Spare Me Great Lord ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 530-541

 ตอนที่ 530 พบหน้าหลิวหลี่อีกครั้ง!

 

คนแบบหลิวซิวนั้นเปรียบเหมือนดวงไฟเล็กๆ ในความมืด ตอนที่เราเดินเข้าไปในความมืดและหนาวเหน็บ เราก็ไม่อยากรู้ว่าจะมีสิ่งร้ายๆ อย่างการหลอกลวงหรือสิ่งน่าเกลียดอะไรรอเราอยู่ข้างหน้า เราเพียงอยากได้อะไรบางอย่างมาเตือนใจว่าเราสามารถเป็นคนที่ดีและคิดบวกได้ในแบบของเราเอง


 


 


หลี่ว์ซู่ยืนอย่างนิ่งเงียบท่ามกลางกลุ่มคนในแถวสุดท้าย ห่าวจื้อเชาบอกเขาว่าท่ายืนขณะสิ้นใจของหลิวซิวจะถูกหลอมเป็นรูปปั้นทองแดงและจะถูกนำไปแสดงไว้ที่ถนนหลิงจิง และจะสลักชีวประวัติของหลิวซิวเอาไว้ที่ตัวฐานของอนุสาวรีย์


 


 


เครือข่ายฟ้าดินไม่ได้ใส่ใจอะไรหากโลกจะรู้ว่าพวกเขาเป็นคนฆ่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ บริเวณฐานรูปปั้นสลักไว้อย่างชัดเจนว่าหลิวซิวสิ้นใจลงขณะร่วมลงมือปลิดชีพทาคาชิมะในครั้งนั้นพร้อมกับสหายร่วมรบ


 


 


ทว่าไม่มีใครคาดเดาออกว่าสหายร่วมรบคนนั้นเป็นใคร


 


 


หลี่ว์ซู่พาเสี่ยวอวี๋มาเคารพศพหลิวซิว เธอก้มลงเคารพศพแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยชีวิตหลี่ว์ซู่เอาไว้”


 


 


น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถสัมผัสได้ถึงวิญญาณของหลิวซิวได้จากโลงศพ หลี่ว์ซู่ตั้งใจพาเธอมาที่นี่เพื่อมาพิสูจน์ว่าสมมติฐานของเขาเป็นจริงหรือเปล่าที่เขาสามารถใช้พลังพาคนตายกลับมาได้โดยหากสะสมดาบทั้งเจ็ดเล่มให้ครบ


 


 


ถึงแม้มันจะเป็นแค่สมมติฐาน แต่เขาจะต้องพิสูจน์มันให้ได้


 


 


เสี่ยวอวี๋ส่ายหน้าให้หลี่ว์ซู่ สีหน้าของเขาหม่นลงไปเล็กน้อย จริงๆ แล้วเป็นแบบนี้อาจจะดีแล้วก็ได้ เพราะหากหลี่ว์ซู่ทำไม่สำเร็จ วิญญาณของหลิวซิวก็อาจจะหายไปเลยก็ได้ เขาไม่อยากเสี่ยง เว้นเสียแต่ว่าจะมั่นใจแล้วจริงๆ


 


 


หลายคนตกใจและดีใจที่เห็นหลี่ว์ซู่อีกครั้ง พวกเขาส่งสหายร่วมรบออกไปและก็ได้สหายร่วมรบอีกคนกลับมา


 


 


ถึงแม้พวกเขาจะโศกเศร้าในงานศพแห่งนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอลง พวกเขาอยากจะสานต่อที่หลิวซิวได้ทำไว้


 


 


หลี่ว์ซู่ได้อธิบายกับพวกเขาไปว่าภารกิจนี้เป็นการนำมหาสมุทรลึกและทรายขาวกลับมาด้วยวิธีการฉ้อฉล แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดมากนักเนื่องจากได้ของจากการโกงมาก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไหร่นัก…


 


 


แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบกลับในทางดีซะงั้น “เก่งมาก! ทำดีแล้วล่ะ! นายได้ของกลับมาแล้วก็แก้แค้นได้สำเร็จด้วย ที่สำคัญกลับมาปลอดภัยก็ดีมากแล้ว!”


 


 


หลี่ว์ซู่พูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง พวกเขาเป็นทหารตัวอย่างที่เนี่ยถิงฝึกมานี่นะ หลี่ว์ซู่คาดหวังอะไรอยู่…


 


 


แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นหลิวหลี่!


 


 


เขาใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะตั้งสติได้ จากนั้นก็ชี้ไปทางหลิวหลี่แล้วถามโยวหมิงอวี่


 


 


“ทำไมหมอนั่นมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”


 


 


“อ้าว รู้จักกันเหรอ” โยวหมิงอวี่ถามกลับอย่างสงสัย


 


 


“บ้าแล้ว เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเต้าหยวนของผมอ่ะ” หลี่ว์ซู่ตอบ หัวเสียเล็กน้อย


 


 


“อ้อ งั้นเหรอ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับหลิวซิวน่ะ เนี่ยถิงขอให้เขามาร่วมงานศพ” โยวหมิงอวี่อธิบาย “ตอนเด็กๆ เขาสนิทกับหลิวซิวมากเลยนะ หลิวซิวจากบ้านไปตอนเขาอายุหกขวบ ใครๆ ก็บอกว่าหลิวซิวชอบอุ้มเขาขึ้นไหล่ เขามองหลิวซิวเป็นต้นแบบมาตลอดเลยล่ะ ตอนที่หลิวซิวได้ไปเป็นสายลับในประเทศญี่ปุ่นก็ยิ่งที่ให้หลิวหลี่ภูมิใจในประเทศตัวเองใหญ่ เขารู้แหละว่าหลิวซิวทำงานรับใช้ชาติ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดว่าไปทำอะไรบ้าง”


 


 


หลี่ว์ซู่อึ้ง เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหลิวซิวกับหลิวหลี่จะเกี่ยวข้องกัน!


 


 


มาตอนนี้เลยรู้สึกผิดขึ้นมาซะงั้น เพราะเขาดันไปกวนประสาทหลิวหลี่ไว้เยอะเชียว


 


 


“รอแป๊บ เสี่ยวอวี๋” หลี่ว์ซู่พูดขณะที่เดินเข้าไปหาหลิวหลี่ที่กำลังยืนตกใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน!


 


 


[ได้แต้มจากหลิวหลี่! +999!]


 


 


“นาย…นายยังมีชีวิตอยู่เหรอเนี่ย!” หลิวหลี่อุทานตกใจอย่างกับเพิ่งเจอผี


 


 


หลี่ว์ซู่ทำตัวไม่ถูก เขาไม่อยากพูดอะไรไม่ดีกับหลิวหลี่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่เขาก็ไม่เคยทำดีกับหลิวหลี่มาก่อนเหมือนกัน หลี่ว์ซู่ก็เลยคิดว่าหลิวหลี่คงจะตกใจที่เห็นคนที่คิดว่าตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่…


 


 


เขาเดินเข้าไปหาหลิวหลี่อย่างไม่ทันไม่คิด แต่พอมาอยู่ตรงหน้าจริงๆ เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี หลี่ว์ซู่จึงเอ่ยขอโทษออกไปเพื่อทำลายความเงียบ “ฉันขอโทษด้วยที่เมื่อก่อนทำไม่ดีกับนาย ตอนนี้เราเป็นสหายร่วมรบ เป็นเพื่อนร่วมชั้น มาดูแลกันให้ดีเถอะนะ…”


 


 


หลิวหลี่ได้แต่จ้องหลี่ว์ซู่กลับ ไม่รู้จะทำตัวยังไง


 


 


[ได้แต้มจากหลิวหลี่ +999!]


 


 


หลิวหลี่เตรียมที่จะไปล้างแค้นให้หลี่ว์ซู่ตั้งแต่ได้ยินว่าเขาเสียชีวิตไป ถึงแม้ว่าจะมีความทรงจำที่ไม่ดีหลายอย่างระหว่างกัน แต่จริงๆ แล้วเขารู้ว่าหลี่ว์ซู่ก็เป็นคนดี


 


 


ทว่าตอนนี้เขาอดช็อกไม่ได้ที่หลี่ว์ซู่แสดงท่าทีเช่นนี้ หมอนี่กำลังทำอะไรอยู่เนี่ย มาขอโทษที่ทำผิดเนี่ยนะ นายช่วยทำตัวปกติหน่อยได้ไหม…


 


 


โยวหมิงอวี่และห่าวจื้อเชาเองก็ช็อกเช่นกัน เจ้าเด็กน่ารำคาญนั่นเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไงนะ ทุกคนในเครือข่ายฟ้าดินต่างได้รับประสบการณ์อันตราตรึงใจจากหลี่ว์ซู่กันหมด


 


 


“ถ้านายยังมีชีวิตอยู่ ทำไมนายถึงไม่ได้มาสอบเข้าวิทยาลัยลั่วเฉิงล่ะ” หลิวหลี่ตอบกลับหลังนิ่งอยู่นาน


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็พูดต่อโดยไม่ได้สนใจฟังหลิวหลี่พูด “…ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปัญหาของนายก็คือปัญหาของฉัน ถ้ามีใครมาแกล้งหรืออยากยืมเงินก็มา…เออช่างเถอะ นายรวยอยู่แล้วนี่นะ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ! เมื่อกี้นายพูดว่าไงนะ!”


 


 


เขาพลาดไปสอบเข้าวิทยาลัยลั่วเฉิงงั้นเหรอ! หลอกกันเล่นรึเปล่า!


 


 


สีหน้าของหลี่ว์ซู่หม่นลงทันที เขาเดินออกไปหาจงอวี้ถัง “ผมยังเข้าสอบเข้าวิทยาลัยลั่วเฉิงรอบสองได้อยู่ใช่ไหมครับ”


 


 


แต่จงอวี้ถังเมินเขาแล้วโบกมือเรียกโยวหมิงอวี่มาหาแทน


 


 


“เฮ้ย โยวหมิงอวี่ มานี่ที ขอคุยอะไรด้วยหน่อย”


 


 


ทว่าก่อนที่เขาจะเดินจากไป หลี่ว์ซู่ก็ดึงตัวเขาไว้ เขาดึงแรงขนาดที่เสื้อของจงอวี้ถังแทบจะขาดออก…


 


 


[ได้แต้มจากจงอวี้ถัง +374…]


 


 


“ฟังฉันให้ดีหลี่ว์ซู่ สอบเข้าวิทยาลัยลั่วเฉิงก็เหมือนการสอบในโรงเรียนม.ปลายทั่วไป มันคือการสอบระดับชาติ ถ้าไม่ได้เข้าสอบก็ไม่มีการสอบรอบสอง…” จงอวี้ถังยิ้มถึงแม้ว่าจะดูเป้นยิ้มตึงๆ ไปบ้าง เขาเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการปลอมตัวของหลี่ว์ซู่ เขารู้ดีว่าหลี่ว์ซู่ทำอะไรไว้บ้างที่กลุ่มทวยเทพ เด็กนี่ฆ่าคนระดับ A แบบนั้นได้ เขาเองเลยไม่อยากจะเป็นศัตรูกับหลี่ว์ซู่


 


 


แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ช่วงเวลาแบบนี้เขาได้ลดตำแหน่งคนไปมาก ไม่มีทางที่เขาจะหาลู่ทางอื่นๆ ให้หลี่ว์ซู่ได้เลย!


 


 


แล้วเขาเองก็ไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจเรื่องทางอื่นได้เสียด้วย หลังจากคิดไตร่ตรองแล้ว เขาก็ตอบออกไป


 


 


“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่น่าเสี่ยวซู่ ลองไปคุยกับราชันฟ้าเนี่ยหรือราชันฟ้าสือดูสิ มาพูดกับฉันไปก็ไม่ได้อะไรหรอก”


 


 


“ฮ่าๆ” หลี่ว์ซู่แค่นหัวเราะ


 


 


[ได้แต้มจากจงอวี้ถัง +666!]


 


 


“ปล่อยฉันได้แล้วน่า…”


 


 


“ฮ่าๆ”


 


 


“จะปล่อยหรือไม่ปล่อยเนี่ย…”


 


 


“ฮ่าๆ”


 


 


[ได้แต้มจากจงอวี้ถัง +999!]

 

 

 


ตอนที่ 531 รุ่นพี่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปในการสอบเข้าวิทยาลัย เขาก็เข้าสอบทุกครั้งนี่ พอลองคำนวณเวลาดีๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรเหมือนที่จงอวี้ถังบอก


 


 


งั้นเขาไม่ได้เข้าสอบก็เพียงเพราะเขาต้องไปทำภารกิจ…


 


 


“วันสอบมันคือวันไหนกันแน่” หลี่ว์ซู่ดึงเสื้อจงอวี้ถังมาถาม


 


 


“วันที่หก เดือนมกราคม” จงอวี้ถังตอบแบบไม่ลังเล


 


 


หลี่ว์ซู่แทบลมจับ นั่นมันไม่กี่วันก่อนหลังจากที่เนี่ยถิงถามเขาว่าจะกลับหรือไม่กลับไม่ใช่เหรอ ถ้าเขาเลือกกลับมาตอนนั้น เขาก็คงมาสอบได้ทันเวลา!


 


 


แต่ไม่มีใครบอกเขาเรื่องนี้เลยนี่! หลี่ว์ซู่ถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันสอบคือวันไหน เขาลืมเรื่องวันเวลาไปสนิทเลยตอนที่เขาอยู่ในญี่ปุ่น!


 


 


จงอวี้ถังรู้สึกว่าช่วงนี้หลี่ว์ซู่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ น้ำเสียงของเขาเลยนอบน้อมมาก เพราะว่าเขารู้ดีว่าเขาเอาชนะหลี่ว์ซู่ไม่ได้ แล้วหลี่ว์ซู่เองก็เป็นพวกไม่สนอะไรด้วยว่าใครจะเป็นเพื่อนกับเขาหรือไม่ มันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งถ้าเขาตายไป


 


 


“เสี่ยวซู่ รู้ใช่ไหมว่าเครือข่ายฟ้าดินไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าหน้าที่ที่มีอิทธิพลต่างๆ คือว่ากันตามหลักการแล้วมันทำไม่ได้ที่จะให้นายสอบใหม่ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับคนอื่น แล้วคนอื่นจะเอาอย่างตามได้” จงอวี้ถังพูดตามตรงอย่างจริงใจ


 


 


“แต่ผมช่วยประเทศชาติไว้นะ…” หลี่ว์ซู่บ่นอุบอิบ


 


 


[ได้แต้มจากจงอวี้ถัง +666!]


 


 


“ขอเวลาเดี๋ยวนะ!” จงอวี้ถังเริ่มปวดหัวกับเรื่องนี้แล้ว “ฉันมีเรื่องอื่นต้องไปทำ ขอลาล่ะ!”


 


 


จงอวี้ถังไม่รอให้หลี่ว์ซู่พูดอะไร เขาสะบัดตัวให้หลุดออกจากเสื้อแจ็กเกตออกแล้วรีบจากไปทันที


 


 


หลี่ว์ซู่ถือแจ็กเกตของจงอวี้ถังค้างไว้อย่างนั้น “อ้าว ไม่อยากได้แจ็กเกตแล้วเหรอ”


 


 


หลิวหลี่มองหลี่ว์ซู่อย่างทึ่งๆ ตอนนี้หลี่ว์ซู่ญาติดีกับเขาแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของเขาช่วยชีวิตหลี่ว์ซู่ไว้ เพราะงั้นหลี่ว์ซู่เลยต้องทำดีกับเขาใช่ไหมล่ะ


 


 


แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็เดินกลับมาหาหลิวหลี่


 


 


“ฉันมีธุระต้องไปทำน่ะ เดี๋ยวไปก่อนนะ แต่ว่าฉันหมายความตามที่พูดเลย ถ้านายมีปัญหาอะไรก็มาหาฉันได้ ฉันเป็นเพื่อนกับลูกพี่ลูกน้องนาย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยู่แล้วก็ตามเถอะ จากนี้ไปฉันจะเป็นญาติผู้พี่ของนายเอง!”


 


 


[ได้แต้มจากหลิวหลี่ +999!]


 


 


หลิวหลี่หน้ามืดคล้ำ ที่พูดมาก็โอเคอยู่หรอก แต่เขาก็ยังใช้ประโยชน์จากคนอื่นเหมือนเดิมเลยนะ หลิวหลี่คิดว่าหลี่ว์ซู่เปลี่ยนไปแล้ว แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด หลี่ว์ซู่ก็ยังเป็นหลี่ว์ซู่!


 


 


แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย เมื่อก่อนที่โรงเรียนมีนักเรียนใช้ความรุนแรงเยอะมาก พอมองย้อนไปหลังจากที่จบมาแล้ว เรื่องพวกนั้นก็ช่างน่าขันเสียจริงๆ พอเริ่มทำงานกันแล้ว พวกนักเรียนที่เคยตีกันก็กลับกลายมาเป็นเพื่อนซี้ ถึงจะไม่ค่อยปกติท่าไหร่ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาล่ะนะ


 


 


ตอนที่ทุกคนคิดว่าหลี่ว์ซู่ตายไปแล้วนั้น หลี่อวี้ชิงกับเยี่ยหลิงหลิ่งก็โศกเศร้ากันจะตาย ตอนนั้นทุกคนก็ยังมีความสัมพันธ์กันแบบไม่ซับซ้อน เป็นชีวิตธรรมดาๆ ที่เรียบง่าย


 


 


แต่หลิวหลี่ก็ยังไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลี่ว์ซู่ ก็ตอนนั้นเครือข่ายฟ้าบอกว่าหลี่ว์ซู่ตายแล้วนี่ ทุกคนในเครือข่ายฟ้าดินดูเหมือนว่าจะเก็บอารมณ์กันเก่งมากถึงแม้จะเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดในแต่ละวันที่เมืองหลวงนี่


 


 


หลิวหลี่คิดไปถึงตอนที่พวกเขาทะเลาะกันสมัยเรียน หลี่ว์ซู่ก้าวข้ามผ่านคำว่านักเรียนธรรมดาๆ ไปสู่อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นแล้ว


 


 


ดูอย่างจงอวี้ถังสิ เขาเป็นถึงหัวหน้าผู้จัดการของอวี้โจว เขาเป็นเหมือนราชันฟ้าในสายตาของเด็กนักเรียนทั้งหลาย แต่จงอวี้ถังกลับปสุภาพกับหลี่ว์ซู่มาก แต่หลี่ว์ซู่เองก็เกือบจะฉีกเสื้อแจ็กเกตจงอวี้ถังออกเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว…


 


 


ในมุมมองของหลิวหลี่ เขารู้สึกว่าหลี่ว์ซู่นั้นลึกลับมาก เหมือนกับว่ามีอะไรมากมายเกิดขึ้นโดยที่หลิวหลี่ไม่รับรู้


 


 


หลี่ว์ซู่ทุบอกตัวเองด้วยมือขวาก่อนชี้นิ้วไปที่หลิวหลี่


 


 


“คนอย่างหลี่ว์ซู่ไม่คืนคำหรอก จำไว้ว่าตอนนี้ฉันเป็นญาติผู้พี่นายแล้ว”


 


 


[ได้แต้มจากหลิวหลี่ +999!]


 


 


ไปไหนก็ไปเลยไป! คิดจะเอาเปรียบกัน หาดีเข้าตัวตลอดเลยงั้นเรอะ


 


 


หลี่ว์ซู่พูดจบก็เดินออกไป เขาอยากไปคุยกับเนี่ยถิงหรือสือเสวจิ้นในเรื่องนี้ แต่เขาก็เพิ่งสังเกตว่าทั้งสองคนหายไปแล้ว ไปไหนกันล่ะเนี่ย!


 


 


เขาตามหาตัวเนี่ยถิงกับสือเสวจิ้นอยู่ตลอดสองวัน แต่ก็หายหัวไปกันหมด ถ้าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจหลบหน้าหายตาไปจากเขาแล้วละก็ คนพวกนี้ก็คงเป็นผีแล้วล่ะ!


 


 


“เสี่ยวอวี๋ เธอได้ไปสอบเข้าหรือเปล่า” เขากังวลใจเลยถามออกไปทั้งที่รู้ว่ามันคงทำให้เขาไม่สบายใจมาก


 


 


“ไปสิ แถมฉันได้คะแนนดีด้วยนะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตอบ “ตอนแรกก็คิดว่าเราจะได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน แต่ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นรุ่นพี่เธอแล้วล่ะ”


 


 


“…”


 


 


เธอควรจะเป็นรุ่นน้องเขาสี่ปีสิ มาเป็นรุ่นพี่ของเขาแบบนี้ได้ยังไง! มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!


 


 


“เอาน่า เดี๋ยวปีหน้าก็สอบได้ หลี่ว์ซู่ของพวกเราฉลาดจะตาย ขยันๆ หน่อยเดี๋ยวก็สอบผ่านปีหน้าเอง” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ปลอบใจเขา


 


 


“หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ฉันจะให้โอกาสเธอกลับไปคิดว่าเธอพูดอะไรออกมา” หลี่ว์ซู่พูดหน้ามืดคล้ำ


 


 


“รอปีหน้าน่า” เสี่ยวอวี๋กำลังรู้สึกสนุก ขณะเดียวกันก็ดูนารูโตะบนมือถือไปด้วย


 


 


เธอไม่ได้อยากไปเรียนนักหรอก ก็แค่หลี่ว์ซู่อยากให้เธอไปเรียนก็เท่านั้น


 


 


เพราะงั้นเธอเลยรู้สึกสนุกที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ไปสอบเข้า เพราะการได้เป็นรุ่นพี่หลี่ว์ซู่นี่มันช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ …


 


 


ในเวลาเดียวกัน เนี่ยถิงและสือเสวจิ้นที่อยู่ห่างออกไปกำลังนั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเพื่อตกปลา สือเสวจิ้นกำลังเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือเย็บกี่ของเขา แต่แล้วโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นมา เขาหยิบขึ้นมาดูแล้วยิ้ม


 


 


“หลี่ว์ซู่ออกมาจากเมืองหลวงแล้วล่ะ การให้เขาอยู่ในที่ที่ปลอดภัยก็คือการขัดขวางไม่ให้เขาออกไปทำอะไรบ้าๆ ได้”


 


 


“เขาควรที่จะไปแสดงความสามารถของตัวเองในที่ที่คนเห็นได้เยอะๆ” คันเบ็ดในมือเนี่ยถิงกระตุก ในขณะที่เขาหมุนรอกเบ็ดขึ้นมาเขาก็พูดต่อว่า “รอให้เขาได้ใช้เวลาอยู่ในที่ปลอดภัยแบบนี้ไปก่อนเถอะ แล้วเขาจะรู้ว่ามันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย เดี๋ยวเขาก็เข้าใจเองแหละว่าออกไปโลกข้างนอกนั่นแล้วจะมีประโยชน์ต่อตัวเขาเองยังไง”


 


 


“คุณกลัวว่าเขาจะดื้อด้านขึ้นมาไหม” สือเสวจิ้นถามหัวเราะ


 


 


“หลี่ว์ซู่เองก็มีขอบเขตของเขา เขาดีกว่าไอ้พวกที่ปากบอกว่ารักชาติแต่ก็ยังไปมีส่วนร่วมกับธุรกิจไม่ทำกำไรทั้งหลายไว้บังหน้า เขาต้องมีใจอยากมาเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าเพื่อมารับหน้าที่จัดการเรื่องความสัมพันธ์ต่างประเทศนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้ฉันไปขอโทษเขาด้วยใจจริงหรอก” เนี่ยถิงตอบ


 


 


“ตอนแรกผมก็คิดว่าทำไมคุณถึงคาดหวังกับเจ้าเด็กระดับ C คนนี้จัง” คันเบ็ดของสือเสวจิ้นกระตุก เขาตกปลาขึ้นมา “ถ้าเราปล่อยข่าวออกไปว่ามีเด็กอายุสิบเจ็ดปีฆ่าทาคาชิมะที่อยู่ระดับ A ตายได้ ผมก็ไม่รู้ว่าฮาเดสจากสมาคมฟีนิกซ์จะว่ายังไง เขาคงบอกว่าหลี่ว์ซู่ดวงดีมากล่ะมั้ง”


 


 


“ดวงก็เป็นหนึ่งในความสามารถ” เนี่ยถิงตอบอย่างใจเย็น

 

 

 


ตอนที่ 532 กระรอกเสี่ยวซยงสวี่ สมาชิกใหม่ของหน่วยรักษาความปลอดภัย

 

หลี่ว์ซู่กลับมาถึงอพาร์ตเมนต์หลังจากไม่ได้กลับมานาน เขาสังเกตเห็นว่าห้องดูสะอาดสะอ้านมาก ปกติแล้วถ้าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่บ้านคนเดียว เธอจะไม่ทำงานบ้านเลย ตอนหลี่ว์ซู่กลับมาถึงบ้านจะเห็นว่าบ้านนั้นอยู่ในสภาพรกๆ เสมอ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เสี่ยวอวี๋ทำความสะอาดบ้านก่อนออกไปงั้นเหรอ


 


 


ไม่… หลี่ว์ซู่เอานิ้วลูบโต๊ะแล้วพบว่าไม่มีแม้แต่รอยฝุ่นติดนิ้วมา


 


 


ถึงแม้ว่าเสี่ยวอวี๋จะทำความสะอาดก่อนไปแต่มันก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วอยู่ดี แถมเสี่ยวอวี๋ยังอยู่กับเขาต่อที่เมืองหลวงอีกหนึ่งอาทิตย์ มันก็ควรที่จะมีฝุ่นเกาะแล้วสิ


 


 


ทันใดนั้นเองกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ก็กระโดดออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับถือผ้าขนหนูไว้ในมือ มันจ้องมองหลี่ว์ซู่กับเสี่ยวอวี๋ด้วยความดีใจ มันวางผ้าขนหนูลงทันทีแล้วก็เดินไปเขียนอะไรยุกยิกที่หนังสือบนโต๊ะ


 


 


‘กลับมากันสักที ตอนนี้ขอออกไปเล่นข้างนอกได้ยังอะ’


 


 


ปากของหลี่ว์ซู่กระตุก เขาไม่สามารถพึ่งเสี่ยวอวี๋ในสถานการณ์แบบนี้ได้เหมือนกัน…


 


 


แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้กระรอกเสี่ยวซยงสวี่ออกไป


 


 


“ตอนนี้แกควบคุมหนูได้ทั้งหมดกี่ตัวแล้ว”


 


 


กระรอกเสี่ยวซยงสวี่ชะงักไปหน่อยหนึ่งเพื่อคิด จากนั้นก็เขียนตอบ ‘ประมาณห้าหมื่นตัวได้’


 


 


“เยอะขนาดนั้นเลย แกควบคุมพวกมันได้หมดเลยเหรอ” หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความอึ้ง


 


 


‘ถ้าฉันยังแข็งแกร่งอยู่แบบนี้ พวกหนูก็ฟังฉันหมดแหละ’ เจ้ากระรอกเขียนลงหนังสืออย่างภูมิใจ


 


 


“โห…” หลี่ว์ซู่เลิกคิ้ว “มีหนูที่อยู่สูงกว่าระดับ F กันกี่ตัวล่ะ”


 


 


เจ้ากระรอกเขียนตัวเลขลงหนังสือเป็นเลขที่ชัดเจนว่า ‘617’ หลี่ว์ซู่ตกใจมาก เขาไม่เคยคิดว่าเจ้ากระรอกจะฉลาดถึงขนาดเขียนบอกตัวเลขที่ชัดเจนแม่นยำได้ถึงเพียงนี้


 


 


จำนวนนี้นี่ค่อนข้างเยอะเลยนะ นอกจากเครือข่ายฟ้าดินแล้วจะมีองค์กรไหนมีอิธิพลขนาดนี้อีก


 


 


แต่เขาคิดว่าขนาดเครือข่ายฟ้าดินคงไม่รู้เลยมั้งว่ามีประชากรที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่ใต้บังคับบัญชามากมายขนาดนี้ภายใต้การดูแลของหลี่ว์ซู่


 


 


หลี่ว์ซู่สังเกตคลื่นพลังที่ออกมาจากเจ้ากระรอก พลังของมันเทียบเท่ากับระดับ C ขั้นเริ่มต้นเลย หลี่ว์ซู่ยื่นผลล้างไขกระดูกสองผลให้กับเจ้ากระรอก มันถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ คุ้มกับที่ทำงานบ้านไปจริงๆ!


 


 


เพราะหลี่ว์ซู่บังคับมันทำงานบ้าน เจ้ากระรอกเลยมองว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนไม่ดี ส่วนเสี่ยวอวี๋เป็นคนดี แต่หลังจากที่มันได้ผลล้างไขกระดูกมาจากหลี่ว์ซู่และถูกเสี่ยวอวี๋สั่งให้ทำงานบ้าน มันก็เปลี่ยนมุมมองใหม่ หลี่ว์ซู่เป็นคนดี ส่วนเสี่ยวอวี๋เป็นคนไม่ดี


 


 


มันเป็นกระรอกปรับตัวเก่ง…


 


 


ตอนหลี่ว์ซู่ยังอยู่ที่เมืองหลวง เขาได้คุยกับห่าวจื้อเชาเรื่องปัญหาจากสัตว์วิเศษที่เริ่มมีมากขึ้น เครือข่ายฟ้าดินมีสัตว์วิเศษในครอบครองอยู่มาก สัตว์บางส่วนจะถูกซ่อนไว้ ห่าวจื้อเชาบอกว่าเนี่ยถิงมักจะไปที่ภูเขาฉางไป่เพื่อดูแลเลี้ยงดูสัตว์วิเศษและอยู่ที่นั่นประมาณวันสองวัน ซึ่งก็ไม่ใช่ความลับอะไร


 


 


สาเหตุที่เนี่ยถิงไปที่ภูเขาก็เพราะที่นั่นมีสัตว์วิเศษอยู่ บางตัวเขาก็เลี้ยงและดูแลด้วยตัวเอง


 


 


สัตว์วิเศษแต่ละตัวมีความสามารถแตกต่างกันออกไป ในฐานะที่ห่าวจื้อเชาเป็นผู้จัดการเรื่องรายงานทั่วไปในเครือข่ายฟ้าดิน เขาจึงเชี่ยวชาญมากในเรื่องการเลี้ยงดูสัตว์วิเศษ เขารู้ว่าสัตว์วิเศษถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ บางสายพันธุ์ก็มีสมรรภาพดีกว่า พลังเลยมากกว่า พวกมันเลยดูดซับพลังจิตวิญญาณเพื่อเพิ่มระดับตัวเองได้เร็วกว่า


 


 


ส่วนพวกที่สมรรถภาพต่ำลงมาก็จะเพิ่มระดับได้ช้าลงด้วย และพวกนี้ก็จะเพิ่มระดับไปถึงจุดสูงสุดได้ง่ายกว่าและจะไม่เพิ่มไปมากกว่านั้นแล้ว


 


 


ว่ากันตรงๆ ถ้าเจ้ากระรอกนี่ไม่มาเจอหลี่ว์ซู่ พลังของมันก็คงจะมาคงอยู่แค่ระดับ E แต่หลังจากที่มันกินผลล้างไขกระดูกไปจำนวนมาก การเพิ่มพลังไปเป็นระดับ B จึงพอจะเป็นไปได้ หรือกระทั่งเพิ่มระดับไปมากกว่านั้นก็เป็นไปได้เหมือนกัน ต้องรอดูกันไปว่าขีดจำกัดของเจ้ากระรอกนี่จะไปหยุดอยู่ตรงไหน


 


 


สัตว์วิเศษสามตัวอย่างเจ้าแมวยักษ์ เจ้าหมูพยศ และเจ้ากระรอกน้อยเสี่ยวซยงสวี่เป็นเหมือนกับครอบครัวกัน หลี่ว์ซู่ใจดีกับพวกมันมาก เพราะโลกนี้ต้องการการพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ทุกคนจึงล้วนแต่ต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่ง


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งคิดอะไรไปพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ให้น้ำที่ผสมน้ำจากผลล้างไขกระดูกไปสองถัง


 


 


“เอานี่ไปให้พี่น้องแกด้วย คอยดูว่าพวกมันจะเลื่อนระดับเป็นระดับ E ได้หรือเปล่า อย่าเพิ่งให้พวกเขาเลื่อนระดับกันเยอะล่ะ เพราะฉันรู้ว่าแกต้องใช้พลังงานในการควบคุมพวกนั้นเยอะ อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เดี๋ยวฉันอาจจะต้องใช้งานพวกหนูของนายเร็วๆ นี้ก็ได้”


 


 


เจ้ากระรอกน้อยเสี่ยวซยงสวี่เพิ่งได้กินผลล้างไขกระดูกที่ได้จากหลี่ว์ซู่ไป มันเลยทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย มันจะเอาน้ำผสมน้ำผลล้างไขกระดูกนี่ไปแจกเหล่าหนูพวกนั้น ก่อนที่มันจะเดินออกไป มันก็มองหน้าหลี่ว์ซู่เป็นนัยว่ามันจะทำตามที่บอก แต่หลี่ว์ซู่ดันไม่เข้าใจสิ่งที่มันสื่อ…


 


 


หลี่ว์ซู่พูดความจริงเรื่องที่ว่าเขาจะใช้หนูพวกนั้นเร็วๆ นี้ เพราะก่อนเขากลับมาที่นี่ เขาได้รับแจ้งเตือนมาว่าเขาจะต้องไปรายงานต่อฝ่ายความปลอดภัย แล้วคำสั่งนี้ก็ถูกโอนไปให้ซีเฟ่ย


 


 


ซีเฟ่ยและกลุ่มของเขาถือว่าได้รับการยอมรับเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ทางทหารมาก พวกเขาได้รับการดูแลเป็นพิเศษ รวมถึงได้รับอุปกรณ์และของต่างๆ ที่มีคุณภาพดี ตอนนี้พวกเขาใกล้จะเลื่อนเป็นระดับ C กันแล้ว ซึ่งซีเฟ่ยเป็นหัวหน้าของฝ่ายความปลอดภัยของผู้บำเพ็ญในเมืองลั่วเฉิงนี่เอง


 


 


ในตอนที่ซีเฟ่ยได้รับคำสั่งมา เขาตกใจเล็กน้อย เพราะปกติเขาจะได้รับข้อมูลทุกอย่างมาชัดเจน แต่พอเป็นข้อมูลของหลี่ว์ซู่ กลับไม่มีอะไรบอกเลย มีแค่ชื่อ เพศ และวันเกิดเท่านั้นที่ถูกส่งมา


 


 


ตอนแรกพวกเขาก็คิดว่าน่าจะเป็นคนชื่อเหมือน เพราะพวกเขาเพิ่งช่วยน้องสาวกำพร้าของหลี่ว์ซู่ไปจากการโดนกลั่นแกล้ง ทุกคนต่างก็คิดว่าหลี่ว์ซู่ตายไปแล้ว


 


 


ทว่าพอจงอวี้ถังออกปากยืนยันข้อมูลนี้เอง พวกเขาถึงเพิ่งมารู้ว่าหลี่ว์ซู่คนนี้ก็คือหลี่ว์ซู่ที่พวกเขาคิดว่าตายไปแล้วนั่นเอง จงอวี้ถังไม่ได้จะปกปิดอะไร เขาบอกว่าเขาจะต้องร่วมมือกับหลี่ว์ซู่ โดยให้หลี่ว์ซู่แกล้งตายเพื่อจะได้รับค่าว่าจ้างจากอาณาจักรแห่งความมืด แล้วตอนนี้พวกเขาก็ได้เงินเรียบร้อยแล้ว หลี่ว์ซู่ก็เลยได้กลับมาเป็นตัวเขาอีกครั้ง แต่เขาไม่ได้บอกซีเฟ่ยไปว่าตอนนี้หลี่ว์ซู่ได้เลื่อนเป็นยศร้อยโทแล้ว เนี่ยถิงกำชับไว้ว่าไม่ให้บอกซีเฟ่ยเพราะเขามียศเป็นผู้ช่วยร้อยโทอยู่ ถ้าบอกไปเดี๋ยวจะอึดอัดกันเปล่าๆ


 


 


พวกเขาเพิ่งเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ซีเฟ่ยเลยถามไปทางโทรศัพท์


 


 


“หลี่ว์ซู่ไม่ต้องไปเรียนที่วิทยาลัยลั่วเฉิงเหรอ ทำไมเขาถึง…” แต่เขาก็พูดไม่จบ ซีเฟ่ยได้ยินจงอวี้ถังกดเสียงต่ำลง


 


 


“อย่าไปพูดเรื่องวิทยาลัยลั่วเฉิงนี่กับหลี่ว์ซู่เชียวนะ ขอร้องล่ะ…”


 


 


พวกเขามองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ มันเกิดอะไรขึ้นกัน


 


 


แล้วเหตุผลที่หลี่ว์ซู่ต้องการพวกหนูก็เพราะคำสั่งนี้แหละ


 


 


เขาถูกส่งไปที่หน่วยรักษาความปลอดภัย เขาก็เลยไปตามนั้น แต่หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าถึงแม้ตัวเองจะไม่ได้ไปเรียนที่วิทยาลัยลั่วเฉิงแล้ว เขาก็ยังไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยอื่นได้อยู่นี่ หากเขาไม่สามารถเข้าวิทยาลัยสำหรับฝึกฝนได้ เขาก็จะทำตามแผนเดิมแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยอื่นแทน อาจจะเป็นที่ที่ไม่ไกลมาก เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังอะไร แค่มหาวิทยาลัยในเมืองลั่วก็พอแล้ว


 


 


ถ้าทำตามนั้น เขาจะต้องไปทบทวนบทเรียนที่เขาหายไปในสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ แต่เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปจัดการกับเรื่องความปลอดภัยของผู้คนล่ะ


 


 


เพราะงั้นเขาเลยจะเอาเจ้ากระรอกนี่ไว้เป็นตัวแทน ถ้ามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของประชาชน เขาก็จะปล่อยให้เจ้ากระรอกจัดการแทน


 


 


หลังจากที่เจ้ากระรอกกินผลล้างไขกระดูกที่เขาให้ไปแล้ว มันก็ไม่สามารถนั่งนิ่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้ จะมาเข้าฝันเพื่อขายเหรียญออนไลน์ก็ไม่ได้เหมือนกัน!


 


 


“แกจะมาขายเหรียญออนไลน์ในฝันไม่ได้ จะทำธุรกิจก็ต้องรู้จักพลิกแพลง เข้าใจไหม” หลี่ว์ซู่พูดกับเจ้ากระรอกอย่างจริงจัง


 


 


แต่ดูเหมือนเจ้ากระรอกจะไม่เข้าใจเท่าไหร่

 

 

 


ตอนที่ 533 ทำธุรกิจต้องรู้จักพลิกแพลง

 

วันต่อมาหลี่ว์ซู่ตื่นขึ้นมาตอนตีสาม การที่ภูเขาหิมะถล่มก็เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับบรรพบุรุษคนก่อนๆ ในหอเกียรติกระบี่นั้นหมายความว่าเขาจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่


 


 


ตอนนี้เขาวางแผนที่จะใช้แต้มอารมณ์ที่เก็บสะสมมาเพื่อจุดประกายดาวดวงที่เจ็ด หลังเลื่อนระดับขค้นมาจากระดับ C อย่างเป็นทางการแล้ว ค่าร่างกายและความเร็วของเขายังถือว่าไม่มากพอ และเขากำลังเร่งไปถึงจุดนั้น


 


 


อย่างไรก็ตามการที่ค่าร่างกายของเขายังอ่อนแออยู่ทำให้เขาไม่มั่นใจไม่การไต่รับขึ้นไปที่ระดับ B เขาจะรู้สึกเบาใจได้ก็ต่อเมื่อเขามีคุณสมบัติของระดับ B ครบแล้วทุกด้าน


 


 


เพราะฉะนั้นในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่สามารถจะเอาแต้มไปแลกผลชี่ไห่ได้ เขาทำได้แค่เพียงพยายามสร้างภูเขาหิมะขึ้นมาใหม่ได้เท่านั้น


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่อยากคิดอะไรมาก ในเมื่อหลี่เสียนอีเองก็ฝึกฝนกระบี่ไปทีละขั้น เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่ไม่ควรมองว่าสิ่งนี้เป็นปัญหา


 


 


ระหว่างปฏิบัติภารกิจที่กลุ่มของทวยเทพ หลี่ว์ซู่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อรวบรวมพลังที่เขาเคยได้มา เขาฉุกคิดได้ว่าในการฝึกฝนร่างกาย เขาไม่ควรที่จะหยุดง่ายๆ หลังจากที่ผ่านการเลื่อนระดับแล้วเพื่อให้สามารถควบคุมพลังได้ดีขึ้น พลังของเขายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วพอพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การควบคุมพลังที่มีก็ยากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน


 


 


ตอนนี้เขามีเวลามากขึ้นแล้ว เขาอยากจะทำให้ร่างกายตัวเองเสถียรมากพอและอยากที่จะเก็บรายละเอียดสิ่งที่เขาพลาดไปอีกครั้งในช่วงเวลาที่เขาแข็งแกร่งขึ้นไวเกินไป


 


 


หลังจากที่ทะเลแห่งพลังเปิดแล้ว พลังกระบี่ก็เพิ่มขึ้นระหว่างการฝึกกระบี่ตามปกติ นี่ต่างจากพลังเต๋าของคิริฮาระที่บางทีก็มีแต่บางทีก็ไม่มี


 


 


แต่หลี่ว์ซู่แทบไม่ค่อยได้ใช้อาวุธมือนักในการต่อสู้ ก็เหมือนกับที่ปู่เสียนอีใช้เพียงแค่พลังดาบรัศมีและกระบี่บินเท่านั้น แต่หลี่ว์ซู่คิดว่าถ้าเขาได้กระบี่ดีๆ มาเล่มหนึ่ง เขาก็อยากลองสู้แบบประชิดดู


 


 


เพราะตอนนี้ศัตรูอาจคิดว่าเขาสู้ด้วยธนู แล้วก็หลอกให้พวกมันตายใจ หลังจากนั้นค่อยเซอร์ไพรส์ด้วยการใช้กระบี่จ้วงพวกมันทีหลัง…


 


 


หลี่ว์ซู่ยังใช้พลังกระบี่ไม่ค่อยเก่งนัก ไม่เหมือนปู่เสียนอี หลี่ว์ซู่จำได้ว่าเขารู้สึกถึงพลังบางอย่างได้ตอนได้ดูปู่ฝึกกระบี่


 


 


ถ้าหลี่ว์ซู่ซ่อนกระบี่ของเขาได้อย่างมิดชิดแล้วละก็ เขาก็คงจะประสบความสำเร็จไปอีกขั้นในการใช้กระบี่นี้


 


 


หลังจากที่กินข้าวเช้าเรียบร้อย หลี่ว์ซู่ก็พาเสียวอวี๋ขึ้นไปบนภูเขา พวกเขายังต้องไปให้ผลล้างไขกระดูกกับเจ้าแมวยักษ์กับหมูพยศอยู่ แต่พอไปถึงที่ที่พวกมันอยู่แล้วหลี่ว์ซู่ก็ถึงกับอึ้ง


 


 


เขาเห็นกุยช่ายที่ปลูกไว้ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว หลี่ว์ซู่กับเสี่ยวอวี๋เพิ่งได้กลับมาที่แปลงปลูกนี้ เพราะฉะนั้นต้องไม่ใช่ฝีมือของพวกเขาแน่


 


 


“เจ้ากระรอกเสี่ยวซยงสวี่ช่วยเก็บกุยช่ายด้วยเหรอ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างงุนงง เขาคิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋บอกให้เจ้ากระรอกช่วยงานอีกรอบหนึ่ง


 


 


แต่เธอกลับส่ายหัว เสี่ยวอวี๋ดูโกรธจัดมาก เห็นกันชัดๆ ว่ามีคนขโมยกุยช่ายไป!


 


 


ไอ้เจ้านั่นมันต้องกล้ามากนะที่ขโมยกุยช่ายไปแบบนี้! เธอไม่ยอมให้อภัยแน่!


 


 


หลี่ว์ซู่ยังไม่ทันจะพูดอะไร หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เรียกให้แมวยักษ์และหมูพยศมาหาโดยปราศจากการส่งเสียง เจ้ากระรอกออกมาก่อน เสี่ยวอวี๋เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ควบคุมสัตว์ นี่ไม่ใช่การล้อเล่น เธอมีความสามารถนี้จริงๆ!


 


 


พอหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เจ้าแมวยักษ์และเจ้าหมูพยศก็ออกมานั่งกันสลอนอยู่หน้าเสี่ยวอวี๋ พวกมันต่างตกใจกันมาก เสี่ยวอวี๋กอดเจ้ากระรอกแล้วก็ชี้นิ้วไปที่แมวยักษ์กับหมูพยศ


 


 


“ไปไหนกันมาเนี่ย ทั้งสองตัวเลย ฉันสั่งให้พวกแกดูแลแปลงผักนะ”


 


 


เจ้าแมวยักษ์คอตก แต่เจ้าหมูพยศผงกหัวขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงทางจมูก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เลิกคิ้ว


 


 


“ไปเล่นกันมาสินะ ฉันบอกพวกแกแล้วไงว่าแปลงผักเป็นที่ของพวกเรา แล้วก็ให้พวกแกดูแลมันอย่างดี”


 


 


เจ้าหมูพยศผงกหัวแล้วก็ส่งเสียงอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเสี่ยวอวี๋ก็หันไปหาแมวยักษ์ทันที “นี่แกต้องพาเจ้าหมูไปเล่นบนภูเขาด้วยกันด้วยเหรอ”


 


 


เจ้าแมวยักษ์ที่คอตกอยู่แล้วคอตกยิ่งกว่าเดิม…


 


 


หลี่ว์ซู่ที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง ทักษะควบคุมสัตว์ของเสี่ยวอวี๋นี่น่าทึ่งจริงๆ เขาอ้างปากค้างในขณะที่เธอกำลังพูดกับพวกมัน


 


 


เจ้ากระรอกทำงานบ้านอยู่เมื่อวานเลยไม่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้มันยังบ่นเรื่องความไม่ยุติธรรมอยู่เลยว่าทำไมถึงมันต้องทำงานบ้านด้วย แต่มองอีกด้าน เพราะเหตุนั้นความผิดครั้งนี้เลยตกไปที่คนอื่น เขารอดพ้นไม่มีส่วนเอี่ยวด้วยเลยสักนิด!


 


 


คิ้วของเสี่ยวอวี๋ขมวดเป็นปมแน่น “ไม่เข้าใจเหรอว่าพวกเราจน พวกเราซื้อเนื้อให้พวกแกกินตลอดเลยนะช่วงนี้ รู้ไหมว่าเนื้อมาจากไหน ก็มาจากการขายกุยช่ายยังไงล่ะ พอฉันไม่อยู่ พวกแกก็เอาเวลาไปเล่นกันแล้วไม่ช่วยกันดูแลแปลงผักงั้นเหรอ มันยุติธรรมกับฉันไหม”


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋โกรธขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเผลอไปตบหัวเจ้ากระรอกเข้า


 


 


เจ้ากระรอกอึ้งไปเลย


 


 


[ได้แต้มจากกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ +666!]


 


 


เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ทำไมต้องโดนตีกระทั่งตอนนอนด้วย


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะ “อย่ากระโตกกระตากไปเลย เจ้ากระรอก ไปเอาพวกหนูหลายร้อยตัวนั่นมาเฝ้าแปลงผักไว้ ฉันอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่มาขโมยกุยช่าย!”


 


 


คืนนั้นหลี่ว์ซู่และเสี่ยวอวี๋ก็กลับบ้านไปบนถนนซิงฉู่ แมวยักษ์และหมูพยศต่างก็ซ่อนตัวอยู่ในสวนเพื่อแอบดูผ่านร่องประตู เจ้ากระรอกพาเพื่อนหนูหลายร้อยตัวมาเพื่อแอบซุ่มดูในพุ่มไม้ที่แปลงผัก


 


 


พอถึงเวลาเที่ยงคืน ตาแหลมคมของเจ้ากระรอกก็จับจ้องไปที่แปลงผัก เวลานี้แหละจะได้รู้กันสักที!


 


 


ทันใดนั้นมันก็เห็นลูกชายคนโตของหัวหน้าหมู่บ้านพาคนอีกสิบคนย่องเข้ามาในแปลงผักอย่างระมัดระวัง


 


 


“ถ้าพวกเราถูกจับได้ขึ้นมาล่ะ เขาเป็นนักเรียนห้องเต้าหยวนเลยนะ!”


 


 


“ไร้สาระน่า! นักเรียนห้องเต้าหยวนคนนั้นถูกฆ่าไปแล้ว เหลืออยู่แค่เด็กผู้หญิงเท่านั้นแหละ แล้วไอ้พวกสัตว์วิเศษสองตัวนั้นก็วิ่งหายไปไหนแล้วไม่รู้ พวกแกได้กินกุยช่ายนี้เมื่อวานหรือเปล่าล่ะ”


 


 


“ได้กินครับ…”


 


 


“หึๆ รสชาติเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” ลูกชายคนโตของหัวหน้าหมู่บ้านถาม


 


 


“หึๆๆ …”


 


 


“หึๆๆ …”


 


 


แล้วพวกเขาทั้งหมดก็ต่างหัวเราะออกมา…


 


 


เจ้ากระรอกที่แอบซุ่มอยู่ก็โกรธจัด มันกล้าทำทุกอย่างในวินาทีหมดล่ะ พวกนี้นี่เองทำให้เขาโดนเสี่ยวอวี๋ตี!


 


 


ทันใดนั้นพวกชาวบ้านก็ล้มลงไปนอนกันเป็นแถบและเริ่มส่งเสียงกรน!


 


 


เจ้ากระรอกรู้ว่าความสามารถที่ทำให้คนหลับนี้มาจากแผ่นกระดาษทองคำ มันทำให้คนเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมๆ กันได้ ความสามารถของกระดาษทองที่เจ้ากระรอกได้มานี้เหมือนกับว่ามันเป็นทักษะของเขาเองตามธรรมชาติ เขาสามารถพัฒนาทักษะนี้ไปได้พร้อมๆ กับเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง ช่างเป็นความสามารถที่เหมาะกับสัตว์วิเศษเสียจริงๆ


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน มันสามารถทำให้คนสลบได้แค่คนเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว มันสามารถทำให้คนสิบคนสลบได้ในคราวเดียว รวมถึงสามารถไปเข้าฝันคนพวกนั้นได้อีก นี่เหมือนกับว่าเป็นโลกแห่งความฝันอันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เหมือนโลกใบนี้เลย


 


 


แล้วคนที่สามารถใช้ทักษะนี้ต้องมีระดับ C ขึ้นไปเท่านั้นด้วยนะ!


 


 


“พวกแกทั้งหลาย จงซื้อเหรียญออนไลน์ให้ฉัน ถ้าสมัครเป็นสมาชิก VIP แล้วจะลดให้เก้าเปอร์เซ็นต์!”


 


 


ที่หลี่ว์ซู่บอกว่าธุรกิจมันพลิกแพลงได้ก็คือแบบนี้ใช่ไหม เจ้ากระรอกรู้สึกว่าตัวเองฉลาดเสียจริงๆ!

 

 

 


ตอนที่ 534 กฎพื้นฐานของความฝัน

 

ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านและพวกที่มาด้วยกันต่างนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่กับพื้น พวกเขาเห็นกระรอกสีขาวที่มีกระจุกขนสีม่วงบนหัวของมัน มันถามพวกเขาว่าอยากเป็นสมาชิก VIP ไหมหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน


 


 


พวกเขาแทบจะบ้าตาย แม้จะรู้ว่านี่เป็นความฝันที่แปลกพิสดารแต่ก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาจากความฝันนี้ได้ มันต้องเป็นฝีมือของสัตว์วิเศษที่เป็นของเจ้าของแปลงกุยช่ายนี่แน่ๆ


 


 


ตอนนี้เจ้ากระรอกกำลังทำให้โลกแห่งความฝันที่ไม่มีวันจบนี่ใกล้ความจริงมากที่สุดตามที่หลี่ว์ซู่สั่ง มันรู้ดีว่าถ้าโลกแห่งความฝันนี่เหมือนจริงจนคนที่ติดอยู่ในนั้นแยกไม่ออกมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีพลังที่จะควบคุมโลกแห่งความฝันนี้มากขึ้น


 


 


หากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้คนที่ถูกควบคุมไม่รู้ตัวว่าฝันอยู่ แถมความฝันจะไม่ถูกรบกวนอีกด้วย


 


 


ตามตำนานกล่าวไว้ว่าคนที่ถูกควบคุมความฝันจะสามารถฝันไปอย่างนั้นได้ถึงหลายพันปี ดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะใช้พลังนี้ โดยการทำให้คนที่ถูกควบคุมหลงใหลในความฝันจนไม่อยากตื่นขึ้นอีกเลย


 


 


แต่เจ้ากระรอกก็ยังไม่แก่กล้าถึงขั้นนั้น… มันเข้าใจดี เมื่อมันได้เข้าไปในโลกแห่งความฝันของใครสักคนแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยตัวไปตามธรรมชาติ


 


 


โชคดีที่มันได้เพิ่มระดับขึ้นมาแล้วเลยสามารถควบคุมโลกแห่งความฝันได้ดีขึ้น ตอนนี้ถ้าลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านอยากจะตื่นขึ้นมา มันก็ยังทำให้เขาสลบต่อไปได้…


 


 


พวกชาวบ้านถูกทำให้หลับอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมง จนเจ้ากระรอกเริ่มเหนื่อยล้ากับการใช้พลังนี้ ทุกคนจึงค่อยๆ ตื่นขึ้นมา แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความกลัว “ผีหลอก!”


 


 


สำหรับคนธรรมดาแล้ว พวกเขาแยกไม่ออกระหว่างถูกผีหลอกกับถูกสะกดให้ติดอยู่ในความฝัน


 


 


แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่คนพวกนี้มาขโมยผักกุยช่าย พวกเขามาเริ่มมาขโมยมันไปหลังวันที่เสี่ยวอวี๋เดินทางออกไปที่เมืองหลวง ตอนแรกก็ขโมยไปแค่ก้านสองก้าน แต่แล้วลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านก็คิดการใหญ่ เขาอยากกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี๋ด้วยการขโมยกุยช่ายทั้งหลายกลับไปที่หมู่บ้าน เขามองเห็นอนาคตที่สดใส!


 


 


ในเมื่อเขาไม่สามารถยั่วโมโหหลี่ว์ซู่ได้ แต่เขายังยั่วโมโหเด็กผู้หญิงนี่ได้อยู่นี่


 


 


แต่ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าไม่มีใครสามารถรังแกเด็กผู้หญิงคนนี้ได้ง่ายๆ …


 


 


หลังจากที่เจ้ากระรอกปล่อยคนพวกนั้นไป มันก็รายงานหลี่ว์ชู่ทันที ตอนที่หลี่ว์ซู่สั่งให้มันดูแลแปลงกุยช่าย มันก็ไม่ได้อยากจะใช้พลังทรมานคนอื่นหรอก ที่สำคัญที่สุดคือมันอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่ขโมยกุยช่ายไป


 


 


ตอนนั้นหลี่ว์ซู่กำลังฝึกกระบี่อยู่ที่บ้าน แล้วจู่ๆ เขาก็คิดอะไรบางอย่างออก เขาสามารถใช้ตราแผ่นดินช่วยหลิวหลี่เพิ่มระดับได้นี่นา


 


 


แต่ดูเหมือนว่าหลิวหลี่เพิ่งจะไปอยู่ที่ที่มีพลังจิตวิญญาณสูงได้ไม่นาน เขาไม่รู้ว่าหลิวหลี่ฝึกไปถึงไหนแล้ว


 


 


หลิวหลี่เปิดข้อมูลหน้าโปรไฟล์ของหลิวหลี่ในแอปพลิเคชันแชตขึ้นมาดู เขาอยากดูหน้าโพสต์เสียหน่อย แต่ก็พบว่าเขาถูกบล็อกไว้ หลี่ว์ซู่รู้ว่าหลิวหลี่ไม่อยากให้เขาเห็นโพสต์ของตัวเอง แล้วหลิวหลี่เองก็ไม่อยากเห็นโพสต์ของหลี่ว์ซู่ด้วย


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที เขาก็อยากจะเห็นโพสต์ของหลิวหลี่บ้างจากใจของญาติผู้พี่ที่อยากดูแลน้องชาย ความรู้สึกนี้เหมือนกับว่าเขาเป็นพ่อแม่ที่เป็นห่วงว่าลูกจะโดนครูตีหรือจะโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งหรือเปล่า…


 


 


ทันใดนั้นเจ้ากระรอกก็เดินเข้ามา มันสื่อสารกับหลี่ว์ซู่ทางสายตาออกมาสามประโยคว่า ได้ข้อสรุปแล้ว คนร้ายเป็นพวกชาวบ้าน ฉันรู้เลยว่าพวกมันเป็นใคร


 


 


หลี่ว์ซู่เงียบไปสักพักแล้วเขาก็ชี้กระบี่ไม้ไปที่เจ้ากระรอก “วันหลังพูดมันออกมาเลยได้ไหม ไม่ใช่มาส่งสายตาให้กันแบบนี้ แผ่นกระดาษที่ให้ไปก็ใช้ด้วยสิ”


 


 


เจ้ากระรอกติดการสื่อสารทางสายตามาจากเสี่ยวอวี๋ เพราะแค่ส่งสายตาออกไปเธอก็เข้าใจแล้ว!


 


 


[ได้แต้มจากกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ +199!]


 


 


หลี่ว์ซู่คิดอะไรบางอย่างแล้วเอ่ยออกไป “เดี๋ยวฉันจะให้รูปของคนคนหนึ่งไว้ ไปตามหาว่าเขาเป็นใคร ไปหาที่อยู่ปัจจุบันมาให้ได้ แล้วไปหามาด้วยว่าเขาไปฝึกทุกวันที่ไหน”


 


 


ว่าแล้วก็ส่งรูปหลิวหลี่ให้เจ้ากระรอกดู เขารู้สึกสงสัยใครรู้ “ต้องทำสำเนาให้หนูตัวอื่นๆ ด้วยหรือเปล่า”


 


 


เจ้ากระรอกใช้อุ้งเท้าเขียนตัวหนังสือบนพื้นอย่างมั่นใจ ‘ไม่จำเป็น เดี๋ยวจะไปเข้าฝันแล้วบอกพวกมันทุกตัวเอง’


 


 


“ความคิดดีนี่…” หลี่ว์ซู่หยุดคิดไปครู่นึ่ง “ไปเร็ว อย่าชักช้า”


 


 


หลี่ว์ซู่เพิ่งรู้ว่าทักษะที่ทำให้หลับของเจ้ากระรอกนี้จะใช้กับหนูได้ด้วย แถมมันยังจะส่งภาพหลิวหลี่ให้พวกหนูโดยการเข้าฝันอีกต่างหาก


 


 


หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเจ้ากระรอกก็เอาข้อมูลของหลิวหลี่มาให้ บ้านเขาอยู่ที่ตึกหมายเลข 12 เขตวิลล่า สวนสนามกอล์ฟเจี้ยนเยี่ย


 


 


หลี่ว์ซู่ปิดปากตกใจ ครอบครัวนี้รวยมากเลยนี่ แค่บ้านที่อยู่ก็คงราคาล้านกว่าได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นที่ดินบนพื้นที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเสียด้วย ต้องมีเงินอยู่ในมือราวสี่สิบล้านเป็นอย่างต่ำถึงจะซื้อที่ดินผืนนี้ได้


 


 


สำหรับนักธุรกิจแล้วการจะมีเงินสะพัดเยอะมากขนาดนั้นต่อปีเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีแรงทำงานหนักได้ขนาดนั้น


 


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่นั่งคิดอยู่นั้น จิตของเขาก็ล่องลอยผ่านตราแผ่นดินแล้วพุ่งขึ้นไปบนฟ้าของเมืองลั่ว


 


 


เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เจียงซู่อีแข็งแกร่งขนาดไหนแล้ว ตอนที่เขาเพิ่มระดับพลังจิตวิญญาณเพื่อช่วยเจียงซู่อี ระดับพลังจิตวิญญาณบริเวณนั้นสูงกว่าที่อื่นๆ มาก เจียงซู่อีต้องรู้สึกขอบคุณฮีโร่ไร้นามคนนี้หน่อยแล้วใช่ไหม


 


 


ในที่สุดหลี่ว์ซู่ก็เจอตึกหมายเลข 12 เขตวิลล่า สนามกอล์ฟเจี้ยนเยี่ยแล้ว เขาหายใจเข้าลึก “หลิวซิว ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันมาเพื่อช่วยลูกพี่ลูกน้องนาย นายอยู่บนสวรรค์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่เปลี่ยนไปไม่เหมือนตอนที่เขาเพิ่มพลังจิตวิญญาณให้เจียงซู่อีอย่างลับๆ อีกแล้ว ครั้งนี้เขาจะเล่นใหญ่ไม่ปิดบังการช่วยเหลือ


 


 


นึกย้อนกลับไปตอนที่เขายังไม่ได้บอกความจริงแล้วก็เอาศพของหลิวซิวออกมาจากตราแผ่นดิน เขาก็คิดถึงปัญหานี้เหมือนกัน เขาต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขามีตราแผ่นดินไว้ครอบครอง


 


 


แล้วก็เป็นอย่างที่คาด เนี่ยถิงไม่ได้ว่าอะไร ราวกับว่าเนี่ยถิงละสือเสวจิ้นต่างก็รู้อยู่แล้วว่าเขามีตราแผ่นดินอยู่กับตัว เขาไม่รู้ว่าราชันฟ้าอ้วนหลี่อีเสี้ยวจะแสดงอาการอย่างไรถ้ารู้เรื่องนี้ เพราะตอนนั้นควรเป็นเขาที่ได้ดวงตาแห่งค่ายกลที่โบราณสถานเป่ยหมัง…


 


 


เพราะฉะนั้น ตอนนี้เขาจะไม่หลบซ่อนการเพิ่มพลังจิตวิญญาณอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะเพิ่มพลังให้เยอะขึ้นกว่าที่เขาเคยเพิ่มให้เจียงซู่อี


 


 


ช่างกลางดึกคืนนั้น หลิวหลี่ที่กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่ แล้วอยู่ๆ เขาก้ได้ยินเสียงสั่นกรอบแกรบมาจากในห้อง เศษฝุ่นร่วงหล่นมาจากเพดาน


 


 


หลิวหลี่ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น หลิวหลี่ไม่ได้เป็นพวกอ่อนต่อโลก จริงๆ แล้วเขานั้นหัวดีกว่าคนอื่นมาก ตอนที่อยู่ที่โบราณสถานเป่ยหมังเองก็ด้วย


 


 


นักเรียนหลายคนคิดว่าตัวเองเก่งเกินตัวแล้วก็เอาแต่หาแต่ดวงตาแห่งค่ายกลกัน ทว่าพวกเขาไม่เคยกล้าพอที่จะไปเผชิญหน้าต่อสู้กับพวกโครงกระดูก แต่หลิวหลี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขามองพวกโครงกระดูกแล้วก็รู้ว่าเขาสู้พวกมันไม่ได้ เขาก็เลยหันไปขโมยผลไม้จากกระรอกกินประทังชีวิตแทน


 


 


ใครๆ ต่างก็เห็นว่าหลิวหลี่ที่ตัวเปื้อนเลือดนั่งยองๆ กินผลไม้อยู่ที่พื้นตอนที่พวกเขากำลังเดินออกไปจากโบราณสถาน ทำไมทุกคนถึงปลอดภัยกันดีอยู่ล่ะ เพราะว่าคนอื่นๆ น่าจะช่วยปกป้องพวกเขาไว้น่ะสิ


 


 


แต่หลิวหลี่นั้นต่างออกไป อย่างน้อยเขาก็พึ่งตัวเองด้วยการไปแย่งเอาผลไม้เหล่านี้มาได้


 


 


แม้จะไม่มีแจ้งเตือนแผ่นดินไหวและไม่มีความผิดปกติอื่นๆ แต่ถึงอย่างไรหลิวหลี่ก็กระโดดผลุงออกจากประตูกระจกสูงเพื่อออกไปดูว่ามีอะไรข้างนอก


 


 


เสียงกระจกกระทบกันยังสั่นไม่หยุด จากนั้นคฤหาสน์ก็ถล่มลงมาเสียงดังโครม!


 


 


หลิวหลี่มองคฤหาสน์ที่พังลงไปด้วยความตกใจกลัว…


 


 


[ได้แต้มจากหลิวหลี่ +1000!]

 

 

 


ตอนที่ 535 กรรมตามสนอง

 

หลังจากที่หลี่ว์ซู่เพิ่มพลังจิตวิญญาณให้แล้ว เขาก็กลับไปโดยความสบายใจ เพราะว่าเขาได้ช่วยดูแลน้องชายเรียบร้อยแล้ว


 


 


ในยุคสมัยนี้ จะหาคนที่ทำความดีนั้นยากแสนยาก ถึงทำไปก็ไม่มีใครจะมาจำบุญคุณได้ เครือข่ายฟ้าดินคงจะยอมรับกับความพยายามนี้


 


 


พอได้ทำอย่างที่อยากแล้วหลี่ว์ซู่ก็ใจเย็นลง เขาเรียกเจ้ากระรอกมา


 


 


“แน่ใจนะว่าแกระบุตัวคนขโมยกุยช่ายมาถูกน่ะ อย่าเอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องมารับผิดนะ”


 


 


เจ้ากระรอกตบอกตัวเองแล้วเขียนตอบในหนังสือ ‘ไม่ต้องห่วง ถูกตัวแน่นอน’


 


 


เรื่องขโมยกุยช่ายนั้นเริ่มดังไปทั่วหมูบ้านหลิว หลิวเผิงเซิง ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง เขาบอกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นที่แปลงผักกุยช่าย พวกเขาก็เลยรายงานไปที่เครือข่ายฟ้าดิน


 


 


แต่พอถูกถามเรื่องรายละเอียด พวกเขากลับให้คำอธิบายไม่ได้


 


 


เรื่องที่จำได้ก็มีแค่ว่ามีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้น แล้วก็มีอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกซูเปอร์ VIP ซึ่งก็ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่…


 


 


หลิวเผิงเซิงรายงานไปที่เครือข่ายฟ้าดินตั้งแต่วันนั้น แต่ทันทีที่ซีเฟ่ยมาถึง เขาก็ได้ยินว่าเรื่องนี้นั้นเกี่ยวข้องกับหลี่ว์ซู่และเสี่ยวอวี๋ เขาขี้เกียจจะใส่ใจจนถึงขั้นอยากส่งเคสของหลิวเผิงเซิงให้แผนกอื่นดูแลแทน


 


 


ในสายตาซีเฟ่ย เสี่ยวอวี๋เป็นเด็กดีเชื่อฟังนี่นา ทำไมถึงมาก่อเรื่องได้ล่ะ


 


 


แต่เขาก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ตอนเสี่ยวอวี่อยู่บ้านคนเดียว เธอแทบจะไม่ไปก่อเรื่องที่ไหนเลย แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องขึ้นมา หรือว่าหลี่ว์ซู่จะกลับบ้านแล้ว


 


 


พวกเขาไปกันไม่เป็นเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลี่ว์ซู่ ในตอนที่มีข่าวว่าเขาตาย ผู้คนต่างร่ำไห้และพร่ำบอกว่าจะแก้แค้นให้เขา แต่สุดท้ายเรื่องกลับกลายเป็นว่าเขาโกหกเสียนี่…


 


 


จงอวี้ถังบอกว่าตอนนี้หลี่ว์ซู่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งมากแค่ไหนเพราะว่านั่นยังเป็นความลับอยู่


 


 


ซีเฟ่ยกับทีมรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที เจ้าคนที่ก่อแต่เรื่องตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งไปเสียแล้ว เขาถึงต้องรายงานต่อหน่วยรักษาความปลอดภัย พวกเขาเลยรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ต่อชะตากรรมของตัวเอง แล้วมีการปกปิดเรื่องระดับความแข็งแกร่งอีก บ้าไปแล้วนะเนี่ย


 


 


หลี่ว์ซู่ได้ยศพันตรีตอนที่เขาอยู่ระดับ C ส่วนตอนนี้ระดับของเขาถูกปิดเป็นความลับ… ดูเหมือนว่าจะเก็บเป็นความลับหรือไม่เก็บนั้นก็ไม่ต่างกันอยู่ดี


 


 


แต่ในเมื่อมันถูกปิดแบบนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าจะคาดเดา พวกเขาจะต้องรักษาวินัยอยู่


 


 


แต่กลุ่มของซีเฟ่ยก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่ว์ซู่ที่ถูกคนทั้งโรงเรียนเหม็นขี้หน้า มาตอนนี้กลับกลายเป็นคนระดับสูงไปซะแล้ว!


 


 


คืนนั้นหลี่ว์ซู่พาเสี่ยวอวี๋ขึ้นไปที่ภูเขาอีกรอบ โดยเจ้ากระรอกเป็นคนนำทาง


 


 


ช่วงนี้หมู่บ้านหลิวปลูกสตรอว์เบอร์รีเอาไว้ในเรือนกระจก บางทีคนจากในเมืองลั่วก็ขึ้นมาเที่ยวที่นี่เพื่อมาสัมผัสชีวิตในไร่


 


 


ผู้คนจะมาเก็บสตรอว์เบอร์รีด้วยมือกัน แล้วในตอนบ่าย พวกเขาก็จะมากินซุปไก่กันที่หมู่บ้าน ผู้คนจากเมืองลั่วสนุกสนานกับการมาเที่ยวที่นี่มาก การได้มีช่วงเวลาเช่นนี้นั้นช่างน่าอภิรมย์ใจ


 


 


หมู่บ้านนี้ไม่ไกลจากเมืองลั่วมากนัก ถ้าขับรถมาตามถนนหมายเลข 301 ก็จะมาถึงที่หมู่บ้านภายในเวลาครึ่งชั่วโมง ที่นี่เลยขายสตรอว์เบอร์รีดีมาก


 


 


“ถ้าได้แบบนี้ เราคงมีสตรอว์เบอร์รีให้กินกันเป็นปีเลย… เดี๋ยวเรามาเก็บสตรอว์เบอร์รีกัน เจ้ากระรอก แกกินสตรอว์เบอร์รีให้เรียบเลยนะ กินเท่าไหร่ก็กินไปเลย เพราะแกเก็บกลับไปได้ไม่เยอะ ไม่มีที่ให้เก็บ”


 


 


เสี่ยวอวี๋ดูแคลนหลี่ว์ซู่นิดๆ เธอไม่ได้จนแล้ว เธอเพิ่งจะซื้อสตรอว์เบอร์รีสองกิโลกรัมในราคา สามสิบเหรียญไปหยกๆ ด้วยซ้ำ


 


 


อันที่จริง หลี่ว์ซู่คิดว่าเจ้ากระรอกก็ได้แก้แค้นให้พวกเขาไปแล้ว เขายังจำเป็นต้องแก้แค้นอีกรอบด้วยเหรอ เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอะไรแบบนี้


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ล่ะ


 


 


เขายังโกรธอยู่ไม่หาย กุยช่ายโดนตัดไปหมดแล้ว และมันก็คงเอากลับมาไม่ได้ พวกมันเลยไม่โผล่หน้ามาอีก แต่มันก็สายเกินไปแล้วล่ะ พวกนั้นทำอะไรไม่ได้แล้ว


 


 


นี่อาจจะฟังดูไม่ดีนัก แต่เขารู้ว่าไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องที่เขาแกล้งหลอกว่าตาย ถ้าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นเด็กธรรมดาๆ จริง ทำไมพวกนี้ถึงมากลั่นแกล้งเธอหลังเขาตายกันล่ะ เขาทนไม่ได้จริง


 


 


พวกเขาไม่ต้องเคารพคนทุกคนก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเคารพคนที่ตายไปแล้วทีเถอะ เขายอมสละชีวิตช่วยปกป้องบ้านเกิดและประเทศไว้นะ


 


 


ถ้าที่นี่ไม่ใช่แถวบ้านนอกละก็ ทุกคนคงตายไปนานแล้ว แล้วถ้าเป็นงั้น สตรอว์เบอร์รีพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยด้วย


 


 


“ไปเช็กมาว่ามีครอบครัวไหนบ้างที่ขโมยกุยช่ายไป แล้วเอาผลผลิตของพวกเขาในเรือนกระจกทั้งหมดมา คนที่ขโมยต้องถูกลงโทษไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม!” หลี่ว์ซู่ปล่อยรังสีอำมหิตออกมา “ไปได้!”


 


 



 


 


เช้าวันต่อมา ชาวบ้านที่ถูกขโมยสตรอว์เบอร์รีตื่นขึ้นมาพบว่าสตรอว์เบอร์รีในเรือนกระจกของพวกเขาหายไป “สตรอว์เบอร์รีของฉันหายไปไหนหมด!”


 


 


พวกเขาร้องทั้งน้ำตา ในครอบครัวหนึ่งจะมีเรือนกระจกอยู่ประมาณสี่ห้าเรือน และสตรอว์เบอร์รีในทุกๆ เรือนกระจกก็ถูกขโมยไปจนเรียบ


 


 


“สตรอว์เบอร์รีถูกขโมยไปไหม” ชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ทุกคนก็พยักหน้าอย่างไร้ชีวิตชีวา


 


 


“สตรอว์เบอร์รีของนายก็ถูกขโมยเหมือนกันเหรอ”


 


 


“เราทำอะไรไม่ได้หรอกถ้าสตรอว์เบอร์รีจะถูกขโมยไป แต่ใครกันที่กล้ามากัดสตรอว์เบอร์รีจนเหลือครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ ลูกยังห้อยไว้อยู่เลย แต่พอดูดีๆ แล้วก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว!”


 


 


ชาวบ้านไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากเจ้ากระรอกได้รับคำสั่งมาจากหลี่ว์ซู่ มันก็ไปกินสตรอว์เบอร์รีตามสั่ง แต่ว่าท้องมันเล็กเลยกินหมดไม่ได้ ก็เลยเหลือเศษสตรอว์เบอร์รีครึ่งหนึ่งห้อยต่องแต่งไว้ มันไม่สนใจหรอกว่าสตรอว์เบอร์รีจะล้างแล้วหรือยัง


 


 


[ได้แต้มจากหลิวเผิงเซิง +666…]


 


 


[ได้แต้มจาก…]


 


 


ทุกคนต่างคาดเดากันว่าใครเป็นคนร้ายกันแน่ แต่ก็ไม่กล้าจะพูดกันตรงๆ กระทั่งพวกสัตว์วิเศษอย่างแมวยักษ์กับหมูพยศเองก็ไม่กล้าจะออกไปเล่นข้างนอกอีกเลย พวกมันเฝ้าแปลงกุยช่ายอย่างขยันขันแข็ง


 


 


แต่คราวนี้หลิวเผิงเซิงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาพาครอบครัวของเขาทั้งหมดเกือบร้อยคนไปที่ภูเขาเป่ยหมัง เขาจะแจ้งร้องเรียนกับเครือข่ายฟ้าดิน ผลผลิตในเรือนกระจกกว่าสิบเรือนถูกขโมยไป ไอ้เจ้าของแปลงผักกุยช่ายต้องชดใช้!


 


 


พอซีเฟ่ยได้ยินคำร้องเรียนเขาก็แน่ใจอย่างหนึ่ง… หลี่ว์ซู่กลับไปที่บ้านแล้ว


 


 


เขาเดินตามพวกชาวบ้านไปที่ภูเขา พอไปที่ถึงหมู่บ้านก็พบหลี่ว์ซู่กำลังกินสตรอว์เบอร์รีอย่างสบายอกสบายใจ เจ้ากระรอกเองก็นั่งกินด้วยเหมือนกัน มันถือสตรอว์เบอร์รีในมือถึงสามสี่ลูก


 


 


พอพวกชาวบ้านเห็นแบบนั้นก็โกรธมาก พวกเขาลืมไปหมดว่าหลี่ว์ซู่เคยสละชีวิตปกป้องบ้านเมืองเอาไว้ หลิวเผิงเซิงหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงมีชีวิตอยู่ล่ะ ผีไม่น่ามาหลอกตอนกลางวันใช่ไหม งั้นหลี่ว์ซู่ก็ยังไม่ตายน่ะสิ!


 


 


“เป็นพวกเขาแน่ๆ ที่ขโมยสตรอว์เบอร์รีไป ใช่เขาแน่!” ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ กลุ่มของซีเฟ่ยต่างชี้นิ้วไปที่หลี่ว์ซู่


 


 


ผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับนั่งพับลงไปกับพื้นแล้วร้องออกมา เจ้าหมูพยศม้วนตัวเข้าไปที่ผู้หญิงคนนั้นหมายจะออกแรงชนให้เธอลุกขึ้น เธอลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยความช็อก…


 


 


เป็นปกติแหละที่ผู้คนปกติจะเออออห่อหมกไปกับเสียงส่วนมากให้สังคมสงบราบรื่น คนที่ไม่ค่อยมีปากเสียงมักไม่เจอปัญหา


 


 


ไม่มีคนปกติคนไหนอยากจะปะทะฝีปากกับสัตว์ ใครก็ตามที่เจ้าหมูพยศอยากชนมักจะถูกชนแหลก…


 

 

 


ตอนที่ 536 หลี่ว์ซู่ล้มเลิกแผน

 

พวกชาวบ้านต้องการให้ซีเฟ่ยช่วยพูด พวกเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอก แต่ซีเฟ่ยเป็นเจ้าหน้าที่จากเครือข่ายฟ้าดินที่รับผิดชอบส่วนของเมืองลั่วทั้งหมด เขาก็น่าจะอยู่ตำแหน่งสูงกว่าหลี่ว์ซู่สิ


 


 


ทว่าภายในเครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่ค่อยเคร่งเรื่องกฎระเบียบการทำความเคารพเท่าไหร่นัก ไม่เหมือนอย่างในกลุ่มทวยเทพ แต่ในใจพวกเขาก็รับรู้ลำดับขั้นความอาวุโสเป็นอย่างดี


 


 


ด้วยเหตุนี้ซีเฟ่ยจึงทักทายหลี่ว์ซู่ด้วยการวันทยหัตถ์ และหลี่ว์ซู่ก็ทำเช่นเดียวกันตอบ พวกเขาทำเหมือนว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่ด้วย


 


 


ถึงแม้ว่าพวกชาวบ้านจะไม่รู้ว่าใครอยู่ตำแหน่งไหน แต่พวกเขาก็เห็นว่าซีเฟ่ยและทีมค่อนข้างที่จะนอบน้อมกับหลี่ว์ซู่ พวกเขาไม่โง่นะ อย่างนี้ก็แปลว่าหลี่ว์ซู่มีตำแหน่งที่สูงกว่าซีเฟ่ยน่ะสิ!


 


 


พอเห็นแบบนี้แล้วหลิวเผิงเซิงว่าจะวิ่งหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำแบบนั้น หลี่ว์ซู่ก็หันมาหัวเราะเสียงเย็นใส่เขาเสียก่อน


 


 


“เป็นอะไรไป คิดว่าจะขโมยกุยช่ายไปได้ง่ายๆ เพราะคิดว่าฉันตายไปแล้วงั้นเหรอ เรายังไม่จบกันง่ายๆ นะ”


 


 


ซีเฟ่ยทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น


 


 


คนคนนี้เป็นคนที่จงอวี้ถังไม่อยากทำให้โกรธ คนพวกนี้ทำตัวเองทั้งนั้น ดีแล้วเสียอีกที่หลี่ว์ซู่กล้าทำให้คนพวกนี้อับอายบ้าง เพราะหากเป็นพวกเขาที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็ทำได้แค่เป็นฝ่ายก้มหน้ายอมรับความอับอายเท่านั้นแหละ พวกเขาไม่สามารถใช้กำลังหรือด่าว่าประชาชนได้ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากจะทำแบบนั้นก็ตามที หากพวกเขาทำอะไรเกินขอบเขตไปแม้แต่นิดเดียวก็อาจถูกจงอวี้ถังตำหนิได้


 


 


จงอวี้ถังไม่ใช่คนไม่รู้ผิดรู้ถูก เขารู้ว่าโดยปกติแล้วกลุ่มของซีเฟ่ยจัดการเรื่องเช่นนี้ได้ แต่เขาไม่มีทางเลือกเลยในเรื่องนี้


 


 


กลุ่มของซีเฟ่ยก็เข้าใจเหมือนกัน จงอวี้ถังนั้นคอยดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในอวี้โจว ซึ่งมันก็ต้องมีบ้างที่ต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จงอวี้ถังจะตำหนิพวกเขา


 


 


แต่ในกรณีของหลี่ว์ซู่นี่น่าทึ่งกว่ามาก จงอวี้ถังไม่กล้าตำหนิอะไรเขาเลย… ถ้าจะให้พูดให้ถูกก็คือจงอวี้ถังรู้สึกดีเสียอีกที่หลี่ว์ซู่ไม่เรียกหาเขาบ่อยๆ เขาเองก็ไม่อยากเรียกหาหลี่ว์ซู่ว์โดยไม่มีเหตุผลด้วย


 


 


พอหลิวเผิงเซิงรู้ว่าหลี่ว์ซู่กล้าพูดออกมาท่ามกลางคนเยอะๆ แบบนี้ เขาก็นอบน้อมขึ้นมาทันที หลี่ว์ซู่ประเมินความป่าเถื่อนของพวกชาวบ้านต่ำไป ในตอนแรก ชาวบ้านในหมู่บ้านหลิวทะเลาะกันกับหมู่บ่านหวังเรื่องแหล่งน้ำจนเกิดการชุมนุมคนกว่าสามร้อยคน ตำรวจยังไม่เข้าไปยุ่งกับพวกเขาเลย ขนาดยิงปืนขู่ไปก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้


 


 


หลิวเผิงเซิงยึกยักไม่รู้จะทำอย่างไร เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่ใช่พวกเล่นตามกติกา เขาจึงคิดหนักมากว่าจะปกป้องสตรอวเบอร์รีที่เหลือยังไงดี


 


 


ซีเฟ่ยว่าพลางหัวเราะกับหลี่ว์ซู่ “ก็ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก หลังนายไปรายงานกับหน่วยรักษาความปลอดภัยเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวจะเลี้ยงข้าวเป็นการต้อนรับ”


 


 


“ได้เลย” หลี่ว์ซู่ตอบรับอย่างดีใจ ก่อนที่ทุกคนจะกลับ เขาก็แจกสตรอว์เบอร์รีกันคนละตะกร้า “อันนี้ผมปลูกไว้ที่บ้านครับ ทุกคนเอาไปสิ เอาไปแจกที่บ้านกินด้วย”


 


 


พวกชาวบ้านใจหายใจคว่ำ บ้านแกมีแต่กุยช่ายไม่ใช่เรอะ พูดอะไรออกมาเนี่ย!


 


 


[ได้แต้มจากหลิวเผิงเซิง +666!]


 


 


[ได้แต้มจาก…]


 


 



 


 


ขณะนั้น ที่บ้านบนถนนหลิวไห่ในเมืองหลวง เนี่ยถิงนั่งอยู่บนหินแล้วเปิดอ่านเอกสารในมือ รายละเอียดในเอกสารนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของหลี่ว์ซู่


 


 


สือเสวจิ้นถือชามข้าวต้มอยู่ข้างๆ เนี่ยถิง แล้วอยู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา “พวกกลุ่มเทพเจ้าบอกว่าอยากเป็นพันธมิตรด้วย ถามมาทุกวันเลยว่าใครรับผิดชอบหน้าที่ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม พวกเขาอยากคุยด้วย ถ้าพวกเราไม่ส่งคนไป พวกเขาจะมาคุยกับเราด้วยตัวเอง”


 


 


เนี่ยถิงนวดขมับก่อนตอบ “หลังจากหลี่ว์ซู่กลับมา เขาไม่ได้โทรหาจงอวี้ถังเลยสักครั้ง เขาน่าจะตัดใจเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยแล้วล่ะ ตอนนี้น่าจะกำลังอยากเพาะปลูกอะไรอย่าสงบๆ แล้วล่ะมั้ง”


 


 


“เพาะปลูกเพาะงั้นเหรอ” สือเสวจิ้นหัวเราะ “ผมก็อยากกลับบ้านเกิดไปทำแบบนั้นบ้างเหมือนกันถ้าไม่ได้ยุ่งมากขนาดนี้ แต่เขามีเวลาเหรอ เขาต้องฝึกด้วยนี่”


 


 


“เขามีตราแผ่นดินอยู่ในมือนี่ อยากทำอะไรก็แล้วแต่เขาเลย อยากปลูกทองก็ยังทำได้ ไม่ได้พูดเกินจริงด้วย” สีหน้าเนี่ยถิงหม่นไป เขาเอ่ยต่อ “เมื่อคืนระดับพลังจิตวิญญาณบริเวณบ้านของหลิวหลี่แปลกไป แม้แต่พืชที่อยู่แถวคฤหาสน์ก็แปลกไปจนทำให้คฤหาสน์พังลงมา นี่เหมือนกับที่เคยเกิดที่สถานที่ฝึกของเจียงซู่อีตอนนั้น ต้องเป็นฝีมือหลี่ว์ซู่แน่ เขาคงต้องการให้หลิวหลี่แข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตราแผ่นดินอยู่ในมือเขาแล้ว”


 


 


“แน่นอนว่าพวกหน่วยรักษาความปลอดภัยไม่ได้ผลประโยชน์อะไร แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว พวกเขาสนใจแต่กำจัดปีศาจและสัตว์ประหลาด แต่ถ้าคุณคิดว่าอยากจะช่วยเขาหาผลกำไรเพิ่มโดยการส่งเขาออกไปนอกประเทศเพื่อทำภารกิจล่ะก็ ผมกลัวว่าเราจะเจ๊งกันก่อน” สือเสวจิ้นพูดอย่างสบายใจแม้สถานการณ์จะไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก


 


 


“สถานการณ์ในต่างประเทศตอนนี้ไว้ใจไม่ได้เลย มีเงาของปรมาจารย์หุ่นเชิดอยู่ทุกที่ มารโลหิตก็ดูเหมือนจะกลับมาแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วด้วย” เนี่ยถิงขมวดคิ้ว “เครือข่ายฟ้าดินต้องการคนที่จะมารับผิดชอบหน้าที่การระหว่างประเทศ ฉันอยากเห็นว่าเขาจะไปต่อได้นานอีกแค่ไหน”


 


 


“อย่าเพิ่งย่ามใจไป” สือเสวจิ้นพูดขณะกลืนข้าวต้มที่เหลือเข้าปาก “เรื่องนี้ถ้าเป็นคนอื่นผมไม่กล้าพูดมากเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเป็นหลี่ว์ซู่ละก็งานนี้มีนอกแผนกันบ่อยแน่”


 


 


เนี่ยถิงเลิกคิ้วขึ้นทันที เขาแสดงท่าทีใจเย็นออกมา เขารู้สึกว่าเขาค่อยๆ สูญเสียการควบคุม เรื่องที่หลี่ว์ซู่ทำสองวันที่ผ่านมาก็ไม่ใช่วีรกรรมธรรมดาๆ เลย


 


 


เขาอดคิดไม่ได้ว่าการที่เขาเอาหลี่ว์ซู่เข้าไปไว้ที่หน่วยรักษาความปลอดภัยนี่เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่


 


 



 


 


คืนนั้นหลี่ว์ซู่พาเสี่ยวอวี๋กับเจ้ากระรอกไปปฏิบัติภารกิจอีกรอบ ก่อนที่จะออกเดินทางกัน เขาถึงกับต้องชมเจ้ากระรอกว่าทำดีมาก เพราะเจ้ากระรอกไปก่อกวนครอบครัวนั้นจนได้แต้มอารมณ์มามากมาย…


 


 


เขาไม่สามารถเล่นงานจนถึงขั้นฆ่าแกงคนได้ แต่พอหลี่ว์ซู่คิดว่าเขาวางแผนจะสร้างฐานชั่วคราวที่นี่แล้ว เขาก็ต้องทำให้พวกเขารู้เสียบ้างว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร


 


 


เรื่องอื่นหลี่ว์ซู่อาจจะไม่เชี่ยวชาญ แต่เรื่องนี้ขอบอกเลยว่าเขาน่ะเป็นปรมาจารย์!


 


 


หลี่ว์ซู่เดินอย่างวางมาด คืนนี้พวกชาวบ้านได้รับบทเรียนแล้ว พวกเขาอยู่ในฟาร์มแล้วปลูกสตรอว์เบอร์รีไปตามปกติ แต่พอเจ้ากระรอกเดินผ่านชาวบ้านที่กำลังเฝ้ายามปกป้องเรือนกระจกอยู่ พวกเขาก็ถูกทำให้สลบไปทีละคน


 


 


ยุคสมัยนี้ คนธรรมดาจะต่อต้านพลังของพวกผู้บำเพ็ญได้ยังไงล่ะ


 


 


หลี่ว์ซู่หยุดตรงเรือนกระจกของหลิวเผิงเซิง แต่พอพวกเขาเข้าไปในเรือนกระจกก็กลับพบว่ามีป้ายป้ายหนึ่งปักตระหง่านอยู่ มันเขียนไว้ว่า ‘ในเรือนกระจกนี้จะมีสตรอว์เบอร์รีหนึ่งลูกที่ถูกอาบยาพิษไว้’


 


 


ฮ่าๆ ตลกมาก หลี่ว์ซู่โกรธขึ้นมา แต่เขาไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ เขาจะไม่เอาสตรอว์เบอร์รีจากครอบครัวนี้ไปแม้แต่ลูกเดียวเลย เขาเขียนเติมป้ายเข้าไป ‘ตอนนี้มีสองลูกที่อาบยาพิษละ’


 


 


วันรุ่งขึ้นหลิวเผิงเซิงตื่นมาพบป้ายที่ถูกเขียนเติม เขาแทบลมจับ ไอ้โจรนี้ไร้ศีลธรรมจริง! เขาไม่เคยเจอโจรใจหยาบทรามแบบนี้มาก่อนเลย!


 


 


[ได้แต้มจากหลิวเผิงเซิง +999!]

 

 

 


ตอนที่ 537 ผีหลอก

 

กว่าความจริงจะปรากฏก็ต้องให้ถึงมือหลี่ว์ซู่ทุกที ตั้งแต่เรื่องขโมยสตรอว์เบอร์รีครั้งนั้น พวกชาวบ้านต่างก็อ่อนน้อมกับหลี่ว์ซู่และเสี่ยวอวี๋มาก พวกชาวบ้านถึงกับค้อมหัวให้เมื่อเห็นพวกเขา


 


 


มีคนเคยพูดไว้ว่าคนใจดีมักโดนรังแก แต่หลี่ว์ซู่ไม่เคยมองว่าตัวเองใจ การกลายเป็นผู้มีอิทธิพลของหมู่บ้านไม่ได้ฟังดูดีนัก เพราะชื่อนี้อาจหมายถึงคนที่ชอบใช้อำนาจรังแกคนอื่น หรือไล่ตามตื๊อพวกแม่หม้ายสาวสวย แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่


 


 


ท้ายที่สุดแล้วเขาก็สนใจแค่ว่ากุยช่ายของเขาไม่มีใครมาขโมยก็พอ


 


 


หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เสี่ยวอวี๋ก็เก็บกระเป๋าไปโรงเรียน ก่อนเธอจะไป เธอก็หันมาถามหลี่ว์ซู่


 


 


“หลี่ว์ซู่ เธอไม่ไปโรงเรียนแล้วเหรอ”


 


 


หลี่ว์ซู่ตอบไม่ถูก ตอนนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนเขาต้องบังคับให้เสี่ยวอวี๋ไปโรงเรียน แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับกันไปหมด


 


 


“ฉัน… ฉันมีธุระอื่นต้องทำ” หลี่ว์ซู่โบกมือไล่ “เธอรีบไปโรงเรียนเถอะ”


 


 


ตอนนี้เขารู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนเสียแล้ว ทำไมกันล่ะ!


 


 


ไม่ใช่ว่าเขาต้องไปเข้าเรียนชั้นเดียวกันกับเสี่ยวอวี๋หรอกนะ เขายังไม่ได้เตรียมใจกับเรื่องนี้เลย


 


 


เมื่อก่อนเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรตัวเองมาก แค่คิดว่าให้เสี่ยวอวี๋อยากไปโรงเรียนก็พอแล้ว แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาต้องไปเรียนชั้นเดียวกับเสี่ยวอวี๋ที่อ่อนกว่าเขาหกปีแล้ว กระอักกระอ่วนใจเกินทน!


 


 


น้องสาวเขาอายุสิบเอ็ดปี เธอเข้าเรียนมัธยมปลายปีสามแล้วและตอนนี้ยังสอบเข้าวิทยาลัยของผู้บำเพ็ยได้อีก แล้วหลี่ว์ซู่ล่ะ เขาอายุสิบเจ็ดปี อยู่มัธยมปลายปีสามเหมือนกัน แต่เขายังต้องเรียนซ้ำอีกปีเพื่อที่จะสอบเข้าวิทยาลัยปีหน้า


 


 


หลี่ว์ซู่ทำใจรับเรื่องน่าอายเช่นนี้ไม่ได้…


 


 


จงอวี้ถังบอกว่าวิทยาลัยรับนักเรียนมากกว่าปกติในปีนี้ นักเรียนห้องเต้าหยวนในเมืองลั่วและสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินกว่าสามร้อยคนได้รับมอบหมายให้ไปทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย นั่นหมายความว่าคนกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์สอบผ่านได้เข้าไป


 


 


หลี่ว์ซู่ได้ไปถึงฐานทัพที่ภูเขาเป่ยหมังในตอนเช้าตรู่ ในความเป็นจริงแล้ว สถานที่ตั้งของวิทยาลัยเมืองลั่วกับเครือข่ายฟ้าดินเป็นที่เดียวกัน นี่หมายความว่าหากหลี่ว์ซู่เข้าไปทำงาน เขาก็จะได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นที่มาเรียนนั่นเอง…


 


 


แค่คิด หลี่ว์ซู่ก็โมโหแล้ว!


 


 


ก่อนที่เขาจะมาฐานทัพ เขาได้โทรหาซีเฟ่ย พอเขามาถึง ซีเฟ่ยกับคนราวยี่สิบคนก็รออยู่หน้าประตูแล้ว พวกเขาปรบมือแล้วพูดติดตลกว่า “ยินดีต้อนรับหลี่ว์ซู่ ฮีโร่แห่งชาติ เป็นเกียรติที่ท่านมาให้เราเห็นหน้า ช่วยอบรมสั่งสอนพวกเราด้วย…”


 


 


ทว่าบรรยากาศต้อนรับอบอุ่นนี้ไม่ได้ทำตลกๆ ไปด้วย มีคนจำนวนไม่มากนักที่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนกำจัดทาคาชิมะเพราะเรื่องนี้ถูกปิดเป็นความลับ แต่ถึงเขาจะไม่ได้ฆ่าทาคาชิมะ แต่เขาก็กำจัดโนกิวะ ทาเกะโนบุที่การต่อสู้ในโบราณสถานเกาะช้างอยู่ดี ทำเอาสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินหลายคนถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก


 


 


พวกเขาอยากมาต้อนรับเด็กหนุ่มคนนี้ อยากจะเห็นว่าคนที่กำจัดผู้มีพลังระดับ B มีหน้าตาเป็นอย่างไร


 


 


หลายคนไม่เคยเจอหลี่ว์ซู่มาก่อน สมาชิกเครือข่ายฟ้าดินจะได้รับภารกิจให้ไปตามเมืองต่างๆ หลังผ่านบททดสอบแรกเข้ามาได้แล้ว พวกเขาเพิ่งจะกลับเข้ามาที่เมืองลั่วได้ไม่นานนี้เอง พวกเขาจินตนาการว่าภาพลักษณ์ของหลี่ว์ซู่จะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งและทรงพลังเหมือนหลี่อีเสี้ยว


 


 


แต่พอพวกเขาได้เห็นหลี่ว์ซู่วันนี้ก็ตกใจมาก เขาดูสง่าและหน้าตาดี ดูไม่ออกเลยว่าจะเป็นคนเก่งกาจ เขาดูเหมือนเด็กม.ปลายปีสองทั่วไปเท่านั้น หลี่ว์ซู่เห็นแบบนั้นก็พูดไม่ออก ทำไมคนพวกนี้ดูไม่ง่วงซึมในตอนเช้าแบบนี้เลยนะ เขากระแอมไอ


 


 


“ไหนๆ ทุกคนก็ให้การต้อนรับอย่างดี งั้นฉันจะขอพูดสามเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องจะมีประเด็นย่อยอีกประเด็นละสิบหัวข้อ…”


 


 


[ได้แต้มจากซีเฟ่ย +666…]


 


 


[ได้แต้มจาก…]


 


 


“เดี๋ยวๆ ไม่ต้องพูดก็ได้…” ซีเฟ่ยพยายามหยุดหลี่ว์ซู่ เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่ชอบพูดอะไรก็ไม่รู้ออกมา ถ้าไม่มีใครหยุดเขา เขาอาจจะทำให้ทุกคนป่วยจิตไปตั้งแต่เช้ายันมืดเลยก็ได้


 


 


หลี่ว์ซู่ดึงซีเฟ่ยออกมาที่มุมหนึ่ง “ถามอะไรหน่อยสิ ฉันได้ยินว่าฉันไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้ แต่แค่ต้องอยู่ในฐานเท่านั้นใช่ไหม”


 


 


ซีเฟ่ยส่ายหัว “ไม่ต้องอยู่ประจำฐานก็ได้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวจะมีแจ้งเตือนสมาชิกทุกคนในหน่วยรักษาความปลอดภัยให้ไปดูในที่เกิดเหตุ”


 


 


“อ้อ…” หลี่ว์ซู่สลดไปนิดหน่อยที่เขายังต้องไปเข้าเรียนอยู่


 


 


เอาจริงๆ แล้วซีเฟ่ยไม่อยากให้หลี่ว์ซู่อยู่แต่ในฐานเลยเพราะเขารู้สึกกดดันที่ต้องอยู่กับเจ้าพายุลูกใหญ่อย่างหลี่ว์ซู่ที่คาดว่าตอนนี้น่าจะมีพลังอยู่ระดับ B แล้ว


 


 


“สมาชิกห้องเต้าหยวนทุกคนจะต้องเข้ารับการฝึกตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป” ซีเฟ่ยบอก “เนื่องจากทุกคนในเครือข่ายฟ้าดินได้เข้ารับการฝึกกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การฝึกนี้จะไม่ใช่การฝึกทักษะสำหรับอาชีพใหม่ แต่ก็ถือว่าเป็นการฝึกที่สำคัญอยู่ดี การฝึกนี้ใช้เวลาราวสามเดือน”


 


 


“ผมไม่ไปนะ” หลี่ว์ซู่รีบปฏิเสธทั้งๆ ที่ซีเฟ่ยยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ “ผมฝึกของผมจบแล้ว”


 


 


ในตอนนั้นที่พวกหัวกะทิทั้งหมดเข้ารับการฝึกกัน เขาก็ไปร่วมฝึกด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปเจอความลำบากหรอก แต่เขานี่ล่ะที่จะสร้างความลำบากให้ทุกคน นอกจากนี้เขายังต้องไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่าด้วย


 


 


ซีเฟ่ยรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย พูดกับไอ้เจ้าพายุนี่เหนื่อยหน่ายใจชะมัด ถ้าหลี่ว์ซู่ไม่อยากไปแล้วซีเฟ่ยจะทำอะไรได้ ขนาดจงอวี้ถังยังไม่อยากยุ่งด้วยเลย พวกเขาคงต้องไปขอให้ราชันฟ้าเนี่ยถิงมาคุยกับหลี่ว์ซู่เป็นการส่วนตัวเองแล้วละมั้ง…


 


 


แต่ซีเฟ่ยไม่รู้ว่ากระทั่งราชันฟ้าเนี่ยถิงเอง ตอนนี้ก็หลบหน้าหลี่ว์ซู่อยู่…


 


 


สถานการณ์ตอนนี้สำคัญมาก ทุกคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง หลี่ว์ซู่กคิดค้นการฝึกสำหรับตัวเองขึ้นมาและไม่มีใครสามารถไปโต้แย้งกับเขาได้ในจุดนี้


 


 


หลี่ว์ซู่หมุนตัวเดินออกไปช้าๆ พยายามฆ่าเวลาไปเรื่อย พอถึงเวลาบ่าย เขาก็ตัดสินใจไปเข้าเรียนในที่สุด


 


 


อย่างที่เสี่ยวอวี๋บอกว่าการศึกษาไม่ใช่เพื่อคนอื่นหรือเพื่อเอาใบประกาศนียบัตร แต่มันคือการเปลี่ยนความคิดของตัวเอง คนที่เข้าเรียนแบบเป็นทางการกับคนที่ไม่ได้เข้าเรียนช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว


 


 


หลี่ว์ซู่ต่างจากตอนที่เขามาโรงเรียนแล้วโชว์สกิลบาสเกตบอลแล้ว ในคราวนี้ เขาพยายามทำตัวให้กลมกลืน เขากลัวว่าจะมีคนสังเกตเห็นเขาเข้า


 


 


เขาค่อยๆ เดินเข้ามาในพื้นที่โรงเรียน ทุกๆ อย่างทำให้เขาคิดถึงเวลาตอนมาเรียนขึ้นมา ตอนที่เขาไปเข้าเรียนที่โรงเรียนในญี่ปุ่นนั่นก็มีความหมายกับเขาเหมือนกัน ความทรงจำในสมัยเรียนนั้นดูจะเป็นความทรงจำที่เรียกเสียงหัวเราะออกมาได้


 


 


หลี่ว์ซู่รายงานเรื่องที่เขาไม่ได้มาเข้าเรียนกับอาจารย์สือชิงเหยียนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่เขาเดินออกมาจากห้องพักครู ครูทุกคนต่างก็อึ้งจนพูดไม่ออก


 


 


“คนที่เพิ่งมารายงานตัวหลังจากหายไปนั่น…ใช่หลี่ว์ซู่ฮีโร่ของชาติรึเปล่า! เขาเพิ่งจะเสียสละชีวิตตัวเองไปนี่” ครูคนที่เคยสอนภาษาจีนให้เสี่ยวอวี๋พูดออกมาอย่างประหลาดใจ เธอถึงกับไปแสดงความเสียใจกับเสี่ยวอวี๋หลังจากเกิดเรื่องขึ้น


 


 


“ใช่ เขานั่นล่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ตายนะ…” สือชิงเหยียนด้วยท่าทีซับซ้อน


 


 


อาจารย์ประจำห้องเต้าหยวนทุกคนรู้สึกเจ็บปวดใจ นักเรียนในความดูแลของเขานั้นแปลกและแตกต่างกันออกไป ถ้าจู่ๆ นักเรียนก็พ่นไฟออกมาตอนพวกเขาทะเลาะกัน คุณจะไม่กลัวเหรอ ถ้านักเรียนเลื่อนระดับเป็นระดับ C แล้วเล่นมีดบินกันในห้องขณะสอน คุณจะกลัวไหม


 


 


แต่หลี่ว์ซู่นี่เป็นอะไรมากกว่านั้น มีประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแจ้งว่าเขาตายแล้ว แต่เขาก็ยังกลับมายืนอยู่ตรงหน้าบรรดาอาจารย์ นี่ผีกำลังหลอกพวกเขาอยู่หรือเปล่า!

 

 

 


ตอนที่ 538 ผลไม้แห่งนรก

 

หลี่ว์ซู่เดินออกมาจากห้องพักครู จากนั้นเขาก็เดินหลบๆ ซ่อนๆ ไปที่ห้องเรียน เขาเห็นนักเรียนกำลังทำกิจกรรมของตัวเองในคาบเรียนอยู่ หลี่ว์ซู่ยืนข้างนอกและแอบมองผ่านหน้าต่างเข้าไป เขาอยากรู้ว่าเสี่ยวอวี๋นั่งตรงไหน


 


 


แต่ก่อนที่เขาจะหาเจอ เธอก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาแล้ว เธอไม่สนใจว่าหลี่ว์ซู่พยายามทำตัวไม่เป็นจุดสนใจอยู่ เธอตะโกนออกไปว่า “หลี่ว์ซู่มาเรียนแล้วเหรอ!”


 


 


“…”


 


 


นักเรียนในห้องหลายคนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน พวกเขางงกันไปหมด หลี่ว์ซู่เหรอ หลี่ว์ซู่ไหนอะ


 


 


พวกเขาจับจ้องไปที่หลี่ว์ซู่ แล้วหลี่ว์ซู่ก็หัวเราะออกมาอยากเจื่อนๆ


 


 


“ไม่ได้เจอกันนานนะทุกคน”


 


 


[ได้แต้มจากหลี่อวี้ชิง +666!]


 


 


[ได้แต้มจากเยี่ยหลิงหลิ่ง +666!]


 


 


[ได้แต้มจาก…]


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมา เพื่อนร่วมชั้นของเขายังน่ารักกันเหมือนเดิมเลย พวกเขาเข้ามาทักทายเขาด้วยความสุภาพ


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้คิดเตรียมมาก่อนว่าจะพูดอะไร เสี่ยวอวี๋จึงบอกกับคนทั้งชั้นว่า “ฉันจะทำเป็นไม่สนใจกับเรื่องที่เคยกิดขึ้นได้ยังไง! ตั้งแต่นี้ไปถ้ามีคนพูดจาแย่ๆ เกี่ยวกับหลี่ว์ซู่ลับหลังละก็…”


 


 


เธอก้มหัวลงต่ำแล้วควักเอาโพยใบเล็กออกมาจากกระเป๋าเพื่อดูว่าต้องพูดอะไรต่อ “ฉัน เสี่ยวอวี๋คนนี้จะไม่ปล่อยไว้แน่”


 


 


[ได้แต้มจากหลี่อวี้ชิง +666!]


 


 


[ได้แต้มจากเยี่ยหลิงหลิ่ง +666!]


 


 


[ได้แต้มจาก…]


 


 


เสี่ยวอวี๋รอมานานเพื่อการณ์นี้ หลังจากที่เธอพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปแล้ว เธอก็รู้สึกว่าได้ประกาศจุดยืนออกไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้เธอได้ทำอย่างที่อยากทำมาโดยตลอดแล้ว จำและนำไปใช้นะ!


 


 


หลี่ว์ซู่งงตาแตก เสี่ยวอวี๋ทำไมถึงเป็นคนเจ๋งขนาดนี้นะ ไปเรียนที่ไหนมาช่วงที่ข้ามชั้นขึ้นมาเนี่ย


 


 


หลี่ว์ซู่มองไปรอบๆ และเห็นว่าปฏิกิริยาของพวกนักเรียนมีท่าทีแปลกๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เนื่องจากแต้มอารมณ์ที่เขาได้มาจากพวกทวยเทพนั้นถือว่าท่วมท้นแล้ว เขาเลยไม่ได้ใส่ใจว่าจะได้แต้มอารมณ์มาจากเพื่อนร่วมชั้นด้วยหรือไม่


 


 


เสี่ยวอวี๋ดึงหลี่ว์ซู่ไปนั่งใกล้ๆ เธอ มีเด็กผู้ชายตัวอ้วนคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งที่แถวหลัง รู้สึกเหมือนกับว่ามีนักเลงในโรงเรียนคุ้มกะลาหัวให้เลยแฮะ เขายิ่งไม่อยากกลับมาเรียนมากขึ้นกว่าเดิมอีก…


 


 


แต่แล้วเขาก็คิดอะไรออก เสี่ยวอวี๋เองก็ต้องไปฝึกในสัปดาห์หน้าด้วยไม่ใช่เหรอ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบให้เสี่ยวอวี๋ลำบากแต่เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมา


 


 


อย่างน้อยชีวิตที่โรงเรียนก็สงบขึ้นมาหน่อยล่ะ!


 


 


ขณะนั้น ในตอนที่หลี่ว์ซู่กำลังดูเมนูในระบบอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีหน้าต่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมาจากหน้าเนื้อหาหลัก หน้าที่เพิ่มขึ้นมานั้นเรียกว่า ‘เสี่ยวอวี๋’ ในนั้นมีรายละเอียดการได้รับแต้มอารมณ์ที่เขาได้มาโดยเสี่ยวอวี๋อยู่ ข้างล่างนั่นเขียนไว้ว่าได้มาทั้งหมด 4021 แต้ม


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจแล้ว ทำไมมันถึงมีสองหน้าต่างได้ล่ะ นี่เหมือนกับว่าเขาสามารถใช้แต้มอารมณ์ที่เสี่ยวอวี๋เป็นคนหามาได้เลย แต้มพวกนี้ดูจะถูกคิดสองรอบ แต้มอารมณ์ของทั้งสองหน้านี้เพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกันด้วย


 


 


หลี่ว์ซู่สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป เขาเปิดหน้าร้านค้าขึ้นมาแล้วก็เห็นว่ามีของใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาหลังจากผลดวงดาว ผลนั้นคือผลไม้แห่งนรก


 


 


ทั้งผลดวงดาวและผลไม้แห่งนรกต่างมีราคา 1000 แต้มต่อผล เขาซื้อผลไม้แห่งนรกมาผลหนึ่ง แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าแต้มอารมณ์ไม่ได้ลดลงเลย แต่กลับกลายเป็นว่าแต้มอารมณ์เพิ่มขึ้นมาในหน้าต่างใหม่อีก 1000 แต้ม!


 


 


ฮะ! หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ นี่ก็หมายความว่าเขาซื้อของโดยใช้แต้มอารมณ์ที่เสี่ยวอวี๋หามาให้ได้งั้นเหรอ งั้นผลไม้แห่งนรกนี้ก็ต้องเป็นของเธอน่ะสิ


 


 


ก่อนหน้านี้เขาอยากจะเอาผลดวงดาวให้เสี่ยวอวี๋ให้เธอกิน แต่เขาทำไม่ได้ แต้มอารมณ์ที่หลี่ว์ซู่ได้มาจากการที่เสี่ยวอวี๋หามาให้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาถูกขับไล่ออกมาจากพรรคการเมืองและถูกเนรเทศออกมาจากสำนักงาน แต้มอารมณ์นั้นเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ


 


 


ตอนนี้เขาสามารถเก็บแต้มอารมณ์ที่เสี่ยวอวี๋หามาให้ได้แล้ว และเธอก็สามารถใช้แต้มอารมณ์นี้แลกซื้อผลไม้เพื่อทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นด้วย เธอสามารถแข็งแกร่งขึ้นเองโดยไม่ต้องพึ่งใครแล้ว…


 


 


แต่ก็ต้องรอดูกันคืนนี้ว่าที่เขาเข้าใจนั้นถูกต้องหรือเปล่า


 


 


ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็เห็นหลิวหลี่เข้ามาในห้องเรียน เขาคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ตอนที่เขาไปเพิ่มพลังจิตวิญญาณให้ที่บ้านของหลิวหลี่ เขาทำท่ามั่นคงไว้ใจได้และแสดงท่าทีแบบลึกลับๆ เพื่อบอกเป็นนัยกับหลิวหลี่


 


 


“ว่าไง ช่วงนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า”


 


 


หลิวหลี่รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาทันที ตอนนี้หลี่ว์ซู่จะมาเยาะเย้ยเขาเรื่องที่เกิดขึ้นเหรอ เขารู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น หลิวหลี่หน้ามืดคล้ำขณะถามกลับ


 


 


“นายเป็นคนทำงั้นเหรอ”


 


 


ตอนที่หลี่ว์ซู่ได้ยินหลิวหลี่ถามแบบนั้น เขาเองก็ไม่กล้ายอมรับความจริงออกไป เขาไม่อยากเอาหน้าหรอก ปิดทองหลังพระดีกว่า “ฮ่าๆๆ จะเป็นฉันไปได้ยังไง ไม่ใช่ฉันสักหน่อย”


 


 


หลี่ว์ซู่เดินกลับไปที่ที่นั่งของตัวเองหลังพูดจบ หลิวหลี่ยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู พยายามข่มใจไม่ให้พูดอะไรออกไป เขาแน่ใจมากว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนพังคฤหาสน์เขาลงทั้งหลัง ถึงแม้จะไม่รู้ก็เถอะว่าเขาทำได้ยังไง!


 


 


[ได้แต้มจากหลิวหลี่ +999!]


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงแต้มอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นมา ทำไมทำดีมันถึงได้ยากนักนะ คิดว่าการทำดีกับครอบครัวของฮีโร่ที่จากไปมันง่ายนักเหรอ เขาไม่รู้ว่าจะทำให้หลิวหลี่มองเขาใหม่ได้ยังไงแล้ว


 


 


“แล้วเจียงซู่อีหายไปไหนล่ะ” หลี่ว์ซู่แตะตัวคนข้างหน้าแล้วถาม


 


 


เพื่อนร่วมชั้นคนนั้นหันมาตอบเขาด้วยความระมัดระวัง “เจียงซู่อีไม่มาโรงเรียนตั้งแต่การสอบเข้าของผู้บำเพ็ญแล้ว”


 


 


“อ้อ” เจียงซู่อีได้รับเหรียญการทหารจากการที่เขาไปชิงไห่ เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เจียงซู่อีจะไม่กลับมาเรียนอีก ถ้าลองคำนวณย้อนกลับไปดู เจียงซู่อีน่าจะเลื่อนขึ้นเป็นระดับ C แล้ว


 


 


เฉาชิงฉือเองก็ฝึกได้รวดเร็วเหมือนกัน ตอนที่พวกเขาไปฝึกก็อยู่ระดับ C กันแล้ว ตอนนี้พวกเขาคงจะฝึกให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น


 


 


กลับกัน การฝึกของซีเฟ่ยดูเหมือนจะช้ากว่า แต่จะว่ากันดีๆ แล้ว มีคนแค่แปดสิบสองคนที่เป็นหัวกะทิระดับ A อย่างเฉาชิงฉือในบรรดาคนกว่าพันล้านคนเท่านั้น ก็เป็นปกติล่ะนะที่พวกหัวกะทิจะเลื่อนขั้นได้เร็วขนาดนั้น


 


 


ทว่าพอได้เลื่อนระดับขึ้นเป็นระดับ C แล้วก็ยากที่จะไต่ขึ้นเป็นระดับ B ต่อไป เฉินไป่หลี่ นักบวชเก่าแก่เคยบอกไว้ว่าความสามารถและลมปราณภายใน [1] ของคนจะเป็นตัวกำหนดความเร็วของการฝึกฝน ในขณะที่ระดับจะกำหนดลำดับขั้น เฉินไป่หลี่เลยคิดว่าเสี่ยวอวี๋นั้นเป็นคนสำคัญมาก เธอปะทุพลังในขณะอายุน้อยและระดับของเธอยังอยู่สูงอีกด้วย ระดับที่เธอจะไปถึงในอนาคตก็สูงไปด้วยเช่นกัน


 


 


ดูอย่างเฉาชิงฉือและเฉิงชิวเฉี่ยวเป็นตัวอย่างได้ พวกเขามีความสามารถเป็นถึงระดับ A แต่ถ้าพวกเขามีแต่ความสามารถแต่ไม่มีลำดับขั้นละก็ พวกเขาคงจะเป็นได้แค่คนระดับ B ไปตลอดชีวิต


 


 


เฉินไป่หลี่ยังกล่าวอีกว่าพวกคนระดับ A หัวกะทิจะมีระดับสูงขึ้นไปอีกหลังจากที่ผ่านศึกหนักมา พวกเขามีดีที่เลื่อนระดับเป็นระดับสูงสุดได้เร็วกว่าคนอื่นๆ นี่แหละ ปกติแล้วพวกเขาจะมีความสามารถไปถึงระดับสูงๆ ได้โดยมีข้อแม้ไม่กี่ข้อเท่านั้น


 


 


แต่ก็มีนักเรียนที่อยู่ระดับสูงแต่ความสามารถไม่ถึงอยู่เหมือนกัน พวกเขาจะเก่งขึ้นได้โดยต้องฝึกหนักมาก จุดสูงสุดที่ทุกคนคิดว่ายากอาจจะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากของพวกเขาก็ได้


 


 


 


 


——


 


 


[1] ลมปราณภายในเป็นแนวคิดของแพทย์แผนจีนโดยศึกษาเส้นพลังที่ไหลเวียนในร่างกาย หรือที่เรียกกันว่าการไหลเวียนของพลังภายใน

 

 

 


ตอนที่ 539 ไม่ยุติธรรมเลย!

 

ใครๆ ก็บอกการเลื่อนขั้นเป็นระดับ B นั้นเหมือนสัมผัสถึงนรก เป็นการเปรียบเปรยที่แสดงให้เห็นว่ามันยากมากๆ


 


 


แต่สำหรับคนเช่นเนี่ยถิงแล้ว ระดับ C นั้นก็เป็นเพียงแค่รากฐานของบำเพ็ญเท่านั้น


 


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่หลี่ว์ซู่กังวลไม่ใช่เรื่องการเลื่อนระดับ แต่เขาจะเอาศิลาวิญญาณตั้งเก้าหมื่นเม็ดไปขายยังไง…


 


 


ตอนที่เอากลับมา เขาก็รู้สึกดีอยู่หรอก แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดนี่ว่าจะเอามันไปแลกมาเป็นเงินยังไง เขาคิดว่าเขาอาจจะเอามันไปขายในตลาดมืดที่เมืองลั่ว แต่ตลาดมืดก็อาจจะรับซื้อศิลาปริมาณมากขนาดนี้ไม่ได้ แถมน่าจะต้องมีคนรายงานไปที่เครือข่ายฟ้าถ้ามีคนขายศิลาวิญญาณจำนวนมากในครั้งเดียว หลี่ว์ซู่ไม่มีทางให้เลือกเดินเลย ทางไหนก็ดูจะสร้างแต่ปัญหาให้ตัวเอง…


 


 


เมื่อถึงตอนเย็น หลังจากออดดังเป็นเสียงบอกให้เลิกเรียน เสี่ยวอวี๋ก็โบกมือเล็กๆ ของเธอให้หลี่ว์ซู่ “ไปกันเถอะหลี่ว์ซู่ ตามรุ่นพี่กลับบ้านกันนะจ๊ะ!”


 


 


หลี่ว์ซู่ทำหน้าสลด ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ต่างพากันมองมาทางเขา พอเสี่ยวอวี๋เห็นว่าหลี่ว์ซู่ดูอับอาย เธอก็คิดว่าเล่นแรงไปหรือเปล่านะ…


 


 


เสี่ยวอวี๋เงียบไปพักหนึ่งและไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเหยียดปลายแขนเสื้อออกไปอย่างไม่สบายใจนัก


 


 


พอหลี่ว์ซู่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมา เขานึกไปถึงหนึ่งเดือนที่แล้วที่เสี่ยวอวี๋ช่วยเขาจากความเหงาอ้างว้าง ตอนที่เธอเดินทางมาไกลโดยไม่คำนึงถึงความหนาวเหน็บและเปิดประตูร้านเกมเพื่อมาปรากฏตัวต่อหน้าเขา ตอนที่เขาต้องการเธอมากที่สุด แล้วเขาจะไปโกรธอะไรเธอได้ล่ะ


 


 


หลี่ว์ซู่จับมือเสี่ยวอวี๋แล้วเอ่ยถาม “มื้อเย็นนี้อยากกินอะไรล่ะ”


 


 


“มะเขือเทศผัดไข่!” เสี่ยวอวี๋หัวเราะคิกคักแล้วมีสีหน้าสดใสขึ้นมา


 


 


หลี่ว์ซู่และเสี่ยวอวี๋เดินออกไปจากห้องเรียนโดยไม่ได้สนใจว่าเพื่อนร่วมชั้นกำลังมองอยู่ เมฆลอยอยู่บนฟ้า เงาสองเงาทอดลงไปที่โถงทางเดินภายใต้ของความอบอุ่นจากพระอาทิตย์ตกในฤดูหนาว


 


 


เมื่อก่อนนักเรียนคนอื่นต่างก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่มีน้องสาว และเขาต้องหาเงินดูแลเธอด้วยการไปขายไข่ต้มทุกวัน เพื่อนๆ เลยอยากรู้ว่าน้องสาวของเขาเป็นอย่างไร แต่เมื่อน้องสาวของเขาย้ายมาที่เรียนห้องนี้ ทุกคนก็เริ่มคิดแบบเดียวกัน…ว่าไม่น่าได้เจอเลยให้ตาย


 


 


เสี่ยวอวี๋ทั้งสวยและฉลาด เธอกลายเป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน รัฐบาลควรอนุญาตให้พวกเขาได้มีน้องสาวสักที


 


 


แต่พอใช้เวลาไปสักพัก พวกเขาก็รู้ว่าเธอน่ะเป็นปีศาจไม่ใช่น้องสาว มีวันหนึ่งที่เยี่ยหลิงหลิ่งต้องกลับบ้านไปและกินอะไรไม่ได้ทั้งคืนเพราะเสี่ยวอวี๋พูดประโยคหนึ่งออกมา…


 


 


แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็มาปรากฏตัวตอนที่เสี่ยวอวี๋กำลังแปลงร่างเป็นเด็กแสบ พวกเขาเชื่อเลยว่าเสี่ยวอวี๋จะไม่ทำตัวน่ารักตอนหลี่ว์ซู่ไม่อยู่แน่ๆ


 


 


ขณะที่เดินกลับบ้าน เสี่ยวอวี๋ก็ถามอย่างระมัดระวัง “หลี่ว์ซู่ เธอโกรธหรือเปล่า”


 


 


“ไม่มีอะไรให้โกรธนี่ แต่ครั้งหน้าอย่าเล่นให้มันมากนัก” หลี่ว์ซู่ยิ้มอย่างจนใจ


 


 


“ได้สิ” เธอผงกหัวอย่างหนักแน่น เสื้อกันหนาวขนเป็ดของเธอมีสีขาวราวกับหิมะ


 


 


คนอื่นๆ มองมาด้วยความเงียบงัน เหมือนกับว่าบนโลกนี้มีแค่หลี่ว์ซู่กับเสี่ยวอวี๋ ส่วนคนอื่นก็เป็นแค่คนนอกที่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ ความสูงของทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเหมาะสมกันดี


 


 


ช่วงค่ำ ณ อพาร์ตเมนต์หมายเลข 4 บนถนนซิงชู่


 


 


“หลี่ว์ซู่ อย่ามาหลอกให้ฉันกินอะไรแปลกๆ นะ!” เสี่ยวอวี๋ขมวดคิ้ว พูดเสียงเย็น


 


 


“ผลไม้แห่งนรกนี่ดีต่อการฝึกของเธอนะ!” หลี่ว์ซู่พยายามคะยั้นคะยอให้เสี่ยวอวี๋กินผลไม้นั่นเข้าไปเกือบชั่วโมงแล้ว ปากของเขาแห้งผากไปหมด


 


 


“ฮึ่ม” หลี่ว์เสี่ยวอวี่อัญเชิญแอนโทนี่ที่กำลังหัวเราะคิกคักออกมา เธอชี้ไปที่แอนโทนี่แล้วเท้าเอวพูด “ตอนที่เธอเอาของนั่นออกมา แอนโทนี่ของฉันยังดีๆ อยู่เลย แต่ดูเขาตอนนี้สิ”


 


 


เสี่ยวอวี๋โกรธหนักขึ้นขณะที่เธอพูด เธอเหลือบไปที่แอนโทนี่ “หยุดหัวเราะได้แล้ว!”


 


 


แต่ก็ไม่เป็นผล…


 


 


[ได้แต้มจากเสี่ยวอวี๋ +999!]


 


 


“นั่นมันเป็นอุบัติเหตุ” หลี่ว์ซู่ไม่สามารถหาคำแก้ตัวมาได้ “แต่นี่ไม่เหมือนไข่มุกแห่งวิญญาณครั้งที่แล้วนะ อันนี้น่ะเหมือนผลดวงดาว เชื่อฉันสิ!”


 


 


ปฏิกิริยาของเสี่ยวอวี๋หลังจากเห็นผลไม้แห่งนรกนั่นไม่เหมือนกับที่เขาคาดไว้ ตอนนี้เสี่ยวอวี๋ให้แต้มอารมณ์เขามากกว่า 5,000 แต้มแล้ว ถ้าเธอยังยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมกินล่ะ


 


 


“อุบัติเหตุงั้นเหรอ เธอตั้งใจชัดๆ เลย สารภาพมานะ เธออยากเห็นฉันหัวเราะคิกคักไม่หยุดงั้นใช่มั้ย” เสี่ยวอวี๋พูดอย่างไร้อารมณ์


 


 


“ถ้าเธอไม่เชื่อ เดี๋ยวฉันกินก่อนก็ได้ ถ้ากินแล้วฉันไม่หัวเราะค่อยกินตาม เอางั้นไหม” หลี่ว์ซู่เริ่มอารมณ์เสีย ผลไม้แห่งนรกนี่ไม่มีพิษเสียหน่อย!


 


 


“งั้นก็ได้” เสี่ยวอวี๋พ่นลมออกมาแล้วกอดอก


 


 


หลี่ว์ซู่ทำใจกล้าลองกินดู มันไม่น่ามีอะไรผิดปกติถ้ากินผลไม้แห่งนรกนี่เข้าไปหรอก ขนาดเสี่ยวอวี๋กินผลดวงดาวเข้าไปยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย


 


 


เขากลืนผลไม้แห่งนรกนี่เข้าไป มันก็คล้ายๆ กับผลดวงดาวนั่นแหละ ผลไม้นั้นเปลี่ยนเป็นพลังงานทันทีหลังจากที่ซึมผ่านเข้าปากหลี่ว์ซู่ไปแล้ว จากนั้นมันก็พุ่งเข้าไปที่แผนภูมิดาราของหลี่ว์ซู่ แล้วทันใดนั้น ทั้งหลี่ว์ซู่และเสี่ยวอวี๋ก็ตกตะลึง!


 


 


พวกเขารู้สึกได้ว่าแผนภูมิดาราได้ดูดซับพลังงานเข้าไปแล้ว จากนั้นก็มีพลังงานมืดแผ่ซ่านออกมาผ่านดวงดาวทุกดวงและพุ่งเข้าไปในที่ที่หนึ่ง


 


 


“หลี่ว์ซู่ ทำไมพลังในแผนที่ภูมิดาราของฉันถึงเพิ่มขึ้นตอนเธอกินผลไม้แห่งนรกเข้าไปล่ะ” เสี่ยวอวี๋มองดูตัวเองและมองไปที่หลี่ว์ซู่อีกครั้ง


 


 


“…ไม่รู้สิ”


 


 


นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย! หลี่ว์ซู่งงจนพูดไม่ออก ความจริงแล้วไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกับที่เสี่ยวอวี๋กินผลดวงดาวเข้าไป หลี่ว์ซู่กังวลใจว่าความเร็วในการฝึกของเสี่ยวอวี๋จะช้าถ้าเธอเอาแต่พึ่งพลังจากธรรมชาติ มันคงดีกว่าถ้าเธอสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยตัวเลือกอื่นโดยที่ไม่ต้องแบ่งแต้มอารมณ์ของเขาไป


 


 


แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง!


 


 


“งั้นฉันก็ไม่ต้องกินแล้วสิ” เสี่ยวอวี๋โบกมือแล้วไปนอนดูนารูโตะ “เธอกินแทนฉันได้นี่นะ”


 


 


“กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” สีหน้าหลี่ว์ซู่มืดดำ


 


 


“เสี่ยวอวี๋ ได้ยินไหม! กลับมากินผลไม้ของเธอนะ!”


 


 


แต่เสี่ยวอวี๋ก็ไม่สนใจเขา เธอจะได้พลังเพิ่มขึ้นถ้าหลี่ว์ซู่กินผลไม้นี่ให้เธอ เพราะฉะนั้นทำไมเธอต้องกินมันด้วยตัวเองล่ะ เธอรู้ว่าผลดวงดาวเองก็จืดและไม่อร่อย


 


 


หลี่ว์ซู่นึกขึ้นได้ว่ามีผลไม้แห่งนรกเหลืออยู่สามผล เขากินมันเข้าไปทั้งหมดด้วยความโกรธ ทำไมเขาถึงควบคุมแผนภูมิดาราที่ด้อยกว่าของเธอไม่ได้นะ


 


 


แล้วให้ไข่มุกแห่งวิญญาณกับแอนโทนี่ไปเพื่อเพิ่มพลังมันผิดตรงไหน ทำไมต้องโทษเขาด้วย ไม่ยุติธรรมเลย!


 


 


“หลี่ว์ซู่ดูนี่สิ นารูโตะเอาพลังน้ำมาสร้างเป็นหมอกเพื่อบดบังตัวเองจากศัตรูแล้วก็เอามาป้องกันตัวเองได้ด้วย อันนี้น่าจะเหมาะกับเธอนะ” เสี่ยวอวี๋เรียกหลี่ว์ซู่ขณะที่เธอนอนขดอยู่บนโซฟา


 


 


หลี่ว์ซู่ลังเล เขายัดผลไม้แห่งนรกชิ้นสุดท้ายเข้าปาก “กำลังไป”

 

 

 


ตอนที่ 540 แต้มอารมณ์จากหลี่ว์ซู่

 

การฝึกอบรมสำหรับนักเรียนห้องเต้าหยวนนั้นใช้เวลาจัดเตรียมนานพอควร หลังจากเรียบร้อยแล้ว ค่ายฝึกก็จะกลายเป็นที่รวมตัวของนักเรียนที่ผ่านการสอบเข้ามาในวิทยาลัยลั่วเฉิง


 


 


ค่ายฝึกนั้นจะคล้ายๆ กับค่ายทหารที่นักศึกษาสมัครตอนเพิ่งสอบเข้าได้นั่นแหละ แต่จะเป็นเวอร์ชันที่หนักหน่วงกว่า


 


 


ระบบการฝึกก็ทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรพิเศษ คือมีการฝึกท่าทหารพื้นฐาน บางคนบอกว่าการฝึกนี่ไม่มีประโยชน์ แต่เนี่ยถิงไม่เห็นด้วย และทหารเก่าๆ เองก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน


 


 


พวกเขาล้วนแต่เป็นทหารระดับสูงของกองทัพกันทั้งนั้น ซึ่งพวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือการมีระเบียบวินัย


 


 


การฝึกในช่วงแรกจะเป็นการมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังความคิดว่าพวกเขาไม่ใช่นักเรียนธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว และพวกเขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อไปในอนาคต


 


 


ส่วนครึ่งหลังจะเป็นการฝึกที่มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ทางทหารพื้นฐาน การฝึกนี้จะง่ายลงมาหน่อยเมื่อเทียบกับที่หลี่ว์ซู่เคยไปฝึกกับพวกหัวกะทิระดับ A


 


 


“ฉันไม่ไปหรอก” เสี่ยวอวี๋เม้มปาก “ทำไมฉันต้องไปด้วยถ้าเธอไม่ไป”


 


 


“เอาน่า…การฝึกคราวที่แล้วมันช่วยันจริงๆ นะ” หลี่ว์ซู่ตอบกลับอย่างจริงจังและจริงใจ “พลังที่ปะทุออกมาน่ะไม่ใช่คำตอบทุกอย่างของการต่อสู้หรอก ยังต้องมีความแข็งแกร่งและใจที่พร้อมสู้ประกอบกันด้วย หลายครั้งที่ทักษะต่างๆ ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าเธอจะชนะในการต่อสู้หรือเปล่า แต่เป็นคนที่สู้ขาดใจจนหมดแรงเฮือกสุดท้ายนั่นแหละถึงจะเป็นผู้ชนะ”


 


 


หลี่ว์ซู่คิดไปถึงตอนที่เขาสู้กับทาคาชิมะ ถ้าเขาไม่ได้ใช้ความพยายามทั้งหมดในการขุดภูเขาแห่งพลังตอนที่เขากำลังใกล้ตาย เขากับคอรัลก็คงตายคาที่กันทั้งสองคนที่นั่นแหละ


 


 


“ม่าย ไปให้พ้นเลย” เสี่ยวอวี๋ไม่แม้แต่จะละสายตาจากโทรศัพท์ของเธอขณะดูนารูโตะออนไลน์อยู่


 


 


หลี่ว์ซู่พูดไม่ออก…


 


 


[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +666!]


 


 


“นี่เธอ…” หลี่ว์ซู่ทำหน้ามุ่ย


 


 


เดี๋ยวก่อนนะ! มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!


 


 


อะไรบางอย่างผิดปกติไป… แต่อะไรล่ะที่ผิดปกติ หลี่ว์ซู่เข้าไปเช็กดูในบันทึกค่าอารมณ์ของเสี่ยวอวี๋ แล้วเขาก็แข็งเป็นหิน!


 


 


ทำไมตอนนี้เสี่ยวอวี๋ถึงได้แต้มอารมณ์ด้วยล่ะ!


 


 


เขามองกลับไปที่เสี่ยวอวี๋ แล้วก็โล่งใจไปนิดหนึ่งเพราะดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะยังไม่รู้ตัว


 


 


หลี่ว์ซู่กลับมาเช็กบันทึกของตัวเอง แต่เขาก็ไม่เจอว่ามีรายรับแต้มอารมณ์เข้ามา แปลว่าเมื่อกี้เสี่ยวอวี๋ได้แต้มอารมณ์ไปจากเขาแน่ๆ


 


 


นี่มันระบบบ้าอะไรกันเนี่ย ทำไมมันถึงเก็บแต้มอารมณ์จากเจ้าของได้ด้วย!


 


 


แต่อย่างไรก็ตาม เขายังมีแต้มอารมณ์เหลืออยู่มากพอจะแลกซื้อผลไม้แห่งนรกอีกผล เขารีบกดแลกมันแล้วกินเข้าไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ในเมื่อเขายังไม่ค่อยเข้าใจการทำงานของระบบรับแต้มอารมณ์ของเสี่ยวอวี๋เท่าไหร่ งั้นก็ลองแลกผลไม้แห่งนรกนี่มากินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ดูแล้วกัน…


 


 


แต่พูดตามตรง การกินของที่ได้มาจากแต้มอารมณ์ของตัวเองนี่รู้สึกแปลกสุดๆ


 


 


หลี่ว์ซู่ยังคิดหาทางโน้มน้าวให้เสี่ยวอวี๋ไปฝึกไม่ได้ แต่พอพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็นึกออกว่าพวกเพื่อนที่โรงเรียนมองมาที่เขาแปลกๆ ตอนเลิกเรียนวันนั้น


 


 


ใครๆ ก็รู้กันดีว่าหลี่ว์ซู่มียศพันตรีและเขาเป็นผู้มีพลังระดับ C ซึ่งเป็นเรื่องที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชม พวกผู้หญิงที่โรงเรียนถึงกับผันตัวเป็นแฟนคลับของเขาเลยทีเดียว พวกเธอมักจะชมว่าเขาหล่อดูดีในทุกที่ที่เขาไป


 


 


ทุกอย่างนี่มันบ้าไปแล้ว…


 


 


พันตรีที่อายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีเนี่ยนะ มันก็ฟังดูเจ๋งอยู่หรอก เมื่อก่อนนั้นก็มีผู้หญิงหลายคนเหมือนกันที่เขียนจดหมายรักมาหาหลี่ว์ซู่ แต่หลังจากนั้นเขาก็หายไปที่เกาะช้างกับหลี่อีเสี้ยวก่อนที่พวกผู้หญิงพวกนั้นจะมีโอกาสได้สานสัมพันธ์ต่อ


 


 


หลังจากที่เขากลับมาโรงเรียนแล้ว เขาก็ได้เข้าร่วมกับหน่วยรักษาความปลอดภัยขณะที่นักเรียนคนอื่นกำลังสอบเข้าวิทยาลัยลั่วเฉิง ซึ่งก็เป็นสัญญาณจุดจบของเส้นทางอาชีพของหลี่ว์ซู่


 


 


หน่วยรักษาความปลอดภัยคืออะไรน่ะเหรอ ก็เป็นคำเรียกเท่ๆ ของหน่วยตำรวจนั่นแหละ พวกเขามีตำแหน่งทางสังคมที่ต่ำกว่าพวกที่จบมาจากวิทยาลัยซึ่งใช้คะแนนเข้าที่สูงกว่า


 


 


พูดง่ายๆ ก็คือการสอบเข้าเป็นการแบ่งแยกผู้ชนะและผู้แพ้


 


 


ผู้คนก็เลยคิดว่าความสำเร็จของหลี่ว์ซู่นั้นเป็นอะไรที่พวกเขาสามารถจับต้องได้ในอนาคต เพราะก่อนหน้านี้การเข้าไปเรียนในวิทยาลัยถือว่าเป็นการไต่ขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดบนฐานะสังคม


 


 


ผู้คนเลยเปลี่ยนความคิดที่มีต่อหลี่ว์ซู่ใหม่ จากความไม่สนใจกลายเป็นความเห็นใจ


 


 


ถ้าในตอนนั้นหลี่ว์ซู่ตายไปจริงๆ เรื่องทั้งหมดก็จะกลายเป็นอีกแบบ ทว่าเขาก็รอดชีวิตมาได้ เพราะงั้นเขาเคยเป็นแค่นักเรียนธรรมดาๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรเรื่องที่น้องสาวของหลี่ว์ซู่สอบเข้าวิทยาลัยได้แต่เขากลับไม่ได้สอบ


 


 


หลายคนต่างอิจฉาหลี่ว์ซู่ที่มีน้องสาวแสนดี ทุกคนรู้ว่าเสี่ยวอวี๋ปะทุพลังครั้งแรกตอนอายุน้อยและขึ้นมาอยู่ที่ระดับ C เลย มีข่าวลือว่าเฉินไป่หลี่อยากรับเธอเป็นศิษย์ของเขาอีกด้วย!


 


 


พอมาเทียบกันแล้ว ความสำเร็จของหลี่ว์ซู่นั้นแทบไม่มีใครพูดถึง เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ถูกปิดเป็นความลับ


 


 


คนสมัยนี้ลืมง่าย แถมยังชอบตัดสินอนาคตคนอื่นด้วยตรรกะผิดๆ …


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก เขาไม่อยากถูกรบกวน ตอนนี้เขาแค่อยากรู้ว่ามีเพื่อนในโรงเรียนคนไหนสนใจอยากซื้อศิลาวิญญาณจากเขาบ้างหรือเปล่า…


 


 


ขณะที่เสี่ยวอวี๋ดูนารูโตะอยู่นั้น โทรศัพท์ของหลี่ว์ซู่ก็ดังขึ้น เขาไม่รู้จักเบอร์นี้แต่ก็ตัดสินใจกดรับสาย


 


 


“ฮัลโหล”


 


 


“คุณหลี่ว์ซู่หรือเปล่าครับ มีพัสดุส่งถึงคุณ คุณช่วยบอกทางไปอพาร์ตเมนต์คุณหน่อยได้ไหม” ผู้ชายในสายถาม


 


 


หลี่ว์ซู่เพิ่งจะเคยได้รับพัสดุเป็นครั้งแรก ท่ามกลางความสับสน เขาก็ออกไปข้างนอกเพื่อไปรับพัสดุ ขณะเดินกลับเข้ามา เขาก็แกะกล่องห่อออกและพบกล่องเหล็กข้างใน มันถูกดูดเข้าไปในตราแผ่นดินทันที จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีเช็คเงินสดที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษไว้อยู่…


 


 


หลี่ว์ซู่แปลกใจที่คอรัลยังรักษาคำพูด งั้นมีอะไรอยู่ในกล่องเหล็กนั่นล่ะ…


 


 


“ใครส่งพัสดุมาเหรอหลี่ว์ซู่” เสี่ยวอวี๋มองหลี่ว์ซู่อย่างจับผิด


 


 


“ฉันช่วยชีวิตคอรัลไว้ คนที่มาจากกลุ่มเทพเจ้าน่ะ เธอก็เลยส่งนี่มาเพื่อขอบคุณ” หลี่ว์ซู่ชูเช็คเงินสดให้เธอดู


 


 


เสี่ยวอวี๋ขยี้ตา เช็คเงินสดตั้งสองล้านเนี่ยนะ แต่พอดูสกุลเงินดีๆ ก็พบว่ามันไม่ใช่สกุลเงินหยวน ทว่าเป็นเงินยูโร!


 


 


นี่คอรัลรวยขนาดนี้เชียว!


 


 


เสี่ยวอวี๋รู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูก เธอรู้สึกไม่ชอบใจคอรัลเท่าไหร่แต่ก็ยังรู้สึกขอบคุณเธอที่เธอช่วยชีวิตหลี่ว์ซู่ไว้ครั้งที่อยู่ประเทศญี่ปุ่น…


 


 


ตอนนี้เธอเองก็ได้เป็นหัวหน้าของกลุ่มเทพเจ้าแล้ว แต่เธอจะเป็นแค่หัวหน้าเฉยๆ หรือจะเป็นเทพเจ้าที่แท้จริงกันนะ


 


 


“หลี่ว์ซู่ จะเป็นราชันฟ้าได้นี่ต้องทำยังไงน่ะ” เสี่ยวอวี๋กัดฟันถาม


 


 


“อืม ก่อนอื่นเลยก็ต้องแข็งแกร่งมากๆ แล้วก็ต้องทำให้คนเชื่อฟังตัวเองได้ด้วย…” จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็ไม่รู้คำตอบที่แท้จริงเหมือนกัน เขายังตกใจไม่หายเลยกับข้อเสนอที่อยากให้เขาไปเป็นราชันฟ้า คนเป็นล้านคงแย่งตำแหน่งนี้กันจะตาย


 


 


“ความแข็งแกร่ง…คนเชื่อฟัง… โอเค เข้าใจแล้ว” เสี่ยวอวี๋พยักหน้าแรงๆ ให้เขา


 


 


“เอ่อ…ฉันว่าเธอเข้าใจผิดอยู่นะ” หลี่ว์ซู่หน้าเสียไป


 


 


“ไม่ต้องสนใจรายละเอียดหรอก ฉันเอาอยู่น่า” เสี่ยวอวี๋ตัดบทแล้วโบกมือไล่ จากนั้นเธอก็เดินกลับเข้าไปในห้องของเธอ

 

 

 


ตอนที่ 541 หลี่ว์เสี่ยวอี๋ผู้ทำลายวังแห่งสวรรค์

 

เสี่ยวอวี๋เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เธอเก็บของใช้ประจำวันไว้ในกระเป๋าเดินทางสีชมพูที่เพิ่งซื้อมา และเก็บขนมต่างๆ ไว้ในแหวนมิติ


 


 


เธอรู้แหละว่าคงไม่ได้รับอนุญาตให้เอาขนมไปค่ายฝึกด้วย แต่คงไม่มีใครห้ามเอาวงแหวนมิติไปหรอกใช่ไหม


 


 


“รอฉันฝึกเสร็จก่อนเถอะ ต่อไปในอนาคต ฉันจะช่วยชีวิตเธอเอง” เสี่ยวอวี๋บอกหลี่ว์ซู่ที่กำลังยืนอยู่นอกประตูห้อง “ถ้าฉันบอกว่าจะปกป้องเธอก็คือหมายความตามนั้น! เสี่ยวอวี๋คนนี้ทำตามที่พูดแน่!”


 


 


หลี่ว์ซู่เจ็บหลังศีรษะขึ้นมาตงิดๆ ทำไมเด็กสาวอายุน้อยคนนี้ถึงอยากจะเป็นราชันฟ้าขึ้นมาได้นะ


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่ว์ซู่ +199!]


 


 


“หลี่ว์ซู่จะคิดถึงกันหรือเปล่า ฉันไปตั้งหลายเดือน” เสี่ยวอวี๋ถาม


 


 


“คิดถึงอะไรกันเล่า ไปแค่สามเดือนเองไม่ใช่เหรอ” หลี่ว์ซู่ตอบออกไปแบบไม่ได้คิด


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเสี่ยวอวี๋ +399!]


 


 


“หลี่ว์ซู่ มองหน้าฉันแล้วตอบใหม่” เสี่ยวอวี๋พูดเสียงเย็น


 


 


“ฮ่าๆๆ คิดถึงสิ คิดถึงแน่นอน” หลี่ว์ซู่ตอบอีกรอบอย่างรู้สึกผิด


 


 


“คิดอะไรอยู่น่ะ ทำไมถึงใจลอยขนาดนี้” เสี่ยวอวี๋เริ่มรู้สึกน้อยใจ


 


 


“กำลังคิดอยู่ว่าจะขายศิลาวิญญาณยังไงดี” หลี่ว์ซู่ตอบ


 


 


หลี่ว์ซู่ส่งเจ้ากระรอกออกไปเพื่อหาสถานที่ขายของที่คล้ายๆ ตลาดมืดในเมืองลั่ว หลี่ว์ซู่คิดว่าเมืองเหวินหวานไม่น่าไว้ใจ เขาอยากรู้ด้วยว่ามีคลาดมืดที่ไหนหลบซ่อนอยู่ในเมืองลั่วอีกหรือเปล่า


 


 


หลังจากที่เครือข่ายฟ้าดินเข้ามาดูแล พวกเขาก็ไม่ได้กำจัดพวกผู้บำเพ็ญลับออกไปทั้งหมด กลับกัน พวกเขาเลี้ยงดูพวกผู้บำเพ็ญเหล่านี้แทน


 


 


นี่คล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนเลย พวกเขาเคยเข้มงวดมากเพราะอยากรักษาเสถียรภาพทางสังคมไว้ พวกเขากลัวว่าจะมีคนก่ออาชญากรรมขึ้นมา แต่ตอนนี้พวกผู้บำเพ็ญลับไม่ก่อปัญหาและดูเชื่อฟังดี เครือข่ายฟ้าดินก็เลยไม่ไปเข้มงวดกับพวกเขามาก


 


 


จงอวี้ถังเคยบอกว่าผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวกลายเป็นคนเร่ร่อน ยกตัวอย่างเช่นหลี่เตี่ยน ลุงร้านแผงลอยที่ตลาดมืด นั้นหง่อมลงอย่างรวดเร็ว พวกเขากลัวว่าถ้าได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มหรือองค์กรใดเข้าแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นแกะดำ ด้วยเหตุนี้ผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวซึ่งเคยก่ออาชกรรมมาก่อนอย่างหลี่เตี่ยนจึงไม่สามารถเข้าร่วมกับองค์กรหรือกลุ่มไหนได้ พวกเขาอาจถูกควบคุมตัวหรือถูกจ้างไปเป็นสายลับขององค์กรแทน


 


 


สำหรับเครือข่ายฟ้าดินแล้ว พวกเขาประกาศชัดเจนว่าไม่ใช่ทุกคนจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร พวกผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวจึงต้องฝึกฝนเพื่อไม่ให้ถูกจับตัวได้ ไม่อย่างนั้นชะตาของพวกเขาก็คงจบลง เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับตลาดมืดกว่าสิบแห่งในเซี่ยโจว อวี้โจว และส่านโจว ถูกทำลายจนไม่เหลือซาก


 


 


หลี่ว์ซู่รู้ไม่สนใจว่าเครือข่ายฟ้าดินจะทำอะไรหรอก เขาแค่อยากหาที่เหมาะๆ ไว้ขายศิลาวิญญาณก็เท่านั้น


 


 


เมื่อมีคนอยากซื้อ ก็ต้องมีคนขายที่ตลาด ในสถานการณ์เช่นนี้ ของจะที่ขายมีน้อยกว่าคนที่อยากซื้อ ราคาของศิลาวิญญาณจึงมีราคาสูงตาม


 


 


โดยปกติแล้วคนขายศิลาวิญญาณก็คือคนจากเครือข่ายฟ้าดินและนักเรียนห้องเต้าหยวนนี่แหละ กระนั้นก็มีคนขายไม่มาก


 


 


กระทู้ในเว็บบอร์ดของมูลนิธิหนึ่งบอกว่ามีคนที่มีอำนาจและร่ำรวยเพิ่งเข้ามาในตลาดมืดที่เมืองเซี่ยโจว เขาซื้อศิลาวิญญาณไปถึงสามร้อยเม็ดด้วยกัน ไม่ว่าจะมีเท่าไหร่ก็เหมาไปหมด


 


 


มีข่าวลือว่าเขาเป็นนายหน้าให้กับครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนั้นจะใช้ศิลาทั้งหมดไปกับการเลี้ยงดูเด็กในครอบครัว เด็กในครอบครัวบางคนก็มีทักษะและความสามารถแต่ยังไม่แสดงออกมาให้เห็น อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วความสามารถของเด็กพวกนั้นสูงผิดปกติ


 


 


นี่ก็สองวันผ่านไปแล้วหลังจากที่หลี่ว์ซู่ไปส่งเสี่ยวอวี๋เข้าค่ายฝึก วันนั้นมีรถทหารกว่ายี่สิบคันมาจอดที่สนามในโรงเรียนภาษาต่างประเทศลั่วเฉิง ผู้ปกครองต่างร้องไห้กอดลูก ร้องอย่างกับว่าจะส่งลูกไปตายในสนามรบแล้วไม่มีวันกลับมาอย่างนั้นแหละ เด็กหลายคนก็ร้องไห้หนักเหมือนกัน เด็กบางคนมองมาอย่างสงสัย พวกเขาอาจจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องออกมาก็เป็นได้


 


 


มีผู้ปกครองหนึ่งคนที่เห็นหลี่ว์ซู่พาเสี่ยวอวี๋มาลงทะเบียนแล้วก็เช็ดน้ำตา


 


 


“ทำไมถึงมีเด็กผู้หญิงเล็กๆ มาได้ล่ะ นี่น่ะเหรอเด็กอัจฉริยะที่พูดถึงที่บ้านอยู่บ่อยๆ”


 


 


“ใช่ครับ” เด็กที่ถูกถามตอบกลับโดยทำสีหน้าไม่ถูก


 


 


“แล้วข้างๆ นั่นใครล่ะ” ผู้ปกครองถามต่อด้วยความสงสัย


 


 


“อ้อ คนนั้นก็รุ่นเดียวกันแหละ แต่ว่าเขาสอบเข้าวิทยาลัยไม่ได้ ก็เลยถูกส่งไปที่หน่วยรักษาความปลอดภัย” ใครสักคนตอบแทน


 


 


“นี่ไง ผลของการไม่ตั้งใจเรียน” ผู้ปกครองคนนั้นพยักหน้า


 


 


นักเรียนที่อยู่ข้างๆ เลยปิดปากเงียบ หลายคนรู้ว่าเกรดของหลี่ว์ซู่อยู่ในเกณฑ์ดี แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกส่งไปอยู่หน่วยรักษาความปลอดภัยเสียได้


 


 


ในความเป็นจริงแล้วผู้คนก็ไม่ได้รู้ความจริงในโลกไปเสียทุกอย่าง ที่ไม่รู้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าระดับยังไม่สูงพอ พวกเขาเลยไม่จำเป็นจะต้องรู้นั่นเอง


 


 


เสี่ยวอวี๋มองไปที่กลุ่มนักเรียนและผู้ปกครองที่บอกลากันทั้งน้ำตา เธอคิดไปถึงสิ่งที่หลี่ว์ซู่พูดไว้สองวันก่อน ถ้าอยากจะป็นราชันฟ้าก็ต้องมีความสามารถที่จะโน้มน้าวให้คนเชื่อฟังได้


 


 


แต่จะทำอย่างไรล่ะ แค่นี้ยังไม่พอ ยังต้องหนักแน่นและแข็งแกร่งอีกด้วย


 


 


“หลี่ว์ซู่อย่าร้องไห้แบบคนพวกนั้นเชียวนะ เด็กชะมัดเลย” เสี่ยวอวี๋หันไปบอกหลี่ว์ซู่


 


 


เสียงของเธอไม่ได้เบาเลย ทั้งสนามเลยตกอยู่ในความเงียบ…


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวเจี้ยงกั๋ว +481]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเยี่ยเผย…]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่ว์ซู่ +99…]


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าความเร็วในการหาแต้มแลกผลไม้แห่งนรกของเสี่ยวอวี๋นั้นไวใช้ได้เลย…


 


 


หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าตำแหน่งราชันฟ้าคงไม่ถูกหยิบยื่นให้กับเด็กคนหนึ่งหรอก ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กที่มีความสามารถสูงก็ตาม เด็กยังไม่มีวุฒิภาวะที่โตพอ ถึงแม้เสี่ยวอวี๋จะโตเกินตัวแต่ก็ไม่มีข้อยกเว้นอยู่ดี ราชันฟ้าเป็นหน้าเป็นตาของเครือข่ายฟ้าดิน มีหลายครั้งที่ทัศนคติของราชันฟ้าจะเป็นตัวแทนเครือข่ายฟ้าดินทั้งหมดเมื่อเผชิญกับกองกำลังภายนอก


 


 


เพราะฉะนั้นฝันของเสี่ยวอวี๋ที่จะเป็นราชันฟ้าก็คงเป็นได้แค่ฝัน…


 


 


หลี่ว์ซู่แน่ใจว่าที่เสี่ยวอวี๋อยากเป็นราชันฟ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอยากแบกรับความรับผิดชอบ แต่เธอแค่อยากเอาคืนเฉยๆ ถ้าเป็นแบบนั้นเนี่ยถิงก็คงต้องปฏิเสธเสี่ยวอวี๋เรื่องตำแหน่งฟ้าแน่ๆ


 


 


ต่อให้เสี่ยวอวี๋ร่วมมือกับผู้บำเพ็ญระดับ B อีกสองคนก็ยังเทียบพลังของเนี่ยถิงคนเดียวไม่ติด…


 


 


เสี่ยวอวี๋กระโดดขึ้นรถทหารโดยไม่หันกลับมามอง เธอเหมือนกับซุนหงอคง [1] นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่เทียมสวรรค์ที่ไม่เกรงกลัวต่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาวดวงไหนๆ เธอพร้อมจะควงพลองวิเศษ [2] ทำลายวังแห่งสวรรค์ให้ไม่เหลือซาก


 


 


หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดว่าเธอคงไม่ไปสร้างปัญหาใหญ่ที่นั่น


 


 


แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็คิดได้ว่าตอนนี้เสี่ยวอวี๋ต้องคอยสะสมแต้มอารมณ์ด้วยนี่นา งั้นเธออยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไปเถอะ


 


 


หลี่ว์ซู่เองก็ต้องไปเรียนตามปกติ เขาต้องใช้ชีวิตรอการสอบม.ปลายการท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของเพื่อนร่วมชั้น


 


 


ภายในช่วงนี้ เขาต้องคิดให้ออกว่าจะเอาศิลาวิญญาณในมือไปเปลี่ยนเป็นเงินสดอย่างไร นี่คืออาณาจักรสีเทาที่เพื่อนร่วมชั้นของเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน


 


 


 


 


——


 


 


[1] รู้จักกันอีกชื่อว่าราขาลิง เป็นตัวละครที่สำคัญของนิยายจีนในสมัยศตวรรษที่ 16


 


 


[2] พลองวิเศษที่เป็นอาวุธของซุนหงอคง มีขนาดใหญ่มากและสามารถยืดยาวไร้ขีดจำกัดได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม