Strongest Abandoned Son บุรุษผู้ถูกทอดทิ้ง 463-469

 บทที่ 463 : ห้องชุดของเย่โม่


 


แม้ว่าพนักงานของแผนกต้อนรับจะไม่อยากทำแค่ไหน พวกเขาก็ไม่กล้าพูดคำแบบนั้นกับเย่โม่ พวกเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรเข้าไปที่สำนักงานของหวังซือเยวีย


 


หวังซือเยวียสังเกตเห็นว่าเสียงเงียบลงแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้สึกผ่อนคลาย แต่ในขณะนั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น


 


โดยปกติเขาจะไม่รับสายพวกนี้ เขาไม่ต้องการได้ยินเพราะกลัวความไม่พอใจของผู้คนที่อยู่ที่นั่น แต่เขาก็ยังหยิบมันขึ้นมา อธิษฐานว่ามันไม่ใช่คนที่มาเรื่อง


 


“บอสหวังค่ะ มีคนอยู่ที่แผนกต้อนรับบอกว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าของคุณคะ เขาต้องการให้คุณลงมาข้างล่าง” ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับพูดด้วยเสียงตื่นกลัวเล็กน้อย


 


“โอเคๆ ฉันจะลงไปชั้นล่างเดี๋ยวนี้แหละ” หวังซือเยวียวางสายโทรศัพท์ด้วยรูปลักษณ์ที่ขมขื่น เขาไม่กล้าไม่ไป


 


เย่โม่ไม่ต้องรอนานก่อนที่ร่างกายกลมๆ ของหวังซือเยวียจะออกมาจากลิฟต์ “เชียนเปยถามหาผมหรอครับ? ผมเองครับ หวังซือเยวีย ฮ่าฮ่า”


 


ก่อนที่หวังซือเยวียจะมาถึง พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาแล้ว ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขามีความสุขจริงๆ หรือแกล้งทำมันกันแน่


 


“ฉันเอง นายจำฉันไม่ได้เหรอ?” เย่โม่ยิ้ม


 


“หืมม นั้นคุณนิ พี่เย่ คุณจริงๆ ด้วย ฉันหวังว่าจะได้พบคุณมาหลายเดือนแล้ว และในที่สุดคุณก็มาที่นี่จนได้!” หวังซือเยวียผ่อนคลายทันที


 


เย่โม่มาเพื่อพักที่โรงแรม 1 สัปดาห์ เขามีความสามารถมาก แต่ก็ไม่ได้อวดดี เขารู้สึกขอบคุณเย่โม่มากสำหรับของขวัญและไม่ทำให้เขาเกรงกลัว เขารู้ว่าเย่โม่คนที่เข้าได้ง่าย และเขาก็เป็นปรมาจารย์ที่แท้จริง


 


เย่โม่เห็นว่าหวังซือเยวีย มีความสุขอย่างแท้จริง เขาจึงตบไหล่ของเขาและยิ้ม “ฉันมาที่นี่เพื่อหาห้องพักนะ นายมีห้องเหลือไหม?”


 


“แน่นอนสิ” หวังซือเยวียกล่าวโดยไม่ลังเล “พี่เย่ เราที่อื่นกันก่อนดีกว่า”


 


พนักงานต้อนรับสาวมองที่เจ้านายของเธอด้วยความตกใจ “บอสคะ เราไม่มีห้องพักในโรงแรมเหลืออีกแล้วนะคะ” เธอกลัวว่าเจ้านายของเธอจะลืม


 


“ฮ่าฮ่า คนอื่นอาจจะไม่ได้ แต่พี่เย่มีห้องส่วนตัวในโรงแรมของเรา มันไม่ได้เป็นของโรงแรม แต่เป็นของ พี่เย่” หวังซือเยวียดึงเย่โม่เข้าไปในลิฟต์


 


ผู้คนที่อยู่รอบตัวพวกเขาจ้องมองที่เย่โม่ ผู้ซึ่งกำลังขึ้นไปแล้ว ชายหนุ่มผู้นั้นทรงพลัง เขาพูดถึงตัวเองเพียงครั้งเดียวและเขาก็ได้ที่พัก ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือเขามีห้องชุดของตัวเอง


 


หลังจากที่เย่โม่หายไป ผู้คนในเลานจ์ก็เริ่มพูดคุยกัน


 


“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันจะมีห้องชุดส่วนตัวในสถานที่ของนายอะ?” เย่โม่ถามอย่างสับสน


 


หวังซือเยวียยิ้มอย่างชาญฉลาด “ในเวลาอื่นๆ คุณก็สามารถมีห้องได้มากเท่าที่คุณต้องการนะ แต่วันนี้ฉันไม่ได้ตัดสินใจ ฉันคาดการณ์ว่าจะเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นนะ ครั้งก่อนที่คุณไป ฉันตัดสินใจที่จะสร้างห้องชุดบนชั้น 8 มันมีไว้สำหรับคุณนั้นแหละ อย่างที่ฉันบอก มันไม่ได้เป็นของฉัน ฉันให้คุณเห็นรอบๆ ฉันหวังว่าคุณจะชอบมันนะ ฉันคิดว่าไม่แน่คุณจะกลับมาอีก แล้วคุณมจริงๆ มันเป็นเกียรติอย่างแท้จริงเลยละ”


 


เย่โม่หัวเราะและพูดว่า “ขอบคุณนะ ถ้านายมีปัญหาอะไร ก็เพียงมาขอความช่วยเหลือจากฉันได้เลย วันนี้ฉันเป็นหนี้นายแล้วละ”


 


หวังซือเยวียยิ้ม “พี่เย่ ดูสิ คุณแก้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของฉันได้แล้วเมื่อคุณมาที่นี่ โรงแรมของฉันได้รับการยอมรับว่าเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวในครึ่งปีเท่านั้นเอง ฉันให้เครดิตคุณ ฉันก็แค่สร้างห้องชุดเล็กๆ เอง มันไม่มีอะไรเทียบได้เลย”


 


หวังซือเยวียพาเย่โม่ขึ้นไปด้านบนและมีห้องชุดเหมือนคฤหาสน์ ไม่เพียงแต่มันมีดอกไม้ทุกชนิดเท่านั้น แต่ข้างในยังสะอาดอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามีคนทำความสะอาดที่นั่นทุกวัน


 


“ห้องสวีทนี่น่ารักจัง!” ฮานหยันอุทานออกมา


 


“ไม่เลวเลยนิ” เย่โม่ชมเชยเช่นกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือหวังซือเยวียเป็นผู้จัดการที่ดีอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือไม่ แต่เขาก็เตรียมทุกอย่างให้เขา มันอาจจะดูง่ายสำหรับเขา แต่ความพยายามของเขาได้รับการชื่นชม ไม่น่าแปลกใจที่โรงแรมของเขานั้นดีที่สุดในเมืองผี


 


ฮานหยันเดินไปรอบๆ อย่างมีความสุข เธอไม่ได้คาดหวังว่าเย่โม่จะสามารถหาที่พักที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้ ในใจของเธอความสามารถของเย่โม่เพิ่มขึ้นเช่นกัน


 


“พี่เย่ ถ้าคุณมีความสุขก็อยู่ที่นี่เถอะ บริกรสามารถเรียกมาได้ตลอด 24/7 สำหรับอาหาร คุณสามารถเลือกได้ว่าคุณต้องการกินที่ชั้นล่างหรือให้บริกรนำมาที่นี่” หวังซือเยวียเห็นว่าเย่โม่มีความสุขมากกับมัน เขาจึงรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่เขาเตรียมไว้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เย่โม่หายไปเพียง 1 เดือนเมื่อเขาเริ่มสร้างมันขึ้นมา ตอนนี้มันถูกใช้งานอย่างแน่นอน เขารู้สึกโชคดีเช่นกันถ้าเขาไม่ได้สร้างมันขึ้นมา เย่โม่ก็จะไม่มีที่อยู่ เขาจะไม่กล้าทำตัวขุ่นเคืองกับใครก็ตามที่อยู่ที่นั่น


 


“บอสหวัง ฉันมาแล้ว ฉันต้องการความช่วยเหลือ” เมื่อพวกเขากำลังพูด ประตูลิฟต์ก็เปิดขึ้นอีกครั้งและมีชายคนหนึ่งที่ลงพุงเดินเข้ามา


 


“โอ้ไงนายกเทศมนตรีหวู่ คุณมาถึงที่นี่เมื่อไหร่อะ? ถ้าคุณต้องการอะไรเพียงโทรหาฉันก็ได้นิ ไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่เป็นการส่วนตัวเลยนะ” หวังซือเยวียเห็นชายคนนั้นและเดินไปหาเขาด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร


 


ชายคนนั้นคือหวู่อิงเยวียน รองนายกเทศมนตรีเมืองกุยเฉิง เขารู้อยู่แล้วว่าทำไมเขาถึงมา


 


ชายคนนั้นมองเย่โม่และฮานหยันอ่างตรวจสอบ และพูดว่า “บอสหวัง โรงแรมของคุณได้นำเกียรติมาสู่เมืองของเรา แต่ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณในวันนี้จริงๆ ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งและเขาก็มาแข่งขันเช่นกัน ตอนนี้เขาไม่มีที่พักเลยและคุณรู้ไหมถ้าเขาอยู่ที่อื่น เขาจะเสียหน้า คุณช่วยเอาห้องพักในโรงแรมของคุณให้เขาหน่อยได้ไหม?”


 


มีโรงแรมระดับ 5 ดาวเพียงแห่งเดียวในเมืองผี และคนส่วนใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น หากคุณอยู่ที่อื่น คุณจะเสียหน้าแน่นอน


 


หวังซือเยวียพูดด้วยความยากลำบากใจ “ฉันเสียใจจริงๆ นายกเทศมนตรีหวู่ แต่อย่างที่คุณรู้ ฉันไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้”


 


ชายคนนั้นไม่ผิดหวังกับคำพูดของหวังซือเยวียเลย เขากลับยิ้มออกมา “ฉันรู้เรื่องนี้แน่นอน ฉันไม่ได้ขอให้คุณเคลียร์ห้องคนอื่นมาให้ แต่ฉันรู้ว่าคุณมีห้องชุดว่างอยู่ที่นิ? คุณคิดว่าไงละ?”


 


การแสดงออกของเย่โม่ไม่เปลี่ยนแปลง เขากำลังรอดูว่าหวังซือเยวียจะตอบสนองอย่างไร แต่การแสดงออกของฮานหยันเปลี่ยนไป เย่โม่ได้ทำผิดในสองนิกายแล้ว เธอไม่ต้องการคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาทำให้ขุ่นเคืองอีกครั้ง


 


ด้วยความคิดเหล่านี้ ฮานหยันก็มองอย่างเป็นห่วงและต้องการเกลี้ยกล่อมเย่โม่ให้เปลี่ยนเป็นโรงแรม แม้ว่าเย่โม่จะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับคนจำนวนมากได้


 


หวังซือเยวียไม่ได้ดูมีปัญหาเลย เขาแค่หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่น่าแปลกใจเลยที่นายกเทศมนตรีหวู่ถามฉันเรื่องนี้ ถ้าห้องชุดนี้เป็นของฉัน นายกเทศมนตรีหวู่ก็สามารถปล่อยให้ทุกคนอยู่ที่นั่นได้เลย แต่มันเป็นสมบัติของพี่เย่ ฉันเพียงช่วยเขาสร้างมันขึ้นมานะ”


 


“พี่เย่เหรอ?” หวู่อิงเยวียนมองอย่างประหลาดที่เย่โม่และฮานหยัน


บทที่ 464 : การเพิ่มพลัง


 


เย่โม่ยิ้ม เขาไม่ต้องการทำให้มันยากสำหรับหวังซือเยวีย ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “เขาพูดถูก ห้องชุดนี้เป็นทรัพย์สินของฉันเอง ขอโทษด้วยนะครับ”


 


“ถ้างั้นก็ทำให้สิ่งต่างๆ เป็นเรื่องง่ายซะสิ แม้ว่าคุณจะย้ายออกไป 2-3 วัน สถานที่ก็จะยังคงเป็นของคุณ แน่นอนว่าเพื่อนของฉันจะไม่อยู่ฟรีๆ แน่นอน เองก็เป็นปรมาจารย์นิกายลี้ลับด้วยนะ”


 


หวู่อิงเยวียนพูดออกมา เขาคิดว่านั่นจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำ สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นรองนายกเทศมนตรี คนหนุ่มสาว 2 คนนี้จะเห็นด้วยกับเขาทันที


 


จากสิ่งที่หวู่อิงเยวียนมองเห็น เย่โม่ก็ดูธรรมดา ถึงแม้ฮานหยันจะดูพอใช้ แต่เธอก็ไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้น เธออาจจะเป็นแค่ญาติของหวังซือเยวียด้วยซ้ำ


 


แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือชายหนุ่มคนนี้มองเขาอย่างเฉยเมยและพูดว่า “ขอโทษนะครับนายกเทศมนตรีหวู่ กรุณาไปซะตอนนี้เถอะครับ ฉันยังมีเรื่องที่จะพูดคุยกับบอสหวังอยู่”


 


หวู่อิงเยวียนถูกไล่ออกไปตรงๆ ซึ่งทำให้เขาโมโหทันที เขาต้องอดทนมากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา แต่ตอนนี้แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ก็ยังกล้าไล่เขาไปงั้นเรอะ?


 


“บอสหวัง ฉันเชื่อว่ามีบางสิ่งที่คนหนุ่มสาวไม่เข้าใจอย่างมากอยู่นะ” หวู่อิงเยวียนกล่าว เขารู้ว่าหวังซือเยวียเป็นคนดีกับทุกคนในเมืองผี และรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน


 


หวังซือเยวียดูลำบากใจ เขารู้ว่าหวู่อิงเยวียนต้องการอะไร


 


ใบหน้าของเย่โม่จมลงและเขาพูดอย่างชัดเจนว่า “คุณไม่ได้ยินคำพูดของฉันรึไง? ฉันไม่ต้องการเช่าบ้านของตัวเอง คุณเป็นตัวแทนของรัฐบาลหรือโจรนะห่ะ?”


 


“ไอ้เด็กเหลือขอ! ฉันจะรายงานคำพูดของแก แต่ฉันเชื่อว่าบอสหวังคงสามารถจินตนาการผลที่ตามมาได้นะ” จากนั้นชายลงพุงก็จากไป


 


หวังซือเยวียต้องการให้หวู่อิงเยวียนกลับโดยไม่ทำให้เขาขุ่นเคือง แต่วิธีการทำสิ่งต่างๆ ของเย่โม่ทำให้เขาต้องจนมุม แม้ว่าหวังซือเยวียจะรู้ว่าเย่โม่เป็นปรมาจารย์ที่ไม่กลัวปรมาจารย์ที่หวู่อิงเยวียนพูดถึง หลังจากนี้หวู่อิงเยวียนก็จะทำให้หวังซือเยวียลำบาก


 


เย่โม่สามารถคาดเดาความกังวลของหวังซือเยวียได้ และตบไหล่ของเขา “บอสหวัง ไม่ต้องกังวลนะ นายจะไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้ แต่สิ่งที่ฉันอยากรู้คือทำไมฉันไม่เห็นผู้อาวุโสที่การแข่งขัน?”


 


หวู่อิงเยวียนได้ยินสิ่งนี้และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่ามันค่อนข้างดี เขาก็ยังตอบว่า “ตามบริกรมาสิ พวกเขาไปประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ นะ แต่ฉันไม่รู้เฉพาะเจาะจงหรอก”


 


นั่นไงละ ในที่สุดเย่โม่ก็เข้าใจ มันยากสำหรับคนของนิกายลี้ลับพวกนี้ เพื่อรวบรวมอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจะมีการประชุมแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ หากมีการประมูลอีกครั้ง เขาอาจไปดูด้วย


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่โม่ก็ให้สร้อยข้อมือสีดำแก่หวังซือเยวียและกล่าวว่า “ขอบคุณนะ ฉันจะนึกถึงนายเพื่อน สิ่งประดิษฐ์ป้องกันนี้เป็นสิ่งที่ฉันทำเองตอนที่ว่างๆนะ ตอนนี้มันเป็นของนายแล้ว”


 


หวังซือเยวียรับมันมาด้วยใบหน้าแห่งความสุขและความประหลาดใจ เขารู้ว่าสิ่งที่เย่โม่ให้นั้นมีค่า หลังจากที่เขาสวมมัน เขารู้สึกแข็งแกร่งในทันทีและขอบคุณเย่โม่ จากนั้นเย่โม่ก็กล่าวว่าเขาเป็นเพื่อนของเขาในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องของหวู่อิงเยวียน หากแย่ที่สุดมาถึงที่เลวร้ายที่สุด เขาก็จะย้ายไปเมืองอื่น


 


เมื่อเห็นว่าหวังซือเยวียไปแล้ว ฮานหยันก็พูดอย่างกังวลใจ “พี่เย่คะ คนพี่จัดการมาจากนิกายอี้เจี้ยน และชายที่คุกเข่ามาจากตระกูลเซีย พวกเขาเป็นพลังที่นิกายของเราไม่สามารถจัดการได้ ฉันกลัวว่าคืนนี้….”


 


เย่โม่ยิ้มและไม่ตอบเธอโดยตรง และพูดอย่างอื่นแทน “ใช่ พลังของเธอต่ำเกินไปจริงๆ เธออยู่ในขั้นตติยสีเหลือง และเธอยังไม่ได้รวมมัน เลยถ้าเธอเข้าไปการแข่งขันด้วยสภาพแบบนี้ ฉันคิดว่ามันจะยากมากเลยละ”


 


ฮานหยันหน้าแดง เธอรู้ว่าเย่โม่กำลังพูดความจริง แต่การแข่งขันครั้งนี้มีความสำคัญมากสำหรับเธอและแทบไม่มีใครในนิกายกวงฮั่นที่สามารถไปถึงขั้นตติยสีเหลืองก่อนอายุ 30 เธอเป็นอัจฉริยะตามมาตรฐานของพวกเขาแล้ว


 


เย่โม่สามารถบอกได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรจากใบหน้าของเธอและพูดว่า “เธอให้เมล็ดหัวใจบัวหิมะพันปีกับฉัน และฉันก็บอกเธอแล้วว่าฉันจะให้ยากับเธอเมื่อฉันมีโอกาส ตอนนี้ฉันจะให้เธอเลือก 1 ใน 2 เม็ด หนึ่งคือยาเม็ดบัวแห่งชีวิตที่ทำจากเมล็ดหัวใจบัวหิมะพันปี และอีกเม็ดคือยาเพิ่มลมปราณ”


 


เมื่อเห็นความสับสนของฮานหยัน เย่โม่ก็พูดว่า “เม็ดยาบัวแห่งชีวิตสามารถรักษาอาการบาดเจ็บและพาคนตายกลับมาได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของสมองด้วย”


 


“มียาที่ล้ำค่าแบบนั้นอยู่จริงๆเหรอ?” ฮานหยันพูดอย่างสงสัย แต่ไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของมัน


 


“ถ้ามีเม็ดยาล้ำค่าจริงๆ ฉันจะต้องการมันแน่นอน มันสามารถรักษามะเร็งได้ไหม?” ฮานหยันถาม


 


เย่โม่พยักหน้า “ตามหลักวิชาการก็ใช่ แต่เธอไม่ต้องการที่จะรู้ว่ายาเพิ่มลมปราณทำอะไรหรอ?”


 


ฮานหยันตอบกลับทันทีว่า “ไม่ว่ามันจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน มันก็ไม่แข็งแกร่งเท่ากับเมล็ดบัวแห่งชีวิตแน่นอน ฉันต้องการเม็ดยาบัวแห่งชีวิต”


 


เย่โม่ยิ้มและวางขวดหยก 2 ขวดลงบนโต๊ะ “ด้านซ้ายเป็นเม็ดยาบัวแห่งชีวิต ขวาคือยาเพิ่มลมปราณ ยาเพิ่มลมปราณสามารถทำให้จอมยุทธ์เพิ่มพลังขึ้นได้ 1 ถึง 3 ระดับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคคล”


 


“อะไรนะ? นั่นทรงพลังกว่ายาขั้นสีดำอีกเหรอ?” ฮานหยันตกใจเป็นเวลานานก่อนจะถาม หากมียาเม็ดนี้จริงๆ มันจะไม่มีจอมยุทธ์มากมายเลยหรอ?


 


เย่โม่ไม่ได้พูดอะไรและรอให้เธอเลือก


 


ฮานหยันหยิบยาเพิ่มลมปราณขึ้นมาโดยไม่ลังเล “แน่นอนว่าฉันต้องการยาเพิ่มลมปราณ แต่มันมีผลอย่างนั้นจริงๆเหรอ?”


 


เย่โม่ยิ้ม “เธอจะรู้หลังจากที่เธอกินมัน”


 


จากนั้นเย่โม่ก็ถาม “เธอรู้จักระดับพลังของผู้คนที่เข้าร่วมการแข่งนี้ไหม?”


 


ฮานหยันส่ายหัว “ฉันไม่รู้หรอก แต่ฉันรู้ว่าจะต้องมีอัจฉริยะขั้นสีดำอย่างน้อยกว่า 10 คน ส่วนที่เหลือควรอยู่ในขั้นตติยสีเหลืองหรือระดับสูงสุด”


 


เย่โม่พยักหน้า ด้วยความสามารถของฮานหยัน ยาเพิ่มลมปราณนี้น่าจะช่วยให้เธอไปถึงขั้นสีดำและเข้าสู่ 30 อันดับแรก หากเขาไม่ให้ยาเพิ่มลมปราณกับเธอ เธอจะมีโอกาส 90% ที่จะล้มเหลว


 


จากนั้น ฮานหยันก็มองไปที่ยาเพิ่มลมปราณในมือของเธอด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้ายาเม็ดนี้เป็นของจริง เธอคงไม่ต้องไปที่การแข่งขัน วัตถุประสงค์หลักของเธอคือได้ยาขั้นสีดำ เธอไม่สนใจจริงๆ เรื่องเงินหลายร้อยล้านนั้น


 


เย่โม่เห็นว่าฮานหยันยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับยาในมือเธอ เขาจึงพูดว่า “กินยาก่อนแล้วค่อยเริ่มฝึกตน ฉันจะเอาอาวุธให้เธอ”


 


ฮานหยันฟังเย่โม่ แล้วกินยา


 


ยาเพิ่มลมปราณละลายในปากของเธอทันที และกลั่นกลายเป็นลมปราณที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ ซึ่งพุ่งเข้าหาเส้นชีพจรของเธอ เธอนั่งลงและหมุนเวียนวิธีการฝึกตนเพื่อกลั่นยา


 


3 ชั่วโมงต่อมา ฮานหยันลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง ตอนนี้เธอมาถึงขั้นสีดำระดับต้นสูงสุด เธอต้องการเพียงช่วงเวลาพิเศษเดียวในการเข้าถึงขั้นสีดำระดับกลาง ยาที่เย่โม่ให้ยาเธอมันไร้เหตุผลเกินไป! มันมีมูลค่ามากเท่าไหร่กันแน่ เธอไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการเลย


 


เมื่อเย่โม่เข้ามาและเห็นสิ่งนี้ เขาเลยพูดว่า “ไม่เลวนิ เธออยู่ในขั้นสีดำระดับต้นสูงสุดแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถขึ้นไปอยู่อันดับท็อป 30 ได้แน่นอนนะ ถ้าเธอทำได้ดี เธออาจจะติดแม้อันดับท็อป10”


บทที่ 465 : นามสกุลเย่


 


ฮานหยันเห็นสิ่งสกปรกออกมาจากร่างกายของเธอ และพูดอย่างรวดเร็วว่า “ฉันจะไปอาบน้ำนะ”


 


เย่โม่ไม่ต้องรอนานกว่าฮานหยันจะออกมา เธอเดินไปหาเย่โม่ และพูดด้วยความขอบคุณ “พี่เย่ ฉันขอบคุณจริงๆ สำหรับสิ่งนี้ ฉันรู้ว่ายาเม็ดนี้จะต้องมีค่ามากแน่ๆ ถ้าฉันได้ 30 อันดับแรก เงินรางวัล -“


 


เย่โม่โบกมือขัดทันที “ยานี่เป็นสิ่งที่ฉันสัญญาว่าจะให้เธอ เธอไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันทำดาบมาให้เธอ ลองดูสิ ใส่ชุดกันข้อมือนี้ด้วย มีดาบ 3 แบบที่ฉันทำตอนว่างๆ ดูสิว่าเธอจะคุ้นเคยกับมันก่อนการแข่งขันไหม ฉันช่วยเธอได้มากที่สุดก็แค่นี้แหละ คืนนี้ฉันจะออกไปข้างนอกนะ ถ้าเธอต้องการอะไรก็โทรหาฉันแล้วกัน”


 


เย่โม่เพิ่งมอบมันให้กับฮานหยัน เมื่อการแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก สัมผัสจิตวิญญาณของเขาสามารถสแกนได้ทุกที่ในโรงแรมนี้ และในขณะนั้นเขาเห็นว่าหวังซือเยวียกระอักเลือด และถูกตบอยู่ที่ชั้น 3


 


“เธอฝึกต่อไปนะ ฉันจะออกไปสักพัก” จากนั้นเย่โม่ก็รีบลงบันไดไป


 


ก่อนที่ฮานหยันจะตอบโต้ เย่โม่ก็หายไปแล้ว เธอมองดาบยาวในมือของเธออย่างระมัดระวัง เธอฟันโต๊ะอย่างเบามือแล้วมันก็กรีดที่มุมโต๊ะราวกับว่ามันเป็นเต้าหู้


 


ฮานหยันงงงวย ดาบอะไรน่ะ? ดาบนี่มีความสามารถสูงกว่าอาวุธใน Extreme WeaponsVault  ซะอีก


 



 


ในห้องขนาดใหญ่ของชั้น 5 หัวหน้าตระกูลเซีย เซียชรังเทียนนั่งอยู่ที่ที่นั่งด้วยใบหน้าสีเขียว เขาได้ยินรายงานที่พูดเกินจริงของเซียเชิง เขาและผู้อาวุโสเพียงไม่กี่คนเพิ่งกลับมาจากการประชุม พวกเขาออกไปข้างนอกอีกครั้งในคืนนั้น แต่บางอย่างก็เพิ่งเกิดขึ้น


 


เซียชรังเทียนตบโต๊ะน้ำชาเสียงดัง “มันกล้าดียังไง! สมาชิกนิกายกวงฮั่นและแมลงขั้นสีดำกล้ามายุ่งกับตระกูลเซียของเราเชียวเรอะ”


 


โต๊ะน้ำชาที่ทำจากไม้หนานที่แข็งแรงถูกทุบเป็นชิ้นๆ เพราะถูกแรงกระแทก เซียเชิงคุกเข่าลงที่พื้น แต่สายตาของเขาเย็นชา เขารู้ว่าผู้ชายที่ชือเย่ได้กลายเป็นเนื้อสัตว์ตายไปแล้ว ตอนนี้หัวหน้าตระกูลโกรธจัดอย่างมาห


 


“เซียเชิง แกทำให้ตระกูลเซียของเราขายหน้า เมื่อเรากลับมาแกจะเผชิญหน้ากับกำแพงเป็นเวลา 1 ปี” เซียชรังเทียนตำหนิ


 


ในขณะนั้น ผู้อาวุโสที่นั่งถัดจากเซียชรังเทียนก็แทรกเข้ามา “เซียเชิง แกพูดว่าชายหนุ่มอายุ 20 ปีและมีพลังขั้นตติยสีดำเรอะ?”


 


เซียเชิงตอบอย่างรวดเร็วว่า “ครับผู้อาวุโสพ๋าง ซือจร่งจือจากวิทยาลัยจิ่วหมิงบอกว่าชายคนนั้นอาจจะอยู่ในขั้นตติยสีดำครับ”


 


“ขั้นตติยสีดำปรมาจารย์ในอายุ 20? นามสกุลของเขาคือเย่?” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซียชรังเทียนก็พึมพำ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมากและเขาก็จ้องมองผู้อาวุโสคนอื่นๆ การแสดงออกของเขาไม่ดีเลย


 


“เย่โม่” เซียชรังเทียนและเซียพ๋าง พูดชื่อนี้ในเวลาเดียวกัน


 


หลังจากนั้นพวกเขาก็แน่ใจว่าชายหนุ่มคนนั้นคือเย่โม่ นอกเหนือจากเย่โม่แล้ว มันจะมีใครที่มีพลังเช่นนี้อีกละ แม้กระทั่งสมาชิกนิกายลี้ลับก็ไม่รู้ สิ่งสำคัญคือ ใครจะไปจะกล้าตบศิษย์นิกายอี้เจี้ยนอย่างทารุณแบบนั้นได้?


 


ด้านหลังของเซียชรังเทียนและเซียพ๋างสั่นสะท้าน แม้ว่าจะมีข่าวว่าเย่โม่จัดการนิกายเตี๋ยนชางจนพวกเขาจะต้องปิดผนึกนิกายของพวกเขาและไม่ได้ออกมา มีข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าจะเป็นของปลอม แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเย่โม่ได้ทำลายนิกายธารา และพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากปิดผนึกนิกายและซ่อนตัว


 


2 ใน 6 นิกายลี้ลับถูกบังคับให้ต้องปิดตัวลงโดยเย่โม่ และตอนนี้คนโง่จากตระกูลเซียไปขัดใจกับเขาเข้าแล้ว


 


ว่ากันว่าเย่โม่รักที่จะทำลายนิกาย ไม่ว่าตระกูลเซียจะแข็งแกร่งขนาดไหน พวกเขาก็ไม่แข็งแกร่งเท่ากับ 1 ใน 6 ที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้พวกเขารู้บางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ ลูกเขยของพวกเขา 1 ใน 3 ปรมาจารย์ของนิกายจอมยุทธ์ฮง ขั้นปฐพีระดับกลาง จรังเฟิงจื่อ ถูกสังหารโดยเย่โม่


 


หลังจากที่เย่โม่ฆ่าเขา เขาก็ช่วยให้โม่คังพาเซี่ยโร่วออกมา อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้นิกายจอมยุทธ์ฮงก็ไม่กล้าพูดอะไร พวกเขายังไปช่วยเย่โม่ประกาศและชดเชยให้กับความสูญเสียของเขาด้วย


 


แต่เหตุผลของการชดเชยนี้ไร้สาระ มันเป็นที่คนเหล่านี้ได้ไปที่เมืองอสรพิษและทำลายทรัพย์สินของเขา อย่างไรก็ตามเรื่องนี้คนส่วนใหญ่ที่ยังคงนำของบางสิ่งไปเพื่อขอโทษ ตระกูลเซียของเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


จากนี้สรุปได้ว่าเราจะได้เห็นการปกครองของเย่โม่ในนิกายลี้ลับ อาจกล่าวได้ว่าชื่อของเย่โม่เป็นข้อห้ามสำหรับนิกายลี้ลับ เซียชรังเทียนไม่รู้ทัศนคติของเย่โม่ต่ออีก 4 นิกายว่าคืออะไร แต่ตระกูลเซียของเขาไม่กล้ายุ่งกับเย่โม่แน่


 


พวกเขาต้องการที่จะให้เย่โม่ประทับใจ แต่มันก็เจ๊งเพราะคนโง่อย่างเซียเชิง หากเย่โม่โกรธขึ้นมา ตระกูลเซียจะเดือดร้อน


 


“ผู้นำตระกูล บางทีเราน่าจะสามารถติดต่อเซี่ยโร่วเและให้โม่คังขอความเมตตาจากเขาได้นะ” เซียชรังเทียนยินดีเสียสละเซียเชิงถ้าจำเป็น


 


“ผู้นำตระกูลครับ” เซียเชิงยังคงพูดออกมาในเวลาที่ผิดเช่นเคย


 


“ไสหัวไป ตระกูลเซียของเราจะถูกทำลายไม่ช้าก็เร็วก็เพราะขยะอย่างแกนี้แหละ” เซียพ๋างเตะเขาออกไป


 


เซียเชิงลอยขึ้นไปในอากาศขณะที่พ่นเลือด แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรเลย เขาเคยได้ยินถึงพลังของเย่โม่ แต่ไม่ได้ตระหนักว่าบุคคลที่เขาทำให้ไม่พอใจคือเย่โม่ ชีวิตเขาจบสิ้นแล้ว หัวใจของเซียเชิงจมลง เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่โชคร้ายเกินไป คนที่ไปยุ่งกลายเป็นเย่โม่


 


“รีบไปดูสิว่าเย่โม่ยังอยู่ในโรงแรมไหม ถ้าอยู่ช่วยรายงานให้ฉันรู้ทันทีเลยนะ” เซียชรังเทียนกล่าวอย่างเด็ดขาด เขาจำเป็นต้องได้รับการให้อภัยจากเย่โม่โดยเร็วที่สุด


 


“ผู้นำตระกูลครับ ผประมุขนิกายอี้เจี้ยน และผู้อาวุโสอยู่ที่นี่มาพบครับ” มีคนรายงาน


 


เซียชรังเทียนและเซียพ๋างรู้ทันทีว่าทำไมพวกเขาถึงมา พวกเขาต้องการให้ตระกูลเซียเข้าร่วมกับพวกเขาในการต่อสู้กับเย่โม่


 


เซียพ๋งเยาะเย้ย นิกายอี้เจี้ยนไม่ต้องการให้พวกเขาจัดการกับอีแค่จอมยุทธ์ขั้นสีดำเพียงอย่างเดียวหรอก พวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และถ้าเขามีภูมิหลังที่ดีแล้วพวกเขาก็สามารถลากตระกูลเซียลงมากับพวกเขาได้


 


“กรุณาเข้ามา” นิกายอี้เจี้ยนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเซีย เซียชรังเทียนเองก็ไม่ต้องการอยู่ฝ่ายที่ไม่ดีเช่นกัน


 


“น้องเซีย วันนี้ดูเครียดๆนะ” ชายร่างผอมเข้ามาก่อน เขาคำนับและยิ้มให้


 


เซียชรังเทียนเองก็แสดงความเคารพกลับไปเช่นกัน “ประมุขยวี ก็เช่นกัน”


 


ในไม่ช้าคนไม่กี่คนเหล่านี้ก็นั่งลง และคนของเซียชรังเทียนก็รีบกลับเข้ามาและพูดว่า “เย่โมเพิ่งไปที่ชั้น 3 ครับ เขาเข้าไปในห้องทำงานของบอสครับ”


 


เซียชรังเทียนลุกขึ้นทันทีที่ชายคนนี้พูดอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะจากไป เขาก็รีบพูดว่า “ประมุขยวี ฉันมีธุระกิจสำคัญมากที่จะต้องจัดการ ไว้พวกเราคุยกันทีหลังนะครับ”


 


เมื่อเห็นสิ่งนี้ ประมุขนิกายและผู้อาวุโสก็คิดว่ามันแปลกและหยาบคายเกินไป เป็นแค่ตระกูลเซียกลับกล้าที่จะทำแบบนั้น เขามาเยี่ยมพวกเขาเป็นการส่วนตัว แต่พวกเขากลับรีบออกไป แม้ว่าเขาจะได้เจอประมุขนิกายของนิกายใหญ่ทั้งหก เขาก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้


 


“ประมุข เขาพูดว่า ‘เย่โม่’ หรือเปล่า?” ผู้อาวุโสได้ยินสิ่งนี้และถามทันที


 


คนที่มอบความพ่ายแพ้ให้เฟิงหนานก็เป็นจอมยุทธ์ที่มีนามสกุลว่าเย่ พวกเขาเชื่อมโยงจุดต่างๆ ในทันทีและตระหนักว่าผู้ที่จัดการเฟิงหนานคือเย่โม่


 



 


เมื่อเย่โม่ไปถึงชั้น 3 หวังซือเยวียก็อยู่ที่มุมหนึ่งของห้องแล้ว บุคคลที่ตบเขาเป็นชายอายุ 30 ปี ขั้นตติยสีเหลือง


 


เย่โม่เห็นหวู่อิงเยวียนถัดจากชายคนนั้น เขารู้ว่าบุคคลนี้เป็นปรมาจารย์ที่เขาเคยได้ยิน แต่นายกเทศมนตรีหวู่ดูนับถือมาก เขาดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นว่าหวังซือเยวียถูกตบเลย


 


“คุณมันเจ้าเล่ห์มากนะบอสหวัง คุณกล้าให้ห้องพักกับไอ้ขยะนั่น ฉันคิดว่าคุณคงไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้วงั้นสินะ” ชายหนุ่มคนนี้สบถออกมา เขาคิดว่าหวังซือเยวียควรให้ห้องกับเขาในการเตือนไปครั้งแรก แต่หวังซือเยวียก็ไม่ได้ให้เขา และเขาสบประมาทเขา


 


“นายน้อยเป่ย ไอ้คนที่อยู่ห้องข้างบนคือเขานั้นไงครับ” หวู่อิงเยวียนเป็นคนแรกที่เห็นเย่โม่ที่ประตู


 


ชายหนุ่มจ้องเย่โม่อย่างเย็นชาและสาบานว่า “ไอ้โง่เอ้ย แกอยากจะตา-“


 


นายน้อยเป่ยพูดเพียงครึ่งประโยคแล้วหยุด สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวขึ้นมาทันที


 


“ซะ – ประมุขเซีย” เขาพูดพึมพำและคำนับกับชายชราที่เพิ่งเดินเข้ามา


บทที่ 466 : นี่คือสิ่งที่โลกเป็น


 


แต่ดูเหมือนว่าชายทั้งสองจะไม่เห็นเขาและเดินไปหาเย่โม่ ก่อนที่จะโค้งคำนับ “ผู้นำตระกูลเซีย เซียชรังเทียนพร้อมกับเซียพ๋าง ทักทายเชียนเปยเย่ครับ”


 


เย่โม่พยักหน้า เขาเห็นเซียชรังเทียนที่การประมูลในวัด เขาซื้อดอกหญ้าสีครามจากเขา แต่ในเวลานั้นเขาสู้เซียชรังเทียนไม่ได้ แต่ยังไงก็ตาม เวลาเปลี่ยนไปแล้ว และตอนนี้เขาเป็นคนที่เซียชรังเทียนต้องเคารพ


 


เย่โม่ไม่ได้คุยกับเซียชรังเทียนและมองนายน้อยเป่ยอย่างเยือกเย็น และเย้ยหยัน “ฉันอยากเห็นนักว่าแกจะทำให้ฉันตายได้ยังไง”


 


“ฉัน -” ในขณะนี้ นายน้อยเป่ยราวถูกแช่แข็ง ทำไมผู้นำตระกูลเซีย เซียชรังเทียนจึงให้ความเคารพแก่ชายหนุ่มคนนี้ หากเขารู้สิ่งนี้ เขาจะไม่กล้าทำอะไรเลย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร แต่เขาเข้าใจว่าเขาเตะอิฐแข็งเข้าให้แล้วในครั้งนี้


 


ร่างของหวู่อิงเยวียนเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เขามีประสบการณ์มากกว่านายน้อยเป่ยมาก แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าเพื่อนคนหนึ่งของหวังซือเยวียจะรู้จักผู้ที่มีอำนาจแบบนี้


 


“ยวี๋เทาแห่งนิกายอี้เจี้ยน ทักทายเชียนเปยเย่ครับ ศิษย์ของนิกายของฉันทำการไม่สุภาพต่อเชียนเปย ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่เพื่อขอการให้อภัยจากเชียนเปย” ก่อนที่นายน้อยเป่ยจะพูดอะไร ก็มีชายชราอีกคนวิ่งเข้ามา


 


ประมุขนิกายอีกคนหนึ่งมาพบชายหนุ่มผู้นี้ด้วยความเคารพเช่นนั้นเรอะ? นายน้อยเป่ยไม่สามารถอดทนต่อหวาดกลัวในหัวใจของเขาได้อีกต่อไป เขากำลังจะจบสิ้น พระเจ้าเขาทำพลาด! เขารู้สึกว่าขาเขามันสั่นระริก และในเวลาเดียวกัน เขาเกลียดหวู่อิงเยวียนมากจนเขาอยากกิน!


 


“แกเป็นสมาชิกของนิกายพิ๋งเจี้ยนใช่ไหม?” เซียชรังเทียนได้ยินคำพูดของเย่โม่และหันไปหานายน้อยเป่ยผู้ถูกถาม เขารู้ว่าถ้าตระกูลเซียทำงานไม่เร็วพอ โอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองก็จะถูกเอาไปโดยยวี๋เทา


 


นายน้อยเป่ยตัวสั่นและพูดติดอ่าง “คะครับ เชียนเปยเซีย นี่มันไม่ใช่นะครับ ผม – หวู่อิงเยวียนบอกว่าบอสหวังมีที่ให้ผมพัก แต่ไม่ให้ผม ผมเลยมาหาบอสหวัง -“


 


ก่อนที่เขาจะอธิบายเสร็จ เขาก็รู้สึกว่าถูกเตะที่หน้าอก ขณะที่เขาถูกส่งออกมาจากห้อง เขากระอักเลือดกลางอากาศและทรุดตัวลงบนพื้น


 


เย่โม่ใช้สัมผัสจิตวิญญาณของเขาและรู้ว่าจุดตันเทียนของผู้ชายนั้นแตกแล้ว


 


“นิกายพิ๋งเจี้ยนของแก เลี๋ยงชีเซริงและฮัวชวีมิ๋ง อย่ามากล้าแม้แต่จะดูถูกเชียนเปยเย่เชียวนะ! แกกล้ามากนักนะ ใช่ไหม?” เซียพ๋างกล่าว


 


เย่โม่มองที่เซียพ๋างอย่างเย็นชา แต่ไม่พูดอะไรเลย เขารู้สึกเหมือนฮัวชวีมิ๋งเป็นชื่อที่คุ้นเคย แม้ว่าในไม่ช้าเขาจะจำคนๆ นั้นได้ เมื่อเขาไปกับลั่วเซวียนเพื่อรับพระสูตรหนี่ลัว สิ่งที่เขาเห็นตอนนั้นคือฮัวชวีมิ๋ง เขาแปลกใจที่พบว่าเขามาจากนิกายลี้ลับ


 


ในขณะนี้ ยวี๋เทาก็เข้าใจสถานการณ์นี้ เขาเดินไปที่หวู่อิงเยวียนและตบหน้าเขา


 


เมื่อยวี๋เทากำลังจะโจมตีเขาต่อ ผู้อาวุโสตรงหน้าเขาก็พูดว่า “ประมุขครับ บุคคลนี้เป็นรองนายกเทศมนตรีเมืองกุยเฉิงนะครับ”


 


หวู่อิงเยวียนรู้สึกว่าถูกทารุณกรรม แต่เขารู้ว่าไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้ เขาเสียใจกับการกระทำของเขาอย่างมาก


 


“ฮ่าฮ่า งั้นนายก็เป็นนายกเทศมนตรีงั้นสิ! แต่คนอย่างนายมาเป็นนายกเทศมนตรีได้ยังไงนะ? ศิษย์พี่หยาน คุณจัดการกับเรื่องนี้ ฉันไม่คิดว่าเขาควรจะเป็นนายกเทศมนตรีนะ” ยวี๋เทาหยุดทำร้ายเขา มันยังมีกฎที่เขาต้องทำตามอยู่


 


“รวมทั้งตระกูลเซีย เซียพ๋าง คุณและศิษย์พี่หยานจะจัดการเรื่องนี้ด้วยกัน” เซียชรังเทียนไม่อยากตกหล่นอะไร


 


หวู่อิงเยวียนงงงวย เขาไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเสียตำแหน่งในที่สุด เขาเข้าใจถึงพลังของนิกายลี้ลับพวกนี้อย่างดี มันไม่ใช่เรื่องตลกหากพวกเขาบอกว่าเขาจะไม่ได้เป็นนายกเทศมนตรีอีกต่อไป


 


“เชียนเปยเย่ ฉันมันตาบอดเอง ได้โปรดเมตตาฉันด้วย…” หวู่อิงเยวียนรู้ว่าเขาต้องขอร้องเย่โม่สำหรับความเมตตา


 


เย่โม่มองอย่างเย็นชาที่หวู่อิงเยวียนและพูดว่า “ไสหัวไปซะตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าแกยังอยู่ที่นี่อีก แกจะไม่ได้รับโอกาสไปไหนอีกเลย”


 


หวู่อิงเยวียนนรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่การคุกคาม แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเย่โม่เป็นใคร แต่เขาก็ต้องเป็นคนสำคัญ การสูญเสียงานของเขาย่อมดีกว่าการสูญเสียชีวิต เมื่อคิดอย่างนี้เขาก็ไม่กล้าพูดอีกและวิ่งออกไป เขาต้องการการสนับสนุนก่อน และดูจะว่ามีโอกาสกลับมาหลังจากนี้หรือไม่


 


เมื่อหวังซือเยวียลุกขึ้น เขาก็สับสน เขารู้ว่าเย่โม่เป็นปรมาจารย์ผู้ลึกลับ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมีอิทธิพลขนาดนี้ แม้แต่ไททันโรงไฟฟ้าที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ยังต้องถูกเขาจัดการ


 


เย่โม่มองเมื่อหวังซือเยวียลุกขึ้น และรู้ว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน เขามองไปที่ข้อมือว่างเปล่าแล้วถามอย่างเงียบๆ ว่า “ตาแก่หวัง กำไลที่ฉันให้อยู่ไหน?”


 


หวังซือเยวียพูดอย่างน่าละอาย “ฉันทดสอบมันและสร้อยข้อมือนั้นมีพลังป้องกันค่อนข้างมากนะ ดังนั้นฉันก็เลยให้ลูกชายของฉัน ฉันไม่ได้คิดว่าหวู่อิงเยวียนจะทำแบบนี้ เขาเป็นนายกเทศมนตรี แต่เขาก็พาคนมาจัดการฉันซะงั้น”


 


เย่โม่ไม่สามารถตำหนิเขาได้ เขาสามารถพูดได้แค่ว่า “ถ้าฉันมีเวลา ฉันจะทำให้นายอีกอันนะ ฉันไม่มีแล้วอะ”


 


“เชียนเปยเย่ครับ…” ยวี๋เทาเห็นว่าในที่สุดเย่โม่ก็หันหลังกลับมา และพูดอย่างงุ่มง่าม


 


เย่โม่พยักหน้า เขารู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังประจบเขาอยู่ แต่ในโลกของพวกเขา ใครก็ตามที่แข็งแกร่งกว่าคือเจ้านาย


 


ตระกูลเซียมาเพราะเซียเชิง และยวี๋เท่ามาที่นี่เพราะเฟิงหนาน เขาตบหน้าคนของพวกเขา แต่พวกเขายังคงประจบเขาเพียงเพราะเขาแข็งแกร่งกว่า ไม่มีอะไรที่จะต้องมากตัญญูเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากเขาไม่มีพลังอย่างในปัจจุบัน สิ่งที่รอเขาอยู่คือโลงศพ


 


“ยวี๋เทามาที่นี่เพื่อขอการให้อภัยครับ ศิษย์ของฉันทำให้เชียนเปยต้องโกรธ มันเป็นความผิดของฉัน -” ยวี๋เทาเห็นว่าเย่โม่ยินดีที่จะพูดคุยกับเขาอย่างใจเย็นและรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะพูดเสร็จ เย่โม่ก็หยุดเขา


 


เย่โม่มองที่ยวี๋เทาและเซียชรังเทียน และพูดอย่างชัดแจ้งว่า “ฉันเข้าใจความตั้งใจของคุณที่มาที่นี่ และตอนนี้ก็จบแล้ว หวังซือเยวียเป็นเพื่อนของฉัน ดังนั้นฉันหวังว่าคนของคุณจะไม่สร้างปัญหาระหว่างการเข้าพักนะ”


 


“ครับ มั่นใจได้เลยครับเชียนเปยเย่ เราจะควบคุมศิษย์ของนิกายเราและทำให้บอสหวังมีความสุขครับ” ยวี๋เทากล่าวทันทีและในที่สุดก็รู้สึกมั่นใจ สำหรับเขาแล้วมันเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เย่โม่จบเรื่องในตอนนี้ เขาเคยได้ยินเรื่องการสังหารของเย่โม่มากเกินไป


 


หวังซือเยวียงงงวย เป็นเพราะเขาทำให้เพื่อนอย่างเย่โม่ว่าไททันเหล่านี้ต้องจัดการศิษย์ของพวกเขาเพื่อทำให้เขามีความสุข ซึ่งในอดีต โรงแรมของเขาเคยเป็นโรงแรมที่ต่ำที่สุดในโรงแรมย่านนี้


 


ดูเหมือนว่าการสร้างห้องชุดสำหรับเย่โม่ที่นี่ เปลี่ยนเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา เป็นเพราะการกระทำของเขาที่ทำให้เขาได้รับมิตรภาพของเย่โม่ และได้รับความเคารพจากไททันเหล่านี้


 


“เชียนเปยเย่ นี่คือบัตรหยกสำหรับการเข้าร่วมการชุมนุมในคืนนี้ครับ หากเชียนเปยเย่มีเวลา คุณสามารถมาได้เลยนะครับ สถานที่นี้เป็นวังของกษัตริย์ชิงกวงในเมืองผีครับ” เซียชรังเทียนรู้ว่านี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการประจบเย่โม่ และหยิบการ์ดของเขาออกมาโดยไม่ลังเล เพราะเขามี 3 ใบ


 


“โอ้ ขอบคุณครับ ผู้นำเซีย” เย่โม่รับบัตรมา ยังไงซะเขาก็วางแผนที่จะไปตรวจสอบมันตอนกลางคืนอยู่แล้ว


บทที่ 467: การประชุมของนิกายลี้ลับ


 


ยวี๋เทาเห็นว่าเย่โม่ยอมรับบัตรหยก และรู้สึกเสียใจที่ไม่ให้เขา ทำไมเขาไม่คิดแบบนั้นว่ะ? เขาจึงส่งให้กับเย่โม่อันหนึ่ง และพูดว่า “ฉันเองก็มี ถ้าเชียนเปยเย่ต้องการไปที่ไหนสักแห่ง คุณสามารถใช้มันได้เลยนะครับ”


 


เย่โม่นึกถึงฮานหยัน มันจะเป็นการดีถ้าพาเธอไปกับเขาด้วย นอกจากนี้หากเขาไม่รับบัตรมา ยวี๋เทาจะกังวลว่าเขาจะไม่ให้อภัยเขา เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นเย่โม่จึงรับมันมา


 


เมื่อเห็นเย่โม่ก็หยิบการ์ดเซี่ยชางเทียนและหยูเทารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะจากไป


 


เย่โม่กลับไปตามหาหาฮานหยัน เขาจะให้เธอไปกับเขา แต่เธอบอกว่าเธอต้องการที่จะฝึก 3 ท่าใหม่ เย่โม่คิดเกี่ยวกับมันและตกลง ทัวร์นาเมนต์ไม่มีอะไรสำหรับเขา แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฮานหยัน ยิ่งกว่านั้นถ้าเธอไปประชุม เธอจะไม่ซื้ออะไรเลย


 


ห้องสวีทกว้างขวางมาก เย่โม่ให้ฮานหยันพอยน์เตอร์ 2-3 ตัวและไปที่การประชุมเอง


 


นับตั้งแต่ที่เข้าร่วมการประมูลนั้น เย่โม่ไม่เคยประเมินความมั่งคั่งของนิกายลี้ลับอีกเลย พวกเขายังมีดอกหญ้าสีคราม ใครจะสามารถบอกได้ว่าละเขาจะไม่พบสิ่งที่เขาต้องการที่นั่น


 


ดอกหญ้าสีครามนั้นทรงพลังที่สุด แต่จะไม่เบ่งบานสำหรับรุ่นที่ 2 ถ้ามันถูกปลูก สิ่งที่เย่โม่ซื้อมานั้นเป็นสิ่งที่เติบโตขึ้นมาอย่างแท้จริง เย่โม่ต้องการรอจนกว่าจะครบกำหนดปรุงยาตั้งรากฐาน


 


การฝึกตนของเขามันใกล้แล้ว หากปราศจากความช่วยเหลือจากภายนอก มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะพัฒนาในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากแบบนี้ หญ้าหัวใจสีเงินนั้นมีประโยชน์สำหรับขั้นรวมลมปราณระดับต้น แต่ตอนนี้เขาอยู่ระดับกลาง การใช้มันมีจำกัดมาก นอกจากนี้เขาเหลือหญ้าหัวใจสีเงินเพียงอันเดียว หัวใจเถาวัลย์สีม่วงก็มีประโยชน์บางอย่าง แต่มันเป็นเพียงดอกเท่านั้น


 


แม้ว่ายาเพิ่มลมปราณจะมีประโยชน์กับเขา แต่ก็ไม่เพียงพอ ถ้าเขาใช้ทั้งหมด มากที่สุดเขาจะไปถึงระดับกลางของรวมลมปราณขั้น 4 ดังนั้นเขาอาจใช้มันเพื่อเพิ่มพลังให้กับคนของเขา ยานี้ในการกินครั้งแรกมันจะส่งผลที่ใหญ่ที่สุด ต่อมาผลของมันจะอ่อนแอลง


 


ดังนั้นเย่โม่จึงมีความคาดหวังบางอย่างสำหรับการประชุมของนิกายลี้ลับ


 


เย่โม่ได้กินอาหารมานิดหน่อย และมาถึงการประชุมก่อนที่จะมันเริ่ม เย่โม่เข้าไปในวัง ซึ่งเก่าและมีกลิ่นธูปหอมทุกที่ มีรูปปั้นพระพุทธรูปขนาดเล็กจำนวนมากและในห้องด้านหลังมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีป้ายอยู่ที่ประตู ซึ่งเขียนว่า “การประชุมเหล่าจอมยุทธ์” สิ่งที่เย่โม่ประหลาดใจคือการประชุมเพิ่งเริ่มขึ้น แต่ห้องโถงก็เต็มไปด้วยผู้คน


 


เย่โม่เดินไปที่ประตูและพนักงานเสิร์ฟก็เข้ามาหาเขา เธอดูบัตรหยกของเย่โม่และพาเขาเข้าไปในห้องโถง เย่โม่เห็นสาวบางคนประหลาดใจราวกับว่าเธอรู้สึกว่าเย่โม่ยังเด็กเกินไป แต่ไม่มีใครบอกได้เลยจากการแสดงออกของเธอ


 


มันมักจะเป็นประมุขนิกายและคนที่มีอำนาจที่มา นอกจากศิษย์หลักที่พวกเขาพาด้วยเพื่อขยายขอบเขตแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ก็มีอายุมากกว่า 40 ปี


 


ในเวลาเดียวกัน เย่โม่ก็เข้ามา ทุกสายตาจับจ้องอยู่กับเขา เย่โม่ยังเด็กมาก แต่เขาสามารถมาการประชุมได้ หลายคนจึงครุ่นคิดถึงตัวตนของเขา


 


แม้ว่าจะไม่มีใครเห็นเย่โม่มาก่อน แต่บางคนก็ยังจำเขาได้ พวกเขาเคยเห็นรูปของเย่โม่มาก่อน


 


คนกลุ่มเล็กๆ ที่จำเย่โม่ได้ พยักหน้าให้เขา แม้ว่าบางคนต้องการที่จะยืนขึ้นและพูดคุยกับเย่โม่ พวกเขาทั้งหมดก็มาจากนิกายลี้ลับและต้องการที่จะรักษาหน้า หากพวกเขาเคารพเย่โม่มากเกินไป นิกายอื่นๆ อาจดูถูกพวกเขา ท้ายที่สุดแล้วเย่โม่ก็ยังเด็กเกินไป ที่สำคัญกว่านั้นนิกายใหญ่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย


 


คนเหล่านี้แตกต่างจากเซียชรังเทียนและยวี๋เทา พวกเขามาเจอกับเขาเป็นการส่วนตัวและยังคงเลือกที่จะรุกรานเย่โม่


 


เย่โม่ไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะภูมิใจ เขาจะไม่ใช้พลังของเขาในการละเมิดพวกเขา เว้นแต่พวกเขาจะมายุ่งกับเขาเอง


 


“อาจารย์ครับ ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนสั่งสอนศิษย์ของนิกายอี้เจี้ยน และตระกูลเซียพวกเขาบอกว่านามสกุลของเขาคือเย่ ผมไม่แน่ใจว่าเขาคือ เย่โม่ในตำนาน รึเปล่า” ชายหนุ่มในวัย 20 ปีกระซิบกับชายชราข้างๆ


 


ชายชราพยักหน้า “มันจะต้องใช่จริงๆแน่ ลมปราณภายในของเขาถูกเก็บรวบรวม เขาอาจเป็นเย่โม่ ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่กลัวเขา แต่นายก็ไม่ควรไปยุ่งกับคนที่มีพลังอำนาจมากเกินไป”


 


“ศิษย์พี่ ฉันเคยได้ยินเรื่องเย่โม่มา บางคนถึงกับถ่ายรูปเพื่อจดจำเขา แต่คนโง่ที่หยิ่งแบบนี้ก็กล้าข่มขู่พวกอ่อนแออย่าง นิกายอี้เจี้ยน หรือตระกูลเซียนั้นแหละ ถ้าเขากล้าท้าทายวิทยาลัยจิ่วหมิงละก็ เขาจะได้พบว่ามีใครบางคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาเสมอ” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความเหยียดหยาม


 


“ศิษย์น้องเจริง เย่โม่นั้นแตกต่าง นิกายธารานะเป็นตัวอย่างที่ดีเลย ถ้าเขาสามารถฆ่าขั้นปฐพีของพวกนั้นได้ นั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดเขาก็เป็นขั้นปฐพี การเข้าถึงขั้นปฐพีในอายุเท่านี้ดูเหมือนอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ เราควรพยายามไม่แตะต้องเขา” ชายชราขมวดคิ้วและพูด


 


ชายวัยกลางคนคนนี้ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ แต่พูดอย่างเงียบๆ ว่า “ศิษย์พี่พูดถูก แม้เขาจะพูดว่านิกายธารา เป็น 1 ใน 6 นิกายใหญ่ ฉันก็ไม่คิดว่าพวกเขาสมควรได้รับตำแหน่งนี้เลย ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับ 3 อันดับแรกด้วยซ้ำ แม้ว่าฉันจะสามารถฆ่าพวกเขาได้ง่ายๆก็เถอะ”


 


ชายชราส่ายหัวและไม่พูดอะไรเลย หญิงวัยกลางคนถัดจากเขากล่าวว่า “ศิษย์พี่เจริง เพียงฟังประมุขนิกายของเรา”


 


“ใช่แล้วละ ศิษย์น้อง” คราวนี้ ศิษย์พี่เจริงไม่ได้ตำหนิอะไร


 


เย่โม่สแกนและไม่พบผู้คนจากนิกายซิเรน ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกเขาจะไม่มา


 


ดูเหมือนชื่อของเย่โม่จะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีในหมู่นิกายลี้ลับ หลังจากที่เขานั่งลง ที่นั่งถัดจากเขาก็ยังว่างอยู่ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครกล้านั่งข้างเขา


 


เย่โม่ยิ้ม เขาไม่สนใจหรอก นอกเหนือจากความสัมพันธ์บางอย่างจากความสนใจ เขาไม่มีเพื่อนในนิกายลี้ลับ และไม่ต้องการพวกเขา คนของนิกายลี้ลับส่วนใหญ่ดูถูกคนนอก แล้วพวกเขาก็รู้สึกดี


 


นอกเหนือจากนิกายวารีซานลิ่ว ซึ่งอยู่ในอันดับที่ค่อนข้างต่ำใน 6 นิกายใหญ่ อีก 3 นิกายใหญ่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นมิตรกับเย่โม่ และเนื่องจากสิ่งนี้มันจึงทำให้คนอื่นไม่กล้าแสดงความปรารถนาดีต่อเย่โม่


 


แต่ทุกคนไม่สนใจสิ่งที่นิกายใหญ่คิด ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยคนหนึ่งเดินไปที่เย่โม่ นั่งลงข้างๆ เขาแล้วถามว่า “ไงเพื่อน นายเย่โม่ใช่ไหม? นายได้ทำลายล้างนิกายธาราจริงรึเปล่า?”


 


เย่โม่ยิ้ม “จริงแท้แน่นอน ฉันเย่โม่ แต่ฉันไม่ได้ทำลายนิกายธารา ฉันแค่จัดการแมลงวัน 2-3 ตัวที่บินหึ่งอยู่ในปักกิ่ง”


 


“เยี่ยมมากเลย! น้องเย่มีความกล้ามากจริง ฉันขอแนะนำตัวนะ ฉันกูหยังเฮอ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อการแข่งขันหรอก ฉันมาที่นี่เพื่อการประชุมอันนี่นะ” ชายคนนั้นกล่าว


 


เย่โม่มองกูหยังเฮอ เขาอยู่ขั้นปฐพีระดับกลาง เขาพยักหน้าและไม่พูดอะไรเลย


 


ในช่วงเวลานี้ ชายชรายืนขึ้น เขาจ้องมองที่กูหยังเฮอโดยไม่ตั้งใจและพูดว่า “สหายทั้งหลาย โดยปกติเรามักกระจายไปทั่วแผ่นดินและมันยากสำหรับเราที่จะมีโอกาสรวมตัวกัน จอมยุทธ์กำลังลดลงในทุกวันนี้เพราะทรัพยากรมีน้อย แหล่งข้อมูลและมารับสิ่งที่ทุกคนต้องการกันเถอะ”


 


“ในโอกาสการแข่งขันครั้งนี้ ทุกๆ 5 ปี เรา0tสามารถรวมตัวกันได้ ฉันหวังว่าทุกคนจะได้รับสิ่งที่ต้องการจากการประชุมครั้งนี้ ในฐานะ 1 ในผู้ก่อตั้ง ฉันต้องรับผิดชอบต่อความยุติธรรมของการประชุมครั้งนี้ ถ้าคุณไม่เคารพกฎ อย่าโทษฉัน เซียงหมิงหวังแล้วกัน”


 


จากนั้นชายชราก็มองไปที่เย่โม่โดยเฉพาะราวกับว่าเย่โม่เป็นผู้ก่อการจลาจล


 


เย่โม่แสยะยิ้ม เขาไม่สนใจคำพูดของชายชราคนนั้นสักนิด ตราบใดที่เขาไม่ได้ยุ่งกับเขา มันก็ดี แม้ว่าชายชราจะอยู่ขั้นปฐพีระดับสูงสุด หรือแม้กระทั่งครึ่งก้าวสู่ขั้นนภาสวรรค์ เย่โม่ก็ไม่สนใจ


บทที่ 468 : 6 นิกายลี้ลับภายนอก


วิทยาลัยจิ่วหมิง เปลี่ยนเป็น สถาบันจิงหมิง


 


“เราสนับสนุนเชียนเปยเซียงจากถ้ำน้ำเต้า หากมีสิ่งใดที่คุณต้องการ เพียงบอกเรามาได้เลย” มีคนออกมาสนับสนุนชายชราคนนี้ทันที


 


“ใช่ ด้วยเชียนเปยเซียง เชียนเปยเฟิงและเชียนเปยหวัง ที่อยู่ที่นี่ ใครจะกล้าท้าทายกฎนี้?”


 


“แน่นอน เรามาที่นี่เพราะเชียนเปยทั้งสาม การประมูลที่วัดครั้งล่าสุดนั้นก็ดีนะ แต่มันวุ่นวายมาก”


 


“ศิษย์พี่เหลียงพูดถูก ฉันไปประมูลนั้นเมื่อครั้งล่าสุด ฉันได้ยินว่าคนที่ซื้อดาบไท่อี้ และผู้ฝึกตนขั้นปฐพีถูกฆ่าตายทั้งหมด โอ้ คนที่ซื้อแครอทหลิวสีครามก็ตายด้วย”


 



 


เมื่อเห็นการสนทนาด้านล่าง ชายชราชื่อเซียงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “การประชุมนี้ถูกจัดขึ้นโดยฉัน สหายเฟิงจากสถาบันจิงหมิงและสหายหวังจากภูเขาหนาน เราหวังว่าทุกคนจะพบว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่า ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่เสียเวลาอีกต่อไป การประชุมเริ่มขึ้นแล้ว ผู้ที่ต้องการแลกเปลี่ยนยกโปรดการ์ดหยกของคุณขึ้น และพูดในสิ่งที่คุณจะซื้อขาย และสิ่งที่คุณต้องการ”


 


จากนั้นชายชราก็นั่งลง ขณะที่เขามองเย่โม่อีกครั้งราวกับว่าเขาสามารถทำสิ่งที่ไม่ดีได้ตลอดเวลา


 


กูหยังเฮอกระซิบกับเย่โม่ และกล่าวว่า “น้องเย่ ชายหนวดยาวนี้ชื่อว่า เซียงหมิงหวัง และเป็นรองประมุขของสำนักถ้ำน้ำเต้า เขาอยู่ครึ่งก้าวสู่ขั้นนภาสวรรค์ เขาแข็งแกร่งมาก ถ้ำน้ำเต้าอยู่อันดับ 1 ในบรรดานิกายใหญ่ทั้ง 6 และอยู่ไกลจากที่นิกายธาราจะสามารถเปรียบได้ กล่าวกันว่าเขาสามารถทำลายนิกายธาราทั้งหมดด้วยตัวเองได้ ชายชราคนนี้อาจดูเป็นมิตร แต่เขาเป็นคนที่ก้าวร้าวมากที่สุด ประเภทที่จะฆ่าในความขัดแย้งน้อยที่สุด”


 


ราวกับว่าตาของเซียงหมิงหวังมองดูเขาอย่างรวดเร็ว กูหยังเฮอสตั้นทันที


 


“เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งเหรอ? งั้นประมุขนิกายของถ้ำน้ำเต้าจะไม่แข็งแกร่งกว่านี้อีกหรอ?” เย่โม่พึมพำอย่างไม่รู้ตัว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่านิกายธารามีขั้นปฐพีกี่คน เซียงหมิงหวังก็สามารถทำลายนิกายธาราได้ด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเขาเกินความคาดหมายของเย่โม่


 


นิกายธารามีความคล้ายคลึงกับนิกายเตี๋ยนชางที่มีพลังอำนาจ แม้ว่าเย่โม่จะทำลายนิกายเตี๋ยนชาง ในทางปฏิบัติแล้ว แต่เขาก็เกือบจะเสียชีวิตไปแล้วด้วยค่ายกลเจ็ดสังหารเตี๋ยนชาง และถูกบังคับให้ออกจากที่นั่นพระโดยอูเต๋า ถ้าเซียงหมิงหวังคนนี้มีความสามารถจริงๆ เขาจะกับเสมอกับเขาหรือแม้แต่พระอูเต๋าหรอ?


 


กูหยังเฮอพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอน แต่มันก็บอกว่าประมุขนิกายได้ฝึกตนโดดเดี่ยวมานานกว่า 10 ปีเพื่อที่พยายามจะไปถึงขั้นนภาสวรรค์ แต่เราไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า เพราะงั้นตอนนี้เซียงหมิงหวังเลยมีสถานะสูงที่สุดของถ้ำน้ำเต้า”


 


“แล้วสถาบันจิงหมิงล่ะ?” เย่โม่ถามอย่างไม่รู้ตัว เขากำลังคิดว่าถ้าประมุขนิกายของสถาบันจิงหมิง แข็งแกร่งเท่ากับเซียงหมิงหวัง เขาก็จะเดือดร้อนถ้าพวกเขาจะร่วมมือกัน


 


กูหยังเฮอพูดด้วยเสียงที่เงียบลงกว่าเดิม “นอกเหนือจากนิกายเตี๋ยนชางและนิกายธาราที่ปิดผนึกนิกายแล้ว อีก 4 นิกายใหญ่ทั้งหมดที่มาที่นี่แข็งแกร่งที่สุดคือถ้ำน้ำเต้า และสถาบันจิงหมิงที่แข็งแกร่งที่สุดเหตุผลที่สถาบันจิงหมิงเป็นอันดับ 2 ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับถ้ำน้ำเต้า ในแง่ของพลังแล้ว สถาบันจิงหมิงควรแข็งแกร่งกว่าถ้ำน้ำเต้า แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ค่อยต่อสู้ ชื่อเสียงของพวกเขาจึงไม่ดีเท่าถ้ำน้ำเต้า”


 


เย่โม่พยักหน้า สถาบันจิงหมิงแห่งนี้ไม่ใช่ที่ๆ เรียบง่ายเลย


 


กูหยังเฮอกล่าวต่อว่า “ผู้ที่แข็งแกร่งอันดับ 3 คือตระกูลหวังแห่งภูเขาหนาน เวลานี้ผู้นำตระกูลของพวกเขา หวังเลิ๋นชรันก็มาด้วยเช่นกัน เขาบอกว่าเขาต่อสู้กับเซียงหมิงหวังครั้งหนึ่ง พวกเขาควรจะต่อสู้กันทั้งวันก่อนที่เขาจะแพ้โดยการเคลื่อนไหวครึ่งเดียว พวกเขามีธุรกิจในโลกภายนอก แต่ศิษย์ขอพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมในการทำธุรกิจ ดังนั้นตระกูลหวังจึงไม่ได้มีชื่อเสียงมากในโลกภายนอก อันดับ 4 ที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นนิกายเตี๋ยนชาง ด้วยประมุขนิกายของพวกเขา เปียนซีไฮ่ มีพูดกันว่าเขาอยู่ขั้นตติยปฐพีแล้วด้วย”


 


ในขณะนี้ ชายร่างใหญ่และชายป่าเถื่อนเอากล่องไม้ออกมาและพูดว่า “ในเมื่อไม่มีใครเริ่ม ฉันเจิงเจิงเซียจะจัดการประชุมครั้งนี้เอง นี่คือแก่นแท้สีเหลืองเก่าแก่อายุ 300 ปี ซึ่งสามารถใช้เพื่อสร้างแก่นแท้ของยาได้ ฉันต้องการแลกเป็นอาวุธวิเศษหรือแร่หายาก”


 


เย่โม่ถูกดึงดูดโดยสิ่งนี้ สถานที่นี้มีของดีแน่นอน! เพียงแค่มองที่แก่นแท้สีเหลืองนี้ ก็สามารถเห็นวงกลมที่สลับซับซ้อนบนมันได้ ซึ่งหมายความว่ามันจะต้องมีอายุอย่างน้อยหลายร้อยปี


 


แก่นแท้สีเหลืองที่อายุน้อยกว่า 100 ปีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ไร้ประโยชน์กับจอมยุทธ์ ยาแก่นแท้ลมปราณ ยังไงซะ มันก็สามารถกู้คืนลมปราณภายในได้อย่างรวดเร็วและยังทำให้ชำระล้างลมปราณภายใน ข้อเสียของมันคือมันไม่สามารถพัฒนาพลังได้


 


ทันทีที่เจิงเจิงเซียพูดสิ่งนี้ ใครบางคนก็พูดทันทีว่า “ประมุขเจิง ไม่ต้ิงพูดถึงยาแก่นแท้ลมปราณเลย ฉันไม่เคยได้ยินใครที่สามารถทำยาแก่นแท้ลมปราณได้ ฉันมีหยกสีดำเกรดดีอยู่นี่ ถ้าประมุขนิกายเจิงยินดีเราสามารถแลกเปลี่ยนได้นะ”


 


เย่โม่ส่ายหัว ถ้ามันเป็นหยกสีดำที่มีคุณภาพสูง มันอาจจะไม่คุ้มค่ากับแก่นแท้สีเหลือง 300 ปีนี้ แต่หยกสีดำระดับสูงนั้นด้อยกว่ามาก


 


กูหยังเฮอกล่าวว่า “เจิงเจิงเซียคนนี้เป็นประมุขนิกายวารีซานลิ่ว พวกเขาอยู่ในอันดับที่ 5 ของนิกายลี้ลับ ประมุขนิกายเจิงยังอยู่ในขั้นตติยปฐพี แต่เขาเป็นคนที่กล้าหาญมาก”


 


เย่โม่ไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นคนอย่างไร แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่พวกไม่ดี เมื่อเขาเข้ามาเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าเจิงเจิงเซียจะรู้ว่าเขาคือเย่โม่ เขาก็ไม่ได้เกลียดเขาเพราะเขาฆ่าสมาชิกของนิกายธารา เขาพยักหน้าให้เขาจากระยะไกล


 


เจิงเจิงเซียรู้ว่าหยกสีดำคุณภาพสูงนั้นไม่มีค่าเท่ากับแก่นแท้สีเหลืองของเขา และเขาส่ายหัวสำหรับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้


 


ทุกคนรู้ว่าชายคนนั้นคิดถูกเกี่ยวกับยาแก่นแท้ลมปราณ ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการแลกกับแก่นแท้สีเหลืองของเจิงเจิงเซียอีกต่อไป เมื่อเห็นอย่างนี้เจิงเจิงเซียจึงปิดกล่องไม้ด้วยความผิดหวัง


 


เจิงเจิงเซียกำลังจะเก็บกล่องของเขา แล้วทันใดนั้นเย่โม่ก็พูดว่า “ฉันจะเอาแก่นแท้สีเหลืองแลกกับกริชเล่มนี้ พี่เจิง คุณชอบมันรึเปล่า?”


 


จากนั้น เย่โม่ก็ขว้างกริชที่เขาสร้างขึ้นมา ราวกับว่ามีคนแบกมันขึ้นไปในอากาศและลอยอยู่หน้าเจิงเจิงเซีย


 


การชุมนุมเงียบไป 2-3 วินาที วิธีที่เย่โม่โยนกริซเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถทำให้สำเร็จ


 


“จัดการกับวัตถุที่มีลมปราณภายในหรอ? ไม่มีอะไรที่จะแสดงออกมาเกี่ยวกับมันเลย ฉันยังทำได้ดีกว่าอีก” จอมยุทธ์เจิงจากสถาบันจิงหมิงงแสดงความคิดเห็นเมื่อเขาเห็นผู้คนรอบๆ ชื่นชมพลังของเย่โม่


 


เฟิงหวู่ยิ้ม “ศิษย์น้องเจิว นี่ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายด้วยลมปราณภายในหรอก นี่เป็นเพียงแค่การโยนแบบสบายๆ เท่านั้นแหละ แต่พลังถูกควบคุมอย่างแม่นยำมาก แม้แต่คนปกติก็สามารถทำได้ หากควบคุมพลังได้ดีอะนะ”


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้ ทุกคนก็เข้าใจอย่างฉับพลัน


 


“ดูเหมือนว่าฉันประเมินผู้ชายคนนั้นมากเกินไป” เจริงเชาเยาะเย้ย


 


เย่โม่สแกนผู้คนและแสยะยิ้ม สิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเรียนรู้ได้ นี่คือพลังจิตจากจิตวิญญาณ มันไม่ได้เป็นเพียงการโยนแบบสบายๆ เย่โม่ใช้วิธีการนี้เพื่อดูว่าผู้คนจะสามารถรับรู้ได้หรือไม่และตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะกังวลมากเกินไป


 


เจิงเจิงเซียหยิบกริชมา ทันทีที่เขาทำมันก็มีเสียงที่ทำให้เขากลัว เขาจึงเริ่มที่จะตรวจสอบกริชทันที


 


“พี่เจิงควรลองใส่ลมปราณเข้าไปในนั้นนะ” เย่โม่ยิ้มแล้วพูด


 


เจิงเจิงเซียทำตามคำแนะนำอย่างไม่รู้ตัวและเสียงที่คมชัดก็ปรากฏขึ้น กริชเริ่มเปล่งประกายด้วยแสงสีขาว


 


“กริชนี้ยอดเยี่ยมเลย!” เจิงเจิงเซียตะโกนด้วยความดีใจ


 


“นี่คือสิ่งประดิษฐ์ที่มีเวทมนต์เรอะ?” ทุกคนเริ่มพูดคุยกัน


 


สิ่งที่เรียกว่า สิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์หรือของวิเศษที่ขายให้กับโลกภายนอก มันเพิ่งใช้ชื่อนั้น แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่ามันคือของวิเศษอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม นี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นของวิเศษที่แท้จริง!


บทที่ 469 : ฉันกังวลว่าเขาจะไม่มาหาฉัน


 


พวกเขาเคยเห็นสิ่งประดิษฐ์เวทมนต์แบบนี้มาก่อน แต่มันมักจะเป็นเพียงแค่ของป้องกัน สิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ที่อุกอาจนั้นหายากมาก


 


กริชที่เย่โม่เอาออกมามันดูเหมือนจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่อุกอาจ ทำให้ทุกคนที่นี้ตกใจ


 


เย่โม่เห็นสิ่งนี้และหัวเราะกับตัวเอง มันไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับต่ำ มันเป็นแค่กริชที่เขาสร้างให้เฉียบคมขึ้นโดยมีสองค่ายกลที่จารึกไว้


 


ของวิเศษไม่ได้ทำง่ายนัก กระบี่บินของเขาเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ระดับสูง แม้แต่หลังจากที่ใช้วัสดุมีค่ามากมาย นี่เป็นเพียงเพราะเขาได้รับหยกดารา หากเขาไม่มี มันจะเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ระดับดีเท่านั้น


 


แต่เย่โม่รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ระดับต่ำ ระดับกลางหรือระดับสูง ผู้ฝึกเต๋าที่ใช้แส้กับเขา นั้นก็เป็นสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ที่อุกอาจ แต่ในยุทธภพมันเป็นเพียงอาวุธระดับสูงกว่า


 


เย่โม่จะไม่อธิบายเรื่องนี้กับพวกเขา


 


หลังจากเจิงเจิงเซียแทรกลมปราณภายในเข้าไป เขาก็ดึงแส้รอบเอวของเขาออกมา และใช้กริชเพื่อฟันมันเบาๆ และแส้ที่เขาทำอย่างพิถีพิถันก็พังไปทันที


 


“นี่คือสิ่งประดิษฐ์เวทมนต์ที่แท้จริง! มันเป็นกริชที่ดี มันเป็นกริชที่ดีจริงๆ” เจิงเจิงเซียจับกริช เขาขาดอาวุธที่ดี ด้วยพลังการต่อสู้ของเขา เขาจะสามารถเพิ่มได้มากกว่า 1 ระดับ


 


ในตอนนั้น เจิงเจิงเซียหยิบเอาแก่นแท้สีเหลืองออกมาและพูดกับเย่โม่ว่า “ฉันมีความสุขมากกับกริชนี้ แต่แก่นแท้สีเหลืองนั้นมีค่าน้อยกว่ากริชของคุณซะอีก”


 


เย่โม่มองที่เจิงเจิงเซียด้วยความประหลาดใจ เขาเข้าใจคนของนิกายลี้ลับดี มันเป็นเพียงพลังที่ปกครองทุกอย่างในยุทธภพ เขาไม่ได้คาดหวังว่าเจิงเจิงเซียจะพูดแบบนั้น หากเป็นคนอื่นเขาจะยอมรับข้อตกลงโดยไม่ต้องสงสัย


 


คำพูดของเจิงเจิงเซียทำให้เย่โม่ประทับใจมาก เขาเป็นคนซื่อสัตย์จริงๆ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็พูดว่า “กริชนี้ไม่มีอะไรเลยสำหรับฉัน ฉันมีอีก 2-3 เล่ม พี่เจิง โปรดให้แก่นแท้สีเหลืองของพี่แก่ฉันด้วย”


 


“โอเคโอเค คุณมีความเคารพฉันอยู่นะ น้องเย่ ฮ่าฮ่า”


 


จากนั้นเจิงเจิงเซียก็ขว้างแก่นสีเหลืองของเขาไปยังเย่โม่ และเริ่มเล่นกับกริชของเขา


 


เย่โม่รับแก่นแท้สีเหลือง เขามองเจิงเจิงเซียและพูดว่า “พี่เจิงเป็นคนซื่อตรง ฉันเย่โม่รับรองพี่อย่างมาก ถ้ามีเวลาพี่สามารถมาที่สถานที่ของฉันในภายหลังได้นะ เพื่อคุยกัน ฉันอยู่ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมซือเยวีย”


 


เย่โม่บอกได้เลยว่าเจิงเจิงเซียได้รับบาดเจ็บสาหัสจากภายใน ถ้าปล่อยทิ้งไว้และไม่ถูกรักษา เขาจะเหลือเวลาอีกไม่กี่ปี ถ้าเจิงเจิงเซียยินดีที่จะไปยังสถานที่ของเขาคืนนี้ เย่โมจะไม่ถือสาที่จะช่วยเขารักษามัน


 


“โอเค ฉันจะไปรบกวนนายหลังจากนี้นะน้องเย่ ฮ่าฮ่า” เจิงเจิงเซียนั่งลง


 


หลังจากนี้ ทุกคนที่ต้องการแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างมองเย่โม่ พวกเขาต้องการแลกเปลี่ยนกริชกับเขา แต่เย่โม่ไม่ต้องการสิ่งที่พวกเขามี พวกเขามียาทั่วไปหรือวิธีฝึกตนขั้นปฐพี


 


ในขณะที่การประชุมดำเนินไป ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยอมแพ้ต่อเย่โม่ เมื่อถึงจุดหนึ่ง เซียงหมิงหวังแห่งถ้ำน้ำเต้าก็หยิบขวดหยกออกมาและพูดว่า “ฉันมียาจิตวิญญาณปฐพีที่นี่ มันสามารถทำให้ทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นนภาสวรรค์ ทะลวงไปได้ 1 ขั้น”


 


ทุกคนเริ่มพูดถึงมัน ยาจิตวิญญาณปฐพีนั้นมีค่ามากกว่ากริชของเย่โม่


 


เซียงหมิงหวังไม่สนใจสายตาของผู้คนและมองไปที่เย่โม่ “เย่โม่ หากนายยังมีกริชเช่นนั้นอีก ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะแลกเปลี่ยนมันกับนายนะ”


 


สัมผัสจิตวิญญาณของเย่โม่สแกนยาไปแล้ว มันเป็นของจริง เย่โม่คิดว่าคนที่นั่นสามารถผลิตเม็ดยาของจริงนี่ได้อย่างไร บุคคลนี้มีสัมผัสจิตวิญญาณด้วยหรือไม่ แต่เขาจำได้ทันทีถึงหม้อยาเซิ่นนอง ถ้าเขาทำได้ นั่นก็หมายความว่าคนอื่นๆ เคยใช้มันมาก่อนเพื่อทำยา


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่โม่ก็แสยะยิ้ม แม้ว่าเย่โม่จะสนใจในยาเม็ดนี้และต้องการที่จะดูว่ามันเป็นอย่างไร เย่โม่ก็ไม่ได้มีความประทับใจอันดีต่อเซียงหมิงหวัง นอกจากนี้ยาเม็ดนี้ก็คล้ายกับยาเพิ่มลมปราณของเขาหรือแม้แต่ด้อยกว่าด้วยซ้ำ


 


ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่โม่จะสแกนยานั้น แล้วพูดว่า “ไม่สนใจ”


 


“แก -” เซียงหมิงหวังโกรธ เขาไม่ได้คาดหวังว่าเย่โม่จะบอกว่าเขาไม่สนใจสิ่งที่มีค่า ยาเม็ดนี้ไม่คุ้มค่ามากกว่าแก่นแท้สีเหลือง 100 เท่ารึไง?


 


การแสดงออกของเซียงหมิงหวังจมลงและเขาไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ทุกคนที่อยู่ใกล้เขาจะรู้สึกได้ถึงจิตสังหารของเขา


 


เย่โม่ดูถูกเขา ชายชราเพิ่งพูดว่าการประชุมต้องยุติธรรม แต่ตอนนี้เพียงเพราะเขาไม่ต้องการแลกเปลี่ยนกับเขา เขาก็มีจิตสังหารแล้ว ช่างเป็นตาแก่ที่ไร้ยางอายจริงๆ! เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะยุ่งกับเย่โม่


 


หลายคนอาจรู้สึกถึงจิตสังหาร แต่สำหรับพวกเขาที่เย่โม่จะถูกฆ่าตรงหน้านี้จะดีกว่า


 


กูหยังเฮอเพิ่งได้รับศิลปะกำปั้นและมีความสุขมาก เมื่อได้ยินคำพูดของเซียงหมิงหวัง เขาก็ถอนหายใจและพูดกับเย่โม่ว่า “น้องเย่ จริงๆ แล้วนายไม่ควรทำให้เซียงหมิงหวังโกรธนะ เขาเป็นพวกพยาบาทและแข็งแกร่งมาก อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครอื่นนอกจากอู๋เฟิงที่เทียบเขาได้”


 


เย่โม่ยิ้ม “ฉันกังวลว่าเขาจะไม่มาหาฉันมากกว่านะ”


 


กูหยังเฮอถอนหายใจและส่ายหัว คิดว่าคนหนุ่มสาวนี่เกินความคิดของเขา เขาไม่รู้ว่าเย่โม่สู้กับเซียงหมิงหวังได้รึเปล่า เย่โม่เป็นคนเดียวและอายุ 20 แต่เขาอาจแข็งแกร่งพอๆ กับเซียงหมิงหวัง


 


แต่เขาไม่สามารถพูดได้ เขาเพิ่งได้พบกับเย่โม่และมีความประทับใจที่ดีต่อเขา เพราะเขาบาดหมางกับนิกายธารา และเย่โม่ฆ่าพวกเขา


 


เมื่อเซียงหมิงหวังกำลังจะทิ้งยาจิตวิญญาณปฐพี แต่แล้วก็มีใครบางคนพูดอย่างไม่มั่นใจ “เชียนเปยเซียง วั่นเปย คือ ชีซรือเฮิง จากนิกายอู๋อี้ ผมมีหินจิตวิญญาณ ถ้า -“


 


ก่อนที่ชีซรือเฮิงจะพูดจบ เซียงหมิงหวังก็โบกมือแล้วพูดว่า “สิ่งนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับฉันเลย” จากนั้นเขาก็เก็บยาจิตวิญญาณปฐพีไป


 


เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เย่โม่จึงคิดว่าเป็นหินใต้หุบเหว ซึ่งเป็นวัสดุสำหรับทำอุปกรณ์เก็บของ


 


“ฉันจะเอาหิน” คำพูดของเย่โม่ดึงดูดความสนใจของทุกคนอีกครั้ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม