี แต่เขายังพกยานี่เลิศเล่อมากเช่นนี้ไปกับเขา นี่เองที่ทำให้เฟิงอู๋จ้องเขาจริงจัง


 


มีการกล่าวกันว่าผู้ที่สามารถปรุงยาได้อยู่ในขั้นนภาสวรรค์ ขั้นพลังของเย่โม่นั้นเป็นนภาสวรรค์หรอ? หรือเขาเกี่ยวข้องกับนภาสวรรค์? ไม่เคยมีขั้นนภาสวรรค์ในนิกายลี้ลับภายนอกใดๆ เมื่อเร็วๆ นี้และแม้ว่าจะมี ก็อาจเป็นแค่อูเต๋าหรือประมุขนิกายของถ้ำน้ำเต้า เย่โม่เป็นเด็ก เขาจะเป็นขั้นนภาสวรรค์ได้ยังไง? หากเขาไม่ได้รับยาโดยบังเอิญ นั่นหมายความว่ามีปรมาจารย์นภาสวรรค์อยู่เบื้องหลังเขา


 


หากเม็ดยานั้นสามารถพัฒนาพลังขั้นปฐพีได้ แม้ว่าเขาจะพบว่าโชคดีแท้ๆ มันก็ยังมีค่า เขาแลกเปลี่ยนกับหินจิตวิญญาณได้อย่างไร เขาอาจทำเช่นนั้นเพื่อสร้างความรำคาญให้เซียงหมิงหวังละมั้ง


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ความคิดของเฟิงอู๋ก็เปลี่ยนไป


 


ทั๋นเจียวเพิ่งจะไปถึงขั้นนภาสวรรค์และเขาก็พ่ายแพ้ต่อเย่โม่ เพื่อไม่ต้องบอกใครทุกคนก็รู้ เขาเลือกที่จะเข้าการฝึกตนสันโดษเพื่อบังคับขั้นพลังของเขา ดังนั้นแทบไม่มีใครรู้ว่าทั๋นเจียวมาถึงขั้นนภาสวรรค์ เฟิงอู๋ส่งเสียงไอ เขาลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ในเมื่อประมุขนิกายชีกลั่นยา เราก็จะดำเนินการประชุมต่อไป”


 


บรรยากาศของการประชุมสงบลงและผู้คนเริ่มซื้อขายกัน


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้ เซียงหมิงหวังก็ขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ได้พูดอะไรเลยและนั่งลงด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น


 


เย่โม่สแกนเซียงหมิงหวัง ทุกคนคิดว่าเขาแลกเปลี่ยนหินใต้หุบเหวเพื่อท้าทายเซียงหมิงหวัง แต่เขารู้ว่าเขาไม่ เขาไม่กลัวเซียงหมิงหวังเลย หากเขาต้องการต่อสู้ เย่โม่ก็จะมอบการต่อสู้ให้กับเขา


 


ธุรกิจการค้าที่ตามมานั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้คนที่นั่น แต่พวกเขาก็มีค่มาตรฐานมากเกินไปสำหรับเย่โม่


 


สถาบันจิงหมิงมีความมั่งคั่งอันยิ่งใหญ่และได้นำวิธีการฝึกตนการต่อสู้โบราณขั้นสูงขั้นปฐพีออกมา เฟิงฮู๋มองเย่โม่ ในขณะที่เขาหยิบมันออกมา แต่มันไร้ประโยชน์กับเย่โม่


 


ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วและการประชุมใกล้จะสิ้นสุด แต่จากนั้นชีซรือเฮิงก็ตะโกนและลุกขึ้นยืน เขาเหยียดแขนออกมาแล้วกรีดร้องว่า “ยาเม็ดนี่ยอดเยี่ยม! ฉันมาถึงขั้นปฐพีระดับกลางได้อย่างง่ายดายเลย!”


 


ดูเหมือนชีซรือเฮิงจะรู้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ไหนและเคารพอย่างระมัดระวังที่เซียงหมิงหวัง และเฟิงอู๋ ด้วยกำปั้นของเขา และพูดว่า “เชียนเปย วั่นเปยเพิ่งทะลวงขั้นพลังได้ ต้องขออภัยต่อความไม่สุภาพของผมด้วยนะครับ”


 


“นายมาถึงขั้นปฐพีระดับกลางแล้วหรอ?” เฟิงอู๋มองที่ชีซรือเฮิง เขาไม่มีสัมผัสจิตวิญญาณที่จะถอดรหัสลมปราณภายในของจอมยุทธ์ ดังนั้นเขาจึงสามารถถามได้เท่านั้น


 


“ใช่ครับเชียนเปยเฟิง วั่นเปยมาถึงขั้นปฐพีระดับกลางแล้วอย่างแน่นอนครับ”


 


ความสุขบนใบหน้าของชีซรือเฮิงยังคงอยู่


 


หวังเลิ๋นชรัน พูดอย่างใจเย็น “งั้นยาเม็ดนั่นก็ของจริงเหรอ?”


 


น้ำเสียงของชีซรือเฮิงเริ่มระวังมากขึ้น ยาเม็ดนี้เป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้ระหว่างเย่โม่และเซียงหมิงหวัง แต่ตอนนี้ทุกคนรู้ว่าเขามาถึงขั้นปฐพีระดับกลางแล้ว และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ถึง เขาก็ไม่กล้าโกหก


 


“ใช่ครับ ยาของน้องเย่ทำงานตามที่เขาพูด” จากนั้น ชีซรือเฮิงก็กล่าวทักทายเย่โม่ด้วยกำปั้นของเขา “ขอบคุณมากนะน้องเย่ ฉันขอบคุณจริงๆ”


 


การแสดงออกของเซียงหมิงหวังเปลี่ยนไป เขารู้ว่าเขาสูญเสียอย่างสิ้นเชิง แต่ถ้าเขาไม่ออกมาแล้วพูดอะไรเลย อำนาจของเขาก็จะเสียหาย


 


“อืมมม แกนี่มันมีของเหลือของจอมยุทธ์ที่กแกไปทำลายมาสินะ มันเป็นความมั่งคั่งที่บรรพบุรุษของเราทิ้งไว้ให้พวกเรา เย่โม่ ถ้าฉันเป็นแก ฉันจะมีส่วนร่วมในทักษะการต่อสู้โบราณของจีนที่ลดถอยลงนี่ แม้ว่าแกจะไม่สามารถแจกทุกสิ่งทุกอย่างได้ฟรีๆ แกก็ควรนำออกมาค้าขายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะต่อสู้โบราณของจีน” เซียงหมิงหวังหัวเราะเยาะ เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้ทุกคนตัดสินเขาได้เพราะยาเพิ่มลมปราณ


 


เย่โม่โกรธมาก ใครๆก็สามารถบอกได้จากดวงตาของเขา เขาเคยเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครที่หน้าด้านเหมือนอย่างเซียงหมิงหวัง เขากล้าพูดคำพวกนี้ออกมา มีนิกายจำนวนมากอยู่ที่นี่ แต่เย่โม่จะต้องมีส่วนร่วมกับสิ่งต่างๆ ของเขา


 


เย่โม่รู้ว่าเซียงหมิงหวังต้องการทำอะไร ในอีกด้านหนึ่งเขาต้องการที่จะรักษาหน้าของตัวเองและในทางกลับกัน เขาพยายามที่จะหันเหความสนใจของทุกคนในเรื่องเย่โม่และทำให้เขาเป็นเป้าหมาย


 


เขาบอกว่าเย่โม่ได้รับยามาจากการทำลายเหล่าจอมยุทธ์ และซากปรักหักพังเหล่านี้เป็นความมั่งคั่งร่วมของจอมยุทธ์ทุกคน ดังนั้นเจ้าโมจึงควรแบ่งปันกับทุกคน


 


“ใช่แล้วความมั่งคั่งนั้นควรจะเป็นของทุกคนที่ฝึกตน”


 


“ฉันสนับสนุนคำพูดของเชียนเปยเซียง มันเป็นของทุกคน”


 


ทุกคนดูเหมือนจะเข้าใจว่าทำไมเย่โม่จึงได้กินยาที่วิเศษแบบนี้ และมีสิ่งประดิษฐ์เวทมนต์


 


ผู้คนมีความกังวลเกี่ยวกับการกระทำในก่อนหน้านี้ของเย่โม่ แต่ตอนนี้เซียงหมิงหวังเป็นผู้นำและพวกเขาก็สามารถได้รับประโยชน์จากมันได้ ทุกคนจึงสนับสนุนเซียงหมิงหวัง


 


เย่โม่แสยะยิ้ม เขานั่งโดยไม่ขยับและมองไปรอบๆ ซึ่งทำให้ทุกคนที่เย่โม่มองมึนงง


 


“เซียงหมิงหวัง พูดตามตรงนะ ฉันเย่โม่ ได้เห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายมาก็หลายคน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นตาแก่ที่ไร้ยางอายเหมือนแกเลย ถ้าแกต้องการสิ่งที่ฉันมี มันก็ง่าย มาเอาพวกมันไปสิ ถ้าแกมีความกล้ามากพออะนะ” เย่โม่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงท้าทาย


 


“เย่โม่ ฉันหวังเลิ๋นชรัน จากตระกูลหวัง แม้ว่าคำพูดของประมุขเซียงจะตรงไปตรงมา แต่ฉันเห็นด้วยกับนาย นายโชคดีที่พบซากปรักหักพังโบราณ แต่มันก็ยังเป็นของจอมยุทธ์โบราณทุกคน เราจะไม่ขอให้นายแจกมันฟรีๆ นายสามารถเลือกที่จะแลกเปลี่ยนหรือขออะไรก็ได้” หวังเลิ๋นชรันผู้ซึ่งไม่ได้พูดอะไรมาก่อนยืนขึ้น


 


เจิงเจิงเซียมองสถานการณ์แล้วถอนหายใจ เขาไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้ว่าไร้ประโยชน์


 


แม้ว่าเย่โม่จะไม่เข่นฆ่าทุกคน แต่ก็หมายความว่าเขาจะกลายเป็นศัตรูกับนิกายลี้ลับทั้งหมด หากเขาทำ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวสิ่งนั้น แต่ตอนนี้เขามีเพื่อนและครอบครัว หากไม่ใช่เพราะเซียงหมิงหวังผู้ขี้อิจฉาสิ่งของ เขาจะสามารถโจมตีได้ในที่มืด แต่ด้วยเซียงหมิงหวังในฐานะประมุข พวกเขาทั้งหมดจะโจมตีอย่างเปิดเผย


 


หลังจากที่คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เย่โม่ก็สงบลงและพูดว่า “เซียงหมิงหวัง เนื่องจากแกเป็นหนึ่งในคนที่จัดการประชุมนี้ แกก็ต้องใช้ชีวิตอยู่มานานและรู้เยอะ ก่อนที่ฉันจะหยิบของๆฉัน ฉันอยากจะถามแก มันเป็นคำถามเล็กน้อย”


 


“ฉันซื่อตรงมาตลอดชีวิต ไม่มีอะไรที่ฉันไม่สามารถตอบได้” เซียงหมิงหวังเยาะเย้ย แต่รู้สึกพึงพอใจที่เปลี่ยนสถานการณ์ได้


 


“ฮ่าฮ่าสมบูรณ์แบบ เพราะไม่มีสิ่งใดที่แกไม่สามารถตอบได้ ฉันต้องการถามคำถาม 2-3 ข้อ แกเป็นรองประมุขของถ้ำน้ำเต้า ฉันอยากรู้ว่านิกายของแกมีชื่อเสียงมานานแค่ไหนแล้ว” เย่โม่ถามอย่างชัดเจน


 


เซียงหมิงหวังหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “เราอยู่มาประมาณ 100 ปีแล้ว แต่ความมั่งคั่งของเรานั้นยิ่งใหญ่และด้วยการยอมรับของเพื่อนๆ นิกายลี้ลับของเรา เราได้รับเลือกให้เป็นนิกายอันดับ 1”


 


เย่โม่เย้ยหยัน “แกอยู่ที่นี่มา 100 ปีแล้ว และแกยังกล้าบอกว่าแกมีความมั่งคั่งมากมาย? จากสิ่งที่ฉันรู้มา นิกายซิเรน นิกายเตี๋ยนชาง และหอทลายกำปั้นนั้นมีมานานกว่า 100 ปีแล้ว ด้วยคำพูดของแก พวกเขาจะไม่ร่ำรวยกว่าและมีเหตุผลมากกว่าที่จะเป็น 1 ในบรรดานิกายลี้ลับหรอ? แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิ์ก็ตามไม่มีนิกายใดที่มีอายุมากกว่า 100 ปีรึไง? ด้วยนิกายมากมายเหล่านี้ที่นี่ ทำไมอันดับ 1 ถึงควรเป็นของแกละ?”


บทที่ 472 : การมีส่วนร่วม


เย่โม่รู้ว่าด้วยอารมณ์ของเซียงหมิงหวัง เขาจะโกรธถ้ามีใครสงสัยว่านิกายของเขาเป็นอันดับ 1


และที่ก็จริง เซียงหมิงหวังตะโกนอย่างดุเดือดว่า “แกกล้าดียังไงห่ะ?! ถ้ำน้ำเต้าของเรามีต้นกำเนิดมาจากจุดจบของราชวงศ์ฮั่น จั่วฉือ ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี! นิกายปกติจะมาเปรียบเทียบได้ยังไง!?”


ผู้อาวุโสที่อยู่ถัดจากเซียงหมิงหวังลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ประมุข แค่ต้องการพูดถึงว่านิกายของเราผ่านมานานกว่า 2000 ปี เขาไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกนิกายใดๆ เลย”


เซียงหมิงหวังดูเหมือนจะตระหนักว่าคำพูดของเขาไม่เหมาะสมและเขาจ้องมองที่เย่โม่


เย่โม่ยิ้มและพูดต่อไปว่า “แต่ตาแก่เซียง แกเพิ่งพูดว่าถ้ำน้ำเต้าของคุณนั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อ 100 ปีก่อน แต่ตอนนี้มันเป็น 2000 ปีแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าแกกำลังโกหกฉันและทุกๆ คนอยู่หรอกหรอ?”


“แก -” เซียงหมิงหวังชี้ไปที่เย่โม่ “ฉัน เซียงหมิงหวัง ไม่เคยโกหก แหล่งกำเนิดของถ้ำน้ำเต้าของเราพบได้เมื่อ 1800 ปีที่แล้ว แต่ฉันบอกว่าเราสร้างถ้ำเมื่อ 100 ปีก่อนมีอะไรผิดปกติห่ะ?”


เย่โม่ส่ายหัว “ฉันไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด แต่ฉันไม่เข้าใจ”


เซียงหมิงหวังรู้ว่าเย่โม่ตั้งใจพูดอย่างนั้นและหัวเราะด้วยความโกรธ “เอาล่ะ ฉันจะทำให้แกเข้าใจเอง 120 ปีที่แล้วบรรพบุรุษคนแรกของถ้ำน้ำเต้าของเราพบซากปรักหักพังโบราณของบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ จั่วฉือ และดังนั้นเขาจึงก่อตั้งส่วนหนึ่งที่ถ้ำน้ำเต้า นี่คือข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ผู้คนรู้ ฉันจะโกหกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมละ?”


ทันใดนั้นผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของเซียงหมิงหวังก็สงสัยในบางสิ่งบางอย่าง ทำไมเย่โม่ถึงถามเรื่องนี้?


ก่อนที่เขาจะสามารถดำเนินการต่อในความคิดของพวกเขา เย่โม่ก็พูดอีกครั้ง “งั้นจั่วฉือก็ต้องผ่านสิ่งต่างๆมากมายเลยสิ ใช่มั้ย?”


เซียงหมิงหวังเยาะเย้ย “นั่นมันเรื่องของเรา!”


ผู้คนเริ่มเข้าใจแล้วในสิ่งที่เย่โม่พยายามจะพูด แต่เซียงหมิงหวังก็ตื่นเต้นเกินกว่าจะตระหนักได้


เย่โม่แสยะยิ้ม งั้นเรื่องมันก็เป็นแบบนี้เอง นิกายลี้ลับทั้งหมดต้องเกิดขึ้นจากสิ่งที่ผ่านไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างวิธีการฝึกตนด้วยตนเอง


“โอเค ตอนนี้ฉันได้ยินคำพูดของประมุขเซียงแล้ว ฉันรู้สึกละอายใจอย่างมากและชื่นชมความซื่อตรงของเขา เขาพูดถูก ผู้ที่พบซากโบราณของเชียนเปยควรแบ่งปันกับทุกคน เป็นเรื่องดีที่ฉันไม่เข้าใจสายเกินไป หรือไม่งั้นฉันก็คงจะรู้สึกละอายใจเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับเพื่อนจอมยุทธ์ชาวจีนของฉัน”


เย่โม่ยืนขึ้นและป้องมือของเขา “ฉันได้แจกกริชและยาไปแล้ว แต่จริงๆ แล้วฉันก็มีมรดกน้อยมากน้อยกว่าถ้ำน้ำเต้าซะอีก ตอนนี้ประมุขเซียงกล่าวว่าถ้ำน้ำเต้าได้ผ่านมา 2,000 ปี เขาจะต้องแบ่งปันสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ากับทุกคนได้แน่ ฉันตื่นเต้นที่จะเห็นตัวเองจัง และเคารพอย่างสุดซึ้งจริงๆ ฉันเชื่อว่าทุกคนที่นี่รู้สึกเหมือนกันนะ”


จากนั้น เย่โม่ก็มองที่เซียงหมิงหวัง และพูดว่า “ประมุขเซียง ตอนนี้ถึงตาคุณแล้วที่จะบริจาคสิ่งที่คุณสืบทอดมา ฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะได้สิ่งต่างๆ จากประมุขเซียง แต่ตอนนี้คุณควรกตัญญูนะ ^^”


“แก! เย่โม่ แกอยากเล่นกับฉันมากสินะ แกคิดว่าดาบของฉันมันไม่คมรึไง!” เซียงหมิงหวังตระหนักถึงสิ่งที่เย่โม่กำลังทำอยู่ และดึงดาบของเขาออกมาอีกครั้ง


เย่โม่ยืนขึ้นและจ้องมองอย่างเย็นชาที่เซียงหมิงหวัง และกล่าวว่า “ก็ที่ประมุขเซียงพูดก็คือการหมายถึงคนอื่นๆ ต้องมีส่วนร่วมในมรดกของพวกเขานิ แต่คุณจะต้องเก็บไว้เองหรอ? ตรรกะอะไรไม่ทราบ? ฉันจะถามทุกคนที่นี่ ให้เป็นพยาน ถ้าทุกคนคิดว่ายังไงกับสิ่งที่ประมุขเซียงมีอยู่ และเขาจะเก็บไว้เอง แต่สิ่งที่ฉันได้รับ ฉันควรให้กับทุกคน งั้นฉันก็จะไม่มีอะไรจะพูดแล้วละ”


ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เย่โม่หมายถึง แต่ไม่มีใครกล้าที่จะออกมาพูด


เย่โม่หัวเราะ “ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไรเลย มันก็หมายความว่าประมุขเซียงก็ควรมีส่วนร่วมในมรดกของคุณเช่นกัน?”


ใบหน้าของเซียงหมิงหวังเป็นสีเขียว เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะโยนก้อนหินไป แล้วมันจะมาบดขยี้ที่เท้าของเขาเอง ไอ้สางเลว มันเจ้าเล่ห์มาก! เซียงหมิงหวังคิดในใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่ปล่อยเย่โม่ไปเด็ดขาด!


เมื่อเห็นใบหน้าของเซียงหมิงหวังโดยไม่ต้องค้นหาคำพูดใดๆ ที่เหมาะสมที่สุด ฉากนั้นก็เงียบอย่างประหลาด ไม่มีใครอยากคุยในเวลานี้ เย่โม่บังคับให้เซียงหมิงหวังเข้าจนมุม


ชายที่นั่งถัดจากเซียงหมิงหวังกระซิบคำไม่กี่คำในหูของเขา และการแสดงออกของเซียงหมิงหวังก็สงบลง


เขามองเย่โม่อย่างกระทันหันและหยิบกระเป๋าที่อยู่ติดกับเขาออกมา และพูดว่า “แกพูดถูก เราควรมีส่วนร่วม เเราตัดสินใจแล้วว่าจะนำทุกสิ่งที่เราต้องการแลกเปลี่ยนออกมา แต่แกละ สามารถนำสิ่งอื่นออกมาได้ไหม?”


สัมผัสจิตวิญญาณของเย่โม่ได้สแกนกระเป๋านี้แล้ว เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถ้ำน้ำเต้ากำลังจะแลกเปลี่ยน เป้าหมายของเขาคือการให้ตาแก่ลงโลงนี้เอากระเป๋าใบนี้ออกมมา และตอนนี้มันก็สำเร็จ


จากนั้นเย่โม่มองไปที่กระเป๋าข้างๆ เขาและคว้ามันอย่างหวุดหวิด “ฉันซื้อขายทุกอย่างแล้ว มีเพียงหม้อที่เหลืออยู่ในกระเป๋าของฉัน”


หลังจากพูดอย่างนี้แล้ว เย่โม่ก็ ‘ตั้งใจ’ ปล่อยให้ทุกคนได้ยินเสียงอาวุธปะทะกัน เซียงหมิงหวังแสยะยิ้ม “บางทีผู้คนอาจจะชอบห้มอพวกนั้นนะ หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกส่งต่อจากบรรพบุรุษของเรา แล้วเราจะนำทุกอย่างที่เรามีมาวางบนโต๊ะเพื่อแลกเปลี่ยนกับทุกคนที่นี่”


แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการแลกเปลี่ยน แต่เซียงหมิงหวังรู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะให้เย่โม่แลกเปลี่ยนอาวุธและยาทั้งหมดในกระเป๋าของเขา เขาจะไม่เชื่อว่าเย่โม่จะแบกหม้อหนึ่งใบมาที่นี่ เว้นแต่มันเป็นเด็กบ้า เมื่อมองดูใบหน้าที่เยือกเย็นของเย่โม่ เขาก็รู้ว่ามีอาวุธและยาเม็ดเหล่านั้นอยู่ภายใน


ใบหน้าของเย่โม่ดูมีปัญหา แต่หันไปหาหวังเลิ๋นชรัน “นี้หวัง ฉันไม่ต้องพูดถึงประวัติตระกูลหวังของคุณ ฉันก็แน่ใจว่าทุกคนรู้เรื่องนี้แล้ว คุณจะไม่ไปมีส่วนร่วมในทักษะการต่อสู้โบราณของจีนอย่างฉัน และประมุขเซียงใช่ไหม?”


เย่โม่กำลังขู่เข็ญ ที่จริงเขาไม่รู้ว่าตระกูลหวังได้รับมรดกจากซากปรักหักพังโราณด้วยหรือไม่


เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของหวังเลิ๋นชรันก็เปลี่ยนไป เขายังมีสิ่งของเหลืออยู่ 2/3 ในกระเป๋าที่ยังไม่ได้แลกกับสิ่งที่เขาต้องการ เขาจะสูญเสียมากถ้าเขาเอามันออกมาทั้งหมด


เซียงหมิงหวังมั่นใจว่าเย่โม่ไม่ต้องการทำสิ่งใดเลย ดังนั้นเขาจึงพูดกับหวังเลิ๋นชรัน “พี่หวัง บางทีกริชหนึ่งก็อาจคุ้มค่ากับทุกอย่างนะ”


หวังเลิ๋นชรันเข้าใจความคิดของเซียงหมิงหวังทันทีและตระหนักว่าต้องใช้ 1 กริชและยาเม็ดเดียวเพื่อรับคืนทุกอย่างและอื่นๆบ้าง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็เอากระเป๋าไปวางบนโต๊ะ


ใบหน้าของเย่โม่ดูแย่ยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เต็มใจ เขาเอามือของเขาใส่ในกระเป๋าราวกับว่าอยากจะซ่อนอะไรบางอย่าง แต่เสียงอาวุธก็ดังขึ้นและยังไม่มีอะไรอื่นอีก ทุกคนมองไปที่เขา ซึ่งมันไม่มีกลอุบายที่เขาสามารถเล่นตุกติกได้


ทุกคนต่างก็มองเย่โม่ว่าเขาเป็นตัวตลก


หวังเลิ๋นชรันล้างลำคอของเขาและพูดว่า “เราเอาของของเราออกไปแล้ว แต่ถ้ามีใครสักคนที่จะขึ้นราคาสินค้าของพวกเขาและไม่ยอมให้ใครซื้อ มันจะไม่ทำให้คำก่อนหน้านี้ของเราทั้งหมดไม่มีค่าอะไรเลยเหรอ?”


เย่โม่ยืนขึ้นทันที “มันเป็นทรัพย์สินของคุณเอง ดังนั้นคุณก็ต้องตัดสินใจเรื่องราคา”


“ไม่ นั่นจะทำให้การสนทนาทั้งหมดของเราไร้ค่า ฉันคิดว่าราคาควรจะเป็น -“


“ควรจะเป็นอะไร? ทำไมคุณไม่เพียงแค่พูดว่ามันฟรีละ? ใครก็ตามที่ต้องการมัน สามารถรับไปได้เลย” เย่โม่แสยะยิ้ม


“ตกลง เราจะทำอย่างนั้น! เนื่องจากมันมีไว้สำหรับการพัฒนาทักษะการต่อสู้โบราณของจีน เราควรสนับสนุนมันอย่างสมบูรณ์แบบ มันจะไม่นับเป็นการสนับสนุนหากไม่ฟรี” หวังเลิ๋นชรันพูดออกมา


บทที่ 473 : ค่ำคืนแห่งการสังหาร


 


เย่โม่นั่งลงอย่างไร้ประโยชน์และคว้ากระเป๋าของเขาแน่นขึ้น “ถ้าเป็นกรณีนี้ ฉันคงต้องเลือกก่อน”


 


เฟิงอู๋พูดแทรกขึ้นมาทันทีว่า “ในเมื่อคุณทั้งสามเป็นคนที่มีส่วนร่วม งั้นพวกคุณทุกคนสามารถเลือกได้ก่อน”


 


เฟิงอู๋เป็นกังวล เขากลัวว่าเย่โม่จะนำสถาบันของเขามาเกี่ยวด้วย โชคดีแม้เย่โม่จะอวดดี แต่เขาก็แก้แค้นทั้งสองนิกายที่ต่อสู้กับเขา


 


จอมยุทธ์อื่นๆ มีความกังวลเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรมากนัก


 


“เราจะจัดการกับเรื่องนี้ เราจะมอบกระเป๋าของเราให้กับพี่เฟิง โปรดจบหนึ่งถุงก่อนที่จะเคลื่อนไปถุงต่อไป คุณจะไม่สามารถนำสิ่งของของคุณกลับคืนมาได้” หวังเลิ๋นชรันเยาะเย้ย


 


ตราบใดที่เขาได้อะไรจากกระเป๋าของเย่โม่ เขาก็จะชนะ


 


การแสดงออกของเย่โม่จมลง ขณะที่เขาหยิบเอาแก่นแท้สีเหลืองและหินใต้หุบเหว ก่อนที่จะให้กระเป๋ากลับไปที่เฟิงอู๋ ทุกคนรู้ว่าเย่โม่ทำการแลกเปลี่ยน 2 สิ่งนี้ และพวกมันก็ไม่ได้คุ้มค่ามากนัก ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดอะไรเลย


 


ตอนนี้มันได้รับการตัดสินและทุกคนในเหตุการณ์สามารถได้รับสิ่งที่มีคุณภาพพรีเมี่ยมฟรีๆ พวกเขาทุกคนมีความสุข อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ดูกระเป๋าของเย่โม่ ท้ายที่สุดแล้วมันจะต้องมีค่ามากที่สุดและพวกเขาก็กลัวว่าตระกูลหวังและถ้ำน้ำเต้าจะเกลียดพวกเขาสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำ


 


กระเป๋าของเซียงหมิงหวังถูกนำออกมาและวางสิ่งของบนโต๊ะ มียาจิตวิญญาณปฐพี 3 ขวด ดาบ 2 เล่ม ซึ่งดูดีมาก วิธีฝึกตนขั้นปฐพีระดับกลางและขั้นปฐพีระดับต้น และกล่องไม้ที่มีแร่ไฟอยู่ข้างใน


 


เมื่อเห็นอย่างนี้ เย่โม่ก็ดีใจ นี่คือแร่ไฟปฐพี แม้ว่าตอนนี้เย่โม่จะไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนัก แต่เขาสามารถใช้มันได้ในอนาคตอย่างแน่นอน และมีสมุนไพร แต่ก็ไม่มีสมุนไพรจิตวิญญาณ


 


เย่โม่เดินไปคว้าแร่ไฟปฐพีและพูดว่า “ถ้าฉันข้ามหินนี้ มันอาจทำให้เกิดรอยใหญ่ได้เลย”


 


เซียงหมิงหวังมีใบหน้าเยือกเย็นและดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเย่โม่


 


จากนั้น หวังเลิ๋นชรันก็หยิบยาจิตวิญญาณปฐพีออกมา ไม่มีใครกล้าที่จะหยิบของถ้ำน้ำเต้า หลังจากนี้ก็ถึงคราวของเย่โม่อีกครั้ง เขาหยิบยาจิตวิญญาณปฐพีและดมกลิ่น “แม้ว่าคุณภาพจะไม่ดี แต่ฉันคิดว่าฉันสามารถเอาไปให้อาหารนกได้นะ”


 


เซียงหมิงหวังเกือบพ่นเลือดด้วยความโกรธ


 


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าที่จะหยิบของเขาและมันก็เป็นของเย่โม่อีกครั้ง เซียงหมิงหวังก็ลุกขึ้นและพูดว่า “ทุกคนโปรดรับสิ่งที่คุณต้องการเถอะ ฉันไม่รังเกียจ”


 


เมื่อเซียงหมิงหวังพูดไป ทุกคนก็ดินไปยังเป้าหมาย และแยกย้ายในไม่ช้า


 


กระเป๋าของหวังเลิ๋นชรันเปิดออก เย่โม่เพียงหยิบวิธีฝึกตนขั้นปฐพีระดับกลางและกล่าวว่า “ลาก่อน วันนี้เป็นการประชุมที่ดีจริงๆ”


 


เซียงหมิงหวังหัวเราะเยาะ “กระเป๋าของนายยังไม่ได้เปิดเลย นายไม่ต้องการที่จะรู้ว่าใครจะเอาไปบ้างหรอ?” เขาต้องการเห็นสีหน้าของเย่โม่เมื่อทุกอย่างถูกเอาไปจริงๆ


 


เย่โม่โบกมือของเขาแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรเลย ฉันบอกนายแล้วว่ามันเป็นแค่หม้อ งั้นใครก็ตามที่ชอบ จะมาหยิบมันก็ได้นะ”


 


จากนั้น เย่โม่หันหลังหนีและจากไป เสียงของเฟิงอู๋ดังขึ้นว่า “เย่โม่ ถ้าคุณพาใครบางคนไปทัวร์นาเมนต์ คุณจะต้องอยู่ที่เขาด๋วนดิง ก่อน 9.00 น.”


 


เมื่อเห็นเย่โม่ไปโดยไม่ได้หยิบกระเป๋าของเขาออกมา หลายคนส่ายหัว เย่โม่ค่อนข้างโชคร้าย เขาสูญเสียสิ่งดีๆมากมายโดยไม่มีเหตุผลและเขาไม่กล้าพูดอะไรเลย


 


กระเป๋าของหวังเลิ๋นชรันว่างเปล่าในไม่ช้า เฟิงอู๋หยิบกระเป๋าของเย่โม่ออกมาและพูดว่า “ประมุขหวัง ประมุขเซียง โปรดดูที่มันก่อนสิ”


 


เฟิงอู๋หยิบทุกอย่างออกมาในกระเป๋า มันมีการส่งเสียงกระทบกันและหลังจากนั้นมันก็เงียบไป


 


เย่โม่พูดความจริงมาตลอด ไม่มียาหรือวัตถุวิเศษใดๆ อยู่ในกระเป๋าของเขา มีเพียงมีดครัว หม้อใหญ่และช้อนเท่านั้น


 


เซียงหมิงหวังตกตะลึงและหวังเลิ๋นชรันเช่นกัน ทุกคนจ้องมองไปที่ชุดเครื่องครัวขนาดใหญ่พวกเขา ทุกคนต่างก็สงสัยว่า เย่โม่เป็นบ้าหรือเปล่า? นี่มันเป็นการประชุมของจอมยุทธ์ แต่จริงๆ แล้วเขาถือเครื่องครัวมาตลอดเนี้ยนะ?


 


แม่ชีร่างเล็กอยากหัวเราะ แต่ปิดปากเธออย่างรวดเร็ว การหัวเราะในเวลานั้นน่าจะหมายถึงการเยาะเย้ยประมุขเซียงและหวัง


 


“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าเล่ห์นักนะ” การแสดงออกของเซียงหมิงหวังนั้นมืดถมึนมาก เขาหยิบของทุกอย่างออกจากกระเป๋า แต่มันก็ไร้ประโยชน์หรือมันมีไว้สำหรับถุงเครื่องครัวเท่านั้น


 


ใบหน้าของหวังเลิ๋นชรันสงบ และดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง


 


เฟิงอู๋ถอนหายใจ เย่โม่ทำมากเกินไป เขารู้ว่าหวังเลิ๋นชรันมีเจตนาฆ่าต่อเย่โม่ บางทีคืนนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของเย่โม่


 


ใครก็ตามที่รู้จักประมขหวังมากหรือน้อยก็สามารถบอกได้ว่าเขาจะฆ่าเย่โม่ แต่เขาก็หยุดไม่ได้ ไม่แม้แต่ เฟิงอู๋ที่จะทำได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเย่โม่


 


การประชุมสิ้นสุดลงในสถานการณ์ที่น่าขนลุกนี้


 


เย่โม่ออกจากวังกษัตริย์ชิงกวง เขารู้ว่าเย็นวันนี้จะไม่สงบ


 


“มันเป็นคืนที่มืดครึ้มอย่างแท้จริงเลยแหะ” เย่โม่บ่นและเดินขึ้นไปบนยอดเขา


 



 


เทือกเขายอดทลาย ตั้งอยู่ที่ชายแดนของเมืองกุยเฉิง ห่างจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร มันถูกเรียกว่า ‘ยอดทลาย’ เพราะมันไม่มียอดสูงสุด มันเป็นเหมือนปิรามิดที่ถูกแบ่งกลาง ดังนั้นผู้คนจึงชอบรวมตัวกันที่ด้านบนสุดเพื่อทำกิจกรรม


 


แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง บางครั้งมันก็มีผีสิงมีมากกว่าหนึ่งกรณีของการครอบครองและความตาย แม้กระทั่งถูกกล่าวว่าผู้ที่ขึ้นไปอยู่ยอดนั้นจะต้องตายด้วยโรคแปลกๆ


 


ดังนั้น คนน้อยลงที่จะไปด้านบน รัฐบาลส่งผู้เชี่ยวชาญไปที่นั่นและพวกเขาบอกว่ามีสนามแม่เหล็กแปลกๆ ที่ทำให้เกิดภาพหลอน แต่ไม่มีใครเชื่อเลย


 


เมื่อเวลาผ่านไป หลายคนพบว่ามันไม่ใช่แค่เทือกเขา แต่เมืองทั้งเมืองถูกหลอกหลอน อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้รุนแรงเท่ากับเทือกเขายอดทลาย


 


ผีเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ประชาชนจำนวนจึงมากกลัว แต่สำหรับผู้ฝึกตนในนิกายลี้ลับมันไม่สำคัญ ดังนั้นการแข่งขันถูกเลือกให้จัดขึ้นที่เทือกเขายอดทลาย


 


เหตุผลที่เย่โม่มาที่นั่นในตอนดึกเพราะเขารู้ว่ามีคนกำลังจะโจมตีเขา เขาต้องการหาสถานที่ที่ไม่มีใครมารบกวน นอกจากนี้เขาต้องการที่จะดูว่าผีชนิดใดที่ซ่อนอยู่ที่นั่น


 


เมื่อเดินเข้ามาใกล้เทือกเขา เย่โม่รู้สึกถึงลมเยือกเย็นพัดผ่านเขาไป มีบางอย่างผิดปกติที่นั่น เขาไม่ได้ชักกระบี่ออกมา เขาต้องการชักชวนคนที่อยากจะฆ่าเขามที่นี่ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องรู้ว่าอะๆไรที่ล้อมรอบเขา


 


พวกผีน่าจะติดต่อกับคนที่เป็นผู้ฝึกตนที่คอยควบคุม อย่างเช่น วิหารเก้าจันทราเป็นตัวอย่าง หากไม่มีสภาพแวดล้อมที่แน่นอน ผีจะไม่สามารถอยู่ได้นาน เทือกเขานี่ไม่มีเงื่อนไขที่ผีจะอยู่ที่นั่น แล้วผีอยู่ได้อย่างไร?


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลมเยือกเย็นก็กระทบคอของเขา มันรวดเร็ว แต่มีลมปราณที่น่าขนลุก


 


ก่อนที่เขาจะคิดได้ เย่โม่ก็หลบ เขาประหลาดใจที่สัมผัสจิตวิญญาณของเขาไม่สามารถหาได้ว่าลมถูกโจมตีจากที่ไหน


 


เมื่อเย่โม่ต้องการค้นหาแหล่งที่มาของการโจมตี สัมผัสจิตวิญญาณของเขาก็จะสแกนเจอหวังเลิ๋นชรัน ซึ่งกำลังมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้พูดอะไรเลย เขาเพิ่งฟันไปที่เย่โม่ด้วยดาบของเขา เขาเร็วกว่าลมที่เยือกเย็นก่อนหน้านี่ซะอีก


 


เย่โม่รู้ว่าลมเยือกเย็นไม่ได้มาจากหวังเลิ๋นชรัน


บทที่ 474 : ก้นเทือกเขายอดทลาย


 


ก้นบึ้งเทือกเขายอดทลาย


 


ระยะทาง 10 เมตรไม่ได้มีความหมายอะไรกับหวังเลิ๋นชรัน และใบมีดของเขาก็มาถึงคอของเย่โม่ในชั่วพริบตา


 


ดูเหมือนเย่โม่จะถูกโกยขึ้นโดยวินด์เบลดเหมือนใบไม้ ในขณะที่เขาหลบมัน


 


หวังเลิ๋นชรันไม่โจมตีต่อ เขามองเย่โม่อย่างเย็นชา “ไม่น่าแปลกใจเลยที่แกจะทำตัวอวดดี แกมีพลังจริงๆ แต่ถ้านี่คือทั้งหมดที่แกมี สถานที่นี้ก็จะเป็นหลุมฝังศพของแก!”


 


แสงจันทร์จางๆ ส่องประกายบนดาบของหวังเลิ๋นชรัน ทำให้มันเป็นเงาสีขาวอย่างน่าขนลุก


 


ใบหน้าของเย่โม่สงบและไร้อารมณ์ เขากำลังคิดเกี่ยวกับปัญหาอื่นๆ ‘ชัดเจนว่าพลังของหวังเลิ๋นชรันไม่ถึงขั้นนภาสวรรค์ ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งกว่าทั๋นเจียว? นอกจากนี้เขายังจำพระภิกษุอูเต๋าที่คาดว่าไม่น่าจะถึงขั้นนภาสวรรค์ เสมอกับเย่โม่ที่ภูเขาหวู๋เหลียง ทั๋นเจียวไม่ได้ถึงขั้นนภาสวรรค์หรอ? มันเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ทั๋นเจียวเคยอยู่ในขั้นปฐพีสูงสุดมาก่อน ดังนั้นเขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเขามาถึงขั้นนภาสวรรค์หรือไม่?


 


แม้ว่าทั๋นเจียวเพิ่งจะถึงขั้นนภาสวรรค์ และความแข็งแกร่งของเขายังไม่เสถียร พลังของเขาก็ไม่ควรเลวร้ายยิ่งไปกว่าผู้ฝึกตนครึ่งก้าวสู่ขั้นนภาสวรรค์ มันมีเหตุผลอื่นอีกไหม?


 


“เย่โม่ แกรู้ไหมว่าทำไมฉันยังไม่ฆ่าแก?” คำพูดของหวังเลิ๋นชรัน ทำให้ความคิดของเย่โม่แตกสลาย


 


เย่โม่ยิ้ม “แกต้องการวิธีการฝึกตนของฉันหรอ? หรือว่าแกต้องการแนะนำภรรยาของแกให้กับฉันละ? ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่สวมรองเท้าที่ใส่แล้ว”


 


“แกกำลังหาเรื่องตาย!” หวังเลิ๋นชรันเย้ยหยัน แต่ก็ยังไม่ได้โจมตี แม้เย่โม่จะยั่วโมโหก็ตาม


 


“ฉัน หวังเลิ๋นชรัน ครองอำนาจมานานหลาย 10 ปีและฆ่าคนจำนวนนับไม่ถ้วน ไอ้เหลือขออย่างแกจะมาเข้าใจความตั้งใจของฉันได้ยังไง แม้ว่าแกจะฉลาด แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเล่นกลอะไรต่อหน้าแก แกพูดถูกนิดหน่อยนะ แต่ถ้าแกให้สิ่งที่ได้รับจากพวกซากของจมยุทธ์ที่แกพบ ฉันจะให้ตระกูลเย่ปักกิ่งมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันจะทำธุรกิจของแกในเมืองอสรพิษ อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากนั้นฉันได้ยินว่าแกมีเมียที่สวยมากเลยนิ ฉันจะไม่ฆ่าหล่อน แต่ฉันจะเก็บไว้ข้างๆ ฉัน แน่นอนว่าแกสามารถปฏิเสธได้นะ แต่แม้ว่าแกจะทำแบบนั้น ฉันก็มีวิธีที่จะทำให้แกพูดและถ้าแกทำให้ฉันต้องใช้วิธีแบบนั้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับแกจะต้องตาย” หวังเลิ๋นชรันขู่อย่างเยือกเย็น


 


ในทันที เย่โม่ก็ปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง แต่เดิมเขาเพิ่งวางแผนที่จะฆ่าหวังเลิ๋นชรัน และผู้คนที่เขานำมา แต่ตอนนี้เขาต้องการทำลายทุกคนในครอบครัวเขา! หลักการของเขาคือ ‘สิ่งที่แกต้องการทำกับฉัน ฉันจะทำกับแก’


 


“อะไร แกต้องการที่จะต่อต้านเรอะ?” หวังเลิ๋นชรันเยาะเย้ย “แกคิดว่าแกสามารถคุยกับฉันได้เพราะแกฆ่าขยะจากนิกายธาราใช่ไหม? หนุ่มน้อย ฉันสามารถยืนยันได้ว่าคนอวดดีไม่กลัวแน่นอน”


 


เย่โม่ก็หยิบดาบสั้นออกมาแล้วพูดอย่างใจเย็น “ฉันประเมินแกต่ำกว่าเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ฉันเดาว่าแกคงรู้ว่าสิ่งต่างๆ ในกระเป๋าของฉันเป็นของปลอม มีเพียงแกเท่านั้นที่เห็นมัน ฉันไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้เลย ฉันนอนไม่หลับแน่ ถ้าฉันไม่ฆ่าคนอย่างแก”


 


เย่โม่นึกถึงต่งฟางชื่อ หวังเลิ๋นชรันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเหมือนต่งฟางชื่อ ราวกับว่าเขาเป็นงู จากคำพูดของหวังเลิ๋นชรัน เย่โม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขารู้แล้วว่ากระเป๋านี้เป็นของปลอม แต่เขาก็ยังนำสิ่งต่างๆ ออกไป หากหวังเลิ๋นชรันไม่ได้บอกว่าเขาเล่นเล่ห์เหลี่ยม เย่โม่จะไม่รู้เลยว่าหวังเลิ๋นชรันมองเห็นผ่านกลไกของเขา


 


ในขณะนี้ เย่โม่เข้าใจความตั้งใจของหวังเลิ๋นชรัน เขาต้องการให้ผู้คนคิดว่าเขาฆ่าเย่โม่ด้วยความโกรธและเนื่องจากสิ่งต่างๆ ของเขาได้ถูกแยกออกไป มันเป็นธรรมชาติที่เขารับช่วงต่อเมืองอสรพิษหลังจากเย่โม่ตาย


 


เย่โม่ไม่คาดหวังว่าการคำนวณของชายคนนี้จะลึกซึ้งและซัยซ้อนแบบนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับหวังเลิ๋นชรันแล้ว เซียงหมิงหวังนั้นโง่บรม


 


หวังเลิ๋นชรันพูดอย่างไร้อารมณ์ “เย่โม่ แกผิดเองนะ แกยังเด็กเกินไป ฉันสามารถบอกได้จากการแสดงออกของแกว่ากระเป๋านี้เป็นของปลอม แต่ฉันแน่ใจว่าฉันไม่ใช่คนเดียวที่จะสังเกตเห็นสิ่งนั้น สิ่งที่ฉันประสบความสำเร็จคือฉันไม่ได้ให้คนอื่นเห็นว่าฉันรู้ อย่างไรก็ตาม มันพอแล้วละ เย่โม่ ฉันจะให้ 3 วินาที ถ้าแกไม่พูด ฉันก็สามารถบังคับมันออกมาจากแกได้อยู่ดี”


 


เย่โม่คิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำผิด เขาให้กริชและยาออกมาอย่างเป็นระเบียบ แต่เมื่อพวกเขาขอกระเป๋า เขาก็ทำท่างกเกินไป นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาโดนจับได้ เมื่อคิดถึงมัน เย่โม่ก็หัวเราะ “ดี หวังเลิ๋นชรัน วันนี้แกสอนฉันเลย แต่ถึงอย่างนั้นฉันจะไม่ปล่อยแกไปแน่ ฉันสัญญาว่าจะฆ่าทุกคนที่ข่มขู่ฉัน แบบเดียวกับภูเขาน่าน ตระกูลหวังของแก ฉันไม่สนใจว่าตระกูลของแกจะซ่อนอยู่ที่ไหน ฉันเชื่อว่าฉันสามารถหาพวกเขาได้”


 


“เย่โม แกเพิ่งปล่อยโอกาสสุดท้ายที่ตระกูลเย่ปักกิ่งจะอยู่ต่อไปนะ แกสามารถขอความเมตตาได้หลังจากที่ฉันจับแกเท่านั้นแล้วละ” หวังเลิ๋นชรันฟันไปที่ขาของเย่โม่ด้วยดาบของเขา


 


เย่โม่ไม่ได้ใช้กระบี่บินของเขาและเพียงแค่กันเท่านั้น


 


เคร้ง! – เสียงของมีคมปะทะกัน ขณะที่เย่โม่ปลิวไปเหมือนใบไม้


 


หวังเลิ๋นชรันงุนงงไปครู่หนึ่ง ดาบของเขาเจาะเข้าที่ขาของเย่โม่อย่างชัดเจน แล้วมันจะส่งเขาลอยไปได้ยังไง?


 


ก่อนที่หวังเลิ๋นชรันจะตอบโต้ได้ เย่โม่ก็ตกลงมา ดาบยาวในมือของเขากลายเป็นแสงสีขาวและพุ่งรัศมีกระบี่ไป 10 เมตร


 


“เย่โม่ แกไม่กล้าหรอก!” นัยน์ตาของหวังเลิ๋นชรันโป่งออกมาและเขารีบเหมือนสายลม เขาไม่สนใจชีวิตของเย่โม่อีกต่อไป ดาบยาวในมือของเขาถูกปกคลุมด้วยลมปราณสีขาว ขณะที่มันฟันไปที่เย่โม่ที่ยังไม่ได้ลงถึงพื้น


 


แต่ไม่ว่าเขาจะเร็วแค่ไหน เขาก็ยังช้ากว่าเย่โม่เล็กน้อย


 


อ๊ากกกก! เสียงโหยหวนของความเจ็บปวดดังออกมา พร้อมเลือดที่สาดกระจาย


 


เคร้ง! เคร้ง! – หลังจากการปะทะหลายครั้ง เย่โม่ก็ล้มลงกับพื้นและมั่นใจว่าหวังเลิ๋นชรันแข็งแกร่งกว่าทั๋นเจียวแน่นอน


 


ทันใดนั้น ก็มีสองร่างที่เนื้อตัวมอมแมมปรากฏ ชายวัยกลางคนที่กำลังอุ้มเยาวชนวัย 20 และมาอยู่ข้างหน้าหวังเลิ๋นชรัน


 


ชายวัยกลางคนมองเย่โม่ราวกับว่าเขากำลังจะเปลี่ยนเย่โม่ให้เป็นเถ้าธุลีด้วยสายตาของเขา ก่อนที่จะมองกลับไปที่หวังเลิ๋นชรันและโห่ร้อง “ผู้นำตระกูล….”


 


หวังเลิ๋นชรันมองหน้าเย่โม่ด้วยใบหน้าสีเขียวแล้วมองไปที่ที่ ซึ่งเย่โม่ฟันเขา


 


“ผู้นำครับ เขาโจมตีพวกเราทั้ง 5 คนเซียนหลิน เซียนจาและหวังซีทุกคนถูกฆ่าตาย มีเพียงผมและชรังเออร์เท่านั้นที่สามารถหลบหนีมาได้” ชายวัยกลางคนเยาวชนลงและร้องไห้


 


หวังเลิ๋นชรันได้ยินสิ่งนี้และแทบจะกระอักเลือด เย่โม่รู้ได้อย่างไรว่ามีคนซ่อนตัวอยู่รอบๆ?


 


“เย่โม่ แกทำให้ฉันโกรธได้สำเร็จแล้ว ถ้าฉันไม่ได้ฆ่าตระกูลเย่ทั้งหมด ฉันก็หมาแล้ว!” หวังเลิ๋นชรันยกดาบในมือของเขาขึ้นมา


 


เย่โม่ยิ้ม แม้ว่าหวังเลิ๋นชรันจะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลบหนีจากมือเขาไปได้


 


เย่โม่พูดช้า “หวังเลิ๋นชรัน แกคิดว่าวันนี้ตระกูลหวังของแกจะสามารถออกไปได้หรอ? แกไม่ต้องห่วงเกี่ยวกับการวางแผนสำหรับเมืองอสรพิษของฉันหรอก เพราะฉันจะทำลายตระกูลหวังของแกคืนนี้แหละ แต่ฉันต้องพูดก่อนเลยว่า ดาบของแกดีมากจริงๆ มันยังไม่พังเลยนิ”


 


หวังเลิ๋นชรันตัวสั่น เขาแค่คิดว่าตัวเองจะฆ่าทุกคนในตระกูลทั้งหมดของเย่โม่ แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาแพ้


 


ในบรรดาคน 3 คนที่เย่โม่ฆ่าตายนั้นมี 2 คนที่อยู่ตรงขั้นปฐพีระดับกลาง และอีกคนอยู่ที่ขั้นตติยสีดำ เย่โม่เป็นขั้นนภาสวรรค์หรอ? หรือว่าเขาเป็นครึ่งก้าวสู่ขั้นนภาสวรรค์?


 


หวังเลิ๋นชรันตระหนักว่าเขาประเมิณเย่โม่ต่ำเกินไป และมองดาบในมือของเขา ซึ่งมีรอยหลายรอย


 


ที่หัวของหวังเลิ๋นชรันส่งเสียงพึมพำ ดาบเล่มนี้ที่ผ่านมาตระกูลของเขาจะไม่กลัวที่จะปะทะกับสิ่งประดิษฐ์ แม้แต่เวทมนตร์ แต่มันถูกดาบเล็กๆ ของเย่โม่ทำให้เป็นรอยได้ยังไง?


 


‘เดี๋ยวนะ’ หวังเลิ๋นชรันเพิ่งจำการโจมตีของเย่โม่ได้ ‘ดาบเล็กนั้นยิงแสงสีขาวออกมาได้ยังไง? แม้แต่สิ่งประดิษฐ์เวทมนต์ก็ยังไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย’


บทที่ 475 : การต่อสู้ที่เชิงเขา


 


“ฉันประเมินแกต่ำไป” เป็นครั้งแรกที่หวังเลิ๋นชรันดูจริงจัง เขาไม่สามารถแพ้การต่อสู้ครั้งนี้ได้ ถ้าเขาแพ้ ตระกูลหวังก็จะถูกกำจัด


 


หากหวังเลิ๋นชรันรู้ว่าเย่โม่แข็งแกร่ง เขาขอสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในกระเป๋ามากกว่าโจมตีเย่โม่ หากเย่โม่จะไม่ได้ฆ่าคนในตระกูลหวัง เขาก็จะจากไป พลังของเย่โม่ทำให้เขาสูญเสียความนิ่งสงบ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา


 


“หวังเลิ๋นชรัน ในเมื่อแกมายุ่งกับฉัน ก็เอาระเบิดนี้ไปกินซะ!” ทันทีที่เย่โม่พูดแบบนั้น กระบี่บินก็กลายเป็นแสงสีขาวเล็งไปที่หวังเลิ๋นชรันอีกครั้ง แต่ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิม


 


หวังเลิ๋นชรันต้องการโจมตี แต่ตอนนี้กระบี่ของเย่โม่กำลังมาหาเขา เขาไม่ได้กังวลอะไรเลย เขารู้ว่าถ้าเย่โม่สามารถยิงได้ เขาก็ยิงได้มากกว่านี้


 


ครื้นน! – หวังเลิ๋นชรันใช้มากกว่า 90% ของลมปราณภายใน ด้วยเหตุนี้ดาบยาวจึงเปลี่ยนเป็นหน้าจอของดาบยาวที่ปะทะกับรัศมีกระบี่ ไม่ใช่เสียงอาวุธปะทะ แต่เป็นเสียงฟ้าร้อง


 


เย่โม่รู้ว่าเป็นเพราะกระบี่และดาบของพวกเขาไม่ได้ปะทะกันจริงๆ มันเป็นความขัดแย้งของลมปราณ ภายใน หวังเลิ๋นชรันอาจรู้ว่าดาบของเขาด้อยกว่าของเย่โม่ ดังนั้นเขาจึงใช้ลมปราณภายในเพื่อต่อสู้


 


หลังจากเสียงดังกึกก้องที่หุบเขา เส้นยาวหลายเมตรก็ปรากฏขึ้นถัดจากพวกเขาเนื่องจากการปะทะกัน


 


เย่โม่และหวังเลิ๋นชรันต่างก็ถอยกลับไปหลายก้าว หวังเลิ๋นชรันมองไปที่หุบเขาและรู้สึกตกใจ เขาประเมินเย่โม่สูงเกินไป แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้คาดหวังว่าลมปราณภายในของเย่โม่จะแข็งแกร่งขนาดนั้น มันแข็งแกร่งกว่าเขาเล็กน้อย


 


มันเป็นเพียงช็อตที่สอง ก่อนที่หวังเลิ๋นชรันจะพุ่งขึ้นอีกครั้งเพื่อโจมตี


 


เย่โม่ยังไม่ได้โยนกระบี่บินของเขาออกไป เขารู้ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับปรมาจารย์อย่างหวังเลิ๋นชรัน หากหระบี่บินของเขาไม่ได้ฆ่าเขา ไพ่ตายของเขาจะถูกเปิดเผยโดยที่ไม่รู้ว่าหวังเลิ๋นชรันมีไพ่ซ้อนไว้หรือไม่


 


เป็นเรื่องที่ถี่ถ้วนมากที่จะใช้กระบี่บินกับลมปราณ และถ้าเขาต่อสู้กับหวังเลิ๋นชรันนานเข้า จากนั้นปรมาจารย์อีกคนอย่างเซียงหมิงหวังก็มาถึง เขาจะตกอยู่ในอันตราย คนเหล่านี้อาจทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสก่อนที่เขาจะหนีด้วยกระบี่บินได้


 


คราวนี้ดาบของหวังเลิ๋นชรันกลายเป็นเส้นตรง เย่โม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่แข็งแกร่งพ ๆ กับสิ่งที่คลุมดาบก่อนหน้านี่ หวังเลิ๋นชรันเชี่ยวชาญเทคนิคดาบของเขา เขาสามารถใช้เทคนิคดาบของเขากับลมปราณของเขาได้ แม้แต่ในทวีปลั่เยวีย เย่โม่ก็ยังไม่เคยเห็นใครที่สามารถใช้เทคนิคดาบในระดับนั้นได้


 


เย่โม่รู้ว่าหวังเลิ๋นชรันต้องการอะไร เขาต้องการที่จะแข่งลมปราณภายในกับเขา แต่เย่โม่ไม่ได้กลัวเลย เขารวบรวมลมปราณด้วยกระบี่บินแล้วแทงทะลุ ในขณะเดียวกัน เย่โม่ก็ยังคงหั่นฝามือของเขา


 


หวังเลิ๋นชรันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ในขณะที่แข่งขันลมปราณภายในกับเขา แต่เขาก็ต้องจับเย่โม่ ชายวัยกลางคนผู้ซึ่งเดินทางมาถึงใกล้ๆกับหวังเลิ๋นชรันนั้นได้อยู่ข้างหลังเย่โม่แล้ว เขาจะซุ่มโจมตีเย่โม่ ในขณะที่เย่โม่กำลังต่อสู้กับหวังเลิ๋นชรัน


 


แต่น่าเสียดาย ถ้าผู้ฝึกเต๋าเช่นเย่โมไม่สามารถสังเกตได้ว่ามีจอมยุทธ์แอบเข้ามาข้างหลังเขา เขาก็ไม่สมควรถูกเรียกแบบนั้น


 


ตู้มม! ตู้มม! ตู้มม!


 


ดาบในมือของหวังเลิ๋นชรันระเบิดด้วยลมปราณภายใน เย่โม่แสยะยิ้ม เขารู้ว่าเจตนาของหวังเลิ๋นชรันคือการทำให้เขาหนี เพื่อที่เขาจะได้ถูกซุ่มโจมตีโดยชายวัยกลางคนนั้น


 


แม้ว่าหวังเลิ๋นชรันจะถูกฟันด้วยกระบี่ลมปราณของเย่โม่ และมีเลือดออก แต่เย่โม่ก็ถูกผลักกลับโดยลมปราณภายในของเขา


 


เคร้ง! – หวังเลิ๋นชรันดูเหมือนจะได้ยินเสียงของดาบกระทบกัน และเขาก็ดูประหลาดใจ


 


ฉึก! – มันเป็นเสียงของดาบที่แทงเข้าเนื้อและทำให้หวังเลิ๋นชรันชื่นชมยินดี แต่ในไม่ช้าการแสดงออกของเขาก็แข็งตัว


 


ชายวัยกลางคนที่แอบตามหลังเย่โม่ถูกหั่นครึ่งจากไหล่โดยไม่มีการต่อสู้ใดๆ


 


‘เคร้ง’ ครั้งแรกเป็นชายวัยกลางคนที่ค้นพบวินด์เบลด ซึ่งเขาบล็อกด้วยดาบลมปราณ แต่เขาไม่สามารถบล็อกครั้งที่สองและสามได้ ดังนั้นเขาจึงถูกหั่นครึ่ง


 


เย่โม่รู้ถึงข้อเสียของบอลไฟและวินด์เบลดของเขา พวกมันถูกพบได้ง่ายโดยผู้ที่มีพลังสูง ท้ายที่สุดพลังของเขาก็ต่ำเกินไป ก่อนปล่อยบอลไฟ พวกเขาจะรู้สึกถึงความร้อน แม้ว่าเขาจะยิงมัน พวกเขาก็ยังสามารถหลบได้ มันเป็นแค่การเสียลมปราณ คนที่แข็งแกร่งกว่านั้นง่ายกว่าสำหรับพวกเขาที่จะหลบมัน ชายวัยกลางคนนี้เป็นขั้นตติยปฐพี หากเขาไม่พยายามที่จะแอบย่องเข้ามา มันคงยากกว่าที่วินด์เบลดจะพุ่งใส่เขา


 


แน่นอนถ้าเย่โม่มียาแก่นแท้ลมปราณ เขาก็สามารถยิงวินด์เบลดและบอลไฟได้ เช่นนั้นแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งเขาจะถูกฆ่าตายในที่สุด แต่กับหวังเลิ๋นชรันเขาไม่สามารถใช้สิ่งนั้นได้ ถ้าเขาใช้พลังทั้งหมดของลมปราณ และยังไม่สามารถฆ่าหวังเลิ๋นชรันได้ มันจะเป็นการตายของเขา ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าเขาจะมียาแก่นแท้ลมปราณ แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะเสียมันไปอย่างนั้น


 


“ดาบลมปราณภายใน? แกอยู่ขั้นนั้นเองสินะ แกเป็นยั้นนภาสวรรค์เรอะ?” หวังเลิ๋นชรันมองไปที่ชายที่ถูกฆ่าตาย มันเกิดขึ้นในขณะที่เขาพยายามจะทำให้เย่โม่เสียสมาธิ เขาไม่สามารถใจเย็นได้อีกต่อไป


 


ใบหน้าของเขาซีดและเส้นเลือดที่แขนของเขาก็โผล่ออกมา เมื่อเห็นเย่โม่ตั้งใจที่จะไม่ตอบเขา เขาจึงพูดว่า “มันเป็นไพ่ตายของแกเรอะ? ทำไมแกไม่ใช้มันโจมตีฉันละ?”


 


จากมุมมองของหวังเลิ๋นชรัน มันยากมากที่จะหลบลมนั้น ถ้าเย่โม่เคยใช้สิ่งนี้กับเขา มันคงใช้เวลาไม่นานที่เขาจะพ่ายแพ้


 


เย่โม่แสยะยิ้ม เขารู้ว่ามันดูแข็งแกร่ง แต่หวังเลิ๋นชรันจะสามารถหลบมันได้อย่างแน่นอน มันจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังลมปราณและในที่สุดหวังเลิ๋นชรันก็อาจจะสามารถหนีไปได้


 


เมื่อเห็นว่าเย่โม่ยังไม่ตอบเขา หวังเลิ๋นชรันเลยพูดออกมา ขณะที่เขายกดาบขึ้นอย่างช้าๆ “นี่เป็นครั้งที่สามที่ฉันประเมิณแกต่ำไป เย่โม่ แต่ไม่อีกแล้ว ตายซะเถอะ”


 


ด้วยรัศมีกระบี่ ดาบจะเปล่งแสงบางๆ ออกมา หวังเลิ๋นชรันพ่นเลือด เขาใช้ศักยภาพของเขาในการใช้การโจมตีนั้น และมันทำให้เขาเจ็บปวดเล็กน้อย


 


เย่โม่มั่นใจว่าถ้าเขาไม่มีสัมผัสจิตวิญญาณ เขาจะไม่สามารถมองเห็นแสงบางๆ เหล่านั้นได้


 


เคร้งง! – ในขณะที่รัศมีกระบี่ปะทะกับลมปราณของเย่โม่ พวกเขาก็ระเบิดกระแสลมจำนวนมาก


 


หากพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ทั่วๆไป พวกเขาอาจหลบได้เพียงอย่างเดียวหรือพวกเขาจะถูกบดเป็นชิ้นๆเพราะลมปราณ


 


เป็นไปไม่ได้ที่เย่โม่จะบินไปในสถานการณ์นั้น ในขณะนั้น ในที่สุดเย่โม่ก็ตระหนักว่าเขาประเมินหวังเลิ๋นชรัต่ำเกินไป เขาอยู่ในขั้นเดียวกับอูเต๋า เขาแข็งแกร่งกว่าเซียงหมิงหวังและเฟิงอู๋ เขาปิดเก่งจริงๆ


 


ถ้าเขาไม่ได้ประเมินหวังเลิ๋นชรันต่ำไป เขาจะบินขึ้นฟ้าและไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่จะระเบิดลมปราณ


 


แต่ด้วยวิธีนี้ หวังเลิ๋นชรันจะรู้ไพ่ของเขาและถ้าหวังเลิ๋นชรันรู้ว่าเขาสามารถบินได้ เขาวิ่งหนีแน่นอน แต่หากหวังเลิ๋นชรันต้องการหนี เขาก็สามารถติดตามเขาได้ แต่ต้องใช้เวลาในการฆ่าเขา หากเขาวิ่งไปที่เซียงหมิงหวังและเฟิงอู๋ เย่โม่จะไม่มีโอกาสฆ่าเขา


 


เย่โม่ใช้ 90% ของลมปราณ ในขณะที่กระบี่ในมือของเขาปล่อยออร่าที่มีขนาดเท่ากับประตู


 


ในการปะทะครั้งใหญ่ เย่โม่ถูกส่งบินไปไกลกว่า 10 เมตรก่อนจะลงถึงพื้น เขาเช็ดเลือดที่ปากของเขา เขาบาดเจ็บหลายครั้ง เขารู้ว่าด้วยกลยุทธ์การต่อสู้ของเขา เขาไม่ได้ไปไหนเลย เขาประเมินหวังเลิ๋นชรัน สูงไป แต่เขาก็ยังประเมินต่ำไป


 


หากเย่โม่รู้ว่าหวังเลิ๋นชรันแข็งแกร่ง เขาจะไม่ต่อสู้แบบนี้ และได้รับความเสียหายโดยไม่มีเหตุผล เย่โม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเก็บสัมผัสจิตวิญญาณไว้กับวินด์เบลด และนั่นทำให้เขาวอกแวก อย่างไรก็ตามเรื่องนี้หวังเลิ๋นชรันบาดเจ็บมากกว่าเขามาก และเย่โม่ก็มั่นใจว่าเขาจะไม่สามารถใช้ท่านี้เป็นครั้งที่สองได้อีก


 


“เย่โม่ ฉันยอมรับว่าแกแข็งแกร่งและฉันไม่เหมาะกับแก แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับแกที่จะฆ่าฉันหรอกนะ ฉันสาบานว่าจะแก้แค้นเรื่องนี้แน่” หวังเลิ๋นชรันตกตะลึงยิ่งกว่าสิ่งที่เขาแสดงให้เห็น เพราะเย่โม่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยหลังจากการปะทะ


 


“จริงๆ เรอะว่ะ?” เย่โม่เยาะเย้ย และยกกระบี่ยาวของเขาขึ้นมาทันที ขณะที่มันกลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งตรงไปที่ลำคอของหวังเลิ๋นชรัน


 


“กลอุบายเล็กๆ มาดูกันว่าแกมีพลังมากแค่ไหน หากไม่มีดาบนั้น” เมื่อเห็นเย่โม่โยนกระบี่ออกไป สีหน้าของหวังเลิ๋นชรันก็มีความสุข เขากังวลเกี่ยวกับกระบี่ของเย่โม่ แต่เย่โม่ทิ้งความได้เปรียบนั้นไปแล้ว หากเขาจะถูกโจมตีด้วยการโจมตีเช่นนั้น เขาก็ไม่ใช่หวังเลิ๋นชรันแล้ว


 


แต่หวังเลิ๋นชรันสามารถเพลิดเพลินกับสิ่งนี้ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะแข็งทื่อ


บทที่ 476 : ภูเขาน่านอยู่ใต้ฝ่าเท้า


— ตั้งแต่ตอนนี่ไป ไรท์จะเปลี่ยน ‘กระบี่’ เป็น ‘ดาบ’ , ‘ฮาน’ เป็น ‘ฮัน’ นะคะ ขอบคุณคะ —


 


ในขณะที่หวังเลิ๋นชรันกำลังจะบล็อกดาบของเย่โม่ ทันใดนั้นมันก็เลี้ยวโค้งในมุมที่เป็นไปไม่ได้และแทงเข้าไปในลูกกระเดือกของเขา


 


ดาบของหวังเลิ๋นชรันตกลงสู่พื้น ในขณะที่เขามองเย่โม่อย่างไม่เชื่อ “งั้นนี่ก็คือไพ่ตายของแกสินะ ครั้งที่ 4 ฉันก็ประเมินแกต่ำไป…” ดวงตาของหวังเลิ๋นชรันไร้สีสัน เขาไม่พอใจจริงๆ เขาเอาตระกูลหวังไปเดิมพัน และตอนนี้เขาสูญเสียทุกคน


 


ทันใดนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถึงบางสิ่งและเขาลืมตาขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้าย เขาดึงวัตถุรูปสามเหลี่ยมออกมาและพูดอย่างหมดหวังว่า “ตราภูเขาตระกูลหวังเวลา 50 ปี…”


 


ทันทีที่เขาพูดสิ่งนี้ เขาก็โยนวัตถุออกมาและแทงเข้าไปในชายวัยกลางคนและชายหนุ่ม จากนั้นหวังเลิ๋นชรันก็เสียชีวิต


 


แม้แต่เย่โม่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าหวังเลิ๋นชรันจะเด็ดขาดอย่างมาก เพื่อไม่ให้ใครรอดชีวิตก่อนที่เขาจะตาย ด้วยเขาที่ฆ่าชายหนุ่มคนนั้น ทุกคนในตระกูลหวังที่มาจะตาย


 


ชายหนุ่มคนนี้ก็คงไม่เคยคาดหวังว่าผู้นำตระกูลจะฆ่าเขา เขาเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลหวังและเป็นขั้นตติยสีดำตอนอายุ 25 แต่ตอนนี้ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากของเขา ดวงตาของเขาเย็นชาเหมือนของหวังเลิ๋นชรันและเขาก็ตาย


 


ตั้งแต่ต้นจนจบการต่อสู้ เย่โม่ไม่ได้พบว่าลมปราณมืดมัว ราวกับว่าหลังจากการปะทะครั้งแรกมันก็หายไป


 


เย่โม่ตัดสินใจหยุดการสอบสวนภูเขานี้ เขารู้สึกจริงๆว่าเขาประเมินปรมาจารย์ของโลกนี่ต่ำเกินไป ถ้า 2-3 ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาได้ต่อสู้กับเซียงหมิงหวัง เฟิงอู๋และหวังเลิ๋นชรัน การชนะย่อมไม่แน่นอน


 


พวกเขาทั้งหมดเป็นส่วน 1 ใน 6 นิกายใหญ่ แต่พลังของหวังเลิ๋นชรันสูงมาก นิกายเตี๋ยนชางและนิกายธาราอ่อนแอเกินไป แม้ว่าเย่โม่จะรู้ว่ามันเป็นเพียงหวังเลิ๋นชรันที่แข็งแกร่งในนิกายของเขา แต่มันก็ยังดังก้องสำหรับเย่โม่ ตระกูลหวังก็ยังอยู่ในอันดับที่ 3 ดังนั้นเรื่องที่ 1 และ 2 และประมุขนิกายถ้ำน้ำเต้าที่กำลังฝึกตนแบบสันโดษ และประมุขสถาบันจิงหมิงละ?


 


ใครๆ ก็จินตนาการได้ว่านิกายไท่อี้ของนิกายลี้ลับภายในนั้นแข็งแกร่งกว่านิกายลี้ลับหลายแห่งเหล่านี้รวมกัน คงเป็นไปไม่ได้ที่เย่โม่จะสามารถรอดชีวิตได้ ถ้าเขาไปในนิกายไท่อี้เพื่อแก้แค้นในตอนนี้


 


เป็นครั้งแรกที่เย่โม่พิจารณาความแข็งแกร่งของเขาอย่างเหมาะสม ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและผู้เชี่ยวชาญทุกประเภทที่สูงขึ้นและไม่สนใจเรื่องมนุษย์ ไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลรู้สึกว่าถูกคุกคามโดยนิกายลี้ลับ พวกเขามีพลังที่น่ากลัวอย่างแน่นอน


 


นิกายลี้ลับจะไม่ยอมให้ปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาเข้าร่วม Heaven Squad ทั๋นเจียวไปถึงขั้นนภาสวรรค์ แต่ก็ยังอ่อนแอกว่าหวังเลิ๋นชรัน ต้องมีเหตุผลบางอย่างสำหรับเรื่องนั้น


 


เย่โม่เผาศพด้วยบอลไฟและทิ้งอาวุธบนพื้นดินเป็นคูก่อนที่จะฝัง หากเขาไม่ได้ทำลายดาบหวังเลิ๋นชรัน จนมันสาหัส เขาจะเอาไปด้วย แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจมันแล้ว


 


หลังจากทั้งหมดนี้ เย่โม่กระโดดขึ้นไปบนดาบบินของเขาและมุ่งหน้าไปที่โรงแรมซือเยวีย


 


มันเป็นเวลาตี 3 แต่เย่โม่พบว่าฮันหยานยังไม่ได้หลับ เธอนั่งอยู่ในห้องและมองออกไปข้างนอกอย่างกังวล


 


“ฮันหยาน เธอมีแข่งวันนี้นะ ทำไมเธอไม่นอน?” เย่โม่เดินเข้ามาในห้องและถาม


 


“พี่เย่ สบายดีใช่ไหม? นั้นเยี่ยมเลย” ฮันหยานยืนขึ้นอย่างมีความสุขทันที เธอตัดสินใจที่จะไปหาเย่โม่ทันทีที่เป็นเวลากลางวัน หากเย่โม่ไม่มา เธอจะไม่ไปการแข่งนั้น เธอรู้ว่าในนิกายลี้ลับการฆ่านั้นไม่ได้มีความหมายอะไรมาก


 


เย่โม่ถามอย่างสงสัยว่า “จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันละ?”


 


ฮันหยานตอบด้วยดวงตาแดงก่ำ “ในตอนเช้า มีคนที่ชื่อไกเฉิงมาที่นี่ เขามากับลูกศิษย์ของเขา เขาจะจู่โจมและบอกว่าคุณจะไม่กลับมา และบางทีพรุ่งนี้เช้า ฉันอาจจะพบร่างของคุณเช่นเดียวกับที่เขากำลังจะบังคับให้ฉันออกไป ประมุขเจิงเจิงเซียมาที่นี่ เขาตะโกนให้เขาออกไปและอยู่ที่นี่ 2 ชั่วโมง ก่อนจะไป เขาบอกฉันว่าคุณทำให้ประมุขเซียงและหวังโกรธ และบอกฉันว่าถ้าคุณไม่กลับมาก่อนเช้า ฉันควรออกจากเมืองนี้ทันที”


 


ดูเหมือนว่ามีผู้คนมากมายรู้ว่าหวังเลิ๋นชรันกำลังจะฆ่าเขาในคืนนี้ แต่ก่อนที่เขาจะตาย คนเหล่านี้ก็มาที่นี่แล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา คนที่ติดตามเขาจะเป็นอย่างไร?


 


“ไกเฉิงคือใคร? และเขาพักอยู่ที่ไหน?” เย่โม่ถาม


 


ฮันหยานพูดว่า “ประมุขเจิงบอกว่าเขาเป็นหมอที่เข้ามาในเหล่าจอมยุทธ์โดยบังเอิญ และรู้จักกับตระกูลหวัง เหตุผลที่เขมาในครั้งนี้เป็นเพราะตระกูลหวัง เขาพักอยู่โรงแรมเยวียนเฉิง”


 


เย่โม่พยักหน้าและพูดว่า “โอเค รอฉันที่นี่นะ ไม่นานฉันก็กลับแล้วละ”


 


ฮันหยานเห็นเย่โม่ออกไปและรู้ว่าเขากำลังไปหาไกเฉิง เธอไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในขณะที่ผู้นำประมุขเจิงพูดว่าเขาอยู่ในขั้นปฐพีระดับต้น


 



 


ฮันหยานผ่อนคลายมากหลังจากเย่โม่กลับมา เธอคิดว่าเย่โม่จะกลับมาตอนกลางวันเท่านั้น แต่เย่โม่กลับมาในเวลาไม่ถึง 20 นาทีโดยไม่คาดคิด


 


“พี่เย่ ฉันคิดว่าคุณจะไปซะแล้วหลังจากไปหาไกเฉิง” ฮันหยานยังรู้สึกโล่งใจหลังจากเห็นเย่โม่กลับมาแม้ว่าจะรู้ว่าไกเฉิงก็ไม่เหมาะกับเขา


 


เย่โม่ยิ้มเท่านั้น เขาไม่ได้บอกเธอว่าเขาฆ่าไกเฉิง และลูกศิษย์ของเขาไปแล้ว และถามว่า “การเคลื่อนไหวแค่ไม่กี่อย่างที่ฉันสอนให้เธอเป็นไงบ้าง?”


 


“ฉันเพิ่งเรียนรู้อย่างเดียวเอง และแทบจะไม่สามารถใช้มันได้เลย” ฮันหยานคิดว่าการย้ายดาบนี้ที่เย่โม่สอนให้เธอค่อนข้างยากมาก


 


เย่โม่พยักหน้า “ในวันพรุ่งนี้ เธอจะมีแข่งแล้ว ไปนอนเถอะ ฉันยังมีธุระอยู่นิดหน่อย”


 


หลังจากที่ฮันหยานไปนอนแล้ว เย่โม่ก็นั่งลงเพื่อฟื้นฟูบาดแผลของเขา แม้ว่าเย่โม่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าประมาทเลย แม้ว่าตอนนี้เขาอยากจะทำลายล้างตระกูลหวัง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าภูเขาน่านอยู่ที่ไหน


 



 


มันเป็นเวลา 7 โมงเช้า เมื่อเย่โม่เดินออกไปพร้อมกับจิตวิญญาณที่สดชื่น หลังจากคืนหนึ่ง บาดแผลของเขาก็หายเป็นปกติและเขาสามารถเข้าใจการเคลื่อนย้ายของดาบจากเทคนิคดาบของหวังเลิ๋นชรันได้ มันเกี่ยวข้องกับการใช้รัศมีดาบในการห่อลมปราณภายใน และระเบิดลมปราณออกไปด้านนอกเพื่อโจมตีศัตรู แต่ท่านี้ใช้ลมปราณมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้มันอย่างลวกๆได้


 


ฮันหยานมองไปที่ด้านหลังของเย่โม่ และในทันใดก็มีความรู้สึกว่าเย่โม่อยู่ห่างจากเธอออกไป 10,000 ไมล์ ราวกับว่าเย่โม่จะบินไปบนก้อนเมฆได้ทุกเวลา ความรู้สึกนี้มันแปลกมาก


 


“เธอตื่นแล้วนิ ไปล้างตัวก่อนสิแล้วเราจะไปเทือกเขายอดทลายกัน” เย่โม่หันไปหาเธอแล้วยิ้ม


 


ฮันหยานรู้สึกโล่งใจ หลังจากที่เย่โม่หันหลังให้ ความรู้สึกนั้นก็หายไป เย่โม่ได้กลับไปที่คนปกติที่เธอรู้จัก


 


“น้องเย่ ฮ่าๆ ฉันรู้อยุ่แล้วว่านายคงสบายดี!” เสียงแหบแห้งดังขึ้น เย่โม่ไม่จำเป็นต้องหันศีรษะของเขาเพื่อให้รู้ว่าคือ เจิงเจิงเซีย


 


เย่โม่พาเขาไปที่ลานบ้านห้องชุด และนั่งลงก่อนจะพูดว่า “ขอบคุณพี่เจิงสำหรับเรื่องเมื่อคืนนี้นะครับ ถ้าพี่ไม่มา ฮันหยานคงได้รับบาดเจ็บแน่”


 


เจิงเจิงเซียโบกมืออย่างไม่เป็นทางการและพูดว่า “เล้กน้อยน่า ไอ้ไกเฉิงนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขารู้จักตระกูลหวัง ฉันคิดว่าหวังเลิ๋นชรันจะมาหานายนะ แต่ฉันไม่คิดเขาจะไปในคืนนั้นเลย”


 


จากมุมมองของเขาหาก หวังเลิ๋นชรันไปหาเย่โม่ เย่โม่จะไม่มานั่งอยู่ที่นี่


 


เย่โม่ยิ้มและถามอย่างลวกๆ ว่า “พี่เจิง คุณเคยได้ยินไหมว่าตระกูลหวังภูเขาน่านอยู่ที่ไหน?”


 


เจิงเจิงเซียไม่เข้าใจความหมายของเย่โม่ และถอนหายใจ “ที่ที่ซ่อนเร้นที่สุดไม่ใช่ ถ้ำน้ำเต้า หรือ สถาบันจิงหมิง แต่คือ ตระกูลหวังภูเขาน่าน กล่าวกันว่ามรดกที่พวกเขาได้รับนั้นเรียกว่าภูเขาน่าน ซึ่งอยู่ใต้เท้า มันหมายความว่าไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนและไม่มีใครรู้ว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหน – “


 


จากนั้นเจิงเจิงเซียก็ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างและเขาก็ยืนขึ้นอย่างฉับพลันโดยมองเย่โม่ด้วยความไม่เชื่อ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม