Spare Me Great Lord ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 489-529

 489 ตัวตนถูกเปิดเผย

 


ธรรมเนียมงานศพในญี่ปุ่นแตกต่างจากของประเทศจีนแม้ว่าจะมีธรรมเนียมปฏิบัติบางอย่างที่เหมือนกันก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น วันนี้เป็นวันที่สามสิบห้าหลังจากการเสียชีวิตของพ่อแม่ของคิริฮาระ ยูสึเกะ ในวันที่เจ็ด วันที่สามสิบห้า วันที่สี่สิบเก้า และร้อยวัน จะมีการจัดพิธีระลึกถึงผู้ตาย


 


หลี่ว์ซู่ไม่อาจทำพิธีไว้อาลัยในช่วงเวลาเรียนได้ แต่อย่างน้อยเขาจะต้องแกล้งทำหลังเลิกเรียน


 


ไม่ว่าอารมณ์ของเขาจะเปลี่ยนไปเท่าใดคิริฮาระ ยูสึเกะก็ไม่ควรจะลืมพ่อแม่ของเขา ในระหว่างทางกลับบ้านพร้อมกับบันได หลี่ว์ซู่ระแวดระวังสิ่งต่างๆ รอบตัว เขามีเป้าหมายอยู่สองสามคนในบริเวณใกล้เคียง แต่ทว่าไม่ควรมีการลงมือในวันพิธีระลึกถึงผู้ตาย


 


เมื่อเร็วๆ นี้ เขาสังเกตว่ามีสมาชิกระดับกลางของทวยเทพคนหนึ่งเจตนาที่จะพยายามลดการติดต่อทางสังคมของตัวเองลง เมื่อคืนก่อนนี้เอง หลี่ว์ซู่ล้มเหลวในการซุ่มโจมตีสมาชิกคนสำคัญอีกคนที่ไม่ยอมปรากฏตัวแม้กระทั่งในที่ที่เขาเคยไปอยู่เป็นประจำ


 


ความจริงแล้วมีการให้ความสนใจในการเสียชีวิตของโนกิวะ ฮากุชุนอย่างมากในกลุ่มทวยเทพ แม้ว่าเขาจะเป็นเป้าหมายที่จัดการได้ง่าย แต่มีไม่กี่คนที่จะเอาชีวิตเขาได้อย่างรวดเร็วขณะที่ผู้ที่ชิงลงมือก่อนนั้นเป็นตัวเหยื่อเอง


 


นอกเหนือไปจากนั้น พวกเขาก็ยังทราบดีถึงตำแหน่งราชันฟ้าคนที่เก้าซึ่งยังว่างอยู่ของเครือข่ายฟ้าดิน เนื่องจากความพยายามในการดึงตัวหลี่เสียนอีมานั้นไม่เคยได้บรรลุผลสำเร็จ


 


ตอนนี้การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของผู้มีพลังสายธาตุดินระดับ B คงจะเป็นการส่งสัญญาณการแต่งตั้งราชันฟ้าคนที่เก้านั่นเอง! นั่นเป็นสิ่งที่ทวยเทพคาดการณ์เอาไว้


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้มองข้ามความไม่สอดคล้องหลายประการเช่น การที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้อยู่ทั้งระดับ B และไม่ใช่ผู้มีพลังสายธาตุดินอะไร แต่พวกเขาก็ยังคงเข้มงวดในการระวังตัว


 


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกประการที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ นั่นก็คือการที่คนของเครือข่ายฟ้าดินเอาอาวุธของโนกิวะไปหลังจากการสังหาร แท้จริงแล้วดาบยาวของเขาก็คล้ายกับกระบี่ประจำกายที่สมาชิกระดับ D ทุกคนของเครือข่ายจะได้รับการแจกจ่ายให้ บางที่มันอาจจะถูกมองว่าเป็นอาวุธที่ทรงพลังในสายตาของผู้บำเพ็ญระดับล่าง แต่มันน่าจะไร้ค่าสำหรับคนระดับ B


 


หรือว่ามันจะเป็นคนระดับ B ที่…ไม่ชอบสิ้นเปลือง!


 


ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่สังเกตว่าคนในระดับล่างขององค์กรนั้นดูจะไม่กังวลอะไร ซึ่งต่างจากสมาชิกคนสำคัญๆ ของทวยเทพที่เตรียมพร้อมรับมือ นั่นเป็นเพราะพวกเขาคิดว่าปลาซิวปลาสร้อยอย่างพวกเขาคงจะไม่กระตุ้นให้มืออาชีพระดับ B มาสนใจอะไรได้ ในระหว่างการฆ่าแบบไม่ยั้งของเนี่ยถิงในคราวก่อน เขาก็กวัดแกว่งคมมีดของเขาไปยังเจ้าหน้าที่คนสำคัญๆ เท่านั้น


 


“ฉันอยากรู้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของทวยเทพหลังจากการตายของโนกิวะ ฮากุชุน” หลี่ว์ซู่กระซิบบอกคุณบันไดในรถไฟใต้ดิน


 


บันไดพยักหน้ารับทราบ “ได้ค่ะ ฉันจะพยายามหารายละเอียดมาให้ภายในสองวันนี้ แต่ขอแนะนำให้หยุดลงมือก่อนในช่วงนี้เพราะพวกทวยเทพฉลาดได้พอๆ กับที่มันบ้า”


 


“ตกลง ผมจะระวังตัวมากขึ้น” หลี่ว์ซู่รับคำ เขาจะไม่มีวันเห็นเรื่องที่ผู้อื่นจริงจังเป็นเรื่องเล่น


 


หลี่ว์ซู่ไม่เห็นซากุราอิตอนที่เขามาถึงบ้านในคืนนั้น แท้ที่จริงข้อความของเขาตั้งใจส่งไปเพื่อแจ้งซากุราอิว่าพวกเขาจะกลับบ้านดึกและเขาก็หวังว่าจะไม่ทำให้เธอรอนานเกินไป


 


ในระหว่างนั้น ซากุราอิกำลังเดินทางกลับบ้าน แต่จู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาขวางทางเธอ เขาสวมชุดสูทสีดำกับแว่นสายตากรอบสีทองเรียบๆ อยู่บนจมูก เข็มของทวยเทพที่ติดอยู่ที่หน้าอกของเขาทำให้ซากุราอิไหวตัวทันทีแต่เธอไม่ได้แสดงอะไรออกมาทางสีหน้า


 


ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มอย่างสุภาพและพูดว่า “สวัสดี ฉันชื่อคิตะมุระ ฮิโรโนะ ฉันคิดว่าเธอคงจะรู้จักฉัน”


 


ความแปลกใจปรากฏออกมาบนหน้าของซากุราอิ “ดูจากเข็มของคุณ ฉันเชื่อว่าคุณมาจากทวยเทพ ขอเดาว่าคุณกำลังมาเกณฑ์ฉันเป็นสมาชิกใหม่เพราะค่าศักยภาพการฝึกฝนของฉันใช่ไหม”


 


รอยยิ้มของคิตะมุระไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ “เธอปรากฏตัวอยู่ข้างกายของคิริฮาระ ยูสึเกะทันทีที่พ่อแม่ของเขาตาย และความสนใจในตัวเขาของเธอก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน เธอเป็นนักฟันดาบที่ผ่านการฝึก แม้ว่าฉันจะไม่แน่ใจนักว่าเธอไปเรียนฟันดาบมาจากไหนแต่เธอก็ยังประกาศว่าคิริฮาระ ยูสึเกะคืออาจารย์ของเธอ เธอคงจะดูถูกสติปัญญาของพวกเรานะหากเธอปฏิเสธตัวตนของการเป็นตัวละครสำคัญที่ถูกปกปิดเอาไว้ของพวกอนุรักษนิยม”


 


ซากุราอิตัวเย็นเฉียบ เนื่องจากไม่มีอาวุธ เธอจึงไม่อาจปกป้องตนเองจากคิตะมุระ ฮิโรโนะ ซึ่งเป็นคนดังระดับ C ที่ทรงพลังของทวยเทพได้


 


น่าประหลาดใจที่ไม่มีใครสังเกตเห็นอะไรที่น่าสงสัยเกี่ยวกับลักษณะนิสัยที่ไม่เสมอต้นเสมอปลายระหว่างหลี่ว์ซู่และคิริฮาระเลย ซึ่งก็ต้องขอบคุณหน้ากากที่ไร้ตำหนิของเขานั่นเอง


 


อย่างไรก็ตาม ตัวตนของซากุราอินั้นถูกเปิดเผยก่อนตัวตนของหลี่ว์ซู่เพราะพวกอนุรักษนิยมรีบร้อนเกินไป!


 


“ไม่ต้องกังวล คุณซากุราอิ ฉันไม่ได้จะมาทำร้ายเธอ แต่ฉันมาเพื่อเจรจา” คิตะมุระยืนพิงเสาไฟพร้อมทำหน้าสงบนิ่ง “ตาแก่โอดะ โทคุมะนั่นมีทักษะในศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเลยนะแต่ดันไม่ค่อยจะมีสมอง น่าเสียดาย ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศเอาไว้ว่าตัวเองสามารถเข้ามาแทนที่คิริฮาระ คุรากิได้ด้วยแผนการและความเฉลียวฉลาดของเขา แต่พวกเราว่าเขาแย่ยิ่งกว่าคิริฮาระเสียอีก ไม่อย่างนั้นเราจะไว้ชีวิตของโอดะในขณะที่ยืนกรานว่าคิริฮาระ คุรากิต้องถูกกำจัดไปทำไม”


 


คำพูดของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนถึงราคาของโอดะ โทคุมะที่ถูกตีเอาไว้ในสายตาของพวกลัทธิคลั่งชาติ ถ้าคนระดับ C หาญกล้าท้าทายเขาอย่างเปิดเผยเพียงนี้ มันก็ดูเหมือนว่าพวกลัทธิคลั่งชาติจะไม่ให้ความสำคัญอะไรกับโอดะจริงๆ


 


ในความคิดเห็นของพวกเขา โอดะเป็นชายที่ชอบมีแผนลับซ่อนเงื่อน เขาเลือกที่จะไม่แจ้งคิริฮาระ คุรากิเรื่องแผนการซุ่มโจมตีของพวกลัทธิคลั่งชาติทั้งที่เขาทำแบบนั้นได้หลังจากที่ได้รับข้อมูลมาจากหน่วยข่าวกรองของอนุรักษนิยม


 


สุดท้ายความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดของคิริฮาระ คุรากิคือการไว้วางใจคนผิดไป


 


แต่แม้กระทั่งตัวโอดะเองก็ไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่าพวกอนุรักษนิยมจะต้องมาลงเอยอยู่ในสถานการณ์ที่ตกต่ำ ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นที่การพุ่งเป้าไปที่คิริฮาระ คุรากิเพียงเท่านั้น ทว่าไม่นานมันก็กระจายไปทั่วทั้งองค์กร เมื่อไม่มีผู้นำ พวกอนุรักษนิยมจึงเสียเปรียบอย่างชัดเจน


 


ในตอนแรก โอดะวางแผนที่จะแก้ไขสถานการณ์ด้วยตนเอง แต่ไม่นานมันก็กลับกลายเป็นการประเมินความสามารถของตัวเขาเองที่สูงเกินไป สกุลลับที่ซ่อนอยู่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าค่อยๆ ถอยกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ เพราะว่าพวกเขาไม่มั่นใจในตัวโอดะ โทคุมะเลย


 


ตอนนั้นเองที่โอดะได้เข้าใจในที่สุดว่าคิริฮาระ คุรากิมีความหมายอย่างไรต่อพวกอนุรักษนิยมทั้งหมด เขาไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นได้แม้กระทั่งตัวแทนคนหนึ่ง


 


เนื่องด้วยเหตุผลเดียวกันนั้นเอง โอดะจึงได้หันกลับไปด้วยความหวังว่าจะใช้คิริฮาระ ยูสึเกะเป็นหุ่นเชิดของเขาและเพื่อจะให้ได้มาซึ่งวิชาแท้ๆ ที่ตระกูลคิริฮาระสืบทอดมา


 


ซากุราอิยิ้ม “ขออภัยด้วยค่ะ แต่ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังพูดจริงๆ”


 


“ไม่เป็นไร ฉันจะให้เวลาเธอคิดพิจารณาสักสามวัน ลองคิดดูว่าพวกอนุรักษนิยมมีอะไรเหลือบ้างและสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร แล้วฉันเชื่อว่าเธอก็จะเข้าใจได้เองในที่สุด” คิตะมุระยิ้มอย่างสงบนิ่ง “อย่างไรก็ตาม ฉันสนใจเธอเป็นการส่วนตัวนะคุณซากุราอิ แล้วอีกประการหนึ่งก็คือ ฉันยังโสดอยู่”


 


ซากุราอิสวยไหม สวยมาก สวยเสียจนคิตะมุระไม่อาจหาผู้หญิงอีกคนมาเปรียบกับเธอได้จากผู้หญิงทั้งหมดที่มีอยู่ในทวยเทพ


 


บางทีอาจจะมีคนธรรมดาสามัญสักสองสามคนที่สวยพอๆ กับเธอ แต่ในปัจจุบันทวยเทพได้ส่งเสริมทฤษฎีการสืบสายโลหิตของผู้บำเพ็ญอย่างแข็งขัน ซึ่งห้ามการผสมสายโลหิตระหว่างผู้บำเพ็ญและคนธรรมดาเพื่อให้มั่นใจว่าจะมอบสายเลือดบริสุทธิ์ให้กับคนรุ่นต่อไปได้


 


หลี่ว์ซู่เองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่เขาแสดงความคิดเห็นแค่เพียงว่าทวยเทพนั้นมีจำนวนประชากรน้อยเกินไป พวกเขาเกรงกลัวเหลือเกินว่าลูกหลานของพวกเขาจะไม่มีค่าศักยภาพการฝึกฝนหากพวกเขาแต่งงานกับคนธรรมดาสามัญชน


 


ในทางตรงกันข้าม เครือข่ายฟ้าดินไม่เคยต้องห่วงเรื่องนั้นเลย อยากแต่งกับใครก็เชิญเพราะเรามีคนล้นเหลือ…


490 ฉันลืมกุญแจ

 


ความจริงแล้วในฐานะที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ธรรมดาๆ ทวยเทพนั้นมีอำนาจอยู่มากพอสมควรด้วยการมีสมาชิกมากกว่าหนึ่งหมื่นคน วิชาหลากหลายแขนงที่สืบทอดกันมายาวนาน ความสามารถโดยเฉลี่ยระดับสูง และแรงยึดเหนี่ยวทางจิตใจระหว่างสมาชิกในกลุ่มที่แข็งแกร่ง


 


นี่ทำให้ทวยเทพเป็นหนึ่งในองค์กรผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก


 


แต่กระนั้นพวกเขากลับชอบชิงดีชิงเด่นกับเครือข่ายฟ้าดินซึ่งแค่จำนวนสมาชิกก็ทำให้กังวลใจได้มากพออยู่แล้ว…


 


ทวยเทพนั้นเป็นที่ฉาวโฉ่ในเรื่องความบ้าคลั่งของพวกเขาก็ด้วยตรรกะที่ผิดปกติของพวกเขานั่นเอง นโยบายหลักที่มีต่อเครือข่ายฟ้าดินคือการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันซึ่งๆ หน้าด้วยทุกวิถีทาง ในขณะที่ทวยเทพปรารถนาในแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลและจำนวนประชากรที่มากมายของพวกเขา…


 


ซากุราอิจ้องคิตะมุระด้วยสายตาที่เย็นชา เธอรู้ว่าเธอไม่อาจหลบหลีกความสนใจของพวกเขาได้เลยแม้ว่าจะไม่มีตัวตนของการเป็นพวกอนุรักษนิยมของเธอก็ตาม


 


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะไม่พอใจท่านอาจารย์ของเธอ แต่ซากุราอินั้นเป็นผู้หญิงที่มีหลักการ อย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ใช่คนทรยศ


 


“ฉันคิดว่าคุณอาจเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป” ซากุราอิกล่าวอย่างใจเย็น


 


คิตะมุระถามกลับด้วยความสงสัย “เธอว่าอะไรนะ”


 


“ฉันจะไม่ชอบคุณเพราะคุณไม่ดีพอ” ซากุราอิตอบทั้งที่ยิ้มอยู่ เมื่อมองย้อนกลับไป ความรู้สึกสุขสงบที่เธอมีกับคิริฮาระคุงนั้นมีค่าเหลือเกิน เพราะอย่างน้อยมันก็ดีกว่าความสะอิดสะเอียนที่ติดอยู่ที่คอหอยของเธอในตอนนี้มากมายนัก


 


“ถ้าอย่างนั้น เจ้าคิริฮาระ ยูสึเกะนั้นถือว่าดีพอไหม ฉันสามารถฆ่ามันได้นะ” คิตะมุระกล่าว


 


คำพูดของเขาทำให้หัวใจของซากุราอิเจ็บแปลบแต่เธอยังคงเงียบต่อไป


 


คิตะมุระหัวเราะ “จริงหรือเปล่า เธอหลงรักมันเหรอ สงสัยจริงว่าโอดะ โทคุมะจะคิดยังไงถ้ารู้เรื่องนี้ ดูจากความบุ่มบ่ามของฝ่ายเธอแล้ว ฉันสงสัยเหลือเกินว่าทวยเทพจะตั้งตัวเป็นองค์กรชั้นนำในโลกภายใต้การนำของพวกอนุรักษนิยมได้อย่างไรกัน”


 


“แต่ฉันรู้ว่าภายใต้การนำของพวกคุณ ทวยเทพต้องพินาศแน่” ซากุราอิกล่าวอย่างนุ่มนวล


 


แท้จริงแล้วความไม่ลงรอยกันระหว่างพวกอนุรักษนิยมและพวกลัทธิคลั่งชาติคือเรื่องสันติภาพหรือสงคราม ฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นไม่ใช่ผู้รักสันติภาพเสมอไปและพวกเขาก็ไม่ได้มีแต่คนใจเย็น แต่พวกเขาเชื่อเสียมากกว่าว่าการสะสมความแข็งแกร่งย่อมจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่าการก่อความรุนแรงต่อผู้อื่น


 


มันเป็นเพียงความแตกต่างในเรื่องของจุดยืนทางการเมือง ไม่ใช่การต่อสู้กันระหว่างความยุติธรรมและความชั่วร้าย


 


ดังนั้นเนี่ยถิงจึงไม่เคยออกคำสั่งที่ไร้สาระใดๆ เช่น การช่วยเหลือกลุ่มอนุรักษนิยม แก่หลี่ว์ซู่เลย ในการต่อสู้ที่ต่างประเทศนั้นผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในหมู่ผู้บำเพ็ญ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเลย


 


รอยยิ้มของคิตะมุระหายไป “สามวัน นี่คือคำสัญญาของฉัน”


 


ทันใดนั้นซากุราอิก็ยิ้มราวกับว่าเธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน ในซอยเงียบๆ นั้น หญิงสาวในชุดกิโมโนลายดอกซากุระคนนี้สวยราวกับเทพธิดาและรอยยิ้มของเธอก็พ่ายเมืองได้ เธอกล่าวว่า “คืนพรุ่งนี้จะไม่มีใครอยู่ที่บ้านของฉัน”


 


แม้ว่าคิตะมุระจะไม่เข้าใจว่าเธอขำอะไรนักหนา แต่ข้อมูลนั้นเป็นข่าวดีของเขา อย่างไรก็ตามเขาจะต้องเอาคนไปเพิ่มเผื่อว่ามันจะเป็นกับดัก


 


เมื่อคิดดังนั้น คิตะมุระก็ล้อเล่นปนขู่อยู่กลายๆ ว่า “ในเมื่อเธอพูดว่าไม่มีใครก็ขออย่าได้มีใครสักคนเลยนะ ไม่อย่างนั้นฉันอาจฆ่าไม่ยั้ง”


 


“วางใจได้ค่ะ จะไม่มีใครอยู่บ้าน” พูดจบซากุราอิก็เดินจากไปในทันทีประหนึ่งว่าไม่ได้สนใจท่าทีของคิตะมุระเลยโดยสิ้นเชิง


 


แทนที่จะกลับบ้าน เธอกลับมุ่งหน้าไปที่โดโจเพราะจู่ๆ เธอก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลืมสิ่งหนึ่งเอาไว้…เธอลืมกุญแจและกระเป๋าเงิน…


 



 


ขณะที่หลี่ว์ซู่และบันไดกำลังคุยกันอยู่ในสนาม จู่ๆ พวกเขาก็เห็นซากุราอิในชุดกิโมโนสุดวิจิตรของเธอ หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความช็อก ทำไมเธอถึงใส่ชุดนั้น จะไปออกงานเหรอ


 


ซากุราอิยิ้ม “ฉันลืมเอากุญแจกับกระเป๋าเงินมา ขอฉันค้างที่นี่ได้ไหมคะอาจารย์”


 


หลี่ว์ซู่ขบคิดไม่กี่วินาที “เธอจะต้องจ่ายค่าที่พัก”


 


“ได้เลย เข้าใจแล้วค่ะ”


 


แล้วคุณบันไดก็พาซากุราอิไปที่ห้องพักแขก ในทันใดนั้น หญิงสาวคนนี้ก็กลายเป็นแขกของพวกคิริฮาระโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ


 


บันไดเตรียมชุดของเธอเองให้ซากุราอิได้เปลี่ยน อย่างไรเสียมันก็คงจะไม่สะดวกนักที่จะใส่กิโมโนตลอดเวลา บันไดยิ้มขณะมองดูซากุราอิ “พวกนี้เป็นเสื้อผ้าของฉัน ฉันคิดว่าขนาดหน้าอกของเธอคงจะใหญ่กว่าฉัน แต่รบกวนใส่พวกมันไปก่อนก็แล้วกันนะคะ”


 


จากนั้นซากุราอิก็ถามคำถามที่เธอไม่มีวันคาดคิด “พี่ทานิกุชิคะ พี่คิดว่าคิริฮาระคุงจะชอบผู้หญิงอย่างฉันไหม”


 


บันไดชะงักนิ่ง ในขณะนั้นซากุราอิ ยาเอโกะไม่ใช่สายลับอีกต่อไป เธอดูเหมือนเด็กวัยรุ่นหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่จมอยู่ในความรู้สึกที่มีให้เด็กหนุ่มอีกคน แล้วบันไดก็ลงไปนั่งข้างๆ เธอและกล่าวว่า “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คำตอบที่เป็นรูปธรรมสำหรับเรื่องอย่างความรู้สึก มันไม่เกี่ยวกับความสนใจส่วนตัว หรือผลประโยชน์ทางการเงิน หรือเป้าหมายอะไรที่เฉพาะเจาะจง มีคนโง่หลายคนที่รักใครเพื่อจะพิสูจน์ว่าพวกเขาควรค่าแก่ความรัก พวกเขากำความรักเอาไว้แน่นจนกระทั่งมันตาย แต่ซากุราอิ เธอต้องเข้าใจว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่เธอยึดเอาไว้ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้”


 


ซากุราอิใช้เวลาอยู่นานในการซึมซาบคำพูดของเธอเข้าไปในใจ แล้วเธอก็ขอบคุณคุณบันได


 


หลังจากประตูปิด ซากุราอิก็เริ่มทบทวนเหตุการณ์ในคืนนั้น เธอพบว่าปฏิกิริยาแรกของเธอคือการมาที่โดโจของคิริฮาระแทนที่จะไปหาท่านอาจารย์ในยามที่เธอต้องการที่คุ้มกะลาหัว การตัดสินใจนั้นก็สื่อความหมายบางอย่างแล้ว


 


คำขู่ของคิตะมุระเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ว่าซากุราอิจะไม่อาจเอาชนะเขาได้ แต่สิ่งที่อันตรายจริงๆ ก็คือทีมทวยเทพที่อยู่ข้างหลังเขา


 


ทำไมคิตะมุระ ฮิโรโนะซึ่งเป็นแค่คนระดับ C ถึงได้กล้าดูหมิ่นยอดฝีมือระดับ B อย่างโอดะ โทคุมะ นั่นเป็นเพราะผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งของเขา ซึ่งลำพังโอดะคนเดียวนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้


 


เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซากุราอิตาสว่างว่าฝ่ายอนุรักษนิยมไม่ใช่ที่ที่เธอควรอยู่ เธอรู้ดีว่าท่านอาจารย์ของเธออาจไม่แม้กระทั่งลุกขึ้นสู้เพื่อเธอหากเธอตกเป็นเป้าของพวกลัทธิคลั่งชาติ


 


มันเกี่ยวกับเรื่องทัศนคติของเขาไม่ใช่เรื่องพลังของเขา ความจริงบุคคลที่รู้จักโอดะ โทคุมะมากที่สุดก็คือลูกศิษย์ของเขาที่ชื่อซากุราอิ ยาเอโกะนั่นเอง


 


เธอจะไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้กับคิตะมุระ ฮิโรโนะ เพราะไม่ว่าท่านอาจารย์ของเธอจะเป็นคนที่แย่เพียงใดแต่ถึงอย่างไรท่านก็ยังเป็นท่านอาจารย์ของเธอ


 


ตอนนี้เธอจึงตระหนักว่า ในไม่ช้าเธอจะไม่มีที่ยืนในแผ่นดินกว้างใหญ่ที่เรียกว่าญี่ปุ่นแห่งนี้แล้ว ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเธอคือการจากไป


 


ทว่าเธอไม่สมัครใจที่จะจากไปแบบนี้ ซากุราอิรู้สึกได้ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอต้องทำ


 


ผู้คนนั้นมองข้ามทักษะการต่อสู้ของเธอได้ง่ายๆ เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของเธอที่ทรงอานุภาพเหนือสิ่งอื่นใด แต่ความจริงแล้ววิชาของเธอต่างหากที่เป็นสิ่งที่เธอภาคภูมิใจอย่างแท้จริงมาโดยตลอด


 


ในขณะนี้ แรงกระตุ้นบางอย่างเริ่มก่อเกิดขึ้นในใจของเธอ เธอคนนี้ผู้ซึ่งไม่เคยเหยียบย่างออกไปจากบ้านเกิดของเธอเลยตั้งแต่ลืมตาดูโลกขึ้นมากลับอยากจะออกไปดูโลกภายนอกบ้างเสียแล้ว


491 ผมรับไม่ได้อีกต่อไป

 


ดึกดื่นคืนนั้น บันไดและหลี่ว์ซู่นั่งหันหน้าเข้าหากัน หลี่ว์ซู่นิ่งเงียบขณะที่บันไดกำลังบอกข้อมูลล่าสุดที่ได้มา


 


เธอเข้าถึงข่าวกรองได้เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันตั้งแต่หลี่ว์ซู่มาถึงที่นั่น ทว่าพูดตรงๆ ก็คือมันเป็นการเข้าถึงข้อมูลของหลี่ว์ซู่นั่นเอง


 


มันรู้สึกเหมือนว่าเว็บลับขนาดยักษ์เพิ่งจะได้วางเครือข่ายปฏิบัติการในประเทศญี่ปุ่นเพื่อรับใช้หลี่ว์ซู่เพียงคนเดียว


 


บันไดตกใจมาก เธอรู้ว่าค่าใช้จ่ายในการก่อตั้งเว็บที่นี่ราคาสูงเพียงใด แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งระบบนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อคนเพียงคนเดียว


 


จำนวนสายลับของหน่วยข่าวกรองที่ถูกใช้ตอนที่ราชันฟ้าเนี่ยมาด้วยตัวเองในคราวก่อนยังไม่มากเท่านี้เลย


 


ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีการเข้าถึงข้อมูลได้หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเนี่ยถิง แต่ทำไมราชันฟ้าเนี่ยจึงได้ชื่นชมในตัวชายหนุ่มคนนี้ขนาดนั้น


 


“ทวยเทพมีบทสรุปเกี่ยวกับความตายของโนกิวะ ฮากุชุนแล้ว พวกเขาลงความเห็นว่าเครือข่ายฟ้าดินอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้และดูเหมือนจะเชื่อว่ามีผู้มีพลังสายธาตุดินระดับ B จากเครือข่ายอยู่ที่ไหนสักแห่งในนิชิโนะเกียว พวกเขาเรียกเขาว่า ผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นราชันฟ้าคนที่เก้า…” แล้วบันไดก็มองไปที่หลี่ว์ซู่เพื่อรอคำตอบ


 


หลี่ว์ซู่หายใจเฮือก เขาไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องจะกลายมาเป็นแบบนี้!


 


“เอ่อ ทำไมพวกเขาถึงได้คิดอย่างนั้นล่ะ” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย


 


“พวกเขาเชื่อว่ามีผู้มีพลังสายธาตุดินระดับ B รวมพลังกับราชันฟ้าหลี่ในเมืองพัทยาเพื่อฆ่าจอห์นสัน แถมยังมีการยืนยันจากผู้บำเพ็ญอิสระสองสามรายว่าผู้มีพลังรายนี้มีทรายขาวทะเลน้ำลึกอยู่ในความครอบครองอีกด้วย ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงที่ว่าแอนโทนีได้สูญเสียทรายขาวทะเลน้ำลึกของเขาไปที่โบราณสถานทะเลสาบเกลือ ไม่ว่าจะอย่างไร ที่ผ่านมาทรายขาวทะเลน้ำลึกนั้นปรากฏแต่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น” บันไดอธิบาย


 


หลี่ว์ซู่ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อรวบรวมความคิดอ่าน แม้ว่าจะไม่คาดฝันมาก่อนแต่เขาก็ต้องยอมรับเลยว่าการวิเคราะห์ของพวกเขานั้นค่อนข้างจะมีเหตุผล…


 


“เอ่อ พูดต่อเถอะครับ…”


 


“ในตอนนี้ ทวยเทพได้เริ่มใช้ระเบียบการปฏิบัติการเฝ้าระวังระดับสูงสุดเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็ยังหวาดกลัวกับการกระทำของราชันฟ้าเนี่ยในคราวก่อนอย่างมาก แม้ว่าท่านจะไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอะไรจริงๆ ในทวยเทพ แต่มันมีผลต่อการทำลายขวัญของพวกเขาอย่างรุนแรงในการได้ประจักษ์ว่าราชันฟ้าสามารถที่จะมาหา ฆ่า และกลับไปได้ตามใจชอบ…”


 


หลี่ว์ซู่ยินดีที่ได้ฟังดังนั้น “พอพวกเขาอยากทำบ้าง เนี่ยถิงก็บรรลุขึ้นสู่ระดับ A ไปแล้ว ถึงตอนนั้น พวกที่อยากก่อปัญหาในประเทศของเราอาจไม่ได้กลับออกมาเป็นๆ เสียด้วยซ้ำ…”


 


ความจริงแล้ว เรื่องคงจะแตกต่างออกไปหากเนี่ยถิงยังคงอยู่ในระดับ B เนื่องจากเฉินไป่หลี่ต้องอยู่ห่างไกลออกไปเพื่อป้องกันชายแดนของประเทศ ทวยเทพย่อมเข้าออกได้อย่างง่ายดายเมื่อเสร็จธุระ การที่คนในระดับเดียวกันจะไล่ล่ากันอย่างไม่ลดละนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมจริงเอาเสียเลย


 


มันดูเหมือนเป็นการกระทำที่ต่ำช้า เนี่ยถิงวิ่งหนีหลังจากตบหน้าศัตรูฉาดใหญ่ แต่เมื่อศัตรูอยากจะลงมือล้างแค้นในแบบเดียวกันบ้าง พวกเขากลับพบว่าอย่าว่าแต่จะหนีออกมาได้เลย พวกเขาไม่อาจแม้กระทั่งตบคืนได้ด้วยซ้ำ…


 


“การบรรลุระดับขึ้นไปของเขาเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะมาก” หลี่ว์ซู่อุทาน…


 


ฉะนั้นการที่เนี่ยถิงเน้นทวยเทพเป็นพิเศษก็อาจเป็นเพราะความกังวลว่าจะมีคนระดับ A โผล่ขึ้นมาจากที่นั่น


 


หลี่ว์ซู่ถาม “มีสัญญาณอะไรเกี่ยวกับผู้ที่เพิ่งจะบรรลุขึ้นสู่ระดับ A ของทวยเทพบ้างไหม”


 


“ไม่มี แต่จากข้อมูลที่ได้มีการปล่อยออกมานานแล้วนั้น พวกผู้อาวุโสกำลังค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับพิธีกรรมและสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับการสังเวย แต่พวกเขายังไม่อาจบรรลุผลที่น่าพอใจได้” บันไดตอบ


 


คำพูดของเธอทำให้หลี่ว์ซู่นึกถึงฉากที่อยู่ใต้ถ้ำในโบราณสถานเป่ยหมัง หรือว่านั่นจะเป็นสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการสังเวย พวกเขากำลังพยายามจะสร้างคนระดับ A เทียมขึ้นเองผ่านวิธีการที่บิดเบือนแบบนั้นเหรอ


 


ตอนนี้โนกิวะ ทาเกะโนบุ หนึ่งในยอดฝีมือระดับ B อันดับต้นๆ ของพวกลัทธิคลั่งชาตินั้นได้ตายไปแล้ว ประกอบกับการปะทุพลังที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ดังเช่นการปะทุพลังของท่านนักบุญและแรงกดดันจากทางเครือข่ายฟ้าดิน ความกังวลทั้งหลายของกลุ่มทวยเทพจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลทั้งสิ้น


 


“เดี๋ยวนะ” หลี่ว์ซู่สับสน “คิตะมุระ ฮิโรโนะไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยเลยเหรอ”


 


แม้ว่าเขาจะใช้วิธีที่ไม่เป็นมืออาชีพและการวางแผนแบบพื้นๆ แต่มันก็ควรจะส่งผลให้เกิดความสับสนอยู่บ้างไม่ใช่เหรอ


 


“หลังจากได้ข้อสรุปแล้ว การถกเถียงเรื่องคิตะมุระ ฮิโรโนะก็สงบลง หลักๆ แล้วเป็นเพราะอาจารย์ของคิตะมุระนั้นเป็นหนึ่งในยอดฝีมือระดับ B ของทวยเทพนั่นเอง แน่นอนว่ามีบางเสียงที่สงสัยว่าเป็นฝีมือของคิตะมุระเองทั้งหมด แต่ความเห็นแบบนั้นไม่อาจนำออกมาพูดอย่างเปิดเผยได้” บันไดอธิบาย


 


หลี่ว์ซู่ผิดหวัง ในอดีตเขาเคยป้ายความผิดใส่คนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ตอนนี้พอเขาพยายามจะทำก็กลับมาล้มเหลว!


 


มันอะไรกันหา!


 


ทั้งสองเงียบไปนาน แล้วหลี่ว์ซู่ก็พูดขึ้น “ไม่ได้ ผมรับไม่ได้อีกต่อไป! ผมสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้!”


 


[ได้แต้มจากบันได +166…]


 


บันไดเริ่มสงสัยถึงจุดประสงค์ของราชันฟ้าเนี่ยในการส่งหลี่ว์ซู่มาที่นั่น เพื่อให้อิสระเขาในการทำอะไรก็ได้อย่างที่เขาต้องการเลยเหรอ


 


“เตรียมข่าวกรองให้พร้อมสำหรับผมด้วย ผมต้องเตรียมการอะไรบางอย่าง” หลี่ว์ซู่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


 



 


ซากุราอิถูกปลุกให้ตื่นขึ้นก่อนฟ้าสางด้วยเสียงแหลมของลมที่ถูกหวด เธอสวมใส่เสื้อผ้าที่คุณบันไดเตรียมไว้ให้…บริเวณหน้าอกของเธอรู้สึกคับเล็กน้อยจริงๆ ด้วย


 


ตอนนั้นเป็นเวลาเพียงตีสามเท่านั้น ซากุราอิเอาเสื้อคลุมมาคลุมเอาไว้ที่ไหล่และเปิดประตูออกไปเห็นหลี่ว์ซู่กำลังฝึกเพลงกระบี่อยู่ในสนาม เขาฝึกเช้าขนาดนี้ทุกวันเลยเหรอ เธอรำพึงในใจกับตัวเองว่า ฉันขยันไม่ได้เท่าครึ่งหนึ่งของเขาเลยด้วยซ้ำ


 


สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือการที่หลี่ว์ซู่ร้องเพลงดาวดวงน้อยเป็นชั่วโมงๆ ก่อนมาฝึกเพลงกระบี่…


 


หลี่ว์ซู่ยิ้มให้เธอและถามออกมาโดยไม่ได้หยุดการฝึกว่า “ตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอ”


 


“ใช่” ซากุราอินั่งเท้าคางอยู่ที่ขอบของระเบียงและมองหลี่ว์ซู่ฝึก หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับซากุราอิ ราวกับว่าเธอ…ทำตัวสบายๆ มากขึ้น


 


ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญลับที่กระทำการด้วยจุดประสงค์และภารกิจต่างๆ ซากุราอิ ยาเอโกะจำต้องแสร้งแสดงอยู่ทุกที่ทุกเวลา ทว่าเมื่อคืนก่อนนี้เองที่ดูเหมือนว่าเธอจะได้ปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างในหัวใจออกไป


 


มันไม่ใช่เพราะคำพูดของคิตะมุระหรือเพราะใคร แต่มันเป็นการระบายความไม่พอใจในสถานการณ์ปัจจุบันที่เธออัดอั้นเอาไว้ออกมาอย่างกะทันหัน แล้วจากนั้นกำแพงแห่งการเสแสร้งของเธอก็ถูกทำลายลงเหมือนกับเขื่อนที่แตก


 


เนื่องจากมีน้ำที่ซึมออกมาจากรอยแตกของเขื่อนนั้น ในที่สุดน้ำก็ทะลักออกมาและไหลท่วมทุกสิ่งทุกอย่างจนหมด


 


“คิริฮาระคุง” ซากุราอิเรียกเขาทั้งที่ยิ้มอยู่


 


หลี่ว์ซู่หยุดเคลื่อนไหวอยู่กับที่ “ว่ายังไง”


 


“เธอจะจำฉันได้ไหม”


 


“ก็คงจะจำได้นะ เธอสวยจะตาย”


 


“ขอบคุณ”


 


เป็นครั้งแรกที่ซากุราอิ ยาเอโกะสัมผัสได้ถึงความจริงใจและความเรียบง่ายในคำชมเชยเกี่ยวกับความสวยของเธอ…


 


แต่หลี่ว์ซู่กลับรู้สึกว่ามันเป็นข้อความอำลาของซากุราอิ


492 ความปรารถนาอันแรงกล้าในพลังระดับ B ของหลี่ว์ซู่

 


ในตอนกลางวัน หลี่ว์ซู่ดูเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียนในห้อง ขณะที่ความจริงแล้วเขากำลังคิดถึงวิธีการลงมือปฏิบัติการตามแผนของเขาในช่วงกลางคืน


 


แต่เมื่อเขาแวบไปเห็นซากุราอิ เขาก็พบว่าเธอดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอย่างหนักอยู่ หลี่ว์ซู่สงสัยเพราะเธอไม่เคยดูกังวลขนาดนั้นมาก่อน


 


หลี่ว์ซู่ถาม “เธอกำลังคิดเรื่องกุญแจกับกระเป๋าเงินของเธออยู่เหรอ”


 


เธอตอบอย่างลังเล “เปล่าเลยค่ะ อาจารย์…ห่วงฉันเหรอ”


 


“เอ่อ…” หลี่ว์ซู่ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร จากนั้นเขาจึงเลือกที่จะยอมแพ้และกลับไปหลับต่อแทน


 


รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยาเอโกะ บางทีคิริฮาระคุงอาจไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คาดเอาไว้ก็ได้ เธอคิดในใจว่า ท่านอาจารย์ของเราอาจคิดมากเกินไป


 


การคาดเดาที่อยู่ในใจของหลี่ว์ซู่ว่าอาจมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับซากุราอินั้นยิ่งดูน่าเชื่อว่าจะจริงมากขึ้นไปอีก ขออย่าให้กระทบกับการสอนศิลปะป้องกันตัวของเธอในสุดสัปดาห์นี่เลยเถอะนะ…


 


อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนั้นไม่มีเวลาที่จะไปสนใจอะไรขนาดนั้น หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดในการเดินทางมาที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ ไม่ใช่ทั้งมรดกหรือภารกิจ แต่เป็นแต้มอารมณ์ที่จะรับจากกลุ่มทวยเทพได้ฟรีๆ


 


เขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของการจุดประกายกลุ่มดาวที่สามทั้งหมด โดยเหลือดวงดาวอยู่เพียงสองดวงเท่านั้น หลี่ว์ซู่ยังสงสัยเกี่ยวกับรูปลักษณ์และการใช้งานของกระบี่เล่มที่สามอีกด้วย และสงสัยว่าเขาจะเป็นอย่างไรหลังจากได้เลื่อนขั้นขึ้นไปสู่ระดับ B ในที่สุด


 


และเขาเชื่อว่าเขาสามารถจะรับแต้มอารมณ์จากกลุ่มทวยเทพจนหมดครบยันหยดสุดท้ายเลยทีเดียว


 


ในตอนกลางคืน หลี่ว์ซู่รอจนกระทั่งสี่ทุ่มก่อนจะออกจากบ้านไป ขณะที่บันไดก็ออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ ทางประตูหลังในเวลาเดียวกัน เขาเน้นบอกเธอเป็นพิเศษว่าไม่ให้กลับมาจนกว่าเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องประสบปัญหาหากเกิดอะไรไม่ดีขึ้นที่ฝั่งของหลี่ว์ซู่


 


แผนการของเขามีความไม่แน่นอนอยู่ตามปกติวิสัย ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงหวังจะลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดสำหรับคนอื่น ผลที่ตามคือเขาไม่ได้ใช้แม้กระทั่งข้อมูลที่สำคัญที่สุดที่หน่วยข่าวกรองของเครือข่ายมีให้ เพื่อที่จะได้ไม่ทิ้งเบาะแสที่น่าสงสัยเอาไว้ข้างหลังให้ต้องชี้ไปที่ใครอื่นเลย


 


อีกนัยหนึ่งก็คือ หลี่ว์ซู่ไม่ใช่คนเลือดเย็นและไม่อาจคิดที่จะให้คนอื่นต้องมาสละชีวิตเพื่อเขา


 


นอกเหนือไปจากนั้น เขาคงจะต้องรู้สึกสำนึกผิดหากมีคนบริสุทธิ์ต้องประสบปัญหาไปด้วย เพราะเขาไม่ได้กระทำการเพื่อเจตนาอันดีงามสูงส่งอะไร


 


หลี่ว์ซู่กระโดดข้ามกำแพงไปเงียบๆ และทำตัวเองให้กลมกลืนในความมืด ขณะที่เขายืนอยู่บนหลังคาของตึก เขามองลงมาที่สำนักงานใหญ่ของทวยเทพที่อยู่ไกลออกไป ยังมีไฟบางห้องที่เปิดอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น


 


ในฐานะที่พวกเขาเป็นองค์กรผู้บำเพ็ญ หลี่ว์ซู่จึงสงสัยว่าดึกดื่นป่านนั้นแล้วพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่


 


เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว มันก็เข้าใจได้อยู่หรอก การบำเพ็ญเพียงอย่างเดียวนั้นเพียงพอที่จะรับประกันความอยู่รอดของเราในป่าเขา แต่ไม่ใช่ในโลกที่สกปรกโสมมนี้


 


ณ ที่แห่งนี้ ต้องมีการรวบรวมข้อมูลจากทั่วโลกไว้ทันทีทันควัน ต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ระดับภูมิภาค และ…


 


ว่าไปแล้ว การที่เครือข่ายฟ้าดินมีราชันฟ้าเนี่ยถิงวิ่งไล่ฆ่าคนทุกวี่ทุกวันนั้นมันไม่เป็นอะไรใช่ไหม เขาไม่มีงานบริหารอะไรให้ทำเลยเหรอ ตั้งแต่หลี่ว์ซู่พบว่าเรื่องมรดกเป็นเพียงการต้มตุ๋น เขาก็เอาแต่บ่นเรื่องเนี่ยถิงรายวัน…


 


ตอนเที่ยงคืน ไฟส่วนใหญ่ในคฤหาสน์ก็ปิดลงเกือบหมด หลี่ว์ซู่กระโดดลงมาจากยอดตึกและเดินไปยังคฤหาสน์อย่างเป็นกันเอง เขาไม่กลัวเพราะในเวลานี้พวกนักสู้มืออาชีพส่วนใหญ่ได้กลับบ้านไปฝึกวิชาแล้ว คฤหาสน์นั้นถูกใช้เพื่อการทำงานเท่านั้นและไม่ใช่สถานที่พักอาศัยอย่างแน่นอน


 


นี่เป็นเพราะไม่มีการสะสมพลังจิตวิญญาณในคฤหาสน์นั้นมากเพียงพอ ซึ่งก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับในโรงเรียน


 


ดังนั้น คฤหาสน์จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งมากกว่าการใช้ประโยชน์ได้แท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วหลี่ว์ซู่ก็คงไม่เลือกที่นี่อยู่แล้ว…


 


นอกทางเข้าคฤหาสน์มีผู้รักษาความปลอดภัยอยู่สิบสองคน โดยที่แต่ละคนมีคลื่นพลังที่เข้มข้น


 


หลี่ว์ซู่มั่นใจหลังจากมองผ่านเพียงแวบเดียวว่าพวกเขาทั้งหมดอยู่ระดับ D หรือสูงกว่านั้น พวกเขายืนกันเงียบๆ พร้อมทำหน้าตาขึงขังและห้อยดาบยาวไว้ใต้เอว


 


แต่มีหนึ่งในนั้นเตะตาของหลี่ว์ซู่ คนระดับ C!


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่เดินเข้าไป หนึ่งในนั้นทำความเคารพเขา “ท่านรัฐมนตรีคิตะมุระ!”


 


ทั้งสิบสองคนโค้งคำนับ หลี่ว์ซู่ยิ้มกว้าง “ดีมาก”


 


อย่างไรก็ตามในวินาทีต่อมาพวกเขาทั้งหมดก็เล็งดาบยาวของพวกเขามาที่หลี่ว์ซู่ ท่าของพวกเขาพร้อมเพรียงกันจนดูเหมือนพวกเขาได้ฝึกมาเป็นพิเศษหลายรอบ


 


“ตกลง ได้เลย ฉันจะไม่มีวันประสบความสำเร็จตอนที่ตั้งใจจะป้ายความผิดใส่คนอื่น…เวรเอ๊ย…” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจด้วยความเซ็ง


 


พูดตามตรงแล้วเขาก็ไม่ได้มาพร้อมความคาดหวังที่สูงเหมือนกัน เนื่องจากเขาอาจถูกเปิดโปงได้อย่างง่ายดายจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เวลาที่เข้ามา และกิริยาอาการ ยิ่งไปกว่านั้น คิตะมุระ ฮิโรโนะก็มีคนขับรถส่วนตัวที่ใช้เวลาเดินทางด้วย


 


ฉะนั้นหน้ากากของคิตะมุระนั้นมีประโยชน์ในการปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่เสียมากกว่า แม้ว่าเขาสามารถใช้ใบหน้าของใครอื่นก็ได้ หลี่ว์ซู่ยังพอมีความหวังลมๆ แล้งๆ อยู่บ้างในใจ…


 


ทันใดนั้นสถานการณ์ก็ตกอยู่ในความโกลาหล ในเสี้ยววินาทีเดียวใบมีดทั้งหมดก็สลัดหลุดออกจากฝักของพวกมันในทันที


 


ทว่าพวกเขาเลือกศัตรูผิดคน


 


ด้วยความเร็วดังสายฟ้าฟาด ร่างของหลี่ว์ซู่ล่าถอยออกมาจากวงล้อมและกระโจนกลับเข้าไปใหม่!


 


ณ วินาทีนั้น ดาบซามูไรสองเล่มได้แทงออกมาที่เขาพร้อมๆ กัน แต่หลี่ว์ซู่คีบใบมีดเอาไว้ระหว่างนิ้วมือของเขาอย่างง่ายดาย ก่อนที่ผู้รักษาความปลอดภัยจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้พวกเขาก็ถูกเหวี่ยงออกไปเมื่อหลี่ว์ซู่ออกแรงลงไปที่ใบมีดเหล่านั้น


 


หลี่ว์ซู่ขว้างดาบซามูไรทั้งสองเล่มนั้นทิ้งด้วยหลังมือโดยไม่มีลังเล มันตรึงผู้รักษาความปลอดภัยสองคนไว้ที่กำแพงก่อนที่พวกเขาจะสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีนั้นได้ด้วยซ้ำ ณ ตอนนั้นด้ามดาบสองเล่มยังคงสั่นสะท้านไม่หยุดเลย!


 


ตอนนี้ผู้รักษาความปลอดภัยคนอื่นๆ เข้าใจแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายแปลกหน้าคนนี้ หนึ่งในนั้นเลื่อนเอาของชิ้นหนึ่งที่ดูคล้ายกุญแจรถสีดำเข้ามาในฝ่ามือของตัวเอง แต่หลี่ว์ซู่ก็ไปถึงก่อนที่เขาจะกดปุ่มได้


 


แล้วชายคนนั้นก็ทำได้แค่มองดูหน้าอกของเขายุบลงจากแรงต่อยของหมัดที่หลี่ว์ซู่ปล่อยออกมา ในวินาทีต่อมาเลือดของเขาก็ทะลักไม่หยุดและเขาก็ไม่อาจกดปุ่มนั้นได้อยู่ดี!


 


พวกที่เหลืออีกไม่กี่คนมีดวงตาสีแดงก่ำจากความกระหายเลือด พวกเขากระโจนเข้าใส่หลี่ว์ซู่โดยไม่ได้คิดถึงโอกาสชนะเลย หลังจากถอนหายใจเบาๆ หลี่ว์ซู่ก็จัดการพวกเขาทั้งหมดอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย ในตอนนี้เขามีอาวุธวิเศษอีกสิบสองชิ้นอยู่ในกระเป๋าแล้ว…


 


เขาตัดสินใจจากไปเนื่องจากคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าของทวยเทพจะต้องถูกดึงดูดมาที่นี่จากการฆ่าอย่างอุกอาจของเขาอย่างแน่นอน


 


ในการคำนวณของบันไดก่อนหน้านี้ มันจะใช้เวลาแค่ห้านาทีเป็นอย่างมากที่คนระดับ B จะออกจากที่พักมาถึงคฤหาสน์ แต่หลี่ว์ซู่นั้นยังไม่เสร็จธุระ


 


เขาค่อยๆ เอาแปรงกับสีแดงออกมากระป๋องหนึ่งจากตราแผ่นดินของเขา เขาซื้อมันมาในตอนบ่ายเพียงเพื่อที่จะได้รับแต้มอารมณ์เพิ่มโดยเฉพาะ


 


ขณะที่ทีมงานกำลังวุ่นวายกับการโทรเรียกผู้อาวุโสของทวยเทพอยู่ในห้องควบคุม พวกเขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อมองดูหลี่ว์ซู่ทาสีลงบนประตูของพวกเขาและจากไปในทันที…


493 ชายผู้กล้าหาญ

 


ผู้บำเพ็ญจำนวนมากมายจับกลุ่มกันมาที่คฤหาสน์ภายในไม่ถึงสองนาทีหลังจากหลี่ว์ซู่จากไป


 


แท้จริงแล้วเขาเอาเปรียบพวกเขา ในครั้งก่อน แม้แต่ตัวเนี่ยถิงเองก็ไม่ได้ไปที่คฤหาสน์ทวยเทพเพราะทุกคนรู้ว่ามันเป็นแค่รังเปล่าที่ไร้ความหมาย


 


แม้กระนั้นก็ยังมีคนระดับ C ประจำการอยู่ในกองกำลังรักษาความปลอดภัยของพวกเขา นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากในช่วงเวลาที่มีคนระดับ A อยู่น้อยกว่าสิบคนและคนระดับ B ก็ยังถูกถือว่าเป็นหัวกะทิของผู้บำเพ็ญได้ด้วย เพราะอย่างไรเสียจะมีคนระดับ C สักกี่คนที่จะพอใจงานตำแหน่งผู้รักษาความปลอดภัยบ้าง


 


ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาไม่มีทางจ้างคนระดับ B มาทำงานนี้ได้แน่ นอกเหนือจากนั้น มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนระดับ B คนใดมาก่อปัญหาที่นั่นทั้งที่รู้ว่าทำไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย


 


ข้อมูลที่สำคัญทั้งหมดถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างปลอดภัยในบ้านของผู้บังคับบัญชาระดับ B ฉะนั้นจะมีคนระดับ B คนใดที่ว่างและเบื่อมากพอที่จะเล็งเป้าหมายมาที่คฤหาสน์นี้บ้างล่ะ


 


อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่นั้นทั้งว่างและเบื่อ และที่สำคัญเขาจะได้รับผลประโยชน์จากการทำแบบนี้มากมายซึ่งยังเป็นความลับที่คนทั้งโลกไม่รู้


 


คนเหล่านั้นเริ่มเดือดพล่านด้วยความโกรธแค้นเมื่อเห็นศพที่นอนอยู่ คนของพวกเขาถูกสังหารอยู่ตรงหน้าสำนักงานใหญ่ของตัวเอง ช่างน่าละอาย!


 


ผู้บังคับบัญชาระดับ B คนหนึ่งเข้ามายืนอยู่ตรงทางเข้าเงียบๆ ใบหน้าของเขาเฉยเมยแม้จะเดือดดาลอยู่ข้างใน


 


[ได้แต้มจากทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ +499! ]


 


[ได้แต้มจาก…]


 


[ได้แต้มจาก…]


 


มีชายคนหนึ่งเข้ามารายงาน “ท่านครับ ศัตรูไม่ได้ทิ้งเบาะแสเอาไว้เลย ผู้มีพลังสายธาตุดินของเราได้ออกไล่ล่าทางใต้ดินแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววการหลบหนีของเขาทางใต้ดินเลย”


 


“คนระดับ D สิบเอ็ดนายและคนระดับ C หนึ่งนายถูกฆ่าตายด้วยมือเปล่าในระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้” ทาคาชิมะถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก “และเขาไม่ได้ใช้แม้กระทั่งกระบี่บินของเขาด้วยซ้ำ ต้องเป็นเขาแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ราชันฟ้าคนที่เก้า เขาคงจะโกรธเรื่องหมายจับของเจ้านักเรียนห้องเต้าหยวน”


 


การแก้แค้นของเครือข่ายฟ้าดินนั้นอยู่ในความคาดหมายของพวกเขาอยู่แล้ว แต่ประสิทธิภาพในการลงมือนั้นกลับอยู่เหนือความคาดหมาย แค่สองวันก่อนนี้เอง มีข่าวมาจากอาณาจักรมืดเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตายของหลี่ว์ซู่และการอ้างสิทธิ์ทรายขาวทะเลน้ำลึกจากนักฆ่าที่ใช้ชื่อรหัส โยว


 


“สถานการณ์ของเรานั้นไม่ค่อยจะมีหวังเสียเท่าไร ผู้มีพลังสายธาตุดินเป็นเครื่องมือลอบสังหารที่มีประสิทธิภาพในการแทรกซึมของสายลับเสมอมา แล้วตอนนี้เครือข่ายฟ้าดินก็ดันผลิตพวกเขาในระดับ B ออกมาอีก”


 


ในช่วงของการฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณยุคต้นๆ ศักยภาพและความสามารถของผู้มีพลังสายธาตุดินนั้นโดนดูถูกไว้ จนกระทั่งแอนโทนีได้เดินทางหลายพันกิโลเมตรเพียงเพื่อจะไปฆ่าเฉินไป่หลี่ โลกจึงได้เห็นจุดแข็งอันเหลือเชื่อในการแทรกซึมของพวกเขาในที่สุด


 


เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวที่หาที่เปรียบไม่ได้ของสายธาตุดินแล้ว สายธาตุไฟมีความสามารถที่สุดในด้านการโจมตีซึ่งๆ หน้า


 


“ปิดทางเข้าออกเมืองทั้งหมดและตรวจสอบผู้ต้องสงสัยทุกคนทีละคน เขาไม่มีทางหลบอยู่ใต้ดินได้ตลอดเวลาหรอก” ทาคาชิมะสั่งการ


 


ในตอนนั้นก็มีใครบางคนถามขึ้นว่า “ดูสิ! อะไรอยู่บนประตูแก้วน่ะ”


 


ก่อนหน้านี้ พวกเขาถูกดึงความสนใจไปที่ศพทั้งหลายซึ่งทำให้พวกเขาไม่สนใจประตู เมื่อเข้าตรวจสอบ พวกเขาก็ได้เห็นวงกลมสีแดงขนาดใหญ่พร้อมคำภาษาอังกฤษที่เขียนว่า ‘รื้อถอน’ อยู่ด้านใน


 


“มันหมายความว่าอะไร”


 


“งานรื้อถอนอาคาร…”


 


“อะไรนะ”


 


“คำนั้นหมายความว่า อาคารนี้จะถูกรื้อถอน…”


 


บุคคลที่มีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประเทศจีนอธิบายอย่างรวดเร็วว่ามันเป็นเครื่องหมายสำหรับการรื้อถอนบ้านเรือนในประเทศจีน อาคารที่ทาสีแบบนั้นเอาไว้จะถูกรื้อถอนในระยะเวลาที่กำหนด ฉะนั้นเครือข่ายฟ้าดินต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน…


 


ทุกคนสะดุ้งตกใจ มันเป็นใครกัน กล้าขนาดนี้เลยเหรอ!


 


มิหนำซ้ำ ทำไมต้องทำให้องค์กรที่พูดภาษาอังกฤษแห่งอื่นเสียชื่อเสียงไปกับอะไรบางอย่างที่เป็นลักษณะเฉพาะของประเทศนายด้วย!


 


[ได้แต้มจากทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ +999!]


 


[ได้แต้มจาก…]


 


[ได้แต้มจาก…]


 


พวกเขาพากันตะลึงในตรรกะของหลี่ว์ซู่ คงจะไม่มีใครจากประเทศอื่นวาดภาพแบบนี้บนกำแพงสาธารณะหรอก!


 


เขาเป็นอัจฉริยะประเภทไหนกันที่ดันมีพรสวรรค์ในการทำให้คนเกลียดชังได้ขนาดนี้ แล้วเขาต้องการอะไรเหรอ!


 


ในไม่ช้า ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็กระจายออกไปทั่ว จนถึงกระทั่งไปถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยซ้ำ


 


ผลที่ตามมาก็คือ จากที่ดาวดวงที่หกของหลี่ว์ซู่สว่างเพียงครึ่งเดียว มันก็กลับสว่างจนเกือบสมบูรณ์ภายในชั่วข้ามคืน การจุดประกายของดาวดวงนั้นอยู่แค่เอื้อมด้วยการสนับสนุนจากทวยเทพในเวลาต่อมา…


 


และเขาเชื่อว่ามันก็ทำได้ไม่ยาก ฉันนี่อัจฉริยะจริงๆ ! หลี่ว์ซู่คิดในใจ


 


กล่าวกันว่าส่วนที่ยากที่สุดในการเดินไต่เชือกนั้นอยู่ที่สามก้าวสุดท้ายก่อนที่นักกายกรรมจะไปถึงแท่น


 


นั่นเป็นเพราะจิตใจที่มีความเป็นผู้ใหญ่น้อยอาจพยายามน้อยลงเมื่อใกล้จบการแสดง ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดถึงตายได้


 


และสำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว สิ่งสุดท้ายที่อยู่ในรายการต้องทำของเขาคือการเดินสามก้าวสุดท้ายอย่างระมัดระวังและปลอดภัย


 


ในระหว่างนั้น เมื่อผู้อาวุโสทั้งหมดถูกเรียกตัวมาที่คฤหาสน์ หลี่ว์ซู่จึงรีบฉวยโอกาสในการวาดสัญลักษณ์รื้อถอนเอาไว้ที่บ้านของสมาชิกตัวยงของทวยเทพทั้งหมด…


 


เนื่องจากไม่อาจได้มาซึ่งมรดกหรือสมบัติล้ำค่าใดๆ ในครั้งนี้เป้าหมายเดียวของหลี่ว์ซู่จึงเป็นพลังการบำเพ็ญ ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาเพื่อนสมาชิกทวยเทพสำหรับการเลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับ B ของเขา


 


เมื่อเขามาถึงประตูบ้านของคิตะมุระ จู่ๆ ก็มีดาบสั้นพุ่งใส่เขาจากเงาที่อยู่ด้านหน้า หลี่ว์ซู่แปลกใจในความเร็วที่น่าทึ่งของมัน


 


เมื่อล่าถอยไปข้างทางด้วยความเร็วสูงสุดของเขา หลี่ว์ซู่จึงรอดพ้นจากการโจมตีถึงตายนั้นอย่างหวุดหวิด!


 


ก่อนที่เขาจะหายตกอกตกใจ เขาก็มองเห็นผู้ที่โจมตีคนนั้นค่อยๆ ก้าวออกมาจากเงามืดอย่างเชื่องช้า เธอสวยมากและซากุระก็ผลิดอกงามอยู่บนกิโมโนของเธอ…เดี๋ยว! นั่นมันซากุราอิ ยาเอโกะไม่ใช่เหรอ!


 


เสียงของยาเอโกะเย็นชาราวกับหิมะในฤดูหนาว “คิตะมุระ ฮิโรโนะ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่แกมีชีวิต”


 


“???”


 


ปรากฏว่านี่น่ะเหรอคือเหตุผลที่เธอเจ้าอารมณ์นัก!


 


จนมาฆ่าฉันในวันนี้! เฮ้ย! น้องสาว ฉันไม่ใช่คนที่เธอตามหาอยู่หรอกนะ!


 


หลี่ว์ซู่ทำอะไรไม่ถูกเพราะมันคงจะไม่ดีแน่หากเขาจะเปลี่ยนกลับไปหน้าเดิมต่อหน้ายาเอโกะ แม้ว่าเขาจะมีบุคลิกที่ไม่เสมอต้นเสมอปลายตามบทที่วางเอาไว้ แต่เขาก็ไม่อาจเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาได้…


 


หลี่ว์ซู่ก่นด่าอยู่ในใจเงียบๆ ตอนนี้เขาต้องมารับกรรมแทนคิตะมุระ ฮิโรโนะ! เวรกรรมตามทันจริงๆ!


 


และประเด็นก็คือ ตอนนี้เขาไม่อาจอธิบายตัวเองได้ชัดๆ! ซากุราอิ! ขอร้องเถอะ!


494 เกิดอะไรขึ้น!

 


คืนนั้น คิตะมุระพาพวกไปบ้านซากุราอิเพียงเพื่อจะพบว่าไม่มีใครอยู่บ้านนั้นอย่างแท้จริง


 


ยาเอโกะมุ่งมั่นที่จะเอาชีวิตของคิตะมุระ แม้ว่าเธอจะไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะการแสดงความคิดเห็นสบประมาทของเขาหรือเพราะการขู่ฆ่าคิริฮาระกันแน่ แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่สำคัญอีกต่อไป


 


แทนที่จะดักซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆ ห้องพักของเธอ เธอกลับเลือกถนนหน้าบ้านของคิตะมุระ และแล้วเธอก็ดันมาเจอกับหลี่ว์ซู่


 


ในตอนนี้ แขนเสื้อและขากางเกงของยาเอโกะรวบเข้าหากัน และกิโมโนชุดหลวมของเธอก็พลันแปรสภาพไปเป็นชุดฝึกแบบมืออาชีพ ความจริงแล้วกิโมโนซากุระของเธอเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของอาวุธวิเศษที่เปลี่ยนสภาพได้


 


ในเสี้ยววินาทีเดียว กลิ่นอายแห่งการฆาตกรรมก็ฟุ้งกระจายไปทั่วค่ำคืนอันแสนงดงาม ดาบสั้นของยาเอโกะนั้นทำงานประสานร่วมกันกับชุดใหม่ของเธอ ส่งให้เธอดูอันตรายยิ่งนัก


 


หลี่ว์ซู่คิดหนักแต่ก็ไม่อาจหาทางออกได้


 


ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่เต็มใจจะฆ่าเธอหลังจากที่ได้รู้ว่าเธอเป็นคนจิตใจดีในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา


 


และที่สำคัญที่สุด มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด!


 


ณ วินาทีนั้น กลีบดอกซากุระบนชุดกิโมโนของเธอได้ร่วงหล่นลงมาที่พื้นจริงๆ เหลือไว้เพียงรอยด่างสีดำสนิทที่มืดมิดราวกับหุบเหวลึก


 


มันทั้งสง่างามและทั้งอันตรายถึงตายในเวลาเดียวกัน จู่ๆ กลีบดอกเหล่านั้นก็กระเด้งขึ้นไปยังหลี่ว์ซู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยราวกับใบมีดนับสิบเล่ม และหมุนคว้างเป็นสายน้ำสีชมพูที่ไหลทะลักทลาย


 


ชุดกิโมโนของเธอไม่ได้เป็นเพียงอาวุธวิเศษเท่านั้น แต่มันยังเป็นอาวุธที่ร้ายกาจมากอีกด้วย!


 


“รอเดี๋ยว!” หลี่ว์ซู่ร้อง “รอแป๊บเดียว!”


 


ยาเอโกะหยุดชะงักไปชั่วขณะด้วยความตกใจและความสงสัยว่าคิตะมุระมีแผนอะไร เขา…ดูต่างจากผู้ชายที่เธอได้ข้อมูลมา คิตะมุระ ฮิโรโนะควรจะเป็นนักสู้ที่จริงจังในระหว่างการต่อสู้ใดๆ ไม่ใช่เหรอ


 


แต่เธอไม่มีเจตนาจะหยุด ความมุ่งมั่นของเธอไม่มีวันโอนอ่อนไปตามคำพูดที่ทำให้เสียสมาธิไม่กี่คำหรอก


 


ผลก็คือ แม้ว่าจะโดนคลื่นของกลีบดอกซากุระไล่ตามมา หลี่ว์ซู่ก็ยังแบกกระป๋องสีแดงและเขียนตัวอักษรจีนว่า ‘拆 [1] ’ และล้อมคำไว้ด้วยวงกลมวงใหญ่ ครั้งนี้เขาไม่มีเวลาพอที่จะใส่ร้ายคนอื่นและเขียนมันด้วยภาษาจีนแทน


 


นี่ทำให้ยาเอโกะสับสนหนักเข้าไปใหญ่ เกิดอะไรขึ้น! ทำไมแกต้องวาดรูปนั้นบนประตูของตัวเองตอนที่ฉันกำลังจะฆ่าแกด้วย มันเป็นสัญลักษณ์วิเศษอีกอันหนึ่งที่พวกลัทธิคลั่งชาติสร้างขึ้นมาเหรอ แต่มันหมายความว่าอะไร


 


ในภาษาญี่ปุ่น ตัวคันจิที่เขียนว่า ‘拆’ มีความหมายที่แตกต่างจากคำภาษาจีนที่เขียนคล้ายกัน


 


ทันใดนั้นยาเอโกะก็นึกขึ้นได้และเตรียมพร้อมในทันที ถ้าสัญลักษณ์นี้สามารถปล่อยพลังที่ร้ายแรงบางอย่างออกมาได้ล่ะ


 


ทว่าในวินาทีต่อมา หลี่ว์ซู่ก็โยนกระป๋องสีของเขาทิ้งไปและออกวิ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจในการสัประยุทธ์นั้นเอาเสียเลย!


 


[ได้แต้มจากซากุราอิ ยาเอโกะ +199!]


 


อะไร! แล้วตกลงเมื่อกี้แกวาดอะไรเหรอ!


 


ยาเอโกะจ้องรูปร่างที่ห่างออกไปของหลี่ว์ซู่ด้วยความงุนงง กลีบดอกซากุระคืนกลับไปที่ชุดกิโมโนของเธอเพราะเป้าหมายได้วิ่งออกไปไกลเกินวิถีต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพของพวกมัน อย่างไรก็ตาม เธอยังคงไม่อาจอธิบายปฏิกิริยาของคิตะมุระได้ เขาต้องเป็นนักฆ่าบ้าระห่ำที่อำพรางตัวเอาไว้ภายใต้โฉมหน้าของผู้ที่อ่อนโยนไม่ใช่เหรอ


 


ไอ้บ้านั่นวิ่งหนีทำไม!


 


“คิตะมุระ ฮิโรโนะ! หยุดนะ!” สีหน้าความเป็นนักฆ่าคืบคลานอยู่ทั่วใบหน้าของยาเอโกะ คิ้วบางๆ ของเธอนั้นคมกริบเหมือนมีดปลายแหลม


 



 


ก่อนที่คิตะมุระจะไปที่ห้องพักของยาเอโกะในคืนนั้น เขาได้ทำการตรวจสอบภูมิหลังทั้งหมดของซากุราอิ ยาเอโกะซึ่งแน่นอนว่าหาได้ในท้องตลาดอยู่แล้ว


 


แม้ว่าเธอจะมีประวัติที่ดูใสสะอาด คิตะมุระก็มีประสบการณ์พอที่จะสังเกตเห็นจุดด่างพร้อยในนั้น ยกตัวอย่างเช่น การไม่มีบันทึกเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่พรากชีวิตของพ่อแม่ของเธอ นอกเหนือไปจากนั้น ซากุราอิมีชีวิตรอดและใช้ชีวิตในวัยเรียนที่ดีขนาดนี้โดยปราศจากรายได้และผู้ดูแลได้อย่างไร


 


มีประเด็นที่เป็นคำถามอยู่มากมายเกินไปที่สามารถสนับสนุนความคิดของคิตะมุระ แต่ความจริงแล้ว เป้าหมายของเขาแสนจะธรรมดา เขาต้องการซากุราอิ ยาเอโกะและต้องการใช้เธอล้างบางกองกำลังอนุรักษ์นิยมที่ยังเหลืออยู่ให้หมดสิ้น นั่นจะมีส่วนสำคัญต่อเส้นทางในอนาคตของเขาในองค์กร


 


แต่มันอยู่เหนือความคาดฝันโดยสิ้นเชิงที่เขาจะต้องมาโดนเธอหลอก


 


ก่อนที่เขาจะระงับความโกรธของตัวเองไว้ได้ก็มีการส่งข่าวมาว่าใครบางคนปลอมตัวเป็นเขาแล้วไปกระหน่ำฆ่าคนที่หน้าคฤหาสน์


 


ทว่าครั้งนี้คิตะมุระไม่ต้องกังวลเพราะมีพยานรอบๆ ตัวอยู่มากพอที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น สัญลักษณ์ที่ผู้โจมตีทิ้งไว้ข้างหลังนั้นเป็นตัวแทนของคนทำได้ดีมาก…


 


ตอนนี้มีการยืนยันแล้วว่าตัวการนั้นมาจากเครือข่ายฟ้าดิน เรื่องนี้ไม่มีสองแง่สองมุมแน่


 


ฉะนั้นเสียงที่ไม่ดีต่อคิตะมุระก็จะค่อยๆ เงียบหายไปในไม่ช้า


 


คิตะมุระโล่งใจที่คดีนั้นแก้ปมได้แล้ว จริงๆ แล้วชายผู้นี้ไม่ได้คิดมากกับคำครหานินทามากมายนัก…


 


ตอนนี้เครื่องจักรแห่งสงครามอย่างทวยเทพได้เดินเครื่องเต็มกำลังแล้ว ผู้มีพลังสายธาตุดินทุกคนถูกส่งไปใต้ดินเพื่อค้นหาเบาะแสที่อาจเกิดขึ้นจากฝีมือของผู้บุกรุก ในขณะที่เส้นทางการจราจรสำคัญๆ ทั้งหมดบนพื้นดินก็ถูกปิดลงเพื่อการตรวจสอบทั้งเมือง


 


หลังจากทำหน้าที่เสร็จสิ้น คิตะมุระจึงกลับบ้านเพื่อพักผ่อน ทวยเทพมีการแบ่งลำดับขั้นของการปกครองคนอย่างชัดเจน และเขารู้ว่าหน้าที่เดียวของเขาในคดีนี้คือการรับสายจากผู้บังคับบัญชาอย่างทันท่วงทีเมื่อมีเหตุจำเป็น


 


ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น อาจารย์ของเขาได้ตักเตือนว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศัตรูระดับ B อย่างไรเสียชายคนนั้นก็ลงมือฆ่าผู้รักษาความปลอดภัยระดับ C ได้ภายในชั่วพริบตา


 


เนื่องจากอาจารย์ของเขาเป็นผู้นำคนปัจจุบันของทวยเทพ จึงไม่มีความจำเป็นที่คิตะมุระจะต้องเสี่ยงภัย


 


แต่เพื่อแสดงออกถึงความห่วงใยและความจริงใจ คิตะมุระจึงได้ส่งคนของเขาทั้งหมดออกไปเพื่อทำงานอเนกประสงค์ต่างๆ ในระหว่างทางกลับบ้านขณะที่เขาจอดรถและกำลังเดินถึงบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงซากุราอิตะโกนว่า “คิตะมุระ ฮิโรโนะ! หยุดนะ!”


 


คิตะมุระชำเลืองมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นซากุราอิอยู่ที่ไหนเลย


 


แล้วซากุราอิก็พุ่งออกมากลางสี่แยก รูปร่างเพรียวบางของเธอดูทรงเสน่ห์ในชุดกิโมโนที่ปรับทรงแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเธอถูกล้อมไว้ด้วยรังสีอำมหิต อย่างไรก็ตาม…ดูเหมือนว่าเธอจะมองไม่เห็นเขาด้วยซ้ำ!


 


[ได้แต้มจากคิตะมุระ ฮิโรโนะ +666!]


 


เกิดอะไรขึ้นเหรอ! คิตะมุระรู้สึกหัวหมุนไปหมดด้วยความสับสน


 


 


——


 


[1] รื้อ


495 ความเข้าใจผิด

 


ทันทีที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้อยู่ในระยะสายตาของยาเอโกะ เขาก็เริ่มเร่งฝีเท้าให้วิ่งเร็วที่สุด ด้วยความเร็วเทียบเท่าคนระดับ B ที่น่าทึ่งของเขาจึงเป็นไปไม่ได้ที่ยาเอโกะซึ่งอยู่แค่ระดับ C จะตามเขาทันได้…


 


ยาเอโกะยอมอ่อนข้อลงเล็กน้อย ไม่มีอะไรในข้อมูลของเธอที่บอกว่าฮิโรโนะวิ่งได้เร็วขนาดนั้น


 


ในตอนนั้นเอง เธอก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนหาเธอมาจากข้างหลัง “คุณซากุราอิ กำลังตามหาผมอยู่เหรอ”


 


ยาเอโกะหันกลับไปมองทันที เธอตกตะลึงเมื่อพบว่าฮิโรโนะวิ่งตามมาจากข้างหลังและกำลังเดินข้ามสี่แยกมาหา


 


ณ ชั่วขณะนั้นเอง ทั้งฮิโรโนะและยาเอโกะก็มองเห็นเศษเสี้ยวแห่ง…ความไม่แน่ใจ…ในแววตาของกันและกัน


 


ยาเอโกะคิดอยู่เงียบๆ ไอ้บ้านี่วิ่งมาข้างหลังฉันได้ยังไง มันจะวิ่งเร็วขนาดย้อนกลับมาได้เลยก็ไม่น่าจะใช่


 


ฮิโรโนะสงสัยกับตัวเอง ก็เธอมายืนหน้าดุอยู่ตรงนี้เองไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงทำหน้าอย่างกับว่าตัวเองไม่น่ายืนอยู่ที่นี่เสียอย่างนั้นล่ะ


 


หลี่ว์ซู่หนีไปไกลแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะต้องตามรอยเขาเจอ เขาได้โกยหนีและทิ้งยาเอโกะและคิตะมุระให้ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้างหลัง


 


[ได้แต้มจากซากุราอิ ยาเอโกะ +666!]


 


[ได้แต้มจากคิตะมุระ ฮิโรโนะ +666!]


 


ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะหลี่ว์ซู่ ฉะนั้นแต้มอารมณ์ที่เกิดจึงเป็นความผิดของหลี่ว์ซู่คนเดียว!


 


ฮิโรโนะหัวเราะเบาๆ “คุณซากุราอิ คุณนี่ใช้ผมเพื่อความบันเทิงจริงๆ เลยนะ หือ เมื่อคืนนี้ตอนที่ผมพยายามตามหาคุณ กลับไม่มีใครอยู่บ้านเลยจริงๆ ด้วย แล้วทำไมวันนี้ถึงได้มาหาผมที่บ้านเสียเองเลยล่ะ”


 


ยาเอโกะจ้องเขม็งไปที่ฮิโรโนะ เธอกล่าวว่า “หลังจากคืนนี้ จะไม่มีคิตะมุระ ฮิโรโนะจากทวยเทพอยู่บนโลกนี้อีก”


 


“เหรอ” ฮิโรโนะขยับแว่นตาที่ไม่มีค่าสายตาของเขา “แค่เพราะเจ้าโอดะ โทคุมะเป็นอาจารย์ของเธอเท่านั้น ฉันเกรงว่าเธอก็ยังไม่อาจฆ่าฉันได้หรอกนะ ฉันยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวมันเองจะทำได้หรือเปล่าซะด้วยซ้ำ”


 


ยาเอโกะไม่แน่ใจว่าเขาไปเอาความกล้ามาจากไหน เขากำลังพูดว่าคนระดับ B ไม่สามารถฆ่าเขาได้จริงๆ เหรอ


 


อย่างไรก็ตาม เธอไม่คิดที่จะพูดจาไร้สาระด้วย ทันทีที่ฮิโรโนะพูดจบเธอก็เตรียมโจมตี ทว่าในตอนนั้นกลับมีดาบยาวร่วงลงมาจากเสาไฟฟ้า ทันใดนั้นร่างของโอดะ โทคุมะก็ปรากฏขึ้นและดาบเล่มนั้นก็พร้อมที่จะผ่าร่างของคิตะมุระออกครึ่งซีก


 


ยาเอโกะอึ้งจนพูดไม่ออก ทำไมท่านอาจารย์ของเธอจึงไปแอบอยู่ตรงนั้น มันดูเหมือนว่าเขาวางแผนจะฆ่าเจ้าคนอวดดีฮิโรโนะ!


 


แต่ภายในเสี้ยววินาทีนั้น มีร่างที่มองไม่เห็นผลักคิตะมุระจากด้านหลัง และก็ฉวยโอกาสดึงดาบของเขาออกมาจากเอว แรงผลักที่หนักหน่วงนั้นได้ดันตัวโอดะ โทคุมะ ซึ่งกำลังกระโดดลงมาจากฟ้ากระเด็นในทันที


 


เสียงระเบิดดังกระหึ่มเป็นคลื่นออกไปพร้อมกับเสียงโลหะตีกระทบกัน บ้านเรือนที่อยู่รายรอบเริ่มสั่นไหวจากพลังของการปะทะของดาบสองเล่ม นี่เป็นการสัประยุทธ์ระหว่างคนระดับ B ที่ทรงพลังสองคน!


 


ร่างที่มั่นคงของโอดะ โทคุมะกลับขึ้นไปที่เสาไฟฟ้าอีกครั้ง เขามองลงมาแล้วหัวเราะอย่างขุ่นเคืองใจ “คิตะมุระ คิจิโทริ แกยังคงมีแผนลับเยอะอยู่เลยนะ”


 


ชายวัยกลางคนที่ชื่อ คิตะมุระ คิจิโทริ ค่อยๆ เก็บดาบลงฝัก เขาหัวเราะในลำคอ “ฉันอุตส่าห์ลงทุนพยายามตามหาแกตั้งนานนะไอ้หนูโสโครก หลังจากวันนี้ไป แกไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว รออยู่ข้างหลังนี่ซะเถอะ”


 


ณ ขณะนี้ สถานการณ์กลับไม่แน่นอนเสียแล้ว โอดะ โทคุมะได้มาสังเกตการณ์ด้วยตัวเองเพราะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวยาเอโกะและเป็นกังวลว่าเธอจะยอมจำนน


 


ในทางกลับกัน สาเหตุที่ฮิโรโนะกล้าพูดจาบ้าบิ่นในตอนนั้นก็เพื่อจะยั่วยุอาจารย์ของเขา ท่านอาจารย์ของเขารู้ว่าจากทั้งหมดที่มีอยู่สี่คนนั้น พลังของเขาใกล้เคียงกับของโอดะ โทคุมะมากที่สุด! เขาแค่วางแผนว่าจะถามถึงและทำให้โมโห แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะล่อโอดะ โทคุมะออกมาได้จริงๆ


 


คิจิโทริหัวเราะร่า “หนทางของแกยังอีกไกลถ้าแกคิดจะตามให้ทันคิริฮาระ คุรากิ ถ้าเขาอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าคำพูดของฉันจะไม่ทำให้เขาโกรธเลยสักนิด ในแง่ของพลังแล้ว ฉันเกรงว่าแกจะต้องยอมถอยและไปร่วมมือกับคนอื่นถึงจะพอมีโอกาสขึ้นมาบ้าง ไม่น่าล่ะสกุลที่ซ่อนเร้นพวกนั้นถึงได้ไม่เชื่อใจแกอีกต่อไป ถ้าเป็นฉัน มันก็คงยากสำหรับฉันเหมือนกันที่จะเชื่อใจในความเป็นผู้นำของแก พวกอนุรักษ์นิยมจะมีอนาคตอะไรเหลืออยู่อีก แต่…ถ้าข้างๆ ตัวฉันมีหนูที่ทำให้ผู้คนต้องรำคาญ สัญชาตญาณตามธรรมชาติก็คือการกำจัดแกออกไปเท่านั้นเอง”


 


เมื่อโอดะ โทคุมะได้ยินว่าเขาถูกคิจิโทริเรียกว่าเป็นหนู เส้นเลือดของเขาก็เต้นตุ้บๆ พร้อมที่จะระเบิด ผู้ที่ประกาศตนเป็นอัจฉริยะคนนั้นจะทนต่อการลบหลู่เยี่ยงนี้ได้อย่างไร


 


ทว่าในวินาทีต่อมา คิจิโทริก็ชักดาบออกมาจากฝักที่อยู่ตรงเอวและชี้ไปที่ยาเอโกะ!


 


โดยไม่รีรอให้โอดะ โทคุมะตอบโต้ คิจิโทริก็ไปถึงตัวของยาเอโกะเสียแล้ว เฉือนครั้งเดียวก็ทำให้ค่ำคืนพินาศย่อยยับแล้ว


 


ดอกซากุระบนชุดกิโมโนของยาเอโกะทุกดอกต้านแรงจากคมมีดนั้นก่อนที่จะทิ้งไว้เพียงฝุ่นผงบนใบมีด


 


เกิดเสียงดังกงวานขณะที่ใบมีดและชุดกิโมโนกระทบกัน ยาเอโกะลอยกระเด็นไปตามแรงจากใบมีด แต่ทว่าชุดกิโมโนของเธอยังคงไม่เสียหาย!


 


คิจิโทริอ้าปากค้างด้วยความชื่นชมแล้วหัวเราะออกมา “ของในตำนานชิ้นนั้นนั่นเอง! ที่แท้ก็อยู่ในมือของแก พวกอนุรักษ์นิยม”


 


ทว่าขณะที่เขาเตรียมไล่ตามไปฆ่าเธออีกครั้ง จู่ๆ โอดะ โทคุมะก็หนีออกไปไกล เขาไม่สนด้วยซ้ำว่าลูกศิษย์ของเขาจะได้ออกมาแบบเป็นหรือตาย เพราะสำหรับเขาแล้ว เขายังไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของคิจิโทริ!


 


คิจิโทริกล่าวด้วยความสังเวชใจ “ช่างขี้ขลาด ฮิโรโนะ ฉันจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธอนะ”


 


ทันทีที่พูดจบ คิจิโทริก็ถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็วและไล่ตามโอดะ โทคุมะไป


 


ยาเอโกะกระอักเลือดออกมาและยืนขึ้นอีกครั้ง เธอมองไปทางที่ท่านอาจารย์ของเธอหนีไปเหมือนกับจะถอนใจ มีบางคำถามและบางคำตอบที่เธอไม่อยากรู้คอยรบกวนจิตใจของเธอมาตลอด และตอนนี้ทุกอย่างก็ได้พิสูจน์ออกมาแล้ว


 


ไม่ต้องพูดถึงชุดกิโมโนดอกซากุระของเธอเลยว่าเป็นของวิเศษอย่างแท้จริง ไม่มีร่องรอยของความเสียหายเกิดขึ้นแม้หลังจากที่ได้ต้านการโจมตีขั้นสุดยอดจากคนระดับ B แม้ว่าเธอจะบาดเจ็บภายในที่ค่อนข้างจะรุนแรงแต่เธอก็ยังคงมีแรงที่จะเคลื่อนไหวได้!


 


ทันใดนั้นยาเอโกะก็หันหลังแล้วหนี เธอมุ่งหน้าไปที่โดโจ เธอรู้ว่าหากเธอไม่ได้รับกำลังเสริมก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอจะต้องตาย อย่างไรเสียฮิโรโนะก็คงไม่ได้อ่อนแอกว่าตอนที่เธอมีพลังเต็มที่มากนัก


 


นอกเหนือไปจากนั้น จู่ๆ ยาเอโกะก็อยากรู้ว่า หากท่านอาจารย์ได้ทอดทิ้งเธอ แล้ว…ชายหนุ่มคนนั้นจะช่วยเธอไหม


 


โลกใบนี้ยังคงหนาวเหน็บจริงๆ เลยนะ ยาเอโกะถอนหายใจเงียบๆ


 


ด้วยเหตุผลบางประการ ยาเอโกะรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มที่โดโจจะต้องช่วยเหลือเธออย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รู้จักกันมานานก็ตาม


 


ขณะที่ทั้งสองแข่งกันมุ่งหน้าไปทางโดโจ ฮิโรโนะหัวเราะไล่หลังยาเอโกะ “ทำไมเธอถึงได้หนีไปทางนั้นเล่า เธอคิดว่าเขาจะช่วยเธอจริงๆ เหรอ นังสายลับ เขาจะมองเธออย่างไรเมื่อเขารู้ตัวตนของเธอ เธอคิดว่าเธอจะอยู่เคียงข้างเขาได้เหรอ”


 


คำพูดของเขาทิ่มแทงลงไปในขั้วหัวใจของยาเอโกะ เธอแน่ใจว่าฮิโรโนะพูดถูก เจตนารมย์ในการมีปฏิสัมพันธ์กับหลี่ว์ซู่ของเธอนั้นผิดมาตั้งแต่แรก แล้วมันจะมีบทสรุปที่ถูกต้องได้อย่างไร


 


หากคิริฮาระรู้ว่าเธอเข้าหาเขาในฐานะสายลับ เธอจะแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองได้อย่างไร


 


แต่ตอนนี้ยาเอโกะไม่สนใจอะไรนักหนาแล้ว เธอเหมือนกับนักเดินทางที่จมน้ำ ซึ่งหวังเพียงแต่จะคว้าเอาฟางสักเส้นในสายน้ำแห่งกาลเวลานี้เพื่อพิสูจน์ว่าอย่างน้อยในสิบเจ็ดปีที่ได้มีชีวิตมา เธอก็ได้พบกับความจริงใจแม้เพียงครั้งเดียว


496 น้องชายฝาแฝดของคิตะมุระ ฮิโรโนะ

 


การสัประยุทธ์ระหว่างโอดะ โทคุมะและคิตะมุระ คิจิโทริทำเอาคนทั้งนิชิโนะเกียวต้องสะดุ้งตื่นจากการหลับใหล


 


เพียงมีแสงจากคมดาบส่องวาบขึ้นมาก็จะมีบ้านใกล้เรือนเคียงหลังหนึ่งถูกผ่าออกครึ่งท่อน ทว่าพวกเขาสองคนไม่ได้สนใจว่าจะมีใครในที่พักนั้นบาดเจ็บหรือไม่สักคน ร่างทั้งสองเคลื่อนที่กลับไปกลับมาอย่างเร็วในป่าคอนกรีตนี้ และทิ้งซากปรักหักพังเอาไว้ทุกที่ที่พวกเขาผ่าน


 


ทวยเทพได้รับการแจ้งเตือนทันทีและรีบรุดไปยังสมรภูมินั้นทันที พวกเขาส่วนใหญ่ไม่แน่ใจในแผนการของคิตะมุระ คิจิโทริ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คาดคิดว่าคนระดับ B ที่แข็งแกร่งของพวกอนุรักษนิยมจะถูกล่อออกมาได้ก่อนที่คนจากเครือข่ายฟ้าดินจะถูกจับเสียด้วยซ้ำ


 


ยาเอโกะร้อนรุ่มอยู่ในทรวงอก แม้ว่าบาดแผลบนร่างกายของผู้บำเพ็ญจะสมานได้เร็ว แต่การโจมตีจากคิจิโทรินั้นค่อนข้างจะรุนแรงมาก


 


สิ่งเดียวที่ทำให้เธอไปต่อคือความสงสัยใคร่รู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นจะเต็มใจช่วยเธอไหม


 


เธอเหมือนดั่งหนูน้อยไม้ขีดไฟ ที่เห็นคุณค่าของไม้ขีดไฟทุกก้านที่นำพาความอบอุ่นมาให้อย่างที่สุด


 


มันอยู่ตรงหน้าแล้ว! ยาเอโกะมองเห็นป้ายของโดโจแล้ว!


 


แต่ ณ ตอนนั้นเองที่เธอพลันเห็นฮิโรโนะที่ประตูของโดโจและกำลังจะก้าวเข้าไป ยาเอโกะตะลึงจนพูดไม่ออกเช่นเดียวกับฮิโรโนะ ในที่สุดยาเอโกะก็ตระหนักว่าฮิโรโนะคนนั้นที่เธอเห็นใส่ชุดต่างกับคนที่เธอเห็นเมื่อกี้


 


ขณะที่ยาเอโกะนึกย้อนไปถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอจึงได้เข้าใจว่าคืนนี้เธอบังเอิญได้เจอคิตะมุระ ฮิโรโนะถึงสองคนที่ไม่เหมือนกัน!


 


เกิดอะไรขึ้นเหรอ แล้วทำไมฮิโรโนะคนนี้ถึงได้อยู่ตรงโดโจล่ะ


 


ฮิโรโนะผู้ที่ตามหลังยาเอโกะตลอดมานั้นเพิ่งจะมาถึง ฮิโรโนะคนนี้ก็ช็อกเช่นกัน เขาอุทานออกมา “แกเป็นใคร!”


 


หลี่ว์ซู่หงุดหงิด เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขามาบังเอิญเจอกันที่นี่!


 


เขาใช้เวลาวิ่งไปมาอยู่นานด้วยความกลัวว่าจะโดนทวยเทพสกัดตัวเอาไว้ ทว่าในที่สุดเจ้าโง่สองคนนี้ก็ไม่ได้วิ่งหนีไปไหนแต่กลับตรงมาสกัดตัวเขาเอาไว้แทน!


 


แย่แล้ว! หลี่ว์ซู่คิดว่าตัวตนของเขาจะผันแปรไม่ได้ เขายังพยายามจะช่วยตัวเองให้รอดได้ต่อไป


 


หลี่ว์ซู่ใช้เวลาคิดสองวินาทีก่อนที่จะยิ้มเบิกบานแบบแปลกใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ฮิโรโนะ ฉันคือน้องชายฝาแฝดของนายจากคนละพ่อแม่กัน!”


 


ฮิโรโนะเงียบสนิทด้วยความช็อก


 


น้องชายฝาแฝด…จากคนละพ่อแม่กันเหรอ แกไม่มีความรู้ทั่วไปด้านชีววิทยาบ้างเลยหรือไง


 


[ได้แต้มจากคิตะมุระ ฮิโรโนะ +999!]


 


ด้วยเหตุผลบางประการ จู่ๆ ยาเอโกะก็โพล่งออกมาว่า “คิริฮาระคุงเหรอ”


 


หลี่ว์ซู่ยืนอยู่ที่ถนนเงียบๆ นั้นด้วยท่าทีที่ซึมเศร้า “ตัวตนของฉัน…ถูกทำลายป่นปี้แล้ว…”


 


ด้วยเหตุใดไม่ทราบ ยาเอโกะดันดูออกว่าหลี่ว์ซู่คือคิริฮาระ ยูสึเกะ ตอนที่หลี่ว์ซู่แสดงท่าทีไม่เป็นธรรมชาติขณะยืนอยู่ที่ประตูของโดโจ


 


ทันทีที่ฮิโรโนะเห็นตัวจำลองที่เหมือนเขาเป๊ะ เขาก็นึกถึงคนของเครือข่ายฟ้าดินที่สวมรอยเป็นเขาขณะที่เที่ยวไล่ฆ่าคนแล้วเขียนตัวหนังสือว่า ‘รื้อ’ เอาไว้


 


“ราชันฟ้าคนที่เก้าเหรอ” ลูกตาดำของฮิโรโนะหดลงอย่างรวดเร็ว เขาหันหลังกลับและโกยหนีโดยไม่คิดชีวิต


 


ฮิโรโนะไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างราชันฟ้าและคิริฮาระ ยูสึเกะ แต่หากพวกเขาสามารถจำลองรูปร่างหน้าตาของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วล่ะก็ การสร้างตัวจำลองมาแทนคิริฮาระ ยูสึเกะนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


 


แค่ว่าทุกคนไม่รู้เรื่องนี้และเหมาว่าคิริฮาระอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง พวกเขาไม่เคยคิดว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ!


 


หากนั่นเป็นแค่คิริฮาระเท่านั้น ฮิโรโนะก็คงจะไม่สนใจเลยสักนิด แต่หากฝ่ายตรงข้ามเป็นราชันฟ้าคนที่เก้า ก็คงจะน่ากลัวมาก เขารู้เรื่องการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นที่ประตูของคฤหาสน์ทวยเทพ คนระดับ D สิบเอ็ดรายและระดับ C อีกหนึ่งรายได้ร่วมกันต่อสู้ แต่พวกเขาทั้งหมดกลับถูกฆ่าตายภายในเวลาเพียงสามสิบวินาที


 


นี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ฮิโรโนะจะเผชิญหน้าได้ เขาต้องไปขอความช่วยเหลือจากลุงของเขา ท่านอาจารย์เจียน!


 


ตอนนี้ยาเอโกะคือคนที่งุนงงกับสถานการณ์นี้มากที่สุด เธอเคยคิดว่าคิริฮาระไม่อาจเอาชนะฮิโรโนะได้ แต่ในตอนนี้ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม ความสามารถของเขาก็คงไม่ได้ต่างกันมากนัก


 


แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น จะบอกว่าฮิโรโนะไม่กล้าแม้กระทั่งจะสู้กันสักตั้งเลยเหรอ


 


เมื่อกี้ฮิโรโนะพูดว่าอะไรนะ ราชันฟ้าคนที่เก้า!


 


พวกอนุรักษนิยมไม่ได้ตาบอด พวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของเขาแน่นอน ก่อนหน้านี้ที่โนกิวะ ฮากุชุนถูกฆ่า โอดะ โทคุมะได้ปรึกษาหารืออย่างจริงจังกับสมาชิกคนสำคัญๆ ของกลุ่มว่าพวกเขาอยากจะร่วมมือกับราชันฟ้าคนที่เก้าเพื่อสู้กับพวกลัทธิคลั่งชาติไหม ปัญหามีอยู่ว่าถ้าขนาดพวกลัทธิคลั่งชาติยังหาเขาไม่พบ พวกอนุรักษนิยมก็คงไม่มีหวังที่จะหาเขาเจอได้หรอก


 


ตอนแรกโอดะ โทคุมะกังวลว่าพวกเขาจะชักศึกเข้าบ้าน แต่สุดท้ายแล้ว แค่หาตัวข้าศึกคนนั้นพวกเขาก็ยังหากันไม่เจอเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับจะชักเขาเข้าบ้าน!


 


แต่มันคือคนคนนี้ซึ่งอยู่ข้างกายเธอมาโดยตลอดนั่นเองที่ทำให้โอดะ โทคุมะสับสน! ยาเอโกะมั่นใจมากว่าคิริฮาระคนนี้ไม่ใช่คิริฮาระคนที่เธอเคยรู้จัก เป็นไปได้อย่างสูงที่การเปลี่ยนตัวนั้นเกิดขึ้นในระหว่างช่วงที่มีอารมณ์แปรปรวนรุนแรง


 


แต่…หากคุณจะเข้ามาแทนที่คนที่สำคัญขนาดนั้น คุณไม่กังวลเลยสักนิดเหรอที่ทำลายตัวตนคนอื่นอย่างไม่ไยดีแล้วสร้างบุคลิกของตัวเองขึ้นมาใหม่


 


ทันใดนั้นก็มีมังกรสีทองขนาดมหึมาโฉบออกมาจากร่างของหลี่ว์ซู่และวิ่งไปข้างหน้า ตัวหลี่ว์ซู่เองก็พุ่งเข้าใส่ฮิโรโนะเช่นกัน จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็เกิดเจตนาสังหารอันแรงกล้าและพร้อมจะลงมือฆ่า!


 


ฮิโรโนะตกใจช็อกไปชั่วขณะ เขาได้ตระหนักว่าความเร็วของเขาและของหลี่ว์ซู่นั้นต่างกันมากเกินไป!


 


เขาคว้าดาวกระจายในแขนเสื้อออกมาและหันกลับเพื่อจะขว้างพวกมันไปทางหลี่ว์ซู่ อย่างไรก็ตาม ดาวกระจายทั้งสองอันนั้นกลับถูกมังกรสีทองกลืนลงไปก่อนที่พวกมันจะมาถึงตัวหลี่ว์ซู่ได้ พวกอสรพิษตัวเล็กๆ ในมังกรได้งับหนึ่งในดาวกระจายนั้นเอาไว้


 


“แกยังไม่ตายเหรอ” ฮิโรโนะพูดด้วยความประหลาดใจ ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของหลี่ว์ซู่หลังจากการต่อสู้ที่เกาะช้าง ในส่วนของสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาวกระจายทั้งสองนั้น หลี่ว์ซู่ยังไม่เคยนำมันออกมาแสดงให้คนภายนอกได้เห็นมาก่อน แม้แต่หลี่เสียนอีก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ เขาคิดมาโดยตลอดว่าศิษย์ของเขาไม่อาจปลดล็อกจุดชี่ไห่ของตัวเองได้


 


ฮิโรโนะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะได้พบกับหลี่ว์ซู่ที่นี่ อาณาจักรมืดยืนยันข่าวการตายของเขาแล้วไม่ใช่เหรอ นั่นมันหลี่ว์ซู่เองหรือใครบางคนในเครือข่ายฟ้าดินที่ได้รับสืบทอดธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ว์ซู่มากันแน่


 


ราชันฟ้าคนที่เก้าเป็นผู้มีพลังสายธาตุดินไม่ใช่เหรอ ข้อมูลเท็จ!


 


เมื่อยาเอโกะได้เห็นว่าฮิโรโนะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ว์ซู่ เธอจึงถอนหายใจได้ในที่สุด เธอกองลงไปที่พื้นด้วยความเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรต่อไปดี


 


ในชั่วขณะต่อมานั้น หลี่ว์ซู่ได้วิ่งไปข้างหน้าฮิโรโนะ เขาปล่อยหมัดไปหนึ่งครั้งและพายุก็ก่อตัวขึ้น!


 


ลมที่อยู่หน้ากำปั้นของเขาโค้งตัวภายใต้แรงกดดันและเกิดเสียงระเบิดดังตามมาอย่างฉับพลัน!


 


ฮิโรโนะชักดาบยาวที่เอวของเขาออกมาแต่ก็สายไปเสียแล้ว ฮิโรโนะรู้สึกได้เลยว่าร่างกายทั้งหมดของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากการต่อยเพียงหมัดเดียว มันรู้สึกราวกับว่าหมัดนั้นเป็นจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหว ร่างกายของเขาถูกทำลายย่อยยับลงอย่างง่ายดาย เขาหายใจเฮือกสุดท้ายเข้าไป


 


[ได้แต้มจากคิตะมุระ ฮิโรโนะ +1000!]


497 ท่านจะฆ่าฉันหรือเปล่า

 


หลี่ว์ซู่ยืนนิ่งอยู่กลางถนน เขาไม่ใช่เด็กชายผู้อ่อนแอและยากจนที่หากินจากการเป็นพ่อค้าขายไข่ต้มอีกต่อไป ตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกผู้ซึ่งสามารถจะเอาชนะมืออาชีพระดับ C อย่างคิตะมุระ ฮิโรโนะได้โดยแทบจะไม่ต้องออกแรง


 


ยาเอโกะจ้องมองมาที่ร่างเงาของหลี่ว์ซู่พร้อมกับรอยยิ้ม โลกได้มลายหายไปจนหมดเหลือแต่เพียงหลี่ว์ซู่เท่านั้นที่ยังอยู่ในสายตาของเธอ จู่ๆ …เขาก็นั่งยองๆ ลงไปหยิบดาบซามูไรของคิตะมุระและค้นตัวเขาเพื่อหาอาวุธวิเศษอื่นๆ ต่อ…


 


มันรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังมองดูสเมิร์ฟที่แสนจะน่ารักสองตัวกำลังเต้นระบำและวิ่งเล่นกันอยู่ในฉากที่งดงาม…


 


ตายล่ะ! เธอใกล้จะเสียสติแล้ว!


 


กว่าหลี่ว์ซู่จะกลับมา ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนกลับไปเป็นคิริฮาระแล้ว ในตอนนี้เองประตูของโดโจก็เปิดออก บันไดถามอย่างสงสัยขณะที่เธอมองไปที่หลี่ว์ซู่ซึ่งไม่ได้รับบาดเจ็บเลยและยาเอโกะซึ่งพิงกำแพงอย่างอ่อนระทวยว่า “สู้กันเสร็จหรือยังคะ เราต้องเปลี่ยนฐานไหม”


 


จากนั้นเธอก็ช่วยพยุงยาเอโกะเข้าไปในโดโจ ขณะที่หลี่ว์ซู่ซึ่งตามหลังมามองไปยังสนามอย่างนิ่งๆ และถามขึ้นว่า “ซากุราอิ มีใครอีกที่รู้ตัวตนของเธอ”


 


เธอคิดในใจว่าไม่จำเป็นต้องมีความลับอะไรอีกแล้ว “ฉันเกรงว่าพวกลัทธิคลั่งชาติจะมาตามหาฉันในไม่ช้า ขณะนี้อาจารย์ของเขาที่ชื่อคิตะมุระ คิจิโทริกำลังต่อสู้กับโอดะ โทคุมะอยู่ ในตอนนี้บรรดาปรมาจารย์ของทวยเทพทั้งหมดคงจะกำลังรุดไปที่นั่น”


 


หลี่ว์ซู่พยักหน้า “น่าเสียดาย”


 


นิ้วของเขาลูบไปที่ต้นไผ่ชั้นดีในสนามด้วยความรู้สึกเสียใจที่อีกไม่นานพวกมันจะต้องตาย ความจริงหลี่ว์ซู่ชอบสถานที่แห่งนี้แม้ว่าจะยังไม่คุ้นกับรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของมัน หลี่ว์ซู่วางแผนจะสร้างสนามในลั่วเฉิงเช่นกันแม้ว่ามันจะเป็นแบบที่ทันสมัยกว่านี้ ถึงเวลาแล้วที่จะมอบบ้านที่ดีกว่าเดิมให้เสี่ยวอวี๋ด้วยเงินที่เขามีในตอนนี้


 


หลี่ว์ซู่โค้งให้คุณบันได “ผมซาบซึ้งในความพยายามและการทำงานอย่างหนักของคุณในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ได้โปรดเตรียมตัวที่จะล่าถอยด้วยครับ”


 


“แล้วเธอล่ะ” บันไดถามเพราะสงสัยว่าหลี่ว์ซู่จะทำอย่างไรกับยาเอโกะ


 


หลี่ว์ซู่มองไปเห็นเพียงรอยยิ้มที่เศร้าซึมของยาเอโกะ เธอถามว่า “ราชันฟ้า ท่านจะฆ่าฉันหรือคะ”


 


หากเธอเป็นหลี่ว์ซู่ ยาเอโกะรู้ว่าเธอก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน


 


แต่เธอก็จะไม่เสียใจอีกต่อไปเพราะเธอทนเจ็บปวดทรมานมาได้ไกลถึงขนาดนี้ เพียงเพื่อจะดูว่า ‘คิริฮาระ ยูสึเกะ’ คนนี้จะช่วยเธอไหม


 


แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ยูสึเกะตัวจริงอีกต่อไป แต่คนที่เธอรักคือชายที่อยู่ข้างๆ เธอในตอนนี้ เธอเองไม่ได้รู้จักกับตัวของคิริฮาระ ยูสึเกะเสียด้วยซ้ำ


 


ตอนนี้เขาได้แสดงออกว่าเขาห่วงใย ส่วนท่านอาจารย์ทอดทิ้งเธอ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เธอได้พบคำตอบที่เธอต้องการแล้ว ขณะที่หลงทางเธอกลับได้รับในสิ่งที่เธอไม่คู่ควร มันคือทุกอย่างที่เธอขอเอาไว้ ชีวิตของเธอสมบูรณ์แล้ว ยาเอโกะขอร้องเขาขณะที่ยิ้ม “ก่อนที่ฉันจะตาย ขอดูใบหน้าของตัวท่านเองได้ไหม ราชันฟ้า”


 


หลี่ว์ซู่พยายามจะไม่หัวเราะ “ใครบอกว่าฉันจะฆ่าเธอ ฉันจะพาเธอไปที่ไหนสักแห่งเพื่อที่เธอจะได้รักษาบาดแผลได้ หลังจากนั้นเธออยากจะไปไหนก็ได้ตามใจ บอกตามตรงนะ ฉันคิดว่าพลังของเธอถูกจำกัดด้วยการสมคบคิดและแผนการต่างๆ ทำไมไม่ลองไปใช้ชีวิตให้เต็มที่ในโลกภายนอกดูล่ะ อย่างไรก็ตาม ฉันจะไม่เปิดเผยใบหน้าของฉันให้เธอหรอกเพราะยังไงเธอก็ไม่ได้จะตาย อีกอย่างนะ ฉันไม่ใช่ราชันฟ้า อย่าเรียกฉันแบบนั้น”


 


ยาเอโกะไม่รู้จักใบหน้าเดิมของหลี่ว์ซู่ ทว่าเนื่องจากได้มีการตรวจสอบการตายของหลี่ว์ซู่โดยอาณาจักรแห่งความมืดเรียบร้อยแล้ว มันก็เป็นไปได้ที่ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะถูกส่งต่อมาให้ใครอีกคนในเครือข่ายฟ้าดิน


 


แต่ยาเอโกะมีแนวโน้มจะเชื่อว่าชายคนนี้คือหลี่ว์ซู่เสียมากกว่า เพราะคนแรกที่ถูกฆ่าตายคือลูกชายของโนกิวะ ทาเกะโนบุ ที่ชื่อ โนกิวะ ฮากุชุน


 


“ถ้าอย่างนั้น ต่อไปนี้ฉันควรเรียกเธอว่าหลี่ว์ซู่ดีไหม” ยาเอโกะลองทดสอบเขาดู ทันทีที่เธอพูดจบประโยค เธอก็กระอักเลือดสดๆ ออกมา ก่อนหน้านี้คิจิโทริได้ซัดหัวใจและปอดของเธอจนบาดเจ็บ ฉะนั้นมันจึงต้องใช้เวลากว่าเธอจะหายดีได้ แม้ว่าจะไม่อันตรายถึงชีวิตก็ตาม


 


หลี่ว์ซู่ใจอ่อน “พักเถอะ อย่าห่วงเรื่องไร้สาระพันนั้นให้มากนักเลย”


 


เสียงบันไดพูดดังออกมาจากในห้อง “ช่วยปิดตายาเอโกะด้วยค่ะ”


 


หลี่ว์ซู่ทำตามคำสั่ง ยาเอโกะรู้สึกสบายภายใต้ความอบอุ่นที่ได้จากฝ่ามือของหลี่ว์ซู่


 


ในตอนนี้บันไดเดินออกมาจากห้องของเธอ ผมที่ยาวถึงเอวของเธอถูกตัดจนสั้นและเธอก็สวมชุดทำงานกับรองเท้าส้นสูง ในทันใดเธอได้เปลี่ยนจากยามาโตะ นาเดะชิโกะผู้อ่อนโยนและสง่างามไปเป็นสาวทำงานผู้เด็ดเดี่ยวและมากความสามารถ หลี่ว์ซู่แทบจะจำเธอไม่ได้!


 


บันไดโค้งคำนับให้หลี่ว์ซู่ “เป็นเกียรติที่ได้ทำงานกับคุณค่ะ ลาก่อน”


 


หลี่ว์ซู่ยิ้ม “ขอบคุณ”


 


จากนั้นคุณบันไดก็จุดไฟเผาสนามในบ้านทั้งหมดด้วยหนังสือพิมพ์ม้วนหนึ่งที่กำลังลุกไหม้อยู่ เธอเดินออกไปก่อนและหายไปในถนนที่มืดมิดด้วยความพร้อมที่จะเริ่มภารกิจใหม่ของเธอภายใต้ตัวตนใหม่


 


ในขณะเดียวกัน สุดท้ายหลี่ว์ซู่ก็ยกฝ่ามือออกจากดวงตาของยาเอโกะ ด้วยความแปลกใจเขาพบว่าเธอได้หลับไปเสียแล้ว


 


หรือเธอสลบ หลี่ว์ซู่ก็ไม่แน่ใจ


 


แต่พวกเขาไม่ควรจะอยู่ที่โดโจอีกต่อไป ความเสียใจเอ่อล้นอยู่ในใจของหลี่ว์ซู่ จะดีแค่ไหนถ้าเขาสามารถอยู่กับตัวตนเก่าของเขาและหาเงินกับโดโจนี้ได้ต่อไป ชีวิตนั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย…


 


เดี๋ยวนะ!


 


มีอะไรบางอย่างผิดปกติ…


 


เขาได้ให้รายได้ล่าสุดของเขาสำหรับค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ของพวกเขากับคุณบันได และตอนนี้บันไดก็จากไปแล้ว!


 


เวรแล้ว! เขาอุตส่าห์ลงทุนลงแรงไปตั้งเยอะแยะเพื่อรวบรวมเงินก้อนนั้น! แถมยังมีใบปลิวอีกเพียบ!


 


เนี่ยถิงคงจะต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ ไม่มีคำอธิบายอื่นแล้ว!


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองมีเลือดไหลซิบๆ


 


หลี่ว์ซู่อุ้มยาเอโกะไว้บนบ่าของเขาด้วยหัวใจที่หนักอึ้งและเดินออกจากสนามไป ทันทีที่เขาออกไป เขาก็เห็นแสงไฟแวววาบที่ค่อยๆ สว่างขึ้นอยู่ตรงหน้า กลุ่มพลังงานระเบิดตรงโน้นทีตรงนี้ทีขณะที่มีบ้านเรือนถล่มตามมาเป็นหลังๆ


 


เขานึกถึงคำพูดของยาเอโกะ นั่นเป็นการต่อสู้ระหว่างโอดะกับคิตะมุระ!


 


“อะไร พวกเขามาถึงนี่เลยเหรอ!” หลี่ว์ซู่ตกใจและงงงวย ไม่มีทาง เขาวิ่งไปอีกทางหนึ่งทันที แต่ในไม่ช้าเขาก็หันกลับไปเห็นว่าสนามรบหลักกำลังย้ายมาทางเขา


 


กรุณาเลือกสถานที่แหล่งอื่นจะได้ไหม!


 


ผู้พักอาศัยหลายคนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยความชุลมุนวุ่นวายและวิ่งออกมาดู เมื่อพวกเขาเห็นการต่อสู้ หลายคนก็กระชากเสื้อคลุมกันหนาวออกมาแล้ววิ่งหนีไป ส่วนคนที่เหลือก็ตัวสั่นเทิ้มและสวดภาวนาให้ตัวเองปลอดภัยขณะที่กลับเข้าไปซ่อนอยู่ในบ้าน


 


นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นในสถานที่ที่มีผู้บำเพ็ญอาศัยอยู่ร่วมกับคนธรรมดาสามัญ ในระหว่างสงคราม ฝ่ายหลังไม่มีแม้กระทั่งวิธีที่จะปกป้องตนเองได้ด้วยซ้ำ


 


ในพื้นที่บริเวณนี้มีตึกสูงอยู่สองสามแห่ง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบ้านพักอาศัยส่วนตัวสองถึงสามชั้น


 


ณ ตอนนี้มีใครบางคนตะโกนลงมาจากด้านบนทั้งที่พยายามจะข่มเสียงตัวเองเอาไว้ “คิริฮาระคุงเหรอ”


 


หลี่ว์ซู่ชะงักงัน ชิบะเหรอ!


 


เมื่อชิบะได้เห็นซากุราอิ ยาเอโกะสลบไสลอยู่บนบ่าของหลี่ว์ซู่ เธอจึงเกิดความรู้สึกดีปนร้ายขึ้นในใจ “เกิดอะไรขึ้นน่ะ เธอกำลังหนีใครอยู่หรือเปล่า รอฉันแป๊บหนึ่งนะ ฉันจะลงไปเปิดประตูให้เธอเอง”


498 โทสะของทวยเทพ

 


เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้พบกับชิบะ แต่เมื่อมาลองนึกดู หลี่ว์ซู่เคยกลับบ้านพร้อมชิบะมาก่อนซึ่งหมายความว่าบ้านของเธออยู่ใกล้ๆ โดโจ


 


หลี่ว์ซู่คิดในใจ ไม่ ฉันเข้าบ้านเธอไม่ได้ ทั้งเขาและยาเอโกะเป็นบุคคลที่ถูกกลุ่มทวยเทพหมายหัวเอาไว้และเขาไม่อยากให้ชิบะต้องมีปัญหาไปด้วยอย่างแน่นอน


 


ก่อนที่ชิบะจะเปิดประตู หลี่ว์ซู่ก็ได้วิ่งหนีไปพร้อมยาเอโกะแล้ว ความจริงเขาก็คิดจะฆ่าเธอแต่ก็ทำไม่ลง แม้จะรู้ถึงเจตนารมณ์ที่ไม่เป็นมิตรของเธอตอนที่เข้าหาเขา แต่หลี่ว์ซู่ก็มองเห็นความจริงใจในแววตาของเธอเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา


 


การแสดงออกของมนุษย์นั้นอ่านได้ไม่ซับซ้อนเท่ากับการอ่านทำความเข้าใจข้อเขียนหรอก…แต่ในท้ายที่สุด หลี่ว์ซู่ก็เลือกที่จะทำตามสัญชาตญาณของเขา


 


นอกจากนั้น สิ่งที่เขาได้เปิดเผยออกไปก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอะไร ลำดับแรก หลี่ว์ซู่จะกลับคืนสู่ตัวตนของเขาเองเมื่อจบภารกิจนี้ ฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะให้ยาเอโกะรู้ว่าเขาคือหลี่ว์ซู่


 


ลำดับที่สอง ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นความลับที่รู้กันทั่วมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของหน้ากากนั้นเขามีพยานรู้เห็นเพียงสองรายได้แก่มารโลหิตและปรมาจารย์หุ่นเชิดซึ่งยังคงหลบหนีอยู่ ฉะนั้นจึงอาจมีการแพร่กระจายข่าวผ่านวิธีการอื่นก็เป็นได้ว่าทางเครือข่ายนั้นครอบครองหน้ากาก


 


ดังนั้นเขาจะปลอดภัยตราบใดที่แผนภูมิดาราและกระบี่บินทั้งสองของเขายังถูกเก็บเป็นความลับเอาไว้อยู่


 


ก็นะ มันดูเหมือนจะเป็นข้ออ้างที่ใช้ได้เลยทีเดียว…


 


แต่ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะวิ่งไปได้ไกล เขาก็ได้ยินชิบะตะโกนตามหลังมาว่า “คิริฮาระคุง! เธออยู่ไหน คิริฮาระคุง!”


 


นี่เธอกำลังพยายามเรียกวิญญาณเขากลับมาเหรอ! หลี่ว์ซู่เลิกดิ้นรนแล้ววิ่งกลับไปทันที “อย่าตะโกนสิ! เธอกำลังดึงดูดให้คนมาทางนี้!”


 


ชิบะดึงเขาเข้าบ้านและกล่าวว่า “พ่อแม่ของฉันเป็นพนักงานระยะยาวอยู่ที่โอคายาม่า ดังนั้นเธอไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย เกิดอะไรขึ้นกับซากุราอิน่ะ เธอบาดเจ็บเหรอ”


 


แต่หลี่ว์ซู่ปฏิเสธที่จะเข้าบ้าน เขาอธิบายว่า “เธอจะปลอดภัยถ้าเธอหยุดตะโกน พวกเราเข้าไปไม่ได้เพราะมันอาจทำให้เธอมีเรื่อง ตกลง อยู่ตรงนี้นะ ฉันคิดว่าพวกเขาคงไม่มาสู้กันที่นี่หรอก”


 


“ฉันจะตะโกนต่อนะถ้าเธอไม่เข้ามา” ชิบะกล่าวอย่างดื้อดึง


 


และแล้วหลี่ว์ซู่จึงได้ตีลงบนจุดหนึ่งที่คอของเธอซึ่งทำให้เธอหมดสติไป เขาลงมือทำมันอย่างดีเพื่อที่ภาวะขาดออกซิเจนชั่วคราวที่เกิดจากการหยุดชะงักของการไหลเวียนของโลหิตในเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมองของเธอจะไม่ทำให้เธอต้องเจ็บปวด แล้วหลี่ว์ซู่ก็นำชิบะกลับเข้าบ้านก่อนที่จะปิดประตูและจากไป สาวน้อยคนนั้นดื้อรั้นผิดเวลาไปหน่อย!


 


ณ ตอนนั้น กองกำลังของทวยเทพนั้นมีอยู่เกลื่อนกลาดทั่วทุกหนแห่งในบริเวณใกล้เคียง หลังจากการตายของคิตะมุระ ฮิโรโนะและสัญลักษณ์รื้อถอนบ้านที่เขาวาดเอาไว้มากมาย มันก็คงจะเป็นเรื่องแปลกยิ่งกว่าเสียอีก หากพวกเขาไม่ออกตามล่าตัวหลี่ว์ซู่


 


ฉะนั้นในตอนนี้เขาจึงไม่อาจปล่อยให้ชิบะแพ้ภัยต่อความรู้สึกของเธอเอง เมื่อทวยเทพเจอตัวเขา ชิบะจะหนีรอดได้อย่างไรแม้ว่าเขากับยาเอโกะจะหนีไปได้ก็ตาม และถึงแม้ว่าเธอจะหนีรอดได้ แล้วพ่อแม่ของเธอล่ะ


 


เมื่อละวางความเกลียดชังที่เขามีต่อกลุ่มทวยเทพเอาไว้ก่อน สำนึกผิดชอบชั่วดีของหลี่ว์ซู่ไม่อาจที่จะยอมให้ตัวเองดึงเอาสาวน้อยคนหนึ่งและครอบครัวของเธอมาลำบากลำบนแบบนั้นได้


 


หลี่ว์ซู่วิ่งต่อไปพร้อมกับแบกยาเอโกะไปด้วย แต่ถ้าเช่นนั้นเขาจะไปไหนดีล่ะ


 


ณ ตอนนี้ประตูของชิบะก็เปิดออกอีกครั้ง เธอเริ่มตะโกนโหวกเหวก “คิริฮาระคุง! คิริฮาระ…”


 


หลี่ว์ซู่ปิดปากเธอก่อนที่เธอจะพูดพยางค์สุดท้ายออกมาได้ หลี่ว์ซู่ทั้งช็อกและสับสนไปหมด


 


เธอฟื้นเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร และเพื่อนเอ๊ย อย่าดื้อขนาดนั้นได้ไหมจ๊ะ


 


ที่สำคัญ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะ! หลี่ว์ซู่ถามเธอด้วยน้ำเสียงที่เบา “เธอฟื้นขึ้นมาเร็วขนาดนี้ได้ยังไง”


 


หลังจากที่เขายกมือออกจากปากของชิบะ เธอก็ตอบเบาๆ ว่า “อย่าตีฉันสิ มีห้องใต้หลังคาอยู่ข้างบนและไม่มีใครหามันเจอหรอก ฉันคิดว่าฉัน…ปะทุพลังเมื่อกี้นี้ตอนที่เธอตีฉัน”


 


ตามหลักแล้ว คนธรรมดาสามัญไม่มีทางฟื้นได้เร็วขนาดนั้นหลังจากโดนตีที่เส้นเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมอง แต่ตอนนี้เธอเป็นผู้มีพลังแล้ว…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!


 


“???”


 


อย่ามามั่ว ทำไมเธอถึงปะทุพลังได้ราบรื่นกว่าฉันอีก!


 


เขาเกิดความรู้สึกที่เลือนรางขึ้นลึกๆ ในใจว่าเธออาจปะทุพลังเนื่องจากห่วงความปลอดภัยของยูสึเกะอย่างรุนแรง พร้อมกับความวิตกกังวลในการไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออะไรได้…


 


หุนหันพลันแล่นเกินไปจริงๆ …


 


“เข้ามาเร็ว!” ชิบะดึงหลี่ว์ซู่เข้าไปข้างในเนื่องจากเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้


 


จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินใครบางคนสั่งการเสียงดังอยู่ด้านนอก “ปิดพื้นที่ ท่านคิตะมุระ ฮิโรโนะถูกฆาตกรรมใกล้ๆ นี้ ไปค้นหาเบาะแส!”


 


แล้วจึงมีเสียงฝีเท้าดังอลหม่านตามมา ในระหว่างนั้น ไม่มีวี่แววของการสิ้นสุดการต่อสู้ของโอดะและคิตะมุระเลย หลี่ว์ซูคาดว่าโชคคงไม่เข้าข้างโอดะเพราะในที่สุดปรมาจารย์ระดับ B อีกคนที่ชื่อทาคาชิมะ ทาอิรัตสึซึ่งไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ก็จะต้องมาช่วยคิตะมุระ ความตายของโอดะนั้นขึ้นกับเวลาว่าจะช้าหรือเร็วเพียงเท่านั้น


 


ชิบะดึงหลี่ว์ซู่ขึ้นไปข้างบนแต่ในไม่ช้าก็สะดุดขาตัวเองล้ม นี่เป็นเพราะเธอยังต้องใช้เวลาคุ้นชินกับพละกำลังใหม่ที่มี สมัยก่อนหลี่ว์ซู่ฝึกกระบี่กับหลี่เสียนอีอย่างคล่องแคล่วเพื่อที่จะเพิ่มกระบวนการสร้างความคุ้นเคยกับพลังที่เขาได้รับจากแผนภูมิดารา


 


ฉะนั้น จริงๆ แล้วโดโจของคิริฮาระได้ให้ประโยชน์ผ่านการเพิ่มพลังแก่เขาซึ่งสำคัญต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของพละกำลังของเขา


 


ความช่ำชองในการใช้พละกำลังของตนนั้นมาจากความคุ้นเคยและหลี่ว์ซู่ก็รู้จักทั้งหมดนี้ดีทีเดียว


 


ด้วยเหตุผลนี้เอง ผู้บำเพ็ญหลายคนได้ดูถูกผู้มีพลังแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็ต้องฝึกหนักไม่แพ้กัน ครั้งหนึ่งหลี่เสียนอีเคยกล่าวเอาไว้ว่าผู้มีพลังหลายคนก็มีส่วนร่วมในการฝึกวิชาอย่างแข็งขันด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เพื่อจะเพิ่มพูนพละกำลัง แต่เพื่อให้เชี่ยวชาญในพลังของพวกเขาอย่างเต็มที่และพัฒนาวิธีใหม่ๆ ที่จะนำมันออกมาใช้


 


ยกตัวอย่างเช่น ฮาเวิร์ด ซึ่งได้พบความเชื่อมโยงอย่างง่ายดายของพลังสายธาตุไฟของเขาและการสร้างนกฟีนิกซ์เพลิงทีละน้อยๆ ผ่านการฝึกวิชา ไม่เช่นนั้นแล้วเขาก็คงไม่เสียพลังงานไปมากมายในการเรียกพวกนกฟีนิกซ์ออกมา


 


แท้จริงแล้วการปะทุพลังนั้นก็ต้องใช้การเรียนรู้มากมายเช่นกัน


 


หลังจากที่ชิบะสะดุดขึ้นไปถึงชั้นสองได้ในที่สุด เธอก็ดึงประตูลับบานหนึ่งจากเพดานลงมาและเคลื่อนบันไดให้เลื่อนออกมา แล้วเธอก็พูดกับหลี่ว์ซู่ว่า “ห้องใต้หลังคาอยู่บนนั้น มันมองเห็นได้ยากมากจากข้างล่าง ตอนนี้ไปซ่อนที่นั่นก่อนก็แล้วกัน”


 


หลังจากนั้นทันที ก็มีเสียงเคาะประตูดังรัวขึ้น ชิบะเร่งด้วยความลนลาน “เร็วเข้า! ฉันจะไปเปิดประตูให้พวกเขาเข้ามา”


 


ก่อนที่เธอจะพูดจบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนอย่างฉุนเฉียวมาจากข้างนอก “พวกเราจะพังเข้าไปนะถ้าไม่มีใครอยู่ข้างใน!”


 


ชิบะตะโกนกลับไปทันที “มาแล้ว!”


 


หลี่ว์ซู่หน้าบูดบึ้ง ดูเหมือนว่าทวยเทพจะโมโหโทโสจริงๆ จากเหตุฆาตกรรมของสมาชิกรายสำคัญๆ ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเอ่ยถึงโนกิวะ ฮากุชุน ที่พ่อซึ่งอยู่ระดับ B ก็ตายไปเรียบร้อยแล้ว คิตะมุระ คิจิโทริก็เป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงขององค์กร ใครจะไปรู้ว่าเขาจะระบายความโกรธใส่ใครอีกกี่คนหลังจากการตายของฮิโรโนะ


 


หลี่ว์ซู่คิดคำนวณแต้มอารมณ์รวมที่เขามีแนวโน้มน่าจะได้ มันมีมากเกินพอที่จะจุดประกายดาวดวงที่หกของเขา แล้วดวงที่เจ็ดล่ะ…


499 เจตนารมณ์ของเนี่ยถิง

 


สำหรับกลุ่มทวยเทพแล้ว การตายของฮิโรโนะไม่ใช่ความผิดของหลี่ว์ซู่แต่กลับเป็นความรับผิดชอบของพวกอนุรักษ์นิยม เพียงแต่แต้มอารมณ์นั้นแสดงผลอีกอย่าง ในความเป็นจริงหลี่ว์ซู่คือผู้ที่ลงมือ ฉะนั้นจริงๆ แล้วมันจึงเป็นความผิดของหลี่ว์ซู่…


 


คืนนี้หลี่ว์ซู่ไม่ได้ปรากฏตัวในการตายของฮิโรโนะ การสัประยุทธ์ระหว่างพวกอนุรักษ์นิยมและพวกลัทธิคลั่งชาติ รวมทั้ง ‘ราชันฟ้าคนที่เก้า’ ที่กำลังก่อให้เกิดความหายนะอยู่นั้นเป็นสองเหตุการณ์ที่แยกออกจากกันในสายตาของทวยเทพ แต่พวกเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่ายาเอโกะจะดันทุรังทำให้ทั้งสองกรณีมาเกี่ยวโยงกันด้วยอีกต่างหาก แม้แต่หลี่ว์ซู่เองยังประหลาดใจเลย เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะเลิกแผน…


 


หลี่ว์ซู่ปีนขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคาพร้อมกับมียาเอโกะอยู่บนหลัง เขาแอบบันไดทั้งหมดในห้องใต้หลังคาเป็นอย่างดี ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ทวยเทพค้นพบห้องใต้หลังคา ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะพบบันไดแล้วเอาเรื่องมาเกี่ยวโยงเข้าด้วยกันได้


 


ความรอบคอบของหลี่ว์ซู่นั้นเกิดจากความเป็นห่วงอย่างแท้จริงว่าจะเอาชิบะมาพัวพันด้วย มันจะไม่มีปัญหาถ้าเขาลงมือเองตามลำพัง เขาก็เพียงแค่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและอยู่เงียบๆ หลังจากฆ่าใครไป


 


ตอนนี้ทวยเทพได้มาถึงแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นชิบะอยู่บ้านคนเดียวพวกเขาก็ถามด้วยความไม่แน่ใจนักว่า “ครอบครัวของเธออยู่ที่ไหน”


 


ชิบะตอบด้วยอาการกลัวเล็กน้อย “พ่อของฉันทำงานอยู่ที่โอคายาม่า”


 


บุคคลที่เป็นผู้ขอค้นบ้านชำเลืองไปให้ใครบางคนตรวจสอบประวัติของเธอ ภายในสองนาทีก็มีการยืนยันกลับมา “เธอพูดความจริง”


 


ผู้นำคนนั้นพยักหน้าและบอกว่า “เมื่อกี้มีใครเดินผ่านมาบ้างไหม และมีใครเข้ามาซ่อนอยู่ในบ้านไหม”


 


ชิบะตอบอย่างระมัดระวัง “เมื่อกี้มีการเคลื่อนไหวของคนจำนวนมากที่ปลุกให้ฉันต้องตื่นขึ้นมาและฉันก็มองออกไปนอกหน้าต่าง นอกจากนั้นฉันก็ไม่สังเกตเห็นอะไรอย่างอื่นอีกค่ะ”


 


ครึ่งแรกของเรื่องนั้นเป็นความจริง แต่ครึ่งหลังเป็นเรื่องที่กุขึ้น ชิบะรู้สึกว่าคำพูดของเธอไม่มีข้อบกพร่องเลย


 


แต่ทวยเทพก็ยังต้องทำการค้นบ้าน มีคนสี่คนแยกกันไปตรวจสอบ แม้แต่ตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของ และใต้เตียงยังถูกยกขึ้นตรวจไม่เหลือสักแห่ง นี่คงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ทวยเทพทำเช่นนั้น การตรวจค้นของพวกเขาละเอียดลออ ตามปกติแล้วไม่มีใครรอดไปได้ถ้าเพียงแค่เข้ามาแอบซ่อนตัว


 


อย่างไรก็ตาม ห้องใต้หลังคาของชิบะนั้นปกปิดมิดชิด หลี่ว์ซู่มองดูรอบๆ ห้องและเจอเงินสดกองอยู่เป็นตั้ง…


 


เมื่อหลี่ว์ซู่เห็นเงินสด เขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจสุดขีด ในที่สุดเขาก็ใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีในการยับยั้งใจตัวเองที่จะยัดเงินทั้งหมดนั่นลงไปในตราแผ่นดิน…เวรแล้ว พ่อแม่ชิบะทำงานอะไรกันแน่ พวกเขาจงใจสร้างห้องลับใต้หลังคาเพื่อหมกเงินสดทั้งหมดนี้หรือเปล่า


 


ธนบัตรสกุลเงินเยนของญี่ปุ่นที่มูลค่ามากที่สุดคือ ธนบัตรหนึ่งหมื่นเยน บนนั้นจะมีรูปของผู้ชายอยู่บนธนบัตรและหลี่ว์ซู่มีความรู้สึกว่าเขาเป็นอาจารย์


 


ตอนนี้เงินสดทั้งหมดที่กองอยู่ตรงหน้าหลี่ว์ซู่มีใบหน้าของอาจารย์คนที่หลี่ว์ซู่นึกชื่อไม่ออก…


 


ทวยเทพเริ่มค้นตั้งแต่ชั้นล่างสุดและตรวจค้นบ้านทั้งหลังทีละชั้น ทว่าไม่อาจพบอะไรได้เลย ตอนแรกที่พวกเขาเข้ามา พวกเขาหยาบคายและป่าเถื่อน แต่เมื่อพวกเขายืนยันได้แล้วว่าไม่มีใครซ่อนอยู่ในบ้าน พวกเขาก็สุภาพขึ้นมาก


 


ในความเป็นจริง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องทำเป็นสุภาพตอนที่จะกลับ เนื่องจากพวกเขาได้ทำการตรวจค้นบ้านโดยไม่มีหนังสือยืนยันตัวตนอะไรเลย


 


ทวยเทพเพี้ยนพอที่จะทำอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ ไม่น่าล่ะถึงได้มีข่าวลือว่าทวยเทพกำลังจะเข้าขั้นบ้าแล้ว หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เครือข่ายฟ้าดินจะตรวจสอบกลุ่มทวยเทพอย่างจริงจัง ใครก็ตามที่มีเพื่อนบ้านแบบนี้ก็คงจะระแวดระวังตัวเช่นเดียวกัน


 


ชิบะรอให้ทุกคนจากไปจนหมดก่อนที่จะเดินขึ้นมาชั้นสองอย่างระมัดระวัง เธอเรียก “คิริฮาระคุง ปลอดภัยแล้ว เธอลงมาได้เลย”


 


หลี่ว์ซู่อุ้มยาเอโกะลงมา ในขณะที่เขาสงบลง จู่ๆ เขาก็ตระหนักว่า…ดูเหมือนยาเอโกะจะไม่สวมใส่อะไรอยู่ข้างในชุดของเธอเลย…


 


ชิบะถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับซากุราอิน่ะ พวกทวยเทพตามหาเธออยู่เหรอ”


 


ไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไรจากชิบะ เนื่องจากตอนนี้เขาได้เอาชิบะมาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว เธอจึงมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากคิดทบทวนดูแล้วหลี่ว์ซู่จึงกล่าวว่า “ฉันฆ่าผู้บริหารระดับสูงของทวยเทพขณะที่ยาเอโกะโดนพวกเขาทำร้ายจนบาดเจ็บ พวกเขาต้องตามหาเราแน่ๆ”


 


ชิบะลังเลก่อนที่จะถามขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเธอกับซากุราอิก็เป็นผู้บำเพ็ญทั้งคู่เลยเหรอ”


 


“ใช่แล้ว” หลี่ว์ซู่พยักหน้าเพื่อยืนยัน “เมื่อกี้เธอบอกว่าเธอปะทุพลัง แล้วเธอได้ปะทุเข้าสู่พลังอะไรเหรอ”


 


“ตอนนั้นที่ฉันหลับสนิทไป มันรู้สึกเหมือนกับได้ร่วงลงไปในบ่อลาวา แต่ลาวาไม่อาจไหม้ตัวฉันได้ ฉันรู้สึกว่ามันใจดีมาก” ในขณะที่ชิบะพูดจบ ฝ่ามือของเธอก็ปะทุเป็นเปลวไฟขึ้นมา


 


หลี่ว์ซู่พยักหน้า ถ้าเช่นนั้นนี่ก็เป็นผู้มีพลังสายธาตุไฟ เขาบอกเธอ “เธอไม่ควรใช้พลังของเธอเล่นๆ นะ หลังจากปะทุพลังแล้วยังมีขั้นตอนของการปรับตัวอีก เราจะไปหลังจากที่รอต่ออีกนิด อย่าได้บอกใครเด็ดขาดเลยนะว่าเธอช่วยซ่อนตัวพวกเรา”


 


“ฉันเกรงว่าเธอคงจะไปไม่ได้แล้วล่ะ…ดูข้างนอกสิ” ชิบะกล่าว


 


หลี่ว์ซู่เปิดผ้าม่านแล้วมองออกไป เขาพบว่าหลังจากที่พวกทวยเทพตรวจค้นเสร็จ พวกเขาก็ไม่ได้จากไปไหนเลย พวกเขามอบหมายให้มีคนเฝ้ายามซึ่งได้ปิดทางออกของพวกเขาโดยสิ้นเชิง


 


เสียงต่อสู้กันของโอดะ โทคุมะและคิตะมุระ คิจิโทริด้านนอกค่อยๆ ห่างออกไป จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกได้ถึงเสียงสั่นของโทรศัพท์ของเขา เขาวางยาเอโกะบนโซฟาและเดินออกไปเพื่อดูสายที่โทรเข้ามา


 


หลี่ว์ซู่มีโทรศัพท์สามเครื่องหลังจากมาที่นี่ เครื่องหนึ่งเป็นสมาร์ทโฟน อีกเครื่องเป็นเครื่องที่โยวหมิงอวี่ให้เขามาเพื่อส่งข้อมูลโดยเฉพาะ และเครื่องสุดท้ายเป็นของคิริฮาระ ยูสึเกะ


 


เขาเก็บโทรศัพท์ของเขาเองเอาไว้ในตราแผ่นดินเนื่องจากเขาใช้ซิมการ์ดของเขาที่นี่ไม่ได้ ข้อมูลที่เขาเพิ่งได้รับเมื่อครู่มาจากเครือข่ายฟ้าดิน


 


หลี่ว์ซู่ชำเลืองไปมองและรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาไม่คิดว่าเครือข่ายฟ้าดินจะรู้สถานการณ์ได้เร็วถึงขนาดนี้ และพวกเขายังเตรียมหนทางล่าถอยใหม่ให้เขาอีกด้วย ตัวตนใหม่หรือการล่าถอย


 


ดูเหมือนว่าหากไม่ทานิกุชิ บันได ก็คงมีสายลับสักคนจากทวยเทพที่ติดต่อกับเครือข่ายฟ้าดินได้สำเร็จ หนทางการล่าถอยนี้มาถึงทันเวลาใช้ได้เลย


 


หลี่ว์ซู่ได้รับทางเลือกสองอย่าง ทางหนึ่งคือการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและทำธุระของเขาต่อไป


 


อีกทางหนึ่งคือการถอนตัวกลับออกไป เนื่องจากมันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างแม้ว่าเขาจะต้องการยอมแพ้ก็ตาม


 


ด้วยเหตุผลบางประการ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้น่ากลัวเท่าที่เขาคิดไว้แต่เดิม เนื่องจากไม่มีการจัดสรรหน้าที่อะไรที่เฉพาะเจาะจงให้เขาทำ เขาจึงทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เขาก็เพียงแค่ถอนตัวออกมาเท่านั้น


 


ในความเป็นจริงแล้ว การฆ่าคนระดับ C สองคนและการเขียนตัวหนังสือ ‘รื้อ’ ทิ้งไว้นั้นจะไม่สร้างความเสียหายร้ายแรงอะไรต่อทวยเทพหรอก แต่ดูเหมือนว่าเนี่ยถิงจะไม่สนใจ


 


ความรู้สึกนี้…คล้ายกับว่าพวกเขากำลังปล่อยให้เขาสร้างชื่อเสียงที่ผิดๆ โดยการส่งเขาไปหากลุ่มทวยเทพ เขาได้รับมอบหมายหน้าที่กับสิ่งที่ต้องทำและถูกส่งไปยังเป้าหมายที่ถูกเกลียดชังโดยทั่วไปในหมู่คนของเครือข่ายฟ้าดินซึ่งได้แก่ กลุ่มทวยเทพ เขาสามารถถอนตัวตราบใดที่เขาได้ใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงนี้แล้ว แน่นอนว่าหากเขาอยากทำธุระของเขาต่อไป เขาก็ทำเช่นนั้นได้อยู่แล้ว


 


อะไรคือเจตนารมณ์ของเนี่ยถิงกันแน่


 


ตั้งแต่โบราณสถานเกาะช้างแล้ว ตอนที่เครือข่ายฟ้าดินส่งเพียงเขาและหลี่อีเสี้ยวไป เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จนกระทั่งถึงภารกิจนี้ หลี่ว์ซู่ก็ยิ่งรู้สึกแบบนั้นมากขึ้นไปอีก


 


หลี่ว์ซู่ยังคิดไม่ตกเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา สัญชาตญาณตามธรรมชาติของเขาคือการไม่คิดถึงมันและแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเสียเลย


 


ลมหายใจของยาเอโกะเริ่มสม่ำเสมอขึ้น หลี่ว์ซู่เดาว่าเธอจะได้สติคืนมาในวันรุ่งขึ้น ส่วนชิบะนั้น…หลี่ว์ซู่ไม่รู้จะอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เธอฟังอย่างไรดี


500ตัวตนใหม่

 


บรรยากาศในห้องค่อนข้างจะเริ่มอึดอัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยาเอโกะยังหมดสติอยู่ จู่ๆ ชิบะก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี คนที่เธอชอบเกือบถูกฆ่าตายและเธอก็เกิดปะทุพลังขึ้นมาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เธองงอย่างมากแต่ในขณะเดียวกันเธอก็ออกจะมีความสุขด้วยเหมือนกัน


 


หลังจากหลี่ว์ซู่ซ้อมเพื่อนร่วมชั้นเจ็ดคน ชิบะก็เดาว่า ‘คิริฮาระ ยูสึเกะ’ เป็นผู้บำเพ็ญ ทุกครั้งที่เธอคิดเรื่องนั้น เธอจะรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างพวกเขากว้างขึ้นอีก แต่วันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอเองก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษในสายตาของเพื่อนๆ ร่วมชั้นด้วยเหมือนกัน…


 


จากมุมมองของชิบะ ระยะห่างระหว่างพวกเขาดูเหมือนจะแคบลงมาแล้วในตอนนี้


 


หลี่ว์ซู่กำลังใคร่ครวญเรื่องการตัดสินใจมาที่ประเทศญี่ปุ่นของเขา พูดตามตรงแล้ว ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาคิดถูกที่มาที่นี่ แม้ว่าจะไม่มีมรดกให้เขารอรับ ดังที่หลี่อีเสี้ยวเคยบอกเอาไว้ว่างานภายในประเทศมีข้อจำกัดของมันเอง แต่เมื่อเป็นงานการต่างประเทศ ทุกอย่างนั้นแตกต่างออกไป มันเหมือนกันไม่ว่าคุณจะหลอกใคร แต่ในทางกลับกันคนอื่นก็กำลังวางแผนจะหลอกคุณอยู่เช่นกัน


 


อย่าว่าแต่องค์กรอย่างทวยเทพเลย ขนาดหลี่ว์ซู่เองยังจะไม่มีภาระทางใจเลยสักนิดถ้าเขาคิดจะหลอกพวกเขา


 


จู่ๆ เครือข่ายฟ้าดินก็มอบหนทางล่าถอยให้ในขณะที่เขากำลังจะปลดล็อกกลุ่มดาวที่สาม หลี่ว์ซู่พบว่าตัวเองยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ อยู่ที่นี่เขาได้แต้มอารมณ์ง่ายมากๆ เขาจึงตัดสินใจจะจากไปหลังจากที่เขาได้ปลดล็อคมันแล้วเท่านั้น


 


สำหรับยาเอโกะนั้น เขาจะรอจนกว่าบาดแผลของเธอหายดีและการเคลื่อนไหวของเธอคืนกลับมาก่อนที่จะปล่อยเธอไป ณ ตอนนี้ไม่มีที่ไหนปลอดภัยในประเทศญี่ปุ่นที่เธอสามารถใช้หลบภัยได้ บางทีโอดะ โทคุมะอาจจะตายในคืนนี้


 


ถ้าไม่เช่นนั้น ก็ยังมีทาคาชิมะ ทาอิรัตสึที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร หลี่ว์ซู่นั้นอยากหาเรื่องตีกับคนแน่ๆ แต่มันดันมีคนระดับ B มาชุมนุมกันมากมายเกินไป ถึงแม้ว่ามันจะมีเพียงหลี่ว์ซู่คนเดียว เขาก็จะไม่ทำอะไรที่จะก่อให้เกิดความสูญเสียสำหรับทั้งสองฝ่ายเพียงเพื่อจะให้ผลประโยชน์กับอีกฝ่ายหนึ่ง


 


ในขณะที่หลี่ว์ซู่ได้พบสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับยาเอโกะและเตรียมตัวจะวิเคราะห์ตัวตนใหม่ที่เครือข่ายฟ้าดินส่งมาให้อย่างละเอียด ชิบะก็พลันกล่าวขึ้นว่า “คิริฮาระคุง เธอพักอยู่ที่นี่ได้เลยสบายใจได้ กว่าพ่อแม่ของฉันจะกลับมาก็ปลายสัปดาห์หน้าแน่ะ ดังนั้นไม่ต้องห่วงเลยนะ”


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้ห่วงเรื่องนี้เลย เขาเริ่มสงสัยขึ้นมาอย่างกะทันหันเมื่อเขานึกถึงเงินที่ซ่อนอยู่ในห้องใต้หลังคาได้ เขาถามชิบะ “พ่อแม่ของเธอทำมาหากินอาชีพอะไรเหรอ”


 


“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…” ชิบะส่ายหัว “พวกท่านไม่เคยให้ฉันถามคำถามประเภทนั้นเลย พวกท่านต้องการให้ฉันสนใจเรื่องเรียนเท่านั้นและไปเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยนิชิโนะเกียว”


 


หลี่ว์ซู่อยากถามว่าครอบครัวของเธอทำธรกิจที่ทำเงินได้เร็วๆ เนื่องจากเขาสนใจมาก…แต่จากคำตอบของเธอแล้ว แม้กระทั่งตัวชิบะเองยังไม่แน่ใจเลยว่าพ่อแม่ทำงานอะไรเพื่อเลี้ยงชีพ


 


หลี่ว์ซู่เดาว่าการเก็บเงินจำนวนนั้นในห้องใต้หลังคาและไม่เอาไปฝากธนาคาร…บางทีอาจเป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมายบางอย่างก็เป็นได้…


 


พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันมากในช่วงเวลาที่เหลือของคืนนั้น มันดูราวกับว่าชิบะนั้นค่อนข้างจะสับสนวุ่นวายในขณะที่หลี่ว์ซู่ยังคิดหาทางอธิบายสถานการณ์ของเขาให้ชิบะฟังไมได้เลย


 


หลี่ว์ซู่มีแค่เวลาสำหรับการวิเคราะห์ตัวตนใหม่ให้ดีครั้งเดียวก่อนที่จะลงเอยอยู่ที่ห้องพักแขก


 


ตัวตนใหม่ของเขาคือยามาดะ อาคิระ คนระดับ C เป็นคนขับรถและผู้ช่วยคนสำคัญ เมื่อสัปดาห์หนึ่งก่อนหน้านี้ เกิดข้อสงสัยว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับสมาชิกอนุรักษนิยมที่เสียชีวิตไปแล้วคนหนึ่ง แล้วจึงถูกลดความสำคัญลงในสังคม ตอนนี้เขาคุมโกดังสินค้าแห่งหนึ่งในนิชิโนะเกียว โกดังสินค้าแห่งนี้ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น มันเอาไว้เก็บสารเคมีทั่วไปบางชนิดที่ใช้เป็นตัวกระทำปฏิกิริยาและเป็นส่วนประกอบเช่น โซเดียมโพแทสเซียมอัลลอย มันเป็นงานที่ใครก็ทำได้ แต่เหมือนเช่นผู้รักษาความปลอดภัยที่คฤหาสน์ทวยเทพ กลุ่มทวยเทพและสมาคมฟีนิกซ์นั้นแตกต่างกัน ฝ่านแรกถือว่าผู้บำเพ็ญทั้งหมดในองค์กรของพวกเขาเป็นอะไหล่ของเครื่องจักร


 


พวกเขามีทั้งอะไหล่ที่มีค่าและอะไหล่ที่ไม่ค่อยจะสำคัญเท่าไร สำหรับยามาดะ อาคิระนั้น เขาน่าจะมีบทบาทเป็นสกรู…


 


เขาได้ฝึกแค่ระดับ D มีประวัติที่ต่ำต้อย และไม่มีเพื่อนดีๆ ก่อนหน้านี้เขาได้รับการเลื่อนขั้นสำหรับทัศนคติการทำงานที่จริงจัง ทว่าตอนนี้เขากลับถูกลดความสำคัญลง


 


หลี่ว์ซู่มองดูรูปร่างหน้าตาภายนอกของเขา ความกำยำและความสูง รวมทั้งระยะเวลาที่เขาได้ใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับพวกอนุรักษนิยม จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเนี่ยถิงได้ตระเตรียมตัวตนนี้ให้เขาโดยเฉพาะ หลังจากที่มาประเทศญี่ปุ่น เขาก็สามารถใช้ตัวตนที่เตรียมเอาไว้ให้เขาได้ทันที


 


ไม่ว่าจะอย่างไร หลี่ว์ซู่ก็สามารถเปลี่ยนได้แค่รูปลักษณะภายนอก แต่ไม่อาจกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งได้โดยสมบูรณ์ เขาเชื่อว่าเนี่ยถิงก็รู้ในความจริงข้อนี้อย่างชัดเจนมากๆ ดังนั้นตัวตนที่หลี่ว์ซู่จำเป็นต้องใช้ต้องไม่ใช่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่สำคัญ ในแง่ของการรวบรวมข่าวกรองแล้ว แม้แต่คนระดับ D ยังทำงานได้ดีกว่าหลี่ว์ซู่เลยด้วยซ้ำ


 


สิ่งที่หลี่ว์ซู่ต้องการคือ ตำแหน่งที่ปกป้องและลดโอกาสที่คนอื่นจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา


 


ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ตระหนักว่ามันน่ากลัวเพียงใดสำหรับเครือข่ายฟ้าดินซึ่งเป็นองค์กรผู้บำเพ็ญขนาดใหญ่ที่จะให้บริการต่างๆ แก่ใครสักคน


 


ทรัพยากรประเภทนี้ไม่ได้หาได้ในองค์กรไหนๆ นี่เป็นมรดกที่สืบทอดกันมาอย่างแท้จริง


 


ข้อมูลเน้นย้ำไว้ว่าหลังจากที่หลี่ว์ซู่ได้ใช้ตัวตนนี้ ยามาดะจะถูกส่งกลับไปทำงานในเครือข่ายฟ้าดินอย่างลับๆ


 


หลี่ว์ซู่พิจารณาดูแล้ว ตัวตนนี้ก็ไม่เลว และยังจะช่วยให้สายลับได้กลับแผ่นดินเกิด นี่ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ดีมาก ด้วยเหตุผลบางประการเขาก็พลันนึกถึงทานิกุชิ บันได แม้ว่าเธอจะไม่อยากกลับประเทศของเธอ แต่เขาก็อดที่จะเคารพพวกเขาเป็นอย่างยิ่งไม่ได้


 


กลุ่มคนพวกนี้…พวกเขาคงจะต้องทรมานใจอยู่มากแน่นอน


 


ในคืนนั้น หลี่ว์ซู่กินผลดวงดาวซึ่งช่วยยกระดับชั้นได้ และจุดประกายดาวดวงที่หกได้สำเร็จ ดาวดวงที่เจ็ดนั้นยังอยู่ห่างไกลจากการจุดประกาย หลี่ว์ซู่ต้องทำเรื่องใหญ่ๆ บางอย่างเสียแล้ว


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าทวยเทพจะโทษเขาไม่ได้ ดาวดวงที่เจ็ดนั้นมีค่าเท่ากับแต้มอารมณ์สามล้านสองแสนแต้ม ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะมาก เขาไม่อาจจะก้าวหน้าได้โดยไม่ลงมือทำอะไรเลย!


 


หากพวกทวยเทพรู้ความจริง พวกเขาก็คงจะเห็นใจเขาอย่างแน่นอน!


 


หลี่ว์ซู่ได้กลับมากระหายแต้มอารมณ์อีกครั้ง


 


หลี่ว์ซู่ตื่นก่อนรุ่งสาง เขาเคาะประตูห้องของชิบะและได้ยินเสียงของเธอดังมาจากข้างใน “ใครน่ะ นั่นเธอเหรอ คิริฮาระคุง”


 


“อืม ฉันเอง ฉันแค่อยากบอกว่าตอนนี้ตีสาม เธอยังนอนต่อได้อีกสักพักนะ”


 


[ได้แต้มจากชิบะ +666…]


 


หลี่ว์ซู่เดินกลับไปที่ห้องของเขา เขากระซิบกับตัวเองเบาๆ ว่า “มีทางอื่นอะไรอีกบ้างนะที่จะทำให้ได้แต้มอารมณ์!”


 


เมื่อมองเห็นระดับ B อยู่ในระยะสายตาแล้ว หลี่ว์ซู่จึงเริ่มหมกมุ่น…


 


กลุ่มทวยเทพยังคงส่งแต้มอารมณ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคลื่นของแต้มที่ได้รับช่วงตีสอง พวกเขาคงจะกลับบ้านไปเจอตัวหนังสือ ‘รื้อ’ อยู่บนประตูบ้านของพวกเขา…


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขามองการณ์ไกลได้ดี ไม่มีทางที่พวกเขาจะล้างสีแดงนั่นออกได้ภายในคืนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะล้างมันออกได้ พวกเขาก็จะต้องทาสีภายนอกใหม่ทั้งหมดเพื่อรักษาเฉดสีของตัวบ้าน


 


หากพวกเขาล้างไม่เสร็จในวันนี้ หลี่ว์ซู่ก็จะได้รับแต้มอารมณ์ต่อ


 


โดยเฉพาะคิตะมุระ คิจิโทรินั้นให้แต้มอารมณ์แก่หลี่ว์ซู่จำนวนมากเป็นพิเศษ ได้เพิ่มมาอีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแต้ม! นี่ทำให้หลี่ว์ซู่ยิ่งสนใจคำสองคำนี้มากเข้าไปใหญ่ ‘คิตะมุระ คิจิโทริ’ …


501 ระดับ SSS

 


ปัจจุบันคิตะมุระ คิจิโทริมีบทบาทสำคัญในใจของหลี่ว์ซู่เป็นอย่างยิ่ง ครั้งสุดท้ายที่มีคำสองคำมีความหมายต่อเขามากนั้นคือคำว่า ‘อีกขวด’ ที่เขียนอยู่บนฝาขวดตอนที่เสี่ยวอวี๋กระหายอยากดื่มชามะนาวเย็นเมื่อนานมาแล้ว…


 


ช่วงนั้นเป็นยุคทอง ครั้งนั้นหลี่ว์ซู่โชคดีและได้รางวัลเจ็ดขวดฟรีในคราวเดียวเลย ดังนั้นเสี่ยวอวี๋จึงกรอกชามะนาวเย็นลงท้องไปถึงเจ็ดขวด…


 


ผลที่ตามมาก็คือ การที่เธอทนฟังใครเอ่ยถึง ‘ชามะนาวเย็น’ ไม่ได้เลยในตอนนี้


 


เมื่อไม่มีแหล่งที่มาใหม่ของแต้มอารมณ์ หลี่ว์ซู่จึงพึ่งพาได้เพียงการร้องเพลงดาวดวงน้อยสำหรับการฝึกวิชา ในปัจจุบันพลังที่ได้มาจากการร้องเพลงแปดชั่วโมงนั้นเทียบเท่ากับผลดวงดาวยี่สิบสี่ผล


 


อีกนัยหนึ่ง เขาจะได้แต้มอารมณ์สามพันแต้มต่อชั่วโมงซึ่งห่างไกลจากการหาแต้มอารมณ์ด้วยตัวเอง เพราะเขามีพรสวรรค์ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง..


 


ในช่วงกลางวันหลี่ว์ซู่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องและหมกมุ่นกับข้อมูลใหม่ๆ ที่ส่งมาจากเครือข่ายฟ้าดิน หลี่ว์ซู่ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวในการแสดงเป็นคิริฮาระ ยูสึเกะและตัดสินใจจะพยายามอย่างจริงจังในภารกิจครั้งต่อไปของเขา เขาเล็งไปที่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าเดิม!


 


ฉะนั้นไม่เพียงแต่เขาจะต้องทำตัวเองให้คุ้นเคยกับภูมิหลังของบุคคลคนนั้น แต่เขาก็ยังต้องเลียนแบบท่าเดินของเขา ทำความรู้จักสินค้าในสต๊อกของร้านค้าและแม้กระทั่งขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บและการจัดจำหน่ายสินค้าซ้ำอีกด้วย


 


อย่างน้อยที่สุด มันคงจะไม่ดูไม่เข้าท่าอย่างแน่นอนหากตัวเขาซึ่งอยู่ในฐานะที่เป็นผู้จัดการกลับไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานของตัวเองเลย เมื่อทวยเทพมาเคลื่อนย้ายสินค้า เขาไม่อาจตอบไปเฉยๆ ว่า “โปรดช่วยตัวเองกันไปเลยนะ จะเอาอะไรหรือจะจัดเก็บอะไรก็ตามใจเลย”


 


ไร้สาระจะตาย!


 


ถึงตอนนั้นเองที่หลี่ว์ซู่ได้เข้าใจในที่สุดว่าการเป็นสายลับนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คนอย่างทานิกุชิ บันไดต้องใช้เวลาอยู่กับภารกิจลับเป็นทศวรรษในขณะที่คอยห่วงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะทนต่อความเครียดทางจิตใจเป็นระยะเวลายาวนานแบบนั้นได้


 


หลี่ว์ซู่ตัดสินใจว่าจะกลับไปเป็นตัวเองให้ช้าลงในครั้งนี้ เพราะอย่างไรเสีย เวลาก็จะทำให้คนเราพัฒนาขึ้นได้อยู่แล้ว…และหากเขาไม่ต้องการเสียอย่าง ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากตัวเขาเองที่จะทำให้ภารกิจของเขาล้มเหลวได้!


 


ในตอนเที่ยง ชิบะเตรียมอาหารกลางวันให้หลี่ว์ซู่ บรรยากาศค่อนข้างจะน่าอึดอัดขณะที่ชิบะดิ้นรนที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับหลี่ว์ซู่แบบใกล้ชิดมากๆ และหลี่ว์ซู่ก็ยังพบว่ามันเป็นการยากในการอธิบายสถานการณ์ให้เธอเข้าใจ แต่ถึงอย่างไร เขาคิดว่าการแจ้งให้ชิบะได้รับทราบนั้นเป็นเรื่องสำคัญในระดับหนึ่งเลย


 


เขาควรจะเปิดเผยทุกอย่างเลยไหม


 


หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดในเรื่องนั้น การสารภาพต่อยาเอโกะเป็นทางเลือกเดียวในตอนนั้น นอกจากนี้การบอกความจริงให้เธอรู้ก็ไม่ได้เป็นการทำร้ายพวกเขาทั้งคู่ แต่ในกรณีของชิบะนั้นมันเป็นคนละแบบกัน ถ้าเธอตัดสินใจเปิดเผยเรื่องของเขาหลังจากที่ได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คิริฮาระ ยูสึเกะตัวจริงล่ะ


 


ในทางกลับกัน เครือข่ายฟ้าดินได้ยืนยันการเสียชีวิตของโอดะ โทคุมะหลังจากที่เขาโดนคิตะมุระและทาคาชิมะโจมตี พวกอนุรักษนิยมได้มาถึงทางตันของพวกเขาอย่างเป็นทางการแล้ว สมาชิกทั้งหมดของพวกเขาถูกพวกลัทธิคลั่งชาติจับกุมตัวไว้หมด


 


และบทบาทของหลี่ว์ซู่ในเรื่องนี้ก็คือ การพลิกรถบรรทุกทหารที่กำลังขนส่งตัวเชลยให้คว่ำหรืออย่างน้อยก็ทำให้ยางรถแตกเสีย…


 


“คิริฮาระคุง เธอเป็นผู้บำเพ็ญระดับไหนเหรอ” ชิบะถามอย่างสงสัย


 


หลี่ว์ซู่ชะงัก เขาควรบอกความจริงหรือเปล่า อย่าเลย พูดเล่นไปก็พอ แล้วเขาก็ตอบว่า “คือว่า ฉันอยู่ระดับ SSS”


 


หนนี้ถึงคราวชิบะอึ้งไปบ้าง เธอถามว่า “ระดับ SSS เนี่ยนะ! มีด้วยเหรอ!


 


“แน่นอน ก็มีฉันนี่ไง” หลี่ว์ซู่ยิ้ม


 


“ระดับ SSS มันเป็นอย่างไร…” ชิบะรู้ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่จริงจัง แต่ความอยากรู้ของเธอทำให้เธอไม่ยอมแพ้ ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญมือใหม่ซึ่งยังไม่ได้เรียนรู้พื้นฐานของการบำเพ็ญ ชิบะจึงเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้


 


หลี่ว์ซู่ขบคิดถึงคำถามนั้น จริงด้วย เขามักจะเห็นคำว่า ระดับ S SS และ SSS ในนิยาย แต่ความจริงแล้วพวกมันหมายความว่าอะไร


 


หลังจากนิ่งไปชั่วครู่ เขาก็พูดว่า “ฉันว่ามันหมายถึง หก หก หก”


 


[ได้แต้มจากชิบะ มาฮิโร่ +666…]


 


แต่ ณ ตอนนี้ ชิบะดูเหมือนจะตะลึงงัน เธอพูดว่า “คิริฮาระคุง ฉันเคยอ่านเจอในโพสต์อันหนึ่งที่บอกว่าคนจีนชอบใช้เลขหกหกหกเพื่อแสดงความชื่นชมของเขาแก่คนอื่น…ถ้าอย่างนั้นเธอ…”


 


สมองหลี่ว์ซู่เต้นตุ้บๆ เขาเปิดเผยตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร หรือว่ามันจะเป็นเพราะคำสาปแช่งของเนี่ยถิง


 


ก่อนที่เขาจะคิดข้อแก้ตัวที่เข้าท่าออก ชิบะก็ยิ้มและถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอคงชอบประเทศจีนมากเลยใช่ไหม คิริฮาระคุง”


 


“ใช่! แน่อยู่แล้ว!” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ตอนที่ชิบะกำลังกินข้าว จู่ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลอาบแก้ม เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คิริฮาระคุง ไม่ว่าฉันจะพยายามบอกตัวเองมากแค่ไหน ฉันก็รู้ว่าตั้งแต่วันที่เธอกลับมาจากการลาป่วย เธออาจจะไม่ใช่คิริฮาระคุงที่ฉันเคยรู้จักก่อนหน้านั้นอีกต่อไป…”


 


หลี่ว์ซู่นิ่งเงียบ ไม่มีคนโง่อยู่ในโลก แม้ว่าเขาจะหลอกคนอื่นๆ ได้ แต่เขาจะหลอกเด็กผู้หญิงอย่างชิบะ มาฮิโร่ที่ให้ความสนใจยูสึเกะมากมายขนาดนั้นมาโดยตลอดได้อย่างไร


 


“คิริฮาระคุงที่ฉันรู้จัก…” ตอนนี้ชิบะแทบจะพูดกระซิบ “เขาไม่กล้าแม้แต่จะเหยียบมด หลังจากที่มีคนผลักเขา เขาก็ไม่กล้าไปเรียนพละอีกเลย…มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลายเป็นคนที่ต่างออกไปขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะมีอาการอารมณ์แปรปรวนรุนแรงก็ตาม ฉะนั้นเธอไม่ใช่คิริฮาระคุงใช่ไหม แต่ฉันไม่ได้โทษเธอนะ ฉันแค่อยากรู้ความจริง”


 


หลี่ว์ซู่ถอนหายใจยาวและบอกว่า “ถูกต้องแล้วล่ะ ฉันไม่ใช่คิริฮาระ ยูสึเกะ ยูสึเกะได้ฆ่าตัวตายไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน”


 


ทันทีที่เขาพูดจบประโยค น้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจากตาของชิบะอย่างหยุดไม่อยู่ แต่ทันใดน้ำตาของเธอก็มาระเหยที่คางของเธอด้วยความร้อนสูงที่ผิวหนังของเธอปล่อยออกมา


 


หลี่ว์ซู่ต้องประหลาดใจที่เธอได้ประสบกับการปะทุพลังอีกครั้ง!


 


“เธอ…” ใบหน้าของหลี่ว์ซู่เต็มไปด้วยความงุนงง


 


ชิบะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มทั้งที่น้ำตายังไหลออกมาจากตา เธอพูดเบาๆ ว่า “บางทีเขาอาจพบความสงบสุขได้แล้วในที่สุด”


 


หลี่ว์ซู่ไม่มีคำตอบ ตลอดระยะเวลาที่ชิบะสารภาพความรู้สึกออกมาอย่างจริงใจ เธอไม่ได้ผลิตแต้มอารมณ์หรือมีสัญญาณใดๆ ที่มุ่งร้ายต่อเขาเลย


 


เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอ หญิงสาวคนนี้อยู่ฝ่ายยูสึเกะมามากกว่าสองปี แต่เธอไม่เคยเรียบเรียงความรู้สึกของเธอออกมาเป็นคำพูด และตอนนี้คำพูดเหล่านั้นก็ไม่อาจส่งผ่านไปยังตัวคนที่ถูกต้องได้


 


มันเหมือนกับจดหมายที่มีแต่ชื่อจ่าหน้าซอง แต่ว่าไม่มีการจ่าที่อยู่เอาไว้ ผลที่ได้คือมันจะไม่มีวันไปถึงที่หมายหรือส่งคืนกลับมาได้


 


มันลอยลำอยู่ในระลอกคลื่นแห่งกาลเวลาที่ยาวนานอย่างช้าๆ แต่ทว่ามั่นคง ทั้งที่อาจถูกลืมหรือถูกฝังไปแล้ว และมันก็ทำหน้าที่เป็นต้นกำเนิดแห่งความทุกข์ไปชั่วนิจนิรันดร์


 


ณ ตอนนี้ หลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงหน้าต่างบนชั้นสองเปิดออกจากห้องที่ยาเอโกะกำลังนอนพักอยู่


 


ด้วยความตกใจสุดขีดเขาจึงวิ่งขึ้นไปในทันทีและพบแค่เตียงเปล่าๆ และหน้าต่างที่เปิดกว้าง ยาเอโกะหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


มีข้อความทิ้งเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียงที่เขียนว่า “ขอบคุณ หลี่ว์ซู่คุง แล้วเจอกันใหม่นะ”


 


ลงชื่อโดย ซากุราอิ ยาเอโกะ


 


หลี่ว์ซู่ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหายตกใจ จริงเหรอ เธอจากไปแล้วเหรอ เธอรู้สึกดีขึ้นแล้วเหรอน้องสาว ฉันว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไรเลยนะที่จะวิ่งไปมาท่ามกลางคนของทวยเทพเป็นฝูงแบบนี้!


502 การปะทุพลังชนิดแยกสาย

 


แต่เขาไม่ได้กังวลขนาดนั้นเพราะเขาเชื่อว่าการตัดสินใจของยาเอโกะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความแน่ใจและการพิจารณาสถานการณ์ที่เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเธอกำลังจะมุ่งหน้าไปไหนนั้นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา


 


เราทุกคนจะได้พบคนที่ผ่านเข้ามามากมายในการเดินทางอันยาวไกลที่เรียกว่าชีวิต และในที่สุดเราก็จะต้องทำความคุ้นเคยกับการลาจาก


 


หลี่ว์ซู่หันไปยิ้มให้ชิบะที่กำลังยืนอยู่ตรงประตู เขาบอกเธอว่า “เนื่องจากยาเอโกะฟื้นตัวแล้วมันก็ถึงเวลาที่ฉันต้องไปเหมือนกัน”


 


“คิริฮาระคุง ช่วยกอดฉันได้ไหม” ชิบะขอร้องเบาๆ “ช่วยกอดฉันในฐานะคิริฮาระ ยูสึเกะสักครั้งเถอะนะ”


 


ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบได้ ชิบะก็ถลาเข้ามาสู่อ้อมกอดของหลี่ว์ซู่และผละออกไปในทันที “โปรดดูแลตัวเองด้วย ขอบคุณนะ”


 


หลี่ว์ซู่ตระหนักดีว่าความรู้สึกต่างๆ ที่บันดาลให้เกิดการกอดนั้นไม่ได้มุ่งส่งมาให้เขา แต่มาที่ใบหน้าที่เขาสวมอยู่ และมันก็เป็นความปรารถนาที่ไม่สมหวังของเด็กสาวคนนั้น


 


แม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัส แต่ยาเอโกะมีความมั่นใจว่าสามารถหลีกเลี่ยงพวกปลาซิวปลาสร้อยข้างล่างได้ นอกจากนั้น เธอก็ไม่ใช่คนที่จะขอความเมตตาจากใคร ยาเอโกะรู้ว่าเธอคงจะฆ่าแม้กระทั่งคิตะมุระ ฮิโรโนะไปแล้วหากคิจิโทริไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน


 


ยิ่งไปกว่านั้น ใครๆ ก็บอกได้จากอาวุธของเธอซึ่งเป็นดาบสั้นว่าเธอนั้นชำนาญในทักษะการลอบสังหารของทวยเทพของจริงแทนที่จะเป็นการฟันดาบทั่วไป เธอคือนักฆ่า


 


ความจริงแล้ว หากมันเป็นฮิโรโนะแทนที่จะเป็นหลี่ว์ซู่ในตอนที่เธอโจมตีที่หน้าบ้านของเขา ฮิโรโนะอาจตายไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น อย่างไรก็ดี หลี่ว์ซู่นั้นแข็งแกร่งกว่าเธอมากนัก


 


ยาเอโกะใจกล้าในการตัดสินใจกลับไปยังห้องพักของเธออย่างแอบๆ ซ่อนๆ ซึ่งก็น่าจะอยู่เหนือความคาดฝันของกลุ่มทวยเทพเสียด้วยซ้ำ


 


สมาชิกของทวยเทพสองคนกำลังสูบบุหรี่อยู่หน้าประตูของเธอ แต่ภายในเสี้ยววินาทีเดียวพวกเขาก็ทรุดลงไปจมกองเลือดเพราะดาบสั้นได้แทงทะลุหัวใจของพวกเขา ยาเอโกะนั้นรวดเร็วประดุจปีศาจ


 


เธอแกะผนึกที่ปิดอยู่ที่ประตูห้องของเธอและเดินเข้าไป บ้านของเธอเละเทะไปหมดซึ่งน่าจะเกิดขึ้นจากการค้นบ้าน แต่เธอไม่สนใจ เธอไม่ได้กลับมาเพื่อเอาของใช้ประจำวันแต่มาเพื่อของบางอย่างที่เธอไม่มีปัญญาจะปล่อยไปได้


 


เธอหยิบเอาเงินหนึ่งแสนเยนซึ่งเป็นรายได้ครั้งแรกเท่าที่เธอเคยมีออกมาจากช่องใต้เพดาน


 


หลังจากการตายของท่านอาจารย์ กองทุนทั้งหมดที่เหลืออยู่ของพวกอนุรักษนิยมจะถูกส่งต่อมายังเธอโดยปริยาย แต่เธอไม่อาจรับเงินนั้นมาได้อย่างสบายใจ


 


ยาเอโกะซุกธนบัตรเหล่านั้นเอาไว้ในกระเป๋าของเธออย่างระมัดระวังและกำลังจะออกไป ของชิ้นสำคัญๆ ถูกเก็บไว้ที่บ้านของท่านอาจารย์ของเธอทั้งหมด


 


ทว่า แน่นอนว่าเธอจะไม่ทิ้งทรัพยากรของพวกอนุรักษนิยมเนื่องจากเหตุผลทางอารมณ์ สำหรับเธอแล้ว ไม่มีสิ่งที่มีมูลค่าสิ่งใดที่ควรจะสูญเปล่า


 


ในคืนนั้นเธอจะมุ่งหน้าไปโอซาก้าโดยรถไฟและออกนอกประเทศจากที่นั่น เธออยากจะรู้จักโลกภายนอกแม้ว่าจุดหมายของเธอนั้นยังไม่ชัดเจน


 


เธอได้พิจารณาทางเลือกที่จะอยู่กับหลี่ว์ซู่ แต่มีปัญหาข้อหนึ่งที่คอยรบกวนใจของเธอ นั่นก็คือการที่เธอได้เข้าหาเขาในฐานะสายลับ


 


ฉะนั้น ชะตาจึงลิขิตเอาไว้แล้วว่าปฏิสัมพันธ์ของพวกเขายังคงไม่เหมาะไม่ควร การเริ่มต้นที่ผิดย่อมต้องพาไปสู่จุดจบที่ผิด ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะจากมาและรอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


 


ลาก่อน หลี่ว์ซู่คุง


 



 


ในระหว่างนั้น หลี่ว์ซู่กำลังนั่งอยู่ในป้อมยามของโกดังสินค้า มันตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลในชนบทของนิชิโนะเกียวและแขกผู้มาเยี่ยมที่นี่มีเพียงพนักงานขนส่งที่ขนย้ายของให้ฝ่ายค้นคว้าวิจัยของทวยเทพ


 


ป่านนี้ยามาดะ อาคิระตัวจริงน่าจะพร้อมออกนอกประเทศแล้ว หลี่ว์ซู่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมาโดยการซ่อนตัวในห้องน้ำชายใกล้ๆ นั้นและรอการมาถึงของยามาดะเพื่อการรับมอบตำแหน่งอย่างเป็นทางการ


 


จากสีหน้าของยามาดะแล้ว หลี่ว์ซู่มองเห็นความสุขที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนของเขาได้เลย บางทีเขาอาจจะกระตือรือร้นอยากกลับบ้าน ซึ่งต่างกับคุณบันได


 


หลังจากผ่านไปหกปี ในที่สุดวันที่เขาจะได้กลับบ้านก็มาถึง เขาไม่ได้ทำผิดพลาดในภารกิจของเขาซึ่งนั่นหมายความว่าเขายังมีทรัพยากรที่เขาคู่ควรอีกมากที่กำลังรอเขาอยู่ในองค์กร


 


ยามาดะไปเข้าห้องน้ำและหลี่ว์ซู่ก็เดินออกมา ไม่มีใครสังเกตว่าบทบาทของ ‘ยามาดะ อาคิระ’ ในตอนนี้กำลังถูกแสดงโดยคนอีกคนหนึ่ง


 


เป้าหมายของหลี่ว์ซู่ในครั้งนี้เป็นเหมือนเดิม นั่นคือการสร้างปัญหาภายใต้ตัวตนที่ได้รับมอบมาในปัจจุบัน เพราะอย่างไรเสียในขณะที่เขาแสดงอยู่ตามลำพัง เขาสามารถจะทำให้พวกทวยเทพปวดหัวได้เมื่อพวกเขาส่งคนมารับสินค้า


 


ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าภารกิจใหม่ของเขาง่ายกว่าภารกิจก่อนหน้านี้เสียอีก แน่นอนว่าต้องขอบคุณเครือข่ายฟ้าดินนั่นเอง


 


ณ ตอนนี้เขาก็ได้ยินเสียงเคาะที่หน้าต่าง หลี่ว์ซู่เงยหน้าขึ้นไปเห็นชายร่างเตี้ยที่มีใบหน้ากลมๆ ขนาดใหญ่กำลังส่งยิ้มมาให้เขาจากนอกหน้าต่าง หลี่ว์ซู่ชะงัก…ไอ้หมอนี่ใครเหรอ


 


“ยามาดะ! ฮ่าๆ ฉันมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนนาย! ทำไม จำกันไม่ได้เหรอ เราเพิ่งได้เจอกันเมื่อครึ่งเดือนก่อนเองนะ!” ชายคนนั้นหัวเราะร่า


 


หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย “จำได้อยู่แล้ว แต่นายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ นายบอกว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนเหรอ”


 


เขาจับข้อมูลบางอย่างได้จากคำพูดของเขา พวกเขารู้จักกันแต่ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก พวกเขาเพิ่งจะพบกันแค่เมื่อครึ่งเดือนก่อนนี้เอง


 


“ถูกต้อง!” เขาเปิดประตูขณะที่ยังยิ้มแฉ่งและกล่าวว่า “ฉันก็โดนล้างระบบเหมือนกัน แล้วพวกเขาก็ส่งฉันมาดูแลโกดังสินค้ากับนาย”


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกเหมือนโลกสลาย ตามแผนการแล้วเขาควรจะแสดงคนเดียวไม่ใช่เหรอ แล้วหมอนี่มาทำอะไรที่นี่ล่ะ!


 


แถมยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเขาอีกต่างหาก!


 


หลี่ว์ซู่แสร้งทำเป็นมิตรและตบบ่าของเขาในลักษณะทักทาย เขาอยากรู้ชื่อของเขาจากบันทึกแต้มอารมณ์ในระบบ อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนั้นแต้มอารมณ์จำนวนมากมายกำลังถูกผลิตมาจากกลุ่มทวยเทพและหลี่ว์ซู่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าชื่อไหนเป็นของเขา! ดูเหมือนว่าความทุกข์ที่มากเกินไปก็สามารถนำพามาซึ่งความไม่สะดวกได้เหมือนกัน!


 


ที่สำคัญ…ไอ้เวร นายเป็นใครกัน นายกำลังทำงานให้เนี่ยถิงเพื่อนำความสุขมาให้ฉันหรืออย่างไร มันยากที่ฉันจะไม่คิดทำนองนั้นเมื่อพิจารณาจากเวลาที่นายโผล่หัวมา!


 


“ยามาดะ นายว่าพวกเราจะถูกจ้างใหม่อีกไหม” ชายหน้ากลมถาม “ฉันแค่ไปร่วมงานศพของมัตสึอุระ ฮาราอิชิโร่ แล้วคิดดูสิ ตอนนี้ฉันมาอยู่นี่แล้ว! การล้างระบบภายในที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ส่งผลกระทบต่อคนมากมายเลยล่ะ!”


 


หลี่ว์ซู่ยักไหล่ด้วยความไม่แน่ใจ เขาตอบ “แต่เราไม่มีทางเลือกนอกจากการรอให้มันผ่านไป ว่าไปแล้ว ทำไมพวกเขาต้องส่งนายมาที่นี่ด้วย ฉันทำคนเดียวก็ดีอยู่แล้ว”


 


“ฮ่าๆ นายนี่ชอบยักไหล่เหมือนเดิมเลยนะ” ชายหน้ากลมโตยิ้มยิงฟัน


 


การยักไหล่เป็นนิสัยติดตัวของอาคิระ แม้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขายักไหล่ระหว่างที่สนทนากันในห้องน้ำเลย แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการจงใจทำให้เป็นนิสัยเพียงเพื่อจะให้เกิดความสะดวกแก่คนใหม่ที่เข้ามาสวมรอย


 


มันก็เหมือนกับลักษณะเฉพาะของตัวละครหลักบางตัวในการ์ตูนนั่นแหละ ตัวอย่างเช่น เส้นหกเส้นบนแก้มของนารูโตะและปอยผมบนหัวของโคนัน มันทำหน้าที่เสริมความรู้สึกของผู้ชมที่มีในตัวละครนั้นให้แข็งแกร่ง เพราะลักษณะใบหน้าของตัวละครพวกนั้นอาจไม่ตรงกันในบางครั้งเนื่องจากความยากโดยธรรมชาติในการจำลองแบบในภาพวาด


 


ฉะนั้น การกระทำซึ่งเป็นแบบอย่างที่เฉพาะเจาะจงของการยักไหล่จึงอาจช่วยเขาในการเปลี่ยนแปลงสู่ตัวตนใหม่นี้ได้


 


“นายไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย นายมาที่เพื่ออะไร เกิดอะไรขึ้น” หลี่ว์ซู่ถามอย่างเป็นกันเอง


 


แต่ชายคนนั้นไม่ได้ดูเหมือนจะตกใจในการถูกสงสัย เขากล่าวว่า “นายมันโชคดี นายมาที่นี่ก่อน ในขณะเดียวกันสำหรับฉัน ฉันมาได้ก็ต้องขอบคุณที่มีคนอื่นมาช่วย เขาว่ากันว่าข้างๆ โกดังสิงค้าแห่งนี้มีฐานใต้ดินซึ่งก่อสร้างมาปีกว่าแล้วและกำลังจะได้ใช้งานเร็วๆ นี้ เนื่องจากโกดังสินค้านี้อยู่ใกล้มันมาก เราคงกำลังทำงานอยู่ในสถานที่ที่สำคัญแน่ๆ นอกจากนี้ ในฐานะที่ฉันอยู่ระดับ D ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะต้องเรียกฉันกลับไปอีกถ้าฉันทำตัวดีๆ ไม่ว่าจะอย่างไร ทวยเทพก็กำลังประสบกับการขาดแคลนกำลังคนหลังจากการเสียชีวิตของคนระดับ C ตั้งสามคน”


 


หลี่ว์ซู่นิ่งเงียบ ซึ่งส่งสัญญาณที่ทำให้ชายคนนั้นเข้าใจผิด เขาสร้างความมั่นใจให้หลี่ว์ซู่และพูดว่า “แต่สบายใจได้ ฉันได้ข่าวว่านายเพิ่งจะเลื่อนขึ้นสู่ระดับ D แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยนะ ตราบใดที่นายฝึกหนักที่นี่ ไม่ช้าก็เร็วต้องถึงตานายมั่งล่ะ”


 


“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีด้วยนะ” หลี่ว์ซู่ตอบอย่างสุภาพ ทว่าดูเคอะเขินเล็กน้อย


 


และสำหรับชายคนนั้น ความเคอะเขินนั้นก็ถูกแปลผิดๆ อีกครั้งเป็นความไม่มั่นใจในตัวเองของ หลี่ว์ซู่เมื่ออยู่ต่อหน้าความสำเร็จอันเลอเลิศของเขา…


 


ผลก็คือ เขาใช้เวลาทั้งวันคุยกับเขาและหลี่ว์ซู่ก็ตอบด้วยท่ายักไหล่จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ยังไม่อาจรู้ชื่อของชายหน้ากลมคนนั้นได้อยู่ดี!


 


ในตอนกลางคืนพวกเขาพักในห้องเดียวกัน หลี่ว์ซู่หวังว่าจะได้ประวัติข้อมูลของชายคนนี้บ้างแต่เครือข่ายฟ้าดินก็ไม่ได้ส่งมาเลย…


 


ราวๆ ตีสองชายคนนั้นก็ลุกไปห้องน้ำ หลี่ว์ซู่ดีใจที่ได้โอกาส เนื่องจากมีคนของทวยเทพอยู่ไม่มากที่ยังคงตื่นเพื่อเติมหน้าจอของเขาด้วยแต้มอารมณ์ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างง่ายที่จะหาชื่อของเขาในตอนนี้


 


หลี่ว์ซู่ลุกขึ้นและตามไปห้องน้ำด้วยคน จากนั้นชายหน้ากลมก็หันมาหาหลี่ว์ซู่และแสยะยิ้มแบบน่าเกลียดใส่เขา เขาถามขึ้น “เฮ้ย ยามาดะ ช่างบังเอิญจังเลยนะ!”


 


แสยะยิ้มหาอะไรวะ! ถ้าไม่ใช่เพื่อตัวตนใหม่ของฉันล่ะก็ ป่านนี้แกตายไปแล้ว…


 


พวกเขายืนอยู่ในห้องน้ำด้วยกัน หลังจากนั้นสักพัก ชายคนนั้นก็เริ่มฉี่ได้ในที่สุด


 


ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ใช้พลังสายธาตุน้ำของเขาเพื่อแยกปัสสาวะของชายคนนั้นออกเป็นสองสาย หลี่ว์ซู่ตั้งใจไม่ทำให้เกิดการแยกออกเป็นหลายๆ สายจนเกินไปเพราะนั่นคงจะดูแปลกไป…


 


ครั้งนี้เขาจะต้องประสบความสำเร็จในการรู้ชื่อของเขาแน่นอน! ตราบใดที่เขาไม่ได้แตะต้องตัวชายคนนั้น เขาก็ไม่มีทางรู้ถึงพลังสายธาตุน้ำของเขาได้


 


แต่หลี่ว์ซู่ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าไม่มีการผลิตแต้มอารมณ์ออกมาเลย ไม่มีแม้กระทั่งจำนวนแต้มน้อยๆ อย่างหนึ่งร้อยแต้มด้วยซ้ำ! แปลกจัง เขาควบคุมการผลิตแต้มอารมณ์ของตัวเองได้ด้วยเหรอ


 


ถ้าเป็นความจริงก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว! ไม่มีใคร โดยเฉพาะปลาซิวปลาสร้อยอย่างตาคนนี้ ที่จะต้านทานการเก็บแต้มอารมณ์ของเขาได้!


 


เมื่อทบทวนดูอีกครั้งเขาจึงยอมแพ้ ทว่าครั้งนี้เขาต้องตกใจสุดขีดที่ได้เห็นว่าทันทีที่เขาหยุดใช้พลัง สายน้ำปัสสาวะก็แยกออกเป็นสามสายโดยอัตโนมัติ!


 


หลี่ว์ซู่เห็นภาพนั้นโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว!


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงการจ้องอย่างสะดุ้งตกใจของหลี่ว์ซู่ ชายคนนั้นจึงยิ้มแหยๆ อย่างเหนียมอาย “เอ่อ เมื่อเร็วๆ นี้ฉันไปฟัดกับพวกสาวๆ มัธยมปลายที่เพิ่งเข้าทวยเทพหนักไปหน่อย”


 


ตอนนี้ หลี่ว์ซู่ชักอยากซ้อมเขาปางตายขึ้นมาเสียแล้ว…


 


บ้าที่สุด! เนี่ยถิงต้องเป็นคนส่งแกมาเพื่อทำให้ฉันทุกข์ทรมานแน่ๆ!


503 ตัวตนที่ไม่อาจทำลายได้

 


ชายวัยกลางคนนั้นเป็นศัตรูกับพลังการแยกสายน้ำโดยธรรมชาติเลยจริงๆ หลี่ว์ซู่อดไม่ได้ที่จะมองไปที่คนหน้ากลมด้วยความรู้สึกแค้นฝั่งหุ่น


 


หลี่ว์ซู่นึกว่าสิ่งที่เขาทำจะต้องเปิดเผยชื่อที่แท้จริงของเขาได้แน่ แต่เขาไม่เคยคิดสักนิดเลยว่าบางทีการแยกสายน้ำปัสสาวะของเขาเป็นสองสายจะทำให้เขาดีใจได้ขนาดนั้น ก็ปกติแล้วมันแยกออกตั้งสามสายแน่ะ ทำไม วันนี้ไตของเขาอยู่ในสภาพดีหรืออย่างไร!


 


น่าสนใจ เนื่องจากชายคนนี้ไม่ยอมรับกลยุทธ์ที่ง่ายขนาดนั้น หลี่ว์ซู่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเปลี่ยนแผนของเขา


 


อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ต้องคิดมาก เมื่อหลี่ว์ซู่จริงจัง ก็ไม่มีทางที่ภาพลักษณ์และตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยหรอก!


 


กลยุทธ์ก่อนหน้านี้นิ่มนวลเกินไป หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขายังไม่ได้ใช้ความสามารถของเขาอย่างเต็มที่


 


ตัวละครทั้งหมดในภาพยนตร์ที่มีสองบุคลิกต่างพูดตรงกันไม่ใช่เหรอว่า “หากเขามีรูปลักษณ์ที่ลึกลับ มันไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน แต่มันเป็นเพราะพวกที่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาได้ตายไปหมดแล้วต่างหาก…”


 


ภาพลักษณ์แบบนี้ช่างเป็นคนขี้โม้ แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าตอนนี้เขาก็มีภาพลักษณ์เดียวกันนี้แล้ว


 


ต่อจากนี้ไป เขาจะกำจัดใครก็ตามที่มองเขาออก


 


คนหน้ากลมดึงกางเกงขึ้นแล้วเดินกลับไป ในขณะที่เดิน เขาก็หัวเราะขำด้วยความร่าเริง “ยามาดะ ได้ข่าวว่านายต่อสู้ได้เก่งนี่ แม้กระทั่งพวกขั้นกลางของระดับ D ยังเอาชนะนายไม่ได้เลย คราวหน้ามากับฉันสิ เมื่อใดที่ฉันก้าวหน้าไปเป็นสมาชิกคนสำคัญระดับ C แล้วล่ะก็ นายมาแบ่งเอาพวกสาวปีสองในองค์กรไปก็ได้ พวกเขาให้ความร่วมมือดีมาก”


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เรื่องนั้นฉันต้องพึ่งนายเลยล่ะ”


 


ภายนอกนั้นเขากำลังหัวเราะอยู่ แต่เขากำลังด่าไอ้หน้ากลมอยู่ข้างใน พวกคนที่อยู่จุดสูงสุดของระดับ D กล้าดีมีลิ่วล้อทุกที่ที่ไปตั้งแต่เมื่อไรกันเหรอ


 


“แค่เพราะฉี่ของฉันมันแยกเป็นสองสาย ก็อย่ามาเหมาว่าไตของฉันไม่ดีล่ะ ร่างกายของฉันแข็งแรงมาก ฉันสนุกได้คืนละหลายรอบสบายๆ เลย” ไอ้หน้ากลมกล่าวด้วยความพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะกู้หน้าและศักดิ์ศรีความเป็นชายของตัวเอง


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมา นี่มันโม้เรื่องอะไรอยู่เนี่ย หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้แล้วยังจะมีหน้ามาโม้ได้อีกเหรอ


 


จู่ๆ ไอ้หน้ากลมก็ถามขึ้น “มีน้ำมันอยู่ในโกดังของนายบ้างไหม ถ้าที่มีคงคลังอยู่เกิดลดลงอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาจะรู้ไหม อย่าปิดฉันเลยนะ ตอนนี้เราสองคนมีหน้าที่คุมโกดังนี้ด้วยกัน นายจะมาปกปิดความจริงจากฉันไม่ได้เลยนะ”


 


“ที่นี่ไม่มีน้ำมันหรอก เวลาที่พวกเขาขนส่งของเข้าหรือออกจากที่นี่พวกเขาจะเปรียบเทียบอย่างละเอียดเสมอนะ ทำอย่างกับว่านายไม่รู้ว่าพวกเขาจริงจังกับเรื่องนี้ขนาดไหนอย่างนั้นแหละ” หลี่ว์ซู่กล่าว “ถึงจะมีน้ำมันอยู่ก็เถอะ พวกเขาจะไว้วางใจพวกเราซึ่งเป็นพวกที่ถูกลดความสำคัญไปแล้วได้เหรอ”


 


ไอ้หน้ากลมขบคิดและกล่าวออกมาว่า “น่าเสียดายว่ะ”


 


ทั้งสองคนกลับมาที่หอพักและกลับลงไปนอนอีกครั้ง หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะรู้ชื่อจริงของไอ้หน้ากลม เขาจะมัวเรียกเขาว่า ‘ไอ้หน้ากลม’ ตลอดเวลาแบบนี้ไม่ได้ เขาจะไม่รู้จักชื่อของเขาตั้งแต่แรกยันจบได้อย่างไรเล่า


 


วันหนึ่งๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในระยะยาวสิ่งนี้จะต้องก่อปัญหาให้อย่างแน่นอน ภายใต้สถานการณ์ปกติ หลี่ว์ซู่มักจะร้องเพลงดาวดวงน้อยให้ตัวเองฟัง แต่เมื่อมีไอ้หน้ากลมอยู่ใกล้ๆ ตัว เขาก็ทำเช่นนั้นไม่ได้


 


เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ไอ้หน้ากลมสวมกางเกงและเดินไปเข้าห้องน้ำโดยไม่ใส่เสื้อกันหนาว จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็หัวเราะลั่นเสียงดัง “ปวดอีกแล้วเหรอ นายอั้นไม่อยู่ใช่ไหมล่ะ”


 


ไอ้หน้ากลมอึ้งจนพูดไม่ออกและกลับลงไปนอนดังโครม ไม่มีทางที่ใครจะปฏิเสธได้หรอก!


 


[ได้แต้มจากนากายะ คาวาโยชิ +69!]


 


การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันของผู้ชายนั้นแสนจะประหลาด พวกเขาทั้งสองคนนอนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ แม้จะรู้ว่าได้เวลากินข้าวเที่ยงแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะพูดเรื่องการลุกขึ้น…พวกเขาถึงขนาดเลิกเฝ้าโกดังสินค้าไปเลยด้วยซ้ำ…


 


ใบหน้าของคาวาโยชิเริ่มจะกลายเป็นสีม่วงและเขาก็หันมามองหลี่ว์ซู่ เขาส่งแต้มอารมณ์ให้หลี่ว์ซู่มากขึ้นเรื่อยๆ ในทางตรงกันข้าม หลี่ว์ซู่กลับไม่รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขายังอายุน้อยเขาจึงแข็งแรงพอที่จะกลั้นฉี่เอาไว้ เขารอคอยให้คาวาโยชิส่งแต้มอารมณ์ให้เขามากขึ้นด้วยความกระตือรือร้น…


 


พูดตามตรงแล้ว วิธีการล่าแต้มอารมณ์แบบนี้ทำให้หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าตนเองได้พบกับวิธีการใหม่ในการเอาชนะศัตรูทีเผลอเสียแล้ว


 


เขาเดาธรรมชาติวิสัยของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ คาวาโยชิมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีมากเกินไปในแง่นี้และหลี่ว์ซู่ก็กำลังงัดอยู่กับแก่นของปัญหานี้เลย


 


ในชั่วขณะนี้เองที่มีใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากด้านนอกโกดัง “คนเฝ้าโกดังไปไหน มีใครอยู่บ้างไหม”


 


คาวาโยชิลุกขึ้นนั่งอย่างเร็วและตะโกนกลับไป “มีครับ กำลังไปเดี๋ยวนี้แหละ!”


 


ในที่สุดเขาก็มีทางออก คราวนี้มันไม่ใช่เพราะเขากลั้นฉี่ไม่ไหว แต่เป็นเพราะเขามีงานต้องทำต่างหาก อย่างไรก็ตาม คาวาโยชิก็ยังวิ่งไปห้องน้ำก่อนเลย ทันทีที่เขาปลดทุกข์แล้ว เขารู้สึกได้เลยว่าโลกนี้ช่างสวยงามเหลือเกิน…


 


หลี่ว์ซู่สวมเสื้อผ้าและเปิดประตูของโกดัง มีรถบรรทุกคันหนึ่งมาจอดอยู่หน้าโกดัง ชายที่สวมหมวกหม้อตาลมองมาที่เขาและกล่าวว่า “ยามาดะ! ปกตินายค่อนข้างจะเร็วไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้นกับ…”


 


เขายังไม่ทันพูดจบก็ถึงกับเสียวสันหลังวาบ เขามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย


 


ในทางกลับกัน หลี่ว์ซู่ที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก็สงสัยว่าชายคนนี้รู้ตัวตนของเขาแล้วหรือยัง และมันจะเป็นผลทำให้เขาต้องกำจัดชายคนนี้หรือไม่…


 


“อะแฮ่ม” ชายคนนั้นพูดขึ้น “นี่คือทรัพยากรชุดใหม่ หลังจากเซ็นรับแล้วช่วยเอามันลงทะเบียนในคอมพิวเตอร์ด้วยนะ ตอนเก็บของพวกนี้ในโกดัง อย่าเอาไปเก็บไว้ลึกๆ ล่ะ เพื่อว่าฐานข้างโกดังจะได้มารับไปในอีกสองวัน”


 


หลี่ว์ซู่ถอนหายใจอย่างมีความสุข คนอีกสองคนโผล่ออกมาจากรถบรรทุกเพื่อย้ายกล่องสิบสามกล่องไปที่โกดัง กล่องเหล่านั้นทำมาจากอะลูมิเนียมและปิดผนึกมาอย่างแน่นหนา


 


ในที่สุดคาวาโยชิก็สวมกางเกงและเดินมาหา เขาจำคนส่งของได้และกล่าวว่า “อุชิดะ! ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ”


 


ชายที่สวมหมวกหม้อตาลดูประหลาดใจแกมยินดีที่ได้เห็นคาวาโยชิ “พระเจ้า นากายะ! ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่เหมือนกันละ”


 


“มีใครบางคนถ่ายรูปฉันกับมัตสึอุระ ฮาราอิชิโร่จากกลุ่มอนุรักษนิยมไปร่วมงานศพด้วยกัน พูดตามจริงแล้วฉันไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ามัตสึอุระ ฮาราอิชิโร่เป็นใคร” คาวาโยชิพล่ามต่อ


 


อุชิดะหัวเราะ “นายไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าดูจากพละกำลังของนายแล้ว นายสามารถเลื่อนขึ้นระดับ C ได้ทันทีเลย ถ้าเป็นแบบนั้นรับรองว่านายต้องถูกจ้างกลับไปใหม่แน่นอน”


 


“ฮ่าๆ แน่อยู่แล้ว” คาวาโยชิหัวเราะ เขาไม่ห่วงอนาคตของตัวเองเลย ตอนที่หลี่ว์ซู่คุยกับเขาเมื่อบ่ายวานนี้ หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนที่อยู่เหนือคาวาโยชิ การถูกย้ายมาที่โกดังของเขาเป็นเหมือนช่วงการบำบัดที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการแสดงเท่านั้น เขาค่อนข้างจะแตกต่างจากยามาดะที่หลี่ว์ซู่ได้เข้ามาแทนที่


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่เคยคิดว่าจริงๆ แล้วคาวาโยชิคนนี้จะเป็นสมาชิกคนโปรดของกลุ่มทวยเทพ!


 


ในความเป็นจริง หัวหน้าฝ่ายทุกๆ คนในทวยเทพมักจะเป็นสมาชิกระดับ C คนสำคัญ ภายใต้สถานการณ์ปกติ เมื่อคุณได้เลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับ C แล้ว คุณก็จะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากเมื่อก่อนเหมือนอยู่กันคนละโลกเลย


 


ฉะนั้นในกรณีนี้ ไม่เพียงแต่มันจะส่งผลให้คนระดับ C เป็นที่โปรดปราน แต่พวกที่มีแนวโน้มที่จะได้เลื่อนขึ้นระดับ C ก็จะได้เป็นที่โปรดปรานไปด้วย หลายๆ คนจึงพยายามชนะใจพวกเขาแต่เนิ่นๆ


 


ในตอนนี้ทวยเทพกำลังขาดคนสืบช่วง นี่ไม่ได้เป็นผลจากการสังหารครั้งใหญ่ของเนี่ยถิงก่อนหน้านี้เพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะพวกเขาประสบกับความสูญเสียอย่างหนักในโบราณสถานเกาะช้างอีกด้วย ตำแหน่งสำคัญหลายๆ ตำแหน่งจึงยังคงว่างอยู่


 


ทุกคนกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด ผู้ที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับ C ก่อนจะมีโอกาสได้ครองตำแหน่งในฝ่ายที่สำคัญมากๆ ในครั้งนี้ผู้นำของคาวาโยชิซึ่งได้แก่ ทาคาชิมะ ทาอิรัตสึได้แต่งตั้งเขามาที่นี่เพื่อปกปิดความสามารถของเขา นั่นก็เพื่อให้เขาได้เลื่อนขึ้นสู่ระดับ C อย่างรวดเร็วและจะได้ทำงานชิ้นใหม่ในบทบาทที่สำคัญ


 


กลุ่มทวยเทพเองนั้นสมัครสามัคคีกันมากแต่ก็มีการเมืองอยู่ทั่วทุกแห่งหน เมื่อดูจากภายนอก ทาคาชิมะ ทาอิรัตสึและคิตะมุระ คิจิโทรินั้นมีความคิดเห็นที่เหมือนๆ กัน แต่ในใจแล้วพวกเขามีเจตนารมณ์ที่อยากจะกุมอำนาจเอาไว้เอง


 


ใครก็ตามที่มีพวกมากกว่าก็จะมีอิทธิพลที่มากขึ้นในทวยเทพ


 


ใครก็ตามที่ได้เลื่อนขึ้นสู่ระดับ A ก่อนย่อมจะต้องเป็นผู้นำที่ไร้คู่แข่งในกลุ่มทวยเทพ


504 หลี่ว์ซู่ เด็กหนุ่มที่มีทักษะในการดูตาม้าตาเรือน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์

 


สถานการณ์เลวร้ายในปัจจุบันของทวยเทพนั้นยากที่จะจัดการได้ ในยุคแรกๆ พวกเขามีการสืบทอดที่ครบถ้วนสมบูรณ์และมีสมบัติล้ำค่าโบราณมากมายทำให้พวกเขามีอำนาจขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาค่อยๆ นิ่งนอนใจและสร้างศัตรูไว้มากมาย


 


ในอดีต พวกเขามักจะปะทะกับเครือข่ายฟ้าดินซึ่งๆ หน้าเมื่ออยู่ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยคาดฝันว่าจู่ๆ เครือข่ายฟ้าดินจะผลิตคนระดับ A ออกมาได้ถึงสองคน นี่เป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวเกินไปจริงๆ …


 


หากเราแยกทวยเทพออกมาเดี่ยวๆ พวกเขาจะมีอำนาจอย่างมาก แต่คนทั้งโลกรู้ว่าหากองค์กรใหญ่แห่งหนึ่งไม่มีคนระดับ A อยู่สักคนเลย เวทีที่แท้จริงก็จะต้องตกเป็นขององค์กรใหญ่ที่มีคนระดับ A อยู่เพียงสี่แห่งเท่านั้น ได้แก่ มูลนิธิ เครือข่ายฟ้าดิน ฝ่ายความศรัทธา และสมาคมฟีนิกซ์


 


ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่กำหนดตำแหน่งของเรา มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว


 


หลี่ว์ซู่รอจนรถบรรทุกได้ขับออกไปแล้วก่อนจะถามขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “ทำไมจู่ๆ ฐานที่อยู่ข้างๆ เราถึงได้เริ่มการปฏิบัติการแล้วล่ะ”


 


คาวาโยชิกล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “ก็เพราะเร็วๆ นี้มีพวกเครือข่ายฟ้าดินที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งฆ่าคนไปตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ พวกเขาเลยต้องย้ายมายังที่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นเพื่อจัดการธุระบางอย่างของพวกเขา”


 


แล้วคาวาโยชิก็ลดเสียงลง “เพื่อทำให้ท่านทาคาชิมะเลื่อนขึ้นสู่ระดับ A ไง!”


 


“อ๋อ คงจะเยี่ยมมากเลยนะถ้าท่านทาคาชิมะเลื่อนขึ้นไประดับ A ได้” หลี่ว์ซู่พยักหน้า มันดูเหมือนว่าเขาเห็นด้วยกับคาวาโยชิ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย


 


เครือข่ายฟ้าดินได้ส่งสายลับเข้ามาฝังตัวอยู่ในทวยเทพอยู่แล้วและจะต้องรู้เรื่องนี้ก่อนหน้าหลี่ว์ซู่แล้วอย่างแน่นอน บางทีทวยเทพอาจจะรู้ดีว่าพวกเขาไม่อาจปกปิดการทดลองที่มีขนาดใหญ่เท่านี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงย้ายมาที่นี่ด้วยเกรงว่าเครือข่ายฟ้าดินจะมาทำลายผลการทดลองของพวกเขา


 


ทันใดนั้นคาวาโยชิก็หัวเราะลั่นออกมา “ก่อนหน้านี้นายอยู่กับโนกิวะ ทาเกะโนบุไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้โนกิวะก็ตายไปแล้ว การติดตามฉันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของนายแล้วล่ะ มาเป็นพวกฉันสิ”


 


คาวาโยชิมุ่งหน้าไปหอพักหลังจากพูดจบ “นายเฝ้าข้างนอกเอาไว้นะ ฉันจะไปฝึกวิชาหน่อย”


 


มันดูราวกับว่าคาวาโยชิได้กลายเป็นหัวหน้าคุมโกดังนี้ไปแล้ว โดยทิ้งให้หลี่ว์ซู่ทำงานเป็นผู้ใช้แรงงานในขณะที่เขาพุ่งความสนใจไปที่การฝึกวิชา


 


หลี่ว์ซู่ซึ่งอยู่ข้างหลังคาวาโยชิมีความสุขใจไร้กังวล หากสิ่งที่คาวาโยชิพูดเป็นความจริงว่าพวกเขาสามารถรอวันที่คาวาโยชิถูกจ้างกลับไปทำงานใหม่แล้วล่ะก็โอกาสที่หลี่ว์ซู่จะได้ทำอะไรเองก็ขึ้นอยู่กับคาวาโยชิด้วยเช่นกัน….


 


แต้มอารมณ์ที่ทวยเทพส่งให้เขาในวันนี้ลดลงฮวบฮาบ หลี่ว์ซู่ได้รับแต้มถึงสี่แสนแต้มจากจำนวนเต็มสามล้านสองแสนแต้มเพื่อการจุดประกายดาวดวงที่เจ็ดแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตัวหนังสือ ‘รื้อ’ ได้ช่วย หลี่ว์ซู่เป็นอย่างมาก…


 


หลี่ว์ซู่เป็นเหมือนผู้รักษาความปลอดภัยโกดังสินค้าทั่วๆ ไปที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกโกดัง คาวาโยชิบอกว่าเขาจะไปฝึกวิชาตามลำพัง แต่ภายในครึ่งชั่วโมงก็มีเด็กสาวที่อายุน้อยมากปรากฏตัวขึ้นด้านนอกประตูของโกดัง


 


“เด็กสาวคนนั้นโค้งให้หลี่ว์ซู่และกล่าวว่า “รุ่นพี่คะ รุ่นพี่นากายะบอกให้ฉันมาหาเขาที่นี่”


 


หลี่ว์ซู่พูดไม่ออก หลังจากตั้งใจโดนมอบหมายให้มาเป็นผู้รักษาความปลอดภัยโกดังสินค้าแล้วเขาจะพักบ้างไม่ได้เลยเหรอ! เพราะอย่างนั้นไงฉี่นายถึงได้แยกเป็นสามสาย! ถ้านายเกิดปุบปับตายขึ้นมาก็โทษใครไม่ได้แล้วล่ะ!


 


ภายในยี่สิบนาที เธอก็แต่งตัวเรียบร้อยออกมาจากหอพัก เธอโค้งให้หลี่ว์ซู่ก่อนจะจากไป


 


คาวาโยชิเดินออกมาจากหอพักด้วยท่าทางพึงพอใจกับตัวเองเป็นอย่างมาก “เป็นยังไงล่ะ พวกเธอจะมาทันทีที่ฉันเรียก!”


 


หลี่ว์ซู่ตอบกลับไปว่า “ครับ ท่านนากายะเจ๋งมาก!”


 


“ฮ่าๆ อีกสองวันข้างหน้านี้ฉันจะไปตรวจสอบนักเรียนที่มีพรสวรรค์กลุ่มใหม่ บางทีเราอาจจะได้เจอใครแจ๋วๆ บ้างก็ได้” คาวาโยชิหัวเราะร่า “นายโชคดีแล้วที่ได้มาติดต่อกับฉันตอนนี้”


 


หลี่ว์ซู่กลอกตาแต่เขาทำอะไรไม่ได้ การปกปิดตัวตนของเขาก็มีข้อเสียเหมือนกัน หลี่ว์ซู่อยากจะกลับไปเป็นตัวตนเดิมของเขาและซ้อมเขาจนตายไปเลยจริงๆ


 


“ท่านนากายะ เมื่อท่านได้ถูกจ้างกลับไปใหม่แล้ว ท่านพาฉันไปด้วยคนได้ไหม ฉันไม่มีสายสัมพันธ์อะไรกับพวกอนุรักษนิยมจริงๆ นะ” หลี่ว์ซู่กล่าว


 


คาวาโยชิหัวเราะ “ต้องถามกันด้วยเหรอ ไม่ต้องกังวลเลย ด้วยพละกำลังที่นายมีอยู่นั้น ถ้าให้นายมาเป็นผู้จัดการโกดังก็จะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรคนไปเปล่าๆ เลย” คาวาโยชิหัวเราะและก็พลันนึกสงสัยขึ้นมา “เออ ยามาดะ วันนี้ยังไม่ได้เห็นนายยักไหล่เลยนะ…”


 


เมื่อเขาพูดจบ คาวาโยชิก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม…


 


หลี่ว์ซู่ยักไหล่และกล่าวว่า “ฮ่าๆ ฉันก็ไม่ได้ยักไหล่ตลอดเวลาเหมือนกันนั่นแหละ”


 


คาวาโยชิหัวเราะ “จริงด้วย ปกตินายกินอะไร”


 


ขณะที่คาวาโยชิพูด เขาก็สังเกตหลี่ว์ซู่อย่างตั้งอกตั้งใจ หลี่ว์ซู่หัวเราะ “เดินไปห้าร้อยเมตรจากตรงนี้ จะมีร้านขายอาหารว่างอยู่ทางซ้าย ฉันมักจะกินที่นั่นแหละ”


 


คาวาโยชิหัวเราะและถามว่า “เฮ้ย นายเคยเป็นคนขับรถและผู้ช่วยให้โนกิวะ ฮากุชุนใช่ไหม เขาเป็นคนอย่างไรเหรอ”


 


“เขา” หลี่ว์ซู่ยักไหล่ “ขี้ประชดเกินไปหน่อย แน่นอนว่าฉันพูดแบบนี้ได้ก็เพราะเขาไม่อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะกลัวเขาได้ยินหรอกนะ นายรู้ไหมว่าเมียเขามีชู้ด้วย โนกิวะ ฮากุชุนมีรสนิยมชอบขังเมียเอาไว้ในกรง เขาเ**้ยมโหดมาก”


 


จู่ๆ คาวาโยชิก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาลั่น “จริงเหรอ เป็นคนที่แปลกจังเลย!


 


ตามข้อเท็จจริงแล้วเรื่องนี้เป็นความลับ คาวาโยชิบังเอิญรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเนื่องจากครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับมอบหมายให้ไปสืบสวนคิตะมุระ คิจิโทริและโนกิวะ ทาเกะโนบุตอนที่อยู่ภายใต้ทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ


 


คาวาโยชิสงสัยในตัวตนของหลี่ว์ซู่และต้องการสอบสวนต่อไป เขาไม่ได้คาดคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเปิดเผยความลับแบบนั้นออกมาและเขาจึงได้หมดข้อสงสัยลงในทันที


 


ความจริงหน่วยข่าวกรองของเครือข่ายฟ้าดินนั้นเยี่ยมยอดมาก ไม่น่าล่ะ เนี่ยถิงจึงมักจะรู้แนวทางของผู้บำเพ็ญต่างชาติล่วงหน้าเสมอ


 


ข้อมูลที่ทางเครือข่ายฟ้าดินได้ส่งให้หลี่ว์ซู่นั้นรวมไปถึงรายละเอียดมากมายต่างๆ ที่ ‘ยามาดะ อาคิระ’ ควรรู้ เช่น นิสัยประจำวันของเขา สภาพแวดล้อมภายนอกของโกดัง และความลับบางอย่างของเพื่อนร่วมงานเก่าๆ ของเขาด้วยเช่นกัน


 


แน่นอนว่า ไม่ใช่สายลับทุกคนที่เป็นแบบนี้ นอกจากนั้นหลี่ว์ซู่มาที่นี่ก็เพื่อจะแทนที่ยามาดะ อาคิระ ดังนั้นข้อมูลในครั้งนี้จึงละเอียดมากกว่า


 


นากายะประกาศอย่างภาคภูมิใจ “ทีแรกฉันก็อยู่ฝ่ายเดียวกับโนกิวะ ฮากุชุนนั่นแหละ เขาแข็งแกร่งกว่าฉันมาโดยตลอด หลังจากนั้นฉันจึงได้ใช้ประโยชน์จากพละกำลังระดับ D ของตัวเองเพื่อที่จะได้เป็นรักษาการหัวหน้าฝ่าย นายรู้ไหมว่าแบบนี้มันหมายความยังไง”


 


หลี่ว์ซู่ตกใจไปชั่วขณะ เขากล่าวว่า “มันหมายความว่าโนกิวะ ฮากุชุนได้เลื่อนขั้นหรือเปล่า” เขาหมายความว่าอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ ในตอนแรกโนกิวะ ฮากุชุนเป็นหัวหน้าฝ่าย ถ้าโนกิวะไม่ได้เลื่อนขั้นแล้วนายจะกลายมาเป็นหัวหน้าฝ่ายได้ยังไงล่ะ


 


[ได้แต้มจากนากายะ คาวาโยชิ +666! ]


 


ตามตำราแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ควรจะสรรเสริญเขาที่ได้รับการยอมรับจากนายเนื่องจากเขาได้กลายมาเป็นรักษาการหัวหน้าฝ่ายตั้งแต่อยู่ระดับ D เขารับได้เหรอที่ตัวเองไม่ได้ทำตัวก้าวหน้าไปตามระบบ ไอ้หมอนี่เป็นอะไรมากหรือเปล่า


 


คาวาโยชิไม่เคยพบเคยเห็นใครที่มีทักษะในการดูตาม้าตาเรือที่น้อยเท่าหลี่ว์ซู่…


 


เขาเงียบอยู่นานก่อนจะอธิบายได้ในที่สุด “ฉันต่างหากที่ได้เลื่อนขั้นอย่างเร็ว เพราะอย่างนี้โนกิวะ ฮากุชุนถึงได้ถูกจัดสรรไปอยู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นไงเล่า!”


 


พูดตามตรงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ว์ซู่ได้เห็นใครบางคนที่หน้าด้านขนาดนี้ เจ้าคาวาโยชินี่ทะนงตัวเกินไปจริงๆ


 


จากการปฏิสัมพันธ์กันในวันนี้นี่เองที่ทำให้หลี่ว์ซู่เกิดความรู้สึกขึ้นสองอย่างต่อเจ้าหน้ากลมนากายะ คาวาโยชิ อย่างแรกคือ ไตของเขาอยู่ในสภาพที่แย่แล้ว และอย่างที่สองคือ เขาคิดว่าตัวเองสูงส่งเสียเหลือเกิน


505 สินค้าสี่คันรถ!

 


คืนนั้นคาวาโยชิปฏิเสธที่จะดื่มน้ำแม้สักแก้วก่อนนอน เผื่อในกรณีที่หลี่ว์ซู่จะเสนอให้เขาแข่งกันกลั้นฉี่อีกรอบ…


 


การสนทนายามบ่ายของพวกเขาทำให้คาวาโยชิรู้สึกอึดอัดใจอยู่นาน ว่าไปแล้วเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเจ้ายามาดะ อาคิระคนนี้จะน่ารำคาญขนาดนี้! เขาจึงแอบส่งข้อความไปถามไถ่กับเพื่อนของเขาเรื่องยามาดะ


 


หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ในที่สุดเพื่อนของเขาก็ได้ตอบกลับหลังจากไปถามคนที่คุ้นเคยกับยามาดะมา แท้จริงแล้วความจริงใจของยามาดะได้ทำให้คนขุ่นเคืองใจมากมาย แต่มันก็ได้ทำให้เขาได้รับการยอมรับและเป็นที่โปรดปรานของโนกิวะ ฮากุชุน


 


ความจริงมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้นำจะต้องการผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ เนื่องจากพวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลใจเรื่องการทรยศหักหลังและสารพันปัญหาที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น


 


และเราก็ต้องยอมรับเลยว่าเนี่ยถิงตัดสินใจถูกต้องที่เลือกบทบาทของยามาดะให้หลี่ว์ซู่เข้ามาสวมรอย


 


ความเถรตรงมักจะมีแนวโน้มที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่น่ารำคาญ คาวาโยชิเลิกข้องใจทันทีที่ได้เห็นข้อความที่ส่งกลับมา


 


เขาเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะถูกจ้างกลับอย่างเป็นทางการในฐานะหัวหน้าฝ่าย โดยไม่มีคำนำหน้าตำแหน่งว่า ‘รักษาการ’


 


ถึงตอนนั้น การมีคนที่จริงใจติดตามเขาคงจะช่วยเลี่ยงปัญหาไปได้เยอะ ความรู้สึกนั้นคงจะพ้องกับความรู้สึกของผู้นำหลายๆ คน และคาวาโยชิคิดว่าคนที่สมบูรณ์แบบเกินไปเป็นคนอันตราย


 


โชคดีที่หลี่ว์ซู่ไม่รู้เรื่องนั้น มิฉะนั้นเขาจะต้องพิสูจน์ให้เห็นอย่างสุดความสามารถถึงความแตกต่างระหว่างการตั้งใจทำตัวน่ารำคาญกับการไม่ตั้งใจทำตัวน่ารำคาญเพราะความเถรตรง


 


จากนั้นหลายวันได้ผ่านไปอย่างสุขสงบและทั้งคาวาโยชิและหลี่ว์ซู่ก็กำลังรอการถูกจ้างกลับไปทำงานใหม่ของฝ่ายแรก…


 


คาวาโยชิจะโทรเรียกสาวๆ ไม่ซ้ำหน้ามาที่โกดังทุกวันและใช้เวลาช่วงหนึ่งกับพวกเธอ


 


วันหนึ่งเขาเสร็จกิจในระยะเวลาที่รวดเร็วเพียงไม่กี่นาที ด้วยความสงสัยหลี่ว์ซู่จึงถามเขาว่าทำไมเขาถึงได้เสร็จธุระเร็วนัก


 


นั่นทำให้คาวาโยชิต้องละอาย จากวันนั้นเป็นต้นมา เขาจะยืนกรานให้พวกสาวๆ คุยกับเขาสองชั่วโมงก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้กลับไปได้…มันน่าอึดอึดแทบตายเมื่อพวกเขาหมดเรื่องจะคุย!


 


หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป คาวาโยชิดูเวลาแล้วเดินออกไปพร้อมสีหน้าที่อิ่มเอมใจได้ในที่สุด หลี่ว์ซู่เงยหน้ามองฟ้าด้วยความสงสัยว่าคาวาโยชิจะทนบทสนทนาที่ยืดยาวและน่าอึดอัดไปได้อีกสักกี่น้ำ…


 


“ทำอย่างนั้นทุกวัน ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ” หลี่ว์ซู่ถามขึ้นอย่างสงสัย “เพราะอย่างไรเสียนายก็ไม่ใช่…”


 


แต่คาวาโยชิรีบขัดขึ้นมา “ฉันยังหนุ่มอยู่นะ แค่สามสิบกว่าๆ เอง ใครๆ ก็ว่าฉันดูเหมือนนักศึกษา”


 


หลี่ว์ซู่มองเขาอย่างละเอียด และจู่ๆ ก็รู้สึกว่าข้ออ้างนี้ฟังคุ้นหูเพราะเขาก็เคยได้ยินคำพูดแบบนี้มาก่อนจากประเทศจีนเหมือนกัน


 


แต่กระนั้นก็ตาม ความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น


 


หลี่ว์ซู่ขบคิดอยู่สองวินาทีก่อนจะชี้ให้เห็นความจริงว่า “ที่นายดูเหมือนนักศึกษาไม่ใช่เพราะว่านายเด็กหรอก แต่เพราะนายดูเหมือนคนบ้านนอกต่างหาก!”


 


[ได้แต้มจากนากายะ คาวาโยชิ +777…]


 


แท้จริงแล้ว การที่ผู้คนแสดงความเห็นแบบนั้นเพราะพวกเขามุ่งความสนใจไปยังรสนิยมทางแฟชั่นแทนรูปร่างหน้าตา มันเป็นธรรมดาที่หลังจากจบการศึกษาแล้วหลายๆ คนจะเริ่มการแสวงหาความทันสมัย และนักศึกษาปีหนึ่งและปีสองบางคนรวมแม้กระทั่งนักเรียนมัธยมปลายก็เริ่มรู้จักการแต่งตัว แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว นักเรียนนักศึกษาคือสิ่งที่มีความหมายพ้องกับความไร้รสนิยมนั่นเอง


 


โอ๊ย! คาวาโยชิตัดสินใจไม่สานต่อบทสนทนานั้นอีก


 


ณ ตอนนี้เองพวกเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถคำรามลั่น และมันก็ดังสะเทือนไปทั่วโดยเฉพาะในชนบทที่เงียบและอ้างว้างนี้ นอกจากโรงงานไม่กี่แห่งแล้ว ในภูมิภาคนี้ก็มีคนพักอาศัยอยู่สองสามคน


 


เมื่อดูจากจำนวนรถแล้ว หลี่ว์ซู่คิดว่าพวกเขาคงจะมาที่โกดัง แต่ไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นใคร


 


สีหน้าจริงจังที่หาดูได้ยากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคาวาโยชิ เขาถึงขนาดจัดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ให้เรียบร้อยเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์เหล่านั้น


 


ภายในไม่ถึงห้านาทีก็มีรถยนต์และรถบรรทุกสี่คันหยุดอยู่ตรงหน้าโกดัง ในขณะที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งลงมาจากรถ เขาหันมองมองคาวาโยชิแวบหนึ่งซึ่งทำให้ฝ่ายหลังวิ่งอ้าวเข้าไปหาด้วยท่าทีประจบสอพลอ คาวาโยชิทักทายเขาว่า “ลมอะไรพามาถึงนี่ล่ะคุริยามะซัง”


 


“ก็มาส่งสินค้าสี่คันรถบรรทุกให้ถึงโกดังเลยไง ฉันส่งคนมาให้นายใช้ตามสบายยี่สิบคน ท่านอาจารย์อยากให้สินค้าพวกนี้ได้รับความปลอดภัยอย่างเต็มที่ เข้าใจไหม ไม่ได้เก็บไว้นานหรอกและจะถูกขนไปอาทิตย์หน้าในวันที่เปิดฐานอย่างเป็นทางการ” ในขณะที่เขาพูดเขาไม่ได้หันกลับไปมองคาวาโยชิอีกเลย หลังจากนั้นเขาก็เอาบุหรี่ออกมามวนหนึ่งและคาวาโยชิก็รีบจุดบุหรี่ให้เขาทันที


 


ใบหน้าของหลี่ว์ซู่เป็นประกายขึ้นมา นั่นคือศิษย์เอกของทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ หลี่ว์ซู่บอกได้เลยว่าเขาอาจจะอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับ C


 


แต่ปรากฏว่าคาวาโยชิไม่ได้เก๋าจริงอย่างที่เขาโม้เอาไว้ เขาเป็นแค่คนดวงดีที่ติดตามนายถูกคน ในระหว่างการสนทนากัน มีผู้ชายยี่สิบคนลงมาจากรถบรรทุกเจ็ดคัน พวกเขาลงกลอนประตูอีกครั้งก่อนที่จะมารายงานตัวกับคุริยามะ


 


เมื่อคุริยามะหันมาเห็นหลี่ว์ซู่เขาก็ถามว่า “เขาเป็นใคร”


 


“เขาคือ ยามาดะ อาคิระ ถูกเข้าใจผิดว่าฝักใฝ่ฝ่ายอนุรักษนิยมแบบฉันนั่นแหละ เขาเคยเป็นคนขับรถและผู้ช่วยของโนกิวะ ฮากุชุน แต่ตอนนี้เขามาติดตามฉันแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” คาวาโยชิตอบพร้อมกับแสยะยิ้ม แล้วเขาก็กระซิบที่ข้างหูของคุริยามะอย่างรวดเร็วว่า “เป็นแค่คนที่เพิ่งเริ่มต้นระดับ D แค่นั้นเอง ไม่ต้องกังวลนะ ถ้าเขาก่อเรื่องล่ะก็ฉันฆ่าเขาทิ้งได้เลยทุกเมื่อเลย”


 


ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่ก็รอฟังคำสั่งอยู่ข้างๆ พวกเขาด้วยหน้าตาที่ใสซื่อ


 


ชายหนุ่มคนนั้นไม่สนใจหลี่ว์ซู่อีกต่อไปเพราะพวกปลาซิวปลาสร้อยอย่างนั้นไม่มีค่าพอที่จะให้เขาต้องมาสนใจอะไร จากนั้นคุริยามะก็หันไปทางคาวาโยชิและกล่าวว่า “ห้ามเกิดข้อผิดพลาดเสียหายกับสินค้าเด็ดขาดนะ ดูแลตัวเองในตอนกลางคืนด้วย วางใจเถอะว่าท่านอาจารย์ไม่ได้ทอดทิ้งนายและต่อไปนายก็จะได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงและการป้องกันที่ฐานใหม่เอง”


 


“ขอบคุณมาก คุริยามะซัง! โปรดส่งต่อความสำนึกในบุญคุณของฉันถึงท่านทาคาชิมะให้ด้วยนะ!” คาวาโยชิปลาบปลื้มยินดีออกนอกหน้า ตำแหน่งที่ว่านั้นมีอำนาจอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายรักษาความปลอดภัยตามโรงแรมทั่วไปหรอก!


 


ในตอนนี้เองก็มีใครคนหนึ่งตะโกนเป็นภาษาญี่ปุ่นออกมาจากหนึ่งในรถบรรทุกสี่คันว่า “ไอ้ชั่วทาคาชิมะ! แกเต็มใจสละกระทั่งคนของตัวเองเลยเหรอ! เราเคยเป็นฝ่ายสนับสนุนของแกนะ!”


 


หลี่ว์ซู่อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ได้คาดฝันว่าสิ่งที่เรียกว่าสินค้าคือผู้บำเพ็ญจากทวยเทพเอง! นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตัดสินจากคำพูดของเขาแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นพวกลัทธิคลั่งชาติเสียด้วยสิ!


 


คุริยามะหน้าหมองลง “ขับรถเข้าไปในโกดังเลย เร็วเข้า นากายะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้ นายรู้ผลลัพธ์ที่จะตามมาอยู่แล้วนะถ้ามีอะไรเกิดขึ้น”


 


“สบายใจได้เลย ฉันจะไม่ทำให้ท่านคุริยามะและท่านทาคาชิมะเสียความเชื่อมั่นหรอก” คาวาโยชิซึ่งโค้งคำนับอย่างนอบน้อมตอบกลับไป


506 การปกครองเป็นลำดับชั้นของทวยเทพ

 


ขณะที่ยืนนิ่งอยู่ข้างโกดัง หลี่ว์ซู่เฝ้ามองคาวาโยชิเยินยอชายที่มีตำแหน่งสูงที่มีชื่อว่า คุริยามะอยู่เงียบๆ ความรู้สึกขยะแขยงเอ่อล้นขึ้นมาจากคอหอยของเขาเมื่อรถแล่นออกไป


 


เขาได้เป็นสักขีพยานว่าสายลับทวยเทพได้สละชีพไปหลายชีวิตในโบราณสถานเป่ยหมังเพื่อที่จะใช้กำลังดึงให้พละกำลังของตัวเองมากขึ้น ในตอนนั้นเขาก็เพียงแต่สะดุ้งในความหมกมุ่นอย่างผิดปกติของพวกเขาในการสร้างนักสู้ที่ทรงพลัง


 


และตอนนี้ พวกเขาวางแผนจะใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้และจับกุมเพื่อนร่วมรบร่วมสมรภูมิในอดีตมามากมายเพื่อสังเวยชีวิต


 


ครั้งหนึ่งคุณบันไดเคยกล่าวว่าบรรดาผู้บัญชาการของทวยเทพนั้นต่างหวังที่จะเพิ่มจำนวนคนที่อยู่ระดับ A ด้วยวิธีการที่รุนแรงมากขึ้น เพื่อที่จะตั้งตนให้มีที่ยืนที่มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นในเวทีสากล แต่ทว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม


 


หรือเธอจะหมายความว่าจะทำการสังเวยต่อไปไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้เนื่องจากเอกลักษณ์เฉพาะตัวของระดับ A


 


หลี่ว์ซู่ไม่แน่ใจ เขาพึ่งพาได้แค่การคาดการณ์ของเขาเท่านั้น


 


หลายๆ คนกลัวผี ทว่าในวินาทีนั้นหลี่ว์ซู่กลับรู้สึกว่าความปรารถนาของคนนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอีก


 


หลังจากที่คาวาโยชิออกคำสั่งให้คนขับนำรถบรรทุกทั้งสี่คนไปจอดไว้ในห้องอันกว้างขวางของโรงงาน เขาก็บอกหลี่ว์ซู่ว่า “บางครั้งบางอย่างนั้นพูดต่อไม่ได้ เราในฐานะที่เป็นคนเดินเรื่องไม่ต้องรู้อะไรมากเกินไป เราแค่ทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาก็พอ”


 


“แน่นอน” หลี่ว์ซู่พยักหน้ายอมรับ เขาไม่มีความสงสาร ‘สินค้า’ ที่อยู่ในรถบรรทุก เพราะไม่มีพวกลัทธิคลั่งชาติคนไหนที่ไร้ความผิด


 


อย่างไรก็ตามนั่นก็ไม่อาจหยุดเขาจากความเกลียดชังทวยเทพที่ฝังรากลึกยิ่งขึ้นเพราะการกระทำที่ไร้จรรยาบรรณ


 


คราวนี้สมาชิกทั้งหมดในทีมรักษาความปลอดภัยที่ถูกจัดสรรมาให้คาวาโยชินั้นคือคนระดับ E ซึ่งแสดงความเคารพยำเกรงต่อคนระดับ D อย่างยามาดะอย่างเต็มที่


 


หลี่ว์ซู่เปิดประตูรถออกและชำเลืองเข้าไปดูด้านใน มีคนอยู่ประมาณสอบคนในแต่ละคันรถนอนอยู่ตามพื้น แม้ว่าจะไม่มีโซ่พันธนาการใดๆ อยู่แต่พวกเขาก็ไม่อาจขยับตัวได้เลย


 


ณ ตอนนี้เองมีชายคนหนึ่งดึงเอากระเป๋าเดินทางสีขาวออกมาและเปิดให้ดูเข็มฉีดยาสี่สิบด้ามที่เรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างในให้ดู ชายอีกคนอธิบายให้เขาฟังว่า “เข็มละยี่สิบสี่ชั่วโมง มันจะรักษาพลังของพวกเขาเอาไว้และแค่ทำให้ร่างกายทั้งหมดเป็นอัมพาต”


 


ในขณะที่ของเหลวนั้นถูกฉีดเข้าไปในเส้นเลือดแดงใหญ่ของพวกเขา ไม่ช้าสินค้าก็เงียบเสียงลงไป และขยับได้แค่ลูกตา


 


ฉะนั้นจึงดูเหมือนว่าพวกเขามีความสามารถจะตะโกนออกมาได้ก็ด้วยเพราะผลจากยาที่เจือจางลงเท่านั้นเอง…


 


ในระหว่างนั้น ชายเหล่านั้นก็ลงมือลงไม้กับ ‘สินค้า’ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าพวกเขามาก พวกเขาจะหาโอกาสงามๆ อย่างนี้ได้เมื่อไรอีก


 


หลี่ว์ซู่ตกตะลึงกับด้านมืดที่ชั่วร้ายของมนุษยชาติ


 


แม้จะเดือดดาลแต่สินค้าเหล่านั้นก็ไม่อาจกระดิกได้กระทั่งนิ้วมือ เมื่อตระหนักดีถึงชะตากรรมสุดท้ายของพวกเขา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงไม่กลัวการตอบโต้เลยสักนิด


 


“หลังจากฉีดยาสามครั้ง พวกเขาจะดื้อยา ถึงตอนนั้นนายจะต้องฉีดยาพวกเขาทุกๆ สิบสองชั่วโมง ครั้งนี้รอบที่สองแล้วนะ”


 


หลี่ว์ซู่ตกใจสุดขีด พวกนายถึงกับค้นพบวัฏจักรการดื้อยาของพวกเขาเลยเหรอ! มีคนตกเป็นเหยื่อพวกนายมากี่คนแล้วละเนี่ย!


 


ตอนนี้เขาไม่มีความรู้สึกแง่ดีอะไรให้กับนากายะ คาวาโยชิ คุริยามะ และแม้แต่สมาชิกรักษาความปลอดภัยทั้งยี่สิบคนเลย พวกเขาทั้งหมดคือฆาตกร


 


ในฐานะที่คาวาโยชิและหลี่ว์ซู่อยู่ระดับ D พวกเขาจึงทำอะไรก็ได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับ E ไม่กล้าทำอะไรไม่เหมาะสมแม้แต่น้อยต่อหน้าพวกเขา พวกเขานั่งรอบๆ รถบรรทุกอย่างว่าง่ายเพื่อคอยตรวจตราทุกอย่าง


 


สิ่งนี้ทำให้เห็นถึงการปกครองเป็นลำดับชั้นที่เข้มงวดภายในทวยเทพ ในเครือข่ายฟ้าดินนั้น คนระดับ E และ D สามารถมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ


 


แต่ในทวยเทพ คนระดับ E จำเป็นต้องแสดงการให้เกียรติทางวาจาเมื่อพูดคุยกับคนระดับ D


 


หลี่ว์ซู่ถามคาวาโยชิว่า “แล้วพวกเขาจะกินข้าวเย็นยังไงน่ะ”


 


คาวาโยชิโบกมือปัดใส่หน้าเขา “นายไม่ต้องห่วงพวกเขาหรอก พวกคนระดับ E คือคนงานของพวกเรา ทำไม นายกำลังจะบอกว่าเราต้องเป็นพ่อครัวให้พวกเขาเหรอ”


 


“แต่มันไม่ถูกนะ” หลี่ว์ซู่ตอบ “เราจะให้พวกเขาอดข้าวแบบนั้นไม่ได้”


 


คาวาโยชิยิ้มและคีบบุหรี่ไว้ในริมฝีปากพร้อมกับส่งสัญญาณให้หลี่ว์ซู่จุดบุหรี่ให้เขา แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ทำ สุดท้ายเขาเลยต้องทำเอง “นายไม่ต้องมาจำกัดอะไรกับฉันนัก เดี๋ยวนายก็เข้าใจเองว่าเรากับพวกเขามาจากคนละระดับ พวกเขาไม่บ่นด้วยซ้ำถ้านายตบหน้าพวกเขาน่ะ เชื่อไหมล่ะ”


 


ตาของหลี่ว์ซู่เป็นประกายขึ้นมาด้วยความดีใจ “จริงเหรอ”


 


คาวาโยชิรู้สึกได้ถึงลางร้ายที่เกิดขึ้นในใจ เขาจ้องมองด้วยความตกใจเมื่อหลี่ว์ซู่เดินไปหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและตบหน้าเขาอย่างแรงไปหนึ่งฉาด ชายผู้น่าสงสารคนนั้นแทบสลบคาที่…


 


เขาเซหมุนไปสองตลบด้วยแรงตบ แม้กระทั่งตอนที่เขาตั้งหลักยืนดีๆ ได้แล้ว สมองเขาก็ยังหมุนเคว้งอยู่ด้วยความเจ็บปวด…


 


[ได้แต้มจากเซโกะ ฮิโรนาริ +999!]


 


แล้วก็ตามด้วยอีกฉาด!


 


ยังไม่ทันที่พวกเขาจะหายช็อก หลี่ว์ซู่ก็ตบหน้าหนึ่งในพวกเขาอีกคน…


 


[ได้แต้มจากโมเตกิ โทชิมิทสึ +999…]


 


เนื่องจากผู้โชคร้ายคนนั้นอ่อนแอกว่า เขาจึงล้มลงไปแอ้งแม้งกับพื้นทันที หมดสภาพจนลุกขึ้นยืนไม่ได้


 


[ได้แต้มจากนากายะ คาวาโยชิ +666!]


 


เขาแค่พูดแหย่เล่นเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเจ้าหลี่ว์ซู่จะเอาจริง คาวาโยชิรีบโผเข้าไปหยุดหลี่ว์ซู่ทันทีก่อนที่เขาจะเปิดฉากฟาดผู้โชคร้ายคนที่สาม “เดี๋ยวก่อน หยุด! เล่นแรงเกินไปแล้ว หยุดมือเดี๋ยวนี้”


 


หลี่ว์ซู่ชะงัก “นายบอกให้ฉันตบพวกเขาไม่ใช่รึไง”


 


เขายังไม่พอใจเลย นี่เขาอาจเก็บแต้มจากคนพวกนี้ได้ง่ายๆ ถึงสองหมื่นแต้มเลยนะ…


 


คาวาโยชิเริ่มอยากตั๊นหน้าตัวเองแล้วตอนนี้ เขาคิดอะไรอยู่ตอนแหย่ไอ้คนทึ่มท่อเป็นตอไม้ไม่มีอารมณ์ขันแบบมัน!


 


[ได้แต้มจากนากายะ คาวาโยชิ +666!]


 


หลี่ว์ซู่เพิ่งสังเกตว่านอกจากผู้โชคร้ายสองคนที่โดนตบแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเองก็มอบแต้มให้เขาด้วยเหมือนกัน ถึงแม้แต้มจะน้อยกว่าก็ตามที


 


นี่เป็นเพราะพวกเขาห่วงความปลอดภัยของตัวเอง ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยโดนคนระดับสูงกว่าตบมาก่อนก็เถอะ แต่ไอ้หมอนี่มันจะจัดหนักจัดเต็มเกินไปหน่อยแล้วมั้ง…


 


พวกเขาไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้หรือชายที่ถูกเรียกว่า “ยามาดะ อาคิระ” !


 


ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่ก็ตระหนักได้ว่าคาวาโยชิไม่ได้พูดโกหก คนพวกนี้ไม่กล้าแม้แต่จะปกป้องตัวเอง


 


และในตอนนั้นเอง คาวาโยชิก็ได้รับสายสายหนึ่ง “ครับ ท่านคุริยามะ ได้ครับ ไปเดี๋ยวนี้ครับ!”


 


หลังจากวางสาย คาวาโยชิก็ตะโกนลั่น “ฐานแห่งใหม่ถูกเลื่อนเปิดให้เร็วขึ้น ทุกคนเตรียมตัว! เราจะเคลื่อนย้ายสินค้าไปที่ฐานใหม่กันเดี๋ยวนี้!”


 


ดวงตาของหลี่ว์ซู่ส่องประกาย นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้เข้าไปในฐานรึเปล่านะ


507 การปฏิเสธทางอ้อม

 


ทุกคนในโกดังยืนตั้งแถวรับแขกอยู่ที่ประตูอย่างเรียบร้อย หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที ตัวคุริยามะเองก็มาถึงพร้อมกับขบวนรถบรรทุกส่งของอีกยี่สิบกว่าคัน


 


หลี่ว์ซู่นับรถบรรทุกขนาดใหญ่ได้ยี่สิบเจ็ดคัน โดยสิบเก้าคันในนั้นบรรจุสินค้าเอาไว้เต็มจนล้นขอบ


 


มีกองกำลังทหารชั้นเยี่ยมคอยเฝ้ารถบรรทุกสิบเก้าคัน ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนที่เพิ่งขึ้นสู่ระดับ D ก็ต้องเป็นคนที่อยู่จุดสูงสุดของระดับ E คนระดับ D แต่ละคนจะนำทีมทหารสักห้านายเพื่อไปลาดตระเวนที่รถบรรทุกเหล่านั้น ตาของพวกเขาเหมือนเหยี่ยวที่คอยเมียงมองด้วยความลังเล


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่อาจตรวจพบคลื่นพลังใดๆ มาจากในรถบรรทุกได้เลย และดังนั้นจึงไม่อาจยืนยันได้ว่ามีอะไรอยู่ในรถบรรทุกส่งของสิบเก้าคันนั้น เป็นไปได้ไหมว่าตัวรถเองจะทำจากวัสดุที่อำพรางคลื่นพลังได้


 


หลี่ว์ซู่คิดทบทวน ถ้าการส่งของประเภทนี้ต้องใช้คนจำนวนมากขนาดนี้เพื่อเฝ้ารักษา สินค้าเหล่านี้ก็คงจะมีมูลค่ามากอยู่ มันอาจจะเป็นทรัพยากรล้ำค่าที่ทวยเทพต้องการขนย้ายไปที่ฐานแห่งใหม่ของพวกเขา


 


เขาเกิดลังเลขึ้นมา หรือว่าเขาควรจะกำจัดทุกคนให้สิ้นซากแล้วยึดสินค้าไปเสียเองเลยดี…


 


มีคนมากมายรายล้อมเขาอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้เช่นกัน


 


จะทำลายมันหรือไม่ทำลาย นั่นล่ะคือคำถาม


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่มีสองเรื่องให้กังวล เรื่องแรก หากสินค้าที่อยู่ในรถบรรทุกนี้เหมือนกับของที่ส่งมาเมื่อบ่าย เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี เขาเองก็ไม่ได้สนใจในพวกทวยเทพเสียด้วยและไม่มีเจตนารมณ์จะช่วยชีวิตพวกเขา แม้ว่าทวยเทพจะจับกุมคนมา แต่คนเหล่านั้นก็ไม่คุ้มค่าที่จะเสียแรงช่วย หลี่ว์ซู่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะช่วยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์ได้


 


เขายังกังวลอีกด้วยว่าหากเขากำจัดตัวตนนี้เร็วเกินไป มันก็จะไม่ยุติธรรมกับปริมาณการเตรียมการที่เครือข่ายฟ้าดินสู้อุตส่าห์ทำไว้ให้


 


นอกจากนั้นเขาก็จะได้พาสินค้าเหล่านี้ไปยังฐานใหม่ ตามที่คาวาโยชิบอกนั้นโกดังเหล่านี้จะโดนปล่อยทิ้งในไม่ช้า ในอนาคต ฐานใหม่จะคอยรับและเก็บสินค้าด้วยตัวเอง


 


จนกว่าจะถึงวันนั้น สินค้าพวกนี้ก็ไม่ได้หนีไปไหนและภาพลักษณ์ของเขาก็ไม่ต้องถูกทำลายลงไป ตราบใดที่เขารู้ว่าสินค้าพวกนั้นอยู่ที่ไหน เขาก็เพียงแค่ใช้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ทำลายกำแพงเข้าไป เอาสินค้ามา แล้วจากไปเมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ


 


คาวาโยชิขยับเข้าไปใกล้คุริยามะและช่วยเขาจุดบุหรี่ “ท่านคุริยามะครับ ยามาดะ อาคิระจะมากับพวกเราหรือเปล่าครับ ผมอยากปกป้องดูแลเขา เขาค่อนข้างจะจริงใจและตรงไปตรงมา ท่านมั่นใจในตัวเขาได้เลย”


 


คุริยามะมองมาที่เขา “ใช่ ฉันหาคนไปตรวจสอบประวัติของยามาดะแล้วเมื่อบ่ายนี้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่แทนที่จะให้เขาติดตามนาย ฉันอยากจะจ้างเขาซะเอง ผู้ช่วยของฉันถูกคลื่นซัดตายในการสัประยุทธ์กับโอดะ โทคุมะ ถ้าอยากจะใช้ใครก็ต้องใช้เขาตอนนี้นี่แหละ การดึงเข้าขึ้นฝั่งตอนที่เขากำลังจมอยู่ในความสิ้นหวังจะต้องทำให้เขาซาบซึ้งในน้ำใจได้แน่นอน”


 


คาวาโยชิอึ้งจนพูดไม่ออก เขาไม่คิดว่าคุริยามะเองก็อยากจะได้ยามาดะอีกคน


 


ผลงานของยามาดะก่อนที่หลี่ว์ซู่จะเข้ามาแทนที่นั้นดีมากจริงๆ เขาเชี่ยวชาญในการจัดการเส้นทางการเดินทางของโนกิวะ ฮากุชุนและการวางแผนงานต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังตรงไปตรงมามาก หากเป็นการทำเพื่อโนกิวะ ฮากุชุนแล้วละก็ เขาพร้อมใจจะเป็นปรปักษ์กับใครก็ตาม


 


หัวหน้าคนไหนจะไม่ต้องการผู้ใต้บังคับบัญชาแบบนั้นเล่า ตอนนี้คุริยามะจะต้องใช้คน เมื่อเห็นว่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึจะมีโอกาสได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ระดับ A ในไม่ช้านี้ คนประเภทเดียวกันกับทาคาชิมะก็จะต้องได้เลื่อนขั้นไปเช่นกัน มันคงน่ากระอักกระอ่วนเป็นที่สุดหากถึงเวลานั้นแล้วเขาไม่มีใครอยู่ใต้บังคับบัญชาเลย


 


ในเมื่อตอนนี้ยามาดะถูกเนรเทศออกมาเป็นบุคคลที่ไม่มีใครเหลียวแล คุริยามะจึงได้หันมาเล็งของเหลือจากกลุ่มอนุรักษนิยมนี้เช่นกัน เขาไม่มีข้อเสียอะไรใหญ่ๆ ค่าร่างกายของเขาก็อยู่สูงกว่าคนทั่วไป การมีคนอย่างเขาคอยดึงดูดให้คนมาเข้าร่วม คนอื่นๆ ก็ย่อมจะต้องยอมเปลี่ยนใจและมาเข้าร่วมกับเขาด้วยในอนาคต


 


คุริยามะกำลังซุ่มคิดเรื่องนี้อยู่ เขาต้องการจะให้ความช่วยเหลือแก่ยามาดะทันท่วงที เขาเชื่อว่ายามาดะซึ่งเป็นคนระดับ D ที่ถูกเมินอยู่จะต้องมีความรู้สึกยิ่งกว่าซาบซึ้งในบุญคุณของเขาแน่


 


“ทำไม” คุริยามะมองไปที่คาวาโยชินิ่งๆ “นายไม่เห็นด้วยเหรอ”


 


“ผมเห็นด้วย” คาวาโยชิกล่าวและก้มหัวลง เขาไม่กล้าแย่งยามาดะจากคุริยามะหรอก คุริยามะคือศิษย์เอกคนเก่งของทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ เขาเป็นผู้มีอำนาจในกลุ่มทวยเทพ


 


“ดี ไปเรียกเขามาซิ ฉันอยากคุยกับเขาหน่อย” คุริยามะหัวเราะขณะตบบ่าของคาวาโยชิ เขาพอใจต่อทัศนคติของคาวาโยชิเป็นอย่างยิ่ง


 


คาวาโยชิเข้าไปหาหลี่ว์ซู่ด้วยสีหน้าที่บอกอาการไม่ถูก “อะแฮ่ม น้องยามาดะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ ท่านคุริยามะอยากจะคุยกับนายน่ะ”


 


หลี่ว์ซู่ช็อกไปชั่วขณะ ทำไมเจ้าหน้ากลมถึงได้สุภาพขึ้นมากะทันหันล่ะ


 


ในความเป็นจริง คาวาโยชิเองก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่ายามาดะนั้นมีคุณสมบัติเหนือผู้อื่น เขาไม่อาจที่จะเคืองใจได้หากยามาดะกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทที่คุริยามะไว้ใจ


 


หลี่ว์ซู่เดินตามคาวาโยชิและเข้าไปหาคุริยามะ คุริยามะเงยหน้าขึ้นมามองหลี่ว์ซู่…ที่มีสีหน้าที่แสดงความเหนือกว่า…


 


[ได้แต้มจากคุริยามะ คุโม +99!]


 


ความสูงของหลี่ว์ซู่นั้นน่าประทับใจจริงๆ แต่นั่นไม่ได้ส่งผลอะไรต่อภาพลักษณ์ของเขาเนื่องจากตัวตนเดิมของยามาดะ อาคิระก็ตัวสูงมากเช่นเดียวกัน


 


คุริยามะไม่ได้พยายามชนะใจเขาในทันที เขากล่าวอย่างสงบว่า “นายมีพรสวรรค์อะไรบ้าง”


 


หลี่ว์ซู่พลันสงสัยขึ้นมาว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้ถามคำถามนี้กับเขา เขาเองก็ไม่อาจตอบคำถามเกี่ยวกับพรสวรรค์ที่เขามีอยู่ในตอนนี้ได้เช่นกัน เขาทำได้แค่เพียงพูดจาไร้สาระออกมา “พรสวรรค์ของผม…ผมทำคณิตคิดเร็วได้ แบบนี้ถือเป็นพรสวรรค์ได้ไหม


 


จู่ๆ คุริยามะก็รู้สึกว่าเขาไม่อาจสนทนาต่อไปได้ เขาถามพรสวรรค์พิเศษของหลี่ว์ซู่เพื่อให้โอกาสเขาได้แสดงออกถึงความสามารถก่อนที่คุริยามะจะพยายามเอาชนะใจเขา แต่นี่เขากำลังทำอะไรอยู่เหรอที่พูดออกมาว่าพรสวรรค์ของเขาคือคณิตคิดเร็วน่ะ!


 


คุริยามะครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะถามขึ้นว่า “คณิตคิดเร็วเหรอ หนึ่งพันเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดคูณหนึ่งพันเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดได้เท่าไรล่ะ”


 


“หนึ่งร้อยสามสิบเอ็ด” หลี่ว์ซู่ตอบโดยไม่ต้องคิด


 


คุริยามะและคาวาโยชิอึ้งแบบพูดไม่ออก


 


[ได้แต้มจากคุริยามะ คุโม +666!]


 


[ได้แต้มจากนากายะ คาวาโยชิ +666! ]


 


ป่านนี้ครูสอนคณิตศาสตร์ของนายคงนอนตายตาไม่หลับอยู่ในหลุมแล้ว!


 


หนึ่งพันเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดคูณหนึ่งพันเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดมันจะไปได้หนึ่งร้อยสามสิบเอ็ดได้อย่างไรหา!


 


คุริยามะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “…นายตอบผิด”


 


“คำตอบผมผิดอยู่แล้ว” หลี่ว์ซู่พยักหน้า “แต่ผมคำนวณได้เร็วมาก”


 


[ได้แต้มจากคุริยามะ คุโม +666!]


 


[ได้แต้มจากนากายะ คาวาโยชิ +666!]


 


คุริยามะคิดหนัก หลี่ว์ซู่ตอบออกมาโดยไม่ได้ลังเลเลยจริงๆ จะเรียกว่าเขาค่อนข้างเร็วมากเลยก็ว่าได้…


 


แต่ถ้าคำตอบไม่ถูก ก็ไม่รู้จะเร็วไปเพื่ออะไร!


 


คุริยามะเอามือกุมหน้าตัวเอง “นากายะ รีบเอาเขาไปคุมการถ่ายของลงจากรถบรรทุกเลยไป…”


 


คาวาโยชิเข้าใจเลยว่าคุริยามะได้ล้มเลิกแผนการเอาชนะใจยามาดะเสียแล้ว…


 


คาวาโยชิพาเขาเดินกลับไปที่ถนนและบ่น “ถึงแม้ว่านายจะไม่อยากทำงานกับคุริยามะ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องปฏิเสธเขาซึ่งๆ หน้าแบบนั้นเลย! นายหมดอนาคตแล้วคราวนี้”


 


ในสายตาของคาวาโยชิและคุริยามะแล้ว หลี่ว์ซู่กำลังแกล้งทำตัวโง่เพื่อเป็นการปฏิเสธทางอ้อม ความจริงแล้วนี่เป็นผลลัพธ์ที่หลี่ว์ซู่ต้องการ เขารู้ว่าการไปทำงานกับคุริยามะนั้นไม่ใช่บทบาทที่เขาจะเล่นได้ง่ายๆ เขาไม่มีความสามารถที่จะปกปิดตัวตนได้เหมือนกับยามาดะ อาคิระคนเดิม ใครจะไปรู้ได้ว่าเขาลงทุนใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะเข้าใกล้โนกิวะ ฮากุชุนได้โดยที่ไม่ทำให้ตัวตนของเขาต้องถูกเปิดเผย แต่หลี่ว์ซู่ล่ะ


 


ถ้าเขาฝืนตัวเองแล้วเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคุริยามะ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ เขาเพียงแต่ต้องการให้ตัวตนนี้ช่วยปกปิดธุระของเขา การไปอยู่เคียงข้างคุริยามะจึงไม่มีความสำคัญอะไรนัก


 


เขาจะไม่ยอมให้ตัวตนของเขาต้องพังทลายลงอีกต่อไป!


508 การสมคบคิดและเป้าหลอก

 


มีคนกลุ่มหนึ่งเตรียมขนส่งสินค้าอย่างลนลาน ทวยเทพจะพิถีพิถันกับการงานของพวกเขาอย่างมาก พวกเขาส่งคนไปตรวจสอบทะเบียนสินค้าคงคลังก่อนแล้วจึงคำนวณขนาดของมัน พวกเขาจะเริ่มขนส่งสินค้าได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้เลือกวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดวางสินค้าแล้ว


 


ด้วยวิธีการแบบนี้ พวกเขาก็จะมั่นใจว่าได้ว่าใช้พื้นที่ภายในรถบรรทุกขนส่งอย่างมีประสิทธิผล


 


หลี่ว์ซู่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ทว่าคาวาโยชิยังคงสั่นเทาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่เลย ตอนนี้ในทางตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกสงสารหลี่ว์ซู่ขึ้นมา “นายรู้ไหมว่ามีคนมากมายขนาดไหนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ช่วยของคุริยามะ”


 


“เหรอ” หลี่ว์ซู่มองคาวาโยชิ


 


“ท่านทาคาชิมะอาจไม่ได้เลื่อนขึ้นสู่ระดับ A ทันที ต้องถึงตอนนั้นเท่านั้นเราจึงจะผูกขาดทวยเทพได้ บางทีท่านคุริยามะอาจขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับท่านคิตะมุระ เพราะเขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่านทาคาชิมะนั่นเอง!” คาวาโยชิกล่าวอย่างกังวล “ถ้านายติดตามเขาหรือแม้แต่ยอมตามน้ำไปสักระยะหนึ่ง นายก็จะยังมีสิทธิ์รั้งตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเอาไว้ได้ ถึงตอนนั้นนายก็จะมีทรัพยากร สถานภาพและทักษะขั้นสูงอยู่ในมือ ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงจำนวนมากในองค์กรก็จะดาหน้ากันมาทอดกายให้นาย”


 


หลี่ว์ซู่นิ่งเงียบ เนื่องจากเขาได้ตัดสินใจเอาตัวออกห่างจากคุริยามะแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่เขาจะต้องอธิบายอีก ยิ่งพูดมากก็ยิ่งจะมากความด้วยข้อผิดพลาดที่เขาอาจสร้างขึ้น


 


ในทางกลับกันนากายะนั้นไม่ยอมหยุดพูดเลย “ฉันรู้ว่าในอดีตที่ผ่านมาโนกิวะ ฮากุชุนและท่านคุริยามะมีข้อขัดแย้งกันอยู่มาก ตอนนี้นายเลยไม่อยากจะไปพึ่งใบบุญของท่านคุริยามะ แต่ตอนนี้โนกิวะ ฮากุชุนตายไปแล้วนะโว้ย!”


 


หลี่ว์ซู่ขำอยู่ในใจ ตามสบายเลยนะพี่…


 


กว่าสินค้าในโกดังจะถูกจัดเรียงเรียบร้อยก็ใช้เวลาไปสามชั่วโมง หลังจากนั้นทุกคนก็ขึ้นไปบนรถบรรทุกขนส่งและย้ายไปที่ฐานใหม่


 


ฐานที่อยู่ชานเมืองมานานเป็นเหมือนป้อมปราการจากเหล็กกล้าที่ถูกปิดตายเอาไว้ ภายนอกของฐานนั้นยังมีกำแพงสูงที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางด้วย


 


ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม กำแพงทั้งหมดเปิดไฟสว่างจนไม่มีจุดใดที่มืดเหลืออยู่เลย ในตำแหน่งที่มีทหารยามจะมีเจ้าหน้าที่ทางทหารติดอาวุธมีดยืนประจำการอยู่ พวกเขาจะเดินลาดตระเวนในพื้นที่อย่างเป็นระบบ


 


หลี่ว์ซู่สงสัยขึ้นมา “เรากำลังจะใช้ฐานแห่งนี้ในทันทีเพราะราชันฟ้าจากจีนคนนั้นจริงๆ เหรอ เขาเป็นผู้มีพลังสายธาตุดินไม่ใช่เหรอ การเข้ามาในนี้มันจะไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากของเขาหรอกเหรอ”


 


“พวกเขาพิถีพิถันมากกับแผนผังใต้ดิน ป้อมปราการใต้ดินทั้งหมดหนาถึงสามเมตร ถึงแม้จะมองไม่เห็นจากภายนอกแต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าราชันฟ้าคนนั้นจะแอบเข้ามาในนี้จากใต้ดินได้”


 


“อ้อ…” หลี่ว์ซู่พยักหน้า โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นผู้มีพลังสายธาตุดินจริงๆ ท้ายที่สุดแล้ว ทวยเทพเองนั่นแหละที่พาเขาเข้ามาถึงที่นี่ อย่างไรเสียมันก็ไม่มีราชันฟ้าที่เป็นผู้มีพลังสายธาตุดินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…


 


แต่ป้อมปราการแห่งนี้ก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันเขาเช่นกัน เขาเพิ่งจะปรากฏตัวเท่านั้นเอง ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะสร้างป้อมปราการขนาดมหึมาเท่านี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น


 


ในความเป็นจริงแล้ว องค์กรใหญ่แต่ละแห่งก็กำลังดำเนินการในโครงการที่คล้ายๆ กันนี้อยู่ ว่ากันว่าพื้นดินใต้วิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสินเสริมโครงสร้างเหล็กกล้าที่หนาแน่นมาก


 


หลังจากที่ทุกคนได้ตระหนักว่าพวกผู้มีพลังสายธาตุดินได้แอบเข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ พวกเขาจึงเตรียมสิ่งนี้เพื่อรับมือผู้มีพลังประเภทนั้นทั้งหมดในโลก


 


ถึงแม้ว่ามันจะมีราคาสูงมาก แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีใครอยากปล่อยให้ผู้อื่นมาฉกฉวยโอกาสบนทรัพยากรของตัวเองหรอก


 


การรักษาความปลอดภัยของป้อมปราการแห่งนี้เข้มงวดมาก แม้แต่คุริยามะเองยังต้องลงมาจากรถตู้เพื่อรับบัตรผ่านและตรวจลายนิ้วมือ หลี่ว์ซู่เชื่อว่าการรักษาความปลอดภัยนั้นจะยิ่งเข้มงวดหนักขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่บริเวณพื้นที่ด้านในที่ลึกยิ่งขึ้น


 


ขณะที่ขบวนรถแล่นเข้าไป ประตูของป้อมปราการก็เปิดกว้างออก แล้วขบวนรถทั้งหมดก็ขับเข้าไป เนื่องจากหลี่ว์ซู่นั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสาร เขาจึงมองเห็นความอลังการของป้อมปราการนั้นได้ถนัด มันดูราวกับเป็นฐานทัพอากาศในภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ ผู้คนหลากหลายที่สวมใส่ชุดในการทำงานของพวกเขากำลังทำการทดสอบอุปกรณ์หรือจัดสรรการขนย้ายสินค้าและวัสดุต่างๆ


 


หลี่ว์ซู่ประหลาดใจที่ได้เห็นคนที่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญอยู่หลายคน


 


พวกเขาคงจะเป็นคนธรรมดาสามัญที่ทำงานให้ผู้บำเพ็ญในฐานทัพนี้ หลี่ว์ซู่รู้ว่ามีองค์การมากมายที่ว่าจ้างคนธรรมดาสามัญมารับใช้ในเรื่องพื้นฐานต่างๆ แต่ที่คฤหาสน์ทวยเทพนั้น แม้แต่ตรงประตูรั้วยังมีผู้บำเพ็ญคอยเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้เลย หลี่ว์ซู่นึกไปว่าไม่มีคนธรรมดาสามัญอยู่ในกลุ่มทวยเทพเสียอีก


 


แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว เขาก็ตระหนักว่าคนธรรมดายังคงรับทำงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือการทำความสะอาดและสุขอนามัย ไม่จำเป็นต้องมีค่าพลังการต่อสู้อะไรและมันยังช่วยแสดงให้เห็นความสำคัญของลำดับชั้นในการปกครองด้วย


 


หลี่ว์ซู่มองออกว่าผู้ปกครองของทวยเทพนั้นกำลังปกปักรักษาการปกครองตามลำดับชั้นนี้อยู่ ใครก็ตามที่ต้องการได้รับการปฏิบัติที่ดีจะต้องทำงานหนักและปีนขึ้นไปตามลำดับชั้นทางสังคมนี้โดยมีผู้ที่เชี่ยวชาญตัวจริงห้อมล้อมอยู่


 


พวกเขามาถึงประตูขนาดใหญ่บานหนึ่ง มีผู้ที่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญนับร้อยที่สวมใส่ชุดทำงานรีบวิ่งมาเปิดประตูและช่วยกันขนย้ายสินค้าเข้าไป


 


คาวาโยชิและหลี่ว์ซู่ยืนดูอยู่ข้างๆ คาวาโยชิจุดบุหรี่ของเขาขึ้นมาสูบ “คุริยามะคุงได้ส่งนายต่อมาให้ฉัน จากนี้ไปนายจะต้องติดตามฉัน อีกสักครู่ก็ตามฉันไปที่ฐานใต้ดินด้วยล่ะ แม้ว่าตอนนี้นายจะยังไม่มีพละกำลังมากพอแต่ช่วยเร่งฝึกวิชาหน่อยก็แล้วกันนะ สถานที่แห่งนี้ถูกเลือกขึ้นมาพิเศษก็เพราะความอุดมในพลังจิตวิญญาณของมันซึ่งดีต่อการฝึกวิชา”


 


“ได้” ดูเหมือนว่าคราวนี้หลี่ว์ซู่กำลังแทรกซึมเข้าไปในทวยเทพแล้วจริงๆ แต่เรื่องที่ว่าพละกำลังของเขาจะมากเพียงพอหรือไม่นั้น คงจะต้องรอจนกว่าเขาจะอัดไอ้คนประเภทคาวาโยชิและคุริยามะดูเสียก่อน พวกมันคงจะไม่เอะใจเลยว่าตัวเองกำลังจะเจออะไร…


 


ณ ตอนนั้นเองที่หนึ่งในรถบรรทุกขนส่งได้ประตูเปิดออกมา ด้วยความประหลาดใจหลี่ว์ซู่เห็นทาคาชิมะ ทาอิรัตสึเดินออกมาอย่างใจเย็น!


 


เขาแอบอยู่ในนั้นมาตั้งนานแต่กลับไม่มีใครรู้เลยจนกระทั่งถึงตอนนี้เอง คุริยามะกล่าวทักทายเขาด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์!” ทาคาชิมะดูเหมือนจะมีความเสียใจบางอย่าง “ดูเหมือนว่าศัตรูของเราจะไม่ได้รับข่าว เขาไม่ยอมลงมือเลยแม้ว่าจะมีการสร้างเป้าหลอกใหญ่โตขนาดนี้และเป็นโอกาสที่ดีจะตายไป น่าเสียดายจริงๆ”


 


กลับกลายเป็นว่าทาคาชิมะต้องการจะใช้รถบรรทุกทรัพยากรการฝึกวิชายี่สิบเก้าคันนี้มาล่อ ‘ราชันฟ้าที่เป็นผู้มีพลังสายธาตุดิน’ คนนั้นให้ออกมานั่นเอง!


 


หวุดหวิดไปแล้วสิ! โชคดีที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ลงมือ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ได้มีแค่เนี่ยถิงแล้วสินะที่ชอบแอบหลอกชาวบ้าน!


 


เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ทำให้นึกได้ว่า เนี่ยถิงนั้นใช้หนึ่งในสามของอัจฉริยะที่มีค่าร่างกายระดับ A มาเป็นเหยื่อล่อ เมื่อเทียบดูแล้วเขาเป็นคนใจป้ำที่ยอมจ่ายหนักกว่าทาคาชิมะนัก


 


สินค้าทั้งหมดในรถบรรทุกถูกถ่ายออกจนหมด หลี่ว์ซู่เห็นว่ากล่องแต่ละใบถูกห่ออย่างเรียบร้อยด้วยศิลาวิญญาณ มันใช้ศิลาวิญญาณกี่พันเม็ดกันเชียวนั่น!


 


เนื่องจากรู้ว่าเครือข่ายฟ้าดินผลิตศิลาวิญญาณได้น้อยกว่าสองแสนเม็ดต่อปีเท่านั้น หลี่ว์ซู่จึงไม่เชื่อว่าทวยเทพจะผลิตศิลาวิญญาณที่นี่ได้มากกว่าในประเทศของเขา ทวยเทพเองก็ค่อนข้างจะใจป้ำอยู่ไม่เบา เพียงแต่พวกเขาไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะเข้ามาข้างในนี้พร้อมกับพวกเขา และแผนการที่เขาตกลงใจจะทำก็คือการจัดการธุระของเขาเสียก่อน ตราบใดที่เขารู้ว่าทรัพยากรอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถจะกลับมาเอาพวกมันไปได้ทุกเมื่อ…


 


ทาคาชิมะเหลือบมามองหลี่ว์ซู่ คาวาโยชิ และคนทั้งหมดที่ร่วมในการขนย้ายนี้ “พวกนายทุกคนทำได้ดีมาก”


 


เขาจากไปหลังจากพูดคุยเสร็จแล้ว คาวาโยชิกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ขนาดทรัพยากรมากมายขนาดนี้ยังล่อราชันฟ้าคนนั้นออกมาไม่ได้เลย แสดงว่าพวกมันไม่ได้รับข้อมูลเลยด้วยซ้ำ! นี่พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าพวกเราไม่ได้เป็นสายลับอย่างแน่นอน ในอนาคตพวกเขาก็จะใช้พวกเราทำแบบนี้อีก”


 


หลี่ว์ซู่อึ้งจนพูดไม่ออก ตรรกะพวกนายมันง่ายขนาดนี้เลยจริงๆ เหรอ…แต่ราชันฟ้าที่พวกนายทั้งหมดกลัวเสียเหลือเกินคนนั้นกำลังยืนอยู่ในฐานทัพของพวกนายอยู่นะ แถมยังลงมือทำอะไรไม่ได้เลยด้วย…


509 หลี่ว์ซู่ ผู้ทรงความยุติธรรม

 


อันที่จริงแล้ว กิจกรรมการขนย้ายสินค้าในครั้งนี้ คุริยามะได้เจตนาเอาเจ้าหน้าที่คนสำคัญหลายคนมาร่วมด้วยจริงๆ ในเมื่อเขามั่นใจในความสามารถของพวกเขา มันจึงเป็นการทดสอบความจงรักภักดีที่พวกเขามี


 


หลังจากการทดสอบในลักษณะนี้สักสองสามรอบ สมาชิกที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงก็จะปรากฏชัดขึ้น เพราะอย่างไรเสีย ความน่าไว้วางใจของคนนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกเพ่งเล็งอยู่เสมอมา


 


รถบรรทุกส่งของที่ทาคาชิมะแอบซ่อนอยู่ข้างในไม่ได้มีสินค้าอยู่ ด้านในมีเพียงอุปกรณ์ที่ใช้เก็บบันทึกเบาะแสของสัญญาณไร้สายในภูมิภาคทุกสัญญาณโดยอัตโนมัติ ดังนั้นจึงไม่อาจมีการส่งสัญญาณใดได้โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากเขา


 


คุริยามะตรวจสอบสัญญาณและไม่สังเกตเห็นอะไรผิดปกติ


 


ฉะนั้นหลี่ว์ซู่จึงได้รับความไว้วางใจจากทาคาชิมะและคนของเขาไปโดยไม่ได้เจตนา…


 


บางทีแม้กระทั่งเนี่ยถิงยังคาดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ มิฉะนั้นแล้วตัวยามาดะเองก็ยังอาจประสบปัญหาได้หากเขาอยู่ที่นี่ เพราะเขาคงจะพยายามส่งข้อความออกไปเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าครั้งใหญ่นี้


 


โชคดีที่หลี่ว์ซู่ไม่จำเป็นต้องส่งต่อข้อมูลนี้ให้ใคร ก็เนี่ยถิงเป็นคนบอกให้เขาใช้ไหวพริบแก้สถานการณ์หน้างานไปเองเลยไม่ใช่เหรอ


 


ช่างเป็นโชคดีที่แฝงมาในความซวยเสียจริงเชียว…


 


ทว่าหลี่ว์ซู่พบว่ามันน่าแปลกที่เรื่องราวไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดไว้จริงๆ … ตอนนี้ตัวเขาควรจะเป็นผู้ก่อความรำคาญอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วเขามาทำอะไรอยู่ในวงในของพวกทวยเทพกันละเนี่ย


 


นี่เขาจะได้รับมอบหมายให้ไปต่อกรกับเครือข่ายฟ้าดินหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นคงน่าสนใจไม่น้อยเลย…


 


แต่เป็นแบบนั้นไปไม่ได้หรอก สายลับเป็นงานที่มีความผูกมัดระยะยาวและทวยเทพก็คงไม่มีทางมอบหมายหน้าที่นั้นให้เขาอย่างแน่นอนหากปราศจากการให้สัตย์ปฏิญาณในความจงรักภักดีจากเขา


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า เจ้าพ่อราชันฟ้าเนี่ยถิงจะทำหน้าอย่างไรหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาจริงๆ


 


ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ มีหญิงสาวชาวอเมริกันคนหนึ่งกำลังเดินทางอยู่ในเมืองปักกิ่ง สมัยนั้นยังไม่มีคำสั่งห้ามเล่นสลากกินแบ่ง ดังนั้นหญิงสาวคนนั้นจึงลองเสี่ยงโชคดู แล้วเธอก็ดันถูกรางวัลที่หนึ่งอย่างน่าแปลกใจ


 


รางวัลที่หนึ่งนั้นมีมูลค่าห้าหมื่นหยวน รางวัลที่สองคือแปดพันหยวน และที่สามคือห้าร้อยหยวน


 


แต่สำหรับของรางวัลที่ดีที่สุดที่จะได้รับก็คือการได้ไปท่องเที่ยวในประเทศสหรัฐอเมริกาสิบวัน…


 


หลี่ว์ซู่เดินขึ้นลิฟต์ตามคาวาโยชิและพวกที่เหลือไป เมื่อคุริยามะตรวจม่านตาแล้ว ตัวลิฟต์ก็เริ่มเคลื่อนที่ลงไป คุริยามะชำเลืองมองมาที่ทุกคนและสั่งการว่า “ไปรายงานตัวที่ฝ่ายกิจการภายในด้วยเพื่อบันทึกม่านตาของพวกนาย นั่นจะเป็นบัตรผ่านตลอดทางของพวกนาย”


 


ในที่สุดหลี่ว์ซู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แบบนั้นเขาจึงจะมีอิสระในการไปไหนมาไหนที่นี่ตามลำพังได้


 


อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้เป็นความจริงสักเท่าไร อันที่จริงแล้วฐานทัพใต้ดินมีอยู่หลายชั้นด้วยกัน และมีหลายชั้นที่คนงานธรรมดาอย่างเขาเข้าไปไม่ได้


 


ในขณะนั้น หลี่ว์ซู่ก็กำลังท่องจำชุดตัวเลขที่เขาเห็นอยู่บนประตูของห้องที่โรงงานเมื่อครู่นี้อย่างเงียบๆ มีห้องคล้ายแบบนั้นอยู่เป็นแถว ฉะนั้นเขาจะต้องไม่จำหมายเลขผิด


 


เผื่อว่าเขาได้โอกาสขึ้นมา เขาก็จะทำลายพวกมันทั้งหมดอย่างแน่นอนโดยจะไม่ยอมปล่อยให้พวกทวยเทพได้เปรียบเลย


 


หลี่ว์ซู่คิดคำนึง ไอ้สมาชิกทวยเทพพวกนั้นคงจะต้องคุกเข่าด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณแน่หากตอนนี้เขาหาเต้าหู้เหม็นมาให้ได้สักกล่อง แต่ในไม่ช้าเขาก็เลิกล้มความคิดเนื่องจากเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหาคำอธิบายได้ว่าเขาไปหาเต้าหู้นั้นมาจากไหน…


 


คุริยามะย้ำเตือน “ในฐานทัพมีผู้บำเพ็ญหญิงอยู่จำนวนมาก ทำตัวกันให้ดีๆ ล่ะ ฉันไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น เข้าใจไหม”


 


“ครับผม”


 


“ครับผม”


 


คำพูดนั้นสื่อความหมายอะไรก็ได้ ที่รวมทั้งการหาความสนุกว่าเป็นสิ่งที่รับได้ ตราบใดที่ผลลัพธ์ของมันอยู่ในความควบคุมของเราได้


 


ใบหน้าของหลี่ว์ซู่ยังคงไร้อารมณ์แม้ว่าข้างในลึกๆ นั้นเขารู้สึกสงสารผู้หญิงในทวยเทพ มันช่างเป็นความซวยของพวกเธอจริงๆ ที่จะต้องเอาชีวิตรอดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จักการให้เกียรติเสียเลย


 


ในที่สุดลิฟต์ก็ชะงักหยุดลง แขกที่มาเป็นครั้งแรกซึ่งรวมถึงหลี่ว์ซู่และคาวาโยชินั้นถูกคนจากกิจการภายในนำทางไปในทันทีเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้น พวกเขาลงทะเบียนลายนิ้วมือและม่านตาเพื่อเป็นบัตรผ่านทางและรวบรวมเครื่องใช้ประจำวันที่จำเป็นและบัตรผ่านเข้าห้องพัก


 


คราวนี้หลี่ว์ซู่และคาวาโยชิก็ถูกจัดสรรให้มานอนห้องเดียวกันอีก แน่นอนว่ามีห้องที่ดีกว่านั้นแต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ใช้มัน ลำดับชั้นนั้นมีความชัดเจนอยู่


 


ห้องพักแบบคู่นั้นเล็กขนาดยี่สิบตารางเมตร มีอุปกรณ์เครื่องใช้เพียงแค่เตียงนอน เครื่องเฟอร์นิเจอร์ทั่วไปและโทรทัศน์เครื่องเล็กติดบนผนัง ในห้องไม่มีแม้กระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์


 


หลี่ว์ซู่เหลือบไปมองโทรศัพท์ของเขาและพบว่ามันไม่มีสัญญาณ ดูเหมือนว่ามีเพียงผู้คนในบางตำแหน่งเท่านั้นที่จะติดต่อกับโลกภายนอกได้จากในฐาน


 


“ทุกๆ เดือน พวกเราจะสลับกันหยุดงานได้สี่วันเพื่อเดินทางกลับไปที่นิชิโนะเกียว หน้าที่ของพวกเราก็คือการรักษาความปลอดภัยใต้ดิน มีอยู่สามกะ เราทำงานอยู่ในช่วงกะกลางวัน เงินเดือนของฉันเป็นศิลาวิญญาณห้าเม็ด และของพวกนายก็สามเม็ด” คาวาโยชิพูดอย่างพออกพอใจ “แต่ไม่ต้องห่วงนะ เมื่อพวกนายเลื่อนขึ้นไประดับ C พวกนายจะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่ามากอีกด้วย และในส่วนของฉัน ฉันก็เกรงว่ามันคงจะอีกไม่นานนักหรอก”


 


หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับทราบ เขาผิดหวังเล็กน้อยเพราะเขาหวังว่าจะได้รับมอบหมายงานที่ต้องอยู่ข้างบนเพื่อที่เขาจะได้ปกป้องศิลาวิญญาณของเขาได้เป็นอย่างดี


 


หลี่ว์ซู่เจ็บใจในค่าจ้างอันสูงของคาวาโยชิ ไอ้หมอนี่นั่นแหละมาเอาส่วนแบ่งหินที่เป็นของหลี่ว์ซู่ไป…


 


“ตอนแรกท่านคุริยามะต้องการจะเอานายไปทำงานอยู่บนพื้นดินเพื่อรักษาความปลอดภัยให้โกดังเก็บสินค้า แต่การไปสุงสิงกับคนธรรมดาสามัญพวกนั้นทั้งวันจะลดราคาของนายลงไป ดังนั้นฉันจึงขอให้นายมาทำงานใต้ดินกับฉัน” คาวาโยชิพูดพล่ามต่อและรอคอยความซาบซึ้งในบุญคุณของหลี่ว์ซู่อย่างกระตือรือร้น “ไม่ต้องห่วง ฉันจะไปพูดกับท่านคุริยามะให้เร็วๆ นี้แหละ นายยังไม่ต้องขึ้นไปรายงานตัวบนพื้นดินหรอก”


 


หลี่ว์ซู่แทบจะกรีดร้องออกมา ใครขอให้นายมาช่วยฉันวะ อย่าหลงตัวเองให้มันมากนัก!


 


ดังนั้นแล้วเขาจึงกล่าวอย่างเสียไม่ได้ว่า “ในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เราต้องไม่ทำตามอำเภอใจ นายไม่ต้องมาหว่านล้อมฉันหรอกเพราะฉันตัดสินใจแล้ว ฉันอยากจะทำงานบนพื้นดินนั่นแหละ!”


 


คาวาโยชิพูดไม่ออก


 


[ได้แต้มจากนากายะ คาวาโยชิ +666! ]


 


เขาเป็นผู้ทรงความยุติธรรมแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไรเหรอ การทำงานใต้ดินนั้นมีผลประโยชน์เพราะว่ามันทำให้เกิดการยอมรับและเลื่อนขั้นได้อย่างง่ายดายเมื่อทำงานอยู่เคียงข้างผู้นำต่างๆ พวกเขาสามารถให้ผลประโยชน์แก่พวกเขาได้อย่างง่ายดาย


 


ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงได้ช่างมีความยุติธรรมมากเสียจนน่ารำคาญขนาดนี้! คนสมัยนี้ที่ไหนจะยอมปล่อยให้ผลประโยชน์หลุดไปจากมือได้


 


เขาจะมีอนาคตอะไรได้หากไปร่วมงานกับคนธรรมดาสามัญบนพื้นดิน


 


คาวาโยชิใช้ความสามารถในทักษะการชวนเชื่อของตัวเองอย่างเต็มที่ “ไม่ว่าพวกผู้หญิงที่อยู่บนนั้นจะสวยขนาดไหน แต่พวกเธอก็ยังเป็นคนธรรมดาสามัญ นายก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกันนี่ ว่าการแต่งงานระหว่างผู้บำเพ็ญและคนธรรมดาสามัญนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการอนุญาต นอกจากนี้ นายก็จะไม่มีเวลาไปฝึกวิชาหากนายมัวติดพันอยู่กับงานทั่วไปบนพื้นดิน”


 


“กรุณาออมแรงไว้เถอะ” หลี่ว์ซู่แลดูมุ่งมั่นและจริงจัง “เพื่ออนาคตของญี่ปุ่น เราก็ต้องยอมทำเรื่องบางอย่าง!”


510 คาวาโยชิผู้จงรักภักดี

 


หลี่ว์ซู่แค่หวังจะปกป้องศิลาวิญญาณจากอันตรายก็เท่านั้น


 


คาวาโยชิสูดหายใจเข้าลึก จริงๆ แล้วเขาเพียงอยากใช้หลี่ว์ซู่เป็นเบ๊เพื่อจะได้พุ่งความสนใจไปที่การฝึกไต่อันดับขึ้นเป็นระดับ C แต่แผนก็พังทลายเสียอย่างนั้น


 


“งั้นก็ขอให้โชคดีข้างบนนั่นก็แล้วกัน” คาวาโยชิพึมพำอย่างดูถูกดูแคลน


 


“คนความคิดตื้นเขินอย่างนายไม่เข้าใจฉันหรอก นายสนใจแต่เงินทองและชื่อเสียงเท่านั้นแหละ” หลี่ว์ซู่ยักไหล่ตอกกลับ


 


คาวาโยชิใช้ความพยายามอย่างมากที่จะตอกกลับไปบ้าง กล้าดีมาจากไหนถึงพูดกับเขาแบบนี้!


 


[ได้แต้มจากคาวาโยชิ +666]


 


หลี่ว์ซู่แทบรอที่จะกลับขึ้นไปอยู่บนดินไม่ไหว แต่ตอนนี้เขาจะทำตื่นตูมให้เสียแผนไม่ได้


 


คาวาโยชิเองก็เก็บความตื่นเต้นไว้ไม่ไหวหลังจากเดินออกมาจากกรมกิจการภายในพร้อมกับหลี่ว์ซู่ เขาทำตาระยิบระยับในขณะโบกมือทักทายผู้หญิงตัวสูงคนหนึ่งที่โถงทางเดิน


 


“สวัสดีครับคุณมิยาซากิ บังเอิญจริงๆ เลยนะครับเนี่ยที่มาเจอคุณที่นี่”


 


หลี่ว์ซู่จ้องมองพิจารณาผู้หญิงคนนั้น เธอสวมชุดฝึกซ้อมต่อสู้ตามปกติและเธอหน้าตาสะสวยจริงๆ นั่นแหละ ทว่าเธอเมินคาวาโยชิไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้คาวาโยชิเสียหน้าเล็กน้อย


 


“คนนี้ใครน่ะ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย


 


“เธอเป็นคนของท่านทาคาชิมะ อยู่ระดับ C ฉันมั่นใจว่าเธอต้องกลับมาสนใจฉันแน่ๆ ตอนที่ฉันอยู่ระดับ C แล้ว ถึงตอนนั้นฉันจะขอเธอมาเป็นภรรยาให้ได้!” คาวาโยชิตอบ


 


หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย เขาไม่ยักรู้ว่าคาวาโยชิจะรักเดียวใจเดียวกับผู้หญิงคนนี้เพราะเขาเห็นคาวาโยชิกะลิ้มกะเหลี่ยไปทั่วกับสาวๆ คนอื่น


 


“นายจะพยายามต่อไปถึงแม้เธอจะไม่สนใจนายสักนิดเนี่ยนะ” หลี่ว์ซู่ ‘ปลอบใจ’ คาวาโยชิ


 


“แล้วไงล่ะ” คาวาโยชินิ่งไปแล้วถามกลับ


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าคาวาโยชิควรจะโดนเตือนสติบ้าง ถึงแม้คำแนะนำจะไม่มีประโยชน์มากนักก็ตาม


 


“เธอต้องเอานายไปนินทาลับหลังแหง” หลี่ว์ซู่ตอบยิ้มๆ


 


[ได้แต้มจากคาวาโยชิ +888]


 


คาวาโยชิหน้าสลด “ขอบใจสำหรับคำปลอบใจที่ไม่มีใครเหมือนจากนายนะ”


 


วันต่อมา หลี่ว์ซู่สวมชุดยูนิฟอร์มของกลุ่มทวยเทพ เขาเดินไปขึ้นลิฟต์อย่างมีความสุข ในขณะนั้นที่ห้องทำงานของคุริยามะ คุริยามะวางเอกสารในมือลงไปที่โต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่และมองคาวาโยชิพร้อมกับถามว่า


 


“นายบอกว่าเขาอาสาขึ้นไปทำงานบนดินอย่างนั้นเหรอ”


 


“ใช่ครับท่าน ผมขออภัยด้วยที่ท่านอุตส่าห์ช่วยให้เขามาทำงานกับเราข้างล่างนี่ เจ้านี่ไม่ใช่แค่แสดงท่าทีไม่สำนึกนะครับ แต่ยังต่อว่าผมด้วยว่าผมสนใจแค่เงินทองกับชื่อเสียง” คาวาโยชิกระแนะกระแหนหลี่ว์ซู่


 


“มีตาหามีแววไม่จริงๆ” คุริยามะพูดเสียงเยาะ “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้ทำงานข้างบนนั่นกับคนธรรมดาไปก็แล้วกัน ฉันไม่มีโอกาสที่สามให้อีกต่อไปหลังจากเจ้านั่นปฏิเสธฉันเป็นครั้งที่สองแล้ว”


 


“ถูกต้องที่สุดเลยครับท่านคุริยามะ” คาวาโยชิกล่าวด้วยความเคารพ “จริงๆ แล้วเขาก็ไม่น่าจะมีปัญญาช่วยท่านได้มากเท่าไหร่ ปล่อยให้ย่อยยับด้วยตัวเองดีกว่า ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าเราจะจ่ายค่าจ้างให้เป็นศิลาวิญญาณจำนวนเท่าไหร่…”


 


“ไม่ต้องจ่ายให้ นายเก็บไว้ได้เลย” คุริยามะตอบอย่างรวดเร็ว


 


“ขอบคุณมากครับท่านคุริยามะ!”


 



 


หลี่ว์ซู่สำรวจตำแหน่งกล้องวงจรปิดด้วยหางตาขณะขึ้นลิฟต์ ถือว่ามีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาใช้ได้เลยทีเดียว มีกล้องเกือบจะทุกจุดตัดถนน แถมยังมีกล้องหนึ่งตัวในลิฟต์ด้วย


 


เมื่อมาถึงข้างบนแล้ว เขาต้องไปรายงานตัวที่กรมการรักษาความปลอดภัย เขาแปลกใจมากที่ได้รับแต่งตั้งให้มาทำงานในหน่วยรักษาความปลอดภัยบนพื้นดินที่มีผู้บำเพ็ญระดับ E ร้อยยี่สิบคนอยู่ใต้บังคับบัญชา


 


ประตูแรกในกำแพงด้านนอกของฐานมีมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุด รักษาการความปลอดภัยโดยระดับ C ถึงสามคนและมีคนในระดับอื่นๆ ด้วย ฐานข้างล่างมีแค่ระดับ C สิบคน และคาวาโยชิเป็นแค่ระดับ D คนเดียวในบรรดาหัวหน้ากรมทั้งหมด เจ้าคาวาโยชิต้องไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนแน่ๆ


 


อย่างไรก็ตามหน้าที่ของหลี่ว์ซู่คือจัดการคนธรรมดา เขาไม่ได้มาปกป้องฐานจากศัตรูข้างนอก นี่เป็นงานแรกของหลี่ว์ซู่ในการปฏิบัติการเป็นเจ้าหน้าที่ แถมยังได้เป็นถึงเจ้าหน้าที่ของพวกทวยเทพด้วย ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าทวยเทพใจดีกับเขามาก ทั้งให้งานทำและยังไงให้เขาสะสมแต้มอารมณ์ได้อีกต่างหาก


 


หลี่ว์ซู่พอใจมากที่เขาได้งานนี้และได้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นคนระดับ E ถึงร้อยยี่สิบคน ห้องทำงานของเขาหันหน้าไปที่โกดังเก็บของ เขาจะได้เฝ้าศิลาวิญญาณของเขาได้ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องมาคิดว่าจะเอาศิลาออกมายังไงดี


 


ระหว่างที่คิด ก็มีชายระดับ E เคาะประตูกระจกห้องทำงานของหลี่ว์ซู่ เขาอนุญาตให้เข้ามาได้ ชายระดับ E คนนั้นยิ้มอย่างประจบสอพลอแล้วพูดว่า “สวัสดีครับท่านยามาดะ ผมเป็นคนขยันขันแข็งและเป็นผู้บำเพ็ญที่มีความสามารถ ไม่เชื่อไปถามหัวหน้าคนเก่าได้เลยครับ ผมฝันมาตลอดว่าอยากได้ยศร้อยเอก แต่ว่าหัวหน้าคนเก่าเขาออกไปก่อน ผมเชื่อว่าหัวหน้าคนเก่าน่าจะได้คุยกับท่านก่อนที่เขาจะออกไปใช่ไหมครับ…”


 


หลี่ว์ซู่มองด้วยหางตา “ไม่เห็นจะได้ยินอะไรมาเลย ถ้าหัวหน้าคนเก่าเขาสัญญาไว้กับนายจริงละก็ ไปพูดกับเขาเองสิ บอกฉันทำไม” หลี่ว์ซู่มาที่นี่เพื่อศิลาวิญญาณ เขาไม่อยากจะมาสนใจในเรื่องเลื่อนตำแหน่งไร้สาระ


 


[ได้แต้มจากโทโมซากะ โทชิ +555]


 


โทโมซากะกัดฟันแล้วตอบหลี่ว์ซู่ “ผมว่าท่านน่าจะกำลังเหนื่อยจากงาน นี่ครับ รับกล่องนี่ไป ผมเป็นห่วงสุขภาพท่าน”


 


หลี่ว์ซู่รับกล่องมาแล้วเหลือบตามองของในกล่อง นี่มันเป็นเงินสดหนึ่งหมื่นเยนเลยทีเดียว น่าจะราวๆ หนึ่งล้านหยวนได้ การติดสินบนนี่เป็นเรื่องธรรมดาในฐานหรือเปล่านะ เงินนี่ก็ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ อาจจะมาจากการแสวงหาผลประโยชน์ของพวกคนธรรมดาข้างนอกหรือพวกเขาอาจจะมีกองทุนสาธารณะสำหรับเงินส่วนตัวแบบสุจริตก็ได้ อย่างไรก็ตามมันก็น่าจะมีบันทึกว่าของในสต็อกขาดหายไป


 


“โอเค… นายกลับไปทำงานได้” หลี่ว์ซู่เตะกล่องเข้าไปใต้โต๊ะ


 


โทโมซากะดีใจมาก เขาคิดว่าหลี่ว์ซู่รับเงินเขาไปก็แปลว่าคำขอของเขาได้รับการยอมรับแล้ว!


 


แต่ผ่านไปสองวันหลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไร โทโมซากะเลยเข้าไปกระซิบกับหลี่ว์ซู่ตอนที่เขาขึ้นมาบนดินในวันที่สาม “ท่านยามาดะครับ เงินของผมไม่ได้หามาง่ายๆ นะครับเนี่ย”


 


หลี่ว์ซู่เลิกคิ้วตอบกลับ “อ้าวเหรอ แต่เงินฉันมันหามาง่ายว่ะ”


 


โทโมซากะตัวแข็งเป็นหินไปในทันตา


 


[ได้แต้มอารมณ์จากโทโมซากะ โทชิ +999]


511 จอมโจรควบเพชรฆาต หลี่ว์เสี่ยวซู่

 


หลี่ว์ซู่นั่งพาดขาบนโต๊ะทำงานขณะมองไปที่โกดังเก็บของ


 


ศิลาวิญญาณพวกนี้เคยเป็นแรงบันดาลใจที่ดีในการปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเขาจนกว่าจะหาทางจัดการเรื่องนี้ได้ แต่มันก็ปวดใจเหลือแสน


 


เพราะศิลาวิญญาณที่นี่มีอยู่ราวแสนเม็ดได้! หลี่ว์ซู่อยากจะกวาดมันลงกระเป๋าง่ายๆ เสียอย่างนั้นจริงๆ เขาคงรู้สึกดีมาก


 


ที่เครือข่ายฟ้าดินผลิตศิลาวิญญาณได้แค่เพียงสองแสนเม็ดต่อปีเท่านั้นเอง ถ้าหลี่ว์ซู่เอาศิลาพวกนี้กลับไปได้ พวกทวยเทพคงหน้าหงายไปตามๆ กันเลยทีเดียว ในที่สุดหลี่ว์ซู่ก็ค้นพบเหตุผลของตัวเองแล้ว


 


จริงอยู่ว่าการฉกศิลาวิญญาณคงทำให้ภาพลักษณ์ของยามาดะ อาคิระถูกเปิดโปง แต่ถ้าหลี่ว์ซู่เอาศิลากลับไปไม่ได้ก็อย่ามาเรียกเขาว่าหลี่ว์ซู่อีกต่อไปเลย!


 


หลี่ว์ซู่พบว่ายังไงความสุขก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์อยู่วันยังค่ำละนะ


 


เขามานั่งครุ่นคิด ในหนึ่งเดือนพวกเขามีวันหยุดสี่วัน เขาต้องขออนุญาตจากผู้บัญชาการออกจากฐานในช่วงนี้ให้ได้ จะได้ออกไปที่นิชิโนเกียวได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร


 


มีความเป็นไปได้ว่าพวกทวยเทพจะจับเขาได้ตอนที่เดินทางไปถึงนิชิโนเกียว เขาไม่น่าจะออกจากประเทศด้วยเส้นทางปกติได้ แม้แต่เส้นทางที่เครือข่ายฟ้าดินเตรียมไว้ให้ก็ไม่น่าใช้ได้เหมือนกัน ดีไม่ดีพวกทวยเทพอาจจะปิดนิชิโนเกียวไปเลยด้วยซ้ำถ้าเจอว่าศิลาหายไปจำนวนมาก


 


แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ศิลาวิญญาณมากขนาดนี้ ต่อให้ต้องว่ายน้ำกลับประเทศหลี่ว์ซู่ก็ยอม!


 


ถ้าเขาอยากทำใหสำเร็จจริงๆ เขาต้องวางแผนให้รัดกุมที่สุด หลี่ว์ซู่ตัดสินใจด้วยแววตาที่ลุกโชน


 


หลังจากนั้นไม่นานโทโมซากะก็เดินเข้ามาในห้องทำงานของหลี่ว์ซู่พร้อมกับหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์คนก่อน หลี่ว์ซู่เงยหน้าขึ้นมองแล้วพวกเขาสองคนแล้วเอ่ยถามเสียงเนือย “มีอะไร”


 


หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ตอบเสียงหยัน “เคารพกันหน่อย ฉันไม่ใช่ลูกน้องนาย นายได้เงินจากฉันไปแล้ว จากนี้ก็ขอให้ทำตามที่สั่งด้วย”


 


หลี่ว์ซู่มองกลับไปที่หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ จู่ๆ สายตาของเขาก็สดใสขึ้นมา “แน่นอนๆ ผมบอกไปตอนไหนว่าจะไม่ช่วย แต่คุณก็รู้ว่าการไปคุยกับท่านคุริยามะมันไม่ง่ายเลยนี่ ขอเวลาหน่อยได้ไหมล่ะ ทุกวันนี้เราทำงานกันอยู่สามกะ คนทำงานอีกสองกะข้างหน้าก็ยังหาไม่ได้เลย ผมกำลังหาคนทำงานให้ครบสามกะให้ได้ก่อนที่จะไปคุยกับพวกระดับสูง นี่พอจะฟังขึ้นมั้ย ไม่งั้นเดี๋ยวจะเป็นการรบกวนท่านคุริยามะบ่อยๆ โดยใช่เหตุน่ะ”


 


หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์อึ้งไปเลย เขาหันไปมองโทโมซากะที่ก็งงไปไม่แพ้กัน ไหนบอกว่าเจ้านี่มันนิสัยเสียไง ไม่เห็นเหมือนที่คุยกันไว้เลยนี่นา เจ้านี่ดูทัศนคติดีแถมยังมีเหตุผลอีกต่างหากถึงจะรู้ว่าอาจจะโดนท่านคุริยามะด่าถ้าไปกวนท่านหลายๆ รอบ เขารู้กันทั้งนั้นแหละว่าถ้าไปรายงานเรื่องกะกลับไปกลับมาได้ ท่านได้ด่าเปิงแน่


 


โทโมซากะที่งงเป็นไก่ตาแตกอยู่กล่าวขอโทษในที่สุด “ต้องขออภัยจริงๆ ครับท่านยามาดะ ผมเข้าใจผิดไป”


 


“ไม่เป็นไรน่า” หลี่ว์ซู่ทำใจดี “เดี๋ยวถ้าหาคนทำงานอีกสองกะต่อไปได้ ฉันจะไปคุยกับท่านคุริยามะให้แล้วกัน”


 


โทโมซากะออกจากห้องไป หลังจากนั้นสองชั่วโมงก็มีคนสองคนเดินเข้ามาพร้อมกับถือกล่องมาคนละใบ คนหนึ่งยิ้มประจบสอพลอแบบเดิม


 


“ท่านยามาดะครับ ผมได้ยินว่าท่านกำลังหาคนทำงานอีกสองกะถัดไป ผมนี่แหละถนัดงานนี้มากแถมผมยังจงรักภักดีสุดๆ เลยนะครับ ผมสัญญาว่าจะติดตามท่านไปทุกที่เลยครับ!”


 


หลี่ว์ซู่เปิดกล่องแล้วดูของข้างใน เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ “โอเค เข้าใจล่ะ นายไปได้”


 


หลังจากคุยเสร็จก็ไม่มีใครอยู่ในห้องทำงานเขาแล้ว เขาถือโอกาสนี้เอากล่องพวกนี้เข้าไปในตราแผ่นดิน เขาตัดสินใจแล้วว่าจะหนีออกไปที่นี่ ต้องค่อยๆ ดำเนินการไปทีละขั้นตอน!


 


หลี่ว์ซู่ว่าจะเดินไปถามผู้บำเพ็ญระดับ E ร้อยยี่สิบคนพวกนั้นว่ามีใครอยากเป็นหัวหน้าบ้าง แต่ทำแบบนั้นมีหวังถูกเปิดโปงพอดี… ยังไงซะถ้าค่าตอบแทนสูงหน่อย เขาก็มั่นใจว่าหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ต้องตอบตกลงแน่


 


เมื่อวางแผนเสร็จสรรพแล้ว หลี่ว์ซู่ก็อดทนรอที่จะกลับบ้านแทบไม่ไหว


 


หลี่ว์ซู่เดินออกไปจากห้องทำงานแล้วเดินไปที่ทางลงลิฟต์ โทโมซากะและพวกดีใจกันยกใหญ่ ท่านยามาดะนี่เป็นคนไว้ใจได้จริงๆ ใครจะไปคิดว่าพอรับเงินไปแล้วก็รีบลงไปคุยกับท่านคุริยามะเลย หลี่ว์ซู่พยักหน้าให้ทุกคนแล้วตรงดิ่งไปลงลิฟต์ เขามุ่งหน้าไปที่หอนอนก่อน ตามคาดเลย คาวาโยชิแอบมาอู้ฝึกซ้อมอยู่ที่นี่ ในมือก็ถือศิลาวิญญาณเพื่อรับพลังจากมันอยู่


 


“หือ นายลงมาได้ไงเนี่ย ไม่ต้องไปทำงานข้างบนหรอกเหรอ” คาวาโยชิเพิ่งจะได้รับศิลาวิญญาณส่วนของเขากับหลี่ว์ซู่มา พอเห็นหลี่ว์ซู่ก็เลยแอบกลัวว่าจะโดนจับได้อยู่หน่อยๆ คาวาโยชิจึงรีบปรับอารมณ์และน้ำเสียงให้เข้มขึ้นแล้วกล่าวออกไปว่า


 


“ถ้านายหนีอู้งานออกมาแบบนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ฉันจะแจ้งท่านคุริยามะ…”


 


ย๊าก!


 


ไม่ต้องรอให้พูดจบ หลี่ว์ซู่ก็ฟาดเข้าไปที่หลังคอของคาวาโยชิทันที ทำเอาคาวาโยชิตาเหลือกแล้วหมดสติไป


 


หลี่ว์ซู่ลงไปนั่งยองๆ ดูอาการของคาวาโยชิ หลังเห็นว่าเขาแน่นิ่งไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็เขย่าตัวปลุกคาวาโยชิ


 


คาวาโยชิค่อยๆ มีสติขึ้นมาเล็กน้อย พยายามเพ่งสติว่ามันเพิ่งเกิดบ้าอะไรขึ้นแต่ก็คิดไม่ออก หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ “อย่าตื่นขึ้นมาเลยแบบนี้”


 


คาวาโยชิเพิ่งตระหนักได้ว่าหลี่ว์ซู่อัดเขาหมดสติ แต่เขาก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เป็นไปได้ไงที่เขาหลบการโจมตีของหลี่ว์ซู่ไม่ได้ หมอนี่กระจอกกว่าเขาไม่ใช่เหรอ


 


หลี่ว์ซู่เริ่มคิดถึงปัญหาต่อไปแล้ว ก่อนหน้านี้ชิบะปะทุพลังหลังจากที่โดนหลี่ว์ซู่ฟาดคาราเต้ไป ยิ่งไปกว่านั้น ชิบะยังปะทุพลังไปสองรอบติดๆ กันในวันเดียว


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าเขาคงมีพลังช่วยให้คนอื่นปะทุพลังได้จริงๆ แต่เหมือนว่าจะไม่ใช่ในกรณีนี้ หรือตอนนั้นชิบะหมกมุ่นเรื่องคิริฮาระ โยสึเกะมากเกินไปกันนะ


 


น่าเสียดายจริงๆ ค่าจ้างก็ได้มาตั้งเยอะ แต่หนึ่งในแผนการของเขากลับไม่เป็นไปตามคิด


 


ว่ากันตามตรง ถ้าหลี่ว์ซู่สามารถช่วยให้คนอื่นๆ ปะทุพลังได้ด้วยการซัดให้หมอบได้จริง เขาก็คงเป็นผู้ชำนาญการในด้านนี้แล้วล่ะ เพราะทักษะนี้ไหลเวียนอยู่ในร่างเขา!


 


คาวาโยชิไม่ลังเลอีกต่อไปหลังจากที่ได้สติครบเรียบร้อยแล้ว เขาก็ฟาดดาบคาตานะตรงไปที่หลี่ว์ซู่ ถึงแม้ว่าหลี่ว์ซู่จะไม่ชอบด้านอื่นๆ ของคาวาโยชิก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการสู้กลับของคาวาโยชิทำให้หลี่ว์ซู่ทึ่ง เมื่อคาวาโยชิรับรู้ว่ามีอันตราย เขาพร้อมที่จะสู้กลับทันทีโดยไม่ต้องพร่ำอะไรอีกแล้ว!


 


แต่เสียงฟันดาบกลับหยุดในอากาศ หลี่ว์ซู่หยุดดาบนั้นได้ด้วยเล็บ ไม่สามารถขยับไปไหนได้อีก


 


คาวาโยชิรู้ทันทีว่าสถานการณ์แย่ลงแล้ว ขนาดระดับ C ยังไม่สามารถหยุดการโจมตีของเขาได้ด้วยสองนิ้วแบบนี้แน่ๆ!


 


เขานิ่งชะงักไป ไอ้หมอนี่มันแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ไงเนี่ย


 


[ได้แต้มจากนากายะ คาวาโยชิ +999]


 


“แกเป็นใครกันแน่วะเนี่ย” คาวาโยชิว่า แต่แล้วเขาก็คิดได้ว่าตะโกนดังเท่าไหร่ก็ไม่มีใครได้ยิน เนื่องจากกำแพงที่นี่ถูกสร้างมาอย่างดี


 


“จำกันไม่ได้เหรอ” หลี่ว์ซู่หัวเราะเยาะ


 


คาวาโยชิพยายามมากที่จะข่มอารมณ์ “แก…”


 


“ฉันพ่อนายไง เรียกปะป๊าสิจ๊ะลูกชาย” หลี่ว์ซู่หัวเราะชอบใจแล้วเล็งไปที่คอของคาวาโยชิ ครั้งนี้โดนเต็มๆ ไม่พลาดเป้า


 


[ได้แต้มจากนากายะ คาวาโยชิ +999]


512 ปกคลุมด้วยความมืดมิด มุ่งหน้าสู่แสงสว่าง

 


ไม่มีทางที่คาวาโยชิจะรู้ได้เลยว่ายามาดะ อาคิระ ที่อยู่ระดับ D คนนี้จะเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าที่พลิกแผ่นดินตามหามานาน


 


คาวาโยชิคงคิดอยากจะฆ่าหลี่ว์ซู่แทบตายแต่ก็คงทำได้แค่ฝัน ไม่มีใครในกลุ่มทวยเทพทำอะไรหลี่ว์ซู่ได้ คงจะมีแต่ทาคาชิมะ ทาอิรัตสึกับคิตะมุระ คิจิโทริเท่านั้นแหละที่พอจะเป็นไปได้


 


แต่ก็นะ คิตะมุระ คิจิโทริก็ไม่อยู่ที่ฐาน และคนระดับ B อย่างทาคาชิมะ ทาอิรัตสึก็ไม่น่าอยู่ประจำฐานตลอดเวลาแน่ๆ ไม่มีใครที่จะมาประมือกับหลี่ว์ซู่ในตอนนี้ได้หรอก


 


แต่ก็ไม่รู้ว่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึจะมาถึงที่ฐานตอนไหน หลี่ว์ซู่กะเวลาไม่ได้เลย เขาไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้เชื่อมต่อรับข้อมูลจากข้างนอก เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทาคาชิมะจะโผล่มาเมื่อไหร่


 


หลี่ว์ซู่มองคาวาโยชิที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น คอเขาพับหักอย่างดูไม่ได้ หลี่ว์ซู่ไม่ได้รู้สึกสงสารเขาเลยสักนิด ถ้าเป็นพวกทวยเทพ หลี่ว์ซู่ก็ฆ่าทิ้งได้หมดทั้งนั้น


 


แต่หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่ควรจะฆ่าใครทิ้งมั่วซั่วเพราะในบรรดาทวยเทพมีสายลับจากเครือข่ายฟ้าดินอยู่หลายคนเหมือนกัน เขาอาจจะพลั้งมือไปฆ่าสายลับพวกนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้ ถ้าเป็นงั้นหลี่ว์ซู่คงรู้สึกผิดมาก เขาไม่ได้ใจร้ายใจดำขนาดนั้นหรอกนะ แค่บางทีเขาก็เห็นแก่ตัวไปบ้างเท่านั้นเอง


 


แต่ถึงยังไงการฆ่าคนย่อมต้องเป็นไปตามแผนอยู่เหมือนเดิม เป้าหมายที่เขาต้องเก็บยังมีอีกเยอะ รวมถึงคุริยามะด้วย


 


ในสายตาหมอนั่นคงมองว่าเขาเป็นแค่ระดับ D ไร้น้ำยา ไม่คู่ควรแก่การยอมรับสินะ หลี่ว์ซู่แค่นหัวเราะ เขาหยิบศิลาวิญญาณออกมาจากตัวคาวาโยชิจนหมดทุกเม็ดแล้วเก็บลงตราแผ่นดิน รวมถึงเม็ดที่คาวาโยชิกำไว้ในมือและดูดพลังออกไปแล้วครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม


 


ถึงพลังจะหายไปครึ่งหนึ่งแต่ทั้งหมดนี่เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น ถึงจะมีศิลาวิญญาณเป็นแสนเม็ดแต่คนเราก็ยังต้องทำมาหากินอยู่ดีละนะ


 


คนจนเปลี่ยนมาใช้ชีวิตอู้ฟู่แบบคนรวยน่ะไม่ยากหรอก แต่ถ้ารวยแล้วเกิดจนขึ้นมาคงลำบากหน่อยล่ะ หลี่ว์ซู่ยังติดนิสัยประหยัดและทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่


 


ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลออกมาจากตราแผ่นดินเพื่อทำลายหลักฐาน หลี่ว์ซู่พบว่าดาบคาตานะของคาวาโยชิมอบพลังที่แปลกใหม่ให้กับธารน้ำ เขาคิดอยากจะปลอมตัวเป็นคาวาโยชิเพื่อเข้าหาคุริยามะ แต่ไม่น่าจะทำได้เพราะส่วนสูงของพวกเขาต่างกันอยู่


 


หลี่ว์ซู่มุ่งหน้าไปทางห้องทำงานของคุริยามะ เขาเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา เขาจึงเคาะอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว เขาเพิ่งนึกออกว่ากำแพงที่ฐานนี้มันกันเสียงได้ดีขนาดไหน สรุปว่ากำแพงมันกันเสียงได้ดีหรือว่าไม่มีใครอยู่ข้างในกันแน่เนี่ย


 


แต่ยังไงก็ตาม หลี่ว์ซู่ต้องได้คำอนุมัติออกจากฐาน เขาเลยลองเคาะดูอีกครั้ง


 


ปัง! ปัง! ปัง! หลี่ว์ซู่เกือบทำประตูพังด้วยแรงเคาะแล้ว!


 


[ได้แต้มจากคุริยามะ คุโมะ +399!]


 


[ได้แต้มจากมิยาซากิ ยู +499!]


 


หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียง ติ๊ง! เขาเห็นว่าไฟหน้าประตูเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว แล้วเสียงเกรี้ยวกราดของคุริยามะก็ดังลอยมาจากข้างใน “เข้ามา”


 


ยะฮู้! ในที่สุดประตูก็เปิด หลี่ว์ซู่ผลักประตูเปิดออก เขาเห็นผู้บำเพ็ญหญิงที่ชื่อมิยาซากิกำลังติดกระดุมเสื้ออยู่ กระทั่งคนของทาคาชิมะสองคนก็อยู่ในนี้ด้วย


 


หลี่ว์ซู่พูดไม่ออก คาวาโยชิหนอคาวาโยชิ นี่แกเทิดทูนคนแบบนี้จริงดิ…


 


คุริยามะพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “กดกริ่งไม่เป็นหรือไง” ส่วนมิยาซากินั่งเช็คเมคอัพอย่างเฉิดฉายอยู่บนโซฟาที่อยู่ด้านข้าง เธอเมินหลี่ว์ซู่ไปโดยสิ้นเชิง


 


หลี่ว์ซู่ลืมเรื่องกริ่งไปเสียสนิท…


 


“ผมเพิ่งเคยมาที่ฐานใต้ดินเป็นครั้งแรก ไม่รู้เรื่องกริ่งมาก่อน ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ แล้วปิดประตูตามหลัง


 


“แล้วที่มานี่มีเรื่องอะไร” คุริยามะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องหลี่ว์ซู่เข้ามาเห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับมิยาซากิ


 


“เรื่องมีอยู่ว่า ผมอยากกลับไปที่นิชิโนเกียวน่ะครับ” หลี่ว์ซู่พูดติดตลก


 


คุริยามะถึงกับงง เขาชักเริ่มสงสัย “นายเพิ่งมาถึงเองนี่ จะขอกลับแล้วงั้นเหรอ”


 


“ก็แหม วันนี้เป็นวันที่เจ็ดหลังจากโนกิวะ ฮากุชุนเสียชีวิตนี่ครับ ผมอยากจะไปทำความเคารพศพสักหน่อย” หลี่ว์ซู่ตอบ


 


คุริยามะนิ่งไป


 


เขาไม่เคยคิดเลยว่ายามาดะจะอยากทำความเคารพศพโนกิวะ ฮากุชุน ไอ้หมอนี่ก็มีอารมณ์เห็นอกเห็นใจคนอื่นเหมือนกันนะ


 


“งั้นก็ไปเถอะ” คุริยามะอนุมัติวันลาให้ยามาดะ อาคิระในคอมพิวเตอร์ หลี่ว์ซู่ต้องได้คำอนุญาตจากคุริยามะเท่านั้นถึงจะออกไปจากที่นี่ได้


 


แต่แล้วคุริยามะก็เอ่ยต่อว่า “ถ้านายพอจะช่วยฉันแบบเดียวกันบ้าง ฉันก็จะไม่ขวางนายหรอก”


 


หลี่ว์ซู่อึ้งกิมกี่ เขาแค่หาข้ออ้างไปเรื่อยจะได้ออกจากที่นี่เฉยๆ ไม่ได้จะมาฟังพี่แกเล่นบทดราม่าอะไรทั้งนั้นซะหน่อย


 


เขาหยุดคิดชั่วครู่แล้วตอบกลับ “ได้เลยครับ ถ้าท่านซี้แหงแก๋เมื่อไหร่ ผมจะช่วยไปเยี่ยมท่านหลังครบเจ็ดวันแน่นอน”


 


[ได้แต้มจากคุริยามะ คุโมะ +999!]


 


[ได้แต้มจากมิยาซากิ ยู +399!]


 


 


คุริยามะอ้าปากค้าง ฉันยังไม่ได้พูดเรื่องตายเลยโว้ย ไอ้หมอนี่เสียสติไปแล้วรึไง


 


สีหน้าคุริยามะมืดครึ้ม “เหอะๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไปเยี่ยมศพโนกิวะ ฮากุชุนเถอะ เดี๋ยวนายก็รู้เองว่าอวดดีแล้วจะมีจุดจบยังไง”


 


ขณะที่เขาพูด คุริยามะก็หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา เป็นโทรศัพท์ที่ดูจะถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในฐานใต้ดินและสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เขาจิ้มโทรศัพท์กดเบอร์” ไปขุดโนกิวะ ฮากุชุนขึ้นมาจากหลุมให้ฉัน!”


 


คุริยามะกดวางสายแล้วหัวเราะเ**้ยมๆ “ไปลิ้มรสรสชาติแห่งความเจ็บปวดเถอะ แล้วจำไว้ด้วยว่าครั้งหน้ากดกริ่งก่อนเข้ามาล่ะ”


 


หลี่ว์ซู่เหม่อซึม จะดีแค่ไหนนะ ถ้าความตายของโนกิวะ ฮากุชุนจะมอบแต้มให้เขาด้วย


 


“ผมว่าท่านไม่น่าจะต้องใช้กริ่งประตูอีกต่อไปแล้วล่ะครับ พอเรื่องออกมาเป็นงี้ เห็นทีผมไม่น่าจะได้ไปเยี่ยมศพท่านหลังครบรอบเจ็ดวันแล้วล่ะ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ


 


หลี่ว์ซู่ไม่รอจนพูดจบประโยค เขาถือโอกาสตอนที่คุริยามะกำลังวางโทรศัพท์ ปลดปล่อยซือโก่วและฝูฉื่อออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วทั้งห้องก็สั่นสะท้านไปด้วยพลัง คุริยามะไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมโต้กลับอะไรทั้งนั้น


 


ความหวาดกลัวฉายชัดในดวงตาของมิยาซากิ เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เห็นกระบี่ของคนจากเครือข่ายฟ้าดิน โดยเฉพาะกระบี่สองเล่มนี้ที่แทบไม่มีใครเคยสัมผัสด้วยตา!


 


คุริยามะอยากหนีไปหลบที่มุมห้อง แต่ตัวเขาลอยอยู่กลางอากาศ มือพยายามเอื้อมไปหยิบอาวุธดาวกระจาย


 


ทว่าคมกระบี่กลับพุ่งทะลุเข้ามาแทงทะลุศีรษะลงไปถึงหัวใจขณะที่เขาไร้การป้องกัน


 


มิยาซากิไม่อาจรักษาภาพลักษณ์งามสง่าของเธอได้อีกต่อไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของคุริยามะแข็งค้าง เลือดของเขาสาดกระจายไปในอากาศราวกับการดอกกุหลาบที่เบ่งบานยามรุ่งสางในนรกอเวจี แม้จะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด แต่ก็มุ่งหน้าไปสู่แสงสว่าง


 


หลี่ว์ซู่ยืนนิ่งในห้องทำงาน อา… ราวกับว่าอยู่ๆ อากาศในนี้ก็บริสุทธิ์ขึ้นมา เขาสูดหายใจเข้าลึก


 


นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของเขา


513 หลี่ว์ซู่หมัดเหล็ก

 


“นี่นายเป็นใครกันแน่” มิยาซากิถาม คิ้วขมวดแน่น


 


หลี่ว์ซู่นิ่งแล้วคิด ทำไมคนอื่นชอบถามแบบนี้กันจังนะ จะตอบไปว่าไงดีล่ะรอบนี้


 


หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดสองวินาทีก่อนตอบ “ผมก็คือชายเปี่ยมพรสวรรค์ผู้งามสง่าในตำนานไงล่ะ เอ่อ… ไม่ค่อยเข้าท่าแฮะ เอาเป็นว่าเรียกผมว่าหมัดเหล็กแดนมังกร!”


 


“… นายว่าไงนะ!”


 


[ได้แต้มจากมิยาซากิ ยู +999!]


 


เธอพูดต่อ “แต่เมื่อกี้นายก็ไม่เห็นจะใช้หมัดเลยนี่”


 


“???”


 


อุวะ ก็ไม่ได้หมายความตามนั้นเป๊ะๆ สักหน่อย!


 


ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะคิดคำอธิบายออก มิยาซากิก็ดึงด้ายแวววับสีเงินเส้นบางออกมาจากเรือนผมแล้วจู่โจมเข้าไปที่หลี่ว์ซู่ เขาเอี้ยวตัวหลบการโจมตีของหล่อน ทำให้ด้ายเหวี่ยงไปโดนกำแพงด้านหลังเป็นรอย ปรากฏให้เห็นชั้นกันเสียงและเหล็กกล้าใต้กำแพงนั่น!


 


หลี่ว์ซู่ทึ่งกับมาตรการป้องกันที่แน่นหนา ถึงว่าทำไมคนข้างในไม่ได้ยินอะไรเลยตอนหลี่ว์ซู่เคาะประตู


 


ชั่วขณะต่อมา ผีเสื้อเงินตัวหนึ่งโผออกมาจากด้าย มันบินสะบัดปีกเป็นคลื่นฝุ่นสีเงินพุ่งตรงมาที่หลี่ว์ซู่ เขารีบแปรธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นกำแพงป้องกันตัวเองทันที!


 


อาวุธของมิยาซากิเป็นวัตถุวิญญาณนี่เอง!


 


ในขณะที่หลี่ว์ซู่วุ่นกับการป้องกันผีเสื้ออยู่นั้น มิยาซากิก็พุ่งตัวไปที่โต๊ะทำงานของคุริยามะ หลี่ว์ซู่ไม่ยอมให้เธอไปถึงตรงนั้นหรอก สังเกตจากที่เธอรีบวิ่งไปขนาดนี้ มันจะต้องมีปุ่มฉุกเฉินซ่อนอยู่ในโต๊ะแหง!


 


มิยาซากิประเมินธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ว์ซู่ต่ำไปเสียแล้ว พลังของเขาแข็งแกร่งขนาดทำให้ห้องนี้น้ำท่วมได้ง่ายๆ เชียวนะ!


 


และในชั่วพริบตา ธารน้ำก็แผ่เป็นข่ายน้ำขยายกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว หมายจะดึงมิยาซากิให้ติดกับ งูสีทองของเขาพุ่งเลื้อยไปจู่โจมคอมิยาซากิเร็วอย่างกับสายฟ้า!


 


คลื่นพลังจิตวิญญาณของมิยาซากิไหลออกมาเป็นอาหารอันโอชะของเจ้างูสีทอง เธอยอมแพ้แล้ว ป้องกันตัวไม่ได้อีกต่อไป ดวงตาเต็มไปด้วยความคั่งแค้นและสิ้นหวัง


 


[ได้แต้มจากมิยาซากิ ยู +1000!]


 


คราวนี้หลี่ว์ซู่เผยตัวตนที่แท้จริงไปเพื่อแลกกับศิลาวิญญาณจำนวนหลักหมื่น แต่กระนั้นเขาก็ต้องรายงานกับเนี่ยถิงไปว่าเขาสังหารพวกระดับ C ไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมไปถึงลูกน้องของทาคาชิมะ ทาอิรัตสึถึงสองคนด้วย ก็เลยต้องเข้าไปคลุกวงในกับพวกทวยเทพ


 


นั่นถึงจะฟังดูเข้าท่า แต่ก็นะ เขาเองก็อยู่ระดับ C เหมือนกัน


 


พวกทวยเทพโดนไปซะเละที่โบราณสถานเกาะช้าง แต่เสียใจด้วย นั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหรอก


 


ส่วนเรื่องศิลาวิญญาณ… เฮ้ย ศิลาอะไรกัน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย มันคืออะไรหนอ หึๆ


 


นอกจากเรื่องต่อสู้แล้ว เขาตัดสินใจว่าจะไม่ยอมแพ้เรื่องของที่อุตส่าห์ตรากตรำหามาด้วยความยากลำบากหรอก


 


แต่ถ้าสถานการณ์จวนตัวเข้าจริงๆ เขาจะยอมสละศิลาสักร้อยเม็ดก็ได้ โชว์เหนือหน่อยว่ารวยขนาดไหน


 


 


หลี่ว์ซู่ทำความสะอาดพื้นที่ต่อสู้เพื่อทำลายหลักฐานอย่างระมัดระวัง เขาไม่ได้แตะในตู้หรือลิ้นชักเลย ดูจากที่มิยาซากิรีบวิ่งไปที่โต๊ะขนาดนั้น เขาคิดว่ามันอาจจะมีกับดักหรือสัญญาณเตือนดังขึ้นมาก็ได้ เขายังไม่อยากโดนจับได้ตอนนี้


 


ในระหว่างนั้น หลี่ว์ซู่ก็สังเกตเห็นว่างูสีทองของเขาดูสนอกสนใจอาวุธของมิยาซากิพอตัว หลังจากเจ้าของหายไป เจ้าผีเสื้อเงินก็กลับเข้าไปในโซ่ แล้วงูของเขาก็สูดโซ่เข้าไปราวกับคนสูดบะหมี่เข้าปาก จนในที่สุดท้องของมันก็ป่องนูน


 


พอถึงตรงนี้หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกหิวขึ้นมา…


 


หลี่ว์ซู่ได้งูสีทองนี่มาตอนที่ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ดูดกลืนดาบคาตานะของโนกิวะ ฮากุชุนเข้าไป เขาสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะถ้าเจ้างูนี่เขมือบอาวุธวิญญาณชิ้นอื่นเข้าไปอีก


 


ผ่านไปสักพัก หลังจากเจ้างูกินจนพอใจแล้ว ขนาดตัวของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม!


 


“ไม่จริงน่า งูนี่กินอาวุธวิญญาณเป็นอาหารงั้นเหรอ!” หลี่ว์ซู่อึ้ง อาวุธวิญญาณนี่เป็นที่ต้องการสุดๆ เลยนะ แถมยังไม่ค่อยมีขายในตลาดด้วย


 


ตอนที่เจ้างูกินอาวุธธรรมดาเข้าไป มีแค่ระดับของธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่เพิ่มมากขึ้น แต่พอมันกินอาวุธวิญญาณเข้าไป กลับเป็นเจ้างูเองที่เปลี่ยนแปลง


 


ตอนนี้เจ้างูนี่ก็ตัวใหญ่พอจะขย้ำชูริเคนเข้าไปได้คำแล้ว ไม่ต้องค่อยๆ แทะทีละนิดเหมือนแต่ก่อน!


 


แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ… เจ้างูนี่จะขายได้เท่าไหร่กันนะ หลี่ว์ซู่ครุ่นคิด ถ้ามีโอกาสก็เอาอาวุธวิญญาณนี่ไปขายดีมั้ย มันใช่เรื่องมั้ยเล่าที่เขาต้องเป็นท่อน้ำเลี้ยงคอยหาอาหารให้งู


 


จะเลือกอะไรดีล่ะ ระหว่างอาวุธที่เป็นไพ่ตายกับเงิน เลือกไม่ได้เลยแฮะ


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้หน้าเงินขี้เหนียวอะไรขนาดนั้น เขาก็แค่อยากมีทรัพย์สินในครอบครองเพื่อความอุ่นใจเท่านั้นเอง


 


ถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว มันก็เพราะความจนในอดีตนั่นแหละที่ทำให้เขาหิวเงินขนาดนี้


 


หลี่ว์ซู่ไม่อยากกลับไปมีชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว ชีวิตที่เขาต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะซื้อขนมบ๊วยสักแท่งให้เสี่ยวอวี๋ดีมั้ย ชีวิตที่เขาไม่มีปัญญาจะซื้อของมาทำมะเขือเทศผัดไข่ให้เสี่ยวอวี๋กินทุกวันได้


 


เมื่อก่อนเขาจะต้องมีเงินก่อนถึงจะรู้สึกปลอดภัย ส่วนตอนนี้การที่เขาให้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ดูดกลืนพลังจากอาวุธก็เป็นหลักประกันทำให้เขารู้สึกปลอดภัยได้เหมือนกัน


 


“เงินไม่ได้หายไปไหนหรอกน่า ก็แค่อยู่ในสภาพอื่นเท่านั้นเอง” หลี่ว์ซู่ปลอบใจตัวเอง


 


เขาเดินออกจากห้องทำงานของคุริยามะแล้วขึ้นลิฟต์ไปบนพื้นดิน ทุกอย่างช่างดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


ไม่มีใครรู้เลยว่าระดับ D กำมะลออย่างเขาจะเป็นคนกำจัดลูกน้องระดับ C สองคนของทาคาชิมะและหัวหน้าระดับ D ของพวกทวยเทพทิ้งเสียไม่เหลือ


 


คุริยามะอาจจะตั้งตัวไม่ทัน แต่สำหรับมิยาซากิ เธออยู่ในสภาพงามสง่าได้แค่สิบวินาทีเท่านั้นแล้วก็ม่องเท่ง ซี้แหงแก๋ไป


 


หน้าที่ของหลี่ว์ซู่ก็คือปลอมตัวมาแฝงอยู่ในหมู่พวกศัตรู จากนั้นก็ค่อยฉวยโอกาสฆ่าทิ้ง


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าถ้าจะฉกศิลาวิญญาณนับหมื่นมามันก็ต้องหลั่งเลือดกันหน่อย


 


โทโมซากะดีใจมากที่เจอหลี่ว์ซู่ “เป็นยังไงบ้างครับท่านยามาดะ ท่านคุริยามะตอบตกลงหรือเปล่าครับ”


 


หลี่ว์ซู่ยิ้ม “แน่นอน ท่านตอบตกลงสิ ท่านคุริยามะบอกฉันให้มาตรวจโกดังหมายเลข 19 สักหน่อย ไปทำงานต่อได้ไป”


 


หลี่ว์ซู่เลือกที่จะไม่แหย่โทโมซากะเพื่อปั๊มแต้มอารมณ์ ปล่อยให้ดี๊ด๊าแบบนี้แหละ ตอนหลี่ว์ซู่ออกไปจะได้ไม่มีใครมายุ่งให้เป็นปัญหา เขาต้องวางแผนทุกอย่างให้รอบคอบ


 


ตอนนี้เขาแค่ต้องโกยของในโกดังหมายเลข 19 ออกมาให้เงียบเชียบที่สุด


 


โทโมซากะวิ่งไปบอกอีกสองคนด้วยความระริกระรี้ ในฐานะที่พวกนี้เป็นยศร้อยโท พวกเขาจึงเป็นคนที่มียศสูงสุดบนพื้นดิน เพราะพวกระดับสูงไม่เสียเวลาขึ้นมายุ่งกับคนธรรมดาแบบนี้


 


โทโมซากะรู้สถานการณ์ดี จะให้คนอย่างเขาไต่ขึ้นไปเป็นระดับ C หรือระดับ D เพราะงั้นจะฉลาดกว่าถ้าเขาอยู่บนพื้นดินนี่เพื่อขยายอำนาจ


 


เมื่อประตูโกดังหมายเลข 19 เปิดออกตรงหน้าหลี่ว์ซู่ เขารู้สึกราวกับว่ากำลังฝันไป ศิลาวิญญาณอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!


 


เยอะขนาดนี้ไม่น่ามีใครขนหมด แต่เขามีตราแผ่นดินอยู่กับตัว!


514 กลุ่มทวยเทพเปิดโหมดฉุกเฉิน!

 


โกดังหมายเลข 19 เก็บของทุกอย่างที่ส่งมาจากโกดังเก็บของชั่วคราว กล่องทุกกล่องถูกตั้งเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ นอกจากศิลาวิญญาณแล้ว หลี่ว์ซู่ก็วางแผนว่าจะโกยทุกอย่างกลับไปด้วยเหมือนกัน


ส่วนรถบรรทุกสินค้ามนุษย์สี่คันนั้นถูกส่งไปที่อื่น คุริยามะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ เขาเก็บเรื่องไว้นี้เป็นความลับสุดยอดภายในกลุ่มทวยเทพ


ซึ่งก็มีเหตุผลแหละ ปู่เสียนอีคงอัดพวกนี้ไม่เหลือซากถ้าปู่รู้เรื่องพิธีบูชายัญมนุษย์


ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ผิดศีลธรรมมากด้วย ถ้าเกิดเรื่องแพร่งพรายออกไปข้างนอกละก็ ภาพลักษณ์องค์กรในสายตาชาวโลกคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี หลี่ว์ซู่เดาว่าพวกทวยเทพคงคิดจะขยายแผนชั่วของพวกมันไปยังหมู่ผู้มีพลังในต่างประเทศด้วย


หลี่ว์ซู่ปิดประตู ความมืดเข้าครอบงำทั้งโกดัง จากนั้นเขาก็ใช้ของธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นแสงสว่างนำทาง เขาเปิดดูในกล่องที่มีศิลาวิญญาณบรรจุอยู่ ศิลาเหล่านี้หายวับไปกับตาเมื่อมือของเขาสัมผัสพวกมัน เร็วอะไรแบบนี้!


ด้วยอานุภาพของตราแผ่นดิน การฉกศิลาจึงกลายเป็นเรื่องกล้วยๆ


หลี่ว์ซู่ดูดทุกอย่างลงตราแผ่นดินราวกับหลุมดำ เหลือไว้แค่กล่องเปล่าๆ เท่านั้น การฉกของจากโกดังนี่คุ้มสุดแล้วในการมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้


หลี่ว์ซู่รู้สึกอุ่นใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเมื่อของทุกอย่างอยู่ในตราแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว


บนกล่องพวกนั้นมีป้ายติดอยู่ มันเขียนเอาไว้ว่ามีศิลาอยู่หนึ่งพันเม็ดในหนึ่งกล่อง และกล่องทั้งหมดที่นี่มีจำนวนเก้าสิบสองกล่อง พูดง่ายๆ ก็คือ หลี่ว์ซู่เก็บศิลาวิญญาณไปทั้งหมดเก้าหมื่นสองพันกล่องภายในพริบตาเดียว


หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้อยากจะเวอร์หรอกนะ แต่ตอนนี้เขารวยเทียบเท่ากับประเทศประเทศหนึ่งเลย!


แต่เป็นประเทศเล็กๆ นะ


หลังจากนั้นหลี่ว์ซู่เก็บกล่องเข้าที่เดิมเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย


แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากที่ไกลๆ จนฝุ่นฟุ้งตลบลงมาจากเพดาน


แผ่นดินไหวงั้นเหรอ แต่ดูแล้วไม่น่าใช่ เสียงเหมือนกับตัวอะไรใหญ่ๆ เดินย่ำจนพื้นสะเทือนมากกว่า


เมื่อเขาเก็บกล่องเข้าที่เรียบร้อยดีแล้ว เขาก็รีบออกจากโกดังทันที หลี่ว์ซู่พบว่าข้างนอกวุ่นวายมาก โทโมซากะรุดเข้ามาหาเขาและถามเขาอย่างกังวล “ท่านยามาดะ มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ!”


“ไม่รู้เหมือนกัน” หลี่ว์ซู่ตอบ “นายอยู่ข้างนอกตลอดนี่ ไม่ได้ยินอะไรเลยเหรอ”


โทโมซากะกลัวจนตัวสั่น “ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับท่าน ผมได้ยินว่ามีนักรบระดับ B สองคนมุ่งตรงมาที่เรา พวกนั้นต้องเป็นยักษ์แน่เลยครับ!”


หลี่ว์ซู่ไม่เคยได้ยินเรื่องนักรบยักษ์ระดับ B มาก่อน เขาหันไปหาโทโมซากะ “ตามมานี่ ฉันมีอะไรจะบอก”


หลี่ว์ซู่ดึงตัวโทโมซากะเข้าไปในโกดัง “นายเคยได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ มาก่อนปะ”


“อะไรนะครับ ‘กร๊อบ’ อะไรกันครับท่าน” ไม่ทันที่โทโมซากะจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ คอของเขาก็ถูกสับดัง ‘กร๊อบ’ ไปเรียบร้อย


[ได้แต้มจากโทโมซากะ +1000!]


ทีนี้คนที่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เข้ามาในโกดังหมายเลข 19 ก็ถูกกำจัดไปเรียบร้อย ถ้าใครยากจะสืบเรื่องนี้ก็ต้องเข้าไปดูประวัติการแตะบัตรปลดล็อกประตูในห้องควบคุมเท่านั้นแหละ


จะอย่างไรก็แล้วแต่ หลี่ว์ซู่ต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ในเมื่อเขามีใบอนุญาตจากคุริยามะแล้ว เขาก็ออกจากที่นี่ได้อย่างกล้วยๆ


ในขณะนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าพวกมันจะตรงไปที่ฐาน เสียงไซเรนแหลมบาดแก้วหูดังมาจากนอกกำแพง ผู้คนในฐานต่างวิ่งวุ่นกันจ้าล่ะหวั่น “ฉุกเฉิน! ฉุกเฉิน! ศัตรูบุก! ที่พักถูกโจมตีแล้ว!”


หลี่ว์ซู่อึ้งไป เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ที่พักของพวกทวยเทพถูกทำลายเนี่ยนะ หรือนี่จะเป็นการบุกถล่มกลุ่มทวยเทพอย่างเต็มกำลัง


แม้ช่วงนี้จะเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายในโลกของผู้บำเพ็ญก็จริง แต่ก็ไม่น่ามีใครเริ่มสงครามโลกผู้บำเพ็ญแบบเป็นจริงเป็นจัง ใครกันที่กล้ามาบุกกลุ่มทวยเทพซึ่งๆ หน้าแบบนี้


หลังจากเหตุการณ์ที่โบราณสถานเกาะช้าง ระบบภายในของกลุ่มทวยเทพก็เสียสมดุลไปมากเนื่องจากสูญเสียกำลังผู้บำเพ็ญระดับสูงไปเยอะ


ยิ่งไปกว่านั้นสมาชิกของกลุ่มทวยเทพก็ยุ่งกันอยู่ที่นิชิโนะเกียว พวกเขาต่างกระจายตัวกันไปตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ


ข้อมูลที่หลี่ว์ซู่ได้มาจากเครือข่ายฟ้าดินแจ้งว่ามีพวกทวยเทพอยู่ในนิชิโนะเกียวราวสามพันคน รวมถึงพวกตัวท็อปอย่างทาคาชิมะ ทาอิรัตสึและคิตะมุระ คิจิโทริด้วย


จู่ๆ ไฟในฐานก็ดับไปทีละดวง แล้วก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดที่ไหนสักแห่งในนิชิโนะเกียว


ความมืดเข้าปกคลุมทั่วทั้งฐาน ไม่ต้องพูดก็รู้ได้ทันทีว่าไฟฟ้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเมือง เดินหมากได้ชาญฉลาดเสียจริงที่ตัดไฟฟ้าก่อน


ความตระหนกและความหวาดกลัวเข้าครอบงำฐานของพวกทวยเทพ ทว่าไม่ถึงนาที ไฟฉุกเฉินก็ทำงานทำให้แสงสว่างกลับมาเหมือนเดิม


หลี่ว์ซู่โผไปคว้าคอเสื้อของคนที่เพิ่งวิ่งลงมาจากกำแพงรอบๆ เขาเอ่ยถาม “นายจะไปไหนน่ะ”


[ได้แต้มจากมาเอดะ โทโมซากิ +199!]


“ผมจะไปขอความช่วยเหลือครับท่าน ศัตรูบุกฐานเราแล้ว!” หลี่ว์ซู่ยกคอเสื้อของผู้ชายเขาขึ้นมาจนเท้าลอยจากพื้น เขากำลังจะไปรายงานสถานการณ์สินะ แต่ตอนนี้เขาหนีไม่พ้นเงื้อมมือหลี่ว์ซู่หรอก…


“ศัตรูเป็นใคร” หลี่ว์ซู่ถาม


“ยังไม่แน่ใจครับ แต่พวกมันน่ากลัวมาก! พวกที่หนีรอดออกมาจากที่พักได้รายงานว่าคฤหาสน์แตกแล้ว ท่านคิตะมูระ คิจิโทริกำลังสู้กับพวกมันอยู่” เขาละล่ำละลักอธิบาย “ที่ผมรู้มีแค่พวกมันมากันไม่เยอะ แต่แข็งแกร่งสุดๆ!”


ในขณะนั้นเอง แท่นขนาดใหญ่ถูกยกขึ้นมาตรงกลางของฐาน แล้วสมาชิกของทวยเทพก็โผล่มาจากใต้ดิน กะจากสายตาแล้วน่าจะเป็นลูกน้องของทาคาชิมะ กลุ่มทวยเทพเปิดโหมดฉุกเฉินเต็มขั้น!


ราวกับเครื่องจักรสู้รบ ทวยเทพทุกคนเข้าโหมดพร้อมสู้เต็มที่ ศัตรูเป็นยังไงกันแน่ถึงทำให้พวกเขาตื่นตัวกันขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเนี่ยถิง ถ้างั้นก็แจ๋วไปเลยน่ะสิ!


แต่หลี่ว์ซู่ก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาสงสัยว่ายักษ์สองตัวนั่นน่าจะเป็นวิญญาณในตำนานโบราณที่ถูกเฉินไป่หลี่อัญเชิญมามากกว่า พวกมันน่าจะทุบหลี่อีเสี้ยว ราชันฟ้าร่างอ้วนปลิวเข้าส้วมได้สบายๆ แต่วิญญาณพวกนี้ไม่น่าจะอยู่คงร่างไว้ได้นานนี่


เวลาผ่านไปสักพัก หลี่ว์ซู่ก็ได้ข้อสรุปว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายฟ้าดินแน่ๆ เพราะนักรบทั้งสองนั้นสวมชุดเกราะสไตล์ยุโรป


515 คอรัล โอดิน จอห์นสัน

 


กลุ่มคนต่างตั้งคำถาม “ท่านคุริยามะกับท่านมิยาซากิอยู่ที่ไหน ทำไมเราไม่เห็นเลย”


 


“ฉันก็ไม่เห็นพวกเขาเหมือนกัน… สงสัยว่ายังอยู่ในห้องทำงาน ติดต่อก็ไม่ได้ พอกดกริ่งก็ไม่มีใครตอบรับเลย” ใครสักคนหนึ่งพูด ดูท่าแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะไม่ใช่ความลับสินะ


 


“อย่านินทาเจ้านายกันได้ไหมเจ้าพวกนี้! กลับไปประจำที่ซะ นี่เป็นเหตุฉุกเฉินระดับหนึ่งนะ!” ใครอีกคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัวแม้จะอยู่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน “ในเมื่อท่านคุริยามะไม่อยู่ ฉันจะจัดการแทนเอง!”


 


หลี่ว์ซู่เดินออกมาจากสถานการณ์ชุลมุนนั้น ความวุ่นวายในหมู่พวกทวยเทพน่าจะเกิดแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ พวกนั้นมีวินัยทหารสูงมากและไม่นานก็คงกลับเข้าไปประจำที่กันเรียบร้อยเหมือนเดิม หลี่ว์ซู่ต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่อย่างไวแล้ว


 


เขาเดินมาถึงประตูหลัก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณนั้นจ้องมองเขาอย่างเย็นชา ไม่แม้แต่จะขยับตัวเปิดทางให้


 


หลี่ว์ซู่ยื่นใบอนุมัติให้พวกการ์ดดู “ให้ฉันออกไป ท่านคุริยามะอนุญาตให้ฉันลาได้!”


 


“นี่เป็นเหตุฉุกเฉินระดับหนึ่ง ห้ามใครออกเด็ดขาด” เจ้าหน้าที่ตอบอย่างไร้อารมณ์


 


หลี่ว์ซู่มีลางสังหรณ์แปลกๆ “ใครเป็นคนประกาศเหตุฉุกเฉิน ฉันได้ใบอนุญาตนี้มาจากท่านคุริยามะเองเลยนะ”


 


“ท่านทาคาชิมะเป็นคนสั่ง!”


 


น่ารำคาญจริง เจอคุริยามะว่าว้าวซ่าแล้ว แต่เทียบไม่ได้เลยกับเจ้าทาคาชิมะ


 


ถ้าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึเป็นคนสั่งการห้ามคนในออกไปจริง หลี่ว์ซู่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ เห็นทีเขาต้องกำจัดเจ้าพวกนี้ออกไปให้พ้นทาง จิตสังหารของหลี่ว์ซู่แผ่ออกมา ในเมื่อข้างในกำลังโกลาหล เขาต้องฉวยโอกาสอันดีนี้หนีออกไป


 


แต่แล้วจู่ๆ ประตูหลักก็เปิดออก หลี่ว์ซู่เห็นทาคาชิมะสับขาเดินเข้ามาอย่างว่องไว “ปิดทางเข้าออกให้หมด ห้ามใครออกไปได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน! ปิดประตูเหล็กเดี๋ยวนี้!”


 


???


 


เฮ้ยพี่ชาย! กลับมาได้จังหวะอะไรแบบนี้ ถ้านายกลับมาแล้วฉันจะทำไงล่ะพวก ทีนี้จะเอาศิลาพวกนี้ออกไปได้ยังไง!


 


จากนั้นประตูเหล็กก็ปิดเสียงดังปังกันไม่ให้ใครออกไป เจ้าประตูเหล็กนี่สร้างมาเพื่อป้องกันการรุกรานจากภายนอก หลี่ว์ซู่ไม่คิดเลยว่าพวกทวยเทพจะได้ใช้ประโยชน์ไอ้ประตูได้ไวถึงเพียงนี้ ตอนนี้ไม่มีใครสะบัดตูดออกไปข้างนอกได้แล้วถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากทาคาชิมะ…


 


ทาคาชิมะมองมาที่หลี่ว์ซู่ “นายมาทำอะไรที่นี่”


 


“เอ่อ…ผมมาดูว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหมน่ะครับ” เขาตีเนียนตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ข้างในเจ็บปวดร้อนรุ่มเหลือเกินที่ไม่สามารถขนศิลากว่าเก้าหมื่นกว่าเม็ดนี่ออกไปไม่ได้ กลัดกลุ้มใจไปหมด


 


ทาคาชิมะไม่มีเวลามายุ่งกับหลี่ว์ซู่ เขากระโจนไปบนกำแพงปราการแล้วมองดูสถานการณ์จากข้างบน


 


หลี่ว์ซู่ไม่กล้าหนีออกไปผ่านกำแพงนี่แล้ว ตอนนี้ทาคาชิมะเป็นคนควบคุมที่นี่ เขากลัวว่าทาคาชิมะจะเปลี่ยนเป้ามาเป็นเขาแทนที่จะไปสนใจศัตรูที่มาบุกรุก


 


เขากลับเข้าไปข้างในป้อมปราการแล้วจัดแจงกำลังคนระดับ C ไปต่อสู้ ในขณะที่กองทัพกำลังระดมพลเตรียมต่อสู้ หลี่ว์ซู่ก็ได้ยินทาคาชิมะพูดว่า “กลุ่มเทพเจ้า! เราจะปล่อยสถานการณ์ให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ หากไม่สู้จนรอด เราทวยเทพก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”


 


“ข้าขอปฏิญาณ หากไม่สู้จนรอด เราทวยเทพก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”


 


“ข้าขอปฏิญาณ หากไม่สู้จนรอด เราทวยเทพก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”


 


หลี่ว์ซู่เหลือบมอง เดี๋ยวนะ! กลุ่มเทพเจ้างั้นเหรอ กลุ่มนี้มันสังกัดที่คอรัลเคยอยู่มาก่อนไม่ใช่เหรอ หลังจากหลี่ว์ซู่มาที่กลุ่มทวยเทพ ข้อมูลที่เขาได้มาก็มีแค่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทวยเทพเท่านั้น ส่วนข้อมูลของกลุ่มเทพเจ้า… เนี่ยถิงไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ว์ซู่กับคอรัล


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมคอรัลถึงอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่ กลุ่มเทพเจ้าน่าจะอยู่ไกลจากกลุ่มทวยเทพไม่ใช่เหรอ คงไม่ใช่เพราะเหตุผลส่วนตัวหรอกใช่ไหม ถึงแม้หลี่ว์ซู่จะยืนยันเรื่องนี้ยังไม่ได้ แต่เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วรางๆ ไม่มีทางที่กลุ่มเทพเจ้ากับกลุ่มทวยเทพจะเกี่ยวข้องกันได้เพราะระยะทางห่างกันขนาดนั้น หากเธอกลับมาโจมตีที่นี่จริงละก็ ก็คงไม่มีสาเหตุอื่นแล้วนอกจากมาเพื่อล้างแค้นให้เขา…


 


ภายในใจหลี่ว์ซู่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน นอกจากเสี่ยวอวี๋แล้วยังมีคนอื่นที่ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเขาอยู่อีกด้วย


 


เรื่องนี้ตราตรึงใจเขาจนหลี่ว์ซู่จนพูดไม่ออก แต่เธอก็มาได้ช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มดีจริงๆ เลย…


 


หลี่ว์ซู่ไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ตอนนี้ เขาครุ่นคิดพักหนึ่งก็แล้วก็ตะโกนออกไปพร้อมกับกลุ่มคนที่อยู่แถวนั้น “ข้าขอปฏิญาณ หากไม่สู้จนรอด เราทวยเทพก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”


 


แต่แล้วผู้คนก็หยุดตะโกน ไอ้คติพจน์นี่มันมีไว้ปลุกใจนี่นา ถ้ามัวแต่ตะโกนต่อไปแล้วเคลื่อนพลเตรียมรับการต่อสู้ได้ยังไง แต่กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็ยังตะโกนต่อไป…


 


ในที่สุดก็มีระดับ C คนหนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป “พอได้แล้ว! หยุดแหกปากได้แล้วโว้ย!”


 


หลี่ว์ซู่ชะงักแล้วมองไปที่เขา “นายไม่เต็มใจสู้จนรอด ถ้าไม่รอดก็ขอพินาศไปกับกลุ่มทวยเทพงั้นเหรอ!”


 


“… ฉันสัญญาว่าจะสู้จนรอด ถ้าไม่รอดก็ขอพินาศไปกับกลุ่มทวยเทพ”


 


[ได้แต้มจากคาวาโนะ ทาโร่ +666!]


 


หลี่ว์ซู่ถาม “มีกำลังคนเท่าไหร่ที่มาจากกลุ่มเทพเจ้า”


 


คนระดับ C งุนงง “น่าจะมีแค่ผู้นำหญิงคนใหม่กับอัศวินเหล็กยักษ์อีกสอง”


 


หลี่ว์ซู่แทบกระอักเลือด อะไรเนี่ย! มีกันอยู่สามหน่อเองเหรอ?!


 


เขาไม่นับรวมอัศวินพวกนี้เป็นคนอยู่แล้ว พวกนี้มันก็แค่อัศวินหุ่นเชิดของกลุ่มเทพเจ้าเท่านั้น พวกมันแทบไม่ปริปาก งั้นก็มีแค่คอรัลคนเดียวน่ะสิที่มาจากกลุ่มเทพเจ้า


 


สำหรับคอรัลแล้ว เธอบุกมาด้วยความไม่พอใจส่วนตัวเอง ถึงแม้กลุ่มเทพเจ้าจะยกย่องเธอเป็นผู้นำของเหล่าเทพเจ้าด้วยเชื้อสายโอดินที่เธอสืบทอดมา แต่เธอก็ไม่อยากลากพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเสียสละตนเองอย่างไร้ความหมายในครั้งนี้ เพราะตราบใดที่ย่างเท้าเข้ามาในสมรภูมิรบก็ย่อมมีการนองเลือดเกิดขึ้น


 


ยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุที่กลุ่มเทพเจ้าเคารพยกยอคอรัลก็ไม่ได้มีแค่เรื่องที่เธอปะทุพลังจากการสืบสายเลือดจากโอดินหรอก แต่เพราะในบรรดากลุ่มเทพเจ้ามีผู้มีพลังระดับ B ไม่มากนักในกลุ่ม พวกเขาไม่แน่ใจว่าคอรัลเป็นคนเดียวที่ปะทุสายเลือดแห่งโอดินหรือเปล่า ยังมีใครคนอื่นที่ทำแบบนี้ได้อยู่อีกไหม


 


ถึงแม้ว่าคอรัลจะมีหอกวิเศษกุงเนียร์ [1] ที่หลังคอ พวกเขาก็ยังไม่ปักใจเชื่ออยู่ดี


 


แต่ในระหว่างที่ในใจยังเต็มไปด้วยความลังเลไม่แน่นอนนี้ จู่ๆ อัศวินหุ่นเชิดสองตัวที่พวกเขามองว่าเป็นเพียงของตั้งประดับก็ดันถวายความเคารพกับคอรัล พวกมันติดตามเธอไปไหนต่อไหนประหนึ่งมือซ้ายมือขวา


 


ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเจ้าอัศวินหุ่นเชิดสองตัวนี้ได้ตกเป็นของของเธอแล้วโดยสิ้นเชิง และไม่มีใครสามารถใช้พวกมันได้นอกจากคอรัล


 


ความจงรักภักดีของอัศวินสองตัวนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้กลุ่มเทพเจ้าปรองดองรวมกันได้ ทุกคนเข้าใจกันดีว่าหากผู้นำแห่งเทพเจ้าที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ต้องปฏิญาณตนเคารพคอรัลในฐานะสมาชิกกลุ่มเทพเจ้า


 


ถ้าเพียงแต่หลี่ว์ซู่ได้แต้มอารมณ์จากคอรัล เขาก็จะเห็นว่าชื่อของคอรัลนั้นเปลี่ยนไป กลายเป็น ‘คอรัล โอดิน จอห์นสัน’ แล้ว


 


สรุปสั้นๆ ว่ากลุ่มเทพเจ้านั้นดีกว่ากลุ่มทวยเทพเป็นไหนๆ ไม่มีการทะเลาะถกเถียงกันใดๆ หลังได้ตัวผู้นำองค์กร ทว่าสิ่งที่สร้างปัญหาให้เหล่าสมาชิกนั้นคือการที่ผู้นำของพวกเขาตรอมใจอย่างหนักหลังจากผู้มีพลังจากเครือข่ายฟ้าดินตายไป ทุกวันนี้เธอแทบไม่กินอะไรเลยด้วยซ้ำ


 


พวกเขาคิดว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว หากโอดินอดอาหารตาย กลุ่มเทพเจ้าจะทำยังไงต่อล่ะ! นี่เธอเล่นอะไรอยู่กันแน่


 


ดังนั้นจึงมีคนไปเตือนคอรัล “ท่านต้องทานอะไรบ้างนะครับ จะได้ไต่ระดับขึ้นไปสู่ระดับ A แล้วล้างแค้นให้กับเขาได้”


 


และในวันต่อมา คนที่เข้าไปบอกคอรัลคงอยากตบหน้าตัวเองสักร้อยที เพราะอยู่ๆ คอรัลก็หายตัวไปจากกลุ่ม โดยไม่มีใครรู้เลยว่าเธอหายไปทำอะไร!


 


 


——


 


[1] เป็นหอกประจำตัวของเทพเจ้าโอดินราชาแห่งเหล่าทวยเทพ ชื่อ ‘กุงเนียร์’ มีความหมายว่า ‘เจ้าแห่งการกวัดแกว่ง’ ความสามารถของมันคือ เมื่อผู้ใช้ได้ปาหอกไปยังเป้าหมายมันจะไม่มีทางพลาดเป้าเพราะมันจะตามเป้าหมายไปจนกว่าจะเข้าเป้า


516 คุริยามะรับความผิด

 


คอรัลสู้ประจันหน้ากับกองทัพของคิตามุระด้วยอาวุธครบครันท่ามกลางกองทัพกว่าพันคนด้วยความไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น


 


ค้อนกุงเนียร์ในมือคอรัลเก็บสะสมพลังไว้แต่เธอยังไม่ได้ปล่อยพลังออกไป อสนีบาตถูกฟาดฟันออกไปโดนผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่ไม่สามารถตั้งตัวหลบได้ทันจนร่างกายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!


 


นักรบสองคนเดินเข้ามาในพื้นที่ว่าง แต่ไม่เห็นวี่แววของคิตามุระ


 


ส่วนทาคาชิมะยืนอยู่บนกำแพงรอบๆ และมองลงมาที่อัศวินระดับ B สองคนข้างล่าง เด็กหญิงผมสีบลอนด์เงินแพลตตินัมที่นั่งอยู่บนไหล่ของอัศวินมองขึ้นมาที่ทาคาชิมะอย่างเย็นชา


 


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ทาคาชิมะก็เข้าใจว่าคิตามุระคงตายไปแล้วในสนามรบ ถึงแม้ว่าอัศวินพวกนี้จะรูปร่างใหญ่โตเทอะทะ แต่ความแข็งแกร่งของมันนั้นเทียบเท่ากับผู้มีพลังระดับ B เลยทีเดียว เรียกได้ว่าแข็งแกร่งน่ายำเกรงมาก


 


พวกมันดูจะใช้แค่อาวุธโจมตีเท่านั้น พวกมันฟาดฟันดาบออกไปที่ศัตรูอย่างไร้ความเมตตา การใช้แค่อาวุธเพียงอย่างเดียวดูน่าจะจัดการได้ไม่ยาก


 


แต่ถึงอย่างนั้นตราบใดที่พวกผู้บำเพ็ญอยู่ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ความเร็วของพวกเขาก็จะตกลงไปสามสิบเปอร์เซ็นต์หากไม่มีพลังจิตวิญญาณเป็นเกราะกำบังร่าง


 


ทาคาชิมะไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับสิ่งนี้อยู่แล้ว แต่เขาจะจัดการพวกมันสามคนได้ด้วยตัวคนเดียวได้ยังไง พลังของเขายังอยู่แค่ระดับ B ชั้นกลางเท่านั้น!


 


แต่ปัญหาหลักเลยคือกลุ่มทวยเทพกับกลุ่มเทพเจ้าไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน แล้วถึงแม้จะมีก็เถอะ มันก็ไม่น่าถึงกับต้องตรากตรำเดินทางเอาเป็นเอาตายมาเพื่อรบรากับพวกเขาขนาดนี้


 


เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมพวกเทพเจ้าถึงมุ่งเป้ามาที่กลุ่มทวยเทพ และดูเหมือนว่าพวกเขาเตรียมใจที่จะสู้จนตัวตายเลยด้วย!


 


สีหน้าของทาคาชิมะเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เขาเปิดป้อมปราการแห่งนี้ก็เพื่อจะใช้มันเพื่อการทำพิธีกรรมช่วยเลื่อนสู่ระดับ A ได้เร็วๆ ซึ่งจะช่วยให้เขาจัดการกับการแทรกแซงภายในและการโจมตีจากภายนอกได้ด้วย


 


คิตามุระนั้นเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ตอนที่โนกิวะ ทาเกะโนบุยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาสามคนยังคอยตรวจสอบและรักษาสมดุลระหว่างกันได้ แต่เมื่อโนกิวะ ทาเกะโนบุตายไป ปมระหว่างพวกเขาสองคนที่เหลือก็เริ่มแย่ลง อย่างที่เขาว่าว่าเสือสองตัวไม่สามารถอยู่ในถ้ำเดียวกันได้ จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งยึดครองอำนาจไปอย่างเด็ดขาด


 


ผู้มีระดับ A สองคนจากเครือข่ายฟ้าดินทำให้ทาคาชิมะกดดันเป็นอย่างมาก หากเนี่ยถิงแห่มาโจมตีด้วยอีกคน แล้วจะรับมือยังไงไหว


 


ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นจริง ทาคาชิมะก็คงต้องยอมเสี่ยง เขาต้องจับตัวพวกที่ต่อต้านแนวคิดเขาแลพวกที่เป็นกลางไม่ยอมลงข้างใคร ทั้งข้างเขาหรือข้างคิตามุระไปไว้ในป้อมปราการและรอให้พวกมันบูชายัญตัวเอง


 


แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่พออยู่ดี!


 


ทาคาชิมะเริ่มเครียดหนัก เขาสั่งการให้ลูกน้องไปจับผู้บำเพ็ญลับที่แฝงตัวมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่น่าจะทันการ


 


เขาหันไปมองกองทัพที่เตรียมพร้อมเข้าสู่สนามรบ แล้วดวงตาของเขาก็หม่นลง ทาคาชิมะรู้ว่ากองกำลังเพียงเท่านี้ไม่สามารถต้านศัตรูได้หรอก มีทางเดียวเท่านั้นที่จะปกป้องทวยเทพได้ นั่นคือเขาต้องเลื่อนขั้นเป็นระดับ A!


 


ทาคาชิมะเดินเข้าไปในป้อมปราการ เขาสั่งการไปยังลูกน้องคนสนิทว่า “แบ่งคนกลุ่มหนึ่งไปเอานักโทษทั้งหมดขึ้นมาที่ป้อม แล้วก็อีกกลุ่มไปเตรียมการจัดพิธีบูชายัญในป้อมนี้ให้เรียบร้อย”


 


ของที่จะต้องใช้ในพิธีบูชายัญถูกตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พื้นที่ชั้นล่างสุดของฐานใต้ดินเป็นสถานที่ทำพิธีกรรมลับนี้ กระนั้นเขาก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้พาคนไปที่นั่นเลยสักครั้ง


 


ความขุ่นข้องใจก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ในใจของทาคาชิมะ หากพวกศัตรูโจมตีช้ากว่านี้สักสองวัน พิธีกรรมก็คงสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว!


 


“ไปเตรียมศิลาวิญญาณมาด้วย พิธีกรรมจะได้เสร็จสมบูรณ์สักที” ทาคาชิมะสั่งการ


 


ลูกน้องของทาคาชิมะต่างเป็นชนชั้นสูงในกองทัพ ในกลุ่มกองกำลังร้อยคน มีระดับ C มากกว่าสิบคน บอกได้เลยว่าทาคาชิมะนั้นทุ่มเททรัพยากรลงทุนไปกับพวกเขามากจริงๆ ในแต่ละเดือนพวกเขาใช้ศิลาวิญญาณมากถึงสามสิบเม็ด


 


ลูกน้องคนสนิทที่สุดของทาคาชิมะสั่งการต่อให้คนไปเปิดโกดังหมายเลข 19 หมายเลข 17 และหมายเลข 15 มีศิลาในโกดังหมายเลข 17 กับ 15 ไม่มากนัก ทาคาชิมะอยากล่อราชันฟ้ามา เพราะฉะนั้นศิลาวิญญาณกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์จึงถูกเก็บไว้ที่โกดังหมายเลข 19


 


ศิลาวิญญาณในโกดังหมายเลข 17 และ 15 ถูกถูกลำเลียงออกมา หลี่ว์ซู่มองขึ้นไปบนฟ้าแล้วคิดว่า นี่เขาจะถูกจับได้รวดเร็วขนาดนี้เลยเหรอ…


 


ตามแผนที่วางไว้ตอนแรก เขากะจะให้พวกทวยเทพรู้ตัวว่าศิลาหายไปตอนเขาออกจากที่นี่ไปแล้ว แต่เขาไม่คิดเลยว่าพวกมันจะรู้ตัวกันก่อนที่เขาจะออกไปเสียอีก


 


หลี่ว์ชู่ตัดสินใจคว้าตัวผู้บำเพ็ญที่รูปร่างคล้ายๆ เขาออกมาจากกลุ่มระดับ E ร้อยยี่สิบคน “นายอยากเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าป่ะ ถ้าอยากก็ตามมานี่ ฉันมีอะไรจะพูดด้วย”


 


ผู้บำเพ็ญคนนั้นงงตึ้บ ในสถานการณ์โกลาหลแบบนี้ทำให้ยากที่จะมีปากมีเสียงอะไรอยู่แล้ว พอได้ยินว่ามีโอกาสจะได้เลื่อนขั้น ก็คงต้องติดตามหัวหน้าไปก่อนแล้วล่ะ เรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยคิด


 


หลี่ว์ซู่พยายามพูดเกลี้ยกล่อมผู้บำเพ็ญคนนั้นขณะที่ลากเขาไปยังในมุมลับตาคน แล้วในที่สุดหลี่ว์ซู่บีบคอกำจัดเขาทิ้งแล้วเอาร่างไร้วิญญาณของผู้บำเพ็ญคนนั้นยัดเข้าไปในตราแผ่นดิน จากนั้นก็ปล่อยให้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ทำลายหลักฐาน เขารีบเปลี่ยนเสือผ้าแล้วเดินกลับไป


 


พวกลูกกระจ๊อกที่ไปขนศิลาในโกดังหมายเลข 19 ร้องลั่น “กล่องพวกนี้ว่างเปล่าหมดเลยครับ! ศิลาวิญญาณหายไป! หายไปทั้งหมดเก้าหมื่นสองพันเม็ดเลยครับ!”


 


[ได้แต้มจากทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ +999]


 


[ได้แต้มจาก..]


 


หลี่ว์ซู่หันไปรอบๆ พอเห็นว่ายังไม่มีใครสงสัยท่าทีของเขา เขาเลยตะโกนผสมโรงไป “ศิลาวิญญาณจะหายไปได้ยังไง! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย! ฉันไม่รู้เรื่องเลย นายรู้ไหมว่ามันเกินอะไร…”


 


“ศิลาเก้าหมื่นสองพันเม็ดต้องถูกขโมยไปแน่! น่ากลัวจริงๆ!”


 


เสียงอึกทึกเริ่มดังขึ้นเหมือนทะเลเดือดพล่าน หลี่ว์ซู่ได้แต้มอารมณ์เรื่อยๆ เหมือนคลื่นที่สาดซัดเข้ามา


 


หลี่ว์ซู่เล่นละครเนียนไปกับทุกคน แต่ในใจเขานั้นสุดระริกระรี้ ทุกคนน่ารักอะไรแบบนี้ แต้มอารมณ์ที่ได้มาเยอะมากจริงๆ น่าจะพอเอาไปปจุดประกายดวงดาวดวงที่เจ็ดแล้ว!


 


ทาคาชิมะไปที่โกดังหมายเลข 19 ด้วยความไม่เชื่อ พวกกล่องไม้ที่วางไว้อยู่หน้าโกดังถูกระเบิดออกให้พ้นทาง ในโกดังว่างเปล่าไม่เหลืออะไร เขาโกรธจนตชักดาบคาตานะออกมาจากเอวแล้วฟันไปที่ผู้บำเพ็ญที่อยู่ข้างๆ จนขาดออกเป็นสองท่อน “ใครหน้าไหนมันเอาไป!!!”


 


แต่จู่ๆ เขาก็นึกออกอีกอย่าง ทาคาชิมะโกรธจนเลือดขึ้นตา” คุริยามะกับมิยาซากิไปอยู่ที่ไหน”


 


ผู้คนต่างตกตะลึง จริงด้วย สองคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบโกดังเก็บของนี่ ทำไมถึงไม่โผล่หน้ามาให้เห็นในเวลาแบบนี้กัน


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกประหลาดนิดหน่อย พวกเขาลำเลียงศิลาวิญญาณออกมา แต่หลี่ว์ซู่ขโมยมันไปหมดแล้ว ตอนนี้ในกลุ่มกำลังตามหา ‘คนผิด’ อยู่ แล้ว ‘คนผิด’ ที่ว่าก็ถูกเขากำจัดไปเรียบร้อยแล้ว…


 


ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะปลอมตัวเป็นอีกคน แต่ก็อดกลัวไม่ได้ว่าความลับของเขาจะถูกเปิดเผย…


 


เสียงหนึ่งดังขึ้นมาด้วยความสงสัย “อย่าบอกนะว่าคุริยามะกับมิยาซากิเป็นคนร้ายขโมยศิลาไป”


 


ข้อสงสัยนี้ดูใกล้ความจริงมาก ไม่อย่างนั้นคุริยามะกับมิยาซากิจะหายไปไหนล่ะ


 


ทุกคนกำลังตั้งข้อสงสัยและดูสับสนกันอย่างมาก แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็ตะโกนขึ้นมาอีกรอบ “ต้องเป็นคุริยามะกับมิยาซากิแน่นอนเลยที่ขโมยศิลาไป!”


 


ผู้คนที่อยู่รอบๆ เอ่ยเสริม “ใช่! ต้องเป็นสองคนนั่นแน่!”


 


แล้วแต้มอารณ์ระลอกใหม่ก็เด้งเข้ามาไม่หยุด!


517  เช็คเงินสดจากใต้ทะเล

 


ในตอนนั้นเองที่หลี่ว์ซู่จึงตระหนักได้ว่าศิลาวิญญาณจำนวนมากนั้นอาจจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำพิธีกรรมของทาคาชิมะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้แต้มอารมณ์มากถึง 999…


 


วีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหลี่ว์ซู่ในญี่ปุ่นก็เห็นทีว่าจะเป็นการฉกศิลาไปนี่แหละ!


 


ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ ที่ต้องบอกลาตัวตนกำมะลอของเขา แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างเหมาะเจาะพอดิบพอดีเสียเหลือเกิน…


 


เขาเปล่าจิ๊กศิลาไปเพื่อตัวเองเสียหน่อย ที่ทำไปก็เพราะต้องการป้องกันไม่ให้ศัตรูเลื่อนขั้นเป็นระดับ A เพื่อปกป้องเครือข่ายฟ้าดินต่างหาก ถือเป็นความดีความชอบไหม เป็นอยู่แล้ว!


 


อย่างที่ว่ากัน พอไม่ได้คาดหวัง ผลก็ดันออกมาดี


 


ทาคาชิมะตัดสินใจแล้ว ในตอนแรก ศิลาวิญญาณมีไว้เพื่อใช้ในการบูชายัญแลกกับการลดจำนวนชีวิตที่ต้องสูญเสียไป ทว่าท้ายที่สุดแล้ว กำลังคนในกลุ่มทวยเทพก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกัน


 


แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว ทาคาชิมะรู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่ขนาดไหน กลุ่มทวยเทพต้องพินาศแน่หากเขาไม่เลื่อนขั้นเป็นระดับ A โดยเร็ว


 


เขาส่งสายตาไปเพื่อบอกเป็นสัญญาณกับลูกน้องคนสนิททั้งหลาย สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งด้วยรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น พวกเขายอมสวามิภักดิ์ทำงานให้กับทาคาชิมะมานานจนเสียสติ


 


เหล่าลูกน้องแบ่งกลุ่มออกเป็นสิบกลุ่ม แต่ละกลุ่มนำโดยผู้บำเพ็ญระดับ C พวกเขาเดินเข้าไปในฝูงชน มีสมาชิกทวยเทพในป้อมปราการคอยห้อมล้อมไว้ราวกับใยแมงมุมยักษ์ขนาดใหญ่ จนกระทั่งลูกน้องคนหนึ่งในกลุ่มเชือดกลุ่มคนปกติทิ้ง


 


แล้วทันใดนั้น ความสะพรึงกลัวและเสียงกรีดร้องปกคลุมไปทั้งพื้นที่ เหล่าคนพวกนี้ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าจะถูกสังหารอย่างรวดเร็วแบบนี้


 


เบื้องหน้าของกลุ่มผู้บำเพ็ญคือคนธรรมดาที่ไร้ทางสู้ และในเวลาสั้นๆ เลือดก็กระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วพื้น ความเกลียดชังเข้าแทรกซึมในใจของหลี่ว์ซู่ กลุ่มทวยเทพกล้าดียังไงถึงฆ่าคนตามใจชอบขนาดนี้!


 


สมาชิกทวยเทพคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความสับสน เสียงของพวกเขาค่อยๆ เงียบไปขณะมองดูการสังหารหมู่ จากนั้นกลุ่มลูกน้องคนสนิทของทาคาชิมะก็ร่างอักษรวิญญาณลงกับพื้นแล้วลากซากศพไปรอบๆ ประหนึ่งพู่กันเขียนอักษร


 


คาถานี้จะต้องให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มทวยเทพอยู่ด้านใน ไม่ยกเว้นใครใดๆ ทั้งสิ้น!


 


กล้ามเนื้อของหลี่ว์ซู่กระตุก ทาคาชิมะ ทาอิรัตสึเป็นบ้าไปแล้วหรือไง นี่มันกะจะฆ่าคนมากขนาดนี้เลยเรอะ! แถมยังเป็นกำลังคนของตัวเองอีกต่างหาก


 


ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งในกลุ่มทวยเทพกลัวจนตัวแข็ง “อะไรเนี่ย…”


 


พวกเขาเตรียมพิธีบูชายัญซึ่งมีจุดประสงค์สองอย่าง อย่างแรกคือพวกเขาต้องการจะเพิ่มพลังด้วยการแลกด้วยชีวิตคนเหมือนที่โบราณสถานเป่ยหมัง หรืออย่างที่สอง พวกเขาอาจต้องการเสียสละอนาคตในการฝึกฝนเพื่อแลกกับการเพิ่มพลังในช่วงระยะเวลาสั้นๆ


 


อย่างไรก็ตามพวกเขาดูจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า


 


เหล่าลูกน้องคนสนิทของทาคาชิมะลากสินค้าออกมาจากโกดังหมายเลข 17 และ 15 แล้ววางมันลงบริเวณที่มีการร่างอักษรทำพิธี ทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวนที่เห็นเหล่าลูกน้องทั้งหลายสั่งให้ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ จัดแจงศิลาวิญญาณตามที่บอก ภาพตรงหน้าดูราวกับพวกผู้บำเพ็ญถูกสั่งให้หั่นขิงหั่นข่าและสุดท้ายให้โยนตัวเองลงหม้อไปต้มยำกับผักอย่างไรอย่างนั้น


 


ไม่มีใครรู้ว่าทาคาชิมะต้องการอะไร แต่พวกเขาก็ทำตามโดยไร้ข้อกังขา


 


นี่มันบ้าไปแล้ว! หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจตรรกะของคนพวกนี้เลยจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงตรงหน้าเขาเองก็เถอะ


 


ทุกอย่างบ้าบอไปหมด หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนเรื่องเหนือจริง


 


เสียงหนึ่งร้องขึ้นถาม “ท่านทาคาชิมะครับ ท่านวางแผนที่จะบูชายัญพวกเราทุกคนหรือเปล่าครับ”


 


พอสิ้นเสียงเท่านั้น เขาก็ถูกลูกน้องคนสนิทสับร่างออกเป็นสองท่อน เลือดของเขาไหลออกมาเป็นน้ำหมึกให้กับการเขียนอักษรวิญญาณ


 


จากนั้น ‘สินค้า’ ที่ถูกเก็บไว้ใต้ฐานก็ถูกยกขึ้นมา มันมีจำนวนมากเป็นร้อยๆ สินค้าทั้งหมดถูกฉีดยาเข้าไปเพื่อไม่ให้เคลื่อนไหวได้


 


ทาคาชิมะประกาศกร้าว “พวกเราเหล่าทวยเทพกำลังเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งมาก ในช่วงเวลาที่ครอบครัวของเรากำลังจะถูกทำลาย กลุ่มทวยเทพของเราต้องตายอย่างสมศักดิ์ศรี ดีกว่าตายไปแบบขายขี้หน้า ถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าจะช่วยเสียสละเพื่อกลุ่มทวยเทพของเรา”


 


“ตายอย่างสมศักดิ์ศรี!”


 


“ตายอย่างสมศักดิ์ศรี!”


 


“ข้าขอปฏิญาณ หากไม่สู้จนรอด เราทวยเทพก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”


 


“ข้าขอปฏิญาณ หากไม่สู้จนรอด เราทวยเทพก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”


 


ดวงตาของคนพวกนี้เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง แต่ก็ยังมีคนกลุ่มน้อยที่ออกตัววิ่งไปยังประตู “ฉันจะไม่ยอมเสียสละชีวิตตัวเองหรอกโว้ย!”


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกโล่งใจไปแวบหนึ่งที่ได้เห็นเกาะที่แสนจะสะอาดสอ้านท่ามกลางหนองน้ำเน่าสกปรก เขาเข้าใจเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติหรือองค์กรนะ แต่ต้องไม่ใช่การเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อทาคาชิมะคนเดียวนี่


 


ก็ยังดีที่ในบรรดาทวยเทพยังมีคนสติดีอยู่


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้วิ่งตามคนพวกนั้นไปด้วย พวกที่วิ่งไปที่ประตูถูกลูกน้องทาคาชิมะฆ่าตายเรียบ ส่วนคนอื่นๆ ก็มองด้วยสายตาเรียบเฉย


 


พอฆ่าเสร็จ คนอื่นๆ ก็กลับไปเตรียมพิธีต่อภายใต้การควบคุมของลูกน้องทาคาชิมะ พวกเขาทำตามแบบแผนทุกขั้นตอน พอเห็นคนพวกนี้เรียงศิลากว่าหมื่นเม็ดก็รู้สึกน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก


 


ในขณะนั้นหลี่ว์ซู่ก็หยิบศิลาที่คนข้างหน้าวางไว้ขึ้นมา ไม่มีใครสังเกตว่าเขาทำอะไร…


 


เขาไม่ยอมหยุดอยู่แค่ตรงนี้ที่เดียว แต่ไปตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้าง ฉกศิลาเหมือนผึ้งงาน…


 


เอ๋ มีศิลาตรงนี้แฮะ อ๊ะ ตรงนู้นมีอีกเม็ด…


 


พอคนอื่นหันกลับไปก็ต้องงงไปตามๆ กันว่าศิลาที่พวกเขาวางไว้หายไปไหน


 


[ได้แต้มจากจากอาซาโนะ คัตสึฮิโตะ +199]


 


[ได้แต้มจาก…]


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังสนุกสนานอยู่นั้น หนึ่งในลูกน้องคนสนิทของทาคาชิมะก็ตะโกนขึ้นมา “ดูรอบๆ ตัวให้ดีด้วย ถ้าเห็นใครขโมยศิลาวิญญาณให้รายงานทันที!”


 


หลี่ว์ซู่อดเสียดายไม่ได้ เขาเกือบได้โอกาสจิ๊กศิลาหลักหมื่นเชียวนะ!


 


พวกลูกน้องต่างค้นตัวทุกคนดูเพื่อหาว่าใครขโมยศิลาไป พอพวกนั้นมาถึงตัวหลี่ว์ซู่ก็ไม่พบอะไรในกระเป๋าของเขา ในมือมีเพียงแค่ศิลาวิญญาณห้าเม็ดที่เขาเพิ่งได้รับมาเท่านั้น หลี่ว์ซู่กู่ร้องออกไปด้วยความมุ่งมั่น “ตายอย่างสมศักดิ์ศรี!”


 


เสียงตะโกนของเขาทำให้ลูกน้องพวกนั้นสะดุ้ง “กลับไปทำงาน!”


 


ที่จริงแล้วหลี่ว์ซู่กำลังคิดว่าเขาจะทำลายพิธีนี่อย่างไรดี ก่อนอื่นเขาต้องหาวิธีทำให้ตัวเองปลอดภัย แล้วจากนั้นเขาคงจะไม่ปล่อยให้ทาคาชิมะเลื่อนระดับเป็นระดับ A ได้ เพราะคอรัลคงจะเสี่ยงอันตรายอย่างมาก


 


หลี่ว์ซู่จะไม่สนใจเลยถ้าคนคนนั้นเป็นใครจากไหนก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งหว่างกลุ่มทวยเทพและกลุ่มเทพเจ้าในครั้งนี้


 


เขาจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่ถ้าคอรัลจะยอมตายเพราะเขา


 


ในเมื่อเธอปฏิบัติกับเขาด้วยความจริงใจ เขาก็จะปฏิบัติกับเธอแบบเดียวกัน นี่คือหลักการในการใช้ชีวิตของหลี่ว์ซู่


 


นอกจากนั้นเขายังต้องไปเคลียร์กับเธอเรื่องข่าวปลอมที่ว่าเขาตายแล้วด้วย แล้วก็จะได้บอกเธอว่าเช็คเงินสดที่สัญญาว่าจะเซ็นให้เขา เขายังอยู่ใช้ได้นะ…


518 ไม่เคยเสียใจที่เกิดมาเป็นคนจีน

 


การเตรียมพิธีใกล้เสร็จสิ้นแล้ว หลายคนนั่งขัดสมาธิอยู่ในท่าเตรียม มองดูแล้วเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โบราณสถานเป่ยหมังเป๊ะๆ


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว แบบนี้ทาคาชิมะต้องเลื่อนเป็นระดับ A แน่!


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งประจำที่ ทันใดนั้นหยดเลือดก็ไหลออกมาจากดวงตาของทาคาชิมะ น้ำตาโลหิตที่ไหลอาบแก้มนั้นราวกับปลุกรอยเลือดบนพื้นและเชื่อมต่อกับน้ำตา


 


ทันใดนั้นเอง เลือดบนพื้นก็ลอยขึ้นเป็นสายอยู่ในวงเวทคาถา จากนั้นก็ลอยไปห่อหุ้มตัวของพวกผู้บำเพ็ญ ส่วนกลุ่มลูกน้องคนสนิทของทาคาชิมะก็คอยยืนกำกับอยู่รอบนอกวงเวท


 


“ขอให้พระเจ้าคุ้มครองทุกคนเมื่อไปสวรรค์” ทาคาชิมะเอ่ยขึ้นขณะหลับตา


 


พิธีกรรมได้เริ่มขึ้นแล้ว เหยื่อบูชายัญรอความตายกันอย่างเงียบสงบ


 


“เดี๋ยวก่อนครับ!” หลี่ว์ซู่ยกแขนขึ้นมาทันที “พอดีผมอยากเข้าห้องน้ำ!”


 


กลุ่มลูกน้องของทาคาชิมะต่างตกใจกันยกใหญ่ ไอ้บ้านี่มันคิดอะไรอยู่!


 


[ได้แต้มจากทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ +999!]


 


[ได้แต้มจาก…]


 


ทาคาชิมะลืมตาขึ้นทันที เขาจ้องไปที่หลี่ว์ซู่อย่างอำมหิต ด้วยเหตุนี้พิธีกรรมเลยต้องหยุดตามไปด้วย ถ้าลูกน้องของทาคาชิมะไม่กลัวพิธีกรรมแล้วละก็ หลี่ว์ซู่คงโดนพวกเขาส่งไปปรโลกแล้ว!


 


แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงปะทะดังสนั่นมาจากนอกกำแพง ทาคาชิมะรู้ว่าเวลาใกล้จะหมดลงแล้ว!


 


และในเวลานี้เอง น้ำเสียงชายแก่ก็ดังขึ้นจากภายนอก “ท่านไปจากที่นี่เถิด หากท่านยังยืนยันจะฆ่าพวกเราแล้วละก็ เราจะขอปฏิญาณปกป้องครอบครัวของเราไว้จากพวกที่มารุกรานเรา”


 


ทาคาชิมะคลายความกังวลลง เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่ากลุ่มพวกอนุรักษนิยมจะปรากฏตัวมาช่วยปราบศัตรูได้ทันเวลาแบบนี้ แม้จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมือง แต่กองกำลังที่เหลือก็ไม่ยอมนิ่งดูดายให้พวกศัตรูมาย่ำยีแผ่นดินของพวกเขา


 


แม้กลุ่มอนุรักษนิยมและกลุ่มชาตินิยมจะมีจุดขัดแย้งกันเรื่องนโยบายการต่างประเทศ แต่ทั้งสองกลุ่มก็มีเจตจำนงที่ต้องการจะปกป้องแผ่นดินของตนเหมือนกันทั้งคู่


 


นี่เป็นสาเหตุที่เนี่ยถิงไม่เคยเอ่ยปากให้หลี่ว์ซู่ไปตีสนิทกับพวกอนุรักษนิยมเลยสักครั้ง


 


นี่เป็นโอกาสของเขาแล้ว ทาคาชิมะรู้ว่ากลุ่มที่อยู่ข้างนอกน่าจะซื้อเวลาให้เขาได้สักหน่อย!


 


ทันใดนั้นสายโลหิตก็ลอยขึ้นมาโอบล้อมตัวหลี่ว์ซู่ แถมดูเหมือนว่าจำนวนสายที่รัดตัวเขาจะมากกว่าคนอื่นๆ หลายเท่าเลยด้วย!


 


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็ทำให้ทุกคนตาแตก เพราะร่างของหลี่ว์ซู่มีมังกรสีทองพวยพุ่งออกมา หลี่ว์ซู่แอบรู้สึกว่าเขาควบคุมธารน้ำในร่างมังกรได้ดียิ่งขึ้นหลังจากดูดกลืนอาวุธวิญญาณเข้าไป เหมือนกับนกฟีนิกส์เพลิงของฮาเวิร์ดไม่มีผิด!


 


ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่ขึ้นไปยืนตัวตรงบนหัวของมังกรแล้วใช้ธารน้ำทำลายเส้นสายโลหิตนั่น!


 


เขามองลงไปข้างล่างอย่างผู้เหนือกว่า หลี่ว์ซู่รอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ทันการเพราะวงเวทคาถาเริ่มทำงานแล้ว


 


ในขณะเดียวกัน พลังจากพวกผู้บำเพ็ญก็ได้ไหลเข้าร่างทาคาชิมะมาแล้วในบางส่วน


 


หลี่ว์ซู่สัมผัสได้ถึงพลังที่แกร่งกล้าขึ้นของทาคาชิมะ ทาคาชิมะใกล้จะไต่ระดับขึ้นไปยังจุดสูงสุดของระดับ B แล้ว!


 


หลี่ว์ซู่พุ่งตัวเข้าไปที่วงเวทคาถา มีพลังน้ำคอยเป็นเกราะกำบังไม่ให้เขาบาดเจ็บ หลี่ว์ซู่จึงสามารถเดินในนั้นได้อย่างไม่สะทกสะท้าน!


 


และทันใดนั้นเส้นสายโลหิตบนพื้นก็รวมกันเป็นมังกรโลหิตแล้วหมุนวนพุ่งเป้าไปที่หลี่ว์ซู่ พวกลูกน้องของทาคาชิมะเองก็ก้าวเข้าไปในวงเวทพิธีด้วยเพื่อจะเอาชีวิตเขา!


 


มังกรโลหิตกระจายออกเป็นสี่ตัวล้อมรอบตัวหลี่ว์ซู่ ถึงแม้ว่าเขาจะป้องกันตัวถึงที่สุดแล้วแต่ก็ยังถูกโจมตีจากมังกรตัวโลหิตตัวหนึ่งอยู่ดี


 


เลือดสดๆ ไหลลงคอของหลี่ว์ซู่ เขาถอยมาตั้งหลัก ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า หลี่ว์ซู่ไม่สามารถรับมือกับมังกรโลหิตและพวกผู้บำเพ็ญระดับ C สิบกว่าคนพร้อมกันได้ เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาไม่สามาถสามารถทำลายวงแหวนพิธีกรรมนี้ได้ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดที่เขามีก็ตาม


 


แสงจ้าสีแดงและทองสาดไปทั่ววงพิธีกรรมข้างล่างนั่น หลี่ว์ซู่เพิ่งสังเกตว่าทาคาชิมะถูกตรึงเข้ากับพิธีบูชายัญขั้นแรกเรียบร้อยแล้ว!


 


นอกทะเลแห่งพลัง จู่ๆ ก็มีมีดสั้นสองอันพุ่งเข้าไปที่ภูเขาหิมะลูกหนึ่งที่กำลังจะถล่มลงมา หลี่ว์ซู่รู้ดีว่ามีดสั้นของตนนั้นไม่น่าจะทำอะไรทาคาชิมะได้ในสถานการณ์ตอนนี้ที่เส้นสายโลหิตห้อมล้อมตัวเขาอยู่ หลี่ว์ซู่ต้องคิดหาทางให้ออก


 


วันเวลาที่ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักจะต้องผลิดอกออกผลบ้างล่ะ


 


เคยมีบรรพบุรุษเก่าแก่จากหอเกียรติกระบี่กล่าวไว้ว่า ทะเลแห่งพลังนั้นคาดเดาไม่ได้เหมือนมหาสมุทร และยิ่งใหญ่กว่าภูเขาหิมะ เมื่อจิตใจอันแรงกล้าได้รวมกับกระบี่เป็นหนึ่งเดียวแล้ว มันจะลอยขึ้นไปสูงขึ้นบนยอดภูเขา เสียดฟ้าไปถึงชั้นเมฆ ในสมัยนั้น ผู้ที่สามารถฝึกฝนกระบี่ไปจนถึงจุดนั้นได้ก็จะสามารถถล่มภูเขาหิมะได้ หลี่ว์ซู่แทบรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว


 


ขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่นั้นทำได้แค่พยายามทำลายวงเวทบูชายัญนี้ด้วยพลังของเขาทั้งหมดพร้อมกับคอยหลบพวกมังกรโลหิตไปด้วยในเวลาเดียวกัน มีดสั้นของเขากำลังพยายามทำลายภูเขาอยู่ แต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเขาช่วยพาร่างของเขาไปตามจุดต่างๆ ของพิธีกรรม ทว่ายังไม่สามารถต่อกรอะไรกับมังกรโลหิตพวกนั้นได้อยู่ดี ดูเหมือนว่าถ้าเขาพลาดเพียงครั้งเดียวเขาอาจตายไปเลยก็ได้


 


หลี่ว์ซู่พยายามเล็งการโจมตีไปที่ทาคาชิมะ แต่ทาคาชิมะมีมังกรโลหิตพวกนั้นล้อมรอบพร้อมกับพวกผู้บำเพ็ญระดับ C อีกสิบคนนั่น!


 


ใครมันจะสู้กับศัตรูทั้งหมดนี่พร้อมกันไหว!


 


แต่ทันใดนั้นลูกน้องคนสนิทของทาคาชิมะก็ฟันดาบคาตานะของเขาไปที่ลูกน้องคนข้างๆ ทุกคนจ้องมองอย่างตกตะลึง!


 


ผู้บำเพ็ญระดับ C คนหนึ่งยืนอยู่ระหว่างแมลงเม่าลี่ว์ซู่กับคนที่เหลือนั้นอยู่ข้างนอกวงเวทพิธีกรรม พลังของเขาอยู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้หลี่ว์ซู่นึกไปถึงครั้งหนึ่งมีที่ผู้ปะทุพลังระดับ D ยอมสละอนาคตตัวเองเพื่อจะฆ่าอาชญากรระดับ D ในคืนต่อมา


 


เลือดข้นๆ ไหลออกมาจากร่างระดับ C คนนั้น แต่ท่าทางของเขาก็ยังสงบนิ่งราวกับมหาสมุทรลึก


 


หลังจากนั้นเขาก็หันมายิ้มให้หลี่ว์ซู่ “เดี๋ยวฉันจัดการพวกมันเอง นายไปจัดการอย่างอื่นให้เสร็จเถอะนะ”


 


พอสิ้นประโยค ผู้บำเพ็ญระดับ C คนนั้นก็พุ่งไปฆ่าลูกน้องคนอื่นๆ ด้วยดาบคาตานะของเขา! วินาทีนั้น ร่างของเขาดูแข็งแกร่งมั่นคงเหมือนภูเขา ราวว่าเขาเป็นดวงอาทิตย์ที่ลอยที่สาดส่องความอบอุ่นให้กับทั้งโลก


 


เขาหัวเราะ “ฉันคิดถึงบะหมี่หมูสับที่บ้านเกิดมากเลย นานแล้วนะ…ที่ฉันจากบ้านมา ฉันไม่เคยเสียใจเลยที่เกิดมาเป็นคนจีน หวังว่าชาติหน้าเราจะเกิดมาเป็นฝ่ายเดียวกันอีกนะ!”


 


ทันใดนั้นก็มีรอยแตกที่ผนังด้านนอกเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงดังก้อง พลังภายในที่ก่อตัวในร่างกายของเขาหยุดอยู่ในจุดที่สูงเกือบถึงระดับ B เขารู้แล้วว่านี่เกินกว่าที่ร่างกายของเขาจะรับได้ เพราะเขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะขึ้นเป็นระดับ C แต่แค่นั้นก็ทำให้เขาหืดขึ้นคอมากแล้ว


 


เขาเสือกดาบเข้าไปที่ลูกน้องคนอื่นๆ เหมือนกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ


 


เขาพยายามที่จะฆ่าทุกๆ คนโดยไม่สนว่าจะเกิดอันตรายอะไรกับเขาบ้าง


 


นี่คงเป็นเพราะเขารู้ตัวว่าเขาไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดที่จะอยู่ในสงครามนี้ไปจนถึงจุดจบ เพราะฉะนั้นเขาเลยต้องลงมือฆ่าให้มากที่สุดในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่


 


ไม่นานร่างของเขาก็ถูกดาบคาตานะสามเล่มเสียบเข้าที่เอว ต้นขา และลำตัวข้างขวาตามลำดับ แต่เขาก็เก็บอีกฝั่งไปแล้วถึงเก้าศพด้วยกัน


 


เขาใช้ดาบคาตานะพยุงร่างของตัวเองก่อนกระอักเลือดสดๆ ออกมาแล้วหัวเราะลั่น! “ฉันคือหลิวซิวจากเครือข่ายฟ้าดิน ใครกล้าก็ดาหน้าเข้ามาเลย!”


 


กระทั่งชายห้าคนที่เหลือก็ยังลังเลที่จะเข้าไปสู้กับเขา!


 


ร่างของหลิวซิวชุ่มโชกไปด้วยเลือด ทว่าจิตสังหารของเขายังคงแผ่ออกมา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่กลุ่มลูกน้องคนอื่นๆ แล้วเขาก็แค่นหัวเราะ “ฉันไม่น่าไปให้สัญญาบ้าๆ เลยว่าจะปกป้องพวกนายทั้งหมด คิดอะไรเกินตัวจริงๆ …”


 


หลิวซิวหลับตาลง แม้กระทั่งโมงยามที่ตัวเองสิ้นใจ เขาก็จากไปทั้งๆ ที่ยืนอยู่


519 จุดชี่ไห่จงเปิด!

 


ขณะที่หลี่ว์ซู่ต่อสู้อยู่กับมังกรโลหิตอยู่นั้น ภายในใจก็รู้สึกเงียบงัน เขาคาดเดาว่าในบรรดาคนเหล่านี้คงมีหลายคนที่เป็นสหายจากเครือข่ายฟ้าอยู่ ไม่คิดเลยว่าต้องมาจากลากันในเวลาที่เพิ่งพบกันไม่นานแบบนี้


 


เพราะแบบนี้เขาถึงรู้สึกประทับใจตอนที่กล่าวคำปฏิญาณให้สัตย์ว่าจะยึดมั่นในเจตจำนง!


 


เขารู้สึกว่าเขาติดอยู่ในสถานการณ์แปลกๆ ที่ยากจะอธิบาย พิธีกรรมเลือดนั่นได้เริ่มไปแล้ว เขารู้ตัวดีว่าคงหนีออกไปจากที่นี่ได้ยาก ทว่าในตอนนี้เขาสามารถสัมผัสถึงจุดชี่ไห่ได้แล้ว


 


ความรู้สึกผิดไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ความทรงจำตลอดสิบเจ็ดปีแล่นผ่านเข้ามาในหัวเขาเหมือนกับหน้าหนังสือที่ค่อยๆ เปิดไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายลมที่อบอุ่นในตอนบ่าย หากหนังสือเปิดไปจนถึงหน้าสุดท้าย มันคงมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า ‘จงมีชีวิตอยู่ต่อไป’


 


ในจังหวะที่ทาคาชิมะอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจะเลื่อนเป็นระดับ A หลี่ว์ซู่ก็ขี่มังกรสีทองพุ่งตรงไปที่ทาคาชิมะราวกับคนคลั่ง ในตอนนั้นมังกรโลหิตเกือบจะฆ่าหลี่ว์ซู่ได้อยู่แล้ว หอกก็ปรากฏขึ้นมาในมือของหลี่ว์ซู่ เขาใช้มันระเบิดมังกรประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่


 


หอกทั้งสิบสองพุ่งเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว หลี่ว์ซู่รู้ว่าตนอาจจะสู้กับทาคาชิมะในเวลานี้ไม่ได้ แต่เขาก็ต้องพยายามหยุดทาคาชิมะไม่ให้ก้าวสู่ระดับ A ให้ได้ ไม่อย่างนั้นหลิวซิวก็คงตายไปโดยไร้ความหมาย


 


ยิ่งไปกว่านั้นใครบอกกันล่ะว่าเขาจะตายแน่ๆ


 


ดวงตาของหลี่ว์ซู่แดงก่ำเต็ม ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง!


 


“ฉันยังอยาก…กลับไปเจอเสี่ยวอวี๋” หอกอันหนึ่งของหลี่ว์ซู่แตกไปเมื่อโจมตีมังกรโลหิตแต่ยังคงส่งเสียงคำรามดังก้อง แม้แต่ทาคาชิมะก็หน้าซีดลงไปเมื่อได้ยินเสียง


 


หลี่ว์ซู่คิดจะใช้หอกนี้เพื่อเปิดทางหนี


 


ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเขาพรั่งหรูออกมาราวกับมังกร ทาคาชิมะที่นั่งอยู่อย่างเงียบเชียบท่ามกลางเส้นสายโลหิตจากพิธีกรรมมองมาที่หลี่ว์ซู่อย่างเ**้ยมเกรียม “คิดว่าจะทำอะไรฉันได้เหรอ รอให้พิธีนี้เสร็จสิ้นก่อนเถอะ จากนั้นก็เป็นเวลาตายของแกแล้ว”


 


เส้นสายโลหิตหมุนวนราวกับด้าย แล้วทันใดนั้นมันก็ถักทอโอบล้อมตัวของทาคาชิมะเหมือนกับดักแด้ยักษ์ และเมื่อมังกรทองปะทะเข้ากับดักแด้โลหิต กระบี่ซือโก่วที่ยู่ในร่างมังกรทองก็ปรากฏออกพร้อมเสียงกู่ร้องดังสนั่น!


 


หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าเขาเปิดจุดชี่ไห่ไม่ทันแล้ว คงได้แต่ยอมแพ้กับแผนการนี้ เขาต้องโจมตีด้วยพลังทั้งหมดที่มีเพื่อแหวกดักแด้โลหิตนี่ให้เปิดออกให้ได้ แต่แล้วเขาก็นึกออกว่าทาคาชิมะต้องถูกตรึงให้อยู่กับที่ตลอดเวลาที่ทำพิธีนี่!


 


ทาคาชิมะไม่คาดคิดว่าการปะทะนี้จะนำไปสู่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น กระบี่ซือโก่วของหลี่ว์ซู่ฝ่าเข้าไปในดักแด้เลือดได้สำเร็จแล้วพุ่งไปยังทาคาชิมะ ทาคาชิมะยกมือขึ้นกันทันที มือของเขาที่ควรจะเป็นผิวเนื้อธรรมดาตอนนี้ถูกห่อหุ้มด้วยด้ายโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน มือหุ้มเลือดนั้นผลักซือโก่วให้กระเด็นออกไป


 


ทาคาชิมะอาการไม่สู้ดีนัก ดูเหมือนว่าเขาใช้พลังมากเกินไป เขาคว้าตัวลูกน้องสามคนที่ยืนอยู่ข้างวงเวทพิธีกรรมเข้ามาในการบูชายัญด้วยฝ่ามือที่หุ้มด้วยโลหิต


 


หลี่ว์ซู่ตะโกนกร้าว “ตายซะ!”


 


กระบี่ฝูฉื่อที่อยู่ในแผนภูมิดาราลอยออกมาพร้อมเสียงกึกก้อง มันปล่อยพลังระเบิดขนาดใหญ่ตรงกลางระหว่างทาคาชิมะกับหลี่ว์ซู่


 


ทาคาชิมะไม่คิดมาก่อนเลยว่าหลี่ว์ซู่จะมีไม้นี้ซ่อนอยู่ กระบี่บินนั่นมีสองเล่มงั้นหรือ! กระบี่บินจากเครือข่ายฟ้าไม่ได้มีเล่มเดียวงั้นรึ!


 


ถึงทาคาชิมะจะอยู่ห่างจากระดับ A อีกไม่ไกลแล้วแต่ก็ยังหลบฝูฉื่อแทบไม่ทัน ถ้าหลบไม่ทันเขาได้ปางตายแน่ๆ กระบี่ฝูฉื่อแฉลบสีข้างเขาเกือบเป็นแผลเล็กๆ มีเลือดไหล


 


ดักแด้โลหิตสั่นระริกไปตามการเคลื่อนไหวของทาคาชิมะ เส้นชัยของการเลื่อนระดับอยู่แค่เอื้อมแล้วแต่กลับถูกการจู่โจมของหลี่ว์ซู่ขัดขวางเอาไว้


 


“แกนี่มันรนหาที่ตายจริงๆ นะ!” ทาคาชิมะเดือดจัด พิธีกรรมของเขาถูกก่อกวนซ้ำในตอนที่เขากำลังจะเลื่อนจากระดับ B เป็นระดับ A!


 


ถึงจะใช้ศิลาวิญญาณและชีวิตคนไปตั้งมากมายแต่เขาก็ยังเลื่อนเป็นระดับ A ไม่ได้ คลื่นโลหิตขนาดมหึมาจากพิธีกรรมพุ่งตรงไปหาหลี่ว์ซู่ ตอนนี้สมาชิกกลุ่มทวยเทพที่อยู่ในวงเวทนั้นล้มตายไปหมดแล้ว


 


เขาหลบไม่ทันแน่ หลี่ว์ซู่ใช้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์และพลังชี่ไห่เป็นเกราะป้องกันตัวเอง เขาเอาแขนขึ้นมากันไว้เพื่อขัดขวางคลื่นพลังที่น่ากลัวนั่น


 


สาเหตุที่เขาพอจะต่อกรกับทาคาชิมะได้บ้างนั้นเป็นเพราะทาคาชิมะยังอยู่ในช่วงซึมซับพลังจากพิธีบูชายัญเพื่อเลื่อนระดับ ทว่าตอนนี้ทาคาชิมะหลุดออกมาจากบ่วงที่ตรึงเขาไว้ได้แล้วและไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น


 


หลี่ว์ซู่ถูกทุ่มลงไปกับพื้น เขารู้สึกว่ากะโหลกของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ เนื่องจากได้ยินเสียงกระดูกลั่นกรอบๆ อวัยวะภายในของเขาบอบช้ำและมีเลือดออก แม้กระทั่งรูปลักษณ์ภายนอกก็ยังกลับไปเป็นเหมือนเดิม เขามีพลังไม่พอที่จะคงสภาพอยู่ในร่างปลอมอีกต่อไป


 


หลี่ว์ซู่สังเกตเห็นว่าทาคาชิมะนั้นลอยอยู่ นี่หมายความว่าพลังของเขาขึ้นไปสู่ระดับ A เรียบร้อยแล้ว เขาเชื่อมพลังกับฟ้าดินสำเร็จ เป็นอิสระจากแรงโน้มถ่วงของโลก


 


หลี่ว์ซู่ขยับตัวไม่ได้ แต่เขาก็ยังแค่นหัวเราะจนกระอักเลือดออกมา “ระดับพลังของแกยังไม่ไปถึงจุดสูงสุดเลยนี่”


 


แม้หลี่ว์ซู่จะสัมผัสได้ว่าพลังของทาคาชิมะนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนที่โนกิวะ ทาเกะโนบุแข็งแกร่งที่สุดสามสิบเปอร์เซ็นต์ ทว่าเขาก็ยังห่างชั้นจากเนี่ยถิง เฉินไป่หลี่ และหลี่เสียนอีอีกหลายขุม


 


แม้หลี่ว์ซู่จะฆ่าทาคาชิมะไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็หยุดยั้งไม่ให้ทาคาชิมะเลื่อนระดับได้ง่ายๆ ด้วยกำลังของระดับ C ธารน้ำของเขาไหลกลับเข้าไปในตราแผ่นดิน กระบี่อีกสองเล่มก็ลอยกลับเข้าไปยังแผนภูมิดารา หลี่ว์ซู่รู้สึกผิด ดูท่าว่าเขาจะไม่ได้กลับไปหาเสี่ยวอวี๋อีกแล้ว…


 


ซือโก่วกับฝูฉื่อกลับไปลับคมที่จุดชี่ไห่ หลี่ว์ซู่ไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ แม้ความตายจะอยู่ตรงหน้าแต่เขาก็ยังเลือกที่จะพยายามจนถึงที่สุด


 


แต่ทันใดนั้น จู่ๆ กำแพงรอบข้างก็พังทลายลงด้วยเสียงกึกก้อง แล้วเด็กสาวผมสีบลอนด์แพลตตินัมก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางฝุ่นควันพร้อมอสนีบาตในมือ ภาพของเด็กสาวดูสง่างามแม้ใบหน้าของเธอจะเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและคราบเลือดก็ตามที


 


อัศวินหุ่นเชิดบาดเจ็บจากการรบราในสมรภูมิ พวกมันกลับเข้าสู่ตราบนหลังมือของเธอเพื่อฟื้นพลัง หลังจากลงมือเข่นฆ่าศัตรูมาอย่างยาวนาน เด็กสาวรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน


 


เธอยืนอยู่ข้างกำแพงในลักษณะไม่สู้ดีเท่าไหร่


 


ซากปรักหักพังข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยกองศพมากมาย


 


คอรัลมองไปยังเด็กหนุ่มตรงพื้นแล้วดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจทว่าแฝงไปด้วยความสุข “หลี่ว์ซู่…นั่นคุณเหรอ”


 


เสียงของเธอเจือไปด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ ยังมีแสงสว่างในความมืดให้เห็นอยู่!


 


หลี่ว์ซู่ตอบเธอพร้อมคลี่ยิ้มน่าเกลียด “…ฆ่าเจ้านั่นก่อนเถอะแล้วค่อยมารำลึกความหลังกัน”


 


อสนีบาตเกิดเป็นประกายสว่างจ้า ค้อนกุงเนียร์ส่งเสียงร้องแล้วปล่อยสายฟ้าออกไปทันที ทาคาชิมะที่กำลังลอยอยู่ตอบโต้โดยการเสกมังกรใหญ่สี่ตัวตรงเข้าไปหาค่อนกุงเนียร์


 


แต่เขาประเมินกุงเนียร์ต่ำเกินไป อาวุธของโอดิน ผู้นำเทพเจ้าปัดป้องออกไปง่ายๆ


 


กุงเนียร์ฉายแสงแสบตาในขณะที่พุ่งตัดผ่านมังกรโลหิตแต่ละตัว คอรัลสะสมพลังแล้วก็วิ่งเข้าไปอย่างบ้าบิ่น พื้นของป้อมปราการนี้ปริแตกออกใต้เท้าของเธอ เธอตามกุงเนียร์เข้าไปด้วยพลังอันเหนือชั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยสายฟ้า!


 


คอรัลตอนนี้น่ากลัวกว่าทาคาชิมะหลายเท่า เธอยินดีพุ่งหาความตายเพื่อหลี่ว์ซู่อย่างไม่กลัวเกรง


 


ทันใดนั้นเองก็มีเสียงกริ่งและเสียงกระบี่ดังขึ้นมาในรัศมีสามกิโลเมตรจากหลี่ว์ซู่ กระบี่ล่องหนในผนังเริ่มบิดเบี้ยวและกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง


 


กำแพงที่เคยเรียบตอนนี้มีรอยฟันมากมาย


 


ชิ้ง! จู่ๆ ใบหน้าของทาคาชิมะอยู่ๆ ก็ปรากฏคราบเลือดเป็นรอย ดูเหมือนว่ากระบี่ล่องหนนั้นจะแผลงฤทธิ์ฟาดฟันโดนทาคาชิมะแล้วล่ะ!


520 จิตวิญญาณแห่งกระบี่

 


เสียงนี้เป็นเสียงที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของพวกเต๋าจากหอเกียรติกระบี่ ตอนที่ปู่หลี่เสียนอีเลื่อนขั้นเป็นระดับ A เสียงพวกนี้ก็ทำลายล้างทุกอย่างในรัศมีสิบเมตรในเมืองลั่ว ปู่หลี่เสียนตอนนั้นจะต้องเก็บกระบี่ไว้ในที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันหายนะครั้งใหญ่ แต่ก็ยังกักเสียงพวกนั้นไม่ได้อยู่ดี


 


แต่คนอื่นนั้นเคยได้ยินเสียงนี้แผ่ออกไปในรัศมีสิบกิโลเมตรเท่านั้น ไม่เคยมีใครเห็นผู้ที่สามารถเปิดตาแห่งสวรรค์หลังจากเลื่อนขั้นเป็นระดับ B หลี่ว์ซู่อาจเป็นผู้บุกเบิกสิ่งนี้ เป็นคนแรกที่ทำได้ก็เป็นได้!


 


ถึงในอนาคตอาจจะมีคนระดับ B ที่สามารถเปิดตาแห่งสวรรค์ได้ แต่ไม่มีใครทำได้ก่อนหน้าหลี่ว์ซู่แน่นอน!


 


หลี่ว์ซู่พยายามที่จะควบคุมกระบี่ล่องหนบนฟ้านั่น แต่ทุกอย่างโกลาหลมากเกินไป ดูเหมือนว่าพอทะเลชี่ไห่แยกออกจากกันแล้ว โลกก็ดูจะปั่นป่วนตามไปด้วย


 


ภูเขาที่อยู่ด้านนอกของจุดชี่ไห่โค่นลงมากระทบพื้นน้ำเสียงดัง วิธีที่หลี่ว์ซู่กับปู่หลี่เสียนอีตั้งใจฝึกฝนได้ผลจริงๆ! ภูเขากำลังข่มสู้กับทะเลอยู่


 


ถ้าไม่มีภูเขานี่ล่ะก็ ทะเลพลังของหลี่ว์ซู่คงเปิดไปนานแล้ว!


 


แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าฉากที่เกิดขึ้นนี้ไม่เหมือนกับที่ปู่เสียนอีเคยบอกเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากทะเลเปิดออก เขายังจำได้ที่ปู่บอกได้ชัดเจน ทว่าหมู่เมฆที่ลอยอยู่และมหาสมุทรเหนือจุดชี่ไห่ไม่ได้ถูกดูดเข้าไปในหลุม แต่พวกมันกลับก่อตัวเป็นน้ำวนแทน!


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง น้ำวนพวกนี้กำลังหมุนวนรอบหลุมจุดชี่ไห่ และทำให้ทุกอย่างกลับหัวกลับหางไปหมด


 


ไม่! นี่ไม่ถูกต้อง! หลี่ว์ซู่รู้สึกได้เลยว่ากลุ่มเมฆและน่านน้ำพวกนี้ไม่อยากเข้าไปในจุดชี่ไห่ กลับกัน พวกมันอยากจะหลอมรวมกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อก่อเกิดฟ้าและดิน


 


เขารู้สึกรวดร้าวไปทั้งตัว เสื้อผ้าเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้


 


บางอย่างในตัวเขากำลังเปลี่ยนแปลงไป หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี เพราะคนที่จะเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ก่อนหน้าก็คงช่วยหลี่ว์ซู่ในสถานการณ์นี้ไม่ได้


 


สิ่งที่หลี่ว์ซู่ต้องทำในตอนนี้คือไม่เดินไปในเส้นเล็กขรุขระบนภูเขา ทางนั้นมีร่องรอยของผู้ที่เดินฝ่าไปแล้วมากมาย อย่างน้อยเขาก็รู้ทางไปล่ะ


 


แต่หลี่ว์ซู่ทำแบบนั้นไม่ได้ เขาจะสร้างประวัติศาสตร์แห่งผู้บำเพ็ญเต๋า จุดชี่ไห่ของเขาจะนำไปสู่การสร้างฟ้าดิน!


 


ในที่สุดหลี่ว์ซู่ก็มองเห็นภูเขาชี่ที่กำลังพังทลายลงมาด้านหนึ่ง เกิดเป็นรอยแตกเล็กๆ หลายจุด ทำให้เกิดเสียงเปรี๊ยะในหัวของหลี่ว์ซู่ เหมือนธารน้ำแข็งกำลังแตกออกจากกัน


 


ภูเขาชี่กำลังแยกตัวออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมเสียงดังสนั่น แล้วอยู่ๆ เขาก็เห็นเงาเล็กๆ สีขาวเด้งออกมาจากภูเขานั้น หลี่ว์ซู่งงไปหมด


 


เกิดอะไรขึ้นกันแน่! เขาตะลึงงัน ปู่เสียนอีไม่เคยบอกเลยว่าจะมีอะไรแบบนี้โผล่ออกมาหลังมันถล่ม!


 


นี่ทำลายความเชื่อเขาไปสิ้นซาก หลี่ว์ซู่ตกใจกลัวแทบตายตอนเงาสีขาวนี้กระเด้งออกมาแล้วตะโกนว่า “ปู่! ปู่!”


 


พี่น้องน้ำเต้างั้นเหรอ ใช่พวกนั้นรึเปล่า เจ้าตัวนิ่มบอกไว้ว่าไงก่อนตายนะ!


 


นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับหลี่ว์ซู่หลังจากที่เขาก้าวเดินบนเส้นทางแห่งผู้บำเพ็ญนั้นไม่ปกติเลยสักนิด…


 


เงาเล็กๆ พวกนั้นกระโดดดึ๋งๆ พลางหัวเราะและเล่นกัน จากนั้นพวกมันก็พุ่งเข้าไปในซือโก่ว และแล้วหลี่ว์ซู่ก็เข้าใจ เขาพอจะรู้แล้วว่าเจ้าเงาเล็กๆ นี่เกี่ยวข้องกับเขาและซือโก่ว!


 


หรือว่านี่จะเป็น…วิญญาณ แต่ไม่น่าจะใช่! พวกนี้เหมือนจิตวิญญาณกระบี่ที่สืบทอดพลังกระบี่และพลังของเขาโดยตรงมากกว่า!


 


แต่ทำไมถึงเกิดวิญญาณพวกนี้ขึ้นมาหลังจากที่ภูเขาพังทลายลงมาล่ะ ปู่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ


 


งั้นที่ปู่เคยแนะนำว่าให้ใช้ภูเขาชี่นี่เพื่อฝึกฝนทักษะเขาให้เก่งกล้าก็เป็นเรื่องผิดพลาดงั้นเหรอ ภูเขานี่ที่จริงแล้วมีไว้เพื่อใก้กำเนิดจิตวิญญาณกระบี่ชัดๆ!


 


นี่มันบ้าอะไรเนี่ย… เขายังจะเชื่อตาแก่นี่ได้อยู่ไหม…


 


อยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็ลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาสามารถควบคุมกระบี่ล่องหนนับร้อยนี้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เหมือนกับกระบี่พันเล่มของปู่เสียนอี แต่หลี่ว์ซู่ก็น่าจะใช้กระบี่พวกนี้เป็นไพ่ตายได้ แถมเขายังมีซือโก่วและฝูฉื่ออีกด้วย


 


ทาคาชิมะไม่รู้มาก่อนว่าเสียงแห่งเต๋าที่เกิดมาจากหลี่ว์ซู่นั้นมีรัศมีแค่สามกิโลเมตร แต่เขารู้ว่าจุดกำเนิดตาแห่งสวรรค์ จากการวิเคราะห์แล้ว เขาไม่คิดว่านี่จะเป็นผลงานของระดับ A


 


แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือเขาเพิ่งเลื่อนระดับ และตาแห่งสวรรค์ก็ยังก่อตัวไม่เสร็จดีเพราะโดนหลี่ว์ซู่ก่อกวนเข้าเสียก่อน เขาถูกหยุดไว้ที่ขอบของระดับ A ระดับพลังของเขาอยู่ที่ตรงกลางระหว่างจุดสูงสุดของระดับ B และระดับ A!


 


เขาโกรธจัด แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องนั้น เขาโล่งใจขึ้นเมื่อรู้ว่าตอนนี้หลี่ว์ซู่ยังไม่ใช่ระดับ A แต่แล้วค้อนกุงเนียร์ก็พุ่งตรงมาหาเขา!


 


ทาคาชิมะสะบัดดาบคาตานะสีดำในมือ เกิดเป็นคลื่นโลหิต ป้อมปราการถึงกับสั่นสะเทือนจนเกือบถล่มลงมา ร่างของหลี่ว์ซู่ที่ขยับไม่ได้จนกระเด็นเข้าไปในมุม “โอ๊ยๆๆ …”


 


คอรัลใจสลายเมื่อได้ยินหลี่ว์ซู่ร้องด้วยความเจ็บปวด เธอขว้างอสนีบาตไปทางทาคาชิมะด้วยพลังมหาศาล ในเวลาเดียวกัน ทาคาชิมะก็โต้ตอบกลับไปทางคอรัลด้วยด้านโลหิตถักทอรอบมือ!


 


ถึงแม้ระดับพลังของทาคาชิมะจะแค่หมิ่นเหม่อยู่ที่ขอบของระดับ A แต่ก็เรียกได้ว่าเข้ามายังระดับ A แล้ว แต่คอรัลนั้น แม้เธอจะปะทุสายเลือดเทพโอดิน ทว่าเธอก็ยังอยู่ที่ระดับ B ขั้นแรกเริ่มท่านั้น!


 


แค่ระดับ B คอรัลก็แทบสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงระดับ A เลย


 


คอรัลถูกโยนกระเด็นออกไป ผมสีบลอนด์แพลตตินัมยุ่งเหยิงไปหมด เธอกระอักเลือดสดๆ ออกมาขณะลอยคว้างอยู่ในอากาศ แม้อาการบาดเจ็บของเธอจะไม่สาหัสเท่าหลี่ว์ซู่ แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่นัก


 


ท่ามกลางความโกลาหล เสียงหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้นมา “ถ้าฉัน หลี่ว์ซู่คนนี้ไม่ลืมตาขึ้นมาบนโลกนี้ จิตวิญญาณกระบี่ก็คงมืดมิดหมือนค่ำคืนในฤดูหนาว!”


 


ทาคาชิมะหันกลับไปมอง คอรัลเองก็พยายามลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองทางหลี่ว์ซู่ด้วยความดีใจ ทว่า…พวกเขากลับพบหลี่ว์ซู่ที่ยังนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น ไม่สามารถขยับตัวได้…


 


แล้วจะหาซีนทำไมเนี่ย ลุกก็ลุกไม่ได้!


 


[ได้แต้มจากทาคาชิมะ ทาริอัตสึ +999!]


 


[ได้แต้มจากคอรัล โอดิน จอห์นสัน +99!]


 


ถึงแม้ว่ากะโหลกของหลี่ว์ซู่จะได้รับความเสียหายและไม่สามารถขยับตัวได้ แต่กระบี่ล่องหนทั้งหลายในป้อมปราการก็หมุนกลับมาและคืนสู่หลี่ว์ซู่ แล้วทันใดนั้นซือโก่วก็พุ่งออกมาจากแผนภูมิดารา


 


จิตวิญญาณกระบี่นับร้อยและซือโก่วรวมตัวกันเกิดเป็นน้ำวนแห่งจิตวิญญาณกระบี่แล้วเคลื่อนตัวสาดโถมไปทางทาคาชิมะ!


 


ด้วยความตกใจ ทาคาชิมะใช้เกราะกำบังเลือดป้องกันตัวจากน้ำวนนั่น แต่จิตวิญญาณกระบี่ก็ตัดผ่านเข้าไปในกำแพงโลหิตได้ราวกับเลื่อย!


 


จิตวิญญาณกระบี่จางหายไปพร้อมกับเกราะกำบังโลหิต


 


แล้วซือโก่วก็ถลาเข้าโจมตีทาคาชิมะต่อในทันใด ทาคาชิมะยื่นมือหุ้มโลหิตออกไปเพื่อจะคว้าซือโก่ว แต่ก็ถูกปัดออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน


 


ทาคาชิมะหัวเราะเสียงเย็น หากเป็นเช่นนี้ พวกแกสองคนก็ตายไปให้หมดพร้อมกับผู้บำเพ็ญของทวยเทพนี่แหละ


 


แต่ทันใดนั้นเองเงาเล็กสีขาวก็เด้งออกมาจากซือโก่วแล้วก่อตัวขึ้นมาใหม่จนเป็นร่างที่ดูคล้ายกับหลี่ว์ซู่


 


เพียะ! จากนั้นทุกอย่างก็เงียบงัน


 


หลี่ว์ซู่กับคอรัลงุนงง ทาคาชิมะงงยิ่งกว่า จิตวิญญาณกระบี่ลอยออกมาจากซือโก่วแล้วตบหน้าทาคาชิมะ…


 


หน้าทาคาชิมะถึงกับชาไปเลย แก้มของเขาขึ้นรอยมือเป็นปื้น เห็นชัดทุกห้านิ้ว…


 


หลี่ว์ซู่ตะลึง เขาไม่ได้สั่งให้มันทำแบบนั้นนะ ทำไมเจ้าจิตวิญญาณกระบี่นี่มัน…ชั้นต่ำแบบนี้เนี่ย!


 


[ได้แต้มจากทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ +1000!]


 


ทาคาชิมะไม่ทันระวังตัวและไม่คาดคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ซือโก่วจึงรีบฉวยโอกาสอันดีนี้จ้วงแทงเข้าไปที่ศีรษะของทาคาชิมะทันที!


 


[ได้แต้มจากทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ +1000!]


 


แล้วทาคาชิมะ ผู้นำกลุ่มทวยเทพที่อุตส่าห์ไต่เต้าขึ้นมาถึงขอบระดับ A ก็สิ้นใจตายลงด้วยประการนี้เอง!


521 อัตชีวประวัติของหลี่ว์ซู่

 


บอกตามตรง หลี่ว์ซู่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าจิตวิญญาณที่เพิ่งเกิดใหม่นี้จะซุกซนได้ถึงขนาดนี้ แม้แต่ทาคาชิมะเองก็ยังเดาแผนการอันแยบยลนี้ไม่ออก…


 


แต่จิตวิญญาณกระบี่น่าจะต้องดุดันกว่านี้ไม่ใช่เหรอ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมไปตบหน้าศัตรูแบบนั้นได้…


 


แต่ด้วยเหตุนี้ ทาคาชิมะเลยถูกเจ้าจิตวิญญาณทำให้ไขว้เขวไปแวบหนึ่งทำให้เขาพ่ายแพ้ในที่สุด นอกจากนี้พลังของทาคาชิมะเองก็ยังไม่กลับมาสมบูรณ์ดีด้วยหลังจากโดนคอรัลฟาดไป ยิ่งไปกว่านั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้ใช้ทักษะพลังกระบี่ของเขาโจมตีทะลวงเกราะกำบังโลหิตอย่างที่ทาคาชิมะคาดไม่ถึงด้วย


 


คราวนี้ทั้งหลี่ว์ซู่และคอรัลควรได้ความดีความชอบในการฆ่าทาคาชิมะ และในระหว่างการต่อสู้ หลี่ว์ซู่ยังได้ปลดปล่อยพลังอันน่าเหลือเชื่อที่เหนือกว่าผู้บำเพ็ญระดับ B ทั้งหลายขณะที่เปิดจุดชี่ไห่อีกต่างหาก


 


หลี่ว์ซู่มองดูจิตวิญญาณกระบี่ลอยกลับเข้าไปในซือโก่วหลังจากที่พวกมันตบหน้าทาคาชิมะได้สำเร็จ โอ้โห! ร้ายนักนะพวก…


 


แล้วจู่ๆ หัวใจของหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกหนักอึ้ง ดูเหมือนว่าท่วงท่าวิชากระบี่ของเขาจะไม่ได้ดำเนินไปตามที่หมายมั่น


 


คนอื่นๆ สามารถเรียกกระบี่นับหมื่นออกมาด้วยการอัญเชิญว่า ‘จงออกมา กระบี่ของข้า’ โอ้โห ปังปุริเย่สุดอะไรสุด แล้วตัวเขาล่ะ เขาควรอัญเชิญว่าไง… ‘ไปเลย! ไปตบมันให้หน้าหัน!’ แบบนี้เหรอ


 


ปังปิ๊นาศ!


 


จิตวิญญาณกระบี่มีขนาดประมาณสองฝ่ามือเท่านั้น หลี่ว์ซู่ต้องขอเวลาศึกษาก่อนว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่ดูจากรอยมือบนหน้าของทาคาชิมะแล้ว มือของเจ้าพวกนี้นี่แข็งแรงน่าดู…


 


เพราะขนาดทำให้ทาคาชิมะที่อยู่ในระดับ A ช็อกค้างไปได้แบบนั้น มือก็คงหนักจริงๆ น่ะแหละ


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าการมาญี่ปุ่นครั้งนี้ถือได้ว่าคุ้มค่าเหนื่อยจริงๆ ได้มาทั้งศิลาวิญญาณเกือบแสนเม็ด แถมพวกทวยเทพก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการสูญเสียพลังไปมากกว่าครึ่ง


 


พูดอีกอย่างก็คือพวกทวยเทพอาจจะต้องหลบฉากออกจากสายตาชาวโลกไปสักพักจนกว่าจะหาทางฟื้นขึ้นมาได้นั่นแหละ เรียกได้ว่าถูกถีบจากกลุ่มผู้บำเพ็ญระดับต้นๆ ตกกระป๋องกลายเป็นกลุ่มชั้นสองที่ไม่มีใครสนใจ


 


แม้กระทั่งกลุ่มชั้นสองก็อาจจะหลุดไปด้วยซ้ำถ้าไม่มีระดับ C เหลือรอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้


 


พูดคร่าวๆ ก็คือเนื่องจากพลังจิตวิญญาณได้ฟื้นฟูเพิ่มขึ้นในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา พวกทวยเทพจึงเร่งฝึกพลังเพื่อเลื่อนระดับกัน แต่ก็ยังมีผู้บำเพ็ญระดับ C ในทวยเทพเหลือรอดอยู่แค่ราวห้าหกคนได้ ถ้าหลี่ว์ซู่อยู่ในสภาพที่พร้อมเต็มร้อยก็น่าจะซัดพวกนั้นหมอบได้สบายๆ


 


แต่เอาจริงๆ แล้วกลุ่มทวยเทพนี่ก็แปลก ถ้าพวกเขาไม่พยายามต่อต้านเครือข่ายฟ้าดินตั้งแต่แรก โนกิวะ ทาเกะโนบุก็คงไม่ถูกฆ่าตายที่โบราณสถานเกาะช้างตอนนั้นหรอก


 


ในความเป็นจริง โนกิวะ ฮากุชุนจะต้องออกหมายจับหลี่ว์ซู่เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเข้ามาในญี่ปุ่นได้ หากเป็นเช่นนั้น คอรัลก็จะไม่มุ่งมั่นตั้งตาล้างแค้นให้กับหลี่ว์ซู่เช่นนี้ แล้วหลี่ว์ซู่ก็จะไม่ติดแหง็กอยู่ในป้อมปราการนี่ ถ้าเป็นแบบนั้น ป่านนี้หลี่ว์ซู่ก็คงกำลังว่ายน้ำข้ามประเทศกลับไปพร้อมกับศิลาวิญญาณแล้วละนะ…


 


แต่ที่สำคัญ คาดไม่ถึงเลยว่าหลี่ว์ซู่จะสามารถขัดขวางไม่ให้ทาคาชิมะเลื่อนเป็นระดับ A ได้สำเร็จ อีกทั้งเขายังสามารถเปิดจุดชี่ไห่ได้ด้วยแบบนี้


 


ตอนนี้จิตวิญญาณกระบี่ได้เข้าไปฟื้นฟูพลังในภูเขาข้างในตัวหลี่ว์ซู่แล้ว เขาใช้พลังกระบี่ไปนับร้อยในการต่อสู้ คงใช้เวลาราวสามวันกว่าจะฟื้นฟูพลังทั้งหมด


 


จิตวิญญาณกระบี่นี้ดูจะเป็นรูปลักษณ์ปกติของกระบี่หลังจากขุดภูเขามาหลายปี ขณะเดียวกัน กระบี่ต้นแบบในทะเลแห่งพลังก็คือขีดจำกัดที่เหนือกว่าพลังงานกระบี่ของเขา มันต้องใช้เวลาสักพักในการฟื้นฟูคลื่นพลังงานลูกใหม่จากกระบี่หลังจากที่ใช้อันเก่าไปหมดแล้ว


 


พูดอีกอย่างก็คือมีกระบี่ต้นแบบอยู่นับร้อยในจุดชี่ไห่ ด้วยเหตุนี้ความสามารถสูงสุดของพลังกระบรี่นี้ก็จะอยู่ที่ราวๆ ร้อยครั้ง


 


ยิ่งมีกระบี่ต้นแบบมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ภูเขาถล่มลงมาได้มากเท่านั้น ที่เขาได้กระบี่ต้นแบบมาน้อยแม้ว่าภูเขาจะถล่มลงมาเป็นลูกก็ตาม นั่นก็เพราะเขาขาดการฝึกซ้อมไปเยอะ ดูอย่างภูเขาของปู่เสียนอีสิ สูงกว่าของหลี่ว์ซู่อย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว


 


ยิ่งไปกว่านั้น ปู่เสียนอีคิดอยากจะขุดภูเขาจากจุดไหนก็ขุด แต่หลี่ว์ซู่เป็นพวกที่เลือกขุดจากด้านเดียวเท่านั้น พวกเขามีจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน…


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่ามันเข้าใจได้อยู่ดีละนะ ผู้ใช้กระบี่น่ะไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็นับได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดในโลกผู้บำเพ็ญหากพลังกระบี่ของพวกเขาไม่มีที่สิ้นสุด หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะแทบไม่มีจุดอ่อนเลย


 


ในทางกลับกัน หลี่ว์ซู่ไม่แน่ใจว่าตัวเขานั้นอยู่ในระดับ B แล้วหรือยัง ถ้าพูดกันจริงๆ แล้วก็อาจจะใช่ ทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาเทียบได้กับคนระดับ B แต่จุดอ่อนเดียวของเขาอยู่ที่พลังการโจมตีและความหลากหลายของเทคนิคการต่อสู้เท่านั้น


 


แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อเขามีพลังกระบี่ร้อยเล่มแล้วแบบนี้ เขาก็สามารถต่อกรกับผู้บำเพ็ญระดับ B คนไหนก็ได้ในโลกนี้แล้ว


 


แต่ก็แน่ล่ะว่ามันยิ่งจะดีขึ้นไปอีกถ้าเขาจุดประกายกลุ่มดาวกลุ่มที่สามได้ ถ้าทำได้ ทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาคงพัฒนาขึ้นพรวดๆ


 


แต่แล้ว…เขาก็ได้เรียนรู้ความจริงอันน่ากลัวบางอย่าง….


 


ภูเขาพลังของเขานั้นหายไปหมดแล้ว! หายหมดเกลี้ยง!


 


แล้วเขาจะเพิ่มกระบี่ต้นแบบได้ยังไงล่ะถ้าไม่มีภูเขาเหลือเลยสักนิด!


 


หลี่ว์ซู่สงสัยอีกอย่างหนึ่ง ถ้าในภูเขาหนึ่งลูกมีจิตวิญญาณกระบี่อยู่หนึ่งตน ผู้สืบทอดที่แท้จริงของหอเกียรติกระบี่ก็จะครอบครองจิตวิญญาณกระบี่ได้แค่หนึ่งตนเท่านั้น แต่นั่นมันไม่พอสำหรับหลี่ว์ซู่


 


เขาไม่รู้ว่าภูเขาจะปรากฏขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ ถ้าสมมุติว่ามันเกิดขึ้นมาใหม่จริงๆ พอภูเขาที่ว่าพลังทลายลง มันจะมีจิตวิญญาณกระบี่สิงสถิตอยู่ไหมนะ


 


คงน่าสนใจไม่น้อยถ้ามีจริงๆ พอหลี่ว์ซู่แก่ตัวไป เขาจะได้เขียนอัตชีวประวัติของตัวเองขึ้นมาแล้วตั้งชื่อว่า ‘หลี่ว์ซู่กับคนแคระทั้งเจ็ด’ … ฟังดูไม่เลวแฮะ…


 


ตอนนี้หอเกียรติกระบี่คงจะเป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือน้อยที่สุดในความคิดของหลี่ว์ซู่แล้วล่ะ…


 


ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกสลดใจกับความสูญเสียอย่างมหาศาลของกลุ่มทวยเทพ มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะล้มตายเพราะการบูชายัญของทาคาชิมะหรือจากความโกรธเกรี้ยวของคอรัลก็ตาม พวกเขามัวแต่ยุ่งกับการต่อสู้และพิธีกรรมจนไม่ได้เพิ่มแต้มอารมณ์ให้หลี่ว์ซู่เลย


 


ยิ่งไปกว่านั้น คอรัลเองก็กลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของกลุ่มทวยเทพแทนที่หลี่ว์ซู่แล้ว เธอทั้งฆ่าคิตามุระ คิจิโทริ และยังทำลายบ้านใหญ่ของกลุ่มทวยเทพ นี่ทำให้พวกเขาเดือดยิ่งกว่าการเขียนสัญลักษณ์แปลกๆ หรือการฆ่าฮากุชุนและฮิโรโนะอย่างไม่ต้องสงสัย…


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดที่แต้มอารมณ์จำนวนมากหายไปเปล่าๆ เขายังต้องการค่าอารมณ์มหาศาลอีกตั้ง 2,700,000 แต้มเพื่อจุดประกายกลุ่มดาวที่สาม


 


ในขณะนั้น หลี่ว์ซู่ยังไม่สามารถขยับตัวได้ พลังของทาคาชิมะเพิ่มขึ้นมหาศาลจากการบูชายัญจริงๆ พอปะทะกัน เขาเลยเจ็บหนักขนาดนี้


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกเป็นกังวล ถ้าหากการบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้เขาพิการล่ะ เขาเหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้บำเพ็ญในประเทศญี่ปุ่น พวกเขาคงกำลังจะจัดวางกองกำลังอยู่ พอถึงตอนนั้น ถึงแม้ว่าจุดชี่ไห่ของเขาจะเปิด แต่เขาก็คงไม่สามารถรับมือกับพวกผู้บำเพ็ญระดับต่ำเป็นกองทัพได้ในสภาพนี้แน่นอน เขาต้องหาที่หลบซ่อนเพื่อพักฟื้นแล้ว


 


ต้องมาตายกลางวงล้อมพวกทวยเทพแบบนี้ เขาไม่เอาด้วยหรอก!


522 พาหลิวซิวกลับบ้าน

 


หลี่ว์ซู่หันไปมองคอรัลที่ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก ดวงหน้าละเอียดลออของเธอตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น มีคราบเลือดเกรอะกรังไปตามตัว


 


แต่ไม่ว่าจะรู้สึกเจ็บมากขนาดไหน เธอก็ยังพยายามขยับเข้ามาหาหลี่ว์ซู่เพื่อทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ เขา คอรัลอิงหัวลงซบกับหน้าอกของหลี่ว์ซู่ ผมสีบลอนด์สว่างของเธอแผ่สยายทั่วหน้าอกของเขา เธอเอ่ยพึมพำ “ขอบคุณสวรรค์ นายยังไม่ตาย”


 


บัดนี้เทพสังหารคอรัลเป็นเพียงเด็กหญิงผู้บอบบางเท่านั้น เธอพูดต่อ “ฉันเขียนจดหมายถึงนายตลอดทางกลับบ้านเลย คิดว่าจะส่งหาตอนถึงบ้านแล้ว แล้วก็แทบใจสลายตอนได้ยินข่าวของนาย โชคดีที่ฉันมาที่นี่แล้วได้เห็นว่านายไม่เป็นไร…


 


“ตอนแรกพวกนั้นก็ไม่ยอมให้ฉันมาหรอก แต่ฉันอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าไม่ล้างแค้นให้นย


 


“ตอนนี้ฉันเป็นหัวหน้าของกลุ่มเทพเจ้าแล้วนะ ขนาดพ่อเองก็ยังควบคุมฉันไม่ได้…”


 


คอรัลพรั่งพรูคำพูดออกมาในคราวเดียว เธอไม่ได้จะคาดคั้นว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงแสร้งทำเป็นตายไปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เธอต้องการคือการที่หลี่ว์ซู่ปลอดภัยก็เท่านั้น


 


หลี่ว์ซู่สูดหายใจเข้าลึก “ทับหน้าอกกันแบบนี้ ฉันก็เจ็บนะเนี่ย…”


 


[ได้แต้มจากคอรัล โอดิน จอห์นสัน +79!]


 


ตอนนี้กระดูกของหลี่ว์ซู่แตกหักไปหมด แถมอวัยวะภายในและกล้ามเนื้อเองก็เกิดเป็นแผลฉกรรจ์ เจ็บแทบตายตอนที่คอรัลเอาหน้ามาทับหน้าอกเขา…


 


บรรยากาศโรแมนติกสลายหายไปในพริบตาทันที หลี่ว์ซู่ทำเสียเรื่องเก่งอยู่แล้ว


 


ทว่าคอรัลไม่ได้ให้แต้มอารมณ์เขามากนัก เธอพยายามยันตัวขึ้นแล้วพูดกับหลี่ว์ซู่ “งั้นฉันรีบจะส่งเช็คเงินสดให้นายหลังฉันกลับไปแล้ว”


 


หลี่ว์ซู่นิ่งไปสองวิก่อนจะตอบว่า “เอ้อ จริงๆ มันก็ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้วล่ะ…”


 


คอรัลหัวเราะเบาๆ ใบหน้าของเธอเลอะเทอะไปหมด คนที่ไม่รู้จักเธอคงนึกไม่ถึงว่าเธอเป็นถึงหัวหน้าของกลุ่มเทพเจ้า


 


จากนั้นคอรัลก็ค่อยๆ ฝืนยืนขึ้น เธอกัดฟันแล้วแบกหลี่ว์ซู่ขึ้นหลัง ตัวของเธอสูงถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรก็จริง แต่ตอนที่แบกหลี่ว์ซู่ขึ้นก็ยังดูทุลักทุเลอยู่ดี


 


หลี่ว์ซู่ชะงักไป “เธอแน่ใจนะ ปล่อยฉันลงก็ได้ คือฉันไม่ได้จะปฏิเสธน้ำใจอะไรหรอก แต่เธอเพิ่งบาดเจ็บมา กลัวว่าจะแบกฉันไม่ไหว”


 


หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้ฟื้นฟูร่างกายได้เร็วๆ หรือว่าจะออกไปสู้กับพวกกลุ่มทวยเทพที่เหลือให้มันจบๆ ไป เขาคาดไม่ถึงเลยว่าคอรัลจะแบกเขาออกไปทั้งๆ คอรัลก็อาการหนักพอๆ กันกับเขา


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดเมื่อเห็นเธอพยายามเดินไปข้างหน้าด้วยความยากลำบาก แต่ขณะเดียวกันเขารู้สึกมั่นใจขึ้นมาเธอคนนี้เป็นคนที่เขาไว้ใจได้


 


โลกนี้นั้นเป็นสถานที่ที่หนาวเหน็บและสิ้นหวัง เพราะฉะนั้นความไว้ใจและการพึ่งพากันและกันระหว่างเขากับเสี่ยวอวี๋จึงล้ำค่ามาก


 


ทว่าในเวลานี้ เขาไม่นึกเลยว่าจะมีคนอื่นที่พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเขาจากก้นบึ้งของหัวใจโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง ไม่สนว่าต้องเสียอะไรไปเท่าไหร่


 


หลี่ว์ซู่คาดไม่ถึงเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับเขา


 


คอรัลเลี่ยงไม่ตอบคำถามหลี่ว์ซู่ เธอขบกรามแน่นแล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ และในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรหรอก ฉันเจ็บน้อยกว่านายเยอะ”


 


หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก หลี่ว์ซู่รู้ว่าคงจะยากถ้าจะไปขัดความตั้งใจของเธอ แต่แล้วเขาก็เอ่ยขอเธออีกครั้ง “หยุดเถอะ ขอร้องล่ะ ฉันรู้ว่าฉันขอมากไป แต่พาฉันกลับไปหาเขาทีได้ไหม”


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดมาก เขารู้ว่าบาดแผลของคอรัลแย่จนเธอแทบเดินไม่ได้ แต่เขาต้องทำอะไรบางอย่างให้ลุล่วงก่อนจากไป


 


คอรัลมองกลับไปจากทางที่เธอเดินมา เธอเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งยืนค้ำอยู่กับดาบคาตานะ มีแผลสามแผลที่ถูกดาบคาตานะแทง แต่ท่าทางเขาดูแข็งแกร่งน่าเกรงขามอยู่ทั้งที่เสียชีวิตไปแล้วท่ามกลางซากศพรอบกาย


 


คอรัลไม่สามารถปฏิเสธได้อีก เธอพร้อมจะทำทุกอย่างตามที่หลี่ว์ซู่เห็นสมควร แต่ด้วยความสงสัย เธอจึงถามออกไป “นั่นใครเหรอ”


 


หลี่ว์ซู่ยิ้ม “คงจะเป็น…สหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่น่ะ ภาษาจีนเรียกว่า ‘ถงเผา’ [1] เธอคงไม่เคยได้ยินมาก่อน เขายอมตายเพื่อฉัน” ถ้าไม่ใช่เพราะหลิวซิวคนนี้เสียสละชีวิตเพื่อเขา หลี่ว์ซู่คงจะเปิดจุดชี่ไห่ไม่สำเร็จ


 


เขาเรียกหลี่ว์ซู่ว่าเพื่อนก่อนตาย และหวังว่าจะได้เป็นสหายในสนามรบด้วยกันอีกในชาติหน้า หลี่ว์ซู่ลืมไม่ลงจริงๆ


 


คอรัลแบกหลี่ว์ซู่ไปข้างๆ หลิวซิว หลี่ว์ซู่ค่อยๆ ยกร่างของหลิวซิวใส่ลงไปในตราแผ่นดิน ข้างในนั้น หลิวซิวยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับว่าเขาจะยืนยงแบบนั้นไปตลอดกาล


 


“ทำไมนายถึง…”


 


“ฉันจะพาเขากลับบ้าน” หลี่ว์ซู่ยิ้มบางๆ


 


คอรัลแบกหลี่ว์ซู่ออกไปข้างนอก หลังจากที่แบกตัวหลี่ว์ซู่มาสักพัก เธอยิ้มกว้างแล้วพูดกับหลี่ว์ซู่


 


“หลี่ว์ซู่ นายอยู่กับฉันไปทั้งชีวิตเลยได้ไหม ถ้านายปฏิเสธละก็ ฉันก็จะรอจนกว่านายตอบตกลง ฉันจะทำทุกวิถีทางให้นายยอมให้ได้”


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่ตอบ คอรัลเลยเอียงหัวไปดูปฏิกิริยาของหลี่ว์ซู่ที่แนบศีรษะอยู่บนไหล่ของเธอ ปรากฏว่าเขาผล็อยหลับไปแล้วด้วยความเหนื่อยอ่อน


 


เขาสู้สุดตัวในการต่อสู้ครั้งนี้ เพราะฉะนั้นจึงหลับไปทันทีเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว


 


 


เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ป้อมปราการของกลุ่มทวยเทพยังมีคนพลุกพล่าน แต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยศพกองมากมายและมีบรรยากาศของความหดหู่เจ็บปวดเข้ามาแทนที่ เลือดสดๆ สีแดงตอนนี้แห้งกรังบนพื้นและกลายเป็นสีม่วงเข้มเกือบดำ ดูน่าเกลียดน่ากลัว


 


คอรัลจะต้องระวังทุกฝีก้าวขณะก้าวข้ามศพเพื่อไม่ให้ปลุกหลี่ว์ซู่ตื่น


 


เธอเองก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่อาการบาดเจ็บของเธอแทบจะเทียบไม่ได้เลยกับของหลี่ว์ซู่


 


เมื่อเธอออกไปถึงข้างนอกเธอก็พบว่าป้อมปราการถูกปกคลุมไปด้วยเงาดำมืด ดูตัดกับแสงแดดยามพระอาทิตย์ตกสีส้มแดง ท้องฟ้าและก้อนเมฆลอยดูงดงามราวกับภาพวาด


 


เธอรู้สึกประทับใจกับภาพที่เห็น สำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว เขาคงได้อะไรหลายๆ อย่างจากการมาเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ แต่สำหรับคอรัล มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่สำคัญ นั่นคือการที่หลี่ว์ซู่ยังมีชีวิตอยู่


 


แต่แล้วคอรัลก็นิ่งเป็นน้ำแข็ง คอรัลเห็นเงาของหญิงสาวคนหนึ่งจากไกลๆ หลังกองซากศพ


 


นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ เสื้อผ้าของผู้หญิงคนนั้นดูราวกับอาวุธวิญญาณ จิตสังหารแผ่รอบๆ ชุดกิโมโนสีชมพูลายซากุระของเธอ


 


ในมือของเธอมีดาบสั้นซ่อนอยู่ กิโมโนซากุระของเธอดูสวยจับตาท่ามกลางแสงอาทิตย์ตก ดูเหมือนว่าเธอจะยืนรออยู่ตรงนั้นมาสักพักแล้ว


 


คอรัลคิดจนหัวหมุนว่าเธอควรทำอย่างไรดี ในสายตาของหลี่ว์ซู่เธอคงเป็นเหมือนกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องการการปกป้อง แต่ในสายตาของคนอื่นๆ แล้ว เธอเป็นถึงหัวหน้าของกลุ่มเทพเจ้า


 


 


——


 


[1] 同袍 (tóng páo) แปลว่า สหายรบ


523 พาหลี่ว์ซู่กลับบ้าน

 


ก่อนที่คอรัลจะเลื่อนเป็นระดับ B เธออยู่ในระดับ D กลางๆ แต่ก็ถือว่าแข็งแกร่งเกินตัว


 


แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่รอให้คอรัลคิดให้เสียเวลา เธอพูดภาษาอังกฤษกับคอรัลทันที “พวกกลุ่มทวยเทพที่เหลือไปที่นิชิโนเกียวกันหมดแล้ว เธอหนีไปทางปกติไม่รอดหรอกดูจากสภาพ ตามฉันมาทางนี้”


 


คอรัลยืนนิ่ง เธอไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน เธอไม่รู้ว่าจะจะเชื่อใจดีหรือเปล่า


 


“ฉันชื่อซากุราอิ ยาเอโกะ จะเรียกว่าซากุราอิเฉยๆ ก็ได้ ผู้ชายที่เธอแบกขึ้นหลังชื่อหลี่ว์ซู่คุงหรือเปล่า”


 


ซากุราอิเพิ่งเคยเห็นหน้าตาที่จริงของหลี่ว์ซู่เป็นครั้งแรก ใบหน้าของเขากำลังหลับตาพริ้ม เธอรู้สึกว่าตัวจริงของเขาหล่อกว่าตอนปลอมตัวเป็นคิริฮาระ โยสุเกะเสียอีก


 


คอรัลไม่ค่อยเชื่อใจซากุราอิ ทว่าพอจ้องเข้าไปในดวงตาเธอ สัญชาตญาณของผู้หญิงก็ทำให้เธอยิ้มออกมา “นำทางไปสิ เดี๋ยวฉันตามเธอไป”


 


คอรัลรู้สึกว่าเธอเห็นเงาในตาของเธอเอง คอรัลรู้ว่าซากุราอิคงจะไม่ทำอะไรให้หลี่ว์ซู่เป็นอันตรายแน่


 


เธอมองไปเห็นรถของซากุราอิ ที่แท้เธอก็ขับรถมานี่เอง รถของเธอจอดหลบๆ อยู่ข้างถนน คอรัลค่อยๆ วางตัวหลี่ว์ซู่ลงวางที่เบาะหลัง ขาของเขางอเล็กน้อยเพราะว่าตัวสูงเกินไป


 


ซากุราอิลอบสังเกตท่าทีที่คอรัลดูแลหลี่ว์ซู่ เธอต้องยอมรับว่าคอรัลสวยและน่ารักกว่าเธอ แถมยังแข็งแกร่งกว่าเธอด้วย คอรัลคนเดียวสามารถจัดการคิตามูระได้สบายๆ แถมยังกำจัดกลุ่มที่มาแอบซุ่มโจมตีอีกสองกลุ่มได้อีกต่างหาก นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาๆ จะทำได้เลย


 


คอรัลเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มเทพเจ้า ความแตกต่างระหว่างตำแหน่งหน้าที่และอำนาจอันเหนือชั้นนั้นห่างไกลกับเธอเหลือเกิน


 


แต่ที่สำคัญที่สุดคือเธอสัมผัสถึงความจริงใจบริสุทธิ์ที่คอรัลมี่ต่อหลี่ว์ซู่ได้ มันบริสุทธิ์เสียจนน่าใจหาย


 


ซากุราอิอาจจะพบเหตุผลแล้วว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงไม่ยอมรับความพยายามของคอรัลเสียที ความรู้สึกนี้นั้นแตกต่างกันเกินไป


 


ซากุราอิ ยาเอโกะนั่งที่เบาะคนขับ และคอรัลก็นั่งลงที่เบาะข้างคนขับ แล้วจู่ๆ ซากุราอิก็โพล่งถามขึ้น “นี่เธอกับหลี่ว์ซู่เป็น…”


 


คอรัลไม่รอให้ซากุราอิจบคำถาม เธอตอบกลับฉับพลันด้วยความมั่นใจ “เป็นแฟนกัน”


 


เมื่อพูดจบ เธอก็เหลือบมองไปที่หลี่ว์ซู่ที่กำลังนอนอยู่แวบหนึ่ง ค่อยโล่งใจหน่อยที่เขาไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไรไป เธอรู้สึกผิดต่อหลี่ว์ซู่เล็กน้อย เธอรู้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้รู้สึกกับเธอแบบเดียวกัน


 


ซากุราอิเงียบไปทันที หลังจากนั้นคอรัลก็ถามขึ้นมา “เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มทวยเทพเหรอ”


 


“ใช่แล้วล่ะ” ซากุราอิตอบ


 


“เธอรู้จักหลี่ว์ซู่ได้ยังไงน่ะ” คอรัลถามด้วยความสงสัย


 


ซากุราอิไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง เธอเล่าเรื่องที่ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่ปลอมตัวเป็นคิริฮาระ โยสุเกะให้คอรัลฟัง คอรัลฟังเรื่องหลี่ว์ซู่อย่างตั้งใจถึงแม้ว่าเธอจะอ่อนล้ามากก็ตาม หลี่ว์ซู่นี่มีวีรกรรมในญี่ปุ่นเยอะเลยแฮะ!


 


คอรัลถาม “ตอนนี้กลุ่มทวยเทพก็แตกแล้ว… เธอวางแผนจะทำยังไงต่อล่ะ”


 


ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซากุราอิตอบอย่างไม่ปิดบัง “ฉันก็คงจะยืนหยัดต่อไปกับกลุ่มทวยเทพและคงพยายามสร้างมันขึ้นมาอีกรอบน่ะ”


 


เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจแบบนี้ มันเป็นแผนที่เสี่ยงอยู่เหมือนกันแต่เธอก็มีเหตุผลของเธอ


 


พวกระดับ B ในกลุ่มทวยเทพโดนกำจัดไปหมดแล้ว พวกระดับ C ก็พ่ายแพ้ไปตามๆ กัน ซากุราอินึกไปถึงพวกกลุ่มเล็กๆ ที่แอบซ่อนอยู่ บางทีเธออาจจะรวบรวมคนพวกนั้นมาได้ก็ได้ ถึงแม้มันจะยากลำบากก็ตาม แต่เธอก็อยากจะใช้ทรัพยากรและสิ่งที่ตกทอดมาจากโอดะ โทคุมะในมือของเธอให้เป็นประโยชน์ที่สุด!


 


ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้าแล้วหยุดอยู่ตรงหน้ารถ เสื้อคลุมสีดำของเขาปลิวสะบัดอยู่ในลมหนาวในเดือนมกรา คอรัลหยุดพูดทันที เธอและซากุราอิต่างรู้ว่าเขาคือใคร


 


เนี่ยถิงพูดอย่างใจเย็น “ส่งหลี่ว์ซู่มาให้ฉัน”


 


คอรัลและซากุราอิไม่คาดคิดเลยว่าหลี่ว์ซู่จะทำให้ยอดฝีมือระดับตำนานในโลกตะวันออกมาหาเขาถึงที่ด้วยตัวเองทั้งๆ ที่สถานการณ์ในเครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่ค่อยมั่นคงนักก็ตาม ผู้คนที่มาจากองค์กรใหญ่ๆ ต่างหลบตัวกันอยู่ที่ประเทศข้างเคียง ไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรเพราะมีเนี่ยถิงอยู่ ได้แต่จับตามองเหมือนพยัคฆ์จ้องเหยื่อเท่านั้น กระนั้นเนี่ยถิงก็มาที่นี่อย่างโจ่งแจ้ง


 


ที่จริงแล้วเนี่ยถิงรีบรุดออกมาจากเมืองหลวงอย่างรวดเร็วเมื่อเขาได้ยินว่าทาคาชิมะกำลังเตรียมตัวทำพิธีบูชายัญคนครั้งใหญ่เพื่อเร่งไต่เต้าขึ้นไปเป็นระดับ A


 


แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าทุกอย่างจะจบสิ้นลงเรียบร้อยแล้วตอนที่เขามาถึง จากการสังเกต หลี่ว์ซู่น่าจะบาดเจ็บสาหัสเอาการ หลี่ว์ซู่ไม่น่าจะรับมือกับอาการบาดเจ็บครั้งนี้ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เนี่ยถิงต้องรีบมาดูเขาด้วยตัวเอง แต่เนี่ยถิงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมการต่อสู้ถึงได้จบลงรวดเร็วถึงเพียงนี้


 


เขาเพิ่งออกมาจากป้อมปราการของทวยเทพ เขาไม่สามารถบอกได้เกิดอะไรขึ้นจากซากปรักหักพังเหล่านั้น หลี่ว์ซู่กำจัดทาคาชิมะไปหรือ ทำไมถึงมีรอยกระบี่อยู่บนกำแพงป้อมล่ะ


 


ยิ่งไปกว่านั้นเนี่ยถิงก็สัมผัสได้ว่ามีเสียงเพรียกแห่งเต๋าดังกังวานอยู่รอบๆ ในรัศมีสามกิโลเมตร มันยังไม่หายไปเสียทีเดียว


 


เขาเคยเพ่างควาใสนใจมาที่เด็กหนุ่มคนนี้ เด็กหนุ่มที่แต่เดิมเคยขายเต้าหู้เหม็น มาตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งได้ยังไงกันนะ


 


เนี่ยถิงเห็นเชื่อมโยงรอยกระบี่และเสียงแห่งเต๋ามายังหลี่ว์ซู่ได้ไม่ยาก เขารู้ว่ารอยกระบี่นี้มาจากหลี่เสียนอี และรู้ว่าหลี่เสียนอีเป็นคนสอนสิ่งนี้ให้กับหลี่ว์ซู่


 


เนี่ยถิงโพล่งถาม “พวกเธอเป็นคนฆ่าทาคาชิมะงั้นเหรอ”


 


คอรัลและซากุราอิตอบเป็นเสียงเดียวกัน “พวกเราไม่รู้ค่ะ”


 


ทั้งสองคนรู้ว่าหลี่ว์ซู่กำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ คอรัลรู้มากกว่าซากุราอิเพียงนิดหน่อย แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองคนก็ตัดสินใจเก็บมันเป็นความลับด้วยเพราะหลี่ว์ซู่ยังไม่ได้สติ ถึงแม้ว่าคนถามจะเป็นหัวหน้าของหลี่ว์ซู่ก็ตาม


 


เนี่ยถิงตอบหัวเราะ “เอาเถอะ ฉันจะพาหลี่ว์ซู่กลับเอง พวกเธอคงหาทางกลับได้นะ”


 


เนี่ยถิงไม่รอให้ทั้งสองสาวร่ำลา เขาเดินไปข้างรถและใช้นิ้วชี้เรียวผอมวางบนคอของหลี่ว์ซู่เพื่อจับชีพจร หลังจากที่มั่นใจว่าไม่เป็นไรแล้ว เนี่ยถิงก็ยกตัวหลี่ว์ซู่ขึ้นวางพาดกับไหล่แล้วเตรียมตัวกระโดดขึ้นฟ้า


 


คอรัลรีบพูดออกมา “ฉันเป็นหัวหน้าของกลุ่มเทพเจ้า อยากจะเป็นพันธมิตรกับเครือข่ายฟ้า ไม่ทราบว่าราชันฟ้าเนี่ยถิงจะว่ายังไง”


 


เนี่ยถิงมองเธออย่างใจเย็น “ฉันส่งหลี่ว์ซู่ไปคุยกับเธอได้นะ ฉันแต่งตั้งให้เขารับผิดชอบอยู่หน่วยความสัมพันธ์ภายนอกของเครือข่ายฟ้าดินตั้งแต่ตอนนี้เลย”


 


คอรัลดีใจมาก “จริงเหรอคะ”


 


“จริงสิ” เนี่ยถิงเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของเหตุผลที่คอรัลตัดสินใจมาญี่ปุ่นก็เพราะหลี่ว์ซู่ แต่เขายังไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร


 


ข้อมูลที่หลู่ว์ซู่บอกมาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย


 


แต่จะยังไงก็ตาม ในเมื่อหลี่ว์ซู่รับผิดชอบจัดการเรื่องในต่างประเทศแล้ว มันก็ถูกต้องแล้วที่เขาจะมอบหมายหน้าที่เช่นนี้


 


คอรัลถาม “คุณจะพาหลี่ว์ซู่ไปไหนคะ”


 


เนี่ยถิงตอบอย่างเคร่งขรึม “ฉันจะพาเขากลับบ้าน”


 


คอรัลนิ่งงันไป ตอนที่หลี่ว์ซู่พาร่างหลิวซิวเข้าตราแผ่นดิน เขาก็พูดแบบเดียวกัน พอตอนที่เนี่ยถิงจะพาหลี่ว์ซู่กลับบ้าน เขาก็พูดแบบเดียวกันอีก ช่างเป็นประโยคที่เรียบง่ายแต่กินใจเธอเหลือเกิน


524 

“แต่ทำไมท่านถึงมาที่นี่ด้วยตัวเองละคะ ท่านกับหลี่ว์ซู่เป็นถงเผากันเหรอคะ” คอรัลพูดคำจีนที่แปลว่าสหายร่วมรบขึ้นมาอย่างกระท่อนกระแท่น เธออาจจะออกเสียงคำนี้แปลกๆ ไปหน่อย แต่เธอก็จำได้ว่าหลี่ว์ซู่เคยพูดคำนี้เอาไว้


 


 


“หลี่ว์ซู่สอนคำนี้กับเธอเหรอ” เนี่ยถิงถามอึ้งๆ


 


 


“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ…”


 


 


เนี่ยถิงเงียบไป


 


 


[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +199!]


 


 


เนี่ยถิงไม่คิดเลยว่าหลี่ว์ซู่จะทำให้หัวหน้ากลุ่มเทพเจ้าสับสนได้ถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นคนอื่นตอบว่าไม่รู้ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นี่หัวหน้าของกลุ่มเทพเจ้าก็ถึงกับตอบแบบนี้ไปด้วยงั้นเรอะ สิ่งหนึ่งที่เขารู้ก็คือหลี่ว์ซู่จะต้องเป็นสอนคำนี้ให้คอรัลแน่ๆ


 


 


เขาหวังมาตลอดว่าหลี่ว์ซู่จะรู้สึกผูกพันกับเครือข่ายฟ้าดินให้มากกว่านี้ เขามักจะรู้สึกว่าหลี่ว์ซู่ตีตัวออกห่างไปจากองค์กรอยู่ตลอด แต่พอเนี่ยถิงได้ยินว่าหลี่ว์ซู่พูดคำว่าสหายร่วมรบออกมา เขาก็รู้สึกแปลกใจและดีใจไม่น้อยเลยทีเดียว


 


 


ในขณะเดียวกันคอรัลที่พยายามจะเก็บความลับให้หลี่ว์ซู่แทบจะกัดลิ้นตัวเองที่โพล่งคำนั้นออกไป


 


 


เนี่ยถิงหัวเราะออกมาทว่าไม่พูดอะไร เขาไม่ลังเลและแบกหลี่ว์ซู่ขึ้นบ่า จากนั้นก็กระโดดหายไปบนฟ้าแล้วเหาะกลับประเทศ


 


 


 


 


สามวันต่อมาที่บ้านบนถนนหลิวไห่


 


 


หลี่ว์ซู่ตื่นขึ้นมาอยู่ในห้องนอนแขก เขาเริ่มรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บต่างๆ หายไปแล้ว เขาได้กลิ่นสดชื่นๆ จากในห้อง กลิ่นของมันเหมือนกับยาสมุนไพรแต่หลี่ว์ซู่ไม่เคยได้กลิ่นนี้มาก่อน


 


 


เขาเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วมองไปที่สวนกลางบ้านผ่านหน้าต่างพบว่ามีหิมะปกคลุมอยู่ทั่ว ข้างนอกดูหนาวมากเหลือเกิน แต่ข้างในบ้านนี้กลับอุ่นสบายจากเตาผิง แม้จะมีแค่ฟูกนอนแห้งๆ แต่ก็ทำให้ลืมทุกความกังวล เหลือเพียงแต่ความสุขได้แล้ว


 


 


หิมะเกล็ดใหญ่โปรยปรายลงมาจากฟ้า ลมพัดเกล็ดหิมะเข้ามาในลานสวนกลางบ้าน บางทีมันก็ยังไม่ตกลงมาเสียทีเดียว แต่กลับลอยวนอยู่ในสวนอย่างนั้น


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองหลังจากเหตุการณ์ที่ป้อมปราการ หลังจากที่เขาหมดสติไป รู้สึกตัวอีกที เขาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว แต่สังเกตจากลักษณะของตัวบ้าน หลี่ว์ซู่รู้ว่าเขากลับมายังประเทศตัวเองแล้วเรียบร้อย


 


 


ถึงแม้จะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่แค่คิดว่าได้กลับมาบ้านเกิดแล้วก็รู้สึกสบายใจ


 


 


หลี่ว์ซู่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอื่น เมื่อเปลี่ยนเสร็จ สือเสวจิ้นก็เอาชามยาสมุนไพรเข้ามาให้ ลมหนาวพัดเข้ามาตอนเขาเปิดประตู


 


 


“ตื่นแล้วเหรอ ดื่มยานี่สิ ฉันเตรียมมาให้นาย” สือเสวจิ้นดูดีใจมากที่เห็นหลี่ว์ซู่ตื่น


 


 


เขาเดินออกไปทันทีหลังพูดจบ ปล่อยให้เขางงอยู่คนเดียว เกิดอะไรขึ้น ทำไมสือเสวจิ้นรู้ได้ทันทีว่าเขาตื่นแล้ว


 


 


แถมราชันฟ้ายังลงทุนมาดูแลเขาเองกับมือเนี่ยนะ อะไรจะกันเองปานนั้น


 


 


หลี่ว์ซู่ยังไม่ทันจะหายช็อก สือเสวจิ้นก็เดินกลับเข้ามาใหม่ มือหนึ่งถือชามข้าวต้ม อีกมือหนึ่งถือซอส แถมยังหนีบเอาขนมแป้งทอดไส้ต้นหอมทอดมาอีกด้วย


 


 


“มานี่กินเร็วเข้า ตอนที่มันยังร้อนๆ” สือเสวจิ้นหัวเราะเล็กน้อย


 


 


หลี่ว์ซู่หน้าคล้ำ “กินแป้งทอดไส้ต้นหอมตอนร้อนๆ เนี่ยนะ!”


 


 


“ฮ่าๆ” สือเสวจิ้นไม่สะทกสะท้าน เขาเลยเข้าเรื่องทันที “เดี๋ยวเนี่ยถิงก็กลับมาแล้ว เขาเป็นคนพานายกลับมาจากญี่ปุ่น พอเขามาคงมีเรื่องสำคัญจะพูดกับนาย”


 


 


“อ้อ” หลี่ว์ซู่กรอกข้าวต้มเข้าปาก แต่เขาไม่ได้แตะแป้งทอดไส้ต้นหอมเพราะไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่


 


 


สือเสวจิ้นมองหลี่ว์ซู่จากมุมข้างแล้วพูดว่า “ขอบคุณมากที่พยายามอย่างหนักที่ญี่ปุ่น นายช่วยเครือข่ายฟ้าของเราได้มากเลย ถึงแม้ว่าจะถอนรากถอนโคนปัญหาไปทั้งหมดไม่ได้ แต่พวกมันก็คงสู้กลับเรายากแล้วล่ะ”


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของสือเสวจิ้นนั้นจริงใจแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เหมือนเขากำลังพูดอยู่กับคนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา


 


 


แต่หลังจากนั้นสือเสวจิ้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หลี่ว์ซู่รู้ว่าตอนนี้สือเสวจิ้นกำลังสังเกตท่าทางเขาอยู่ หลี่ว์ซู่ส่ายหัวแล้วตอบกลับไปว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรมากเลย ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มทวยเทพ ผมสลบไปเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่หลังจากนั้น”


 


 


ความจริงแล้วเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นอกจากคอรัลแล้ว ทุกคนตายหมด เขาสามารถสร้างเรื่องขึ้นมาปกปิดอย่างไรก็ได้ หากบอกไปว่าทาคาชิมะฆ่าตัวตาย ทุกคนก็เชื่อ


 


 


เขาสังเกตท่าทางของสือเสวจิ้นขณะที่กรอกข้าวต้มเข้าปากแล้วนึกกังวลไปว่าคอรัลอาจจะบอกความจริงไปแล้วก็ได้ เขาสังเกตท่าทางอยู่สักพักจนรู้ว่าสือเสวจิ้นไม่ได้มีท่าทางผิดปกติอะไร


 


 


ทันใดนั้นเนี่ยถิงก็เปิดประตูเข้ามา เขานั่งลงตรงข้ามกับหลี่ว์ซู่แล้วดันกล่องขนาดประมาณฝ่ามือมาทางหลี่ว์ซู่ก่อนหันไปหาสือเสวจิ้นแล้วถาม


 


 


“ยังมีข้าวต้มเหลืออยู่มั้ย”


 


 


“มีเหลืออยู่ เดี๋ยวจะไปเอามาให้” สือเสวจิ้นยิ้มตอบแล้วจากไป


 


 


เนี่ยถิงท่าทางใจเย็น เขาเลื่อนจานแป้งทอดไส้ต้นหอมที่ไม่มีใครสนใจกินออกไปแล้วพูดขึ้น “ในกล่องเป็นเหรียญกล้าหาญที่เครือข่ายฟ้าดินส่งมา แต่ฉันว่านายคงจะไม่สนใจมันมากเท่าไหร่ ยังมีหนังสือรับรองของนายใบใหม่อยู่ในกล่องนี้ด้วย ขอแสดงความยินดีด้วย นายได้เลื่อนขั้นเป็นร้อยเอกแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้คงจะไม่เหมาะในการจัดพิธียินดีอะไร แค่รับรู้ไว้ก็พอ ถ้าอยากบอกคนอื่นเรื่องนี้ก็บอกได้ แต่ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน”


 


 


หลี่ว์ซู่เปิดกล่องออกเพื่อดูของข้างใน เลื่อนตำแหน่งก็ดีเหมือนกันแหละ เงินเดือนที่ได้จะได้เยอะขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขารู้ว่าเนี่ยถิงมีอะไรที่สำคัญกว่านั้นจะพูด


 


 


“ตอนนี้นายเป็นระดับ B หรือยัง” เนี่ยถิงถามอย่างสงบ


 


 


“ยังครับ” หลี่ว์ซู่ตอบอย่างจริงจัง “ผมยังอยู่ระดับ C อยู่”


 


 


“นายเป็นคนฆ่าทาคาชิมะรึเปล่า” เนี่ยถิงตื่นเต้นขณะเอ่ยถามคำถามนี้ เขาอยากรู้มากว่าหลี่ว์ซู่แข็งแกร่งขนาดไหน


 


 


“ไม่ใช่ผมหรอกครับ ราชันฟ้าเนี่ยถิงเข้าใจผิดแล้ว” หลี่ว์ซู่ยังคงปฏิเสธต่อไป


 


 


เนี่ยถิงไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาหลังจากหลี่ว์ซู่ตอบ หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าเนี่ยถิงเชื่อเขาหรือเปล่า แต่คำถามนี้ก็ไม่สำคัญขนาดนั้นอีกนั่นแหละ เนี่ยถิงเลยไม่ได้ซักไซ้ต่อไป


 


 


สือเสวจิ้นถือชามข้าวต้มเข้ามาในห้อง เนี่ยถิงรับชามมาแล้วกรอกเข้าปากภายในครั้งเดียว แล้วเขาก็ถามต่อ


 


 


“แล้วได้อะไรมาจากกลุ่มทวยเทพบ้างไหม”


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกระมัดระวังในคำตอบของตัวเองทันที เขาใช้เวลาคิดครึ่งนาทีก่อนตอบออกไป


 


 


“ได้มาครับ”


 


 


เนี่ยถิงประหลาดใจเล็กน้อย ตอนที่เขาเข้าไปลอบสังเกตเหตุการณ์ที่ป้อมปราการ เขาเห็นว่ามีวงแหวนเลือดอยู่ และจำนวนของศิลาวิญญาณที่ถูกใช้ไปไม่ตรงกับจำนวนที่เครือข่ายฟ้าดินแจ้งมา เนี่ยถิงถึงได้สงสัยว่าศิลาที่เหลือหายไปไหน


 


 


เขาแน่ใจว่าศิลาทั้งหมดถูกส่งไปที่ป้อมปราการนั่นแล้ว แต่ที่ป้อมปราการกลับไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย หลี่ว์ซู่เป็นคนเอาไปหรือเปล่า เนี่ยถิงถามกลับไปอย่างใจเย็น “ได้อะไรมาล่ะ”


 


 


หลี่ว์ซู่เอาศิลาวิญญาณครึ่งเม็ดออกมาจากกระเป๋า คาวาโยชิดูดพลังจากศิลาไปแล้วครึ่งหนึ่ง แล้วเขาก็ตอบกลับอย่างจริงจัง “หลังผ่านความลำบากนานัปการมา ผมก็ได้นี่มาจากมือของทาคาชิมะเอง นี่เป็นการเดินทางที่คุ้มค่าสมราคาสุดๆ ไปเลย”


 


 


เนี่ยถิงมองดูศิลาครึ่งเม็ดนั้นที่ถูกดูดพลังวิญญาณวิญญาณไปแล้วบางส่วน เขาอึ้งจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ


 


 


[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +666!]


 


 


นี่นายไปถึงในกลุ่มทวยเทพแล้วได้ศิลาวิเศษกลับมาครึ่งก่อนเนี่ยนะ แล้วยังมาบอกว่าการเดินทางนี่คุ้มค่าอีก จริงจังแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจัง!


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน เขาเคยปฏิญาณไว้ว่าจะมอบศิลาวิญญาณมากกว่าร้อยเม็ดให้แก่เครือข่ายฟ้าดิน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่อยากจะให้ แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเขาให้ศิลาทั้งหมดไป เขาจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ายังไงล่ะ


 


 


ขืนบอกไป เรื่องตราแห่งแผ่นดินก็แดงพอดีสิ!


525 เนี่ยถิงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรไปสักพัก เขาถือศิลาวิญญาณครึ่งเม็ดไว้ในมือ เขาต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ขยี้ให้มันให้แหลก รวมถึงต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้ขยี้หลี่ว์ซู่ให้แหลกด้วยเหมือนกัน


 


 


ที่หมอนี่บอกว่าได้ศิลามาแค่นี้จริงๆ ต้องล้อเล่นแหง เนี่ยถิงยัดศิลาใส่ในมือสือเสวจิ้นแล้วออกคำสั่ง “เอาไปเก็บ”


 


 


สือเสวจิ้นถึงกับเหวอ


 


 


บ้ากันไปหมดแล้วหรือไง!


 


 


เนี่ยถิงหันไปทางหลี่ว์ซู่แล้วว่าต่อ “นายมีเครื่องมืออะไรเอาไว้เก็บของแบบล่องหนหรือเปล่า”


 


 


เขาจะไม่เชื่ออะไรที่หลี่ว์ซู่อธิบายทั้งนั้น รายงานทุกอย่างที่เขาเคยได้รับชี้ว่าหลี่ว์ซู่นี่ขี้เหนียวขนาดหนัก


 


 


แต่อย่างไรก็ตามมัน ไม่มีอะไรอยู่ในกระเป๋าหลี่ว์ซู่จริงๆ เนี่ยถิงยังให้ความเคารพไว้ใจลูกน้องในบังคับบัญชาอยู่เลยไม่ได้ไปค้นกระเป๋าหลี่ว์ซู่ตอนเขาสลบไม่ได้สติ


 


 


แต่คำถามต่อไปก็คือหลี่ว์ซู่เอาธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปซ่อนไว้ที่ไหนล่ะ ถึงแม้เขาจะคงสภาพมันไว้เป็นเกราะที่สามารถสวมใส่ได้ แต่ก็บ้าบออยู่ดีถ้าเนี่ยถิงจะพลาดไม่สังเกตเห็นมันเลยตลอดการต่อสู้


 


 


นอกจากนี้ เนี่ยถิงก็เห็นด้วยว่ามีซากหอกตกอยู่ในป้อมปราการอย่างน้อยๆ ก็สิบสองด้ามด้วยกัน หลี่ว์ซู่จะเข้าไปในป้อมปราการได้อย่างไรถ้าติดอาวุธไว้กับตัวเยอะขนาดนั้น กระทั่งหน่วยข่าวกรองฝีมือเยี่ยมยังไม่พูดถึงเรื่องอาวุธเลยด้วยซ้ำ!


 


 


ด้วยเหตุนี้เนี่ยถิงจึงสงสัยว่าหลี่ว์ซู่นั่นแหละเป็นคนเอาศิลาไป เขาไม่ได้ต้องการจะยึดคืนหรอก แต่แค่สงสัยจริงๆ ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร


 


 


“ไม่มีนี่ครับ อะไรคือเครื่องมือเก็บของแบบล่องหนเหรอครับ” หลี่ว์ซู่ส่ายหน้าปฏิเสธ


 


 


เนี่ยถิงมองตรงเข้าไปในดวงตาของหลี่ว์ซู่อย่างไร้อารมณ์ จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ตบหน้าผากตัวเองเข้าฉาดใหญ่ “เออใช่! ผมเอาหลิวซิวกลับมาด้วย”


 


 


พูดจบเขาก็เอาร่างของหลิวซิวออกมามาวางไว้หน้าเนี่ยถิง


 


 


เนี่ยถิงถึงกับตะลึง ก็นี่ไงละเฟ้ย แล้วมาบอกว่าตัวเองไม่มีที่เก็บของแบบล่องหน จะโกหกก็ให้มันเนียนกว่านี้หน่อยเถอะ นี่จะมากวนบาทากันหรือเปล่า


 


 


[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +666!]


 


 


เนี่ยถิงเคารพศพของหลิวซิวแล้วเดินออกไปหน้าทะมึน “บอกเขาด้วยว่าเดี๋ยวฉันจะให้คนเอาร่างหลิวซิวไปฝัง”


 


 


เนี่ยถิงกลัวว่าเขาจะเก็บอารมณ์ไม่ให้อัดหลี่ว์ซู่เข้าไว้ไม่ได้ถ้าเขายังอยู่ต่อไป


 


 


ความจริงแล้วพวกหอกสิบสองด้ามนั่นทำให้เนี่ยถิงนึกขึ้นได้ว่าน่าจะมีข้อมูลอะไรบางอย่างที่เขายังไม่รู้จากเหตุการณ์โบราณสถานเป่ยหมัง ในขณะที่เดินออกมา เขาก็นึกจำนวนและรายการสิ่งของที่หลี่ว์ซู่เคยแจ้งว่าได้มาออก หอกสิบสองด้ามนั้นดูเหมือนจะเป็นหอกเดียวกันกับที่โบราณสถานเป่ยหมัง นั่นแปลว่าหลี่ว์ซู่ก็ต้องมีที่เก็บของแบบล่องหนตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว


 


 


เพราะฉะนั้นคำตอบก็ชัดเจนแล้ว…ว่าตอนนี้ตราแผ่นดินอยู่ในมือหลี่ว์ซู่เรียบร้อย


 


 


จริงๆ เนี่ยถิงก็ไม่ได้ติดอะไรหรอก เขาดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องไปหาให้ที่เก็บของล่องหนมาให้หลี่ว์ซู่ด้วยตัวเอง เพราะราชันฟ้าที่รับผิดชอบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะต้องมีของแบบนี้ไว้ติดตัว


 


 


แต่เนื่องจากมันเป็นของหายาก แม้แต่องค์กรใหญ่ๆ อย่างเครือข่ายฟ้าดินก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าราชันฟ้าทุกคนจะมีไว้ติดตัวเป็นของตัวเอง หลี่ว์ซู่เองก็ควรจะได้รางวัลอะไรบางอย่างสำหรับหน้าที่ใหม่ที่ต้องรับผิดชอบนี้


 


 


แต่ในเมื่อหลี่ว์ซู่ได้รางวัลที่ว่าแล้ว งั้นก็ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วล่ะ


 


 


จากนั้นไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่หลายคนเข้ามาจัดการฝังร่างของหลิว์ซิว ทุกคนต่างทำวันทยหัตถ์ด้วยความเคารพก่อนที่จะยกร่างออกไป หลี่ว์ซู่มองเข้ามาจากมุมที่ตัวเองอยู่อย่างพูดอะไรไม่ออก หลิวซิวควรค่าแล้วต่อการเคารพนี้


 


 


เขาจึงประกาศก้องออกไป “ตอนนั้นหลิวซิวเพิ่มพลังต่อสู้ชั่วคราวด้วยการใช้พลังชีวิตไปจนแทบไม่เหลือ ก่อนตาย เขาได้ฆ่าผู้บำเพ็ญระดับ C ของกลุ่มทวยเทพไปถึงเก้าคนด้วยกัน ซึ่งช่วยซื้อเวลาให้ผมได้มาก ถ้าไม่ได้เขา ผมก็คงฆ่าทาคาชิมะไม่ได้หรอก”


 


 


สือเสวจิ้นฟังจากอีกมุมหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่ปฏิเสธที่จะเล่าให้เนี่ยถิงฟังอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้เหตุการณ์ในการต่อสู้เป็นปริศนาเข้าไปใหญ่


 


 


ทว่าตอนนี้หลี่ว์ซู่กลับพูดมันออกมาด้วยตัวเองอย่างไม่มีใครคาดคิด


 


 


สือเสวจิ้นจำได้ว่าเคยเขียนคำเก้าคำให้แก่หลี่ว์ซู่ ‘จงมีใจเมตตาและต่อยให้หนัก’ หลี่ว์ซู่แสดงความโศกเศร้าผ่านสายตาขณะที่เขากำลังเล่าเรื่องการต่อสู้


 


 


สือเสวจิ้นประหลาดใจมากที่หลี่ว์ซู่สามารถโค่นทาคาชิมะได้ เขาเอาชนะความแตกต่างของความสามารถแบบนั้นได้อย่างไร แต่เนี่ยถิงเคยบอกไว้ว่าหลี่ว์ซู่อาจจะเลื่อนระดับระหว่างการต่อสู้ก็ได้ และเขาอาจจะถึงกับเปิดตาแห่งสวรรค์เมื่อเขาอยู่ระดับ B อย่างไรก็ตามรัศมีความเสียหายของเขายังไปได้แค่สามกิโลเมตรเท่านั้น ไม่เหมือนกับระดับ A ที่แผ่ออกไปได้ถึงสิบกิโลเมตร


 


 


กระนั้นสือเสวจิ้นก็รู้สึกประหลาดใจมาก เขาก็เคยต้องผ่านทางที่ยากลำบากด้วยขวากหนาม


 


 


หลี่ว์ซู่เองก็เช่นเดียวกัน แต่หลี่ว์ซู่เลือกไปทางที่คนอื่นไม่เคยเดินมาก่อน เขากลับเลือกทางยากลำบากอีกทางหนึ่งโดยตอนนี้ความคืบหน้าของหลี่ว์ซู่ได้แซงหน้าเขาไปแล้ว


 


 


สือเสวจิ้นไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร บนโลกนี้มีทางที่จะสำเร็จได้ตั้งหลากหลายทาง เขาเลือกทางนี้แล้วก็ต้องมุ่งมั่นกับมันต่อไป


 


 


“ทำไมมาบอกความจริงเอาตอนนี้ล่ะ” สือเสวจิ้นถามยิ้มๆ


 


 


“ก็ถ้าไม่บอก เรื่องที่หลิวซิวเป็นวีรบุรุษก็ไม่มีใครรู้น่ะสิครับ ต้องสลักชื่อทาคาชิมะ ทาอิรัตสึไว้บนป้ายหลุมศพของหลิวซิวว่าหลิวซิวที่เป็นทหารทรงคุณค่าเพื่อให้ความยุติธรรมกับเขาครับ”


 


 


ถ้าเขาไม่พูดความจริงออกไป ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องหัวใจที่กล้าหาญและวีรกรรมที่น่ายกย่องของหลิวซิว หลวซิวไม่เกรงกลัวอะไรเลย ถึงแม้ว่าจะถูกล้อมไว้ด้วยพวกหัวกะทิถึงสิบคนและไอ้ระดับ A ปลอมๆ นั่นอีกคนหนึ่ง


 


 


เมื่อเทียบกันแล้ว หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเรื่องที่เขาอยากปกปิดความจริงนั้นไม่สำคัญเท่าเรื่องนี้เลย


 


 


 


 


 


 


สือเสวจิ้นโล่งอกที่ความพยายามของเนี่ยถิงเป็นผล แต่ก็คงจะเป็นเรื่องดีกว่าถ้าหลี่ว์ซิวรอดชีวิตกลับมา ทหารหลายคนอยู่กันอย่างหดหู่ในต่างบ้านต่างเมืองเพราะต้องแบกรับความเสี่ยงอันยิ่งใหญ่ในการปกป้องประเทศเอาไว้ สือเสวจิ้นหวังไว้ด้วยใจจริงว่าทุกๆ คนจะได้กลับบ้านมาอย่างปลอดภัย


 


 


ถึงแม้จะมีคนหาว่าเขาปากอย่างใจอย่าง เขาเองเป็นคนส่งคนเหล่านั้นออกนอกประเทศไปไม่ใช่หรือ ทำไมไม่เรียกพวกเขากลับมาล่ะถ้าเขาห่วงความปลอดภัยของพวกเขาจริงๆ


 


 


แต่ก็นั่นล่ะ ทานิกุจิ บันไดเคยกล่าวไว้ว่าสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จก็ต้องทำให้สำเร็จ


 


 


สือเสวจิ้นมองไปที่โลงศพของหลิวซิวเงียบๆ แล้วเอ่ยออกมา “ฉันรู้ว่านี่มันค่อนข้างกะทันหัน แต่ฉันต้องบอกให้นายรู้ว่าตอนนี้ตำแหน่งราชันฟ้าคนที่เก้ายังคงว่างอยู่”


 


 


หลี่ว์ซู่เงียบไปทันที เขาไม่คาดมาก่อนเลยว่านี่จะเกิดขึ้น แต่เขาก็นึกได้แล้วว่าทุกอย่างมันช่างเหมาะเจาะเหลือเกิน เนี่ยถิงให้เขาไปทำภารกิจสำคัญในหลายๆ โอกาส มีเจ้าหน้าที่สืบราชการลับหลายคนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มทวยเทพเพื่อช่วยเขาเพียงคนเดียว เขารู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าภารกิจที่ญี่ปุ่นนี้มีความสำคัญมากกว่าที่เห็นเยอะ


 


 


ที่แท้ก็เพราะเนี่ยถิงอยากให้เขาเป็นราชันแห่งฟ้าสินะ


 


 


“ทำไมต้องเป็นผมล่ะครับ” หลี่ว์ซู่ถาม


 


 


“หลิวซิวก็ไม่เคยถามนะว่าทำไมต้องเป็นเขา” สือเสวจิ้นตอบกลับด้วยความสงบ


 


 


“ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ผมว่าผมยังไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้หรอกครับ” หลี่ว์ซู่กล่าวปฏิเสธ


 


 


สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้นมีความหมายมากกว่าชื่อเสียงระดับประเทศ มันคือภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่จะต้องรับผิดชอบสหายร่วมรบอีกนับพัน ซึ่งรวมไปถึงหลิวซิวด้วย


 


 


การกระทำทุกอย่างของเขาจะกำหนดชะตาชีวิตของคนอย่างหลิวซิวอีกมากมาย และคนที่เหมือนหลิวซิวพวกนั้นก็จะต้องพร้อมสละชีวิตให้เขาได้ด้วย


 


 


นี่มันมากเกินไปสำหรับหลี่ว์ซู่ เขาไม่อยากยอมรับข้อเสนอนี้เลย


526 

ราชันฟ้า ความหมายของคำคำนี้คืออำนาจ


 


 


ทำไมผู้บำเพ็ญต่างชาติที่จิตใจไม่ปกติถึงมองว่าการฆ่าราชันฟ้าเป็นความสำเร็จระดับสูงสุดกันนะ คงเพราะเป็นการยากที่จะลงมือทำแบบนั้นล่ะมั้ง


 


 


ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบรับประกาศว่าจ้างฆ่าราชันฟ้าในอาณาจักรแห่งความมืดเลยสักที เพราะการที่จะทำแบบนั้นต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง ถ้าทำไม่สำเร็จขึ้นมา ชื่อเสียงก็คงจะป่นปี้ไป แล้วก็คงจะถูกตราหน้าเป็นไอ้ขี้แพ้ไม่เจียมตัวอีกด้วย


 


 


ยิ่งกว่านั้นราชันฟ้าทั้งหมดก็อยู่ในประเทศจีน ทำให้พวกนักฆ่ากระหายเลือดพวกนั้นแทบจะไม่มีโอกาสเลย แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคนรอคอยโอกาสในมุมมืดอยู่แน่


 


 


แค่ได้ชื่อว่าเป็นราชันฟ้า คนคนนั้นก็จะถูกคนทั่วทั้งโลกจับตามอง ใช้คำว่า ‘โด่งดัง’ อย่างเดียวยังน้อยไปด้วยซ้ำ


 


 


ตอนที่หลี่ว์ซู่ได้รับข้อเสนอเรื่องนี้ เขาตกใจมาก ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าเด็กผู้ชายธรรมดาที่เคยขายเต้าหู้เหม็นประทังชีวิตจะขึ้นมาเป็นราชันฟ้าได้แบบนี้!


 


 


ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธไปแม้ว่าข้อเสนอจะล่อใจมากก็ตาม เขาไม่อยากเห็นใครต้องยอมสละชีวิตตนเองอย่างหลิวซิวอีกแล้ว


 


 


จากนั้นสือเสวจิ้นก็ยิ้มอย่างใจเย็นแล้วพูดว่า “ในสมัยนี้น่ะ คนที่ถูกเลือกก็ยังเป็นเรื่องจริงอยู่นะ ฉันเองก็เสียใจเรื่องที่หลิวซิวตายเหมือนกัน แต่ถึงยังไงฉันก็คงทำแบบเดียวกัน คือสละชีวิตให้ถ้าจำเป็น ฉันจะไม่บังคับเธอให้เลือกหรอก แต่ตัดสินใจให้ดีนะ”


 


 


ทั้งเนี่ยถิงและสือเสวจิ้นไม่มีใครคาดคิดว่าภารกิจที่ญี่ปุ่นจะทำให้ความคิดที่หลี่ว์ซู่มีต่อตัวเองเปลี่ยนไปขนาดนี้ เขาดูลังเลสับสนในตัวเองมาก


 


 


ก็เหมือนตอนที่ปฏิญาณความจงรักภักดีนั่นล่ะ บางคนก็ไม่แน่ใจ บางคนก็ฮึกเหิม ทุกคนล้วนแต่มีความคิดที่เรียบง่ายตอนยังเป็นเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่เคยเจอเรื่องเลวร้ายในโลกแห่งความเป็นจริง ยังอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่อยู่


 


 


แต่กรณีชองหลี่ว์ซู่ต่างออกไป เขาได้สัมผัสโลกในด้านดีมา ยกตัวอย่างเช่นการได้พบลุงหลี่และหลี่เสียนอี และเขาก็ได้สัมผัสโลกในด้านร้ายๆ อย่างความเย็นชาและความเฉยเมยของโลกใบนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเขาก็ยังลังเล


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่เห็นว่าความเห็นแก่ตัวของตัวเองจะมีปัญหาอะไรเพราะมันก็เป็นทัศนคติส่วนตัวในการใช้ชีวิตของเขา


 


 


แต่ตอนนี้ความคิดนั้นได้ถูกสั่นคลอนจากความตายของหลิวซิวและของคนอื่นอีกมากมาย


 


 


ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หลิวซิวสละชีวิตตนเองให้เขา แต่เขาไม่สามารถให้ชีวิตเขาตอบแทนคืนได้


 


 


เขายังพอจะมีปัญญาจ่ายคืนลุงหลี่และปู่เสียนอีที่ดูแลเขาและเสี่ยวอวี๋ได้ แต่เขาไม่มีทางจะทำแบบนั้นกลับไปให้หลิวซิวได้แน่นอน การที่เขาฆ่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึได้นั่นจะถือว่านับหรือเปล่านะ


 


 


แต่อย่างไรชีวิตที่เสียไปแล้วไม่มีทางเอาคืนกลับได้!


 


 


สำหรับหลี่ว์ซู่ การไม่เห็นแก่ตัวเลยนั้นก็เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็สำหรับชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของเขา


 


 


แต่ตอนนี้มุมมองของเขาเปลี่ยนไปแล้ว การตายของหลิวซิวได้กลายเป็นปมในใจของหลี่ว์ซู่ไปตลอดกาล


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่สามารถกลับไปที่เมืองลั่วเฉิงได้ตอนนี้เพราะติดงานศพของหลิวซิว เขาจะต้องอยู่ทำความเคารพฮีโร่ผู้เสียสละของเขาก่อน


 


 


หลังจากที่ปฏิเสธข้อเสนอใจดีของสือเสวจิ้น เขาก็เดินออกไปที่สวนกลางบ้าน ตอนนี้หิมะเริ่มตกหนัก ผู้คนบนถนนต่างก็เดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ลื่นหกล้ม


 


 


เด็กผู้ชายคนหนึ่งสวมผ้าพันคอให้กับเด็กหญิง ส่วนเด็กหญิงคนนั้นก็เอามือซุกเข้าไปในเสื้อโค้ตตัวยาวของเด็กชายอย่างเริงร่า


 


 


มีชายแก่กำลังรอรถบัสอยู่ ในมือสองข้างของเขากำลังถือตะกร้าผักไว้ แล้วก็มีชายวัยกลางคนกดปุ่มรีโมตรถจากนั้นไฟหน้ารถก็กะพริบตอบ


 


 


พอมองดูผู้คนในเมืองใหญ่แบบนี้ ความรู้สึกของการสูญเสียก็ก่อตัวภายในใจของหลี่ว์ซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


 


 


ในที่สุดหลี่ว์ซู่ก็ตัดสินใจโทรหาเสี่ยวอวี๋ขณะยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาว เธอรับสายภายในเวลาไม่นาน แต่เธอเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงโกรธๆ ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะทันได้พูดอะไร “อย่ามาพูดกับฉันนะ ตอนนี้โกรธอยู่ แล้วเธอก็ทำให้หายโกรธไม่ได้ด้วย”


 


 


พอได้ยินแบบนั้นหลี่ว์ซู่ก็วางสายลง พอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแล้วเขาก็รู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอทำให้เขาหายใจไม่ออก


 


 


เขาไม่ได้โทรกลับหาเสี่ยวอวี๋ แต่เดินไปข้างหน้าช้าๆ เขาไม่รู้ว่าจะไปไหนหรือจะทำอะไรต่อไป


 


 


เขาบังเอิญเดินผ่านไปเจอร้านเกมที่มีเสียงดังออกมา คนที่กำลังเหงาที่สุดมักจะดึงดูดให้ไปเจออะไรที่เสียงอื้ออึงแบบนี้แหละ เขาคิดแล้วก็ผลักประตูเดินเข้าไป พอสายตาปรับสภาพกับสิ่งแวดล้อมข้างในได้แล้วก็สังเกตว่ามีเด็กผู้หญิงหลังเคาน์เตอร์ตะโกนมา “นายคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามาตรงประตูน่ะ! ปิดประตูเดี๋ยวนี้เลย!”


 


 


“ได้สิ” หลี่ว์ซู่ตอบแล้วปิดประตู เขาเดินไปลงทะเบียนใช้บริการโดยยื่นบัตรประชาชนออกไป “ชั่วโมงละเท่าไหร่ล่ะ”


 


 


“สิบสองหยวนสำหรับในห้องโถง” พนักงานต้อนรับตอบอย่างเป็นกันเอง


 


 


“บ้าแล้ว นี่ปล้นกันเหรอ” มหาเศรษฐีอย่างหลี่ว์ซู่ถึงกับช็อก


 


 


ปกติแล้วค่าชั่วโมงร้านเกมในเมืองลั่วเฉิงแค่สองหยวนเท่านั้น ถึงแม้ว่าค่ากินอยู่ในเมืองหลวงจะแพงมากก็เถอะแต่ราคาที่นี่สูงเกินไปแล้ว


 


 


“แล้วจะเล่นหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่อยากก็กลับไปซะ” เธอกลอกตาตอบ


 


 


“เออ เล่น!” หลี่ว์ซู่กัดฟันตอบ


 


 


พอเขาหาที่นั่งได้แล้ว เขาก็เพิ่งรู้ว่าร้านเกมนี่แหละเหมาะกับเขาในตอนนี้ที่สุด อย่างน้อยๆ ที่นี่ก็เสียงจอแจดี จะได้ไม่มีใครมาพูดกับเขาเรื่องชีวิตหรือโตไปอยากทำอะไร


 


 


ในขณะนั้นเขาก็ได้รับข้อความจากใครสักคน เขาคิดว่าน่าจะมาจากเสี่ยวอวี๋ แต่พอเขาเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู กลับกลายเป็นว่าข้อความนี้มากจากเบอร์ 10086… [1]


 


 


เขายังไม่ทันเก็บโทรศัพท์ก็ได้รับข้อความอีกรอบ คราวนี้หัวใจเขาพองโตด้วยความหวัง แต่ก็ไม่ได้มาจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อีกนั่นแหละ!


 


 


เขาใจฟีบ ข้อความนี้ถูกส่งมาจากใครไม่รู้


 


 


[เราเลิกกันเถอะ ไม่ต้องติดต่อมาอีกแล้วนะ]


 


 


หลี่ว์ซู่เลยตอบกลับด้วยความสงสัย [ใครเนี่ย ไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย!]


 


 


[ไอ้บ้า! ก็ได้ นายชนะ!]


 


 


หลี่ว์ซู่งงไปหมด


 


 


ไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย บ้าหรือเปล่าเนี่ย


 


 


เขาหันไปสนใจคอมพิวเตอร์แทน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เขาก็เลยปล่อยตัวเองให้สนุกไปกับการดูหนัง


 


 


ก่อนหน้านี้เขาไม่มีเวลามานั่งดูหนังด้วยซ้ำ แต่ดูหนังเยอะๆ ในครั้งเดียว สุดท้ายก็เบื่ออยู่ดี


 


 


 


 


 


 


ในช่วงดึกดื่นของคืนนั้น หลี่ว์ซู่เห็นใครบางคนเดินกลับมานั่งที่เคาน์เตอร์พร้อมกับบะหมี่ถ้วย กลิ่นกะหล่ำปลีดองมันช่างหอมยั่วใจจริงๆ เขาก็เลยเดินไปซื้อหนึ่งถ้วยให้ตัวเองบ้าง…


 


 


แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักเพราะราคาบะหมี่ถ้วยที่นี่แพงมาก บะหมี่ถ้วยรสกะหล่ำปลีดองราคาตั้งแปดหยวน บ้าไปแล้ว เจ้าของที่นี่ขี้ตืดชะมัด!


 


 


เขามองไปรอบๆ นี่ก็ใกล้จะตรุษจีนแล้วเลยไม่ค่อยมีใครนอนที่ร้านเกมกันมากเท่าไหร่ แล้วอยู่ๆ ก็มีมืออ้วนๆ มาตบไหล่หลี่ว์ซู่


 


 


“พี่ชาย เล่นเกมด้วยกันเปล่า พวกเราขาดไปอีกคนอะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] หมายเลขบริการของบริษัทโทรคมนาคมในประเทศจีน


527 

ราชันฟ้า ความหมายของคำคำนี้คืออำนาจ


 


 


ทำไมผู้บำเพ็ญต่างชาติที่จิตใจไม่ปกติถึงมองว่าการฆ่าราชันฟ้าเป็นความสำเร็จระดับสูงสุดกันนะ คงเพราะเป็นการยากที่จะลงมือทำแบบนั้นล่ะมั้ง


 


 


ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบรับประกาศว่าจ้างฆ่าราชันฟ้าในอาณาจักรแห่งความมืดเลยสักที เพราะการที่จะทำแบบนั้นต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง ถ้าทำไม่สำเร็จขึ้นมา ชื่อเสียงก็คงจะป่นปี้ไป แล้วก็คงจะถูกตราหน้าเป็นไอ้ขี้แพ้ไม่เจียมตัวอีกด้วย


 


 


ยิ่งกว่านั้นราชันฟ้าทั้งหมดก็อยู่ในประเทศจีน ทำให้พวกนักฆ่ากระหายเลือดพวกนั้นแทบจะไม่มีโอกาสเลย แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคนรอคอยโอกาสในมุมมืดอยู่แน่


 


 


แค่ได้ชื่อว่าเป็นราชันฟ้า คนคนนั้นก็จะถูกคนทั่วทั้งโลกจับตามอง ใช้คำว่า ‘โด่งดัง’ อย่างเดียวยังน้อยไปด้วยซ้ำ


 


 


ตอนที่หลี่ว์ซู่ได้รับข้อเสนอเรื่องนี้ เขาตกใจมาก ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าเด็กผู้ชายธรรมดาที่เคยขายเต้าหู้เหม็นประทังชีวิตจะขึ้นมาเป็นราชันฟ้าได้แบบนี้!


 


 


ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธไปแม้ว่าข้อเสนอจะล่อใจมากก็ตาม เขาไม่อยากเห็นใครต้องยอมสละชีวิตตนเองอย่างหลิวซิวอีกแล้ว


 


 


จากนั้นสือเสวจิ้นก็ยิ้มอย่างใจเย็นแล้วพูดว่า “ในสมัยนี้น่ะ คนที่ถูกเลือกก็ยังเป็นเรื่องจริงอยู่นะ ฉันเองก็เสียใจเรื่องที่หลิวซิวตายเหมือนกัน แต่ถึงยังไงฉันก็คงทำแบบเดียวกัน คือสละชีวิตให้ถ้าจำเป็น ฉันจะไม่บังคับเธอให้เลือกหรอก แต่ตัดสินใจให้ดีนะ”


 


 


ทั้งเนี่ยถิงและสือเสวจิ้นไม่มีใครคาดคิดว่าภารกิจที่ญี่ปุ่นจะทำให้ความคิดที่หลี่ว์ซู่มีต่อตัวเองเปลี่ยนไปขนาดนี้ เขาดูลังเลสับสนในตัวเองมาก


 


 


ก็เหมือนตอนที่ปฏิญาณความจงรักภักดีนั่นล่ะ บางคนก็ไม่แน่ใจ บางคนก็ฮึกเหิม ทุกคนล้วนแต่มีความคิดที่เรียบง่ายตอนยังเป็นเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่เคยเจอเรื่องเลวร้ายในโลกแห่งความเป็นจริง ยังอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่อยู่


 


 


แต่กรณีชองหลี่ว์ซู่ต่างออกไป เขาได้สัมผัสโลกในด้านดีมา ยกตัวอย่างเช่นการได้พบลุงหลี่และหลี่เสียนอี และเขาก็ได้สัมผัสโลกในด้านร้ายๆ อย่างความเย็นชาและความเฉยเมยของโลกใบนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเขาก็ยังลังเล


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่เห็นว่าความเห็นแก่ตัวของตัวเองจะมีปัญหาอะไรเพราะมันก็เป็นทัศนคติส่วนตัวในการใช้ชีวิตของเขา


 


 


แต่ตอนนี้ความคิดนั้นได้ถูกสั่นคลอนจากความตายของหลิวซิวและของคนอื่นอีกมากมาย


 


 


ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หลิวซิวสละชีวิตตนเองให้เขา แต่เขาไม่สามารถให้ชีวิตเขาตอบแทนคืนได้


 


 


เขายังพอจะมีปัญญาจ่ายคืนลุงหลี่และปู่เสียนอีที่ดูแลเขาและเสี่ยวอวี๋ได้ แต่เขาไม่มีทางจะทำแบบนั้นกลับไปให้หลิวซิวได้แน่นอน การที่เขาฆ่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึได้นั่นจะถือว่านับหรือเปล่านะ


 


 


แต่อย่างไรชีวิตที่เสียไปแล้วไม่มีทางเอาคืนกลับได้!


 


 


สำหรับหลี่ว์ซู่ การไม่เห็นแก่ตัวเลยนั้นก็เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็สำหรับชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของเขา


 


 


แต่ตอนนี้มุมมองของเขาเปลี่ยนไปแล้ว การตายของหลิวซิวได้กลายเป็นปมในใจของหลี่ว์ซู่ไปตลอดกาล


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่สามารถกลับไปที่เมืองลั่วเฉิงได้ตอนนี้เพราะติดงานศพของหลิวซิว เขาจะต้องอยู่ทำความเคารพฮีโร่ผู้เสียสละของเขาก่อน


 


 


หลังจากที่ปฏิเสธข้อเสนอใจดีของสือเสวจิ้น เขาก็เดินออกไปที่สวนกลางบ้าน ตอนนี้หิมะเริ่มตกหนัก ผู้คนบนถนนต่างก็เดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ลื่นหกล้ม


 


 


เด็กผู้ชายคนหนึ่งสวมผ้าพันคอให้กับเด็กหญิง ส่วนเด็กหญิงคนนั้นก็เอามือซุกเข้าไปในเสื้อโค้ตตัวยาวของเด็กชายอย่างเริงร่า


 


 


มีชายแก่กำลังรอรถบัสอยู่ ในมือสองข้างของเขากำลังถือตะกร้าผักไว้ แล้วก็มีชายวัยกลางคนกดปุ่มรีโมตรถจากนั้นไฟหน้ารถก็กะพริบตอบ


 


 


พอมองดูผู้คนในเมืองใหญ่แบบนี้ ความรู้สึกของการสูญเสียก็ก่อตัวภายในใจของหลี่ว์ซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


 


 


ในที่สุดหลี่ว์ซู่ก็ตัดสินใจโทรหาเสี่ยวอวี๋ขณะยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาว เธอรับสายภายในเวลาไม่นาน แต่เธอเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงโกรธๆ ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะทันได้พูดอะไร “อย่ามาพูดกับฉันนะ ตอนนี้โกรธอยู่ แล้วเธอก็ทำให้หายโกรธไม่ได้ด้วย”


 


 


พอได้ยินแบบนั้นหลี่ว์ซู่ก็วางสายลง พอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแล้วเขาก็รู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอทำให้เขาหายใจไม่ออก


 


 


เขาไม่ได้โทรกลับหาเสี่ยวอวี๋ แต่เดินไปข้างหน้าช้าๆ เขาไม่รู้ว่าจะไปไหนหรือจะทำอะไรต่อไป


 


 


เขาบังเอิญเดินผ่านไปเจอร้านเกมที่มีเสียงดังออกมา คนที่กำลังเหงาที่สุดมักจะดึงดูดให้ไปเจออะไรที่เสียงอื้ออึงแบบนี้แหละ เขาคิดแล้วก็ผลักประตูเดินเข้าไป พอสายตาปรับสภาพกับสิ่งแวดล้อมข้างในได้แล้วก็สังเกตว่ามีเด็กผู้หญิงหลังเคาน์เตอร์ตะโกนมา “นายคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามาตรงประตูน่ะ! ปิดประตูเดี๋ยวนี้เลย!”


 


 


“ได้สิ” หลี่ว์ซู่ตอบแล้วปิดประตู เขาเดินไปลงทะเบียนใช้บริการโดยยื่นบัตรประชาชนออกไป “ชั่วโมงละเท่าไหร่ล่ะ”


 


 


“สิบสองหยวนสำหรับในห้องโถง” พนักงานต้อนรับตอบอย่างเป็นกันเอง


 


 


“บ้าแล้ว นี่ปล้นกันเหรอ” มหาเศรษฐีอย่างหลี่ว์ซู่ถึงกับช็อก


 


 


ปกติแล้วค่าชั่วโมงร้านเกมในเมืองลั่วเฉิงแค่สองหยวนเท่านั้น ถึงแม้ว่าค่ากินอยู่ในเมืองหลวงจะแพงมากก็เถอะแต่ราคาที่นี่สูงเกินไปแล้ว


 


 


“แล้วจะเล่นหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่อยากก็กลับไปซะ” เธอกลอกตาตอบ


 


 


“เออ เล่น!” หลี่ว์ซู่กัดฟันตอบ


 


 


พอเขาหาที่นั่งได้แล้ว เขาก็เพิ่งรู้ว่าร้านเกมนี่แหละเหมาะกับเขาในตอนนี้ที่สุด อย่างน้อยๆ ที่นี่ก็เสียงจอแจดี จะได้ไม่มีใครมาพูดกับเขาเรื่องชีวิตหรือโตไปอยากทำอะไร


 


 


ในขณะนั้นเขาก็ได้รับข้อความจากใครสักคน เขาคิดว่าน่าจะมาจากเสี่ยวอวี๋ แต่พอเขาเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู กลับกลายเป็นว่าข้อความนี้มากจากเบอร์ 10086… [1]


 


 


เขายังไม่ทันเก็บโทรศัพท์ก็ได้รับข้อความอีกรอบ คราวนี้หัวใจเขาพองโตด้วยความหวัง แต่ก็ไม่ได้มาจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อีกนั่นแหละ!


 


 


เขาใจฟีบ ข้อความนี้ถูกส่งมาจากใครไม่รู้


 


 


[เราเลิกกันเถอะ ไม่ต้องติดต่อมาอีกแล้วนะ]


 


 


หลี่ว์ซู่เลยตอบกลับด้วยความสงสัย [ใครเนี่ย ไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย!]


 


 


[ไอ้บ้า! ก็ได้ นายชนะ!]


 


 


หลี่ว์ซู่งงไปหมด


 


 


ไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย บ้าหรือเปล่าเนี่ย


 


 


เขาหันไปสนใจคอมพิวเตอร์แทน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เขาก็เลยปล่อยตัวเองให้สนุกไปกับการดูหนัง


 


 


ก่อนหน้านี้เขาไม่มีเวลามานั่งดูหนังด้วยซ้ำ แต่ดูหนังเยอะๆ ในครั้งเดียว สุดท้ายก็เบื่ออยู่ดี


 


 


 


 


 


 


ในช่วงดึกดื่นของคืนนั้น หลี่ว์ซู่เห็นใครบางคนเดินกลับมานั่งที่เคาน์เตอร์พร้อมกับบะหมี่ถ้วย กลิ่นกะหล่ำปลีดองมันช่างหอมยั่วใจจริงๆ เขาก็เลยเดินไปซื้อหนึ่งถ้วยให้ตัวเองบ้าง…


 


 


แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักเพราะราคาบะหมี่ถ้วยที่นี่แพงมาก บะหมี่ถ้วยรสกะหล่ำปลีดองราคาตั้งแปดหยวน บ้าไปแล้ว เจ้าของที่นี่ขี้ตืดชะมัด!


 


 


เขามองไปรอบๆ นี่ก็ใกล้จะตรุษจีนแล้วเลยไม่ค่อยมีใครนอนที่ร้านเกมกันมากเท่าไหร่ แล้วอยู่ๆ ก็มีมืออ้วนๆ มาตบไหล่หลี่ว์ซู่


 


 


“พี่ชาย เล่นเกมด้วยกันเปล่า พวกเราขาดไปอีกคนอะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] หมายเลขบริการของบริษัทโทรคมนาคมในประเทศจีน


528

เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกสิ้นหวังเมื่อผ่านการเข่นฆ่าผู้คนหรือเมื่อได้เห็นสหายร่วมเป็นร่วมตายสิ้นใจไปต่อหน้า พวกเขาเหนื่อยล้ามากเหลือเกินกับสังหารและการต่อสู้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมายในเครือข่ายฟ้าดิน ยิ่งในช่วงพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแบบนี้ด้วยแล้ว


 


 


ปกติแล้วเครือข่ายฟ้าดินจะบำบัดด้วยการปรึกษากับนักจิตวิทยา แต่สำหรับเคสที่อาการสาหัสมาก พวกเขาเหล่านั้นจะถูกย้ายไปทำงานขนส่งแทนโดยไม่ต้องทนทำงานแบบเก่าในสภาพแวดล้อมเดิม


 


 


แต่จริงๆ แล้วการจะส่งพวกเขาเหล่านี้กลับไปในสนามรบก็ย่อมทำได้ โดยใช้จิตวิทยาย้อนกลับ แต่เนี่ยถิงกับสือเสวจิ้นไม่อยากบังคับให้ใครทำแบบนั้น คนเราก็ต่างมีทางเลือกของตัวเองโดยไม่ต้องไปบังคับกัน


 


 


ทว่าเนี่ยถิงเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลี่ว์ซู่จะมาลงเอยกับสถานการณ์แบบนี้เหมือนกัน เขารู้ว่าการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ไม่ง่ายเลยกับหลี่ว์ซู่ แต่เขาก็ยังยืนหยัดได้ เรียกได้ว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ใหญ่บางคนด้วยซ้ำ


 


 


นอกจากนี้ เขายังรู้ด้วยว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มุ่งหน้าไปทางเหนือเรียบร้อยแล้ว


 


 


ตอนวางสายจากหลี่ว์ซู่ เสี่ยวอวี๋ก็รับรู้ได้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติไป เธอรู้ว่าการได้พูดคุยแบบเห็นหน้ากันคงดีกว่า ถึงแม้เธอจะต้องเดินทางไกลเพื่อไปหาเขาก็ตาม


 


 


เธอไม่เคยคิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนแข็งแกร่งขนาดที่ว่าไม่ต้องการปรึกษาอะไรกับใครเลย เขามีบางเวลาที่อ่อนแอบ้างเหมือนกัน อย่างเช่นตอนที่เขาเริ่มขายไข่ต้มตอนแรกๆ แล้วขายไม่ออกสักฟอง เขาต้องกินไข่ต้มที่เหลือไว้ทั้งสามมื้อ ไข่แดงแห้งจนกินแล้วติดคอ ขณะที่กินก็ร้องไห้ไปด้วย


 


 


หลี่ว์ซู่เองก็เป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง


 


 


ถ้าหากเขาถูกเรียกให้เข้าร่วมเครือข่ายฟ้าดินในตอนนั้นโดยเอาเกณฑ์ในปัจจุบันมาวัดแล้ว เขาไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มแน่นอน


 


 


แต่ถึงอย่างไรหลี่ว์ซู่ก็เติบโตขึ้นทุกวัน และเสี่ยวอวี๋ก็เป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเวลาไหนที่เธอต้องไปหาเขาเพราะเขาต้องการเธอ


 


 


ราวกับว่าหลี่ว์ซู่นั้นได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอตลอดกาล


 


 


“มาได้ไงเนี่ย” หลี่ว์ซู่หยุดเถียงกับหวังหยาง เสี่ยวอวี๋เดินมาหาเขาช้าๆ


 


 


“ไปกัน เดี๋ยวพาไปเลี้ยงหม้อไฟ!”


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เธอปลูกผักกุยช่ายแล้วเอาไปขาย เงินเก็บเธอเองก็มีไม่น้อย พอค่อยๆ เก็บหอมรอมริบขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มเยอะขึ้น


 


 


ตอนที่เธอเริ่มขายกุยช่าย ก็มีแต่คนหัวเราะเยาะเธอ พอลุงแก่ๆ หลายคนที่ตลาดเห็นเธอตั้งแผงขายผักก็ชอบถามเธอว่า ‘หนูเอ๊ย พ่อแม่ทิ้งไปไหนเสียแล้วล่ะ’


 


 


แล้วจะให้เธอตอบกลับไปว่าอะไรล่ะ เธอไม่อยากสนทนาเรื่องไร้สาระกับคนพวกนี้อยู่แล้ว ไม่ได้มีบุญคุณอะไรต่อกันนี่


 


 


วันต่อมา เสี่ยวอวี๋เลยพากระรอกน้อยเสี่ยวซยงสวี่ติดตัวไปด้วย พวกคนเหล่านั้นไม่มีใครกล้าพูดไม่ดีกับเธออีกหลังจากเสี่ยวซยงสวี่อัดพวกนั้นไปยกใหญ่


 


 


ตอนที่เธอถูกชักชวนให้เข้าร่วมกลุ่มเครือข่ายฟ้าดิน เสี่ยวซยงสวี่หายตัวไป อาจารย์ซีเฟ่ยได้รับแจ้งมาว่ามีใครบางคนในเมืองเหวินหวานปล่อยสัตว์วิเศษออกมาทำร้ายผู้คน และพวกเขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อสถานการณ์นี้ได้อีกต่อไป ฝ่ายความมั่นคงความปลอดภัยควรจะดูแลเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เหรอ


 


 


เครือข่ายฟ้าดินก็เลี้ยงสัตว์วิเศษนี้ไว้บ้างเหมือนกัน พวกเขารู้ว่าผู้คนคงจะอกสั่นขวัญแขวน ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่สัตว์วิเศษระดับ F ก็ตามที


 


 


พอฝ่ายรักษาความปลอดภัยสาธารณะของผู้บำเพ็ญได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาแล้ว ผู้คนก็เลือกที่จะรายงานความผิดปกติต่อเครือข่ายฟ้าดินโดยตรง เช่นจู่ๆ สุนัขของพวกเขาร้องเหมียวขึ้นมา หรือสุนัขพันธุ์ฮัสกี้หอนออกมาเหมือนหมาป่า พวกเขายืนยันว่ามีลางสังหรณ์แปลกๆ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับสุนัขฮัสกี้นี้จริงๆ


 


 


แต่พอกลุ่มของอาจารย์ซีเฟ่ยมาที่เมืองเหวินหวานแล้วเจอเสี่ยวอวี๋ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง


 


 


“เสี่ยวอวี๋ สรุปแล้วกระรอกที่ออกไปทำร้ายผู้คน… เอ่อ…”


 


 


บ้าอะไรเนี่ย!


 


 


ไม่ใช่ว่าอาจารย์ซีเฟ่ยกลัวที่จะเจรจากับเสี่ยวอวี๋หรอก แต่สำหรับพวกเขา หลี่ว์ซู่นั้นถือเป็นผู้สละชีวิตเพื่อชาติ เขาถูกลอบสังหารโดยกลุ่มทวยเทพ ตอนนี้พวกเขาต่างก็มีศัตรูตัวฉกาจคนเดียวกัน


 


 


ดังนั้นเลยไม่มีใครอยากสร้างปัญหากับเสี่ยวอวี๋ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีใครรู้ด้วยว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋แค่มาที่ฐานทัพบริเวณภูเขาเป่ยหมังในฐานะนักท่องเที่ยวธรรมดาๆ เท่านั้น กระนั้นเธอก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี


 


 


“เสี่ยวอวี๋ เกิดอะไรขึ้นน่ะ” อาจารย์ซีเฟ่ยถามด้วยความสงสัย


 


 


คนที่มาล้อเสี่ยวอวี๋โดนเสี่ยวซยงสวี่เล่นงานไปหมด คนอื่นๆ คิดว่าคงผู้ที่มาคงมาช่วยพวกเขา แต่พวกเขาเข้าใจผิด คนที่มาช่วยพวกเขากลับรู้จักกับเสี่ยวอวี๋เสียงั้น!


 


 


ชายแก่เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีเสียแล้ว


 


 


“เสี่ยวอวี๋ อธิบายเหตุการณ์มาสิ ถ้าหนูไม่ผิดละก็เราจะช่วยสู้กลับเอง!” คนในทีมที่มากับซีเฟ่ยสี่คนพวกนั้นเข้ามาถามคำถามเสี่ยวอวี๋


 


 


“เดี๋ยวนะ แต่พวกเราเป็นคนรายงานพวกคุณไปนะ” ลุงแก่ๆ พวกนั้นทำหน้างง


 


 


“พวกเขาบอกว่าพ่อแม่หนูทิ้งหนูไป” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตอบกลับด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรม


 


 


ซีเฟ่ยกับคนในทีมขมวดคิ้ว แต่พวกเขายังไม่ได้ฟังความให้ครบทั้งสองฝ่าย


 


 


“เด็กคนนี้พูดจริงหรือเปล่า” เขาถาม


 


 


“พวกเราแค่ล้อเล่นกันเฉยๆ! จะมาอัดกันเพราะเรื่องล้อเล่นไม่ได้หรอก” ชายแก่ตอบออกมาแบบไม่คิด


 


 


“จัดการพวกมัน!” ซีเฟ่ยสั่งการเสียงเ**้ยม


 


 


คนในเครือข่ายฟ้าดินทั้งเมืองลั่วต่างโศกเศร้าต่อการจากไปของหลี่ว์ซู่ แล้วยังจะมีคนมีหน้ามาล้อเล่นกับเสี่ยวอวี๋อีก เด็กกำพร้าคนนี้เป็นฮีโร่ของชาติเชียวนะ พวกเขาทนเรื่องแบบนี้ได้หรอก!


 


 


พอลุงแก่ๆ พวกนั้นนั่นโดนอัดเรียงหนึ่งแล้ว ซีเฟ่ยก็จัดปกเสื้อให้เข้าที่ “ไปกันพวกเรา ไปรับการลงโทษกัน”


 


 


จริงๆ แล้วเครือข่ายฟ้าดินไม่สามารถเล่นงานผู้คนแบบนี้ได้ พวกเขาเลยเตรียมตัวเตรียมใจรับการลงโทษตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


ถึงแม้จะโดนลงโทษแต่ก็คุ้มค่าที่ได้ยืนหยัดอยู่ข้างเสี่ยวอวี๋ ต่อให้โดนขังในห้องมืดก็ยอม


 


 


ซีเฟ่ยยิ้มแล้วโบกมือลาเสี่ยวอวี๋ “เสี่ยวอวี๋ เรากลับกันก่อนนะ”


 


 


ลุงแก่พวกนั้นถึงกับอึ้ง พวกเขาไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บ คนพวกนี้เป็นใครกันนะ!


 


 


“ขอบคุณมากค่ะพี่ชาย พี่สาว ลาก่อนนะคะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดอย่างนอบน้อม


 


 


เธอรอจนกระทั่งกลุ่มเจ้าหน้าที่ของเครือข่ายฟ้าดินกลับไป จากนั้นก็หันมามองพวกลุงแก่ด้วยสายตาเ**้ยมเกรียมและระเบิดหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ!”


 


 


หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา คนทั้งตลาดเมืองเหวินหวานก็รู้ว่ามีคนย้ายมาใหม่ แถมยังเป็นสาวน้อยคนสวยเสียด้วย!


 


 


ชื่อเสียงของเธอค่อยๆ ตามมา ตอนแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่าเธอจะขายกุยช่ายจริงๆ แต่ตอนนี้ทุกคนเชื่อเธอหมดแล้ว


 


 


ตั้งแต่เครือข่ายฟ้าดินเข้ามาช่วยเธอก็ราวกับว่าเธอได้ขายกุยช่ายพวกนี้ให้กับเครือข่ายฟ้าดินเสียเอง การค้าขายไปได้สวยเลยทีเดียว!


 


 


และนั่นก็อธิบายว่าทำไมหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถึงรวยแล้วในตอนนี้


 


 


เสี่ยวอวี๋มองหลี่ว์ซู่ขึ้นๆ ลงๆ เธอเห็นความเหนื่อยล้าและความขัดแย้งในนัยน์ตาของหลี่ว์ซู่ แต่เสี่ยวอวี๋ก็ไม่ได้พูดปลอบใจอะไรออกไป เธอยื่นมือเล็กๆ ออกไปแล้วพูดว่า


 


 


“ไปกัน ฉันจะพาไปเลี้ยงหม้อไฟ”


 


 


“งั้นวันนี้เรากินร้านดีๆ กันเนอะ” หลี่ว์ซู่ยิ้มตอบ


 


 


เมื่อก่อนหลี่เสี่ยวอวี๋ก็แค่อยากจะมีเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่ แล้วตอนนี้เธอก็ได้ใส่ทั้งหมวกทั้งผ้าพันคอแบบที่เธอชอบ เธอเดินเคียงข้างหลี่ว์ซู่ไปในหิมะ เสี่ยวอวี๋หายใจไปอย่างเริงร่าขณะกำลังเดินไปกินหม้อไฟกับหลี่ว์ซู่


 


 


“เธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ไงน่ะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถามขณะเดินด้วยกัน


 


 


“พวกเขาอยากให้ฉันเป็นราชันฟ้า” เขานิ่งไปก่อนตอบเสียงเบา


 


 


“แล้วอยากเป็นไหมล่ะ”


 


 


“ฉันว่า…”


 


 


“ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ฉันก็สนับสนุนเธอนะ” เสี่ยวอวี๋พูดอย่างใจเย็น


 


 


หลี่ว์ซู่โล่งใจ โลกของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นี่ช่างเรียบง่ายดีจริงๆ


529 

ตอนนี้เรื่องที่หลี่ว์ซู่ได้รับชัยชนะกลับมายังเป็นความลับอยู่ มีเพียงแค่คนระดับสูงในเครือข่ายฟ้าดินไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดว่าเขาจะได้คลื่นแต้มอารมณ์จากพวกทวยเทพมากเท่าไหร่กันนะถ้าพวกเขารู้ความจริงเรื่องการตายหลอกๆ ของหลี่ว์ซู่แล้ว แถมยังเรื่องกลโกงหาดทรายขาวใต้น้ำลึกนั่นอีก


 


 


แต่ถึงอย่างไรทั้งองค์กรก็โดนทำลายไปหมดแล้ว ถึงจะมีคนโกรธเขาอยู่ตอนนี้ก็คงมีไม่มากพอที่จะให้แต้มอารมณ์กับเขาเยอะๆ ได้


 


 


ในขณะเดียวกัน ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตรจากญี่ปุ่น ซากุราอิ ยาเอโกะก็ได้ไปเยี่ยมหาองค์กรลับหลายๆ กลุ่มอย่างต่อเนื่อง เธอได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์จากผู้คนที่เธอแวะเวียนไปหาในเวลาสามวันที่ผ่านมานี้


 


 


ไม่เพียงแต่เธอจะมีทรัพยากรที่เหลืออยู่ของกลุ่มอนุรักษนิยมเท่านั้น แต่เธอยังเชี่ยวชาญในทักษะที่สืบทอดมาจากโอดะอีกด้วย


 


 


ตอนนี้ข่าวช็อกโลกที่ว่ากลุ่มทวยเทพได้ล่มสลายไปก็ออกสู่สายตาชาวโลกแล้ว แม้พวกเขาจะเสียเปรียบเรื่องไม่มีคนระดับ A หลงเหลืออยู่แล้ว แต่กลุ่มทวยเทพ รวมถึงฝ่ายความศรัทธา สมาคมฟีนิกซ์ และเครือข่ายฟ้าดินต่างก็เริ่มมาจากจุดเดียวกันทั้งนั้น


 


 


ดังนั้นการล่มสลายของกลุ่มทวยเทพก็เลยทำให้ทุกกลุ่มระวังตัวกันมากขึ้น


 


 


ข่าวนี้เป็นที่ฮือฮาในอาณาจักรความมืดถึงครึ่งเดือนด้วยกัน พวกเขารู้ว่าคอรัลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ด้วย แต่ดูเป็นไปได้ยากมากที่เธอจะกำจัดทั้งหลุ่มด้วยตัวของเธอเอง


 


 


ฟังดูไม่ได้ความเลย กลุ่มองค์กรใหญ่ๆ พยายามจะหาเหตุผลมารองรับแต่ก็ไม่มีใครทำได้


 


 


เรื่องที่หลี่ว์ซู่เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใครต่างก็คาดไม่ถึง เพราะชื่อและตัวตนของเขาถูกปิดเป็นความลับตั้งแต่ก่อนที่ทาคาชิมะจะเลื่อนขึ้นไปเป็นระดับ A กำมะลอ อีกทั้งคนที่รู้เห็นในเหตุการณ์ต่างก็ล้มตายกันไปหมดแล้ว


 


 


มีคนอัดคลิปวิดีโอที่เนี่ยถิงเดินทางออกจากเมืองหลวงไปที่กลุ่มทวยเทพได้ ที่เมืองหลวงถึงขั้นมีคนจ้างให้คนเข้าไปแอบอยู่ในห้องเช่าทั้งวันเพื่อคอยจับตาดูทิศทางที่เนี่ยถิงกำลังมุ่งหน้าไป…


 


 


แต่ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่เพราะเนี่ยถิงสามารถเลือกบินไปทางใต้ จากนั้นค่อยเปลี่ยนเส้นทางบินไปทางเหนือต่อได้ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครจับตามองเขาได้แล้วตอนเขาลอยอยู่บนฟ้า


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นงานนี้ก็ถือว่าเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ถ้ารูปถูกอัปโหลดแล้ว ก็อาจจะถูกกลุ่มของห่าวจื้อเชาจับเอาได้ก่อนที่จะรู้ตัวหนีไปเสียอีก…


 


 


ใครหลายคนสงสัยว่าเนี่ยถิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ในครั้งนั้น แต่เขาก็ไปถึงหลังการต่อสู้จบอยู่ดีถึงแม้ว่าจะใช้พลังบินของผู้มีพลังระดับ A ก็ตาม ตอนที่เนี่ยถิงไปถึงป้อมปราการนั้นแทบไม่มีใครรอดชีวิตเหลืออยู่แล้ว แล้วเขาก็พาหลี่ว์ซู่กลับไปด้วยก่อนที่สายลับจากองค์กรใหญ่ๆ จะมาถึง


 


 


เลยเป็นเหตุให้การต่อสู้ครั้งนั้นยังคงเป็นปริศนา หลายคนเชื่อว่าชิ้นส่วนของปริศนาที่หายไปนั้นถูกซุกซ่อนไว้จากสายตาของประชาชน และดูเหมือนกลุ่มเครือข่ายฟ้าดินจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการปกปิดข่าวครั้งนี้ เนี่ยถิงเชื่อว่าหลี่ว์ซู่จะทำอะไรได้ดีกว่าถ้าไม่มีสายตามากมายจับจ้องมา ในองค์กรอื่นๆ ผู้รับผิดชอบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมักจะเป็นคนโปรไฟล์ดีๆ อย่างเช่นฮาเวิร์ดจากสมาคมฟีนิกซ์


 


 


แต่สำหรับธรรมชาติของหลี่ว์ซู่แล้ว บุคลิกของเขาอาจจะไม่เหมาะนัก…


 


 


ไม่มีใครคิดว่าการต่อสู้นี้จะเกี่ยวข้องกับหลี่ว์ซู่ ถึงแม้ใครๆ จะรู้ว่าเครือข่ายฟ้าดินและกลุ่มทวยเทพจะเป็นศัตรูกันมานาน แล้วก็ยังมีคนที่ไม่เชื่อว่าหลี่ว์ซู่จะตายจริงๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่คนระดับ C อย่างหลี่ว์ซู่จะไปเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของกลุ่มใหญ่ขนาดนั้น


 


 


คอรัลน่าจะเป็นคนที่ได้ความดีความชอบไปมากที่สุด เพราะพลังต่อสู้ของเธอน่าจะเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาระดับ B เลยทีเดียว


 


 


ในขณะนั้น เสี่ยวอวี๋กำลังปิ้งเนื้อสไลซ์อยู่ ส่วนหลี่ว์ซู่ก็เล่าเรื่องการต่อสู้ให้ฟังไปด้วยอย่างละเอียด แต่จู่ๆ เธอก็ผงกหัวขึ้นแล้วเอ่ยถาม


 


 


“ขออีกทีซิ คอรัลใช่มั้ย ทำไมเธอไปอยู่ที่นั่นได้ล่ะ เธอมีศัตรูเป็นกลุ่มทวยเทพเหมือนกันเหรอ”


 


 


ทว่าหลี่ว์ซู่ก็ตอบไม่ได้!


 


 


“แต่เธอก็ถือว่าเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้เลยนะ จะตอบแทนบุญคุณเธอยังไงล่ะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถามสบายๆ ขณะคีบเนื้อลงไปจิ้มน้ำจิ้มก่อนนำเข้าปาก


 


 


เธอชอบน้ำจิ้มที่ผสมระหว่างน้ำมันงา น้ำส้มสายชู น้ำจิ้มถั่วลิสงบด หรืองาบดสำหรับเอาไว้กินกับหม้อไฟ เธอชอบใส่งาบดเพราะว่ารสชาติเข้มข้นกว่า


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กินไปเถอะ” หลี่ว์ซู่แยกเขี้ยวยิ้ม


 


 


เสี่ยวอวี๋มองหน้าหลี่ว์ซู่ทีหนึ่งแล้วก็เงียบไป เธอรู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่คอรัลช่วยชีวิตเขาไว้


 


 


แม้จะสั่งอาหารไปมากกว่าสี่ร้อยหยวนแล้ว แต่เสี่ยว์อวี๋ก็ไม่ลังเลเลยที่จะรับผิดชอบจ่ายค่าอาหาร เมื่อเทียบกับหลี่ว์ซู่แล้ว เธอใจกว้างกว่าเข้ามาก ตอนนี้เธอเป็นเศรษฐีใหม่แล้ว…


 


 


เนี่ยถิงกับสือเสวจิ้นไม่ได้ไปเซ้าซี้หลี่ว์ซู่ต่อเรื่องอยากเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าหรือไม่ พวกเขาให้เวลาหลี่ว์ซู่ไปคิดแล้ว เร่งรีบก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา


 


 


หลังจากนั้นในวันที่สาม ห่าวจื้อเชาก็มาบอกหลี่ว์ซู่ว่าเขาจะต้องเตรียมตัวไปร่วมงานศพของหลิวซิว หลี่ว์ซู่คิดว่าเขาควรซื้อเสื้อสูทสีดำใหม่เสียหน่อย เพราะการแต่งกายก็ถือว่าสำคัญสำหรับงานแบบนี้


 


 


กระนั้นห่าวจื้อเชาก็กลับมาพร้อมกับยูนิฟอร์มของเครือข่ายฟ้าดินที่พอดีไซส์หลี่ว์ซู่เป๊ะๆ ชุดนั้นเป็นเสื้อคลุมสีดำแบบที่หลี่ว์ซู่เคยเห็นพวกเขาใส่มาก่อน


 


 


หลี่ว์ซู่เคยมาที่ฐานทัพในถนนหลิงจิงนี่แล้ว นอกจากห่าวจื้อเชา เนี่ยถิง สือเสวจิ้น จงอวี้ถัง โยวหมิงอวี่ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าหลี่ว์ซู่มาที่นี่ทำไม เพราะมีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าหลี่ว์ซู่พาหลิวซิวกลับมาด้วย


 


 


จงอวี้ถังและโยวหมิงอวี่เดินทางมาจากอวี้โจวเพื่อมาร่วมงานศพโดยเฉพาะ เพราะว่าหลิวซิวถูกส่งไปร่วมภารกิจตามคำสั่งของจงอวี้ถัง และหลิวซิวเองก็เป็นสหายร่วมรบของโยวหมิงอวี่อีกด้วย


 


 


ในขณะที่เนี่ยถิงกล่าวสุนทรพจน์ในงานศพอยู่นั้น เขาก็กวาดตามองผู้ฟังแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า


 


 


“ในภารกิจครั้งนี้ หลิว์ซิวถือเป็นกำลังสำคัญในการกำจัดทาคาชิมะ ทาอิรัตสึ แต่เขากลับตายลงอย่างน่าสลดใจ หลิวซิวเกิดปี 1983 และเขาก็ทำภารกิจลับให้เราในกลุ่มทวยเทพเป็นเวลาทั้งหมดสิบเอ็ดปี สองเดือน และสิบเจ็ดวันด้วยกัน เขาไม่ได้กลับบ้านมาดูใจแม่ตอนที่แม่เขาล้มป่วยลง ในเดือนที่แล้ว เขาบอกอยากลากลับบ้านมากินบะหมี่หมูสับที่บ้านเกิด ฉันก็ให้อนุญาตเขาไปได้ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะต้องกลับมาในสภาพแบบนี้”


 


 


เนี่ยถิงหยุดไปพักหนึ่ง เขาเกือบจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ในยุคนี้ ผู้คนต่างก็อยากได้ชื่อเสียงและเงินทอง ไม่ค่อยมีใครอยากเผชิญกับความลำบาก ใครๆ ต่างก็อยากได้เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นและตำแหน่งที่สูงขึ้นกันทั้งนั้น ทว่ากลับปล่อยให้หน้าที่ปกป้องชาติกลายเป็นของคนอื่นไป”


 


 


“และเนื่องจากไม่มีใครอยากมาทำหน้าที่นี้ เราเองก็ไม่สามารถให้ใครมาทำหน้าที่แทนได้เช่นกัน นี่เป็นพันธะของเรา เป็นเกียรติของฉันที่จะทำงานกับทุกคนที่อยู่ที่นี่ มาช่วยกันส่งเสริมความเชื่อและแรงผลักดันของเราด้วยกันในโลกที่ยากจะคาดเดานี้…


 


 


“วันนี้หลิวซิวได้ยืนหยัดทำแบบนั้นแล้ว และไม่วันนี้หรือพรุ่งนี้ก็อาจจะต้องเป็นฉัน เนี่ยถิงคนนี้อาจจะตายไปสักวัน แต่เครือข่ายฟ้าดินและประเทศจีนของเราจะอยู่ยืนยงต่อไป


 


 


“ขอให้นักสู้ทุกคนในเครือข่ายฟ้าดินเดินหน้าสู้ไปด้วยกันโดยไม่ต้องเกรงกลัวต่อวันพิพากษาที่จะมาถึง จงจำไว้ว่าประกายไฟเล็กๆ ก็สามารถจุดให้เกิดไฟลามทุ่งใหญ่ได้”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม