Strongest Abandoned Son บุรุษผู้ถูกทอดทิ้ง 423-441

 บทที่ 423 : แต่ละคนมีการคำนวณของตัวเอง


 


เมื่อบริษัทลั่วเยวียเติบโตยิ่งใหญ่ บริษัทยาเกือบทั้งหมดจึงสามารถซื้อหุ้นของบริษัทได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นผู้รับเหมาช่วง แต่พวกเขาก็สามารถได้รับประโยชน์จากมันได้ เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับผู้รับเหมาช่วงของตัวเอง ยกเว้นบริษัทเยวียนเป่ย


 


ไม่เพียงแต่ประธานหนุ่มของพวกเขาจะล้มเหลวในการถูกคัดเลือก เขายังถูกเรียกชื่อและเตะออกไป เขากลายเป็นตัวตลก ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องตลกในอุตสาหกรรมยาเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องตลกในหมู่พลเรือนด้วย


 


หากปัญหาของบริษัทเยวียนเป่ยได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาจะยังคงไม่ได้เป็นบริษัทยาอันดับ 1 ในเอเชีย ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าบริษัทเยวียนเป่ยจะสามารถทำได้ ประธานหนุ่มของพวกเขาก็ทำไม่ได้


 


แต่บริษัทเยวียนเป่ยไม่ต้องการต้านทานอีกต่อไปอีกต่อไป เพราะบริษัทลั่วเยวียได้โกรธแค้นพวกเขาก่อน พวกเขาดูเหมือนจะเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ต่อบริษัทเยวียนเป่ย ไม่เพียงแต่พวกเขาเตะเยวียนชีปิงออกจากการประชุมต่อหน้าคนทั้งโลก พวกเขายังกล่าวอีกว่าผู้ที่ร่วมมือกับบริษัทเยวียนเป่ยจะไม่ได้รับการยอมรับในบริษัทลั่วเยวีย


 


ตึง! – เยวียนชีปิงกระแทกโต๊ะ แต่ก่อนบริษัทของพวกเขาจะทำอะไรก็ได้ แต่ได้บริษัทมาใหม่รายนี้จะกล้าตั้งตัวขึ้นอย่างอุกอาจ


 


สิ่งที่ทำให้เขาโกรธคือผู้ชายที่พ่อของเขาส่งไปจับหนิงชิงเซวีย ดันเกิดเรื่องบนเครื่องบินที่หายไป


 


“ลั่วเยวีย ได้ ได้…ในเมื่อฉันไม่ได้หนิงชิงเซวีย ฉันจะเอายวีเมี่ยวตั๋นแทน แม้ว่าหล่อนจะแก่กว่า แต่มันทำให้หล่อนสกปรกอยู่ดีเมื่ออยู่บนเตียง…” น้ำเสียงของเยวียนชีปิงแหบแห้ง พร้อมเส้นเลือดสีดำที่หน้าผากของเขาที่โผล่ออกมา


 


ชายในวัย 50 เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ และพูดว่า “ปิง แกใจร้อนเกินไป” ข้างหลังเขามีชายวัยกลางคนในอายุ 40 ปี


 


เยวียนชีปิงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “พ่อ ลุงพิง มากันสักทีนะครับ”


 


ชายในวัย 50 คือประธานของบริษัทเยวียนเป่ย เยวียนจรือร่ง ส่วนลุงพิงเป็นมือขวาของเยวียนจรือร่ง เมื่อหลายปีก่อน เยวียนจรือร่งช่วยให้เชอเหว่ยพิงรอดจากความตาย เพื่อที่จะตอบแทน เชอเหว่ยพิงได้ขายชีวิตของเขาให้กับเยวียนจรือร่ง และเปลี่ยนชื่อเชอ กลายเป็นเยวียน


 


เยวียนจรือร่งนั่งลงและพูดว่า “มีคนกล่าวว่าผู้คนวางแผนสิ่งต่างๆ และสวรรค์ตัดสินใจเกี่ยวกับพวกเขา ความล้มเหลวนี้เป็นเพียงโชคร้าย ไม่ใช่ความผิดของเรา แต่ฉันแปลกใจที่มีเพียงบริษัทอย่างบริษัทลั่วเยวียที่กล้าโจมตีเรา พวกเขาเป็นแค่พวกมาใหม่ พวกมันกล้าโจมตีพวกเราได้ยังไง!”


 


“พ่อ พวกเขามีการสนับสนุนที่ดีมากนิครับ?” เยวียนชีปิงสงบลง ความหงุดหงิดของเขานั้นแท้จริงแล้วเนื่องจากการสูญเสียหนิงชิงเซวีย


 


เยวียนจรือร่งส่ายหัว “ฉันบอกเหว่ยพิงให้ตรวจสอบแล้ว เขาไม่พบการสนับสนุนจากรัฐบาลที่แข็งแกร่งใดๆ มีประธาน 2 คนใน บริษัทลั่วเยวีย หนึ่งคือ จังเจียหยัน ทหารเกษียณ อย่างไรก็ตามต้นกำเนิดของยวีเมี่ยวตั๋นค่อนข้างแปลก จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่รู้ว่าเธอมาจากไหน ข้อกังวลเพียงอย่างเดียวคือเมื่อเร็วๆ นี้ เย่หลิงของตระกูลเย่ปรากฏตัวในเมืองอสรพิษ เย่หลิงคนนี้อาจเกี่ยวข้องกับคนตำแหน่งสูงของบริษัทลั่วเยวีย บางทีเหตุผลที่เฟยยวี่ได้รับเลือกอาจเป็นเพราะเย่หลิง”


 


เยวียนชีปิงงงงวย “ตระกูลเย่ปักกิ่ง? พวกเขาให้การสนับสนุนลั่วเยวีย นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถแก้แค้นลั่วเยวียได้หรอครับ?”


 


เขาคิดว่าถ้าตระกูลเย่ปกป้องบริษัทลั่วเยวียแล้ว คงเป็นการยากที่จะทำให้ยวีเมี่ยวตั๋นมานอนด้วย แม้ว่าตระกูลเย่จะไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีอำนาจ


 


เยวียนจรือร่งส่ายหัว “เย่หลิงนะไม่ต้องกังวลหรอก เธอไม่สามารถเป็นตัวแทนของตระกูลเย่ได้ เธอเป็นตัวแทนของตัวเองเท่านั้นแหละ ยิ่งกว่านั้นตระกูลเย่ไม่สามารถรับมือด้วยตัวเองได้ ตระกูลเย่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเภสัชศาสตร์ จากนั้นเราจะต้องระมัดระวัง แต่ก็ไม่ใช่”


 


เยวียนชีปิงพยักหน้า เขาเข้าใจความหมายของพ่อ มันบอกว่ามีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นในตระกูลเย่ เย่เหว่ยชี และเย่เหว่ยจิน ซึ่งทั้งคู่มีตำแหน่งสูงในปักกิ่งและถูกไล่ออก เย่เหว่ยชีเสียชีวิตในเวลาน้อยกว่าครึ่งปี นอกจากนั้นชายชรา เย่เบ่ยหลงก็เกษียณแล้วและตระกูลเย่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในรุ่นต่อมา พวกเขาสามารถผลักได้แค่เย่จื่อเฟิงที่อายุ 20 ให้เป็นผู้นำตระกูลคนใหม่เท่านั้น ดังนั้นแม้ว่าตระกูลเย่จะยังคงมีชื่อใน 5 ตระกูลใหญ่ของจีน แต่ก็ต่ำลง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเยวียนอย่างเราสามารถเปรียบเทียบได้”


 


“บริษัทลั่วเยวีย ทำตัวเหมือนเด็กๆชะมัด บอกว่าคนที่ร่วมมือกับเราจะถูกกีดกันจากการร่วมมือกับพวกเขา หึ พวกเขาคิดว่าพวกเขาสามารถชนะได้เรอะ?” เยวียนจรือร่งเยาะเย้ย


 


เยวียนชีปิงเปิดปากของเขา เขากำลังจะแถลงว่าคนที่ทำงานร่วมกับบริษัทลั่วเยวียจะไม่ได้รับการพิจารณาโดยบริษัทเหยวียนเป่ย ตอนนี้พ่อของเขาวางไว้อย่างนั้น มันยังไม่สมบูรณ์จริงๆ


 


แต่แล้วเยวียนจรือร่งก็ดูเหมือนจะไม่เห็นการแสดงออกของลูกชายของเขาและพูดต่อว่า “ปิง แกสามารถพูดได้ว่าคนที่ร่วมมือกับบริษัทลั่วเยวียจะไม่ถูกพิจารณาโดยเยวียนเป่ยนะ”


 


“พ่อครับ ด้วยวิธีนี้เราจะไม่เด็กเท่าบริษัทลั่วเยวียหรือเปล่า? พ่อแค่พูดว่า….” แม้ว่าเขาจะอยากจะบอกว่าเขารู้สึกว่าคำพูดของพ่อถูกต้อง พวกเขาก็ไม่สามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ อย่างไม่ย่อท้อเช่นนั้นได้


 


“เด็ก? ฉันจะบอกให้พวกเขารู้ว่าเรายังเด็กเกินไปเหมือนพวกเขา ฉันต้องการดูว่าใครที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมากกว่ากัน” เยวียนจรือร่งเยาะเย้ย


 


จากนั้นเขาพูดต่อว่า “เหว่ยพิง แพร่กระจายข่าวลือบางอย่างทันทีที่ปฏิเสธการใช้ยาความงาม ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ก็กระจายข่าวลือเล็กน้อยด้วยว่าผู้ที่ทานยาเพื่อสุขภาพจะสูญเสียการทำงานของอวัยวะต่างๆ เราต้องมีผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์เช่นกัน ฉันจะติดต่อกรมอนามัยและการแพทย์ ถ้าไม่สามารถทำลายพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจอีกต่อไปแล้วละ ในเวลาเดียวกัน ฉันจะให้นักข่าวไปโปรโมตบริษัทลั่วเยวีย เหว่ยพิง นายต้องจำไว้ นายต้องทำให้เหยื่อเชื่อว่าเป็นเพราะยา เราไม่สามารถซื้อของที่โปรดปรานนี้ได้”


 


“พ่อครับ พ่อกำลังจะบอกว่าเราควรแกล้งทำเป็นว่าเรายังไม่เด็กและต้องการต่อสู้กับบริษัทลั่วเยวีย แต่ก็แอบโจมตีจากด้านหลังหรอ?” เยวียนชีปิงมองด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะต้องการทำเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่ามันรุนแรง พ่อจะใช้รัฐบาลและสื่อต่างๆ เข้าด้วยกัน จากนั้นใช้เหยื่อเพื่อก้าวสู่บริษัทลั่วเยวีย มันง่ายกว่ามาก


 


จากนั้น เยวียนชีปิงก็นึกถึงตระกูลเย่ แม้ว่าพวกเขาจะตกต่ำ แต่ก็เป็นสิ่งที่ตระกูลเยวียนไม่ควรแตะต้อง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เยวียนชีปิงก็พูดทันทีว่า “พ่อ ถ้าตระกูลเย่….”


 


เยวียนจรือร่งโบกมือและพูดว่า “ปิงเออร์ ทำตามที่ฉันบอก ตระกูลเย่จะไม่ช่วยบริษัทลั่วเยวีย แม้ว่าพวกเขาจะทำ พวกเขาก็จะถูกจัดการ นอกจากนี้ผู้นำตระกูลเย่ เย่จื่อเฟิงในปัจจุบัน เป็นคนหัวโบราณมาก มันไม่น่าเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้ แต่ฉันหวังว่าพวกเขาจะทำอย่างนั้นจริงๆ”


 


เยวียนจรือร่งเยาะเย้ย เยวียนชีปิงมองเห็นใบหน้าของการเป็นผู้บงการนี่ทำให้เยวียนชีปิงรู้สึกมั่นใจอย่างมาก เขารู้สึกว่าเขายังต้องการเรียนรู้มากมายจากพ่อของเขา


 


“พ่อ ครั้งสุดท้ายที่พ่อส่งคนไปเมืองอสรพิษ แล้ว… ” เยวียนชีปิงนึกถึงสองสิ่งที่พ่อของเขาพูดเมื่อครั้งที่แล้ว และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าพ่อของเขาได้วางแผนเรื่องนี้มาตลอด


 


เยวียนจรือร่งโบกมือของเขา “ลุงพิงของแกจะดูแลเรื่องนี้เอง แกไม่ต้องกังวล”


 


….


 


เมื่อเทียบกับแผนการของบริษัทเยวียนเป่ย ยวีเมี่ยวตั๋นก็ดูสงบ แม้ว่าเย่โม่จะไม่โทรกลับ แต่เธอก็วางแผนที่จะโจมตีบริษัทเยวียนเป่ย และมีเหตุผลมากขึ้นหากเย่โม่เรียกร้องให้เธอไปพุ่งยังเป้าหมายพวกเขาแบบนี้ ฮิฮิ


 


ดังนั้น วันที่เย่โม่โทรมา ยวีเมี่ยวตั๋นก็จัดประชุมระดับสูงทันที


 


หยางจิวประสบความสำเร็จอย่างมากเมื่อเร็วๆ นี้และได้รับอนุญาตในการประชุมครั้งนี้ แต่ทันทีที่เขามาเขาพูดบางอย่างที่ทำให้ทุกคนตกใจ มันคือการเขากับฮันไจ๋จะฆ่าพ่อและลูกของตระกูลเยวียน


 


ความจริงแล้ว แม้ว่าจังเจียหยันและพวกเขาจะไม่ชอบคำแนะนำของหยางจิว แต่ยวีเมี่ยวตั๋นชอบ แน่นอนว่ามันจะสะอาดหากพวกเขาทำ เธอมาจากมาเฟียดังนั้นเธอจึงไม่รังเกียจ แต่จังเจียหยันมาจากกองทัพและเขาปฏิเสธอย่างยิ่ง


 


“ฉันรู้สึกว่าเมื่อเร็วๆ นี้มีคนนิรนามปรากฏตัวในเมืองอสรพิษหลายคน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำการสืบสวนความลับของบริษัทของเรา ฉันคิดว่ามันสำคัญที่จะต้องโจมตีบริษัทเยวียนเป่ยนะ แต่สิ่งสำคัญคือการปกป้องความลับของบริษัทของเราด้วย” ซวี่พิงพูดอย่างระมัดระวัง


 


เขายังไม่ได้อยู่ในขั้นปฐพี อยู่เพียงขั้นสีดำระดับกลางเท่านั้น แม้ว่าเขาจะมียาเพิ่มลมปราณ แต่เขาต้องการที่จะถึงขั้นสีดำสูงสุดก่อนที่เขาจะใช้มัน เหตุผลที่ทำให้เขาระวังตัวนี้ก็คือเขาได้พบกับจอมยุทธ์จำนวนมากในหมู่คนที่มาเมืองอสรพิษ เขาไม่ได้พูดถึงสิ่งนี้เพราะกลัวว่าจะทำให้เกิดความตื่นตระหนก


 


“น้องซวี่ก็รู้สึกแบบนี้ด้วยหรอ? จริงๆ แล้วฉันก็รู้สึกแบบนี้มานานแล้วละ ฉันรู้สึกเหมือนว่าเราจำเป็นต้องสร้างระบบในเมืองอสรพิษ ไม่เช่นนั้นมันจะวุ่นวายเกินไป ผู้คนแบบสุ่มสามารถเข้าออกเมืองอสรพิษได้จงใจ” ยวีเมี่ยวตั๋นพูด


 


จังเจียหยันถอนหายใจ “จัดระบบหรอ? เมืองอสรพิษเป็นพรมแดนระหว่าง 3 ประเทศ 80% ของที่ดินของเราเป็นของลั่วเซอ และ 20% เป็นของเวียดนาม ถ้าเราเปิดเผยกฎอย่างเปิดเผย เราก็จะประกาศอิสรภาพทั้งลั่วเซอและเวียดนามไม่อนุญาตให้ทำด้วย เราสามารถต่อสู้กับทั้ง 2 ประเทศได้เชียวรึไง?”


 


โม่ไฮ๋ถอนหายใจ “ที่จริงฉันกลัวว่าเราจะได้รับความสนใจจากทั้ง 2 ประเทศแล้วนะสิ เมืองอสรพิษเป็นสถานที่ที่แห้งแล้งมาก่อน แต่ตอนนี้มันกลับมารุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกว่าลั่วเซอกำลังจะทำ างสิ่งบางอย่าง อย่างไรก็ตาม เชียนเปยเย่ก็ยังไม่ได้กลับมา ฉันอยากจะพูดถึงมัน แต่ฉันไม่รู้จะทำยังไง”


บทที่ 424 : เข้าร่วม


หลังจากคำพูดของโม่ไฮ๋หายไปอย่างเงียบๆ ทั้งยวีเมี่ยวตั๋นและจังเจียหยันก็ไม่พูดอะไร ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับมัน แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าลั่วเยวียจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและมีคนล่าเหยื่ออยู่


ถ้ามันเป็นแค่คน บริษัท หรือแม้แต่แก๊งค์ มันก็ไม่สำคัญหรอก แต่ถ้าเป็น 2 ประเทศแบบนี้ บริษัทขนาดเล็กจะสามารถต่อสู้กับ 2 ประเทศได้หรอ?


นอกจากนี้ ถูกต้องตามกฎหมายแล้วมันเป็นดินแดนของพวกเขา


เมื่อเห็นบรรยากาศตึงเครียด ยวีเมี่ยวตั๋นโบกมือแล้วพูดว่า “ตอนนี้เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลย มาพูดเกี่ยวกับ บริษัทเยวียนเป่ยเถอะ”


“นั่นง่ายๆ พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นแบรนด์ยาที่เก่ากว่าและไม่พิจารณาเราในระดับเดียวกับพวกเขา มันง่ายมากที่เราจะทำให้พิการ” โม่ไฮ๋พูด


เมื่อเห็นทุกคนมองเขา โม่ไฮ๋ก็กล่าวต่อว่า “ผลิตภัณฑ์หลักของพวกเขาเรียกว่า Heart Safety Serum ส่วนประกอบหลักสำหรับจีหวูมีอยู่น้อยมาก ดังนั้นเราสามารถซื้อจีหวู และทำให้จัดหาสั้นลงได้”


“ประการที่สอง ผลิตภัณฑ์หลักอื่นๆ ของพวกเขาเรียกว่า Dew Powder มันเป็นผลิตภัณฑ์ผิวขาว แม้ว่ายาความงามของเรานั้นดีกว่านับไม่ถ้วน แต่เราก็ไม่มีข้อได้เปรียบด้านราคา ถ้าเราผลักผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันออกมาโดยใช้ชื่อของยาความงาม Dew Powder จะเทีบยเราไม่ได้”


เมื่อได้ยินอย่างนี้ ยวีเมี่ยวตั๋นก็ถอนหายใจ โม่ไฮ๋เข้าใจหลักในการเอาชนะบริษัทเยวียนเป่ย ถึงแม้ว่าบริษัทลั่วเยวียจะมีพรสวรรค์มากมาย แต่พวกเขาไม่มีผู้เชี่ยวชาญเชิงพาณิชย์ เพียงคนเดียวเช่นโม่ไฮ๋เท่านั้น คือ ผู้รู้เรื่องสถานการณ์ของอุตสาหกรรม


พูดตามตรง แม้เธอจะเริ่มจากการเป็นนักเลง พวกเขาก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เธอต้องการจ้างคนที่มีความสามารถใหม่



ณ ฮ่องกง โรงแรมซวี่เยวีย เป็นโรงแรมของซวี่เยวียฮวา มันมีความสำคัญมากที่จะมีโรงแรมระดับ 5 ดาวในฮ่องกง ซวี่เยวียฮวาต่อสู้ที่ฮ่องกงมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปี ดังนั้นเธอจึงมี 7 แห่งในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ 3 ใน 5 เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว


นับตั้งแต่ที่ลู่ซือมาร่วมกับเธอ เธอได้ตรวจสอบพี่น้องทั้งสี่คนของตระกูลฟู และรู้ว่ามันเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าร่วมกับเย่โม่ หลังจากนี้แม้ว่าเธอจะต้องการเปลี่ยนใจ แต่เธอก็ไม่ต้องการอีกต่อไป แม้ว่าความสามารถของเธอจะดี แต่เธอสามารถเล่าจากประสบการณ์ของเธอได้ว่า เย่โม่ไม่ชอบคนที่เปลี่ยนใจ


เธออายุ 36 แล้ว และถ้าเธอยังเสียเวลา เธอจะแก่เร็วขึ้น เธอมีเงินอยู่แล้ว ซึ่งเธอไม่สามารถใช้จ่ายได้จนหมด แต่สิ่งที่จะได้รับคือเงินจำนวนมาก เธอสงสัยว่าเย่โม่นั้นเป็นขั้นนภาสวรรค์อยู่แล้ว หากเย่โม่เป็นขั้นนภาสวรรค์จริงๆ มันคงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะแก้แค้นเธอ


ซวี่เยวียฮวากำมือ เธอจึงตัดสินใจติดต่อไปยังเมืองอสรพิษ


เลขาของซวี่เยวียฮวาเดินไปที่ประตูแล้วเคาะ “พี่ฮวาคะ มีแขก 2 คนมาที่โรงแรมคะ คนหนึ่งอ้างว่าเป็นเพื่อนของพี่ฮวา เขาชื่อว่าเย่โม่ และมีผู้หญิงอีกคนอยู่ด้วย…”


“อืม…” แล้วทันใดนั้น ซวี่เยวียฮวาก็ยืนขึ้น “เร็ว! เชิญคุณเย่เข้ามา โอ้เดี๋ยวก่อนฉันจะไปเอง…”


ทันทีที่ซวี่เยวียฮวาพูด เธอก็ได้ยินเสียงของเย่โม่นอกประตู “ประธานซวี่ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก ฉันอยู่ที่นี่แล้ว”


“คุณเย่คะ โปรดนั่งคะ อาจีรีบไปทำชามาเชิญไป” ซวี่เยวียฮวาหงุดหงิดที่เย่โม่และหนิงชิงเซวียเข้ามาในสำนักงาน เธอไม่ได้คาดหวังว่าเย่โม่จะมาที่นี่ด้วยตัวเอง


เย่โม่ยิ้ม “ประธานซวี่ คุณเรียกฉันว่าเย่โม่เถอะ ชิงเซวียนี่คือซวี่เยวียฮวา ประธานซวี่ ฉันบอกคุณเกี่ยวกับเธอแล้วสินะ ประธานซวี่นี่คือภรรยาของฉัน หนิงชิงเซวีย”


เหตุผลที่เย่โม่ไม่ได้นำหนิงชิงเซวียกลับไปที่เมืองหนิงไห่และมาที่ฮ่องกงแทน เพราะเขายังมีธุระอยู่ นั่นเป็นสาเหตุที่เขามาพบซวี่เยวียฮวา แต่ก็เป็นเพราะซวี่เยวียฮวาที่เขาได้พบเธออย่างรวดเร็วในครั้งนี้ เขาสามารถมองเห็นคุณค่าของซวี่เยวียฮวาในบริษัทของเขาได้ ลั่วเยวียเพิ่งเริ่มต้นและเขาต้องการคนอย่างซวี่เยวียฮวา


“อ่า เย่….คุณพบภรรยาของคุณแล้ว…” ซวี่เยวียฮวายังพูดไม่จบประโยค จากนั้นเธอก็เห็นหนิงชิงเซวีย เธอเคยเห็นหนิงชิงเซวียในรูปมาก่อน เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก แต่เมื่อเธอได้พบกับหนิงชิงเซวียจริงๆ เธอตกใจทันที เธอไม่รู้ว่าเย่โม่นั้นตามหาหนิงชิงเซวียเพราะความงามของเธอหรือไม่ แต่หนิงชิงเซวียเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เธอเคยเห็น


ซวี่เยวียฮวาไม่พูดเกี่ยวกับตัวเองว่าเธอสวย แต่เธอค่อนข้างมั่นใจในรูปลักษณ์ของเธอ แต่เมื่อมองที่หนิงชิงเซวีย เธอรู้สึกว่าเธออยู่ในระดับปานกลาง


หนิงชิงเซวียเปลี่ยนเป็นชุดสีน้ำเงิน ผมสีดำอ่อนนุ่มของเธอหล่นลงบนไหล่ ด้วยผิวที่เหมือนหยกและใบหน้าที่สวยงาม ใครๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงใหลเมื่อเห็น สร้อยคอสีขาวขุ่นบนหน้าอกของเธอก็ยังคงเปล่งแสงสลัว ทำให้เธอดูสงบนิ่งจากโลกนี้


หากดวงตาของเธอไม่ได้อยู่ที่เย่โม่เสมอ และเธอก็ไม่ได้รู้สึกดีใจที่บนใบหน้าของเธอ ซวี่เยวียฮวาคงจะคิดว่าเธอเป็นเทพธิดา


มีผู้หญิงแบบนี้อยู่จริงๆ ในขณะที่ผู้หญิงเองก็ยังประทับใจอย่างมาก เธอไม่สามารถนึกภาพสิ่งที่ผู้ชายคิดๆด้เลย ในที่สุด ซวี่เยวียฮวาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเยวียนชีปิงถึงคิดแบบนั้น มันไม่น่าแปลกใจเลย


หนิงชิงเซวียยิ้มและจับมือซวี่เยวียฮวา เธอรู้ว่าคนที่เห็นเธอครั้งแรกนั้นประหลาดใจ แต่หลังจากที่ได้มองเธอมานาน คนๆ นั้นก็จะชินกับมัน กระนั้นก็ตาม คนงานในบริษัทของเธอรู้สึกตกใจกับความงามของเธอเสมอ นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเพียงแค่มอบหน้าที่ทั้งหมดให้กับลี่มู่เหม่ย เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้า


ซวี่เยวียฮวายิ้มอย่างกระอักกระอ่วน และหัวเราะขณะเอามือป้องปาก “คุณหนิงสวยเกินไป ฉันไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยคะ ฮ่าๆ” เมื่อรู้แบบนี้ เธอก็รู้สึกตกใจน้อยลงเกี่ยวกับความจริงที่ว่าเย่โม่ได้พบกับหนิงชิงเซวีย


“พี่เยวียฮวา เรียกฉัยว่าชิงเซวียเถอะคะ” หนิงชิงเซวีย รู้ว่าตั้งแต่เย่โม่มาที่นี่ เพื่อมาหาซวี่เยวียฮวา เธอก็รู้มันต้องไม่ใช่ข้อตกลงธรรมดา


เย่โม่นั่งลงดื่มชา จากนั้นซวี่เยวียฮวาจึงถามว่า “ประธานเย่คะ ฉันต้องการเข้าร่วมกับบริษัทลั่วเยวีย ฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว แต่หลังจากตรวจสอบบางสิ่ง ฉันก็สับสนนิดหน่อย”


สำหรับเย่โม่นั้นเป็นข่าวดีจริงๆ ที่ซวี่เยวียฮวาเข้าร่วมบริษัทลั่วเยวีย ความสามารถของเธอสุดยอดมาก เธอมีความสามารถมากกว่าเวสเทิร์นแซนด์ทั้งองค์กร แต่ไม่มีใครมีอำนาจที่จะใช้เธอได้


เย่โม่พยักหน้า “บอกความกังวลของคุณให้ฉันฟังเถอะ”


ซวี่เยวียฮวาจัดระเบียบความคิดของเธอและกล่าวว่า “ฉันส่งคนไปตรวจสอบที่เมืองอสรพิษ แต่ฉันพบว่าฉันไม่ใช่คนเดียว แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ตรวจสอบบริษัทลั่วเยวีย บริษัทลั่วเยวียร่ำรวยเกินไป มันดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ แน่นอนเหตุผลที่บริษัทลั่วเยวียสามารถรักษาตัวเองไว้ได้จนถึงขณะนี้ด้วย นั่นหมายความว่ามีคนที่สามารถจัดการกับคนประเภทนี้”


เย่โม่พยักหน้า ซวี่เยวียฮวาไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน เธอไม่เคยไปที่เมืองอสรพิษ แต่เธอรู้แล้วว่ามีคนกำลังสืบสวนที่นั่น อันที่จริงแล้ว บริษัทลั่วเยวียไม่ได้รับการปกป้องที่เมืองอสรพิษมากเกินไป แต่เขาเห็นได้จากน้ำเสียงของซวี่เยวียฮวาว่าไม่ใช่แค่นั้น


ตามที่คาดไว้ ซวี่เยวียฮวาเริ่มพูดอีกครั้ง “สิ่งสำคัญคือฉันพบว่า เมืองอสรพิษตั้งอยู่ระหว่างจีน เวียดนามและลั่วเซอ ดังนั้น 80% ของที่ดินเป็นของลั่วเซอ ลั่วเซอได้ก่อตั้งขึ้น 30 ปีหรือมากกว่านั้น ฉันคิดว่าเมื่อเมืองอสรพิษเฟื่องฟู ลั่วเซอจะไม่ยอมให้บริษัทลั่วเยวียอยู่ในเมืองอสรพิษ หรือพวกเขาจะพยายามรับผลประโยชน์จากบริษัทลั่วเยวีย หากเป็นกรณีนี้ แต่เมืองอสรพิษก็เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนเวียดนามด้วยเช่นกัน”


เย่โม่ได้ยินสิ่งนี้และมองเธอจริงจังยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่เป็นผู้ฝึกตน เขาไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นประเด็นใหญ่ ตอนนี้ซวี่เยวียฮวาพูดถึงมัน เขาก็ต้องคิดถึงมัน ถ้าทหารมาจัดการบริษัทลั่วเยวีย เขาควรยอมแพ้หรอ? ไม่มีทางที่เขาจะให้ไปแน่ ซึ่งในกรณีนี้พวกเขาจะต้องเริ่มต้นสงคราม


เขาสามารถไม่สนใจประเทศเล็กๆ อย่างลั่วเซอได้ แต่ถ้าซวี่เยวียฮวาต้องการเข้าร่วมกับเย่โม่ เธอจะไม่สนใจได้ยังไง เธอรู้ด้วยว่าไม่ว่าเย่โม่จะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับคนทั้งประเทศได้หรอ?


เย่โม่ยิ้มและมองซวี่เยวียฮวา “แล้วความคิดเห็นของคุณคืออะไร?”


ซวี่เยวียฮวากล่าวอย่างยืนกรานว่า “ฉันมี 2 แนวคิด หนึ่งให้บริษัทย้ายออกทันที สองเราเจรจากับพวกเขาเพื่อซื้อที่ดิน ถ้าเป็นก่อนที่บริษัทลั่วเยวียจะถูกจัดตั้งขึ้นที่นั่นมันจะง่าย แต่ตอนนี้มันยาก”


บทที่ 425 : แกประเมินค่าตัวเองมากเกินไป


บทที่ 425 : แกประเมินค่าตัวเองมากเกินไป


 


เย่โม่พยักหน้า “คุณใช้สิ่งนี้เป็นวิธีการที่รู้ว่าฉันคิดถูกเกี่ยวกับคุณ แต่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันหรอก ตั้งแต่ที่ฉันกล้าเปิดโรงงานที่เมืองอสรพิษ ฉันก็มีความสามารถในการจัดการสิ่งต่างๆ แล้วละ มีอะไรอีกไหม?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเย่โม่ แม้ว่าซวี่เยวียฮวายังสงสัยอยู่ แต่เธอก็ยับยั้งมันและพูดต่อ “มีองค์กรหนึ่งในฮ่องกงที่เรียกว่า สี่พิสดารแห่งฮ่องกง ผู้นำขององค์กรนี้คือพี่น้องสี่คน แต่พี่น้องเหล่านี้โหดร้ายและใจร้ายมาก แม้แต่เจียวเบี่ยนอี้ก็ไม่กล้าที่จะทำให้พวกนั้นเคือง”


 


“ฉันสงสัยว่าสี่พี่น้องพวกนี้อาจพยายามทำร้ายประธานเย่ เหตุผลก็เพราะยาเพิ่มลมปราณของคุณ ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่คุณไปจากเวสเทิร์นแซนด์ พวกเขาก็ใช้โชคเพื่อให้องค์กรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำร์ระเบิดเลเซอ และพวกเขาก็เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคุณด้วย”


 


“ระเบิดเลเซอร์หรอ์” เย่โม่ขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขายังจำได้เมื่อเขาฆ่าเหริ๋นชา


 


หากระเบิดเลเซอร์เป็นสิ่งที่เหริ๋นชาโยนมาครั้งล่าสุด เขาก็อาจได้รับบาดเจ็บหากเขาไม่ระวัง หากระเบิดเหล่านั้นออกมาพร้อมกัน ผลที่ตามมาจะร้ายแรง


 


แต่เย่โม่คิดว่าจะไม่มีการระเบิดเหล่านั้นมากเกินไป


 


เมื่อเห็นเย่โม่หน้ามุ่ย ซวี่เยวียฮวาก็กล่าวต่อว่า “พี่น้องฟู อาจมีวิธีการฝึกตนจริงๆ และฉันก็สงสัยว่าฟูโย่วจิน พี่ชายคนโตของพวกเขาเป็นขั้นสีเหลือง”


 


เย่โม่พยักหน้าและพูดว่า “ขอบคุณพี่เยวียฮวา ฉันจะไปเยี่ยมพี่น้องทั้งสี่นี้ทีหลังแล้วกัน”


 


ซวี่เยวียฮวาได้ยินและเธอก็ดีใจที่เย่โม่พิจารณาเธอในทีมของเขาตอนนี้


 


เย่โม่ได้ยอมรับความสามารถด้านข่าวกรองของซวี่เยวียฮวาอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่ได้พิจารณาถึง Four Strange ที่ดูเหมือนจะเป็นภัยคุกคามหากพวกเขามีระเบิดเลเซอร์และซุ่มโจมตีเขาจริงๆ เขาอาจจะไม่เป็นไร แต่สิ่งที่เกี่ยวกับชิงเซวียละ? หากชิงเซวียได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง เขาจะฆ่าพวกเขาเพื่อแก้ปัญหาดีไหม?


 


เย่โม่หันหลังกลับและพูดกับหนิงชิงเซวียว่า “ชิงเซวีย ตอนนี่อยู่กับพี่เยวียฮวาไปก่อนนะ ฉันจะกลับมาเร็วๆ นี้แหละ เธอสามารถโทรกลับไปที่บ้านเพื่อบอกว่าเธอปลอดภัยแล้วได้นะ”


 



 


ในคฤหาสน์ในฮ่องกง พี่ทั้งสี่รวมตัวกันเพื่อหารือเรื่องการโจมตีเย่โม่


 


“น้องสี่ นายพูดถูก ทันทีที่เย่โม่กลับมาที่ฮ่องกง สถานที่แรกที่เขาไปคือโรงแรมซวี่เยวีย” ฟูโย่วอินกล่าวด้วยความตื่นเต้น


 


ฟูโย่วไฮพยักหน้าและพูดอย่างมั่นใจ “ในวันนั้น เย่โม่พบกับซวี่เยวียฮวาคงต้องเป็นเพราะเขาต้องการจ้างเธอ แม้ว่าแม่ม่ายดำจะโลภมาก เธอก็มีความสามารถที่ดี เย่โม่ต้องให้เวลากับเธอ ลองคิดดูสิ ถ้าเขาไม่พบหนิงชิงเซวียที่ทะเล สิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือไปหาซวี่เยวียฮวานั้นแหละ”


 


ฟูโย่วจินขมวดคิ้วและพูดว่า “น้องสี่ ฉันมีความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ ฉันได้ยินมาว่าเขาไม่ได้กลับมาคนเดียว คราวนี้เขาพาหญิงสาวไปที่โรงแรมซวี่เยวียด้วย ผู้หญิงคนนั้นน่ารักมาก ฉันคิดว่าเขาอาจพบ หนิงชิงเซวียแล้ว”


 


“พี่ใหญ่นั่นเป็นไปไม่ได้ เครื่องบินมันหายไปแล้ว หลายคนไม่กลับมา แล้วทำไมเขาถึงพบหนิงชิงเซวียได้ละ? เขาเป็นเทพเจ้ารึไง? เขาแข็งแกร่งกว่ารัฐบาลสหรัฐฯอีกเรอะ?” ฟูโย่วอินกล่าวทันที


 


ฟูโย่วซันกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ฉันก็ไม่เห็นด้วยที่จะโจมตีเย่โม่ แต่เมื่อเราตัดสินใจไปแล้ว เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ มันเร็วเกินไปและเรายังไม่ได้เตรียมพร้อม”


 


ฟูโย่วไฮพยักหน้า “มันเร็วไปหน่อยและเรามีระเบิดเลเซอร์เพียงอันเดียว ถ้าเรารออีก 1 สัปดาห์ เราจะได้อีก 2 ลูก นั่นเป็นเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ขนาดเล็กเลยละ ฉันคิดว่าแม้ว่าเย่โม่จะอยู่ขั้นปฐพี เขาก็หนีไม่พ้นมันหรอก”


 


“นายคิดว่าแม่ม่ายดำรู้เกี่ยวกับการซื้อระเบิดเลเซอร์ไหม? เธอรู้ทุกอย่างในฮ่องกง ถ้าเธอได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้และบอกเย่โม่ ถ้าอย่างนั้นมันก็อันตรายสิ” ฟูโย่วจินพูดด้วยความกังวล


 


“พี่ใหญ่ พี่กังวลมากเกินไปแล้วน่า อย่าพูดว่าเธอรู้เรื่องนี้หรือเปล่าเลย แม้ว่าเธอจะรู้ เธอจะคิดว่าเรากำลังพยายามจู่โจมเย่โม่ด้วยหรอ?” ฟูโย่วอินแย้ง


 


“มาทำกันเถอะ แต่จากภาพที่เราได้มา ผู้หญิงข้างๆเขาสวยเกินไป ฉันอยากได้ผู้หญิงคนนี้” ฟูโย่วจินพูด และรู้สึกฮึกขึ้นมาในใจของเขา


 


“พี่ใหญ่ เราขาดผู้หญิงรึไงนะ? สิ่งแรกที่เราควรทำคือคิดว่าจะเอาระเบิดใส่มือของเย่โม่ยังไงมากกว่านะ ตราบใดที่เราทำเช่นนั้น เราจะประสบความสำเร็จ” ฟูโย่วซันกล่าว


 


ฟูโย่วไฮยิ้ม “มันง่ายมาก เราจะบรรจุระเบิดและมอบให้กับเสี่ยวหลาน ให้เสี่ยวหลานมอบให้กับเย่โม่และพูดว่ามาจากซวี่เยวียฮวา เสี่ยวหลานเป็นคนที่ซวี่เยวียฮวาไว้วางใจ ฉันไม่คิดว่าเย่โม่จะถามมันด้วยซ้ำนะ”


 


“ใช่ ทันทีที่เย่โม่มีระเบิดอยู่ในมือ เขาก็จะระเบิดทันที นี่เป็นวิธีที่ดี…” ฟูโย่วอินตกลง


 


“ไม่…” ฟูโย่วไฮส่ายหัว คนที่เหลือมองเขาและเขาก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น “คนที่ฝึกตนอย่างเย่โม่ต่างก็มีสัญชาตญาณตามธรรมชาติที่เป็นอันตราย ฉันคิดว่าเราควรปล่อยให้เสี่ยวหลานเดินเข้าหาเย่โม่แล้วระเบิดด้วยพลังของมันเอง อะไรก็ตามที่อยู่ในระยะ 10 เมตรจะไม่สามารถหลบหนีได้”


 


ฟูโย่วซันพูดอย่างลังเล “แต่ด้วยวิธีนี้ ยาเพิ่มลมปราณจะไม่หายไปหรอ?”


 


ฟูโย่วไฮเย้ยหยัน “ระเบิดมันไกลออกไปอีกหน่อยและยาอาจจะไม่หายไป แม้ว่าพวกมันจะหาย มันก็โอเคแหละ”


 


“มันทำงานยังไงละ น้องสี่?” ฟูโย่วจินถาม


 


ฟูโย่วไฮกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ฉันได้ตรวจสอบเย่โม่แล้ว บริษัทลั่วเยวียอาจเป็นของเขาและยาเพิ่มลมปราณของเขาก็ทำที่นั่น แม้ว่าเราจะทำลายเย่โม่ ทำไมคนงานที่โรงงานถึงหยุดทำงานละพี่ใหญ่? บางทีเราอาจจะทำเองได้นะ ได้สูตรสำหรับยาและนั่นก็ถือเป็นโชคลาภอย่างงามเลยละ”


 


“เยี่ยม” ฟูโย่วจินปรบมือแล้วพูดทันทีว่า “แต่ด้วยวิธีนี้ เสี่ยวหลานก็น่าสงสารแย่สิ ฉันก็เหมือนผู้หญิงคนนั้น เธอยังคอยจับตาดูซวี่เยวียฮวาอยู่เสมอ ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เธอจะต้องตาย”


 


“พี่ใหญ่ พี่ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างๆจากเย่โม่เป็นของพี่หรอ? ทำไมพี่ถึงสนใจผู้หญิงอย่างเสี่ยวหลานละ? เมื่อเราทุกคนมียาเพิ่มลมปราณ แม้แต่ซวี่เยวียฮวาก็จะเป็นของเรา แล้วแบบนั้นแล้วเธอจะทำอะไรได้? หรือไม่จากนั้นเราจะไปหาเธอด้วยกันไง” ฟูโย่วอินกล่าว


 


“ฮ่าๆๆ” พี่น้องทั้งสี่หัวเราะในข้อตกลงนี่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความสุขมากกับแผนการของฟูโย่วไฮ


 


แต่ก่อนที่เสียงหัวเราะทั้งสี่จะเสร็จสิ้น ก็มีเสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้น “ไม่เลวนี่ เป็นแผนที่ดีมาก แต่แกประเมินค่าตัวเองสูงเกินไปนะ แม้ว่าแกจะทำให้ระเบิดมาอยู่ในมือของฉัน มากที่สุดแกจะทำร้ายฉันเท่านั้นแหละ”


 


“เย่โ- เชียนเปยเย่… ” พี่น้องทั้งสี่ยืนขึ้นในเวลาเดียวกันและมองเย่โม่ด้วยความสยองขวัญ พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆว่าเย่โม่มาในห้องประชุมนี้ได้อย่างไร นี่คือสถานที่ลับที่สุดของพวกเขา มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมากมายและทุกคนที่เข้ามาใกล้จะพบภายใน 20 เมตร


 


ความจริงก็คือเย่โม่ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา แต่ไม่มีสัญญาณเตือนภัยใดๆดังเลย


 


“เสี่ยวหลาน เธอเหรอ? เธอทรยศกล้าพาเขามาที่นี่…” ฟูโย่วอินมองดูเด็กสาวข้างเย่โม่และเปล่งเสียงโกรธเกรี้ยว


 


ผู้หญิงคนนั้นถ่มน้ำลายและพูดว่า “ฉันเป็นของพี่เยวียฮวา ฉันพักที่นี่เพื่อช่วยให้เธอตรวจสอบเรื่องต่างๆ ฉันจะเป็นคนทรยศได้ยังไง? นอกจากนี้แม้ว่าฉันจะไม่ได้ทำงานให้เธอ สัตว์นรกอย่างแกก็ต้องการให้ฉันตายด้วยระเบิด ทำไมฉันต้องฟังแกละห่ะ? และพี่เย่ก็พาฉันเข้ามาด้วย”


 


“หะ… ” พี่น้องทั้งสี่มองเย่โม่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาเข้ามาข้างในได้อย่างไร เขาใช้สิ่งที่ทำให้ล่องหนหรืออะไร?


 


เย่โม่ขอบคุณซวี่เยวียฮวามากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ใช่เพื่อเตือนความจำของเขา เขาอาจไม่ได้หลีกเลี่ยงแผนการของพวกเขา ถ้าหนิงชิงเซวียได้รับบาดเจ็บละ? ยิ่งไปกว่านั้นเย่โม่เห็นพลังของระเบิดเลเซอร์มาแล้ว มันอาจเป็นอันตรายต่อเขาได้


 


สิ่งที่ทำให้เย่โม่ใจหายคือพวกเขาวางแผนที่กับลั่วเยวียด้วย แม้ว่าเย่โม่จะรู้ว่าจากซวี่พิง พวกเขาทุกคนคงสบายดี แต่ทั้งสี่คนก็ยังทำให้เขาโกรธอยู่


 


ราวกับว่าพวกเขารู้ว่านี่เป็นความหวังเดียวของพวกเขา ฟูโย่วไฮหยิบลูกบอลสีดำออกมาแล้วยกมันขึ้นมา “เชียนเปยเย่ ฉันรู้ว่ามันเป็นความผิดของเราที่พยายามโจมตีคุณ เรายินดีที่จะคืนคำพูดของเรา ถ้าเชียนเปยเย่ไม่เห็นด้วย เราทุกคนจะต้องตายไปด้วยกัน”


 


จากนั้น มืออีกข้างของเขาก็จับตัวควบคุม


 


เย่โม่เยาะเย้ย “แกคิดว่าแกเจรจากับฉันได้ด้วยหรอ?”


 


ฟูโย่วไฮอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าข้อมือทั้งสองของเขาเจ็บปวด เขามองลงไปด้วยจิตใต้สำนึกและรู้ตัวทันทีว่ามือทั้งสองของเขาถูกตัดไปแล้ว


บทที่ 426 : สุสานโบราณของภูเขาหิมะ


 


ฟูโย่วไฮประหลาดใจเพียงชั่วครู่ ก่อนเลือดจากข้อมือที่ขาดของเขาพุ่งออกมาเหมือนสายน้ำพุ และทันใดนั้นเขาก็ล้มลงหมดสติบนพื้น


 


ช่วงเวลาที่ฟูโย่วไฮล้มลงบนพื้นดิน อีก 3 คนกลับมาสู่ความเป็นจริงและทุกคนมองเย่โม่ด้วยความตกใจ เมื่อพวกเขาเห็นระเบิดและตัวควบคุมอยู่ในมือของเย่โม จิตใจของพวกเขาก็ว่างเปล่า พวกเขาต้องการให้ประเมินเย่โม่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยังประเมินเขาต่ำเกินไป พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เมื่อเย่โม่ขยับหรือทำยังไงกับระเบิดและตัวควบคุม ซึ่งเสี่ยวหลานเองก็เกือบเป็นลม


 


เนื่องจากจิตใจที่ฮึกเฮิมในยาเพิ่มลมปราณ พวกเขาจึงพยายามพนัน แต่ก่อนที่การพนันจะเริ่มต้นขึ้น พวกเขาก็แพ้ไปแล้ว


 


ฟูโย่วอินตัวสั่น


 


คนแรกที่ยืนขึ้นและพูดคือฟูโย่วไฮ เขารู้ว่าต่อหน้าเย่โม่แล้วพวกเขาเป็นเพียงแมลงเท่านั้น ความเสียใจเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขารู้สึกตอนนี้ หากไม่ใช่เพราะการเสริมของน้องสองและสี่ เขาคงไม่คิดที่จะลอบโจมตีเย่โม่ ด้วยพลังของเย่โม่ แม้ว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จก็ตาม พวกเขาก็อาจจะไม่สามารถฆ่าเย่โม่ได้ เขาทรงพลังเกินไป!


 


เมื่อพวกเขาวางแผนของพวกเขา พวกเขาเพียงแต่เฝ้าดูความสามารถของยาเพิ่มลมปราณ แต่ไม่สามารถคำนวณพลังของเย่โม่ได้อย่างเหมาะสม และพวกเขาไม่คาดหวังว่าแม่ม่ายดำจะส่งเสี่ยวหลานมาไว้ข้างๆ


 


“เชียนเปยเย่ เรามีตาแต่กลับไม่เห็นภูเขาไท่ เรายินดีที่จะมอบทุกอย่างที่เรามีและขอเชียนเปยโปรดเมตตาเราด้วยเถอะครับ” ฟูโย่วไฮกล่าว เขารู้ว่าตอนนี้เขาทำได้เพียงต้องขอร้องเท่านั้น


 


เย่โม่เยาะเย้ย “แกคือ สี่พิสดารแห่งฮ่องกง ไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าความกล้าของแกมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน! แกเห็นฉันฆ่าเปาย๋า แต่แกก็ยังกล้าวางแผนเอายาเพิ่มลมปราณของฉันอีกเรอะ?”


 


เย่โม่ไม่เข้าใจจริงๆ อย่างน้อยๆตราบใดที่พวกเขามีสมอง พวกเขาก็ไม่ควรเสี่ยง มันไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนโลภ เว้นแต่จะมีบางสิ่งที่คุ้มค่าที่จะละทิ้งชีวิตของพวกเขา ด้วยสถานะของพวกเขาแล้ว สิ่งที่สามารถดึงดูดพวกเขาได้ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดา


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเย่โม่ ความหวังก็ปรากฏในสายตาของฟูโย่วไฮ เขาปฏิญาณทันทีว่า “ฉันยินดีที่จะบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องการยาเพิ่มลมปราณครับ ตราบใดที่เชียนเปยเมตตาเรา”


 


เย่โม่เย้ยหยัน “แกไม่มีสิทธิ์ที่จะเจรจากับฉัน แกมีเวลา 3 วินาทีในการเริ่มพูดหรืออย่างอื่นที่แกสามารถทำได้ และเก็บเป็นความลับตลอดไป”


 


“เชียนเปยเย่ โปรดอย่าโจมตีนะครับ เราจะพูดครับ” ฟูโย่วอินพูดก่อนฟูโย่วไฮ


 


เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟูโย่วไฮก็ถอนหายใจ เขารู้ว่าไม่ว่าพวกเขาจะพูดหรือไม่ก็ตาม ครั้งนี่พวกเขาก็ต้องตาย


 


ใบหน้าของเย่โม่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและเขาไม่ได้พูด แต่เขาอยากรู้ว่าทำไมพวกเขาทั้งสี่จึงเต็มใจที่จะวางแผนต่อต้านเขา


 


เมื่อเห็นเย่โม่ไม่พูด ฟูโย่วอินก็อธิบายอย่างรวดเร็วว่า “เมื่อ 15 ปีก่อน พวกเราพี่น้องเริ่มทำมาหากินจากขุดสุสาน”


 


“อาชีพก็นี้ไม่ได้เลวร้ายนัก แต่เพราะประเทศนี้เข้มงวดกับเรื่องนี้มากเกินไป และเนื่องจากมีการแข่งขันที่สูงเกินไปงานจึงยากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากทำมา 2-3 ปีแล้ว เราก็วางแผนจะลาออก เพื่อนของพี่ใหญ่บอกเราว่าพวกเขาพบสุสานอันยิ่งใหญ่โบราณ ดังนั้นเราจึงจัดการโจมตีสุสานนั้นพร้อมกับเพื่อนของพี่ใหญ่และภรรยาของเขา เราไม่รู้ว่าเจ้าของสุสานมาจากยุคไหน แต่เราพบโครงกระดูก 2 ชิ้น ของสุสานที่ตายไปแล้วเป็นระยะเวลานาน ในโครงกระดูกทั้ง 2 นี้ เราพบวิธีการฝึกตน หนังสือเล่มนี้ทำจากวัสดุที่ไม่รู้จักเพื่อความอยู่รอดของเวลา เราคาดการณ์ว่าทั้งสองจะต้องได้ต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่างมา และจบลงด้วยการฆ่ากัน เราสามารถบอกได้จากเครื่องมือบนพื้นว่าพวกเขาเป็นทั้งผู้บุกรุกสุสาน”


 


เย่โม่ถามด้วยความเหยียดหยามว่า “ในเมื่อแกไม่เข้าไป แล้วแกจะรู้ได้ยังไงว่าสุสานนั้นสำคัญมาก?”


 


ฟูโย่วจินกล่าวต่อว่า “เพราะทางเข้ามีประตูขนาดใหญ่ ประตูนั่นก็ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้เราตกใจที่สุดคือที่ด้านบนของประตูมีไข่มุกส่องสว่าง 9 เม็ดฝังอยู่ข้างใน เราคิดว่าไข่มุกนั่นเป็นของในตำนาน แต่ในเวลานั้น เราเห็นไข่มุกมันส่องสว่างจริงๆ แสงมันนุ่มนวลมากและรู้สึกสบายมาก มันไม่ได้รู้สึกว่าเราอยู่ใต้ดินเลย เราคิดว่าถ้าไข่มุกล้ำค่าเหล่านี้สามารถฝังเข้าไปในประตูได้แล้ว สิ่งที่อยู่ภายในจะต้องสำคัญกว่านี้”


 


เย่โม่พยักหน้า “พูดต่อสิ”


 


เขาไม่สงสัยสิ่งนี้ คนอื่นอาจไม่ได้เห็นไข่มุกส่องสว่าง แต่เขาเห็นมามากเกินไป แต่ไข่มุกที่ส่องสว่างบนโลกนั้นมีค่ามากกว่าโชคลาภ 9 ชิ้นเท่านั้น!


 


ฟูโย่วจินไม่เห็นความโลภในสายตาของเย่โม่เลยและรู้สึกสยองขวัญยิ่งขึ้น หากเย่โม่แสดงความโลภเขาจะสามารถใช้ที่ตั้งของสุสานเพื่อข่มขู่เย่โม่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้


 


ฟูโย่วจินกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เพื่อนของฉันเห็นไข่มุกนั้นและพุ่งเข้าหาทันที แต่ก่อนที่เขาจะไปถึงที่นั่นเขาถูกยิงตายด้วยลูกธนูของสุสาน! เราคิดหลายๆ วิธีในภายหลัง แต่ไม่สามารถรับไข่มุกส่องสว่างได้ แต่บางทีเราอาจลองหลายสิ่งเกินไป สุสานที่เราขุดมันกำลังจะพัง ดังนั้นเราจึงออกไปอย่างรวดเร็วและทันทีที่เราออกมา สุสานก็ยุบตัว”


 


“แกไม่เคยกลับไปอีกเลยหรอ?” เย่โม่จ้องที่ฟูโย่วจิน และถาม


 


ฟูโย่วจินส่ายหัว “เราไม่กล้ากลับไปเพราะเมื่อเราออกมา ปรากฏว่าหลังของทุกคนมีรอยขีดข่วนด้วยผี เรากำลังคิดที่จะลองอีกวิธีหนึ่ง เพื่อเข้าไปอีกครั้ง แต่หลังจากฝึกตน เราก็รู้ว่ามันมีพลังมากแค่ไหน ดังนั้นเราจึงตัดสินใจจะเข้าไปอีกครั้งหลังจากที่ทุกคนมาถึงขั้นสีเหลือง นอกจากนั้นสำหรับผู้ที่อยู่ในอาชีพคนขุดสุสาน ถ้าพวกเขามีรอยขีดข่วนโดยพวกผี พวกเขาจะไม่สามารถเข้าไปในสุสานได้ภายใน 10 ปี ถ้าเข้าไป จะต้องตาย”


 


“ดังนั้นฉันจึงเริ่มคิดว่า ‘ถ้าเราทุกคนไปถึงขั้นสีเหลือง เราก็จะไม่กลัวไม่ว่าจะศพหรือกับดักในสุสาน ไม่ว่ามันจะทรงพลังแค่ไหน’ แต่อีก 12 ปีต่อมาและนอกเหนือจากฉัน อีก 3 ปียังก็ยังไม่ถึงขั้นสีเหลือง จากนั้นเราก็พบกับเชียนเปยพร้อมยาเพิ่มลมปราณ เราก็เลย….”


 


สัมผัสจิตวิญญาณของเย่โม่สแกนหลังของพวกเขาและแน่นอน พวกเขาทุกคนมีรอยแผลเป็นสีแดง ดูเหมือนว่ามาจากเมื่อผีที่ข่วนเข้าที่หลังของพวกเขา


 


“แกบอกว่าพวกคแกไปกับคู่สามีภรรยา แกสี่คนอยู่และชายคนนั้นตาย แต่คนสุดท้ายอยู่ที่ไหน?” เย่โม่ถามอย่างชัดเจน เหตุผลที่เขาถามเรื่องนี้ก็เพราะเขาต้องการที่จะทราบว่าข่าวของสุสานที่กระจายออกไป


 


“ผู้หญิงคนหนึ่งก็เคยไปที่นั่นด้วย แต่หลังจากสามีของเธอตาย เราก็แยกกัน เราไม่รู้ว่าเธอไปไหนครับ” ฟูโย่วจินพูดอย่างรวดเร็ว


 


“หึ!” เย่โม่เย้ยหยัน “แกโกหก”


 


เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฟูโย่วจินก็เริ่มเหงื่อออกทันทีและเมื่อเขาต้องการพูดต่อไป เขารู้สึกว่ามีลมพัดมาที่หัวของเขา ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นว่ามันเป็นเพราะมือที่หักถูกเตะออกไปโดยเย่โม่ และหันหน้ากลับมาอย่าง งงงวย


 


“ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน?” เย่โม่ถามอย่างเย็นชา เขาต้องการที่จะเห็นสุสานนี้ แต่ถ้าข่าวว่ามันแพร่กระจายออกไป เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเพราะมันจะถูกค้นหาแล้ว


 


เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฟูโย่วจินก็ด้วยสีหน้าซีดเผือก “เราพาเธอกลับมาพร้อมกับเรา และเราทุกคนสนุกกับเธอก่อนที่จะฆ่าเธอ”


 


“แกมันสัตว์นรกจริงๆ!” เสี่ยวหลานทนไม่ได้และสบถออกมา


 


“สามีของผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนของแก! สามีของเธอตาย แต่ไม่เพียงแต่แกจะไม่ได้ช่วยเธอ แกยังข่มขืนและฆ่าเธอจริงๆ ! ขยะ! ขยะ!!” เสี่ยวหลานโกรธแค้นอย่างมาก


 


เย่โม่เองก็รู้สึกเศร้าใจเช่นกัน ผู้คนที่โหดร้ายอย่างนี้ไม่ธรรมดา แม้แต่ในยุทธภพ หากพวกเขากลัวผู้หญิงคนนี้ที่รั่วไหลข่าวออกไป พวกเขาก็สามารถพาเธอไปด้วยและขังเธอได้ แม้ว่ามันจะดีกว่าที่พวกเขาทำแบบนั้น แม้ว่าพวกเขาจะฆ่าเธอ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องข่มขืนเธอ


 


สรุปแล้ว สามีของผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนของพวกเขา! ประการแรกคือไม่ควรคบคนพาลจริงๆ หากใครกลายเป็นเพื่อนกับพี่น้องสี่คนนี้ พวกเขาก็ตาบอดแล้ว


 


“เสี่ยวหลาน รอฉันข้างนอก ฉันจะกลับไปไม่นานหรอก” เย่โม่ไม่ต้องการให้เสี่ยวหลานจดจำพี่น้องทั้งสี่อีกต่อไป และมีบางสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้เธอได้ยิน


 


“อื้ม” เสี่ยวหลานรู้ว่าเย่โม่หมายถึงอะไรและเดินออกไป


 


เย่โม่เผาฟูโย่วไฮด้วยลูกไฟ แล้วถามฟูโย่วจินต่อว่า “บอกตำแหน่งของสุสานนั้นให้ฉันหน่อยสิ”


 


“ในจังหวัดยวินจง ภูเขาหิมะครับ…” ฟูโย่วจินตอบโดยไม่ลังเล


 


ฟูโย่วอินมองดูพี่ชายของเขาด้วยความตกใจ เขาคิดว่าพี่ใหญ่ของเขาจะใช้สิ่งนี้เป็นมาตรการป้องกัน แต่เขาก็สารภาพโดยไม่ลังเล


 


ฟูโย่วอินมีความสิ้นหวังในสายตาของเขา ในขณะที่เขาหยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ออกมาแล้วส่งไปยังเย่โม่ “เชียนเปยเย่ นี่คือแผนที่ของสุสานและวิธีฝึกตนของเราครับ”


บทที่ 427 : เกิดปัญหาใหญ่


 


เสี่ยวหลานไม่ต้องรอนานสำหรับเย่โม่ออกมา เขาไม่ยอมให้พวกนั้นมีชีวิตอยู่ แต่เย่โม่ก็ไม่ใช่คนมีเมตตา การปล่อยให้พี่น้องทั้งสี่มีชีวิตอยู่นั่นหมายถึงการสร้างปัญหาให้กับตนเอง แม้ว่าเย่โม่จะย้ายมายังโลกนี้และวิธีการตามปกติของเขาในการจัดการกับสิ่งต่างๆ เริ่มมีความก้าวร้าวน้อยลง เขายังคงฆ่าคนที่ต้องถูกฆ่าโดยไม่ลังเล


 



 


คืนนั้น เย่โม่มีเรื่องที่ต้องคุยกับซวี่เยวียฮวา ดังนั้นหนิงชิงเซวียจึงเข้านอนก่อน เนื่องจากการนัดพบกับเย่โม่ หนิงชิงเซวียอยู่ในสถานะของความตื่นเต้น แต่เนื่องจากความกังวลและความเหนื่อยล้าของเธออย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเธอก็ได้ผ่อนคลาย เธอจึงรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก


 


อาจเป็นเพราะการที่มีเย่โม่อยู่เคียงข้างเธอ หนิงชิงเซวียก็นอนหลับอยู่บนเตียงทันที เย่โม่และหนิงชิงเซวียเห็นด้วยกับซวี่เยวียฮวาเพื่อรวมพวกเขาไว้ในห้องเดียวกัน ทั้งคู่แต่งงานกันแล้วและไม่เคยมีความขัดแย้งมาก่อนอีกต่อไป ยิ่งกว่านั้นหนิงชิงเซวียเคยอยู่กับเย่โม่มาก่อน ดังนั้นในใจของเธอ เย่โม่นั้นเป็นสามีของเธออยู่แล้ว แน่นอนว่าเธอจะไม่คัดค้านสิ่งนี้


 


เมื่อหนิงชิงเซวียหลับ เย่โม่ก็ปิดประตูและเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาเมืองอสรพิษกับซวี่เยวียฮวา พวกเขาเริ่มการประชุมทางวิดีโอเพื่อให้ยวีเมี่ยวตั๋นและจังเจียหยันเข้าร่วมด้วย


 


ยวีเมี่ยวตั๋นยุ่งอยู่กับการจัดการของบริษัทมากเกินไป แม้ว่าเธอจะรู้ว่ามีคนมากมายที่เข้ามาในเมืองอสรพิษ เธอก็ไม่มีเวลาหรือกำลังคนในการสืบสวน แม้ว่าเย่โม่จะไม่พบคนที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ เธอก็วางแผนที่จะหาคน ตอนนี้เย่โม่พบซวี่เยวียฮวา มันเป็นความช่วยเหลือที่ดีสำหรับยวีเมี่ยวตั๋น และคนอื่นๆ ผู้คนจากบริษัทลั่วเยวียก็สามารถบอกได้จากทัศนคติของเย่โม่ต่อซวี่เยวียฮวาว่าเธอมีค่า


 


เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นการวางแผนปัญหาของบริษัท มันเป็นเวลา 12.00 น. เย่โม่ให้ซวี่เยวียฮวาสิ้นสุดการประชุมทางวิดีโอและถามว่า “พี่เยวียฮวา คุณเคยได้ยินเรื่ององค์กรนอร์ทแซนด์ไหม?”


 


ซวี่เยวียฮวาพยักหน้า “ฉันรู้จักนะ มันเป็นองค์กรลึกลับ พวกเขามีสาขาทั่วโลก ฉันได้ยินว่าความทะเยอทะยานของพวกเขานั้นยอดเยี่ยมมาก พวกเขาต้องการสร้างประเทศให้เป็นประชาธิปไตยมากกว่าอเมริกา ส่วนอย่างอื่นฉันก็ไม่รู้อะไรเลย”


 


เย่โม่พยักหน้า มันมีความหมายมากที่ซวี่เยวียฮวาสามารถรู้เรื่องนี้ได้ ท้ายที่สุดองค์กรนี้ก็ลึกลับมากและใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ เย่โม่ไม่เชื่อว่าพวกเขาต้องการสร้างประเทศให้เป็นประชาธิปไตยมากกว่าสหรัฐฯ


 


“พี่เยวียฮวา เมื่อคุณไปถึงเมืองอสรพิษ ในขณะที่คุณตรวจสอบผู้บุกรุกพวกนั้น คุณต้องตรวจสอบองค์กรนอร์ทแซนด์ด้วย คุณจะได้รับเงินสนับสนุนเท่าที่ต้องการได้จากพี่ยวีนะครับ” เย่โม่กล่าวอย่างจริงจัง


 


เย่โม่รู้สึกไม่สบายใจกับการมีอยู่ขององค์กรนอร์ทแซนด์ แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับต่งฟางชื่อ แม้ว่าเขาจะฆ่าต่งฟางชื่อไปแล้วก็ตาม เขาก็ยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้แก้กับองค์กรนอร์ทแซนด์ เนื่องจากพิมพ์เขียวของ แผนที่ช่องว่างทานตะวัน เขาเคยสัญญากับฮานจั่ยชินว่าจะได้รับส่วนอื่นๆ ของพิมพ์เขียวมาด้วย


 


ซวี่เยวียฮวาเงียบลง เธอรู้ว่าด้วยพลังของเธอมันคงเป็นเรื่องขำขันที่จะพยายามสำรวจองค์กรนอร์ทแซนด์


 


เมื่อเห็นอย่างนี้ เย่โม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรและยิ้ม “คุณไม่จำเป็นต้องส่งคนอื่นไปสอบสวนอย่างจงใจหรอก แค่จำไว้เมื่อคุณได้ยินอะไรบางอย่าง ฉันเชื่อว่าเนื่องจากคุณมีวิธีการฝึกตน คุณมีต้นกำเนิดที่สำคัญมาก ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ แต่ตราบใดที่คุณยังคงอยู่ในเมืองอสรพิษ ฉันเชื่อว่าคุณสามารถเข้าถึงขั้นปฐพีได้ใน 3 ปี”


 


“อะไรนะ?” ซวี่เยวียฮวารู้สึกตกใจอย่างสมบูรณ์ เธอใช้เวลามากกว่า 20 ปีในการเข้าถึงขั้นสีเหลืองระดับกลาง และตอนนี้เย่โม่บอกว่าเธอสามารถเข้าถึงขั้นปฐพีได้ใน 3 ปี ถ้านี่เป็นสัปดาห์ที่แล้ว เธอจะคิดว่าเย่โม่โกหกเธอ แต่ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วเย่โม่ไม่ได้โกหก


 


ซวี่เยวียฮวายืนขึ้น ความคิดที่ถูกทิ้งร้างของเธอในการแก้แค้นได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง หากเธอสามารถไปถึงขั้นปฐพีได้ เธอคงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเย่โม่เพื่อทำลายนิกายเล็กๆ นั้น!


 


“น้องโม่ ถ้าเยวียฮวาคนนี้สามารถไปถึงขั้นปฐพีและเติมเต็มความฝันของฉันที่จะแก้แค้นได้ เยวียฮวายินดีที่จะขายตัวเองให้กับคุณตลอดชีวิต” ซวี่เยวียฮวาเปลี่ยนชื่อของเธอ แม้ว่าเย่โม่จะมีอายุน้อยกว่าเธอ แต่หากเย่โม่สามารถช่วยเธอให้แก้แค้นให้กับครอบครัวของเธอได้จริง เธอก็พอใจแม้ว่าเธอจะตาย เธอยอมแพ้ก่อนหน้านี้เพราะเธอรู้ว่าด้วยอำนาจของเธอในปัจจุบัน มันจะหมายถึงการฆ่าตัวตาย


 


“พี่เยวียฮวา คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกครับ คุณเพียงแต่ต้องทำงานด้านข่าวกรองให้ฉันเท่านั้น และฉันจะมีความสุขมาก” เย่โม่กล่าว


 



 


เย่โม่กลับไปที่ห้องของเขา การสนทนาของเขากับซวี่เยวียฮวาในคืนนั้นทำให้มีความสุขมาก เขาแน่ใจว่าซวี่เยวียฮวาถูกล่อลวงโดยเงื่อนไขของเขาเรียบร้อย เขารู้ว่าเธอเคยสงสัยมาก่อน แต่มันเป็นเพียงเพราะเธอไม่เคยรู้ว่าเขามีอำนาจมากเพียงใด


 


หนิงชิงเซวียนอนหลับพริ้ม รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอหมายความว่าเธอคงฝันดี เย่โม่อดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มเธอ และนั่งลงข้างๆ เธอเพื่อฝึกตน


 


บนโลกนี้จิตวิญญาณลมปราณนั้นหมดลง ถ้าเขาไม่ขยันอย่างหนักเพื่อฝึกตน การเดินทางของเขาก็จะจบลง


 


แต่เย่โมไม่เพียงแต่ทำงานอย่างหนักเท่านั้น เขายังโชคดีมาก เขายังคงเผชิญกับสิ่งดีๆ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะยังอยู่ในรวมลมปราณขั้น 1


 


หนิงชิงเซวียบอกว่า ทังเป่ยเวยกลับมาแล้วและพักที่เมืองหนิงไห่ เขาตัดสินใจนำชิงเซวียไปพบเป่ยเวยในวันพรุ่งนี้ ถ้าเป่ยเวยเต็มใจ เขาก็พร้อมที่จะพาเป่ยเวยไปเมืองอสรพิษด้วยกัน


 



 


เช้าวันรุ่งขึ้น หนิงชิงเซวียตื่นขึ้นมาและพบว่าเย่โม่ยังคงฝึกตนอยู่ เธอก็รู้สึกอบอุ่นภายใน


 


เย่โม่เห็นว่าหนิงชิงเซวียตื่นขึ้นมาและลุกขึ้นยืนทันที เขาพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ หลังจากที่เรากินกันอะไรแล้ว เราจะกลับไปที่เมืองหนิงไห่ และเธอก็สามารถไปเยี่ยมครอบครัวที่รัฐยวี่ได้นะ”


 


หนิงชิงเซวียตกลง เมื่อเธอลุกจากเตียง เธอก็เดินไปที่เย่โม่และกอดเขา เธอชอบความรู้สึกอบอุ่น เย่โเพิ่งจะบ่มเพาะเสร็จ และเนื่องจากหนิงชิงเซวียซึ่งสวมกอดเขา เธอยังคงอยู่ในชุดนอนของเขา และเขาก็รู้สึกถึงไฟที่หัวใจ


 


ร่างกายของหนิงชิงเซวียอ่อนนุ่มและมีกลิ่นหอม ทำให้เขามีความปรารถนาที่ไม่อาจต้านทานได้


 


ราวกับว่าเธอรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาของเย่โม่ หนิงชิงเซวียจึงอายและฝังศีรษะของเธอไว้ในหน้าอกของเย่โม่ เธอรู้ว่าเธอไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่โดยการแสดงแบบนี้ ดูเหมือนจะไม่เหมาะกับบุคลิกของเธอ


 


เมื่อเย่โม่ต้องการพูดอะไรบางอย่างกับหนิงชิงเซวีย ก็มีบางคนมาเคาะประตู….(บัดซบ! ฆ่ามัน!)


 


เย่โม่ขมวดคิ้ว นี่มันเป็นเช้าตรู่และ ซวี่เยวียฮวามีประสบการณ์ในการประชุมทางสังคมในโลกนี้ เธอมารบกวนเขาและหนิงชิงเซวียได้ยังไง? เว้นแต่จะมีบางสิ่งที่สำคัญ


 


ด้วยความคิดเหล่านี้ เย่โม่ยิ้ม ในสายตาของเขาตราบใดที่ทุกคนรอบตัวเขาสบายดีทุกอย่างก็ดี หากโลกกำลังจะระเบิดก็ไม่มีอะไรจะสำคัญเกินไป ซวี่เยวียฮวาเพิ่งพบเขา ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจบุคลิกของเขา


 


หนิงชิงเซวียแยกจากเย่โม่ เธอสางผมตัวเองและยิ้ม “พี่เยวียฮวา ต้องมีธุระบางอย่างที่จะพูดกับนายละมั้ง นายออกไปเถอะ ฉันจะออกไปหลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วนะ”


 


เย่โม่เปิดประตูและเห็นซวี่เยวียฮวายืนอย่างหงุดหงิดที่ประตู เมื่อเธอเห็นเย่โม่ออกมา เธอก็พูดทันทีว่า “เมื่อกี้ประธานยวีเพิ่งโทรมา เธอบอกว่ามีบางอย่างที่ต้องรายงาน”


 


ยวีเมี่ยวตั๋น? เธอโทรมาแต่เช้าตรู่แบบี้ แสดงว่ามีเรื่องอะไรจริงๆเหรอ?


 


เย่โม่รีบไปทันที ซึ่งทันทีที่มีการเชื่อมต่อการโทร น้ำเสียงของยวีเมี่ยวตั๋นก็ฟังดูกังวลมาก ขณะที่เธอพูดว่า “ประธานเย่ เช้านี้มีชาย 2 คนมาที่เมืองอสรพิษ พวกเขาบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ พวกเขาบอกว่าพวกเขากำลังตามหาคุณ คนหนึ่งชื่อกัวฉี อีกคนชื่อฟางเหว่ย ฉันดูแลพวกเขาอยู่ ฉันวางแผนที่จะรอให้คุณกลับมาก่อน แต่ฉันเพิ่งเห็นโพสต์ระดับ 1 ในออนไลน์ เป็นภาพที่ทั้งพวกเขา ทั้งคู่มาจากกองกำลังพิเศษ พวกเขาฆ่านายทหาร 2 นายแล้วหนีออกมา ฉันยังไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับคุณคืออะไร ฉันก็เลยไม่ได้ทำอะไรกับพวกเขาเลย”


 


กัวฉีและฟางเหว่ย? เย่โม่จำได้ทันทีเมื่อเขาอยู่ที่ป่าชายแดน ชายทั้งสองมาจาก Eagle Squad กัปตันของพวกเขาคือผู้หญิงที่ชื่อลู่หลินและชรือวั่นชิงเป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้ เย่โม่ได้พบพวกเขาและช่วยพวกเขาให้รอด


 


เป็นเพราะสิ่งนี้ที่เย่โม่เป็นเพื่อนกับพวกเขา เขาบอกพวกเขาว่าเขาอยู่ที่เมืองอสรพิษ


 


แต่เย่โม่มั่นใจว่าทั้งสองคนนั้นไม่ได้รู้ว่าบริษัทลั่วเยวียเป็นของเขา


 


สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือสองคนนี้อยู่ในกองทัพและเป็นคนมีฝีมือจากกองกำลังพิเศษ ทำไมพวกเขาถึงฆ่านายทหาร?


 


เย่โม่มีความประทับใจที่ดีกับกัวฉี เขายังสอนเทคนิคการต่อสู้แบบง่ายๆ ให้พวกเขา เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่โม่จึงพูดว่า “บอกพวกเขาให้อยู่ในเมืองอสรพิษ พวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน อีกซักพักฉันจะกลับไป”


 


ในช่วงเวลานี้ หนิงชิงเซวียเดินออกมา และเดินไปที่เย่โม่ ขณะที่ถามอย่างระมัดระวัง “มันเกี่ยวกับบริษัทลั่วเยวียรึเปล่า?”


 


เย่โม่รู้สึกสบายใจและพูดว่า “ก็ไม่มากนะ เรากลับไปที่เมืองอสรพิษกันก่อนเถอะ”


บทที่ 428 : จ้าวแห่งธุรกิจ


 


หลังจากบอกซวี่เยวียฮวา เย่โม่ก็พาหนิงชิงเซวียไปยังเมืองอสรพิษ หลังจากที่ซวี่เยวียฮวาจัดการธุรกิจในฮ่องกงเสร็จ เธอจะเข้าร่วมกับพวกเขาที่นั่น


 


เมื่อกลับไปสู่​​เมืองอสรพิษอีกครั้งและเห็นสภาพแวดล้อม ไม่เพียงแต่หนิงชิงเซวียเท่านั้น แต่เย่โม่ก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น มันเปลี่ยนไปมากในเวลาอันสั้น มันกลายเป็นย่านธุรกิจที่คึกคัก ถนนสายหลักกว้างมากและมีร้านค้าและตัวแทนท่องเที่ยวทุกประเภท


 


สิ่งเดียวที่เย่โม่ไม่มีความสุขคือแม้ว่าถนนจะกว้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นอย่างนั้น และพวกมันก็ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ


 


ทางออกที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทลั่วเยวีย คือ เมืองอสรพิษ สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของพ่อค้าจำนวนมาก และพ่อค้าเหล่านี้ได้นำอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กันมาที่นี้ เคลื่อนที่ไปข้างหน้าของอุตสาหกรรมต่างๆ


 


เย่โม่เห็นและถอนหายใจ ไม่แปลกใจที่ซวี่เยวียฮวาเป็นห่วงประเทศที่อยู่ถัดไป ด้วยวิธีที่เมืองอสรพิษเป็นอยู่ตอนนี้มันเกือบจะเป็นเมืองชั้นสองแล้ว


 


เย่โม่ขมวดคิ้ว ‘ไม่สิ ถ้ามันตกต่ำลง มันจะเป็นเป้าหมายที่ง่าย’ สิ่งที่ทำให้เย่โม่เดือดร้อนคือถ้าเขาอยู่คนเดียว เขาจะจากไปได้ แต่ความจริงก็คือว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว หากประเทศใดที่จะโจมตีเมืองอสรพิษจริงๆ แล้วด้วยพลังขั้น 4 ของเขา มันจะเหมือนกับการขว้างปาก้อนหินก้อนหนึ่ง


 


ไม่ว่าลูกไฟและใบมีดของเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถสู้กับกองทัพได้ ความกังวลของซวี่เยวียฮวานั้นสมเหตุสมผล เขาต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นเขายิ่งใช้เวลานานเท่าไร ปัญหาก็จะมากขึ้นเท่านั้น


 


แม้ว่าเมืองอสรพิษจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฝางหนานและคนของเขา แต่เดิมนั้นสถานที่มันวุ่นวายและเมื่อเมืองอสรพิษขยายใหญ่ มันก็ยิ่งมากขึ้น


 


เย่โม่และหนิงชิงเซวียเพิ่งยืนอยู่ที่นั่นและได้รับความสนใจอย่างมาก หนิงชิงเซวียนั้นน่าดึงดูดใจไม่ว่าเธอจะยืนอยู่ตรงไหน เธอก็จะเป็นคนที่น่าดึงดูดที่สุด


 


“พี่ใหญ่ คุณต้องการโรงแรมไหม? เราให้บริการทุกประเภทนะ เรารับประกันได้ว่าคุณจะพึงพอใจ ไม่ต้องห่วงละ….ฉันสามารถพาคุณไปที่นั่นได้ลยตอนนี้นะ แค่ตามฉันมา” ก่อนที่เย่โม่และหนิงชิงเซวียจะจ้องมองที่เกิดเหตุ ผู้หญิงวัยกลางคนก็ได้หยุดพวกเขา


 


แม้ว่าเธอจะพยายามทำธุรกิจ จากน้ำเสียงของเธอดูเหมือนว่าเย่โม่จะได้ตกลงกับมันแล้ว และหลังจากที่เธอมา คนอื่นๆ ที่พยายามขายสิ่งของก็หยุดอยู่กับที่


 


หนิงชิงเซวียขมวดคิ้วและเข้าใกล้เย่โม่มากขึ้น


 


เย่โม่กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ไม่จะจำเป็น เราไม่ต้องการโรงแรม ขอทางด้วย”


 


“เฮ้พวก นายจะไม่อยู่ในโรงแรมที่เมืองอสรพิษได้ยังไง? มันไม่มียาความงามทุกวันหรอกนะ แต่ตราบใดที่นายอยู่ที่โรงแรม ฉันสัญญาว่านายจะซื้อยาความงามแน่ ฮิฮิ…” ชายร่างใหญ่อีก 2 คนเข้ามาขว้างทางของเย่โม่ แม้ว่าชายคนนั้นจะกำลังพูดกับเย่โม่ แต่ดวงตาของเขาก็อยู่กับหนิงชิงเซวียด้วยความปรารถนา


 


หลังจากพูดจบ เขาก็เริ่มเล่นมีดเล่มเล็กๆ


 


การแสดงออกของเย่โม่จมลง เขาโกรธมาก เมืองอสรพิษกลายเป็นสถานที่แบบนี้ได้ยังไง? ตลกที่ว่าเขาคิดว่านี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดมาก่อน ถ้าเย่หลิงไม่ใช่น้องสาวของเขา เธอคงถูกคุกคามแบบนี้ด้วยไหม? นี่ไม่ใช่การดึงดูดธุรกิจ นี่คือการขู่ให้พวกเขาไปพักที่โรงแรม


 


“แกมักจะบีบบังคับลูกค้าของแกแบบนี้หรอ? ไม่มีกฎเกณฑ์ในเมืองอสรพิษรึไง?” เสียงเย่โม่คมกริบ นี่ไม่ได้ต่างจากเมืองอสรพิษเมื่อ 2 ปีก่อนเลย หรืออาจยิ่งแย่ลงด้วยซ้ำ


 


เขาตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ เมืองอสรพิษ มีพวกอัธพาลเหล่านี้ แต่มันก็ยังมีประชากรอยู่มาก หากไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้แล้วมันจะไม่มีผู้พักอาศัยเพิ่มขึ้นไม่ใช่รึไง? ดูเหมือนว่าเขาจะต้องแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วในเมืองนี้ซะแล้ว


 


ความโกรธของเย่โม่เริ่มมากขึ้น จังเจียหยัน ฝางหนาน และ หยางจิว เป็นผู้จัดการเมืองอสรพิษได้ยังไง? นี่มันไร้สาระเกินไป


 


แต่แล้วเย่โม่ก็สงบความโกรธของเขา คนเหล่านี้เริ่มต้นจากล่างสุด พวกเขาไม่มีประสบการณ์ในการบริหารเมืองและไม่มีระบบ ไม่เลวเลยที่พวกเขายังสามารถทำให้สถานการณ์คงที่กับคนจำนวนมากนี้ได้


 


“ฮวงกุย ฉันบอกแกไปกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปติดต่อลูกค้าโดยตรงแบบนั้น แกกำลังทำมันอีกแล้วนะ และมันก็ทำให้ฉันลำบาก” ได้ยินเสียงเล็กๆ ดังขึ้น


 


ชายร่างใหญ่ที่ถูกเรียกว่าฮวงกุยหันกลับไป และเห็นชายหนุ่ม 2 คน เขายิ้มทันที “พี่โฮ่วจี โปรดอย่าสนใจพี่จินซรูเลยครับ หัวหน้าของเราและพี่จินซรูเป็นพี่น้องกันนี่ ฮิฮิ…”


 


แม้ว่าเขาจะดูสุภาพ แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้เกรงใจพี่โฮ่วจีจริงจัง


 


เย่โม่จ้องที่ชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความโกรธ เขารู้จักเขาเป็นคนที่ไปปักกิ่งเพื่อตามหาเขา ชายหนุ่มคนนี้ถูกเรียกว่าเซี่ยวโฮ่ว ชายผู้ซื่อสัตย์ของฝางหนาน


 


ไม่น่าแปลกใจที่คนเหล่านี้หยิ่งมาก พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากใครบางคน พวกอันธพาลเหล่านี้ไม่มีอำนาจจริงๆ เมื่อพวกเขาทำ พวกเขาจะคิดหาวิธีสร้างกำไรจากมัน เขาสงสัยว่าใครเป็นคนที่สนับสนุนพี่จินซรูนั่น


 


“โอเคๆ อย่าทำมากกว่านี้ละ แม้ว่าพี่จินซรูจะเป็นพี่ชายของฉัน เมืองอสรพิษก็ไม่ใช่ของฉันและมันไม่ใช่ของพี่จินซรู แกเป็นแบบนี้ตลอดและมันทำให้ฉันลำบากมากนะ” เซี่ยวโฮ่วพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนจมน้ำ เขารู้สึกว่าสิ่งที่พี่น้องหลายคนทำไม่ใช่สิ่งที่พี่เย่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม พี่หนานก็มุ่งเน้นไปที่การฝึกตนและไม่ค่อยจัดการเรื่องเหล่านี้ เขาให้คนของเขากับร็อคและเสี่ยวจินซรูจัดการ และตอนนี้นี่คือสถานการณ์


 


“ขอโทษครับพี่โฮ่วจี แต่ครั้งนี้ฉันต้องทำอะ” จากนั้น ฮวงกุยก็จ้องไปที่หนิงชิงเซวีย


 


เซี่ยวโฮ่วส่ายหัวอย่างไร้หนดทาง เขาเงยหน้าขึ้นแล้วขยี้ตาอย่างไม่เชื่อ จริงๆ…เขาเห็นเย่โม่และหนิงชิงเซวียจริงๆ! ใบหน้าของเซี่ยวโฮ่วเปลี่ยนไปทันที เขาวิ่งไปข้างหน้าเย่โม่อย่างรวดเร็วและคำนับ “พะ พี่ใหญ่ พี่กลับมาแล้ว…”


 


เย่โม่แสยะยิ้มและสแกนธุรกิจผู้คนที่เดินผ่านไปมา เมื่อเขาต้องการพูด เขาก็เห็นผู้คนจำนวนมากหยุดพ่อค้าต่างชาติรายอื่น พวกเขาเกือบจะผลักและลากเขาออกไป


 


“ทำไมถึงมีขยะแบบนี้เกิดขึ้นในเมืองอสรพิษหะ? ฝางหนานมัวทำอะไรอยู่?” อารมณ์ของเย่โม่เริ่มใหญ่ขึ้น บริษัทของเขาตั้งอยู่ในเมืองอสรพิษ และด้วยสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นที่ ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ของเขาจะมีประสิทธิภาพเพียงใด มันก็จะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของบริษัทของเขา


 


“แกคิดว่าแกเป็นใครหะ? แกกล้าชี้นิ้วสั่งแบบนั้นได้ยังไง? แกเป็นพี่ใหญ่ของเซี่ยวโฮ่วรึไงว่ะ? ฉันจะบอกอะไรแกให้นะ ถ้าอยากจะทำอะไรที่มันดีๆก็ไปทำบ้านมึงนู่นไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ของมึง” ฮวงกุยคิดว่า เย่โม่เป็นญาติของเซี่ยวโฮ่ว เขาไม่ได้ยินคำพูดของเย่โม่และเดินไปด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยาม เขาไม่ได้สนใจเซี่ยวโฮ่วด้วยซ้ำ เขาให้ความเคารพเขาเพียงเพราะเขาเป็นน้องชายของพี่จินซรู


 


ป้าบ! – เซี่ยวโฮ่วตบหน้าฮวนกุยทันที “ไสหัวไป แม้ว่าแกจะเป็นหนึ่งในคนของเสี่ยวจินซรู ฉันก็จะไม่ปล่อย ฉันจะจัดการเสี่ยวจินซรูที่นี่ ฉันไม่สนใจเกี่ยวกับสิ่งที่แกทำได้ด้วยซ้ำ”


 


“โอ้ เชิงจีโฮ่ว นายมีแข็งแกร่งมาก นายไม่ได้เป็นกระทั่งบอสใหญ่ในเมืองอสรพิษ นายกล้าทำร้ายคนของฉันได้ยังไง? ฉันอยากเห็นนักว่านายจะทำอะไรกับเรื่องนี้” จากนั้น ชายหนุ่มอีกคนก็พาชายสองคนไปกับเขาและเดินไป หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะสวมเสื้อผ้าจากกองทัพ


 


เย่โม่รู้จักคนๆนี้ เขาคือเสี่ยวจินซรู 1 ใน 2 คนที่ภักดีของฝางหนาน อีกคนหนึ่งชื่อว่าร็อค แต่เขาไม่ได้คาดหวังให้เขาเป็นอย่างนี้ในเวลาเพียง 2 ปีเลย โอ้…บางทีเขาก็ไม่เคยเปลี่ยน เขาเป็นแบบนี้มาตลอด แต่เย่โม่ไม่เข้าใจเขาเลย


 


“คนพวกนี้ไม่มีเหตุผลจริงๆ…” หนิงชิงเซวียเห็นสิ่งนี้และขมวดคิ้ว


 


“เหตุผล…ฉันไงเหตุผล -” เสี่ยวจินซรูกล่าวเพียงครึ่งประโยคก่อนที่เขาจะเห็นหนิงชิงเซวีย ผู้หญิงคนนี่สวยมาก! แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ทำให้เขามีความสุข ดูเหมือนว่าเขาจะจำเธอได้ ผู้หญิงคนนี้เคยมาที่เมืองอสรพิษมาก่อน และพี่ใหญ่ฝางหนานก็ปฏิบัติต่อเธอเหมือนแขกคนสำคัญ เธอดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงของพี่เย่ มันเป็นของเธอ เสี่ยวจินซรูรู้สึกไม่ดีนัก


 


ในที่สุดเขาก็เห็นเย่โม่ ผู้มีใบหน้าเย็นชาถัดจากหนิงชิงเซวีย หากเขามีโอกาสอีกครั้ง เขาจะไม่มองผู้หญิงคนนั้นก่อน แต่เป็นคนที่อยู่ข้างเธอ


 


ทันทีเสี่ยวจินซรูเห็นเย่โม่ หัวใจและร่างกายของเขาก็สั่นเท่า นั่นเป็นพี่ใหญ่ของพี่หนาน เขาไม่ได้มีโอกาสแม้แต่จะเรียกพี่ใหญ่เยโม่ พี่เย่กลับมาที่เมืองอสรพิษและคนของเขา ฮวงกุยได้พยายามบังคับพี่เย่ แต่ถูกเซี่ยวโฮ่วหยุด


 


เสี่ยวจินซรูไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเข้าใจ มันจบแล้ว หัวใจของเสี่ยวจินซรูนั้นเต็มไปด้วยความกังวล เขาทำธุรกิจกับบอสใหญ่ เขาสงสัยว่าไอ้ฮวงกุยมันทำตัวไม่พอใจกับผู้หญิงที่เป็นของบอสใหญ่หรือไม่


 


“พี่จินซรู เซี่ยวโฮ่วเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เขามักจะขัดขวางเราไม่ให้ทำธุรกิจเมื่อไม่นานมานี้ ถ้าเขาไม่ได้เป็นพี่ใหญ่ฉันคง…” เสียงของฮวงกุยหยุดลงทันที


 


เขาไม่สามารถพูดได้อีกต่อไปเพราะเสี่ยวจินซรูได้ตบหน้าเขาด้วย ก่อนที่ฮวงกุยจะตอบโต้ได้ เสี่ยวจินซรูก็คุกเข่าต่อหน้าเย่โม่แล้ว


 


ฮวงกุยงงงวย แต่ก่อนที่เขาจะตอบสนอง เขาก็เห็นพี่จินซรูของเขาคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มคนนั้น


 


“พี่เย่ ฉัน – ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นพี่” เสี่ยวจินซรูกลัวจริงๆ ในตอนนี้ คนอื่นไม่รู้จักพลังของเย่โม่ แต่เขาเห็นมาแล้วกับฝางหนาน


 


เย่โม่พูดอย่างเยือกเย็น “ถ้างั้นแกจะหมายถึงว่าถ้ามันเป็นคนอื่น แกจะอนุญาตให้ทำเรอะ?”


 


เสี่ยวจินซรูเปิดปากของเขา แต่พูดอะไรไม่ออก เขาเชื่ออย่างนั้นจริงๆ นับตั้งแต่ที่เมืองอสรพิษเป็นดินแดนของพวกเขาและพี่ใหญ่ของพวกเขาได้ห้ามการโจรกรรม ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเขาจะทำธุรกิจอะไรที่ไม่ใช่บีบบังคับล่ะ?


บทที่ 429 : ปัญหาเมืองอสรพิษ


 


เมื่อได้รับโทรศัพท์ของเสี่ยวจินซรู ฝางหนานก็วิ่งออกไปทันทีที่ทำได้ เมืองอสรพิษไม่ไม่ใหญ่นัก เขาจึงมาถึงที่เกิดเหตุด้วยรถยนต์ในเวลาไม่กี่นาที


 


เมื่อเขาเห็นเสี่ยวจินซรูคุกเข่าลงบนพื้นและเย่โม่ที่หน้าตาดูไม่มีความสุข ฝางหนานก็รู้ทันทีว่าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปด้วยดี มันเป็นข่าวดีที่พี่เย่กลับมา แต่เขาไม่ได้จัดการกับคนของเขาเลยเมื่อเร็วๆ นี้ พวกเขาทำอะไรบางอย่างที่ทำให้บอสใหญ่ไม่พอใจงั้นหรอ?


 


ก่อนที่รถจะหยุดดีนัก ฝางหนานก็กระโดดและเดินไปที่เย่โม่อย่างเคารพ “พี่เย่ พี่กลับมาแล้ว”


 


ในขณะที่เขาฝึกตน ฝางหนานก็ได้รู้ว่าเขาอ่อนแอแค่ไหนและเย่โม่แข็งแกร่งแค่ไหน ก่อนหน้านี้เขารู้สึกกลัวและชื่นชมเย่โม่ แต่ตอนนี้มันเป็นความเคารพและบูชา นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงทิ้งสิ่งต่างๆ และจดจ่อกับการฝึกตนตลอดเวลา


 


ฮวงกุยหวาดกลัวอย่างสมบูรณ์ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว แม้แต่พี่ใหญ่ของเสี่ยวจินซรู ฝางหนานก็ให้เกียรติชายหนุ่มคนนั้นและเขาก็คิดที่จะได้ผู้หญิงของเขา เขาอยากจะตบตัวเองจริงๆ!


 


ไม่นานมานี้และอยู่ที่นั่นแล้ว จังเจียหยัน ยวีเมี่ยวตั๋น หยางจิว โดยทั่วไปแล้วก็ตำแหน่งสูงๆของบริษัทลั่วเยวียเกือบทั้งหมด เมื่อนั้นฮวงกุยก็หมดหวังทั้งหมด แม้ว่าเขาจะเป็นคนโง่งี่เง่า แต่เขาก็สามารถเดาได้ว่าชายคนนั้นเป็นบอสใหญ่ในตำนานของเมืองอสรพิษ


 


ยวีเมี่ยวตั๋นมองเย่โมด้วยความตกใจ เธอไม่เข้าใจ แต่เธอต้องเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเอง เธอไม่กล้าพูด เธอโทรหาเย่โม่ในตอนเช้าและมันก็น้อยกว่า 1 ชั่วโมง จนกระทั่ง เย่โม่มาถึงเมืองอสรพิษ


 


ถ้าเธอไม่รู้จริงๆ ว่าเย่โม่มาที่ฮ่องกงในตอนเช้า เธอจะคิดว่าเยโมอยู่ใกล้ๆ เขามาจากฮ่องกงถึงเมืองอสรพิษในอีก 1 ชั่วโมง ไม่น่าแปลกใจที่้เย่โม่จะพูดว่าเขาจะกลับมาทันที เธอตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ ถ้ายาความงามและยารักษาสุขภาพยังคงสมเหตุสมผล แต่การมาถึงที่นี่ภายใน 1 ชั่วโมงมันไม่เพียงพอ แม้ว่าเขาจะมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วแบบนี้แน่


 


ยวีเมี่ยวตั๋นเพิ่งรู้ว่าเธอไม่ได้รู้จักเย่โม่เลย


 


“ประธานเย่…”


 


“ประธานเย่…”


 



 


ทุกคนเดินมาหาเยโม่และทักทายเขา เย่โม่พยักหน้าและกล่าวว่า “โอเค ในวันนี่เราก็มาถึงจุดนี้แล้วเนื่องจากการทำงานหนักของทุกคน ฉันเชื่อว่าไม่มีใครต้องการทำลายสิ่งที่เราสร้าง แต่วันนี้เมื่อฉันกลับมา ฉันเห็นธุรกิจขยะหลอกลวงพวกนี้ ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งมาที่นี่ ถูกบังคับให้ค้าประเวณี ซึ่งเมืองอสรพิษเป็นฐานของบริษัทลั่วเยวีย ที่ซึ่งเราจะมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ถ้ำโจร ถ้าต้องการเป็นโจรก็ไสหัวไป”


 


“ประธานเย่ นี่เป็นความผิดของฉันเอง….” จรังเจียหยันเดินไปข้างหน้าแล้วพูดออกมา แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินข่าวนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจริงจังกับมัน เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะจบลงด้วยการที่บอสใหญ่ถูกข่มขู่เช่นกัน


 


“พี่ใหญ่ นี่เป็นความผิดของฉันในการบริหารจัดการเอง หลังจากที่ประธานจรังให้ฉันดูแลการจัดการความปลอดภัยของเมืองอสรพิษ ฉันก็ให้อำนาจแก่คนของฉันเพื่อฝึกตน ฉันไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนไปในสถานการณ์ของความหืนกระหายแบบนี้ ฉันจะจัดการกับเรื่องนี้ทันทีครับ” ฝางหนานกล่าว


 


เย่โม่โบกมือ “นี่เป็นความรับผิดชอบของนายแน่นอน แต่นายไม่จำเป็นต้องจัดการกับมัน หยางจิวจะรับผิดชอบเรื่องนี้ในตอนนี้ และนายจะทำงานให้เขาสักพัก”


 


เย่โม่ได้มอบตำแหน่งให้เขาและมอบมันให้กับหยางจิวด้วยคำพูดเดียว แม้ว่าฝางหนานจะเป็นกังวล แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร เย่โม่ปล่อยให้เขาทำงานภายใต้หยางจิว ซึ่งหมายความว่าเขาคาดหวังว่าเขาจะทำได้ดีขึ้นในอนาคตเพื่อชดเชย


 


พวกเขารู้จักเย่โม่มาตั้งแต่เริ่มแรก แต่สิ่งนี้ถูกทำลายเพราะคนของเขา เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฝางหนานจึงจ้องมองที่เสี่ยวจินซรู ซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น หากเสี่ยวจินซรูไม่ได้เป็นหนึ่งในคนที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขาเขาจะวางแผนฆ่าเขาทิ้งซะ


 


“หยางจิว สัญญาว่าจะทำภารกิจของบอสใหญ่ให้สำเร็จครับ” หยางจิวสัญญาอย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด


 


เย่โม่กล่าวอย่างชัดแจ้งว่า “นายจะต้องรับผิดชอบในการทำความสะอาดเมืองอสรพิษในตอนนี้ เรายังต้องหารือว่าจะการจัดการเมืองอสรพิษในอนาคตให้เป็นยังไง ภารกิจของนายสำหรับ 2-3 วันนี้คือการสำรวจโรงแรม ร้านค้าและบาร์ในเมืองอสรพิษ นำโรงแรมและศูนย์รวมความบันเทิงกลับมา ฆ่าคนที่ไม่เห็นด้วยซะ”


 


คำพูดที่เยือกเย็นและโดดเด่นของเย่โม่ทำให้ทุกคนสั่นไหว ฆ่าถ้าคนที่ไม่เห็นด้วย? หากมีการพูดที่อื่นรัฐบาลจะติดตามคุณ แต่นั่นคือที่เมืองอสรพิษดินแดนของเย่โม่


 


“เย่โม่…” แม้แต่หนิงชิงเซวียก็คิดว่าคำของเย่โม่นั้นไม่เหมาะสม แม้ว่าเธอจะเคยมาที่เมืองอสรพิษครั้งหนึ่ง แต่เธอก็ยังไม่เจอกับผลกระทบอะไร เธอเพิ่งเรียกชื่อเขาครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ในเมื่อเย่โม่ทำแบบนั้น เขาจะต้องมีเหตุผลที่ดีแน่


 


แน่นอน เย่โม่มีเหตุผลของเขา จากผู้ที่สามารถครองอำนาจได้ เขาก็เหมาะสมที่สุด เขาไม่ต้องการให้เมืองอสรพิษเป็นสถานที่ซึ่งอำนาจปกครองเหนือสิ่งอื่นใด เนื่องจากเขาวางแผนที่จะสร้างบ้านของเขา เขาจึงต้องควบคุมพลังของมัน ไม่มีประเด็นในการพยายามให้เหตุผลกับคนเหล่านี้ เมื่อเขาสามารถควบคุมเมืองอสรพิษได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นเขาก็จะสร้างกฎหมาย


 


ก่อนหน้านั้น เขาสามารถใช้การฆ่าเพื่อแก้ปัญหาเท่านั้น


 


บางครั้ง คำพูดของเย่โม่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามันง่ายที่จะพูดคุยกับเขา แต่แล้วพวกเขาก็ตระหนักว่าในบางช่วงเวลามันไม่ง่ายเลยที่จะพูดคุยกับเขา และในช่วงเวลาเหล่านั้นเขาน่ากลัวมาก


 


เย่โม่มองไปที่หยางจิว ผู้ซึ่งตื่นเต้นและพูดว่า “อย่าปล่อยให้ตัวเองได้รับอิทธิพลจากธุรกิจหลอกลวงพวกนั้น สำหรับคนที่พยายามควบคุมเมืองอสรพิษ ให้ฆ่าพวกเขาทั้งหมด หากพวกเขามีการฆ่าที่นี่หรือข่มขืนผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องรายงาน แต่ถ้านายทำอะไรที่คนก่อนหน้านายทำ และใช้อำนาจหาผลประโยชน์ส่วนตัว คนต่อไปที่จะไม่มีหัวก็คือนาย”


 


“ครับ” หยางจิวตัวสั่น


 


เขาเข้าใจว่ามันโอเคที่จะผ่อนปรนกับเพื่อน แต่ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่สามารถนำเข้าสู่การบริหารเมืองได้ นั่นจะทำให้เมืองแย่ลงและแย่ลง


 


ฮวงกุยเริ่มเหงื่อออก เขาฆ่าคนจำนวนมากและข่มขืนผู้หญิงมากกว่า 10 คน หากพวกเขาทำตามคำสั่งของเย่โม่ เขาจะตายแน่นอน


 


ทันใดนั้น เสี่ยวจินซรูก็ชี้ไปที่ฮวงกุย และสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาและพูดว่า “สามคนนี้ฆ่าคนตาย และฉันก็รู้ว่าพวกเขาข่มขืนผู้หญิงที่มาเมืองอสรพิษด้วยครับ”


 


“หึๆ ฉันเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยแหละน่า แต่บอสใหญ่ไม่ได้สั่งมาก่อนหน้านี่” หยางจิวหัวเราะอย่างน่าขนลุก ก่อนที่พวกเขาจะตอบโต้ ทั้งสามก็ลงไปนอนที่พื้นแล้ว นอกเหนือจากเย่โม่แล้ว แม้แต่จังเจียหยันก็ต้องดูว่าหยางจิวทำอะไร เขาเป็นฆาตกรอันดับ 1 ของโลก


 


เย่โม่มองไปที่เสี่ยวจินซรูอย่างเย็นชา ซึ่งอยู่บนพื้น ถ้ามันไม่ใช่เพราะฝางหนาน เขาจะต้องโยนบอลไฟใส่เขาไปแล้ว


 


“หยางจิวและฝางหนาน พาคนของนายไปเริ่มทำงานซะ ส่วนที่เหลือตามฉันมาประชุม”


 


เย่โม่รู้ว่าอันตรายของเมืองอสรพิษไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่เขาได้เห็นเท่านั้น อันตรายที่แท้จริงนั้นมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่แม้แต่เขาจะสามารถจัดการกับอันตรายเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย


 



 


เมื่อเย่โม่พูดจบเสร็จสิ้น ยวีเมี่ยวตั๋นและคนอื่นๆ ก็กลับไปที่สำนักงานใหญ่บริษัทลั่วเยวีย ซึ่งเย่หลิง รีบมาทันที เธอเพิ่งได้รับข่าวการกลับมาของพี่ชายของเธอ ดังนั้นเธอจึงหยุดทำงานเรื่องยาที่เธอทำอยู่ และวิ่งออกไป


 


เธอจับแขนของเย่โม่ แล้วเห็นหนิงชิงเซวีย เธอรีบวิ่งไปที่หนิงชิงเซวีย และคว้าแขนของเธออย่างร่าเริง “พี่สะใภ้ชิงเซวียกลับมาแล้ว! สุดยอดไปเลย พี่ชายของฉันเป็นห่วงพี่จริงๆนะ”


 


ถึงแม้ว่าเย่โม่จะไม่เคยพูด แต่เย่หลิงก็รู้ว่าหนิงชิงเซวียมีความสำคัญต่อเขามาก แม้ว่าเธอจะไม่ชอบหนิงชิงเซวีย แต่ในเมื่อพี่ชายของเธอชอบชิงเซวีย แต่เธอจะดูถูกเธอได้ยังไง?


 


“อะ ขอบคุณนะเย่หลิง ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะอยู่ในเมืองอสรพิษด้วย” หนิงชิงเซวียคิดถึงน้องสาวอีกคนของเย่โม่ทันที ทังเป่ยเวย มีบางสิ่งที่เย่โม่ไม่มีเวลาบอกเธอ ดังนั้นเธอยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเชื่อว่าทังเป่ยเวยคือคนที่เย่โม่ชอบเช่นเดียวกับเธอ แม้ว่าหนิงชิงเซวียจะเดาได้ แต่เธอก็ไม่ได้ถาม เธอรู้ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เย่โม่จะหาเวลาบอกเธอเอง เธอจึงไม่กังวล


 


“พี่ชิงเซวีย ทำไมพี่ไม่ลองอยู่ที่เมืองอสรพิษต่อสักหน่อยละ มันมีสถานที่ดีๆด้วยนะ” เย่หลิงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอสรพิษมาระยะหนึ่ง แล้วได้พัฒนาคามผูกพัน แต่เธอรู้ว่าหนิงชิงเซวียมีบริษัทของตัวเอง และอาจจะกลับไปที่รัฐยวี่


 


เธอไม่ได้คาดหวังว่าหนิงชิงเซวียจะยิ้มพริ้มและพูดว่า “เอาสิ ฉันจะเอาของกลับมาจากเมืองหนิงไห่ แล้วจากนั้นฉันจะเริ่มอยู่ที่นี่นะ”


 


“จริงเหรอ? นี่มันเยี่ยมมากเลย!” เย่โม่พูด… ซึ่งเย่หลิงได้ลืมพี่ชายของเธอไปเรียบร้อยแล้ว


 


หนิงชิงเซวียคิดว่าถึงแม้ครอบครัวของเธอจะมีบริษัท แต่ตอนนี่เธอแต่งงานกับเย่โม่ ดังนั้นเธอจึงควรเริ่มช่วยเย่โม่ในเมืองอสรพิษ


 


เอ๋อฮู่และลู่เซี่ยวเจิ่นเองก็มาทักทายเย่โม่ด้วย เมื่อคนที่คุ้นเคยเหล่านี้มาทักทายเขา เย่โม่ก็รู้สึกมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนเมืองอสรพิษให้เป็นสถานที่ที่ซึ่งคนเหล่านี้จะปลอดภัย


 


“ประธานจรัง รวมคนเข้าห้องประชุมก่อน เย่หลิงและชิงเซวียเองก็ไปที่ห้องประชุมก่อนเถอะ พี่ยวีพาฉันไปดูกัวฉีและฟางเหว่ยที” เย่โม่ไม่ลืมพวกเขา แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงฆ่านายทหาร แต่ถ้าพวกเขาถูกวางกับดัก เขาจะช่วยพวกเขา เย่โม่นั้นได้ยอมรับในตัวกัวฉีแล้ว เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก


บทที่ 430 : มันเกี่ยวกับลวี่หลิน


*แก้ไขจาก ลู่หลิน เป็น ลวี่หลิน


 


เมื่อเย่โม่เห็นกัวฉีและฟางเหว่ย พวกเขาสูญเสียอย่างชัดเจนและดูโง่เง่า พวกเขาทั้งสองนั่งอยู่ในห้องไม่ขยับ พวกเขามีบาดแผลจากปืน แต่ดูเหมือนว่ายวีเมี่ยวตั๋นจะให้มีคนคอยดูแลพวกเขา


 


“พี่เย่ พวกเราขอโทษนะ เราทำให้นายเดือดร้อน เราไปไหนไม่ได้จริงๆ” กัวฉีเห็นว่าเย่โม่แสดงออกอย่างไร้อารมณ์


 


“อาจารย์…” ถึงแม้ว่าเย่โม่จะไม่ได้รับฟางเหว่ยเป็นศิษย์ แต่เขาก็ยังเคยเรียกเย่โม่ว่าอาจารย์ เย่โม่ยิ้มและให้ทั้งสองนั่งลง ก่อนถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”


 


กัวฉีถอนหายใจและไม่ได้บอกว่าคืออะไร “พี่เย่ ฉันซาบซึ้งกับเพื่อนของนาย พี่ยวี ถ้าไม่ใช่เพราะเธอพาพวกเราเข้ามา เราคงตายไปแล้ว เราหวังว่านายจะรู้จักประธานของบริษัทลั่วเยวียนะ…”


 


หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กัวฉีก็กล่าวต่อไปว่า “ถ้าหากไม่ใช่เพราะลวี่หลิน ฉันก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อรบกวนนาย แต่ฉันรู้ว่าไม่มีใครอื่นนอกจากนายที่สามารถช่วยชีวิตเธอได้ แม้ว่าคำขอนี้จะเกินเลยไปหน่อย แต่ฉันต้องการช่วยเธอจริงๆ”


 


กัวฉีอธิบายไม่จบ


 


เมื่อเห็นอย่างนี้ ฟางเหว่ยก็พูดอย่างรวดเร็ว “พี่ลวี่กับพี่กัวรักกัน และครั้งสุดท้ายที่เรากลับมา พี่ลวี่ได้เลื่อนตำแหน่ง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อพวกเขากำลังจะแต่งงานกัน ก็มีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้น”


 


“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อาจารย์ที่เคยสอนให้เรา ซวี่ซรือ พาชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ชิวจื่อเฟย มาฝึกในทีมของเรา ต้นกำเนิดของเขานั้นทรงพลังมากและเขาสามารถเลือกทีมที่จะอยู่ต่อได้ ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะอยู่ใน Eagle Squad นำโดยพี่ลวี่ นี่เป็นเรื่องปกติ แต่วันที่สองหลังจากที่เขาเข้าร่วม เขาเมาแล้วเขาก็เข้าไปในห้องของพี่ลวี่ เขาต้องการโจมตีเธอ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถเอาชนะพี่ลวี่ได้ และถูกน็อค”


 


“ชิวจื่อเฟย?” จู่ๆเย่โม่ก็จำได้ถึงตระกูลชิวปักกิ่ง เป็นพวกมันอีกแล้วหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาก็อวดดีเกินไป เขาเพิ่งสอนบทเรียนให้ชิวจือเจร่อและชิวตงเชรินในปักกิ่ง แต่ตอนนี้พวกเขาสร้างปัญหาอีกครั้ง


 


ฟางเหว่ยเล่าต่อ “ทันทีที่ชิวจื่อเฟยถูกน็อค ประตูของพี่ลวี่ก็ถูกเปิด เป็นร้อยโทฮั่นและจ่าสิบเอกก็เข้ามาด้วย สิ่งที่พี่ลวี่ไม่คาดคิดก็คือพวกเขาไม่เพียงไม่หยุดชิวจื่อเฟยเท่านั้น แต่จับกุมพี่ลวี่แทน จากนั้นพวกเขาก็พยายามเกลี้ยกล่อมพี่ลวี่ให้ทำตามที่ชิวจื่อเฟยพอใจ โดยบอกว่าถ้าเธอทำ เธอก็สามารถขึ้นเป็นพันเอกได้ทันที”


 


กัวฉีกำมือหมัดแน่น


 


ฟางเหว่ยมองที่กัวฉี และพูดต่อว่า “แน่นอนพี่ลวี่ไม่เห็นด้วย ในขณะนั้น ชิวจื่อเฟยก็ยืนขึ้นแล้วบอกร้อยโทฮั่นและจ่าสิบเอกให้ถอดเสื้อผ้าของพี่ลวี่ ทั้งสองต้องการทำเช่นนั้นและกำลังจะฉีกเสื้อผ้าของเธอ ในขณะนั้นพี่กัวและฉันก็เห็นฉากที่น่าขยะแขยงนี้ พี่กัวดึงกริชของเขาออกมาแล้วแทงร้อยโทฮั่นโดยไม่ลังเล ฉันช่วยเขาหยุดจ่า แต่เพราะพี่กัวเห็นเสื้อผ้าของพี่ลวี่ขาด หลังจากที่เขาฆ่าร้อยโท เขาก็ฆ่าจ่าสิบเอกด้วย”


 


กัวฉีต่อไปว่า “ไอ้สัตว์นรกพวกนั้นพยายามข่มขืนลวี่หลิน ฉันไม่สามารถควบคุมมือฉันได้เลย และฉันก็ต้องฆ่าพวกมัน หลังจากที่ฉันคิดเกี่ยวกับมันแล้วฉันรู้สึกว่าชิวจื่อเฟยได้ทำไปแล้วในวันนั้น เมื่อตอนที่มันเมา และเข้าไปในห้องของลวี่หลิน มันยังมีผู้ชายสองคนติดตามมันไปด้วย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นดูเหมือนว่าจะมีการวางแผน ถ้าฉันไม่ได้ตามหาลวี่หลินในวันนั้น ฉันก็ไม่กล้าที่จะจินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้นเลย”


 


ฟางเหว่ยพยักหน้า “เมื่อพี่ลวี่บอกเราเรื่องนี้ พี่กัวโกรธมากและทุบไข่ของชิวจื่อเฟย แต่แค่เมื่อพี่กัวกำลังจะฆ่าชิวจื่อเฟย คนอื่นๆก็เข้ามา พี่กัวไม่มีปืนและไม่ได้ฆ่าเขาในตอนนั้น เขาผลักมันและพากันหนี แต่เราไม่ได้ไปไกลนัก ตั้งแต่ขาของพี่ลวี่ถูกยิง พี่ลวี่ก็หยุดและบอกให้เราสองคนทิ้งเธอไว้ข้างหลัง เธอบอกว่าถ้าเราทุกคนถูกจับได้ เราจะไม่มีโอกาสในอนาคต แม้ว่าเราจะถูกยิง แต่เราก็ยังวิ่งหนีมา”


 


“ยังไงซะ เราไม่ได้มีสถานที่ที่จะไป ดังนั้นเราจึงมาที่ที่ของอาจารย์ได้เท่านั้น พี่กัวต้องการขอให้อาจารย์ช่วยพี่ลวี่ พี่ลวี่ถูกขังในค่ายทหาร นอกจากอาจารย์แล้วก็ไม่มีใครช่วยเธอได้”


 


หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เย่โมก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย เขารู้ว่ากัวฉีเดาถูกต้องว่าชิวจื่อเฟยวางแผนไว้ เขาต้องการใช้การเมาเป็นข้ออ้างในการข่มขืนลวี่หลิน แต่ก็กลัวว่าเขาจะสู้เธอไม่ได้ เขาจึงเรียกชายสองคนมาช่วย หากเกิดขึ้นกับเขา เขาจะต้องฆ่าทุกคนโดยไม่ลังเลอย่างกัวฉีเหมือนกัน


 


แม้ว่าลวี่หลินจะมีสัดส่วนที่ดีมาก แต่หน้าตาของเธอก็อยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น ทำไมตระกูลชิวจึงเลือกลวี่หลินละ? แต่เย่โม่ไม่ได้ถามว่าทำไม โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลพวกเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบ


 


เมื่อเห็นว่าเย่โม่จมลงอย่างเงียบงัน กัวฉีก็คุกเข่าลง “พี่เย่ ฉันรู้ว่าคำขอของฉันมันเกินไป แต่ฉันรู้ว่าถ้ามีใครในโลกนี้ที่สามารถช่วยเธอจากที่นั่นได้ นั่นก็คือนาย ด้วยพลังของซวี่ซรือ แม้ว่าเราทั้งกลุ่มเล็กๆ จะจู่โจมเขา เราจะต้านได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น ลวี่หลินน่าสงสารมาก เธอเลือกที่จะเข้าร่วมกองทัพเพราะเธอถูกทอดทิ้งอย่างไร้ความปราณี ฉันอยากจะให้ตัวเองทรมานมากกว่าที่ลวี่หลินจะต้องถูกสัตว์นรกพวกนั้นข่มขืน”


 


เย่โม่ดึงกัวฉีให้ลุกขึ้นมาทันทีและพูดว่า “เราเป็นเพื่อนกันนะ อย่าทำแบบนี่สิ ฉันรู้จักกัปตันลวี่ ฉันจะช่วยนายแน่นอน แล้วเรื่องนี้ฉันจะเอาไปประชุมก่อนเพราะบริษัทลั่วเยวียเป็นบริษัทของฉัน และฉันไม่ได้กลับมาเป็นนาน ฉันจะจัดการบางสิ่งให้เสร็จ แล้วหลังจากนั้นฉันจะไปกับนายที่ค่ายทหาร”


 


“อาจารย์ บริษัทลั่วเยวียเป็นบริษัทของคุณหรอ?” ปากของฟางเหว่ยเปิดกว้าง ใบหน้าของเขาแสดงออกอย่างไม่เชื่อ


 


เย่โม่ยิ้มและพยักหน้า “ใช่ ถ้านายไม่อยากอยู่ในกองทัพ นายสามารถเลือกที่จะช่วยฉันที่นี่ได้นะ”


 


“แน่นอนสิ ฉันจะยังอยู่ในกองทัพต่อไปได้ยังไงหลังที่ทำแบบนั้น? เราจะตายทันทีที่เราเข้าไป กัวฉี นายว่าไง?” ฟางเหว่ยถามด้วยความดีใจ เขาไม่ได้ดูซีดเซียวและด้านชาอีกต่อไป เมื่อเทียบกับกัวฉี เขาใส่ใจน้อยลงเกี่ยวกับความต้องการ


 


กัวฉีพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลวี่หลิน ชีวิตของฉันจะเป็นของนาย พี่เย่”


 



 


เมื่อเย่โม่เข้ามาในห้องประชุม ยวีเมี่ยวตั๋นและอีกคนรอก็อยู่นานแล้ว เย่โม่ยิ้มขอโทษและพูดว่า “ฉันมีธุระนิดหน่อยเลยมาช้านะ เรามาเข้าตรงประเด็นกันเลยดีกว่า เราจะมีการประชุมครั้งใหญ่ครั้งแรกหลังจากเปิดบริษัท พี่ยวี บอกเราเกี่ยวกับบริษัททีครับ”


 


เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ยวีเมี่ยวตั๋นก็เอ่ยทันทีว่า “ถ้าหากไม่ใช่ว่าผลิตภัณฑ์ของเรานั้นมีเวทย์มนตร์เหลวไหล เราคงปิดตัวลงก่อนที่เราจะเริ่มแล้วคะ เราไม่มีกระบวนการจัดการที่เหมาะสม เราไม่มีแม้แต่มีเจ้าหน้าที่เภสัชกรที่เหมาะสมด้วยซ้ำ”


 


เย่โม่พยักหน้า เธอตรงไปที่ประเด็น เขาไม่จำเป็นต้องมองหาข้อมูลเฉพาะที่จะต้องรู้


 


เมื่อเห็นสิ่งนี้ ทุกคนรู้ว่าการจัดการของบริษัทไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นกลุ่มแรกสุดที่เย่โม่ นำเข้าร่วมกับบริษัท แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจัดการบริษัทได้อย่างเหมาะสม หากไม่ใช่เพราะยวีเมี่ยวตั๋นสถานการณ์อาจเลวร้ายลงกว่านี่


 


“ดูเหมือนว่าฉันต้องการคนที่เหมาะสมในการจัดการบริษัทแหะ” เย่โม่ขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าใครจะเหมาะกับงานนี่เช่นกัน


 


“มีอะไรที่ฉันช่วยได้บ้างไหมคะ?” หนิงชิงเซวียกระซิบที่หูของเย่โม่ แม้ว่าเธอจะไม่แก่ แต่เธอก็มีประสบการณ์หลายปีในการจัดการบริษัท


 


เย่หลิงพูดอย่างตื่นเต้น “ใช่แล้วพี่ชาย พี่ควรปล่อยให้พี่สะใภ้จัดการบริษัทนะ ฉันเองก็จะช่วยด้วย”


 


เย่โม่ประทับใจในความคิดนี่ ในเมื่อหนิงชิงเซวียได้พูดออกนี้ มันหมายความว่าเธอยินดีที่จะอยู่ในระยะยาวกับเมืองอสรพิษ เพื่อช่วยเหลือเขา


 


“ตกลง เราจะทำอย่างนั้นนะ ต่อจากนี้ ชิงเซวียจะเป็นประธานของบริษัทลั่วเยวีย พี่ยวี ประธานผู้รับผิดชอบด้านการขาย การจัดการและการขยายตัว ประธานจรังยังคงรับผิดชอบด้านการผลิตและการซื้อวัสดุด้วยเช่นกัน เหมือนกับสิ่งอื่นๆ”


 


จากนั้น เย่โม่ก็มองไปที่ซวี่พิง และพูดว่า “พี่สอง ฉันจะให้เรื่องความปลอดภัยของบริษัทและเมืองอสรพิษให้พี่ดูแล ในฐานะผู้บริหาร ฉันจะหาคนมาให้”


 


“ยินดีเลย” ซวี่พิงพูดอย่างตื่นเต้น เขาเพิ่งอยู่กับน้องสามของเขาในระยะเวลาสั้นๆ และอยู่ในขั้นสีดำระดับกลางแล้ว เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าในอดีตว่าเขากำลังก้าวหน้าเร็วแค่ไหน


 


“ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ฉันจะมอบให้กับซวี่เยวียฮวาจัดการด้วยนะ”


 


จังเจียหยันพูดอย่างลังเลใจ “เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้คนจำนวนมากที่มีตัวตนน่าสงสัยมาที่เมืองอสรพิษ แต่ยังไงซะ ในช่วงเวลานี้เรายังไม่มีผู้ชายพอที่จะสืบได้ หลังจากที่ฉันบอกซวี่พิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราก็กำลังจะตรวจสอบ แต่คนพวกนั้นก็หายไปอย่างสมบูรณ์แบบเลย มันน่าขนลุกมาก ราวกับว่าพวกเขามาและออกจากไปภายใต้ข้อตกลงบางอย่าง”


บทที่ 431 : ใครฆ่า คนนั้นต้องชดใช้


 


เย่โม่ยิ้ม “ฉันจะจัดการกับเรื่องนี้เองพี่สอง หากพี่พบคนแบบนั้นอีก ก็ฆ่าพวกมันทั้งหมดนั้นแหละ”


 


แน่นอน เย่โม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงมาและจากไป อาจเป็นไปได้ว่าชายสองคนที่เขาขู่จากนิกายจอมยุทธ์ฮงได้แพร่ข่าวไปแล้ว และมันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น สำหรับตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับคนเหล่านี้ที่ตรวจสอบเขา เขาเพียงต้องการหาเวลาเพื่อรวบรวมคิดบัญชีพวกเขา


 


ยวีเมี่ยวตั๋นเห็นว่าเย่โม่จัดการเรื่องนี้ไปแล้ว และรู้สึกมั่นใจ เธอหันมาและพูดว่า “ท่านประธานาคะ ฉันคิดว่าถ้าเราจัดการซื้อที่ดินนี้ที่นี่ เราจะไม่มีปัญหามากนัก ถ้าเราทำธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น ฉันคิดว่าคนอื่นอาจจะอิจฉาเราก็ได้”


 


แม้ว่ายวีเมี่ยวตั๋นจะไม่ได้บอกว่าคนอื่นเป็นใคร แต่เย่โม่รู้อย่างชัดเจน แม้ว่าประเทศลั่วเซอและเวียดนามยังไม่ได้ทำอะไร มันก็ยากที่จะบอกว่ามันจะเป็นแบบนั้นต่อไปในอนาคต


4


“พี่ยวี รอให้พี่เยวียฮวามาถึงก่อนดีกว่า จากนั้นพี่สามารถพูดคุยถึงแผนการเฉพาะเกี่ยวกับวิธีซื้อที่ดินได้เลย ดูว่าพวกเขาพูดอะไร” เย่โม่เชื่อว่าจะต้องแก้ไขปัญหาทันที มิฉะนั้นจะเป็นภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่เสมอ


 


ซวี่พิงพยักหน้าอย่างจริงจังและพูดว่า “พี่สาม ฉันเชื่อว่าเมื่อเราสร้างเมืองอสรพิษให้เป็นดินแดนของเราแล้ว เราจะสามารถสร้างนิกายลี้ลับได้ด้วย ไม่สิ เราจะสร้างนิกายลี้ลับสาธารณะให้ทุกคนรู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองอสรพิษ”


 


ยวีเมี่ยวตั๋นยิ้ม “คำพูดของพี่สองค่อนข้างจำกัด ฉันเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะสามารถพิจารณาการสร้างเมืองอสรพิษในเมืองที่เหมือนประเทศได้ เราสามารถจัดงานเลี้ยงอันโออ่า จากนั้นเราก็จะสามารถเรียกที่นี่ว่า เมืองลั่วเยวียได้อีกด้วย”


 


เย่โม่ยิ้ม หากเขาเพียงคนเดียว เขาคงไม่คิดที่จะสร้างเมือง แต่ตอนนี้ก็มีคนติดตามเขามากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาสามารถสร้างเมืองของตัวเองได้จริงๆ มันก็คงจะยอดเยี่ยมไม่น้อย


 


แต่เย่โม่ไม่รู้สึกว่าเมืองอสรพิษเป็นสถานที่ที่ดีในการสร้างเมือง ดินแดนมันนั้นเล็กเกินไป


 


อีกสิ่งหนึ่งคือพลังของเขาอ่อนแอเกินไป เขายังไม่ได้แม้แต่จะจบขั้นตั้งรากฐาน มันง่ายที่จะพูด แต่การสร้างเมืองนั้นยากกว่าการไปถึงท้องฟ้า ไม่ว่าเขาจะมีกองทัพหรือไม่ก็ตาม ระเบิดก็สามารถซัดมันให้กระเด็นหรือหายไปได้เสมอ อันที่จริง เย่โม่มีแผนใหญ่กว่านั้น แต่พลังของเขายังอ่อนแอเกินไป


 


หากพลังของเขามาถึงขั้นหนึ่งแล้ว เขาก็สามารถสร้างเมืองใหญ่ขึ้นมาได้และตั้งค่ายกลป้องกัน แม้ว่าค่ายกลป้องกันจะเป็นขยะในยุทธภพ แต่มันก็ใช้ได้ดีบนโลก เย่โม่รู้ว่ามันแทบจะเป็นไม่ได้ แม้ว่าเขาจะสามารถไปถึงขั้นตั้งรากฐานได้แล้วยังไงล่ะ? มีที่ไหนบ้างไหมที่มีศิลาจิตวิญญาณ? วัสดุสร้างค่ายกลคืออะไร?


 


เย่โม่ปล่อยวางความคิดพวกนี่ หลังจากที่เขาคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว โทรศัพท์ในห้องประชุมก็ดังขึ้น ยวีเมี่ยวตั๋นรับโทรศัพท์ขึ้นมาและฟัง จากนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างมาก


 


“หยางจิวและฝางหนานถูกทำร้าย ขณะที่พวกเขากำลังตรวจสอบเมืองอสรพิษ พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เซี่ยวโฮ่วบอกว่าคนที่เอาชนะฮันไจ๋ได้มาจากกองทัพ ทหารและตำรวจจำนวนมากเองก็มาที่เมืองอสรพิษด้วยคะ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ไม่ตอบโต้” ยวีเมี่ยวตั๋น กล่าวขณะที่เธอวางโทรศัพท์ลง


 


เย่โม่ยืนขึ้น “พี่ยวีเตรียมบริษัทสำหรับชิงเซวีย ฉันจะไปดูหน่อย ชิงเซวียจะรับผิดชอบบริษัทอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ชิงเซวียฉันจะปล่อยให้เรื่องเธอจัดการนะ ฉันต้องออกไปข้างนอกหน่อย”


 


หนิงชิงเซวียพยักหน้า “ไปเถอะ ฉันจะจัดการเรื่องที่นี่เพื่อนายนะ”


 


…..


 


เย่โม่มาถึงสถานที่เกิดเหตุ ฝางหนานและหยางจิวถูกชี้ด้วยปืนจากคน 20 คนรอบตัวพวกเขาในชุดพราง ซึ่งมีตำรวจมากกว่า 10 คนยืนอยู่ข้างๆ


 


ทุกคนมีปืนและบรรยากาศก็ตึงเครียดมาก


 


ฮั่นไซอยู่บนพื้น ขาของเขาเต็มไปด้วยเลือด นอกจากนั้นยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ข้างๆเขา แต่เขาก็ถูกกระสุนนัดหนึ่งยิงไปที่หัวใจและตายไปแล้ว


 


“พี่เย่…”


 


“บอสใหญ่…”


 


เย่โม่มาถึงแล้ว ดังนั้น ฝางหนานและหยางจิวจึงเรียกชื่อเขา เย่โม่พยักหน้ารับและมองผู้คนรอบข้างอย่างเยือกเย็น เขาชี้ไปที่ชาย 2 คนบนพื้น “นี่คืออะไร?”


 


ฝางหนานบอกว่า “คนพวกนี้บอกว่าพวกเขามาจากค่ายทหารชายแดน พวกเขาต้องการบุกเข้าไปในอาคารของเราเพื่อค้นหา เราเลยหยุดพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีเหตุผล พวกเขาฆ่าเจียงเหลียงและยิงฮันไจ๋”


 


แปะ แปะ แปะ (เสียงตบมือ) – น้ำเสียงที่เยือกเย็นดังขึ้น “ในที่สุด ก็มีคนที่กล้าพูดสักทีนะ เพราะถ้าไม่มีใครมา เราจะเข้าไปข้างในแล้วฆ่าใครก็ตามที่กล้าขวางทางพวกเรา”


 


เย่โม่มองอย่างเย็นชาที่ชายในชุดพราง ตราของเขาหมายความว่าเขาเป็นพันจ่า


 


“แกอวดดีมากนะ แกฆ่าเขาเรอะ? ใครให้สิทธิ์แก่แกฆ่าคนที่นี่ไม่ทราบห่ะ?” เย่โม่พูดอย่างเยือกเย็น


 


พันจ่ามองเย่โม่อย่างพิจารณา และยังกล่าวด้วยความเย็นชาว่า “ฉันต้องได้รับอนุญาตจากแกฆ่าคนด้วยหรอ? ถ้ามีคนอื่นพยายามหยุดฉัน ฉันจะฆ่าพวกมันทั้งหมด อย่ามาบอกฉันว่านี่ไม่ใช่ที่ของฉัน ที่นี่ก็ไม่ใช่ของแกเช่นกัน ในเมืองอสรพิษ ใครก็ตามที่แข็งแกร่งกว่า มันย่อมเป็นเรื่องที่ดี ตอนนี้ฉันแข็งแกร่งกว่าแก – อะ-“


 


ก่อนที่เขาจะพูดเสร็จ เขาก็จับคอของเขาแน่น แต่เขาไม่สามารถหยุดเลือดที่พุ่งออกมาได้ เขาจ้องมองเย่โม่ด้วยความกลัว เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครกล้าโจมตีเขา เขาเห็นแค่มือของเย่โม่ขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง


 


“แกกล้าฆ่าฉันได้ยังไง?” แม้ว่าเขาจะอยากจะพูดบางอย่าง แต่คำพูดก็ติดอยู่ในลำคอของเขา


 


ตึ้ง – พันจ่าล้มลงบนพื้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


เย่โม่กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ดูเหมือนว่าฉันจะแข็งแกร่งกว่าแกนะ”


 


ทหารรอบตัวพวกเขาตอบโต้อย่างรวดเร็วและยกปืนขึ้น


 


ฉึก – เลือดพุ่งผ่านอากาศและชาย 3 คนที่ยกปืนขึ้นทุกคนมือขาด ปืนตกลงบนพื้นและใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียว


 


เย่โม่สแกนพวกเขาและพูดอย่างเยือกเย็น “เหตุผลที่ฉันไม่ได้ฆ่าทั้ง 3 คนนี้ก็เพราะฉันยังไม่ได้บอกกฎของฉัน กฎของฉันคือถ้ามีใครกล้าชี้ปืนมาที่ฉัน ฉันจะฆ่าพวกเขาโดยไม่ลังเล และถ้ามีใครกล้าฆ่าคนในเมืองอสรพิษ ฉันจะทำให้มันต้องจ่ายด้วยชีวิตของมัน”


 


ไม่มีใครได้เห็นว่าเย่โม่โจมตียังไง ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ เมื่อเห็นคนสามคนสูญเสียมือไปอย่างลึกลับ ส่วนที่เหลือก็ลดปืนลง แม้แต่หยางจิวและฝางหนานก็ตกใจ เย่โม่กล้าที่จะฆ่าพันจ่า แม้ว่านี่จะเป็นเมืองอสรพิษ แต่ทุกคนก็ยังคงเป็นชาวจีน


 


ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มนั้นไม่สมเหตุสมผลเกินไป ราวกับว่าเขาเพียงแค่ต้องขยับมือของเขาและเขาสามารถฆ่าได้อย่างน่าสยดสยองแล้ว


 


ชายคนหนึ่งในอายุ 30 เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง และพูดกับคนที่อยู่ข้างหลังเขาว่า “ลดปืนลง”


 


แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ได้พูดออกมา ทุกคนก็จะลดปืนลง หลังจากนี้เขาเดินไปที่เย่โม่ “เรามาจากค่ายทหารชายแดน ฉันลี่ตง คุณแข็งแกร่งมาก คุณคงจะเป็นจอมยุทธ์สินะ? เพราะคุณแข็งแกร่งหรือเพราะคุณมาจากนิกายลี้ลับละ คุณถึงสามารถฆ่าเจ้าหน้าที่ของเราได้หรอ? แม้ว่าคุณจะฆ่าพวกเราทุกคน คุณคิดว่าที่เล็กๆ แห่งนี้จะสามารถหยุดกองทัพของเราได้หรอ?”


 


เย่โม่พูดอย่างชัดเจนว่า “ดังนั้นในกรณีนี้ คุณควรเป็นคนที่ฆ่าคนของเราใช่ไหม? เมื่อคุณเปิดไฟ เราควรยกมือขึ้นและรอที่จะถูกฆ่าเรอะ?”


 


“เปรียบเทียบแบบนั้นได้ไงละ? เรามาที่นี่เพื่อจับคน มันเป็นเรื่องปกติที่จะฆ่าโดยไม่ตั้งใจ ถ้าเราอยากจะยิงจริงๆ จะมีความตายเพียงครั้งเดียวหรอ? คุณไม่คิดว่าทุกคนที่นี่จะตายไปแล้วรึไง? พันจ่าเหลียวเพียงแค่ฆ่าคนธรรมดา แต่คุณฆ่าพันจ่า แม้ว่าเขาจะทำผิดพลาด มันก็ไม่ใช่สิทธิ์ของคุณที่จะฆ่าเขา” ลี่ตงกล่าวพร้อมกับหน้าแดงที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ


 


เสียงของเย่โม่เฉียบคมทันที “การฆ่าเป็นความผิดพลาด? นั่นหมายความว่าคุณเก่งกว่าคนอื่นๆงั้นสิ? ขอโทษด้วยนะที่ในเมืองอสรพิษ ทำให้ทัศนคติที่หยิ่งผยองของคุณหมดลงที่นี่ ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ใครฆ่า คนนั้นต้องชดใช้ ไสหัวไป ที่ไม่ต้อนรับแก ถ้าแกยังยุ่งมากกว่านี่ ฉันจะเตะแกออกไปเอง”


 


“แก…ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ถึงแม้ว่าแกจะฆ่าฉันตอนนี้ ฉันก็จะยังคงบอกว่าแกสมควรได้รับโทษประหารสำหรับการฆ่านายทหาร เรามาจับกุมกัวฉีและฟางเหว่ย บอกฉันสิว่าพวกเขา 2 คนอยู่ที่นี่ไหม? ฉันจะไปก็ได้ แต่หลังจากนั้น ฉันจะกลับมาพร้อมรถถังและอาวุธ” ใบหน้าของลี่ตงเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ซึ่งเห็นได้ว่าไม่ว่าเย่โม่แข็งแกร่งขนาดไหน เขาก็ยังคงกลัวความตายนั้นแหละ


 


เย่โม่เยาะเย้ย “ไปให้พ้น บอกเจ้าหน้าที่ของแกว่าฉันจะพากัวฉีและฟางเหว่ยมาอยู่ที่นี่ และเกี่ยวกับไอ้ชิวจื่อเฟย บอกให้มันทำความสะอาดคอของมันให้ดี เพื่อที่จะให้ฉันตัดมันได้ง่ายๆ ถ้ากัปตันลวี่ได้รับอันตรายนิดเดียว แม้แต่ฮานจั่ยชินก็ไม่สามารถช่วยมันได้”


 


“อะไรนะ? ผู้อำนวยการฮาน” ลี่ตงตกใจกับคำพูดนั้น เขาเป็นคนที่รู้จักผู้อำนวยการฮาน และสามารถเรียกชื่อเขาได้ ดังนั้นเขาไม่ใช่คนธรรมดา


 


“นายเป็นใคร?” เสียงของลี่ตงไม่รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนที่ทำตัวอวดดีหลังจากฆ่าพันจ่าไป


 


“บอกเจ้าหน้าที่ให้สืบสวนเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน ไม่งั้นอย่ามาโทษฉัน” แม้ว่าเย่โม่จะชื่นชมความกล้าหาญของลี่ตง แต่เขาก็ไม่ชอบท่าทีอวดดีกว่าคนอื่น


 


เขามาจากดินแดนการฝึกตน ที่นั่นหากผู้คนแข็งแกร่งกว่าคุณ พวกเขาจะรู้สึกสูงกว่าคุณ และลี่ตงคนนี้ก็ทำเช่นเดียวกัน


 


“คุณ…คุณคือเย่โม่ใช่ไหม? เย่โม่แห่งปักกิ่ง?” ใบหน้าของลี่ตงเปลี่ยนไป เขาไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว


บทที่ 432 : ความเงียบ


 


คนที่อยู่ด้านหลังลี่ตงมองเขาด้วยความตกใจ เย่โม่โด่งดังมากเหรอ? ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้ยินชื่อเขาเลยละ? ทำไมกัปตันลี่จึงปฏิบัติกับเขาแบบนั้นละ?


 


แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่พวกเขาก็สามารถบอกได้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา นอกจากนี้ทุกคนรู้ว่าใครตคือผู้อำนวยการฮาน และชายหนุ่มก็เรียกด้วยชื่อเต็มของเขา


 


ลี่ตงตกใจมาก คนอื่นไม่รู้ว่าเย่โม่เป็นใคร แต่เขารู้ เขามาจากตระกูลลี่ปักกิ่ง และแม้ว่าเขาจะมาจากตระกูลย่อย แต่ตระกูลลี่ก็ทำตามกฎที่ชัดเจนว่า เย่โม่เป็นคนที่พวกเขาต้องทำดีด้วย ใครก็ตามที่ทำให้เย่โม่ไม่พอใจจะถูกเตะออกจากตระกูลลี่


 


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ลี่ตงก็เริ่มเหงื่อออก แม้ว่าเขาจะไม่กลัวความตาย แต่การถูกขับไล่ออกจากตระกูลก็เป็นเรื่องน่าขายหน้า


 


พันจ่าเหลียวอาจจะตายแล้ว เช่นเดียวกับซงชีหมิงที่ถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ ทุกคนรู้ว่ามันอาจเย่โม่ แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา พันต่านั่นก็ไม่มีอะไร มันอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ถึงกระนั้น มันก็น่าขำพอ เขายังคงพยายามที่จะทำให้เย่โม่ชดใช้ด้วยชีวิตของเขาและรายงานเรื่องเขาอีก


 


ตอนนี้เขาคิดเกี่ยวกับมัน เขามันโง่เง่าเกินไป แม้ว่าเย่โม่จะไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น กองทัพของพวกเขาจะมาที่เมืองอสรพิษได้หรอ? นี่ไม่ใช่แผ่นดินของจีน ถ้ากองทัพของพวกเขามามันจะมีสงครามเกิดขึ้น


 


ตอนนี้ไม่เพียงแต่พันจ่าเหลียวเสียชีวิต แต่ชิวจื่อเฟยก็จบลงด้วยเช่นกัน ไม่ว่าตระกูลชิวจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับตระกูลซงได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่ากัวฉีและหวี่หลินจะรู้จักเย่โม่ มันไม่ง่ายอย่างที่เห็นอีกต่อไป นั่นหมายความว่าตระกูลชิวทำให้เย่โม่โกรธ มันเป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลชิวกับเย่โม่ ถ้าเขาเข้าแทรกเขาก็จะถูกจัดการไปด้วย


 


“เชียนเปยเย่ ขอโทษด้วยครับ พวกเราแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น พวกเราไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณไม่พอใจ กัวฉีและฟางเหว่ยฆ่าเจ้าหน้าที่ระดับพันเอก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะตัดสินใจได้” ลี่ตงกำลังเหงื่อออก เขารู้ว่ามันเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้าและเขาดันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขากำลังคิดถึงวิธีที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น


 


เย่โม่แสยะยิ้ม “โอ้ ทำไมฉันถึงได้ยินอะไรที่แตกต่างจากที่แกพูดไว้ละเนี้ย? ชิวจื่อเฟยนั่นใช้ความเมาเป็นข้ออ้างในการโจมตีกัปตันลวี่ ร้อยโทและจ่าช่วยเขาและพยายามบีบบังคับกัปตันลวี่ให้ยอมรับข้อตกลง กัวฉีช่วยให้ลวี่หลินต่อต้านและฆ่าขยะอย่างมัน”


 


“อะไรนะ?” ลี่ตงตระหนักทันที เขาและเพื่อนร่วมทีมของเขาถูกหลอกใช้ ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาเลือกให้เขาจับกัวฉีโดยเฉพาะ มันจะน่ากลัวทีเดียวถ้ามีข่าวเรื่องหลุดออกไป ตระกูลลี่สามารถถูกบังคับให้ช่วยตระกูลชิวได้


 


ในช่วงเวลานั้น ลี่ตงรู้สึกเหมือนเขากลืนกินแมลงวัน แม้ว่าเขาจะรู้ว่ากัวฉีฆ่าอย่างตั้งใจและไม่เพียงแต่ช่วยต่อต้าน แต่นั่นไม่สำคัญอีกต่อไป เขาถูกใช้และเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย


 


มันก็โอเคถ้าพันจ่าเหลียวเสียชีวิต เขาพยายามใช้เขา แต่ชายทั้ง 3 ที่สูญเสียแขนของพวกเขา พวกเขาเป็นความรับผิดชอบของเขานะสิ


 


แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวด้านเดียวที่มาจากเย่โม่ แต่เขาก็ไว้ใจเย่โม่มากกว่าคำพูดของชิวจื่อเฟย ที่น่าสงสัยยิ่งกว่า ด้วยสถานะและอำนาจของเย่โม่ เขาไม่จำเป็นต้องโกหกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หากเขาต้องการช่วยกัวฉีและฟางเหว่ย ทั้งหมดที่เขาต้องพูดก็คือพวกเขาเป็นคนของเขา


 


ทหารของลี่ตงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง พวกเขาทุกคนได้ยินคำพูดของเย่โม่และดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากที่พันจ่าเหลียวพูดเมื่อเริ่มต้นภารกิจ บางอย่างดูไม่ถูกต้อง กัปตันลวี่เป็นหนึ่งในกัปตันหญิงไม่กี่คนที่หลายคนเคยได้ยินชื่อเธอ และเธอจะช่วยคนอื่นฆ่านายทหารได้ยังไง?


 


“เชียนเปยเย่ มันเป็นความผิดของผมเอง ผมไม่ควรจับคนโดยไม่ทำการสืบสวนของตัวเองเลย ผมจำต้องช่วยพี่น้องก่อน ผมสำนึกผิดแล้วครับ” ลี่ตงขอโทษและตบหน้าตัวเอง 2 ครั้ง


 


หลังจากนั้น ลี่ตงก็พูดว่า “พาสามคนนี้ไปที่โรงพยาบาลทันที มือของพวกเขาถูกตัดไปแล้ว”


 


ลี่ตงรู้ว่าเขากำลังจัดรายการ แต่เขาก็ไม่พอใจ ในเมื่อเขาทำให้เย่โม่โกรธแล้วเขาจะทำให้แน่ใจว่าคนที่ใช้เขาจะต้องทนทุกข์เช่นกัน นอกจากนี้ มันคงไม่ใช่เย่โม่ แต่เป็นไอ้บ้านั่นที่มีแผนการชั่วร้าย


 


เมื่อมองไปที่ทหารที่ดุร้ายมาและจากไปอย่างสิ้นหวัง เย่โม่ก็ถอนหายใจ หากเขาไม่ใช่เย่โม่ แม้ว่าลี่ตงจะรู้ว่าเขาผิด เขาก็จะยังคงจับคนเหล่านี้ได้โดยไม่ลังเล


 


บางครั้งโลกก็เป็นแบบนี้ แม้ว่าจะมีเรื่องดีๆเกี่ยวกับลี่ตง แต่เขาก็ยังมีความเย่อหยิ่งของสมาชิกจากตระกูลใหญ่ เย่โม่ไม่ชอบสิ่งนั้น และตบ 2 ครั้งสุดท้ายก็เป็นการกระทำที่เห็นได้ชัด ซึ่งนี่ทำให้เขาดูถูก


 


แต่หากไม่คำนึงแล้ว ลี่ตงมีความรับผิดชอบและจำได้ว่าได้ช่วยคนของเขาไว้ แม้ว่าเย่โม่จะสามารถรักษามือของพวกเขาได้ แต่เขาจะไม่ทำเพื่อใครบางคนที่เล็งปืนไปที่เขา


 



 


“ขอโทษนะพี่ชาย พวกเราทำให้คุณเดือดร้อน” กัวฉีและฟางเหว่ยรู้อยู่แล้ว มีผู้คนเข้ามาจะพาตัวพวกเขาออกไป แต่เมื่อพวกเขาทำแบบนั้น ลี่ตงก็จากไปแล้ว


 


เย่โม่ยิ้มและพูดว่า “มันอาจเป็นปัญหากับนายนะ แต่ฉันไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา เราจะไปที่ค่ายทหารชายแดนกันในตอนบ่าย”


 


กัวฉีลังเลและถามว่า “พี่เย่ เสี่ยวชือเป็นยังไงบ้างครับ?”


 


“เสี่ยวชือ?” เย่โม่งงงวย เขาจำไม่ได้ว่าเธอคือใคร


 


ฟางเหว่ยพูดอย่างรวดเร็วว่า “อาจารย์ พี่กัวเขาหมายถึงชรือวั่นชิงนะครับ หลังจากที่อาจารย์ไป เธอก็ออกจากกองทัพ เธอพูดกับพี่ลวี่ว่าเธอจะไปตามหาคุณ และตั้งแต่นั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อเธอเลย…”


 


เมื่อได้ยินแบบนี้ ภาพใบหน้าที่สวยงามของชรือวั่นชิงก็ปรากฏอยู่ในใจของเขา เย่โม่ปฏิบัติกับเธอเหมือนเย่หลิง เหมือนน้องสาวของเขา แต่จากวิธีที่เธอเคยทำเหมือนหนิงชิงเซวีย ตามหาเขาในทะเลทราย เขารู้ว่าเธอดูเหมือนจะรู้สึกแตกต่างกับเขา


 


ชิงเซวียบอกว่าเธอไปเรียนต่อที่อังกฤษ เขาสงสัยว่าเธอจะเป็นยังไงบ้าง เย่โม่รู้สึกงุนงงเป็นครั้งที่สองแล้วจำได้ว่ากัวฉีกำลังรอคำตอบของเขา เขายิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว “ฉันเเจอเธอไปครั้งเดียวเอง หลังจากนั้นฉันก็ได้ยินมาว่าเธอไปอังกฤษ ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้”


 


“อาจารย์ คุณกำลังบอกว่าคุณจะพาฉันกับพี่กัวไปค่ายทหารชายแดนหรอ?” ฟางเหว่ยจำได้ เขารู้ว่าเย่โม่จะไม่ทำร้ายพวกเขา แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล


 


เย่โม่พยักหน้า “อื้ม เราจะไปกันหลังกินอาหารกลางวัน โม่ไฮ๋มีเฮลิคอปเตอร์อยู่ที่นี่ เราจะใช้มันเพื่อไปที่นั่น”


 


“เอ๊ะ เราจะไปจริงๆ หรอ? อาจารย์ถ้าเราไปเราจะมีชีวิตกลับมายังไงละครับ?” ฟางเหว่ยถามอย่างกังวล


 


เย่โม่ยิ้ม “ถ้าเราไม่ไป เราจะช่วยคนอื่นได้ยังไงละ?”


 


“ใช่ เราต้องช่วยพี่ลวี่ รอเดี๋ยวนะครับอาจารย์ แม้ว่าเราจะไปช่วยเธอ เราก็ควรจะแอบเข้าไปที่นั่น ถ้าเราไปปรากฏตัวแบบนั้น เราจะออกไปอย่างง่ายๆหรอ?” ฟางเหว่ยถาม


 


“ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง ฉันก็จะไป” กัวฉีกำมือแน่น


 


ฟางเหว่ยทันทีพูดว่า “พี่กัว ฉันก็ไปแน่นอน แต่ถ้าเราแอบเข้าไปที่นั่น ฉันคิดว่าโอกาสของเราจะยิ่งใหญ่กว่านะ”


 


ใช่ กัวฉีมองที่เย่โม่อย่างสับสน การตรงไปที่นั่นคือการฆ่าตัวตาย


 


เย่โม่โบกมือ “เราจะไปหาวิธีที่เหมาะสมหลังอาหารกลางวันแล้วกัน”


 



 


กองกำลังพิเศษ Eagle Squad ของกัวฉีเป็นของกองกำลังพิเศษของเขตทหารเขตเซี่ยงยวิน แม้จะเป็นยุคที่สงบสุข แต่กองกำลังพิเศษก็มีภารกิจมากกว่าทหารทั่วไป


 


เขตทหารทุกแห่งจะมีหน่วยกองกำลังพิเศษของตนเอง กองกำลังพิเศษเหล่านี้แตกต่างจาก Flying Squads ขแงปักกิ่ง ด้วยข้อกำหนดที่ไม่เข้มงวด


บทที่ 433 : มันจบแล้ว


 


เนื่องจากลี่ตงไม่ได้แจ้งผู้คนในค่ายทหาร เฮลิคอปเตอร์ของเย่โม่จึงไม่สามารถลงจอดได้โดยตรง พวกเขาต้องลงจอดค่อนข้างไกล จากนั้นจึงต้องเรียกรถแท็กซี่ไปยังเขตทหาร แต่เมื่อพวกเขามาถึงพวกเขาก็ต้องหยุด


 


เย่โม่รู้ว่ามันเป็นเพราะพวกเขาไม่มีรหัสและแท็กซี่ไม่สามารถเข้าไปในเขตทหารได้ แต่เย่โม่เห็นว่าลี่ตงไม่ได้บอกพวกเขาว่าเขากำลังมา แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ยอดเยี่ยม แต่เย่โม่เชื่อว่าแม้กระทั่งนายทหารระดับสูงสุดในเขตทหารก็ไม่กล้าที่จะดูถูกเขา สุดท้ายเขาก็ต้องมาหยุดที่ประตู ซึ่งหมายความว่าลี่ตงไม่ได้นำคำพูดของเขามาประกาศ ความตั้งใจของเขาชัดเจน


 


เย่โม่แสยะยิ้ม ลี่ตงเองก็ดูไม่เหมือนพวกชอบความถูกต้อง ใช้แผนการของเขากับเย่โม่ เขาก็ทำผิดกับคนๆ นั้น


 


เหตุผลที่เย่โม่บอกลี่ตงให้บอกพวกเขาว่าเขามา เพราะเขาไม่ต้องการให้เรื่องนี้ใหญ่ขึ้น ความมืดมีอยู่ทุกหนทุกแห่งและเขาไม่ใช่ผู้ช่วยชีวิตหรือฮีโร่ และเขาก็ไม่ต้องการกำจัดอะไรพวกนั้น เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาแค่อยากจะช่วยลวี่หลินและยกเลิกคำสั่งจับกุมของฟางเหว่ยและกัวฉี


 


มันเป็นเรื่องปกติเมื่อเย่โม่ลงจากรถ แต่เมื่อกัวฉีและฟางเหว่ยทำ พวกเขาก็ถูกจดจำจากยามที่ประตูทันที ก่อนที่พวกเขาจะยกปืนขึ้น เย่โม่ก็แสดงบัตรประจำตัวของเขา เขามาเพื่อช่วยชีวิตผู้คน ไม่ใช่การสังหารหมู่ ปฏิกิริยาของทหารนั้นปกติมาก พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำ พวกเขาก็จะยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขา


 


คำที่พิมพ์อย่างดี ‘Flying Snow Instructor’ ปรากฏตรงหน้าและเกือบจะทำให้พวกเขาตาบอด เขาเป็นผู้สอนกองกำลังพิเศษระดับสูง ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่านายพล แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นผู้นำทัพ แต่ก็ยังมีสถานะ


 


“โปรดเข้ามาเลยครับ ผอ.” ทหารสองคนโค้งคำนับ พวกเขาไม่กล้าสงสัยในตัวตนของเย่โม่ ใครมันจะกล้าปลอมตัวในเขตทหารละ?


 



 


“อาจารย์…” ฟางเหว่ยรู้สึกประหม่าเกี่ยวกับเย่โม่ที่กำลังเข้ามา แต่ฉากนี้ทำให้เขาสับสน ที่จริงแล้วเย่โม่เป็นผอ.


 


เย่โม่ยิ้ม “ให้ฉันพานายเข้าไปข้างในนะ แล้วฉันจะคุยกับหัวหน้าของนายเอง”


 


อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เย่โม่ก็ยังคงขอบคุณฮานจั่ยชินที่ให้ชื่อตำแแหน่งนี่แก่เขา ไม่งั้นเขาคงต้องต่อสู้ในแบบของเขาได้เท่านั้น เย่โม่ไม่ต้องการต่อสู้กับทหารเหล่านี้ แต่ความอดทนของเขากำลังจะหมดลงและถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะฆ่าอย่างไร้ความปราณี


 


“นั่นมัน กัวฉี และ ฟางเหว่ย!” ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปในพื้นที่กองกำลังพิเศษ ผู้คนก็จำทั้งสองคนได้ทันทีและรายงาน บางคนถือปืนของพวกเขาและล้อมรอบพวกเขา


 


“นั่นคุณนี่ อาจารย์เย่” ผู้พันเดินผ่านและเห็นเย่โม่ ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปหาเขาอย่างรวดเร็ว


 


“คุณคือเชินฮงเจ่อ” เย่โม่พูดอย่างชัดเจน เขารู้ว่าบุคคลนี้เขาช่วยเขาไว้ในทะเลทราย หลี่หวงเป็นเพื่อนร่วมทีมของเขา ยังไงก็ตาม เขาก็มาถึงเขตทหารและได้ตำแหน่งใหญ่


 


ราวกับว่าเขารู้ว่าเย่โม่ไม่ชอบเขามากเท่าไหร่นัก เชินฮงเจ่อหัวเราะอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “พอดีเขตทหารนี้มีคนน้อยนะ ฉันเลยย้ายมาที่นี่ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้ครั้งก่อนนะ”


 


เย่โม่โบกมือ “ไม่เป็นไร ฉันมาที่นี่เพื่อมาหาผู้นำของคุณนะ ทำไมฉันถึงไม่เห็นเขาเลยละ?”


 


เมื่อเห็นกัวฉีและฟางเหว่ยอยู่ข้างหลังเขา เชินฮงเจ่อก็ตระหนักทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น


 


เขารู้ดีเกี่ยวกับเรื่องของกัวฉี แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่ากัวฉีจะรู้จักเย่โม่ นับประสาอะไรที่จะสามารถพาเขามาที่ค่ายทหารได้เป็นการส่วนตัว ถ้าคำนี้ถึงปักกิ่ง มันจะมีความหมาย


 


ลี่ตงและเขาเหมือนกัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้เรื่องเย่โม่ มันเป็นเรื่องยากยิ่งที่ผู้อาวุโสฮานจะขอร้องให้เย่โม่ทำอะไรสักอย่าง เทียนโย๋วเองก็ไปแล้วนั่นเป็นเพียงความคิดของเชินฮงเจ่อ


 


“พวกนายต้องการอะไร? กบฏรึไง? ไปซะ” เชินฮงเจ่อหันหลังกลับและตะโกนใส่ทหารพร้อมปืน


 


หากทหารเห็นว่าเย่โม่กำลังพูดคุยกับ เชินฮงเจ่อบางทีพวกเขาอาจถูกไล่ออกไปแล้ว ตอนนี้เชินฮงเจ่อตะโกนใส่พวกเขา พวกเขาดูเหมือนจะตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เชินฮงเจ่อเป็นอาจารย์ของพวกเขา พวกเขาไม่กล้าโต้เถียงอะไร ดังนั้นพวกเขาจึงเดินออกไป


 


“อาจารย์ ฉันจะพาคุณไปผู้บัญชาการกรมทหารราบเทียน เขาอยู่ในสนามฝึกเพราะอาจารย์ซวี่เข้ามา เขาต้องดูแลสถานะการฝึกของทหารนะ” เชินฮงเจ่อตอบอย่างระมัดระวัง


 


เย่โม่พยักหน้า “โอเค พาฉันไปพบเทียนที่คุณเพิ่งพูดถึงที มันยากที่จะเชื่อว่ามีคนอย่างเขาได้เป็นถึงผู้บัญชาการกรมทหาร”


 


เย่โม่ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าเหตุผลที่ชิวจื่อเฟยกล้าโจมตีลวี่หลินต้องเป็นเพราะมีคนคอยหนุนหลังเขา หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น และผู้บัญชาการกรมทหารยังไม่ทราบด้วยซ้ำ ก็ไปกินขี้เถอะ หากผู้บัญชาการนี้รู้เกี่ยวกับมันและเหตุการณ์นี้ยังคงเกิดขึ้น เหตุผลเดียวก็คือผู้บัญชาการคนนี่คอยสนับสนุน


 


ราวกับว่าเขาจะได้เห็นการดูถูกของเย่โม่ เชินฮงเจ่อกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเทียน ชื่อว่า เทียนโย๋วเหนิง ภรรยาของเขาชื่อ ชิวผิง เธอน่าจะมาจากตระกูลชิว”


 


เย่โม่เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแน่ใจว่า ชิวผิง และ ชิวจื่อเฟย เกี่ยวข้องกัน แต่เชินฮงเจ่อไม่ใช่กรณีที่ง่ายเช่นกัน แม้ว่าเขาจะเห็นแก่ตัวมาก แต่ดูเหมือนว่าเขาเจ้าเล่ห์มากกว่าหลี่หวง ไม่แปลกใจเลยว่าเขาจะเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่าหลี่หวง เขารู้ว่ามันง่ายมากสำหรับเขาที่จะช่วยกัวฉี แต่ก็ยังเตือนให้เขานึกถึงพลังของเทียนโย๋วเหนิงอย่างละเอียด


 


ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ ให้เห็นด้านดีๆของเขา ในขณะที่เขาก็ไม่พอใจเทียนโย๋วเหนิงจริงๆ


 


กัวฉีและฟางเหว่ยรู้สึกงงงวย ไม่ว่าพวกเขาจะโง่ขนาดไหน พวกเขาก็เห็นสถานะของเย่โม่ เชินฮงเจ่อเป็นรองผู้ฝึกกองพันที่เจ็ด และแม้แต่คนอย่างเขาก็ยังเคารพเย่โม่


 



 


พื้นที่ฝึกซ้อมสำหรับกองกำลังพิเศษที่เจ็ดนั้นใหญ่มาก แม้ว่าหลายคนจะตกใจเมื่อเห็นกัวฉีและฟางเหว่ย แต่พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวเมื่อเห็นเชินฮงเจ่อ ซึ่งเป็นผู้นำทางพิถีพิถัน


 


กัวฉีและฟางเหว่ย มีชื่อเสียงขึ้นมา เนื่องจากเหตุการณ์นั้น


 


มีการตบมือ เนื่องจากการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น


 


“อาจารย์เชิน คุณมาที่นี่ด้วย…” เจ้าหน้าที่เดินไป แต่หยุดพูดทันที เขาเห็นกัวฉีและฟางเหว่ยอยู่ข้างหลังเขา


 


“กัวฉี ฟางเหว่ย…แกยังกล้าเดินเข้าไปในเขตทหารแบบนี้อีกเรอะ ยวีหยาง จับทะ -” ชายอ้วนในวัย 40 ที่หันหลังให้อยู่ ได้เห็นกัวฉีและฟางเหว่ย แต่เขาก็หยุดพูดกลางคัน


 


ไม่ใช่เพราะเขาเห็นเย่โม่ เขาไม่รู้จักเย่โม่ แต่เขาเห็นผู้บัญชาการลี่ ที่กำลังวิ่งมาเหมือนหาอะไรซักอย่าง เป้าหมายที่เขาวิ่งไปคือชายหนุ่มที่อยู่กับกัวฉี


 


ชายอ้วนคนนี้คือผบ.เทียนโย๋วเหนิง แม้ว่าเขาจะมีความสามารถ แต่เหตุผลที่ทำให้ตำแหน่งยิ่งใหญ่ขนาดนี่ ส่วนใหญ่มาจากตระกูลของภรรยาของเขา สำหรับคนอย่างเขา เขาจะบอกได้อย่างไรว่าเย่โม่ไม่ใช่คนง่ายๆ?


 


ผู้บัญชาการลี่วิ่งไปหาเย่โม่ และแม้แต่เชินฮงเจ่อก็พยักหน้าและโค้งคำนับให้เย่โม่ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเพราะเชินฮงเจ่อไม่เคยทำแบบนั้นกับเขา


 


สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ผู้บัญชาการลี่วิ่งไปหาชายหนุ่มคนนี้เพื่อทักทาย


 


เทียนโย๋วเหนิงขยี้ตา หัวหน้าผู้บัญชาการโดยเฉพาะผู้บัญชาการลี่แสดงความเคารพต่อชายคนนั้นหรอ? เขาไม่จำเป็นต้องมองด้วยความเคารพและระมัดระวังเลยนะ


 


เทียนโย๋วเหนิงรู้สึกได้ถึงสัญชาตญาณแห่งความหวาดกลัว เขาอนุญาตให้ชิวจื่อเฟยโจมตีลวี่หลิน เพราะเขาได้สืบมาก่อนแล้วว่าคนพวกนี้ไม่มีใครมีแบล๊คที่น่ากลัว ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นและกัวฉีเรียกคนที่ยิ่งใหญ่นี้ออกมาเรอะ? เขาแน่ใจว่าชายหนุ่มนั้นค่อนข้างใกล้ชิดกับกัวฉี ใครๆ ก็บอกได้ว่าพวกเขาเดินมาได้ยังไง


 


ความคิดสุดท้ายในใจของเทียนโย๋วเหนิงคือ ‘มันจบแล้ว’


บทที่ 434 : อยากดูเสือสู้กัน


 


เทียนโย๋วเหนิงเริ่มคิดหาวิธีรักษาชีวิตของเขาทันที และนึกถึงซวี่ซรือ


 


ตระกูลลี่คือเบเฮโมท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนกลัวเขา ซวี่ซรือไม่ได้กลัวตระกูลลี่ ซวี่ซรือมาจาก Heaven Squad เขาจะไม่กลัวตระกูลลี่ แม้ว่าผู้นำตระกูลลี่ ลี่หมิงหยางเมื่อเจอซวี่ซรือ เขาก็ต้องแสดงความเคารพ ถ้าเป็นอาจารย์ของซวี่ซรือ เขาก็ต้องเคารพมากยิ่งขึ้น


 


หากเขาให้ซวี่ซรือจัดการกับชายหนุ่มแล้ว แม้แต่ลี่เชียนไคก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย และซวี่ซรือต้องต่อสู้กับชายหนุ่ม เพราะกัวฉีได้ฆ่านายทหารที่ซวี่ซรือพามา นี่คือการตบหน้าของซวี่ซรือชัดๆ


 


เทียนโย๋วเหนิงคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้และแทบจะหัวเราะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ทำไมฉันต้องกลัว? เขาอดไม่ได้ที่จะยกย่องตัวเองเพราะความฉลาดจริงๆ


 


“ผบ.ลี่ เทียนโย๋วเหนิงครับ” ร่างอ้วนของเทียนโย๋วเหนิงนั้นคล่องแคล่วมาก เขารีบวิ่งไปที่ลี่เชียนไคและโค้งคำนับ


 


ลี่เชียนไคโบกมืออย่างรำคาญและหยุดเขาจากการพูด เขารู้ว่าเย่โม่อยู่ที่นี่เพราะลี่ตง และแม้ว่าลี่ตงต้องการทำให้เทียนโย๋วเหนิงเสียหาย เขาก็ไม่กล้าซ่อนมันจากลุงของเขา


 


ลี่เชียนไคไม่ใช่คนที่ลี่ตงสามารถเปรียบเทียบได้ เขารู้มากเกินไปเกี่ยวกับเย่โม่ ไม่แม้แต่ตระกูลลี่จะสามารถหยุดยั้งพลังของเย่โม่ได้ และตระกูลลี่จำเป็นต้องเป็นมิตรกับเย่โม่ ครั้งหนึ่ง ลี่ชิวหยางได้พบกับเย่โม่ พวกเขากินข้าวด้วยกันและเขาก็โชคดีที่ช่วยเย่โม่ได้ครั้งใหญ่ ตอนนี้เขาเป็นสมาชิกคนสำคัญของตระกูล ครั้งนี้เขามีโอกาสที่ดีเช่นนี้แล้วเขาก็ไม่ต้องการปล่อยมันไป เมื่อเย่โม่ต้องการที่จะพูดคุย เทียนโย๋วเหนิงก็ได้ขัดจังหวะเขาและทำให้เขารำคาญมาก


 


“คุณคือลี่เชี่ยนไครึเปล่า?”


 


ลี่เชียนไคได้บอกเย่โม่แล้วว่าเขาเป็นใคร เมื่อตอนเจอกัน ตอนนี้เย่โม่ถามอีกครั้ง เขาก็รู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยังตอบอย่างระมัดระวัง


 


เย่โม่พยักหน้าและพูดว่า “ฉันเคยเจอคุณครั้งนึงนิ”


 


“อาจารย์เย่เคยเจอผมมาก่อนหรอครับ?” ลี่เชียนไคตกใจ เขารู้ว่าเย่โม่จะไม่ทำอะไร แต่เขามักจะอยู่ในกองทัพเสมอ แล้วเย่โม่เคยเจอเขาได้ยังไง?


 


แม้ว่าเขาจะต้องการเรียกเขาว่า ‘พี่เย่’ อย่างลี่ชิวหยาง หรือเชียนเปยเย่ แต่สำหรับตอนนี้ เขาสามารถเรียกเขาด้วยชื่อทางการได้เท่านั้น ‘อาจารย์’


 


เย่โม่ยิ้ม “ปีที่แล้วฉันอยู่ที่การประมูลในวัดซีเซียของภูเขาหวู๋เหลียงนะ ฉันขายยาไม่กี่เม็ดที่นั่น เมื่อฉันเข้ามา ฉันเห็นคน 2 คนจากตระกูลลี่ของคุณ”


 


“อะไรนะ?” ลี่เชียนไคตะลึง คำพูดของเย่โม่เป็นเหมือนสายฟ้าฟาดลงบนศีรษะของเขา


 


แม้ว่าตระกูลลี่ยังเป็นส่วนหนึ่งของห้าตระกูลที่ยิ่งใหญ่ แต่มีเพียงตระกูลลี่และจรังเท่านั้นที่มีคนในนิกายลี้ลับ


 


ตระกูลจรังมีเพียงจรังจรือฮุย และเขาไม่เคยอยู่กับตระกูลจรัง ดังนั้นตระกูลลี่จึงเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เพราะพวกเขามีความสัมพันธ์โดยตรงกับนิกายลี้ลับและสมาชิกจำนวนมากของพวกเขาจะถูกส่งไปยังนิกายลี้ลับเพื่อฝึกตน


 


อาจกล่าวได้ว่าพลังของตระกูลลี่นั้นอยู่ไกลจากสิ่งที่อีก 4 ตระกูลที่จะสามารถเปรียบเทียบได้ โดยไม่รวมตระกูลจรัง ถ้าพวกเขามีจรังจรือฮุยกับพวกเขาจริงๆ อะนะ


 


มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าตระกูลลี่มีอำนาจในนิกายลี้ลับ แต่เย่โม่เพิ่งพูดถึงอย่างไม่เป็นทางการและสิ่งนี้ทำให้ลี่เชียนไคตกใจมาก มีตระกูลที่มีความสัมพันธ์กับนิกายลี้ลับ แต่โดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไปหรือรัฐบาลจะไม่พอใจ แต่ตระกูลลี่ยังสามารถไปประมูลนิกายลี้ลับ ซึ่งใครๆ ก็สามารถเห็นความสัมพันธ์ของพวกเขาได้อย่างชัดเจน เดี๋ยวสิ ถ้าเย่โม่รู้ว่าเขาและลี่ชิวหมิงไปประมูลแล้ว นั่นก็หมายความว่าเขาไปด้วยนะสิ ทำไมเขาไม่เห็นเย่โม่ละ?


 


เขาบอกว่าเขาขายยาที่นั่น ‘ฮะ’ ลี่เชียนไคประหลาดใจอีกครั้ง เขาเป็นคนที่ขายยารักษารูปลักษณ์ แล้วเอาแครอทหลิวสีครามจากตระกูลเซียหรอ? มันจะต้องเป็นเขาแน่ๆ


 


เย่โม่เห็นการแสดงออกของลี่เชียนไค และรู้ทันทีว่าเขาจำเขาได้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ใช่ความลับอีกต่อไปและด้วยพลังของเขาในปัจจุบัน เขาไม่จำเป็นต้องซ่อนมัน วันนั้นในการประมูลเขาเห็นคนคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนลี่ชิวหยางและคนที่อยู่ข้างเขาสวมหน้ากาก คนนั้นดูเหมือนจะเป็นลี่เชียนไค


 


“คุณ…” ลี่เชียนไคไม่อาจเก็บความตื่นเต้นได้ เม็ดยารักษารูปลักษณ์มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญ หากเย่โม่เป็นคนที่ขายมัน เขาเพียงแต่ต้องสร้างพวกมันเท่านั้น และทรัพย์สมบัติของเขาจะเพียงพอที่จะซื้อประเทศอะไรก็ได้ที่เขาพอใจ


 


เย่โม่พยักหน้าและไม่พูดอะไรเลย เขามองที่เทียนโย๋วเหนิง ซึ่งกำลังฟังอยู่ข้างๆ การแสดงออกของมนุษย์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หากทักษะการรับรู้ของเขาไม่ดีนัก เขาคงไม่คิดว่าคนอ้วนคนนี้เป็นคนที่โกรธแค้นในการจับกัวฉีและฟางเหว่ย เทียนโย๋วเหนิงมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ทำให้ผู้คนคิดว่าเขามีความสุขจริง


 


เมื่อเห็นว่าการสนทนาของเย่โม่และลี่เชียนไคสิ้นสุดลง เทียนโย๋วเหนิงก็กล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ผบ.ลี่ ผมได้เตรียมงานฉลองต้อนรับคุณแล้วครับ อ่าผบ.ลี่ ผมขอถามได้ว่าคนๆนี้คือใครหรอครับ?”


 


ก่อนที่ลี่เชียนไคจะพูดอะไรก็ตาม เย่โม่โบกมือแล้วพูดว่า “คุณคือเทียนโย๋วเหนิงรึเปล่า? นี่แค่บ่าย 2 เอง คุณก็เริ่มกินข้าวซะแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่คุณจะเทอะทะแบบนี้”


 


คำพูดของเย่โม่เกือบทำให้เทียนโย๋วเหนิงอ้วกออกมา เขาเป็นคนอ้วนจริงๆ แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความเทอะทะเสียหน่อย


 


แม้ว่าเขาต้องการที่จะกินเย่โม่ในช่วงเวลานั้น แต่เขายังคงยิ้มอย่างอบอุ่นบนใบหน้าของเขาและพูดว่า “ฮ่าๆ ที่จริงแล้วก็แค่กินเร็วไปหน่อยนะ”


 


เย่โม่พูดอย่างไร้มารยาทว่า “ในเมื่อมันเร็วเกินไป งั้นก็พากัปตันลวี่หลินมาด้วย ฉันไม่มีเวลาพูดกับคุณ”


 


ใบหน้าของเทียนโย๋วเหนิงค้างเล็กน้อยและรอยยิ้มของเขาก็ถูกบังคับเล็กน้อยเช่นกัน แม้ว่าผบ.ลี่จะจับใครบางคน เขาก็ไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ นี่คือการตบหน้าเขา เขาอนุมัติการจับกุมลวี่หลินและตอนนี้ชายหนุ่มคนนี้ก็มาที่นี่และบอกให้เขาปล่อยตัวเธอโดยไม่ให้เหตุผลอะไรเลย แม้ว่าเย่โม่ต้องการจะปล่อยเธอ แต่เขาก็จำเป็นต้องให้เหตุผลแก่เขาในการทำความเข้าใจ เขาจะพูดว่า ‘โอ้เป็นอย่างนั้นหรอ? ฉันจะให้ลวี่หลินมาหาเดี๋ยวนี้แหละ’ หลังจากนั้นเขาจะรายงานและให้คนอื่นที่สามารถจัดการกับเย่โม่ได้เล่นเขาซะ


 


แต่เขาไม่ได้พูดอะไรและเพียงถามถึงเธออีกครั้ง เขาเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการเกินไปและชายหนุ่มยังไม่ได้แนะนำตัวเอง แม้ว่าเทียนโย๋วเหนิงอยากจะโกรธ แต่เขาก็ไม่กล้า ใครจะเป็นกล้ากับคนที่ลี่เชียนไคปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพกันละว่ะ?


 


“ใช่ ใช่ แต่กรณีของลวี่หลินค่อนข้างซีเรียส เธอเพิ่งถูกย้ายออกไปและเธอยังอยู่บนถนน ผมขอถามได้ไหมว่าคุณเป็นใครหรอครับ?” เทียนโย๋วเหนิงกล่าวอย่างระมัดระวัง


 


เย่โม่แสยะยิ้ม “งั้นก็พาเธอกลับมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะพาเธอออกไป ถ้าเธอสูญเสียเส้นผมแม้แต่เส้นเดียว ฉันจะตัดแขนของคุณ ถ้าเล็บเธอหาย ฉันจะเอาชีวิตของคุณ”


 


“แก -” เทียนโย๋วเหนิงเป็นคนที่มีประสบการณ์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ ชายหนุ่มคนนี้อวดดีเกินไป


 


แม้ว่าลี่เชียนไคจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เพิ่งได้เห็นหน้าของเทียนโย๋วเหนิง และพูดว่า “ผบ.เทียน ฉันเชื่อว่าคุณควรทำตามที่อาจารย์ผู้เย่บอกนะ”


 


“โอ้ ใช่ ใช่” เทียนโย๋วเหนิงไม่ได้คาดหวังว่าลี่เชียนไคจะบอกให้เขาฟังชายหนุ่มโดยไม่ได้ยินเหตุผลก่อน ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร? เขาเป็นอาจารย์ได้ยังไง?


 


“ยวีหยาง รีบพาลวี่หลินกลับมาที่ค่ายทหารเดี๋ยวนี้!” เทียนโย๋วเหนิงเต็มไปด้วยความโกรธและสามารถระบายกับคนของเขาได้เท่านั้น


 


เมื่อเห็นการเดินทางของยวีหยาง เทียนโย๋วเหนิงก็หันหลังกลับและพูดกับลี่เชียนไค และเย่โม่ด้วยรอยยิ้มว่า “ลวี่หลินจะกลับมาอีกใน 1 ชั่วโมง ในเวลานี้ เรามาเดินดูสถานที่ฝึกได้นะครับ”


 


เทียนโย๋วเหนิงวางแผนบางอย่าง แม้ว่าซวี่ซรือจะยังไม่กลับมา แต่เมื่อเขาพาชมสถานที่ ที่แรกที่เขาจะไปคือพื้นที่ฝึกซ้อม ด้วยวิธีนี้เขาจะเจอกัวฉีแน่นอน และเมื่อซวี่ซรือเห็นกัวฉี เขาจะโกรธและชายหนุ่มจะต้องหยุดเขา เช่นนี้เขาจะได้เห็นชายทั้งสองต่อสู้กัน


 


ในช่วงเวลานี้ เขายินดีกัวฉีที่ฆ่านายทหารของซวี่ซรือ ไม่เช่นนั้นแผนของเขาจะไม่เป็นไปตามแผนแน่ แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกของตระกูลชิว แต่เขาไม่เชื่อว่าตระกูลชิวจะต่อสู้กับตระกูลลี่เพื่อลูกเขย


 


ลี่เชียนไคมองเย่โม่ และเห็นได้ชัดว่าเขาจะทำตามสิ่งที่เย่โม่ต้องการ


 


เทียนโย๋วเหนิงพาพวกเขาไปที่สนามฝึกซ้อม บางคนจำลี่เชียนไคได้ แต่ไม่รู้ว่าใครที่อยู่ข้างๆเขา


 


เมื่อทุกคนเห็นกัวฉีและฟางเหว่ย พวกเขาก็ตกตะลึง การตามล่าหาพวกเขามันยังคงดำเนินต่อไป แต่ชายสองคนที่นำพามาโดยผบ.เทียนเอง และผบ.เทียนเองก็ดูเหมือนจะให้เกียรติอย่างมาก


 


กัวฉีและฟางเหว่ยในตอนนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเดาอะไรเลยในตอนนี้ พวกเขาสามารถอยู่ข้างหลังเย่โม่ได้อย่างเงียบๆเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเย่โม่นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขาได้ยินว่าเทียนโย๋วเหนิงส่งคนไปรับลวี่หลินแล้ว


 


“เกิดอะไรขึ้น? ผบ.เทียน ทำไมพวกอาชญากร 2 คนนี้ถึงเดินเข้ามาในค่ายทหารได้โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ?” ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามา น้ำเสียงที่เยือกเย็นก็ดังขึ้นทันที


บทที่ 435 : แกจะทำอะไรได้?


 


เมื่อได้ยินเสียงนั้น เทียนโย๋วเหนิงก็ดีใจ เขารู้ว่าใครคือเจ้าของเสียงเย็นชา เขาคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้ที่ไม่พูดมาเป็น 1,000 ปี จะสนใจเรื่องนี้


 


เทียนโย๋วเหนิงดูอึดอัดมาก แต่ในใจเขามันรู้สึกไกลจากคำว่าอึดอัด


 


เธอเป็นศิษย์น้องของซวี่ซรือ ชื่อซงหยางจรู ตั้งแต่วินาทีที่ผู้หญิงคนนี้มา ซวี่ซรือก็รับราชการทหาร เธอไม่เคยพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แม้ว่าเธอจะเป็นส่วนหนึ่งของ Heaven Squad เช่นกัน แต่เทียนโย๋วเหนิงก็ไม่เคยวางใจเธอ ถ้าไม่ใช่ว่า Heaven Squad มีข้อผูกมัดที่จะต้องสั่งสอนทหาร ผู้หญิงคนนี้ก็คงไม่มา


 


เย่โม่มองไปที่ผู้หญิงที่พูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว เธออายุประมาณ 24 หรือ 25 ปี เธอมีน้ำเสียงเย็นชาและด้วยอารมณ์ที่สุขุม มันดูไม่เลว ผมเธอยาวสลวยและผิวขาว ซึ่งเธออาจเรียกได้ว่าเป็นหญิงงามที่หายาก


 


เมื่อเห็นเย่โม่มองมา เธอก็มีประกายแวววาวที่ดวงตา ขณะที่กลับมาอย่างสงบดังเดิม เธอจ้องที่เทียนโย๋วเหนิงอย่างชัดเจนรอการตอบกลับของเขา


 


เทียนโย๋วเหนิงต้องการให้เธอต่อสู้กับเย่โม่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตอบได้ยังไง ถึงตอนนี้เขาทำท่าราวกับว่าเขาต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่กล้าทำ


 


เย่โม่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่เขาสังเกตเห็นความรังเกียจและความเกลียดชังในดวงตาของเธอ เขาไม่รู้ว่าไปทำให้เธอไม่พอใจตอนไหน แต่เขาไม่สนใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่มานาน แต่เนื่องจากบุคลิกของเขา แต่เขาก็ไม่ชอบคนมากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจ


 


หากคุณไม่มีอำนาจใดๆ แม้ว่าคุณจะทำตัวขี้อายแล้วคุณยังถูกทำร้าย เขาไม่สนใจหรอกว่าจะทำให้ใครไม่พอใจ เขาสนใจที่ว่าจะเอาชนะพวกเขาได้ไหม


 


เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้มีปัญหากับเย่โม่ในขณะนั้น


 


ใบหน้าของเย่โม่ก็เย็นชาเช่นกัน และเขาก็ประกาศชัดเจนว่า “เทียนโย๋วเหนิง กัวฉีและฟางเหว่ยถูกใส่ร้าย ชี้แจ้งข้อเท็จจริงของเรื่องเดี๋ยวนี้และยกเลิกคำสั่งไล่ล่าพวกเขา ชี้แจ้งผู้กระทำผิดที่แท้จริง ฉันไม่เชื่อว่าคุณยังไม่พบสาเหตุที่แท้จริงตอนนี้!”


 


เทียนโย๋วเหนิงขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้คิดว่าตัวเองใคร – พลเอกหรอ? เขาพูดราวกับว่าเขามีสิทธิ์สั่งใครก็ได้งั้นแหละ


 


เมื่อเห็นว่าเทียนโย๋วเหนิงขมวดคิ้วและลังเล ตอนนี้ลี่เชียนไคเข้าใจถึงสาเหตุที่เย่โม่มาในวันนี้แล้ว นั้นคือ กัวฉีและฟางเหว่ย


 


เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะต่อสู้ ลี่เชียนไคก็ถอยกลับไปและเรียกลี่ตง เขาต้องการอย่างยิ่งที่จะถามคำถาม แม้ว่าเขาจะเป็นผู้บัญชาการและอยู่เหนือกว่าเทียนโย๋วเหนิงเพียงไม่กี่ขั้น แต่เทียนโย๋วเหนิงก็เป็นผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษและเขาไม่มีอำนาจในการบังคับบัญชาพวกเขา ที่จริงแล้ว เทียนโย๋วเหนิงตอบโต้โดยตรงกับฮานจั่ยชิน และฮานจั่ยชินก็มีผู้บังคับการจำนวนมากเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะส่งคำสั่งเทียนโย๋วเหนิงได้


 


“หืมม ผบ.เทียน คุณจะช่วยผู้กระทำผิดงั้นเรอะ?” เมื่อเย่โม่เห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาก็เย็นชา


 


“ห่ะ ช่วยเหลือผู้ร้าย? กัวฉีและฟางเหว่ยฆ่าทหาร! เพียงเพราะพวกเขามีเส้นสาย นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะพ้นโทษ ถ้าเป็นแบบนั้นทุกคนที่มีเส้นก็ฆ่าคนได้ตามที่ต้องการแล้วสิ ถ้าแบบนั้นมันจะมีอะไรเหลืออยู่ในกฎหมายอีกละ” น้ำเสียงของผู้หญิงก็เย็นชาเช่นกัน


 


เย่โม่ไม่รู้ว่าเขาไปทำผิดต่อเธอเมื่อไหร่ แต่เธอทำตัวต่อต้านเขาอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นเขาก็ใช้ลมปราณเพื่อขยายเสียงของเขา “ชิวจื่อเฟย ใช้ความมึนเมาเป็นข้ออ้างในการโจมตีกัปตันลวี่หลิน! กัปตันลวี่หลินของ Eagle Squad! ลวี่หลินต่อต้าน แต่นายทหารสองคนนั้นที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยเธอ พวกเขายังช่วยชิวจื่อเฟย จัดการกัปตันลวี่หลิน กัวฉีและฟางเหว่ยไปเห็นเหตุการณ์เข้า ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามปกป้องลวี่หลิน และในฆ่าเจ้าหน้าที่สองคนนั้นโดยบังเอิญ เพราะตระกูลชิวมีอำนาจในปักกิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ ใส่ร้ายกัวฉีและฟางเหว่ยที่บริสุทธิ์ ทุกคนบอกฉันสิ! กัวฉีและฟางเหว่ยควรจะถูกกล่าวหางั้นเรอะห่ะ!?”


 


เย่โม่อธิบายเรื่องต่างๆ ในสองประโยค โดยที่เกือบทุกคนในค่ายทหารสามารถได้ยินได้ ทหารที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้เข้าใจในทันที แม้ว่าจะมีบางคนยังมีข้อสงสัย ทุกคนก็รู้ว่าใครคือชิวจื่อเฟย และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในห้องของลวี่หลิน ความจริงนั้นชัดเจน


 


“เป็นไปไม่ได้ ใช่มั้ย?” เนื่องจากทหารจำนวนมากรู้ว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับผบ.เทียน จึงไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นอะไร แต่พวกเขาก็ยังไม่พอใจ พวกเขาเป็นทหาร มันเป็นหน้าที่ของพวกเขาในการปกป้องผู้คนและประเทศชาติ ถ้าแม้แต่นายทหารหญิงคนหนึ่งก็ยังไม่สามารถปกป้องได้ แล้วแบบนี่พวกเขาจะสามารถปกป้องผู้อื่นได้ยังไง?


 


ในตอนนั้นเอง ลี่ตงก็ได้ตรวจสอบความจริงและดำเนินการอย่างจริงจัง “ฉันได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว และสิ่งที่อาจารย์เย่พูดไว้นั้นเป็นความจริง ไอ้พวกสวะนี้ควรถูกฆ่า ผู้บัญชาการลี่ ฉันสั่งให้คุณยกเลิกข้อกล่าวหาของกัวฉีและฟางเหว่ยเดี๋ยวนี้”


 


เมื่อผู้บัญชาการลี่พูด ผู้คนมากขึ้นก็เห็นด้วย ผู้บัญชาการลี่ไม่สามารถโกหกได้อย่างเปิดเผยในสถานการณ์เช่นนี้แน่ นั่นหมายความว่า กัวฉีและฟางเหว่ยถูกใส่ร้าย


 


แม้ว่าเทียนโย๋วเหนิงรู้ว่าลี่เชียนไคไม่มีอำนาจในการบังคับบัญชาเขา แต่เมื่อลี่เชียนไคได้พูดไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถเล่นกับความตายได้ นั่นจะเป็นเรื่องโง่ทันทีเพราะเขาจะทำไม่เพียงแต่ผู้บัญชาการลี่ แต่ยังรวมถึงตระกูลลี่ด้วย อย่างไรก็ตามเขาไม่พอใจที่จะฟังคำสั่งเช่นนั้น


 


“นั่นนะหรอที่คุณพูด? นี่มันไม่ใช่อะไรเลย แต่เป็นเรื่องราวด้านเดียว แม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงสองคนที่ถูกฆ่าตาย คุณต้องการที่จะให้พวกเขาได้รับเพียงแค่อิงตามเรื่องราวของคุณงั้นเรอะ? ตลกสิ้นดี!” เทียนโย๋วเหนิงกลัวลี่เชียนไค แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงคนนั้นจะกลัวด้วย


 


เย่โม่ไม่สนใจที่จะเถียงกับผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว เขาจึงพูดอย่างชัดเจนว่า “ถูกต้อง ถ้าฉันบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง มันก็เป็นเรื่องจริง”


 


ใบหน้าของซงหยางจรูซีดด้วยความโกรธ


 


“อวดดีนักนะ! ฉัน ซวี่ซรือ อยากจะเห็นนักว่าคนประเภทไหนกันที่มันกล้าทำตัวอวดดีในกองทัพ” เสียงที่เยือกเย็นดังขึ้น


 


การได้ยินเสียงของซวี่ซรือนั่นก็เหมือนดนตรีสวรรค์สำหรับเทียนโย๋วเหนิง ในที่สุดก็มีคนมาต่อสู้กับชายหนุ่มที่อวดดีนี่สักที


 


เย่โม่ศึกษาผู้ชายคนนั้น เขาอายุ 40 ปี มีใบหน้ายาวและผมสั้น เขาดูค่อนข้างมืดมน แต่ก็ยังดูสง่า


 


ครั้งแรกที่เย่โม่ได้ยินเรื่องซวี่ซรือ ก็เมื่อตอนที่เขาอยู่ในขั้น 2 กลับเข้ามาในป่าช่วยกัวฉีและชรือวั่นชิง ในเวลานั้นพวกเขายกย่องซวี่ซรือ ในฐานะปรมาจารย์หมายเลข 1 โดยกล่าวว่าเขาอยู่ในขั้นปฐพีระดับต้น


 


“คนที่ฆ่าคนของฉันยังอยากจะเห่าและทำตัวอวดดีอีกเรอะ? ฉันดูพอแล้ว” เสียงของซวี่ซรือยังคงเย็นชา เขาจะไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ได้ง่ายๆแน่ นั่นเพราะเขาทำให้ศิษย์น้องซงไม่พอใจ และยังไม่ต้องพูดถึงอีกว่าเขาฆ่าคนของเขาด้วย


 


ศิษย์น้องของเขาไม่ใช่พูดมากนัก แต่วันนี้เธอพูดมาก ซึ่งใครก็เห็นได้ว่าเธอโกรธแค่ไหน


 


“คุณซวี่ อาจารย์เย่เป็นเพื่อนของฉัน และในกรณีนี้ กัวฉีและฟางเหว่ยนั้นบริสุทธิ์ ฉัน -” ลี่เชียนไคพูดเพียงครึ่งประโยคและถูกขัดจังหวะโดยซวี่ซรือทันที


 


ซวี่ซรือดูเฉยชาที่ลี่เชียนไค และพูดว่า “ผู้บัญชาการลี่ เพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นและถ้าคุณไม่ต้องการให้ตระกูลลี่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่าพูดอะไรมาก แม้จักรพรรดิแห่งสวรรค์กำลังจะมา เขาก็ไม่สามารถหยุดฉันจากการแก้แค้นให้ฆ่าคนของฉันได้ Heaven Squad ของเราไม่เคยใช้อำนาจที่มีต่อผู้อื่น แต่คนอื่นก็ไม่ควรพยายามทำร้ายเรา”


 


ซงหยางจรูลังเล แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร ซวี่ซรือไม่รู้จักเย่โม่ แต่เธอรู้ มีความบาดหมางระหว่างเธอกับเย่โม่ เธอไม่ต้องการให้เย่โม่ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ดังนั้นตอนนี้ที่ซวี่ซรือได้ท้าทายเย่โม่ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าซวี่ซรือนั้นสู้กับเย่โม่ไม่ได้ มันก็คงจะเพียงพอที่จะก่อกวนเย่โม่ และทำให้เขามีศัตรูมากขึ้นได้


 


เย่โม่ยิ้มกว้าง “Heaven Squad หรอ? Heaven Squad นี้แข็งแกร่งจริงๆหรอ? ไอ้ทั๋นเจียว ตาแก่นั้นจะคันบ้างไหมเนี้ย? ดูเหมือนว่าฉันไม่ได้สอนบทเรียนมากพอในครั้งที่แล้วแหะ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องย้อนกลับไปยังปักกิ่งอีกครั้ง โอ้ไงก็เถอะ ฉันเย่โม่ คนที่เหยียดหยาม Heaven Squad ของแก แกจะทำอะไรกับเรื่องนี้ละ?”


 


ซวี่ซรือเลิกคิ้วและรู้สึกโกรธ เขากล้าพูดออกมาได้ยังไง! เขากล้าเรียกปรมาจารย์ทั๋นเจียวว่าตาแก่ได้ยังไง! และเขาก็ประกาศอย่างเปิดเผยว่าเขากำลังดูถูกเหยียดหยามอยู่ Heaven Squad ใช่ไหม? ซวี่ซรือไม่เคยเจอใครที่ไม่กลัวความตาย – เดี๋ยวนะ นี่ไม่ถูกต้อง มีใครบางคนที่เรียกว่า ‘อาจารย์เย่’ เด็กคนนี้เป็นใคร? เขาคือเย่โม่หรอ?


 


เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้ ซวี่ซรือก็เย็นลงทันที ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งเรียกตัวเองว่าเย่โม่หรอกใช่ไหม? เขาจำได้ว่าอาจารย์ของเขาเคยพูดว่า ‘ซวี่ซรือ ด้วยอำนาจของนาย นายอาจไม่สามารถครองทุกคนได้จริงๆ แต่ไม่มีใครที่สามารถทำอะไรกับนายได้มากนัก แค่จำไว้ว่านายต้องไม่ทำให้เย่โม่แห่งตระกูลเย่โกรธ ถ้านายทำให้เขาโกระ แม้แต่ฉันก็จะไม่สามารถช่วยนายได้’



บทที่ 436 : คนที่โหดร้ายและน่ารังเกียจ


 


เทียนโย๋วเหนิงเป็นคนเดียวที่มีความสุขที่ได้เห็นเย่โม่อวดดี เขากล้าที่จะพูดคำพูดแบบนี้กับซวี่ซรือ? เขาต้องตายอย่างแน่นอน!


 


เทียนโย๋วเหนิงตระหนักถึงตัวตนของซวี่ซรือมาก แม้แต่ผู้นำของตระกูลลี่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอย่างคำว่า ‘เหยียดหยาม Heaven Squad’ นี่เป็นสัญญาณของความเสียหายในสมองชัดๆ ชายหนุ่มคนนี้อาจซื่อบื่อเกินไป หากเขารู้ว่า Heaven Squad เป็นตัวแทนของอะไร เขาคงไม่พูดแบบนี้แน่


 


ใบหน้าของซวี่ซรือเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีขาว เขาเคยได้ยินคนพูดว่าแม้แต่อาจารย์ของเขาก็สู้กับชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ แต่เขาไม่อยากจะเชื่อเลย อาจารย์ของเขาอยู่ในขั้นนภาสวรรค์ ชายขั้นนภาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ไม่สามารถเทียบได้กับชายหนุ่มในวัย 20 ปีงั้นหรอ? ซวี่ซรือไม่อยากจะเชื่อเลย


 


ซวี่ซรือไม่รู้ว่าเขาควรจะท้าทายเย่โม่ต่อไปหรือหยุดแค่นั้น เขามีความสามารถมากและอยู่ภายใต้การดูแลอย่างระมัดระวังของทั๋นเจียว ในที่สุดเขาก็สามารถเข้าถึงขั้นปฐพีได้ในอายุ 40 ของเขาได้


 


แม้แต่ในนิกายลี้ลับ เพียงอัจฉริยะที่ดีที่สุดในหมู่อัจฉริยะเท่านั้นที่จะสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้ ถ้าเขาถอยกลับไปข้างหน้ากองทหารจำนวนมาก เขาจะรักษาหน้าของเขาได้ยังไง?


 


เทียนโย๋วเหนิงเห็นหน้าของซวี่ซรือซีด แน่นอนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าซวี่ซรือกลัว เขาเชื่อว่าซวี่ซรือโกรธเพราะเย่โม่ และเขารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะออกมาพิสูจน์จุดยืนของเขา


 


เหตุผลที่เขาสามารถไปถึงตำแหน่งปัจจุบันนี่ได้ เนื่องจากทักษะการจัดการที่ดีของเขาและรู้ว่าเมื่อใดที่จะใช้ทีมที่เหมาะสม


 


คนที่มีความสามารถจะต้องไม่เพียงแต่ใช้คนอื่นเพื่อต่อสู้กับคนอื่นได้ แต่ยังต้องยืนหยัดในทีมที่ถูกต้องให้เร็วที่สุดและอยู่ในนั้นด้วย เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ เขาจะให้ซวี่ซรือและเย่โม่ต่อสู้กัน เย่โม่พูดคำหยาบคายเช่นนั้นด้วยซ้ำ ถึงเวลาแล้วที่เขาจะเลือกข้าง


 


เทียนโย๋วเหนิงพูดสบประมาททันที “แกเป็นใคร? แกคิดว่าแกเป็นใคร? นี่คือที่สำหรับผู้บัญชาการลี่ และอาจารย์ซวี่ที่จะคุยกัน ใครบอกให้แกมาพูดแทรก? อาจารย์ซวี่คือคนที่แกเสียงดังด้วยได้เรอะ? ไอ้หนุ่ม แกมีแม่ที่ให้กำเนิด แต่แกคงไม่มีแม่ที่สอนมารยาทให้กับแกสินะ หึ งั้นแกก็คงจะอยู่ได้ไม่นานนักหรอก”


 


เขารู้ว่าต้นกำเนิดของเย่โม่นั้นไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตามยิ่งพูดแบบนี้ความโกรธแค้นของมนุษย์ก็จะมากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มจะระเบิดด้วยความโกรธ จากนั้น ซวี่ซรือจะหยุดเขา เมื่อพวกเขาไม่สามารถยับยั้งได้อีกต่อไปแล้ว ซวี่ซรือจะพาเขาออกไป จากนั้นเขาจะสนับสนุนซวี่ซรือและบอกเขาว่าภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้อาจเป็นอันตรายต่อซวี่ซรือ ด้วยความเย่อหยิ่งของซวี่ซรือ เขาจะปกป้องเขาอย่างแน่นอน


 


ตราบใดที่ซวี่ซรือยังมีความประทับใจต่อเขา เขาเชื่อว่าลี่เชียนไคจะไม่ต่อต้านเขา สำหรับชายหนุ่มคนนั้น บางทีเมื่อเขาไปถึงจุดที่ซวี่ซรือดีต่อเขาแล้ว ตระกูลชิวก็จะมองเขาในแง่ที่แตกต่างออกไป


 


แม้ว่าจะมีความเสี่ยงในการทำให้ชายหนุ่มคนนั้นโกรธ แต่ถ้าเขาต้องการปีนขึ้นสูง มันก็ย่อมมีความเสี่ยงอยู่เสมอ


 


เพียะ เพียะ – เสียงตบที่ดังจากใบหน้าของเทียนโย๋วเหนิงดังก้อง และก่อนที่เขาจะสามารถตอบสนองได้ ก็มีลูกเตะลงบนหน้าอกของเขา


 


เทียนโย๋วเหนิงถูกผลักกลับไปกว่า 10 เมตรก่อนที่จะล้มลง เขาพ่นเลือดออกมาเต็มปากและหายใจไม่ถูก


 


แน่นอน เย่โม่รู้ว่าชายผู้นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาไม่ต้องเสียเวลาพูดคุยกับเขา แม้ว่าการเตะจะไม่ได้ฆ่าเขา แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น


 


เทียนโย๋วเหนิงคลานอยู่บนพื้น ขณะที่ทหารยามเดินเข้ามาช่วยเขา เขามองเย่โม่ด้วยใบหน้าที่ไม่เชื่อ ชายคนนั้นกล้าที่จะจู่โจมเขาอย่างเปิดเผยในค่ายทหาร เขาต้องการสั่งให้คนจัดการเย่โม่โดยทันที


 


แต่เขาไม่สามารถพูดได้ เขาแค่อยากให้ซวี่ซรือโจมตีอย่างรวดเร็ว และฆ่าเย่โม่


 


แต่เขาสังเกตเห็นด้วยความผิดหวัง ซวี่ซรือไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับเย่โม่เลย ดูเหมือนว่าคำพูดที่อวดดีที่เขาพูดมาก่อนหน้านี้จะไม่ได้มาจากเขา ขณะที่เขาจมลงในความเงียบ


 


หัวใจของเทียนโย๋วเหนิงจมลง เขารู้สึกว่าคราวนี้แผนของเขายังไม่ค่อยดีนัก


 


ทหารเห็นการโจมตีของเย่โม่และต้องการจัดการกับเขา แต่อาจารย์ซวี่และผบ.ลี่ยังคงคุยกับเย่โม่อยู่


 


“เชินฮงเจ่อ ติดต่อพลเอกฮานและบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ รวมถึงเหตุการณ์ของกัวฉีและฟางเหว่ยด้วย” เย่โม่กล่าว


 


“ครับ อาจารย์เย่” เชินฮงเจ่อมึนงง แต่ก็พยักหน้าทันที ไม่ว่าเย่โม่จะทรงพลังเพียงใดเขาก็ไม่สามารถโจมตีเจ้าหน้าที่ระดับสูงในค่ายทหารแบบนี้ได้ แต่เขาก็ทำเช่นนั้น เชินฮงเจ่อถอนหายใจ เทียนโย๋วเหนิงคิดว่าเขาฉลาด แต่เขากลับถูกทำร้าย เขามั่นใจว่าเย่โม่จะไม่เป็นอะไรอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่เทียนโย๋วเหนิงจะเจอปัญหาใหญ่แน่นอน


 


“เย่โม่ ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นหัวหน้าอาจารย์กองกำลังพิเศษ Flying Special Forces แต่คุณไม่คิดว่าคุณกำลังใช้อำนาจของคุณเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยหรอ?” ในที่สุด ซวี่ซรือก็พูดอะไรบางอย่าง


 


เทียนโย๋วเหนิงได้ยินสิ่งนี้และหัวใจของเขาจมลงอย่างสมบูรณ์ เขาถูกเตะในลักษณะนี้และช่วยเหลือซวี่ซรือ แต่ซวี่ซรือเลือกที่จะไม่โจมตี แต่พูดสิ่งที่ไม่สำคัญ เขารู้แล้วว่าเขาเลือกผิดในครั้งนี้


 


จิตใจของเขาไม่ชัดเจนอย่างสมบูรณ์ หากเขาตระหนักว่าพลเอกฮานคือฮานจั่ยชิน บางทีเขาอาจจะหมดหวังมากกว่านี้


 


เย่โม่สแกนซวี่ซรือ และไม่ตอบกลับ เขาพูดกับลี่เชียนไคแทน “ผบ.ลี่ โปรดช่วยจัดการกับชิวจื่อเฟยด้วยนะครับ”


 


“แน่นอน มันเป็นเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นในกองทัพ” ลี่เชียนไคไม่กลัวเย่โม่ที่ขอความช่วยเหลือ เขากลัวว่าเย่โม่จะไม่ขอความช่วยเหลือจากเขามากกว่า


 


ใบหน้าของซวี่ซรือเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ก็ยังไม่หาเรื่องเย่โม่ เขาชื่นชมอาจารย์ของเขาอย่างมาก แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ยังไม่ยุ่งกับเย่โม่ แล้วเขาจะทำยังไงดี? หากเย่โม่ไม่ได้โจมตีเทียนโย๋วเหนิง บางทีเขาอาจจะลอง แต่จากสิ่งที่เย่โม่ทำ เขาเห็นได้ชัดว่าไร้ซึ่งความเมตตา


 


ถ้าเย่โม่แข็งแกร่งเท่าที่อาจารย์ของเขาพูดไว้ ถ้าเขาสู้กับเขา มันคงไม่จบ แม้เขาจะไม่เชื่อว่าเย่โม่นั้นแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังอยากลอง แต่อาจารย์ของเขาไม่โกหกเขา ถ้าเย่โม่นั้นไร้ความปราณี ชีวิตของเขาก็จะจบสิ้น


 


ในที่สุด ซวี่ซรือก็ระงับความโกรธของเขาและไม่โจมตี แม้ว่าเย่โม่จะพูดแบบนั้น ซงหยางจรูก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง ซวี่ซรือใจเสาะเกินไป แต่เธอก็ไม่สามารถโจมตีได้เช่นกัน เธอรู้ว่าพลังของเธอนั้นไม่มีผลกับเย่โม่


 


เย่โม่ยังยกย่องซวี่ซรือที่ต่อต้าน คนประเภทนี้อันตรายที่สุด คนที่โกรธง่ายคือไม่มีการคุกคามครั้งใหญ่ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด หากพวกเขาอยู่ในยุทธภพแล้ว คนอย่างซวี่ซรือนั้นอันตรายที่สุด คนแบบนี้ดูเหมือนสุภาพบุรุษ แต่ก็เยือกเย็นมาก พวกเขายังสามารถทนต่อการดูหมิ่นและเยาะเย้ยทุกประเภทได้ แต่เมื่อพวกเขาคว้าโอกาสได้แล้ว พวกเขาก็จะคิดถึงวิธีที่โหดร้ายที่สุดในการกำจัดศัตรูของพวกเขา


 


ถ้าซวี่ซรือโจมตีแล้ว แม้ว่าเย่โม่จะไม่ได้ฆ่าเขา เขาก็จะทำให้เขาพิการ แต่ซวี่ซรือไม่ได้โจมตี ดังนั้นเย่โม่จึงไม่สามารถจัดการและเอาชนะเขาได้ เย่โม่มีความผิดหวังเล็กน้อยในสายตาของเขา ซวี่ซรือทำท่าอวดดี แต่เขาก็ทำเพื่อคนที่เขาทำได้เท่านั้น


 


ซงหยางจรูเห็นความผิดหวังของเขาและรู้สึกตกใจ เย่โม่ต้องการให้ซวี่ซรือโจมตีหรอ?


 


“พี่ลวี่กลับมาแล้ว” ดวงตาของฟางเหว่ยประกาย และเขาเป็นคนแรกที่เห็นว่าลวี่หลินลงจากรถจี๊ป ซึ่งกัวฉีรีบไปที่นั่นทันที


 


เย่โม่เห็นว่าลวี่หลินไม่เป็นไรและดูเหมือนจะไม่ถูกสอบสวนอย่างรุนแรง จากนั้นเขารู้สึกโอเคที่จะกล่าวคำอำลากับลี่เชียนไค เหตุผลที่เขาขอให้ลี่เชียนไคจัดการกับชิวจื่อเฟย ก็เพราะเขาไม่ต้องการโจมตีตระกูลชิวโดยตรง


 


แม้ว่าตระกูลชิวจะทำให้เขาโกรธ 2 ครั้ง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากความผิดโดยตรงกับเขา เขาไม่ต้องการและไม่มีเวลาที่จะทำลายตระกูลชิว


 


ตระกูลชิวนั้นแตกต่างจากตระกูลซง ตระกูลซงต้องการให้เขาตายอย่างต่อเนื่องและโจมตีญาติของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เขามีเจตนาฆ่า


 


เย่โม่ไม่ใช่ผู้ช่วยชีวิตและมีตระกูลใหญ่รุ่นที่ 2 ที่เต็มไปด้วยความลำบาก เขาไม่สามารถฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ทำให้เขาโกรธ เขาก็ไม่สนใจ


 


เมื่อเห็นเย่โม่ก็ออกไปพร้อมกับคน 3 คนที่เขาได้ช่วยและผฐ.ลี่ ซวี่ซรือก็รู้สึกผ่อนคลายในที่สุด ในช่วงเวลาหนึ่ง เขาต้องการที่จะท้าทายเย่โม่ทันที แม้ว่าอาจารย์ของเขาจะบอกเขาว่าอย่าทำเช่นนั้น แต่ช่วงเวลาที่เขาทำ เขารู้สึกถึงความตั้งใจฆ่าอย่างรุนแรงจากเย่โม่


 


ซวี่ซรือมองอย่างน่าทึ่งที่ซงหยางจรู ศิษย์น้องของเขา เธอไม่เคยเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น แต่วันนี้เธอได้เห็นความขัดแย้งกับเย่โม่ เนื่องจากเหตุการณ์ของกัวฉี และเมื่อเขากำลังจะโจมตี เธอไม่ได้พูดอะไรเลย การกระทำของเธอแปลกมากในวันนี้



บทที่ 437 : ซุ่มโจมตี


 


ลวี่หลินและพวกเขายังคงไม่เชื่อว่าพวกเขาจะออกไปได้อย่างง่ายดาย และเข้าร่วมที่เมืองอสรพิษโดยไม่ลังเล


 


ยวีเมี่ยวตั๋นไม่อยากจะเชื่อว่าเย่โม่แค่ออกไปเดินเล่นและพาคนกลับมา ราวกับว่าการสังหารนายทหารนั้นไม่สำคัญอะไรเลย ยวีเมี่ยวตั๋นรู้สึกว่าเธอไม่สามารถเข้าใจเจ้านายของเธอได้อีกต่อไป


 


มีเพียงหนิงชิงเซวียเท่านั้นที่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติ เธอเชื่อในตัวเย่โม่ เย่โม่สามารถฝึกจิตวิญญาณลมปราณได้ เพราะงั้นมันจะมีอะไรอีกที่หยุดเขาได้ละ?


 


เย่โม่ตระหนักว่าใบหน้าของยวีเมี่ยวตั๋นนั้นดูไม่ดีนัก และถามทันทีว่า “เกิดอะไรขึ้น?”


 


หนิงชิงเซวียเดินเข้ามาและพูดว่า “ยาความงามของเราได้รับการรายงานว่ามีผลกระทบในทางลบและมีรายงานผู้ป่วย 4 รายในประเทศ และมันยังเพิ่มขึ้นด้วยนะสิ”


 


“ผลข้างเคียง?” เย่โม่ขมวดคิ้ว เขาไม่เชื่อว่ายาของเขาจะมีผลเสีย แต่ยังไงซะ มันเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ยาจริง แต่ก็ยังคงเป็นผลมาจากการปรับปรุงหลายพันปีในทวีปลั่วเยวีย แต่จะมีผลเสียได้ยังไง?


 


มีคนกำลังซุ่มโจมตีบริษัทลั่วเยวีย นี่เป็นเพียงความคิดของเย่โม่ เขามั่นใจในมัน เย่โม่แสยะยิ้ม ‘แกไม่สามารถเอาชนะพวกเราได้อย่างเปิดเผย ดังนั้นแกจึงใช้วิธีนี่สินะ ได้ ฉันจะทำให้แผนการเหล่านั้นล้มเหลวเช่นกัน’


 


“พี่ยวี ใครเป็นคนซุ่มโจมตีบริษัทของเรา?” เย่โม่ถาม


 


“ประธานเย่คะ คุณรู้ได้ยังไงว่ามีคนกำลังโจมตีเรา?” ยวีเมี่ยวตั๋นยิ่งตกใจมากขึ้น ไม่ว่าเขาจะมีความมั่นใจเกี่ยวกับยาของเขายังไง อย่างน้อยเขาก็ควรมีข้อสงสัยสักหน่อย


 


เย่โม่ยิ้มและไม่ตอบกลับ


 


หนิงชิงเซวียถามว่า “น่าจะเป็นบริษัทเยวียนเป่ยนะคะ พวกเขาไม่เคยปิดบังแผนการของพวกเรา พวกเขาไม่กลัวที่จะถูกรู้”


 


“อ่อ?” เย่โม่ขมวดคิ้ว ไอ้บริษัทอวดดีนั้นนะหรอ? เขายังไม่มีเวลาที่จะแก้แค้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ของชิงเซวีย และพวกเขาก็หาเรื่องมาอีกครั้งแล้ว


 


ยวีเมี่ยวตั๋นพยักหน้า “ใช่ ชิงเซวียพูดถูก ทันทีที่มีปัญหารายงานมา บริษัทเยวียนเป่ยก็ประกาศว่าพวกเขาจะไม่ร่วมมือกับผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายและทุกคนที่เป็นเป้าหมายในการโจมตี สมุนไพรปลอมและเพิ่มส่วนผสมทางเคมีที่จะเป็นอันตรายและโกหกต่อสาธารณชน เหตุผลที่ข่าวมันแพร่กระจายอย่างรวดเร็วนี้เป็นเพราะพวกเขา”


 


เย่โม่คิดถูก พวกนั้นซุ่มโจมตีพวกเขาอย่างเปิดเผย แบบนี้บริษัทลั่วเยวียจะรู้ทันทีว่าเป็นบริษัทเยวียนเป่ยที่โจมตีพวกเขา


 


“ด้วยเหตุนี้ นักข่าวจำนวนมากจึงถูกจับกลุ่มเข้าสู่เมืองอสรพิษ และกำลังเตรียมที่จะขุดรากเหง้าของเราคะ วันนี้การขายยาความงามและยาสุขภาพของเราลดลงอย่างน่าสังเกต แม้ว่าเราจะยังคงขายหมดในขณะที่เรานำหุ้นเข้ามา นี่ก็เป็นเพียงวันแรก สิ่งต่างๆ อาจจะแย่ลงในอนาคตก็ได้” ยวีเมี่ยวตั๋นกล่าวอย่างกังวลใจ


 


“ผลกระทบด้านลบคืออะไร?” เย่โม่ถาม


 


“การมีผื่นทั่วร่างกายและเป็นพิเศษบนใบหน้า นี่ยังเป็นช่วงเริ่มต้น หลายคนคิดว่าระยะหลังอาจเป็นการทำลายใบหน้าด้วยคะ” ยวีเมี่ยวตั๋นไม่ได้มองในแง่ดี แม้ว่าเธอจะรู้ว่าพวกเขาถูกล้อมกรอบ แต่เธอก็ไม่มีทางที่จะพ้นสถานการณ์นี้ได้


 


เย่โม่เข้าใจ เขากล่าวทันทีว่า “วางแผนต่อไปสำหรับการขยายตัวของบริษัท ฉันจะจัดการกับเรื่องนี้เแ


ยังไงก็เถอะ พี่ยวีคุณตั้งร้านที่เมืองซีตงได้ไหม?”


 


ยวีเมี่ยวตั๋นกล่าวทันที “ยังเตรียมการอยู่คะ เรายังไม่ได้ขายอะไรเลย”


 


“เอาล่ะ งั้นใช้เวลาของคุณให้เป็นประโยชน์ กัวฉี ฟางเหว่ยและลวี่หลินจะเป็นคนของเรา ต่อไปนี่ให้พวกเขารับผิดชอบการสร้างเมืองอสรพิษและความปลอดภัย ให้หยางจิวและฝางหนานช่วยพวกเขาด้วยในตอนนี้” เย่โม่พูดแล้วหันไปหาลวี่หลิน “เมื่อซวี่เยวียฮวามาที่เมืองอสรพิษแล้ว เธอจะเป็นผู้รับผิดชอบของคุณนะครับ”


 


จากนั้น เย่โม่ก็พูดว่า “ช่วยฉันหากล้องความละเอียดสูงหน่อย ฉันจะไปย่านเหอเฟิง ฉันต้องการดูว่าบริษัทเยวียนเป่ยมันมีความสามารถมากแค่ไหน”


 


จากนั้นเย่โม่ดูเหมือนจะคิดถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นได้และถามว่า “เรามีใครไปประเทศลั่วเซอและเวียดนามเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับที่ดินบ้างไหม?”


 


ยวีเมี่ยวตั๋นพยักหน้าทันที “ทันทีที่การประชุมของเราจบลง ฉันก็ส่งคนไปแล้วคะ” ยวีเมี่ยวตั๋นเองก็เป็นห่วงเช่นกัน


 


ด้วยคำตอบของเธอ เย่โม่จึงรู้สึกมั่นใจ


 


หลังจากตัดสินใจสิ่งเหล่านี้แล้ว เย่โม่ก็ออกไปที่เมืองอสรพิษ ด้วยการติดตามของฝางหนานและหยางจิว สถานการณ์ก็เริ่มดีขึ้น แม้ว่าจะมีคนทุกประเภทอยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่มีการบังคับในธุรกิจอีกต่อไป


 


‘ดาบหักหรอ?’ เย่โม่หยุดเดิน มันเป็นแผงลอย ผู้ชายที่เป็นเจ้าของแผงขายของนั้นเป็นผู้ชายอายุ 30 ปี เขาไม่มีอำนาจ แต่เขารู้สึกถึงดินเบาๆ บนเขา เขาอาจเป็นผู้ตรวจสุสาน มีของเก่าและเครื่องประดับอยู่บนพื้นดิน แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเย่โม่คือดาบหักนั่น


 


เย่โม่รู้ว่าดาบนี้หักเพราะเขาเป็นคนทำ เมื่อเขาทำกระบี่บินของเขาที่ภูเขาหวู๋เหลียง เป็นครั้งแรกเขาได้พบกับจรังจรือฮุย และทำลายดาบของเขา


 


ดาบที่หักเป็นของจรังจรือฮุย เขาไม่ได้ฆ่าจรังจรือฮุยในเวลานั้นและเพียงบอกให้เขาไปที่หอทลายกำปั้น แทนที่จะทำลายล้างมัน จรังจรือฮุยนำดาบที่หักไปกับเขาในเวลานั้น


 


แต่หลังจากที่เขาจากไป เขาไม่เคยเห็นเขาอีกเลย เขายังไปที่ตระกูลจรังเจียงซวน แต่ก็ยังไม่เห็นเขาที่นั่น


 


จากนั้นเขาก็ยุ่งและไม่มีเวลาไปที่หอทลายกำปั้นเพื่อตรวจสอบ แต่ตอนนี้เขาเห็นดาบของเขาบนแผงลอยนั้น


 


เย่โม่มั่นใจว่าจรังจรือฮุยสนใจเรื่องดาบของเขามาก เพราะเมื่อเขาทำมันหัก จรังจรือฮุยก็ยังเอามันไปด้วย


 


เมื่อเห็นเย่โม่หยิบดาบนี้ขึ้นมา ชายคนนั้นก็พูดทันทีว่า “ดาบนี้โบราณมาก แม้ว่ามันจะหัก แต่ก็มีค่ามากฉันไม่เข้าใจเลย นั่นคือเหตุผลที่ฉันขายมัน ถ้าคุณสนใจ ฉันให้คุณได้ในราคาถูกได้นะ”


 


เย่โม่พยักหน้า “ที่จริงฉันสนใจ แต่คุณต้องบอกที่มาของมันก่อนแล้วฉันจะซื้อ”


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้ ชายคนนั้นก็เริ่มพูดอย่างไม่หยุดหย่อน “ดาบเล่มนี้ไม่มีต้นกำเนิดที่ธรรมดานะ ฉันอยู่กับเพื่อนไม่กี่คนในซากปรักหักพังโบราณของเมืองโล่วหลัน -” ชายคนนั้นยังต้องการสร้างเรื่องราว แต่มันก็หยุดลงโดยเยาะเย้ย


 


“หากยังไม่หยุดพล่าม ฉันจะทำให้คุณต้องออกไปจากเมืองอสรพิษทันที หรือคุณสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุกได้ที่นี่ละ” เย่โม่ข่มขู่


 


จากนั้น เย่โม่ก็ตระหนักว่าไม่มีเรือนจำในเรือนเมืองอสรพิษ แต่จะดีกว่าถ้ามีคนสร้างมันแหะ


 


ชายคนนั้นสั่น แม้ว่าจะมีทองคำอยู่ทุกหนทุกแห่งในเมืองอสรพิษ แต่ระบบกฎหมายก็ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าเขาไปที่คุก เขาจะไม่สามารถออกไปได้ และถ้าชายคนนั้นพูดคำนั้นได้ นั่นหมายความว่าเขาเป็นงูท้องถิ่นในเมืองนี้


 


“ฉันจะบอก ฉันพบสิ่งนี้ที่เขาชิงซาวในมณฑลเสฉวน ฉันอยู่กับเพื่อนที่ทำธุรกิจที่นั่นและพบสิ่งนี้ในเขา”


 


“มีอะไรอยู่รอบๆอีกไหม?” เย่โม่ถาม


 


ชายคนนั้นไม่กล้าซ่อนอะไรเลยและพูดว่า “มีเลือดรอบๆและเสื้อผ้าที่ฉีกขาด มันอาจเป็นเพราะคนที่ขึ้นไปบนเขาคนเดียวและพบกับสัตว์ร้ายนะ”


 


เย่โม่ได้ยินเรื่องนี้และรู้ว่าจรังจรือฮุยไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ ฐานใหญ่ของหอทลายกำปั้นอยู่บนเขาชิงซาว


 


แต่เย่โม่รู้พลังจรังจรือฮุยอยู่ที่ขั้นปฐพีระดับกลาง เย่โม่ฆ่าผู้นำนิกายและแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำ ด้วยพลังของจรังจรือฮุย เขาจะไม่ตายที่นั่น


 


ดูเหมือนจรังจรือฮุยจะได้พบใครบางคนที่ยากลำบากเข้าให้


 


เนื่องจาก รังจรือฮุยได้ทำงานเพื่อเขาและมีบางอย่างเกิดขึ้น เขาควรไปสืบเพื่อเห็นแก่เขา


 


“ดาบนี้เท่าไหร่? ฉันจะเอา” เย่โม่ถาม


 


“1,000 อะเดี๋ยว 500 ก้พอ” เขากลัวว่าเย่โม่เป็นพวกอันธพาล


 


เย่โม่หยิบ 1,000 ออกมาและมอบให้กับชายคนนั้น “1,000 ดีแล้ว วาดรูปของสถานที่ที่คุณค้นพบให้ฉันหน่อย”



บทที่ 438 : ที่นั่งเต็ม


เย่โม่เอากล้องออกมา แม้ว่าในที่สุดเขาก็อยากจะใช้เวลาหนึ่งคืนกับหนิงชิงเซวีย แต่หนิงชิงเซวียก็เข้าใจดีว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะแก้ปัญหาตั้งแต่ในช่วงต้น


 


ก่อนที่เย่โม่จะออกเดินทาง ซวี่เยวียฮวาก็พาคนของเธอไปหาเมืองอสรพิษ เย่โม่ไม่รู้สึกรีบเร่งเกี่ยวกับการพัฒนาของเมืองอสรพิษ ตราบใดที่เขามีเงินมันก็ไม่สำคัญ


 


เขารู้ความสามารถของซวี่เยวียฮวา และภายใต้การนำของเธอ เมืองอสรพิษจะเปลี่ยนทุกวัน


 


สิ่งที่ทำให้เย่โม่กังวลมากที่สุดคือดินแดนของเมืองอสรพิษ หากเขาต้องการที่จะขยายเมืองอสรพิษ เขาอาจจำเป็นต้องซื้อที่ดินจากจีน


 


นี่ไม่ใช่ยุทธภพ ดังนั้นแม้ว่าอำนาจจะเป็นกฎเกณฑ์ทั้งหมด แต่ก็มีเรื่องอื่นที่ต้องคำนึงด้วยเช่นกัน แม้ว่าสหรัฐฯ ต้องการบุกอิรัก พวกเขาก็จำเป็นต้องทำในนามของความยุติธรรม


 


ถ้านี่คือยุทธภพ ตราบใดที่คุณมีอำนาจ ผู้คนจะไม่ทำอะไรเลยนอกจากแสดงความยินดีกับคุณ แม้ว่าคุณจะทำลายนิกายอื่น นั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยได้เมื่อต้องการ มีเพียงการขว้างก้อนหินเมื่อคุณอยู่ที่ก้นบ่อเท่านั้น


 


แม้ว่าเย่โม่จะมาจากยุทธภพ แต่หลักการของเขาก็มีความหมายว่าถ้าผู้คนไม่ได้ทำให้เขาโกรธหรือไม่พอใจ เขาก็จะไม่ทำไร หากพวกเขาไม่ต้องการขายที่ดินให้เขา เขาก็ไม่สามารถไปฆ่าพวกเขาได้


 


แต่เย่โม่รู้ด้วยเช่นกันว่าตั้งแต่เขาเปิดโรงงานที่นี่ ถ้าลั่วเซอและเวียดนามไม่ต้องการขายที่ดิน มันจะไม่ใช่เพราะดินแดนที่มีค่า แต่เพราะพวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์มากพอจากเขา


 


เย่โม่ส่ายหัว เขาตัดสินใจที่จะไม่คิดในตอนนี้ เช่นเดียวกับที่เขานำความคิดเหล่านี้ไปไว้ด้านหลังของจิตใจ เขาก็ตระหนักว่าเขามาถึงที่ย่านเหอเฟิงแล้ว


 


นอกเหนือจากการไปยังตระกูลเยวียนเพื่อหาหลักฐาน เขาจะไปที่เมืองซีตงเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนของเขาที่ชื่อซือซิว


 


ตระกูลเยวียนของเขาเฟิงไม่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ของจีน แต่ในเหอเฟิงพวกเขาเป็นงูในท้องถิ่นและครอบครัวที่ใหญ่ที่สุด อาจกล่าวได้ว่าเขาเฟิงเป็นดินแดนของตระกูลเยวียน


 


เมื่อเย่โม่มาที่ย่านเหอเฟิง เขาจะไม่ไปหาลี่ชุนเฉิง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหลี่ชุนเฉิงเป็นรองนายกเทศมนตรี แต่เย่โมต้องการตรวจสอบว่าเขาทำสิ่งต่างๆ ตามที่สัญญาหรือไม่


 


บริษัทเยวียนเป่ย ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบหวู๋เหอ ไม่เหมือนกับบริษัทอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหลัง บริษัทเยวียนเป่ยคือที่ตั้งของตระกูลเยวียน พวกเขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ สไตล์คฤหาสน์นั้นมีขนาดใหญ่ กว้างขวางและยิ่งใหญ่


 


เย่โม่มาถึงอาคารสำนักงานของพวกเขา ซึ่งเป็นอาคารสูง 38 ชั้น เมื่อเขาเดินเข้าไป มันก็อัดแน่นเต็มไปหมด คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นผู้บริหารที่มาเพื่อสนับสนุนบริษัทเยวียนเป่ยเช่นเดียวกับสมาชิกระดับสูงของตระกูลเยวียน และบุคคลสำคัญจำนวนมากของเหอเฟิง


 


เย่โม่อาจไม่รู้จักคนเหล่านี้ เขามั่นใจว่าหลายคนจะร่วมมือกับบริษัทลั่วเยวีย


 


เย่โม่ใช้การล่องหน เมื่อเขาเข้าไปในสำนักงานของเยวียนจรือร่ง เย่โม่รู้ว่าคนประเภทนี้ชอบอยู่ในออฟฟิศเมื่อพูดถึงเรื่องที่เป็นความลับ เย่โม่ทำเครื่องหมายที่สำนักงานด้วยสัมผัสจิตวิญญาณของเขาและจากนั้นก็เข้าไปในห้องประชุมเพื่อทิ้งเครื่องหมายจิตวิญญาณก่อนออกจากคฤหาสน์ เขารู้ว่านี่จะเป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของเยวียนจรือร่ง ไม่ว่าเขาจะดูถูกเหยียดหยามต่อบริษัทลั่วเยวียก็ตาม แต่เขาก็ไม่ทำแผนของเขาที่นี่


 


“ประธานเยวียน ถ้าจีนไม่มีเสาค้ำยันอย่างบริษัทเยวียนเป่ย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบริษัทลั่วเยวียนั่นจะต้องทำให้ประเทศจีนทั้งหมดเสียหน้าแน่ๆ” ชายอ้วนยกแก้วไวน์ขึ้นมาแล้วกล่าวกับเยวียนจรือร่ง


 


เยวียนจรือร่งหัวเราะ “ฮ่าๆ อย่าพูดถึงบริษัทอื่นๆเลย ในวันนี้เหตุผลที่บริษัทเยวียนเป่ยมีอย่างในปัจจุบันนี้เป็นเพราะความน่าเชื่อถือ เรื่องอื้อฉาวที่เลวร้ายเหล่านี้ถูกค้นพบในท้ายที่สุด โชคไม่ดีเลยที่ประชาชน คือที่ต้องทนทุกข์ทรมาน แน่นอนครับ นายกเทศมนตรีหนิวได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องสำหรับเรา บริษัทเยวียนเป่ยและการสนับสนุนจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง เชียร์ นายกเทศมนตรีหนิว!”


 


จากนั้น เยวียนจรือร่งก็ยกถ้วยของเขาให้กับชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง


 


ชายคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงถอนหายใจ “ประธานเยวียนเป่ย คุณสุภาพเกินไปแล้วนะ เหตุผลที่ว่าทำไมการเงินของเหอเฟิงของเราสามารถเพิ่มขึ้นได้นั้นต้องขอบคุณการสนับสนุนของบริษัทเยวียนเป่ย บริษัทยาขนาดใหญ่ใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา น่าเสียดายที่เจ้าหน้าที่ของเราหลายคนมองแค่ผลประโยชน์ระยะสั้นและไม่คำนึงถึงการพัฒนาในระยะยาว และพวกเขาไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนของเราด้วยเลย”


 


“ฉันเห็นด้วยกับคำพูดของนายกเทศมนตรีหนิวนะ ถึงแม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะคมชัดมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับรองนายกเทศมนตรีลี่ชุนเฉิงที่ต้องการนำบริษัทลั่วเยวียเข้ามาทันทีที่เขามาถึงนั่นนะ แม้ว่าเขาจะทำสิ่งนี้เพื่อการพัฒนาทางการเงินของเหอเฟิง ฉันก็ไม่รู้สึกเหมือนบริษัทลั่วเยวียจะเชื่อถือได้เลย และแน่นอนมันเป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น แล้วบางสิ่งก็จะปรากฎออกมา” ชายที่ดูดีคนหนึ่งกล่าว


 


ในขณะนี้ นายกเทศมนตรีหนิวหยิบถ้วยของเขาขึ้นมาแล้วพูดว่า “ตาแก่หลิวเป็นคนตรงไปตรงมา วันนี้คือการรวมครอบครัวของประธานเยวียน ดังนั้นอย่าพูดคุยเรื่องการเมืองเลย ดื่ม! ดื่ม!”


 


ทุกคนหยิบแก้วและดื่มทุกอย่าง บรรยากาศเริ่มสดใสบนโต๊ะ


 



 


เย่โม่พบบาร์และเก็บสัมผัสจิตวิญญาณของเขาไว้ที่เครื่องหมายจิตวิญญาณ หากมีใครแตะต้องเขา เขาจะรู้ เขาเชื่อว่าเยวียนจรือร่งไม่เพียงแต่จะหาคนมากมายมาดื่มด้วยคืนนี้โดยไม่มีเหตุผล คนเหล่านี้ล้วน แต่ภักดีต่อเยวียนจรือร่ง หลังจากดื่มแล้วพวกเขาจะพูดถึงเรื่องสำคัญ


 


“ท่านคะ ฉันขอถามสิ่งที่ท่านต้องการได้ไหมคะ?” หญิงสาวที่บาร์คนหนึ่งเดินไปที่ที่นั่งของเย่โม่ และถามอย่างเย้ายวน


 


“จะทำอะไรก็ทำเถอะ” เย่โม่โบกมือ


 


“ฮะ?” หญิงสาวงงงวย อะไรนะ? มันมีไวน์หลายร้อยชนิดในบาร์และราคาแตกต่างกันมาก สิ่งนี้ทำให้เธอลำบาก


 


“ฉันขอไวน์ดอกหญ้าสีคราม 2 แก้ว ทำให้ฉันด้วย” ผู้หญิงในวัย 30 เดินไปที่บาร์และนั่งถัดจากเย่โม่


 


“ไวน์ดอกหญ้าสีคราม?” เย่โม่ตกตะลึง



บทที่ 439 : ไวน์ดอกหญ้าสีคราม


 


เมื่อได้ยินคำพูดของผู้หญิงคนนั้น บาร์เกิร์ลก็พยักหน้าและไปทันที เธอรู้จักผู้หญิงคนนี้แน่นอน ทุกคนที่บาร์เรียกเธอว่าพี่อิง เธอเป็นคนหนึ่งที่นำแนวคิดของไวน์ดอกหญ้าสีครามมาที่บาร์ของพวกเขา เธอนำส่วนผสมหลักมาใช้กับไวน์ แต่มีคนไม่มากที่รู้เกี่ยวกับมัน ดังนั้นจึงไม่มียอดขายมากมายนัก เพื่อให้การขายดีขึ้น เธอจึงอยู่ที่บาร์เพื่อขายไวน์ดอกหญ้าสีคราม


 


วิธีการส่งเสริมไวน์ของเธอนั้นแตกต่างจากคนอื่นหรืออาจแปลก เธอจะโปรโมตมันให้คนแปลกหน้าเท่านั้น เธอไม่เคยโปรโมตมันกับคนที่เธอรู้จัก และเธอโปรโมตเพียงครั้งเดียวและจ่ายให้เอง ลูกค้าต่างประเทศมากขึ้นเธอชอบที่จะส่งเสริมมัน แต่เธอจะไม่โปรโมตมันให้คนคนเดียวกันอีกครั้งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


 


และเธอไม่ได้จ่ายเงินให้กับลูกค้าทุกคน เธอจ่ายให้เพียงไม่กี่รายเท่านั้น สำหรับพวกเขาส่วนใหญ่ เธอจะพูดว่า “คุณต้องการไวน์ดอกหญ้าสีครามสักแก้วไหมคะ? มันไม่เลวเลยนะ”


 


กลยุทธ์ของเธอนั้นง่ายเกินไป หัวหน้าของบาร์บอกกับเธอหลายครั้งว่าวิธีการโปรโมตนี้ไม่ดี แม้ว่าจะมีลูกค้าที่สนใจ พวกเขาก็เลื่อนแก้วออกไปอย่างไม่แยแส เธอยังคงส่งเสริมไวน์ให้คนแปลกหน้าทุกวัน สำหรับเธอดูเหมือนว่าถ้วยแรกเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริง เธอไม่เคยใส่ใจเลยว่าลูกค้าจะกลับมาซื้อหรือไม่


 


ด้วยการโฆษณาประเภทนี้ ไวน์ได้รับการขายที่ดีขึ้น แต่เป็นเพราะสีของไวน์นั้นดี ถ้าเธอไม่ได้โฆษณาไวน์บางทีอาจจะเป็นเพราะบาร์ปฏิเสธก็ได้


 


“ไวน์ดอกหญ้าสีคราม?” เย่โม่พูดอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญไวน์ที่มีชื่อเดียวกับพืชที่เขาปลูก


 


ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม “ใช่ ไวน์นี่ไม่เลวเลยนะคะ ฉันไม่เคยเห็นคุณในบาร์นี้มาก่อนเลย คุณอาจไม่เคยลองมาก่อนก็ได้นะ”


 


เย่โม่พยักหน้า “ครับ ผมไม่เคยลอว แต่ชื่อมันฟังดูคุ้นๆ ผมประหลาดใจนิดหน่อยนะ”


 


ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม “คุณอาจได้ยินเกี่ยวกับไวน์นี้จากคนอื่น แต่หลังจากที่คุณดื่มมันแล้ว คุณจะชอบมันคะ แม้ว่าจะเป็นค็อกเทล แต่มันก็ยังได้รสชาติที่สดชื่น”


 


พี่อิงพูดมากกว่าครั้งอื่น 2-3 ประโยคในวันนี้ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ


 


เย่โม่ส่ายหัว “ไม่ครับ ผมรู้จักหญ้าชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ดอกหญ้าสีคราม”


 


“อะไรนะคะ? คุณเคยได้ยินดอกหญ้าสีครามหรอ” ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองที่เย่โม่ด้วยความตกใจ ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อย


 


เย่โม่จ้องที่ผู้หญิงคนนี้อย่างประหลาด จากน้ำเสียงของเธอ เธออาจรู้ว่ามันคืออะไร เขานำชื่อนั้นมาจากทวีปลั่วเยวีย เธอจะรู้ได้ยังไง? แม้ว่าเธอจะรู้ มันก็ควรจะเป็น ‘แครอทหลิวสีคราม’ มันจะกลายเป็น ‘ดอกหญ้าสีคราม’ ได้ยังไง?


 


ผู้หญิงคนนี้มาจากทวีปลั่วเยวียหรอ? ไม่มีทาง ถ้าใช่มันก็หมายความว่าเธอเป็นผู้ฝึกตนด้วยเช่นกัน ผู้ฝึกตนจะเป็นบาร์เกิร์ลได้อย่างไร?


 


“นี่คะ พี่อิง” หญิงสาวนำไวน์ 2 มาเสิร์ฟ


 


เย่โม่หันหน้าและมองไปที่ค็อกเทลบนโต๊ะ มันมีสีน้ำเงินและมันดูน่ากลัว เขาได้กลิ่นมันและใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที


 


มันมีรสชาติของดอกหญ้าสีคราม ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะพูดอะไร เธอก็ดื่มหมดแล้ว


 


เศษไม้ที่แทบจะแยกไม่ออกของจิตวิญญาณลมปราณเข้าไปในคอของเย่โม่ด้วยไวน์ มันเป็นดอกหญ้าสีครามอย่างแน่นอน แม้ว่ามันจะไม่เก่ามาก แต่มันก็ใช่แน่นอน


 


บางคนจะใช้สมุนไพรจิตวิญญาณนั้นผสมกับไวน์ในบาร์ปกติได้ยังไง? ไม่แม้แต่นิกายลี้ลับก็ยังมั่งคั่งไปด้วย


 


ผู้หญิงคนนั้นยังมีความตื่นเต้นบนใบหน้าของเธอ เธอดูเหมือนจะอยากบอกอะไรบางอย่างกับเย่โม่ แต่ไม่ได้พูด


 


“คุณเคยได้ยินหรอคะ?” ผู้หญิงคนนั้นถามด้วยความไม่เชื่อ


 


เย่โม่คงความสงบของเขาไว้และมองผู้หญิงคนนั้นด้วยความสนใจ เขาศึกษาผู้หญิงคนนั้น เธอสูงประมาณ 1.7 ม. ผิวของเธอไม่ขาวเกินไป แต่ดูมีสุขภาพดี


 


ผมของเธอไม่ยาวและแต่งตัวดี แม้ว่าเธอจะแต่งตัวอย่างมีเสน่ห์ แต่ดวงตาของเธอก็ไม่ได้ดูเย้ายวน ถ้ามีอะไรที่น่าดึงดูดใจเกี่ยวกับเธอ มันจะเป็นหน้าอกใหญ่ของเธอ


 


เย่โม่มั่นใจว่าเธอไม่ได้ฝึกตนหรือมีทักษะการฝึกตน เธอเป็นคนปกติ ลักษณะผิวของเธอนี้อาจเป็นเพราะการดื่มไวน์ดอกหญ้าสีครามเป็นเวลานาน


 


เย่โม่พยักหน้า “ใช่ ผมรู้เรื่องดอกหญ้าสีคราม ผมรู้ว่ามันเป็นสมุนไพร ผมรู้จักชื่ออื่นอีกที่เรียกว่า -“


 


“ฉันขอนามสกุลของคุณได้ไหมคะ?” ยังมีความตื่นเต้นในดวงตาของเธอ เธอหยุดยั้งเย่โม่โดยไม่พูดชื่ออื่นโดยเจตนา


 


เย่โม่หยุดพูด เขาสามารถบอกได้ว่ามันเป็นความตั้งใจ แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจความตั้งใจของเธอ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไม่พูดออกมาดังๆ


 


“ฉันลวี่อิงอิง ฉันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ คุณอยากจะมาไหมคะ?” ผู้หญิงคนนั้นถาม


 


เย่โม่งงงวย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้หญิงคนนี้ เธอไม่รู้จักชื่อของเขา ดังนั้นทำไมเธอถึงเชิญเขาไปที่บ้านของเธอละ? เย่โม่บอกได้ว่าเธอไม่ใช่พวกกับใครก็ได้แน่ แต่ทำไมเธอฟังดูเหมือนเป็นอีตัวเลย?


 


เมื่อเห็นความสับสนของเย่โม่ ลวี่อิงอิงก็พูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ฉันแค่อยากจะพูดคุยเกี่ยวกับไวน์ดอกหญ้าสีครามกับคุณนะคะ”


 


บาร์นี่ไม่ว่างและผู้คนรอบตัวเธอได้ยินคำเชิญของเธอ ทุกคนที่รู้จักเธอรู้สึกประหลาดใจ เธอทำธุรกิจที่บาร์มาพักหนึ่ง แต่เธอโฆษณาแค่ไวน์ เธอไม่เคยขายร่างของเธอ ถึงกระนั้นเธอก็ได้เชิญชายหนุ่มรูปงามผิวขาวคนหนึ่งมาที่บ้านของเธอ


 


ชายหนุ่มดูไม่ร่ำรวยมาก แต่เขาดูสะอาด มีชายร่างสูงผู้มั่งคั่งและรูปหล่อหลายคน ทำไมเธอถึงไม่มาหาพวกเขา?


 


เย่โม่ยิ้ม เขาต้องการถามเธอเกี่ยวกับสิ่งนี้ด้วย หญ้าชนิดนี้เป็นสมุนไพรจิตวิญญาณระดับต่ำ แต่ไม่มีใครสามารถปลูกได้ แต่บาร์นี้ใช้มันในไวน์มันเป็นเหมือนหนูที่กำลังกินข้าวสาลีทำลายอาหาร เขาต้องการที่จะรู้ว่ามันมาจากไหน เมื่อเขากำลังจะเห็นด้วย เครื่องหมายจิตวิญญาณของเขาก็ถูกสัมผัส


 


เย่โม่แสยะยิ้ม นี่มันเร็วพอตัวเลย ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเอง


 


“ตกลงครับ แต่ผมต้องไปที่ไหนสักแห่งก่อน รอผมอยู่ที่นี่นะ หลังจากที่ผมจัดการธุระเสร็จแล้ว ผมจะกลับมาหาคุณทันที” จากนั้น เย่โม่ก็เดินออกจากบาร์โดยไม่หันกลับมามอง


 


ก่อนที่ลวี่อิงอิงจะตอบโต้ เย่โม่ก็หายตัวไปแล้ง


 


เธอวิ่งไปที่ประตูของบาร์เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไมเห็นเย่โม่เลย เธอดึงผมด้วยความหงุดหงิด เธอรออยู่ที่นั่น 3 ปีและในที่สุดก็พบคนที่รู้จักดอกหญ้าสีคราม แต่เขาก็ออกไปโดยไม่พูดอะไรมากนักเลย



บทที่ 440 : ฐานการวิจัยใต้ดิน


 


‘ไม่ ฉันต้องรอให้เขากลับมา’ เะอคิดอย่างนี้ และลวี่อิงอิงก็นั่งลง


 


เมื่อเย่โม่ไปถึงคฤหาสน์ตระกูลเยวียน ก็มีคน 5 คนอยู่ในห้องของเยวียนจรือร่ง


 


ด้านซ้ายมีชาย 3 คน คนหนึ่งอายุ 50 ปี มีรอยแผลเป็นบนหน้าผาก จมูกของเขาแบน แต่เขาดูมีบางอย่าง เย่โม่เชื่อว่านี้คือเยวียนจรือร่ง


 


มีคนอยู่ข้างๆเยวียนจรือร่ง อายุ 40 ปีแล้ว แต่ก็ยังดูดุร้ายมาก ด้านขวามีชาย 2 คน คนหนึ่งเป็นคนที่มองดูอย่างชอบธรรมซึ่งอยู่ในงานเลี้ยง จากนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งถัดจากชายคนนี้ ที่เย่โมคิดว่าน่าจะเป็นเยวียนชีปิง


 


เมื่อนึกถึงว่าไอ้นี้มันส่งผู้คนไปโจมตีหนิงชิงเซวียบนเครื่องบินได้ยังไง จิตสังหารก็ปรากฏในแววตาของเย่โม่ ถ้าไม่ใช่เพราะจักรวรรดิอาทิตย์ทมิฬนั้น หนิงชิงเซวียอาจถูกลักพาตัวไปจริงๆ


 


“พ่อ แผนของพ่อในครั้งนี้ราบรื่นมากเลยนะฮะ แม้ว่ายวีจากเมืองอสรพิษรู้ว่าเราทำมัน เธอก็จะไม่สามารถทำอะไรกับเราได้ ข่าวของวันนี้น่าพอใจเกินไป บริษัทลั่วเยวียจบลงแล้ว สงสารจริงๆ ถ้าเพียงแต่หนิงชิงเซวียไม่ตาย สิ่งต่างๆ ก็จะสมบูรณ์แบบ” เยวียนชีปิงกล่าว


 


ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนก็พูดว่า “ประธานน้อย หนิงชิงเซวียอาจไม่ตายครับ ผมได้รับข่าวว่าเช้าวันนี้มีผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักคนหนึ่งปรากฏตัวในเมืองอสรพิษ ตามคำอธิบายแล้ว บุคคลนี้อาจเป็นหนิงชิงเซวีย“


 


“อะไรนะ?!” เยวียนชีปิงยืนขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขามีเพียงภาพของหนิงชิงเซวียอยู่ในใจของเขาเท่านั้น อย่างอื่นไม่มีความสำคัญ


 


อีกสักครู่ต่อมา เยวียนชีปิงก็ถามอย่างหมดหวังว่า “ลุงปิง คุณมีรูปของเธอไหม? เอาออกมาให้ผมเร็ว!”


 


ชายคนนั้นตอบว่า “ไม่มีครับ มีคนเพิ่งเห็นเธอจากระยะไกลและไม่มีเวลาถ่ายรูป ก่อนที่เธอจะเข้าไปข้างใน เธอไม่เคยออกมาข้างนอก แต่เห็นได้ชัดว่าสามีของผู้หญิงคนนั้นปรากฏในเมืองอสรพิษ และดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงของบริษัทลั่วเยวีย”


 


เยวียนชีปิงค่อนข้างงุนงงก่อนที่จะกัดฟัน “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เฟยยวีถูกเลือก ฉันต้องปล่อยให้ชายคนนั้นดูฉันทรมานผู้หญิงของมันซะแล้วสิ!”


 


เยวียนชีปิงหยุดคิดอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาเห็นพ่อของเขานั่งอยู่ข้างหน้าเขาและรู้สึกว่ากำลังแสดงท่าทางที่เกินไป


 


เยวียนจรือร่งสแกนเยวียนชีปิง และพูดว่า “ทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อน ผู้หญิงเป็นเพียงสิ่งพิเศษเมื่อเทียบกับอาชีพการงานของแก ถ้าแกไม่สามารถควบคุมสิ่งนี้ได้ ฉันจะรู้สึกมั่นใจว่าจะส่งมอบบริษัทเยวียนเป่ยให้แกได้ไง? ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นหนิงชิงเซวียจริง เราจะต้องไม่แตะต้องเธอ ทั้งเครื่องบินหายไป แต่เธอก็เป็นคนเดียวที่ไม่เป็นไร ต้องมีคนมากมายที่กำลังตามหาเธอ ไม่ต้องไปจำ บริษัทลั่วเยวียยังห่างไกลจากการตายของมัน”


 


“ครับพ่อ ผมรู้แล้ว” เยวียนชีปิงกลับมาสงบสติอารมณ์และยอมรับผิด


 


เยวียนจรือร่งเพิกเฉยต่อปฏิกิริยาของเยวียนชีปิง และพูดกับชายวัยกลางคนว่า “เหว่ยพิง ฉันรู้ว่านายเพิ่งกลับมา แต่โปรดรายงานปฏิกิริยาของเมืองอสรพิษที ถึงไงก็ตาม เมื่อทำเสร็จแล้ว นายทำสะอาดหรือเปล่า?”


 


“ครับท่านประธาน” ชายคนนั้นตอบและพูดทันที “คราวนี้ผมตั้งเป้าลูกค้า 10 รายที่ซื้อยาความงามและยาสุขภาพ โดยมีลูกค้า 6 คนซื้อยาความงาม หลังจากพวกเขาทานยาเม็ดเดียว ผมได้ใส่เซรั่มละลายเลือดลงในยาเม็ดอื่นๆ ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลยครับ”


 


เยวียนจรือร่งพยักหน้า “แม้ว่าจะน้อยกว่าที่เราต้องการเพียงเล็กน้อย แต่เป้าหมายของเราก็ไปถึงแล้ว”


 


อย่างไรก็ตาม ชายวัยกลางคนกล่าวว่า “ใช่ครับ แม้ว่าผมจะกำหนดเป้าหมายไป 10 คน 6 คนได้เสียชีวิตหลังจากกินมัน มีเพียง 4 คนเท่านั้นที่มีชีวิตอยู่ แต่ใบหน้าของพวกเขาถูกทำลายไปบางส่วน”


 


“ไปที่สารประกอบและเฝ้าดูการสร้างเซรั่มละลายเลือด เราจำเป็นต้องทำให้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ไวรัส WQ033 จะต้องมีการผลิตอย่างเร่งด่วน เราสามารถปล่อยมันได้เมื่อบริษัทลั่วเยวียยุบตัวลง”


 


“ครับท่านประธาน”


 


ชายที่ดูชอบธรรมพูดแทรกทันที “พี่ใหญ่ ลี่ชุนเฉิงดูเหมือนว่าจะมีเบื้องหลังที่ดีนะ และเขาก็ไม่ใช่คนง่ายๆ 2-3 ครั้งสุดท้ายนั้นวุฒิสภาไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้เลย ฉันกลัวว่าเมื่อเขาตำแหน่งคงที่ คงจะไม่มีใครเทียบได้กับเขาได้ ตอนนี้เขารับผิดชอบแผนกสุขภาพ ฉันคิดว่าเราสามารถเริ่มต้นด้วยไวรัสและทำให้เขารู้สึกแย่ได้นะ แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้ แต่ตราบใดที่เมื่อเราเตะเขาออกจากเหอเฟิง เราก็จะชนะ”


 


เย่โม่พยักหน้า ดังนั้นผู้ชายคนนี้คือน้องชายของเยวียนจรือร่ง? ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะมาที่การประชุมครั้งนี้


 


เยวียนจรือร่งกล่าวว่า “มันสามารถทำได้แน่นอน เมื่อไวรัสตัวนี้แพร่กระจาย มันจะทำให้เกิดความสยดสยองแน่ ฉันเชื่อว่าไม่มีใครสามารถทนต่อความรับผิดชอบของมันได้ ในเมื่อลี่ชุนเฉิงจัดการแผนกนี้ แม้ว่าฉันเชื่อว่าเราสามารถเลือกเมืองซีตงเป็นจุดเริ่มต้นได้ เมื่อลี่ชุนเฉิงไม่สามารถรักษาศีรษะของเขาเหนือน้ำได้อีก นายสามารถโจมตีเขาจากวุฒิสภาได้เลยและเราจะหาเวลาที่เหมาะสมในการรักษาและช่วยเหลือนายสร้างพลัง”


 


ดวงตาของเย่โม่เย็นชา เขาไม่ได้คาดหวังว่าเยวียนจรือร่งคนนี้จะไร้ความปราณีและบ้าคลั่งจริงๆ และใช้ไวรัสเพื่อโจมตีศัตรูทางการเมืองของเขา เย่โม่ต้องการฆ่าพวกเขา!


 


แต่แม้ว่าเขาจะทำเช่นนั้น มันก็จะไม่เกิดประโยชน์กับบริษัทลั่วเยวีย และผู้คนที่อยู่ข้างนอกจะสงสัยพวกเขา ในเมื่อเขาจะโจมตี เขาจะทำลายตระกูลเยวียนอย่างสมบูรณ์


 


“เนื่องจากเรากำลังจะโจมตี เราต้องฆ่าพวกเขาในการโจมตีครั้งเดียว เหว่ยพิงเฝ้าดูบริษัทลั่วเยวียอย่างใกล้ชิด ฉันเชื่อว่าพรุ่งนี้เช้าพวกเขาจะมีใครซักคนคุย ก่อนที่เราจะปลอดภัยและชัดเจน อย่าเคลื่อนไหวอะไร เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทลั่วเยวียดูเหมือนจะเข้มงวดมากขึ้น นายต้องเตือนคนของเราให้ระวัง” เยวียนจรือร่งกล่าว


 


“ทราบครับท่านประธาน” เหว่ยพิงพยักหน้าอย่างจริงจัง


 


“พี่ใหญ่ เมื่อฉันกลับไป ฉันจะให้รัฐบาลประกาศห้ามให้ซื้อผลิตภัณฑ์ใดๆ ของบริษัทลั่วเยวียนะ จากนั้นฉันจะขอให้นายกเทศมนตรีหนิวจัดงานแถลงข่าว”


 


“โอเค นี่จะเป็นการสิ้นสุดของการประชุมวันนี้ เราจะพูดถึงการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของเราหลังจากที่เห็นว่าบริษัทลั่วเยวียมีปฏิกิริยายังไง ชรังฮุย นายคือรองประธานาธิบดีของเหอเฟิง ไม่มีใครรู้ว่านายมาจากตระกูลเยวียนจนถึงตอนนี้ ดังนั้นอย่ามาที่นี่ เว้นแต่จะมีสถานการณ์พิเศษ” เยวียนจรือร่งพยักหน้าและเตือน


 


เมื่อเห็นพวกเขาจากไป เย่โม่จึงแสยะยิ้มและเก็บกล้องของเขา นอกจากเหว่ยพิ ที่อยู่ใกล้ขั้นสีเหลืองแล้ว พวกเขาทั้งหมดเป็นคนธรรมดา


 


เย่โม่ตัดสินใจที่จะไปที่โรงงานของพวกเขาเพื่อตรวจสอบก่อน แต่ก่อนที่เขาจะทำ เขาหยิบเข็มออกมาแล้วยิงเข้าไปที่หน้าผากของเยวียนชีปิง


 


เยวียนชีปิงสะดุดและถูกพยุงโดยเหว่ยพิงที่ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับคุณนะ?”


 


เยวียนชีปิงส่ายหัว “ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยนะ ตอนนี้ก็โอเคแล้วละ”


 


เยวียนจรือร่งกล่าวว่า “แกอายุยังน้อยและรู้สึกเวียนหัวซะแล้วนะปิงเออร์ ฉันขอแสดงความนับถือเลย แต่ฉันต้องการให้แกเริ่มให้ความสนใจกับบริษัท ไม่ใช่ผู้หญิง”


 


เย่โม่ไม่ต้องการฟังอีกต่อไป เขาค้นหาด้วยจิตวิญญาณของเขาและในไม่ช้าก็พบโรงงานผลิตนอกคฤหาสน์


 


ทางเข้าอยู่ในบ่อน้ำ เย่โม่ใช้กล้องถ่ายรูปในขณะที่เขากระโดดลงมา แม้ว่าจะมีสัญญาณเตือนภัยหลายอย่าง แต่พวกมันก็อาจเป็นเพียงการแสดงต่อหน้าเย่โม่เท่านั้น


 


ฐานใต้ดินนั้นใหญ่มาก เย่โม่สงสัยว่าตระกูลเยวียนทำเองหรือไม่ มันกว้างขวางมาก มีชาย 10 คนในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินตรวจขวดเซรั่ม เมื่อมองที่ผิวสีขาวซีดของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยเห็นแสงแดดมาเป็นเวลานาน


 


เย่โม่หยิบกล้องออกมาถ่ายรูปทันที ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่เยวียนจรือร่งจะมากับชายวัยกลางคนคนนั้น


 


ทันทีที่เขามา นักวิจัยก็เริ่มอธิบายความคืบหน้าของเขา


 


เขาต้องยอมรับว่าสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้เป็นความลับมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะถ่ายรูปสิ่งนี้ น่าเสียดายที่เยวียนจรือร่งพบกับผู้ฝึกตนเข้าให้



บทที่ 441 : วิ่งต่อไป


 


แม้ว่าเย่โม่จะออกมาจากห้องใต้ดินแล้ว เขาก็ต้องยกย่องเยวียนจรือร่งเพราะความโหดร้ายของเขา ไม่เพียงแต่เขาจะสร้างฐานใต้ดินเท่านั้น เขายังได้วางระเบิด 7 หรือ 8 ตัวไว้ด้วย


 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เย่โม่ต้องจัดการกับระเบิด เย่โม่กำลังจะขุดพวกมันทั้งหมดออกไปและฝังไว้รอบๆ คฤหาสน์ของพวกเขา คฤหาสน์อาจมีราคาประมาณหลายร้อยล้านสำหรับการสร้างมัน เขาสงสัยว่าเยวียนจรือร่งจะรู้สึกยังไงเมื่อเขากดปุ่มและคฤหาสน์ของเขาก็ปลิวหายไป…


 


แม้ว่าเย่โม่ต้องการที่จะวางไว้ที่อาคารสำนักงานของพวกเขา แต่เขาคิดว่ามันจะทำให้คนบริสุทธิ์จำนวนมากเสียชีวิต ดังนั้นเขาจึงหยุดความคิดนั้น


 


เย่โม่ส่ายหัว เขาไม่โหดร้ายพอ คนโหดเหี้ยมจะฝังเยวียนจรือร่งในอาคารของเขาโดยไม่สงสัย


 


3 ชั่วโมงต่อมาเย่โม่ก็ออกจากคฤหาสน์เยวียน


 



 


ลั่วเซริงเป็นบาร์เทนเดอร์ เขารู้จักกับพี่อิง เขามักจะทำงานตั้งแต่ 22.00 น. ถึง 2.00 น. ถึงแม้พี่อิงจะเป็นโปรโมเตอร์หรือผู้ก่อการ แต่เธอก็ไม่เคยอยู่ที่บาร์เลย


 


แต่วันนี้มันก็เช้าแล้วและเธอก็ยังอยู่ที่นั่น เธอไม่ได้พยายามโปรโมตไวน์ เธอแค่นั่งหงุดหงิดอยู่ที่โต๊ะราวกับว่าเธอกำลังรอใครบางคนอยู่


 


“โย่ นั้นพี่อิงไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอถึงยังทำงานไม่เสร็จอีกละเนี้ย?” เสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นชายหนุ่มวัย 20 เดินไปที่ลวี่อิงอิง และนั่งลงข้างๆเธอ มีชายหนุ่มอีก 2 คนอยู่กับเขา แต่เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มนั่งถัดจากลวี่อิงอิง พวกเขาก็นั่งบนโต๊ะที่แตกต่างกัน


 


ลวี่อิงอิงขมวดคิ้ว เธอรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้กวนใจเธอมากกว่า 1 ครั้ง เธอไม่เคยให้โอกาสเขาเลยเพราะเธอทำงานเสร็จตอน 22.00 น. ทุกวัน


 


“คราวนี้เรามีไวน์ดอกหญ้าสีคราม เอามาให้ฉัน 2 แก้ว” ชายหนุ่มกล่าว


 


ลวี่อิงอิงพูดอย่างเยือกเย็น “กู๋ชร่ง ฉันไม่ต้องการดื่มกับคุณ”


 


ชายหนุ่มยิ้ม “พี่อิง ฉันช่วยให้เธอทำธุรกิจนะ นี่เป็นวิธีที่เธอปฏิบัติต่อคนที่ช่วยธุรกิจของเธองั้นหรอ?”


 


ลวี่อิงอิงยืนขึ้นราวกับว่าเธอไม่ได้ยินเขาและพยายามนั่งที่อื่น เธอรู้ว่ากู๋ชร่งเป็นเจ้าเหนือหัวที่นี้ แต่เธอก็รู้ว่าต้องทำอะไรและไม่ค่อยยุ่งกับเขา เขามักจะมาที่บาร์หลังเวลา 11 และเธอก็ออกไปก่อนหน้านี้ ถ้าเป็นครั้งอื่น เธอจะดื่ม แต่คราวนี้เธอหงุดหงิดและอยากเห็นเย่โม่อย่างหมดหวัง เธอไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเสียเวลากับกู๋ชร่ง


 


“หืม พี่กู๋ปฏิบัติต่อเธอแบบนี้เพื่อดื่มด้วยและโฆษณาให้ แต่เธอปฏิบัติต่อเขาด้วยทัศนคติแบบนี้ เธอเป็นแบบนี้เรอะพี่อิง?” ชายหนุ่ม 2 คนเดินทางไปหาลวี่อิงอิง


 


การแสดงออกของกู๋ชร่งจมลง โดยปกติเมื่อเขาเห็นผู้หญิงคนนั้นและยุ่งกับเธอ เธอไม่เคยกล้าพูดออกมา วันนี้เธอกินยาผิดมาหรอ?


 


ลวี่อิงอิงถูกระบุว่าเป็น 1 ในผู้หญิงของเขา แม้ว่าเธอจะไม่ใช่สาวงามที่หายาก แต่เธอก็ไม่ได้น่าเกลียด สิ่งที่น่าสนใจหลักของเธอคือหน้าอกของเธอ มันน่าหลงใหลเกินไป


 


อย่างไรก็ตาม กู๋ชร่งมาที่บาร์ก่อน 10.00 น เขาจึงลืมเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นเกือบตลอดเวลา เขาไม่ได้ขาดผู้หญิง สำหรับเขาถ้าเขามีผู้หญิงที่ร่ำรวย เขาก็จะพาเธอไป แต่บางครั้งมันก็เป็นความสนุกชนิดหนึ่งที่เล่นกับนักต่อรอง


 


หน้าของลวี่อิงอิงดูไม่ดีนัก เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอทำไปมันไม่ดี แต่เธอก็ตื่นเต้นเกินไป


 


“ขอโทษด้วยคะนายน้อยกู๋ ฉันอารมณ์ไม่ดีนะ ฉันจะขอโทษด้วยช็อตนี้แล้วกันคะ” จากนั้นเธอก็ดื่มไวน์


 


กู๋ชร่งหัวเราะ “มันก็ควรเป็นแบบนั้นแหละ แต่…” จากนั้น กู๋ชร่งก็ส่งสัญญาณลูกน้องทั้งสองของเขา


 


ชายหนุ่มที่หยุดเธอ และยกนิ้วขึ้น “พี่อิงเข้าใจจริงๆ แต่วันนี้คุณทำให้พี่กู๋ของเราโกรธ พี่กู๋เป็นคนใจกว้าง แต่คุณไม่คิดว่าคุณต้องตอบแทนให้เขาบ้างหรอ?”


 


“คุณต้องการอะไรอีก?” ใบหน้าของลวี่อิงอิงไม่ได้เปลี่ยนไป เธอเคยเห็นสิ่งนี้ในบาร์บ่อยเกินไป ถ้าเขาจะกดดันเธอต่อไป เธอจะไม่หนีอีก ยิ่งคุณถอยลงมากเท่าไหร่คนเหล่านี้ก็ยิ่งอวดดี


 


“เราต้องการทำอะไร? พี่อิง พี่กู๋ชื่นชมคุณ ดังนั้นวันนี้คุณจะต้องอยู่กับเขา ต่อจากนี้ไปธุรกิจของคุณจะได้รับการจัดการโดยพี่กู๋” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าว


 


ใบหน้าของลวี่อิงอิงเปลี่ยนไปและพูดทันทีว่า “ฝันไปเถอะย่ะ”


 


กู๋ชร่งเยาะเย้ย “เธอขอเองนะ”


 


ทันทีที่กู๋ชร่งพูดสิ่งนี้ ชายหนุ่มก็ยื่นมือไปตบลวี่อิงอิง ลวี่อิงอิงดื่มไวน์ดอกหญ้าสีครามเป็นเวลานานและถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ฝึกตน แต่เธอก็คล่องแคล่ว ก่อนที่ชายหนุ่มจะตีเธอ เธอก็ปิดกั้นมันโดยไม่รู้ตัว


 


อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มนั้นยอดเยี่ยมและเธอยังคงสะดุดและล้มลงในที่นั่ง


 


ลั่วเซริงเป็นห่วง แต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถรุกรานกู๋ชร่งได้ แต่ก่อนที่เขาจะเรียกตำรวจ เขาก็ถูกหยุด


 


“บอส” ลั่วเซริงไม่ได้คาดหวังให้หัวหน้าของเขาจะมาหยุดเขา


 


“ลั่วเซริง ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ แต่กู๋ชร่งไม่ใช่คนที่เราสามารถทำให้เขาไม่พอใจได้ ถ้านายโทรหาตำรวจ เขาก็จะยังสบายดีอยู่ดีนั้นแหละ แต่นายจะมีปัญหาและฉันจะมีส่วนร่วมไปด้วย เฮ้อออ ลวี่อิงอิงโชคไม่ดีในวันนี้เลย นอกจากนี้ในอาชีพนี้ นายจะเจอทางเดียวหรืออาจเป็นอย่างอื่น” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ


 


หลายคนเห็นเหตุการณ์นั้น แต่ไม่มีใครมาช่วย


 


มีความสิ้นหวังในสายตาของลวี่อิงอิง เธอมองไปที่กู๋ชร่ง และพูดว่า “นายน้อยกู๋ ฉันตกลงกับสิ่งที่คุณต้องการ แต่ฉันขอคืนเดียว คืนนี้ฉันเจอเพื่อน ฉันจะอยู่กับคุณวันพรุ่งนี้”


 


กู๋ชร่งหัวเราะ “แม้ว่าเธอจะไม่ใช่สาวเวอร์จิ้น แต่เธอต้องไปนอนกับคนอื่นหลังจากฉัน”


 


“แกชื่อกู๋ชร่งสินะ” น้ำเสียงนิ่งเรียบดังขึ้น


 


ในดวงตาของลวี่อิงอิงนั้นตื่นเต้น เธอไม่คิดว่าเธอได้รับการช่วยเหลือ แต่ในที่สุดคนที่เธอรอก็มาถึง


 


“ในที่สุดคุณก็มา” ลวี่อิงอิงดูเหมือนจะมีสิ่งที่จะพูดมากมาย คราวนี้เธอจะไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มคนนั้นไปไหนแน่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในช่วงเวลานั้นเธอลืมไปจริงๆ แล้วว่าเธอถูกกดขี่โดยกู๋ชร่งอยู่


 


กู๋ชร่งมองเย่โม่อย่างศึกษา และพูดอย่างเหยียดหยามว่า “นี่คือเพื่อนที่เธอรออยู่หรอ?”


 


ลวี่อิงอิง พิ่งรู้ว่าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไป เธอไม่รู้ว่าเย่โม่เป็นคนที่เธอกำลังมองหาอยู่หรือไม่ แต่ถ้าเขาไม่ใช่ เธอก็ทำให้เขาเดือดร้อน


 


แม้ว่าเย่โม่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็สามารถบอกได้ด้วยตา


 


เย่โม่ไม่ตอบกลับกู๋ชร่ง และพูดกับลวี่อิงอิงว่า “คุณไม่ต้องการอะไรหรอกหรอ? งั้นไปกันเถอะ”


 


ลวี่อิงอิงมองไปที่กู๋ชร่ง และคนอื่นๆ แล้วกัดริมฝีปากของเธอ เธอเดินไปด้านข้างชายสองคนนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไปก็คือว่าพวกเขาไม่ได้หยุดเธอ


 


“ไปกันเร็ว” ลวี่อิงอิงดึงเย่โม่ และต้องการออกไปให้เร็วที่สุด


 


เย่โม่ยิ้ม “โอเค ไปกันเถอะ”


 


ทันทีที่เย่โม่และลวี่อิงอิงเดินผ่านชายสองคน กู๋ชร่งและชายสองคนของเขาก็ตอบโต้ในที่สุด พวกเขารู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อ


 


“ไล่ตามเธอไป” แม้ว่ากู๋ชร่งจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขาก็ไม่ยอมให้อาหารหนีออกจากปากของเขาแน่


 


“พวกเขากำลังไล่ตามพวกเรามาแล้ว ไปกันเถอะ” ลวี่อิงอิงดึงเย่โม่ออกไปเพราะเธอพร้อมที่จะวิ่ง


 


เย่โม่พยักหน้า แต่การแสดงออกของลวี่อิงอิงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เธอพบว่าเย่โม่ไม่ได้วิ่งเร็วมากนักและพวกเขาวิ่งเพียง 1 กิโลเมตร ก่อนที่พวกเขาจะหยุดอยู่ใต้ต้นไม้อีกครั้ง


 


ในที่สุดลวี่อิงอิงก็พบคนที่รู้จักดอกหญ้าสีครามและเธอก็ไม่ต้องการให้เย่โม่หายไป


 


“ทำไมแกไม่วิ่งต่อละห่ะ?” กู๋ชร่งพูดอย่างดูถูก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม