Strongest Abandoned Son บุรุษผู้ถูกทอดทิ้ง 456-462

 บทที่ 456 : การต่อสู้ของสมาชิกนิกาย


 


ชายทั้งสองเดินไปที่ตำแหน่งที่เหนียชวังชวังบอก แต่พวกเขาไม่ได้เริ่มขุด แต่พวกเขาจ้องที่เหนียชวังชวังอย่างมีความสุขโดยไม่มีความละอาย


 


เมื่อปราศจากล๋วนล๋วน (สัตว์เลี้ยงเหนียชวังชวัง) เหนียชวังชวังก็ไม่ใช้ซัคคิวบัสอีกต่อไป แต่เธอก็ยังสวยกว่าดาราคนอื่นๆ เธอดูอ่อนแอและเหมือนเธอต้องการถูกปกป้อง เธอดูนุ่มนิ่ม แต่ด้วยหน้าอกของเธอที่ใหญ่มาก มันทำให้เธอน่าหลงใหล


 


หากมีผู้คนจำนวนมากที่นั่น พวกเขาส่วนใหญ่จะตรวจสอบเธอเล็กน้อย แต่ไม่มีใครอยู่และภูเขาก็สูงชันมาก ยิ่งกว่านั้นพวกนกเองก็ไม่ค่อยขึ้นมาเช่นกัน


 


หากมีอะไรเกิดขึ้นที่นั่นคงไม่มีใครรู้ เหนียชวังชวังดูเหมือนเด็กสาวและเธอนำชายร่างโตสองคนมาที่นั่น ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะมองเธอแบบนั้น


 


เหนียชวังชวังดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นวิธีที่พวกเขาจ้องมองเธอ เธอแค่ส่งเสียงออกมา “ขุดต่อไป อาจารย์ของฉันบอกฉันว่านี่คือที่ที่เธอฝังทองเอาไว้”


 


“อะไรนะ? เธอกำลังบอกว่ามีทองอยู่ที่นี่หรอ?” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งพูดอย่างตื่นเต้น ชายอีกคนหนึ่งมองเธอด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน แม้แต่ความปรารถนาในดวงตาของเขาก็ลดน้อยลงไปมาก


 


“ใช่ๆ รีบขุดซะสิ ฉันจะปฏิบัติต่อพวกนายอย่างดีเลย” เหนียชวังชวังนำพวกเขา


 


ชายสองคนจ้องหน้ากัน และไม่ลังเลที่จะขุดด้วยพลั่ว


 


เหนียชวังชวังมองดูพวกเขา ขณะที่พวกเขากำลังขุดเธอก็สั่งอยู่ข้างๆ


 


เย่โม่ถอนหายใจ ภายใต้ความเย้ายวนของเหนียชวังชวัง IQ ของพวกเขาลดลงเหลือ 0 มันเป็นการฆ่าตัวตาย แม้ว่าเหนียชวังชวังจะต่ำกว่าขั้นสีเหลือง แต่เธอก็สามารถจัดการกับทั้งสองได้อย่างง่ายดาย ที่ซึ่งไม่เคยฝึกตน


 


ผู้หญิงคนนั้นยังคงเหมือนเดิม ถึงแม้ล๋วนล๋วนจะไปแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ได้มองชีวิตของคนอื่นจริงจัง แต่สองคนนี้มีสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ปรารถนาเหนียชวังชวัง แต่เย่โม่เชื่อว่าเธอจะไม่ปล่อยพวกเขาไปในภายหลังแน่


 


เย่โม่ส่ายหัว มันถึงเวลาที่จะออกจากที่นี่แล้ว ถ้าเขาอยู่ เขาก็จะเห็นเหนียชวังชวังฆ่าพวกเขา เย่โม่ไม่สนใจเรื่องนั้น


 


เมื่อเย่โม่วางแผนที่จะออกไป เขาก็เห็นชายอีกคนหนึ่งขึ้นมาบนถนนภูเขา เขาประคองตัวเองด้วยไม้ค้ำสองอัน แต่เขาก็ยังมาได้อย่างรวดเร็ว


 


คนที่ขาหักขาแบบนั้นจะมารวดเร็วแบบนี้ได้ยังไง? เย่โม่จำคนๆนี้ได้ทันที มันเป็นเหนียพี๋ เขาขาหักในปักกิ่ง เขาอาจเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของวิหารเก้าจันทราด้วย


 


เขาไม่ได้คาดหวังว่าผู้ชายคนนี้จะอยู่ที่นี่ด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาอยู่ที่นี้ด้วยเหตุผลเดียวกันกับเหนียชวังชวัง


 


เหนียชวังชวังอ่อนแอมากจนเธอไม่สังเกตเห็นการมาถึงของเขาและสั่งให้ทั้งสองคนขุดต่อไป เหนียพี๋เห็นสิ่งนี้และไม่ได้เข้าใกล้พวกเขา นอกจากนี้เขายังพบที่ซ่อน ในขณะที่ดูเหนียชวังชวังขุด


 


หากเหนียชวังชวังไม่อยู่ที่นี่ เย่โม่จะฆ่าเขาทันที แต่เขาไม่ต้องการคุยกับเหนียชวังชวัง เหนียชวังชวังดูเหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างกับเขา มันอาจเป็นเพราะวิธีการฝึกตนของเขา เย่โม่ไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งกับผู้หญิงแบบนั้น เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับคนที่เป็นสมาชิกวิหารเก้าจันทรา


 


“ฉันเห็นทางเข้าแล้ว” ชายคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


เหนียชวังชวังหยิบไฟฉายออกมาแล้วพูดว่า “พี่ชายสองคนเข้าไปข้างในแล้วดูให้ฉันหน่อยสิ” ชายสองคนเดินลงบันไดไป ขณะที่เหนียชวังชวังตามหลังมา


 


“มีอะไรเหรอ?” ชายคนนั้นมองย้อนกลับไปและเห็นเหนียชวังชวังถูข้อเท้าของเธอ


 


“ฉันคิดว่าข้อเท้าฉันบิดนะ” เหนียชวังชวังพูดอย่างกังวล


 


“อะไรกันเนี่ย” ชายที่ด้านหลังพึมพำ เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขาเข้าไปข้างในลึก เขาหยิบไฟฉายแล้วพูดว่า “รอฉันที่นี่ก่อนนะ ฉันจะลงไปดู”


 


ก่อนที่เหนียชวังชวังสามารถตอบกลับได้ เขาก็เข้าไปข้างในแล้ว ซึ่งเหนียชวังชวังตะโกนอย่างรวดเร็วว่า “สิ่งนั้นอยู่ในห้องหิน นายต้องเปิดประตูเพื่อให้ได้มันนะ”


 


ชายสองคนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะฟังและพวกเขาก็วิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากที่ทั้งสองจากไป เหนียชวังชวังก็ยืนขึ้นด้วยความมั่นใจและรีบออกจากถ้ำ เธอรอข้างหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์


 


สัมผัสจิตวิญญาณเย่โม่สแกนว่าชายสองคนยังคงเคาะอยู่ที่ประตู ด้วยการเคาะซ้ำๆ ของพวกเขามันก็ค่อยๆพังทลายและแตกหัก


 


แต่ก่อนที่ชายทั้งสองจะเห็นทองคำ ลมปราณมืดมัวของจิตวิญญาณชั่วร้ายก็วิ่งพล่านออกมา พวกเขาถูกพวกมันโจมตีโดยลมปราณนั้นทันที และพวกเขาก็ล้มลงบนพื้นแล้วบิดตัวไปมาก่อนที่จะตาย


 


ในเวลาไม่นาน ลมปราณก็ซึมออกจากห้องหินและรีบไปที่พื้น แต่ทันทีที่แสงตะวันส่องเข้ามา พวกมันก็กลายเป็นฝุ่น หากเย่โม่ไม่มีสัมผัสจิตวิญญาณ เขาก็คงจะไม่สามารถเห็นสิ่งนี้ได้เช่นกัน


 


ไม่มีจิตวิญญาณชั่วร้ายใดสามารถเข้าถึงเหนียชวังชวังได้ พวกมันกระจายไปอย่างรวดเร็วและภายในครึ่งชั่วโมงพวกมันก็หายไป


 


เหนียชวังชวังหายใจออกอย่างโล่งใจ และเธอก็เข้าหาทางเข้าถ้ำอีกครั้ง


 


เมื่อเธอต้องการเข้าไป เสียงที่เยือกเย็นจากนรกก็ดังขึ้น “ศิษย์น้องชวังชวัง บางคนก็พบกันในทุกจุดของชีวิตจริงๆ พวกเขาไม่หรอ? ในที่สุดคุณก็เต็มใจที่จะกลับมาที่นิกายของเรางั้นสิ? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


“แกนั้นเอง เหนียพี๋” การแสดงออกของเหนียชวังชวังเปลี่ยนไป เธอไม่ได้หวังว่าจะได้ชัยชนะจากเหนียพี๋


 


“ทำไมแกถึงอยู่ที่นี่?” เหนียชวังชวังรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์พี่ร่างใหญ่ตรงหน้าจะมีเมตตาเธอ


 


เหนียพี๋หัวเราะอย่างโหดเหี้ยม “ฉันมาที่นี่ได้ยังไงเรอะ? ฉันตามเธอไปก่อนที่เธอจะกลับมาที่นี่ซะอีก เธอบอกฉันสิว่าฉันมาที่นี่ได้ยังไง? เธอรู้ไหมยากสำหรับฉันแค่ไหน? ฉันเห็นเธอทุกวัน แต่ฉันเย็ดเธอไม่ได้ ฉันรอตัวเป็นเกลียวเชียวนะ และวันนี้ก็กลับมาเอาของนั่นจนได้ ฉันรู้ว่ายัยแม่มดแก่บอกเธอว่าเธอซ่อนตัวที่ไหน มันเป็นอย่างที่ฉันคาดไว้เลย ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


“แกตามฉันมาเหรอ?” ใบหน้าของเหนียชวังชวังซีด เธอระวังตัวมากในเวลานั้น แต่เธอก็ยังถูกจับและตามมาเป็นเวลานานโดยไม่สังเกตเห็น


 


เหนียพี๋หัวเราะเยาะเมื่อเขาเดินไปหาเธอ “อีกระหรี่เอ้ย ฉันเป็นศิษย์พี่ของแก แกกล้าที่จะไม่บริการให้ฉันได้ไงหะ? แกไม่สมรู้ร่วมคิดกับเย่โม่เพื่อหักขาของฉันที่แม่น้ำหยานชุ่ย ถ้าฉันไม่เย็ดแกให้ตายวันนี้ แกจะกลายเป็นศิษย์พี่น้องของฉัน”


 


“อะไร? ฉันไปทำเมื่อไหร่-” เหนียชวังชวังหยุดพูด เธอเห็นว่าขาของเหนียพี๋แตกหัก นั่นหมายความว่าคนที่เธอเห็นก่อนที่เธอจะตายในวันนั้นคือเย่โม่ เหนียชวังชวังหายใจหนักขึ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เย่โม่ก็ไม่เพียงแค่เฝ้าดูความตายของเธอและปล่อยให้เธอต่อสู้เพื่อตนเอง หากคนอื่นหรือเหนียพี๋กลับมา เธอจะไม่กล้าจินตนาการเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เธอพอใจ เย่โม่สามารถหักขาของเหนียพี๋ได้ และเมื่อเขาพูดถึงเย่โม่ ในดวงตาของเขามันมีความกลัว ซึ่งเธอเห็นว่าเย่โม่แข็งแกร่งกว่าเหนียพี๋มาก


 


เมื่อเธอคิดถึงสิ่งนั้น เหนียชวังชวังก็ยิ้มออกมา


 


“นังร่าน ในขณะที่ฉันพรากความบริสุทธิ์ของแกไป ฉันแก้ผ้าแก ให้แกเปลือยกายให้ทุกคนเห็น เราจะมาดูกันว่าแกจะยังยิ้มได้อยู่อีกไหม” เหนียพี๋โกรธมาก ในขณะที่เหนียชวังชวังไม่กลัวอีกแล้ว


 


เหนียชวังชวังรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเธอ ดังนั้นเธอจึงยิ้มอย่างเหยียดหยาม “เหนียพี๋ แกมันสามารถเอากับผู้หญิงแบบฉันได้ด้วยงั้นหรอ? ฝันไปเถอะ แกมันก็เป็นแค่คนพิการ ถึงแม้ว่าฉันจะตาย ฉันจะไม่ปล่อยให้คนพิการอย่างคุณทำร้ายฉัน”


 


จากนั้น เหนียชวังชวังก็หยิบเข็ม 2 อันออกมาและพยายามแทงหัวตัวเอง


 


“แกอยากตายหรอ? ฉันจะให้ความปรารถนานั้นแก่แกเองนังร่าน แต่ไม่ใช่ตอนนี้!” เหนียพี๋เหวี่ยงมือของเขาพร้อมแสงสีเงินประกาย จากนั้น เข็มของเหนียชวังชวังก็ไปอยู่ในมือของเหนียพี๋


บทที่ 457 : สมบัติหายไปเป็นของไร้ประโยชน์


 


“ทำไมห่ะ แกคิดไอ้ห่านั้นจะมาช่วยแกวันนี้เรอะ? ฮ่าๆๆ แกก็อยู่กับมันมานานนี้นั แต่แกก็ยังเป็นสาวพรหมจารีอยู่ มันมีปัญหาเรื่องเซ็กส์ของท่อนของมันหรอ? ฮ่าๆ! ตอนนี้แกสามารถมอบความสาวให้แก่ศิษย์พี่ใหญ่ของแกได้แล้วละนะตอนนี้” เหนียพี๋หัวเราะ


 


เหนียชวังชวังมองดูมือที่ว่างเปล่าของตัวเองแล้วเริ่มกังวล เธอเพิ่งจำได้ว่าเหนียพี๋เป็นขั้นปฐพีปรมาจารย์ เธอไม่สามารถฆ่าตัวตายต่อหน้าเขาได้


 


ก่อนที่เหนียชวังชวังจะตอบสนองได้ เหนียพี๋ก็ขยับไม้ค้ำของเขาและฟาดมาที่ด้านหน้าของเหนียชวังชวัง เขาตบเธอที่คอแล้วพูด “ทำไมแกไม่นอนซักหน่อยละ หลังจากที่ฉันทำอะไรเสร็จแล้ว ฉันจะสนุกไปกับแกและแสดงให้เห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่ของแกเป็นคนพิการรึเปล่า”


 


เหนียชวังชวังล้มลงโดยไร้การต่อต้านใดๆ เหนียพี๋ได้เตรียมที่จะเดินเข้าไปในห้อง แต่ที่ทางเข้า ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีคนอยู่ที่นั่นแล้ว เหนียพี๋ตกตะลึง เขาเป็นขั้นปฐพีปรมาจารย์! แม้ว่าจะไม่มีขา มันก็ไม่มีใครสามารถมาต่อหน้าเขาได้โดยที่เขาไม่สังเกตเห็น แต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นบุคคลนี้จริงๆ!


 


“แกเป็นใคร?” ในไม่ช้า เหนียพี๋ก็สงบลง ในขณะที่เขาเห็นชายหนุ่มอายุ 20 ปียืนอยู่ต่อหน้าเขา


 


เย่โม่เยาะเย้ย “หลังจากตัดขาของแก และเห็นว่าแกวิ่งหนีไปในแม่น้ำ ฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะได้พบแกอีกในวันนี้จริงๆ นี่ต้องเป็นโชคชะตาแล้ละเนอะ”


 


“แกคือเย่โม่?!” หัวใจของเหนียพี๋จมลง เขารู้สึกเสียใจจริงๆ เขาสาปแช่งตัวเองโดยไม่คิดว่าเย่โม่อาจมาในวันนี้ ตั้งแต่เหนียชวังชวังมา มันก็แน่นอนว่าเย่โม่ก็สามารถมาได้เช่นกัน


 


เหนียพี๋ตระหนักว่าจะไม่มีทางหนีให้เขาในวันนี้ เย่โม่เป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบมา แม้ว่าเขาต้องการแก้แค้น แต่เขาก็ไม่อยากเจอเย่โม่อีกเลย แต่เขาก็ยังพบเขาในวันนี้!


 


ในขณะที่ เหนียพี๋ยังคงงงงวย เย่โม่ก็เหวี่ยงวินด์เบลดไม่กี่ใบออกมา เหนียพี๋เป็นขั้นปฐพีระดับต้นแน่นอน แต่เขาก็ยังถูกฆ่าโดยเย่โม่โดยไม่มีการต่อต้านใด ๆ


 


เย่โม่ไม่ได้วางแผนที่จะเข้าไปในถ้ำ แต่เมื่อเปิดแล้ว เขาก็เข้ามาและนำกระเป๋าออกมา


 


กระเป๋าทำจากวัสดุที่ดีมาก แต่มันก็ไม่ได้น่าสนใจสำหรับเย่โม่ เขาเปิดหนังสือด้วยวิธีสบายๆ แต่ในไม่ช้า เย่โม่ก็ตกตะลึง


 


นี่เป็นวิธีฝึกตนเต๋าของจริง! มันถูกเรียกว่า มนต์เก้าจันทรานิรันดร นี่ไม่ใช่วิธีฝึกตนที่ชั่วร้าย แต่จริงๆแล้วมันแข็งแกร่งกว่าวิธีการฝึกฝนทักษะต่อสู้โบราณเหล่านั้น แม้ว่าวิธีฝึกตนนี้จะสามารถเข้าถึงขั้นรวมลมปราณสักขั้นบนโลกนี้ได้ แต่มันก็มีค่ามาก


 


หาก เย่โม่ ไม่ได้มีวิธีการเพาะปลูกของตนเองและหากวิธีการเพาะปลูกนี้ไม่ได้มีความหมายสำหรับผู้หญิงเขาจะปลูกมันแน่นอน


 


เย่โม่เปิดหนังสือและเข้าใจในทันทีว่าทำไมสมาชิกวิหารเก้าจันทราจึงชั่วร้าย


 


การแนะนำของบทสวดกล่าวว่า “ในโชคชะตา ผู้คนเป็นเพียงของเล่นเพื่อเล่นกับมัน ต้องให้มนุษย์มีความตายในชีวิต มีชีวิตในความตาย แต่เต๋าของข้าเป็นหนึ่งในชีวิตที่ยืนยาว…การใช้ตัวเองเป็นจักรวาล หัวใจและตับในฐานะสวรรค์และโลก รวบรวมแก่นแท้หยิน ฝึกวิญญาณหยิน…ลืมความว่างเปล่าและการหลอกหลวง อย่าดู อย่าคิด อย่าได้ยิน อย่ากังวล ไม่มีทั้งภายในและภายนอก…” เย่โม่ถอนหายใจ แน่นอนมันสอนอย่างชัดเจนถึงวิธีดูดซับพลังจิตวิญญาณลมปราณแห่งสวรรค์และโลกเพื่อเป็นพื้นฐานของการฝึกตนจิตวิญญาณของตนเอง คนสร้างของคู่มือเล่มนี้จะต้องเป็นอัจฉริยะ แต่เธอเกิดมาบนโลกนี้ เลิกใช้จิตวิญญาณลมปราณ ดังนั้นเธอจึงสามารถเขียนวิธีฝึกตนขึ้นได้จนกว่าจะถึงขั้นตติยรวมลมปราณ


 


แต่วิธีการฝึกตนของเธอนั้นเป็นที่เข้าใจกันว่าผู้ชายต้องกินหยินของผู้หญิงเพื่อฝึกตน นี่มันอะไร?


 


หมายเหตุ : แก่นแท้หยิน = ลมปราณบริสุทธิ์มาก : รับความบริสุทธิ์ของผู้หญิงในขณะที่ฝึกตนวิธีการการฝึกตนที่พิเศษนี้ กลืนกินแก่นแท้หยิน


 


เย่โม่ปิดหนังสือและถอนหายใจ นี่เป็นสมบัติที่สิ้นเปลือง เขาทิ้งมันไว้ที่หน้าเหนียชวังชวัง มันจะเป็นโชคชะตาของเธอ ถ้าเธอเข้าใจมัน ถ้าเธอทำไม่ได้ แม้ว่าเขาจะสอนเธอ ความก้าวหน้าของเธอก็จะไม่สูงในอนาคต


 


เย่โม่วางมันลงแล้วเขาก็สแกนเหนียชวังชวัง และไม่สนใจเธอ เขายืนอยู่บนกระบี่และจากไป


 


ไม่นานหลังจากเย่โม่ออกไป เหนียชวังชวังก็ตื่นขึ้นมา เธอสังเกตเห็นว่าเธอกำลังนอนอยู่บนพื้นและสั่นระริก เธอตรวจสอบเสื้อผ้าของเธอและเห็นว่ามันยังปกติดี ในที่สุดเธอก็รู้สึกโล่งใจ แต่ก็สับสน เหนียพี๋ไม่ได้ข่มขืนเธอหรอ?


 


ใช้เวลาสักพักสำหรับเธอที่จะเห็นร่างของเหนียพี๋ ซึ่งขาดครึ่ง


 


เหนียชวังชวังยืนขึ้นด้วยความกลัว ทำไมเธอถึงยังดีอยู่ ขณะที่เหนียพี๋ถูกฆ่าตาย? ใครช่วยเธอ? เหนียชวังชวังรู้สึกงุนงง และไม่กี่วินาทีก็เห็นกระเป๋าอยู่บนพื้น


 


เธอเปิดมันขึ้นและพบอัญมณีหยกและมนต์เก้าจันทรานิรันดร เธอรู้ทันทีว่ามีคนช่วยชีวิตเธอและไม่ทำสิ่งนั้น


 


ใครกันที่จะใจดีขนาดนี้? ทั้ง 2 อย่างนี่มีค่ามาก ใครจะทิ้งมันไปเหมือนหญ้าได้?


 


เย่โม่มาเหรอ? เหนียชวังชวังคิดถึงเย่โม่ในทันทีและด้วยความเศร้าที่ยิ่งใหญ่ก็รู้ว่านอกเหนือจากเย่โม่ เธอยังไม่มีเพื่อนแท้สักคนเดียว


 


เหนียชวังชวังทิ้งร่างของเหนียพี๋ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอไม่ใช่คนเดียวที่รู้เกี่ยวกับนิกาย


 


…..


 


เย่โม่พบสถานที่ที่ชายคนนั้นวาดให้เขา แต่มันก็ไม่มีร่องรอยอะไรเหลืออีกแล้ว


 


เขาชิงซาวของมณฑลเสฉวนเป็นที่กำเนิดของลัทธิเต๋าของจีน ยอดเขาที่สูงที่สุดคือยอดเขาเล๋าจวินอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2363 เมตร มันไม่สวยงามเท่าเขาชิงเฉิง ดังนั้นมันจึงไม่โด่งดัง อย่างไรก็ตามมันยังคงเป็น 1 ในพื้นที่คุ้มครองของจีนเมื่อ 20 ปีก่อน


 


สถานที่แห่งนี้สูงชันและขาดจิตวิญญาณลมปราณ ดังนั้นเย่โม่จึงไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมหอทลายกำปั้นจึงเลือกสถานที่แห่งนี้เพื่อสร้างนิกายของพวกเขา ถึงกระนั้นเย่โม่ก็ต้องไปหาจรังจรือฮุยในวันนี้ ดังนั้นเขาต้องไปที่นิกายของพวกนั้น


 


เย่โม่ใช้เวลาเพียงกว่า 10 นาทีในการค้นหานิกาย


 


นิกายนี้ตั้งอยู่ในภูเขา เย่โม่อดไม่ได้ที่จะชื่นชม สถานที่โบราณกาลที่สร้างบนภูเขาสูงชันนี้


 


มีหน้าผาทุกที่บนยอดเขา สามารถอ่านคำที่พร่ามัวได้ ‘หอทลายกำปั้น’ ซึ่งแสดงถึงความรุ่งเรืองในอดีต


 


เย่โม่เดินเข้าไปข้างใน มันเงียบมากๆ เย่โม่ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าจรังจรือฮุยเห็นด้วยกับคำพูดของเขาและทำลายทุกคนที่นี่ แต่เขาไม่ได้กลับไปเลย


 


เย่โม่ผลักประตูเปิดไปที่ห้องโถงใหญ่และมีเสียงดังเอี๊ยด ซึ่งดูเหมือนจะโดดเด่นอย่างน่าขนลุกในความเงียบนี้


 


เก้าอี้ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น เย่โม่สแกนออกไปด้านนอกด้วยสัมผัสจิตวิญญาณของเขาและไม่มีใครคาดคิด แต่เมื่อดวงตาของเขาเจอกับภาพวาดบรรพบุรุษของหอทลายกำปั้น ดวงตาของเขาก็เย็นชา


 


มีหัวของมนุษย์แห้งถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นอยู่กลางโต๊ะเทียน ซึ่งหัวนี้เป็นหัวของจรังจรือฮุย


 


จรังจรือฮุยถูกฆ่าตายและหัวของเขาอยู่ที่นี่? มีใครบางคนในหอทลายกำปั้นที่แข็งแกร่งกว่าจรังจรือฮุย หรอ?


 


เย่โม่ก้มหน้าลงด้วยความโรกธ เขาเตะภาพวาดและทุบโต๊ะทิ้งในทันที


 


ต่อจากนั้น เย่โม่ก็พบจุดที่ดีและฝังศีรษะก่อนที่จะทำการจารึก ซึ่งกล่าวไว้ว่า “พี่จรัง พี่ได้ตายเพื่อประโยชน์ของผม ดังนั้นผมจะล้างแค้นพี่”


 


ทันใดนั้น เย่โม่ก็เริ่มตระหนัก จรังจรือฮุยทำลายล้างหอทลายกำปั้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขายังถูกฆ่าตายหลังจากนั้นผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายจะไม่ตกเป็นเป้าหมายของตระกูลจรังเช่นเดียวกับเมืองอสรพิษหรอ? ถ้าคนที่ฆ่าจรังจรือฮุยไม่ได้มาจากหอทลายกำปั้น แล้วทำไมถึงเอาหัวของจรังจรือฮุยไปที่นั่น?


 


โดยสรุปแล้ว เย่โม่ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งที่เขาไม่ได้ตระหนึกถึงมัน แต่ก็คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร


บทที่ 458 : การแข่งขันนิกายลี้ลับ


 


เย่โม่ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาเดาถูก ถ้าหอทลายกำปั้นมีปรมาจารย์แบบนี้จริงๆ เขาจะต้องพยายามแก้แค้นแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถรู้ได้ว่าเย่โม่มีฐานอำนาจในเมืองอสรพิษ แต่เขาก็น่าจะไปที่ตระกูลเย่ปักกิ่ง


 


แม้ว่าเขาจะไม่ไป เขาก็จะไปที่ตระกูลจรังเจียงซวนแน่นอน แต่ถ้าเขาไม่ได้ไปหาเขาหรือตระกูลจรัง สิ่งนี่มันจะแปลก


 


ใครบางคนที่สามารถฆ่าจรังจรือฮุยได้ต้องเป็นอย่างน้อยระยะหลังของขั้นปฐพี ซึ่งบุคคลประเภทนี้ไม่น่าจะกลัวเขา


 


เย่โม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในนิกายเตี๋ยนชางมันไม่สามารถแพร่กระจายออกไปได้ อย่างมากบางคนก็อาจรู้ว่าเขาฆ่าขั้นปฐพีระดับกลางและ สมาชิกขั้นปฐพีระดับต้นของนิกายธารา


 


ก่อนที่เย่โม่จะออกไป เขาต้องการเผาสถานที่แห่งนี้ให้ตาย แต่เพราะสมัยก่อนมันยากที่จะสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาได้ เขาจึงไม่ได้ทำในท้ายที่สุด


 


แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าใครจะฆ่าจรังจรือฮุย แต่เย่โม่ยังคงโทรหาซวี่เยวียฮวาเพื่อบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อที่เธอจะได้ตื่นตัวไว้


 


ก่อนที่เย่โม่จะกดโทรออกไป โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น


 


เย่โม่ขมวดคิ้ว หมายเลขปกติจะโทรหาเขาไม่ได้ เป็นใครกัน?


 


“ประธานครับ โทรติดแล้วครับ!” ที่ไหนสักแห่งในคฤหาสน์ระดับสูงในปักกิ่ง ผู้โทรเข้ามาคว้าโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น


 


“อะไรนะ? ฉันมาแล้ว ฉันมาแล้ว!” เกือบจะในทันที ฮานจั่ยชินรีบไปคว้ามัน


 


“พี่เย่ โทรศัพท์ของนายโทรเข้าถึงยากจริงๆ ฉันบอกคนของฉันให้โทรหานายตลอดเวลา 24/7 นานกว่า 10 ชั่วโมงเลย และในที่สุดมันก็ติด ฮ่าๆ! แต่ก็นั้นแหละ มันเป็นโชคของฉันที่โทรหานายติดอะนะ” เสียงหัวเราะร่าเริงของฮานจั่ยชินดังออกมา


 


เย่โม่พูดไม่ออก ฮานจั่ยชินนี้มีวิธีการของเขาจริงๆ ครั้งแรกที่เขามาฮ่องกง เขาโทรไม่หยุดพักหลายวัน และทันทีที่เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา มันก็ดังทันที


 


“ผู้อาวุโสฮาน คราวนี้เรื่องอะไรละ?” เย่โม่ถามอย่างหมดคำพูด ตอนนี้เขายุ่งมากจนเขาไม่สามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ ของตัวเองและฝึกตนได้จริงๆ เขาไม่ต้องการให้มีเรื่องอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว


 


ฮานจั่ยชินหัวเราะอย่างเชื่องช้า “เฮ่ๆ ขอโทษนะ ฉันต้องการความช่วยเหลือจากนายจริงๆ คราวนี้ นายมาปักกิ่งสักหน่อย แค่แป๊บเดียวจริงๆ ฉันคิดว่านะ อ่า-“


 


เย่โม่หยุดเขาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ผู้อาวุโสฮาน มันไม่ใช่สไตล์ของคุณเลยนะที่พูดติดอ่างแบบนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็พูดมา”


 


ฮานจั่ยชินจึงพูดว่า “ฉันต้องการความช่วยเหลือจากนายอย่างยิ่งจริงๆ นะ นายมาที่ปักกิ่งได้ไหมอะ? มันคุยโทรศัพท์ลำบาก…”


 


เย่โม่เงียบไป 2-3 วินาทีแล้วพูดว่า “โอเค รอก่อนแล้วกัน ผมจะไปช่วงบ่ายๆ”


 


ฮานจั่ยชินไม่ใช่คนเลวและเขาก็ช่วยเย่โม่หลายครั้ง แม้แต่ตอนที่สวรรค์ก็กำลังหาปัญหากับเขา ฮานจั่ยชินยังคงยืนเคียงข้างเขา ตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก เย่โม่จึงต้องช่วย


 


เย่โม่ต้องการไปหนิงไห่และพาน้องสาวของเขา ทังเป่ยเวยไปที่เมืองอสรพิษ และทำการฝึกตนที่นั่นสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะไปยังนิกายลี้ลับภายใน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไปปักกิ่งได้เท่านั้น


 


เย่โม่จึงโทรหาซวี่เยวียฮวาก่อนที่จะไปปักกิ่ง


 


…..


 


ถึงแม้เย่โม่จะไม่รู้ว่าทำไมฮานจั่ยชินถึงต้องการเขา แต่เย่โม่ก็รู้ว่าฮานจั่ยชินรู้ว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เขาจะไม่รบกวนเขาด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้ว่าเขาจะช่วยเขาก็ตาม


 


ฮานจั่ยชินไม่ได้คาดหวังว่าเย่โม่จะมาอย่างรวดเร็ว เขาเพิ่งจะโทรไปเมื่อ 1 ชั่วโมงก่อน แต่เย่โม่อยู่ในบ้านของเขาแล้ว สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจคือทุกครั้งที่เย่โม่มา พวกบอดี้การ์ดของเขาดูเหมือนจะเป็นเพียงการแสดงไปเลย


 


“นายเคาะประตูไม่ได้เหรอ?”


 


“คุณมีความสัมพันธ์อะไรในเวลากลางวันรึไง (- -)” เย่โม่ถามอย่างงงงัน และเริ่มจ้องฮานจั่ยชินขึ้นลง


 


“มีปัญหาอะไร!” ใบหน้าของฮานจั่ยชินเปลี่ยนไปเป็นสีดำ เขาเป็นนายพลสูงสุด แต่ตอนนี้เขาถูกตั้งคำถามว่าเขามีความสัมพันธ์ตอนกลางวันแสกๆ!


 


“ก็นะ ในเมื่อคุณไม่ได้ทำและเนื่องจากคุณเป็นคนที่โทรหาผม ทำไมต้องใส่ใจกับท่าทางที่ซับซ้อนบางอย่างด้วยละเนอะ บอกผมสิทำไมคุณถึงโทรหาให้ผมมาที่นี่วันนี้?”


 


เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฮานจั่ยชินก็ยิ้มอย่างแจ่มใส มันทำให้เย่โม่สงสัยว่าเขาเป็นนักแสดงหรือเปล่า


 


“หยันเออร์ ไปช่วยชงชามาให้พี่เย่ทีสิ เอาชาชั้นดี West Lake Dragon Well ที่ตาแก่นั่นให้มาครั้งล่าสุดนะ” ฮานจั่ยชินรีบดึงเก้าอี้ให้เย่โม่นั่งทันที


 


เย่โม่นั่งลงแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสฮาน ไม่ต้องห่วงเรื่องชาตอนนี้หรอก บอกผมก่อนว่าทำไมต้องการตัวผม คุณรู้ไหมว่าผมยุ่งมากๆ ในช่วงนี้ ผมเพิ่งไปที่มณฑลเสฉวนก่อนมาเองนะ”


 


ใบหน้าของฮานจั่ยชินเปลี่ยนไปเป็นสีดำ เย่โม่กำลังพูดเรื่องไร้สาระ เวลา 1 ชั่วโมงจากมณฑลเสฉวนถึงปักกิ่ง? เขาหลอกใครห่ะ? แม้ว่าเย่โม่จะออกเดินทางด้วยเครื่องบินมันก็ใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงด้วยซ้ำ


 


แต่ฮานจั่ยชินจะไม่เปิดเผยความคิดเหล่านี้ออกมา ดังนั้นเขาจึงพูดพร้อมกับยิ้มว่า “พี่เย่ รู้ไหมว่าสิ่งที่ฉันมีคือหลานสาวหยานหยานที่แสนเลอค่าของฉัน ในครั้งนี้ฉันต้องการให้นายช่วยเธอสักหน่อยนะ”


 


“พี่เย่ ได้โปรดดื่มชาสักหน่อยสิ” ฮานจั่ยชินนำถ้วยมังกรชาอุ่นๆ มาให้ และกลิ่นของมันก็ดีจริงๆ


 


เย่โม่มองที่ฮานหยันอย่างประหลาดใจและพูดว่า “พี่ฮาน หลานสาวของคุณก็ดูดีมากเลยนิ เธอต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไร?”


 


ฮานหยันได้ยินเรื่องนี้และดูเหมือนจะต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมา ในอดีตเธอจะไม่สนใจคำพูดของเย่โม่ แต่ตอนนี้เธอรู้ว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก


 


ฮานจั่ยชินถอนหายใจและพูดว่า “ฉันแน่ใจแล้ว พี่เย่ นายรู้เรื่องนิกายลี้ลับ แต่นายเคยได้ยินเกี่ยวกับการแข่งขันนิกายลี้ลับไหม?”


 


การแข่งขันนิกายลี้ลับ? เย่โม่ได้ยินเรื่องนี้มากกว่า 1 ครั้ง มันจะมีขึ้นทุกๆ 3 ปี ครั้งสุดท้ายที่เขาพบโม่คัง เขาบอกว่ามันเปลี่ยนสถานที่ทุกๆ 5 ปี และสถานที่นั้นเปลี่ยนไปเป็นเมือง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับฮานหยันหรอ?


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่โมจึงพูดอย่างไม่รู้ตัวว่า “แน่นอนฉันรู้ แต่มันไม่ได้ผ่านไปแล้วเหรอ?”


 


“ผ่านไปแล้ว? ใครพูดอย่างนั้น?” ฮานหยันมองไปที่เย่โม่อย่างแปลกประหลาด


 


เย่โม่เกาจมูกของเขาอย่างงุ่มง่าม “ไม่รู้สิ ฉันคงได้ยินผิดมั้ง”


 


“ฉันรู้ว่านายจะรู้เกี่ยวกับมัน” ฮานจั่ยชินปรบมือและหัวเราะ


 


ฮานจั่ยชินกล่าวต่อว่า “ฮานหยันเป็นตัวแทนของนิกายเธอในทัวร์นาเมนต์นี้ และฉันต้องการให้นายช่วย”


 


“คุณต้องการให้ผมสอนเธอหรอ?” เย่โม่มองฮานหยันอย่างศึกษา พลังของเธอต่ำเกินไป ขั้นตติยสีเหลือง มาตรฐานนี้ต่ำจังนะ?


 


ฮานจั่ยชินลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นแล้วพูดว่า “ถ้านายสามารถสอนเธอได้ มันจะดีมากเลยละ!”


 


เย่โม่โบกมืออย่างช่วยไม่ได้ทันที “ฉันฝึกทักษะต่างๆ ให้เธอ เพราะงั้นไม่มีประเด็นในการสอนอะไร บอกฉันสิ ฉันจะช่วยได้ยังไง”


 


แม้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับฮานจั่ยชินจะไม่เลว แต่เขาก็ไม่ได้ทานยาเพิ่มลมปราณจำนวนมาก ดังนั้นถ้าฮานจั่ยชินพูดถึงตัวเขาเอง เขาจะไม่ใช้มัน


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้ ฮานจั่ยชินก็รู้สึกผิดหวัง แต่ใบหน้านั้นก็จางหายไปทันที เขากล่าวอย่างกระตือรือร้น “นิกายของหยันเออร์ ชื่อว่านิกายกวงฮั่น มันเป็นนิกายที่เล็กมากแม้ว่ามันจะเป็นนิกายลี้ลับภายนอก แต่ก็จัดอยู่ที่ด้านล่างสุด นิกายของเธอสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ทุกๆ 3 ครั้งเท่านั้น ซึ่งก็คือ 9 ปี ตอนนี้มันเป็นเวลา 5 ปีในระหว่างการแข่งขันทุกครั้ง นิกายกวงฮั่นสามารถมาได้ทุกๆ 2 ครั้ง ในแต่ละครั้งพวกเขามีตำแหน่งเดียวเท่านั้น”


 


เย่โม่ขมวดคิ้ว “ถ้ามันมีอคติแล้วทำไมต้องไป?”


 


ฮานหยันยิ้มอย่างขมขื่น “เพราะรางวัลมันดีมาก ในแต่ละครั้งหากคุณสามารถเข้าสู่ 30 อันดับสูงสุดได้ คุณจะได้รับยาขั้นสีดำ และรางวัล 500 ล้านรางวัลสำหรับ 10 อันดับแรกที่ชนะ และวิธีฝึกตนขั้นปฐพีอยู่ด้านบนสุด 3 อันดับแรกที่สามารถเข้าสู่บ่อน้ำจิตวิญญาณเพื่อฝึกตนเป็นเวลา 3 เดือนได้มีการกล่าวว่า 1 เดือนในนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่า 1 ปี นอกนอกจากนี้ทุกคนได้รับยาเพื่อไปถึงขั้นปฐพี นี่ไม่ใช่แม้แต่สิ่งที่สำคัญ! สิ่งสำคัญคือรางวัลลับที่ว่า 30 อันดับแรกล้วนมีโอกาสได้รับ”


 


เย่โม่คิด ‘นั่นอาจจะเป็นจิตวิญญาณดีรึเปล่า?’ ถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่ว่านิกายลี้ลับจะทรงพลังขนาดไหน เขาก็จะทำเพื่อตัวเอง ส่วนรางวัลอื่นๆ เย่โม่ไม่สนใจ


 


“ความจริงแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดคือยาขั้นสีดำที่มีคุณภาพสูง ฉันไม่ได้หวัง 10 อันดับแรกหรอก” ฮานหยันพูดออกมา


 


“ถ้างั้นทำไมเธอไม่ไปแข่งขันละ ฉันจะช่วยอะไรเธอได้?” เย่โม่ถามอย่างแปลกใจ


 


ฮานหยันพูดด้วยความอับอาย “เพราะในช่วงระยะเวลาการแข่งขันมีการฆ่าบ่อยครั้งก่อนการแข่ง ดังนั้นแต่ละนิกายจะส่งหัวหน้าไว้ปกป้องผู้เข้าแข่งขัน เราไม่มีปรมาจารย์ในนิกายของเราและอาจารย์ของฉันก็ยังคงฟื้นตัวจากความล้มเหลวในการเข้าถึงขั้นปฐพีอยู่…”


 


“เพราะงั้นเธอเลยต้องการให้ฉันปกป้องเธองั้นสิ?” เย่โม่ถาม


บทที่ 459 : ดอกไม้อวกาศ


 


ฮานจั่ยชินลูบมืออย่างเชื่องช้า “พี่เย่ หยันเออร์เป็นหลานสาวคนเดียวของฉัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ฉันคงจัดการกับมันไม่ได้ มันเป็นความคิดของฉันเองแหละ เธอไม่ได้อยากรบกวนนายหรอก แต่เนื่องจากเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจนถึง – “


 


เย่โม่หยุดฮานจั่ยชิน ถ้าฮานหยันไม่ได้พูดถึงเรื่องกราฝึกตนในบ่อจิตวิญญาณ เขาจะให้ยา 1-2 เม็ดกับฮานหยัน ยาเหล่านี้น่าเชื่อถือมากกว่ายาขั้นสีดำ แต่เย่โม่สงสัยว่าบ่อจิตวิญญาณเป็นจิตวิญญาณที่ดีรึเปล่า และเขาต้องการที่จะไปดู


 


เย่โม่พยักหน้าทันที “นานแค่ไหนถึงการแข่งขันและอยู่ที่ไหนละ? ผู้เข้าร่วมจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอะไรบ้างไหม?”


 


ฮานหยันตอบกลับทันทีว่า “ใน 3 วันที่ยอดเขาทลาย ในเมืองผี ผู้เข้าร่วมต้องมีอายุต่ำกว่า 30 ปี และมีบัตรหยกแสดงเอกลักษณ์ของตนเอง”


 


จากนั้นฮานหยันก็หยิบของออกมา ซึ่งเป็นบัตรขนาดเล็กที่ทำจากหยกขาว


 


“โอเค ฉันเห็นด้วย ใน 3 วันฉันจะรอเธอที่โรงแรมซือเยวียในเมืองผีแล้วกัน” เย่โม่ตกลงอย่างรวดเร็ว


 


เย่โม่รู้เรื่องเมืองผี ชื่อจริงของมันคือเมืองกุยเฉิง แต่ผู้คนคุ้นเคยกับการเรียกมันว่า ‘เมืองผี’ เขาเคยไปที่นั่นมาก่อน เมื่อตอนที่เขาตามหาลั่วหยิง ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องนี้


 


มันมีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีบางคนอ้างว่ามันเป็นเมืองผีสิง ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มลดลง


 


แม้ว่าจะไม่ได้มีคนจำนวนมากเหมือนแต่ก่อน คนส่วนใหญ่ที่ไปที่นั่นทุกวันนี้ก็มีพลังบางอย่าง บางคนเป็นพระหรือผู้ฝึกเต๋า บางคนมาจากนิกายลี้ลับ


 


โรงแรมซือเยวีย เป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของเมือง เขาเคยมาพักที่นี่เมื่อครั้งก่อน เย่โม่รู้จักบอสของที่นี่เช่นกัน เนื่องจากโรงแรมนี้เคยถูกผีสิง เขาเป็นคนดี ดังนั้นเย่โม่จึงมอบยันต์เวทมนตร์ 8 ชิ้นให้เขาเพื่อเป็นการป้องกัน


 


เนื่องจากพลังของสิ่งประดิษฐ์เวทย์มนตร์นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกอักขระและมนต์ของพระและผู้ฝึกเต๋าที่มอบให้เขา เขาจึงเคารพเย่โม่อย่างมาก


 


“พี่เย่ คุณจะจองห้องพักที่โรงแรมซือเยวียได้ด้วยหรอคะ?” ฮานหยันถามด้วยความประหลาดใจอย่างมีความสุข


 


“มีอะไรผิดปกติหรอ? โรงแรมซือเยวียเป็นสถานที่ที่ผู้คนมักจะอยู่กันนิ ทำไมฉันจะจองไม่ได้ละ?” เย่โม่ถามอย่างแปลกใจ


 


ความสุขของฮานหยันหายไป เธอตอบด้วยความผิดหวังว่า “เนื่องจากการแข่งขันนิกายลี้ลับ คุณไม่สามารถจองห้องพักได้ที่นั่นหรอกคะ พวกมันจะถูกจองเต็มเพราะนิกาย แม้แต่พนักงานของรัฐก็จองไม่ได้เลยคะ เพราะงั้นคุณจะไม่ได้แม้แต่ห้องเดียว”


 


เย่โม่ยิ้ม “คนอื่นอาจจะไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันก็จะไม่ได้ แค่ไปพบฉันที่นั่นก็พอ”


 


เย่โม่เชื่อมั่นว่าหัวหน้าของโรงแรมจะได้ห้องพักมาให้เขา


 


ฮานหยันมองอย่างเย่อหยิ่งที่เย่โม่โดยสงสัยว่าเขาพูดความจริงหรือไม่ แต่ใบหน้าของเย่โม่นั้นสงบและเธอไม่สามารถสงสัยได้เลย


 


ฮานจั่ยชินพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันจะฝากหยานเออร์ไว้กับนายนะ แต่ที่ฉันโทรหานายวันนี้ ก็เพื่อเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า”


 


เมื่อเห็นเย่โม่มองดูเขาด้วยความสับสน ฮานจั่ยชิยก็ถอนหายใจ “นายรู้เกี่ยวกับรายงานข้อมูลครั้งล่าสุดใช่มั้ย? มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพิมพ์เขียวดอกไม้อวกาศ จริงๆ แล้วนายให้เพียงส่วนเล็กๆ กับหลี่หวง พิมพ์เขียวนี้สำคัญมาก จนถึงตอนนี้นักวิจัยของเราก็ยังไม่เข้าใจว่าอัจฉริยะแบบไหนที่สามารถออกแบบมันได้”


 


ฮานหยันมองดูคุณปู่ของเธออย่างประหลาดใจด้วยเช่นกัน “คุณปู่คะ มันน่าทึ่งมากนะ แต่มันก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้น มันดีกว่ายานอวกาศอีกเหรอคะ?”


 


ฮานจั่ยชินแสดงออกอย่างจริงจังมาก “ถ้าดอกไม้อวกาศถูกพัฒนา ยานอวกาศจะเป็นเรือไม้ที่หักลำต่อไป พิมพ์เขียวดอกไม้อวกาศช่วยให้มีความเป็นไปได้ในการใช้อาวุธทางทะเลและทางอากาศ มันมีประสิทธิภาพ ประหหยัดพลังงาน รวดเร็ว หลบหนีได้ และสามารถควบคุมได้ง่าย ถ้าดอกไม้อวกาศถูกสร้างขึ้นจริงๆ มันก็สามารถทำลายประเทศได้ง่ายๆ แน่นอนว่าฉันกำลังพูดถึงสถานการณ์ในสถานการณ์ปัจจุบันของเรา เมื่อระบบเรดาร์ก้าวหน้ากว่านี้ แม้แต่ดอกไม้อวกาศก็ยังไม่สามารถตรวจจับได้ แต่ดอกไม้อวกาศยังสามารถปรับปรุงได้อย่างต่อเนื่อง เฮ้อออ – “


 


เย่โม่ถามอย่างสับสน “มันแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงเหรอ?”


 


การแสดงออกของฮานจั่ยชินรุนแรงยิ่งขึ้น “พิมพ์เขียวดอกไม้อวกาศเป็นพิมพ์เขียวที่จะเริ่มต้นยุคใหม่ แต่เราควบคุมเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เรายังไม่ได้สร้างแหล่งพลังงาน ระบบเคลื่อนที่และเทคโนโลยีการปิดบัง คนที่ออกแบบมันไม่ได้เป็นเพียงอัจฉริยะ เขาเป็นอัจฉริยะของจักรวาล ฉันไม่เคยเห็นใครที่มีความรู้มากมายขนาดนี้มาก่อนเลย”


 


เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เย่โม่ก็คิดอย่างถี่ถ้วน ใครบางคนที่น่าทึ่งที่มีอยู่จริงบนโลกด้วยหรอ? หรือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่มาจากอารยธรรมเทคโนโลยีแบบเขา?


 


ฮานจั่ยชินพูดต่อ “พิมพ์เขียวอาจมาจากองค์กรนอร์ทแซนด์ องค์กรนี้ลึกลับมาก พวกเขารวบรวมความสามารถของประเทศต่างๆ ตามสติปัญญาของเรา มากกว่า 10 ประเทศรู้เกี่ยวกับพิมพ์เขียวและนี่เป็นเพราะสหรัฐฯ เข้ามารู้โดยบังเอิญ ประเทศเหล่านี้ต้องการพิมพ์เขียว หากพิมพ์เขียวนี้ถูกนำออกไปมันจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศของเรา ในทางใดทางหนึ่ง หากดำเนินการโดยสหรัฐหรือประเทศในยุโรป มันไม่สำคัญหรอก พวกเขาจำเป็นต้องรักษาหน้า แต่ถ้ามันเป็นประเทศอย่างญี่ปุ่นนี้สิ มันจะเป็นหายนะสำหรับโลก”


 


เย่โม่พยักหน้า “ฉันรู้ คราวก่อนฉันสัญญาว่าจะช่วยคุณหามัน แต่ฉันยุ่งมาก ฉันไม่มีเวลาเลย”


 


ฮานจั่ยชินดูมีความสุขในทันทีและพูดว่า “นายจะไม่ถูกบ่นหรอก ถ้าใครมันทำอย่างนั้นนะ มันจะไม่เป็นที่ต้องการของโลกทั้งใบเลย เนื่องจากสหรัฐฯนำแผนขึ้นมาเพื่อขโมยมัน พวกเขาน่าจะใช้เชิงรุกมากขึ้น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาจัดการกับบางอย่างในแปซิฟิก ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


แน่นอนว่าเย่โม่รู้ว่าทำไมสหรัฐอเมริกาถึงทำเรื่องวุ่นวายในแปซิฟิก พวกเขากำลังตามหาจักรวรรดิอาทิตย์ทมิฬ สหรัฐฯจะไม่ยอมปล่อยให้เป็นภัยคุกคามแน่


 


“ฐานขององค์กรนอร์ทแซนด์นั้นถูกซ่อนไว้อย่างดีมาก มันมีมากมาย แต่ไม่มีใครสามารถค้นหาเจอจนกระทั่งตอนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะทำ พวกเขาก็ไม่กล้าทำให้ตกใจหรือพิมพ์เขียวจะไม่สัมผัสพื้นผิวอีกต่อไป ฉันคิดว่าสหรัฐฯรู้เกี่ยวกับ 1 หรือ 2 ฐาน แต่พวกเขาจะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณชน” ฮานจั่ยชินพูดอย่างกังวลใจ


 


เย่โม่สงสัยว่าถ้าเขาจะได้รับพิมพ์เขียว เขาจะสามารถขายมันเป็นเงินจำนวนมากได้และใช้เงินนั้นเพื่อซื้อที่ดิน


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่โม่ก็รู้ว่าบางทีเขาอาจต้องหาพิมพ์เขียวนั้น


 


และอีกสิ่งหนึ่ง ถ้าพิมพ์เขียวนั้นดีจริงๆ เขาสามารถเอาไปทำเองได้ไหม? เขาจะไม่มีกองทัพที่เหมาะสมสำหรับดินแดนของเขา แต่ถ้าเขามีเครื่องจักรสงคราม เขาก็สามารถปกป้องเมืองของเขาได้ก่อนที่เขาจะถึงขั้นระดับพลังงานหลัก


บทที่ 460 : ยาที่มีพรสวรรค์


 


เย่โม่ตั้งใจจะเจรจากับฮานจั่ยชินก่อน เพื่อขอความช่วยเหลือในการแก้ปัญหาเรื่องดินแดนของเย่โม่ หากเขาสามารถหาพิมพ์เขียวสำหรับเขาได้ ยังไงซะตอนนี้เย่โมเปลี่ยนใจ เพราะถ้าพิมพ์เขียวมันดีจริงๆ แล้วทำไมเขาต้องแลกกับฮานจั่ยชินด้วยละ? เขาสามารถเก็บไว้กับตัวเองได้นิ


 


เมื่อออกจากบ้านของฮานจั่ยชิน เย่โม่ก็ตรงไปที่เมืองหนิงไห่เนื่องจากเขาต้องการพาน้องสาวของเขา ทังเป่ยเวยไปที่เมืองอสรพิษ


 


“พี่คะ!” ทังเป่ยเวยเพิ่งกลับมาถึงบ้าน เมื่อเธอเห็นเย่โม่ยืนอยู่ในสวน เธอก็มีความสุขมากที่ได้เห็นพี่ชายของเธอ


 


เย่โม่เห็นว่าทังเป่ยเวย มาถึงขั้นกลางระดับ 2 แล้ว เขาก็มีความสุขเช่นกัน เขาเห็นถุงพลาสติกอยู่ในมือแล้วถามว่า “เธอออกไปซื้อของหรอ?”


 


ทังเป่ยเวยเขินและพยักหน้า จากนั้นเธอเปลี่ยนเรื่อง “นี้พี่คะ เข้าไปข้างในแล้วดูรอบๆ สิ ฉันเปลี่ยนกระถางดอกไม้ด้วยนิดหน่อยละ”


 


เย่โม่ตามเธอมาที่กระถางดอกไม้ ปัจจุบันใหญ่ขึ้นและหญ้าหัวใจสีเงินก็เติบโตได้ดี เธอต้องใช้เวลากับมันมากทีเดียว


 


“เป่ยเวย เธอย้ายหัวใจเถาวัลย์สีม่วงด้วยหรอ?” เย่โม่ยังเห็นเถาวัลย์หัวใจสีม่วงอยู่ข้างๆ


 


ทังเป่ยเวยยิ้มแล้วพูดว่า “อื้ม พี่คิดว่าไงละ? ฉันกำลังจะย้ายดอกหญ้าสีครามด้วยนะ แต่พี่บอกว่ามันจำเป็นต้องมีค่ายกล ดังนั้นฉันจึงไม่ได้แตะต้องมันเลย”


 


เย่โม่อดไม่ได้ที่จะลูบหัวเธอและพูดพึมพำ “มันเติบโตได้อย่างสวยงามจริงๆ”


 


“นี้พี่ชาย พี่กำลังพูดว่าฉันเติบโตสวยงามหรือหญ้าเนี้ย?” ทังเป่ยเวยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์


 


เย่โม่รู้จักเธอมาระยะหนึ่ง แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเธอมีด้านนี้ด้วย เขาเกาจมูกแล้วพูดว่า “ทั้งคู่แหละ”


 


เย่โม่หยุดพักครู่หนึ่งและพูดต่อ “เธออาจรู้แล้วว่าบริษัทลั่วเยวียเป็นของฉันใช่ไหม? ฉันมาที่นี่เพื่อพาเธอไปที่เมืองอสรพิษ ฉันกังวลเกี่ยวกับการที่เธออยู่ที่นี่ด้วยตัวเองนะ”


 


เย่โม่มีความสุขที่ทังเป่ยเวยเปล่งประกายขึ้น เธอรู้สึกหดหู่ใจตั้งแต่ที่ทังจิ่งตาย การเปล่งประกายที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่มีอะไรนอกจากเรื่องดีสำหรับการฝึกตนของเธอ แม้ว่าทังเป่ยเวยจะเคยพูดถึงว่าเธอชอบความเงียบสงบ แต่ผู้หญิงที่เพิ่งอายุ 20 ปีกว่าๆ อาศัยอยู่กับแม่ชีแก่ๆ ทุกวันทำให้เย่โม่กังวลเล็กน้อย เพราะนั่นเป็นเรื่องที่น่าหดหู่เกินไป


 


ลั่วหยิงนั้นดีกว่าเพราะเธอฝึกตนด้วยวิธีการเงียบสงบ แต่ทังเป่ยเวยเป็นเพียงฝึกสิ่งที่เย่โม่สอนเธอเท่านั้น


 


ทันทีที่เย่โม่พูดจบ ทังเป่ยเวยก็อุทานด้วยความดีใจ “พี่ชาย บริษัทลั่วเยวียเป็นของพี่จริงๆหรอ? ฉันรู้ว่าพี่มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนั้น แต่ฉันไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นจริงเลยอะ งั้นพี่ชายของฉันก็รวยสุดยอดเลยสิตอนนี้!”


 


“ยัยนักล่าสมบัติเอ้ย ไปที่เมืองอสรพิษกัน แล้วฉันจะให้เธอนับเงินทุกวันเลย” เย่โม่ลูบผมของทังเป่ยเวย


 


สิ่งที่เย่โม่ไม่ได้คาดหวังก็คือ ทังเป่ยเวยจะเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พี่ชาย พี่รู้ไหมว่าฉันชอบชีวิตที่สงบสุข นิกายซิเรนมันดีนะ และแม่ของฉันก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน แต่บางครั้งฉันก็คิดถึงพี่ ดังนั้นฉันเลยออกมา สถานที่นี้ดีมากและพี่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน ฉันชอบมันมากนะ”


 


“ยัยเด็กโง่ อย่าเป็นเหมือนพวกแม่ชีน่าเบื่อสิ เธอจะแต่งงานกับใครสักคนในอนาคตนะ นอกจากนี้มันเหงาเกินไปที่เธอจะอยู่ที่นี่” เมื่อเย่โม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของทังเป่ยเวย เขาก็มีความสุขมาก


 


ทังเป่ยเวยมุ่ยริมฝีปากและบ่นว่า “ฉันไม่แต่งงานกับใครนะ นอกจากนี้ฉันไม่ได้อยู่คนเดียวตลอดด้วย จิงเหวินย้ายมาอยู่กับฉัน พี่ยวินปิงและถิงถิงเองก็มาที่นี่บ่อยๆ”


 


“ซูจิงเหวิน?” เย่โม่พูดในทันทีว่า “ไม่ใช่ว่าเธอก็มีบ้านในหนิงไห่หรอ? ทำไมเธอย้ายมาที่นี่ตอนนี้ละ? เธออยู่ที่ไหน?”


 


“จิงเหวินชอบที่นี้มาก และเนื่องจากฉันอยู่คนเดียวที่นี่ เธอเลยย้ายมา มีนักข่าวคนหนึ่งมาสัมภาษณ์เธอวันนี้ เธอก็เลย -” ก่อนที่ทังเป่ยเวยจะพูดจบประโยค ซูจิงเหวินก็เดินเข้ามาพร้อมกระเป๋า .


 


“อ๊ะ? เย่โม่ นายกลับมาแล้วเหรอ?” ซูจิงเหวินยืนงงงวย เมื่อเธอเห็นเย่โม่พูดกับทังเป่ยเวย


 


เย่โม่ยิ้มและพูดว่า “จิงเหวินไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”


 


“ใช่ นานมาก” ซูจิงเหวินต้องการที่จะได้เจอเย่โม่อยู่เสมอ และตอนนี้ในที่สุดเธอก็ได้เจอเขา แต่เธอรู้ว่าเธอไม่มีอะไรจะพูดเลย


 


ทังเป่ยเวยเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างอึดอัด ดังนั้นเธอจึงรีบหยิบเก้าอี้ 2-3 ตัวออกมาอย่างรวดเร็ว


 


“พี่จิงเหวินคะ นักข่าวสัมภาษณ์พี่เรื่องอะไรหรอ?” ทังเป่ยเวยทำลายความอึดอัดใจ


 


ซูจิงเหวินจ้องที่เย่โม่แล้วพูดว่า “นักข่าวคือเพื่อนของฉันเองนะ ชื่อเซี่ยวเหลย เย่โม่ก็รู้จักเธอนะ เธออยากสัมภาษณ์พ่อของฉัน แต่เขาไม่ได้อยู่แถวนี้นะ เธอเลยสัมภาษณ์ฉันแทน มันเกี่ยวกับลุงของฉัน ซู เหิง เขาเคยเป็นนายกเทศมนตรีที่เมืองซีตง แต่ถูกจัดการและถูกกล่าวเขาฆ่าตัวตาย ความจริงมันชัดเจนแล้ว และเซี่ยวเหลยต้องการทำรายงานพิเศษกับเขานะ”


 


เย่โม่ไม่ได้คาดหวังความสัมพันธ์นี้ จากสายตาที่ซูจิงเหวินมองดูเขา เย่โม่รู้ว่าเซี่ยวเหลยต้องบอกทุกอย่างที่เขาทำ


 


หลังจากนั้นไม่นาน ซูจิงเหวินก็ถอนหายใจและทำตัวสบายๆ


 


“เย่โม่ บริษัทลั่วเยวียในเมืองอสรพิษเป็นของนายหรอ?” ซูจิงเหวินถาม เธอรู้ทันทีว่าหากบริษัทลั่วเยวียไม่ใช่ของเย่โม่ บริษัทเฟยยวีจะถูกเลือกได้ยังไง? เห็นได้ชัดว่ามันใช่


 


“พี่เย่ พี่นี้น่าทึ่งจริงๆ! ฉันเห็นข่าวด้วยนะว่า บริษัทเยวียนเป่ยที่จริงเป็นพวกเลวทราม คนหน้าซื่อใจคดจริงๆ! ไงก็เถอะ พี่มียารักษารูปลักษณ์พวกนั้นอีกไหมอะ? ให้พี่จิงเหวินสักเม็ดสิ ยาความงามที่เธอซื้อมามันแพงมากเลยอะ!” ทังเป่ยเวยเพิ่งรู้หลังจากพูดออกไป คำพูดของเธอมันไม่เหมาะ หากยาความงามราคาแพงขนาดนั้น ยารักษารูปลักษณ์จะไม่แพงไปกว่านี้หรอ? เธอเคยมีมันและรู้ว่ามันดีแค่ไหน


 


แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือยารักษารูปลักษณ์อยู่ในระดับที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากเธอเข้าใจถูกต้อง เธอคงไม่พูดคำนั้น


 


เย่โม่รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เขามีค่อนข้างน้อย แต่เขากำลังรอเพิ่มพวกมันอยู่ ครั้งที่แล้วเขาบอกให้โม่คังขายเพียงไม่กี่เม็ด หลังจากผ่านไปไม่กี่ปีและทุกคนรู้ว่ามันมีคุณค่า มันจะไม่ขายเพียงได้ไม่กี่ร้อยล้านเท่านั้น


 


ตอนนี้น้องสาวของเขาถามมาแบบนี้ เขาก็อยู่ในจุดที่ลำบาก ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขา มันไม่ได้อยู่เหนือการให้สิ่งที่มีราคาแพงเช่นนี้


 


ซูจิงเหวินเห็นใบหน้าที่อึดอัดใจของเย่โม่และรู้สึกเศร้าเล็กน้อย เธอรู้ว่ามันไม่ถูก แต่ไม่ว่ามันจะแพงแค่ไหน ด้วยมูลค่าปัจจุบันของเย่โม่ เขาก็ไม่รังเกียจ สิ่งที่เธอใส่ใจไม่ใช่ยา แต่เป็นทัศนคติของเย่โม่


 


สัมผัสจิตวิญญาณของเย่โม่รู้ถึงการแสดงออกของซูจิงเหวินในทันที จำได้ว่าเธอช่วยเขามาก่อนและพวกเขาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร เขารีบนำมันออกมาอย่างรวดเร็วและมอบให้กับซูจิงเหวิน “สิ่งนี้คล้ายกับยาความงามที่เธอมีนั้นแหละ เอาไปสักเม็ดสิ ฮ่าๆ ถ้าเป่ยเวยไม่ได้พูดถึงมัน ฉันก็นึกไม่ออกเลยนะเนี้ย”


 


ซูจิงเหวินรับยามาและรู้สึกมีความสุขมาก เธอไม่ได้สนใจเกี่ยวกับยา แต่ความจริงที่ว่าเย่โม่ยินดีที่จะให้ยาแก่เธอ หมายความว่าเขาให้การดูแลเป็นพิเศษกับเธอ


 


มีกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ออกมาจากยา ซูจิงเหวินรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ยาความงามสามารถเปรียบเทียบได้ บางทีมันอาจจะมีมูลค่านับแสน เธอรู้ว่าแม้ว่าเธอจะขายบริษัทของเธอ เธอก็อาจจะไม่สามารถซื้อได้ เธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลย


 


เย่โม่พูดอย่างรวดเร็วว่า “เร็วเข้า กินมันสิ ถ้าเธอไม่กิน มันจะสูญเสียพลังงานนะ”


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้ เธอก็เอายาใส่ในปากของเธอทันที สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือมันละลายในปากของเธอทันที


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในร่างกายของเธอและดูเหมือนจะมีสิ่งต่างๆ ไหลออกมาจากผิวหนังของเธอ เมื่อเธอรู้สึกไม่มั่นใจ ทังเป่ยเวยจึงพูดว่า “หลังจากที่เธอกินยา มันจะมีสิ่งสกปรกออกจากร่างกายนะ ไปอาบน้ำเถอะ”


 


หลังจากซูจิงเหวินออกไป ทังเป่ยเวยก็พูดด้วยเสียงเล็กๆ ว่า “พี่ชาย ฉันผื่นพี่เกินไปรึเปล่า? ยาเม็ดนั้นต้องแพงมากแน่เลย”


บทที่ 461 : การต่อสู้ในโรงแรม


 


พวกมันไม่เพียงแต่มีราคาแพง แต่มันเป็นราคาที่ไร้เหตุผล แต่เพื่อที่จะไม่ทำให้เธอลำบากใจ เย่โม่ตบหน้าเธอแล้วพูดว่า “ไม่หรอก ฉันมีอีกเยอะน่า แต่อย่าทำแบบนั้นอีกนะ”


 


“อื้ม” ทังเป่ยเวยเหลือบมองเย่โม่ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้พูดความจริง


 


เย่โม่และทังเป่ยเวยคุยกันเป็นเวลานาน ก่อนที่ซูจิงเหวินจะเข้ามา เธอไม่อยากเชื่อถึงผลกระทบของยาเลย เธอเคยกินยาความงามมาก่อน แต่เมื่อเทียบกับยารักษารูปลักษณ์แล้ว มันเทียบอะไรไม่ได้เลย


 


ยาทำให้ผิวของเธอเนียนเหมือนหยก และความไม่สมบูรณ์เล็กน้อยบนใบหน้าของเธอก็หายไป ยาเม็ดนั้นราคาไม่ใช่ถูกๆแน่ มันอธิบายได้ว่าทำไมผิวของเป่ยเวยถึงสวยแบบนั้น


 


“พี่จิงเหวิน พี่สวยมากเลยอะ แต่ตอนนี้พี่เป็นเหมือนเทพธิดาเลยอะ” ทังเป่ยเวยพูดเกินจริงแล้วเดินไปหาเธอ


 


ซูจิงเหวินมองเย่โม่ แต่เธอไม่ได้ขอบคุณเขา เธอรู้ว่ายาเม็ดนี้จะต้องมีราคาแพงอย่างไร้เหตุผล มันยังไม่ได้วางขายในตลาด ซึ่งหมายความว่าจะไม่สามารถผลิตได้จำนวนมาก


 


“เย่โม่ วันนี้นายยุ่งไหม? แม่ของฉันอยากเจอนายสักครั้งนะ แม่ยังไม่เคยได้เจอนายเลย” ซูจิงเหวินมองอย่างคาดหวังที่เย่โม่


 


เย่โม่ลังเลและพูดว่า “ฉันจะอยู่ที่นี่สัก 2 วันนะ ฉันไปบ้านของเธออยู่นะ นอกจากนี้อีก 2 สัปดาห์ถัดไปฉันจะยุ่งมาก แต่หลังจากนั้นฉันก็จะว่างเดือนนึง”


 


“โอเค งั้นต้นเดือนหน้าฉันจะรอนายที่บ้านของฉันนะ” ซูจิงเหวินพูดอย่างรวดเร็ว


 


“พรุ่งนี้กับอีกวันหนึ่งฉันก็ว่าง ทำไมต้องเดือนหน้าละ?” เย่โม่ถามอย่างสงสัย


 


ทังเป่ยเวยดึงมือของเย่โม่แล้วพูดว่า “ถ้าเธอบอกแบบนั้น มันก็ต้องหมายความว่าแม่ของเธอไม่ได้อยู่ที่บ้านนะสิ พี่ชาย พี่เป็นเจ้าของที่ดินที่ร่ำรวยในตอนนี้ เราควรไปที่ร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองคืนนี้กันนะ พี่หยิวปิงเขาไปปักกิ่งอะ ไม่งั้นเธอก็สามารถมาร่วมกับเราได้แล้วละ”


 


เย่โม่ไม่ถือสาเธอ และพูดว่า “โอเค งั้นไปกันเถอะ”


 


…..


 


เย่โม่ใช้เวลา 2 วันถัดไปกับทังเป่ยเวย และเขาก็ไม่ได้พาเธอกลับไปเมืองอสรพิษอีกเลย หากเธอต้องการอยู่ที่นั่น เย่โม่ก็จะปล่อยเธอ ใน 2 วันนี้ เย่โมไม่เพียงแต่สอนบอลไฟเท่านั้น แต่ยังการควบคุมลมอีกด้วย


 


ในช่วงเวลานี้ เย่โม่ ทังเป่ยเวยและซูจิงเหวิน เที่ยวเล่นกันไปทั่วทั้งเมืองหนิงไห่ 2 วันนี้มันเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของทังเป่ยเวย เย่โม่ไม่ค่อยมีเวลามากนักที่จะมาเล่นกับเธอได้


 


หลังจากผ่านไป 2 วันถึงแม้จิงเหวินและทังเป่ยเวยจะเต็มใจ แต่เย่โม่ก็ออกจากเมืองหนิงไห่


 


“เป่ยเวย เธอนี่โชคดีจริงๆ พี่ชายของเธอเป็นคนที่มีความสามารถมาก เขาเป็นคนซื่อสัตย์และไม่หลงตัวเอง เขาคือลูกผู้ชายตัวจริงเลย” ซูจิงเหวินมองดูเย่โม่ในด้านหลัง และพูดจากใจ หลังจากนั้นเธอก็รู้ว่าคำพูดของเธอน่าอึดอัดใจเล็กน้อย เธอหน้าแดงและต้องการหาวิธีที่จะอธิบาย


 


แต่ทังเป่ยเวยเองก็มองเข้าไปในระยะไกลและตอบอย่างไม่รู้ตัว “ความจริงที่ว่าเขาคือพี่ชายของฉันทำให้ฉันมีความสุขที่สุด แต่ก็เป็นคนที่ไม่มีความสุขเลย”


 


ซูจิงเหวินมองไปที่ทังเป่ยเวย และเข้าใจในทันที ทังเป่ยเวยไม่เคยเจอเย่โม่เลยในก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นเย่โม่ยังใส่ใจเธอเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เธอพึ่งเขามาก


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ซูจิงเหวินก็ถอนหายใจ แม้ว่าเย่โม่จะไม่ใช่พี่ชายของเป่ยเวยก็ตาม เธอก็ไม่มีโอกาส


 


ซูจิงเหวินและทังเป่ยเวยยืนอยู่กลางถนนโดยไม่ขยับ และเหม่อมองไปในระยะไกล


 



 


โรงแรมซือเยวีย เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวเพียงแห่งเดียวในเมืองกุยเฉิง เนื่องจากอาคารไม่ได้ถูกเรื่องหลอกหลอนอะไรตามรั้งควานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา นี่เป็นเรื่องยากมากในเมืองผี โรงแรมอื่นจะมีปีละครั้งหรือ 2 ครั้ง ในกรณีที่ร้ายแรงคนจะเสียชีวิต ในกรณีที่เบา คนๆนั้นจะต้องอยู่ในโรงพยาบาลครึ่งเดือน


 


เจ้าของโรงแรมหลายคนเริ่มออกจากเมืองผี แต่ธุรกิจของโรงแรมซือเยวียเติบโตขึ้น คนอื่นไม่รู้ว่าทำไม แต่บอสหรือเจ้าของโรงแรม หวังซือเยวียก็รู้ดีเช่นกัน มันเป็นเพราะอุปกรณ์ป้องกันที่เย่โม่มอบให้เขา


 


หวังซือเยวียรู้ว่ามีปรมาจารย์ที่ซ่อนอยู่มากมายในโลกนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะบอกใบ้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็รู้ว่าการแข่งขันครั้งนี้ไม่เหมือนปกติ


 


คนชั้นสูงหลายคนกำลังมา ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคนเหล่านี้ยังไม่ได้รับโอกาสเข้าพักที่โรงแรมซือเยวีย เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าการแข่งขันครั้งนี้ไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นคนชั้นสูงเหล่านี้จะมาที่นี่อย่างเคารพนับถือทุกวันเพื่อเยี่ยมชมผู้คนที่อยู่ในนั้น บางครั้งพวกเขาจะรอทั้งวัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใจร้อนเลย


 


ดังนั้นเขาจึงสั่งให้บริกรทุกคนในโรงแรมอย่าทำให้ใครไม่พอใจ แม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่สำคัญก็ตาม มิฉะนั้นพวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา


 


แต่ตอนนี้หวังซือเยวียมีปัญหา เขาไม่ต้องการรุกรานใคร แต่คนในโรงแรมกำลังต่อสู้กันและเขาไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ มีคนต้องการที่จะอยู่ที่นี้ แต่เนื่องจากไม่มีห้องแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ออกไปและทำให้แขกไม่พอใจ ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กัน


 


ฮานหยันรู้สึกรำคาญ เธอมาที่โรงแรมที่เย่โม่บอก แล้วก็ถามบริกรสำหรับห้องของเย่โม่ แต่เธอไม่พบคนที่ชื่อว่า ‘เย่โม่’ ในระบบเลย เรื่องนี้ทำให้ฮานหยันรู้สึกอายมาก หลายคนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ


 


“เธอมาจากนิกายกวงฮั่นหรอ?” เมื่อฮานหยันไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ชายในวัย 20 ก็เข้ามาหาเธอและถามอย่างเมินเฉย


 


ฮานหยันผ่อนคลายตัวเองลง มันง่ายที่จะเห็นเธอ ในขณะที่เธอสวมเสื้อผ้าของนิกาย


 


“ค่ะ” ฮานหยันตอบกลับด้วยความเคารพ


 


ชายคนนั้นพูดอย่างจริงจังว่า “สาวน้อย เธอคิดคนจากนิกายกวงฮั่นสามารถเข้าพักที่โรงแรมซือเยวียได้หรอ? เธอกำลังฝันอยู่รึไง เฮ้อออ…. มันไม่สำคัญว่านิกายของเธอจะมาหรือไม่ ทำไมต้องเผชิญกับใบหน้าของเธอด้วยเนี้ย?”


 


เมื่อเห็นการแสดงออกที่จริงจังของชายคนนี้ ทุกคนก็หัวเราะ


 


ฮานหยันหน้าแดง แต่เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรกลับ บุคคลนั้นมาจากตระกูลเซีย แม้ว่าเธอจะไม่ได้ออกมาข้างนอกบ่อย แต่เธอก็จำเขาได้จากเสื้อผ้าของเขา แม้ว่าตระกูลเซียจะไม่ใช่ 1 ใน 6 นิกายที่ยอดเยี่ยม แต่พวกเธอก็อยู่ข้างใต้พวกเขา


 


นิกายกวงฮั่นนั้นไม่มีใครจริงๆเลย ฮานหยันรู้ว่าถ้าเธอทำให้พวกเขาโกรธนิกายของเธอ และแม้แต่ตระกูลฮานเองก็อาจมีส่วนร่วม


 


“พี่เซียพูดถูกต้องนะ เธอสามารถอยู่ในห้องของฉันได้นะ ห้องของฉันใหญ่มากเลยละ ฮิฮิ ถึงแม้ว่าเธอจะดูธรรมดา แต่ฉันก็ไม่รังเกียจหรอกนะ” คนในกลุ่มผู้ฟังยิ้มเยาะ


 


มีเสียงหัวเราะอีกรอบ ผู้คนในนิกายลี้ลับมักจะฝึกตนและไม่ค่อยออกมา พวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจพวกเขาถูกสอนว่าพลังคือทุกสิ่ง ไม่มีใครสนใจความอ่อนแออย่างนิกายกวงฮั่น


 


“นอนห้องแกเชี่ยไรละ ทำไมแกไม่กลับไปนอนกับแม่ของแกล่ะห่ะ?” ในที่สุดฮานหยันก็ระเบิดออกมา เธอได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพมาโดยตลอด นี่มันตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอยอมรับที่จะขายหน้าเช่นนี้?


 


“นังบ้านี้ แกต้องไม่อยากอยู่แล้วสินะ” ใบหน้าของชายผู้นั้นเย็นชา และพุ่งมาที่ด้านหน้าของฮานหยันเพื่อตบเธอ


บทที่ 462 : คนโหดร้าย


 


ฮานหยันเป็นขั้นสีเหลืองระดับ แต่ชายผู้นี้อยู่ขั้นสีเหลืองระดับสูงสุด เมื่อเขาโจมตีโดยไม่คาดคิดฮานหยันก็ไม่สามารถหลบได้


 


เพี้ยะ! -ฮานหยันโดนเข้าที่ใบหน้าเต็มๆ


 


ฮานหยันไม่สามารถควบคุมความโกรธในใจของเธอได้อีกต่อไป ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอได้รับการปฏิบัติแบบนี้? เธอไม่เคยคิดก่อนที่จะดึงดาบออกจากกระเป๋าและผลักมันเข้าหาฝ่ายตรงข้ามของเธอ


 


“เธออยากต่อสู้หรอ? ดีเลย พี่ใหญ่คนนี้จะเล่นกับเธอเอง!” ชายผู้นี้รูดเอวของเขาและมีดาบอันอ่อนนุ่มปรากฏอยู่ในมือ


 


ชิ้ง ชิ้ง – หลังจากนั้นเพียง 2 การโจมตี ดาบของฮานหยันก็ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ หลังจากนั้นชายคนนั้นก็เตะ ฮานหยันโดยไร้ความปราณี


 


ถ้าฮานหยันยังคงใจเย็นอยู่ เธอาจไม่ถูกเตะ แต่เธอก็เสียสติไปแล้ว เธอแค่อยากจะฆ่าผู้ชายคนนี้ที่ดูถูกเธอ แต่ยิ่งเธอเป็นแบบนั้นยิ่งผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งเหนือชั้นกว่า


 


ชายคนนั้นเตะขาของฮานหยัน ขณะที่เธอลอยไปหลายเมตรลงบนพื้น ซึ่งไม่สามารถต้านทานได้ ฮานหยันตกตะลึงไปทันที


 


จากนั้นชายคนนั้นก็เดินไปหาเธอและเยาะเย้ย “เธอเชื่อไหมว่าถ้าฉันแตะมันอีกครั้ง ขาอีกข้างของเธอก็จะแตกนะ?”


 


ฮานหยันกัดฟันแน่น และจ้องมองชายหนุ่มด้วยความโกรธโดยไม่พูดอะไร


 


“ฉันไม่เชื่อ” เสียงเยือกเย็นตอบขึ้นแทนฮานหยัน


 


ชายหนุ่มงุ่นงงและมองเย่โม่ ผู้ซึ่งสวมสีหน้าที่เย็นยะเยือกเดินเข้ามา “แกคิดว่าแกจะทำอะไรฉันได้หรอหะ?”


 


ผู้คนรอบข้างตื่นเต้นยิ่งขึ้น เมื่อเห็นการต่อสู้เริ่มรุนแรงขึ้น


 


เย่โม่ไม่สนใจชายคนนั้นและเชื่อมขาที่หักของฮานหยันก่อนที่จะให้ยา จากนั้นเขาก็ช่วยพยุงเธอและขอโทษด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษนะที่ฉันมาช้า”


 


เมื่อฮานหยันเห็นว่าเย่โม่มาแล้ว ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถกลั้นใจในหัวใจของเธอได้อีกและตกอยู่ในอ้อมแขนของเย่โม่ เธอร้องไห้ออกมา เธอรู้ว่ามันจะวุ่นวายมากในช่วงเวลาของการแข่งขัน แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น โลกนี้ไม่มีความเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย


 


เย่โม่จับเธอไว้และเห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้าของเธอ เขาถามอย่างเย็นชาในทันที “ใครตบหน้าเธอ?”


 


ก่อนที่ฮานหยันจะตอบ ชายคนนั้นก็พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ปู่แกมั้ง ก็ฉันนะสิ ถ้าแกกล้ามากนัก ทำไมแกไม่มาตบฉันล่ะ? ถ้าแกไม่ทำ แกก็ตบตัวเองแล้วกันเนอะ และไสหัวออกจากที่นี่ไปซะไป๊!”


 


ผู้คนหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงหัวเราะนั้นน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด หลายคนสังเกตเห็นว่าเย่โม่เชื่อมต่อกระดูกของฮานหยันอีกครั้งได้อย่างไรเหมือนมันไม่มีอะไรเลย แม้แต่ในโรงพยาบาลก็ต้องใช้เวลา 1 เดือนเพื่อที่จะสามารถเดินได้ แต่ชายคนนี้เพิ่งเชื่อมต่อใหม่ในเวลาไม่นานและให้ยาแก่เธอ และตอนนี้เธอสามารถเดินได้แล้ว! นี่มันไม่สมเหตุสมผลเกินไป


 


เย่โม่แสยะยิ้มและพุ่งไปข้างหน้าในก้าวเดียว เขาปรากฏตัวต่อหน้าชายหนุ่มในพริบตาและตบเขา 2 ครั้งอย่างรวดเร็ว และเตะไปที่หน้าอกของเขา


 


ก่อนที่ใครๆ ก็สามารถตอบสนองได้ ขาของเย่โม่ก็ไปอยู่ที่ท้องของชายคนนั้นแล้ว เขาก้าวถอยหลังไปกว่า 10 ก้าวแล้วกระอักเลือด เขานั่งลงบนพื้นขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด


 


เย่โม่เดินช้าๆ และเหยียบลงไป มีเสียงที่น่ากลัวของกระดูกที่แหลกเหลว เย่โม่บดขยี้ขาของชายคนนี้อย่างน่ากลัว


 


ทุกอย่างเงียบกริบ เมื่อชายคนนั้นรังแกฮานหยัน พวกเขาคิดว่ามันตลก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเย่โม่บดขาของชายคนนี้ ไม่มีใครรู้สึกขบขันอีกแล้ว พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือก ใครคือคนที่โหดร้ายเช่นนี้?


 


ไม่มีใครกล้าออกมาช่วยเหลือชายผู้นี้เช่นเดียวกับที่ฮานหยันถูกทำร้าย


 


หวังซือเยวียที่ยังอยู่ชั้นบนไม่กล้ามองลงมา เขากลัวว่าจะถูกจับได้


 


“ฉันคือเฟิงหนานแห่งนิกายอี้เจี้ยน แกไม่ -” ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดจบ เย่โม่ก็เหยียบเข้าที่ขาอีกข้างและย่ำบนหน้าอกของเขา ยิ่งกระดูกแตกในเวลานี้ก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยความโหดร้ายของเขา


 


เฟิงหนานไม่มีพลังในการพูด หัวของเขาตกลงมา แต่ไม่มีใครกล้าช่วยเขา


 


ฮานหยันสงบลงในขณะนี้และบอกให้เย่โม่หยุดอย่างรวดเร็ว เย่โม่ไม่รู้เรื่องนิกายอี้เจี้ยน แต่เธอรู้ มันเป็นนิกายที่ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลเซีย นิกายกวงฮั่นของเธอไม่สามารถยุ่งกับนิกายนี้ได้เช่นกัน


 


“พี่เย่คะ ไปกันเถอะ” ฮานหยันคว้าแขนของเย่โม่และพูดอย่างกังวล เธอจ้องมองที่เฟิงหนานโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าตำรวจจะไม่ผ่านมาและไม่มีใครเรียกพวกเขา เธอก็ยังคงกังวลว่าผู้ชายคนนั้นจะตายแล้ว


 


เย่โม่โบกมือ “เราจะอยู่ที่นี่ เราจะไปได้ยังไง? บอกฉันสิว่าใครอีกที่มันแกล้งเธอ?”


 


ทันทีที่เย่โม่พูด เซียเชิงก็ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว เย่โม่อยู่ขั้นสีดำอย่างแน่นอนหรือสูงกว่า ด้วยความโหดร้ายของเย่โม่ เขาจะพ่ายแพ้เหมือนเฟิงหนานแน่


 


เซียเชิงต้องการที่จะเรียกศิษย์พี่ของเขา แต่ไม่มีใครอยู่ที่นี่


 


ฮานหยันไม่ได้พูดอะไรแค่มองไปเซียเชิง เพราะทุกคนเองก็มองเขาอยู่ดี


 


เย่โม่เดินไปและมองเขาอย่างใจเย็นก่อนที่จะพูดว่า “แกโจมตีด้วยเหรอ?”


 


เซียเชิงสั่นเทา และไม่มีความสงบเหมือนอย่างที่เขาดูถูกฮานหยันอีกต่อไป เขาพูดอย่างเป็นกังวลว่า “ไม่ครับเชียนเปย ผมไม่ได้ทำร้ายเธอครับ”


 


เมื่อเห็นว่าดวงตาเย่โม่มีความรุนแรงมากขึ้น เซียเชิงก็ไม่สามารถอดทนต่อได้ และคุกเข่าลง “เชียนเปยคครับ โปรดเมตตาด้วย ผมไม่ได้ทำร้ายเธอจริงๆ ผมแค่เย้ยเธอเท่านั้น ผม ผม -“


 


เซียเชิงเริ่มตบหน้าตัวเองจนกว่าจะมีเลือดออก เย่โม่พูดอย่างเยือกเย็นว่า “ไสหัวไป อย่าให้ฉันเจอแกอีกนะ”


 


“ครับ ครับเชียนเปยi ผมจะไปเดี๋ยวนี้!” เซียเชิงรู้สึกละอายใจและโกรธเคือง แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบนั้น เขาจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อกลับมาจัดการเย่โม่


 


เซียเชิงเพิกเฉยต่อทุกคนและวิ่งเข้าไปในลิฟต์เมื่อเขากลับมาที่ห้องของเขา อย่างไรก็ตามในใจของเขาเย่โม่เป็นคนตาย เป็นแค่ขั้นสีดำคนเดียวกลับกล้ามาตบหน้าสมาชิกตระกูลเซีย และเกือบจะจัดการเฟิงหนานให้ตายเชียวหรอ?


 


สมาชิกอีก 2 คนของนิกายอี้เจี้ยนพาเฟิงหนานกลับไปที่ห้องอย่างระมัดระวัง พวกเขาต้องรายงานต่ออาจารย์ของพวกเขาเพื่อแก้แค้น


 


ใกล้หน้าต่างมีคน 3 คน ผู้หญิง 2 คนและชาย 1 คนที่ดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ หญิงสาวที่สวมเครื่องประดับที่สวยงามบนศีรษะและชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลามาก เขามีนิสัยที่เป็นชนชั้นกลาง


 


“บุคคลนี้โหดร้ายและเด็ดขาด และอย่างน้อยเขาก็อยู่ในขั้นตติยสีดำ ฉันสงสัยว่าเขามาจากนิกายอะไรจัง แต่เนื่องจากเขารู้จักคนในนิกายกวงฮั่น เขาอาจไม่ใช่คนที่มาจากนิกายขนาดใหญ่ เมื่อคนในตระกูลอี้เจี้ยนและเซียมาที่นี้ละก็…” ชายหนุ่มถอนหายใจและส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าเย่โม่จะตายในไม่ช้า


 


“ศิษย์พี่ เราเคยเห็นคนๆนี้มาก่อนไหมคะ? ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นนะ?” ทันใดนั้นน้องคนหนึ่งจากทั้งสองแม่ชีก็ถาม


 


แม่ชีอาวุโสพยักหน้า “ยวีเออร์ เธอคิดแล้วละ เขาคือชายสวมหน้ากากที่ไปประมูลภูเขาหวู๋เหลียง เขาไม่ต้องยุ่งกับเรื่องนี้”


 


“ศิษย์พี่รู้จักเขาหรอครับ?” ชายหนุ่มรูปงามถาม


 


แม่ชีอาวุโสพยักหน้า “ใช่ ถ้าฉันจำไม่ผิด คนๆนี้ไปประมูลที่วัดซีเซีย ซึ่งนายไม่ได้ไป แต่เขาฆ่าพี่น้องเดียวดายทั้งหมดด้วยตัวเอง และบ่งชี้บอกว่าขั้นปฐพีอย่างหมาป่าเดียวดายก็ตายด้วยมือของเขา เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ศิษย์น้องซือ หลีกเลี่ยงการติดต่อกับเขานะ เพราะเขาเป็นโหดร้ายมาก”


 


“โอ้ เขาสามารถฆ่าพี่น้องเดียวดายและหมาป่าเดียวดายได้หรอ? เขาเป็นขั้นปฐพีหรอเนี้ย? แต่เป็นไปได้ยังไงอะ เขาอายุ 20 เท่านั้นเอง ผมไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เลย” ศิษย์น้องซือถามด้วยความประหลาดใจ


 


ซือจร่งจือเป็นอัจฉริยะในอายุเพียง 26 ปี แต่อยู่ในขั้นตติยสีดำ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครสามารถไปถึงระดับของเขาได้ แต่ชายหนุ่มคนนี้บ้าบอคอแตกยิ่งกว่าเขาซะอีก


 


เนื่องจากความแตกต่างอย่างมากระหว่างขั้นสีดำและขั้นปฐพี ซือจร่งจือจึงไม่คิดว่าเย่โม่สามารถฆ่า หมาป่าเดียวดาย ขณะที่เป็นขั้นสีดำได้


 


“น่าสนใจแหะ” ซือจร่งจือมองเย่โม่ด้วยความสนใจ


 


แม้ว่าฮานหยันอยากจะจากไปจริงๆ เย่โม่ก็ยังคงพาเธอไปที่แผนกต้อนรับ


 


“ขออภัยด้วยคะท่าน ทางเราไม่มีห้องเหลือเลยคะ” หญิงสาวที่แผนกต้อนรับเห็นความวุ่นวายที่เย่โม่ก่อขึ้น และสั่นระริก


 


เย่โม่ยิ้ม “บอกหัวหน้าของเธอ หวังซือเยวียให้ลงมา บอกเขาว่ามีเพื่อนเก่าอยู่ที่นี่ ^^”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม