Soul Pets สยบวิญญาณ สะท้านโลกันตร์ 634-640

 ตอนที่ 634 สามหมื่นวิญญาณ รวยแล้ว!

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมืองหลัว เมืองหวั่งหลัว


ชายวัยกลางคนคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเทา เผชิญกับสายลมที่พัดเข้ามา ก้าวเข้าไปในเมืองหวั่งหลัวอย่างช้าๆ


เมืองหวั่งหลัวไม่ครึกครื้นเหมือนวันเก่าแล้ว ถนนสายหลักเหล่านั้นเงียบผิดปกติ เห็นได้ชัดว่า เป็นผลจากภัยแร้งที่กำลังมาถึง ทำให้คนที่มีเงินทุนไม่น้อยย้ายไปหลบภัยที่เมืองทางด้านเหนือแล้ว ส่วนคนที่มีเงินทุนมากกว่าได้ย้ายไปยังเขตโลกอื่น ก่อนที่ภัยแร้งหายนะครั้งนี้จะหายไปหมด พวกเขาจะไม่กลับมาแน่นอน


ชายที่สวมเสื้อคลุมหยุดเดินตอนที่ถึงกำแพงเมือง มองไปยังกำแพงเมืองที่เก่าแก่ ลังเลพักใหญ่ ถึงก้าวเดินต่อไป เข้าไปข้างในอย่างช้าๆ


“คุณปู่ท่าน ท่านดู เมืองหวั่งหลัวยังอยู่ดี ภัยแร้งยังไม่มาถึงที่นี่สักหน่อย” คนรับใช้หญิงที่อยู่ด้านข้างชายคนนี้พูดขึ้น


ชายคนนี้ไม่ได้พูดอะไร เดินไปตามถนนสายหลักต่อไป


เขาเดินช้ามาก เดินบ้างหยุดบ้าง เหมือนเป็นนักเดินทางที่หวนกลับมาอีกครั้ง ย้อนความทรงจำตลอดทั้งทาง


คนรับใช้หญิงอ่อนช้อยกลับตรงกันข้ามกับชายผู้นี้ พูดไม่หยุดตลอดทั้งทาง ทั้งสองคนกลายเป็นภาพที่ตรงกันข้ามแต่ตลกขบขัน


ชายชราเดินตรงต่อไป สุดท้ายเดินไปถึงเรือนเก่าของตระกูลชู่ ยืนนิ่งอยู่ในเรือนนี้นานมาก ไม่กล้าก้าวเข้าไป


“คุณปู่ท่าน คุณปู่ท่าน ท่านเดินผิดหรือเปล่า?”คนรับใช้หญิงพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น


“ไม่ผิด”ชายคนนี้ส่ายหัว เขาเงยหน้าขึ้น จับจ้องไปยังป้ายที่อยู่ด้านหน้าประตูใหญ่


“เรือนฉิงงั้นหรือ” ชายผู้นี้ขมวดคิ้วทันที


“ใช่ ที่นี่เป็นเรือนฉิง ไม่ใช่เรือนชู่เหรอ” คนรับใช้หญิงพูดขึ้น


ตอนที่พูด คนรับใช้หญิงกะพริบตา มองไปยังสีหน้าซับซ้อนของชายผู้นี้ จึงวิ่งเข้าไปในเรือนฉิง


แม้คนรับใช้หญิงจะเป็นคนรับใช้ แต่การแต่งตัวกลับไม่ด้อยไปกว่าคุณหนูในตระกูลอื่น คนตระกูลฉิงก็สุภาพมาก


ในไม่ช้า คนรับใช้หญิงคนนั้นได้ถามบางอย่างแล้วออกจากตระกูลฉิง วิ่งกลับมา


“คุณปู่ท่าน คนของตระกูลฉิงบอกว่า ตระกูลชู่ย้ายออกไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าย้ายไปที่ใด” คนรับใช้หญิงพูดขึ้น


“คุณปู่ท่าน ท่านนี่จริงๆ เลย พวกเขาขับไล่ท่านเอง ให้ท่านออกจากตระกูล ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในความลำบาก ท่านอยู่เฉยๆ คอยมองอย่างเดียวก็ได้ ทำไมต้องมาหาด้วยตัวเอง ตระกูลแบบนี้ให้ภัยแร้งกลืนกินไปก็ดีแล้ว” คนรับใช้หญิงก็พูดไม่หยุด


ชายคนนี้มองไปยังคนรับใช้หญิงอย่างเยือกเย็น คนรับใช้หญิงรู้ว่าตัวเองพูดมาไปแล้ว รีบหยุดพูด แลบลิ้นเล็กน้อย


“ไปประตูเมืองหลัวก่อนเถอะ” ชายคนนี้ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนรับใช้หญิง


ตอนที่พูด ชายคนนี้ได้ร่ายคาถาขึ้น เริ่มอัญเชิญดวงวิญญาณ


คาถาสำเร็จลงอย่างรวดเร็ว ดวงวิญญาณหมวดปีกที่มีขนสีขาวราวกับเมฆ ปักษาเหินเมฆ


ปักษาเหินเมฆ ตระกูลภูตอสูร หมวดปีก กลุ่มปักษาเหินเมฆ ระดับจักรพรรดิ


ขนาดของดวงวิญญาณเหมือนปักษาเมฆที่มีขนนกสีขาว บนปีกที่กางออกนั้นมีลายเส้นสีฟ้าอ่อนที่พลิ้วไหวตามสายลมราวกับเมฆ ขนนกสีขาวยาวบริเวณหางนั้นพลิ้วไหวเล็กน้อย เผยให้เห็นแสงสีฟ้าอ่อนๆ ราวกับเติมเต็มความโดดเด่นออกมาเล็กน้อย


ดวงวิญญาณแบบนี้มองแค่ภายนอกก็รู้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแล้ว อีกทั้งระดับพลังต่อสู้ไม่เบาแน่นอน


ชายคนนี้กับหญิงรับใช้กระโดดขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว ปีกของปีกษาเหินเมฆกางออก เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เหินขึ้นฟ้าอย่างง่ายดาย


ท่าทีนี้ทำให้ผู้คนล้อมเข้ามาดูทันที ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายของเรือนฉิงต่างตกใจอย่างมาก เพราะผู้แข็งแกร่งอย่างพวกเขากลับไม่รู้ระดับของดวงวิญญาณหมวดปีกตัวนี้ มีเพียงเงาที่บินด้วยความเร็วอย่างแผ่วเบานั้น เมื่อเทียบกับดวงวิญญาณหมวดปีกของพวกเขาเองแล้ว อยู่คนละชั้นอย่างสิ้นเชิง



ภูเขาทรงพลัง


ผู้เฒ่าหลีเก็บวิญญาณสิบห้าอันอย่างคล่องแคล่ว เดิมการขุดวิญญาณต้องใช้เทคนิค ถ้าพลาดเล็กน้อย จะทำให้วิญญาณเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม วิญญาณที่เล็กแบบนั้น มีรอยเส้นเดียวก็จะทำให้มันเสียหายแล้ว


หลังจากเก็บวิญญาณไปแล้ว ผู้เฒ่าหลีเต็มไปด้วยรอยยิ้มภูมิใจ พึมพำว่า “จะร้อยปีแล้ว หนึ่งร้อยปีที่ไม่ได้ทำงานแบบนี้ ไม่ชินมือเสียเลย”


ในมือถือวิญญาณที่ใหญ่ที่สุดนั้น ผู้เฒ่าหลีลูบหนวดเส้นเดียวของตัวเอง นำวิญญาณเม็ดใหญ่สุดนั้นมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เหมือนพ่อค้าเพชรที่คอยตรวจสอบ เผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งคราว


“อืม ยังดีที่ไม่เสียหาย มิฉะนั้น จะเสียไปอีกหลายร้อยวิญญาณ ทั้งหมดเจ็ดพันแปดร้อยวิญญาณนี้ เยอะกว่าที่ข้าคาดไว้อีก” ผู้เฒ่าหลีพูดต่อ


ตอนที่พูด ผู้เฒ่าหลีกลับพบว่า ไม่เห็นชู่มู่กับจิ้งจอกน้อยแล้ว จึงเก็บวิญญาณเอาไว้ เดินด้วยขาสั้น อ้อมไปยังบริเวณที่ชู่มู่พูดเมื่อกี้


“เอ๊ะ ตรงนี้ยังมีหลุมอยู่….โอ้ว กลิ่นวิญญาณที่หนาแน่นมาก!!!” ผู้เฒ่าหลีร้องขึ้น


หลังจากอึ้งเล็กน้อย ผู้เฒ่าหลีรีบเดินต่อ วิ่งเข้าไปในหลุมนั้นด้วยความเร็วสูง


“โอ้โห!!!”


ในถ้ำแห่งนี้ เสียงตื่นเต้นของผู้เฒ่าหลีดังก้องไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าตกใจกับลักษณะภายในของถ้ำนี้อย่างมาก!


“รวยแล้ว!!รวยแล้ว!!!รวยแล้ว!!”ผู้เฒ่าหลีเหมือนพ่อค้าเจ้าเล่ห์แคระคนหนึ่ง หลังจากเห็นวิญญาณสิบกว่าอันบนกำแพงถ้ำนี้แล้ว กลับใช้วิธีลึกลับเฉพาะตัว ขึ้นลงไปมารอบๆ วิญญาณเหล่านี้ เรียกได้ว่าเหินฟ้าลงดินได้!


ชู่มู่เองก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้จะไม่รู้การประเมินราคาของวิญญาณเหล่านี้ แต่เห็นได้ชัดว่า วิญญาณในถ้ำนี้เยอะกว่าผนังหินด้านนอกอีก


“ข้าบอกแล้ว แม้แต่ชนเผ่าขั้นสามยังบุกเข้าไปในโลกของมนุษย์ได้ แหล่งวิญญาณนี้จะมีแค่เจ็ดพันแปดร้อยวิญญาณได้อย่างไร…” ขณะที่ผู้เฒ่าหลีประเมินวิญญาณ พึมพำไปด้วย


เรื่องเก็บวิญญาณ ผู้เฒ่าหลีเชี่ยวชาญอย่างมาก ชู่มู่แค่นั่งอยู่ตรงนั้น สูดอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งชีวิตเหล่านั้นก็พอ


แน่นอนว่า ก่อนที่ผู้เฒ่าหลีมาถึงชู่มู่เองได้นับไว้แล้วว่ามีกี่ก้อน ถ้าไม่นับให้ดีละก็ เจ้าแก่นี้จะซุกเอาไว้เองด้วยแน่นอน ชู่มู่เข้าใจความโลภของมันดีเกินไปแล้ว


“ผู้เฒ่าหลี ที่นี่มีประมาณเท่าไร” ชู่มู่ถามขึ้น


“ยังไม่ได้นับ…นายท่านเจอที่นี่ได้อย่างไร เห้อ คนแก่อย่างข้าไม่ได้ใช้ทักษะนานเกินไปแล้ว เกือบปล่อยให้แหล่งวิญญาณมหาศาลนี้หลุดไปได้…”ผู้เฒ่าหลีบอก


“ทักษะ เจ้ามีทักษะอะไร” ชู่มู่ถามอย่างสงสัย


ชู่มู่จำได้ว่าพลังโจมตีของผู้เฒ่าหลีแทบจะเป็นศูนย์ แต่ความสามารถในการวิ่งหนีกลับไม่มีจำกัด ดวงวิญญาณระดับราชันจะจับมันได้หรือไม่ยังไม่รู้ ส่วนทักษะของผู้เฒ่าหลี ชู่มู่รู้สึกว่าน่าจะเป็นทักษะวิ่งหนี


“อ๊า ไม่มีอะไร นายท่าน วิญญาณที่นี่มีประมาณสองหมื่นกว่า บวกกับจำนวนที่อยู่ด้านนอก น่าจะมีถึงสามหมื่นวิญญาณ แต่นี่เป็นระดับเทียบเท่าราชันที่มีหมวดเดี่ยวสามตัวเชียว ครั้งนี้นายท่านรวยแล้วจริงๆ!” ผู้เฒ่าหลีบอก


“สามหมื่นวิญญาณ!!!” ชู่มู่เผนสีหน้าดีใจออกมา!


ใช้สองหมื่นวิญญาณที่ได้มาเพิ่มความแข็งแกร่งให้มารนิรยขาว ชู่มู่ก็รู้สึกพอใจอย่างมากแล้ว!


และแล้วไม่คิดว่า แหล่งวิญญาณนี้ยังให้เกินมาหนึ่งหมื่นวิญญาณ นี่จะเป็นเทียบเท่าราชันอีกตัวหนึ่งเชียว!


ชู่มู่ในตอนนี้ปวดหัวกับวิญญาณที่ขาดแคลนอย่างมาก ดวงวิญญาณรองของชู่มู่ยังไม่เท่าไร หมวดปกติอย่างมาก แต่พวกดวงวิญญาณหลัก แทบจะไร้ที่ติ!


พูดถึงจั้นเย้ก่อน


หมวดของจั้นเย้คือแมลงกับอสูร หมวดหลักน่าจะเป็นแมลง อีกหมวดหลักหนึ่งเป็นอสูร แต่เห็นได้ชัดว่า หมวดอสูรจะอ่อนกว่า หมวดรองไม่นับ นี่เป็นหมวดหลักที่ชู่มู่ใช้เงินทุนมหาศาลเพิ่มความแข็งแกร่ง


หมวดของจั้นเย้เพี้ยนไปหมดแล้ว หมวดแมลงไม่เพียงแต่เป็นหมวดหลัก อีกทั้งยังเป็นหมวดผิดปกติด้วย เมื่อเทียบกับดวงวิญญาณหมวดแมลงที่แท้จริงมากมายแล้ว มันยังผิดปกติกว่ามาก


เดิมหมวดหลักอสูรนี้กลับกลายเป็นหมวดรอง อีกทั้งยังอ่อนกว่าหมวดรองอีก


ชู่มู่เองก็เพิ่งเริ่มทำการปรับการฝึกจั้นเย้ตอนลักษณะสาม ถึงจะปรับหมวดอสูรของจั้นเย้กลับมาได้ บางทีใช้แค่ไม่กี่พันวิญญาณก็ทำให้จั้นเย้กลายเป็นราชันหมวดเดี่ยวได้แล้ว


อย่างไรก็ตามพรสวรรค์ของบางหมวดยิ่งมากเท่าไร โอกาสที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งก็จะมากขึ้นด้วย อีกทั้งต่อสู้นานแล้ว ยังอาจเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยตัวเองได้


เพิ่มความแข็งแกร่งด้วยตัวเองต้องใช้เวลาอย่างมากแน่นอน ชู่มู่เองไม่สามารถรอนานขนาดนั้นได้ ดังนั้น จะต้องให้จั้นเย้เพิ่มความแข็งแกร่งถึงระดับราชันทั้งหมวดหลักคู่ให้ได้ เงินทุนที่ต้องใช้จะสูงกว่าตอนนี้ถึงสี่เท่า คือสี่หมื่นวิญญาณ


เพิ่มความแข็งแกร่งหมวดแมลงของจั้นเย้ให้อยู่ในระดับราชัน ไม่กี่พันวิญญาณก็พอแล้ว แต่ในด้านหมวดอสูร กลับต้องใช้สามหมื่นกว่าวิญญาณ นี่เป็นจำนวนเงินที่ห่างกันอย่างมาก


ความจริงแล้ว พรสวรรค์คือตัวกำหนดความสูงต่ำของเงินทุน เช่นเดียวกับที่เพิ่มความแข็งแกร่งหมวดแมลงของจั้นเย้ใช้แค่ไม่กี่วิญญาณ เพราะพรสวรรค์หมวดแมลงของจั้นเย้ผิดปกติอย่างมาก


ผู้คุมดวงวิญญาณหลายคน ดวงวิญญาณที่พวกเขาเก็บมาในรุ่นแรก โดยหลักจะขึ้นอยู่กับระดับตระกูล


แต่ในตอนที่เริ่มเข้าสู่รุ่นที่สอง ไม่เพียงแต่ต้องดูที่ระดับตระกูล ยังต้องดูพรสวรรค์หมวดของดวงวิญญาณนั้นด้วย ถ้าพรสวรรค์หมวดต่ำเกินไป จะต้องใช้เงินทุนเพิ่มความแข็งแกร่งไม่น้อย


ทว่า โดยปกติแล้ว หมวดของดวงวิญญาณส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับปกติ ต่อให้มีหมวดที่สูงบ้างต่ำบ้าง เงินที่ใช้จะอยู่ระหว่างศูนย์จุดแปดถึงสองเท่า โอกาสที่จะเกินหรือน้อยกว่านี้ น้อยยิ่งกว่าน้อย…


ไม่พูดถึงปัญหาเรื่องพรสวรรค์ก่อน พูดถึงปัญหาของมังกรจำศีลน้อย


เงินทุนหกเท่าของมังกรจำศีลน้อยก็ทำให้ชู่มู่ปวดหัวมากๆ แล้ว ต่อมาคือ เงินทุนหนึ่งเท่าของภูตเวหาน้ำแข็ง เงินทุนสองเท่าของราชันผีหินผา เงินทุนสองเท่าของอสูรสายฟ้านิมิตราตรี จะให้ทั้งหมดอยู่ในระดับราชัน จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลอย่างมาก


ยังดีที่มั่วเย้น้อยสู้มากที่สุด ได้แปรเปลี่ยนตระกูลเป็นราชันขั้นต่ำ


แม้ผู้เฒ่าหลีจะจัดให้มั่วเย้อยู่ในหมวดรองไฟ แต่ว่าชู่มู่รู้ดีว่า ความจริงแล้ว มั่วเย้น่าจะต้องจัดอยู่ในดวงวิญญาณที่มีหมวดหลักสามอันถึงจะเหมาะกับราชันอัคคีสลายจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด


ดวงวิญญาณหมวดเดี่ยว ใช้เงินทุนเพิ่มความแข็งแกร่งหนึ่งเท่า


ดวงวิญญาณที่มีพรสวรรค์หมวดหลักหนึ่งรองหนึ่ง โดยปกติต้องใช้เงินทุนเพิ่มความแข็งแกร่งหนึ่งจุดห้าถึงสองเท่า และจะให้รองของมันกลายเป็นหลักด้วย ต้องใช้เงินทุนห้าเท่า อีกทั้งเริ่มเพิ่มความแข็งแกร่งจากลักษณะขั้นต่ำด้วย


พรสวรรค์หมวดหลักคู่ ถ้าอย่างนั้นต้องใช้เงินทุนเพิ่มความแข็งแกร่งสามเท่า ดวงวิญญาณแบบนี้ ชู่มู่เคยเห็นแค่ภูตอัคคีน้ำแข็งของเย้ชิงจือเท่านั้น


เดิมสายเลือดของราชันอัคคีสลายจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดซับซ้อนอยู่แล้ว แต่มั่นใจได้ว่า หมวดยิ่งมาก ยิ่งใช้เงินมาก ถ้ามีหมวดหลักสาม แล้วหากชู่มู่พลาดเข้าไปละก็ จะถึงระดับที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้มั่วเย้ต้องใช้เงินทุนถึงสิบเท่า


ดังนั้น ดวงวิญญาณที่ผลาญเงินมากมายขนาดนี้ มีหนึ่งหมื่นวิญญาณที่เกินมาแบบนี้ สำหรับชู่มู่แล้วยังคงเป็นจำนวนที่เท่าน้ำหยดหนึ่งอยู่ดี แต่กลับเพิ่มความแข็งแกร่งให้ได้ราชันตัวหนึ่ง ทำให้ชู่มู่มีต้นทุนหาเงินมากขึ้น!!!


———————————————————————–


ตอนที่ 635 เขตพื้นที่ด้านตะวันตกสุดของมนุษย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“สามหมื่นกับร้อยกว่า เลขท้ายเอามาเป็นอาหารได้พอดี” ผู้เฒ่าหลีกระโดดลงมา มือเล็กๆ ทั้งสองกลับเต็มไปด้วยวิญญาณทั้งหมด


“มีสามหมื่นก็พอ!” ชู่มู่ฉีกยิ้ม


โลกตะวันตกมีเมืองมารนิรยแห่งหนึ่งพอดี คาดว่าถ้าเสนอสองหมื่นวิญญาณ คนของวังมารนิรยน่าจะยอมให้วัตถุวิญญาณที่เพิ่มความแข็งแกร่งมารนิรยขาว


หนึ่งหมื่นวิญญาณที่เหลือ เอามาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตเวหาน้ำแข็งเถอะ ภูตเวหาน้ำแข็งอยู่ในระดับจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว หลังจากอยู่ในลักษณะสิบ น่าจะสลายพลังส่วนหนึ่งของน้ำแข็งเทพดินได้แล้ว ชู่มู่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันอยู่ในระดับราชัน


หลังจากภูตเวหาน้ำแข็งอยู่ในระดับราชัน ชู่มู่ยังมีน้ำแข็งเทพดินอีกครึ่งหนึ่ง รออีกสักพักหนึ่ง ชู่มู่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตเวหาน้ำแข็งอยู่ในระดับราชันขั้นต่ำได้ เช่นนี้ ความสามารถของชู่มู่จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก!


เวลาไม่ถึงหนึ่งปี ชู่มู่จะอยู่เหนือราชันวิญญาณมากมายได้แน่นอน


“นายท่าน โดยปกติแล้ว จำนวนวิญญาณที่ผลิตต่อหนึ่งปีเป็นหนึ่งในสิบของจำนวนวิญญาณที่เก็บได้ในครั้งหนึ่ง เท่ากับว่า ที่นี่จะมีสามพันวิญญาณทุกปี ในเวลาสามปีจะสร้างเทียบเท่าราชันตัวหนึ่งได้ นี่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างมาก แม้สิบปีหลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดน้อยลง แต่ในเวลายี่สิบปีจะมีเทียบเท่าราชันประมาณห้าตัว เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก วิญญาณที่นายท่านชิงมาต้องนำมาเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณ แต่หลังจากที่ดวงวิญญาณทั้งหมดอยู่ในระดับราชันแล้ว จะใช้สิบกว่าวิญญาณต่อวัน การต่อสู้ครั้งใหญ่อาจใช้ถึงร้อยวิญญาณ นี่เป็นเงินทุนทั้งนั้น ต้องใช้แหล่งวิญญาณที่คงอยู่เป็นเวลานานเพื่อให้คงอยู่ต่อไป” ผู้เฒ่าหลีบอก


“อืม ข้าจะพยายามช่วยเหลือตระกูลชู่ ให้พวกเขาจัดการกิจการที่นี่” ชู่มู่พยักหน้า


แหล่งทรัพยากรรอบเมืองเจ็ดสีอุดมสมบูรณ์อย่างมาก แม้แต่เจ้าโลกยังสนใจอย่างมาก แต่น่าเสียดาย ที่นี่ยากจะค้นพบเหลือเกิน แต่ในตอนนี้ กลุ่มเสือดาวของภูเขาทรงพลังถูกกำจัดไปแล้ว พื้นที่ของโลกตะวันตกได้ขยายออก การขยายแบบนี้ทำให้ตระกูลชู่ได้แหล่งทรัพยากรที่พอจะให้ตระกูลก้าวกระโดดไปได้


“นายท่าน ถ้าจะครอบครองแหล่งทรัพยากรที่นี่ อย่างแรกต้องทำให้อำนาจหลายๆ แห่งชะงักลงก่อน อย่างแรกคือประตูเมืองหลัว ประตูเมืองหลัวจงใจส่งคนมาที่นี่ ราชันวิญญาณคนนั้นสนใจมานานแล้วแน่ๆ ถ้าไม่มีความสามารถมากพอไปหยุดเขาไว้ได้ เขาจะไม่หยุดง่ายๆ แน่นอน อีกอย่างคือ ตระกูลชู่หลัก ผู้แข็งแกร่งของตระกูลชู่หลักมีเยอะมาก ในนั้นมีผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในอำนาจด้วย คนพวกนี้จะใช้ชื่อของตระกูลชู่หลัก โดยปกติ จะปรากฏตัวที่ตระกูลชู่หลักเฉพาะช่วงที่เกิดภัยแร้งเท่านั้น” ผู้เฒ่าหลีบอก


“ตระกูลชู่หลักมีจุดพิเศษอะไร แล้วก็โลกตะวันตกเหมือนจะไม่ใช่โลกขั้นหนึ่งธรรมดา มีอำนาจเยอะมาก มีผู้แข็งแกร่งเยอะมาก”ชู่มู่ประหลาดใจมาก โดยปกติแล้ว เขตโลกขั้นหนึ่งน่าจะมีเจ้าโลกแค่คนเดียว คือราชันวิญญาณที่มีเทียบเท่าราชันคนหนึ่ง บางครั้งจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ใช้ชีวิตเกษียณในเขตโลกบางแห่ง แต่ในโลกตะวันตกแห่งนี้ อำนาจมากมาย ผู้แข็งแกร่งมากคน


“ระดับของเขตโลกหนึ่งจะประเมินจากแหล่งทรัพยากร ด้วยทรัพยากรของโลกตะวันตกแล้ว ยี่สิบปีถึงจะมีเทียบเท่าราชันหนึ่งตัว แต่โลกตะวันตกนี้อยู่ในตำแหน่งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างมาก บริเวณด้านตะวันตกเฉียงเหนือ คือทะเลเหิงที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ทะเลเหิงไม่อยู่ในเขตของมนุษย์ ครองโดยวังมารนิรย เท่ากับว่าภูเขาเหิงนั้นเป็นเมืองมารนิรยทั้งหมด”


“ด้านเหนือของโลกตะวันตก เป็นเมืองต้องห้าม ด้านเหนือสุดของเมืองต้องห้ามและเมืองอั่วกู่ได้ติดกับหุบเขาตัดมังกรหมื่นที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ส่วนหุบเขาตัดมังกรหมื่นนี้เป็นชนเผ่าระดับที่เท่าไร จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรู้…”


ส่วนเรื่องของหุบเขาตัดมังกรหมื่น ชู่มู่สงสัยอย่างมาก ทำไมผู้แข็งแกร่งของมนุษย์ถึงไม่ลงมือจัดการหุบเขาตัดนี้ อย่างไรหุบเขาตัดนี้มีโอกาสที่จะเกิดภัยแร้งสูงมาก เป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างมาก


ในตอนนี้ชู่มู่ได้ถามผู้เฒ่าหลีไปด้วย


“กำจัดแมลงปีศาจเวหางั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ เจ้ารู้ว่า ศัตรูฉกาจของเมืองเทียนเซี่ยคืออะไรไหม” ผู้เฒ่าหลีพูดขึ้น


“หรือว่าจะเป็นหุบเขาตัดมังกรหมื่นแห่งนี้” ชู่มู่ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ


ผู้เฒ่าหลีส่ายนิ้วชี้ พูดขึ้นว่า “พื้นที่ชนเผ่าของหุบเขาตัดมังกรหมื่น ไม่สามารถเทียบกับเขตของมนุษย์ได้ เปรียบเทียบแบบนี้จะดีกว่า ถ้าเมืองเทียนเซี่ยเป็นประเทศหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเมืองอั่วกู่จะเป็นช่องทางผ่านอันสำคัญที่เชื่อมไปยังอีกประเทศหนึ่ง เอาไว้เป็นป้อมเฝ้าชายแดน ส่วนอีกประเทศหนึ่งที่ว่า คืออาณาจักรหมวดแมลงที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายในเมืองเทียนเซี่ยหน้าเสีย เพราะแมลงปีศาจเวหาคือผู้ปกครองอาณาจักรแมลงที่เต็มไปด้วยหมวดแมลงมากมาย ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าอาณาจักรแมลงปีศาจเวหา ทั้งอาณาจักรหมวดแมลงนี้ได้ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดในด้านเหนือของเมืองต้องห้าม ใหญ่จนยากจะจินตนาการได้ อาจใหญ่กว่าทั้งเขตเมืองเทียนเซี่ยอีกด้วย”


“และทางผ่านที่ตั้งเชื่อมอยู่ระหว่างอาณาจักรของมนุษย์และชายแดนของแมลงปีศาจเวหา ก็คือหุบเขาตัดมังกรหมื่นนั่นเอง!” ผู้เฒ่าหลีบอก


พอผู้เฒ่าหลีพูดแบบนี้ ชู่มู่สะเทือนใจอย่างมาก !!!


ในตอนแรกที่ได้ยินเรื่องของหุบเขาตัดมังกรหมื่น หุบเขาพันและหุบเขาหมื่นไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์เข้าไปก้าวก่ายได้แล้ว


ที่ทำให้ชู่มู่คาดไม่ถึงคือ หุบเขาตัดมังกรหมื่นที่มีข่าวสะเทือนใจแบบนี้ กลับเป็นแค่หนึ่งในทางผ่านอันสำคัญบริเวณชายแดนของ ‘อาณาจักรหมวดแมลง’ ของเมืองต้องห้ามด้านเหนือ


ถ้าอย่างนั้นอาณาจักรหมวดแมลงในเมืองต้องห้ามนี้จะมีขอบเขตกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดมาเพียงใดกันแน่!


“เขตพื้นที่ของมนุษย์พวกเจ้าเหมือนจันทร์เสี้ยวที่วางอยู่บนแผ่นดินใหญ่”


“โลกตะวันตกคือเสี้ยวที่อยู่ด้านซ้ายสุด”


“ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของโลกตะวันจก (ซ้ายบน) คือทะเลเหิงกว้างใหญ่นั้น ด้านเหนือ (บน) คืออาณาจักรหมวดแมลงกว้างใหญ่มหาศาล ด้านตะวันตกเฉียงใต้ (ซ้ายล่าง) คือบ่อน้ำตะวันตก คือที่ตั้งของเมืองต้องห้าม ส่วนด้านตะวันออก (ขวา) คือโลกของมนุษย์”


“ทั้งสามด้านต่างเป็นเมืองต้องห้ามซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของดวงวิญญาณ โลกตะวันตกนี้จะไร้ความพิเศษได้อย่างไร? ด้านตะวันตกเฉียงเหนือมีวังมารนิรยครองอยู่ ด้านเหนือคือตระกูลชู่หลัก ด้านตะวันตกเฉียงใต้ไม่มีใครดูแล อย่างมากก็เป็นแค่ลัทธิทางใต้บางอย่าง”


“ความจริงเมืองตะวันตกที่นายท่านอยู่นี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองตะวันตกเฉียงใต้ตั้งนานแล้ว ในตอนแรกสุดมนุษย์พัฒนาถึงแค่เมืองเจ็ดสี้นี้ ดังนั้น ถึงเรียกที่นี่ว่า เมืองตะวันตก ความจริงเมืองเจ็ดสีของเมืองตะวันตกคือตำแหน่งที่เข้าใกล้กับด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองต้องห้ามมากที่สุด เนื่องจากชนเผ่าของภูเขาทรงพลังค่อนข้างมั่นคง ชนเผ่าบ่อน้ำตะวันตกจึงว่างอยู่แค่ตรงนั้น ไม่ดุร้ายเหมือนทะเลเหิงกับหุบเขาตัดมังกรหมื่น ทิศทางนี้จึงค่อนข้างมั่นคงกว่า”


“ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของโลกตะวันตกสงบมานานแล้ว ไม่มีอำนาจอะไรคอยป้องกัน ถ้าบอกว่าบ่อน้ำตะวันตกมาเพื่อแหล่งวิญญาณนี้ละก็ ถ้าอย่างนั้นเมืองเจ็ดสีจะต้องรับเคราะห์แล้ว แต่ถ้าบ่อน้ำตะวันตกเต็มไปด้วยความโลภ คิดจะกลืนกินโลกตะวันตกไปด้วย เกรงว่าทั้งทางใต้ของโลกตะวันตกจะต้องตกอยู่ที่มัน เพราะในทางใต้ของโลกตะวันตกนี้ไม่มีพลังใดจะต้านทานการบุกรุกของชนเผ่าขั้นสามได้” ผู้เฒ่าหลีบอก


“สาหัสขนาดนั้นเหรอ!” ชู่มู่พูดอย่างประหลาดใจ


เดิมชู่มู่คิดว่า มีแค่พื้นที่ของเมืองเจ็ดสีจะถูกกลืนกิน ต่อให้เป็นหายนะ อย่างมากก็แค่เมืองทั้งหมดของเมืองตะวันตก แต่ไม่คิดว่าภัยแร้งหายนะครั้งนี้จะกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของโลกตะวันตก!


“รอดูข่าวเถอะ คาดว่าใกล้จะได้ผลสรุปแล้ว นายท่านคิดจะครองแหล่งวิญญาณนี้ นอกจากจะเกิดการแย่งชิงจาก วังมารนิรย ประตูเมืองหลัว ตระกูลชู่หลัก องค์กรการค้าแล้ว อีกอย่างก็คือบ่อน้ำตะวันตกชนเผ่าขั้นสามนี้แล้วละ”


“อำนาจของมนุษย์ยังไม่เท่าไร เจราจาได้ นายท่านไปพูดคุยกับราชันวิญญาณที่สนใจจะผูกมิตรกับท่านหรือคนที่เป็นมิตรกับท่านเหล่านั้น บอกเป็นนัยว่าจะมีส่วนแบ่งให้พวกเขา ด้วยตำแหน่งของนายท่านตำหนักวิญญาณ พวกเขายังคงสนับสนุนท่านอยู่ดี”


“บ่อน้ำตะวันตกชนเผ่าขั้นสาม อันนั้นพูดคุยยากแล้ว เดิมพวกมันก็คิดจะมาแย่งอยู่แล้ว และแล้วถูกนายท่านเข้าชิงก่อน นายท่านไม่มีความสามารถหยุดพวกมันไว้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องล้มเลิกรายได้สามพันวิญญาณต่อปีนี้แล้ว” ผู้เฒ่าหลีพูดพลางลูบหนวด


ในเวลาสองปี จะมีราชันวิญญาณกลุ่มใหญ่อยู่กับชู่มู่ ต้องแก้ปัญหาอาหารการกินด้วย มิฉะนั้น จะเกิดเป็นเงินมหาศาลถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไป


ดังนั้น ชู่มู่ยังต้องคิดหาวิธีกำจัดบ่อน้ำตะวันตกนี้ จัดการไม่ได้ ก็ต้องให้พกวมันหยุดลง ให้ตระกูลชู่กลายเป็นผู้ปกครองในด้านทิศใต้นี้



หลังจากเก็บสามหมื่นวิญญาณแล้ว ชู่มู่ได้สำรวจรอบรังเก่าของราชันเสือดาวรอบหนึ่ง เก็บของที่ส่องประกายทั้งหมดไปด้วย


ของที่ส่องประกายเหล่านี้เป็นเหรียญทอง เอาไปเป็นเงินทุนขยายตระกูลให้ตระกูลชู่ แม้เมื่อเทียบวิญญาณกับเหรียญทองจะต่างกันอย่างมาก แต่ยังคงสำคัญต่อการพัฒนาตระกูลอย่างมาก


หลังจากเก็บกวาดแล้ว ชู่มู่ได้ใส่ไว้ในแหวนช่องว่างอันหนึ่งจนเต็ม นับว่าได้กลับไปอย่างเต็มกระเป๋า


“นายท่าน หลังจากภัยแร้งสงบลงแล้ว ให้ตระกูลชู่ตั้งกลุ่มสำรวจภูเขาทรงพลังเหล่านี้ กลุ่มเสือดาวจำนวนมหาศาลถูกกำจัดไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นในภูเขาแห่งนี้ จะต้องมีดวงวิญญาณตัวอ่อนมากมายกำพร้า ให้พวกเขาพาคนมาออกล่า จะได้ดวงวิญญาณตัวอ่อนมากมายแน่นอน ถ้ารวมพวกนี้เข้าด้วยกันละก็ จะได้เงินมหาศาลมาก ต่อให้ไม่ขาย เก็บไว้เป็นสวัสดิการของตระกูล ถ้าอย่างนั้นคงมีคนนับไม่ถ้วนแย่งกันเข้าร่วมตระกูลชู่ จะทำให้อำนาจของตระกูลแข็งแกร่งขึ้นมาทันตา” ผู้เฒ่าหลีบอก


พอผู้เฒ่าหลีพูดแบบนี้ ตาของชู่มู่เป็นประกายทันที


อำนาจหนึ่ง จะมีอะไรที่ดีกว่าสวัสดิการอย่างดวงวิญญาณตัวอ่อนล่ะ


คาดว่าหลังจากจับดวงวิญญาณตัวอ่อนพวกนี้แล้ว ตระกูลชู่จะรวยอีกครั้งแล้ว!


ถ้าจะถามว่า ทำไมชู่มู่ไม่จับดวงวิญญาณตัวอ่อนพวกนี้ไปด้วยตัวเองเลยล่ะ


ทั้งภูเขาทรงพลังนี้เกือบจะครึ่งหนึ่งของเขตโลกแล้ว ต่อให้ในตอนนี้มีทองเต็มทั่วภูเขาทรงพลัง ชู่มู่จะมีแรงไปเก็บทีละส่วนได้อย่างไรกัน



แน่นอนว่า ไม่ว่าสิ่งใด ก็ไม่สำคัญเท่าสามหมื่นวิญญาณนั้น ชู่มู่เก็บสามหมื่นวิญญาณไว้ในแหวนช่องว่างสำคัญที่สุดของตัวเอง กลับไปด้วยกระเป๋าที่เต็มไปด้วยของมากมาย


ตอนที่ชู่มู่กลับไปถึงหุบเขาทรงพลัง ฟ้าสว่างแล้ว เส้นทางค่อนข้างไกล ยังดีที่ที่อาศัยของราชันเสือดาวอยู่ไม่ใต้ไกลเกินไป มิฉะนั้นคงจะกลับมาไม่ได้ในหลายวัน


“ชู่มู่ ชู่มู่!!! เจ้ากลับมาสักที พวกข้าตกใจหมด!!!” ชู่หลั่งที่เฝ้าอยู่ด้านนอกหุบเขาเห็นชู่มู่กลับมา รีบวิ่งเข้ามา พูดอย่างใจร้อน


“ข้าเข้าไปดูในภูเขาทรงพลัง เก็บของบางอย่างมาด้วย สถานการณ์ในหุบเขาไม่เป็นไรใช่ไหม” ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา แล้วถามขึ้น


“อืม พวกเราเก็บกวาดกลุ่มเสือดาวที่ค้างอยู่ในหุบเขาทั้งคืน แต่แอ่งศพนั้น โดดเด่นเกินไป ข้าพาคนอื่นเดิมอ้อม ทุกคนยังคงอ้วกอยู่ดี แต่ตอนเช้า อาสองได้ให้คนไปเก็บเศษวิญญาณ ผลึกวิญญาณ ผลึกอวัยวะภายในมาแล้ว ค่อยทำการถม ตอนนี้น่าจะถมได้ประมาณหนึ่งแล้ว” ชู่หลั่งบอก


“พาข้าไปหาท่านอาเถอะ ข้ามีของบางอย่างจะให้เขา” ชู่มู่บอก


“ของอะไรหรือ” ชู่หลั่งเองก็ถามด้วยความสงสัย ด้วยความสามารถของชู่มู่ในตอนนี้ สิ่งที่เขาจะให้ไม่ธรรดาแน่นอน


“เดี๋ยวเจ้าก็รู้” ชู่มู่ยิ้มเล็กน้อย ตั้งใจทำให้ชู่หลั่งตื่นเต้น


คาดว่าตอนที่ชู่หลั่งเห็นเสือดาวระดับราชันตัวอ่อนกับเศษวิญญาณผลึกวิญญาณมหาศาล จะต้องตาถลนออกมาแน่


——————————————————————————–


ตอนที่ 636 ก้าวข้ามเมืองโลก ความตื่นเต้นของชู่เทียนเหิง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากเข้าไปในหุบเขาแล้ว ประชาชนสามหมื่นกว่าคนของเมืองเจ็ดสีได้สร้างที่พักอาศัยชั่วคราวในเขตเมืองเก่าแห่งนี้แล้ว รวมตัวอยู่ในลานกว้างของเมืองเก่านี้


บริเวณตรงกลาง คือตำแหน่งตั้งเต็นท์สีเหลืองของสมาชิกตระกูลชู่ ชู่หลั่งพาชู่มู่มุ่งหน้าไป คนไม่น้อยต่างมองไปยังชู่มู่ด้วยความอยากรู้


ความจริงคนของเมืองเจ็ดสีไม่รู้ว่า คนที่ช่วยชีวิตพวกเขาทั้งหมดคือวัยหนุ่มที่เดินผ่านด้านหน้าพวกเขาคนนี้ ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับราชันอัคคีเก้าหางนั้น กลับกลายเป็นเรื่องที่สามหมื่นกว่าคนรู้ในชั่วค่ำคืน พวกเขารู้ว่า มีผู้คุมดวงวิญญาณแข็งแกร่งคนหนึ่งพาราชันอัคคีเก้าหางปกป้องพวกเขาจากหายนะของชนเผ่ากลุ่มเสือดาว


“น่าแปลก ทำไมเหมือนวุ่นวายไปหมด” ตอนที่ชู่หลั่งเดินไปในเต็นท์ของสมาชิกตระกูลชู่ ทันใดนั้น พบว่าคนในนั้นเกิดความชุลมุนไม่น้อย


ชู่มู่กับชู่หลั่งเองได้เร่งฝีเท้า เดินไปทางนั้น


“ชู่มู่!!!”


“ชู่มู่ ขอบคุณพระเจ้า เจ้าไม่เป็นอะไร!!!”


ชู่มู่เดินเข้ามา คนมากมายจำเขาได้ทันที ต่างล้อมเข้ามาด้วยความตื่นเต้น


“พวกเราคิดว่า เจ้าไปพร้อมกับกลุ่มเสือดาวเหล่านั้นแล้ว เกือบคิดจะตั้งป้ายหลุมให้เจ้าแล้ว” ชู่อิงเช็ดตาเล็กๆมองดูแล้วคงดีใจจนน้ำตาไหล


ส่วนน้องสาวคนเล็กชู่อีซุ่ยเต็มไปด้วยน้ำตา ดึงแขนของชู่มู่แล้วพูดไม่หยุด


เดิมเหล่าชายวัยกลางคนที่ต่อสู้ไปพร้อมกับชู่มู่ยังพักผ่อนอยู่ รู้ว่าชู่มู่กลับมาแล้ว ต่างลุกขึ้น ฉีกยิ้มออกมาบนใบหน้าที่เหนื่อยล้า แม้แต่รอยยิ้มของจางอิงยังดูจริงใจอย่างมาก!


“ชู่มู่คือวีรบุรุษของพวกเราทุกคน!!!” ชู่เทียนหลิงเองพูดขึ้นอย่างไม่รักษาหน้าของผู้ใหญ่


“ถูก ชู่มู่คือมหาวีรบุรุษของตระกูลเรา เป็นมหาวีรบุรุษของเมืองเจ็ดสี!” ชู่เทียนฉีพูดตอบทันที


ในเวลานี้สมาชิกทั้งหมดของตระกูลต่างแต่งตั้งให้ชู่มู่เป็นวีรบุรุษ เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหล่าชาวบ้านของเมืองเจ็ดสีล้อมเข้ามาด้วย ต่างมุงดูว่าวีรบุรุษที่ตระกูลชู่พูดถึงคือใครกันแน่ หรือว่าจะเป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่เป็นเทพคุ้มครองคนนั้นของเมืองเจ็ดสี!


สถานการณ์ทั้งหมดดุเดือดขึ้นทันที นี่ทำให้ใบหน้าของชู่มู่แดงขึ้น


ชู่มู่เองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยผ่านสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ตอนที่ได้เกียรติขั้นหนึ่ง เขาต้องเผชิญกับผู้คนที่มากกว่าประชาชนเมืองเจ็ดสีนี้หลายเท่า


ที่ต่างกันคือ ที่นี่มีความรู้สึกที่มีต่อตระกูลของตัวเอง มองดูใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านี้ภูมิใจกับตัวเอง ความรู้สึกย่อมแตกต่างกัน


ชู่มู่เป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงๆ โดยหลักแล้ว กลับมาตระกูลครั้งนี้ก็เพื่อแหล่งวิญญาณ แน่นอนว่า ในสถานการณ์แบบนี้ ชู่มู่ไม่อธิบายจะดีกว่า ในตระกูลของตัวเอง ชู่มู่รู้สึกว่ายังคงรักษารูปลักษณ์สง่าแบบนี้ไว้จะดีกว่า


“การต่อสู้ต่อเนื่อง วีรบุรุษของพวกเราคงเหนื่อยแล้ว ทุกคนกลับไปก่อนเถอะ ให้ชู่มู่ได้พักผ่อน” สุดท้าย ชู่เทียนเหิงหยุดความคึกครื้นของผู้คนทั้งหมดเอาไว้


“ก็จริง”


“ใช่ ให้วีรบุรุษของพวกเราพักผ่อนก่อน วีรบุรุษล้มลงไม่ได้”


“ถ้าผ่านภัยแร้งครั้งนี้ไปได้ กลับไปในเมืองเจ็ดสีเมื่อไร จะสร้างอนุสรณ์ให้วีรบุรุษคนนี้แน่นอน”


ท่ามกลางเสียพูดคุยของผู้คนมากมาย ชู่มู่ได้ยินระโยคสุดท้าย แอบรู้สึกแปลกใจ ไม่กลับมาจะตั้งป้ายให้ ทำไมกลับมาแล้วยังต้องมีป้ายอนุสรณ์ด้วย…


หลังจากที่ผู้คนกระจายตัวไป ชู่มู่ได้เข้าไปในเต็นท์ใหญ่พร้อมกับสมาชิกสำคัญของตระกูลชู่


เต็นท์ใหญ่นั้นค่อนข้างใหญ่ บรรจุคนได้หลายคน การประชุมของตระกูลชู่ก็อยู่ที่นี่


ชู่มู่ยังมีเรื่องต้องเจรจากับชู่เทียนเหิง จึงเข้าไปในเต็นท์คุยกับชู่เทียนเหิงลำพัง ให้คนอื่นเข้าไปรอในเต็นท์ใหญ่สุด


“ใช่แล้ว เมื่อกี้ชุลมุนอยู่ เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ชู่มู่นึกเรื่องเมื่อกี้ขึ้นมาได้ จึงถามชู่เทียนเหิง


“อ้อ พวกคนของประตูเมืองหลัวกับองค์กรการค้า” ชู่เทียนเหิงบอก


“พวกเขางั้นหรือ” ชู่มู่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


สีหน้าของชู่เทียนเหิงเคร่งเครียดขึ้น พูดกับชู่มู่เสียงเบาว่า “พวกเขาหนีมาที่นี่เมื่อกี้ เพื่อไม่ให้พวกเขากระจายข่าวแล้วสร้างความวุ่นวาย ข้าได้ให้พวกเขาเข้ามาพักในเต็นท์ ให้คนรักษาพวกเขา ข่าวจึงไม่กระจายออกไป”


“พวกเขาไม่ได้ออกไปเหรอ…ถ้าอย่างนั้น…” ชู่มู่ถอนหายใจเบา ๆ


ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ออกไป เท่ากับว่าอำนาจของบ่อน้ำตะวันตกกว้างขวางมาก ไม่ได้มีแค่เมืองเจ็ดสีที่ตกอยู่ในหายนะครั้งนี้แน่นอน


“คนของประตูเมืองหลัวตายไปหกคน หนีมาที่นี่สี่คน คนขององค์กรการค้ายังมีชีวิตอยู่ แต่นอกจากซุนซือหลงแล้ว วิญญาณของคนอื่นได้รับบาดเจ็บหมด พวกเขาทะลายออกไปในทิศทางที่ต่างกัน หนีไปถึงเมืองตะวันตก แต่เมืองตะวันตกถูกยึดครองหมดโดยกลุ่มขั้นสิบอันหนึ่ง พวกเขาไม่มีความสามารถทะลายได้อีก รวมตัวกันบริเวณเมืองย่อยที่ใกล้กับเมืองตะวันตก แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองเจ็ดสีพร้อมกัน ซุนซือหลงยังจำแผนการที่เจ้าบอกกับเขาได้ ดังนั้นจึงตามหาหุบเขามังกรนี้จนเจอได้”ชู่เทียนเหิงบอก


คำพูดของชู่เทียนเหิงนี้กำลังบรรยายสถานการณ์ทะลายของประตูเมืองหลัวและองค์กรการค้า แต่ในคำพูดเหล่านี้กลับมีความจริงที่น่ากลัวมากอย่างหนึ่ง ทางใต้ของโลกตะวันตกถูกครอบครองเอาไว้หมดแล้วจริงๆ!!!


“ชู่มู่ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเจ้าให้พวกเราหนีมาที่นี่ พวกเราอาจเป็นเหมือนเขตเมืองอื่น ถูกบ่อน้ำตะวันตกฆ่าล้างไปแล้ว”จนถึงตอนนี้ชู่เทียนเหิงยังคงหวาดหวั่นอยู่


“ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ดีเท่าไร บ่อน้ำตะวันตกมาถึงที่นี่ได้ทุกเมื่อ อาศัยตอนที่พวกเขายังมาไม่ถึง พากลุ่มที่มีความสามารถแข็งแกร่งหน่อย ให้พวกเขาเข้าไปจับดวงวิญญาณตัวอ่อนของกลุ่มเสือดาวในภูเขาทรงพลังนี้เอาไว้ให้หมด”ชู่มู่พูดกับชู่เทียนเหิง


พอชู่มู่พูดแบบนี้ ตาของชู่เทียนเหิงเป็นประกายทันที


กลุ่มเสือดาวเป็นชนเผ่าขั้นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นจะมีดวงวิญญาณตัวอ่อนเยอะมาก และเป็นเพราะการสลายของชนเผ่า จับดวงวิญญาณตัวอ่อนพวกนี้ง่ายมาก


จำนวนของดวงวิญญาณตัวอ่อนทั้งชนเผ่า นี่เป็นจำนวนมหาศาลอย่างมาก ถ้าจับพวกมันทั้งหมดได้ละก็ นำมาเป็นรางวัลของตระกูลชู่ ความสามารถของตระกูลชู่จะเพิ่มขึ้นในเวลาอันสั้นแน่นอน!


ที่สำคัญที่สุดคือ ปราศจากชนเผ่ากลุ่มเสือดาวแล้ว ทั้งภูเขาทรงพลังนี้จะเป็นพื้นที่ของเมืองเจ็ดสีหมดแล้ว แม้ทางใต้จะค่อนข้างยากจน แต่ภูเขาทั้งหมดเทียบเท่ากับเขตโลกหนึ่งของมนุษย์ ทรัพยากรในนั้นจะต้องสร้างตระกูลที่อยู่ในระดับเขตโลกได้แน่นอน!


“ท่านอา ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเจ้า…” ชู่มู่พูดอย่างจริงจัง


“อืม เจ้าพูดมาเลย” ชู่เทียนเหิงเองก็จริงจังมากขึ้น


ในตอนนี้ ชู่มู่จึงเล่าเรื่องที่ตัวเองคิดจะช่วยเหลือตระกูลชู่ ให้พวกเขาครองแหล่งทรัพยากรมหาศาลนี้ให้ชู่เทียนเหิงรู้


ในตอนแรก ชู่มู่พูดถึงเรื่องที่จะให้ตระกูลชู่ดูแลเรื่องแหล่งวิญญาณ อีกทั้งเรื่องช่วยเหลือการพัฒนาการของเมืองเจ็ดสีจากการกำจัดกลุ่มเสือดาว ชู่เทียนเหิงยังยากที่จะเชื่อ อย่างไรก็ตาม ชนเผ่ากลุ่มเสือดาวต้องให้กองทัพของโลกตะวันตกลงมือถึงจะกำจัดให้หมดรังไปได้


แต่ในตอนนี้ ความคิดที่เพ้อเจ้อนี้ของชู่เทียนเหิงกลับเป็นจริงในเวลาไม่กี่วัน ชู่เทียนเหิงเชื่ออนาคตที่ชู่มู่พูดถึงนั้นว่าจะเป็นความจริงแน่นอน อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้อย่างมาก!!!


เพราะทันทีที่ภูเขาทรงพลังถูกขุดออก ถ้าอย่างนั้นเมืองเจ็ดสีจะต้องกลายเป็นเมืองขั้นสิบในไม่ช้า กลายเป็นเมืองที่มีอำนาจมากที่สุดในทางใต้ของโลกตะวันตก อีกทั้งอยู่ในระดับที่ก้าวข้ามเมืองโลกแน่นอน!!!


คำอธิษฐานของชู่เทียนเหิง ก็คือการเป็นเจ้าเมืองของเมืองที่เกินกว่าขั้นสิบ!!!


หลังจากได้ฟังคำบรรยายของชู่มู่แล้ว บอกว่าเมืองเจ็ดสีอาจข้ามผ่านการมีอยู่ของเมืองโลกได้ เลือดของชู่เทียนเหิงดุเดือดขึ้นมาทันที หัวใจเต้นไม่หยุด!!!


ตอนยังหนุ่ม ชู่เทียนเหิงพยายามเพื่อสิ่งนี้ไม่หยุด


และแล้ว ความสามารถของชู่เทียนเหิงมีอย่างจำกัดมาก ไม่ว่าเขาจะต่อสู้อย่างไร ก็ไม่สามารถออกจากเมืองขั้นแปดได้


จนกระทั่งหลังจากที่ตระกูลชู่ย้ายมาในเมืองตะวันตก ชู่เทียนเหิงถึงได้เจอกับโอกาสที่แท้จริง


ดังนั้น ชู่เทียนเหิงได้ปักใจเชื่อในเมืองเจ็ดสีที่ยากจะเข้าใจ ชู่เทียนเหิงหวังว่าในไม่กี่ปีนี้ จะพัฒนาเมืองนี้ให้อยู่ในขั้นสิบได้ อย่างไรเสีย เมืองเจ็ดสีเต็มไปด้วยความสามารถอย่างมาก


การเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาชีวิต อยู่ในวัยกลางคน แต่เห็นได้ชัดว่า ความเลือดร้อนของชู่เทียนเหิงนั้นยังไม่เปลี่ยนไป และเป็นเพราะความแน่วแน่นี้เอง ทำให้เขาพุ่งออกไปอย่างเลือดร้อน เมื่อตอนที่ชู่มู่เผชิญกับกลุ่มเสือดาวที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของเมืองเจ็ดสีลำพัง


“ท่านอา เจ้าเป็นอะไรเหรอ” ชู่มู่มองไปยังชู่เทียนเหิง พบเห็นชู่เทียนเหิงที่มีใบหน้าซับซ้อนอย่างมาก ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ


“ในที่สุด วันที่รอคอยก็ได้มาถึงแล้ว วันนี้ที่รอคอย!!! เมืองเจ็ดสีไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!!! เมืองเจ็ดสีไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ฮะฮะ!!!” ชู่เทียนเหิงหัวเราะออกมากะทันหัน


ชู่มู่อึ้งเล็กน้อย ยากที่จะเห็นท่านอาที่เคร่งครึมท่านนี้หัวเราะแบบนี้ออกมาได้


“ชู่มู่ เจ้ารู้ไหม” ชู่เทียนเหิงตบไหล่ของชู่มู่เบาๆ พูดอย่างตื้นตันใจว่า “ตอนที่ท่านอาข้ามีอายุเท่าเจ้า ได้สาบานไว้ว่า จะเป็นเจ้าเมืองของเมืองที่เหนือกว่าขั้นสิบให้ได้ ข้าจัดการกิจการของตระกูลให้ดีมาตลอด ขยายให้ใหญ่ขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงมากเหลือเกิน ตามที่อายุของข้าเพิ่มขึ้น ความจริงที่อยู่ตรงหน้าได้ค่อยๆ กำจัดความคิดนี้ของข้าไป”


“ข้าเองก็ไม่คิดว่า หลังจากหลายปี ยังมีโอกาสอีก ยังมีโอกาสจะได้เป็นเจ้าเมืองของเมืองโลกอีก อีกทั้งโอกาสพวกนี้มาจากเจ้า คิดไม่ถึงจริงๆ คิดไม่ถึงเลย ชู่มู่ สิ่งที่เจ้าทำ ทำให้ท่านอาข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องพูดอะไร…ข้า…ข้า…”


ตอนที่ชู่เทียนเหิงพูด น้ำตาได้เอ่อล้นออกมา ตื้นตันใจจนพูดไม่ออกแล้ว!!!


คำสะอื้นของชายแก่คนหนึ่ง ในนี้เต็มไปด้วยความตื้นต้นใจหลังจากที่เขาผ่านความเจ็บปวดมานับสิบปีและอารมณ์ที่ยากจะควบคุมในตอนนี้!!!


ผู้คุมดวงวิญญาณแต่ละคนมีความฝันและความคิดของตัวเอง โดยเฉพาะในตอนที่ยังหนุ่มและเต็มไปด้วยความเลือดร้อน


แต่ด้วยสาเหตุต่างๆ ทำให้ผู้คุมดวงวิญญาณวัยหนุ่มนับไม่ถ้วนถูกความจริงตัดช่องทางไป สุดท้ายจึงชราลงอย่างสงบ ต่างจากชีวิตที่เคยวาดฝันไว้อย่างสิ้นเชิง


ชู่เทียนเหิงโชคดี อย่างน้อยหลังจากที่เขาเข้าสู่วัยกลางคน ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง


บางครั้งต่อให้ชู่มู่ไม่ปรากฏตัว เขาก็เป็นเจ้าเมืองที่โดดเด่นได้ อย่างน้อยก็เป็นถึงเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง


แต่การปรากฏตัวของชู่มู่ ได้มอบเวทีที่ใหญ่ขึ้นให้กับชู่เทียนเหิง ทำให้ชู่เทียนเหิงพัฒนาได้อย่างเต็มที่!


ความฝันที่ไม่เคยได้เป็นจริงในอดีตเกิดความหวังขึ้นในวัยกลางคน อีกทั้งยังยิ่งใหญ่กว่าที่จินตนาการเอาไว้ ต่อให้เป็นวัยกลางคน คาดว่าจะต้องดุเดือดอย่างเคย และจะต้องพร้อมสู้อีกครั้งแน่นอน!



ตอนที่ 637 โลกตะวันตกรับมือกับบ่อน้ำตะวันตก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ประตูเมืองหลัว


“เมืองหลัว ตระกูลชู่เมืองหวั่งหลัว ไม่เคยได้ยินมาก่อน” เจ้าโลกหลัวเฮส่ายหัวเบาๆ พูดขึ้น


“ท่านชิวมาเพื่อเรื่องนี้ ทำไมถึงสนใจตระกูลเล็กไร้ชื่อเสียงเบบนี้ รีบช่วยพวกเราจัดการปัญหาเรื่องภัยแร้งด้วยกันเถอะ ภัยแร้งครั้งนี้ มาจากบ่อน้ำตะวันตก เป็นชนเผ่าขั้นสามอย่างแท้จริง มีเพียงพวกเราสองคน ความสามารถมีจำกัดจริงๆ ยังหวังว่าท่านชิวจะลงมือเข้าช่วยเหลือ” ซุนฉีหมิงขององค์กรการค้าพูดขึ้น


ในตอนนี้ ห้องโถงที่หรูหรากว้างใหญ่มีเพียงคนสามคน บนที่นั่งประธานคือ เจ้าโลกตะวันตก หลัวเฮ ที่นั่งอยู่ด้านข้างคือซุยฉีหมิง ราชันวิญญาณขององค์กรการค้า อีกทั้งยังมีชายวัยกลางคนลึกลับที่เคยเข้าไปสืบเรื่องของตระกูลชู่ในเมืองหวั่งหลัวคนนั้น


“ตามหาข่าวเกี่ยวกับตระกูลนี้ให้ข้าก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” ชายวัยกลางคนพูดนิ่งๆ


สำหรับเรื่องภัยแร้ง ชายคนนี้เหมือนจะไม่ใส่ใจเท่าไร เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้มาจากอำนาจบางแห่งที่ส่งมาเพื่อช่วยเหลือเรื่องภัยแร้ง


หลัวเฮกับซุนฉีหมิงต่างเป็นราชันวิญญาณ แต่จากท่าทีที่พวกเขาต้อนรับชายนามสกุลชิวคนนี้แล้ว ตำแหน่งของชายผู้นี้สูงกว่าพวกเขาอีก


แน่นอนว่า หลัวเฮกับซุนฉีหมิงกำลังครุ่นคิด พวกเขาอยากจะใช้ความสามารถอันแข็งแกร่งของชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้จัดการบ่อน้ำตะวันตก อย่างไรถ้าไม่กวาดล้างบ่อน้ำตะวันตก พวกเขาจะได้แหล่งวิญญาณได้อย่างไร


“เมืองหวั่งหลัว ตระกูลชู่…อืม ข้าให้คนไปสืบเดี๋ยวนี้ วางใจได้ จะได้ข่าวในไม่ช้าแน่นอน” หลัวเฮเห็นท่านชิวคนนี้แน่วแน่อย่างมาก จึงตอบรับทันที


แม้เจ้าโลกหลัวเฮจะส่งคนไปรับมือกับเมืองเจ็ดสี แต่เขาจะไปสนใจว่า ใครคุมเมืองเจ็ดสีอยู่ได้อย่างไร ดังนั้น เขาจึงไม่นึกถึงตระกูลชู่ที่อยู่เมืองเจ็ดสี


ทว่า เป็นถึงเจ้าแห่งโลกหนึ่ง จะหาตระกูลในเมืองขั้นแปดไม่นับว่ายากมากเท่าไร นอกจากพวกเขาจะปิดบังชื่อและนามสกุลเอาไว้หมด


ในไม่ช้า เจ้าโลกได้ให้คนไปตามหาข้อมูลในเขตเมืองต่างๆ สุดท้ายเล็งไปยังตระกูลชู่ที่ตั้งใหม่ในเมืองเจ็ดสีของเมืองตะวันตก


ขณะเดียวกัน หลังจากข่าวนี้กระจายออกไป หลัวเฮได้เรียกลูกศิษย์หญิงในสำนักคนหนึ่งเข้ามา ลูกศิษย์หญิงคนนี้มาจากตระกูลฉิงเมืองหวั่งหลัว เหมือนจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลชู่


“ฉิงม่งเอ๋อใช่ไหม ตระกูลชู่ที่ตั้งขึ้นใหม่ในเมืองเจ็ดสี ใช่ตระกูลของเมืองหวั่งหลัวที่ย้ายไปที่นั่นหรือไม่”หลัวเฮจับจ้องไปยังศิษย์หญิงที่โค้งคำนับ แล้วถามขึ้น


ฉิงม่งเอ๋อเพิ่งเคยคุยกับเจ้าโลกตรงๆ แบบนี้ครั้งแรก ตื่นเต้นไม่น้อย พยักหน้าเบาๆ พูดเสียงเบาว่า “ใช่แล้ว”


ตอนที่อยู่เมืองเทียนเซี่ย ฉิงม่งเอ๋อเจอกับชู่ชิ่งและชู่หยู่บ่อยครั้ง ได้รู้ว่า ตระกูลชู่ย้ายไปยังเมืองเจ็ดสีของเมืองตะวันตกจากปากของพวกเขา เขากลับมาในโลกตะวันตกเร็วกว่าชู่ชิ่งกับชู่หยู่อีก


ก่อนหน้านี้ชู่มู่เดาว่า คนของประตูเมืองหลัวออกมาช่วยตระกูลชู่ได้มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง หรือว่าฉิงม่งเอ๋อเขียนจดหมายบอกกับประตูเมืองหลัวว่า ตัวเขาซึ่งเป็นผู้ได้เกียรติขั้นหนึ่งมาจากตระกูลชู่เล็กๆ นั้น ความจริงแล้ว ฉิงม่งเอ๋อไม่รู้ว่า ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณคือชู่มู่ แค่ได้ยินจากชู่ชิ่งและชู่หยู่ว่าชู่เฉิงตำหนักวิญญาณมีสายเลือดเกี่ยวข้องกับตระกูลชู่พวกเขา


“เมืองเจ็ดสี่อยู่ที่ใด” ชายที่นามสกุลชิวถามขึ้นช้าๆ


“นี่…อยู่เมืองตะวันตก…เป็นที่ที่ได้รับภัยแร้งมากที่สุด…” หลัวเฮพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า


หลังจากได้ยินคำนี้ สีหน้าของชายที่ชื่อชิวเปลี่ยนไปทันที หายใจแรงมากขึ้น


ฉิงม่งเอ๋อสัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันน่ากลัวของชายคนนี้ รีบถอยหลังไปหลายก้าว ราชันวิญญาณทั้งสองคนก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ไม่แน่นอนของท่านชิว สีหน้าเปลี่ยนไปด้วย


“หลัวเฮ เจ้าเป็นถึงเจ้าโลก ทำให้ทั้งทางใต้ของเขตโลกตกอยู่ในอันตราย ยังมีใครที่ขยะกว่าเจ้าได้อีก” ชายคนนี้มองอย่างเยือกเย็น กลับต่อว่าเจ้าโลกตะวันตกโดยตรง!


สีหน้าของหลัวเฮแย่กว่าเดิม แต่เผชิญหน้ากับพลังของท่านชิวแล้ว เขาไม่กล้ามีท่าทีโต้ตอบใดๆ …


ซุนฉีหมิงนั่งอยู่ด้านข้าง อ้าปากเล็กน้อย เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูด


ฉิงม่งเอ๋อยืนอยู่ด้านข้าง กลับกลัวจนปิดปากไม่ได้ เพราะเธอแทบไม่รู้ว่าเจ้าโลกที่มีตำแหน่งสูงสุดในเขตโลกตะวันตกนี้ จะถูกคนด่าว่า ‘ขยะ’ ถ้าอย่างนั้น ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คือใครกันแน่!


“พรุ่งนี้ส่งกองทัพไป เข้าไปในเมืองตะวันตก จัดการพลังของบ่อน้ำตะวันตกนี้ซะ” ท่านชิวพูดอย่างเยือกเย็น


“นี่…ท่าน อำนาจของโลกตะวันตกเราบอบบาง ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงชนเผ่าขั้นสาม…” หลัวเฮพูดเสียงเบา


“หึ ตอนที่ภัยแร้งมาถึง พวกเจ้าสองคนทำอะไรอยู่” เดิมท่านชิวก็ขี้เกียจยุ่งกับโลกตะวันตกอยู่แล้ว เจ้าโลกหลัวเฮจะดีหรือร้ายก็ไม่เกี่ยวกับเขา แต่ว่าตระกูลชู่ย้ายไปเมืองตะวันตก แล้วยังเป็นบริเวณที่ได้รับภัยแล้งสาหัสที่สุด นี่ทำให้ท่านชิวรู้สึกโกรธเคืองมาก ถึงระบายไปที่เจ้าโลกไม่ได้เรื่องคนนี้หมด


“พวกเรา…พวกเราก็พยายามสุดกำลังแล้ว” ซุนฉีหมิงพูดขึ้นเสียงเบา


“สุดกำลังแล้ว อย่ามาทำเป็นโง่!” ท่านชิวยิ่งโกรธไปถึงซุนฉีหมิง


ราชันวิญญาณทั้งสองที่อยู่ในโลกตะวันตก หลังจากเกิดภัยแร้งขึ้น ราชันวิญญาณทั้งสองกลับไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย กลับปล่อยให้ด้านใต้ของเขตโลกหนึ่งถูกกลืนกินไปแบบนี้ ต่อให้เป็นชนเผ่าขั้นสาม อย่างน้อยก็ต้องมีแรงต้านทานได้บ้าง แต่เห็นได้ชัดมากว่า เจ้าคนโง่ทั้งสองคนนี้ไม่ได้ทำตามหน้าที่


ท่านชิวเองก็รู้ดี ถ้าไม่ได้เป็นเพราะหลัวเฮยังเป็นเจ้าประตูของประตูเมืองหลัว ได้รับการดูแลจากประตูเมืองหลัวใหญ่และประตูเมืองหลัวใหม่ การประมาทแบบนี้ต้องได้รับโทษแน่นอน!


“พวกเราอยู่แบบนี้ก็คอยให้ความช่วยเหลือจากประตูหลัวเหมือนกัน” สีหน้าของหลัวเฮแย่ลงเรื่อยๆ ในใจด่าท่านชิวนี้ไปหลายสิบรอบแล้ว


“คนของประตูเมืองหลัวของพวกเจ้าจะไปถึงเมื่อไร ข้าขี้เกียจพูดมากกับขยะอย่างพวกเจ้าทั้งสองแล้ว เช้าพรุ่งนี้ ออกกองทัพไปด้านใต้ กำจัดบ่อน้ำตะวันตก!” ท่านชิวพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งทันที


หลัวเฮก้มหน้า เขารู้ว่าท่านชิวคนนี้มาจากวังดวงวิญญาณ เป็นบุคคลระดับเจ้าวัง ตำแหน่งสูงกว่าเจ้าโลกเขตโลกขั้นหนึ่งอย่างเขามาก แต่อย่างน้อยในโลกตะวันตกนี้มีเขาเป็นใหญ่ ท่านชิวคนนี้กลับต่อว่าเขาจนไม่เหลือชิ้นดี เขาจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไร


แน่นอนว่า ต่อให้ไม่พอใจอย่างมาก หลัวเฮก็แสดงออกมาทางสีหน้าไม่ได้ พูดพร้อมฝืนยิ้มว่า “เรื่องนี้จ้องดูในระยะยาว ไม่…”


“คืนนี้ข้าจะมุ่งหน้าไปเมืองตะวันตก เช้าวันที่สอง ถ้าข้าไม่เห็นกองทัพของพวกเจ้าที่มีพวกเจ้าไปด้วย จะฆ่าพวกเจ้าก่อน!” ชายคนนี้พูดอย่างเยือกเย็น แล้วหันหลังจากไป


หลัวเฮกับซุนฉีหมิงขนลุกไปทั่งตัว กลับทำได้แค่มองดูท่านชิวจากไปอย่างหมดคำพูด


หลังจากผ่านไปสักพัก หลัวเฮพบว่า ลูกศิษย์หญิงคนนั้นยังยืนอยู่ตรงนั้น มองไปด้วยความโกรธ ตะโกนว่า “ยังยืนทำอะไรตรงนั้น ถอยไป!”


ฉิงม่งเอ๋อกลัวจนเสียโฉม รีบโค้งคำนับแล้วจากไป


หลังจากออกจากห้องโถงไป ฉิงม่งเอ๋อเดาไว้ว่า ท่านชิวคนนั้นสนใจความเป็นอยู่ของตระกูลชู่มาก ในตอนนั้นจึงรีบวิ่งตามไป


และในห้องโถง หลัวเฮกับซุนฉีหมิงกลับนิ่งไปสักพักหนึ่ง สุดท้ายยังคงพูดเสียงเบาว่า “เจ้านี่ลงมือ เรื่องนี้จะสงบลงครึ่งหนึ่งได้ แต่ว่าเขาตามหาตระกูลชู่เมืองเจ็ดสี ใกล้กับแหล่งวิญญาณเมืองเจ็ดสีมากแล้ว…ถ้าเขาสังเกตเห็นแหล่งวิญญาณ ด้วยอารมณ์ของเขาแล้ว เกรงว่าไม่เพียงแต่จะเก็บไว้คนเดียว แล้วยังจะเปิดเผยเรื่องของพวกเราทั้งสองด้วย”


“วางใจได้ ตระกูลชู่เล็กที่เขาพูดถึง คาดว่าถูกบ่อน้ำตะวันตกจัดการไปแล้ว เขาไปเมืองตะวันตกก็เพื่อระบายอารมณ์ พวกเราเองก็ใช้ให้เขามากำจัดราชันที่ยุ่งยากของบ่อน้ำตะวันตก…ทว่า ป้องกันไว้ก่อน พรุ่งนี้ข้าจะส่งกำลังไปสู้กับบ่อน้ำตะวันตก แล้วเจ้าหาโอกาสอ้อมไปภูเขาระหว่างเมืองเจ็ดสีนั้น ทำเป็นกวาดล้างกลุ่มเสือดาวตรงนั้น อย่างไรก็อย่าให้เจ้านั่นโกรธแล้วมุ่งหน้าจากเมืองเจ็ดสีที่แตกสลายไปยังภูเขาทรงพลังนั้น ถ้าอย่างนั้น เขาจะเจอแหล่งวิญญาณแน่นอน” หลัวเฮพูดขึ้น


“ทำไมเจ้าไม่ไป” ซุนฉีหมิงพูดอย่างไม่พอใจ


ภูเขาทรงพลังยังมีชนเผ่ากลุ่มเสือดาวอาศัยอยู่ อีกทั้งยังเข้าไปในเมืองเจ็ดสีตอนที่ฝ่าเขตป้องกันของบ่อน้ำตะวันตกด้วย ถ้าเจอดวงวิญญาณระดับราชัน เขาและซุนฉีหมิงจะมีอันตรายถึงชีวิต


“ข้าจะกวาดล้างด้านใต้พร้อมกับสกุลชิว ตอนนี้ยังจะคิดเล็กคิดน้อยอีก ถ้าถูกพบเจอละก็ ข้ากับเจ้าต้องใช้ชีวิตหลังจากนี้ในคุกทั้งหมดแน่!” หลัวเฮบอก


“ก็ได้” ซุนฉีหมิงพยักหน้าอย่างหมดคำพูด


“แล้วก็ ทันทีที่เจอคนรู้ความลับแหล่งวิญญาณ เจ้าก็จัดการไปซะ…” หลัวเฮบอก


“รู้แล้ว” ซุนฉีหมิงสะบัดมือ




หุบเขาทรงพลัง


หลังจากชู่มู่สู้ครั้งใหญ่แล้ว ได้พักสองวัน


ในบรรดาดวงวิญญาณ นอกจากจั้นเย้กับอสูรสายฟ้านิมิตราตรีที่ยังมีพลังต่อสู้แล้ว ดวงวิญญาณอื่นเหนื่อยล้าอย่างมาก รวมถึงมั่วเย้ด้วย ต่างนอนหลับอยู่ในช่องว่างของชู่มู่


ชู่มู่รู้ว่า ถ้าบ่อน้ำตะวันตกมาถึงในตอนนี้ละก็ จำต้องอาศัยอาจารย์อาของตระกูลชู่หลักและสมาชิกของตระกูลชู่เฝ้าหุบเขาไว้ ส่วนเขาเอง ถ้าไม่มีเวลาห้าถึงหกวัน คงยากที่จะฟื้นตัวกลับมาสู้ต่อได้


“พี่ชู่มู่ พี่ชู่มู่…” ตอนเช้าตรู่ ชู่อีซุ่ยได้เข้ามาในเต็นท์ของชู่มู่ด้วยความสดใส


“ทำไมเหรอ” ชู่มู่ใช้น้ำล้างหน้า แล้วถามขึ้น


“ดวงวิญญาณส่งสารของผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารพวกเราบินออกไป ได้ติดต่อกับโลกภายนอกแล้ว โลกภายนอกตอบกลับมาว่า จากพรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าโลกจะออกกำลังมาสู้กับภัยแร้ง ตอนนี้มาถึงบริเวณเมืองตะวันตกแล้ว ถ้าสถานการณ์ดีละก็ น่าจะมาถึงเมืองเจ็ดสีในหนึ่งอาทิตย์” ชู่อีซุ่ยพูดขึ้น


“อืม แบบนั้นก็ดี ทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว” ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา


คาดว่าอำนาจต่างๆ เริ่มออกกำลังสู้กับบ่อน้ำตะวันตกแล้ว แบบนี้ละก็ บ่อน้ำตะวันตกจะไม่กล้าอยู่ในพื้นที่ของมนุษย์นานเกินไป อีกไม่นานก็จะถอยทัพไป


และในตอนที่บ่อน้ำตะวันตกถอยทัพกลับไปผ่านภูเขาทรงพลัง จะต้องโกรธอย่างมากตอนที่พบว่า แหล่งวิญญาณที่ผลิตเพียงครั้งเดียวนั้นหมดลงแล้ว ทำให้บ่อน้ำตะวันตกไม่ได้อะไรกลับไป


“ผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารบอกกับโลกภายนอกว่า พวกเราสามหมื่นกว่าคนยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาต่างบอกว่า พวกเรามีชีวิตได้เป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ทั้งเมืองตะวันตก เมืองหุบเขาตะวันตก เมืองหลั่งเหอ มีคนตายลงไม่น้อยแล้ว แต่พวกเราซึ่งเป็นคนเมืองเจ็ดสีที่สาหัสที่สุดกลับมีชีวิตอยู่หมด…” ชู่อีซุ่ยพูดไป เสียงเบาลงเรื่อยๆ คนของทั้งสามเมืองตายลงเพราะภัยแร้งครั้งหนึ่ง นึกแล้วยังรู้สึกกลัว


“ไม่ต้องเสียใจไป ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” ชู่มู่เห็นเธอเสียใจไม่น้อย จึงพูดปลอบใจ


“อืม ยังดีที่มีพี่ชู่มู่ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงเหมือนคนในเมืองอื่น ถูกบ่อน้ำตะวันตกฆ่าตายไปแล้ว พี่ชู่มู่เป็นวีรบุรุษของพวกเราจริงๆ” ตอนที่พูด ชู่อีซุ่ยเองได้โอบคอของชู่มู่อย่างดีใจ หอมแก้มแบบหอมหวานให้ชู่มู่


ชู่มู่ยังไม่ทันได้ตั้งสติกลับมา ชู่อีซุ่ยได้จากไปแล้ว ทำให้ชู่มู่ลูบแก้มของตัวเองด้วยความเขิน


————————————————————-


ตอนที่ 638 สามหมื่นคน จำต้องจัดการให้หมด

โดย

Ink Stone_Fantasy

เช่นเดียวกับที่ชู่อีซุ่ยบอก โลกตะวันตกเริ่มมีกองกำลังมาแล้ว กำลังสู้กับบ่อน้ำตะวันตก


ไม่กี่วันก่อน ผ่านดวงวิญญาณส่งสาร พวกชาวบ้านที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาทรงพลังยังได้ข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้บ้าง แต่ว่า พอถึงวันที่สี่ ไม่รู้ทำไม ดวงวิญญาณส่งสารกลับไปถึงโลกภายนอกไม่ได้แล้ว


“ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราอยู่ในหุบเขาทรงพลังที่ปลอดภัยอย่างมาก การต่อสู้ครั้งนี้จะใช้เวลานานมากแน่นอน พวกเราแค่รออยู่ที่นี่เงียบๆ จะมีวันหนึ่ง บ่อน้ำตะวันตกจะถูกไล่กลับไปรังเก่าของพวกมันหมด” ชู่เทียนหลิงพูดกับคนทั้งหมด


เนื่องจากไม่มีข่าวใดๆ ผู้คนกังวลว่า จะถูกขังไว้ในหุบเขาตลอดจนตาย ชู่เทียนหลิงจึงทำให้ทุกคนมีกำลังใจขึ้นมา


ความปลอดภัยของหุบเขาทรงพลัง ทำให้ผู้คนไม่ผิดหวังขนาดนั้น เริ่มมีผู้คุมดวงวิญญาณที่รู้จักการสร้างสรรค์ใช้ดวงวิญญาณหมวดดินของพวกเขาสร้างบ้านเรือนง่ายๆ ขึ้นมา ให้ทุกคนอยู่สบายขึ้น


ด้านในเต็นท์ใหญ่


“ตามปกติแล้ว ถ้ารู้ว่าที่พวกเรามีคนมีชีวิตอยู่ พวกเขาน่าจะส่งคนมา พาพวกเราออกไป แล้วติดต่อตลอด ทำไมช่วงสองวันนี้ไม่มีข่าวใดๆ” ชู่เทียนเหิงขมวดคิ้ว


ท่ามกลางภัยแร้ง คนที่มีชีวิตรอดมาได้ควรได้รับการช่วยเหลือก่อน เกรงว่าพื้นที่ทั้งสามทางใต้นี้คงมีแค่ชาวบ้านของเมืองเจ็ดสีที่รอดมาได้ เป็นถึงเจ้าแห่งโลกคนหนึ่ง รู้ว่ามีสามหมื่นกว่าคนรอดมาได้ จะต้องหาวิธีช่วยพวกเขาทันที แต่จากสถานการณ์ต่อสู้ไม่กี่วันก่อนนี้ ที่นี่ไม่เป็นที่จับตามอง…


“รออีกหน่อยเถอะ พวกเราอยู่ในหุบเขาก็ปลอดภัยอย่างมาก จะกลับหรือไม่ขึ้นอยู่กับเวลา” ชู่เทียนหลิงบอก




เมืองเจ็ดสี


ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน หินส่วนใหญ่ในเมืองกลายเป็นซากปรักหักพังหมดแล้ว


กองทัพของบ่อน้ำตะวันตกยึดครองที่นี่หลังจากชาวบ้านของเมืองเจ็ดสีจากไป กลายเป็นเจ้าของเมืองแห่งนี้ พวกมันเดินไปตามถนนเป็นฝูง พวกมันผลิตลูกหลานในบ้านเรือนของชาวบ้าน สร้างเขตป้องกันบนกำแพงในพื้นที่กว้าง


ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง อุณหภูมิของผิวดินลดต่ำลง มนุษย์ชอบตากแดดที่อบอุ่น แต่สิ่งมีชีวิตบ่อน้ำตะวันตกกลับตรงกันข้าม ตอนตกดึกพวกมันจึงจะคลานออกมา หมอบอยู่บนพื้นเย็น รับลมยามค่ำคืน แล้วอ้าปากที่เหมือนปลานั้น หาวอย่างสบายใจ


บ่อน้ำตะวันตกเป็นกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน ขาหลังของพวกมันยาวมาก สามารถยืนได้เหมือนมนุษย์ ขาหน้าของมันไม่ใช่กรงเล็บ แต่ลอกคราบเป็นอาวุธหนังชั้นหนาสองชนิด ด้านซ้ายเป็นโล่กระดูกเหนือที่หุ้มด้วยหนังชั้นหนาด้านนอกมีทรงคล้ายกับจานยาว ด้านขวาเป็นแขนที่ยาวเหมือนมีดที่เป็นซี่ยาว อาวุธนี้เพียงพอที่จะตัดทุกสิ่งออก


ถ้ากลุ่มสัตว์เลื้อยคลานแบบนี้ยืนอยู่บนกำแพงเป็นแถว ไม่ขยับละก็ เหมือนกองทัพของมนุษย์อย่างเป็นระเบียบ สวมชุดเกราะที่คมคายที่สุด ถืออาวุธที่แหลมคมที่สุด


ทั้งเมืองเจ็ดสีในตอนนี้กลายเป็นที่ตั้งหลักของกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานไปแล้ว สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่มีร่องรอยถูกทำลายหมด…


ตะวันตกดิน สิ่งมีชีวิตที่สีขาวเหมือนก้อนเมฆบินจากบนฟ้า เข้าใกล้เมืองเจ็ดสีอย่างช้าๆ


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดวงวิญญาณหลายตัวถูกสั่งห้ามบินเด็ดขาด โดยเฉพาะตอนที่บินผ่านพื้นที่ของชนเผ่า กลุ่มดวงวิญญาณใหญ่ต่างๆ จะทำให้ดวงวิญญาณที่บินได้พุ่งขึ้นฟ้าหมด ไม่ตายก็จะไม่หยุด


และที่กล้าบินบนฟ้า มักมีความสามารถสูงกว่ามาก กลิ่นไอสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ชะงักได้ พวกมันถึงไม่แยแสใดๆ


ด้านใต้ของโลกตะวัตตกถูกบ่อน้ำตะวันตกครองเอาไว้หมด นอกจากดวงวิญญาณส่งสารที่เหมือนแมลงวันสำหรับชนเผ่ายังบินอยู่บนฟ้าได้แล้ว ดวงวิญญาณหมวดปีกของมนุษย์อย่าคิดที่จะบินบนฟ้าของพวกมัน


ตอนนี้ ด้านบนฟ้าของเมืองเจ็ดสีกลับมีสิ่งมีชีวิตที่บินได้แบบนี้อยู่ นี่เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่กล้าบินในโลกตะวันตกแน่นอน


สิ่งมีชีวิตสีขาวตัวนี้คือปักษาเหินเมฆของชายที่มีนามสกุลชิว ในตอนนี้ ชายนามสกุลชิวยืนอยู่บนดวงวิญญาณของตัวเองอย่างเยือกเย็น สายตาจับจ้องไปยังเมืองเจ็ดสีที่ถูกดวงวิญญาณยึดครองไว้


ทั้งเมืองเจ็ดสีนี้ไม่เห็นคนเป็นแม้แต่คนเดียว กลุ่มสัตว์เลื้อยคลานที่ทั่วพื้นที่นี้เป็นการบอกว่ามนุษย์ที่เคยใช้ชีวิตที่นี้ได้ตายจากไปแล้ว


เผชิญกับภาพแบบนี้ สีหน้าของชายคนนี้กลับเยือกเย็นอย่างยิ่ง บินอยู่บนฟ้าแบบนั้น จับจ้องไปยังกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานเหล่านั้น


ความจริงแล้ว ด้านหลังของปักษาเหินเมฆ ยังมีฝูงแมงวันปีกมังกรสีดำฝูงใหญ่ไล่ตามมาด้วย กองทัพบนฟ้านี้ไล่ตามปักษาเหินเมฆนี้มาพักหนึ่งแล้ว แต่ความเร็วของพวกมันแทบไม่สามารถเทียบกับปักษาเหินเมฆได้ จนถึงตอนนี้ยังห่างกับปักษาเหินเมฆหลายพันเมตร


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายที่ขี่อสูรเหวตัวหนึ่งปรากฎตัวบนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นไปมองปักษาเหินเมฆบนที่สูงและชายที่อยู่บนนั้น


คนนี้คือซุนฉีหมิงราชันวิญญาณขององค์กรการค้าที่มาด้วยกัน


“ท่านชิว ข้าได้ยินมาแล้ว ที่นี่ไม่มีทางที่จะมีคนมีชีวิตรอดแน่นอน” ซุนฉีหมิงกวาดตามองไปยังเมืองเจ็ดสีที่พ่ายแพ้อย่างอนาถ ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับท่านชิวที่อยู่บนฟ้า


ในตอนนี้ ชายที่นามสกุลชิวยังคงท่าทีแน่นิ่งไว้ได้ กลับไม่สนใจคำพูดของซุนฉีหมิงแม้แต่น้อย แค่จับจ้องไปยังกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานจำนวนมหาศาลในเมืองเจ็ดสี


“พื้นที่ของบ่อน้ำตะวันตกอยู่ที่ใด” ในที่สุด ชายนามสกุลชิวได้พูดขึ้นแล้ว อีกทั้งร่ายวิญญาณของเขายังเต็มไปด้วยความกดดัน


“ท่านชิว ท่านใจเย็น…”


“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ !!!” ท่านชิวเน้นน้ำเสียงให้หนักขึ้น ท่าทีเหมือนกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา!


“อยู่ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ มุ่งไปทางพื้นที่ชื้นวายุของเมืองเจ็ดสี เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะถึงพื้นที่ของบ่อน้ำตะวันตกได้ ท่านชิว…นี่ท่านจะ…” ซุนฉีหมิงถามเสียงเบา


“เจ้าจัดการพวกเศษขยะนี้ ข้าจะไปจัดการรากของชนเผ่าบ่อน้ำตะวันตก!” หลังจากพูดจบ ชายคนนี้ได้ขี่ปักษาเหินเมฆ มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ชื้นด้วยความโกรธเคือง!


ซุนฉีหมิงร้องขึ้นหลายครั้ง แต่ท่านชิวได้จากไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ใครก็ห้ามไม่ได้ ต่อให้เป็นชนเผ่าบ่อน้ำตะวันตกมหาศาลนั้น…


“ยังดีที่ปิดเรื่องสามหมื่นคนของเมืองเจ็ดสีที่รอดไปได้เอาไว้ มิฉะนั้น คนที่แซ่ชิวจะต้องเข้าไปหุบเขาทรงพลัง ตรงนั้นใกล้กับหุบเขาทรงพลังอย่างมากแล้ว หลังจากเข้าไปถึงหุบเขาทรงพลังแล้วจะพบแหล่งวิญญาณแน่นอน…” ซุนฉีหมิงมองไปยังปักษาเหินเมฆที่จากไป ถอนหายใจยาว ๆ


ทันใดนั้น สายตาของซุนฉีหมิงดุร้ายขึ้น “หึ ไม่คิดว่า เมืองเจ็ดสียังมีสามหมื่นกว่าคนรอดมาได้ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ของกลุ่มเสือดาว รวมถึงตระกูลชู่นั่นด้วย ได้โชคอะไรมากัน!”


“แต่…จะโทษข้าซุนฉีหมิงโหดเหี้ยมก็ไม่ได้…ทำไมพวกเจ้าถึงมีชีวิตรอดมาได้ สร้างความเดือดร้อนให้ข้าแล้ว”ซุนฉีหมิงยิ้มอย่างโหดร้าย ขี่อสูรเหวตัวนั้น อ้อมเมืองเจ็ดสีไป มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของหุบเขาทรงพลัง!


ในหัวของซุนฉีหมิงมีคำพูดเยือกเย็นของหลัวเฮ


“สามหมื่นคนนี้ ห้ามช่วยเด็ดขาด ไปช่วยพวกเขาแหล่งวิญญาณก็จะถูกเปิดเผย ต้องจัดการให้หมด!!!”


—————————————————————–


ตอนที่ 639 แหล่งวิญญาณที่หายไปอย่างไร้สาเหตุ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตกดึก ชู่มู่ยืนอยู่บริเวณทะเลสาบในหุบเขาลำพัง


ทะเลสาบนี้ไหลลงจากบนเขา แล้วไหลไปยังโลกภายนอกไปตามแม่น้ำ ไม่กี่วันก่อนทะเลสาบนี้ยังเป็นสีแดงหมด ตอนนี้กลับใสขึ้นมามาก


ชู่มู่มองดูคลื่นแสงของทะเลสาบ สายตาอ้างว้างขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกลับมาที่ตระกูล ชู่มู่นึกถึงหลายเรื่องได้ง่ายมาก ชอบการนั่งคนเดียวแบบนี้โดยไม่รู้ตัว…


“ชู่มู่ ทำไมไม่พักผ่อนล่ะ” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านข้าง


ชู่มู่รู้ว่าคนที่เดินมาคือใคร ฉีกยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “แบบนี้คือการพักผ่อนสำหรับข้าแล้ว”


“ดวงวิญญาณของเจ้าฟื้นกลับมาแล้วเหรอ เจ้าสู้กับชนเผ่าหนึ่ง” ชู่เชียนเดินมาช้าๆ ยืนข้างชู่มู่พูดขึ้นเสียงเบา


“ยัง ระดับของดวงวิญญาณสูงมาก พลังต่อสู้กับพลังกายจะฟื้นกลับมาช้าลงเรื่อยๆ” ชู่มู่ส่ายหัว


“อ่อ เจ้าเพิ่มขึ้นเร็วมาก ไม่กี่ปีก่อนตอนอยู่ตระกูลชู่หลัก ตอนที่เจ้าสู้กับองค์หญิงน้อยวังมารนิรย ความสามารถของเจ้าก็ทำให้ข้าสะเทือนใจมากแล้ว ไม่คิดว่าตอนนี้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของทั้งโลกตะวันตกของพวกเราแล้ว ข้าไม่กล้าเชื่อว่า คนที่สู้กับชนเผ่าได้จะเป็นชู่มู่น้อยที่เกือบเป็นผู้คุมดวงวิญญาณไม่ได้ในตอนนั้น” ชู่เชียนพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ


“คึ คึ ผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้าง” ชู่มู่พูดอย่างตื้นตันใจ สายตามองไปยังคลื่นน้ำ


แสงดาบกับแสงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ เข้าไปยังดวงตาสีดำ ทำให้สายตาของชู่มู่ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น…


ผิวน้ำสะท้อนรูปร่างงดงามของชู่เชียน ผมยาวที่มัดรวบทิ้งผมไม่กี่เส้นลงมา พลิ้วไหวไปตามสายลม


สองคนพูดไม่เยอะ บางครั้งยังนิ่งเงียบนานมาก


ความเงียบนี้ก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่ทั้งสองคนต่างคิดเรื่องของตัวเอง


“มีคนชอบแล้วหรือยัง” ในที่สุด ชู่เชียนได้ทำลายความสงบ พูดประโยคที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจออกมา


ชู่มู่ถึงค่อยๆ หันมา มองไปยังชู่เชียนที่ก้มหัวเล็กน้อย


ชู่เชียนงดงามตามวัยผู้ใหญ่ เป็นหญิงสาวที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก คำพูดนี้ของเธอได้ทำลายความคลุมเครือนั้น ขณะเดียวกัน เธอแสดงให้เห็นว่า รู้จักการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนได้ด้วย


ชู่มู่พยักหน้า “อืม”


“องค์หญิงท่านนั้นหรือ” ชู่เชียนถามลองเชิง


ชู่เชียนเชื่อว่า ด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้นมหาศาลของชู่มู่ในตอนนี้ ได้องค์หญิงจิ่งโหลวที่มีตำแหน่งสูงส่งในวังมารนิรยก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้


เพราะต่อให้เป็นวังมารนิรยที่อำนาจแข็งแกร่งจนยากจะประเมินได้ น่าจะไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับราชันที่อายุน้อยเท่าชู่มู่แบบนี้


ชู่มู่ส่ายหัว องค์หญิงจิ่งโหลวเป็นแค่ความรู้สึกดีเบาบางในอดีตเท่านั้น ยังไม่นับว่าเป็นความชอบที่แท้จริงได้


“ถ้าอย่างนั้นคงเป็นเด็กสาวที่ไปตระกูลชู่หลักกับเจ้า ข้าจำได้ว่า เธอชื่อเย้ชิงจือใช่ไหม” ชู่เชียนยิ้มเล็กน้อย


ชู่มู่อึ้งเล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้าพูดขึ้นว่า “ใช่ เธอนั่นแหละ”


“เธอชอบเจ้าด้วยไหม” ชู่เชียนถามต่อ


“อืม” ชู่มู่พยักหน้าต่อ


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ทำไมเธอไม่ได้มากับเจ้าด้วย” ชู่เชียนถาม


“เธอมีเรื่องที่เธอต้องทำ พวกเรานัดกันว่า จะทิ้งร่องรอยไว้ในเมืองตะวันออก ถ้าอยู่แถวนั้นละก็ จะได้เจอกัน…”ชู่มู่บอก


พูดถึงเย้ชิงจือ ในหัวของชู่มู่มีเงาของเธอ ยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ใด ผ่านคำสั่งเสียของอาจารย์แล้วหรือยัง ความสามารถเพิ่มขึ้นมหาศาลแล้วหรือยัง หรือได้รับยาที่มากกว่าเดิม เพิ่มความสามารถปรุงยาของนักวิญญาณแล้ว


จนถึงตอนนี้ชู่มู่ยังรู้สึกเสียดาย เย้ชิงจือจากเร็วเกินไป ทำให้ชู่มู่ไม่ได้รู้จักเธอมากกว่านี้อีก แม้แต่ริมฝีปากหอมหวานอันน่าดึงดูดยังไม่ทันได้สัมผัสด้วยซ้ำ…


ทว่า ขั้นตอนที่ค่อยๆ รักกันแบบนี้ ถึงเป็นเรื่องที่ลืมยากที่สุด


ชู่มู่ไม่รีบที่จะได้ทั้งหมดของเย้ชิงจือ แต่ว่าความรู้สึกที่ไม่อยู่ข้างกายแบบนี้ ทำให้หัวใจเหน็บชาไปหมด อยากจะออกจากโลกตะวันตกตอนนี้ มุ่งหน้าไปยังด้านตะวันออกของเมืองเทียนเซี่ย ไปพบกับเธอ


ชู่เชียนมองไปยังชู่มู่ เธอผู้ช่างสังเกตพบความหวังเล็กน้อยบนใบหน้าเยือกเย็นของชู่มู่ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ต่างจากวัยหนุ่มที่ตกอยู่ในความรักมากเท่าไร ถ้าจะต้องบอกความแตกต่างละก็ ทั้งหมดของชู่มู่อ่อนโยน เชื่องช้ากว่าเด็กผู้ชายคนอื่นมาก


เห็นชู่มู่เผยความรู้สึกแบบนี้ออกมา ชู่เชียนเข้าใจทันที ถามถึงตอนที่ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยรอยยิ้ม…


ชู่มู่ไม่ได้หลีกเลี่ยง พูดถึงเรื่องคร่าวๆ ตั้งแต่ตามหาบ่อน้ำเย็นจนถึงเมืองเทียนเซี่ย น้อยครั้งที่จะแบ่งปันเรื่องราวที่ตัวเองเริ่มชอบผู้หญิงโดยไม่รู้ตัว…


ชู่มู่เป็นวัยหนุ่มคนหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เขาไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในความรักเหมือนพวกมากประสบการณ์เหล่านั้น ดังนั้นในตอนนี้ เขาซึ่งปราศจากความเงียบที่ผ่านมา ระหว่างที่พูดคุยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มักมีรอยยิ้มอยู่


“ดีจริง” ชู่เชียนพยักหน้า หลังจากฟังชู่มู่เล่าจบ เธอเองก็ฉีกยิ้มออกมา “พวกเจ้าจะต้องมีความสุขมากแน่นอน”


“อืม” ชู่มู่พยักหน้า


“ข้าควรกลับไปแล้ว มิฉะนั้น ท่านพ่อจะตามหาข้าแล้ว เขาไม่วางใจข้ามากที่สุดแล้ว…” ชู่เชียนบอก


“ได้ ข้าจะฝึกสมาธิที่นี่” ชู่มู่เองก็พูดคุยกับชู่เชียนอย่างสนุกสนาน


แต่ว่าชู่มู่กลับไม่รู้ว่า ตอนที่ชู่เชียนหันหลังกลับมา หญิงสาวคนนี้ฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย..


แน่นอนว่า ชู่มู่เข้าใจความรู้สึกเด็กสาวที่คุยกับตัวเองถึงเรื่องราวของเด็กสาวอีกคนหนึ่ง เรื่องนี้มีแค่ชู่มู่เองที่เข้าใจ



หลังจากชู่เชียนจากไป ชู่มู่ถอนหายใจเล็กน้อย จับจ้องไปยังผิวน้ำ ให้อารมณ์ของตัวเองสงบลง


ชู่มู่หลับตาลง เริ่มเข้าสู่ภาวะฝึกสมาธิ


พลังต่อสู้ของเหล่าดวงวิญญาณลดลงไปพอประมาณ พลังวิญญาณของชู่มู่เองก็ยังไม่ฟื้นกลับมาหมด ยาพลังวิญญาณที่เย้ชิงจือให้มามีค่ามาก หากไม่อยู่ในสถานการณ์พิเศษ ชู่มู่เองก็ไม่อยากใช้


“หืม…ร่ายวิญญาณเพิ่มขึ้นตอนไหน!” ตอนที่ชู่มู่ฝึกสมาธิ พบความจริงที่น่าดีใจนี้


“ก่อนหน้านี้พยายามทะลายตลอด ไม่สามารถเข้าสู่เจ้าวิญญาณเก้าร่ายได้ และแล้วพอไม่ฝึกสมาธิ คิดถึงชิงจือ กลับเลื่อนขั้นแล้ว!”ชู่มู่รู้สึกประหลาดใจจริงๆ


เจ้าวิญญาณเก้าร่าย ห่างกับราชันวิญญาณแค่ก้าวเดียว


สำหรับชู่มู่ ราชันวิญญาณมีความหมายอย่างมาก ไม่เพียงแต่ใช้ร่ายวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณระดับราชันได้ ในที่สุดชู่มู่ก็สละควบคุมสามได้แล้ว เข้าสู่ภาวะควบคุมสี่ได้แล้ว!!!


อัญเชิญดวงวิญญาณสี่ตัวออกมาต่อสู้พร้อมกัน ความเปลี่ยนแปลงนี้จะน่าตื่นเต้นมากเพียงใด ไม่ต้องใช้คำพูดมาอธิบายแล้ว!


“ท่าทาง ชิงจือมีดวงสมพงษ์กับข้ามาก” ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา ทำท่าทีปลื้มใจออกมา



ด้านตะวันออก ท่ามกลางทุ่งหญ้า


“ทำไมเหรอ ชิงจือ” เย้หวันเชิงมองไปยังเย้ชิงจือที่หยุดลงกะทันหัน ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ


เย้ชิงจือส่ายหัว ให้อสูรนิมิตชุดม่วงตามปีศาจลูกม้าดาวป่าไป


“ทำไมข้าคิดถึงเขาอีกแล้ว อีกทั้งยังเป็นท่าทีแบบนั้น…” เย้ชิงจือพึมพำ


ท่าทีที่เย้ชิงจือพูดถึง คือตอนที่ชู่มู่พูดเรื่องที่น่าอายแต่กลับทำท่าทีจริงจัง ท่าทีที่มีสายตาบอกว่า “หรือว่าสิ่งที่ข้าพูดมันไม่ถูก” ทุกครั้งที่เห็นเขาพูดแบบนี้กับตัวเอง ทำให้เย้ชิงจืออับอายไม่น้อย และมักทำให้ผู้หญิงคนนี้รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป


“แหะ แหะ อีกไม่ช้าข้าจะมีดวงวิญญาณที่ขั้นสูงกว่านี้แล้ว อีกไม่กี่ปีถ้าเจอชู่มู่ ดวงวิญญาณรองของข้าก็จัดการเขาได้แล้วละ ฮะฮะฮะ เห็นใบหน้าของชู่มู่ที่มัวหมอง จะต้องตลกมากแน่”เย้หวันเชิงกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา


เย้ชิงจือในตอนนี้กำลังคิดถึงชู่มู่อยู่ พอเย้หวันเชิงหัวเราะแบบนี้ออกมา ตกใจทันที พบว่าเจ้านี่กำลังพูดกับตัวเอง กรอกตาแล้วพูดว่า “สิ่งที่จะใช้ในการปรุงยายังหาไม่เจอ”


“ไม่เป็นไร จะต้องหาเจอแน่นอน และคนที่เคยรังแกพวกเราในอดีต จะให้คนพวกนั้นเห็นความเก่งกาจของข้า เย้หวันเชิง!!!” เย้หวันเชิงพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น


เย้ชิงจือเองก็ไม่พูดอะไร แม้บอกว่า หลังจากได้คำสั่งเสียของอาจารย์ ความสามารถของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ไม่มีแม้แต่ช่วงที่ข้ามไปไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไม เย้ชิงจือกลับมั่นใจในตัวชู่มู่อย่างมาก บางครั้งแม้แต่เย้ชิงจือเองก็ไม่รู้ว่าความมั่นใจนี้มากจากไหน อย่างไรคำสั่งเสียของอาจารย์เป็นสมบัติอันล้ำค่าที่ทำให้ราชันวิญญาณนับไม่ถ้วนบ้าคลั่งได้



ภูเขาทรงพลัง


“เป็นไปได้อย่างไร เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร!!! กลุ่มเสือดาวละ กลุ่มเสือดาวหายไปไหน แหล่งวิญญาณ แหล่งวิญญาณไปไหนแล้ว!!! แหล่งวิญญาณของข้า!!”


บริเวณกำแพงภูเขา สาเหตุต่างๆ กำลังทำให้ซุนฉีหมิงตะโกนอย่างบ้าคลั่งในหลุมนี้


ตอนแรกซุนฉีหมิงกับหลัวเฮเห็นแหล่งวิญญาณที่ผลิตแค่รอบเดียวนั้นทันทีที่ตอนพวกเขาบินผ่านที่นี่ แอบขุดออกมา ทำให้พลังของแหล่งวิญญาณนี้รั่วไหล แต่เป็นเพราะชนเผ่ากลุ่มเสือดาวและราชันวิญญาณที่อยู่ที่นี่ ทำให้ทั้งสองคนจำต้องจากไปชั่วคราว ต้องวางแผนในระยะยาว


ความจริงด้วยความสามารถของพวกเขาจัดการชนเผ่ากลุ่มเสือดาวได้ แค่จะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างมาก อาจทำให้เรื่องกระจายไปได้ง่าย


ครั้งนี้มาถึงเมืองเจ็ดสี ซุนฉีหมิงกังวลว่าบ่อน้ำตะวันตกจะลงมือแล้ว จึงเข้าไปดูในภูเขาทรงพลัง


และแล้ว กลุ่มเสือดาวทั้งหมดของภูเขาทรงพลังหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ชนเผ่าทั้งหมดหายไปยังไม่เท่าไร ที่สำคัญที่สุดคือแหล่งวิญญาณกลับถูกแย่งไปด้วย!!!


ซุนฉีหมิงร้องด้วยความโกรธเคืองนานมาก เขากับหลัวเฮมีโทษหนักอยู่ ถ้าถูกเปิดโปงละก็ ดวงวิญญาณจะถูกผนึกเอาไว้ แม้แต่ตัวพวกเขาเองยังต้องเข้าไปในคุกอลวนด้วย


เสี่ยงขนาดนี้ก็เพื่อให้ได้สิ่งนี้มาได้ทันเวลา สุดท้ายกลับไม่ได้สักอย่าง ไม่ว่าใครก็ต้องบ้าคลั่ง


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ซุนฉีหมิงถึงค่อยๆ สงบสติลง


“ที่นี่ไม่มีศพกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานของพวกบ่อน้ำตะวันตก บ่อน้ำตะวันตกไม่มีทางตัดหน้าแน่นอน หรือว่าจะเป็นเจ้าโง่ชิวตี๋เอาไป แล้วทำเป็นไม่รู้…เป็นไปไม่ได้ ชิวตี๋น่าจะเพิ่งถึงโลกตะวันตก ไม่มีทางรู้เรื่องแหล่งวิญญาณ อีกทั้งเขาไม่เคยมาเมืองเจ็ดสีมาก่อน…”


“หรือว่า…หรือว่าจะเป็นสามหมื่นคนที่มีชีวิตรอดของเมืองเจ็ดสี”


“หุบเขาทรงพลังมีกลุ่มเสือดาวฝูงใหญ่อาศัยอยู่เช่นกัน พวกเขาอยู่ในหุบเขาทรงพลังก็ต้องตายอยู่ดี ถ้ารอดมาได้ละก็ แปลว่าในนั้นต้องมีผู้แข็งแกร่งแน่นอน…หึหึ กล้าที่จะเอาของข้าซุนฉีหมิงไป ไม่อยากมีชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร จะต้องให้เจ้าคายออกมาให้ได้!!!” ซุนฉีหมิงพูดด้วยใบหน้าที่โกรธจนแดง!


หลังจากพูดจบ ซุนฉีหมิงได้พุ่งไปยังหุบเขาทรงพลังพร้อมความอาฆาต!


————————————————————————–


ตอนที่ 640 ภัยพิบัติ หายนะหุบเขาทรงพลัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภูเขาห่างจากหุบเขาทรงพลังระยะหนึ่ง


ซุนฉีหมิงขี่อสูรเหว มุ่งหน้าไปยังหุบเขาทรงพลัง และแล้ว เมื่อเขาเข้าใกล้หุบเขาทรงพลัง สีหน้าของซุนฉีหมิงยิ่งตกใจมากขึ้น!!!


เพราะว่า ในตอนที่กำลังจะถึงหุบเขาทรงพลังแห่งนั้น ซุนฉีหมิงเห็นศพกองใหญ่!!!


ศพของกลุ่มเสือดาว!!!


ซุนฉีหมิงเองยังรู้สึกเหลือเชื่อ กลุ่มเสือดาวที่หายไปจากที่เดิม กลับอยู่ที่นี่หมด กลายเป็นศพหมด!!!


ที่สำคัญที่สุดคือ ร่องรอยการต่อสู้ที่อยู่ในภูเขานี้ เห็นได้ชัดว่า เป็นพลังของระดับราชัน!!!


“เป็นไปได้อย่างไร!!! เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!” ซุนฉีหมิงอึ้งอย่างมาก พลังของกลุ่มเสือดาวทั้งหมดแข็งแกร่งอย่างมาก ทำไมถึงถูกกำจัดไปได้!!!


ชนเผ่าถูกฆ่าตายหมด ต่อให้ราชันเสือดาวยังไม่ตาย จะต้องหนีไปแล้วแน่นอน


ตอนแรกซุนฉีหมิงคิดว่า ใครบางคนได้ใช้แผนหลอกเสือดาวพวกนี้ไป นำแหล่งวิญญาณทั้งหมดไป ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงคือ นี่กลับกำจัดกลุ่มเสือดาวทั้งหมด


ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ ผู้แข็งแกร่งที่ปกป้องสามหมื่นคนในหุบเขาทรงพลัง คือผู้แข็งแกร่งที่มีระดับราชัน!!!


ซุนฉีหมิงสะเทือนใจยิ่ง ถ้ามีดวงวิญญาณระดับราชัน เขาซุนฉีหมิงคนเดียวจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร อย่างไรเขาเองก็มีเพียงเทียบเท่าราชันตัวเดียว!


ซุนฉีหมิงรู้ดี ผู้คุมดวงวิญญาณที่มีเทียบเท่าราชัน ดวงวิญญาณตัวอื่นจะต้องอยู่ในระดับจักรพรรดิชั้นยอดแน่นอน ซุนฉีหมิงในตอนนี้แทบไม่รู้ว่า ความสามารถของผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่ตกอยู่ในหายนะพวกนั้นเป็นอย่างไร เขาจะกล้ามุ่งหน้าไปได้อย่างไร!


“ไม่ได้ จำต้องไปตามหลัวเฮมา ความสามารถของเขาแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าตายแน่นอน” ซุนฉีหมิงไม่โง่ คนที่กำจัดชนเผ่ากลุ่มเสือดาวกับราชันเสือดาวได้ จะต้องเป็นราชันวิญญาณที่มีเทียบเท่าราชันตัวหนึ่งเป็นอย่างน้อย


ซุนฉีหมิงกวาดตามองไปยังหุบเขาทรงพลัง ในตอนนี้ไม่ลังเลใดๆ ขี่อสูรเหวหันหลังจากไปทันที



หุบเขาทรงพลัง


หายนะที่กำลังจะมาถึง มาอย่างกะทันหันและดุร้ายมาก!


โรคระบาดอันน่ากลัว!!!


แม้ชู่เทียนหลิงได้ทำการกลบศพในหุบเขาทรงพลังแล้ว แต่อากาศของหุบเขาแห่งนี้ถ่ายเทได้แย่มาก น้ำก็พัดช้ามาก สุดท้ายทำให้เกิดโรคระบาด มีหลายร้อยคนเป็นโรคนี้ อีกทั้งเกิดการระบาดมากขึ้นทุกวัน


สำหรับกลุ่มหนึ่งแล้ว โรคระบาดเหมือนสารพิษของยมทูต หลังจากกระจายออกแล้ว จะฆ่าคนทั้งหมดจนตาย


โรคระบาดครั้งนี้ทำให้หมอยาตระกูลชู่ไร้หนทางใดๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้โรคระบาดหายไปได้ มีเพียงออกจากหุบเขาที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นศพนี้


“จะทำอย่างไรดี!” ชู่เทียนเหิงปวดหัว ผมหงอกหลายเส้นแล้ว


สมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลชู่เป็นผู้คุมดวงวิญญาณ ภูมิต้านทานจะดีหน่อย แต่ว่าโรคระบาดนี้ไร้เสียงไร้กลิ่น ใครก็ไม่กล้ารับรองว่า ผู้คุมดวงวิญญาณจะไม่ติดโรคนี้


ชู่มู่ยืนอยู่ในเต็นท์ ตอนที่ได้ข่าวนี้ชู่มู่ก็ไม่มีวิธีใดๆ อย่างไร ความสามารถของเขาแข็งแกร่งจริง กลับฆ่าดวงวิญญาณโรคระบาดได้


ดวงวิญญาณโรคระบาด ความจริงคือสิ่งมีชีวิตที่เล็กจนมองไม่เห็น บางครั้งไฟอาจทำลายดวงวิญญาณโรคระบาดได้ แต่ทันทีที่ดวงวิญญาณโรคระบาดแข็งแกร่งขึ้น นอกจากจะกำจัดคนที่ติดโรคแล้ว แม้แต่ดวงวิญญาณระดับราชันก็ไม่อาจรอดไปได้


ตลอดที่ผ่านมา ชู่มู่ไม่เคยสนใจหายนะแบบนี้ รอถึงตอนที่ปรากฏขึ้นมาอย่างแท้จริง ถึงรู้ว่าโรคระบาดน่ากลัวมากเพียงใด


“ชิงจืออยู่ที่นี่คงดี…” ชู่มู่พูดอย่างหมดหนทาง


โรคระบาดแบบนี้ มีเพียงนักวิญญาณที่จะรับมือได้


เดินอยู่ด้านนอก เห็นคนติดโรคมากขึ้นเรื่อยๆ คนหายใจหอบในเต็นท์มากขึ้นเรื่อยๆ หลับด้วยสีหน้าซีดขาว ชู่มู่เองก็รู้สึกรุกรน กำลังคิดวิธีจัดการ…



เมืองตะวันตก


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดของเมืองตะวันตกถูกจัดการไปแล้ว ด้านในเรือนเจ้าเมืองที่ผุพัง หลัวเฮมองไปยังซุนฉีหมิงด้วยใบหน้าโกรธเคือง


“เจ้าบอกว่า มีคนแย่งแหล่งวิญญาณของพวกเราไปแล้ว! อีกทั้งคนนี้ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถราชัน!!!” หลัวเฮตึงเครียด อยู่ในภาวะพร้อมระเบิดทุกเมื่อ


“อืม การต่อสู้กับชนเผ่ากลุ่มเสือดาบในหุบเขา คนของเมืองเจ็ดสียังมีชีวิตอยู่ในหุบเขาทรงพลัง จะต้องเกี่ยวกับคนนั้นแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังอยู่ในผู้ลี้ภัยเหล่านั้นไหม” ซุนฉีหมิงบอก


“เจ้าคนที่นามสกุลชิวนั่นละ” หลัวเฮถามขึ้น


“เขามุ่งหน้าไปบ่อน้ำตะวันตกแล้ว ถ้าสู้ขึ้นมาจริงละก็ จะไม่กลับมาในสิบวันแน่นอน” ซุนฉีหมิงบอก


“พวกเรามุ่งหน้าไปยังหุบเขาทรงพลังเถอะ ไปพาคนคนนั้นออกมา” หลัวเฮพูดอย่างเยือกเย็น


“แต่ถ้าความสามารถของเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเราสองคนรวมกันละ” ซุนฉีหมิงถามเสียงเบา


“หึ ถ้าอย่างนั้นเขาจะพาสามหมื่นคนนั้นของเมืองเจ็ดสีออกไปตั้งนานแล้ว ไม่จำต้องหลบอยู่ในหุบเขาทรงพลัง ใช้ประโยชน์จากหุบเขานั้น อย่างมากเขาก็มีเทียบเท่าราชันแค่ตัวเดียว!” หลัวเฮบอก



หลัวเฮกับซุนฉีหมิงอยู่ในขั้นราชันวิญญาณ หลังจากที่หลัวเฮมอบเรื่องการกำจัดบ่อน้ำตะวันตกให้คนอื่นจัดการแล้ว ตัวเขากับซุนฉีหมิงกลับก้าวข้ามเขตป้องกันของบ่อน้ำตะวันตก มุ่งหน้าไปยังหุบเขาทรงพลังไป


“ศพพวกนี้รวมกันแล้ว น่าจะประมาณกลุ่มขั้นเก้าสองอัน ต่อให้บวกกับราชันเสือดาว ข้าหรือเจ้าคนใดคนหนึ่งก็จัดการได้”หลัวเฮยืนอยู่กลางเขา กวาดตามองไปยังศพทั้งหมดนี้


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าไปในหุบเขาตอนนี้ คนของเมืองเจ็ดสีจะจัดการอย่างไร” ซุนฉีหมิงถามขึ้น


“ใครจะไปรู้ว่า ในบรรดาพวกเขาจะมีคนอื่นที่รู้ความลับของแหล่งวิญญาณอยู่หรือไม่…” หลัวเฮพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ


ทันใดนั้น หลัวเฮฉีกยิ้มออกมา เหมือนจะนึกแผนการที่ไม่แย่ออกมาได้




ด้านในเต็นท์ใหญ่ของหุบเขาทรงพลัง


“หัวหน้า หัวหน้า ด้านนอกหุบเขามีผู้แข็งแกร่งสองคน คนหนึ่งบอกว่า เป็นเจ้าโลกหลัว อีกคนบอกว่าเป็นท่านซุนองค์กรการค้า พวกเขาบอกว่า ได้ข่าวจากดวงวิญญาณส่งสารของพวกเรา มาที่นี่เพื่อช่วยพวกเราออกไป” สมาชิกตระกูลชู่ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามา พูดกับชู่เทียนเหิงอย่างตื่นเต้น


ชู่เทียนเหิงกำลังเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ เรื่องโรคระบาดทำให้เขาไปคิดเรื่องอื่นมากไม่ได้ และแล้วข่าวที่มาจากสมาชิกคนนี้ กลับทำให้ชู่เทียนเหิงลุกขึ้นทันที !!!


โลกภายนอกรับรู้เรื่องที่มีสามหมื่นคนถูกขังไว้ที่นี่ และได้กระจายไปที่เจ้าโลก เจ้าโลกเขากลับลงมือเอง มาช่วยคนทั้งหมดของเมืองเจ็ดสี!!!


“รีบ…รีบเชิญพวกเขาเข้ามา!” ชู่เทียนเหิงรีบบอก


“ขอรับ ขอรับ!!!”


ไม่สามารถกำจัดโรคระบาดได้ วิธีเดียวคือออกจากหุบเขาแห่งนี้


เจ้าโลกคนนี้กับท่านซุนมาได้เวลาจริงๆ ทำให้คนทั้งหมดรอดจากกองไฟได้!


“ช้าก่อน…” ทันใดนั้น ชู่เทียนเหิงเรียกสมาชิกคนนั้น


“หัวหน้า มีอะไรอีกขอรับ”


ชู่เทียนเหิงมองไปยังชู่เชียนที่อยู่ด้านข้าง พูดขึ้นว่า “ไปเรียกชู่มู่มา”


ชู่เชียนอึ้งเล็กน้อย พูดขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ชู่มู่…ชู่มู่เขาจากไปแล้ว….”


“จากไปงั้นหรือ เขาไปไหน ทำไมจู่ๆ เขาถึงจากไป!” ชู่เทียนเหิงรีบถามขึ้น


ชู่เทียนเหิงเชื่อว่า ชู่มู่จะอยู่ที่นี่คอยปกป้องคนทั้งหมด จนถึงคนทั้งหมดปลอดภัย ไม่กี่วันก่อนเพิ่งเกิดโรคระบาดขึ้น ทำให้คนทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้เป็นช่วงที่หุบเขาทั้งแห่งอ่อนแอที่สุด ทำไมชู่มู่ถึงจากไปโดยไม่บอก หรือว่าเขาจะทิ้งคนที่นี่แล้วหนีไปงั้นหรือ


เป็นไปไม่ได้ ชู่เทียนเหิงไม่เชื่อว่า ชู่มู่จะทิ้งตระกูลของตัวเองไว้ที่นี่


“รีบพูด เกิดอะไรขึ้น !” ชู่เทียนเหิงถามขึ้น


“ท่านพ่อ ท่านพ่ออย่าเพิ่งตื่นเต้น เรื่องเป็นแบบนี้ ระดับโรคระบาดครั้งนี้ไม่เบา ถ้าไม่เจอวิธีช่วยเหลือหรือรักษาในสิบวัน เกรงว่าคนเกินครึ่งจะต้องตายลง ดังนั้น ชู่มู่จึงคิดจะไปวังมารนิรย ตามหายาที่ควบคุมโรคระบาดได้ เขากังวลว่าหลังจากที่ตัวเขาจากไป ทุกคนจะแตกตื่น ไม่มีความมั่นใจ จึงไม่บอกคนอื่น เขายังให้ปีศาจนักรบไม้ของตัวเองคอยปกป้องพวกเราที่นี่” ชู่เชียนพูดเสียงเบา


ชู่เทียนเหิงถอนหายใจ ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมชู่มู่ถึงทำแบบนี้


เป็นเรื่องจริง ถ้ารออยู่ที่นี่ต่อไปละก็ จะทำให้คนทั้งหมดแตกสลายและหวาดกลัวต่อโรค จำต้องหาวิธีจัดการให้ได้ ชู่มู่ทำแบบนี้ถูกแล้ว


“ไปช้าหน่อยก็ได้ รวมกับพลังของเจ้าโลกและท่านซุนคนนั้น น่าจะปกป้องพวกเราจากไปได้ ทว่า ทำไมเขาไม่ไปเมืองโลกตะวันตก แต่กลับไปวังมารนิรย” ชู่เทียนเหิงถามขึ้น


“เรื่องนี้ ข้าไม่รู้มากเท่าไร” ชู่เชียนส่ายหัว


“ช่างเถอะ พวกเราไปต้อนรับเจ้าโลกก่อนเถอะ” ชู่เทียนเหิงไม่คิดไรมาก ออกจากเต็นท์อย่างรวดเร็ว


แม้หลัวเฮกับซุนฉีหมิงจะอยู่ด้านนอกหุบเขา แต่คนทั้งสองเป็นบุคคลระดับไหน จะให้รอได้อย่างไร หลังจากบอกกับคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกหุบเขา พวกเขาได้เข้าไปในหุบเขาทันที


ดังนั้น ชู่เทียนเหิงเดินออกจากเต็นท์ไม่นาน ก็เห็นเจ้าโลกหลัวเฮกับซุนฉีหมิงที่มีตำแหน่งสูงกว่าตัวเองเดินเข้ามา


ชู่เทียนเหิงยังไม่เคยเห็นใบหน้าของเจ้าโลกมาก่อน แต่คิดว่าในตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าละเลย เชิญทั้งสองคนเข้ามาในเต็นท์อย่างนอบน้อม


หลัวเฮเดินเข้าเต็นท์อย่างไม่เกรงใจ นั่งบนตำแหน่งประธาน เขากวาดตามองไปยังคนทั้งหมดของตระกูลชู่ สายตาเย่อหยิ่งอย่างมาก


ซุนฉีหมิงเองก็ขี้เกียจจะทำหน้าดีให้คนธรรมดาพวกนี้ นั่งอยู่ด้านข้าง ไม่พูดไม่จาอะไร


ตระกูลชู่เห็นท่านทั้งสองไม่พูดอะไร ไม่กล้าพูดขึ้นก่อน


ที่นั่งอยู่เป็นเจ้าโลกตะวันตก คนที่มีอำนาจที่สุดของทั้งโลกตะวันตก ไม่ว่าใครก็จะต้องนอบน้อม ดังนั้น พวกเขาทำท่าทีแบบนี้ก็ไม่กล้ามีใครว่าอะไรได้


ทว่า ตอนที่ชู่เทียนเหิงโค้งคำนับ กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกว่า ท่าทีของสองคนนี้แปลกๆ ไม่ได้รู้สึกดีใจที่ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับมีสีหน้ามัวหมอง


“ผู้แข็งแกร่งที่ช่วยให้พวกเจ้ามาถึงที่นี่ แล้วยังจัดการกลุ่มเสือดาวคือใคร” หลัวเฮถามขึ้น เขาเองก็ไม่พูดเยอะ เข้าเรื่องทันที!


พูดถึงผู้แข็งแกร่งคนนั้น ตระกูลชู่ฉีกยิ้มอย่างภูมิใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงความสามารถ ชู่มู่คงเทียบกับเจ้าโลกได้แล้ว


“ชู่มู่ เขาคือวีรบุรุษของพวกข้า” ในไม่ช้า มีคนตอบขึ้นมา


“ใช่ เขาคนเดียวก็จัดการกลุ่มเสือดาวส่วนใหญ่แล้ว!!!”


“อ่อ ชู่มู่งั้นหรือ” หลัวเฮมองไปยังซุนฉีหมิง


ซุนฉีหมิงส่ายหัว เป็นการบอกว่าไม่เคยได้ยินคนนี้มาก่อน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม