Strongest Abandoned Son บุรุษผู้ถูกทอดทิ้ง 403-422

 403 จัดการ


 


“โม่คัง!” เซี่ยโร่วคว้าตัวเขาอย่างตื่นเต้น เหตุผลที่เธอชอบโม่คังมันเริ่มที่เขาให้อภัยและมีน้ำใจต่อเธอ ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะพูดถูก โม่คังยังเป็นเช่นนั้น


 


กว่า 20 ปีแล้วที่เขายังไม่ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ถือใบรับรองการแต่งงานไว้กับตัวตลอดเวลา และนี่คือตอนที่เขาเข้าใจเธอผิด! อาจมีความยากลำบากมากเกินไประหว่างทั้งสอง แต่เธอก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้ว


 


“ขอบคุณนะคะเชียนเปยเย่ที่ช่วยชีวิตฉันไว้” เซี่ยโร่วปล่อยโม่คังและขอบคุณเย่โม่ เธอไม่สามารถเรียกเขาว่า ‘น้องชาย เหมือนโม่คังได้ เธอมาจากนิกายลี้ลับ ซึ่งพวกเขาใส่ใจเกี่ยวกับการเรียก แต่เย่โม่ไม่สนใจ เขาโบกมือแล้วพูดว่า “พี่เซี่ย ผมเป็นพี่น้องกับพี่โม่ อย่าเรียกผมว่าเชียนเปยเลย”


 


“คะและเชียนเปย จือเหว่ยเป็นน้องสาวของฉัน อารมณ์เธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่โปรดยกโทษให้เธอเรื่องโม่คังด้วยนะคะ” แม้ว่าเธอจะตกลง แต่เซี่ยโร่วก็ยังไม่กล้าเรียกเย่โม่ว่าน้องชาย สรุปแล้ว บุคคลนี้ก็คือปรมาจารย์ขั้นนภาสวรรค์


 


เย่โม่หยิบยารักษาตามปกติออกมา 2-3 ตัวแล้วส่งไปให้โม่คังบอกให้เขาใช้กับเซี่ยจือเหว่ย เขาจะไม่ให้อะไรที่แข็งแกร่งพอๆ กับเม็ดบัวชีวิตให้เซี่ยวจือเหว่ยแน่


 


เมื่อเห็นเซี่ยโร่วและโม่คังแบกเซี่ยจือเหว่ยไปด้านข้าง เย่โม่จึงมองไปที่ขั้นสีดำ 2 คนของนิกายจอมยุทธ์ฮง “ฉันมี 2 งาน ถ้าพวกทำไม่ได้ ฉันก็ไม่คิดที่จะให้พวกแกมีชีวิตอยู่”


 


“เชียนเปย เราจะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ” พวกเขากล่าวด้วยความเคารพ สิ่งที่พวกเขากลัวคือ เย่โม่จะไม่ให้โอกาสพวกเขา ตราบใดที่พวกเขามีโอกาสมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็เต็มใจที่จะกินกระทั่งอึ


 


“มากับฉันก่อน” มีบางสิ่งที่เย่โม่ไม่ต้องการให้คนจำนวนมากรู้ ซึ่งโม่คังก็ไม่ถามเกี่ยวกับมันเช่นกัน


 


เย่โม่นำทั้งสองเข้ามาในห้องแล้วพูดว่า “แนะนำตัวเองก่อนสิ แสดงให้ฉันเห็นว่าแกมีค่า ฉันไม่เก็บคนไร้ค่าไว้หรอกนะ”


 


ชายหนุ่มผงกหัวอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ฉันกงอี้เจริง ฉันเข้าร่วมนิกายจอมยุทธ์ฮงเมื่อ 11 ปีที่แล้ว และรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันยินดีที่จะเป็นสายลับให้เชียนเปย”


 


เย่โม่แสยะยิ้ม “คแกคิดว่าฉันต้องการสายลับในการทำลายนิกายจอมยุทธ์ฮงหรอ? แกนี่ไม่ค่อยมีค่าเลยนะ”


 


ชายคนนั้นได้ยินเรื่องนี้และเริ่มเหงื่อออกทันที


 


ชายอีกคนที่ได้ยินก็พูดว่า “ฉัน ทังโย๋ว ฉันอยู่ที่นิกายจอมยุทธ์ฮงมา 19 ปี และไม่เพียงแต่ฉันจะรู้จักนิกายดีมาก แต่ฉันยังรู้เกี่ยวกับนิกายอื่นๆ มากมายและสมาชิกพวกเขา คราวนี้ผู้คนต่างกล้าวางแผนกับบริษัทลั่วเยวียของเชียนเปย ดังนั้นฉันจึงต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ และรายงานอย่างละเอียดต่อเชียนเปย”


 


“วั่นเปย เองก็ยินดีตรวจสอบด้วยเช่นกันครับ” กงอี้เจริงกล่าวอย่างรวดเร็ว


 


เย่โม่เย้ยหยัน “ฉันไม่ต้องการให้แกตรวจสอบ ฉันจะยังปล่อยอกไป แต่ฉันมีวิธีที่จะควบคุมวิญญาณของแก และจะต้องให้แกสองคนร่วมมือกับมัน เมื่อฉันใช้มัน อย่าต่อต้าน หรือแกจะตาย หลังจากที่ฉันได้รับส่วนหนึ่งของวิญญาณของแก แกจะไม่สามารถทรยศฉันได้ตลอดชีวิต ถ้าแกทำ ฉันเพียงแค่ต้องทำลายไพ่วิญญาณของแกเท่านั้น และไม่ว่าแกจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน แกก็ตาย”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเย่โม่ พวกเขาทั้งสองตกใจ พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าเย่โม่จะปล่อยพวกเขาไปอย่างง่ายดาย แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น


 


วิญญาณของคนเราสามารถควบคุมได้จริงหรอ? หรือแม้กระทั่งนำบางส่วนไป? พวกเขาฝึกฝนทักษะต่อสู้โบราณมาเป็นเวลานาน แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน นี่มันไร้สาระเกินไป


 


เย่โม่พูดอย่างเย้ยหยันว่า “ในเมื่อแกไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร ฉันไม่ต้องการสิ้นเปลืองพลังงานที่จะเอาวิญญาณของแก”


 


แน่นอนมันต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมากของเขาเพื่อเอาวิญญาณออก และอัตราความสำเร็จค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้คุณต้องการเหยื่อที่จะร่วมมืออย่างเต็มที่กับคุณ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอัตราความสำเร็จเพียง 50-50 หากล้มเหลวเหยื่อจะตาย แน่นอนว่าเย่โม่ไม่ได้สนใจชีวิตของพวกเขา


 


“เชียนเปย ฉันยินดี” กงอี้เจริงเป็นคนแรกที่ตอบโต้และเอ่ยออกมา


 


ทังโย๋วเห็นสิ่งนี้และตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เชียนเปย ฉันยินดีเช่นกัน”


 


“ถ้างั้นก็ผ่อนคลายซะ และไม่ต้องคิดอะไร” เย่โม่สั่ง ขณะที่เขาหยิบไพ่หยกใบเล็ก 2 ใบออกมา เขากำลังเตรียมที่จะผนึกวิญญาณของพวกเขาในไพ่หยกเหล่านี้ ถ้าเขายังคงอยู่ในขั้นรวมลมปราณระดับต้นอัตราความสำเร็จจะลดลง


 


เมื่อเย่โม่สกัดวิญญาณของพวกเขา ทั้งสองรู้สึกถึงความอ่อนแอ หลังจากเห็นวิญญาณของพวกเขาถูกพรากไปจากสายตา พวกเขาสังเกตเห็นเส้นสีดำไพ่หยก จากนั้น เย่โม่ก็ใส่ไพ่หยกไว้ที่ไม่ก็ไม่รู้


 


แต่เดิมพวกเขาคิดว่าเย่โม่แค่พยายามทำให้ตกใจ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าสงสัยเลย พวกเขาทั้งสองมีความรู้สึกลึกๆว่าหากเพียงแค่เย่โม่ทำลายไพ่หยก พวกเขาก็จะตายทันที


 


เย่โม่ไม่ได้คาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในครั้งแรก โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนใช้สิ่งนี้กับมนุษย์และมันยากมากที่จะประสบความสำเร็จกับผู้ฝึกตน เว้นแต่ว่าความแตกต่างในการฝึกของพวกเขานั้นสูงมาก


 


“เชียนเปย โปรดสั่งมาได้เลยครับ” ทั้งสองมีความกังวลและไม่กล้าคิดอะไรอีกเลย นี่มันมีความเป็นอยู่และจิตใจของมนุษย์เกินกว่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้


 


เย่โม่พยักหน้าและกล่าวว่า “บอกทุกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับนิกายลี้ลับและเขียนออกมา จากนั้นมุ่งหน้ากลับไปหาประมุข และบอกเขาว่าฉันสั่งให้แกส่งจดหมายในนามของฉันไปยังนิกายลี้ลับทั้งหมด ผู้ที่กล้าวางแผนกับบริษัทลั่วเยวียของฉันอาจเริ่มเตรียมพบการทำลายล้างได้เลย ถ้าพวกเขาสามารถทำสิ่งที่ฉันมีความสุขได้ฉันก็จะปล่อยมันไป แต่ถ้าฉันไม่พอใจกับสิ่งที่พวกเขาแสดงให้ฉันเห็น หรือถ้าพวกเขาแสร้งว่าไม่เคยได้รับคำเตือนนี่ ก็ไม่ควรตำหนิฉันที่ฉันจะไร้ความปรานี”


 


ทั้งสองได้ยินเรื่องนี้และรู้สึกโชคดีที่พวกเขาติดตามเย่โมก่อน ไม่งั้นพวกเขาคงจะเป็นก้อนเนื้อตาย พวกเขาสงสัยว่าคนที่วางแผนกับบริษัทลั่วเยวียในตอนแรกนั้นเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ เย่โม่ก็จัดการคิดบัญชีกับพวกเขาแล้ว พวกเขาจะต้องรู้สึกและเสียใจแน่


 


นอกจากนี้ไม่มีอะไรเลวร้ายเกี่ยวกับการรับใช้เชียนเปยเย่ ดูสิว่าเขาเป็นใคร! เพียงแค่คำเดียวและนิกายลี้ลับเหล่านั้นจะเป็นเหมือนหลานที่เชื่อฟังและให้ของขวัญเขาเพื่อทำการชดใช้!


 


จากนั้น เย่โม่ก็กล่าวว่า “ตราบใดที่แกสองคนจัดการสิ่งต่างๆ ให้ฉันได้ดี ฉันจะไม่งกเรื่องรางวัล มันเป็นไปไม่ได้ที่แกสองคนจะถึงขั้นปฐพี ฉันจะไปที่นิกายจอมยุทธ์ฮงบางครั้ง ดังนั้นจงบอกประมุขของแกว่าอย่าเล่นเกมใดๆ ความอดทนของฉันมีจำกัด”


 


เขาตีพวกเขาด้วยไม้เท้าก่อนแล้วจึงตบด้วยของหวานหลังจากนั้น แม้ว่าเย่โม่รู้จะว่าทั้งสองไม่กล้าที่จะทรยศเขา แต่หากเขาต้องการให้พวกเขาทำสิ่งที่ตนเองริเริ่ม เขาต้องการให้รางวัลแก่พวกเขา


 


“ครับเชียนเปย” ทั้งสองพูดขณะที่พวกเขาเริ่มคิด ในนิกายลี้ลับทั้งหมดมีคนที่อยู่ขั้นปฐพีไม่มากนัก หากพวกเขาไม่ได้พบกับเย่โม่ พวกเขาคงอยู่ในขั้นสีดำไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้นี่เป็นโอกาสของพวกเขา แม้ว่าจะไม่มีการควบคุมวิญญาณ แต่พวกเขาก็ยังคงพยายามทำให้เย่โม่


 


เมื่อเย่โม่นำทั้งสองออกมา โม่คังและเซี่ยโร่วก็กำลังรอพวกเขาอยู่


 


“แกสองคนไปก่อนไป” เย่โม่โบกมือให้กงอี้เจริงและทังโย๋วออกไป


 


โม่คังมองดูทั้งสองอย่างประหลาดใจและถามว่า “น้องเย่ นายปล่อยสองคนนั้นไปจริงๆ หรอ?”


 


เซี่ยโร่วดึงโม่คัง เธอรู้ว่านี่หมายถึงธุรกิจของอาจารย์เย่โม่ ดังนั้นเขาจึงไม่ควรเข้าไปแทรกแซง


 


เย่โม่ไม่ได้สนใจอะไรและพยักหน้า “ใช่ พวกเขาคว้าโอกาสนี้ได้ดี ดังนั้นฉันจึงบอกให้พวกเขาส่งข้อความไปที่นิกายจอมยุทธ์ฮง” จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ และพูดว่า “ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรที่นี่แล้ว งั้นฉันไปตรวจสอบเครื่องบินเจ็ทก่อนนะ”


 


โม่คังพูดว่า “โมปิงกำลังสืบสวนอยู่ แล้วฉันก็จะไปกับนายเพื่อดูอีกทีด้วย”


 


“เชียนเปย ฉันไม่ได้วางแผนที่จะกลับไป แต่ถ้ามีอะไรที่คุณต้องการเพียงแค่บอกฉันนะคะ เซี่ยโร่วยังสามารถช่วยได้” เซี่ยโร่วยังคิดว่าถึงแม้เธอจะไม่แข็งแกร่ง แต่เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ในนิกายลี้ลับ และดังนั้นเธอจึงรู้จักนิกายลี้ลับดีกว่าเย่โม่ เธอเคยได้ยินจือเหว่ยบอกว่า เย่โม่ไม่ได้มาจากนิกายลี้ลับ


 


เย่โม่โบกมือแล้วพูดว่า “พวกคุณอยู่ด้วยกันดีกว่า ผมสามารถตรวจสอบเครื่องบินด้วยตัวเองได้ ถ้าโม่ปิงพบบางอย่าง แค่บอกให้เขาไปพบผมในบ่ายวันพรุ่งนี้ที่คฤหาสน์ส่วนตัว Bamboo Night นะผมอยู่ที่นั่น”


 


เซี่ยจือเหว่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เชียนเปยเย่ เมื่อ 3 ปีก่อนเมื่อพี่สาวของฉันบอกให้ฉันนำโม่คังมาที่นี่ ฉันเจออะไรบางอย่างและบางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณ”


404 เบาะแส


 


“มันคืออะไร?” เย่โม่มองที่เซี่ยจือเหว่ย เธอเป็นคนที่พิถีพิถันในความเห็นของเขา ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องการจะพูดก็จะสำคัญกับเขา


 


เซี่ยจือเหว่ยจัดระเบียบความคิดของเธอและเล่า “3 ปีที่แล้วฉันส่งโม่คังกลับมาและเพราะมันอยู่ไกล โม่คังเลยเรียกเฮลิคอปเตอร์มา เมื่อเราใกล้เกาะชาวประมงถัดจากฮ่องกง ฉันเห็นเครื่องบินพลเรือนสั่นคลอนเล็กน้อยขณะที่มันเกือบตกลงไปในมหาสมุทร แต่ไม่นานมันก็ดูเหมือนจะถูกควบคุมอีกครั้ง ดังนั้นฉันจึงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แต่ 2 วันต่อมาฉันเห็นข่าวฮ่องกงว่าเครื่องบินที่บินจากออสเตรเลียไปเกาหลีหายไป”


 


“ในตอนนั้นฉันเดาว่ามันอาจเป็นเครื่องบินลำที่ฉันเคยเห็น แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ตอนนี้พอฉันได้ยินโม่คังพูดว่าเครื่องบินจากฮ่องกงไปซานฟรานซิสโกก็หายไปด้วยทำให้ฉันสงสัย อาจเป็นเพราะคนๆเดียวกันรึเปล่า?”


 


เซี่ยจือเหว่ยยังอยากรู้อยากเห็นมาก ภรรยาของเย่โม่อยู่บนเครื่องบินที่หายไป เย่โม่ยังได้แต่งงานกับมนุษย์ผู้หญิงด้วย! เธอสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นยังไง… เธอสามารถทำให้ใครบางคนอย่างเย่โม่ผู้โด่งดังในหมู่นิกายลี้ลับทั้งหมดตกหลุมรักเธอดู


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยจือเหว่ย เย่โม่ก็ขมวดคิ้ว เหตุการณ์สองเหตุการณ์นี้อาจเชื่อมโยงกันได้


 


“เธอจำอะไรได้บ้างในตอนนั้น?” เย่โม่ถาม


 


เซี่ยตชจือเหว่ยส่ายหัว “ไม่เลย”


 


เย่โม่รู้จักบางคนจากนิกายลี้ลับ ถึงแม้ว่าสงครามโลกครั้งที่สามจะแตกออก พวกเขาจะไม่สนใจแล้วนับประสาอะไรเกี่ยวกับเครื่องบินบางส่วนจะหายไป เย่โม่พูดกับโม่คัง “พี่โม่ ผมจะไปตรวจสอบ ถ้าโม่ปิงมีข่าวให้ผมก็บอกนะ ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไร”


 


เมื่อมองเย่โม่ออกไป เซี่ยโร่วก็ถอนหายใจ หากโม่คังไม่รู้จักคนที่มีเวทย์มนตร์อย่างเย่โม่ พวกเขาคงจะได้หายใจได้ดีแน่ในวันนี้ เธอรู้ดีว่าจรังเฟิงจะทำอะไร


 


“เย่โม่แข็งแกร่งจริงๆเหรอเนี้ย?” เซี่ยโร่วพึมพำโดยไม่รู้ตัว


 


เซี่ยจือเหว่ยตอบว่า “เขาไม่เพียงแต่ ‘แข็งแกร่ง’ เท่านั้นนะ ฉันเพิ่งถูกเตะ 2 ครั้ง แต่ข่าวลือบอกว่าเขาสามารถฆ่าขั้นปฐพีได้เหมือนไก่ได้ ฉันยังได้ยินเกี่ยวกับนิกายธาราที่พยายามปล้นปะการังโลหิตของเขาด้วย เย่โม่ไม่เพียงแต่ฆ่าทุกคนที่เข้าร่วมเท่านั้น คนไปหาเรื่องแก้แค้นในตระกูลเย่ปักกิ่งก็ตายเช่นกัน ด้วยความกลัวว่าเย่โม่จะพยายามแก้แค้นพวกเขา พวกเขาได้ปิดนิกายไปด้วย”


 


โม่คังพยักหน้าและพูดต่อ “ในเวลานั้น น้องเย่มาที่นี่และรักษาฉันให้หายจากโรค ฉันรู้ว่าน้องเย่เป็นคนสำคัญและตอนนี้เขากลายเป็นมังกร แน่นอนว่าได้เพิ่งเห็นไอ้เลวจรังเฟิงนี้ทำตัวเหมือนคนขี้ขลาดต่อหน้าเขา มันทำให้ฉันรู้สึกดีชะมัด”


 


“อื้มม” นี้เป็นครั้งแรกที่เซี่ยจือเหว่ยเห็นด้วยกับคำพูดของโม่คัง เธอพูดว่า “เขาคือลั่วเยวียที่เหลือเชื่อมาก ฉันได้ยินถึงผลกระทบของยาความงาม สามารถบอกได้จากเม็ดที่เขาให้วันนี้เลยว่าเขาเป็นปรมาจารย์ยา ยังไงก็ตามยาความงามขาดตลาด ฉันอยากซื้อสักขวดสองขวด แต่ไม่สามารถทำได้”


 


โม่คังโบกมือ “แน่นอน น้องเย่น่าอัศจรรย์ ก่อนที่ลั่วเยวียจะเริ่มก่อตั้ง ฉันลงทุนไป 200 ล้าน ทั้งหมดที่ฉันอยากทำก็คือตอบแทนเขาที่ช่วยชีวิตฉัน ให้ห้วยอ่าวเล็กๆแก่เขา แต่เขาก็ให้มหาสมุทรกลับมา ตอนนี้เป็นหุ้นส่วนของลั่วเยวีย หากคนอื่นรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ยินดีที่จะลงทุนแม้แต่ 2 พันล้าน”


 


เป็นครั้งแรกที่เซี่ยจือเหว่ยไม่ได้มองโม่คังอย่างเหยียดหยาม เธอรู้สึกว่าโม่คังมีตาที่แหลมคมในการตัดสินผู้คน พอคิดว่าเขาเป็นหุ้นส่วนของลั่วเยวีย ในตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เซี่ยจือเหว่ยพูดกับเขาแบบดีๆ “ถ้างั้นคุณจะได้รับยาความงามได้บ้างไหม?”


 


โม่คังมองเซี่ยจือเหว่ยด้วยความไม่พอใจ “ฉันเป็น CEO ของ Mo Family Corporation หุ้นส่วนกับลั่วเยวีย ดังนั้นเธอคิดว่าฉันจะได้รับยาความงามไหมนะหรอ? ฉันจะได้กลายร้อยขวดเลยละ นับอะไรกับไม่กี่ขวดละ”


 


“จริงๆหรอ?” เซี่ยจือเหว่ยมีหน้าตาประหลาดใจและสนุกสนาน และร้องออกมาอย่างรวดเร็วว่า “พี่เขย คุณต้องช่วยฉันนะ! ฉันต้องการมัน!” เธอไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในชื่อเลย


 


พอได้ยินน้องสาวของเธอเรียกโม่คังว่า ‘พี่เขย’ เซี่ยโร่วก็มองโม่คังอย่างนุ่มนวล แม้ว่าพวกเขาจะประสบกับความลำบากมาหลายปี แต่เธอก็เลือกคนที่ใช่ เขาเป็นผู้ชายที่น่ารัก


 



 


เย่โม่มาที่ฮ่องกง 2-3 ครั้ง แต่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่จริงๆ ทุกครั้งที่เขามาที่นี่ เขามีจุดประสงค์ที่ชัดเจน


 


เย่โม่จำร้านก๋วยเตี๋ยวข้าวของลุงเป่ยได้ ซึ่งทำให้เขาต้องเสียชีวิตเพราะคนจากแก๊งค์ต้าทัง แม้ว่าเย่โม่จะทำลายมันไปแล้ว แต่ลุงเป่ยก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีก ดังนั้นครั้งนี้เย่โม่จึงต้องการตรวจสอบร้านค้าของเขาและระลึกถึงผู้ชายคนนั้น ในเวลาเดียวกันเขาก็ต้องการที่จะดูว่าเขาสามารถหาเบาะแสบางอย่างในสถานที่ที่วุ่นวายที่สุดของฮ่องกงได้หรือไม่ ถ้าไม่เขาจะไปที่บริษัทสายการบิน


 


เหม่าพูเป็นสถานที่ที่วุ่นวายที่สุดในฮ่องกง ทันทีที่เย่โม่ไปถึงที่นั่นก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีร่างกายเต็มไปด้วยเลือดพุ่งออกมาพร้อมกับชาย 2 คนที่มีดาบไล่ตามเขา


 


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการชีวิตของเด็กหนุ่มคนนั้น


 


เย่โม่ส่ายหัว ตามเวลาแล้วเมื่อตำรวจจะอยู่ที่นี่ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ตายไปแล้ว


 


แน่นอนเย่โม่จะไม่สนใจเรื่องนี้ เขาเพิ่งเดินไปตามถนนของเหม่าพู แต่ไม่แสดงเจตนาที่จะขยับเขยื้อน ผู้ชมหลายคนมองเย่โม่ราวกับว่าเขาเป็นคนโง่ในเหม่าพู การต่อสู้เกิดขึ้นทุกๆ 3 ถึง 5 วัน คนปกติทุกคนจะหลบไป มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณตามปกติ แต่ถ้าคุณเป็นอุปสรรคต่อการต่อสู้ของพวกเขาแล้วไม่ว่าอะไรก็ตาม มีโอกาสที่พวกเขาจะโกรธคุณอยู่เสมอ


 


“เชียนเปยเย่ ช่วยฉันด้วย!” ทันใดนั้น เด็กหนุ่มคนนี้ก็หยุดต่อหน้าเย่โม่และคำนับให้เย่โม่และขอร้อง


 


เย่โม่มองเด็กหนุ่มคนนี้ที่ถูกไล่ตามมา แล้วถามแปลกๆ ว่า “นายเป็นใคร? ฉันไม่รู้จักนายเลย”


 


เด็กหนุ่มหายใจอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ผมมาจากแก๊งค์โอเชี่ยน เพราะผมกำลังตรวจสอบเครื่องบินที่หายไป -“


 


เด็กหนุ่มไม่สามารถพูดให้สำเร็จได้ เพราะทั้งสองคนนั้นได้ตามมาทันแล้ว


 


พวกเขามาอยู่ตรงหน้าเย่โม่ และไม่พูดอะไรเลย พวกเขาเพิ่งยกดาบของพวกเขาฟันไปที่เด็กหนุ่ม ขณะที่อีกคนหนึ่งดึงหอกรูปสามเหลี่ยมออกมาแล้วแทงไปทางด้านหลังของเด็กหนุ่ม พวกเขาจะฆ่าเขาโดยไม่สนใจการปรากฏตัวของเย่โม่


 


เย่โม่เตะและทั้งสองคนก็ถูกล้มลงกับพื้น พวกเขาทั้งสองพ่นเลือดออกมาและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก


 


เหตุผลที่เขาไร้ความปราณีนั้นก็เพราะเด็กคนนี้กำลังสืบสวนเรื่องต่างๆ ให้เขา


 


เด็กหนุ่มที่อาบน้ำด้วยเลือดมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ


 


“เกิดอะไรขึ้น?” เย่โม่ถามอย่างเย็นชาและกลับมาสนใจเด็กหนุ่ม


 


เด็กหนุ่มอ้าปากค้างและอธิบายอย่างรวดเร็ว “เชียนเปยเย่ ไม่นานมานี้หัวหน้าแก๊งของผมให้ผมตรวจสอบเหตุการณ์เครื่องบินหายไปและผู้โดยสารที่อยู่บนนั้น สมาชิกแก๊งค์ของเราทุกคนออกไปสืบ ผมบังเอิญได้ยินสองคนนี้พูดถึงผู้โดยสารคนที่หายตัวไปบนเครื่องบินในสวนสาธารณะ และหลังจากสังเกตพวกเขา ผมก็ตามคนทั้งสองไปที่คฤหาสน์ส่วนตัว ผมถูกจับได้และพวกเขาก็เริ่มตามล่าผม…”


 


เย่โม่ห้ามไม่ให้เด็กพูดคุย เขายกชายสองคนจากพื้นและพูดว่า “เรียกรถแท็กซี่และพาฉันไปที่คฤหาสน์เก่านั้น”


 


“ครับ!” เด็กหนุ่มหยุดรถแท็กซี่ทันที แม้ว่าชายหนุ่มจะถูกปกคลุมไปด้วยเลือด แท็กซี่ก็ยังหยุดและดูเหมือนจะรู้ว่าถ้าเขาไม่หยุดผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก


 


เย่โม่เหวี่ยงทั้งสองเข้าไปข้างในและสั่งให้เด็กหนุ่มบอกทาง


 


เด็กหนุ่มบอกที่อยู่ของคนขับแท็กซี่และพูดต่อว่า “ทันทีที่ผมไปถึงที่นั่น ผมได้ยินภาษาญี่ปุ่นพูด 2-3 ครั้ง ขณะที่ผมกำลังจะรายงานหัวหน้า ผมก็ถูกจับได้ก่อน พวกเขาเริ่มตามล่าผม แต่โชคดีที่ฉันได้รับการฝึกฝนด้านกรีฑามา ไม่งั้นผมคงถูกจับได้ หัวหน้าของผมแสดงรูปภาพของเชียนเปยเย่ให้ดู ดังนั้นผมจึงจำคุณได้ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้นะครับ”


 


เย่โม่พยักหน้าและเข้าใจ การใช้พวกแก๊งค์นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่ารัฐบาลมาก มีคนเกี่ยวข้องกับแก๊งค์กี่คน? แม้แต่คนที่ทำงานที่เหมาะสมก็ยังแอบอยู่ในพวกนี้ ด้วยการสั่งเช่นนั้นมันก็เหมือนกับการสั่งทั้งฮ่องกง สิ่งนี้แตกต่างจากการแจ้งเตือนการค้นหาของรัฐบาล แม้ว่าพลเรือนบางคนจะรู้เบาะแส 2-3 อย่างพวกเขาอาจไม่กล้าพูด แต่คนที่อยู่ในกลุ่มอย่างนี่ไม่ได้สนใจ


 


เด็กหนุ่มที่บาดเจ็บนี้โชคดีมากและได้ยินข่าวที่ถูกต้อง


 


มันอยู่ไม่ไกลนักและในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึง เย่โม่หยิบยาให้เด็กหนุ่มและเดินไปจับชาย 2 คนนั้นไว้ในมือ ขณะที่เขาเดินไปที่คฤหาสน์เก่า


405 เผาความกังวล


 


ทันทีที่เย่โม่เข้ามาในคฤหาสน์ เขาก็ได้รู้ว่ามันว่างเปล่า


 


“เมื่อตอนที่นายมาที่นี่ก่อนหน้านี่มันมีคนเยอะไหม?” เย่โม่ทิ้งชาย 2 คนไปทางด้านข้างและถาม


 


เด็กหนุ่มตอบว่า “ผมเห็นชาย 4 คนในตอนนั้น รวมทั้งชาย 2 คนนี้ด้วยครับ”


 


4? งั้นก็มีอย่างน้อย 2 คนที่หนีไป เย่โม่เตะทั้งสองให่ตื่นขึ้นและพร้อมที่จะสอบสวน


 


ทั้งสองพูดอะไรบางอย่าง แต่เป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเย่โม่ไม่เข้าใจ


 


เมื่อเห็นเย่โม่ขมวดคิ้ว เด็กหนุ่มก็พูดทันทีว่า “เชียนเปยเย่ ผมจะหาคนที่เข้าใจพวกเขามาให้นะครับ เพื่อที่คุณจะได้ถามพวกเขา”


 


เย่โม่พยักหน้า แต่ก็ยังพูดว่า “ไม่ต้องหรอก แค่ให้คนขับรถนำสองคนนี่ไปที่องค์กรเวสเทิร์นแซนด์ จากนั้นนายก็อาจพบคนที่เข้าใจพวกเขา ฉันจะตามในไม่ช้า”


 


“ครับ! วางใจได้ครับเชียนเปยเย่ ผมหวังเซี่ยวซือ สัญญาว่าจะทำงานให้เสร็จ” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยความตื่นเต้น


 


เมื่อได้ยินว่ามันเป็นคำสั่งส่วนตัวโดยเชียนเปยเย่ รถของแก๊งค์โอเชี่ยนก็มาถึงอย่างรวดเร็ว หวังเซี่ยวซือและเด็กหนุ่มอีกคนอุ้มชายทั้งสองไปในรถและไปที่คฤหาสน์ Bamboo Night


 



 


หลังจากที่ทั้งสองจากไป เย่โม่ก็เข้าไปในคฤหาสน์ คฤหาสน์สไตล์เก่านี้ไม่ธรรมดาในยุคฮ่องกงปัจจุบันอีกต่อไป มันมีไม่กี่ห้องและเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก เย่โม่เดินไปรอบๆ และไม่เห็นอะไรน่าสงสัย


 


หลังจากค้นห้องพักไม่กี่ห้อง เขาก็พบสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์สีดำขนาดเล็กในที่ซ่อนอยู่ นอกจากนั้นเขาไม่พบอะไรเลย เย่โม่สแกนจิตวิญญาณของเขาลงบนพื้นและพบหลุมหลบภัยใต้ดินอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะมีหลายสิ่งในนั้นที่ไม่ได้ถูกเอาไปด้วย


 


เย่โม่ต้องการที่จะเข้าไปข้างใน สัมผัสจิตวิญญาณของเขาเผยให้เห็นระเบิดที่หมดเวลาแล้วที่มุมของบังเกอร์ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วินาทีก่อนเกิดที่มันระเบิด


 


แม้ว่าระเบิดชนิดนี้จะไม่สามารถพรากชีวิตของเย่โม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกระเบิดจากการระเบิดรอบตัวเขา เขาอาจได้รับบาดเจ็บ เมื่อเขาเห็นระเบิดเย่โม่ก็พุ่งออกจากคฤหาสน์เก่านี่อย่างรวดเร็ว


 


ตู้มมมม!! – ทันทีที่เย่โม่ออกมา มันก็ลุกเป็นไฟ


 


ใบหน้าของเย่โม่ไม่ดีเลย ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาทำผิดพลาด เขาประเมินสิ่งนี้ต่ำเกินไป


 


สิ่งที่หวังเซี่ยวซือค้นพบไม่ใช่ที่หลบภัยเล็กๆ น้อยๆ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ คนเหล่านี้แน่วแน่มากพอที่จะหลบหนีและระเบิดคฤหาสน์ในทันที


 


สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร? นี่หมายความว่าคนเหล่านี้รู้ว่าเขาได้รับการช่วยเหลือจากหวังเซี่ยวซือและกำลังจะกลับมา


 


ทันทีที่เย่โม่เข้าใจสิ่งนี้มาก เขาก็รู้ว่าสิ่งต่างๆ ไม่ดีแน่ หวังเซี่วซีตกอยู่ในอันตราย ผู้ชายญี่ปุ่น 2 คนที่เขานำมาด้วยอาจเป็นระเบิดแบบหมดเวลาสองอันเช่นกัน


 


เย่โม่หันกลับทันที เร่งกระบี่บินของเขาไปทางองค์กรเวสเทิร์นแซนด์


 


ไม่ไกลเกินไป เย่โม่สังเกตเห็นรถของหวังเซี่ยวซือ และรู้สึกถึงความรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย


 


เมื่อเขากำลังจะหยุดรถของหวังเซี่ยวซือ เขารู้สึกถึงอันตรายบางอย่าง เมื่อตรวจดูด้วยจิตวิญญาณของเขา เขาพบทันทีว่าห่างออกไป 100 เมตร มีรถตามหลังพวกเขาอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญคนที่นั่งอยู่ด้านหน้ามี RPG มุ่งเป้าไปที่รถของหวังเซี่ยวซือ


 


คนเหล่านี้บ้าไปแล้ว! นี่พวกมันกล้าใช้ RPG ในสถานที่พลเรือนจริงๆนะหรอ!?


 


“ยิงมันเร็ว HQ หายไปแล้ว!” ในรถมีผู้ชาย 3 คน คนหนึ่งที่พูดถึงคือชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านหลังและพูดภาษาญี่ปุ่น


 


“ครับ! อ๊าก -” ชายคนนี้พูดแค่คำเดียวก่อนจะเงียบไป


 


ในขณะนี้ ทั้งสองรู้ว่ามีคนพิเศษอยู่ในรถ ไม่มีใครเห็นเมื่อเขาเข้ามา


 


“แกเป็นใคร? แกเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชายวัยกลางคนจ้องมองเย่โม่ด้วยความตกใจ


 


เย่โม่ปลื้มปีติ มีคนที่รู้ภาษาจีนซักที!


 


คนขับมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วและดึงปืนออกมาทันที แต่ก่อนที่เขาจะยิง เขาก็ถูกเหวี่ยงโดยเย่โม่ และถูกโยนไปที่เบาะหลัง ชายวัยกลางคนเองก็ถูกกระแทกด้วยเช่นกัน


 


ในไม่ช้ารถก็เปลี่ยนทิศทางและหยุดที่สถานที่ก่อสร้าง


 


เย่โม่หยุดรถแล้วลากชายทั้งสามออกไป ในขณะนี้เขาตระหนักว่าชายวัยกลางคนมีรอยสักสีดำบนคอของเขา


 


สองในสามคนเข้าใจภาษาจีน ภายใต้การสอบสวนของเย่โม่ พวกเขาเปิดเผยทุกอย่าง


 


ทั้งสามคนเป็นชาวญี่ปุ่นทั้งหมดและถูกส่งมาจากองค์กรขนาดใหญ่มากในญี่ปุ่นนั่นก็คือ จักรวรรดิอาทิตย์ทมิฬ เป้าหมายของพวกเขาคือหาที่อยู่ของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ทุกคน


 


ในที่สุด เย่โม่ก็รู้ว่าทำไมเครื่องบินหายไป มีศาสตราจารย์ชื่อ ไอยาต์ติน อยู่บนเครื่องบิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้จักรวรรดิอาทิตย์ทมิฬยึดครองเครื่องบิน และหนิงชิงเซวียก็เพิ่งเจอเหตุการณ์นี้ไป


 


ยิ่งไปกว่านั้น เย่โม่ยังพบว่าเครื่องบินที่หายไปเมื่อ 3 ปีก่อนก็เป็นเพราะองค์กรนี้เช่นกัน สำหรับสาเหตุที่องค์กรนี้ลักพาตัวนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเย่โม่ก็สามารถเดาได้เช่นกัน


 


ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาปกป้องความลับของพวกเขาอย่างหนัก หากสิ่งนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกก็จะเป็นศัตรูของพวกเขา


 


อย่างไรก็ตาม เย่โม่ก็ค้นพบว่ามีหญิงสาวสวยกระโดดลงจากเครื่องบินมาครึ่งทางแล้ว


 


เย่โม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะเป็นหนิงชิงเซวีย หัวใจของเขากำลังเดือดดาล เขาไม่รู้ว่าหนิงชิงเซวียมีร่มชูชีพหรือไม่ เพราะโดยปกติแล้วเครื่องบินเจ็ตสำหรับผู้โดยสารจะไม่มีร่มชูชีพ อย่างไรก็ตาม เย่โม่คนหนึ่งที่ถูกจับได้อย่างชัดเจนว่าไม่รู้ว่าเครื่องบินนั้นมีอยู่หรือไม่


 


เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถนำสิ่งใดออกไปจากพวกเขาได้อีกต่อไป เย่โม่ก็ทำให้ทุกคนกลายเป็นฝุ่น


 


สำหรับการลักพาตัวนักวิทยาศาสตร์ เย่โม่จะไม่สนใจ แม้ว่าพวกเขาจะนำนักวิทยาศาสตร์ทุกคนในโลกเป็นตัวประกัน แต่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา แต่พวกมันกล้าลักพาตัวหนิงชิงเซวียได้ยังไง! เย่โม่ได้ระบุแล้วว่าจักรวรรดิอาทิตย์ทมิฬอยู่ในรายการต้องห้ามของเขา


 


เย่โม่เพียงหวังว่าหนิงชิงเซวียจะมีร่มชูชีพ แต่แม้ว่าเธอจะมี ครื่องบินเจ็ทผู้โดยสารก็บินสูงมากดังนั้นโอกาสในการเอาชีวิตรอดของเธอก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่มันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย


 


เย่โม่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสอบสวนอีกต่อไป เขาต้องไปหาหนิงชิงเซวียทันที


 


เย่โม่ไปที่เวสเทิร์นแซนด์อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และพบว่าหวังเซี่ยวซือยืนอยู่ที่ประตูอย่างทุกข์ใจ ชายทั้งสองตายไปแล้ว พวกเขาอาจฆ่าตัวตายในตอนนี้ แต่ตอนนี้ความตายของพวกเขาไม่สำคัญสำหรับเย่โม่อีกต่อไป


 


“เชียนเปยเย่ ผม…” หวังเซี่ยวซือ เต็มไปด้วยความผิด


 


เย่โม่โบกมือ “นายทำได้ดีมาก นายสามารถไปหาหัวหน้าแก๊งค์ของนายได้เลยเมื่อการประชุมเริ่มขึ้น”


 


หวังเซี่ยวซือตกใจกับเหตุการณ์โชคร้ายครั้งใหญ่นี้ แต่เย่โม่ก็แค่เดินเข้ามา


 


“หัวหน้า!” หวังเซี่ยวซือ มองชายที่อยู่ข้างหลังเขาด้วยความตื่นเต้น เมื่อเย่โม่เข้ามาเขาก็ก้มหัวของเขาต่ำลง พวกเขามึนงงอย่างหนัก


 


เฉพาะเมื่อหวังเซี่ยวซือเรียกเขาว่าหัวหน้า เขาก็ได้สติกลับมา เขาจับมือของหวังเซี่ยวซือด้วยความตื่นเต้นขณะที่เขาพูดว่า “เซี่ยวซือ ทุกคนต้องขอบคุณนายแล้วละในนเวลานี้ อย่ากังวลนะ คราวนี้เชียนเปยเย่จะให้รางวัลแก่เรา ฉันจะปฏิบัติต่อนายอย่างดีแน่นอน นายทำได้ดีมาก!”


 



 


เมื่อเย่โม่เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เขาก็สังเกตเห็นว่าเจียวเบี่ยนอี้อยู่ที่นี่ เจียวเบี่ยนอี้คอยสังเกตสถานที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทันทีที่เย่โม่ปรากฏตัวเขาก็ได้รับข่าว


 


“เชียนเปยเย่ ทำไมมาเช้านักละ?”


 


เย่โม่บอกกับเจียวเบี่ยนอี้เมื่อครั้งก่อนแล้วว่าไม่ต้องเรียกเขาว่าเชียนเปย แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะพูดซ้ำ เขาเพียงพูดว่า “หัวหน้าเจียว โทรหาสมาชิกแก๊งค์ทั้งหมดทันที รวบรวมข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉันจะออกจากฮ่องกงคืนนี้”


 


“ครับเชียนเปยเย่ ฉันจะจัดการทันที” เจียวเบี่ยนอี้ไม่กล้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น


 


คราวนี้เย่โม่รอไม่นานนัก อาจเป็นเพราะคำสัญญาของเย่โม่เกี่ยวกับการให้รางวัลหรือเนื่องจากการปรากฏตัวของเขาในตอนเช้า มันจึงใช้เวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมงสำหรับทุกคนที่จะไปถึงที่นั่น


406 ผลการสืบสวน


 


เยโม่สแกนทุกคนที่อยู่ที่นี่และพูดอย่างชัดเจน “ขอบคุณความช่วยเหลือของแก๊งค์โอเชี่ยน ฉันพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ดังนั้นฉันจะออกไปจากที่นี่วันนี้ ถ้าบางคนพบสิ่งที่มีประโยชน์แล้วก็กรุณาพูดทันที ถ้าไม่เช่นนั้นฉันนับไปครั้งหน้าที่ฉันต้องการความช่วยเหลือ”


 


ทันทีที่เย่โม่พูดจบ เกือบทุกคนมองที่พี่ใหญ่ของแก๊งค์โอเชี่ยนอย่างเต็มไปด้วยความอิจฉา แก๊งค์โอเชี่ยนไม่ได้วางกลุ่มคนอย่างเด็ดขาด พวกเขาเป็นชาวประมงที่บังเอิญทำการค้าขายที่ผิดกฎหมายเช่นกัน


 


เย่โม่ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับสิ่งที่ทุกคนคิด เขาหยิบขวดหยกออกมาแล้วพูดว่า “นี่คือยาเพิ่มลมปราณ ใครก็ตามที่เป็นผู้นำของกลุ่มแก๊งค์โอเชี่ยน โปรดลุกขึ้นมา และรับไป คุณสามารถกินได้เลยที่นี่ อย่างไรก็ตาม หวังเซี่ยวซือช่วยฉันมากในเวลานี้ ดังนั้นฉันหวังว่าคุณจะปฏิบัติต่อเขาอย่างดี”


 


“ครับเชียนเปยเย่! ฉันลู่ซือจะจดจำคำพูดของเชียนเปย” ในขณะที่ทุกคนมีสายตาที่อิจฉาจ้องมองลู่ซือเดินไปที่เย่โม่ด้วยความตื่นเต้น เขาโค้งคำนับก่อนแล้วจึงรับขวดอย่างมือสั่นคลอน


 


ทันทีที่เขากินยานี้ เขาจะถึงขั้นสีเหลือง


 


ลู่ซือรับขวดและไปที่มุมหนึ่งของห้องโถง และกินมัน แม้ว่าเย่โม่จะไม่ได้บอกให้เขากินที่นี่ เขาก็ไม่กล้าที่จะออกไปกินข้างนอก


 


ถ้าเขาทำ เขาจะถูกฆ่าทันที เย่โม่อนุญาตให้เขากินที่นี่อย่างชัดเจนเพราะเขาคำนึงถึงเรื่องนั้นด้วย


 


เมื่อมองดูวิธีที่ลู่ซือที่กินมัน เย่โม่ก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นต้องไม่มีวิธีฝึกตน เขาถอนหายใจ หากไม่มีวิธีฝึกตนการกินยานี้ก็ไม่ต่างจากการกินข้าวเสีย เขาจะไม่สามารถดูดซับยาได้โดยไม่ต้องใช้วิธีฝึกตน เขาจะเปลี่ยนพลังของเม็ดยาให้เป็นของเขาเองได้อย่างไร?


 


เย่โม่เดินไปและลูบผ่ามือที่หัวลู่ซือ ช่วยให้เขากลั่นพลัง เมื่อเรี่ยวแรงทั้งหมดของเม็ดยาเปลี่ยนเป็นลมปราณภายใน เขาก็กลับขึ้นไปนั่งที่


 


“เชียนเปยเย่ ฉันค้นพบบางสิ่งบางอย่างคะ นี่คือผลลัพธ์ของฉันโปรดพิจารณาด้วยคะเชียนเปย” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาในครั้งนี้


 


เย่โม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ เมื่อเขามาที่นี่เป็นครั้งล่าสุด นอกเหนือจากเจียวเบี่ยนอี้ ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนแรกที่ปราบเขา เย่โม่จำได้ว่าเธอถูกเรียกว่าซวี่เยวียฮวา และมีฉายาแม่ม่ายดำ คราวนี้เธอสวมเสื้อผ้าสีดำเหมือนกัน เนื่องจากเธอสามารถที่จะจัดหาผลลัพธ์บางอย่างในเวลาอันสั้น นั่นหมายความว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา


 


นอกจากนี้เธอยังเป็นหนึ่งในขั้นสีเหลืองเพียงสามระดับเท่านั้น ขั้นสีเหลืองสูงสุดที่มีระดับฝึกตนสูงสุดจากทั้งสามระดับ เธออาจมีเรื่องราวของตัวเอง แต่เย่โม่ไม่สนใจ


 


เย่โม่นำข้อมูลจากเธอมาดู ถ้ามันกลับกลายเป็นว่าไร้ค่า เขาก็จะไม่ยอมแพ้ยาเพิ่มลมปราณของเขาง่ายๆ


 


เย่โม่เห็นว่ามีข้อมูลเยอะจริงๆ ผู้หญิงคนนี้พิถีพิถันแน่นอน นี่คือสิ่งที่เขาต้องการอย่างแม่นยำ


 


สิ่งที่เธอค้นพบคือโม่เดลเครื่องบินคือ US MM871 และข้อมูลยังอธิบายถึงความเร็วและความสูงสูงสุด รุ่นนี้มีห้องนักบินที่สามารถเปิดออกได้และมาพร้อมกับร่มชูชีพ


 


เย่โม่รู้สึกโล่งใจ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง


 


แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด


 


เธอได้รับชื่อของผู้โดยสารเกือบทั้งหมด ชื่อของหนิงชิงเซวียเป็นหนึ่งในนั้น นอกเหนือจากนี้มันยังตั้งข้อสังเกตว่ามีอย่างน้อย 4 คนที่ทำงานให้กับบริษัทเยวียนเป่ยบนเครื่องบิน เป้าหมายของพวกเขาคือการลักพาตัวหนิงชิงเซวีย และพาเธอไปอเมริกา ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้คือประธานวัยเยาว์ของบริษัท หยวนฉีชิง


 


ทุบ!! – เย่โม่ตบผ่ามือลงบนโต๊ะกลม โต๊ะหินแกรนิตแข็งได้มีปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ทันที


 


ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ


 


“เยวียนชีปิง แกกำลังขอความตาย เพราะงั้นอย่ามาโทษฉัน” เย่โม่พูดกับตัวเอง จากการตรวจสอบของซวี่เยวียฮวา ดูเหมือนว่าแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหนิงชิงเซวียบนเครื่องบิน เธอก็จะถูกชิงตัวไปโดยเยวียนชีปิง


 


เย่โม่มองที่ซวี่เยวียฮวา “เธอทำได้ดีมาก สามารถหาข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ถ้าเธอมีเวลามากขึ้นบางทีเธอเอาจจะพบมากกว่านี้”


 


“ขอบคุณสำหรับคำชมเชยของคุณเชียนเปย นี่คือสิ่งที่วั๋นเปยควรทำ” ซวี่เยวียฮวาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว


 


เย่โม่พยักหน้า ซวี่เยวียฮวาไม่แก่ เธออายุไม่เกิน 30 ปีและสามารถไปถึงขั้นสีเหลืองระดับกลางได้ นั่นหมายความว่าความสามารถของเธอนั้นค่อนข้างดี ต้นกำเนิดของเธอไม่ธรรมดาเลยเช่นกัน เขาสงสัยว่าคนอย่างเธอเริ่มทำงานในมาเฟียได้อย่างไร


 


เธอบอกว่า ‘นี่คือสิ่งที่เธอควรทำ’ และไม่ใช่ว่ามันเป็นโชคของเธอ นั่นหมายความว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถอย่างแท้จริง พลังของเธอในฮ่องกงนั้นสูงกว่าระดับแก๊งค์โดยเฉลี่ย คนอย่างเธอจะเป็นประโยชน์กับเขา


 


“อ๊าาาก!” ในตอนนั้นเอง ลู่ซือก็ตะโกนทันที เขากระโดดขึ้นและต่อยพื้นหินแข็งมีบุ๋มขนาดชาม ต่อยโดยกำปั้นของเขา แม้แต่บ้านก็เริ่มสั่น


 


ทุกคนตกใจอีกครั้ง ลู่ซือสามารถสร้างหลุมขนาดใหญ่บนพื้นหินแกรนิตที่แข็งแกร่งได้! นั่นหมายความว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นถึงขั้นที่เหลือเชื่อ


 


เย่โม่พยักหน้า “ไม่เลว คุณมีพลังขั้นสีเหลืองแล้วในตอนนี้ และมีลมปราณภายใน คุณเพียงแค่ต้องเรียนรู้การเคลื่อนไหว และคุณจะได้กลายเป็นขั้นสีเหลืองอย่างแท้จริง”


 


มีบางสิ่งที่เย่โม่ไม่ได้พูด พื้นฐานของลู่ซือตื้นเกินไป เขาไม่เคยฝึกฝนอย่างเป็นระบบมาก่อน แม้ว่าเขาจะพาเขาขึ้นไปขั้นสีเหลือง เพียงปฏิกิริยาความเร็วและพลังงานของเขาก็อยู่ที่ขั้นสีเหลือง จะยังคงมีความแตกต่างบางอย่างเมื่อเทียบกับคนที่ฝึกด้วยตัวเองในขั้นสีเหลือง


 


เมื่อเห็นว่าลู่ซืออยู่ในขั้นสีเหลืองในเวลาอันสั้น และพลังของเขาทำให้ทุกคนตกใจ ในที่แห่งนั่นดวงตาของผู้คนมีสีแดง ขณะที่พวกเขาสาปแช่งเพราะไม่ได้รับโอกาสนี้


 


แต่หลังจากนั้น ทุกคนก็หันไปมองซวี่เยวียฮวา จากคำพูดของเย่โม่ พวกเขารู้ว่าอีกคนหนึ่งที่จะได้รับยาคือ ซวี่เยวียฮวา


 


ซวี่เยวียฮวาจ้องที่เย่โม่ด้วยความประหม่า นับตั้งแต่เธอถึงขั้นสีเหลืองระดับกลาง เธอก็พบแค่ความผิดหวัง 5 ปีผ่านไปและเธอยังคงอยู่ขั้นสีเหลืองระดับกลาง นี่เป็นเพราะเธอไม่มีเวลาในการฝึกฝนและทั้งยังสภาพแวดล้อม แม้แต่ยังไม่มีสมุนไพรที่ดีสำหรับเธอ


 


เธอไม่เคยสงสัยศักยภาพของเธอ หากศักยภาพของเธอไม่ดี เธอคงไม่ถึงขั้นสีเหลืองระดับกลางในช่วงอายุ 30


 


“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งครับเชียนเปย ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันเป็นคนน่าสงสารมาก่อนแค่ไหน” ลู่ซือเดินไปที่เย่โม่และคุกเข่าลง ก่อนที่เขาจะถึงขั้นสีเหลือง เขาไม่เคยมีแนวคิดเกี่ยวกับทักษะต่อสู้โบราณมาก่อนเลย เขาเพิ่งรู้ว่าขั้นสีเหลืองแข็งแกร่งกว่าเขา แต่ตอนนี้เขามาถึงขั้นเหลืองแล้ว และมีลมปราณภายในบางอย่างในร่างกายของเขา เขาได้ตระหนักว่าความคิดของเขาไร้สาระยังไงในก่อนหน้านี่


 


นอกจากนี้เขายังเข้าใจว่าหากจอมยุทธ์ทั่วไปต้องต่อสู้กับขั้นสีเหลืองแล้วไม่ว่าพวกเขาจะเก่งแค่ไหน พวกเขาก็จะตายอย่างแน่นอน เขาไม่เคยแม้แต่จะฝันถึงพลังในปัจจุบันของเขามาก่อน จากนี้ใครๆ ก็สามารถเห็นว่าเย่โม่นั้นน่ากลัวแค่ไหนแล้ว


 


เย่โม่โบกมือของเขาแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉัน นี่คือสิ่งที่คุณสมควรได้รับ โปรดเข้าที่ก่อนเถอะ”


 


ทุกคนมองลู่ซือด้วยความอิจฉา แม้ว่าทุกคนต้องการถามว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหนในตอนนี้ ก็ไม่มีใครกล้าพูด แก๊งค์บางแก๊งค์ที่มีความขัดแย้งกับลู่ซือได้กำลังคิดหาวิธีแก้ไขในตอนนี่


 


เย่โม่มองไปที่ซวี่เยวียฮวาที่มีความหวังแล้วพูดว่า “เธอเก่งมาก นี่ยาเพิ่มลมปราณ กินซะตอนนี้สิ มันขึ้นอยู่กับโชคของเธอ ว่าเธอจะไปถึงขั้นสีดำหรือไม่”


 


เมื่อตอนที่เขาให้ยากับลั่วเซวียน เธอเป็นแค่ขั้นสีเหลืองระดับกลาง แต่เธอก็มาถึงขั้นสีดำระดับต้นสูงสุดภายใต้ผลของยา แต่ซวี่เยวียฮวาอยู่ในขั้นสีเหลืองระดับกลางสูงสุดแล้ว


 


ซวี่เยวียฮวาอาจจะถึงขั้นสีดำ


 


คำพูดของเย่โม่ทำให้ทุกคนตกใจอีกครั้ง เขาบอกว่าเธออาจจะถึงขั้นสีดำ! ทุกคนรู้ว่ามีขั้นสีเหลือง 3 ระดับ จากสิ่งที่เย่โม่พูดในตอนเช้า แต่พวกเขาไม่คิดว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ใขั้นสีเหลืองระดับต้น


 


ชื่อของเธอไม่เป็นที่รู้จักกันดีในฮ่องกง แต่เธอเป็นขั้นสีเหลือง ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่มีแผนการชั่วร้ายสำหรับเธอรู้สึกถึงเหงื่อตก


 


ซวี่เยวียฮวารับยาไปอย่างตื่นเต้น สำหรับเธอแล้วมันเป็นความโชคดีจากสวรรค์ ถ้าเธอสามารถฝ่าด่านด่านขั้นสีเหลืองระดับกลางได้ แต่เย่โม่บอกว่าเธออาจจะถึงขั้นสีดำ! เธอแทบจะอดใจไม่ไหว ขั้นดำ….เธอไม่เคยฝันมาก่อนเลย!


บทที่ 407 : แม่ม่ายดำ ซวี่เยวียฮวา


 


เมื่อเห็นว่าซวี่เยวียฮวากินยาและย่อยมันเย่โม่ก็พยักหน้า ซวี่เยวียฮวามีวิธีการฝึกตนของเธอเอง แต่ถึงแม้จะอยู่ตรงขั้นสีเหลืองระดับกลาง ซวี่เยวียฮวาก็ไม่กล้าที่จะนำยาออกไปข้างนอกและเลือกที่จะกินยาที่นี่


 


เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้วเย่โม่ก็ยืนขึ้น “ขอบคุณทุกคนสำหรับความช่วยเหลือของคุณ ฉันจะมอบยารักษาโรคให้ทุกคน เพราะงั้นการประชุมในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว”


 


เย่โม่หยิบแจกันลายครามขนาดใหญ่ออกมามอบให้กับเจียวเบี่ยนอี้ ให้เขามอบมันให้ทุกคน ยานี้ไม่ได้มีค่ามากมาย แต่สามารถรักษาบาดแผลได้ดีกว่ายาทั่วไป


 


แม้ว่าจะมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ได้รับยาเพิ่มลมปราณ แต่ทุกคนมีความสุขที่ได้รับยาฟื้นฟู หรือแม้ว่าเย่โม่จะไม่ได้ให้อะไรเลยก็ไม่มีใครกล้าที่จะต่อต้านคำสั่งของเขา


 


เมื่อเห็นว่าทุกคนจากไปแล้ว เย่โม่จึงใช้วิธีการฝึกฝนทักษะต่อสู้โบราณสำหรับเจียวเบี่ยนอี้ และกล่าวว่า “คุณช่วยได้มากในครั้งนี้ นี่เป็นวิธีการฝึกฝนทักษะต่อสู้โบราณ ระดับที่คุณไปถึงจะขึ้นอยู่กับคุณ โชคดีนะ”


 


หากเย่โม่ได้นำสิ่งอื่นออกมา เขาอาจจะสุภาพและพยายามปฏิเสธ แต่นี่เป็นวิธีการฝึกฝนทักษะต่อสู้โบราณ? นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่ใหญ่ของจีนก็อาจไม่มี เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร!


 


แม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์กับเย่โม่ แต่ก็คุ้มค่ามากกับเจียวเบี่ยนอี้ เขารับไปอย่างตื่นเต้นและสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเย่โม่ เย่โบกมือแต่เขาก็ไม่ได้เก็บคำพูดของเจียวเบี่ยนอี้มาใส่ใจ


 


เจียวเบี่ยนอี้กลัวเพราะเขาสามารถฆ่าเขาได้ในทันที หากพลังของเขาอ่อนแอกว่าเขา เจียวเบี่ยนอี้อาจจะฆ่าเขาทันที


 


เหตุผลที่เขาให้ยาแก่ทุกคนและวิธีแก่เจียวเบี่ยนอี้ ก็เพราะเขาอาจต้องการความช่วยเหลือในอนาคต เขาไม่สามารถมาเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือและออกไปเมื่อเขาไม่ได้ หากสิ่งต่างๆ ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนั้น แม้ว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะไม่มา พวกเขาก็จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยความเต็มใจ


 


“ฉันมีเพื่อนชื่อโม่ปิง ถ้าเขามาในวันพรุ่งนี้บอกเขาว่าฉันไปแล้วนะ” เย่โม่กลัวโม่ปิงจะตามหาเขา


 


“โม่ปิง?” เจียวเบี่ยนอี้ทวนซ้ำ


 


“อะไร? คุณรู้จักเขาเหรอ?” เย่โม่มองที่เจียวเบี่ยนอี้อย่างประหลาดใจ


 


เจียวเบี่ยนอี้พยักหน้าอย่างประหม่า “ถ้ามันเป็นโม่ปิงคฤหาสน์ครึ่งภูเขา ฉันรู้จักเขา แต่ฉันไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว ลุงของเขาเป็นบารอนอังกฤษและเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายพาณิชย์สมาคมการค้าฮ่องกง”


 


เย่โม่เพิ่งรู้ว่าโม่คังและโม่ปิงมีสถานะเช่นนี้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะเท่าไร พวกเขาก็เล่นกับนิกายลี้ลับ


 


“โอเค คุณไปก่อนเถอะ ฉันมีเรื่องที่จะพูดกับซวี่เยวียฮวา” เย่โม่เห็นว่าเธอย่อยยาแล้ว และใบหน้าของเธอก็แสดงความประหลาดใจและความปิติยินดี


 


“ครับ!” เจียวเบี่ยนอี้ออกไปอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ในวันนี้เป็นเหมือนความฝัน แม้ตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะเชื่อว่าเขาได้รับวิธีการฝึกทักษะต่อสู้โบราณ


 


เมื่อเดินออกไปข้างนอก เจียวเบี่ยนอี้ก็คิดถึงบางอย่าง เย่โม่จะเก็บหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างไรถ้าเขาสวมเสื้อบางๆ? เขาสงสัยว่าเย่โม่นำสิ่งเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เจียวเบี่ยนอี้ก็ตัวสั่นและหยุดความคิดของเขาอย่างรวดเร็ว


 


…..


 


เย่โม่ศึกษาซวี่เยวียฮวา และรู้สึกผิดหวัง ความสามารถในการฝึกตนของเธอนั้นน้อยกว่าความสามารถในการสืบสวนของเธอ ซวี่เยวียฮวามาถึงครึ่งก้าวสู่ขั้นสีดำแล้ว ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้บ่นอะไร นี่เป็นเพราะศักยภาพและวิธีการฝึกของเธอ


 


ลั่วเซวียนมาจากนิกายลี้ลับภายใน วิธีฝึกของเธอต้องสูงที่สุด นอกจากนี้ทุกคนไม่สามารถเป็นสมาชิกหลักของนิกายลี้ลับภายในได้เหมือนเธอ ดังนั้นเมื่อเธอทำได้นั่นหมายถึงความสามารถของเธอเป็นต้องยอดเยี่ยม


 


หากไม่ใช่เพราะหนิงชิงเซวีย เย่โม่ จะไม่นำยาเพิ่มลมปราณนี่ให้เธอ แม้ว่ายานี่จะมี 10 เม็ด มันก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขา แต่เขาก็ยังมีผู้คนมากมายที่ทำงานให้เขา


 


ซวี่เยวียฮวาเดินไปข้างหน้าเย่โม่ด้วยความดีใจโค้งคำนับและพูดว่า “ขอบคุณสำหรับยาของคุณคะเชียนเปย ฉันไม่คาดหวังว่ามันจะมีประโยชน์มากขนาดนี่เลยคะ”


 


เมื่อเทียบกับความคิดของเย่โม่ เธอพอใจมาก ไม่เพียงแต่เธอจะมาถึงขั้นตติยสีเหลือง เธอยังผ่านขั้นสูงสุดและถึงครึ่งก้าวสู่สีดำ


 


เย่โม่พยักหน้าแล้วพูดว่า “แม้ว่าคุณจะยังไม่ถึงขั้นสีดำ คุณก็สามารถฝึกอย่างหนักได้ 2-3 ปี ซวี่เยวียฮวา คุณเป็นคนฉลาด คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมฉันถึงต้องให้คุณอยู่ทีหลัง”


 


ซวี่เยวียฮวาไม่ได้น่าเกลียด แต่เธอก็ไม่หยิ่งเหมือนที่คิดว่าเย่โม่ต้องการให้เธอมาที่นี่เพื่อดูเธอ


 


“เชียนเปย โปรดสั่งได้เลยคะ แม้ว่าอำนาจของฉันในฮ่องกงจะทั่วไป แต่ฉันก็มีวิธีของฉัน” ซวี่เยวียฮวา เข้าใจทันทีว่าเย่โม่หมายถึงอะไร


 


เย่โม่พยักหน้าและยอมรับ “ความสามารถของคุณดีอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นไปได้ฉันต้องการให้คุณตรวจสอบเรื่องนี้ให้ฉันและถ้าคุณต้องการ คุณอาจไปที่เมืองอสรพิษได้ ฉันมีบางอย่างที่ฉันต้องการใครซักคน ยังไงก็ตามเมื่อคุณไปที่เมืองอสรพิษ คุณเป็นของฉัน แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการ ฉันจะไม่บังคับคุณ ไม่ต้องกังวล ถ้าคุณเห็นด้วยที่จะไปที่เมืองอสรพิษ ก็ไปที่นั่นได้เลยหลังจากคุณเสร็จสิ้นการสืบ ถ้าไม่เช่นนั้นเพียงส่งผลการสืบของคุณไปที่เจียวเบี่ยนอี้ก็พอ คุณไม่จำเป็นต้องตอบกฉันตอนนี้ คุณสามารถคิดได้”


 


“เมืองอสรพิษ!” ซวี่เยวียฮวาอุทาน นั่นคือดินแดนของบริษัทลั่วเยวีย เธอเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเธอโง่จริงๆ หากบริษัทลั่วเยวียไม่ได้เป็นของเชียนเปยเย่แล้ว บริษัทเฟยยวี่จะสามารถถูกเลือกได้ได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้นเย่โม่หยิบยาออกมาจำนวนมากนั่นก็หมายความว่าเขาเป็นปรมาจารย์ยา


 


แน่นอน เย่โม่ยืนยันอีกเสียง “บริษัทลั่วเยวียเป็นทรัพย์สินของฉัน แต่คุณอาจจะคิดออกแล้วละมั้ง”


 


เย่โม่คิดว่าถ้าซวี่เยวียฮวาเข้าร่วมบริษัทลั่วเยวีย พวกเขาจะไม่ได้มีคนตรวจสอบพวกเขา และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันอีกต่อไป


 


ทั้งซวี่พิงและฝางหนานก็ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับ พวกเขาขาดสมองและความคิดที่พิถีพิถัน ซวี่เยวียฮวาสามารถทำงานนี้ให้สำเร็จได้และที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเธอเข้าร่วมบริษัทลั่วเยวีย เย่โมก็วางแผนที่จะให้เธอตรวจสอบองค์กรนอร์ทแซนด์ เขาต้องการที่จะทำลายพวกมัน แต่เขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับพวกมันมากนัก


 



 


หลังจากซวี่เยวียฮวาไปแล้ว เย่โม่ก็โทรหายวีเมี่ยวตั๋น “พี่ยวี ใช้วิธีการทั้งหมดของคุณเพื่อกำจัดบริษัทเยวียนเป่ยได้เลยนะครับ สำหรับคนในตระกูลเยวียน ฉันจะไปลากคอของพวกมันหลังจากที่ฉันกลับ”


 


“ได้เลยจ๊ะ” แม้เย่โม่จะไม่ได้โทรมา ยวีเมี่ยวตั๋นก็กำลังวางแผนที่จะทำเช่นนั้นไว้แล้ว หมาอย่างเยวียนชีปิงมันกล้ามากกับหนิงชิงเซวีย!


 


“เย่หลิงยังไม่เป็นไรใช่มั้ย?” เย่โม่ถาม


 


ยวีเมี่ยวตั๋นตอบทันที “เธอยุ่งมากกับการผสมยากับเอ๋อฮู่นะ”


 


หลังจากนั้นเย่โม่ก็จัดการกับเจียวเบี่ยนอี้อย่างง่ายๆ และออกจากการค้นหาไปตามเส้นทางการบิน


 


ในช่วงเวลานี้ ในคฤหาสน์อื่นชาย 4 คนนั่งเจรจากันอยู่อย่างใกล้ชิด…ทั้ง 4 รูปลักษณ์แปลกของฮ่องกง


 


อย่างไรก็ตาม เพียงผู้คนแค่กระซิบชื่อนี้ ผู้ที่กล่าวถึงต่อหน้าพวกเขาจะถูกฆ่าทันที


 


ทั้งสี่เป็นพี่น้องกันและโหดร้ายที่สุดจากมาเฟียฮ่องกงทั้งหมด แม้แต่ตำรวจก็รู้สึกเกรงกลัวคนทั้งสี่ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ดูเหมือนกันเลย นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาถูกเรียกว่า 4 รูปลักษณ์แปลก


 


ชายที่สูงที่สุดคือพี่ใหญ่ชื่อฟูโย่วจิน เขาเป็นขั้นสีเหลือง ชายผมยาวนั่งอยู่บนพื้นคือ ฟูโย่วอิน พี่ชายคนที่สอง ชายที่เตี้ยที่สุดคือพี่ชายคนที่สามฟูโย่วซัน ส่วนที่อายุน้อยที่สุด เร็วที่สุดและขาวที่สุดเขาคือ ฟูโย่วไฮ


 


พี่น้องทั้งสี่เป็นโจรสลัดและได้ค้นพบวิธีการฝึกทักษะการต่อสู้โบราณในหลุมฝังศพ หลุมฝังศพนั้นเกือบจะฆ่าพวกเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าไปต่ออีกเลยเพียงแค่เอาหนังสือนั้นมา


 


ด้วยวิธีฝึกตนนี้ พี่ใหญ่ได้มาถึงขั้นสีเหลืองระดับกลาง แต่ที่สอง สามและน้องสี่เกือบจะใกล้ขั้นสีเหลือง เนื่องจากความสามารถของพวกเขาพวกเขาติดอยู่กับที่ พวกเขารู้ว่ามีสิ่งที่ดีในหลุมฝังศพนั้น แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะชอบการผจญภัย พวกเขาก็ไม่ได้โง่ พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะตายแน่นอนถ้าพวกเขาเข้าไป


 


ดังนั้นทั้งสี่จึงเตรียมที่จะเข้าไปอีกครั้งเมื่อพวกเขามาถึงขั้นสีเหลือง แต่เนื่องจากอีก 3 คนไม่สามารถเข้าถึงขั้นสีเหลืองได้ และเนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ในฮ่องกงอย่างดี พวกเขาจึงทิ้งเรื่องนั้นไว้ แต่วันนี้เย่โม่กล่าวว่าเขามียาเม็ดหนึ่งที่พาไปถึงขั้นสีเหลืองได้


บทที่ 408 : วางแผนต่อต้านเย่โม่


 


พวกเขาไปประชุมของเย่โม่วันนี้เช่นกัน พวกเขาทั้งหมดสนใจในยาเพิ่มลมปราณ


 


หากเป็นเพียงยาทั่วไปบางอย่าง พวกเขาก็จะกลัวพลังของเย่โม่และไม่กล้าเสี่ยงใดๆ แต่ยาเพิ่มลมปราณได้ทำให้พวกเขาไปสู่ความบ้าคลั่ง แม้แต่คนงี่เง่าอย่างลู่ซือที่ไม่มีวิธีฝึกตนก็สามารถได้รับยานี่ แล้วคนชั้นสูงอย่างพวกเขาจะไม่ได้รับยาได้อย่างไร


 


ใครๆ ก็จินตนาการได้ว่าถ้าพวกเขาสี่คนได้รับยาเพิ่มลมปราณ และทั้งหมดกลายเป็นขั้นสีเหลืองโดยมีความเป็นไปได้ที่ฟูโย่วจินจะถึงขั้นสีดำ พวกเขาจะสามารถครองโลกได้! แต่ปัญหาคือชื่อของเย่โม่นั้นยิ่งใหญ่เกินไป และนั่นก็คือพลังของเขาที่พวกเขาได้เห็น พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะเคลื่อนไหวหรือไม่


 


“พี่ใหญ่ เย่โม่ก็แค่คนเดียวเองและพี่ก็อยู่ขั้นสีเหลืองด้วย ถ้าเราซุ่มโจมตีเขาก็มีโอกาสสูงที่เราจะประสบความสำเร็จ” ฟูโย่วอินกล่าว เขาต้องการที่จะไปถึงขั้นสีเหลืองและไปสำรวจหลุมฝังศพโบราณอีกครั้ง


 


พี่สามส่ายหัว “พี่สอง พี่ใหญ่เองก็ลังเล อย่างที่เราเห็นเองวันนี้ แม้ว่าเขาจะอ่อนแอกว่าพวกเราเล็กน้อย ลีเปาย๋านั่นไม่เลวเลย แต่เย่โม่ก็ฆ่าเขาอย่างง่ายดายและไฟนั้นก็แปลกมากเช่นกัน”


 


ฟูยูจินพยักหน้า “น้องชายสามพูดถูก ถ้าเย่โม่ถูกโจมตีได้ง่ายๆ ตาแก่เจ้าเล่ห์เจียวเบี่ยนอี้ก็คงไม่ง่ายที่จะพูดคุยกับเขา รองเพิงหยางก็ไม่เลวร้ายไปกว่าฉัน – ทำไมเขาไม่โจมตีในครั้งนั้นละ? เพิงหยางต่อสู้กับเย่โม่ครั้งก่อนและเขาก็ไม่เทียบไม่ได้เลย นอกจากนี้นายคิดว่าองค์กรโลกาอสูรนั้นทำลายล้างได้ง่ายๆหรอ? ฉันคงไม่จำเป็นต้องอธิบายให้นายฟังถึงความหวาดกลัวขององค์กรโลกาอสูร แต่จริงๆ แล้วพวกเขาถูกทำลายโดยเย่โม่! เขาน่ากลัวเกินไป หากยาอยู่ในมือของคนอื่นฉันจะคิดพุ่งเข้าใส่โดยไม่สงสัยเลย แต่เย่โม่ นี้เขาแข็งแกร่งเกินไป” ฟูโย่วจินส่ายหัวของเขา


 


คนอ้วนยืนขึ้น เขาเป็นน้องคนที่สี่และเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในบรรดาสี่คน เหตุผลที่พวกเขาสามารถ มีสถานะอย่างในปัจจุบัน ก็เพราะความสัมพันธ์อย่างมากกับงานของเขา


 


ฟูโย่วไฮส่ายหัวของเขา “อย่าพูดถึงว่าใครถูกหรือผิด การใช้ยาเพิ่มลมปราณมันยอดเยี่ยมเกินไปสำหรับเรา ถ้าเรามีมันแม้ว่าเราจะต่อต้านนิกายลี้ลับในตำนาน เราก็อาจไม่ต้องกลัว และสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถซื้อด้วยเงินได้”


 


ฟูโย่วจินมองฟูโย่วไฮอย่างแปลกประหลาดและถามว่า “นายกำลังพูดว่าเราควรโจมตีหรอ?”


 


ฟูโย่วไฮพยักหน้า “ฉันสนับสนุนการโจมตี เหตุผลเดียวที่ว่าทำไมเราถึงอยู่ที่ตอนนี้ก็เพราะเราได้รับวิธีการฝึกฝนการต่อสู้โบราณ เราจะกลายเป็นอะไรถ้าเราได้รับยาเพิ่มลมปราณ?”


 


“แต่น้องสี่ นายไม่รู้จักพลังของเย่โม่! ไม่เพียงแต่เขาจะทำลายล้างองค์กรโลกาอสูร แก๊งค์น่านชิงและแก๊งค์เมทัลริเวอร์ ก็พ่ายแพ้ด้วยมือของเขาเหมือนกันทั้งหมด” ฟูโย่วซันหน้านิ่ว


 


ฟูโย่วไฮเย้ยหยัน “แน่นอนว่าเราจะโจมตี แต่กุญแจสำคัญคือวิธีที่เราจะโจมตีต่างหาก ถ้าเขามีพลังอำนาจจริง แก๊งค์น่านชิงคงตายไปนานแล้ว และไม่ได้เป็นเจ้าเหนือหัวแห่งคาบสมุทรไซน่า นอกจากนี้ องค์กรโลกาอสูรก็เป็นเช่นนั้น ‘แกร่ง’ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของการลอบสังหาร พวกมันคือมือสังหารแม้แต่นักฆ่าธรรมดาก็สามารถสังหารขั้นสีเหลืองได้ เย่โม่แข็งแกร่ง ฉันไม่เคยบอกว่าเขาไม่ใช่ ไฟของเขามีความสามารถในการฆ่าแน่นอน แต่ทำไมเขาถึงใช้มันเพื่อทำให้เรากลัว ถ้าเขาแข็งแกร่งจนถึงจุดที่จะฆ่าเราเพียงแค่ยกมือขึ้นก็ได้แล้ว เขาต้องการให้เรากลัวเขาหรือเปล่า?”


 


ฟูโย่วไฮมองพี่ชายของเขาแล้วพูดว่า “ฉันสงสัยว่าไฟลูกนั้นของเขาเกี่ยวข้องกับทักษะชั้นสูง พี่ใหญ่ขอถามหน่อย ถ้าพี่มีอาวุธปืน พี่จะตบและเผาลีเปาย๋าถึงตายได้ไหม?”


 


“แน่นอน…ฉันทำได้” ฟูโย่วจินตอบอย่างไม่รู้ตัว


 


ฟูโย่วไฮพยักหน้า “ใช่แล้ว ฉันคิดว่าเย่โม่ควรจะอยู่ในขั้นสีดำ เรารู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะไปถึงหนังสือเล่มนี้ บอกสิว่าถ้าพี่สามารถไปถึงขั้นสีดำได้ใน 50 ปีอายุ? หรือเท่าไหร่? ดังนั้นเราจะถือว่าเขาเป็นอัจฉริยะ แต่แน่นอนเขาอยู่ในขั้นสีดำ”


 


“แต่พี่น้องสี่ ฉันได้ยินมาว่าผู้ฝึกเต๋าแห่งแก๊งค์เมทัลริเวอร์ตายด้วยมือของเขา ผู้ฝึกเต๋าอยู่ในขั้นสีดำนะ” ฟูโย่วซันแสดงความคิดเห็น


 


ฟูโย่วไฮพูดอย่างมั่นใจ “อย่าพูดถึงว่า ผู้ฝึกเต๋าเป็นขั้นสีดำดีกว่าเลย แม้ว่าเขาจะเป็น เย่โม่ก็ไม่ได้เข้าโจมตีเขานิใช่ไหม? นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องการสังหารเย่โม่ เราไม่สามารถสู้กับเขาตัวต่อตัวได้ เราไม่สู้กับเขาไม่ได้ เราต้องการวิธีพิเศษ – เพื่อฆ่าในการโจมตีครั้งเดียว! ยาเพิ่มลมปราณนี้มีค่าพอที่จะเสี่ยง”


 


ฟูโย่วอินกล่าวว่า “ฉันเห็นด้วยกับน้องสี่ การวิเคราะห์ของเขาดีมาก”


 


เห็นได้ชัดว่าฟูโย่วจินเชื่อมั่นและถามว่า “น้องสี่แผนนี้คืออะไร?”


 


ฟูโย่วไฮยิ้ม “ฉันคิดว่าเราควรให้เขากินยาของเขานะ”


 


“อธิบายสิ” ฟูโย่วอินกล่าว


 


ฟูโย่วไฮ ดูโหดร้ายบนใบหน้าของเขา “เราจะทำให้ใครบางคนสร้างระเบิดขนาดใหญ่ บางทีอาจเป็นคนที่ก่อความไม่สงบ ฉันได้ยินมาว่ามีองค์กรหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถทำระเบิดด้วยเลเซอร์ได้เป็นสิบหรือแม้กระทั่งมีประสิทธิภาพมากกว่าระเบิดทั่วไปหลายร้อยเท่า แต่ – มันมีราคาแพง ถึงอย่างนั้นฉันก็เชื่อว่าเมื่อเทียบกับยาเพิ่มลมปราณแล้ว เงินไม่มีความหมายอะไรเลย”


 


เมื่อเห็นว่าคนอื่นไม่พูดขึ้น ฟูโย่วไฮก็กล่าวต่อ “แน่นอนเราต้องเลือกสถานที่ที่ดีเพื่อที่เราจะได้ฆ่าเขาได้ในครั้งเดียว”


 


“โอเค เรามาเจรจากันว่าเราจะทำตามแผนได้อย่างไร มันน่าเสียดายที่เราไม่มีระเบิดพิเศษอะไรพร้อม ถ้าเราทำคืนนี้มันจะเป็นจังหวะที่ดีที่สุด เย่โม่ส่งเราออกมา แต่เขาเก็บแม่ม่ายดำสุดเซ็กซี่ไว้ บางทีพวกเขาอาจจะทำางอย่างอะนะ…ฉันไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะเป็นขั้นสีเหลือง มันช่างน่าละอายเหลือเกิน” ฟูโย่วอิน แสดงความคิดเห็นด้วยความผิดหวัง


 


ฟูโย่วจินส่ายหัว “น้องสอง เรากำลังพูดถึงเรื่องร้ายแรงที่นี่นะ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา เย่โม่จะไม่เก็บแม่ม่ายดำไว้เพื่อเซ็กส์จริงๆหรอก แล้วบางทีเขาอาจไปจากฮ่องกงแล้วด้วย”


 


“พี่ใหญ่พูดถูก ถ้าเย่โม่เป็นคนแบบนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องระวังมากนัก แต่ถ้าพี่สองต้องการแม่ม่ายดำมันเป็นเรื่องง่ายจริงๆ แม้ว่าเธอจะถึงขั้นดำเราก็ยังสามารถจับเธอได้ อย่างไรก็ตามเราไม่ควรลองก่อนที่จะมีเย่โม่ ฉันคิดว่าเหตุผลที่ทำให้เย่โม่เก็บเธอนั้นเป็นเพราะความสามารถในการรวบรวมสติปัญญาของเธอ” ฟูโย่วไฮเตือน


 


ฟูโย่วอินหัวเราะอย่างเชื่องช้า “มันเป็นแค่เรื่องตลกอะนะ”


 



 


ซวี่เยวียฮวาก็ลังเลเช่นกัน เธอกำลังพิจารณาว่าเธอควรจะติดตามเย่โม่หรือไม่


 


เย่โม่กล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการให้เธอทำงานให้เขา ซวี่เยวียฮวาเชื่อว่าแม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยก็ตาม เย่โม่ก็จะไม่พูดอีกครั้งและทำใจ แต่เธอก็มีความลำบากเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอมาจากตระกูลที่ถูกทำลาย มีเพียงเธอเท่านั้นที่รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ในตระกูลของเธอ


 


พ่อของเธอให้วิธีการฝึกตนแก่เธอและใช้เวลาเกือบ 20 ปีกว่าที่เธอจะบังเอิญเข้าสู่ขั้นสีเหลืองระดับกลาง เธอรู้ว่าด้วยความก้าวหน้าแบบนั้น เธอจะไม่สามารถแก้แค้นได้ตลอดชีวิต เธอคิดว่าตั้งแต่เย่โม่ได้ก่อตั้งบริษัทขนาดใหญ่ดังกล่าวได้ เชื่อมโยงกับผู้มีชื่อเสียงระดับสูงของฮ่องกงและทำลายล้างองค์กรโลกาอสูร นั่นหมายความว่าเขามีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่


 


หากเธอมีส่วนร่วมในนั้น เธอจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เธอคุ้นเคยกับชีวิตปัจจุบันของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่มีความหวังที่จะแก้แค้น แต่เธอก็รู้สึกว่าชีวิตในปัจจุบันของเธอนั้นสงบสุข แม้ว่าเธอจะอยู่ในสังคมมาเฟีย แต่เธอก็ไม่เคยต่อสู้และฆ่า เธอทำธุรกิจที่เหมาะสม ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ได้ติดต่อกับคนร้าย


 


เหตุผลที่เธอถูกเรียกว่าแม่ม่ายดำนั้นเป็นเพราะแก๊งค์ขนาดกลางต้องการพาเธอเข้ามาและยึดกิจการทั้งหมดของเธอ ในระหว่างความขัดแย้งที่ตามมา เธอพังทั้งแก๊ง เช่นนั้นชื่อของเธอก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครในโลกใต้ดินกล้าทำอะไรกับเธอ เธอคิดว่าชีวิตจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน


 


แต่เธอเข้าใจว่าถ้าเธอไม่ได้ติดตามเย่โม่ ชีวิตของเธอก็จะเป็นเช่นนั้น จะไม่มีความคืบหน้า เธอคิดมากและท้ายที่สุดก็ตัดสินใจที่จะลองดู และดูว่าเย่โม่เป็นคนทะเยอทะยานที่เธอคิดว่าเขาเป็นหรือไม่


 


ทันทีที่เธอกลับมาที่โรงแรม มันก็กลับกลายเป็นว่ามีบางคนรอเธออยู่


บทที่ 409 : หนิงชิงเซวียตกอยู่ในอันตราย


 


“คุณมีธุระอะไรกับฉันรึเปล่าคะ?” ซวี่เยวียฮวาสังเกตเห็นว่ามีคนที่รอเธออยู่คือ ลู่ซือ หัวหน้าแก๊งค์มหาสมุทร แก๊งค์เล็กๆ ซึ่งแบบนี้ไม่น่าจะถูกพิจารณาจากซวี่เยวียฮวา


 


ลู่ซือรู้สถานะของตัวเองและรู้ว่าเขาไม่มีค่าอะไรในสายตาของเธอ


 


เมื่อเห็นซวี่เยวียฮวา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างเคารพนับถือ “พี่ใหญ่ซวี่ ผมมารับใช้พี่ครับ”


 


ซวี่เยวียฮวามองลู่ซืออย่างสับสน “คุณต้องการติดตามฉันหรอ? ธุรกิจของคุณอยู่ในทะเล ในขณะที่โรงแรมนี่ก็เหมือนเหมืองและฉลาด”


 


ลู่ซือพูดอย่างจริงจัง “พี่ซวี่ ผมรู้ว่าแก๊งค์มหาสมุทรของผมดูไร้ค่าในสายตาพี่ ผมโชคดีที่เชียนเปยเย่ให้ยาเพิ่มลมปราณแก่ผม ผมถึงขั้นสีเหลืองได้ต้องขอบคุณยาเม็ดนี้ ก่อนที่จะถึงขั้นสีเหลืองผมก็รู้ว่าผมต่ำต้อยมาก่อน”


 


ดูเหมือนว่าซวี่เยวียฮวาจะเข้าใจว่าเขากำลังทำแบบนี้ทำไม เธอนั่งลงและบอกให้ลู่ซือนั่งลงด้วยเช่นกัน


 


หลังจากนั่งลง ลู่ซือก็กล่าวต่อว่า “ผมรู้ดีว่าความสามารถของผมมันน้อยนิดไม่มีค่าอะไรกับเชียนเปยเย่ แต่มันแตกต่างจากพี่ซวี่ เชียนเปยเย่ต้องการที่จะเก็บตัวพี่ซวี่ไว้ด้วยความสามารถของพี่ซวี่ ดังนั้นผมจึงคิดว่าถ้าผมติดตามพี่ซวี่ แล้วถ้าพี่ซวี่ติดตามเชียนเปยเย่ ผมก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน”


 


ซวี่เยวียฮวาเริ่มมองลู่ซืออย่างถูกต้องเป็นครั้งแรก ไม่แปลกใจที่พ่อของเธอบอกให้เธอไม่ประมาทใครเลย


 


ลู่ซือไม่ได้มีชื่อเสียงมากและเป็นเพียงแค่เจ้านายเล็กๆ ในโลกฝูงชนฮ่องกง แต่เขาก็สามารถเห็นได้ว่าเขาไปไกลได้และจินตนาการว่าทำไมเชียนเปยเย่จะเก็บเธอไว้ เขาต้องการความก้าวหน้าที่สูงขึ้น ซึ่งหมายถึงการติดตามเย่โม่ แต่เขารู้ว่าเย่โม่ไม่ต้องการเขา ดังนั้นเขาจึงมาหาเธอแทน คนๆนี้มีไหวพริบมาก


 


ถึงแม้ว่าแก๊งค์มหาสมุทรจะเป็นแก๊งค์เล็กๆ แต่ก็ยังเป็นเนื้อชิ้นเล็กๆ นอกจากนี้เขายังสามารถเอาชีวิตรอดได้ในระหว่างแก๊งค์ใหญ่เหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา


 


“คุณฉลาดมาก” ซวี่เยวียฮวาปรบมือ ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าเธอไม่ใช่คนเดียวที่ฉลาด เธอยังคงคิดว่าจะเข้าร่วมกับเย่โม่หรือไม่ แต่มีบางคนที่พยายามทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อติดตามเย่โม่


 


“ขอบคุณสำหรับคำชมเชยของคุณพี่ซวี่ แต่ผมไม่กล้าถูกเรียกว่าฉลาดต่อหน้าพี่ซวี่หรอกครับ ผมเป็นคนซื่อสัตย์ ดังนั้นถ้าพี่ซวี่ยินดีที่จะยอมรับผม ผมสาบานว่าจะจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยใจจริงสำหรับพี่ซวี่” ลู่ซือสัญญาอย่างเคร่งขรึม


 


ซวี่เยวียฮวายิ้มและยืนขึ้น “หัวหน้าแก๊งค์ลู่ คุณกลับไปก่อนเถอะ ถ้าวันหนึ่งฉันติดตามเชียนเปยเย่ ฉันจะแจ้งให้คุณทราบ”


 


ลู่ซือดีใจและลุกขึ้นยืน ก่อนที่เขาจะจากไป น้ำเสียงของเขาก็ลังเล


 


“มีอะไรอีกไหม?” ซวี่เยวียฮวาสังเกตเห็นมันและถาม


 


เมื่อเห็นเธอถาม ลู่ซือก็ดูเหมือนจะคิดมากและพูดว่า “ครับพี่ซวี่ วันนี้ที่ลีเปาย๋าต้องการปล้นยา ผมกำลังนั่งอยู่ข้างหลัง 4 รูปลักษณ์แปลก ผมเห็นว่าฟูโย่วอินเองก็ต้องการลุกขึ้นยืน แต่ถูกดึงกลับอย่างรวดเร็วโดยพี่ใหญ่ของเขา ผมสังเกตเป็นพิเศษจากทั้งสี่และทันทีที่พวกเขาออกจากห้องประชุม พวกเขาส่งสัญญาณให้กันและพยักหน้าให้กัน ก่อนที่ผมจะรีบออกไป ผมสงสัยว่าพวกเขาอาจพยายามทำร้ายเชียนเปยเย่”


 


ซวี่เยวียฮวาขมวดคิ้วและจ้องที่ลู่ซือ พร้อมพูดช้าๆ “ถ้างั้นทำไมคุณไม่บอกเชียนเปยเย่?”


 


ลู่ซือพูดอย่างงุ่มง่าม “ฉันเกรงว่าเชียนเปยเย่อาจคิดว่าผมตั้งใจจะเข้าใกล้เขา นอกจากนี้ผมยังนั่งอยู่ข้างหลังทั้ง 4 คนนั้น ดังนั้นถ้าผมไปบอกเชียนเปยเย่ มันอาจไปถึงหูของพวกเขา แก๊งค์มหาสมุทรของผมเป็นเพียงแก๊งค์เล็กๆ พวกเขาจะทำลายพวกเราได้อย่างง่ายดาย”


 


“แต่ตอนนี้คุณอยู่ในขั้นสีเหลือง ทำไมคุณกลัวอีแค่ 4 รูปลักษณ์แปลกละ? นอกจากนี้ คุณไม่กลัวว่าฉันจะเปิดเผยคุณหรอ?” ซวี่เยวียฮวาพูดอย่างสงสัย


 


ลู่ซือกล่าวอย่างระมัดระวัง “4 รูปลักษณ์แปลกสามารถทำให้แม้แต่หัวหน้าแก๊งค์เจียวรู้สึกว่าถูกคุกคามได้ ไม่มีวิธีที่ง่ายขนาดนั้นและแม้ว่าตัวผมเองจะไม่กลัว คนของผมก็เป็นคนธรรมดา พวกเขาอาจถูกฆ่าได้ง่ายๆโดยพวกเขา พี่ซวี่จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ ถ้าผมไม่เชื่อในความซื่อสัตย์ของพี่ซวี่ผมก็คงไม่มาวันนี้”


 


ซวี่เยวียฮวาพยักหน้า “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะรับทราบเรื่องนี้ เพราะงั้นกลับไปก่อนเถอะ เมื่อฉันต้องการคุณ ฉันจะแจ้งให้คุณทราบเอง”


 


ลู่ซือออกจากโรงแรมอย่างมีความสุข เขารู้ว่าตั้งแต่ซวี่เยวียฮวาได้พูดเรื่องนี่ มันก็หมายความว่าถ้าเธอจะติดตามเย่โม่ เธอจะพาเขาไปด้วยแน่นอน ก่อนที่ลู่ซือจะได้สัมผัสกับพลังของขั้นสีเหลือง เขาไม่ได้คิดมาก แต่ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นสีเหลืองและได้ตระหนักถึงพลังของมัน เขาต้องการพลังที่มากกว่านั้น


 


ซวี่เยวียฮวาทำให้ภาพลักษณ์ของเธอสดชื่นในสายตาของลู่ซือ เขามีสมองและไม่หุนหันพลันแล่น ไม่ว่าสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นถูกต้องหรือไม่ เธอก็กำลังวางแผนที่จะตรวจสอบมัน


 


เย่โม่ให้ยาที่มีค่าเกินกว่าที่เธอได้ทำกับเขา เธอสามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นทำไมจะไม่ละ? ยิ่งกว่านั้นคนอื่นๆ อาจกลัว 4 รูปลักษณ์แปลก แต่เธอก็ไม่เป็นแบบนั้น


 


…..


 


ช่วงเวลาที่หนิงชิงเซวียกระโดดลงจากเครื่องบิน เธอรู้ว่าเธอคงต้องตาย เธอรู้สึกสำลักอย่างรุนแรง เธอรู้สึกว่ามีอากาศแปลกๆ กำลังจะพัดพาเธอออกไป เธอไม่สามารถหายใจได้ ในช่วงเวลาสั้นๆ เธอเริ่มเห็นภาพหลอน สิ่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการดำน้ำบนท้องฟ้าที่เธอฝึก


 


และนี่คือตอนที่เครื่องบินลงมาน้อยกว่า 10 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก หากสูงกว่า 15 กม. เธอจะแยกออกจากกัน


 


ดูเหมือนว่าร่มชูชีพจะไม่ได้เปิดใช้มาเป็นเวลา 1 ศตวรรษแล้วละมั้ง สมองของหนิงชิงเซวียสับสนวุ่นวาย เธอกำลังหายใจไม่ออกและกำลังจะถูกแยกออกจากกัน แต่ในขณะนี้สร้อยคอบนหน้าอกของเธอก็เปล่งแสงสีขาวเพื่อปกป้องเธอ


 


คราวนี้ หนิงชิงเซวียเห็นมันชัดเจน แสงสีขาวจางๆ แต่ดูเหมือนว่ามันจะอยู่ได้นาน ความกดดันและความหนาวเย็นนั้นหายไป แต่เธอก็ยังเกือบหายใจไม่ได้


 


เธอจะตายจากการสำลักหรอ? เมื่อเธอรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างมาก กระแสลมจางๆ ก็ขึ้นไปที่สมองของเธอ ทำให้เธอหายใจคล่องขึ้นอีกครั้ง


 


นี่คืออะไร? หนิงชิงเซวียจดจำวิธีการฝึกฝนที่ทังเป่ยเวยได้สอนเธอ เส้นวงชีพจรรอบแรกทังเป่ยเวยได้สอนให้เธอไปในทางเดียวกันกับการไหลของพลังลมปราณที่หายไป


 


หนิงชิงเซวียดีใจทันที เธอเคยเรียนรู้วิธีฝึกตนนี้จริงๆหรอ? เย่โม่สอนเรื่องนี้กับเธอมาก่อนหรอ? แต่ถึงกระนั้นการไหลของพลังลมปราณก็อ่อนแอมาก ดังนั้นโดยไม่คิดครั้งที่สอง หนิงชิงเซวียก็เริ่มที่จะเสร็จสิ้นเส้นวงชีพจรที่ทังเป่ยเวยได้สอนเธอ


 


อีก 2,000-3,000 เมตรเหนือพื้นดิน ร่มชูชีพนั้นเปิดออกเอง แต่หนิงชิงเซวียยังคงจมลึกลงไปในการทำให้เส้นวงชีพจรเสร็จสมบูรณ์ และไม่รู้สึกถึงร่มชูชีพที่เปิดอยู่


 


หลังจากนั้นไม่นาน หนิงชิงเซวียก็รู้สึกได้ถึงความเย็นบนผิวของเธอ ขณะที่เธอลืมตาขึ้นมา


 


เธอไม่ตาย เธอลงบนมหาสมุทรที่ไม่ไร้ขอบเขต หนิงชิงเซวียตระหนักทันทีว่าเธอได้ลงอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ถ้าเธอไม่สามารถหาที่พื้นดินได้ ซึ่งในที่สุดเธอก็ยังคงตาย


 


หนิงชิงเซวียปลดร่มชูชีพแล้วจำได้ว่าควรมีห่วงลอยฉุกเฉินในห้องนักบิน แต่เธอไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากในเวลานั้นและไม่ได้นำออกมาด้วย ในกระเป๋าของเธอนอกเหนือจากอาหารบางอย่างก็มีเพียงอุปกรณ์ดับเพลิงและยารักษาโรคเท่านั้น


 


หนิงชิงเซวียตัวสั่น แม้ว่าเธอจะไม่จมน้ำตาย เธอก็จะแข็งตายหรือถูกฉลามกัดกิน


 


หนิงชิงเซวียจับจ้องไปที่ถุงอย่างแน่นหนา เธอไม่สามารถละทิ้งมันได้ ถ้าเธอทำ เธอจะอยู่ไม่ได้แม้ว่าเธอจะหาที่พื้นดินได้ก็ตาม


 


ความเยือกเย็นนั้นได้แทรกซึมเข้าไปในกระดูกของเธออย่างลึก จิตใต้สำนึกเริ่มวิ่งวนรอบเส้นชีพจรอีกครั้ง เธอรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตราบใดที่เธอฝึกตนความเย็นชานี่ก็จะหายไป เธอรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย


 


เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และเมื่อหนิงชิงเซวียตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันก็มืดแล้ว ด้านหน้าของเธอมีธารน้ำแข็งสีขาวที่สะท้อนแสงจันทร์ หนิงชิงเซวียชื่นชมและเริ่มว่ายเข้าหามัน


 


เธอรู้สึกโชคดีที่เธอยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่นานหลังจากนั้นมานาน อย่างไรก็ตามเธอหิวมาก


 


เมื่อเธอมาถึงธารน้ำแข็งนี้ หนิงชิงเซวียเริ่มรู้สึกเย็นและชาอีกครั้ง ด้วยลมที่พัดผ่านเข้าไปในรอยแยกภายในภูเขาน้ำแข็ง


 


อุณหภูมิเยือกแข็งบังคับให้เธอต้องฝึกตนให้ทัน เธอเปิดกระป๋องและกินมันทั้งหมดในขณะที่ดำเนินการต่อกับการฝึกตนของเธอ เธอรู้ว่าเมื่อเธอหยุดเมื่อไหร่ เธอจะแข็งตาย


 


ปัจจุบัน หนิงชิงเซวียเริ่มเชื่อมากขึ้นว่าเธอเคยฝึกฝนวิธีการฝึกตนที่ทังเป่ยเวยสอนเธอมาก่อนหน้า เธอเข้าใจทิศทางของวัฏจักรลมปราณจำนวนมากและทำเสร็จราวกับว่าเป็นวิถีประจำวันของเธอ


บทที่ 410 : ธงหัวกะโหลกน่าขนลุก


 


เมื่อหนิงชิงเซวียตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว หนิงชิงเซวียพบว่าเสื้อผ้าบนร่างกายของเธอแห้งไปแล้ว อย่างไรก็ตามแสงของสร้อยคอของเธอก็ดูหม่นหมองลง


 


หนิงชิงเซวียดึงมันออกมาแล้วมองดูอย่างกังวล เมื่อเธอเห็นการป้องกันของสร้อยคอ เธอรู้สึกถึงความรู้สึกผูกพันกับมัน มันก็เหมือนเพื่อนของเธอที่เสียสละรูปร่างหน้าตามันวาวเพื่อปกป้องเธอ


 


มันเป็นอย่างที่มู่เหมยพูดจริงๆหรอ ครั้งที่แล้วสร้อยคอนี้ช่วยปกป้องเธอด้วย สร้อยนี่ได้เปลี่ยนเป็นบาเรียงั้นหรอ? และเมื่อเวลาผ่านไปมันจะกลับมาเงามันได้รึเปล่า?


 


หนิงชิงเซวียวางสร้อยลง และทำการตรวจสอบสถานการณ์ร่างกายของเธอเอง ดูเหมือนจะมีพลังพิเศษเพิ่มขึ้นในตันเทียนของเธอ เธอสามารถใช้พลังภายในได้ ซึ่งเธอชอบมัน


 


นี่เป็น ‘ลมปราณ’ ที่ทังเป่ยเวยพูดถึงใช่ไหม? หรือ ‘ลมปราณ’ ของทักษะต่อสู้โบราณ? อาจารย์หวู๋กวงกล่าวว่าเพื่อฝึกฝนลมปราณ แม้กระทั่งผู้ที่มีความสามารถในทักษะการต่อสู้โบราณก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป คนปกติต้องใช้เวลา 10 ปี และบางคนก็ไม่สามารถรับมันมาได้ตลอดชีวิต


 


ซึ่งเธอได้ฝึกเพียง 20 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น และได้รับลมปราณภายใน


 


ทันใดนั้น ใบหน้าของหนิงชิงเซวียก็เปลี่ยนไป เธอจำอย่างอื่นที่อาจารย์หวู๋กวงพูดไว้ได้ ถ้าเธอมีพลังเช่นนั้นจริงๆแล้วในเวลา 1 ปี เธอควรจะสามารถใช้พลังของเธอห่อหุ้มความทรงจำของเธอก่อนที่เธอจะเสียชีวิตได้


 


เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?


 


ถ้ามันเป็นความจริงทั้งหมด สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่ามู่เหมยไม่ได้โกหกเธอและคำพูดของอาจารย์หวู๋กวงก็เป็นจริงเช่นกัน นั่นหมายความว่าเธอตกหลุมรักเย่โม่จริงๆ


 


สิ่งนี้จะเป็นไปได้ยังไง? เธอจะตกหลุมรักเย่โม่ได้ยังไง? เย่โม่คือใคร? เธอได้สืบเรื่องเขาแล้ว เด็กรุ่นสองที่ร่ำรวยบางคนที่เป็นขยะสังคม เธอเชื่อว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม พวกเธอไม่เคยอยู่ด้วยกัน


 


เดี๋ยวก่อนนะ เธอไม่สนใจอะไรเหรอ? ตามที่มู่เหมยบอกเย่โม่เปลี่ยนไปมาก เมื่อเย่โม่มาที่รัฐยวีเพื่อพบเธอ เขาก็ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเย่โม่ที่เธอรู้จัก นอกเหนือจากการหมกมุ่นอยู่กับเธอแล้ว ทุกอย่างก็แตกต่างกัน


 


วันนั้นเขาบอกว่าเขาจะช่วยให้เธอฟื้นความทรงจำของเธอ แต่เธอก็บอกให้เขาออกไป เหตุผลที่เธอไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้และใช้คำว่า ‘ไสหัวไป’ เพราะเธอเห็นแม่ของเธอคุกเข่าให้เขาและนั่นทำให้เธอโกรธ


 


ใบหน้าของเขาซีดมาก ในขณะที่เขาหยิบยาเม็ดนั้นออกมา เขาอ้างว่าเป็นยารักษารุปลักษณ์ แต่หลังจากที่เธอกินมัน เธอยังบอกให้เขาออกไป ซึ่งเขายังกระอักเลือดออกมาด้วย! แม่ของเธอยิ่งแย่ลงไปอีกโดยบอกว่าจุดที่เย่โม่กำลังยืนอยู่คือบ้านของเธอ และทำให้เย่โม่ออกไปทางหน้าต่าง


 


ในทันที หนิงชิงเซวียจินตนาการถึงความสิ้นหวังและความเจ็บปวดในใจของเย่โม่ ในตอนนั้น….เธอรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเธอหลังจากกินยา ยารักษารูปลักษณ์นั้นของจริงหรอ? ไม่ได้หมายความว่ามันโชคดีรึไง! เธอคิดว่าเย่โม่แค่พูดพล่าม แต่หลังจากได้เห็นผลกระทบของสร้อยคอป้องกันและยาความงามของบริษัทลั่วเยวีย เธอก็จบลงด้วยความสงสัย


 


หืมม ‘ยาความงาม’ ‘ยารักษารูปลักษณ์’ ทันใดนั้น หนิงชิงเซวียก็รู้ว่ายาทั้งสองนั้นเกี่ยวข้องกับความงาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเม็ดยาทั้งสองนั้นเกี่ยวข้องกันหรอ?


 


สรุปสิ่งนี้ทั้งหมดแล้วหนิงชิงเซวียก็ตัวสั่น เธอเข้าใจแล้ว เมื่อพิจารณาว่าบริษัทเฟยยวีได้รับเลือกและทัศนคติของประธานยวีต่อเธอ เช่นเดียวกับบอสใหญ่ลึกลับ ถ้าเธอยังไม่ได้อนุมานว่าบริษัทลั่วเยวียเกี่ยวข้องกับเย่โม่ เธอก็จะโง่เกินไป


 


ถ้าไม่ใช่บริษัทของเย่โม่ ทำไมบริษัทลั่วเยวียถึงเลือกบริษัท ของเธอ? หากเย่โม่ไม่ใช่บอสใหญ่ ทำไมคนที่มีความสามารถอย่างยวีเมี่ยวตั๋นถึงได้นับถือเธอ?


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นภรรยาของเย่โม่ ทำไมยวีเมี่ยวตั๋นถึงหยาบคายกับเยวียนชีปิงมากเท่าถึงการตั้งเป้าหมายเขา? ท้ายที่สุดแล้ว บริษัทลั่วเยวียเป็นบริษัทใหม่ พวกเขาไม่เพีย แต่จะทำให้เยวียนชีปิงโกรธแบบสุ่ม แม้แต่ที่ว่าพวกเขาก็ไม่ต้องการให้ความร่วมมือกับพวกเขาด้วย


 


ทำไมยวีเมี่ยวตั๋นไม่ได้ส่งตัวแทนไปยังบริษัทอื่นๆ แต่เพียงเพื่อเธอ?


 


“นั่นแหล่ะ” หนิงชิงเซวียบ่น เธอได้ตระหนักถึงสิ่งต่างๆมากมาย เธอเดาว่าสิ่งที่เย่โม่บอกเธออาจเป็นจริง


 


หนิงชิงเซวียคว้าผมของเธอ แม้ว่าเธอจะเชื่อในสิ่งเหล่านี้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่เชื่อว่าเธอจะตกหลุมรักเย่โม่


 


หนิงชิงเซวียถอนหายใจและแยกความคิดเหล่านี้ออกไป ในขณะที่เธอเดินออกมาจากรอยแยกและพบที่นั่ง เธอหยิบของบางอย่างออกมากินก่อนที่จะรู้ตัวว่าเธอขาดน้ำ


 


หากเธอไม่สามารถหาดินได้โดยเร็วที่สุด เธอก็จะตายเหมือนเดิม แต่ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธออยากรู้ว่าทำไมเธอถึงตกหลุมรักเย่โม่และรักษาความทรงจำ เมื่อเธออยู่ในช่วงเวลาแห่งความตาย


 


หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างงุนงง ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนส่งประกายไปทั่วจิตใจ เธอสงสัยว่าพ่อแม่ของเธอเป็นอย่างไร พวกเขาจะต้องเป็นห่วงเธออยุ่แน่


 


หนิงชิงเซวียนั่งที่นั่นทั้งเช้า จากนั้นหนิงชิงเซวียก็ตัดสินใจว่าเธอต้องการที่จะหาพื้นดินและไม่มั่วมานั่งเสียใจอยู่ที่นี่


 


เมฆปกคลุมไปทั่วทั้งด้วยดวงอาทิตย์ ทำให้อุณหภูมิเย็นลงอีกครั้ง หนิงชิงเซวียมองไปรอบๆ เธอคิดว่าเนื่องจากเธอต้องการที่จะออกจากธารน้ำแข็ง เธอจึงต้องหาที่ที่จะไปบนบก เธอไม่ชอบว่ายน้ำในมหาสมุทร


 


ในระยะไกล หนิงชิงเซวียเห็นเงาดำมากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นเรือ! มันเป็นเรือจริงๆ!


 


หัวใจของหนิงชิงเซวียเริ่มเต้นแรง นี่หมายความว่ามีคนอยู่ที่นั่น ซึ่งหมายความว่าเธอจะรอด เธอจ้องมองไปที่เรือ ในขณะที่ไปตามทิศทางนั้น เธอจะกรีดร้องเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่แล้วทันทีที่เรือเข้ามาใกล้


 


มันใกล้เข้ามาแล้ว แต่สามารถเห็นใบเรืออยู่บนเรือได้ ยุคนี้แล้วนพและยังมีใบเรือด้วยหรอ? หนิงชิงเซวียรู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลก


 


เมื่อเรือใกล้เข้ามา หนิงชิงเซวียกำลังจะโบกด้วยผ้าขนหนู แต่เมื่อเธอเห็นธงบนเรือ ซึ่งมันเป็นหัวกะโหลกคว่ำ แม้ในตอนกลางวัน หนิงชิงเซวียก็ยังรู้สึกหนาวสั่น


 


ดูเหมือนว่าจะไม่มีแม้แต่คนเดียวบนเรือและหนิงชิงเซวียก็วางมือลงอย่างรวดเร็ว เธอกลัวที่จะดึงดูดเรือ โชคดีที่ตาของเธอดีหรือไม่งั้นเธอจะไม่สามารถมองเห็นธงหัวกะโหลกได้


 


หนิงชิงเซวียซ่อนตัวในรอยแยกอีกครั้งอย่างระมัดระวังและหยิบปืนออกมาจากกระเป๋า


 


มันเป็น MP5KA4 เธอมีเพียง 2 คลิป ซึ่งหนึ่งในนั้นได้มาจากคนที่มีอาการน้ำมูกไหล แต่ก็ถูกไฟไหม้ ดังนั้นเธอจึงไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอจะสามารถใช้มันได้หรือไม่


 


นอกจากนั้น เธอมียันต์ไฟ 4 ใบจากทังเป่ยเวยมอบให้กับเธอก่อนที่เธอจะจากไป ตอนนี้เธอรู้สึกขอบคุณทังเป่ยเวยจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เธอคงตายบนเครื่องบินและไม่แน่ใจว่าศพของเธออาจถูกข่มขืนด้วยหรือไม่


 


หนิงชิงเซวียเก็บยันต์ลูกไฟไว้กับตัวเธออย่างประณีต ผูกกริชไว้ที่ขาของเธอและถือปืนไว้ในมือของเธอก่อนที่จะจ้องมองที่เรือที่แล่นไป


 


หนิงชิงเซวียไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเดินเรือมากนัก แต่ธงหัวกะโหลกนั่นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่บนเรือจะไม่เป็นคนที่มีคุณธรรม เธอยังสงสัยว่ามันเป็นเรือโจรสลัด แต่เธอดูเหมือนจะไม่เห็นใครเลย


 


ในสมัยนี้ใครยังใช้เรือแบบนี่อยู่บ้าง? เพียงอย่างเดียวนี้ก็น่าขนลุกมากในตัวมันเองแล้ว


 


หนิงชิงเซวียไม่ชอบดูภาพยนตร์ แต่เธอยังคงเห็นโปสเตอร์ภาพยนตร์เหล่านั้นอยู่ หากเรือลำนี้เป็นเรือโจรสลัดจริงๆ เธอก็จะสามารถอธิษฐานได้ว่าพวกเขาไม่เห็นเธอ เธออยากตายเพียงลำพังบนธารน้ำแข็งนี้มากกว่าถูกโจรสลัดจับไป


 


เธอมี 2 คลิป ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอถูกโจรสลัดจับเธอจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกข่มขืน


 


หนิงชิงเซวียกังวลมากขึ้นเมื่อเรือใกล้เข้ามา เธอเห็นบางสิ่งบนเรือ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสมอเรือขนาดใหญ่ แต่นอกเหนือจากนั้นและธง เธอก็ไม่เห็นอะไรเลย


 


ธงกะโหลกศีรษะดูน่ากลัวและหนิงชิงเซวียก็รู้สึกว่าขนลุกไปทั่วทั้งตัว เธอแนบติดอย่างใกล้ชิดภายในรอยแยก ขณะที่ถือปืนไม่กล้าขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อย


บทที่ 411 : เกาะที่มีกลิ่นกำมะถัน


 


เรือแทบได้ผ่านธารน้ำแข็งที่หนิงชิงเซวียอยู่ไป ราวกับว่าคนบนเรือไม่สนใจเลยว่ามันจะชนหรือเปล่า


 


หนิงชิงเซวียไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว เรือลำนี้เงียบเกินไป ไม่มีเสียงอะไรเลย แล้วจู่ๆ หนิงชิงเซวียก็คิดบางอย่างขึ้นมา เรือกำลังเคลื่อนที่ด้วยตัวมันเองหรอ? หรือว่าเป็นเรือโจรสลัดที่เคยต่อสู้กับกลุ่มอื่นและทุกคนบนเรือเสียชีวิต?


 


แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรมีแผลของการต่อสู้สักหน่อย สิ่งที่เธอเห็นคือเรือที่สมบูรณ์แบบ ใบเรือนั้นดูใหม่เอี่ยม


 


ถ้านี่เป็นเรือที่ว่างเปล่าจริงๆ แล้วเธอจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่านี้อีกหรอ หนิงชิงเซวียดีใจและไม่ได้คิดอะไรมาก เช่นเดียวกับที่เธอต้องการลุกขึ้นและตรวจสอบเรือ แล้วเสียงดังฉับพลันก็มาจากมันราวกับว่าผู้คนกำลังปาร์ตี้และดื่ม


 


มีคนบนเรือหรอ? หนิงชิงเซวียรีบก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว แต่เสียงก็ดูเหมือนจะหายไปอีกครั้ง เดี๋ยวก่อนสิ นี่มันไม่ถูกต้อง เสียงก็มาทันที แต่ก็หายไปอย่างกระทันหัน หนิงชิงเซวียยังสงสัยว่าเธอไม่น่าจะได้ยินผิด แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็ไม่กล้าลงเรือและไม่กล้าแม้แต่จะลงน้ำ


 


เรือลำนี้น่าขนลุกเกินไป หากมีผู้คนอยู่บนนั้น พวกเขาจะไม่ยอมให้เรือผ่านธารน้ำแข็งและยังคงดื่มเสียงดังอยู่ข้างในแน่ หากไม่มีคนอยู่บนเรือ ทำไมมันดูเหมือนว่าจะเคลื่อนไหวได้คล่องเกินไปละ?


 


เรือผี? หนิงชิงเซวีย รู้สึกขนลุกอีกครั้ง


 


เธอได้ศึกษาในระดับสูงและไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ถ้ามันเป็นก่อนหน้านี่ เธออาจจะไปบนเรือแล้ว


 


แต่หลังจากได้รับประสบการณ์ในสร้อยป้องกัน ยันต์บอลไฟและทุกสิ่งเหล่านั้น ความเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าของเธอก็สั่นคลอนเล็กน้อย บางทีโลกนี้อาจมีผีจริงๆ


 


เรือแล่นผ่านธารน้ำแข็งโดยไม่หยุด แต่หนิงชิงเซวียไม่กล้าเคลื่อนไหวและซ่อนตัวอยู่ในน้ำแข็งฟังอย่างระมัดระวัง แม้หลังจากที่เรือแล่นไปได้ไกล เธอก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย มันเป็นแค่จินตนาการของเธอใช่ไหม?


 


พื้นผิวทะเลเย็นลงอีกครั้ง เนื่องจากดวงอาทิตย์ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกที่เริ่มก่อตัวขึ้นในขณะที่เรือไม่ปรากฏตัว


 


หนิงชิงเซวียตัวสั่น เธอไม่กล้าลงไปในน้ำและค้นหาพื้นดินอีกต่อไป เธออาจอยู่บนธารน้ำแข็งนี้ดีกว่า


 


เพื่อที่จะต้านทานความหนาว หนิงชิงเซวียฝึกตนไม่หยุด เมื่อเธอเหนื่อยเธอก็จะกินนิดหน่อย ในระหว่างวัน เมื่อดวงอาทิตย์ออกมาเธอยืนอยู่บนธารน้ำแข็งมองไปรอบๆ ด้วยความหวังที่จะพบเรือธรรมดา


 


กระนั้น หนิงชิงเซวียก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่โชคดีคือสร้อยคอคืนความแวววาวมาบางส่วน เธอเชื่อว่ามันสามารถซ่อมตัวเองได้จริงตราบใดที่มันไม่แตก


 


อย่างไรก็ตาม หนิงชิงเซวียตระหนักว่าธารน้ำแข็งของเธอเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ และเมื่อถึงเวลามันจะละลาย


 


เมื่อธารน้ำแข็งละลาย เธอจะตกลงไปในมหาสมุทรอีกครั้ง หนิงชิงเซวียมองไปรอบๆ มหาสมุทร แต่ไม่พบธารน้ำแข็งอื่น เธอเอื้อมมือลงไปในน้ำและรู้สึกว่ามันอบอุ่นเล็กน้อย


 


นี่คืออะไร? หนิงชิงเซวียปีนขึ้นไปบนยอดของธารน้ำแข็งและมองไปรอบๆ ทันใดนั้นเธอเห็นร่างสีดำอยู่ไกลออกไป


 


มันเป็นเกาะ! หนิงชิงเซวียกระโดดไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเธอไม่ชอบอยู่กับผู้คนจำนวนมากในตอนแรก และเธอมีวิธีการฝึกตน เธออาจจะเป็นบ้าอยู่ที่ธารน้ำแข็ง


 


เธอกังวลว่าธารน้ำแข็งของเธอจะลอยไปที่เกาะนั้นได้หรือไม่ เธอกลัวที่จะลงไปในน้ำอีกครั้งและว่ายน้ำหากมันไม่เป็นเช่นนั้น


 


โชคดีที่หนิงชิงเซวียเห็นหลังจากที่ธารน้ำแข็งของเธอลอยไปที่เกาะ ซึ่งเธอพักผ่อนได้ง่ายขึ้นหน่อย


 


แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้คนในตอนท้าย แต่เธอก็อยากตายบนพื้นดินมากกว่าที่จะจมอยู่ในมหาสมุทร เธอเกลียดน้ำทะเลเค็ม แต่ต้องใช้มันเพื่อล้างตัวเองทุกวัน


 


หนิงชิงเซวียบรรจุสิ่งของของเธอ ถุงนั้นเกือบจะว่างเปล่าแล้วนอกจากปืนหนักเล็กน้อยทุกอย่างก็เบามาก


 


ช่วงเวลากลับมามืดอีกครั้ง ธารน้ำแข็งก็เข้ามาใกล้เกาะ ตอนนี้หนิงชิงเซวียสังเกตเห็นแล้วว่าเกาะนี้ไม่เล็ก เธอประเมินว่ามันต้องมากกว่า 10 กม.² เธอดีใจที่ได้เห็นพืชพรรณบนเกาะและเห็นนกนางนวลบางตัวบินข้ามเกาะ นี่หมายความว่ามันเป็นที่อยู่อาศัย


 


มีกลิ่นกำมะถันและเมื่อหนิงชิงเซวียเงยหน้าขึ้นมอง เธอก็เห็นว่าที่ใจกลางเกาะมีพื้นที่กว้างขวาง หนิงชิงเซวียขมวดคิ้ว เกาะนี้อาจเป็นภูเขาไฟ หากภูเขาไฟระเบิดขึ้นเธอคงไม่มีทางหนีไปไหนได้


 


แต่แม้ว่าเธอจะรู้ว่าภูเขาไฟลูกนี้ปะทุได้ เธอก็ยังคงไปต่อเพราะเธอไม่มีที่อื่นให้ไป


 


เมื่อหนิงชิงเซวียมองไปรอบๆ เกาะ เธอก็ตกตะลึง เรือที่น่าขนลุกพร้อมใบเรือเองก็หยุดที่เกาะนี้!


 


หนิงชิงเซวียไม่กล้ายืนที่จุดสูงสุดของธารน้ำแข็งอีกต่อไป เธอปีนลงอย่างรวดเร็วในขณะที่ธารน้ำแข็งใกล้เข้ามาใกล้กับเรือมากขึ้น หนิงชิงเซวียสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าถึงแม้ว่าเรือจะหยุดที่เกาะ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งสมอ หนิงชิงเซวียมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่บนเรือแน่นอน แต่เธอก็ยังกลัวและอธิษฐานขอให้ธารน้ำแข็งไม่เข้าใกล้เรือ


 


แต่ธารน้ำแข็งยังคงอยู่ใกล้กับเรือและด้วยทิศทางและความเร็วในปัจจุบัน มันจะชนเข้ากับเรืออย่างแน่นอน


 


เธอควรกระโดดลงน้ำไหมเนี้ย? หนิงชิงเซวียลังเล หากไม่มีเรือประหลาดนี้ เธอก็จะทำ แต่ด้วยเรือลำนี้ เธอกลัวที่จะกระโดดลงน้ำ สรุปแล้วด้วยบนธารน้ำแข็ง เธอยังคงสามารถมองไปรอบๆได้ ขณะเธออยู่ในน้ำใครจะรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง


 


ลมกระโชกแรงพัดมาและหนิงชิงเซวียตัวสั่น ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าเส้นทางของธารน้ำแข็งกำลังเปลี่ยนไปเล็กน้อย ด้วยวิธีนี้ธารน้ำแข็งอาจไม่ชนเข้ากับเรือ


 


หนิงชิงเซวียรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ยังคงจับปืนไว้แน่นซ่อนตัวอยู่ด้านหนึ่งของธารน้ำแข็ง


 


เมื่อธารน้ำแข็งพัดผ่านเรือไป จิตใต้สำนึกหนิงชิงเซวียอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือและทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้น ฉากภายในเรือก็ถูกฉายในสมองของเธอทันที!


 


หนิงชิงเซวียประหลาดใจ นี่คืออะไร? ทันทีที่เธอสะดุ้ง ภาพในสมองของเธอก็หายไป แต่หนิงชิงเซวียสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีใครอยู่บนเรือ แม้ว่าในห้องที่ใหญ่ที่สุดของเรือก็มีโต๊ะที่มีอาหารให้ด้วย


 


หนิงชิงเซวียเริ่มกลัว เธอไม่เข้าใจว่าภาพของเรือปรากฏในสมองของเธอได้อย่างไรเมื่อเธอนึกถึงมัน


 


แม้ว่าหนิงชิงเซวียกำลังฝึกฝนวิธีฝึกตน แต่เธอก็ยังไม่รู้เกี่ยวกับสัมผัสจิตวิญญาณ เธอรวบรวมสติของเธอแล้วตรวจดูด้านในของเรือ แต่เธอกลัวจนไม่รู้ว่าจะใช้มันได้อย่างไร เธอจึงดึงมันกลับมาโดยไม่รู้ตัวเพราะมัน


 


หนิงชิงเซวียได้ไตร่ตรองไว้ว่า ‘ไม่มีใครจัดการเรือ แต่ก็ไม่ได้ชนกับธารน้ำแข็งหรือแนวปะการังใดๆ เลยและแล่นไปยังเกาะเล็กๆ แห่งนี้ แล้วมันจะไม่น่าประหลาดใจอะไรอีกล่ะ!’


 


อย่างที่เธอคิดสิ่งนี้ หนิงชิงเซวียไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหวอีกต่อไป เธอรู้สึกว่ามือของเธอเหงื่อออกจากการถือปืน ถ้าเธอมีทางเลือกเธอคงไม่อยากไปบนเกาะเพราะเรือที่น่าขนลุกนี้ แต่เธอทำไม่ได้


 


ทันใดนั้น หนิงชิงเซวก็รู้สึกถูกกระแทกอีกครั้งราวกับว่าลมอันเยือกเย็นพัดมาจากรอยแยกของธารน้ำแข็งที่เธออยู่ หนิงชิงเซวียสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าก่อนที่ลมเยือกเย็นจะเข้ามาใกล้เธอ มันจะถูกบล็อคโดยสร้อยคอและหายไป


 


มีการไหลของพลังงานที่อบอุ่นจากสร้อยคอที่ไหลผ่านร่างกายของเธอและทำให้เธอสงบลง


 


หนิงชิงเซวียสัมผัสสร้อยคอแล้วพึมพำ “เธอช่วยฉันอีกครั้งแล้ว ขอบคุณนะ”


 


ธารน้ำแข็งสัมผัสกับเกาะในที่สุด หนิงชิงเซวียกลัวที่จะอยู่ต่อไปไม่ใช่เพราะมันเล็กลง แต่เพราะธารน้ำแข็งอยู่ติดกับเรือ


 


หนิงชิงเซวียกระโดดขึ้นไปบนเกาะ เธอไม่กล้ามองย้อนกลับไป ขณะที่เธอวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามของเรือ


บทที่ 412 : ค้นหาในทะเล


 


เย่โม่ไปตามเส้นทางเดิมแล้ว 2 ครั้ง ตามข่าวของซวี่เยวียฮวา เครื่องบินดังกล่าวหายไปครึ่งทาง เมื่อมันหายไปและสิ่งนี้อยู่ตรงกลางมหาสมุทรแปซิฟิก


 


ซึ่งเย่โม่ค้นหาหลายรอบแล้วในภูมิภาคนี้ แต่ไม่พบอะไรเลย


 


เย่โม่ยืนอยู่ในอากาศเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก แม้ว่าเขาจะกังวล แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ เขาเกลียดที่พลังของเขาอ่อนแอเกินไป มันจะง่ายกว่ามากถ้าค้นหาทางสัมผัสจิตวิญญาณของเขาสามารถสแกนหลาย 10 กิโลเมตร อย่างไรก็ตามในขณะนี้เขาสามารถมองเห็นได้เพียงประมาณ 400 เมตรด้วยสมัผัสจิตวิญญาณเท่านั้น


 


แต่เย่โม่รู้ว่าการมีสัมผัสจิตวิญญาณที่สามารถเข้าถึงระยะทางหลาย 10 กิโลเมตรได้นั้นแสดงว่าอยู่ในขั้นตั้งรากฐานหรือแม้แต่ขั้นโอถสทองคำ


 


แม้ว่าเย่โม่จะไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ แต่เขาก็ยังเหนื่อยจากการอยู่ในอากาศนานมาก โชคดีที่มันลึกลงไปในมหาสมุทรแปซิฟิกและเรือดำน้ำสหรัฐไม่สามารถตรวจจับเขาได้ มิฉะนั้นอาจมีปัญหามากกว่านี้


 


ดูเหมือนว่าจะไม่มีเบาะแสอีกต่อไป แต่เย่โม่จะไม่ยอมแพ้แบบนั้น เขามี 2 ตัวเลือก ไม่ว่าจะกลับไปฮ่องกงและคิดทางเลือกหรือตามหา


 


เย่โม่คิดว่าชายชาวญี่ปุ่น 2 คนที่เขาจับได้และจักรวรรดิอาทิตย์ทมิฬ หากพวกนั้นจี้เครื่องบินพวกมันจะไม่บินไปญี่ปุ่นหรอ?


 


เมื่อรู้อย่างนี้เย่โม่จึงตื่นเต้นและบินไปทางเหนือ แม้ว่าลมปราณของเขาจะหมดลง เขาก็สามารถเอาแพออกมาได้หากเขาต้องการพักผ่อน


 


แม้ว่าเครื่องบินที่ถูกแย่งชิงได้เดินทางไปทางเหนือแล้ว เย่โม่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นในญี่ปุ่น มิฉะนั้นถ้าพวกเขาบินเครื่องบินที่ถูกแย่งชิงไปยังญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย พวกนั้นก็โง่แล้ว


 


เย่โม่มั่นใจว่าแม้ว่าทิศทางจะเป็นทิศเหนือ พวกเขาจะไม่เข้าใกล้ประเทศแถบชายฝั่ง เนื่องจากแต่ละประเทศมีระบบป้องกันของตนเอง นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถบินไปยังดินแดนที่ถูกทิ้งร้างอย่างมหาสมุทรใบหลินได้ นอกจากนี้มหาสมุทรใบหลินยังมีอาณาเขตร่วมกันระหว่างรัสเซียและสหรัฐอเมริกา เครื่องบินอาจอยู่ในบางเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกหรือใกล้ญี่ปุ่น


 


มันเป็นการเดินทางอีก 2 ชั่วโมงและมันก็เป็นเวลา 2 โมงเย็นแล้วซึ่งเย่โม่พักลงบนแพอย่างเหนื่อยล้า


 


หลังจากกินอาหารง่ายๆ ลมปราณของเย่โม่ก็เริ่มฟื้นตัว หลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมงแม้ว่าลมปราณของเขาจะอยู่ไกลจากการฟื้นตัวเต็มที่มันก็ดีกว่าเมื่อก่อน


 


มีเสียงแปลกๆ ในทะเลตอนกลางคืนมีอยู่ทุกประเภท แต่พวกเขาก็ไม่ได้รบกวนเย่โม่ แต่เขาวางแผนที่จะค้นหาต่อไปในระหว่างวันหลังจากที่เขาหายดีแล้ว


 


ในขณะนั้น เขาสาบานเลยว่าจะได้ยินเสียงแผ่วเบาของเครื่องยนต์ มันอาจเป็นเรือที่แล่นผ่าน เย่โม่เก็บแพ เขาต้องการดูว่าเป็นเรือประเภทไหน


 


เมื่อเย่โม่เข้าหามัน เขาพบว่ามันเป็นเรือประมงธรรมดา แต่เรือหาปลาที่ปรากฎในตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกและตอนเที่ยงคืนนั้นดูน่าขนลุก


 


คลื่นขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยสามารถทำให้เรือลำนี้ล้มได้


 


เย่โม่ใช้การล่องหนและลงบนเรือ เขาส่งสัมผัสจิตวิญญาณเข้ามา ซึ่งมันมีเครื่องมือค้นหาจำนวนมากและแม้แต่เรดาร์ขั้นสูง เรือหาปลาจะหาอะไรว่ะเนี้ย?


 


ทันใดนั้น เย่โม่ก็จดจ่อ เขาเห็นสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์สีดำ บนเรือมีคน 4 คนและพวกเขาพูดภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด


 


ชายทั้งสี่อาจจะค้นหาเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่สามารถหาอะไรได้และกลับมาตอนนี้ เย่โม่ไม่กวนพวกเขา เขารู้ว่าเขาจะไม่สามารถถามอะไรพวกเขาได้และไม่สามารถค้นหาจิตวิญญาณของพวกเขาได้ ดังนั้นเขาสามารถติดตามพวกเขาและดูว่าปลายทางสุดท้ายของพวกเขาคืออะไร


 


เรือมีเครื่องยนต์ 2 เครื่องและเร็วมาก เย่โม่รู้ว่าเรือประมงนี้มีพลังมากกว่าที่เห็น


 


อีก 1 ชั่วโมงต่อมาท้องฟ้าก็ยังไม่สว่างขณะที่เรือหยุดบนเกาะที่แห้งแล้ง เกาะไม่ใหญ่มากมันเป็นเหมือนแนวปะการังที่ค่อนข้างใหญ่มากกว่า


 


ชายสี่คนเก็บเรดาร์แล้วต่อเรือก่อนเข้าเกาะ


 


เกาะนี้มีพื้นที่เพียงประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ชายสี่คนลงไปและมุ่งหน้าไปที่ศูนย์กลาง เย่โม่ติดตามพวกเขา เขาพบว่ามีบ้านไม้อยู่ตรงกลางและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ไม่ไกลจากบ้าน


 


หากเกาะปะการังนี้ไม่ได้อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก เย่โม่จะต้องคิดว่ามันเป็นบ้านชั่วคราวของชาวประมง แต่ตอนนี้เขามั่นใจว่าชายทั้งสี่ไม่ใช่ชาวประมง นอกจากนี้พวกเขายังนำเรดาร์มาด้วย


 


เย่โม่ถูกสแกนด้วยเรดาร์ก่อนหน้านี้และเขารู้ว่าการล่องหนของเขานั้นไม่สามารถหลอกลวงเรดาร์ระดับสูงได้ เขาไม่รู้ว่าเรดาร์ของญี่ปุ่นก้าวหน้ากว่าเรดาร์ของสหรัฐอเมริกาหรือไม่ แต่เย่โม่ก็ยังคงพยายามระวัง


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เย่โม่ไม่ได้คาดหวังก็คือหลังจากเขาเดินเพียงไม่กี่ก้าวไซเรนก็ดับลง จากนั้นชายสี่คนที่เข้าไปข้างในก็รีบวิ่งและเล็งปืนไปที่เย่โม่พึมพำในภาษาญี่ปุ่น


 


เย่โม่มองลงไป เขาไม่ได้ถูกจับด้วยเรดาร์ แต่เขายืนอยู่ที่ alarm mine คนญี่ปุ่นเหล่านี้เจ้าเล่ห์จริงๆ หากเขาไม่ได้ค้นหาด้วยสัมปผัสจิตวิญญาณอย่างระมัดระวัง เขาจะไม่สามารถพบกับดักบนพื้นได้เลย


 


“มีใครเข้าใจภาษาจีนบ้างไหม?” แม้ว่าเขาจะถูกจับได้ แต่เย่โม่ก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร หากเขาไม่สามารถค้นพบสิ่งที่ซ่อนอยู่ได้ เขาจะแสดงตัวและซักถามพวกเขา


 


หลังจากได้ยินคำพูดของเย่โม่ ทั้งสี่คนก็มองหน้ากันและเปิดตัวสแกนทะเล พวกเขาสงสัยว่าเย่โม่ขึ้นมาบนเกาะนี้ได้อย่างไร แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ให้สัญญาณกันและยิงที่ขาของเย่โม่


 


พวกเขาไม่ต้องการชีวิตของเย่โม่ พวกเขาแค่ต้องการจับเขา


 


แต่หลังจากกระสุนปืนนัดแรก พวกเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าพวกเย่โม่หายไป เย่โม่เพียงต้องการดูการแสดงออกของพวกเขา เพื่อให้ตระหนักว่าไม่มีใครเข้าใจภาษาจีน


 


ในเวลาเดียวกัน มีการยิงวินด์เบลด 2-3 ครั้ง เย่โม่ทิ้งไว้ 1 ชีวิตและอีก 3 คนถูกตัดเป็นชิ้นๆ


 


คนที่เหลือเห็นในทันทีว่าสมาชิกในทีมทั้ง 3 คนของเขาเปลี่ยนเป็นชิ้นเนื้อ เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเย่โม่โจมตียังไง


 


เขาใช้เวลา 2-3 ก้าวถอยหลังด้วยจิตใต้สำนึกและพูดบางอย่างออกมา เขาเห็นได้ว่าเย่โม่ไม่เพียงแต่ทำให้เขามีชีวิตอยู่เพื่อสอบสวนเขา เย่โม่รู้ว่าเขาไม่เข้าใจภาษาจีนและมันจะยากที่จะถามอะไรเขา เขาจะทำให้เขามีชีวิตอยู่เพื่อพาเขาไปฮ่องกง


 


ชายคนนั้นเห็นเย่โม่มาหาเขา เขารีบหยิบของบางอย่างออกมาและเทลงในปาก


 


เย่โม่หยุด เขาเห็นสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นทำ มันเป็นยากระตุ้นหรอ? แต่แล้วเย่โม่ก็รู้ว่าเขาคิดผิด ใบหน้าของชายนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำทันที


 


ยาพิษ? เย่โม่เข้าหาเขาแล้วจับข้อมือของชายนั้น ซึ่งเขาพบว่าพิษแรงมาก ในช่วงเวลาสั้นๆ กระเพาะอาหารและลำไส้ของเขาก็ถูกละลายไปแล้ว


 


เย่โม่ปล่อยให้ชายคนนั้นตายไป หากเขาจะช่วย เขาจะต้องใช้จิตวิญญาณลมปราณและยาบัวแห่งชีวิต ทั้งสองมีค่าและเขาไม่เต็มใจที่จะเสียมัน


 


ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ว่าหนิงชิงเซวียน่าจะกระโดดลงกลางคัน แม้ว่าเขาจะช่วยชีวิตเขาไว้ เขาก็จะไม่ได้รับข้อมูลใดๆ เย่โม่ไม่ได้สนใจในรูปแบบที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา เขาต้องการให้ชายผู้นี้มีชีวิตอยู่ ไม่ต้องการถามเขาว่าแผนการของพวกเขาคืออะไร แต่เพื่อพาเขาไปที่ฐานของพวกมันเพื่อแก้แค้น


 


เย่โม่เดินเข้าไปในบ้านไม้เล็กๆ สิ่งแรกที่เขาเห็นคือร่มชูชีพที่เปิดอยู่ และมันยังเปียกอยู่


 


สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชิงเซวียใช้รึเปล่า? เย่โม่รู้สึกตื่นเต้นบางทีคนเหล่านี้ก็ตามมาหาหนิงชิงเซวียด้วย พวกเขาอาจจะกลัวว่าหนิงชิงเซวียจะรู้มากเกินไป และจะเปิดเผยพวกเขา นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาไปที่นั่นเพื่อตามหาเธอ


 


เย่โม่เริ่มค้นหาภายในกระท่อม นอกเหนือจากดีเซลและของใช้ประจำวันบางอย่าง เขาก็ไม่พบอะไรเลย


บทที่ 413 : การช่วยเหลือในมหาสมุทร


 


เย่โม่เดินไปหาคนเหล่านั้นที่เขาฆ่าและค้นร่างกายของพวกเขา เย่โม่พบสมุดบันทึก เขาเปิดมันซึ่งมีแผนที่มหาสมุทรหลายอันในนั้น เขาเกือบจะมั่นใจได้ว่าพวกเขากำลังมองหาหนิงชิงเซวีย


 


แม้ว่าเย่โม่จะไม่เข้าใจคำศัพท์ในนั้น แต่เขาก็ยังจำชื่อ หนิงชิงเซวีย ได้


 


เย่โม่พบในสมุดบันทึกตำแหน่งที่พบร่มชูชีพ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ถูกทำเครื่องหมายด้วยลองจิจูดและละติจูด เขาหยิบเรดาร์ขึ้นมาจากพื้นดินและตระหนักว่าเขาไม่รู้วิธีใช้งาน


 


เขาค้นหาเกาะปะการังทั้งหมด แต่ไม่พบอะไรเลยเกี่ยวกับจักรวรรดิอาทิตย์ทมิฬ


 


เขาสามารถยืนยัน 2 สิ่งจนถึงขณะนี้ได้ อย่างแรก หนิงชิงเซวียปลอดภัยเมื่อเธอกระโดดลงมาอย่างน้อยร่มชูชีพก็เปิดออก อย่างที่สองคนเหล่านี้ยังไม่พบหนิงชิงเซวีย ซึ่งหมายความว่าเธอยังอยู่ในมหาสมุทร


 


แม้ว่าเย่โม่จะเกลียดจักรวรรดิอาทิตย์ทมิฬเป็นอย่างมาก แต่เขาก็รู้ถึงความสำคัญ แม้ว่าเขาต้องการจัดการกับพวกเขา เขาก็ต้องตามหาหนิงชิงเซวียก่อน


 


เย่โม่ปล่อยเครื่องหมายสัมผัสจิตวิญญาณของเขาอย่างระมัดระวังในห้องพักรวมถึงสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์สีดำของพวกเขาก่อนออกจากเรือประมงเพื่อค้นหาหนิงชิงเซวีย ในขณะที่เรียนรู้วิธีการใช้เรดาร์


 


เย่โม่ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการค้นหาวิธีการใช้งาน เมื่อใช้เรดาร์เพื่อมองไปรอบๆ เย่โม่ก็สามารถรู้ได้ว่ามีการค้นหาภูมิภาคใด วิธีนี้ทำให้การค้นหาเร็วขึ้นมาก มันเป็นวิธีที่ดีกว่าที่บินในอากาศโดยไม่มีเงื่อนงำ สิ่งสำคัญคือเขาสามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้น


 


เย่โม่พยายามจดจ่อกับสถานที่ที่ชายทั้ง 4 ยังไม่เคยไป หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หมอกก็ตกลงมาเหนือมหาสมุทร อากาศก็ดูเย็นลงเช่นกัน ธารน้ำแข็งหลายแห่งเริ่มล่องลอยไปตามเรือของเย่โม่ เย่โม่รู้ว่าเขามาถึงธารน้ำแข็งกลุ่มหนึ่งเข้าแล้ว


 


ยิ่งเย่โม่ค้นมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งเป็นห่วง ไม่เพียงแต่สภาพอากาศหนาวเย็นเท่านั้น ยังไม่มีเกาะใกล้เคียงด้วย หากเธอลงที่นี่แม้ว่าเธอจะไม่หิวโหย เธอก็ยังคงแข็งตาย และเหตุการณ์นี่มันเกิดขึ้นหลายวันผ่านมาแล้ว ใครจะรู้ว่าหนิงชิงเซวียยังมีชีวิตอยู่?


 


เย่โม่เริ่มมีความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ


 


เมื่อประมาณเที่ยงคืน เย่โม่ได้ยินเสียงร้องออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือ แม้ว่าเย่โม่จะบอกได้ว่ามันเป็นเสียงของผู้ชาย แต่เย่โม่ก็ยังคงมาช่วยเขา


 


เป็นชายผิวขาวอายุ 30 ปีนั่งอยู่บนห่วงเล็กๆ ที่ลอยอยู่ในน้ำ ดูเหมือนว่าเขากำลังจะตาย ด้วยริมฝีปากของเขาที่แตก ผิวซีดและเปียกโชกจากการอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน จากสายตาที่ไม่มีชีวิตของเขาใครๆ ด็จะเห็นว่าเขาไม่ไกลจากความตายเลย เย่โม่ถอนหายใจ เขาไม่พบคนที่เขาค้นหาแต่เจอคนอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือแทน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงคนมาโผล่อยู่กลางมหาสมุทรด้วยตนเองได้


 


แต่เย่โม่ไม่ได้ใจร้าย เขาเข้าหาเขาแล้วดึงเขาขึ้นเรือ เขาให้ยาก่อนที่จะโยนอาหารและน้ำให้เขา


 


เขาสามารถเห็นได้ว่าบุคคลนี่อยู่ในสถานะขาดน้ำ ในเวลานั้นเขาให้ยา อาหารและน้ำช่วยเขา ซึ่งชายคนนี้จะรอด


 


หลังจากยาละลายในปากของเขา ชายผิวขาวก็ไม่มีเวลาที่จะขอบคุณเย่โม่ ก่อนที่จะดื่มน้ำหนึ่งขวดเร็วๆ นี้และกินอาหารกระป๋อง 2 กระป๋อง


 


เขาต้องชื่นชมความอุตสาหะของมนุษย์ที่จะมีชีวิตอยู่จริงๆ หลังจากกินอาหารและน้ำ เขาเห็นได้ชัดว่าอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น เขาพูดว่า “ขอบคุณ” กับเย่โม่ ยกเว้นคำว่า “ขอบคุณ” เย่โม่ไม่เข้าใจอะไรเลย เขาเพิ่งรู้ว่าชายคนนั้นพูดภาษาอังกฤษ


 


เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถพูดคุยกับชายคนนี้ได้ เย่โม่ก็หมดความสนใจที่จะพูดอะไรและเพิ่งตื่นตัวกับเรดาร์


 


ชายคนนั้นเห็นเย่โม่หยิบเรดาร์ออกมาและพูดพึมพำบางสิ่งอีกครั้ง


 


“คุณรู้วิธีใช้อุปกรณ์นี้ไหม?” เย่โม่ถามอย่างไม่รู้ตัว


 


“คุณเป็นคนจีนหรอครับ?” โดยไม่คาดคิด ชายผู้นั้นพูดภาษาจีนคล่องแคล่วมาก จากนั้นเขาก็พูดอย่างตื่นเต้น “ฉันคิดว่าคุณเป็นคนเกาหลีหรือญี่ปุ่นซะอีก ฉันไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะเป็นคนจีนเลย”


 


ราวกับว่าชายคนนั้นคิดว่าประโยคของเขาทำให้เย่โม่ไม่มีความสุข และพูดอย่างรวดเร็ว “อะขอโทษที นี่คือมหาสมุทรแปซิฟิก คนจีนไม่ค่อยมาที่นี่นักหรอก แต่ขอบคุณอีกครั้งนะที่ช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันอีเดน แต่ฉันชอบวัฒนธรรมจีนนะ”


 


หลังจากพบว่าอีเดนสามารถพูดภาษาจีนได้ เย่โมจึงสนใจ เขาอยากรู้ว่าอีเดนทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ได้บ้าง


 


ราวกับว่าเขารู้ในสิ่งที่เย่โม่ต้องการจะพูด แต่เขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวของเขาโดยที่เย่โม่ไม่ต้องถาม


 


อีเดนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพชาวอเมริกัน เขาตกหลุมรักแดฟนี่ลูกสาวของเศรษฐี อย่างไรก็ตาม แดฟนี่ ไม่มีความรู้สึกต่อเขา


 


อีเดนเป็นคนที่อดทนมาก เมื่อเขาเปลี่ยนจากนักวิ่งเป็นนักกอล์ฟไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จ แต่เขาสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองผ่านความสามารถและการทำงานหนักของเขาได้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้มีชื่อเสียง แต่เขาเชื่อว่าเขาจะไปถึงระดับของ Tiger Woods ได้


 


อย่างไรก็ตาม อาชีพการเล่นกีฬาของเขาไม่ได้นำความมั่งคั่งมาให้มากนักและแดฟนี่เป็นลูกสาวของนักธุรกิจสหรัฐผู้มั่งคั่ง อีเดนพบว่ามันยากที่จะได้ไปสถานที่เดียวกันกับที่เธออยู่


 


แต่อีเดนไม่ยอมแพ้ เขาพบว่าแดฟนี่กำลังขึ้นเรือลาดตระเวนเบม่าสุดหรูจากลอสแองเจลิสไปยังแคนาดา เขาใช้เงินออมทั้งหมดของเขาทันทีเพื่อซื้อตั๋ว เขาต้องการเลียนแบบแจ็คจากไททานิคและได้หัวใจของ แดฟนี่บนเบม่า ได้มีการกล่าวว่า เบม่า นั้นเป็นเรือลาดตระเวนที่หรูหราที่สุดในโลก แต่ตรงกันข้ามกับไททานิคนี่เป็นการเดินทางครั้งที่ 3 ของเบม่า


 


ผู้ที่ใช้เบม่าทุกคนเชื่อว่ามันสามารถเอาชนะโรงแรม 8 ดาวในแง่ของความสะดวกสบายได้ แต่อย่างไรก็ตาม ราคาตั๋วก็ไร้สาระเช่นกัน มีเพียงคนอย่างอีเดนเท่านั้นที่จะใช้เงินออมทั้งหมดของเขาเพื่อซื้อมัน


 


เดิมทีเรือลาดตระเวนนี้ปลอดภัยมาก แต่ในวันที่ 6 หลังจากออกจากสหรัฐอเมริกาด้วยเหตุผลบางอย่างมันเปลี่ยนทิศทางทันที มันเป็นเส้นทางดั้งเดิมที่ปลอดภัยมาก แต่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับเบม่า กองกำลังสหรัฐตรวจจับการบุกรุกของเอเลี่ยนในมหาสมุทรแปซิฟิก อีกทั้งเอเลี่ยนยังได้จัดการกับเรือดำน้ำของสหรัฐฯ ในที่สุดอำนาจทางทหารทั้งหมดก็ถูกดึงไปยังจุดที่เอเลี่ยนบุกเข้ามาและไม่มีใครสนใจเบม่า หลังจากที่มันออกจากเส้นทางเดิม


 


เมื่อผู้คนบนเรือตระหนักว่าพวกเขาถูกลักพาตัวอย่างน่าสังเกต สิ่งแรกที่อีเดนทำหลังจากรู้ว่าเรือถูกปล้นคือไปปกป้องแดฟนี่ แต่ในขณะนั้นเรือก็เต็มไปด้วยผู้ก่อการร้าย ไม่เพียงแต่พวกเขาจะปิดการใช้งานสัญญาณเตือนเท่านั้น แต่พวกเขายังนำเรือลาดตระเวนไปยังมหาสมุทรอีกด้วย


 


อีเดนอยู่บังเกอร์พื้นฐานและบังเกอร์หรูหราที่แดฟนี่ถูกปล้น ซึ่งอีเดนทำได้แค่กังวล


 


กัปตันและลูกเรือหลายคนถูกฆ่าตายเช่นเดียวกับผู้ที่ต่อต้าน แม้แต่คนที่ดูเทอะทะเล็กน้อยก็ถูกฆ่าตาย คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เอาเงิน แต่ยังรวมถึงผู้หญิงด้วย นอกเหนือจากผู้หญิงที่แก่และน่าเกลียดบางคนที่ถูกฆ่าตายแล้วเด็กที่อายุน้อยกว่านั้นก็ถูกนำตัวไปบนเรือที่มีหัวกะโหลกคว่ำบนธง


 


อีเดนพยายามกระโดดลงไปในตะขอที่ลอยอยู่ เนื่องจากมีผู้โดยสารมากเกินไปในเวลานั้นและเขาไม่ใช่คนเดียวที่กระโดด ผู้ก่อการร้ายจึงไม่มีเวลามาสนใจพวกเขาทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงหลบหนีมาได้


 


หลังจากได้ยินอีเดนพูดอย่างนี้ เย่โม่ก็ถอนหายใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินเรื่องโจรสลัดเกี่ยวกับการปล้นเรือลาดตระเวนอันหรูหรา สหรัฐฯโม้เกี่ยวกับอำนาจทางทหารของตนตลอดเวลา แต่พวกเขาปล่อยให้โจรสลัดจับเรือลาดตระเวนหรูหราที่หน้าประตูของพวกเขา ในขณะที่พวกเขายังคงพยายามจับภาพเอเลี่ยน =_= (ซึ่งคือกูเอง….)


 


อย่างไรก็ตาม เย่โม่ก็รู้สึกผิดด้วยเช่นกัน เขาได้ดึงดูดอำนาจทางทหารส่วนใหญ่ของสหรัฐในทะเลเพื่อให้โจรสลัดมีโอกาส


 


แต่ถึงกระนั้นโจรสลัดเหล่านี้ก็กล้าผิดปกติ มันเหมือนกับแขวนหัวไว้บนเข็มขัดพยายามจี้เรือจากลอสแองเจลิสไปแคนาดา!


 


เย่โม่รู้ว่าโจรสลัดเหล่านี้ไม่ใช่พวกธรรมดา พวกเขาจะไม่รู้แน่ชัดว่าเขาจะดึงดูดกองกำลังทหารสหรัฐฯ และในเมื่อพวกเขาไม่รู้ แต่พวกเขายังคงกล้าที่จะเคลื่อนไหวนั่นหมายความว่าแม้เขาจะไม่ได้รับความสนใจ พวกเขาก็อาจประสบความสำเร็จได้


 


“นอกจากธงโจรสลัดแล้วคุณเห็นอะไรอีกไหม?” เย่โม่ไม่ได้สนใจสิ่งนี้มากนัก แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่หนิงชิงเซวียก็กระโดดลงจากเครื่องบิน ดังนั้นสิ่งนี้ทำให้เขาต้องการไปถามพวกโจรสลัดเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


อีเดนพูดทันทีว่า “ในเวลานั้นมีเรือสองลำที่มีใบเรือ จริงๆ แล้วฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีเรือที่แล่นบนมหาสมุทรแปซิฟิก ฉันเห็นโจรสลัดเตะผู้หญิงลงบนเรือทั้งสองลำ ขณะที่พวกเขาปล้นทุกอย่าง ฉันหมดหวังที่จะหลบหนี เพื่อให้ใครบางคนช่วยแดฟนี่ ดังนั้นฉันจึงไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกับเบม่า”


 


“มีเรือ 2 ลำเหรอ?” เย่โม่ถามซ้ำ


บทที่ 414 : ผู้คนบนเกาะ


 


เพราะเย่โม่ถาม อีเดนจึงคิดว่าเย่โม่สงสัยในคำพูดของเขาและเสริมด้วยความมั่นใจว่า “ใช่ มีเรือสองลำพร้อมใบเรือและกะโหลกศีรษะกลับหัวขนาดใหญ่”


 


เย่โม่หยิบเรดาร์ขึ้นมาและถามว่า “คุณรู้วิธีใช้สิ่งนี้ไหม?”


 


อีเดนพยักหน้า “อื้ม เรดาร์นี้เป็นเรดาร์กองทัพสหรัฐ SY923 ฉันใช้มันเมื่อฉันรับใช้กองทัพ มันค่อนข้างเก่า แต่ก็ไม่เลวนะ”


 


เย่โม่ไม่ได้คาดหวังว่าอีเดนจะเคยรับใช้ในกองทัพ เขาโยนเรดาร์ไปที่อีเดนและพูดว่า “พาฉันไปที่เบม่าที่ถูกปล้นที ฉันต้องการเห็นมัน”


 


“อะไรนะ? คุณต้องการให้เราสองคนไปที่นั่นหรอ?” อีเดนมองเย่โม่ด้วยความตกใจ มันเป็นการฆ่าตัวตายเชียวนะ พวกเขาไม่มีอาวุธด้วย ความตายนี่ง่ายๆเลย ถ้าพวกเขาตามหาโจรสลัดที่โหดร้ายเหล่านั้น


 


เย่โม่สามารถบอกได้ว่าอีเดนกำลังคิดอะไรจากใบหน้าของเขาและพูดว่า “ถ้าเราไม่ไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ โจรสลัดจะหาย คุณกลัวอะไร? ถ้าคุณกลัว คุณก็ทำตามที่คุณต้องการ ฉันมีอาการบนเรือและคุณสามารถนำติดตัวไปได้มากเท่าที่คุณจะเอาไปได้ แต่ฉันจะไป”


 


อีเดนมองห่วงเล็กๆ เขารู้ว่าไม่ว่าเขาจะกินอาหารมากแค่ไหน ห่วงลอยน้ำนี่ก็ไม่ช่วยเขา มากที่สุดเขาจะมีชีวิตก็อีก 2-3 วันเท่านั้น


 


“โอเค ถ้างั้นฉันจะพาคุณไปที่นั่น” อีเดนกล่าวอย่างทำอะไรไม่ถูก


 


เย่โม่พยักหน้าและยอมรับเขา อีเดนไม่ใช่คนไม่ดี เขาสูงและใหญ่ 1.9 เมตร แต่เขาไม่ได้พยายามบังคับให้เย่โม่ออกจากเรือประมง


 


เย่โม่บอกได้เลยว่าอีเดนไม่เคยคิดแม้แต่จะคิด เขาเป็นคนที่นิสัยดี หากเย่โม่อยู่ใต้เท้าของเขา เขาจะไม่ฆ่าเขา แต่อย่างน้อยเขาก็จะตบเขา ถ้ามันเป็นผู้ฝึกตนจากทวีปลั่วเยวีย เขาคงจะฆ่าอีเดนและขึ้นเรือได้อย่างแน่นอน


 


เย่โม่มอบเรดาร์ให้กับอีเดน และให้เขาขับเรือ เขาช่วยชีวิตเขาไว้ตอนนี้ อีเดนต้องพิสูจน์คุณค่าของเขา ซึ่งโชคดีที่อีเดนไม่ทำให้เย่โมผิดหวัง


 


…..


 


บนเกาะกำมะถัน หนิงชิงเซวียยังคงวิ่งต่อไป มีทะเลสาบขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้าของเธอ น้ำใสและมีไอน้ำระเหยออกมาจากผิวน้ำ เหมือนน้ำพุร้อน


 


หนิงชิงเซวียมองกลับไปที่เรือกระดูกที่น่าขนลุก ที่ถูกปิดกันโดยสิ่งต่างๆ และมองไม่เห็น


 


เธอจ้องไปที่ใจกลางเกาะ กลิ่นของซัลเฟอร์ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของหนิงชิงเซวียหยุด 1 วินาที มันเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่แน่นอน การมีชีวิตอยู่ที่นี่เหมือนอยู่บนระเบิด แต่เธอไม่มีทางเลือก


 


หนิงชิงเซวียเก็บความคิดเหล่านี้ไว้และเดินไปที่ทะเลสาบ เธอรู้สึกถึงน้ำที่อุ่น เธอลองดื่มมันและมันก็เป็นน้ำจืด


 


หนิงชิงเซวียรู้สุกเริงร่าและไม่กลัวอีกต่อไป เธอรีบถอดเสื้อผ้าแล้วกระโดดลงไปในน้ำ วันสุดท้ายที่ธารน้ำแข็งทำให้เธออึดอัดมาก เธอเป็นคนที่ถูกสุขอนามัยและการไม่ได้อาบน้ำหลายวันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ


 


หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็ซักเสื้อผ้าของเธอและทำเส้นวงชีพจรให้ครบรอบ และคราบน้ำบนเสื้อผ้าของเธอก็ระเหยไปเอง


 


หนิงชิงเซวียรู้สึกเบามากหลังจากอาบน้ำ เธอหยิบกระเป๋าของเธอ เธอต้องการหาสถานที่ที่อยู่ริมทะเลสาบ แม้ว่าเธอจะไปหาที่อื่นนอกเหนือจากทะเลสาบได้ แต่น้ำพุร้อนก็ได้รับความสนใจจากหนิงชิงเซวีย ถ้าเธอไม่สามารถหาสถานที่อื่นด้วยน้ำจืดได้ เธอก็ต้องมาเอาน้ำทุกวัน


 


หนิงชิงเซวียเดินวนใกล้ๆทะเลสาบเป็นเวลานานและในที่สุดก็พบถ้ำเล็กๆ อยู่ตามเนินเขา หนิงชิงเซวียไม่รู้ว่าสัตว์ประเภทไหนที่ทำสิ่งนี้ แต่มันค่อนข้างสะอาดและกว้างขวาง


 


มีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ติดกับถ้ำ ถ้ำนั้นถูกซ่อนไว้อย่างดีมาก สิ่งเดียวคือหนิงชิงเซวียยังคงเห็นเรือจากถ้ำ เรือลำนั้นเป็นสิ่งที่หนิงชิงเซวียเกลียดที่สุด


 


แต่นอกเหนือจากถ้ำนั้น หนิงชิงเซวียไม่สามารถหาที่อยู่ที่ดีกว่านี่ได้ ดังนั้นเธอจึงสามารถทำความสะอาดถ้ำ และตัดกิ่งไม้ด้วยกริชเพื่อกั้นทางเข้าได้


 


หลังจากที่ทุกอย่างพร้อม เธอดันหินก้อนใหญ่เข้าข้างใน เธอไม่ได้นอนมาหลายวัน หากเธอไม่สามารถฝึกตนได้ เธออาจจะคลั่งไปแล้ว


 


ในไม่ช้า หนิงชิงเซวียก็ผล็อยหลับไปหลังจากนอนลง เธอเหนื่อยมาหลายวันแล้ว หลังจากนอนหลับเป็นเวลานาน เธอคิดว่าเธอเห็นร่างสีดำพุ่งมาตรงหน้าเธอ แต่วิสัยทัศน์ของเธอก็พร่ามัว


 


หนิงชิงเซวียตื่นขึ้นทันที เธอคว้าปืนข้างๆ เธอและเงาดำนั้นก็หายไปจากถ้ำในไม่ช้า


 


หนิงชิงเซวียไม่เหนื่อยอีกต่อไป นั่นอาจเป็นสิ่งที่เธอเห็นไม่ชัดเจนนัก เธอเอาก้อนหินแล้วเดินไปที่ปากถ้ำอย่างระมัดระวัง พระอาทิตย์ขึ้นแล้วเธอนอนมามากกว่า 10 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามหมอกทำให้เกาะดูพร่ามัวมาก


 


ภาพหลอนอีกแล้วหรอ? หนิงชิงเซวียบ่น


 


หนิงชิงเซวียตรวจสอบกิ่งก้านบนถ้ำอย่างระมัดระวัง พวกมันดูเหมือนจะไม่ได้ถูกย้ายไปไหน เธอสัมผัสสร้อยบนหน้าอกของเธออีกครั้ง นายช่วยชีวิตฉันอีกครั้งแล้วสินะ?


 


แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเงาดำนั้นจริงหรือไม่ หนิงชิงเซวียก็ไม่กล้านอนอีก เธอออกไปข้างนอกและตรวจสอบภูมิทัศน์รอบๆ


 


ทันทีที่หนิงชิงเซวียเดินออกไปข้างนอก เกาะที่เงียบสงบก็ถูกกระแทกด้วยเสียงกรีดร้องดังลั่น หนิงชิงเซวียนั้นเต็มไปด้วยปัญหาพอแล้ว เธอคิดว่าไม่มีสัตว์บนเกาะ แต่เธอได้ยินเสียงร้องกรี๊ดดังมาก เธอพยายามหาที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชี้ปืนไปด้านนอก


 


ชนพื้นเมืองผิวดำ 2 คนเปลือยเปล่า 2 คนเดินไปหาเธอพร้อมกับไม้ฟืนในมือไม่ไกลจากเธอ นอกจากกระโปรงที่ทำจากหนังปลารอบเอวพวกเขาแล้วมันก็ไม่มีอะไรเลย


 


หนึ่งในนั้นมีหน้าอกใหญ่หย่อนตัวลงมาจากอกของเธอ หนิงชิงเซวียรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง


 


อันที่จริง มีคนอยู่ที่นั่น ชนพื้นเมือง หัวใจของหนิงชิงเซวียสั่นอย่างรวดเร็ว เธอคิดถึงการเดินทางของทอมโรบินสัน เห็นได้ชัดว่าชนพื้นเมืองที่ดุร้ายเหล่านี้ไม่สามารถเทียบได้กับวันศุกร์


 


หนิงชิงเซวียกลั้นลมหายใจของเธอ เธอกำลังคิดว่าจะไปที่ไหนต่อไป เกาะนี้มีอย่างน้อย 20 กม. ² ขึ้นไป หากมีชนพื้นเมืองหรือชนเผ่าอาศัยอยู่ที่ พวกเขาจะกินเธอไหม?


 


สิ่งต่อไปที่เกิดขึ้นเกือบทำให้หนิงชิงเซวียกรีดร้อง  ชายชนพื้นเมืองพูดอะไรบางอย่างกับผู้หญิง แต่เธอส่ายหัว แต่แล้วผู้ชายก็ดันเธอลงพื้นและพลิกกระโปรงหนังปลาของเธอ


 


ในขณะที่ชายคนนั้นทำธุระกับผู้หญิง หนิงชิงเซวียก็นึกถึงคำว่า ‘ข่มขืน’ ทันที หนิงชิงเซวียไม่กลัวที่จะตาย แต่มันน่าขยะแขยงเกินไป เธอคว้าปืนของเธอโดยไม่รู้ตัวและคิดจะฆ่าชายคนนั้น


 


แต่เธอไม่กล้าทำเพราะเป้าของเธอไม่ดีนัก เธออาจฆ่าผู้หญิงคนนั้นแทน นอกจากนี้เธอยังกลัวว่าจะดึงดูดพวกเขามามากกว่านี้


 


ความคิดที่ขัดแย้งกันนี้เกิดขึ้นเพียงครู่เดียวในไม่ช้า หนิงชิงเซวียก็ได้ตระหนักถึงความไม่สมบูรณ์ของความคิดของเธอ


 


เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่การข่มขืน ผู้หญิงที่อยู่ใต้ชายคนนั้นพลิกคว่ำและนั่งลงบนผู้ชาย การกระทำของเธอดุร้ายและดุร้ายกว่าผู้ชายมาก เธอร้องครวญครางและกรีดร้องด้วยเช่นกัน


 


หนิงชิงเซวียรีบหันหน้าหนี ความคิดและอารมณ์ของเธอตีกัน หน้าเธอหน้าแดงก่ำ แต่การคิดว่าชนพื้นเมืองพวกนี่เป็นเหมือนสัตว์ เธอก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงหอนอีกครั้ง หนิงชิงเซวียมองไปในทิศทางที่มันมาและทั้งสองแยกกัน เสียงครางหนึ่งเป็นผู้ชายอีกคน


 


ชนพื้นเมืองที่มาทีหลังดูเหมือนจะสนใจมากเกี่ยวกับที่ทั้งสองทำอยู่เบื้องหลังของเขา และหนิงชิงเซวียสามารถบอกได้จากการแสดงออกที่โกรธของเขา


 


ผู้หญิงคนนั้นแยกชายสองคนที่กำลังจะต่อสู้และชี้ไปที่กิ่งไม้ที่ถูกตัด ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป ชายสองคนหยุดเถียงและเดินไปที่กิ่งเพื่อตรวจสอบ


 


หัวใจของหนิงชิงเซวียหยุดนิ่ง 1 วินาที พวกเขาดูกิ่งที่เธอตัดเพื่อปกปิดถ้ำของเธอ


 


ชายคนหนึ่งแตะปลายกิ่งอย่างต่อเนื่องราวกับว่าเขาสงสัยบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วดูว่าหนิงชิงเซวียซ่อนตัวอยู่ที่ไหน


 


หัวใจของหนิงชิงเซวียเต้นเร็วขึ้นอีกครั้ง เธอกำแน่นปืน พวกเขากำลังมา จะทำยังไงดี? ฉันควรเริ่มก่อนไหม?


บทที่ 415 : ฟื้นความทรงจำ


 


ราวกับว่าเป็นการพิสูจน์การเดาของหนิงชิงเซวีย ทั้งสามคนก็เริ่มที่จะมุ่งหน้าอย่างช้าๆ มาที่ซ่อนของหนิงชิงเซวีย พวกเขาเดินอย่างระมัดระวังโดยใช้กิ่งไม้เพื่อดันกิ่งก้านต่างๆ


 


พวกเขารู้ว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ที่นั่น แต่พวกเขากลัวที่จะถูกซุ่มโจมตี


 


หนิงชิงเซวียตระหนักดีว่าหากพวกเขามาอีกไม่กี่ก้าว พวกเขาจะเจอเธอ เธอไม่รู้ว่าจะยิงดีหรือไม่ แม้ว่าเธอจะต้องการ แต่มันจะหมายถึงความตาย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นชนพื้นเมือง พวกเขาก็มีเยอะมากเกินกว่าที่หนิงชิงเซวียจะจัดการ


 


มันแตกต่างจากตอนที่เธอใช้ยันต์บอลไฟเพื่อฆ่าชายชาวญี่ปุ่น เขาพยายามข่มขืนเธอ อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชนพื้นเมืองที่ไม่ได้ทำร้ายเธอ ซึ่งพอเธอคิดว่าชายชนพื้นเมืองปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนั้นอย่างไร เธอก็รู้สึกกลัว หากชายคนนั้นเห็นเธอ เธอก็ไม่กล้าที่จะคิดถึงผลลัพธ์เลย


 


เมื่อเธอลังเลว่าจะยิงหรือไม่ พวกเขาทั้งสามก็หยุดทันที ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปที่เรือและกรีดร้อง


 


พวกเขาเห็นเรือดังที่หนิงชิงเซวียเข้าใจ และพวกเขายังสามารถเห็นเรือจากที่ที่พวกเขายืนอยู่ คนที่มาภายหลังเองก็กรีดร้องและวิ่งไปที่เรือ


 


เมื่อเห็นเขาไป อีกสองคนก็ตามมาราวกับว่าจะไปราวว่า เดี๋ยวข้าวของทั้งหมดจะหายไป


 


เมื่อหนิงชิงเซวียเห็นว่าทั้งสามไปก็รู้สึกโล่งใจ ถ้าทั้งสามคนมาหาเธอจริงๆ เธอคงไม่มีทางเลือกนอกจากยิงและนั่นอาจดึงดูดพวกเขามามากกว่านี้


 


หนิงชิงเซวียไปที่ปากถ้ำและขยับกิ่งไม้เล็กน้อยมองผ่านพวกเขา เธออยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาขึ้นเรือได้


 


ไม่ไกลนักและหนิงชิงเซวียสามารถเห็นสามคนวิ่งไปที่ด้านข้างของเรือได้และพุ่งเข้าใส่มัน สองคนเข้าไปข้างใน แต่ก็อยู่ข้างนอกคนหนึ่ง


 


จากการเคลื่อนไหวที่คุ้นเคยมากของพวกเขา หนิงชิงเซวียเดาว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นเรือเหล่านี้เข้ามา บรรพบุรุษของพวกเขาอาจประสบอุบัติเหตุทางทะเล ดังนั้นจึงอยู่ที่นี่และทำเหมือนเดิม


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทั้งสองที่เข้าไปข้างในก็วิ่งออกมาและกระโดดลงทะเล


 


หนิงชิงเซวียเห็นชัดเจนว่าชายสองคนที่กระโดดลงทะเลไม่ได้โผล่ขึ้นมา


 


ผู้หญิงที่กำลังรออยู่บนเกาะกรีดร้องหลังจากเห็นพวกเขากระโดดและวิ่งอย่างรวดเร็ว เธออาจรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเรือ


 


หนิงชิงเซวียรู้สึกกลัวเรือลำนี้ ซึ่งมันน่าขนลุกแน่นอน


 


ผู้หญิงคนนั้นกรีดร้องดังขึ้นและดังขึ้น ในไม่ช้าก็มีเสียงอื่นๆ หนิงชิงเซวียยืนยันด้วยทฤษฎีของเธอว่ามีคนอื่นแน่นอน


 


ผู้หญิงคนนั้นเห็นคนเหล่านี้และวิ่งไปหาพวกเขา ในขณะที่กรีดร้องพยายามที่จะแสดงอะไรบางอย่าง หลังจากพูดไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็ล้มลงกับพื้นและไม่ส่งเสียงใดๆ


 


หญิงสาวชนพื้นเมืองสองคนพยายามดึงเธอขึ้นมาและปลุกเธอ แต่เธอไม่ตอบสนอง


 


ชนพื้นเมืองเดินไปรอบๆ ผู้หญิงที่ตายแล้ว และเข้าหาเรือที่เธอวิ่งจากมา


 


หนิงชิงเซวียมองดู เธออยากเห็นว่าคนที่เหลือจะทำอะไร อย่างไรก็ตามผู้หญิงที่ตายไปบนพื้นก็ลุกขึ้นทันที หนิงชิงเซวียสับสน เธอโกหกหรอ?


 


แต่ฉากต่อไปก็ทำให้หนิงชิงเซวียตกตะลึงยิ่งกว่า ทันใดนั้นผู้หญิงคนนั้นก็กระโดดลงทะเลและหายตัวไป


 


หนิงชิงเซวียมองดูเรื่องนี้ด้วยความสยองขวัญ เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น เรือลำนั้นเป็นเรือผีจริงๆหรอ? หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ หนิงชิงเซวียก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปใกล้มัน


 


ทันใดนั้น เธอก็นึกถึงสร้อยคอของเธอ เธอไม่ได้ลงไปในทะเลเหมือนผู้หญิงคนนั้นหรือ? ขอบคุณนะ


 


ทันทีที่หนิงชิงเซวียสัมผัสสร้อยคอ เธอก็รู้สึกว่าพลังของเธอไม่สามารถควบคุมได้ เธอไม่กล้าดูต่อและกลับไปที่ถ้ำ


 


ลมปราณภายในร่างกายของเธอทำปฏิกิริยากับมัน และทำให้เธอสั่นมันเหมือนว่าเธอถูกเผาทั้งเป็น หนิงชิงเซวียรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง มีปัญหากับการฝึกตนของเธอหรอ? เธอกั้นทางเข้าอย่างรวดเร็วและนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ ในขณะที่ทำวงเส้นชีพจรอีกครั้ง


 


คราวนี้มันแตกต่างจากการฝึกตนครั้งที่แล้ว เธอรู้สึกถึงความคึกคักของลมปราณราวกับว่ากำลังพยายามหาจุดที่ก้าวหน้า หนิงชิงเซวียไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการฝึกตนมากนัก


 


หลังจากนั้นไม่นาน หนิงชิงเซวีย รู้สึกหายใจไม่ออก เธอกลัว มันก็เหมือนไคที่ไม่มีที่ไป


 


หากเธอไม่ได้ใช้พลังลมปราณ ในวงเส้นชีพจรของเธอก็จะไหม้ แต่ในขณะที่เธอได้ฝึกตน พลังลมปราณในจุดตันเทียนของเธอก็เริ่มหนาแน่นมากขึ้น


 


ในสมองของเธอก็ดังกึกก้อง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าพลังลมปราณที่หนาแน่นนั้นมีที่ที่จะไป ขณะที่มันระเบิดเส้นชีพจรให้เปิดกว้างขึ้น


 


หนิงชิงเซวียไม่ได้ลืมตา แต่ในที่สุดก็รู้สึกดีใจ เธอรู้สึกโล่งใจราวกับว่าเธอได้ทำลายบางสิ่งบางอย่าง


 


ทันใดนั้นก็มีลมปราณใหม่เพิ่มขึ้นในจุดตันเทียนของเธอที่พุ่งเข้าหาจุดจักระเฉินหลินและเข้าไปในหัวของเธอทันที


 


ความรู้สึกที่สบายเพิ่มขึ้น มันให้ความรู้สึกสบายและหนิงชิงเซวียก็คร่ำครวญออกมา


 


เธอไม่ลืมตา เธอดูเหมือนจะได้รับความทรงจำมากมายกลับมา หนิงชิงเซวียส่ายหัวไปมา นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์หวู๋กวงพูดถึงใช่ไหม? เมื่อพลังของเธอถึงระดับหนึ่งแล้ว ความทรงจำของเธอที่หายไปจะกลับมาเอง


 


สมองของเธอพุ่งเข้าใส่สิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ เธอรู้ทันทีว่าเธอฟื้นความทรงจำจริงๆแล้ว


 


ความทรงจำของเธอกับเย่โม่ไหลย้อนกลับมาราวกับสายน้ำ จากที่เธอไปหนิงไห่เพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของซูจิงเหวิน แต่ละฉากก็ไหลกลับมาอย่างชัดเจน


 


กล่องแพทย์และใบเสร็จรับเงิน บัตรธนาคารที่ไม่ได้ใช้ ขวดเหล่านั้น หลายครั้งที่เธอขอเงินจากเย่โม่…


 


ใบหน้าของหนิงชิงเซวียเริ่มซีดเซียว นั่นคือวิธีที่เธอเริ่มต้นกับเย่โม่งั้นหรอ?


 


หัวใจของหนิงชิงเซวียรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอไม่ต้องการหย่ากับเย่โม่


 


…..


 


เธอจำได้ว่าเมื่อเธอพบเย่โม่ในทะเลทรายกับชรือวั่นชิง และเย่โม่ตามป้าของเธอ ทิ้งเธอไว้คนเดียวในทะเลทราย เมื่อเธอเห็นเย่โม่ออกไป มันก็เหมือนวิญญาณของเธอว่างเปล่า


 


และนั่นคือตอนที่เธอตกหลุมรักเย่โม่อย่างสมบูรณ์ หนิงชิงเซวียไม่กล้าที่จะเปิดตาของเธอ เธอกลัวว่าเธอจะสูญเสียความทรงจำของเธอถ้าเธอทำ แต่น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้บนใบหน้าที่ขาวใสของเธอ


บทที่ 416 : ความปรารถนาของหัวใจเพื่อการกลับมา


 


เธอจำได้ว่าในที่สุดเย่โม่ก็ยอมรับเธอที่ด้านล่างของหน้าผาเขาเซิ่นนองเจี๋ย และเธอมีความสุขมากในเวลานั้น เธอไปที่ทะเลทรายอสรพิษ และเขาเซิ่นนองเจี๋ยก็เพื่อเย่โม่


 


เย่โม่ได้ทำสิ่งต่างๆมากมายเพื่อเธอ เธอจึงรู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำคือสิ่งที่จำเป็น และเธอยังหลงรักเขาคนที่เธอแต่งงานด้วย


 


สวรรค์ทำให้เธอรู้สึกเศร้าเมื่อเธอเห็นเย่โม่จะต้องตายใต้หน้าผา ที่นั่นเธอมีช่วงเวลาที่วิเศษที่สุดในชีวิตของเธอ เย่โม่กินนอนกับเธอ สอนการฝึกตน ชำระล้างให้เธอ และพาเธอออกจากเขาเซิ่นนองเจี๋ย


 


เขาพบผลไม้รักษารูปลักษณ์และแม้ว่าจะรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะกินมันทันที แต่เขาก็ยังให้ผลไม้อันมีค่าแก่เธอ เพื่อที่เธอจะได้กิน


 


‘ฉันยังมีอีกเยอะน่า แต่แม้ว่านี่จะเป็นอันสุดท้าย ฉันก็จะให้เธอถ้าเธออยากกินมัน เพราะถ้าเธอชอบมัน ฉันก็จะมอบให้เธอ’


 


นั่นคือสิ่งที่เย่โม่พูดกับเธอ จากนั้นเธอก็บอกว่าเธอเป็นของเย่โม่ตลอดไป


 


แต่ทำไมเธอถึงจำเขาไม่ได้ หลังจากที่เธอได้รับบาดเจ็บ? ทำไมเธอถึงไร้หัวใจแบบนั้น? หนิงชิงเซวียเกลียดตัวเองอย่างกระทันหัน และเกลียดคนที่ทำให้เธอสูญเสียความทรงจำมากยิ่งขึ้น


 


ความรักของเธอสำคัญสำหรับเธอมากเกินกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แม้แต่ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตามเมื่อเย่โม่ไปหาเธอ เธอกลับบอกให้เขาไสหัวไป


 


“ฉันทำร้ายนายงั้นหรอ?” หัวใจของหนิงชิงเซวียกำลังดิ้นรนจากความเจ็บปวด เธอต้องการที่จะปรากฏตัวต่อหน้าเย่โม่ทันที และบอกเขาว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจะพูดจริงๆ เธอเสียใจในวันนั้น เธอไม่ควรฟังแม่ของเธอเลย และควรให้เย่โม่พยายามกู้ความทรงจำของเธอ


 


ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ปกป้องความทรงจำนี้ในจิตใจของเธอเมื่อเธอกำลังจะตาย หากเกิดขึ้นอีกครั้ง เธอจะทำอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตเดียวหรือ 10,000 ชีวิต เธอจะจดจำเย่โม่ เขาปฏิบัติต่อเธออย่างไรและเธอก็รักเขา หนิงชิงเซวียลืมตาขึ้น น้ำตาปกคลุมใบหน้าของเธอ เย่โม่คือทุกสิ่งของเธอ…


 


เธอขอบคุณลีมู่เหม่ยที่มอบความกล้าหาญให้เธอได้รับความทรงจำกลับคืนมา เธอไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดแม่ของเธอจึงห้ามไม่ให้เธอคืนความทรงจำ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเธอ


 


“เย่โม่….” หนิงชิงเซวียพึมพำและยืนขึ้น เธอไม่ต้องการที่จะอยู่บนเกาะนี่อีกต่อไป เธอต้องการที่จะเห็นเย่โม่อย่างยิ่ง สำหรับเธอเย่โม่คือทุกสิ่งของเธอ


 


ในที่สุดเธอก็รู้เกี่ยวกับสัมผัสจิตวิญญาณภาพที่เธอเห็นในสมองของเธอว่ามันเป็นจริง เธอนึกถึงผู้หญิงคนนั้นในหนิงไห่ที่ชื่อว่าทังเป่ยเวย ซึ่งบอกว่าเธอเป็นน้องสาวของเย่โม่ เธอรู้สึกแปลกๆ เธอรู้ว่าน้องสาวของ เย่โม่ คือ เย่หลิง ไม่ใช่ ทังเป่ยเวย


 


หนิงชิงเซวียคว้าปืนแล้วออกไปจากถ้ำ เธอไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกแล้ว เธอต้องการกลับไปหาเย่โม่


 


อย่างไรก็ตาม หนิงชิงเซวียหยุดเดิน เธอตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี่เธอเห็นชนพื้นเมืองประมาณ 20 คนเข้าไปในเรือ เธอไม่รู้ว่าเธอใช้เวลานานแค่ไหนในการฟื้นความทรงจำของเธอ แต่จากท้องฟ้ากลายเป็นสีเทาแล้ว เธอสามารถเดาได้ว่ามันน้อยกว่า 8 ชั่วโมง ในขณะนั้นเธอมองกลับไปที่เรือ แต่ไม่เห็นใครเลย คนโบราณเหล่านั้นถูกฆ่าโดยเรือผีหรอ?


 


หนิงชิงเซวียสัมผัสที่ยันต์บอลไฟทั้ง 4 ของเธอโดยไม่รู้ตัว


 


หนิงชิงเซวียรู้ว่าถ้าเธอต้องการออกไป เธอจำเป็นต้องใช้เรือผีนั้น ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่สามารถออกจากเกาะได้


 


เธอตรวจสอบอาวุธทั้งหมดของเธอ และบังคับตัวเองให้สงบลง ความสิ้นหวังของเธอที่จะเห็นเย่โม่ทำให้เธอไม่กลัวเรือผี เธอเชื่อว่าด้วยปืน ยันต์บอลไฟและสร้อยคอ โอกาสในการเอาชีวิตรอดของเธอนั้นยิ่งใหญ่กว่าอยู่บนเกาะ


 


มีชนพื้นเมืองและภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่บนเกาะ


 


Kyuuu…เสียงกรีดร้องแหลมทำให้หนิงชิงเซวีย ซึ่งเป็นคนที่มีสมาธิมากตัวสั่น เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นร่างสีขาวเกาะอยู่บนกิ่งไม้กำลังจ้องมองที่หนิงชิงเซวีย


 


มันเป็นนกที่แปลกประหลาดเหมือนนกแร้ง มันค่อนข้างแปลกที่จะเห็นแร้งหายากในทะเล




อย่างไรก็ตาม หนิงชิงเซวียสามารถมองเห็นความฉลาดและอารมณ์ในสายตาของแร้งได้ หนิงชิงเซวียลูบตาของเธอ เธอคิดว่าเธอจะตาฟาด นกจะมีอารมณ์แบบนั้นได้หรอ?


 


แร้งเหมือนนกที่วนเวียนอยู่รอบๆ หนิงชิงเซวียและยืนอยู่บนต้นไม้ เมื่อเห็นร่างนี้ หนิงชิงเซวียก็จำได้ว่าเธอเคยเห็นเงาเมื่อวานตอนที่เธอหลับ ดังนั้นมันจึงเป็นนกแร้ง แต่ทำไมมันถึงบินเข้าไปในถ้ำได้ มันพยายามทำร้ายเธอหรอ?


 


หนิงชิงเซวียส่ายหัวของเธอและหยุดคิดถึงนก เธอมองไปที่เรือและตัดสินใจทำมัน แม้ว่าเธอจะไม่ตายที่นี่ เธอก็ไม่ต้องการอยู่แบบนี้ หลังจากจดจำความทรงจำของเธอที่มีต่อเย่โม่แล้ว เธอก็จะใช้ชีวิตอย่างบ้าคลั่ง


 


เมื่อเห็นหนิงชิงเซวียเดินไปที่เรือลำนั้น นกก็ตามเธอไป หนิงชิงเซวียหยุดและมองมันด้วยความอยากรู้ เธอพึมพำกับตัวเองว่า “ฉันจะไปจากที่นี่ ตามฉันมาทำไม?”


 


ราวกับว่าเขาเข้าใจคำพูดของหนิงชิงเซวีย นกนั้นโศกเศร้าและบินไปรอบๆ หนิงชิงเซวียอีกครั้ง


 


หนิงชิงเซวียเห็นการวิงวอนในสายตาของนก หนิงชิงเซวียมั่นใจว่าเธอเห็นมัน นกตัวนี้ช่างเห็นอกเห็นใจ หนิงชิงเซวียลูบตาสีแดงของเธอและมุ่งหน้าไปที่เรือ


 


เมื่อเห็นหนิงชิงเซวียเดินไป นกสีขาวก็หงุดหงิดอีกครั้งแล้วตามหนิงชิงเซวีย วนอยู่รอบตัวเธอ ในที่สุดหนิงชิงเซวียก็เข้าใจว่านกกำลังพยายามบอกบางอย่างกับเธอ


 


“นายต้องการอะไรจากฉัน?” หนิงชิงเซวียถาม แต่แล้วเธอก็รู้ว่านกจะเข้าใจคำพูดของเธอได้อย่างไร


 


แต่แล้วนกก็พยักหน้าอย่างแรง


 


หนิงชิงเซวียแข็งทื่อ นกฉลาดขนาดนี้ได้ด้วยหรอ? มันต้องการอะไรจากเธอละ? หนิงชิงเซวียหยิบกระป๋องอาหารออกมาแล้ววางไว้ข้างหน้านก “นายอยากกินนี่หรือเปล่า?”


 


นกบินลงมาแล้วคว้ากระป๋องด้วยปาก มันนำมันกลับมาไว้ในมือของหนิงชิงเซวีย แล้วบินไปรอบๆ เธออีกครั้ง


 


หนิงชิงเซวียเข้าใจแล้วในครั้งนี้ และมองดูนกตัวนี้อย่างตกใจ “นายต้องการให้ฉันพานายไปกับฉันใช่ไหม?”


 


ทันทีที่หนิงชิงเซวียพูดเช่นนี้ นกก็พยักหน้าอีกครั้ง


 


หนิงชิงเซวียขมวดคิ้ว “เกาะนี้ไม่ดีเหรอ? มีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยนิ นอกจากนี้ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันจะมีชีวิตรอดในมหาสมุทรนั้นรึเปล่า”


 


นกได้ยินคำพูดของหนิงชิงเซวีย และมันก็กระพือปีกอยู่เหนือหนิงชิงเซวีย มันเหินเวหาในขณะที่บินไปที่ใจกลางเกาะจากนั้นกลับมาที่หนิงชิงเซวีย นอกจากความคาดหมายแล้วยังมีความเศร้าโศกในดวงตามัน


 


หนิงชิงเซวียรู้สึกว่านกมีความผูกพันเป็นพิเศษกับเธอ มันเป็นเพราะการฝึกตนของเธอหรอ? ไม่เช่นนั้นมันก็มีชายพื้นเมืองมากมาย ทำไมมันไม่ไปหาพวกเขาแล้วเป็นเธอแทนละ?


 


ทันใดนั้นหนิงชิงเซวียก็จำได้ว่านกตัวนั้นกำลังหงุดหงิดกับบางสิ่งที่เกิดขึ้นในใจกลางของเกาะ นั่นหมายความว่าภูเขาไฟกำลังปะทุหรอ? แต่เนื่องจากมีชนพื้นเมืองอยู่ที่นั่นมากมาย นั่นหมายความว่าเกาะก็อยู่มาเป็นเวลานาน แล้วภูเขาไฟกำลังจะระเบิดในเวลาเดียวกันนี่ได้ยังไง?


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หนิงชิงเซวียก็ถามว่า “นายกำลังบอกว่าภูเขาไฟของเกาะนี้กำลังปะทุอยู่ใช่ไหม?”


 


ทันทีที่หนิงชิงเซวียเพิ่งพูดจบ นกก็พยักหน้าอย่างแรง


 


หนิงชิงเซวียมองดูนกด้วยความสุข มันแทบไม่มีนกที่ฉลาดแบบนี้เลย อย่างน้อยหนิงชิงเซวียไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน


 


และนกตัวนี้ก็ยินดีที่จะไปกับเธอ หากเป็นเช่นนั้นเธอก็จะมีเพื่อนกับเธอระหว่างทางกลับ มันดีกว่าการอยู่คนเดียวบนธารน้ำแข็ง อย่างไรก็ตาม หนิงชิงเซวียยังสงสัยมากว่านกตัวนี้มาถึงนี้เกาะนี้ได้อย่างไร


 


เมื่อมองดูการปะทุของกำมะถันในอากาศที่ใจกลางเกาะมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเชื่อว่านกบอกเธอถูถต้อง ภูเขาไฟบนเกาะแห่งนี้กำลังปะทุ


 


“ถ้างั้นก็ตามฉันนะ ตอนนี้ฉันจะไปที่เรือลำนั้น ที่นั่นมันอาจมีอันตราย บินตามฉันมานะ” หนิงชิงเซวียชื่นชอบขนนกสีขาว และนกที่มีความเป็นมนุษยมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย


บทที่ 417 : ขึ้นเรือผี


 


หนิงชิงเซวียเห็นว่ามีลวดลายใบพลัมสีเงินอยู่ใต้คอของนกและก็คิดบางอย่างได้ขึ้นมา “ฉันจะตั้งชื่อให้นายนะ ฉันจะเรียกนายว่าใบพลัมเงิน อืมมมมชื่อนี้ยาวไปหน่อยแหะ ฉันจะเรียกว่า ซิลเวอร์ แล้วกัน”


 


ดูเหมือนว่านกเข้าใจคำพูดของหนิงชิงเซวียและส่งเสียงร้อง สิ่งนี้ฟังแตกต่างจากเสียงโห่ร้อง มันเป็นเสียงที่มีความสุข เธอบอกได้ว่ามันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหนิงชิงเซวียมีความหมายยังไงกับชื่อนั้น มันเป็นแค่นก


 


โดยปกติสัตว์มีลางสังหรณ์ที่รู้สึกถึงอันตราย ตั้งแต่ซิลเวอร์มีลางสังหรณ์นี้หมายความว่าภูเขาไฟกำลังจะปะทุจริงๆ


 


แม้ว่าเธอจะมีซิลเวอร์อยู่ข้างๆ แต่ซิลเวอร์ก็เป็นนก หนิงชิงเซวียเข้าหาเรือมือพร้อมถือปืนและก็มีเหงื่อออกมาก บางครั้งสิ่งที่ไม่รู้จักคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด หากเธอเผชิญหน้ากับสิงโตหรือเสือ เธออาจไม่กลัวเลย เพราะท้ายที่สุดมันก็เป็นสิ่งที่เธอเห็น


 


เมื่อเธอเข้าใกล้เรือมากขึ้น หนิงชิงเซวียก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่สามารถคิดได้อย่างที่คนโบราณ


 


สภาพแวดล้อมของเธอเงียบไปอย่างน่ากลัว หากไม่มีกลุ่มรอยเท้า หนิงชิงเซวียคงไม่แน่ใจจริงๆว่าพวกเขาไปบนเรือแล้ว


 


หนิงชิงเซวียกระโดดขึ้นเรือและรู้สึกว่าลมเยือกเย็นโจมตีเธอทันที และสร้อยคอที่หน้าอกของเธอก็ปล่อยแสงกั้นออกมาและผลักลมเยือกเย็นนั้นออกไป ซึ่งหนิงชิงเซวียสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างแผ่วเบาได้


 


ซิลเวอร์บินไปที่ด้านบนของเรือที่อยู่ด้านหลังหนิงชิงเซวีย การแสดงออกของมันเป็นกังวลเหมือนเธอ


 


หนิงชิงเซวียมองไปที่สร้อยคอ เธอรู้ว่ามันช่วยชีวิตเธออีกครั้ง เธอมองกลับไปที่ซิลเวอร์และรู้สึกมั่นใจเล็กน้อย เธอพูดกับซิลเวอร์ว่า “อยู่ข้างหลังฉันไว้นะ”


 


ซิลเวอร์กระโดดลงทันทีและตามหนิงชิงเซวียอย่างใกล้ชิด หนิงชิงเซวียมองไปรอบๆ เรือทึ่ว่างเปล่า


 


หนิงชิงเซวียหยุดบนดาดฟ้าและรู้สึกถึงจิตวิญญาณของเธอที่สแกนอยู่ภายใน มันเป็นเช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ โต๊ะอาหารและไวน์ ส่วนใหญ่เป็นอาหารปรุงสุก แต่เธอมองไม่เห็นคนสักคนเดียว


 


ทันใดนั้น เธอดก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณของเธอสแกนเห็นเงาดำ แต่หลังจากนั้นมันก็หายไปและดูเหมือนว่ามันจะเข้าไปในบังเกอร์ด้านล่าง


 


หนิงชิงเซวียหยุด เธอรู้สึกขนลุก เธอไม่ได้คาดหวังว่าจิตวิญญาณของเธอจะสามารถตรวจจับเงานั้นได้ ดังนั้นสัมผัสจิตวิญญาณ จึงสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ที่ดวงตาไม่สามารถทำได้สินะ


 


เธอกลัวสิ่งที่เธอมองไม่เห็น เมื่อเธอเห็นมัน เธอก็ไม่กลัวอีกแล้ว หนิงชิงเซวียเดินเข้าไปในห้องของเรือ


 


มันมี 2 ระดับคือ ระดับพื้นผิวและบังเกอร์ด้านล่าง


 


หนิงชิงเซวียจำได้ว่าเงาดำหายไปในบังเกอร์ด้านล่าง ในขณะนั้นสัมผัสจิตวิญญาณของเธอก็พบเงาดำพุ่งเข้าใส่เธอ หนิงชิงเซวียเคลื่อนไหวด้วยจิตใต้สำนึกและยิงปืนใส่เงา


 


ปัง! ปัง! มันเป็นเสียงที่ชัดเจนเป็นพิเศษในเรือเงียบๆ แต่หนิงชิงเซวียสามารถมองเห็นเงาดำถอยกลับโดยไม่ได้รับอันตรายได้ ปืนของเธอไม่มีผลกับเงานั้นเลย


 


มันเป็นผีจริงๆ มือของหนิงชิงเซวียสั่นสะท้าน ถ้าซิลเวอร์ไม่ร้องเสียงดังเป็นครั้งคราว เธอคงจะบ้าไปแล้วในความลึกของมหาสมุทรที่ไม่มีขอบเขตบนเรือที่น่ากลัวแบบนี้


 


เธอจำเสียงกรีดร้องในหลุมที่เขาเซิ่นนองเจี๋ยได้ หากเย่โม่ไม่ได้ทิ้งยันต์ป้องกันไว้ เธอก็คงจะตายไปแล้ว


 


แต่ในวันนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะต้องเผชิญกับผีปอบที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จากสิ่งที่เย่โม่พูด พวกมันไม่กลัวกระสุน หากเย่โม่ไม่ได้มอบสร้อยคอนี่ให้กับเธอ เธอก็คงจะลงเอยเหมือนชนพื้นเมืองพวกนั้น


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หนิงชิงเซวียก็ตัวสั่นอีกครั้ง ทุกคนบนเรือลำนี้ถูกฆ่าโดยผีปอบเหมือนชนพื้นเมืองหรอ? ทำไมผีปอบทำแบบนี้ละ? เมื่อผีปอบนั้นพุ่งเข้าใส่เธอ เธอรู้สึกราวกับมันกำลังพยายามกลืนวิญญาณของเธอ ผีปอบเหล่านี้กลืนวิญญาณของผู้คนหรอ? เธอไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ก่อนที่เธอจะเริ่มฝึกฝนเช่นกัน แต่มีหลายสิ่งในโลกนี้ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้


 


หนิงชิงเซวียมองไปที่ซิลเวอร์ ผู้ซึ่งติดตามเธออย่างใกล้ชิดและเธอก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย เธอเอาปืนออกไป หยิบยันต์บอลไฟออกมาแล้วเดินเข้าไปในบังเกอร์ด้านล่าง เธอรู้ว่าปืนไม่มีประโยชน์


 


น่าเสียดายที่เย่โม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าเขาอยู่ด้วย เขาจะเห็นว่าผีปอบตัวนี่มันคล้ายกับที่เขาทำลายที่เมืองชุนอัน อย่างไรก็ตามผีปอบนั้นได้รับการเลี้ยงดูโดยผู้หญิงชุดแดงจากวิหารสี่ขั้นเก้าจันทรา


 


โดยปกติแล้ววิญญาณของผู้คนจะหายไปจากโลกหลังความตาย การที่วิญญาณบางคนควบแน่นและไม่ละลายต้องเป็นเพราะเหตุผลพิเศษบางอย่าง


 


หนิงชิงเซวียทำให้จิตวิญญาณเธอเปิดกว้าง ทันทีที่เธอเข้าไปในบังเกอร์ด้านล่าง เธอก็พบเงาดำซ่อนอยู่ด้านข้าง อย่างไรก็ตามด้วยพลังของเธอ เธอสามารถเห็นร่างสีดำเท่านั้น หากเป็นเย่โม่เขาจะสามารถเห็นได้ว่าวิญญาณนั้นมีรูปร่างที่แข็งแกร่งไม่เหมือนหมอก เขาจะรู้ทันทีว่าจะต้องมีผู้รักษาผีอยู่ข้างหลังผีปอบนั้นเหมือนกับผู้หญิงชุดแดง


 


เมื่อหนิงชิงเซวียเห็นผีปอบ เธอก็รู้สึกกลัว แต่ก็ยังรวบรวมความกล้าหาญและเดินไปหามัน แต่เธอเดินเพียง 2 ก้าวเท่านั้น ขณะที่เธอหยุดและเปลี่ยนทิศทาง


 


เธอจำความเร็วของผีปอบได้ มันเร็วเกินไป และเธอมั่นใจว่าผีปอบจะสามารถเห็นเธอได้ ถ้าเธอเดินไปเธอจะไม่สามารถซุ่มโจมตีได้อย่างแน่นอน


 


ทันทีที่หนิงชิงเซวียเปลี่ยนทิศทาง ร่างดำที่กำลังก็หยุดขยับ


 


อาหารและน้ำกระเซ็นไปทุกที่ หนิงชิงเซวียหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้และเข้าใกล้เงา


 


เมื่อเธออยู่ห่างจากมันเพียงประมาณ 3 เมตร หนิงชิงเซวียก็ปายันต์บอลไฟและตะโกน “หลิน!”


 


เงาดำไม่คาดว่าหนิงชิงเซวียจะทำสิ่งนี้ในทันที ซึ่งในทันใดนั้นบอลไฟปรากฏ


 


มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น จากนั้นลูกไฟก็หายไปและเงาดำก็เช่นกัน


 


หนิงชิงเซวียหายใจโล่งขึ้น ในที่สุดผีปอบก็ถูกทำลาย ยันต์บอลไฟนั้นแข็งแกร่งกว่าปืนซะอีก แต่หนิงชิงเซวียก็รู้ทันทีว่ามันไม่ได้เป็นยันต์บอลไฟที่แข็งแกร่งกว่าปืน แต่เหมือนกับว่ายันต์บอลไฟมีประสิทธิภาพมากกว่ากับผี


 


หนิงชิงเซวียค้นหาบังเกอร์ด้านล่างอีกครั้งและไม่พบสิ่งแปลกประหลาด เธอไม่รู้ว่าโชคดีที่เธอมาครั้งนี้ ผีปอบนี้เป็นปอบที่หนีไปหลังจากที่เย่โม่ฆ่าผู้หญิงชุดแดง ยังไงก็เถอะ มันถูกพาตัวไปอเมริกาและไปที่เบม่า เมื่อโจรสลัดปล้นผู้หญิงมันก็ติดตามพวกเขาเช่นกัน


 


คนเหล่านั้นทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตามอาจารย์ของมันถูกฆ่าโดยเย่โม่ มันกินตามสัญชาตญาณพื้นฐาน ถ้าหนิงชิงเซวียไม่มีสร้อยคอ เธอคงจะตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หรือถ้าผู้หญิงชุดแดงนั้นยังคงอยู่ หนิงชิงเซวียก็ยังคงหนีไม่พ้นเช่นกัน


 


ราวกับว่ามันรู้ว่าหนิงชิงเซวียได้ทำลายผีปอบออกไปแล้ว ซิลเวอร์จึงส่งเสียงร้องเพื่อฉลองชัยชนะของอาจารย์ของมัน


 


หนิงชิงเซวียเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเธอและโบกมือให้ซิลเวอร์ ทั้งสองเดินขึ้นไปที่ผิวน้ำ แม้ว่าเธอจะทำลายผีปอบ แต่เธอก็ไม่ต้องการอยู่ในบังเกอร์ด้านล่าง


 


เธอสามารถเดาได้ว่าคนทั้งหมดในเรือหายไปแล้ว ก็เพราะผีปอบ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกอยากอยู่ในบังเกอร์มืดมนนั่น


 


เมื่อกลับมาสู่จุดสูงสุด หนิงชิงเซวียยังจำสิ่งสำคัญได้ เธอไม่รู้ว่าจะต้องเดินเรือยังไง และไม่ได้ใช้ใบเรือเพื่อควบคุมทิศทาง


 


หนิงชิงเซวียยิ้มอย่างขมขื่นและเดินไปที่หัวของเรือ ทันใดนั้นเธอก็งง เรือจอดอยู่ข้างๆเกาะและเธอไม่ได้ควบคุมการเดินเรือ แต่ตอนนี้เรืออยู่ไกลจากเกาะนั้นซะแล้ว…


บทที่ 418 : ภูเขาไฟบนทะเล


 


แม้ว่าเรือจะไม่มีสมอ แต่ก็อยู่ติดกับเกาะตลอดทั้งวันทั้งคืน ทำไมเมื่อเธอทำลายผีปอบแล้วเรือก็กลายเป็นแบบนี้ละ?


 


ทันใดนั้น หนิงชิงเซวียก็จำบางสิ่งได้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะที่เรือแล่นผ่านธารน้ำแข็งของเธอ เธอคิดว่าเคยได้ยินเสียงสนิมบนเรือ


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงในห้องใต้ดิน หนิงชิงเซวียยืนขึ้นอย่างฉับพลัน เธอสแกนจิตวิญญาณของเธอลงไป แต่ไม่มีอะไรเลย


 


ในขณะนั้น เรือก็กำลังลอยไปเรื่อยๆและหนิงชิงเซวียไม่สามารถค้นพบสิ่งใดด้วยสัมผัสจิตวิญญาณของเธอได้ เธอไม่มีความกล้าที่จะลงไปที่นั่นอีกเป็นครั้งที่สอง เธอสัมผัสสร้อยคอที่หน้าอกของเธอและรู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น แม้ว่าเธอจะไม่เห็นผีปอบ แต่เธอก็มีสร้อยป้องกัน


 


ซิลเวอร์ไม่ได้สังเกตว่ามีบางอย่างอยู่ที่นั่นและยังคงกระโดดไปรอบๆ ที่ด้านบนของเรือ


 


หนิงชิงเซวียพูดทันทีว่า “ฉันไม่สนใจว่าคุณเป็นใคร แต่ถ้าคุณกล้าที่จะกลับมาอีก ฉันจะใช้ยันต์ไฟนี้กับคุณ คุณสามารถอยู่บนเรือได้ แต่ถ้าคุณรบกวนฉันและซิลเวอร์ ฉันจะทำให้คุณหายไปทันที”


 


แม้ว่ามันจะเป็นคำขู่ แต่หนิงชิงเซียก็ยังกลัวในขณะที่พูดอย่างนี้


 


ราวกับว่าอะไรก็ตาม มันได้กลัวคำพูดของหนิงชิงเซวีย และไม่มีเสียงใดมาจากข้างล่างอีก


 


หนิงชิงเซวียสูดลมหายใจได้ง่ายขึ้น ดูเหมือนว่าคำขู่ของเธอจะใช้ได้ เธอโยนโต๊ะและเก้าอี้ทั้งหมดลงทะเลและหาที่นั่ง สิ่งนั่นอาจไม่กลัวเธอ แต่กลัวสร้อยคอของเธอ


 


ซิลเวอร์เห็นหนิงชิงเซวียนั่งลงและกระโดดไปข้างๆ เธอ


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงดังก้อง ไฟลุกลามไปครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า ดังนั้นหนิงชิงเซวียจึงยืนขึ้นแล้วเดินไปที่หัวของเรือ เธอสังเกตเห็นว่าเกาะมีซัลเฟอร์อยู่ในเปลวไฟ ลาวาปะทุขึ้นสู่อากาศพร้อมกับฝุ่นและควัน ซึ่งมันยังสาดเรือที่หนิงชิงเซวียอยู่


 


ภูเขาไฟระเบิด ถ้าเธอลังเล เธอคงจะกลายเป็นฝุ่นบนเกาะไปแล้ว


 


เมื่อมองถึงความแข็งแกร่งของการระเบิด หนิงชิงเซวียรู้ว่าเกาะได้หายไปและชนพื้นเมืองในนั้นเช่นกัน แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักพวกเขา หนิงชิงเซวียยังรู้สึกเศร้า ชีวิตมนุษย์ช่างอ่อนแอสำหรับพลังของธรรมชาติที่ตื่นขึ้นมาจริงๆ


 


…..


 


ในขณะนั้น เย่โม่ก็อยู่บนเรือประมง เขาหยุดที่ที่อีเดนหลบหนี นอกเหนือจากลมก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว ไม่มีร่องรอยของเหตุการณ์ใดๆเลย


 


อีเด็นเห็นว่าใบหน้าของเย่โม่นั้นไร้ความสุข เขาจึงพูดว่า “ฉันคิดว่าพวกโจรสลัดเหล่านั้นหายไปนานแล้วละนะ”


 


เย่โม่เย้ยหยัน แต่ไม่ได้พูดอะไรเลย และในขณะนั้นก็มีเสียงการระเบิดขนาดใหญ่ในระยะทาง จากนั้นลาวาก็ระเบิดขึ้นในอากาศ


 


“โอ้พระเจ้า นั้นมันระเบิดออกมาจากภูเขาไฟ นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ก็น่ากลัวมากด้วย!” อีเดนร้องอุทาน


 


มันเป็นเกาะภูเขาไฟที่ทำงานอยู่เหรอ? นี่เป็นครั้งแรกที่เย่โม่เห็นการระเบิดของภูเขาไฟ เขารู้สึกไม่สบายใจ “อีเด็นขับเรือไปที่ภูเขาไฟนั้นสิ”


 


อีเดนงงงวย การปะทุเริ่มขึ้น หากพวกเขาขับเรือข้ามไปและโดนมันเข้า พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง


 


เมื่อเห็นอีเด็นยังลังเลอยู่ สีหน้าของเย่โม่ก็จมลงและพูดว่า “อีเด็น คุณคิดว่าคุณจะพาแดฟนี่ออกมาด้วยความกล้านี่ได้ไหม?”


 


อีเดนหน้าแดงและพูดทันทีว่า “ฉันไม่ได้ขี้ขาด เหตุผลคือถ้าเราขับเรือไป เราอาจโดนภูเขาไฟระเบิดก็ได้ คุณคิดผิดแล้วถ้าคุณคิดว่ามีเพียงลาวาที่ปะทุ มันมีจุดที่น่าสนใจอื่นๆ อยู่ใต้มหาสมุทรอีก หากเราเข้าใกล้มากขึ้น หนึ่งในนั้นอาจปะทุใต้เรือเรา”


 


เย่โม่พูดอย่างชัดเจนว่า “คุณพูดมากจังนะ แต่สิ่งที่ฉันได้จริงๆคือคุณกลัวตาย ถ้าคุณกลัวความตายก็เอามา ฉันนำเอง”


 


เย่โม่ไม่ได้เตะเขาออกจากเรือในครั้งนี้ ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถพูดแบบนั้นได้


 


อีเดนไม่ตอบกลับเย่โม่และเพียงแค่ขับเรือไปยังเกาะภูเขาไฟ เขาขับรถเร็วมากราวกับว่าเขาพยายามจะพิสูจน์ให้เย่โม่เห็นว่าเขาไม่กลัวความตาย


 


เย่โม่ยิ้ม อย่างไรก็ตามทั้งเย่โม่และหนิงชิงเซวียไม่สามารถคาดหวังได้ว่าเรือของพวกเขาจะคลาดกัน หนึ่งกำลังออกจากเกาะและอีกอันหนึ่งไปที่นั่น


 


ในไม่ช้าเรือประมงก็อยู่ในช่วงของเกาะมีลาวาอยู่ทั่ว


 


แม้จะอยู่ในระยะไกลเช่นนี้ แต่ก็สามารถรู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผาได้


 


เย่โม่มองไปที่ลาวาที่ไม่มีที่สิ้นสุดและพูดอย่างไร้ความหมาย “ไปกันเถอะ” เขารู้ว่าแม้จะมีหลักฐานใดๆ บนเกาะ มันก็หายไปแล้วตอนนี้


 


อีเดนต้องการให้เย่โม่พูดเช่นนั้น ทันทีที่เย่โม่พูด เขาก็ขับเรือออกไป


 


เย่โม่เริ่มหงุดหงิดหลังจากไม่สามารถหาหนิงชิงเซวียได้หลายวัน หลังจากใช้เวลา 2 วันกับเย่โม่แล้ว อีเดนก็รู้ว่าเย่โม่มาที่นี้ก็เพื่อตามหาภรรยาของเขา เขามีความรู้สึกว่าพวกเขาทั้งคู่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน


 


เย่โม่รู้ว่าเขากำลังใจร้อนและเขาก็นั่งอยู่บนเรืออย่างเงียบๆ เขาใช้การฝึกตนเพื่อทำให้ตนเองสงบลง


 


อีเดนเห็นสิ่งนี้และปิดปากเขา เขามุ่งเน้นไปที่การควบคุมเรือและการใช้เรดาร์


 


6 ชั่วโมงต่อมามีดวงจันทร์สว่างปรากฏบนท้องฟ้า ทะเลยามค่ำคืนเงียบและสงบไม่เหมือนกลางวัน อีเดนคิดว่าพวกเขาโชคดีแค่ไหนที่ไม่เคยเจอพายุใดๆ ถ้าพวกเขาเจอเข้า เรือของพวกเขาคงจมลงได้ง่ายๆ


 


เย่โม่เสร็จสิ้นรอบวงชีพจรใหญ่และรู้สึกหายใจคล่องขึ้น และในขณะนั้นเองเขาก็ได้ยินอีเดนกรีดร้อง


 


“มีอะไรเหรอ?” เย่โม่ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างอีเดนทันที


 


อีเดนไม่ได้สังเกตว่าเย่โม่มาถึง เขาแค่ชี้ไปที่หน้าจอเรดาร์อย่างตื่นเต้นเท่านั้น “ฉันพบ 2 เป้าหมาย 50 ไมล์ในทะเลออกไป”


 


เย่โม่ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “แล้วคุณจะรออะไรอีกละ -_-”


 



 


หนิงชิงเซวียไม่รู้ว่าจะควบคุมเรือได้อย่างไร แม้ว่าเธอจะทำเช่นนั้นเธอก็ไม่รู้ทิศทางที่จะไป เธอทำได้เพียงดึงใบเรือให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้และปล่อยให้เรือแล่นไปด้วยตัวเอง


 


ในเวลาน้อยกว่าครึ่งวัน หนิงชิงเซวียก็ได้พบกับเรือลำอื่น


 


ถ้าไม่ใช่เพราะซิลเวอร์ เธอคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรือลำอื่นแล่นเข้าหาพวกเขา เนื่องจากหนิงชิงเซวียต้องการฝึกตน เธอจึงบอกให้ซิลเวอร์ปกป้องเธอ เธอหยุดเพราะสัญญาณเตือนของซิลเวอร์


 


หนิงชิงเซวียมองไปที่ทิศทางที่ซิลเวอร์พงกหัว นั่นคือเรือจริงๆ มันยังคงพร่ามัว แต่ภายใต้แสงจันทร์เธอสามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นเรือลำหนึ่งและมันก็ขับมาหาเธอ


 


เธอรอดแล้วหรอ? สิ่งแรกที่เธอคิดคือในที่สุดเธอก็สามารถเห็นเย่โม่ได้ ตราบใดที่เรือนำตัวเธอขึ้นบกแล้วไม่ว่าจะเป็นประเทศใดเธอก็สามารถกลับได้ทั้งนั้น


 


เมื่อเรือเข้าใกล้ หนิงชิงเซวียก็เห็นธงบนเรือลำนั้น ใบหน้าของเธอซีดไปทันที ความหวังใหม่ของเธอหายไป ตอนนี้เธอรู้สึกสยองขวัญขึ้นมาแทน


 


เรือเหมือนกันกับเธอและใครๆ ก็สามารถเห็นกะโหลกคว่ำได้ เจ้าของเรือนี้อาจมาจากกลุ่มเดียวกันกับเรือลำนั้น ตอนนี้คนเหล่านั้นตามทันแล้ว เธอจะทำยังไงดี?


 


เรือมุ่งหน้าไปยังเธออย่างชัดเจน


 


หนิงชิงเซวียคว้าปืนของเธอ เธอเห็นผู้คนบนเรือลำนั้น มีคนอยู่อย่างน้อย 10 คน


 


หนิงชิงเซวียคงไม่คิดว่าเรือที่เหมาะสมจะมีธงแบบนี้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรือโจรสลัด


 


หนิงชิงเซวียต้องการให้เรือของเธอแล่นเร็วขึ้นและไปในทิศทางอื่น แต่เธอไม่บังคับมันไม่เป็นนะสิ!


บทที่ 419 : เรือหาปลาที่ไม่ได้หลีกเลี่ยง


 


เมื่อเห็นเรือที่อยู่ใกล้เธอ หนิงชิงเซวียก็ยอมแพ้ในการพยายามควบคุมเรือด้วยใบเรือและคว้าปืนของเธอ


 


เมื่อเรือปรากฏต่อหน้า ผู้คนหลาย 10 คนบนเรือก็จ้องมองที่หนิงชิงเซวีย แววตาของพวกเขาราวกับหมาป่าดุร้าย ราวกับว่าพวกเขาไม่เห็นปืนในมือของเธอเลย แต่มีเพียงหนิงชิงเซวียที่เป็นเหมือนเทพธิดาเท่านั้น


 


ระหว่างนั้นมีประมาณ 10 เมตร แต่หนิงชิงเซวียได้ยินพวกเขาอึกทึกจากระยะไกล หัวใจของเธอจมลง เธอต้องการเปิดไฟ แต่เธอจะไม่สามารถฆ่าโจรสลัดจำนวนมากด้วยปืนของเธอได้


 


“พระเจ้า เธอสวยอะไรอย่างนี่ว่ะ ฉันต้องได้เธอ…” ชายผิวขาวถอนหายใจ แม้ว่ามันจะเป็นภาษาอังกฤษหนิงชิงเซวียก็สามารถเข้าใจได้


 


“ชอว์นนั่นคือเรือผู้นำของเรานะ ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น แต่ทำไมฉันไม่เห็นผู้นำพวกเราเลยละ” ในขณะนั่น ชายร่างโตที่อยู่ถัดจากชายผิวขาวคนนั้นจำจุดประสงค์ของพวกเขาได้


 


พวกเขามาเพื่อค้นหาผู้นำที่หายไปไม่ใช่ผู้หญิงที่น่ารัก อย่างไรก็ตามผู้หญิงคนนี้สวยเกินไป


 


คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนบนเรือโฟกัส พวกเขาไม่เห็นผู้นำของพวกเขาบนเรือผู้นำ แต่เห็นผู้หญิงที่สวยงามอย่างบ้าคลั่งแทน ในทะเลที่ไม่มีขอบเขตแบบนี้มันดูน่าขนลุกเล็กน้อย


 


“เฮ้ยที่จริงแล้วเธอมีปืนด้วยว่ะ ฮ่าๆ!” มีเสียงหัวเราะทุกที่และไม่มีใครสนใจปืนของเธอจริงจังเลย


 


“วางปืนของเธอ และลงมาที่เรือของเราซะ!” ชายคนหนึ่งตะโกนผ่านฮอร์นไปที่หนิงชิงเซวีย


 


หนิงชิงเซวียได้ยินคำพูดของพวกเขาอย่างชัดเจนและเมื่อเธอเข้าใจภาษาอังกฤษ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าชะตากรรมของเธอจะเป็นอย่างไรเมื่อตกอยู่ในมือพวกเขา


 


ทันใดนั้น หนิงชิงเซวียก็เห็นผู้นำยกมือขึ้นและมีแสงสีขาวไหลพรวนมาที่ข้อมือของเธอ


 


ลูกดอก? หนิงชิงเซวียตอบโต้ทันที แต่ก็ไม่สามารถหลบได้ ก่อนที่ลูกดอกจะตีเธอ มันก็ถูกบล็อกด้วยแสงสีขาว หนิงชิงเซวียรู้ว่าต้องเป็นสร้อยคอที่ปกป้องเธออีกครั้ง เธอมองลงไปที่มัน มันหรี่ลงไปมาก ซึ่งหนิงชิงเซวียรู้สึกโกรธอย่างมาก


 


เธอไม่ได้คาดหวังว่าชาวต่างชาติเหล่านี้จะเก่งในการใช้ขีปนาวุธ เธอหยิบปืนขึ้นมาทันทีและเริ่มยิงใส่พวกเขา


 


แม้ว่าโจรสลัดเหล่านั้นจะมีประสบการณ์ ช่วงเวลาที่หนิงชิงเซวียยกปืนขึ้นเกือบทุกคนก้มลง นอกเหนือจากผู้ชายที่โชคร้ายคนหนึ่งที่โดนกระสุนปืนคนอื่นๆ ก็หลบไป


 


เธอรู้ว่าเหตุผลที่ทำให้เธอสามารถยิงอาวุธของเธอได้ก็เพราะโจรสลัดเหล่านี้ไม่ต้องการฆ่าเธอและต้องการชีวิตของเธอ หนิงชิงเซวียรีบซ่อนตัวอยู่ในเรืออย่างรวดเร็ว เนื่องจากโจรสลัดเพิ่งแล่นไปข้างหน้า หลังจากที่เธอลั่นไกปืน เธอสังเกตเห็นใบเรือบนเรือหยุดลงและมันหยุดความเร็วอย่างรวดเร็ว


 


หนิงชิงเซวียรู้สึกเศร้าอย่างกระทันหัน ไม่ใช่เพราะเธอกำลังจะตายต่อโจรสลัด แต่เป็นเพราะเธอไม่ได้เจอเย่โม่


 


เธอไม่กลัวความตาย แต่เธอไม่อยากตายอย่างนี้ เธอไม่แม้แต่จะเจอเย่โม่ พูดขอโทษและทำสิ่งที่เธออยากทำเลย


 


หนิงชิงเซวียเปลี่ยนแมต ซึ่งเธอมีทั้งหมดเพียง 2 เท่านั้น


 


ซิลเวอร์พุ่งไปที่หนิงชิงเซวียราวกับว่าถึงความรู้สึกหมดหนทางของหนิงชิงเซวีย มันสามารถส่งเสียงครวญครางทุกครั้งได้เท่านั้น


 


“คนสวย วางอาวุธของเธอแล้วเดินออกไปเถอะน่า เราสัญญาว่าเราจะไม่ทำร้ายเธอ แต่ถ้าเธอต่อต้านอีก เราจะระเบิดเรือของเธอซะ” เสียงดังขึ้นอีกครั้ง


 


หนิงชิงเซวียกัดริมฝีปากของเธอและวิ่งออกจากที่ซ่อนและยิงอีกครั้ง คราวนี้เธอยิงโดนไป 2 คน คนที่เหลือดูเหมือนจะโกรธเธอ แม้ว่าพวกเขาจะโกรธ แต่พวกเขาก็ยังไม่ยิง เพราะกลัวที่จะทำร้ายหนิงชิงเซวีย


 


ระเบิด 2 ลูกลงมาบนเรือของหนิงชิงเซวีย ระเบิดได้สร้างหลุมขนาดใหญ่ 2 รูบนหัวเรือทันที พวกเขาไม่ได้ระเบิดต่อและยังคงขู่


 


หนิงชิงเซวียซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งพร้อมกับซิลเวอร์ เธอรู้ว่าเธอเหลือกระสุนเพียงเล็กน้อย ถ้าเธอเริ่มยิงอีกครั้ง กระสุนของเธอจะหมด


 


แม้ว่ายันต์ไฟของเธอจะทรงพลัง แต่ก็สามารถฆ่าคนได้แค่ 3 คนเท่านั้น


 


เมื่อหนิงชิงเซวียคิดอย่างหมดหวัง เธอก็รู้สึกว่าเรือสั่นสะเทือน หนิงชิงเซวียหันกลับมามองศีรษะของเรือโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันมีสมอโลหะลงจอดบนเรือตรงเข้าไปในรู


 


สาเหตุที่โจรสลัดเหล่านั้นระเบิดรูบนเรือก็เพื่อไปใช้เป็นจุดยึด เชือกสีขาวเชื่อมต่อสมอกับเรือของพวกเขา หนิงชิงเซวียรู้ว่าเธอไม่มีทางหนีไปในตอนนี้แล้ว


 


ทันใดนั้น หนิงชิงเซวียก็ยืนขึ้น เธอจะยิงปืนของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะกระโดดลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย


 


“ซิลเวอร์ หลังจากที่ฉันกระโดดลงไปในทะเลแล้วก็บินหนีไปเลยนะ อาจมีเกาะใกล้ๆ นั่นจะดีกว่าการอยู่ที่นี่และรอความตาย” หนิงชิงเซวียลูบขนของซิลเวอร์ เธอจะคิดถึงนกตัวนี้


 


ถ้าไม่ใช่เพราะซิลเวอร์ที่มากับเธอ เธอคงรู้สึกเหมือนถูกทรมานอยู่บนเรือผีลำนี้ แต่ซิลเวอร์ก็ได้มอบความกล้าหาญให้เธอ ซึ่งเธอสามารถฝึกตนได้ด้วย


 


ซิลเวอร์สามารถเข้าใจเธอได้อย่างชัดเจน ขณะที่เริ่มส่งเสียงครวญคราง แต่ทันใดนั้นมันก็หยุด มันเริ่มร้องกี้ๆ และดึงแขนเสื้อของหนิงชิงเซวียด้วยปากของมันราวกับว่าอยากให้เธอดูอะไรซักอย่าง


 


หนิงชิงเซวียมองอย่างไม่รู้ตัวในทิศทางที่ซิลเวอร์ชี้ไปด้วยปากของมัน เธอเห็นเรือลำอื่นมา ซิลเวอรตั้งใจให้เธอขึ้นเรือลำนั้นแล้วหลบหนี


 


หนิงชิงเซวียยิ้มอย่างขมขื่น เรือลำนั้นเร็วจริงๆ แต่เธอเห็นได้ว่ามันเป็นเพียงเรือประมงเท่านั้น เธอหยุดซิลเวอร์ให้หันกลับมาและลูบขนของซิลเวอร์ “นั่นคือเรือประมงนะ ผู้คนในนั้นไม่สามารถแม้แต่จะป้องกันตัวเองได้หรอก พวกเขาจะช่วยเราได้ยังไงละ?”


 


คนของเรืออีกลำสังเกตเห็นเรือประมงและเล็งปืนไปที่มัน เมื่อเรือเข้ามาในระยะการยิงพวกเขาก็จะยิงใส่โดยไม่ลังเล


 


เหตุผลที่พวกเขาไม่ตกลงฆ่าเรือของหนิงชิงเซวียเพราะมันเป็นเรือของหัวหน้าของพวกเขาและในทางกลับกัน เนื่องจากหนิงชิงเซวียนั้นช่างสวยงามเหลือเกิน เมื่อมาถึงพวกโจรสลัดอย่างพวกเขาไล่ตามอยู่ 2 สิ่งเท่านั้นในชีวิต: เงินและผู้หญิง


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจคือเรือประมงลำนี้ไม่ได้หลีกเลี่ยงพวกเขา แต่เร่งตัวเร็วขึ้น สิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจมากขึ้นคือมีเรือประมงอยู่ในทะเลน้ำลึกเนี้ยนะ?


 



 


อีเดนเห็นจากที่ไกลๆ ว่าเรือสองลำที่เขาตรวจพบด้วยเรดาร์ของเขามีธงหัวกะโหลกอยู่ เขาต้องการเปลี่ยนเส้นทางทันที แต่เย่โม่หยุดเขา


 


อีเดนไม่รู้ว่าชื่อของเย่โม่ ดังนั้นเขาสามารถเรียกออกมาได้อย่างสิ้นหวังว่า “เรือทั้ง 2 ลำนั้นเป็นเรือที่ฉันพูดถึง นั่นคือเรือโจรสลัด! พวกเขามีอาวุธนะ มันโง่มากถ้าเราเข้าใกล้!”


 


เย่โม่เดินช้าๆไปที่ศีรษะของเรือแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าพวกนั้นเอาแดฟนี่ไปหรอ?”


 


อีเดนพูดอย่างไม่ลังเล“ ใช่ พวกเขาเป็นคนพาเธอไป พวกเขาฆ่าผู้โดยสารนับไม่ถ้วนบนเบม่า และพาผู้หญิงทุกคนขึ้นไป พวกเขาเป็นปีศาจ!”


 


เย่โม่เย้ยหยัน “แม้ว่าปีศาจเหล่านี้จะพาแดฟนี่ของคุณไป คุณจะไม่ช่วยชีวิตเธอและหนีไปอะหรอ? ฉันไม่คิดว่าความรักที่คุณมีต่อเธอนั้นเป็นของแท้หรอกนะ แต่ยังไงซะในกรณีนี้คุณสามารถวิ่งหนีไปได้นะ แต่ฉันต้องไปดูให้ได้”


 


แน่นอน เย่โม่กำลังจะเข้าไป เขาจะไม่ยอมให้ใครเห็นในภูมิภาคนี้ของทะเลเป็นเช่นนั้น มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนเหล่านั้นรู้จักหนิงชิงเซวียละ?


 


“ไม่มันเป็นการฆ่าตัวตายที่จะไปที่นั่น! ฉันจะกลับไปขอความช่วยเหลือเพื่อช่วยแดฟนี่ ไม่เช่นนั้นฉันตายเพื่ออะไร ในเมื่อแดฟนี่ยังไม่รอด” อีเดนเห็นว่าเย่โม่เข้าใจผิดและอธิบายอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อมองจากมุมมองของอีเดน เย่โม่รู้ว่าเขาพูดถูก มันจะหมายถึงการฆ่าตัวตายเพื่อให้เขาไปที่นั่นถ้าเขาอยู่คนเดียว


 


เย่โม่ยิ้ม “อีเดน ถ้าคุณเชื่อใจฉัน ก็มากับฉันเพื่อปกป้องแดฟนี่ของคุณเถอะ ไม่งั้นก็ขึ้นห่วงแล้วหนีไป โจรสลัดเหล่านี้ไม่ได้คุกคามฉัน แต่คุณต้องเลือกให้ไว เรือของเราเข้าใกล้แล้ว”


 


ใบหน้าของอีเดนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและในที่สุดเขาก็ถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อใจเย่โม่ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว เขาอยู่ห่างจากเรือ 2 ลำเพียง 200 เมตรเท่านั้น แม้ว่าตอนนี้เขาจะกระโดด เขาก็จะถูกเห็นและถูกโจรสลัดจับ หากเขากำลังจะตายทั้งสองทาง เขาอาจจะไปกับผู้ชายจีนหน้าด้านคนนี้และต่อสู้!


 


ตู้มมม! – ระเบิดลงที่ขอบของเรือ อีเดนรู้สึกว่าเรือสั่น เขารู้ว่ามันจบแล้ว พวกโจรสลัดยิงโดยไม่ลังเลสักนิดเลย


 


อีเดนพยายามควบคุมเรือให้ไกลออกไปเล็กน้อย จากนั้นเขาตะโกนหาเย่โม่ที่หัวเรือ “เร็วเข้า ฉันต้องเปลี่ยนทิศทาง -“


 


แต่ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ตกใจทันทีเมื่อรู้ว่าชายจีนหายไป เขายังคงยืนอยู่ที่หัวของเรือเมื่อไม่นานมานี้เอง และหลังจากปืนใหญ่ระเบิดเขาก็จากไปทันที


บทที่ 420 : เผชิญหน้าเหมือนความฝัน


 


ในขณะที่ระเบิดตกลงบนเรือ เย่โม่ก็กำลังบินไปที่เรือโจรสลัด แต่เขามีเพียงครึ่งเดียวสิ่งที่เขาเห็นด้วยสัมผัสจิตวิญญาณของเขา ซึ่งมันเกือบทำให้เขาตกลงไปในน้ำ


 


หนิงชิงเซวีย นั่นมันชิงเซวีย! เย่โม่ไม่เคยคิดว่าเขาจะได้เห็นหนิงชิงเซวียในขณะนั้น


 


ในไม่ช้า เย่โม่ก็เข้าไปด้วยสัมผัสของเขา เขาพบหนิงชิงเซวียจริงๆ เขาเปลี่ยนทิศทางทันทีและบินไปที่เรือของหนิงชิงเซวียอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครเห็นเขา


 


หนิงชิงเซวียราวกับว่าโดนฟ้าผ่า เธอจ้องมองที่เย่โม่อย่างช้าๆ ซึ่งค่อยๆ ลงมาบนเรือ แกร๊ก – ปืนในมือของเธอหล่นลงบนพื้น แต่เธอไม่ได้สังเกต


 


“เย่โม่ นายจริงๆเหรอ? ฉันตายไปแล้วหรอ? ทำไมฉันถึงหลอนแบบนี้ละ?” หนิงชิงเซวียบ่นกับตัวเอง เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความปรารถนาของเธอได้ไปถึงสวรรค์และอนุญาตให้เธอเห็นเย่โม่ก่อนที่เธอจะตาย แต่เมื่อเห็นเย่โม่ นอกเหนือจากภาพลวงตาก่อนตายมันจะเป็นอะไรอีก? เย่โม่จะปรากฏบนเรือได้อย่างไรโดยไม่มีเหตุผล?


 


เมื่อเห็นสีหน้าของหนิงชิงเซวีย และรูปร่างผอมแห้ง หัวใจของเย่โม่ก็เจ็บปวด เขารู้ว่าหนิงชิงเซวียได้กู้ความทรงจำของเธอแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่เป็นแบบนี้


 


เย่โม่เดินไปหาเธอแล้วกอดเธอเบาๆ “ชิงเซวีย ฉันจริงๆ” เย่โม่เองก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจ ความตั้งใจฆ่าไม่มีที่สิ้นสุดของเขาได้หายไปทันทีที่เขาโอบกอดหนิงชิงเซวีย มันเป็นความพึงพอใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาที่จะได้พบกับหนิงชิงเซวียในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ เขายังขอบคุณคนญี่ปุ่นเหล่านั้นที่มอบเรดาร์ให้เขา หากไม่ใช่เพราะเรดาร์นั้น เขาก็ยังคงไม่ใกล้กับการหาหนิงชิงเซวียแน่ๆ


 


“เย่โม่ นายจริงๆนะ?” หนิงชิงเซวียตื่นเต้นและกอดเย่โม่ให้แน่นยิ่งขึ้น ในช่วงเวลานั้นเธอมีความสุขมากจนใจเธอเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง มีเพียงเสียงเดียวในใจของเธอและมันก็พูดว่า ‘นี่เป็นเรื่องจริง นี่คือเย่โม่จริงๆ’


 


ความฝันนั้นช่างเป็นจริงจนเธอไม่อยากจะเชื่อ


 


ตัวอย่างเช่น พวกเขามีเพียงคนเดียวในใจของพวกเขาเท่านั้น ทุกอย่างอยู่นอกโลก หรือบางทีมันอาจเป็นมากกว่าแค่การมีกันและกันอยู่ในอ้อมแขนและรู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกเขา ไม่มีคำพูดใดที่สามารถแสดงความรู้สึกของพวกเขาในขณะนั้นได้ การโอบกอดกันเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาทั้งสองรู้สึกถึงความเป็นจริง


 


เวลาดูเหมือนจะหยุดลง คลื่นทะเลหยุดชั่วคราวนอกเหนือจากเครื่องยนต์ดีเซลเก่าบนเรือประมงที่ยังคงใช้งาน ทุกคนมองด้วยสีหน้ามึนงงไปที่เย่โม่และหนิงชิงเซวีย


 


ไม่มีใครบนเรือโจรสลัดรู้ได้ว่าเย่โม่กระโดดขึ้นไปตั้ง 200-300 เมตรเพื่อไปหาหนิงชิงเซวียได้อย่างไร พวกเขาแค่คิดว่า “สองคนนี้กล้าที่จะโอบกอดกันต่อหน้าปืนทั้งหมดแบบไม่เป็นไร พวกเขาโง่หรอ?”


 


อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นโจรสลัดก็ตื่นขึ้น สิ่งที่ทำให้พวกเขาโกรธคือผู้หญิงที่เหมือนเทพธิดาเช่นหนิงชิงเซวียอยู่ในอ้อมแขนของชายอีกคนหนึ่ง เมื่อพวกเขาไม่ได้แตะต้องเธอ


 


“ฆ่ามัน” ชอว์นเป็นคนแรกที่ตอบโต้และชี้ไปที่เย่โม่ด้วยความโกรธแค้น ในสายตาของเขาหนิงชิงเซวียเป็นของเขา ช่างกล้ามากที่โอบกอดผู้หญิงของเขา


 


สวนอีเดนยังประหม่าอยู่กับเรือ พยายามที่จะย้ายออกจากระยะการโจมตี แต่ทันใดนั้นทุกคนก็สังเกตเห็นว่าปืนใหญ่หยุดการโจมตี มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แห่งความเงียบงัน หลังจากนั้นเขาก็เห็นเย่โม่กอดผู้หญิงชุดขาว ผู้หญิงคนนั้นมาจากเรือโจรสลัดหัวกะโหลก


 


อีเดนลูบตาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาเห็นถูกต้อง


 


“ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของเขาหรอ? เธอถูกโจรสลัดจับไปหรอ? ทำไมโจรสลัดถึงยังไม่โจมตีเขาละ?” อีเดนสับสนมาก


 


ปัง! – เสียงปืนไรเฟิลดัง ทำให้อีเดนสั่นสะเทือน ไม่ ชายจีนคนนั้นช่วยชีวิตเขาจากการถูกโจมตีโดยพวกโจรสลัด มันเป็นเสียงปืนไรเฟิล อีเดนเป็นกังวลมากจนเขาลืมความจริงที่ว่าเย่โม่อยู่บนเรือหัวกะโหลก


 


เย่โม่ยกมือขึ้นแล้วจับกระสุนทันที จากนั้นเขามองที่หนิงชิงเซวีย และพูดว่า “ชิงเซวีย คนพวกนี้กำลังก่อกวนเธอรึเปล่า?”


 


หนิงชิงเซวียไม่รู้สึกถึงเจตนาฆ่าของเย่โม่ เธอจมอยู่ในอ้อมแขนของเย่โมแล้วไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว เธอไม่แม้แต่จะได้ยินสิ่งที่เย่โม่พูด และก็ไม่รู้ว่าเย่โม่ได้รับกระสุน


 


“ฉันตาฟาดหรอ?” มือปืนบนเรือของชอว์นมองดูมือของเขาโดยไม่เชื่อ ไม่มีทางที่เขาจะพลาดระยะสั้นๆ แบบนี้ได้ แต่ความจริงก็คือเขาทำ เขานึกภาพไม่ออกว่าเย่โม่จับกระสุนของเขาได้ยังไง


 


เย่โม่สบายดี นอกเหนือจากที่เขาพลาดไป เขาจะทำอะไรได้อีก?


 


เมื่อเขาต้องการที่จะยิงเป็นครั้งที่สอง เย่โม่ ได้วาง หนิงชิงเซวีย ไว้ข้างหลังเขาแล้ว


 


“แกไม่จำเป็นต้องยิงครั้งที่ 2 แล้วละ ฉันจะส่งแกลงทะเล”


 


จากนั้น เย่โม่ก็เตะมือปืนที่พร้อมแล้วสำหรับการยิงครั้งที่ 2 เขาถูกโยนขึ้นไปในอากาศและตกในทะเล อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะตกลงไป เขาก็ตายไปแล้ว


 


ชอว์นตอบสนอง เขามีทักษะการยิงกระสุนและมีความกระตือรือร้นมากกว่าเพื่อน มันเป็นระยะทาง 20 เมตร ชายคนนั้นจัดการได้อย่างไรในทันทีและนำผู้หญิงไปกับเขาด้วย?


 


จากนั้น เขาจำสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เย่โม่อยู่บนเรือประมงนั้นห่าง 300 เมตรจากเรือ แต่เขาก็ไปถึงที่นั่นได้


 


ก่อนที่เขาจะนึกถึง 2 สิ่งนี้ เย่โม่ก็เตะโจรสลัดไปมากกว่า 20 คน พวกเขาทั้งหมดถูกโยนลงไปในทะเลและไม่มีใครสามารถต่อสู้ได้


 


นี่เป็นเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น เมื่อมองดูคนที่เหลืออีก 7 หรือ 8 คนบนเรือ ชอว์นก็เริ่มเหงื่อตก เขารู้ว่าชายคนนั้นทำ เขาได้ทำให้คนที่ไม่ควรโกรธได้โกรธเข้าแล้ว คนของเขาไม่สามารถแม้แต่จะยิงได้ พวกเขาเกือบตายหมดแล้ว เขาไม่อยากตะโกนว่า ‘สู้’ เขารู้ว่าไม่มีความแตกต่างไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่


 


“เชียนเปย เมตตาด้วย” โชคดีที่ชอว์นเข้าใจวัฒนธรรมจีนอยู่บ้าง


 


เย่โม่ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ชอว์นพูดได้ และในขณะที่เขาพูด เย่โม่ก็จัดการอีก 4 โจรสลัดที่พยายามยิงเขารวมถึงชอว์น ซึ่งมีโจรสลัดเหลืออยู่เพียง 3 คนบนเรือ


 


หนิงชิงเซวียตื่นขึ้นเพราะเหตุนี้ เธอเงยหน้าขึ้นและพบว่าเธอยังอยู่ในอ้อมแขนของเย่โม่ แต่ไม่ได้อยู่ในเรือลำเดิม


 


หนิงชิงเซวียได้ตระหนักถึงพลังของเย่โม่ เธอจึงสแกนเรือของชอว์น เธอเห็นโจรสลัดที่เหลืออีก 3 คนกำลังจ้องมองเย่โม่ด้วยความหวาดกลัวราวกับว่าเขาเป็นปีศาจจากนรก


 


สีหน้าของเย่โม่จมลง ขณะที่เขาพูดอย่างเยือกเย็น “แกต้องการโจมตีผู้หญิงของฉัน แต่แกยังคงขอความเมตตางั้นเรอะ ฝันไปเถอะ” จากนั้นเขาก็เตะโจรสลัดที่เหลืออีก 2 คน ซึ่งตอนนี้ชอว์นเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่


 


หนิงชิงเซวียได้ยินคำพูดของเย่โม่ และเขินเล็กน้อย แม้ว่าคำพูดของเย่โม่จะมีอำนาจ เธอก็ไม่รู้สึกรำคาญเลย เธอกลับรู้สึกอบอุ่นภายใน แต่ทันทีเธอนึกถึงความจริงที่ว่าเธอยังไม่ได้เป็นผู้หญิงของเขา


 


ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร ในที่สุดอีเดนก็สามารถควบคุมเรือของเขาได้และเงยหน้าขึ้นมองเย่โม่เตะโจรสลัดดุร้ายเหล่านั้นทีละคนลงไปในทะเล อีเดนตกตะลึงและกล่าวว่า “โอ้พระเจ้า!”


 


เขาเดาว่าเย่โม่ไม่ใช่คนธรรมดาที่กล้าตามหาภรรยาของเขาคนเดียวบนเรือหาปลา แต่พลังของเย่โม่ก็เกินความคาดหมายของเขา เขาจะเป็นคนดุร้ายได้ยังไง? โจรสลัดที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์ร้ายกาจนั้นเป็นเหมือนของเล่นในยามตื่นของเขา พวกเขาไม่สามารถยกปืนขึ้นได้เลย


 


อีเดนไม่ใช่คนโง่ เขาสงสัยทันทีว่า ‘เย่โมออกจากเรือประมงตั้งแต่เมื่อไหร่? ดูเหมือนว่าจะเป็นไปในเวลาเดียวกันกับที่ปืนใหญ่ลงบนเรือ’ เขายังคงเป็นกังวลกับเย่โม่ แต่คนจีนนี้ห็ปรากฏตัวบนเรือกะโหลกลำหนึ่งแล้ว ครั้งต่อไปที่เขาเห็นอีกครั้ง ชายชาวจีนก็ปรากฏตัวพร้อมผู้หญิงของเขาบนเรือลำอื่น


 


‘พระเจ้านี่มันวิเศษเกินไป!’ อีเดนไม่เข้าใจว่าเย่โม่เคลื่อนไหวไปมาได้อย่างไร แต่เขาแน่ใจว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดีแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่เขาบอกให้เขาบังคับเรือไปยังที่เกิดเหตุ เขาไม่มีอะไรต้องกลัว เมื่อเข้าใจว่าอีเดนสั่งให้เรือประมงแล่นไปที่เรือโจรสลัด


 


ชอว์นต้องการดึงปืนออกมา ในขณะที่เขาลังเลหลายครั้ง แต่ในที่สุดเขาก็ไม่กล้าทำ เขารู้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขาทำให้เขามีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพราะความเมตตา บุคคลนี้ต้องมีสิ่งที่จะถามเขา


บทที่ 421 : โจรสลัด


 


ชอว์นเป็นโจรสลัดแน่นอน แต่เขาไม่ใช่โจรสลัดที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เขาต้องการเพียงแค่มองไปที่คนเหล่านั้นที่ถูกเตะลงเพื่อสังเกตว่าไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ว่ายน้ำในมหาสมุทร นั่นอาจหมายความว่าพวกเขาทุกคนถูกฆ่าโดยชายคนนี้


 


เมื่อเทียบกับโจรสลัด ชายคนนี้ฆ่าเร็วมาก พวกโจรสลัดจะโอ้อวดก่อนเล็กน้อยและพยายามทำให้คนที่พวกเขากำลังจะฆ่าหวาดกลัว แต่สำหรับชายคนนี้ดูเหมือนจะง่ายเหมือนการสูดลมหายใจ ใบหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแม้แต่นิดเดียวราวกับว่าการฆ่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเขา


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชอว์นก็คุกเข่ากับพื้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขาเป็นโจรสลัดและแน่นอนว่าเขาสามารถฆ่าคนได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่กลัวความตาย


 


เย่โม่ไม่ได้ยุ่งกับชอว์น และพยักหน้าให้อีเดนผู้ที่มีปีนเดินมา จากนั้นเขาก็มองกลับไปที่ซิลเวอร์ ซึ่งปรากฏอยู่ด้านหลัง “ชิงเซวีย ทำไมเธอถึงมีนกตัวใหญ่ติดตามละ?”


 


หนิงชิงเซวียตื่นขึ้นจากความดีใจที่ได้พบกับเย่โม่ และเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่เกาะกำมะถัน


 


เย่โม่ตกใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ถ้าหนิงชิงเซวียไม่ได้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เธอก็คงจะตายไปเพราะพลังแห่งธรรมชาตินั้นแล้ว และเขาก็ไม่สามารถแก้แค้นให้กับเธอได้


 


เมื่อเห็นเย่โม่แล้ว หนิงชิงเซวียก็รีบคว้ามือเขาแล้วพูดว่า “สิ่งเหล่านี้จบลงแล้ว โชคลาภที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันในตอนนี้คือการได้พบนายอีกครั้ง เรื่องในตอนนั้นฉันขอโทษนะ ฉัน-“


 


เย่โม่ยิ้มและหยุดหนิงชิงเซวีย เขาไม่ได้ตำหนิเธอ เขารู้จักหนิงชิงเซวียเป็นอย่างดีและเขาไม่สามารถตำหนิเธอได้ เพราะเห็นว่าเธอสูญเสียความทรงจำของเธอไปได้อย่างไร หนิงชิงเซวียเป็นคนที่มีอารมณ์มากกว่าเขาจริงๆ เขาสามารถบอกได้จากวิธีที่เธอไปที่ทะเลทรายอสรพิษและเขาเซิ่นนองเจี๋ย


 


เมื่อเธอตกหลุมรัก เธอจะไม่สนใจแม้แต่ชีวิต เธอเป็นคนที่รุนแรงมากอย่างน้อยก็เมื่อได้รับความรัก เมื่อเธอเต็มใจที่จะยอมรับลั่วหยิง เย่โม่ก็ยอมรับเธออย่างสมบูรณ์ โดยปกติแล้วสาวสุดโต่งเหล่านั้นจะไม่สามารถทนไหวพริบอื่นๆ ที่อยู่กับผู้ชายของพวกเธอ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเย่โม่ และรู้ว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่มาทีหลัง เธอก็สงสัยว่าลั่วหยิงจะยอมรับเธอหรือไม่ และไม่ใช่ว่าเธอจะยอมรับเย่โม่ได้


 


สำหรับคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในยุคนี้ การตัดสินใจของเธอดูเหมือนจะยอมรับไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ลังเลเลย แม้ว่านี่จะเป็นเพราะอิทธิพลของครอบครัวของเธอ แต่ก็ยังเกี่ยวข้องอย่างมากกับความรักอันยิ่งใหญ่ของเธอต่อเยโม่


 


นี่คือสาเหตุที่เย่โม่รักเธอมาก เธอคล้ายกับเขาในด้านนี้มาก ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ของเขา ลั่วหยิง เย่โม่เชื่อว่าหนิงชิงเซวียจะเป็นหุ้นส่วนที่ดีที่สุดสำหรับเขา ยิ่งเขาอยู่กับเธอนานเท่าไหร่ ความรักของเธอก็ยิ่งละลายลง นอกจากเย่โม่แล้วไม่มีใครรู้ว่าหนิงชิงเซวียมีด้านที่น่าหลงใหล บางทีในสายตาของคนอื่น เธอเป็นคนที่เย่อหยิ่งและเยือกเย็น แต่เย่โม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะคนอื่นไม่เข้าใจเธอ


 


เย่โม่เห็นว่าอีเดนไปหาเชือกมาผูกชอว์น ซึ่งเขาหมดหนทางและสามารถให้ความร่วมมือกันได้เท่านั้น


 


“เธอเรียกมันว่าซิลเวอร์เหรอ? นั่นเป็นชื่อที่แปลกดีนะ” เย่โม่ชี้ไปที่ซิลเวอร์


 


ซิลเวอร์ดูเหมือนจะรู้ว่าเย่โม่ก็มีลมปราณที่เหมือนกับหนิงชิงเซวีย แต่เย่โม่นั้นทรงพลังกว่า ดังนั้นจึงไม่กล้าเข้าใกล้เย่โม่


 


“อืมมม เพราะฉันเห็นลายใบพลัมสีเงินบนหน้าอกของเธอนะ ฉันจึงเรียกเธอว่าซิลเวอร์” หนิงชิงเซวียเอนไปที่ด้านข้างของเย่โม่และพูด


 


“ใบพลัมสีเงิน?” ทันใดนั้น เย่โม่ก็ยื่นมือไปจับนกตัวใหญ่ตัวนั้น และสำรวจหน้าอกของมัน


 


ซิลเวอร์ถูกปลุกให้ตื่นทันที เมื่อเย่โม่มาสัมผัสมัน หนิงชิงเซวียเห็นว่ามีความโกรธในดวงตาของมันและลูบมันอย่างรวดเร็วโดยพูดว่า “ไม่ต้องห่วงนะ เขาจะไม่ทำอันตรายเธอ”


 


เย่โม่สัมผัสซิลเวอร์และขมวดคิ้ว


 


“นายเห็นอะไรไหม? ฉันรู้สึกว่ามันเหมือนนกอินทรีเลย” หนิงชิงเซวียกล่าว


 


เย่โม่ส่ายหัว “มันไม่ใช่นกอินทรี นกอินทรีจะไม่เป็นแบบนี้ มันดูเหมือนนกฟีนิกซ์สีฟ้าในตำนานของฉันเลย”


 


เมื่อเห็นความสับสนของหนิงชิงเซวีย เย่โม่ก็อธิบายว่า “นี่เป็นเพียงการเดาของฉันเท่านั้นนะ ฉันไม่ได้ยึดถืออะไรมากนัก แต่กล่าวกันว่าฟีนิกซ์สีฟ้าเป็นนกที่เกิดมาเพื่อความรัก พวกเขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อค้นหาคู่โชคชะตาของพวกเขา พวกเขาเกิดมาจากโลกและมีลวดลายใบพลัมสีเงินอยู่ที่หน้าอก ซึ่งหมายความว่าการเกิดของมันอาจเกี่ยวข้องกับใบพลัมสีเงิน ฉันเพิ่งคว้ามันและมันก็กริ้วด้วยความโกรธเพราะมันเป็นนกตัวเมีย ควรจะเป็นสีฟ้าเหมือนท้องฟ้า แต่นกตัวนี้แตกต่าง”


 


การได้ยินเย่โม่พูดว่าเป็นตัวเมีย ซิลเวอร์ก็ร้องเสียงดังด้วยความโกรธอีกครั้งราวกับว่ากำลังประท้วง หนิงชิงเซวียรีบคว้ามันไว้ในอ้อมแขนของเธอและในที่สุดก็สงบลง


 


“ชิงเซวีย ทำไมมีผีกลุ่มเล็กมากมายบนเรือลำนั้นละ?” เย่โม่เห็นทันทีว่าเรือของหนิงชิงเซวียเป็นอย่างไร


 


“นายเห็นพวกเขาหรอ?” หนิงชิงเซวียถามด้วยความตกใจ เธอยังรู้ว่าเรือไม่บริสุทธิ์ แต่มองไม่เห็นอะไรเลย


 


เย่โม่พยักหน้า “พลังของเธอยังอยู่ในระดับต่ำ แต่เมื่อเธออมาถึงขั้น 3 ของการรวมลมปราณ เธอจะเห็นผีกลุ่มเล็ก ตอนนี้เธออยู่ที่สูงสุดขั้น 1”


 


ในที่สุด หนิงชิงเซวียก็เข้าใจว่าทำไมเธอไม่เห็นอะไรเลย แต่ไม่ได้ถามว่าทำไมจึงมีเงาดำหนึ่งอันที่เธอเห็น เธอจะบอกเย่โม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง


 


“ผีกลุ่มเล็กพวกนั้นไม่ได้ทำอะไรฉันหรอก ฉันคิดว่าเราสามารถปล่อยมันไปได้นะ” หนิงชิงเซวียกล่าว


 


และแล้วอีเดนพบจังหวะที่จะเดินไปหาเยโม่และยกนิ้วโป้งให้ “ภรรยาของคุณช่างน่ารักกว่าแดฟนี่ของฉันซะอีก คุณน่าทึ่งจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นผู้หญิงสวยงามอย่างเธอเลย”


 


เย่โม่ไม่ได้ตอบคำพูดของอีเดน และเดินไปที่ชอว์น และตบหัวเขา จากนั้นเขาบอกกับอีเดนว่า “ถามเขาว่า เขามาทำอะไรที่นี่และฐานของเขาอยู่ที่ไหน”


 


ชอว์นไม่กล้าที่จะปิดบังอะไร และบอกทุกอย่าง


 


อีเดนเริ่มที่จะคิดเป็นภาพออกในเร็วๆ นี้ แต่ก่อนที่เขาจะสามารถอธิบายให้กับเย่โม่ได้ หนิงชิงเซวียก็กล่าวว่า “ชายคนนั้น ชอว์น บอกว่าพวกเขามาตามหาผู้นำของพวกเขา พวกเขาอยู่ในองค์กรโจรสลัดกะโหลก วางแผนปล้นเรือลาดตระเวนสุดหรูเบม่า เอาเงินทองและผู้หญิงจำนวนมากมาที่ฐานของพวกเขาเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว แต่ผ่านไปครึ่งทางก็มีหมอกลงและเรือทั้งสองลำก็แยกกัน”


 


อีเดนไม่ได้คาดหวังว่าภาษาอังกฤษของภรรยาของเย่โม่จะดีขนาดนี้ การแปลของเธอสุดยอดมาก


 


หนิงชิงเซวียกล่าวต่อว่า “เมื่อชอว์นนำผู้หญิงและเงินทองกลับไปที่ฐานของพวกเขาบนเกาะเพิงซือ พวกเขาพบว่าผู้นำของพวกเขาไม่กลับมา พวกเขาจึงทิ้งเงินทองและผู้หญิงไว้ที่เกาะและออกมาตามหาผู้นำของพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็มาพบฉันที่นี่ เพราะเรือของฉันเป็นของผู้นำ”


 


“ชิงเซวีย ทำไมเธอถึงอยู่บนเรือลำนั้นในตอนแรกละ? และเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น? ฉันรู้ว่าคุณไปหาแม่ของเธอ และตอนนี้เธอสบายดีแล้ว”


 


“แม่ฉันสบายดีหรอ?” หัวใจของหนิงชิงเซวียรู้สึกโล่งใจ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เอ่ยถึงมันออกมาดังๆ แต่เธอกังวลกับแม่เสมอ แม้ว่าแม่ของเธอจะบอกให้เธอหลีกเลี่ยงการติดต่อกับเย่โม่ แต่เธอก็ยังเป็นแม่ของเธอ ไม่ต้องพูดถึงอีกว่าแม่ของเธอไม่ได้พยายามทำร้ายเธอ


 


เมื่อเห็นเย่โม่พยักหน้า หนิงชิงเซวียเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเธอขึ้นเครื่อง


 


เย่โม่พยักหน้า นี่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสิ่งที่เขาตรวจสอบมา


 


อีเดนยังคงตกตะลึง เขาไม่คาดหวังว่าชาวญี่ปุ่นจะกล้าพอที่จะทำอะไรแบบนี้ ลักพาตัวนักวิทยาศาสตร์มากมายหลายคน!


 


ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนมาก นอกเหนือจากที่ผู้นำหายตัวไป หนิงชิงเซวียรู้เพียงเล็กน้อยว่าผู้นำหายตัวไปได้อย่างไร แต่เธอไม่พูดอะไรเลย


 


เย่โม่มองดูอีเดนแล้วพูดว่า “คุณสามารถให้ข้อมูลนี้แก่เพนตากอนได้นะ ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะสนใจ”


 


แม้ว่าเย่โม่จะต้องการกำจัดจักรวรรดิอาทิตย์ทมิฬอย่างแท้จริง แต่ความดีใจที่ได้เห็นหนิงชิงเซวีย ทำให้เขาต้องการนำเธอกลับมาและไม่ต้องการต่อสู้ต่อ การปล่อยให้ชาวอเมริกันต่อสู้กับญี่ปุ่นนั้นมันเหมาะกว่า


 


“ฉันยังต้องการช่วยแดฟนี่ด้วย และเนื่องจากคุณเป็นผู้มีพลัง…” อีเดนมองอย่างลังเลที่เย่โม่ เขารู้ดีว่าเย่โม่แข็งแกร่ง แต่เย่โม่พบว่าเขากำลังมองหาใครอยู่ เขาไม่รู้ว่าเย่โม่ยินดีที่จะช่วยเขาตามแดฟนี่หรือไม่


 


แน่นอน เย่โม่รู้ว่าอีเดนหมายถึงอะไร แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการไปที่เกาะเพิงซือ แต่อีเดนก็เป็นคนดี แม้หลังจากถูกปืนใหญ่โจมตี เขาก็ไม่ได้หนีไปกับเรือ พวกเขาทั้งคู่มาที่นี่เพื่อตามหาคน เขาไม่สามารถทิ้งไปแบบนี้ได้ หลังจากที่เขาได้สิ่งที่ต้องการแล้ว


 


หนิงชิงเซวียมองที่เย่โม่ด้วยความสับสน เย่โม่เล่าเรื่องของอีเดนให้เธอฟัง มองที่ดวงตาขอร้องของอีเดน หนิงชิงเซวียก็มองอีเดน เธอคิดว่าอีเดนต้องรู้สึกคล้ายๆ กับที่ว่าเธอรู้สึกถึงอีเดนมาก่อนแน่


บทที่ 422 : ฉันไม่อยากไปจากนาย


 


เย่โม่เพียงแต่มองหนิงชิงเซวียเพียงช่วงสั้นๆ เพื่อที่จะรู้ว่าเธอตกลงที่จะช่วยแดฟนี่


 


เขาหันกลับมาทันทีและบอกกับอีเดนว่า “ถ้างั้นก็ขึ้นไปบนเรือประมงเถอะ เรือลำนี้ไม่สะดวกเกินไป”


 


ชอว์นมองเย่โม่ด้วยความกลัวและพูดว่า “เรือลำนี้มีมอเตอร์ด้วยนะ….”


 


อีเดนแปลคำศัพท์ของชอว์นอย่างรวดเร็ว เย่โม่โบกมือของเขาแล้วพูดว่า “งั้น อีเดนบอกชอว์นให้ขับเรือและอย่าเล่นตุกติกใดๆ กับเรา”


 


แม้ว่าเขาจะไม่รู้ที่ตั้งของเกาะเพิงซือ แต่ชอว์นยังคงขับเรือเป็นเวลา 2 วันและบอกว่ายังมีอีกทางที่จะไป เย่โม่รู้ว่าเกาะอยู่ตรงกลางแน่นอน


 


ในวันที่ 3 อีเดนรีบวิ่งไปหาเย่โม่เพื่อบอกเขาว่าเขาได้พบเรือลาดตระเวนของสหรัฐฯพร้อมกับเรดาร์บนเรือ เย่โม่สามารถเดาได้ว่าเรือเหล่านี้อาจมาหาเบม่าที่หายไป แต่เนื่องจากเรือโจรสลัดสามารถสแกนพวกมันได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องค้นพบเรือของตัวเองด้วย


 


“โอ้ อีเดนคุณคิดว่าไง?” เย่โม่ถามอีเดน เขารู้ว่าอีเดนอาจต้องการติดต่อกับกองทัพเรือสหรัฐฯและใช้พวกเขาเพื่อทำลายล้างพวกโจรสลัด


 


อีเดนพูดอย่างตื่นเต้นทันที “แน่นอน ติดต่อพวกเขาทันทีสิ ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา ไม่เพียงแต่เราสามารถช่วยแดฟนี่ได้นะ แต่ยังรวมถึงคนอื่นๆ อีกด้วย มากกว่านั้นคนญี่ปุ่นก็จะถูกเปิดเผย”


 


แม้ว่าอีเดนจะรู้ดีว่าเย่โม่นั้นเก่งในการต่อสู้เพียงลำพัง แต่เขารู้สึกว่ากองทัพเรือสหรัฐฯมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เมื่อต้องไปที่ฐานของโจรสลัด


 


เย่โม่พยักหน้าเห็นด้วยกับเขา “โอเค อีเดนควบคุมชอว์นแล้วนำเรือไปยังกองทัพเรือสหรัฐฯ อันที่จริงเราไม่จำเป็นต้องไปหาพวกเขาหรอกมั้ง ตราบใดที่เราไม่หลีกเลี่ยงพวกเขา พวกเขาก็จะเข้ามา”


 


“โอเค ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แล้วทำไมต้องควบคุมชอว์นละ? เขาไม่กล้าทำอะไรคุณที่นี่นิ” อีเดนถามด้วยความอยากรู้


 


เย่โม่ส่ายหัว “ไม่ ฉันกำลังจะจากไปกับภรรยาของฉัน ฉันเกลียดกองทัพเรือสหรัฐฯด้วย ลาก่อน”


 


“แต่ถ้าคุณขับเรือออกไป ฉันจะต้องไปขึ้นเรือชูชีพแล้วพายจากที่นี่ไปนะเหรอ(T0T)?” อีเดนแทบร้องไห้ เขาถูกเตะออกจากเรือหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเย่โม่จะเตะเขาออกจากเรืออีกครั้ง


 


เย่โม่ยิ้มและตบไหล่ของอีเดน “ไม่แน่นอน ฉันจะเอาเรือชูชีพ คุณไม่จำเป็นต้องลงเรือชูชีพหรอก คอยขับเรือจนกว่าคุณจะพบกับกองทัพเรือเถอะ เร็วเข้า ไปควบคุมชอว์น!”


 


ในตอนแรก เขาคิดว่าเย่โม่ล้อเล่น แต่เขาไม่เห็นร่องรอยของอารมณ์ขันในการแสดงออกของเขา อีเดนกลืนน้ำลายและพูดว่า “นี่คุณจริงจังใช่ไหม?”


 


เย่โม่ผลักอีเดน “ใช่ รีบไปสิ – -“


 


หลังจากที่อีเดนควบคุมชอว์นเสร็จแล้ว เขาก็พบว่าเย่โม่กับภรรยาและนกตัวนั้นยืนอยู่บนแพพองลมเล็กๆ


 


อีเดนไม่มีเวลาที่จะคิดว่าเย่โม่ได้รับแพนั่นมาจากไหน เขาพูดง่ายๆว่า “มันอันตรายเกินไปที่คุณจะอยู่กลางทะเลแบบนี้ ฉันจะพาคุณขึ้นเรือไป มาๆ”


 


แต่ทันทีที่เขาพูดอย่างนั้น แพก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและหายไปทันที


 


“ฉันยังไม่รู้ชื่อของคุณเลยนะเฮ้ยยยย” อีเดนตะโกนออกมา


 


แต่แพของเย่โม่ก็หายไปแล้ว


 


“มันเหมือนว่าเขาเป็นทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อช่วยฉันเลย…” อีเดนจมอยู่ในจินตนาการของเขาและยืนอยู่ที่หัวเรือ และทำท่ากางเขนบนหน้าอกของเขาอย่างรวดเร็ว


 


หนิงชิงเซวียไม่รู้ว่าทำไมเย่โม่จึงออกจากเรือ แต่เธอไม่ได้ถามอะไรเลย สำหรับเธอการอยู่กับเย่โม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด


 


เย่โม่คว้าหนิงชิงเซวียไว้ในอ้อมแขนของเขา “เราไม่ต้องการแพนี้อีกแล้วละ ไปกันเถอะ”


 


ร่างกายของหนิงชิงเซวียอ่อนตัวลงเมื่อเย่โม่จับเธอไว้ ในช่วงเวลานั้น เธอมั่นใจว่าเธออยู่กับเย่โม่จริงๆ และมันไม่ใช่ความฝัน บางทีเย่โม่ก็พาเธอไปที่แพเพื่ออยู่กับเธอ และมีช่วงเวลาที่ใกล้ชิดกัน แต่ถึงแม้ว่าเย่โม่จะพาเธอไปล่องลอยเหนือมหาสมุทร เธอก็ไม่รังเกียจ


 


เธอมีความสุขจริงๆที่เธออยู่กับเย่โม่ เธอไม่รู้สึกว่าต้องรักษากิริยาท่าทางของเธอ เธอรู้สึกว่าเธอสามารถพึ่งพาเย่โม่ได้ เธอวางแขนโอบรอบตัวเขา ในช่วงเวลานั้น เธอนึกถึงว่าชนพื้นเมือง 2 คนที่เธอเห็นบนเกาะและร่างกายของเธอก็เริ่มอุ่นขึ้น อย่างไรก็ตาม เย่โม่คว้าซิลเวอร์ เรียกกระบี่บินของเขาแล้วขึ้นไปบนฟ้า


 


ซิลเวอร์เห็นว่าเย่โม่สามารถโบยบินได้ จึงเกาะบนไหล่ของเย่โม่ทันทีและส่งเสียงร้อง


 


หนิงชิงเซวียตื่นขึ้นด้วยเสียงร้องกี้ที่ดังลั่น เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเธอยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเย่โม่ แต่ยืนอยู่บนกระบี่ขนาดใหญ่ กระบี่นี้กำลังลอยอยู่ในอากาศด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก


 


“อ่า!” หนิงชิงเซวียอุทานอย่างไม่รู้ตัว ไฟในร่างกายของเธอหายไป…(บัดซบ!) เธอยังคงฝันอยู่หรอ? มิฉะนั้นเธอจะบินได้ยังไง ถ้าเธอฝัน เธอก็หวังว่าเธอจะไม่มีวันตื่น


 


เย่โม่รู้สึกว่าหนิงชิงเซวียกำลังเปลี่ยนตำแหน่งและตัวสั่น ดังนั้นเขาจึงจับเธอไว้แน่นๆ และพูดช้าๆ “ชิงเซวียไม่ต้องห่วงนะ ฉันอยู่ขั้นรวมลมปราณระดับกลางและฉันโชคดีพอที่จะรวบรวมวัสดุสำหรับการทำกระบี่บินได้ นั่นคือเหตุผลที่ฉันสามารถบินได้ไงละ เพราะงั้นอย่ากลัวไปเลยนะ”


 


หนิงชิงเซวียจ้องที่เย่โม่ด้วยความประหลาดใจและความดีใจ “นายจะบอกว่ามันไม่ใช่ความฝันหรอ? มันเป็นความจริงใช่ไหม?”


 


เย่โม่สัมผัสเส้นผมของหนิงชิงเซวีย แล้วพูดว่า “แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความฝัน ฉันจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายเธออีกแล้ว ไอ้ผู้ฝึกเต๋า 2 คนจากนิกายไท่อี้…ฉันจะไม่ยอมให้พวกมันหนีไปแบบนี้แน่”


 


“อ่า จริงๆ แล้วตั้งแต่ที่ได้พบนาย มันก็ไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้วละ ฉันรู้สึกเหมือนฉันกำลังฝันอยู่เลย(>w<)” หนิงชิงเซวียพึมพำ มือของเธอจับเย่โม่แน่น เธอไม่สามารถบอกได้ว่านี่เป็นของจริงหรือของปลอม


 


“ชิงเซวีย มีบางอย่างที่ฉันอยากจะบอกเธอ แต่ แต่…” เย่โม่ลังเล เขาต้องการบอกหนิงชิงเซวียเกี่ยวกับซูซูจริงๆ แม้ว่าเขาจะบอกเธอว่ามีลั่วหยิงจากชีวิตที่ผ่านมาของเขา แต่เขาไม่ได้คาดหวังให้เธอเป็นน้าของหนิงชิงเซวีย เย่โม่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี


 


แม้ว่าน้าของเธอจะไม่เกี่ยวข้องกับเธอทางสายเลือด แต่ก็ยังเป็นน้าของเธอ ในประเทศที่มีการดำเนินการด้านศุลกากรอย่างจริงจังเช่นจีน เย่โมรู้ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ หากอยู่ในทวีปลั่วเยวีย นี่จะเป็นเรื่องปกติมาก


 


หนิงชิงเซวียเห็นเย่โม่ลังเลและยิ้ม เธอจุ๊บเย่โม่ที่แก้มของเขาและพูดว่า “นายพูดมาเถอะ ฉันเป็นผู้หญิงของนายนะ ทำไมนายยังลังเลอยู่อีกละ?”


 


เมื่อเห็นหนิงชิงเซวียแบบนี้ เย่โม่จึงตัดสินใจ “ครั้งสุดท้ายที่ฉันบอกเธอว่าฉันมีคนที่ฉันรักจากชีวิตที่ผ่านมา เธอชื่อว่าลั่วหยิง ฉันพบเธอแล้ว….”


 


หนิงชิงเซวียงุนงงและพูดทันทีว่า “นายเจอพี่ลั่วหยิงแล้วหรอ…เธอสบายดีไหม?”


 


เย่โม่รู้ว่าหนิงชิงเซวียต้องการถามว่าลั่วหยิงจะยอมรับเธอหรือไม่ แต่เธอแค่ถามว่าเธอโอเคไหมเท่านั้น


 


เย่โม่พยักหน้า “เธอสบายดี แต่เนื่องจากความเข้าใจผิดบางอย่าง เธอจึงไปซักพักหนึ่งแล้วนะ แต่….”


 


“แต่อะไร?” หนิงชิงเซวียเห็นเย่โม่ทำตัวแบบนี้และเริ่มกังวล เธอกลัวลั่วหยิงจะไม่ชอบเธอ


 


เย่โม่กัดฟัน และพูดว่า “ลั่วหยิงเป็นน้าของเธอ ซูซู ดังนั้นฉัน….”


 


หนิงชิงเซวียแข็งทื่อ เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นน้าของเธอ วันนั้นเมื่อเธอเห็นน้าของเธอออกมาจากเต็นท์กับเย่โม่ เธอก็มีความรู้สึกเช่นนี้ ตอนนี้เย่โม่พูดด้วยตัวเองแล้ว เธอรู้แล้วว่าลางสังหรณ์ของเธอถูกต้อง


 


“น้า?” หนิงชิงเซวียทวนซ้ำ ใจของเธอวุ่นวายเล็กน้อย แม้ว่าน้าของเธอจะไม่เกี่ยวข้องกับเธอทางสายเลือด แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับการแต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกับน้าของเธอ


 


เมื่อมองหนิงชิงเซวีย เย่โม่ก็ถอนหายใจ “ขอโทษนะชิงเซวีย ฉันไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งต่างๆ มันจะเป็นแบบนี้ มีหลายสิ่งที่ฉันไม่สามารถบอกเธอได้ในตอนนี้ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถควบคุมได้โดยมนุษย์…”


 


เมื่อเห็นเย่โม่พูดสิ่งนี้ด้วยการแสดงออกอย่างหนักใจ หนิงชิงเซวียก็รู้สึกดีขึ้น ทำไมเธอต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้? ซูซูไม่ใช่น้าทางสายเลือดของเธอ เมื่อเธอกำลังจะตาย เธอตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่เธอเจอเย่โม่ เธอจะยอมทุกอย่าง ในกรณีนี้ทำไมต้องสนใจเรื่องเล็กๆ นี้ด้วยละ?


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หนิงชิงเซวียก็โอบแขนของเธอไว้รอบคอของเย่โม่ ในขณะที่เธอยื่นลิ้นของเธอเข้าไปในปากของเย่โม่อย่างเหนียวแน่น เย่โม่มีความสุขเพราะปฏิกิริยาของชิงเซวีย เขาเห็นได้ว่าเธอไม่ได้สนใจเลย คำตอบของเขาก็ค่อนข้างแข็งทื่อ ทั้งคู่ยังใหม่กับสิ่งนี้


 


ร่างของหนิงชิงเซวียอ่อนนุ่มขึ้น หัวใจของเย่โม่เองก็ถูกเผาด้วยไฟเช่นกัน หากพวกเขาไม่ได้อยู่บนอากาศ บางทีพวกเขาทั้งคู่อาจจะไม่สามารถควบคุมมันได้ ซิลเวอร์ร้องี้ๆ อย่างไม่มีความสุขที่ด้านข้างราวกับว่ามันรู้สึกไม่มีความสุขที่ถูกเพิกเฉย


 


เย่โม่ยังคงมุ่งความสนใจ เขาคิดถึงลั่วหยิง แม้ว่าเขาจะยอมรับชิงเซวีย เขาก็ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่จะทรยศลั่วหยิง ก่อนที่เขาจะพบเธอได้


 


“ขอบคุณนะ ชิงเซวีย” เย่โม่กอดหนิงชิงเซวียอย่างแนบแน่น


 


หนิงชิงเซวียส่ายหัว แล้วพูดเบาๆ “เมื่อฉันได้รับความทรงจำกลับมา ฉันก็ตัดสินใจแล้วไม่ว่ายังไง ฉันจะเสียอะไรก็ได้ยกเว้นนาย พี่ซูซูไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับฉัน แม้ว่าเธอจะเป็นน้าฉันจริงๆ ฉันด็คิดว่าฉันคงไม่อยากไปจากนาย”


 


หัวใจของเย่โม่เต้นเร็ว มันได้รับบาดเจ็บด้วยคำพูดของหนิงชิงเซวีย เขารู้ว่าชิงเซวียนั้นดีมาก แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะรักเขาขนาดนี้ บางทีเมื่อเธอพูดสิ่งนี้ เธอก็ไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา แต่ความรักนี้ที่ไม่ได้พิจารณาถึงผลที่ตามมา ทำให้เย่โม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของเธอ และยังมีภาระหนักในหัวใจของเย่โม่

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม