Scholar’s Advanced 41-52

 ตอนที่ 41 มาเอาพัสดุ


 


 


ณ อาคารซุนเฟิง ออฟฟิศซีอีโอ


 


มันเป็นช่วงพักกลางวัน


 


“ฉันอยากช่วยเขาในเวลาที่ต้องการ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าเขาคงไม่ต้องการความช่วยเหลือของเราแล้ว” หวังเหว่ยกล่าวขณะมองดูกระทู้มาแรงอันดับหนึ่งแล้วส่ายหน้า เขากดไลค์ในรีโพสต์ของเหรินเหรินไดอารี่


 


ในเวลานั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมา


 


หวังเหว่ยกล่าวโดยไม่เงยหน้า “เข้ามา”


 


หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรมนุษย์เดินเข้ามา


 


“ซีอีโอ ผมควรรอส่งข้อเสนอจนกว่าจะถึงสุดสัปดาห์ไหม?”


 


หวังเหว่ยคิดชั่วครู่แล้วตอบ “ส่งไปตอนนี้เลย รอไปก็ไม่มีประโยชน์”


 


ข่าวนี้ทำให้เขาได้รับผลกระทบซึ่งเขาก็ไม่ได้คาดหวังเลย อย่างไรก็ตามเมื่อมันเกิดขึ้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก


 


สัมผัสกลิ่นการเมืองเป็นสิ่งจำเป็นของนักธุรกิจทุกคน


 


ความหมายมันชัดเจนตั้งแต่การประชุมตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว


 


อินเตอร์เน็ตไม่ได้ยกเว้นกฏหมาย อิสระในการพูดไม่ได้หมายความว่าเราจะทำตัวกำเริบเสิบสานยังไงก็ได้ จูฟางไฉอาศัยหัวข้อที่เป็นกระแส ใช้คำพูดที่เย่อหยิ่งและฉีกหน้าผู้คนโดยไร้เหตุผล วันเวลาของเขาจะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ


 


ไม่ต้องพูดถึง เขาสร้างผลกระทบที่ไม่ดีต่อสังคม


 


เขาใช้สถานะของตนเพื่อทำลายชื่อเสียงของนักศึกษาที่แสวงหาความเจริญโดยไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรม เขาใช้วลีที่ไร้เหตุผลอย่าง’สิบวิทยานิพนธ์ต่อเดือน’และ’มะเร็งโลกวิชาการ’เพื่อเพิ่มความนิยมของตน


 


เขาไม่ได้แตกต่างจากเด็กที่เอะอะโวยวายเลย


 


ตอนนี้จูฟางไฉกลัวมาก เขาเลิกกระโดดโลดเต้น เขาอยากทำตัวโปรไฟล์ต่ำ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะอยู่อย่างโปรไฟล์ต่ำ


 


เงื้อมมือขึ้นแล้วและกำลังจะตบ มันก็กลายเป็นเรื่องที่ว่าตบนี้มันแรงแค่ไหน


 


ถ้าปากใหญ่ฉลาด เขาจะตบตัวเองแล้วยอมรับความผิดพลาด บางทีมือข้างนี้อาจไม่ตบลงที่เขา


 


อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าหมอนี่โง่…


 


หวังเหว่ยคิดเล็กน้อยแล้วหัวเราะ เขาแตะหน้าจอโทรศัพท์แล้วรีโพสต์บทความของเหรินเหรินไดอารี่ เขากระทั่งเพิ่มแคปชั่นลงไปด้วย


 


[พ่อหนุ่ม เงินเดือนครึ่งล้านต่อปี เธอคิดยังไงกับการมาทำงานที่ซุนเฟิง? (รูปหน้าสุนัข)]


 


กด


 


ส่งไป


 


แถบคอมเมนต์และข้อความส่วนตัวก็เดือดพล่าน


 


…..


 


นับตั้งแต่เริ่มการโต้เถียงมันก็ผ่านมาสัปดาห์เดียวเท่านั้น และมันก็ถูกโพสต์ในหัวกั๋วชิงเหนียนแล้ว


 


ลู่โจวไม่คิดเลยว่าเขาจะชนะอย่างล้นหลาม


 


รีโพสต์ของหัวกั๋วชิงเหนียนได้เปลี่ยนทิศทางของความเห็นของมหาชนโดยสมบูรณ์ ประชาชนเห็นคำอธิบายของรัฐบาลแล้วรวมตัวกันไปตำหนิปากใหญ่จูทันที


 


นักศึกษาปริญญาตรีได้รับการยอมรับจากมหาลัยนิวยอร์กและสถาบัน Paul Scherrer ของสวิส วิทยานิพนธ์วิทยาการคอมพิวเตอร์ได้รับความสนใจจากบริษัทระดับพันล้านหยวน นักศึกษาที่ยอดเยี่ยมแบบนี้จะถูกเรียกว่ามะเร็งโลกวิชาการได้อย่างไร?


 


อุกอาจเกินไปแล้ว


 


[คุณยังชอบดูถูกคนอื่นอีกเหรอเฒ่าจู?]


 


[ฉันบอกแล้วว่าวิทยานิพนธ์ไม่มีปัญหา เฒ่าจูชอบสบประมาทผู้อื่น]


 


[ฉันต้องคุกเข่าให้กับอัจฉริยะคนนี้ ฉันเขียนวิทยานิพนธ์สองฉบับในหนึ่งปีไม่ได้ด้วยซ้ำ]


 


[ทุกคนนั่งลงแล้วอธิษฐานให้เทพนักศึกษากัน (สุนัข)]


 


[ผมรู้สึกเหมือนผมเสียเวลาสี่ปีในมหาลัยโดยเปล่าประโยชน์…]


 


[ในฐานะนักศึกษานานาชาติที่สถาบันเทคโนโลยีแมซซาชูเซตส์ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ปกติมากในอเมริกา ปกติเราจะเรียกคนพวกนี้ว่าผู้ทำลายเส้นโค้ง มันหมายถึงคนที่ทำลายเส้นโค้ง เพราะคะแนนของพวกเขามักจะทำลายยอดเส้นโค้งของการแจกแจงปกติเสมอ]


(ผู้แปล : น่าจะหมายถึง คนอื่นทำได้แค่ไหน คนนี้จะทำได้สูงกว่าเสมอ)


 


[ถ้าหากเยาวชนเข้มแข็งประเทศก็จะเข้มแข็ง มันเป็นเหมือนกับโพสต์ของเหรินเหรินไดอารี่! (กำปั้น) (กำปั้น)]


 


[…]


 


สิ่งที่ทำให้ลู่โจวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีก็คือเขาไม่รู้ว่าใครแพร่งพรายเว่ยป๋อของเขา เพราะเขาได้รับคำขอให้เขียนวิทยานิพนธ์กว่าสองร้อยข้อความ


 


เขาพึ่งลงทะเบียนบัญชีนี้ไม่นาน เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับผู้ติดตามมามากกว่าห้าหมื่นคน


 


ในทางกลับกันจูฟางไฉถูกประชาชนโจมตี เขาเหมือนลูกแมวที่หวาดกลัว เขาไม่ได้ออกมาแถลงหรือเข้ามาเว่ยป๋อเลย


 


เขาจะไม่มีทางขอโทษ


 


แต่ประโยชน์ของการเป็นเต่าคืออะไร?


 


แม้ว่าเขาจะมีกระดองเต่าที่ทำจากเหล็กกล้า ผู้อื่นก็ยังสามารถกระทืบคุณจนตายได้จากด้านบน


 


จูฟางไฉไม่เคยคิดว่าโพสต์สบประมาทโพสต์ที่สามจะกลายเป็นโพสต์สุดท้ายที่เขาได้โพสต์


 


เขาเปิดคอมพิวเตอร์แล้วล็อคอินเข้าไปเพื่อดูจำนวนผู้ติดตามที่เขาสูญเสีย และแล้วเขาก็แปลกใจ


 


บัญชีเว่ยป๋อของเขาถูกแบน…


 


เมื่อจูฟางไฉเห็นข่าว เขาก็รู้สึกเหมือนเขาถูกความมืดกลืนกินจนเกือบเป็นลม


 


เขาเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างโง่งม


 


ผู้ติดตามสามล้านกว่าคน…


 


หายไปในพริบตา


 


สิ่งที่ทำให้เขาเศร้าไม่ใช่แค่เรื่องของแฟนคลับที่ติดตามเขาเท่านั้น มันเป็นรายได้โฆษณาห้าแสนหยวนต่อเดือนด้วย


 


บัญชีเขามีค่ามากกว่าสิบล้านหยวน!


 


มันเหมือนหัวใจเขาหลั่งเลือด มันทนทานไม่ได้ จูฟางไฉหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาฝ่ายบริการลูกค้าของเว่ยป๋อ


 


ทันทีที่มีคนรับสาย เขาก็ร้องตะโกน “ทำไมพวกคุณถึงแบนบัญชีฉัน? ฉันทำอะไรผิด! ฉันขอเตือน ถ้าคุณไม่อธิบายเรื่องนี้ให้ฉัน ฉันจะร้องเรียน!”


 


ฝ่ายบริการลูกค้าฟังคำร้องเรียนของเขาอย่างใจเย็นแล้วกล่าวอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ผมขอทราบบัญชีเว่ยป๋อของท่านด้วยครับ”


 


จูฟางไฉยังคงโกรธ เขานึกได้ว่าเขายังไม่ได้บอกชื่อ เขาจึงรีบสงบใจลง “ฉันชื่อจูฟางไฉ”


 


“โปรดรอสักครู่” หลังจากนั้นไม่นานฝ่ายบริการลูกค้าก็กล่าวต่อ “สวัสดีครับ เราระงับบัญชีเว่ยป๋อของท่านเนื่องจากการโพสต์ข้อมูลที่เป็นภัย ท่านละเมิด[ข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิของผู้ใช้เว่ยป๋อ]…”


 


จูฟางไฉโกรธมาก เขาขัดจังหวะแล้วถามด้วยความโกรธ “ฉันละเมิดข้อไหน?! ฉันกำลังใช้อิสระภาพในการพูด คุณไม่มีสิทธิ์หยุดฉัน! ฉันขอเตือน ปลดล็อคบัญชีของฉันเดี๋ยวนี้หรือจะให้ฉันฟ้องคุณ…”


 


ฝ่ายบริการลูกค้ายังคงใจเย็น “ขอโทษครับ การละเมิดดังกล่าวถูกตรวจสอบโดยแผนกควบคุมดูแลความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ตของรัฐบาล เราไม่สามารถปลดแบนได้ โปรดร้องทุกข์ผ่านช่องทางตุลาการ”


 


แผนกควบคุมดูแลความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ตสาธารณะ…


 


เราไม่สามารถปลดแบนได้…


 


โปรดร้องทุกข์ผ่านช่องทางตุลาการ…


 


ทุกประโยคเหมือนกับกำลังเยาะเย้ยเขาอย่างไร้ความปราณี


 


จูฟางไฉแทบกระอักเลือดบนคีย์บอร์ด


 


อย่างไรก็ตามโชคร้ายของเขายังไม่จบ ขณะที่เขาวางสาย เขาก็ได้รับอีกสาย


 


เมื่อเขารับโทรศัพท์ จูฟางไฉกล่าวอย่างหดหู่ใจ “ฮัลโหล…”


 


“พัสดุems รบกวนลงมารับข้างล่างหน่อยครับ…”


 


พัสดุ?


 


ช่วงนี้ฉันไม่ได้ซื้อของออนไลน์เลย…


 


จูฟางไฉชะงักชั่วครู่ เขาถามอย่างสับสน “พัสดุอะไร?”


 


“มันเป็นเอกสาร ผมจะดูให้คุณ มันเป็นเอกสารอะไรสักอย่าง” คนส่งของกล่าว เขายืนอยู่ข้างรถตู้ เขาเอาโทรศัพท์หนีบไว้ซอกคอแล้วหันพัสดุไปมา “เมืองจินหลิง…ศาล? มันเป็นพัสดุของคุณแน่นอน เชิญมารับด้วยครับ!”


 


จูฟางไฉวางสายเงียบๆแล้วโยนโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ


 


เขาเหยียดกายบนเก้าอี้แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ


 


ผ่านควันบุหรี่ เขาสามารถมองเห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ในหน้าจอโทรศัพท์


 


ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาดูเหมือนชายแก่อายุเก้าสิบปี…


ตอนที่ 42 ฉันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์


 


 


ลู่โจวเห็นว่าซีอีโอซุนเฟิงแท็กชื่อเขาในโพสต์ เขาจึงคิดว่ามันเป็นแค่การล้อเล่น เขาไม่คาดหวังหรอกว่าเขาได้รับข้อเสนอจากซุนเฟิงกรุ๊ปจริงๆ


 


อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาไม่มีอีเมลล์ ข้อเสนอจึงถูกส่งผ่านไปรษณีย์มายังมหาลัย


 


โชคร้ายทางมหาลัยโทรมาหาเขาแล้วบอกให้เขาไปรับพัสดุ เขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่ามันเป็นข้อเสนอ เขาเปิดพัสดุทันทีที่ได้รับแล้วก็มีนักศึกษาสองสามคนที่อยู่รอบข้างเห็น


 


บางทีอาจมีคนไปสมัครงานที่ซุนเฟิง เพราะพวกเขาจำโลโก้ของพัสดุได้


 


พวกเขาคิดถึงโพสต์ที่มาแรงของซุนเฟิง…


 


ในตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้แล้วว่าซีอีโอของซุนเฟิงจริงจัง!


 


ไม่เพียงแค่เขาจะมีชื่อเสียงในเว่ยป๋อเท่านั้น แต่เขามีชื่อเสียงในฟีดข่าวของเพื่อนวีแชทด้วย เพื่อนๆเขาโพสต์เรื่องอย่าง ‘บูชาเทพเจ้า’ และ ‘บูชาอัจฉริยะ’ เขาไม่อาจถ่อมตนได้ตามต้องการอีก


 


แม้ว่าจะมีอัจฉริยะมากมายอยู่ในสถานที่อย่างมหาลัยจินหลิง แต่มันก็มีไม่มากนักที่อยู่ในระดับเดียวกับลู่โจว!


 


เขาได้รับข้อเสนอครึ่งล้านหยวนตั้งแต่ปีหนึ่ง ลองจินตนาการตอนที่เขาเรียนจบสิ!


 


ส่วนเหล่านักศึกษาที่เรียนจบไปแล้ว พวกเขารู้สึกเหมือนตนเองใช้เวลาสี่ปีในมหาลัยอย่างเปล่าประโยชน์ พวกเขาศึกษาเอกที่เป็นที่นิยมที่สุด ได้รับประกาศนียบัตรจำนวนมาก ทำงานสักสามปีห้าปี ย้ายที่ทำงานสักสองสามแห่ง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็จะมีรายได้เพียง 20000-30000 หยวนต่อเดือนเท่านั้น


 


เมื่อพวกเขามองกระจก พวกเขาก็จะเห็นว่าตัวเองเป็นวัยกลางคนที่ใกล้เกษียณแล้ว


 


เงินเดือนครึ่งล้านต่อปีเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ได้แต่ฝันถึง


 


อย่างไรก็ตามลู่โจวไม่สบอารมณ์เล็กน้อย


 


เขาติด เขาควรทำยังไงกับข้อเสนอนี้ดี?


 


นับตั้งแต่ที่เขาได้รับข้อเสนอเมื่อวาน เขาก็ได้อ่านมันหลายครั้ง ข้อเสนอของซุนเฟิงน่าดึงดูดมาก เงินเดือนครึ่งล้านต่อปี ผลตอบแทนหุ้นในสามปีเป็นต้น


 


พูดตามตรง เมื่อลู่โจวเห็นเงินเดือนจำนวนนี้ เขาก็ตื่นเต้นมาก


 


แน่นอนอยู่แล้วที่เขาจะตื่นเต้น เขาทำงานแค่ไม่กี่ปี จากนั้นก็ซื้อบ้านซื้อรถ จากนั้นเขาก็แค่ต้องหาภรรยาแสนสวยสักคนที่ควรคู่กับเขาแล้วชีวิตของเขาก็จะสมบูรณ์!


 


อย่างไรก็ตามเขานึกถึงระบบแล้วเงียบ


 


แม้ว่าระบบจะวางกับดักเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่ระบบก็ยังทำให้เขามีคุณค่ามากขึ้น


 


อย่างน้อยมันก็มีค่ามากกว่าเงินเดือนครึ่งล้าน…


 


“โจว…พี่โจว นายตัดสินใจเรื่องข้อเสนอยัง?” หลิวรุ่ยถาม เขาอยากตะโกนเรียกชื่อลู่โจว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกถูกกดทับอยู่ภายใต้ความสำเร็จของลู่โจว เขาจึงเปลี่ยนคำพูด


 


ลู่โจวมองหลิวรุ่ย เขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “นายอิจฉา?”


 


หลิวรุ่ยอึ้ง เขาตอบ “อย่ามาเหลวไหล! ใครจะอิจฉากัน?”


 


คำถามนี้มันจำเป็นด้วยเหรอ?


 


ลู่โจวถอนหายใจ “แต่ฉัน…อยากปฏิเสธข้อเสนอ”


 


หลิวรุ่ย “???”


 


แม้เขาจะรู้ว่าลู่โจวแสร้งทำ เขาก็ยังอดถามไม่ได้


 


“ทำไม? นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก”


 


ลู่โจวแหงนมองท้องฟ้าแล้วกล่าว “ฉันไม่อยากมีวิถีชีวิตแบบนั้น”


 


เมื่อเขาเห็นสีหน้าของหลิวรุ่ย เขาก็ตัดสินใจในที่สุด


 


เงินเดือนครึ่งล้านหยวนต่อปีเพียงพอที่จะทำให้คนจำนวนมากแหงนหน้ามอง แต่มันยังเป็นเป้าหมายของคนธรรมดา แม้แต่เงินเดือนหนึ่งล้านหยวนยังเหมือนกัน


 


เขามีระบบ แล้วทำไมเขาต้องทำงานให้คนอื่นด้วย?


 


ลู่โจวตัดสินใจ


 


เขาไม่มีทางทำงานให้คนอื่น


 


หลิวรุ่ยเงียบไปสักพักก่อนจะถาม “แล้วนายต้องการใช้ชีวิตแบบไหน? ชีวิตแบบไหนที่ใช้เงินสร้างไม่ได้?”


 


“ฉันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์”


 


หลิวรุ่ย “…”


 


ฉันอยากต่อยกับเจ้าหมอนี่…


 


…..


 


ท้ายที่สุดพวกเขาก็ส่งข้อเสนอมาผ่านจดหมาย


 


ลู่โจวรู้สึกว่าถ้าเขาตอบกลับด้วยอีเมลล์ มันอาจไม่สุภาพเล็กน้อย ดังนั้นหลังจากพิจารณาชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจโทรเข้าไปในเบอร์ที่ถูกพิมพ์ไว้ในข้อเสนอแล้วปฏิเสธพวกเขาอย่างอ่อนโยน


 


พวกเขาฟังคำพูดของเขาแล้วเงียบไปประมาณสิบวิก่อนจะพูดว่า “น้อยเกินไปเหรอ? มาเซินเจิ้น เราจะซื้อตั๋วเครื่องบินให้ เรามาคุยกันตรงๆได้”


 


ลู่โจว “???”


 


ทำไมฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ถึงอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนี้?


 


ปลายสายไม่ได้ยินลู่โจวพูด ดังนั้นเขาจึงกระแอมแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “มาให้ฉันแนะนำตัวก่อน ฉันคือหวังเหว่ย”


 


เชี่ย?


 


เบอร์บนข้อเสนอไม่ใช่ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์?


 


ซีอีโอคนนี้มีเวลาว่างมากเลยเหรอ…


 


ถ้าหวังเหว่ยรู้ที่ลู่โจวคิด เขาคงโกรธมาก


 


ลู่โจวไม่ได้ตกใจกับชายที่ติดอันดับร่ำรวยในรายชื่อฟอร์บส์ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าว “มันไม่เกี่ยวกับเงิน ผมคิดว่าผมยังเรียนรู้ไม่พอ มีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้ ดังนั้นแม้ว่าข้อเสนอของคุณจะน่าดึงดูด แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีความตั้งใจที่จะทำงาน ผมเสียใจจริงๆ”


 


ปลายสายไม่ยอมแพ้ เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงของชายชรา “มีหลายสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ทั้งในสังคมโรงเรียนและในที่ทำงาน ฉันเชื่อว่าถ้าเธอมากับเรา เธอจะเรียนรู้สิ่งที่เธอสนใจได้มากมาย และฉันจะบอกความจริงกับเธอให้ ถ้าเธอเขียนอัลกอริทึมได้แบบนี้ มหาลัยคงช่วยเหลือเธอไม่ได้มากนัก สิ่งที่เธอต้องการคือโอกาสและเงินที่ทางมหาลัยมอบให้เธอไม่ได้ แต่ฉันทำได้”


 


เขาพูดจนถึงจุดนี้ก่อนจะหยุด จากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วกล่าวต่อ “ถ้าเธอกังวลว่าวุฒิการศึกษาจะเป็นอุปสรรคในการเลื่อนตำแหน่ง งั้นเธอก็ไม่ควรกังวล พื้นหลังการศึกษาใช้คัดกรองพรสวรรค์ของคนธรรมดาเท่านั้น มันไม่ใช่คนที่มีพรสววรค์แบบเธอ ฉันคิดว่าความสามารถสำคัญกว่าความสำเร็จและวุฒิการศึกษา”


 


ลู่โจวถอนหายใจในใจและแอบชื่นชมชายคนนี้


 


ไม่แปลกใจเลยที่ชายคนนี้อยู่ในรายชื่อฟอร์บส์ ความกระหายของเขาสูงมาก ถ้านี่เป็นเมื่อสองเดือนก่อน ฉันอาจบูชาชายคนนี้ไปแล้ว


 


แต่ตอนนี้ฉันตระหนักแล้วว่าฉันยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมาย


 


“ขอโทษครับ” ลู่โจวกล่าวและส่ายหน้า เขากล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจน “แม้ว่าผมจะซาบซึ้งที่คุณประเมิณผมไว้สูงขนาดนี้ แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีแผนจะทำงาน ผมหวังว่าครั้งหน้าที่เราพบกัน เราจะพบกันในฐานะหุ้นส่วนทางธุรกิจ”


 


ปลายสายชะงักก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้น


 


“ฮ่าๆๆๆ ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอ”


 


เขาถูกปฏิเสธ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้พูดมากนัก


 


หวังเหว่ยวางสาย เขาส่ายหน้าแล้วโยนโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ


 


“เด็กคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ”


 


เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของซุนเฟิง? ทะเยอทะยานไม่เบา


 


เธอควรไปคิดก่อนดีกว่าว่าจะไปหาแหล่งเงินกู้ที่ใจดีมาจากไหน!


 


มีผู้ประกอบการมากเหลือเกินที่ล้มเหลว หากไม่มีเงินทุนสนับสนุน มันไม่มีโอกาสเลยที่จะทำให้เทคโนโลยีเป็นจริง


 


เขาเคยเห็นคนมากมายที่ลาออกจากตำแหน่งผู้ประกอบการ


ตอนที่ 43 นายควรยกโทษให้เมื่อเป็นไปได้งั้นเหรอ? ไม่


 


 


ตอนบ่ายในห้องเรียนห้องเดิม ลู่โจวกำลังถูกสัมภาษณ์จาก[หัวกั๋วชิงเหนียน]


 


จะว่าไปมันเป็นการสัมภาษณ์ครั้งที่สองของเดือนนี้


 


การสัมภาษณ์ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ครั้งนี้นักข่าวของหัวกั๋วชิงเหนียนบอกลู่โจวว่าการสัมภาษณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ลงหนังสือพิมพ์เท่านั้น แต่คลิปวีดีโออาจถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ลู่โจวจึงกังวลเล็กน้อยเมื่อเริ่มการสัมภาษณ์


 


นักข่าวสาวสวยเป็นคนสัมภาษณ์เขา น้ำเสียงของเธอไพเราะคล้ายคลึงกับเสียงของผู้ประกาศทางวิทยุ


 


หญิงสาวยิ้มแล้วกล่าว “สวัสดีค่ะ นักศึกษาลู่ เราเริ่มเลยได้ไหม?”


 


ลู่โจวพยักหน้าแล้วกล่าว “ครับ เชิญถามมาได้เลย”


 


“เธอไม่ต้องกังวล คำถามเรียบง่ายมาก” นักข่าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม เธอพยักหน้าส่งสัญญาณให้ช่างกล้องก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงมืออาชีพ “ก่อนอื่นเลย ฉันอยากถามว่าปกติคุณเรียนอย่างไร? มีเคล็ดลับอะไรไหม?”


 


ลู่โจวคิดสักครู่แล้วตอบ “ผมไม่มีเคล็ดลับอะไรเลยจริงๆ ผมแค่ไปเรียนในห้องสมุด มันก็ไม่ได้แตกต่างจากนักศึกษาคนอื่นมากนัก”


 


“จริงเหรอคะ? งั้นฉันต้องคิดว่านักศึกษาลู่ต้องเป็นอัจฉริยะแน่เลย” นักข่าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม เธอกล่าวต่อ “จากการสัมภาษณ์นักศึกษาคนอื่น เราได้ยินว่าคุณยังทำงานพาร์ทไทม์อยู่ ฉันอยากถามว่าคุณเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้อย่างไร?”


 


ลู่โจวหัวเราะแล้วกล่าว “เหตุผลที่ผมทำงานเป็นเพราะสถานการณ์ทางการเงินของครอบครัว ผมคิดว่าถ้าคุณจัดการเวลาของตนเองได้ดี คุณก็จะสามารถทั้งเรียนและทำงานไปด้วย”


 


ในขณะเดียวกันในใจของเขา เขาก็กำลังคิดตรงกันข้าม


 


ทำงานไม่ได้ส่งผลต่อการเรียนงั้นเหรอ?


 


เหลวไหลทั้งเพ!


 


นักข่าวถาม “ฉันได้ยินมาว่าคุณมีน้องสาวเรียนมัธยมปลายงั้นหรือ?”


 


ลู่โจวตอบ “ครับ เธอกำลังจะขึ้นมอห้าหลังซัมเมอร์นี้”


 


นักข่าวยิ้มแล้วถามต่อ “คุณอยากพูดอะไรกับน้องสาวและเพื่อนนักเรียนคนอื่นที่กำลังสอบเข้ามหาลัยไหมคะ?”


 


ลู่โจวหันไปมองกล้องแล้วยิ้มอย่างสดใส “ผมเอาใจช่วยครับ!”


 


การสัมภาษณ์จบลงแล้ว


 


คำถามสุดท้ายเป็นจำพวก’การแฝงโฆษณา’ที่มหาลัยร้องขอ ส่วนคำถามอื่นลู่โจวตอบไปตามตรง


 


การสัมภาษณ์สิ้นสุดลงและนักข่าวของหัวกั๋วชิงเหนียนก็เก็บอุปกรณ์ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของมหาลัย พวกเขายังต้องเขียนรายงานจากการสัมภาษณ์นักศึกษาคนอื่นอีก


 


สำหรับมหาลัยจินหลิง การโต้เถียงครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ ไม่เพียงแต่จะเคลียร์ความคับข้องใจเท่านั้น พวกเขายังสร้างชื่อในสื่ออีกด้วย


 


จะมีมหาลัยไหนอีกที่ผลิตนักศึกษาปริญญาตรีที่มีความสามารถเช่นนี้?


 


แม้ว่านักศึกษาจะไม่ได้รับการปลูกฝังจากทางมหาลัย แต่มันก็ยังเป็นเกียรติของมหาลัย!


 


ในการประชุมผู้นำมหาลัยครั้งก่อน อาจารย์ใหญ่สวี่เจี้ยนพูดชื่อของลู่โจวถึงสองครั้งซึ่งทำให้ภาควิชาคณิตศาสตร์ได้หน้าอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณบดีหลู่ หน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มตลอดครึ่งประชุมหลัง


 


อะไรที่นับว่าเป็นความสำเร็จของภาควิชาคณิตศาสตร์?


 


สิ่งนี้แหละที่นับว่าเป็นความสำเร็จ!


 


เจ้าหน้าที่ส่งขวดน้ำให้ลู่โจวแล้วเขาก็ยกน้ำขึ้นมาจิบ แต่แล้วจู่ๆเขาก็เห็นคณบดีหลู่เดินมาหาเขา


 


คณบดีตบบ่าลู่โจวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เธอสัมภาษณ์ได้ดีมาก ผู้นำมหาลัยเรียกตัวอาจารย์แล้วบอกกับอาจารย์ว่าเธอไม่ต้องทำงานพาร์ทไทม์อีก ให้ลาออกจากงานอย่างจัดพัสดุหรือแจกใบปลิวไปเสีย ถ้าเป็นไปได้พยายามอย่าทำ ถ้าเธอลำบากอะไร ทางมหาลัยก็ยังมีทุนให้”


 


ประโยคนี้บอกกลายๆว่าทุนการศึกษาหน้าเป็นของเขา


 


ลู่โจวถามอย่างสงสัย “แล้วสอนพิเศษโอเคไหมครับ?”


 


“แน่นอน! อาจารย์จะสนับสนุนด้วยมือทั้งสองข้าง!”คณบดีหลู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม เขากล่าวต่อ “มหาลัยไม่ได้อยากห้ามเธอทำงาน มันก็แค่…ตอนที่เลือกงาน คิดถึงประเภทงานที่จะทำด้วย พยายามอย่าเลิกงานที่ต้องเหนื่อยและเสียเวลาเปล่า”


 


อันที่จริงคณบดีลู่กลัวว่าคนอื่นจะนินทาเอา


 


จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนบิดเบือนเรื่องราวแล้วถามทางมหาลัยว่าทำไมถึงบังคับนักศึกษาที่ยอดเยี่ยมแบบนั้นไปแจกใบปลิวหรือไปแต่งตัวเป็นมาสคอต? แล้วถ้าพวกเขาถามล่ะว่าทุนการศึกษาอยู่ไหน? พวกเขาจะทำยังไง?


 


ลู่โจวได้ยินคณบดีพูดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


เขามีความสุขมากที่ได้ไปสอนพิเศษต่อ


 


ทุนการศึกษามีเพียงหมื่นหยวนเท่านั้น แถมมันยังได้แค่ครั้งเดียว เขาไปสอนพิเศษยังได้เงินเยอะกว่าอีก


 


“เอ้อ มีอีกเรื่อง” คณบดีหลู่กล่าวและกระแอม จากนั้นเขาก็หัวเราะ “มหาลัยของเราตัดสินใจฟ้องร้องคนที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตของเธอช่วงก่อนอย่างเป็นทางการ ทนายความที่ฟ้องร้องคือศาสตราจารย์หวังไห่เซิงจากคณะกฏหมาย เราจะไม่ทำลายเขา แต่อย่างน้อยเราจะทำให้เขาชดใช้ในราคาที่เขาสมควรโดน! เธออาจต้องไปเป็นพยานในชั้นศาล นั่นไม่มีปัญหาใช่ไหม?”


 


การเชิญศาสตราจารย์ทางด้านกฏหมายไปศาลค่อนข้างไม่สุภาพกับฝ่ายตรงข้ามเลย


 


บางทีอาจมีกระทั่งนักศึกษากฏหมายสองสามคนไปยืนอยู่ในศาลด้วย


 


ลู่โจวจินตนาการภาพนี้ในใจ


 


เขาลุกขึ้นยืนทันทีแล้วกล่าว “ผมไม่คิดมาก! ถ้าผมจำเป็นต้องไปก็โปรดแจ้งผมด้วย!”


 


นักศึกษาอัจฉริยะต้องใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม!


 


ให้อภัยงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้


 


สำหรับแมลงแบบนี้ คุณต้องฆ่าให้ตาย!


 


ก่อนหน้านี้ลู่โจวไม่ได้ฟ้องร้องเขาเพราะเขาไม่มีเวลาและพลังงานมากพอไปฟ้อง ตอนนี้มหาลัยเสนอช่วยเขา เขาย่อมไม่ปฏิเสธ เขาแทบอดใจรอขึ้นศาลไม่ไหว


 


การสัมภาษณ์จบลงและลู่โจวก็เดินไปตึกวิจัย


 


ก่อนหน้านี้เขาบอกศาสตราจารย์ถังเกี่ยวกับข้อเสนอที่เขาได้รับ ศาสตราจารย์ถังบอกให้เขาไปหาที่ออฟฟิศและอยากพูดคุยกับเขา


 


“…ข้อเสนอครึ่งล้าน? เธอปฏิเสธไปจริงๆ?” ศาสตราจารย์ถังถามเมื่อได้ยินการตัดสินใจของลู่โจว เขาพบว่ามันยากจะเชื่อ เพราะเขารู้ว่าลู่โจวกระหายเงินแค่ไหน


 


ครึ่งล้านหยวน


 


ศาสตราจารย์ถังได้ยินนักศึกษาปริญญาโทสองคนพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาบ่นเรื่องที่ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้าง ต่อให้มันเป็นแค่สองแสนห้าหมื่นหยวน พวกเขาก็คงยอมรับ


 


“ศาสตราจารย์ ผมคิดอย่างชัดเจนแล้ว ผมอยากอุทิศช่วงวัยรุ่นกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ความฝันต้องมาก่อนเงิน” ลู่โจวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


ศาสตราจารย์ถังพลันตระหนักว่าเจ้าหนูนี่ไม่ใช่แค่หิวเงินเท่านั้น เขายังมีนิสัยไม่ดีอย่างอื่นด้วยเช่นกัน


 


มันเป็นความไม่ซื่อสัตย์…เขาชอบโม้…


 


แต่สุดท้ายแล้ว เรื่องนี้ก็ดูไม่ได้แย่นัก?


 


อย่างน้อย เขาก็มีความสามารถพอ มันยังดีกว่าเหล่าคนที่เย่อหยิ่งแต่ไม่มีความสามารถ


 


“อาจารย์ยินดีมากที่เธอสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด อนาคตของเธอสดใสกว่าเงินครึ่งล้านแน่นอน ตอนแรกอาจารย์มีแผนจะเกลี้ยกล่อมไม่ให้เธอไปทำงาน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่จำเป็นแล้ว…”


 


ศาสตราจารย์ถังชะงักก่อนจะพูด “นอกจากนี้เรื่องคำเชิญจากมหาลัยนิวยอร์ก ในฐานะศาสตราจารย์จากมหาลัยจินหลิง อาจารย์หวังว่าเธอจะอยู่ที่นี่ แต่ในฐานะอาจารย์ อาจารย์ต้องบอกเธอเลยว่าคำเชิญจากมหาลัยนิวยอร์กเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของเธอ เธอต้องคิดให้ดี”


 


ถ้าเขาเป็นนักศึกษาที่ดีทั่วๆไป จินหลิงคงไม่สนใจ เพราะจะอยู่หรือไปก็ไม่ได้มีความหมายกับมหาลัย อย่างไรก็ตามสำหรับนักศึกษาที่มีความสามารถอย่างลู่โจวนั้นแตกต่างกัน ท้ายที่สุดแล้วนักศึกษาปริญญาตรีที่ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์SCIนั้นน่าประทับใจ เขาอาจกระทั่งมีโอกาสได้รับเหรียญฟีลดส์ตั้งแต่เริ่มเรียนปริญญาโทร


 


ไปเรียนต่างประเทศอย่างอเมริกา?


 


ดูเหมือนจะแพง


 


ไม่ต้องพูดถึงปัญหาเรื่องภาษาและวัฒนธรรมอีก


 


ลู่โจวคิดเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมคิดว่าผมไม่ไป มหาลัยจินหลิงไม่เลวแล้ว ผมบอกน้องสายแล้วด้วยว่าผมจะรอเธออยู่ที่นี่”


 


รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าศาสตราจารย์ถัง เขากล่าว “ดีมากที่คิดแบบนั้น ผู้นำมหาลัยขอให้อาจารย์สอนอุดมการณ์ให้เธอ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว ถ้าเธออยู่ที่มหาลัยจินหลิง อาจารย์สัญญากับเธอเลยว่าเธอจะได้รับทุนการศึกษาและสามารถเข้าปริญญาโทและเอกได้เลยโดยไม่ต้องสอบเข้า”


 


ลู่โจวยิ้ม “นั่นมัน…ขอบคุณมากครับ!”


 


“นี่เป็นหน้าที่ของเรา” ศาสตราจารย์กล่าวพร้อมกับพยักหน้า เขายิ้มแล้วกล่าวเสริม “เอาล่ะ อาจารย์ไม่มีอะไรให้พูดแล้ว ไปตอบมหาลัยนิวยอร์กเถอะ จากนั้นก็เตรียมตัวแข่งการสร้างแบบจำลอง อาจารย์หวังว่าจะได้เห็นชื่อของเธอในรายชื่อผู้ชนะอันดับหนึ่ง”


 


ลู่โจวยิ้มพยักหน้า “ครับ!”


ตอนที่ 44 ความไม่พอใจจากคนโสด


 


 


ตอนเช้า ในห้องสมุด


 


ในที่สุดลู่โจวก็เป็นอิสระจากพายุปากเสียงของประชาชน เขาจึงมาเรียนในห้องสมุดตามเดิม


 


เขาพบเฉินยู่ซานที่กำลังเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้าปริญญาเอกตามปกติ


 


พวกเขาคุยเรื่องคณิตศาสตร์กันและเริ่มคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้


 


ดวงตาของเฉินยู่ซานเบิกกว้างเมื่อเธอได้ยินว่าลู่โจวปฏิเสธข้อเสนอไป


 


“นายปฏิเสธข้อเสนอจากซุนเฟิง?”


 


นั่นเป็นเงินเดือนครึ่งล้านหยวนเลยนะ!


 


นั่นมันไม่เหมือนกับเขาเลย…


 


“ใช่ ผมไม่สามารถหยุดเรียนเพื่อไปทำงานที่ซุนเฟิง” ลู่โจวกล่าวและกลอกตามอง เขากล่าวเสริม “ไม่งั้นพ่อเอาผมตาย”


 


“เอ้อ นั่นสิ ถ้านายยอมรับงาน นายก็เรียนต่อไม่ได้” เฉินยู่ซานกล่าวแล้วพยักหน้า เธอเอาปากกาดันคางแล้วกล่าว “งั้นก็ไม่ต้องไป การได้รับปริญญาเป็นเรื่องสำคัญ”


 


ลู่โจวหัวเราะ


 


ในมุมมองของเขา การรับปริญญาไม่ได้สำคัญขนาดนั้น


 


มันก็แค่ว่าอยู่ในมหาลัยมันทำภารกิจให้เสร็จง่ายกว่า เขาสามารถอ่านหนังสือทั้งหมดในห้องสมุดและดาวโหลน์เอกสารการวิจัยได้ฟรี เขากระทั่งได้คุยกับศาสตราจารย์แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย


 


มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าระบบจะมอบภารกิจอะไรให้เขาเมื่อเขาออกจากมหาลัย


 


เขาควรจะอยู่ในมหาลัยก่อนที่เขาจะระดับเพิ่ม เขาอยากเริ่มธุรกิจเทคโนโลยี มันไม่มีที่ไหนที่ทำวิจัยได้ดีกว่าอยู่ในมหาลัยแล้ว


 


เฉินยู่ซานกล่าว “เอ้อ ป้าฉันฝากถามมาว่าคืนนี้นายว่างไหม?”


 


ลู่โจวตอบ “ผมว่าง มีอะไรหรือ?”


 


เฉินยู่ซานกล่าว “เธออยากเลี้ยงข้าว”


 


“เลี้ยงข้าว? ทำไมล่ะ?” ลู่โจวกล่าว เขามองเฉินยู่ซานด้วยความสงสัย


 


ทำไมเธอถึงอยากเลี้ยงข้าวฉันโดยไม่มีเหตุผลล่ะ?


 


แน่นอนถ้ามีคนยืนกรานเลี้ยงข้าวเขา แน่นอนว่าเขาไม่ปฏิเสธ


 


เฉินยู่ซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายกำลังสอนพิเศษลูกพี่ลูกน้องฉันใช่ไหม? ผลสอบเดือนนี้ออกมาแล้ว เธอได้คะแนนคณิตมากกว่าที่คิดไว้ ป้าฉันอยากเลี้ยงข้าวนายเพื่อแสดงความขอบคุณ แน่นอนฉันเป็นคนเอางานให้นาย ดังนั้นฉันก็ควรรับความดีความชอบเหมือนกัน ฉันจะไปด้วย”


 


ลู่โจวยิ้มแล้วถาม “เธอได้เท่าไหร่?”


 


“116! ป้าฉันดีใจมากเมื่อได้ยินคะแนนสอบ นั่นป้าฉันเลยนะ! ฉันไม่เคยเห็นเธอมีความสุขแบบนั้นมานานแล้ว” เฉินยู่ซานกล่าว เธอบุ้ยปาก “เห็นมั้ยฉันบอกนายแล้วว่านายสอนคณิตเก่ง”


 


คณิตศาสตร์ระดับมัธยมปลาย…


 


ทบทวนบทเรียน แก้ไขข้อผิดพลาด และหนังสือ’ข้อสอบมัธยมปลายในสามปี’


 


ถ้าคุณมีสามสิ่งนี้ บางครั้งคะแนนสอบของคุณก็อาจไม่เลว อย่างไรก็ตามถ้าคุณอยากได้คะแนนสูงๆ มันก็ยังขึ้นอยู่กับความสามารถ บางคนก็มีพรสวรรค์ทางตัวเลข ถ้าคุณไม่มีพรสวรรค์ ต่อให้พยายามมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามทัน


 


ยกตัวอย่าง ลู่โจวมีเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลายคนนึงที่ทำสมการปริภูมิสองมิติโดยไม่ต้องใช้ปากกา เขาสามารถคำนวณในใจ ทุกครั้งที่ครูคณิตพูดถึงการเสียคะแนนสอบที่ไม่น่าพลาด เธอจะกล่าวถึงอัจฉริยะคนนั้น


 


อันที่จริงหานเมิ่งฉีมีพรสวรรค์ทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง เมื่อเขาสอนอะไรบางอย่างให้เธอ เธอก็จะไม่ทำผิดอีกเลย ถ้าเธอมีทัศนคติในการเรียนรู้ที่ถูกต้อง เธอก็คงตามเพื่อนได้ง่ายๆ


 


ลู่โจวยิ้มแล้วกล่าว “อาจเป็นเพราะลูกพี่ลูกน้องคุณกับน้องสาวของผมอายุใกล้กัน การรับมือกับวัยรุ่ยอายุเท่าเธอส่วนใหญ่เกี่ยวกับการสื่อสาร”


 


“นายมีน้องสาวด้วยเหรอ?” เฉินยู่ซานถามด้วยแววตาเปล่งประกาย


 


ในเวลานั้นเองก็มีเสียงกระแอมหนักๆดังมาจากแถวหน้า


 


ทั้งสองรู้สึกถึงความข้องใจอย่างแรงกล้าแล้วหุบปากโดยไม่รู้ตัว


 


ความไม่พอใจมาจากคนโสดที่นั่งอยู่ใกล้ๆพวกเขา


 


เฉินยู่ซานแลบลิ้น เธอหยิบหนังสือแบบฝึกหัดแล้วขยับเก้าอี้กลับไปที่เดิม


 


มันเป็นเรื่องยากที่จะคุยหรือหัวเราะในห้องสมุด แม้ว่าพวกเขาจะคุยกันเงียบๆ แต่คนที่กำลังเรียนก็ยังได้ยินพวกเขาอยู่ ลู่โจวรู้เรื่องนี้แล้วยิ้ม เขารู้สึกเขินอาย เขาเลิกพูดอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มอ่านหนังสือต่อ


 


เมื่อวานเขาอ่านหนังสือ[ทอพอโลยี]จบแล้ว ในที่สุดเขาก็อ่านหนังสือคณิตศาสตร์ทั้งหมดในรายชื่อ วิชาต่อไปที่รอเขาอยู่ก็คือวิทยาการสารสนเทศ


 


ระบบสร้างรายชื่อหนังสือวิทยาการสารสนเทศไม่มากนัก ทั้งหมดมีเพียงสามเล่มเท่านั้น หนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับอัลกอริทึมแบบใหม่ในขณะที่อีกสองเล่มหลักๆเป็นความรู้ภาษา C++ ขั้นสูง


 


สิ่งที่น่ารำคาญก็คือมันยากที่จะเรียนรู้การเขียนโปรแกรมขั้นสูงจากการอ่านหนังสือเล่มเดียว เขาต้องอ่านเอกสารอื่นๆอีกจำนวนมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเลือกวิทยานิพน์ที่มีค่าจากทะเลวิทยาการคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่


 


ในเวลานั้นเองลู่โจวก็ตระหนักอย่างล้ำลึกว่า’มะเร็งโลกวิชาการ’ที่แท้จริงคือเหล่าคนที่ส่งวิทยานิพนธ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน น่าขยะแขยง


 


…..


 


ตอนเย็น ลู่โจวเก็บข้าวของแล้วเดินไปหน้าประตูมหาลัยกับเฉินยู่ซาน


 


มีรถมาเซราติสีขาวจอดอยู่ริมฟุตบาท มีสาวน้อยในชุดเดรสยืนอยู่ข้างประตูที่เปิดอยู่


 


เมื่อหานเมิ่งฉีเห็นทั้งสอง เธอก็โบกมือให้พวกเขา


 


จะว่าไปแล้ว มันเป็นครั้งแรกของลู่โจวที่เห็นรถของคุณหยาง รถยนต์ระดับไฮเอนด์ทำให้เขาช็อค


 


คนที่เป็นเจ้าของบริษัทนี่ร่ำรวยมาก


 


รถคันนี้มีค่ามากกว่าบ้านของคนส่วนใหญ่เสียอีก


 


หานเมิ่งฉีเห็นลูกพี่ลูกน้องของตนแล้วเข้าไปกอดด้วยรอยยิ้ม “พี่สาว ในที่สุดพี่ก็มา ฉันรอมานานแล้ว”


 


เธออบอุ่นมากกับเพื่อนและครอบครัว แต่เธอจะขี้อายมากกับคนแปลกหน้า ลู่โจวไม่เคยเห็นเธอร่าเริงและผ่อนคลายแบบนี้เลย


 


แน่นอนมันเป็นเพราะเธอสอบได้คะแนนดีในการสอบเดือนก่อน รวมถึงวันหยุดฤดูร้อนที่ยาวเป็นเดือน จึงเห็นได้ชัดว่าสาวน้อยมีความสุขมาก


 


ในเวลานั้นเองคุณหยางก็เปิดประตูรถและเดินออกมา


 


เมื่อเธอเห็นลู่โจว เธอก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้เขา


 


“ครูลู่ ขอบคุณสำหรับการสอนคณิตศาสตร์ให้เมิ่งฉี”


 


“ด้วยความยินดีครับ มันเป็นหน้าที่ของผม” ลู่โจวตอบด้วยรอยยิ้ม


 


จะว่าไปแล้วมันเป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นคุณหยางยิ้มแบบที่ไม่ใช่ยิ้มเป็นทางการ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าความตึงเครียดระหว่างแม่กับลูกสาวจะไม่ได้ลดลงเลย เมื่อหานเมิ่งฉีเห็นแม่ เธอก็เลิกยิ้มแล้วไม่แม้แต่จะมองเธอ


 


คุณหยางไม่ได้สนใจความเย็นชาของลูกสาว เธอทักทายหลานสาวด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าว “ขึ้นไปในรถเถอะ” จากนั้นเธอก็กลับขึ้นรถ


 


หานเมิ่งฉีเข้าไปนั่งเบาะหลัง เฉินยู่ซานและลู่โจวแลกเปลี่ยนสายตากัน


 


ลู่โจวบอกเป็นนัยๆว่า “ใครนั่งหน้า?”


 


เฉินยู่ซาน “เอ่อ…ฉันนั่ง?”


 


ลู่โจว “ตกลง”


 


เฉินยู่ซานเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งเบาะหน้าในขณะที่ลู่โจวไปนั่งเบาะหลังกับหานเมิ่งฉี


 


รถสตาร์ท


 


เมื่อหานเมิ่งฉีมองลู่โจว เธอก็บุ้ยปาก เธอกระแอมแล้วกล่าว “เฮ้ ฉันมีข่าวดีมาบอกนาย”


 


ลู่โจวรู้สึกว่ามันต้องเป็นข่าวเกี่ยวกับเมิ่งฉี เขาจึงยิ้มแล้วกล่าว “ข่าวอะไรเหรอ?”


 


หานเมิ่งฉีกลอกตาแล้วกล่าว “ฉันไม่บอก เดาซิว่าฉันได้คะแนนสอบประจำเดือนเท่าไหร่?”


 


“116?”


 


“เฮ้ มีคนบอกนาย! มันไม่นับ! พี่สาวฉันบอกนายใช่ไหม?” หานเมิ่งฉีกล่าวแล้วเชิดหน้าด้วยความไม่พอใจ เฉินยู่ซานที่นั่งอยู่ข้างหน้าก็แอบหัวเราะ


 


ใครจะสนว่าจะนับหรือไม่นับ เราไม่ได้พนันเงินกันนี่นา


 


ลู่โจวดูจนปัญญา


 


“เมิ่งฉี” คุณหยางกล่าวขณะขับรถ


 


หานเมิ่งฉีบุ้ยปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร


 


เห็นได้ชัดว่าเธอยังเกลียดแม่เธออยู่


 


แต่พอลองมาคิดดู มีแม่ที่ติดกล้องวงจรปิดเป็นโหลในบ้าน ใครบ้างจะไม่เกลียดแม่แบบนี้?


 


บรรยากาศในรถน่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยเนื่องจากบรรยากาศของแม่และลูกสาว เฉินยู่ซานคุยกับป้าของเธอเป็นครั้งคราวในขณะที่หานเมิ่งฉีแค่จ้องไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ


 


เวลานั้นเองคุณหยางก็ถาม “ฉันได้ยินมาว่าเธอปฏิเสธข้อเสนอจากซุนเฟิงกรุ๊ป?”


 


ลู่โจวชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ครับผมปฏิเสธไป คุณรู้เรื่องนี้ได้ไงครับ?”


 


คุณหยางถาม “เธออยากเริ่มทำบริษัทเองเหรอ?”


 


ลู่โจวตอบ “อันที่จริงผมมีแผนแบบนั้น แต่ตอนนี้ผมกำลังมุ่งเน้นไปที่การเรียน”


 


คุณหยางพยักหน้าแล้วกล่าว “ถ้าเธอมีไอเดียดีๆแล้วต้องการเงินทุน เธอก็โทรหาฉัน แม้ว่าฉันจะช่วยเธอไม่ได้มาก แต่ฉันก็สามารถแนะนำให้เธอรู้จักกับนักลงทุนที่ใจดี แน่นอนไม่ว่าเธอจะได้รับเงินทุนนั้นหรือไม่ก็ยังขึ้นอยู่กับว่าโปรเจ็คของเธอสดใสแค่ไหนและการนำเสนอของเธอเป็นอย่างไร”


 


ลู่โจวนั่งอย่างตื่นเต้นและฟังอย่างตั้งใจ


 


คำพูดจากผู้มีประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียนรู้ในชั้นเรียนของมหาลัย


 


อย่างไรก็ตามหานเมิ่งฉีดูเหมือนจะไม่ชอบคำพูดของแม่ เธอกล่าวพึมพำ “แม่เลิกงานแล้ว แม่เลิกพูดเรื่องงานได้แล้ว…”


 


คำพูดของลูกสาวทำให้คุณหยางช็อคเล็กน้อย


 


รถกลับมาอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง


ตอนที่ 45 คิดดีๆแล้วน่ากลัว


 


 


รถหยุดลง


 


ลู่โจวคาดไม่ถึงเลย เขาคิดว่าคุณหยางจะพาพวกเขาไปร้านที่ไม่ธรรมดา แต่ที่จริงแล้วปลายทางเป็นถนนสายเล็กๆที่ห่างไกลจากตัวเมือง


 


ทางเข้าถูกตกแต่งด้วยหินอ่อน มันตั้งอยู่ในส่วนลึกของถนนแปลกๆและถูกซ่อนอยู่ในกลุ่มร้านเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นมันก็โดดเด่น


 


บางทีนี่อาจเป็นสไตล์ของคนรวย?


 


ลู่โจวไม่เข้าใจ


 


พวกเขาลงจากรถ คุณหยางเดินไปข้างหน้าแล้วนำพวกเข้าไปในร้าน


 


การตกแต่งภายในร้านนั้นแตกต่างจากที่ทางเข้าโดยสิ้นเชิง มันเหมือนกับอีกโลกนึง ใต้รูปปั้นหินอ่อนมีสายน้ำไหลผ่าน พืชและต้นไม้ออกแนวสไตล์ตะวันตก อันที่จริงร้านนี้ให้ความรู้สึกเป็นความงามระหว่างจีนและตะวันตก


 


ร้านสไตล์ตะวันตกอยู่ในตรอกลึกแบบนี้ ลู่โจวรู้สึกว่าเจ้าของร้านต้องรวยมากแน่


 


“สี่คน”


 


“เชิญทางนี้เลยครับ” บริกรกล่าวขณะทำท่าเชื้อเชิญ เขานำทางกลุ่มพวกเขาไปชั้นสอง


 


หานเมิ่งฉีปฏิเสธไม่ยอมนั่งกับแม่ เธอมานั่งข้างลู่โจวแทน


 


เหมือนย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในรถ เฉินยู่ซานนั่งข้างป้าของตน


 


เมื่อทุกคนนั่งลง บริกรก็นำน้ำมะนาวมาเสิร์ฟและวางเมนูไว้บนโต๊ะสองอัน


 


คุณหยางเปิดเมนู เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ร้านนี้ค่อนข้างดี มันเงียบมากและไม่มีความวุ่นวายของเมืองใหญ่มารบกวน ในเมืองอย่างเมืองจินหลิง มันเป็นเรื่องยากมากที่จะหาร้านแบบนี้ ฉันขอแนะนำสเต็ก ถ้าเธอไม่ชอบสเต็ก ปาเอยาก็ไม่เลวเหมือนกัน วันนี้ฉันเลี้ยงเอง สั่งตามที่ชอบเลย”


 


“งั้นผมจะสั่ง…” ลู่โจวพึมพำและยิ้มอย่างระวัง เมื่อเขาอ่านเมนู คิ้วเขาก็เลิกขึ้นสูง


 


เชี่ย แม่งโคตรแพง!


 


สเต็ก 888 หยวน? อะไรวะเนี่ย? ฉันจะเอาข้าวผัด…แค่ข้าวผัดก็หลายร้อยหยวนแล้ว?


 


นี่มันโกงกันชัดๆ!


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นสีหน้าคุณหยาง ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกเลย


 


ลู่โจวอดคิดไม่ได้


 


แนวคิดเรื่องเงินของคนรวยแตกต่างจากระดับของฉันอย่างสิ้นเชิง


 


หานเมิ่งฉีไม่ได้คิดมาก เธอหยิบเมนูจากลู่โจวแล้วรีบเปิดดู เธอชี้ไปที่รูปภาพแล้วกล่าว “ฉันอยากได้สเต็กแอปเปิลวู้ด(applewood steak)! แล้วไอสครีมอันนี้…”


 


เฉินยู่ซานก็สั่งเช่นกัน


 


มันเป็นตาของลู่โจว


 


ลู่โจวคิดเล็กน้อยแล้วในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกปาเอยาอาหารประจำชาติของสเปน


 


เขาไม่อยากทำให้ทุกคนเสียเวลา นอกจากนี้เขาไม่เคยทานมันมาก่อน แถมการทานด้วยมีดก็เป็นอะไรที่ฝันเฟื่องสำหรับเขา เขาไม่อยากทำให้ตนเองอับอาย


 


ส่วนคุณหยาง เธอสั่งสลัดอย่างเดียวเท่านั้น


 


ลู่โจวมองรูปสลัดแล้วสงสัยว่าคุณหยางกินแค่สลัดจะอิ่มจริงเหรอ


 


บางทีมันอาจเป็นเพราะในร้านมีคนไม่มากนัก อาหารจึงมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว


 


ลู่โจวมองรีซอตโต้ทะเลแล้วน้ำลายไหลอย่างอดไม่ได้


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหอยแมลงภู่กับหอยเชลล์โรยกระเทียม มันน่าอร่อยมาก!


 


ลู่โจวไม่ทันหยิบช้อนด้วยซ้ำ หานเมิ่งฉีก็ขโมยหอยแมลงภู่ไปชิ้นนึงแล้ว


 


ลู่โจวเลิกคิ้วขึ้นสูง เขาไม่อยากลดตัวลงไปอยู่ระดับเดียวกับเธอ เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร


 


อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของหานเมิ่งฉีไม่อาจหลุดพ้นจากการเฝ้าดูของแม่


 


แน่นอนคุณหยางกล่าวอย่างจริงจัง “เมิ่งฉี”


 


รอยยิ้มของหานเมิ่งฉีหายไป เธอเบือนหน้าไปทางอื่น


 


“คุณหยาง…ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องเข้มงวดมากขนาดนั้นหรอกครับ หานเมิ่งฉีแค่ล้อเล่นเฉยๆ” ลู่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะพยายามไกล่เกลี่ยสถานการณ์


 


“นี่เป็นเรื่องของมารยาท” คุณหยางกล่าวอย่างจริงจัง เธอไม่ยอมลงให้


 


ลู่โจวดูจนปัญญา เขาไม่ได้พูดอะไรอีก


 


เขาไม่สามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับวิธีการสั่งสอนเด็กของผู้อื่นได้นัก


 


เขาแค่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเธอ…


 


บรรยากาศมื้อค่ำเป็นไปด้วยความเงียบ


 


ลู่โจวและเฉินยู่ซานรู้สึกถึงสงครามเย็นระหว่างแม่กับลูก เมื่อพวกเขาเหลือบมองกัน พวกเขาก็เห็นความจนปัญญาในแววตาของกันและกัน


 


เฉินยู่ซาน “ขอโทษ ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้”


 


ลู่โจว “ไม่เป็นไร อันที่จริงผมก็คิดไว้แล้ว…”


 


เดี๋ยวนะ?


 


จู่ๆลู่โจวก็ตระหนักว่าเขาเหมือนจะสำเร็จวิชาใหม่


 


เขาสามารถสื่อสารกับผู้อื่นโดยใช้ตามอง?


 


อะไรเนี่ย?


 


ฉันพัฒนาความสามารถนี้จากการมองเธอในห้องสมุดงั้นเหรอ?


 


หรือมันจะเป็นระบบ…


 


ลู่โจวต้องยืนยันความสามารถนี้ ดังนั้นเขาจึงมองหานเมิ่งฉี


 


อืมมม…


 


ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์


 


หานเมิ่งฉีเห็นลู่โจวทำตัวแปลกๆ เธอถามด้วยใบหน้าเขินอาย “ทำไม นายมองฉันทำไม?”


 


“โอ้ ไม่มีอะไร ดูเหมือนเธอจะทานอาหารอร่อยเฉยๆ” ลู่โจวกล่าว เขาตระหนักถึงสิ่งที่ทำแล้วรีบเบนสายตากลับ


 


โชคดีที่คุณหยางลุกไปคุยโทรศัพท์เมื่อกี้ เธอจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับทั้งสอง


 


ถ้าผู้หญิงที่เข้มงวดคนนี้เห็น มันคงไม่ดีแน่…


 


อย่างไรก็ตามเหมือนหานเมิ่งฉีจะเชื่อเหตุผลของลู่โจวจริงๆ เธอโยนเนื้อสเต็กชิ้นเล็กๆเข้าปากแล้วกล่าวขณะเคี้ยว “เอ่อ ไม่เป็นไร แต่มันไม่อร่อยเท่าอาหารฝีมือนาย”


 


ลู่โจวรู้สึกเขินกับคำชม “ต่อให้เธอชมผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ”


 


“ฉันไม่ได้โกหก นายไม่เชื่อก็ช่วยไม่ได้” หานเมิ่งฉีกล่าวและกลอกตามองบน


 


“นายทำอาหารเป็นด้วย?” เฉินยู่ซานถาม เธอมองลู่โจวด้วยแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ฉันไม่รู้เลย…”


 


“แน่นอน เขาฝีมือดีมาก! เตาหู้มาโฝจานนั้นอร่อยมาก” หานเมิ่งฉีตอบก่อนที่ลู่โจวจะได้พูด


 


มันเหมือนกับว่าเธอกำลังโอ้อวด


 


“มันฟังดูเผ็ด” เฉินยู่ซานพึมพำและหดคอกลับ


 


เธอยังรู้สึกถึงความเผ็ดของซุปหมาล่าที่ลู่โจวพาเธอไปกินครั้งก่อน


 


เวลานั้นเองคุณหยางก็กลับมาที่นั่ง ข้างๆเธอเป็นชายที่ดูสุภาพมาก


 


“เมิ่งฉี หลานจะไม่ทักทายลุงหน่อยเหรอ?” ชายคนนั้นถามด้วยรอยยิ้ม


 


“คุณลุง สวัสดีค่ะ ลาก่อน” หานเมิ่งฉีตอบอย่างงุ่มง่าม เธอไม่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ


 


“เด็กคนนี้…” คุณหยางถอนหายใจ เธอมองดูชายคนนี้อย่างขอโทษและอธิบาย “ฉันขอโทษ เมิ่งฉีเป็นแบบนี้ต่อหน้าทุกคน”


 


“ไม่เป็นไร” ชายคนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน เขาทักทายเฉินยู่ซานก่อนจะหันมามองลู่โจว เขาถามด้วยแววตาเปล่งประกาย “เธอคือลู่โจวใช่ไหม?”


 


ลู่โจวแปลกใจ เขาไม่รู้เลยว่าเขาดังพอที่จะเป็นที่รู้จัก


 


แม้แต่ในมหาลัย ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จำเขาได้


 


แม้ว่าลู่โจวจะสับสนว่าชายคนนี้รู้ชื่อเขาได้ยังไง แต่เขาก็ยังลุกขึ้นยืนแล้วจับมืออีกฝ่ายด้วยความสุภาพ “สวัสดีครับ คุณคือ?”


 


“ฉันเป็นผู้จัดการของร้านนี้ ฉันเป็นเพื่อนคุณหยางด้วยเช่นกัน” ชายคนนั้นตอบกลับด้วยรอยยิ้มและจับมือกับลู่โจว เมื่อเขาปล่อยมือ เขาก็กล่าว “เธอปฏิเสธข้อเสนอจากซีอีโอหวังใช่ไหม? เด็กคนนี้ไม่เลว”


 


“มันก็แค่ผมยุ่งอยู่กับการเรียน ผมคิดว่าผมยังเรียนรู้ไม่พอ” ลู่โจวตอบอย่างถ่อมตน อันที่จริงเขาก็บ่นอยู่ในใจเหมือนกัน


 


ทำไมถึงมีคนจำนวนมากมาเอ่ยทักเรื่องนี้? มันก็แค่การปฏิเสธข้อเสนอ


 


“ฉันตู้ไห่เฟิง ไว้มาคุยเรื่องนี้กันอีกในอนาคต” ตู้ไห่เฟิงกล่าว เขาส่งนามบัตรให้ลู่โจวแล้วยิ้ม “พวกเธอทานกันต่อเถอะ ฉันไม่รบกวนแล้ว”


 


บางทีอาจเป็นเพราะเขาสัมผัสถึงความเย็นชาจากหานเมิ่งฉี หรือไม่เขาก็กำลังยุ่งอยู่ เขาจึงจากไป


 


ลู่โจวนั่งลงแล้วมองดูนามบัตรแล้วคิด ‘ผู้ถือหุ้นของไห่เฟิงแคปปิตอล?’


 


ฉันต้องดูแลนามบัตรนี้เอาไว้


 


คอนเน็คชั่นมีประโยชน์เสมอ


 


ถ้าลู่โจวอยากเริ่มธุรกิจ เขาก็ต้องมีเส้นสาย


 


หานเมิ่งฉีเห็นลู่โจวยอมรับนามบัตรของชายคนนั้น เธอก็ดูไม่ค่อยพอใจ


 


ลู่โจวสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์แล้วเริ่มวิเคราะห์


 


บางทีคุณตู้อาจมีความสัมพันธ์บางอย่างกับคุณหยาง?


 


พวกเขาต่างเป็นผู้ใหญ่ คนนึงก็ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ที่มีครอบครัวที่โชคร้ายและอีกคนเป็นผู้ชายที่มีความสามารถ ถ้ามีบางอย่างเกิดขึ้นเหมือนในละครทีวี มันก็ไม่ได้แปลกอะไร


 


อืม…


 


เรื่องนี้มันก็ประเมิณได้ยาก


 


เมื่อมีอารมณ์มาเกี่ยวข้องในครอบครัว ทุกอย่างก็จะซับซ้อน


 


ลู่โจวไม่อยากไปยุ่งกับชีวิตคนอื่นนัก และเขาก็ชัดเจนในเรื่องนี้


 


หานเมิ่งฉีเหลือบมองแม่แล้วก้มหน้ากล่าวเสียงกระซิบกับลู่โจว “ชายคนนี้ไม่ใช่คนดี ระวังด้วย”


 


“โอเค” ลู่โจวกล่าว เขาเข้าใจความหมายของหานเมิ่งฉีผิดไป เขาจึงมองเธอด้วยความเป็นห่วง อันที่จริงเขารู้สึกเห็นอกเห็นใจเธอ


 


แม้ว่าเธอจะบอกว่าเธอไม่สนใจกับการมีพ่อเลี้ยง แต่ถ้าพ่อแม่แต่งงานใหม่จริงๆ ลูกๆก็ยังต่อต้านใช่ไหม?


 


เห็นได้ชัดว่าลู่โจวไม่ได้เก็บคำพูดของหานเมิ่งฉีมาใส่ใจอย่างจริงจัง เธอกล่าวอย่างเป็นกังวล “ฉันจริงจัง!”


 


ลู่โจวมองเธอแปลกแล้วกล่าวอย่างเฉยเมย “ผมชื่อเธอ…”


 


“นาย!” หานเมิ่งฉีกัดฟันแน่น เธอมองซ้ายมองขวาก่อนจะก้มหน้าพูด “ฉันเห็น…คุณตู้ชอบผู้ชาย”


 


ลู่โจว “???”


 


ประโยคสุดท้ายทำเอาเขาช็อค


 


เขายังจำที่อีกฝ่ายพูดได้ว่า ‘เด็กคนนี้ไม่เลว’


 


ลู่โจวกลัวมากจนแทบโยนนามบัตรทิ้งออกไปนอกหน้าต่าง


ตอนที่ 46 เรียนภาษาไพทอนทั้งคืน


 


 


หลังจากทานอาหารเสร็จ คุณหยางก็ส่งลู่โจวกับเฉินยู่ซานกลับมหาลัย


 


ก่อนที่จะจากไป หานเมิ่งฉีก็กล่าวลาแม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม


 


วันหยุดฤดูร้อนของเธอจะเริ่มพรุ่งนี้


 


จากคุณหยางกล่าว เธอจะไปอยู่เซี่ยงไฮ้กับพ่อตลอดช่วงวันหยุด ช่วงนี้เธอย่อมเรียนพิเศษไม่ได้


 


การสอนพิเศษครั้งหน้าจะเป็นช่วงกันยายน


 


ขณะที่เฉินยู่ซานและลู่โจวเดินกลับหอพัก เธอก็หันมาถาม “ฉันจะกลับไปเรียนคำศัพท์ในหอพัก แล้วนายล่ะ?”


 


ลู่โจวคิดแล้วกล่าว “ผมจะไปห้องสมุด”


 


เฉินยู่ซานกล่าว “รุ่นน้องตัวน้อย นายเรียนหนักมากในฐานะนักศึกษาปีหนึ่ง ฉันรู้สึกถึงแรงกดดันจากนาย”


 


ลู่โจวยิ้มแล้วกล่าวอย่างถ่อมตน “ผมไม่ได้เรียนหนักขนาดนั้น ผมไม่ใช่คนเดียวที่อยู่มหาลัย มีอีกคนอยู่ในหอพักเช่นกัน”


 


เฉินยู่ซานแหงนมองท้องฟ้าแล้วถอนหายใจ “นักศึกษาใหม่เป็นแบบนี้ทุกคนเหรอ?”


 


เมื่อใกล้ถึงหอพัก ทั้งสองก็แยกกัน ลู่โจวไปห้องสมุดก่อนเพื่อเก็บข้าวของที่เหลืออยู่บนโต๊ะ จากนั้นเขาก็ไปตึกเอและเมื่อเขาพบห้องเรียนว่างๆ เขาก็เปิดไฟ


 


เมื่อเขานั่งลง ลู่โจวก็เทของในกระเป๋าลงบนโต๊ะ เมื่อเขาดูนาฬิกาบนกำแพง มันก็สองทุ่มแล้ว


 


“ถ้าฉันกินแคปซูลสมาธิตอนนี้ และระยะส่งผลของมันคือห้าชั่วโมง ฤทธิ์ยาก็จะมีผลจนถึงตีหนึ่ง”


 


“จากการทดสอบครั้งที่แล้ว ฉันจะรักษาสภาวะสมาธิได้มากสุดจนถึงประมาณตีห้า”


 


“ฉันตื่นเที่ยง ทานอาหารกลางวันที่โรงอาหาร…จากนั้นฉันก็จะไปห้องคอมพิวเตอร์”


 


ลู่โจวเปิดฝาขวดน้ำแร่แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเขาก็หยิบยาออกมาจากขวด โยนมันเข้าปากแล้วกลืนลงไป


 


เขาสัมผัสถึงความรู้สึกมดไต่อีกครั้ง มดไต่ตั้งแต่หลังหัวไปจนถึงคิ้วแล้วไม่นาน ทุกอย่างที่อยู่ในวิสัยทัศน์ก็ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม


 


มันเหมือนกับว่าเขากำลังโกง…


 


เดี๋ยวไม่นะ เขากำลังโกงเลยต่างหาก!


 


ลู่โจวไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว เขารีบหยิบหนังสือ[คู่มือการเขียนโปรแกรมภาษาไพทอน]แล้วเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรก


 


มีเรื่องตลกเรื่องนึงที่กล่าวกันว่า ถ้าคุณอยากให้โปรแกรมเมอร์ที่ขี้เกียจเริ่มทำงาน วิธีที่ดีที่สุดที่ต้องทำก็คือการถามพวกเขาไปว่า’ภาษาไหนดีที่สุด?!’


 


พวกเขาจะแบ่งคำตอบเป็นอย่างเช่น’C++’ ‘Java’ ‘Python’ จากนั้นพวกเขาก็จะทำงานหนักจนพวกเขาพิสูจน์ว่าภาษาของพวกเขาดีที่สุด


 


ดังนั้นความจริงมันจึงไม่มีความหมายเลยที่จะโต้เถียงกันว่าภาษาไหนดีที่สุด ภาษาที่เหมาะสมที่สุดก็คือภาษาที่ดีที่สุด


 


โปรแกรมเมอร์ที่ดีจำเป็นต้องเชี่ยวชาญมากกว่าหนึ่งภาษา มันก็เหมือนกับนายพลที่ต้องรู้มากกว่าการบัญชาการทหารราบ พวกเขาต้องบัญชาการทหารม้าความคล่องตัวสูงและพลธนูระยะไกลด้วย…


 


ส่วนของอย่างรถถัง ปืนใหญ่และเครื่องบินรบ มันอาจถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลระบบ แต่ลู่โจวยังเชื่อมต่อกับมันไม่ได้


 


ถ้าเปรียบเทียบกันก็คือ ภาษาC++ก็เหมือนทหารมีดของสวิส มันมีความสามารถในการทำงานสูง สามารถทำได้ทุกอย่าง คุณสามารถมอบงานเล็กๆให้ แต่ถ้าเป็นโปรเจ็คขนาดใหญ่ มันเป็นไปไม่ได้


 


ยกตัวอย่างถ้าคุณอยากสร้างรถ คุณก็ต้องเริ่มจากล้อ


 


ในทางตรงกันข้าม ไพทอนก็คล้ายกับ Java มันเป็นภาษาระดับสูงขึ้นและมีล้อในตัวมันเอง


 


ถ้าคุณอยากรีบสร้างรถ ไพทอนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย มันทั้งง่ายและรวดเร็ว มันเป็นโค้ดทหารม้าที่ดีที่สุดในโลก! แถมมันยังเป็นโค้ดที่มีความสามารถในการอ่านสูง ดังนั้นผู้ใช้จึงไม่ต้องใช้เวลามากนักกับไวยากรณ์ มันสามารถเข้าใจไอเดียของผู้ใช้ในเวลาที่สั้นที่สุด ยกตัวอย่าง ถ้าคุณอยากสร้างเว็บ ไพทอนอาจจะง่ายกว่าและดูกระชับกว่าภาษา C++


 


ลู่โจวเชี่ยวชาญภาษา C++ พื้นฐานแล้ว ดังนั้นมันจึงง่ายที่จะเรียนรู้ภาษาไพทอน เขาแค่ต้องใช้เวลาจดจำพื้นฐานเท่านั้น


 


ส่วนวิธีการใช้งานจริงของภาษาไพทอน เขาจะไว้เรียนพรุ่งนี้ เขาเชื่อว่าเขาเรียนรู้มันได้ดีโดยไม่ต้องมีความช่วยเหลือจากแคปซูลสมาธิ


 


…..


 


วันต่อมา หัวของลู่โจวฟุบอยู่บนโต๊ะ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็รู้สึกมึนหัว ใบหน้าเขาก็มีรอยมือแดงๆ


 


เป็นเหมือนกับครั้งก่อนๆ เมื่อสมองของเขาใช้งานหนักเกินจนเข้าขั้นอันตราย เขาก็จะหมดสติ เขาไม่ต้องพยายามนอนด้วยซ้ำ


 


ความรู้สึกแบบนี้มันน่าเพลิดเพลินมาก มันดีกว่าการดื่มเสียอีก ด้านหนึ่งสมองจะเต็มไปด้วยความรู้ อีกด้านนึงจิตวิญญาณของเขาก็จะถูกผลักดันไปจนถึงขีดสุดจนแทบเหมือนกับว่าเขากลายเป็นอมตะ…


 


มีสิ่งเดียวที่เห็นผลที่ตามมาชัดเจนก็คือ ท่าทางการนอน เขายกก้นขึ้นมาครึ่งนึง เมื่อเขาลุกขึ้นยืน เขาแทบไม่รู้สึกถึงขาขวาจนเขาเกือบล้มลงกับพื้น


 


“ฉันคิดว่าฉันจำเป็นต้องขอให้ทางมหาลัยเอาเตียงมาไว้ในห้องเรียนแล้วสิ…แต่เหมือนจะเป็นความคิดที่เวอร์ไปนิด” ลู่โจวกล่าวขณะดันโต๊ะเอาไว้ สมองเขารู้สึกสับสน


 


[ความคืบหน้าของภารกิจ 11/30]


 


เขาอ่านหนังสือ[คู่มือการเขียนโปรแกรมภาษาไพทอน]จบไปเมื่อคืน แม้ว่าเขาจะยังไม่ชำนาญภาษาไพทอน แต่อย่างน้อยเขาก็รู้พื้นฐาน


 


กี่โมงแล้วนะ?


 


ลู่โจวมองดูนาฬิกาบนผนังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไป


 


โอ๊ะ มันเกือบบ่ายสองแล้ว! โรงอาหารปิดแล้ว!


 


ถ้าฉันพยายามไปกินนอกมหาลัย ฉันคงหิวตายระหว่างทาง


 


ลู่โจวเปลี่ยนสีหน้าแล้วถอนหายใจ


 


ช่างมันเถอะ ฉันจะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นมื้อเที่ยงก็แล้วกัน


 


เนื่องจากเมื่อวานเขากินอาหารแพง วันนี้เขาก็แค่กินของง่ายๆก็พอ


 


ลู่โจวไปที่ซูเปอร์มาเก็ตแล้วซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก่อนจะกลับมาที่อาคารเรียน


 


ที่อาคารมีเครื่องทำน้ำร้อน สามารถใช้งานโดยแค่รูดการ์ดและมันก็ฟรีเช่นกัน ความไม่สะดวกเพียงอย่างเดียวก็คือน้ำมันไหลเร็วมากและลวกมือได้ง่าย


 


ลู่โจวน้ำลายไหล เขาสุ่มเข้าห้องเรียนที่ชั้นหนึ่ง เขานั่งลงแถวหน้าแล้วเริ่มยัดบะหมี่ลงท้อง


 


เมื่อเขาทานบะหมี่เสร็จ เขาก็ดีใจที่ในที่สุดก็มีอะไรอยู่ในท้อง


 


ลู่โจวเช็ดปากแล้วกำลังจะเอาขยะไปทิ้ง แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกระแอมอย่างหนักดังมาจากด้านหลัง


 


อะไรนะ?


 


มีคนอยู่ในห้องเรียนด้วย?


 


ลู่โจวดูกระอักกระอ่วน เขาพลาดที่ตอนเข้ามาเขาไม่ได้สังเกตว่ามีคนอยู่ในห้องด้วย


 


เขาหันไปมอง


 


บังเอิญมาก!


 


มันเป็นหวังเสี่ยวตง!


 


ลู่โจวเดินเข้าไปทักทายเขาก่อนจะถาม “คุณก็ไม่ได้กลับบ้านเหรอ?”


 


หวังเสี่ยวตงไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าเขาเหมือนกับจะบอกว่า’ยังต้องถามอีกเหรอ?’


 


หลังจากนั้นบทสนทนาก็หยุดลง


 


ลู่โจวอยากมาทักทายก่อนจะไป อย่างไรก็ตามเมื่อเขากำลังจะไป หวังเสี่ยวตงก็สังเกตเห็นหนังสือในกระเป๋าลู่โจวที่เขาพึ่งอ่านเมื่อกี้


 


หวังเสี่ยวตงเลิกคิ้วขึ้น “คุณอ่านหนังสือเขียนโปรแกรมอยู่เหรอ?”


 


ห๊ะ?


 


ชายคนนี้ไม่เล่นเว่ยป๋อหรือวีแชทเลยเหรอ?


 


ลู่โจวมองไปที่อัจฉริยะด้วยสายตาแปลกๆ


 


เขาพูดถึงวิทยานิพนธ์วิทยาการคอมพิวเตอร์เก้าฉบับในการสัมภาษณ์[หัวกั๋วชิงเหนียน] ทำไมถึงมีคนแปลกใจที่เขากำลังเรียนเขียนโปรแกรม?


 


ลู่โจวรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันผิดปกติ


 


ลู่โจวเป็นคนถ่อมตน ดังนั้นเขาจึงยิ้มแล้วกล่าวด้วยความถ่อมตน “ใช่ ผมพึ่งสนใจเร็วๆนี้ ผมเลยอ่านมันเล็กน้อย”


 


“ภาษาไพทอน? มันเป็นภาษาที่ยอดเยี่ยมมาก มันเหมาะกับโปรแกรมเมอร์มือใหม่ คุณเป็นปีหนึ่ง คุณน่าจะเรียนภาษา C++ แล้วใช่ไหม? ถ้าคุณอยากเรียนโค้ดระดับที่ลึกซึ้งกว่านี้ ไพทอนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว คุณมีรายชื่อหนังสือไหม? มีแผนการเรียนยัง?” หวังเสี่ยวตงถาม แววตาเขาเปล่งประกายเนื่องจากหัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่เขามีความรู้มาก เขาไม่ค่อยได้พูดเรื่องนี้นัก


 


“โอ้ ผมแค่อ่านแบบลวกๆ ผมยังไม่มีแผนการ…”


 


ลู่โจวรู้สึกเหมือนความกระตือรือร้นของเจ้าหมอนี่รับมือได้ยาก


 


“ไม่ คุณทำแบบนั้นไม่ได้ การเขียนโปรแกรมเป็นวิชาที่ลึกลับ คุณต้องวางแผนการเรียนอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างรากฐาน ฉันสามารถแนะนำหนังสือให้คุณได้ คุณสามารถไปหาในห้องสมุด ถ้าสนใจก็ลองไปอ่านดู” หวังเสี่ยวตงกล่าว ลู่โจวไม่ได้ตอบด้วยซ้ำ แต่หวังเสี่ยวตงก็หยิบปากกาแล้วเริ่มเขียนรายชื่อหนังสือยาวเหยียดบนกระดาษ


 


ลู่โจวเห็นเขาเขียนรายชื่อหนังสือแล้วรู้สึกหนังศีรษะชา เขาอดคิดไม่ได้ ‘เจ้าหมอนี่ทำตัวน่ารำคาญต่อหน้าหลินสวี่เซียงด้วยไหม?’


 


มันสุดยอดเลยที่เธอทนเขาได้…


 


แน่นอนว่าลู่โจวซาบซึ้งอย่างมากกับรายชื่อหนังสือจากอัจฉริยะ แต่เขาอาจไม่ได้ใช้มัน


 


“ถ้าคุณไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามฉันได้” หวังเสี่ยวตงกล่าวด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ขณะดันกรอบแว่นขึ้น


 


“โอเค…”


 


ลู่โจวคุยกับเขาสักพักก่อนจะถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วออกจากห้องไป


ตอนที่ 47 พัฒนาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแอพ


 


 


ห้องคอมพิวเตอร์เงียบสงัด ไม่มีใครอยู่สักคน


 


ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็เป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อน นักศึกษากำลังเรียนเพื่อสอบเข้าปริญญาโทและเอกย่อมไม่ใช้คอมพิวเตอร์


 


ลู่โจวไปปรับแอร์แล้วนั่งลง เขาป้อนไอดีพาสเวิร์ดนักศึกษาแล้วเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อย่างชำนาญ


 


เหตุผลที่ทำไมเขาถึงเลือกห้องคอมพิวเตอร์ของมหาลัยหลักๆเลยก็เพราะโปรแกรมที่เขียนด้วยไพทอนจะต้องรันบนคอมพิวเตอร์ลีนุกซ์(Linux) ดังนั้นการเรียนไพทอนด้วยระบบปฏิบัติการลีนุกซ์จึงจำเป็น


 


นอกจากนี้โน๊ตบุ๊คมือสองของลู่โจวยังห่วยเกินไป มันใช้เวลาแรมปีเพียงแค่แปลงวิทยานิพนธ์ให้เป็นไฟล์ PDF ตอนที่เขาเล่น LOL ทุกคนเชื่อมต่อกันหมดแล้ว แต่เขายังติดอยู่ที่น้ำพุอยู่เลย การรันระบบปฏิบัติการคู่หรือเวอร์ชวลแมชชีนนั้นเป็นไปไม่ได้


 


“หนังสืออธิบายไว้อย่างชัดเจน แต่ฉันก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเขียนยากขนาดนี้จริงๆ…มันก็จริงแหละการเขียนบนกระดาษกับการเขียนโค้ดมันเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกัน ฉันว่าฉันคงต้องเรียนแบบภาคปฏิบัติ”


 


มันเป็นครั้งแรกเลยที่ลู่โจวใช้คอมพิวเตอร์ลีนุกซ์ เขาอ่านคู่มือที่ยืมมาจากห้องสมุดและเข้าใจในที่สุด


 


จะว่าไป มันก็สมเหตุสมผลแล้วที่วินโดว์ยึดครองส่วนแบ่งการตลาด OS ใหญ่แบบนี้ เพราะแม้แต่นู้บที่ไม่เคยแตะคอมพิวเตอร์มาก่อนก็สามารถใช้งานหน้าอินเตอร์เฟสของวินโดว์ได้


 


อย่างไรก็ตามระบบลีนุกซ์นั้นแตกต่างกัน ส่วนใหญ่มันเป็นระบบบรรทัดคำสั่ง(command-line) ทุกอย่างต้องดำเนินการผ่านคีย์บอร์ด โชคดีที่ทางมหาลัยติดตั้งตัวกระจายระบบเดสก์ท็อปเอาไว้ ดังนั้นลู่โจวจึงใช้เมาส์ได้


 


แน่นอนมีข้อดีของระบบปฏิบัติการลีนุกซ์อย่างชัดเจนเลยก็คือ มันมีความสามารถในการปรับแต่งและความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม ทำให้มันเหมาะสมสำหรับเซิฟเวอร์มากกว่าวินโดว์ นอกจากนี้เมื่อเราคุ้นเคยกับระบบบรรทัดคำสั่ง ประสิทธิภาพของมันก็จะสูงกว่าการใช้วินโดว์หลายเท่า ดังนั้นบริษัทหลายแห่งจะถามโปรแกรมเมอร์ว่าสามารถใช้ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ได้ไหมก่อนจะทำการรับสมัครพนักงาน


 


ในที่สุดลู่โจวก็คุ้นเคยกับการทำงานพื้นฐานของระบบลีนุกซ์ เขาเปิดซอร์ฟแวร์ไพทอน เปิดหนังสือแล้วนั่งอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์


 


“ฉันได้ยินมาว่าหนึ่งในการใช้งานที่ดีที่สุดของไพทอนคือการเขียนเว็บครอว์เลอร์ ถ้าฉันอยากทดสอบความรู้ของตนเอง นี่ควรเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ฉันควรเขียนครอว์เลอร์แบบไหนดี?”

(ผู้แปล : ครอว์เลอร์ อธิบายง่ายๆเหมือนการทำงานของ google ครับ มันเป็นตัวที่ไปรวบรวมข้อมูลที่เราค้นหามาให้เรา ผิดถูกยังไงก็ขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ)


 


ลู่โจวจมอยู่ในห้วงความคิด


 


รวบรวมข้อมูลบนเว่ยป๋อ?


 


รวบรวมข้อมูลบนไป่ตู้?


 


มันดูค่อนข้างน่าเบื่อไปหน่อย


 


กุญแจสำคัญคือข้อมูลที่ถูกรวบรวมมานั้นไร้ประโยชน์ ฉันไม่สามารถจัดเก็บข้อมูลนั้นได้ถ้าหากมันใหญ่เกินไป


 


ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกปวดใจ เขานึกถึงประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดของการซื้อตั๋วรถไฟกลับบ้าน มันไม่ใช่เพราะคอมพิวเตอร์ของเขาช้า แต่เป็นเพราะส่วนต่อประสานกับผู้ใช้(user interface)ของเว็บไซต์การรถไฟนั้นย่ำแย่มาก


 


“ใช้เทคโนโลยีครอว์เลอร์เพื่อรวบรวมข้อมูลของสถานีรถไฟ รถไฟและข้อมูลตั๋วจากเว็บไซต์[12306]…ดูเหมือนจะเป็นไปได้”


 


ลู่โจวคิดว่าไหนๆเขาก็มาห้องคอมพิวเตอร์แล้ว เขาก็ไม่อยากเสียเวลา เขาจึงเริ่มงานทันที


 


ท้ายที่สุดแล้วโปรแกรมครอว์เลอร์ก็ถูกพูดถึงในหนังสือเรียนเพราะมันเป็นตัวอย่างทั่วๆไปของแอพพลิเคชั่นของไพทอน ในหนังสือกระทั่งให้วิธีการคำนวณที่แตกต่างกันสำหรับสถานการณ์ที่ต่างกันไป


 


แน่นอนเว็บ12306ไม่ใช่เว็บฟอรั่มธรรมดาๆ การกำหนดเป้าหมายยังเว็บไซต์นี้สำหรับมือใหม่แล้วค่อนข้างยาก


 


อย่างไรก็ตามสำหรับอัจฉริยะอย่างลู่โจวที่ศึกษาหนังสือทั้งเล่มมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย ในทางเทคนิคแล้วการเขียนครอว์เลอร์นั้นไม่ยากนัก ทั้งโปรแกรมมีน้อยกว่า 30 บรรทัดเสียอีก แต่มันก็รวบรวมข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่มีข้อบกพร่อง


 


มันถึงเวลาฉกฉวย


 


ลู่โจวก๊อปปี้ URL ของเว็บไซต์ลงในโค้ดแล้วรันสคริปต์ เขาดาวน์โหลดข้อมูลลงในไลฟ์สเปรดชีตที่เขาสร้างขึ้น


 


ทันใดนั้นพัดลมคอมพิวเตอร์ก็เริ่มดังกระหึ่ม คอมพิวเตอร์กำลังทำงานหนัก บรรทัดโค้ดเด้งขึ้นมารัวๆในไดอะล็อกบ็อกซ์สีดำ ข้อมูลถูกป้อนเข้าสู่สเปรดชีตโดยอัตโนมัติ


 


ลู่โจวมองสเปรดชีตที่เต็มหน้าอย่างต่อเนื่องแล้วเอนกายพิงเก้าอี้


 


“ไพทอนสะดวกมาก ไม่แปลกใจเลยว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำภาษานี้”


 


ลู่โจวมองดูข้อมูลเด้งขึ้นมารัวๆแล้วรู้สึกเหมือนเป็นแฮ็กเกอร์


 


อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพียงภาพลวงตา นี่มันแตกต่างจากแฮ็กเกอร์ตัวจริง มันไม่ผิดกฏหมายที่จะรวบรวมข้อมูลสาธารณะจากเซิฟเวอร์ อย่างมากผู้ดูแลเซิฟเวอร์จะโกรธมากที่เขาไปใช้แบนด์วิชท์ของเซิฟเวอร์


 


ดังนั้นเว็บไซต์ที่’เห็นแก่ตัว’จำนวนมากจึงติดตั้งโปรแกรมต่อต้านการรวบรวมข้อมูล เราจะไม่สามารถรวบรวมข้อมูลจากพวกเขาได้ แม้ว่าเราจะทำได้ ข้อมูลที่ถูกรวบรวมมาได้ก็เป็นขยะ เว็บไซต์ระดับต่ำกว่ายังสามารถตรวจสอบจำนวนการเข้าชมและบล็อค IP ได้


 


อย่างไรก็ตามเว็บไซต์ 12306 นั้นไม่เห็นแก่ตัว ผู้ผูกขาดยักษ์ใหญ่ที่ไม่สนใจแม้แต่ประสบการณ์ของผู้ใช้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่สนใจทรัพยากรของเซิฟเวอร์ ตราบใดที่ไม่มีใครถล่มเซิฟเวอร์ของพวกเขา มันก็จะไม่มีใครสนใจ!


 


ลู่โจวมองข้อมูลที่ถูกสะสมอยู่ในสเปรดชีต เขาก็เริ่มสงสัยว่าเขาควรทำอะไรอื่นอีกไหม?


 


“ทำเว็บซื้อตั๋ว? เหมือนมันจะซ้ำซากไป…”


 


ทันใดนั้นเองก็มีหลอดไฟสว่างวาบขึ้นมาในหัวลู่โจว


 


แล้วถ้า…


 


ฉันทำแอพซื้อตั๋วล่ะ?


 


เขาคิดถึงไอเดียนี้แล้วควบคุมความตื่นเต้นของตนเองไม่ได้


 


แม้ว่าจะมีเว็บไซต์จองตั๋วบุคคลที่สามหลายแห่ง แต่ก็มีแอพแบบนี้ไม่มากนัก ถ้าเขาสร้างแอพที่โดดเด่นได้ เขาก็จะทำเงินจากมันได้


 


ลู่โจวคิดถึงเงินแล้วพลันรู้สึกสนใจขึ้นมา เขาเริ่มคำนวณในใจ


 


ในทางเทคนิคแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะสร้างแอพตัวคนเดียว มันยากกว่าการเขียนโปรแกรมครอว์เลอร์แบบง่ายๆ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เขาสามารถใช้ระบบเพื่อแก้ไขปัญหายากๆ ท้ายที่สุดแล้วการใช้แต้มทั่วไปเพื่อซื้อความรู้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้


 


เมื่อเขาทำภารกิจสำเร็จแล้วปลดล็อคสาขาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ มันจะมีประโยชน์แน่นอน


 


มันก็แค่เครื่องเซิฟเวอร์อาจมีราคาแพง แม้แต่ค่าไฟฟ้าและค่าบำรุงรักษาก็อาจจะค่อนข้างแพงเหมือนกัน…


 


เขามีเงินในบัญชีน้อยกว่าหมื่้นหยวนเสียอีก ดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้…


 


ลู่โจวกัดฟันแล้วตัดสินใจเอาชนะปัญหาเหล่านี้


 


ถ้าฉันปฏิเสธเงินเดือนครึ่งล้านหยวนได้ มันก็ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้!


 


แม้ว่าเขาจะล้มเหลว เขาก็ใช้มันเป็นบทเรียนได้


 


ดังนั้นลู่โจวจึงปิดโปรแกรม เขาไม่รีบเปลี่ยนโค้ด เขาเปิดเวิร์ดขึ้นมาแล้วเหมือนกับเขียนวิทยานิพนธ์ เขาเริ่มเขียนโครงร่างพัฒนาแอพ


 


“ฉันมีการรวบรวมข้อมูลของตั๋วรถไฟแบบเรียลไทม์ ความต้องการของเซิฟเวอร์นั้นสูงมาก ดังนั้นโค้ดต้องมีประสิทธิภาพที่สุด!”


 


“อินเตอร์เฟสเอาแบบเรียบง่ายได้ แต่ข้อมูลต้องแม่นยำและครอบคลุม ฉันควรดูแอพจองตั๋วบุคคลที่สามเป็นข้อมูลอ้างอิง แต่มันต้องไม่เหมือนกัน…ฉันต้องคิดไอเดียของตัวเอง…”


 


ลู่โจวจนถึงส่วนนี้แล้วนิ้วเขาก็ลูบคีย์บอร์ดเบาๆ เขาคิดพักใหญ่ๆแล้วเริ่มเคาะคีย์บอร์ดอีกครั้ง


 


“ก่อนอื่นการซื้อตั๋วอัตโนมัติไม่ใช่เรื่องใหม่ เบราเซอร์มากมายต่างก็มีฟีเจอร์นี้”


 


“แต่การซื้อตั๋วอัตโนมัติแบบออฟไลน์…ฉันยังไม่เคยเห็น”


 


ลู่โจวคิดย้อนกลับไปตอนวันหยุดฤดูหนาวครั้งก่อน เขากดรีเฟรชเว็บไซต์อยู่ที่หอพักเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะซื้อตั๋วได้สองใบ เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่ผู้คนจะกลับบ้านช่วงปีใหม่


 


การรีเฟรชหน้าเว็บทางการอย่างต่อเนื่องมีโอกาสต่ำมากที่เราจะได้รับตั๋วเพราะบางส่วนมันก็เป็นตั๋วที่ถูกรีฟันโดยผู้อื่น ลู่โจวไม่รู้ว่าเขาจะซื้อตั๋วได้ที่ไหน แต่ฟังก์ชั่นนี้อาจพิจารณาได้


 


ยกตัวอย่างการตั้งช่วงเวลาและการเดินรถไฟหลายรอบ เซิฟเวอร์จะรีเฟรชข้อมูลโดยอัตโนมัติและส่งคำขอไปทันทีที่ตั๋วปรากฏขึ้น เขาจะใช้ซอร์ฟแวร์ดักตั๋วหลายโปรแกรม และจนถึงตอนนี้ดูเหมือนฟีเจอร์นี้จะยังไม่มีใครใช้


 


นอกจากนี้แนวคิดนี้ดูเหมือนจะนำไปใช้ไม่ยาก


 


ลู่โจวคิดมาจนถึงจุดนี้ก่อนจะหันไปมองนาฬิกา


 


มันบ่ายสามแล้ว!


 


ลู่โจวบันทึกไฟล์เวิร์ด จากนั้นเขาก็ดึงแขนเสื้อขึ้นแล้วเอามือวางบนคีย์บอร์ด


 


“ทำงาน ทำงาน!”


ตอนที่ 48 เขียนวิทยานิพนธ์ทำให้คุณรวย


 


 


ลู่โจวทำงานทั้งวัน กว่าเขาจะก๊อปปี้โปรแกรมลงในUSBแล้วปิดคอมพิวเตอร์ มันก็สี่ทุ่มแล้ว


 


เขาไม่อาจโต้รุ่งได้ เพราะเขาต้องใช้เวลาทั้งคืนเพื่อเรียนไพทอน เขาไม่อาจทำเรื่องอื่นเพิ่มอีก อย่างน้อยเขาก็อยากมีชีวิตยืนยาว


 


จากแผนเดิมของเขา เขาจะเริ่มเรียนภาษา C++ ขั้นสูง โดยใช้หนังสือจากรายชื่อหนังสือของระบบ


 


อย่างไรก็ตามเหมือนว่าเขาต้องปรับเปลี่ยนแผนการเล็กน้อย


 


ยกตัวอย่าง เขาอยากอ่านหนังสือไพทอนขั้นสูงเพิ่มสองเล่ม แต่เขาก็ไม่อยากทำให้ภารกิจสำเร็จล่าช้า


 


“ฉันไม่คิดเลยว่าฉันต้องมาใช้รายชื่อหนังสือนี้…” ลู่โจวกล่าวแล้วมองไปยังกระดาษที่มีรายชื่อหนังสือที่หวังเสี่ยวตงมอบให้ เขาพูดในใจ ‘ฉันหวังว่าคนดีๆจะมีชีวิตที่มีความสุข’


 


วันหยุดฤดูร้อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานมันก็ถึงกลางเดือนสิงหาคมแล้ว


 


ลู่โจวไม่รู้ว่าระบบกำลังวาดลวดลายใส่เขาหรือไม่ แต่เขาพบว่าเขาเริ่มเสพติดการเรียนมากขึ้นเรื่อยๆจนเขาถอนตัวไม่ขึ้น


 


หลิวรุ่ยบอกว่าเขาบ้าเรียน แต่ลู่โจวไม่เห็นด้วย


 


เขาเห็นด้วยว่ากระบวนการการเรียนรู้นั้นน่าเบื่อ แต่การได้รับความรู้นั้นน่าพึงพอใจ


 


แม้ว่ามันจะฟังดูขัดแย้ง แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่


 


ท้ายที่สุดแล้วมันก็ใช่ว่าเรียนแล้วจะได้รับความรู้ บางครั้งคนเราสามารถอ่านหนังสือหลายชั่วโมง แต่ไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว แม้แต่พระก็ยังพบว่ามันน่าเบื่อ


 


เมื่อเราสามารถเข้าใจทุกประโยคทุกแนวคิดอย่างถ่องแท้ และในขณะเดียวกันถ้าเรารู้ว่าความรู้ของเราเพิ่มขึ้น เราก็คงรู้สึกอยากเรียนแม้จะไม่มีคนมาบังคับก็ตาม


 


ตอนนี้เขาทำภารกิจรางวัลสำเร็จไปถึง 25/30 แล้ว ห้าเล่มสุดท้ายประกอบด้วยหนังสือออกแบบวงจรรวมและวิศวกรรมเครื่องกล


 


ถ้ามันเป็นสองเดือนก่อน ลู่โจวคงไม่เข้าใจเนื้อหาในหนังสือเหล่านี้ อย่างไรก็ตามเมื่อเขามีพื้นฐานคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เขาก็รู้สึกมั่นใจในการอ่านหนังสือเหล่านี้


 


ในทางกลับกันความสนใจหลักของลู่โจวก็ยังเป็นวิทยาการสารสนเทศ


 


เพราะการยกระดับวิทยาการสารสนเทศมันก็แพงมาก ถ้าเขาไม่ใช้มัน มันคงน่าเสียดายแย่


 


เขาใช้เวลาเกือบเดือนเพื่อพัฒนาแอพให้เสร็จและผ่านขั้นตอนตรวจสอบบัคครั้งสุดท้ายมาจนได้ กระบวนการนี้ยากกว่าที่คิดไว้เสียอีก แต่โชคดีที่สุดท้ายเขาก็ก้าวผ่านมาได้


 


เป็นผลให้ประสบการณ์การพัฒนาแอพของเขาเพิ่มขึ้นจากศูนย์เป็นหนึ่ง


 


แอพนี้มีชื่อว่า’campus train’ จากชื่อแล้ว กลุ่มเป้าหมายก็คือนักศึกษาจากมหาลัยใหญ่ๆ เขาไม่ได้จ้างนักพัฒนา front-end ดังนั้นหน้าอินเตอร์เฟสของแอพจึงเรียบง่ายมาก การออกแบบทั้งหมดมีแจกฟรีบนโลกออนไลน์และสไตล์ยังเรียบง่ายและราบรื่น


 


เพื่อเรียนรู้การพัฒนาแอพแอนดรอย ลู่โจวได้เรียนรู้เครื่องมือสำหรับการทำเว็บ(developer tools)และดูคลิปวีดีโอเทคนิคการเขียนโปรแกรมมากมาย เขาเรียนรู้ทุกอย่างในเวลาว่าง


 


ลู่โจวไม่มีแรงพอที่จะพอร์ตแอพไป IOS จริงๆ เขาอยากจะทำในภายหลัง


 


คำถามตอนนี้ก็คือการค้นหาเซิฟเวอร์ที่มีคุณภาพดีๆ ถ้าเขาไม่มีเครื่องเซิฟเวอร์ ก็ลืมเรื่องการทำประโยชน์ให้สังคมไปได้เลย อย่างมากเขาก็ทำได้แค่ให้รูมเมทใช้แอพ


 


ขณะที่ลู่โจวกำลังกังวลเรื่องเครื่องเซิฟเวอร์ จู่ๆศาสตราจารย์ถังก็โทรหาเขาแล้วบอกให้เขาไปที่ออฟฟิศ


 


…..


 


เมื่อลู่โจวเข้าไปในออฟฟิศ ศาสตราจารย์ถังก็ยิ้มแล้วส่งสัญญาณให้เขานั่งแบบลวกๆ จากนั้นศาสตราจารย์ถังก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้เป็นไงบ้าง?”


 


“ก็ดีครับศาสตราจารย์ มีอะไรงั้นเหรอครับ?” ลู่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


ศาสตราจารย์ถังยิ้มแล้วกล่าว “มันเกือบกันยาแล้ว คณบดีหลู่ฝากมาถามว่าเธอเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?”


 


“การเตรียมตัวโอเคดีครับ ผมคิดว่าไม่น่ามีปัญหา มันแค่ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนร่วมทีมอีกสองผมเป็นยังไง” ลู่โจวตอบด้วยรอยยิ้ม


 


“เยี่ยม การแข่งขันนี้เป็นโอกาสที่ดี อาจารย์หวังว่าเธอจะคว้ามันไว้ อาจารย์จะไม่ถามอะไรอีก ศาสตราจารย์หลิวรู้มากกว่า ถ้าไม่แน่ใจตรงไหนก็ไปถามเขา” ศาสตราจารย์ถังกล่าวก่อนจะหยุดไป เขายิ้มแล้วมองดูลู่โจว “ช่วงนี้เธอกำลังวิจัยอะไร? เธอกำลังวางแผนโปรเจ็คลือชื่ออันใหม่อีกไหม?”


 


อะไรนะ?


 


ศาสตราจารย์ คุณรู้ได้ไง?


 


ลู่โจวมองศาสตราจารย์ถังแล้วถามอย่างประหลาดใจ “อาจารย์รู้ได้ไง?”


 


“อาจารย์แค่ถามไปเรื่อย! เธอไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังเลยจริงๆ” ศาสตราจารย์ถังกล่าวแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้สำนักงาน จากนั้นเขาก็เปิดฝากระติกน้ำร้อนแล้วจิบน้ำก่อนจะถาม “บอกอาจารย์มา คราวนี้เป็นเรื่องอะไร?”


 


“ครั้งนี้ผมไม่ได้ค้นคว้าอะไรที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง…” ลู่โจวกล่าวและยิ้มอย่างอายๆ เขากล่าวต่อ “ผมแค่ได้ยินนักศึกษาคนนึงบ่นเรื่องการซื้อตั๋วรถไฟระหว่างช่วงปิดเทอม ดังนั้นผมจึงเขียนแอพซื้อตั๋วขึ้นมา”


 


คำตอบของลู่โจวทำให้ศาสตราจารย์ถังช็อค เขาขมวดคิ้วแล้วถาม “เธอเริ่มค้นคว้าเรื่องวิทยาการคอมพิวเตอร์ตอนไหน?”


 


ตอนแรกเขาคิดว่าลู่โจวกำลังศึกษาคณิตศาสตร์เงียบๆ อย่างไรก็ตามมันกลายเป็นว่าเขาข้ามไปวิทยาการคอมพิวเตอร์นู่น


 


ครั้งก่อนที่พวกเขาพบกัน ลู่โจวยังคงศึกษาเรื่องจำนวนเฉพาะของแมร์แซนอยู่เลย


 


ทำไมนักศึกษาคนนี้ถึงเป็นเป็ดแบบนี้ เขาไม่มีทิศทางเลย!


 


ลู่โจวมึนงงมาก เขาคิด ‘ทำไมศาสตราจารย์ถังถึงพูดแบบนี้? พรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์ของฉันเหนือกว่าพรสวรรค์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จริงๆเหรอ?’


 


ครึ่งเดือนก่อน หัวกั๋วชิงเหนียนยังชื่นชมเขาเรื่องพรสวรรค์’รอบด้าน’อยู่เลย


 


“…โอ้ ผมศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์มาโดยตลอด” ลู่โจวกล่าวและพยายามอธิบาย


 


ศาสตราจารย์ถังอึ้งเล็กน้อย เขายิ้มอย่างกระอักกระอ่วนราวกับว่าเขาพึ่งนึกได้ เขากระแอมแล้วถาม “เธอจะย้ายไปวิทยาการคอมพิวเตอร์ตอนเทอมหน้าหรือ?”


 


ลู่โจวส่ายหน้าแล้วกล่าว “ผมยังไม่มีแผนสำหรับเรื่องนั้น ผมคิดว่าการเรียนคณิตศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากนี้เอกวิชาอื่นก็อาจไม่เหมาะกับผม”


 


เขากำลังพูดความจริง เมื่อเขาเรียนพื้นฐานออร์แกนิคและเคมีอนินทรีย์ ความรู้คณิตศาสตร์ของเขามีประโยชน์จริงๆ


 


“วิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นเอกที่ค่อนข้างนิยมเช่นกัน อาจารย์ไม่คัดค้านเธอถ้าจะย้าย อย่างไรก็ตามอาจารย์จะให้คำแนะนำบางอย่าง ถ้าเธอยังอยู่เอกคณิตศาสตร์ต่อ เธอจะประสบความสำเร็จมากกว่า อาจารย์สอนมาหลายปีแล้ว เธอเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่อาจารย์เคยพบ” ศาสตราจารย์ถังกล่าว เขาถอนหายใจ “แน่นอนอาจารย์รู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่จะนั่งวิจัยอยู่ห้องแล็บเฉยๆได้ เธอใจร้อนเกินไป!”


 


ลู่โจวสับสน เขาไม่รู้ว่าศาสตราจารย์ถังกำลังชมเขาหรือถากถางเขา


 


หรือมันอาจเป็นเสียดาย?


 


“ช่างมันเถอะ อาจารย์ไม่พูดแล้ว เธอต้องเข้าใจด้วยตนเอง” ศาสตราจารย์ถังถอนหายใจ เขาส่ายหน้าก่อนจะกล่าว “วันนี้อาจารย์เรียกเธอมาเพราะอยากพูดเรื่องวิทยานิพนธ์ของเธอแล้วมาดูว่ามันคืบหน้าไปถึงไหน อาจารย์ไม่คิดเลยว่าเธอจะข้ามไปวิทยาการคอมพิวเตอร์ อาจารย์ว่าอาจารย์คงเสียเวลาเปล่าแล้ว”


 


ลู่โจวขมวดคิ้วและคิด ‘ถ้าผมยังเขียนวิทยานิพนธ์ ผมกลัวว่าอาจารย์จะคิดว่าผมกำลังเขียนวิทยานิพนธ์คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานมากกว่า ทำไมอาจารย์ถึงคิดว่าผมทำผิดตลอดล่ะ?’


 


แน่นอนเขาไม่อาจพูดสิ่งที่คิดในใจได้


 


ลู่โจวกระแอม เขายิ้มแล้วกล่าว “อาจารย์ คณิตศาสตร์ก็ยาก ผมพยายามดีที่สุดแล้ว”


 


ศาสตราจารย์ถังโบกมือและไม่ได้โต้เถียง เขาวางแก้วลงบนโต๊ะแล้วกล่าว “เอาล่ะ พอแค่นี้แล้วกัน ทิ้งบัญชีธนาคารไว้แล้วก็ไปเถอะ”


 


บัญชีธนาคาร?


 


ลู่โจวอึ้ง


 


ศาสตราจารย์ถังมองดูสีหน้าประหลาดใจของลู่โจว เขาหรี่ตาแล้วยิ้ม “อะไร? ทำไมเธอถึงดูแปลกใจแบบนั้น? ไม่มีใครบอกเธอเหรอ?”


 


“เรื่องอะไรครับ?” ลู่โจวถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี


 


“ทางมหาลัยได้จัดประชุมเมื่อไม่กี่วันมานี้ ทางมหาลัยกล่าวว่าจะสนับสนุนกิจกรรมการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และสนับสนุนให้นักศึกษาเกิดความรู้ใหม่ๆ พวกเขาอยากให้เราดูไปที่สถิติและดูว่าแต่ละสาขามีการส่งวิทยานิพนธ์ไปจำนวนเท่าไหร่” ศาสตราจารย์ถังกล่าว จากนั้นเขาก็หยุดแล้วยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “พูดง่ายๆ เธอจะได้เงิน เงินนี้ถูกจ่ายตามปัจจัยกระทบของวิทยานืพนธ์SCI! อาจารย์จำตัวเลขไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่มันไม่น้อยกว่าห้าพัน!”


 


ห้าพัน!


 


ลู่โจวสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ศาสตราจารย์ จู่ๆผมก็มีความคิดดีๆบางอย่าง ผมยังส่งวิทยานิพนธ์SCIตอนนี้ได้ไหม?”


 


“ไปไกลๆเลย” ศาสตราจารย์ถังกล่าว เขาหัวเราะ “มันสายไปแล้ว!”


 


เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกมีความสุขมากที่ได้เห็นลู่โจวเป็นแบบนี้


 


มันเป็นความสุขที่อธิบายไม่ได้!


ตอนที่ 49 ฉันสูญเสียครั้งใหญ่!


 


 


“ฉันสูญเสียครั้งใหญ่!”


 


ลู่โจวล็อคอินเข้าไปดูเว็บมหาลัย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีประกาศ


 


ใครจะคิดล่ะว่าเราจะสามารถหาเงินได้จากการเขียนวิทยานิพนธ์?


 


ทั้งหมดเป็นเพราะการประชุม


 


มีการประกาศกฏการได้รางวัลบนเว็บไซต์


 


[จำนวนรางวัล = (IF+1)*5000 หยวน]


 


IF คือปัจจัยกระทบของวารสาร


 


ยกตัวอย่างปัจจัยกระทบของ[วารสารเชิงทฤษฏีและคณิตศาสตร์ประยุกต์นานาชาติ]คือ 3.310 เขาตีพิมพ์วิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์สองฉบับ ดังนั้นทางมหาลัยจะมอบเงินให้เขาทั้งหมด 41,300 หยวน นอกจากนี้จากศาสตราจารย์บอก เงินโบนัสนี้จะถูกจ่ายในรูปแบบเงินทุนวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ตามกฏหมายภาษีมาตราที่ 4 เงินก้อนนี้จะไม่เสียภาษี!


 


วิทยานิพนธ์อันอื่นอีกเก้าฉบับไม่เหมาะที่จะได้รับรางวัล แม้ว่ามันจะถูกนับเป็นวิทยานิพนธ์ SCI แต่มันถูกตีพิมพ์ในวารสารทั่วไป


 


ลู่โจวเห็นเรื่องนี้แล้วปวดใจ


 


จากการประเมิณของซีอีโอ วิทยานิพนธ์ทั้งเก้าฉบับของเขามีค่าอย่างไม่ต้องสงสัย เขาวางกับดักตัวเองด้วยเงินเล็กน้อยเพียง 150 หยวน


 


มันไม่มีประโยชน์ที่จะเสียใจ


 


อย่างไรก็ตามถ้ามีใครคิดเรื่องนี้อย่างชัดเจน มันก็ยากจะพูดว่ามันเป็นความสูญเสียหรือได้กำไร


 


ถ้ามันไม่ถูกส่งในวารสารทั่วไป มันก็จะถูกตรวจสอบโดยผู้ประเมิณทางวิชาการที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น วิทยานิพนธ์ของเขาอาจไม่ได้โดดเด่นกว่าวิทยานิพนธ์อันอื่นหรือมันอาจไม่ผ่านการตรวจสอบเร็วขนาดนี้


 


เหตุผลที่ทำไมเขาถึงได้รับการประเมิณระดับ S และปลดล็อคภารกิจรางวัลส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะความเร็วของกระบวนการตรวจสอบของวารสารทั่วไป


 


ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาอาจจะมีเงินพอค่าเซิฟเวอร์ก็ได้?


 


“โจว นายกำลังดูอะไร?”


 


หลิวรุ่ยเห็นว่าลู่โจวไม่ได้ไปเรียนที่ห้องสมุด กลับกันเขากำลังนั่งจ้องคอมพิวเตอร์แทน ด้วยความสงสัย เขาจึงเอ่ยถามในที่สุด


 


ในที่สุดหลิวรุ่ยก็เลิกประจบลู่โจว


 


ดูเหมือนความเห่อจะมีเวลาจำกัด…


 


“ไม่มีอะไร” ลู่โจวถอนหายใจ เขากล่าว “ฉันแค่เศร้าที่เสียเงินไปนิดหน่อย”


 


“เงินอะไร…รางวัลวิทยานิพนธ์SCIเหรอ? เชี่ยเอ้ย นายเก่งเกินไปแล้ว…” หลิวรุ่ยกล่าวขณะแววตาเบิกกว้าง เขาตะโกน “นายได้เงินมาเท่าไหร่?”


 


“น่าจะหมื่นถึงสองหมื่น”


 


ลู่โจวอยากถ่อมตัวและกล่าวจำนวนน้อยๆเข้าไว้


 


เขาไม่คิดเลยว่าหลิวรุ่ยจะช็อคกับเงินจำนวนนี้


 


หลิวรุ่ยเงียบไปครู่หนึ่ง


 


หลังจากนั้นพักใหญ่ เขาก็ถอนหายใจแล้วกล่าวโดยปราศจากอารมณ์ “โจว คืนนี้นายเลี้ยงข้าวฉันหน่อยสิ”


 


ลู่โจวครุ่นคิด มันสมเหตุสมผล


 


ท้ายที่สุดแล้วเขาบอกได้ว่าพวกเขาไม่ควรลืมกันและกัน อย่างน้อยเมื่อพวกเขารวย พวกเขาก็ควรเลี้ยงข้าวกันบ้าง


 


แม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับเงิน แต่เขาก็ไม่ได้เห็นแก่ตัว


 


ดังนั้นเขาจึงพาหลิวรุ่ยไปฟู้ดสตรีทใกล้ๆมหาลัยแล้วพบร้านชาบูซุปหมาล่า…


 


…..


 


ชาบูหมาล่าถูกเสิร์ฟมาที่โต๊ะพวกเขา ปกติหลิวรุ่ยไม่ดื่ม แต่เขาสั่งเบียร์มาสองขวด


 


พวกเขาเปิดฝาเบียร์


 


ทันใดนั้นเองหลิวรุ่ยก็เอ่ยถาม “อยู่มหาลัยช่วงซัมเมอร์เป็นไงบ้าง?”


 


ลู่โจวทานเต้าหูสติ๊กไปตอบไป “ไม่เป็นไง ค่อนข้างบรรลุเป้าหมายดี”


 


“ฉันอิจฉานายว่ะ” หลิวรุ่ยถอนหายใจ จากนั้นเขาก็กล่าวเสริม “ฉันรู้สึกเหมือนฉันโง่ขึ้นเรื่อยๆ ฉันรับความรู้ใหม่ๆไม่ได้เลย”


 


เขาเสียใจอย่างจริงจังที่เข้าร่วมการแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์


 


เมื่อเขาผ่านเข้ารอบคัดเลือกรอบแรกของมหาลัย เขาก็ได้เพื่อนร่วมทีมและอาจารย์ อย่างไรก็ตามเมื่อเริ่มการฝึกจริง เขาก็ตระหนักว่าเขาล้าหลังกว่าอัจฉริยะที่แท้จริงมากแค่ไหน


 


ยกตัวอย่างนักศึกษาปีสามในทีมของเขาที่เคยได้รองชนะเลิศถึงสองครั้ง เขาเข้าร่วมการแข่งขันก่อนจบการศึกษาด้วยความหวังที่จะชนะเลิศอันดับที่หนึ่ง หลิวรุ่ยเอาตัวเองเทียบกับอีกฝ่ายแล้วรู้สึกว่าเขาเป็นน้องชายที่เอาแต่เกาะขาพี่ชาย


 


อย่างไรก็ตามคนอย่างเขาก็ยังกล่าวอย่างถ่อมตนว่าเขาความรู้ไม่ถึงขั้น


 


ต่อมาหลิวรุ่ยก็ได้ยินจากทีมอื่นว่าทางมหาลัยได้ให้คณะต่างๆจัดตั้ง’ทีมอัจฉริยะ’ขึ้นมา มันเป็นทีมทองคำที่แท้จริง คนเหล่านั้นจะไม่มาฝึกกับคนอย่างเขาด้วยซ้ำ


 


ในที่สุดหลิวรุ่ยก็เข้าใจว่าทีมที่ลู่โจวเข้าร่วมเป็นทีมอัจฉริยะในตำนาน


 


หลังจากได้ข่าว เขาก็รู้สึกซับซ้อน


 


เมื่อช่องว่างมันกว้างใหญ่เกินไป เขาก็เริ่มคิดว่าเขาควรอิจฉาเพื่อนร่วมชั้นของเขาที่จู่ๆก็ประสบความสำเร็จดีหรือไม่


 


หลังจากชนขวดเบียร์กับหลิวรุ่ย เขาก็กล่าว “ฉันว่า นายทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป”


 


“ไม่มีทางเลือกนี่ มีคนที่เก่งกว่าฉันและขยันกว่าฉัน ฉันก็ต้องพยายามให้มาก” หลิวรุ่ยกล่าว เขากระแทกขวดเบียร์ลงแล้วถอนหายใจ มันเหมือนกับว่าเขาพยายามพัดพาเอาความท้อแท้ออกจากร่างกายแล้วปล่อยให้มันล่องลอยไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน


 


ลู่โจวเมาเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลิวรุ่ยถึงท้อ


 


เมื่อคนเราเมา เราก็จะพูดจาอย่างหยาบคาย


 


“ฉันจำได้ว่า…ฉันไม่ควรพูด”


 


หลิวรุ่ยชะงัก เขาคิดว่าลู่โจวมีคำแนะนำดีๆ ดังนั้นเขาจึงอดถามไม่ได้ “อะไร?”


 


ลู่โจวเรอก่อนจะกล่าว “ถ้ามีคนที่เก่งกว่านายแล้วขยันกว่านาย นายพยายามไปจะมีประโยชน์อะไร?”


 


หลิวรุ่ย “…”


 


ทั้งสองดื่มเบียร์ไปเจ็ดขวด ซึ่งห้าในเจ็ดขวดเป็นหลิวรุ่ยดื่มคนเดียว


 


…..


 


หลิวรุ่ยไม่ใช่คนที่คอแข็งนักและเขาจะอยู่เงียบๆเมื่อเขาเมา หลังจากดื่มขวดสุดท้าย เขาก็กระแทกหัวบนโต๊ะจนทำให้ลู่โจวกลัว แม้แต่ผู้จัดการร้านชาบูหมาล่าก็ช็อคเพราะคิดว่าหลิวรุ่ยถูกวางยา


 


หลังจากนั้นเจ้าเด็กคนนี้ก็หันหัวขึ้นมาแล้วเริ่มพูดจาไร้สาระ ผู้จัดการและลู่โจวก็รู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นแบบนั้น


 


เมื่อลู่โจวจ่ายเงินเสร็จ เขาก็พาหลิวรุ่ยที่กำลังเมากลับหอพัก ลู่โจวไม่มีแรงมากพอที่จะแบกเขาขึ้นบันได ดังนั้นเขาจึงดึงเสื่อออกมาจากตู้แล้วให้หลิวรุ่ยนอนบนพื้น


 


เขารอให้หมอนี่นอนบนเสื่อก่อนจะห่มผ้าให้


 


ไม่มีใครแล้วที่ช่วยเพื่อนแบบนี้


 


ลู่โจวเปิดแอร์แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะจิบน้ำ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


เขาเหนื่อย


 


หลิวรุ่ยไม่เหนื่อยเลย กลับกันเขานอนแล้วก็กรนเลย


 


“พรุ่งนี้เช้านายแฮงค์แน่”


 


ลู่โจวส่ายหน้าแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ เขาเปิดเว็บไซต์ขายของออนไลน์แล้วเริ่มค้นหาเครื่องเซิฟเวอร์ที่เหมาะสม


 


จากคำพูดของศาสตราจารย์ถัง ทางมหาลัยจะโอนเงินให้เขาช้าสุดพรุ่งนี้ เขาจะหาเครื่องเซิฟเวอร์วันนี้แล้วสั่งซื้อหลังจากได้เงิน


 


ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากซื้อเครื่องเซิฟเวอร์ที่มีคุณภาพดีๆ


 


มันไม่ได้ใช้แค่แอพซื้อตั๋วของเขาเท่านั้น แต่มันยังเตรียมการเพื่อ’ปัญญาประดิษฐ์ระดับ 0’ของภารกิจรางวัลด้วย


 


จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อฉันอัพเกรดปัญญาประดิษฐ์จากระดับ 0 เป็นระดับ 1 ?


 


มันจะเป็นสาขาเทคโนโลยีแรกที่เขาปลดล็อค


 


ดังนั้นลู่โจวจึงตื่นเต้น


 


แน่นอนหลังจากเห็นราคาเครื่องเซิฟเวอร์ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้า


 


“Dell…Rackmount chassis 2U 56 คอร์(cores) 112 เทรด(threads) แรม 256GB มาพร้อมกับฮาร์ดไดรฟ์ 8TB 12 ตัว 270,00 หยวน! ไม่มีทาง”


 


“Lenovo IBM dual controller storage array ใช้เทคโนโลยี Storwize real-time compression แรม 64GB fiber connections 8GB 8ตัว ฮาร์ดไดรฟ์ 3.5 นิ้ว 24 ตัว! ราคา 40,000หยวน! มันดูไม่เลวเลย…เดี๋ยว! ฉันพลาดเลขศูนย์ไปตัวนึง…ฉันไม่มีปัญญาซื้อ!”


 


เขาเลื่อนไปดูหน้าอื่น แต่ทั้งหมดมีราคาไม่ต่างกันเลย


 


บัดซบ!


 


ทำไมมันถึงแพงแบบนี้!


 


ลู่โจวกดให้มันเรียงตามราคาแล้วพบเครื่องเซิฟเวอร์ที่ถูกๆอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าเครื่องเซิฟเวอร์จะรับไหวไหม เขาไม่อาจใช้เงินทั้งหมดเพื่อซื้อเครื่องเซิฟเวอร์ได้


 


การบำรุงรักษาเครื่องเซิฟเวอร์ก็เสียเงินเช่นกัน!


 


ลู่โจวตัดสินใจไม่ได้ ทันใดนั้นเองเขาก็พลันนึกถึงอัจฉริยะวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในทีม


 


เอ้อนั่นสิ ทำไมฉันไม่ถามเขาล่ะ?


 


เนื่องจากมันยังไม่ดึก ลู่โจวจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาเขา


ตอนที่ 50 นักศึกษาอัจฉริยะที่แท้จริงต้องนำความรู้ของตนเองไปใช้ได้


 


 


“คุณเขียนสคริปต์ครอว์เลอร์ภาษาไพทอน?” หวังเสี่ยวตงขมวดคิ้วถาม


 


ลู่โจวอธิบาย “พูดให้ถูกคือแอพซื้อตั๋ว ผมอยากซื้อเครื่องเซิฟเวอร์เพื่อมาลองแอพ คุณมีคำแนะนำอะไรไหม…”


 


“เลิกเล่นได้แล้ว” หวังเสี่ยวตงกล่าวและขัดจังหวะลู่โจวอย่างหยาบคาย “คุณรู้วิธีติดตั้งเครื่องเซิฟเวอร์? คุณมีที่ติดตั้งเครื่องเซิฟเวอร์? ถ้าคุณติดตั้งมันในหอพัก เบรกเกอร์คงตัดไฟทั้งชั้น”


 


เอ่อ?


 


เขาพูดเกินจริงรึเปล่า?


 


แต่ฟังจากน้ำเสียงเขา ดูเหมือนเขาจะเคยลองมาก่อน…


 


หวังเสี่ยวตงพูดต่อผ่านทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าคุณอยากหาเงิน คุณก็ไปรับงานฟรีแลนซ์เอา ไม่จำเป็นต้องสร้างแอพ ถ้าคุณมีเงิน คุณก็ลองไปเช่าคลาวด์เซิฟเวอร์ดู มันง่ายกว่าการเป็นเจ้าของเครื่องเซิฟเวอร์เองแน่นอน คุณไม่ต้องห่วงเรื่องไฟฟ้าและเรื่องการระบายความร้อน มันจะคิดค่าใช้จ่ายตามปริมาณการใช้งาน มันมีราคาตามชั่วโมงและรายเดือน”


 


“โอ้จริงอะ?” ลู่โจวตอบ


 


“คุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ทำไมคุณถึงมาทำอะไรแบบนี้?” หวังเสี่ยวตงถอนหายใจ จากนั้นเขาก็กล่าวต่ออย่างอดทน “นอกจากนี้ คุณคิดเรื่องจดทะเบียนชื่อโดเมนให้แอพยัง?”


 


“ผมแค่ใช้ IP แอดเดรสของเซิฟเวอร์ไม่ได้เหรอ?” ลู่โจวถาม


 


“ไม่” หวังเสี่ยวตงตอบทันที เขากล่าว “ยกตัวอย่าง ถ้าคุณพัฒนาแอพบน IOS และคุณตั้งค่า IP แอดเดรสของเซิฟเวอร์ในโค้ด เมื่อผู้ให้บริการคลาวด์เซิฟเวอร์เปลี่ยนอุปกรณ์เซิฟเวอร์ มันไม่ใช่แค่คุณต้องเขียนโค้ดใหม่และอัพโหลดมันอีกครั้งเท่านั้น แต่คุณอาจกำจัดผู้ใช้ของคุณไปถึงครึ่งนึง มันไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เปิดการอัพเดทอัตโนมัติไว้”


 


เชี่ย?!


 


ลู่โจวไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน


 


หวังเสี่ยวตงหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “นอกจากนี้ส่วนสำคัญที่สุดก็คือการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์บุคคลที่สามของคุณอาจถูกผู้ดูแลเว็บไซต์บล็อคเอา พวกเขาอาจบล็อค IP แอดเดรสของคุณ ปัญหานี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยคลาวด์เซิฟเวอร์ ท้ายที่สุดแล้วอาลีบาบาก็มี IP แอดเดรสนับไม่ถ้วน คุณไม่ต้องกังวลเรื่องวิชวลไอพีแอดเดรสเลย”


เมื่อพูดถึงความถนัดของเขา นักศึกษาอัจฉริยะก็กลายเป็นคนช่างพูดทันที เขาพูดเหมือนกระแสน้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด นี่ทำให้ลู่โจวนึกถึงหวงกวงหมิง ถ้าเขาได้พูดเรื่องเทคนิคการเล่นเลอบล๊องเมื่อไหร่ เขาก็จะจ้อไม่หยุดเป็นครึ่งชั่วโมง

(ผู้แปล : เลอบล๊อง ตัวละครในเกม LOL)


 


แน่นอนเนื้อหาที่อัจฉริยะพูดนั้นค่อนข้างมีค่า


 


“…ถ้าคุณรวบรวมข้อมูลจาก 12306 ตัวครอว์เลอร์จะไม่ใช้ทรัพยากรเซิฟเวอร์มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากอาลีบาบากำลังมีโปรโมชั่นให้ผู้ใช้องค์กรขนาดเล็ก มันจึงมีส่วนลดด้วย ฉันคิดว่าคุณควรเริ่มต้นด้วยเซิฟเวอร์ที่มีความจุรับส่งหนึ่งล้าน มันประมาณ 300 หยวนต่อเดือน รอจนกว่าผู้เข้าเยี่ยมชมของคุณจะเพิ่มขึ้น คุณค่อยอัพเกรดเซิฟเวอร์ ทำแบบนี้จะสะดวกกว่าการใช้เซิฟเวอร์ของคุณเอง”


 


เชี่ย เจ้าหมอนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ


 


ลู่โจวรู้สึกว่าเขาประหยัดเงินไปได้หลายหมื่นหยวนเพียงแค่โทรศัพท์สายนี้


 


แน่นอนเขายังต้องซื้อเครื่องเซิฟเวอร์ของตัวเอง แต่มันก็ต้องรอจนกว่าเขาจะมีเงินพอ


 


“ขอบคุณ ไว้ผมจะเลี้ยงข้าวคุณเป็นการตอบแทน” ลู่โจวกล่าว


 


“ไว้เราคุยเรื่องนี้กันทีหลัง”


 


เมื่อหัวข้อเปลี่ยนไปจากวิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นอาหาร ความกระตือรือร้นของหวังเสี่ยวตงกลับกลายเป็นศูนย์ทันที น้ำเสียงเขากลายเป็นไรอารมณ์อีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามลู่โจวไม่ได้มีคำถามอื่นและไม่ได้อยากคุยอีก เขาจึงขอบคุณอีกครั้งก่อนจะวางสาย


 


ลู่โจวถือเมาส์แล้วเข้าเว็บคลาวด์คอมพิวติ้งของอาลีบาบา เขาเริ่มมองหาเซิฟเวอร์


 


แน่นอนมันเป็นอย่างที่หวังเสี่ยวตงกล่าว อาลีบาบาคลาวด์กำลังมีโปรโมชั่น เซิฟเวอร์มีส่วนลดมากมาย


 


“เซิฟเวอร์ pps 1 ล้านแค่ 300 หยวนต่อเดือน มันรวมคลาวด์ ssd 100GB ด้วย เพิ่ม 200 หยวนอัพเกรดเป็น 1TB…0.3หยวนต่อ GB เพิ่มเติม CPU อินเทอร์เน็ตแบนด์วิดท์ ความสามารถในการรับส่งสามารถอัพเกรดได้ทั้งหมด ส่วนลด 50% เป็นเวลาสามปี…”


 


ราคานี้อาจกล่าวได้ว่ามันน่าสนใจทีเดียว ถ้าไม่มีอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง มันจะมีราคาน้อยกว่า 1000 หยวนต่อเดือนเพื่อเปิดใช้งานแอพ ถ้ามีจำนวนผู้ใช้เกินกว่าที่คาดหมาย เขาก็แค่อัพเกรดเครื่องเซิฟเวอร์


 


‘โอเค เรื่องนี้ก็แก้ไขได้แล้ว ขั้นต่อไปคือโปรโมทแอพ ฉันต้องโปรโมทมันก่อนมหาลัยเปิด’ ลู่โจวคิด


 


โฆษณาในเทียปาให้กลุ่มนักศึกษาใหม่…


 


ในระยะสั้น เป้าหมายหลักคือการเพิ่มยอดผู้ใช้!


 


ลู่โจวเติมเงินในแอพเช่าเซิฟเวอร์แล้วไปอาบน้ำที่ห้องน้ำ เขาเป่าผมให้แห้งแล้วกลับมาหอพัก


 


เขากำลังจะปีนขึ้นบันไดไปนอน แต่แล้วจู่ๆเขาก็ได้กลิ่นเหม็น


 


เขาหันหัวไปแล้วเห็นว่าหลิวรุ่ยอ้วกออกมาข้างๆ


 


เชี่ย!


 


เจ้าหนูนี่กำลังหลับ! เขาอ้วกออกมาได้ไง?


 


ลู่โจวไม่มีเวลาลังเล เขากระโดดลงจากบันไดแล้วพาหลิวรุ่ยไปห้องน้ำ


 


“ไปไกลเลย…ฉันยังดื่มไหว” หลิวรุ่ยกล่าวแล้วโซซัดโซเซ เขาเอื้อมมือออกมาผลักลู่โจว


 


ลู่โจวตื่นตระหนก เขารีบกล่าว “เชี่ย พี่รุ่ย นายอย่าอ้วกอีก! ฉันเตือนนาย ฉันพึ่งอาบน้ำมา!”


 


“อ้วก…”


 


ลู่โจว “…”


 


ลู่โจวอาบน้ำโดยไม่มีเหตุผลและเขาก็นอนไม่หลับเช่นกัน หอพักมีกลิ่นเปรี้ยวมาก


 


หลิวรุ่ยสาบานว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะดื่ม


 


หลิวรุ่ยยังคงอ้วกออกมา เมื่อเขาได้สติ เขาก็มองไปที่พื้นและเสื้อผ้าเลอะๆของลู่โจว เขารีบกล่าวขอโทษด้วยความอับอาย


 


พวกเขาปิดแอร์แล้วทำความสะอาดซากอารยะธรรมก่อนจะเปิดประตูเพื่อระบายอากาศ


 


หลังจากนั้นลู่โจวก็ไปอาบน้ำอีกครั้ง เมื่อเขากลับมา เขาก็หยิบเสื่อแล้วไปห้องของหัวหน้าห้อง


 


มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลับโดยไม่มีแอร์


 


…..


 


วันต่อมา ลู่โจวตื่นแต่เช้าตรู่


 


เมื่อเขากลับมาที่หอพัก เขาก็เห็นหลิวรุ่ยนอนกรนอยู่บนเตียง


 


ลู่โจวไม่ได้สนใจ กลับกันเขาเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดคอมพิวเตอร์


 


แอพคลาวด์เซิฟเวอร์พร้อมใช้งานอย่างรวดเร็ว เขาอัพโหลดสคริปต์และครอว์เลอร์ก็เริ่มทำงาน มันดาวน์โหลดตั๋ว สถานีและข้อมูลอื่นๆจาก 12036 ก่อนจะสรุปและจัดเรียงข้อมูล ทุกคนสามารถสร้างบัญชีและซื้อตั๋ว ตั้งแจ้งเตือนการขาย รีเฟรชตั๋วอัตโนมัติ ฯลฯ


 


มันมีฟีเจอร์ที่จำเป็นทั้งหมดและมันก็ใช้งานได้ง่ายเช่นกัน พื้นหลังสีฟ้าอ่อนมันน่าเบื่อ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่น่ารำคาญ


 


ลู่โจวดาวน์โหลดแอพบนโทรศัพท์แล้วเลือกสถานีเพื่อทดสอบ เขาเห็นการสั่งซื้อขึ้น ok เขาจึงยกเลิกการสั่งซื้อในขั้นตอนการชำระเงิน


 


จากนั้นเขาก็ใช้เวลาทั้งวันเพื่อวางแอพบนแอนดรอยสโตร์ สโตร์อย่างไป่ตู้โมบาย 360แอสซิสแตนซ์(360assistants) และแพลตฟอร์มดาวน์โหลดซอร์ฟแวร์แอนดรอยขนาดใหญ่อื่นๆ


 


เขามองดูจำนวนการดาวน์โหลดผ่านแผงผู้พัฒนาแล้วเห็นว่าจำนวนการดาวน์โหลดยังคงเป็น 0 เขาจึงถอนหายใจ


 


“แน่นอนแอพที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย การไม่มีผู้ใช้เป็นปัญหาใหญ่”


 


“ฉันสมัครแพลตฟอร์มโฆษณาฟรีสองแพลตฟอร์ม ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันจะได้รับการยอมรับ”


 


ลู่โจวส่ายหน้าแล้วปิดโน๊ตบุ๊ค จากนั้นเขาก็ยัดหนังสือใส่กระเป๋า


 


“ใครจะสน ฉันจะลองทำสักครึ่งปี อย่างน้อยฉันก็ใช้มันเป็นประสบการณ์การเรียนรู้”


ตอนที่ 51 ได้แรงบันดาลใจฉับพลัน


 


 


มันปลายเดือนสิงหาแล้ว ไม่นานทางมหาลัยจะเริ่มต้อนรับนักศึกษาใหม่


 


นักศึกษาปีสี่ที่สอบซ่อมเสร็จลากกระเป๋าเดินทางและกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคม พวกเขาโบกมือลาชีวิตวัยรุ่นของตน กลุ่มนักเรียนมัธยมปลายที่พึ่งจบใหม่ก็กำลังไหลบ่าเข้าสู่วิทยาเขตของมหาลัยเพื่อเริ่มต้นชีวิตวัยรุ่นบทใหม่


 


จากนั้นไม่นานมันก็เป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวาที่สุดของปี


 


สมาชิกสโมสรนักศึกษากลับมามหาลัยแล้ว พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการประชุมต้อนรับนักศึกษาใหม่


 


แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร่วมการประชุม แต่ลู่โจวก็ยุ่งเช่นกัน เขาถือใบปลิวกองใหญ่และกำลังจะเริ่มทำงานเก่าของตน


 


เขากำลังจะแจกใบปลิวใบแรก แต่แล้วจู่ๆเขาก็ถูกหยุดเพราะรองประธานสภานักศึกษา


 


หลินอวี่เซียงจ้องมองใบหลิวของลู่โจวด้วยความสงสัย เธอถาม “คุณกำลังทำอะไร?”


 


ลู่โจวมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อเขาตระหนักว่าเขาถูกจับได้


 


“เอ่อ ผมแจกใบปลิวที่นี่ไม่ได้เหรอ?”


 


หลินอวี่เซียงกล่าวอย่างไร้เดียงสา “ต่อให้ฉันแกล้งหลับตาข้างนึง เดี๋ยวก็ถูกสมาชิกสภานักศึกษาคนอื่นเจออยู่ดี”


 


นี่เป็นปัญหา…


 


ลู่โจวกำลังคิดว่าจะทำยังไงดี หลินอวี่เซียงก้าวเข้ามาแล้วมองดูใบปลิว


 


“แอพ Campus train? ว้าว ฉันไม่รู้เลยว่าคุณเขียนโปรแกรมเป็นด้วย คุณเขียนด้วยตัวเองเหรอ?”


 


เฮ้ คุณอยู่ใกล้ฉันเกินไปแล้ว…


 


ลู่โจวค่อยๆขยับถอยหลังไปครึ่งก้าวแล้วถาม “ใช่ ทำไมหรือ?”


 


“ทำไมคุณไม่โพสต์ลงเว็บบอร์ดเทียปาของมหาลัยล่ะ? นักศึกษาที่มามหาลัยแล้วคงไม่ต้องใช้แอพซื้อตั๋วหรอกใช่ไหม?” หลินอวี่เซียงชี้แจง


 


คุณคิดว่าฉันไม่เคยคิดเรื่องนี้เหรอ?


 


ลู่โจวกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “…มันถูกแบนเพราะมันถูกตั้งสถานะเป็นโฆษณา”


 


แววตาของหลินอวี่เซียงเป็นประกาย เธอตบกำปั้นใส่ฝ่ามือ


 


“โอ้ เข้าใจแล้ว งั้นฉันจะจัดการให้เอง”


 


ลู่โจวประหลาดใจ “จัดการ?”


 


หลินอวี่เซียงม้วนผมเล่น เธอยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่แล้ว! เว็บบอร์ดเทียปาของมหาลัยถูกจัดการโดยสภานักศึกษา บัญชีแอดมินถูกใช้โดยประธานสภา ฉันแค่เล่าสถานการณ์ของคุณให้เขาฟัง ฉันจะช่วยปักหมุดกระทู้ให้คุณสักสองสามวัน เอ้อ ส่ง QR โค้ดหรือไฟล์ APK มาสิ ฉันได้ยินมาว่าบนเทียปานักศึกษาโพสต์ปัญหาเรื่องแท็กซี่กันหลายคนเลย”


 


ลู่โจวประหลาดใจ


 


“จริงเหรอ…ขอบคุณมาก!”


 


หลินอวี่เซียงยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉัน ฉันควรขอบคุณคุณมากกว่า”


 


นี่คือ…


 


พลังของการมีคอนเนคชั่น?


 


เธอเป็นแค่เจ้าหน้าที่สภาปกติในปีแรก แต่ตอนนี้เธอเป็นรองประธานสภานักศึกษา


 


ลู่โจวมองเธอที่กำลังเดินไปแล้วอดคิดไม่ได้


 


ผู้หญิงที่น่ากลัว…


 


แต่ไม่ว่าจะยังไงฉันก็รู้สึกขอบคุณ!


 


ตอนแรกเขาค่อนข้างโกรธเพื่อนร่วมทีม’ที่ไร้ประโยชน์’คนนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอะไรจะบ่นแล้ว


 


เดี๋ยวนะ…


 


ลู่โจวสะดุด เขาเหมือนจะคิดอะไรออก


 


นักศึกษาจำนวนมากกำลังถามถึงแท็กซี่…


 


กลุ่มเป้าหมายของแอพ’Campus Train’คือนักศึกษา


 


“การหาแท็กซี่เป็นปัญหา มันไม่ใช่แค่แท็กซี่…” ลู่โจวคิด ตอนที่เขามามหาลัยครั้งแรก เขาหลงทางด้วย เขาเริ่มคิดถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง “มันเป็นไปได้ที่จะเพิ่มเส้นทางของนักศึกษาลงในหน้าอินเตอร์เฟสหลักของแอพและมีตัวเลือกการออกจากมหาลัยและการมามหาลัย ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้นักศึกษาใหม่ซื้อตั๋วและยังมอบเส้นทางเดินทางที่สั้นที่สุดให้แก่พวกเขา”


 


“แต่จากนั้นฉันจะต้องรวบรวมข้อมูลจากสถานีขนส่งใหญ่ๆ…เดี๋ยวนะ ฉันสามารถรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากแผนที่บุคคลที่สาม ไป่ตู้เกาเต๋อมีระบบขนส่ง! ฉันลืมไปได้ยังไง!”

(ผู้แปล : คล้าย google map)


 


ยิ่งลู่โจวคิดเท่าไหร่ แววตาเขาก็เปล่งประกายมากเท่านั้น


 


ตอนนี้นักศึกษาไม่ได้เดินทางโดยรถบัสกับรถไฟใต้ดินเท่านั้น พวกเขาจะเลือกเดินทางโดยรถยนต์ด้วยเช่นกัน หลังจากลงจากรถไฟ นักเรียนหลายคนก็จะเลือกเดินทางแบบคาร์พูล(carpool) และส่วนใหญ่จะถูกแท็กซี่เถื่อนที่ไม่มีใบอนุญาตหว่านล้อมชักชวนให้ขึ้นรถ


 


ถ้าเขาใช้แอพของเขารวบรวมหมายเลขรถไฟของผู้ใช้ ข้อมูลเดินทาง และจำนวนนักศึกษาของมหาลัยต่างๆ จากนั้นเขาก็จะสามารถรวมทีมนักศึกษาเพื่อมาด้วยกันใช่ไหม?


 


แม้ว่านักศึกษาจะไม่อยากคาร์พูล แต่พวกเขาก็ยังสามารถหากลุ่มนักศึกษาคนอื่นเพื่อเดินทางร่วมกัน


 


การเดินทางมามหาลัยนั้นง่ายมาก โรงเรียนมัธยมหลายแห่งมีเส้นทางรถไฟใต้ดินตรงมายังมหาลัย อย่างไรก็ตามการออกจากมหาลัยเพื่อกลับบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาลงจากรถไฟในบ้านเกิด ถ้ามีความจำเป็นต้องคาร์พูล นักศึกษาก็จะสามารถคาร์พูลกับนักศึกษาคนอื่น มันก็ยังดีกว่าคาร์พูลกับคนแปลกหน้า


 


ในประเทศมีมหาลัยกี่แห่ง?


 


มีจำนวนนักศึกษากี่คน?


 


แม้ว่าเขาจะเข้าถึงส่วนแบ่งตลาดแค่ครึ่งเดียว แต่จำนวนผู้ใช้ก็ยังเป็นจำนวนมหาศาล


 


นอกจากนี้ตำแหน่งของกลุ่มนักศึกษาจะถูกระบุอย่างแม่นยำและมูลค่าของมันจะจินตนาการไม่ได้เลย


 


ลู่โจวเลิกลังเล เขากลับหอพักทันทีแล้วเริ่มเขียนอัพเดทเวอร์ชั่น 0.12


 


[ระหว่างการอัพเดทใหญ่ แอพจะจดจำ(ตัวเลือก)มหาลัยของผู้ใช้และข้อมูลรถไฟ ถ้าผู้ใช้เชื่อมโยงข้อมูลมหาลัยในขณะนั่งอยู่บนรถไฟ ผู้ใช้จะรู้ว่ามีนักศึกษาคนอื่นกี่คนที่นั่งรถไฟขบวนเดียวกันที่กำลังใช้แอพ’Campus Train’ตัวนี้]


 


[เพิ่มฟีเจอร์เพื่อน ข้อความ คาร์พูล แจ้งเตือนเส้นทางการเดินทาง…นี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องทำ ฉันสามารถเพิ่มกลุ่มแชทเพื่อเพิ่มการใช้งานของผู้ใช้เช่นกัน แม้งานนี้ค่อนข้างหนัก มีปัญหามากมายเข้ามาเกี่ยวด้วย ฉันต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ทีหลัง]


 


[เนื่องจากฉันต้องเปลี่ยนแปลงโค้ดหลัก จำนวนงานที่ต้องทำจึงเยอะมาก ควบคู่กับการเพิ่มฟีเจอร์ย่อยให้นักศึกษา อินเตอร์เฟสผู้ใช้จึงต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด]


 


เพื่อย่นเวลา ลู่โจวจึงใช้ 150 แต้มทั่วไป เขาส่งมอบโค้ดส่วนยากๆให้ระบบแก้ไข จากนั้นเขาก็ก๊อปปี้โค้ดจากความจำลงในแอพ ในที่สุดเขาก็ทดสอบความเสถียรขั้นสุดท้ายก่อนสิ้นเดือนสิงหา


 


แต้มทั่วไปเขาเหลือ 775 แต้ม


 


“อัพโหลดการอัพเดท…” ลู่โจวพึมพำ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกล่าว “การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ฉันหวังว่าฉันจะทำให้มันโดดเด่นเหนือแอพอื่นๆได้”


 


เขามองดูตัวเลขดาวน์โหลด มันมีเพียง 15 ดาวน์โหลดเท่านั้น


 


ลู่โจวพยายามปลอบใจตัวเอง ยอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนสองเท่าจากเวอร์ชั่น 0.11 อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เขาส่งลิงค์ให้หลินอวี่เซียงเพื่อให้เธอเอาไปโพสต์บนเทียปาของมหาลัยในวันนี้ หลังจากนี้จำนวนผู้ใช้ของเขาจะเพิ่มขึ้นแน่นอน


 


“เอ้อ ถ้าฉันโฆษณาบนเทียปาได้ ทำไมฉันไม่ลองโฆษณาบนแพลตฟอร์มอื่นล่ะ?”


 


จู่ๆลู่โจวก็จำได้ว่าเขาลงทะเบียนบัญชีเว่ยป๋อระหว่างต่อสู้กับจูฟางไฉ


 


เขาล็อคอินเข้าสู่ระบบโดยไม่ลังเล


 


เชี่ย?


 


ฉันได้รับผู้ติดตามเพิ่มอีก 10,000 คน?


 


ลู่โจวมองจำนวนผู้ติดตามแล้วเขาก็ประหลาดใจ


 


จากนั้นเขาก็มองข้อความส่วนตัว 99+ แล้วขมวดคิ้ว


 


เขาคลิกดูแล้วไม่แปลกใจเลย ทุกคนต่างก็ขอข้อมูลติดต่อของเขาหรือขอให้เขาเขียนวิทยานิพนธ์ให้


 


บัดซบ คนพวกนี้จะไม่เสนอราคาให้ฉันสักหน่อยเหรอ?


 


แล้วจะให้ฉันเขียนวิทยานิพนธ์ให้?


 


ทำไมพวกเขาถึงไม่จริงใจเลย!


 


ลู่โจวส่ายหน้า เขาเขียนโพสต์เว่ยป๋อพร้อมกับแนบลิงค์


 


[แอพ Campus Train เปิดตัวแล้ว ดาวน์โหลดที่…]


 


เอิ่ม…


 


มันน่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย


 


ฉันจะเขียนโฆษณายังไง?


 


ลู่โจวคิดอะไรไม่ออก เขาจึงยอมแพ้ เขาเพิ่มไปอีกหนึ่งบรรทัดในตอนท้ายแบบมั่วๆ


 


[ฉันจะเลือกผู้ติดตามสิบคนที่รีโพสต์แล้วแก้ไขวิทยานิพนธ์SCIให้ (ไม่เซ็นชื่อ)]


 


เขาไม่สามารถเสนออย่างอื่นได้นอกจากความสามารถที่เขามี


 


ผู้ติดตามเขาส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาลัย ดังนั้นในทางทฤษฎี โฆษณานี้ควรได้ผล


 


ต่อให้มันไม่ได้ผลแล้วใครจะสน


 


ลู่โจวกดโพสต์แล้วปิดเว่ยป๋อ


 


ฉันวางแผนและพระเจ้าจะลิขิตว่ามันสำเร็จหรือไม่!


ตอนที่ 52 เป็นกระแสอีกครั้ง


 


 


[เชี่ย ไม่แปลกใจเลยที่ชายคนนี้เป็นอัจฉริยะ เขาไม่สามารถซื้อตั๋วได้ ดังนั้นเขาจึงเขียนแอพซื้อตั๋วเป็นของตนเอง! น่าประทับใจมาก!]


 


[ฉันกำลังสงสัยว่าทำไมอัจฉริยะคนนี้ถึงได้ปฏิเสธข้อเสนอของซีอีโอหวัง ที่แท้เขากำลังเปิดธุรกิจของตนเอง! ว้าว ฉันอิจฉาคนฉลาดมาก! (ร้องไห้) (ยิ้ม)]


 


[ฉันจะรีโพสต์ ฉันมั่นใจ]


 


[อัจฉริยะ คุณหาแฟนบนโลกออนไลน์ไหม? ฉันชื่อหลัวลี่อิง]


 


[คุณอัจฉริยะ ผมเป็นนักเรียนมัธยมต้นปีหนึ่ง สาวสวยในห้องบอกว่าเธอจะออกไปเดทกับผมถ้าผมสอบได้สิบอันดับแรก ผมอยากได้รางวัล คุณช่วยสอนคณิตศาสตร์ให้ผมได้ไหม?]


 


[แก้ไขSCI? ขอให้ข้าน้อยถูกเลือกด้วยเถอะ! รีโพสต์!]


 


[ฉันเป็นนักศึกษาปริญญาเอก ฉันประทับใจมาก…รีโพสต์!]


 


[วิทยานิพนธ์ของฉันไม่ใช่ SCI ฉันได้ส่วนลดไหม?]


 


วันต่อมา ช่วงบ่าย


 


ลู่โจวกำลังทานมื้อค่ำ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาตรวจสอบเว่ยป๋อ แล้วเขาก็ช็อค


 


ทำไมถึงมียอดรีโพสต์มากขนาดนี้?


 


อย่างไรก็ตามแคปชั่นรีโพสต์ส่วนใหญ่เป็นแค่การทำตามกระแส


 


ลู่โจวสงสัย เมื่อเขาเปิดหน้าการค้นหายอดนิยม เขาก็แปลกใจ


 


การค้นหายอดนิยมอันดับสี่!


 


มันขึ้นมาได้ไง?


 


แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากรีโพสต์ แต่มันก็ยังห่างไกลกับการติดการค้นหายอดนิยมใช่ไหม?


 


ลู่โจวเปิดหน้าการค้นหายอดนิยมแล้วพบว่าบัญชีการตลาดเขียนเรื่องแอพของเขา มันไม่ใช่โพสต์ของเขาที่ติด


 


แหล่งข่าวที่เร็วที่สุดที่เขียนเรื่องนี้มีชื่อว่า[สิ่งใหม่ในรั้วมหาลัย]และโพสต์นั้นก็ถูกรีโพสต์โดยบัญชีการตลาดที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน สุดท้ายมันก็เข้าตาของ[หัวกั๋วชิงเหนียน]และพวกเขาก็รีโพสต์มัน


 


แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รีโพสต์ของเขา แต่ชื่อ[Campus Train] ก็ยังอยู่ในข่าว


 


[นักศึกษาปริญญาตรีปีหนึ่งจากมหาลัยจินหลิงที่ซื้อตั๋วรถไฟไม่ได้ตอนนี้ได้เขียนแอพฟรีขึ้นมาเพื่อให้นักศึกษาใช้ ดูิสิว่าคนๆนี้น่าประทับใจแค่ไหน…]


 


[จำนักศึกษาปริญญาตรีคนนั้นที่เขียนวิทยานิพนธ์SCI 10 ฉบับในหนึ่งเดือนได้ไหม? ครั้งนี้เขากลับมาอีกครั้ง (สุนัข)]


 


นี่เป็นพาดหัวข่าวที่ถูกรายงาน


 


หลังจากนั้นมันก็เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่จนหลุดจากการควบคุม


 


“…”


 


ลู่โจวเห็นสถานการณ์นี้แล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


 


เขาไม่คิดเลยว่าจะขึ้นหน้าค้นหาที่มาแรงสองครั้งในหนึ่งเดือน


 


ลู่โจวใช้โทรศัพท์เข้าแพล็ตฟอร์มผู้พัฒนาแล้วล็อคอินบัญชีผู้พัฒนา เขามองดูข้อมูลการดาวน์โหลด


 


อะไรนะ?! จำนวนผู้ใช้ที่ลงทะเบียนเกิน 150,000!


 


ด้วยจำนวนดาวน์โหลดที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันในแอพสโตร์ มันจึงกลายเป็นแอพที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดรายวันไปแล้ว


 


ดูเหมือนว่าแอพของเขาจะได้รับการยอมรับโดยนักศึกษามหาลัยจำนวนมาก


 


ส่วนจะรักษาจำนวนผู้ใช้ได้ไหมนั้น มันขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวต่อจากนี้


 


ในเวลานั้นเอง เขาก็ได้รับสายจากเฉินยู่ซาน


 


“ลู่โจว! ลู่โจว! นายเขียนแอพนั้น?” มีเสียงผู้หญิงเอ่ยถามผ่านทางโทรศัพท์ เธอตื่นเต้นมาก น้ำเสียงของเธอฟังดูมีความสุขกว่าเขาเสียอีก


 


ลู่โจว “ใช่ ผมเขียนเอง ทำไมหรือ?”


 


“…”


 


หลังจากเธอได้รับการยืนยัน เธอก็เงียบ


 


ไม่นาน เธอก็ถอนหายใจ น้ำเสียงเธอเริ่มหนักขึ้น “ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกว่านายกำลังบินไปไกล ฉัน…ไม่รู้จะพูดอะไรดี”


 


ลู่โจวสับสน “บินไปไกล? ไม่จริง มันยังมีอีกสามปีกว่าผมจะเรียนจบ”


 


“นายพูดถูก” เฉินยู่ซานกล่าว เธอหัวเราะแล้วเปลี่ยนหัวข้อ “เอ้อ ลูกพี่ลูกน้องฉันกลับมาจากเซี่ยงไฮ้แล้ว ป้าฉันฝากมาถาม นายยังมีเวลาไปสอนพิเศษเทอมหน้าไหม?”


 


“แน่นอน” ลู่โจวกล่าวโดยปราศจากความลังเล


 


การอัพเกรดอาลีบาบาคลาวด์เซิฟเวอร์ อัพเกรดขนาดไดรฟ์ ซื้อเน็คเวิร์คคอมมูนิเคชั่นทราฟิกแบนด์วิชท์ ออกแบบหน้าอินเตอร์เฟสสวยๆ…ทุกอย่างต้องใช้เงิน!


 


ตอนนี้แอพเขาเปิดใช้ฟรี มันยากจะบอกได้ว่าเขาต้องจ่ายเงินไปมากเท่าไหร่ถึงจะทำเงินได้


 


มันไม่ใช่ว่าเขาจะใช้แต้มทั่วไปแลกเป็นเงินได้ ดังนั้นเขาต้องพึ่งพาการทำงานเพื่อหาเงินพิเศษ


 


น้ำเสียงที่มีความสุขดังผ่านโทรศัพท์ “เยี่ยม เมิ่งฉีบอกว่านายสอนคณิตได้เก่งมาก เธอเข้าใจโจทย์หลังจากนายอธิบายเพียงครั้งเดียว”


 


“ส่วนใหญ่เป็นเพราะเธอมีพรสวรรค์” ลู่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


เฉินยู่ซาน “อีกเรื่อง พอเธอเข้ามอห้า เธอจะหยุดแค่วันอาทิตย์วันเดียว นายต้องสอนพิเศษเธอวันเดียว ไม่เป็นไรใช่ไหม?”


 


ลู่โจว “ไม่มีปัญหา ไม่ว่ายังไงผมก็ว่าง”


 


…..


 


จางจงเจี๋ยเปิดประตูแล้วเดินเข้าออฟฟิศคณบดีหลู่ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “คณบดีหลู่ คุณมีเด็กที่ค่อนข้างมีความสามารถในเอกคณิตศาสตร์”


 


ตอนแรกคณบดีหลู่ไม่ได้พูดอะไร เขาวางปากกาลง ดันกรอบแว่นแล้วถอนหายใจ “พูดมา เจ้าเด็กลู่โจวไปทำอะไร?”


 


คณบดีจางยิ้มแล้วกล่าว “โอ้ ฉันยังไม่ได้บอกเลย คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นลู่โจว?”


 


“มีเขาคนเดียวที่ชอบสร้างปัญหา”


 


“ดูเหมือนนายจะไม่พอใจใช่ไหม?” คณบดีจางนั่งบนโซฟาแล้วกล่าว “ถ้าเป็นแบบนั้น คุณย้ายลู่โจวมาสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ไหม? ฉันค่อนข้างชอบเขา”


 


“โอ้” คณบดีหลู่กล่าว เขาเอนตัวพิงเก้าอี้สำนักงาน จากนั้นเขาก็ถลึงตามองแล้วกล่าวอย่างหยาบคาย “ฝันไปเถอะ”


 


ตลกแล้ว


 


แม้ว่ามหาลัยจะติดอันดับท็อปสิบของประเทศ แต่เอกคณิตของมหาลัยจินหลิงก็ไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก มันแข็งแกร่งไม่ได้ใกล้เคียงกับเอกฟิสิกส์เลย


 


ในที่สุดพวกเขาก็มีอัจฉริยะในสาขา หลู่ฟางผิงย่อมไม่ปล่อยเขาไป ต่อให้ต้องหลวกลวงลู่โจวก็ตาม!


 


“ทำไมคุณถึงโกรธแบบนั้น? ฉันแค่ล้อเล่น มันขึ้นอยู่กับเขาว่าเขาอยากย้ายไหม” คณบดีจางกล่าว เขายิ้มแล้วกล่าวต่อ “โอเค เข้าเรื่อง ช่วงนี้คุณเข้าไปดูเว่ยป๋อไหม?”


 


“เว่ยป๋อ?” คณบดีหลู่ถาม เขาขมวดคิ้ว “มีอะไรบนเว่ยป๋อ?”


 


แม้ว่าหลู่ฟางผิงจะรู้จักเว่ยป๋อ แต่เขาก็ไม่ได้โหลดลงโทรศัพท์ เหตุผลแรกก็คือเขาไม่ได้สนใจดาราสาวที่เป็นกระแส สองข้อความบนโทรศัพท์เล็กเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะให้ผู้สูงอายุอ่าน สามเขายุ่งกับงานและโปรเจ็ค เขาไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาจ้องโทรศัพท์หรอก


 


นอกจากนี้เขาไม่ได้ติดตามกระแสเหมือนอย่างคณบดีจางที่มาจากสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์


 


“ลู่โจวจากสาขาคุณทำแอพที่ชื่อว่า’Campus Train’ อาจารย์หลายคนจากสาขาของฉันลองใช้แล้ว มันไม่เลวเลย มหาลัยสนับสนุนผู้ประกอบการใช่ไหม? ฉันอยากช่วยเขา ฉันเลยมาหา” คณบดีจางกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


คณบดีหลู่ได้ยินข่าวดีแล้วยิ้มเช่นกัน จากนั้นเขาก็หลี่ตาราวกับว่าเขาจำอะไรได้


 


เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆจากเทคโนโลยีในมหาลัยต่างๆและเพื่อส่งเสริมจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้จัดทำ[แผนผู้ประกอบการนักศึกษามหาวิทยาลัย]ให้มหาลัยและสำนักการศึกษาทุกระดับ


 


คณบดีหลู่เคยได้ยินแผนนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะนักศึกษาปริญญาตรีปีสี่ไม่ได้วางแผนจะต่อปริญญาโท พูดง่ายๆก็คือรัฐจะให้การสนับสนุนทางการเงิน(เงินกู้)ในขณะที่ทางมหาลัยจะมอบทรัพยากรเพื่อช่วยให้นักศึกษาบรรลุความฝันในการเป็นผู้ประกอบการ!


 


แน่นอนไม่ใช่ว่าทุกโปรเจ็คจะขอกู้เงินปลอดดอกเบี้ยผ่าน ยกตัวอย่างถ้าเราเปิดร้านชานมไข่มุก หรือขายเสื้อผ้าบนเถาเป่า หรือถ้าเราอยากใช้เงินซื้อหุ้น ทางมหาลัยจะไม่อนุมัติแน่นอน


 


โปรเจ็คที่ยื่นขอเงินกู้ไม่ใช่แค่ต้องผ่านเกณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่มันต้องอยู่ในพื้นฐานความจริงด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างถ้าเราอยากสร้างจรวดและต้องการคิดเชื้อเพลิงจรวดชนิดใหม่ นั่นมันก็ไม่สมจริงแล้ว


 


เกณฑ์ที่สองคือมันต้องทำให้มีงาน


 


ท้ายที่สุดแล้วโปรเจ็คที่เกิดจากศิษย์เก่ามหาลัยจะมีแนวโน้มมากที่จะว่าจ้างนักศึกษาของมหาลัยของตน


 


มหาลัยจินหลิงอยากตอบสนองความต้องการของรัฐบาล สาขาทั้งหมดจะได้รับการจัดสรรเงินจำนวนหนึ่งให้นักศึกษาสตาร์ทอัพ ท้ายที่สุดการว่าจ้างงานมีความสำคัญสูงสุด ถ้ามหาลัยสามารถกำเนิดโปรเจ็คใหญ่ได้จริง มันก็อาจนับว่าเป็นความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วย!


 


โดยทั่วไปแล้ว นโยบายนี้มีให้นักศึกษาปีสี่เท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายของมหาลัยก็ยังเป็นการเรียน พวกเขาไม่อาจทำให้นักศึกษาเรียนล่าช้าเพื่อเป็นผู้ประกอบการ ทางมหาลัยไม่ควรพานักศึกษาไปในเส้นทางที่ผิด!


 


อย่างไรก็ตามเกณฑ์เหล่านี้เห็นได้ชัดว่านำมาใช้กับลู่โจวไม่ได้ เขาเขียนวิทยานิพนธ์ทางคณิตศาสตร์ได้ระดับนั้นก็หมายความว่าการจบปริญญาตรีเป็นแค่เรื่องกล้วยๆสำหรับเขา ศาสตราจารย์ส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าเขาเป็นนักศึกษาปริญญาตรี อย่างน้อยก็ไม่ใช่ปริญญาตรีปีหนึ่ง


 


แต่…


 


อย่างไรก็ตามเจ้าเด็กลู่โจวคนนี้อาจมีพรสวรรค์ แต่เขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของสาขาคณิตศาสตร์ของฉัน สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์อย่างคุณมาทำไม?


 


คณบดีหลู่รู้ทันทีว่าชายคนนี้ไม่ได้มาดี!


 


คณบดีจางเห็นคณบดีหลู่ไม่พูด เขาจึงยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “คุณไม่ควรคิดว่านี่จะส่งผลต่อการเรียนของเขา สิ่งสำคัญคือให้เขาแสดงผลการศึกษาด้วยการทำโปรเจ็ค คำแนะนำของฉันจะมีประโยชน์ต่อนักศึกษาลู่แน่นอน นอกจากนี้อาจารย์ในสาขาฉันก็ค้นคว้าดูแล้วและรู้สึกว่าโปรเจ็คนี้น่าสนใจ ดังนั้น…”


 


“อย่าแม้แต่จะคิด! ฉันจะไปพบหัวหน้าสาขาเดี๋ยวนี้!” คณบดีหลู่กล่าว เขาลุกขึ้นยืนแล้วยิ้ม “อย่ามาบ่อนทำลายฉัน! เราแค่กำลังกังวลเรื่องวิธีใช้เงินก้อนนี้!”


 


มันไม่มีที่ให้ใช้!


 


มันไม่ใช่ว่าคณิตศาสตร์มันไร้ประโยชน์ แต่เราจะเอาคณิตศาสตร์ไปสร้างอะไรได้?


 


แอพพลิเคชั่นสองสามตัวที่ถูกส่งมาล้วนแสร้งทำเป็นเหมือนกับว่ามันเป็นซอร์ฟแวร์วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติขนาดใหญ่ แต่อันที่จริงแล้วมันเกี่ยวกับการเปิดร้านค้าโลกออนไลน์! ใครจะมอบเงินให้กัน!


 


ในที่สุดก็มีคนอย่างลู่โจวปรากฏ คณบดีหลู่ย่อมไม่ปล่อยไป ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธคณบดีจาง


 


คุณมาแล้วมาอีก คุณบอกว่าคุณกำลังช่วยบ่มเพาะโปรเจ็คของเรา แต่เมื่อไก่ออกไข่ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ของคุณก็ต้องการขโมยไข่ไป!


 


เพียงเพราะฉันมีแว่นตาหนาและเดินเข้าเดินออกออฟฟิศทั้งวัน มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนซื่อสัตย์อย่างฉันจะมองแผนของคุณไม่ออก!


 


ไร้เดียงสาเกินไป!


 


มองออกง่ายมาก!


 


“ฉันกำลังจะบอกคุณ เฒ่าหลู่ นี่มันผิดปกติใช่ไหม? โปรเจ็คของสาขาคณิตศาสตร์คุณไม่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ด้วยซ้ำ แต่มันเกี่ยวข้องกับวิทยาการคอมพิวเตอร์ ผู้คนจะพูดเรื่องนี้กันยังไง?” คณบดีจางกล่าวและหัวเราะ


 


“ถ้าฉันจะให้มันเกี่ยวข้องมันก็เกี่ยวข้อง วิทยาศาสตร์ข้อมูลไม่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ได้ยังไง? ฉันอนุมัติแล้ว!” คณบดีหลู่กล่าวขณะจ้องมองคณบดีจาง ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขายังไม่ได้รับใบสมัครโปรเจ็คเลย ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสริม “ฉันจะโทรหาลู่โจววันนี้แล้วบอกให้เขาสมัคร ฉันจะมอบให้หัวหน้าสาขาด้วยตนเองเพื่อให้เขาอนุมัติ!”


 


คณบดีจางกังวล “คุณทำแบบนั้นไม่ได้ คุณควรถามความเห็นของนักศึกษาก่อน! นี่ก็เพื่อประโยชน์ของเขา!”


 


โอ้ ตอนนี้คุณกำลังพูดเรื่องเหตุผลกับฉัน?


 


คณบดีหลู่หันไปมองแล้วกล่าวอย่างรวดเร็ว “โอเค เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับเขา คุณกลับไปก่อนเถอะ”


 


“ไม่!” คณบดีจางกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย เขาไขว่ห้างแล้วกล่าว “คุณไม่ซื่อสัตย์ ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ เรียกเขามา! ไม่งั้นคุณก็เลี้ยงมื้อเย็นฉัน”


 


คณบดีหลู่ยิ้มตอบคณบดีจางอย่างไร้ยางอาย แต่ชายคนนี้ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย คณบดีหลู่จึงรู้ว่าถ้าไม่แก้ปัญหาวันนี้มันคงไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาลู่โจว


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม