Scholar’s Advanced 21-40

 21 กลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์


 


“ลู่โจว!”


 


ลู่โจวกำลังเดินกลับหอพักชาย แต่แล้วจู่ๆเขาก็ได้ยินคนเรียกชื่อ เขาจึงหันไปมองแล้วเห็นว่าหลินอวี่เซียงกำลังวิ่งเหยาะๆมาทางเขา


 


มือสีขาวคู่สวยวางอยู่บนเข่า หลิวอวี่เซียงก้มตัวลงหอบเล็กน้อย เธออ้าปากอีกครั้งแล้วถาม “ทำไมคุณถึงเดินไวจัง?”


 


ลู่โจวถาม “มีอะไรหรือ?”


 


“ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากขอบคุณเรื่องในออฟฟิศศาสตราจารย์ถัง ฉันติดหนี้คุณแล้ว” หลินอวี่เซียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“โอ้ เรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” ลู่โจวกล่าวและส่ายหน้า


 


“แม้ว่าฉันจะรู้ว่าตัวเองโง่มาก แต่ฉันจะพยายามตามคุณให้ทัน! ดังนั้น…ขอบคุณที่มอบโอกาสให้ฉัน” หลินอวี่เซียงกล่าว


 


เอิ่ม…


 


นั่นมันเป็นไปไม่ได้


 


ไม่มีทางที่เธอจะตามฉันทัน เธอตามรอยเท้าฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ทำลายความสัมพันธ์นี้ทิ้งไป ลู่โจวยังพยายามยิ้ม “อืม สู้ๆ ฉันเชื่อว่าคุณทำได้”


 


“จริงเหรอ? ขอบคุณที่ให้กำลังใจ!” หลินอวี่เซียงกล่าว เธอเอามือไขว้หลังแล้วกล่าวอย่างมีความสุข “งั้น…เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันเลี้ยงข้าวคุณได้ไหม?”


 


แม้ว่าข้อเสนอเลี้ยงข้าวจะเย้ายวนมาก แต่เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมทีม เขาก็ยังตอบปฏิเสธไป


 


“ไปทานกับแฟนคุณเถอะ ฉันไม่อยากไปเป็นก้าง”


 


หลิวอวี่เซียงได้ยินคำพูดของลู่โจวแล้วหัวเราะ เธอม้วนผมตัวเองเล่นแล้วกล่าว “คุณพูดเรื่องอะไร? ฉันไม่มีแฟนสักหน่อย”


 


ลู่โจวอึ้งเล็กน้อย เขาถาม “หวังเสี่ยวตงคนนั้นไม่ใช่แฟนคุณเหรอ?”


 


“คุณพูดเรื่องอะไร?” หลินอวี่เซียงโอดครวญอย่างไม่พอใจ เธอมองลู่โจวอย่างจริงจังแล้วกล่าว “เขาแก่กว่าฉันและฉันก็คิดกับเขาเหมือนพี่ชาย มันไม่ใช่อะไรแบบนั้น”


 


ห๊ะ? นี่คือ?


 


ลู่โจวอึ้งไปชั่วครู่ก่อนสติจะกลับมา


 


อ่า…


 


นี่มันความสัมพันธ์ในตำนาน…


 


ลู่โจวหัวเราะแล้วพยายามปฏิเสธอย่างอ่อนโยน “ผมขอโทษ ผมมีธุระส่วนตัวต้องทำคืนนี้ เอาไว้วันอื่นก็แล้วกัน”


 


เห็นได้ชัดว่าหลินอวี่เซียงไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธ เธออึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นใบหน้าของเธอก็เปล่งประกายด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “ตกลง! งั้นฉันจะติดต่อคุณทีหลัง…เอ่อ งั้นฉันขอวีแชทคุณหน่อย”


 


ครั้งนี้ลู่โจวไม่ได้ปฏิเสธเธอ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา


 


เพราะยังไงเธอก็เป็นเพื่อนร่วมทีมเขา การให้ช่องทางติดต่อเธอไม่ใช่เรื่องเลวร้าย


 


หลังจากแลกวีแชทกัน หลินอวี่เซียงก็ถือโทรศัพท์ราวกับว่ามันเป็นสมบัติ เธอขอบคุณเขาอย่างมีความสุขก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินไปอย่างร่าเริง


 


…..


 


มีผู้หญิงประเภทนึงในมหาลัย เธอสวย น่ารัก ไร้เดียงสา รอยยิ้มของพวกเธอเป็นเหมือนรักแรกของคุณ รอยยิ้มที่จะอ้อยอิ่งอยู่ในใจของคุณ


 


พวกเธอจะทำให้คุณคิดว่าพวกเธอชอบคุณแล้วจะเริ่มเข้าหาคุณโดยไม่ได้ตั้งใจ


 


“เก่งจัง” “ว้าว สุดยอด” “อ๊ะ ถ้าฉันฉลาดได้ครึ่งของนายนะ”


 


พวกเธอจะรับรู้ข้อบกพร่องของตนเองและรู้ว่าตนเองบกพร่องตนไหน นี่เป็นความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเธอก็ไม่พอใจกับตนเอง


 


พวกเธอใช้ศิลปะการใช้ภาษาได้เก่งและกลุ่มเพื่อนของพวกเธอจะสวมหน้ากากว่าตนเองเป็นคนเหงาและอ่อนแอ เพื่อกระตุ้นแรงดึงดูดของเพศตรงข้ามและใช้ประโยชน์จากพวกเขา


 


อย่างไรก็ตามเมื่อคุณเริ่มจีบเธอ คุณจะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวในขณะที่เธอก้าวถอยหลัง


 


ดังนั้นคุณจะเริ่มไตร่ตรองตนเองและรู้สึกกังขาตนเอง คุณจะค่อยๆสูญเสียตัวตนของตนเองไปและคุณจะกลายเป็นหลุมดำที่เปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ


 


จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณจะพบว่าคุณเป็นแค่หนึ่งในนักโทษจำนวนมากที่ติดกับเธอ…


 


ถ้าคุณสรุปปรากฏการณ์นี้ในทฤษฏีพฤติกรรมสังคม คุณจะพบว่าพฤติกรรมสังคมรวมหมู่แบบนี้จะคล้ายคลึงกับโครงสร้างอาณาจักรมด


 


มดงานและทหารมดทั้งหมดจะภักดีต่อราชินีมดตัวเดียว แต่มีเพียงมดจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่แข็งแกร่งและมีปีก(สูงรวยหล่อ)ที่จะได้มีโอกาสผสมพันธุ์กับราชินี


 


ส่วนหวังเสี่ยวตงนั้น ตำแหน่งของเขาอาจเป็นสิ่งที่เรียกว่าตัวสำรอง?


 


จากการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล ลู่โจวรู้สึกว่าตอนนี้เขาพอเข้าใจแล้ว


 


ส่วนเป้าหมายของหลินอวี่เซียง ในความคิดเขามันชัดเจนมาก เธอพยายามเอารางวัลชนะเลิศการแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ บางทีเธอรู้ว่าลู่โจวไม่พอใจที่มีเธอเป็นเพื่อนร่วมทีม ดังนั้นเธอจึงเข้าหาเขาอย่างจงใจเพื่อใช้ประโยชน์จากเขา


 


ถ้าเธอทำให้ผู้ชายสองคนแก่งแย่งเธอได้ งั้นก็ดียิ่งขึ้น เธอแค่นั่งอยู่เฉยๆและชนะการแข่งขันระดับประเทศโดยไม่ต้องทำอะไร


 


เขาต้องยอมรับเลย ผู้หญิงประเภทนี้เป็นศัตรูตามธรรมชาติของอัจฉริยะ


 


เหล่าผู้ที่อุทิศเวลามากเกินไปในด้านการศึกษาจะเผชิญกับความยากลำบากในการสร้างสมดุลด้านอื่นๆ


 


ทำไมลู่โจวถึงไม่ติดกับเธองั้นเหรอ?


 


นั่นเป็นเพราะเขารู้จักตัวเองดี


 


เขารู้ว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์และหล่อเหลามากที่สุด แต่เขาไม่สูงไม่รวย


 


การมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงแบบนี้มันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง


 


…..


 


ลู่โจวกลับหอพัก เขาจะไปเอาโน๊ตบุ๊คไปห้องสมุดเพื่อทำการวิจัยหัวข้อวิทยานิพนธ์ต่อ


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาก้าวเข้ามาในหอพัก หวงกวงหมิงก็มาปิดประตูเสียงดัง


 


ปัง!


 


ห๊ะ?


 


เขาล็อกประตูด้วย?


 


ลู่โจวดูสือช่างและหลิวรุ่ยเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขากล่าว “ต้องการอะไร ค่อยๆคุยกัน นอกจากเรื่องเงิน เราคุยได้หมด!”


 


สือช่างหัวเราะแล้วกล่าว “โจว”


 


หลิวรุ่ยยิ้มตาม “โจว…”


 


ลู่โจว “พวกนายเลิกทำตัวขยะแขยงได้แล้ว ฉันขนลุก!”


 


หวงกวงหมิงเอาตัวขวางประตูเอาไว้แล้วพูดด้วยใบหน้าจริงจัง “เราเห็นทุกอย่างแล้ว บอกมาตามสัตย์! ผู้หญิงข้างล่างคือใคร? คณะไหน? นายเริ่มเดทเมื่อไหร่? ไปถึงขั้นไหนแล้ว? รู้สึกเป็นไง?”


 


ลู่โจว ???


 


สือช่างตบไหล่ลู่โจวแล้วถอนหายใจ “เพื่อน ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วย แต่นายช่วยมองจากมุมมองคนโสดอย่างเราด้วยได้ไหม? เพื่อนฉันขอนายแค่อย่างเดียว ไปเชิญเพื่อนของแฟนนายมา เรามาจัดกิจกรรมกัน ฉันจะออกเงินเอง นายตัดสินใจกิจกรรมเฉพาะได้ ไม่ว่าฉันจะได้แฟนรึเปล่า ฉันก็จะติดหนี้นายครั้งนึง”


 


ลู่โจวถอนหายใจ เขาจับมือที่วางอยู่บนไหล่ “เพื่อน ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วย…แต่นักศึกษาคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมทีมไปแข่งสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ นอกจากนี้เธอยังพาเพื่อนร่วมทีมอีกคนมาด้วย วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันพบเธอ”


 


“เป็นไปได้ไง? แล้วระหว่างนายกับเธอไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย?” หลิวรุ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ใช่ จะพูดแบบนั้นก็ได้” ลู่โจวพยักหน้า


 


ทันใดนั้นทั้งสามคนที่อยู่ในหอพักก็ทำตัวเหมือนกุ้งขณะกล่าวทำนองว่า ‘ไม่สนุกเลย ไปกันเถอะ’ ‘ฉันบอกแล้ว โจวยังโสด’ ‘เรามาหาแฟนให้สือช่างแล้วให้เขาจัดเดทหมู่ให้เรากันเถอะ’ พวกเขากลับไปนั่งบนเก้าอี้แล้วนั่งเล่นวีดีโอเกมกันต่อ


 


สอบคณิตวิเคราะห์และพีชคณิตขั้นสูงเสร็จไปแล้ว อาทิตย์หน้าจะเป็นสอบภาษาอังกฤษกับภาษาC คนในหอพักเริ่มล่องลอยไปอยู่กับวันหยุดฤดูร้อนแล้ว ไม่มีใครอยากเรียนแล้ว


 


ลู่โจวเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขาอีก เขาจึงหยิบกระเป๋าโน๊ตบุ๊คแล้วออกจากห้องไป


 


เมื่อวานแม้ว่าเขาจะอยู่ห้องสมุดจนถึงเวลาปิดทำการ แต่นอกจากดาวน์โหลดเอกสารจำนวนมากและอ่านหนังสือจำนวนมาก มันก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย


 


แต่ความพยายามเมื่อวานก็ทำให้เขามีความคิดมากมาย วันนี้เขาพร้อมทำงานหนักแล้ว เขาจะเลือกหัวข้อให้เสร็จและเริ่มเขียนวิทยานิพนธ์


 


มันฟังดูเหมือนง่าย แต่อันที่จริงมันยากมาก


 


วิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์นั้นเขียนได้ง่าย แต่วิทยานิพนธ์คอมพิวเตอร์อีกเก้าหัวข้อไม่ใช่ความถนัดของเขา เขาอ่านวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องมากกว่า 30 ฉบับแล้ว กว่าครึ่งเป็นภาษาอังกฤษ หลังจากดาวน์โหลดวิทยานิพนธ์จากในห้องสมุด เขาก็ยิงยาวจนถึงตีสองกว่าจะอ่านเสร็จ แต่เขาก็ยังมีความเข้าใจในหัวข้อเหล่านี้น้อยมาก


 


แม้ว่าเขาจะอ่านหนังสือภาษาCแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจหัวข้อยากๆ


 


เป็นไปตามคาด ความสามารถในการเรียนของเขาเทียบกับอัจฉริยะที่แท้จริงไม่ได้


 


ขอแค่ระบบให้ภารกิจอ่านหนังสือแก่เขาอีกครั้งล่ะก็นะ…


 


ลู่โจวเดินไปห้องสมุด แต่แล้วจู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้


22 ท่าทางการเขียนวิทยานิพนธ์ที่ถูกต้อง


 


เมื่อพูดถึงวิธีที่คนส่วนใหญ่เขียนวิทยานิพนธ์ ลู่โจวแตกต่างจากคนอื่น ปัญหาทั้งหมดของเขาแก้ไขได้ด้วยการถามระบบ ดังนั้นการหยิบยกความคิดที่เหมาะสมจึงสำคัญกว่าการเข้าใจความคิดด้วยตนเอง


 


ดังนั้นคีย์หลักอยู่ที่การเลือกหัวข้อ


 


เกณฑ์การเลือกหัวข้อของลู่โจวจึงเรียบง่ายมาก


 


เนื่องจากเขาจะกลายเป็นโคลนถล่มในโลกวิชาการ งั้นเขาก็ต้องหาหัวข้อที่ง่ายที่สุดมาเขียนวิทยานิพนธ์! และวารสารที่ส่งได้ง่ายที่สุด!


 


สิ่งที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงก็คือ ในฐานะเอกวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในคณะวิศวกรรม การหาวารสารง่ายๆส่งนั้นค่อนข้างง่าย


 


เช่นเดียวกับคณิตศาสตร์ ‘วิธีแก้โจทย์แบบใหม่เพื่อพิสูจน์ทฤษฏี’สามารถตีพิมพ์เป็นวิทยานิพนธ์ ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ แม้แต่อัลกอริทึมแบบใหม่ก็ตีพิมพ์เป็นวิทยานิพนธ์ได้


 


สิบสามปีก่อน ในการสัมภาษณ์ผู้ก่อตั้งคานอะคาเดมี่(Khan Academy) เขากล่าวว่า ‘วิทยานิพนธ์ทางวิชาการ(ในวงการไอที)90%นั้นไร้ค่า’ และ ‘มีวิทยานิพนธ์ของปริญญาเอกมากแค่ไหนที่ถูกใช้จริง?’ ยักษ์ใหญ่ในซิลิคอนแวลลีย์(silicon valley)นับร้อยเห็นด้วยกับเขา


 


แน่นอนว่าเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมาย


 


คำแถลงนี้ค่อนข้างลำเอียง แต่มันสะท้อนถึงปัญหาจากด้านข้างเช่นกัน


 


ความปลอดภัยของข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตและโครงข่ายประสาทเทียมถือเป็นบรรทัดฐาน นอกจากนี้ข้อมูลขนาดใหญ่และคลาวด์คอมพิวติงกลายเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ปัญญาประดิษฐ์นั้นยุ่งเหยิงมากกว่านั้นอีกเมื่อคนธรรมดามาเข้าร่วมการสนทนา ยิ่งกว่านั้นมันไม่ใช่แค่ในประเทศ ต่างประเทศก็เหมือนกัน มันเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปสำหรับ’คนหนุ่มสาวที่อยู่ในสาขานี้’


 


ลู่โจวพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงเลือกสาขาปัญญาประดิษฐ์


 


แน่นอนสาขาปัญญาประดิษฐ์นั้นใหญ่มาก ตั้งแต่วีดีโอเกมไปจนถึงแปรงสีฟันไฟฟ้าความถี่อัตโนมัติ พูดตรงๆสิ่งเหล่านี้หลอมรวมเข้ากับสังคมแล้ว มันก็แค่ว่ามันเจาะลึกอยู่ในสังคมแค่ไหน


 


ลู่โจวคิดสักพักแล้วพิมพ์ลงไปในเวิร์ด


 


[การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์]


 


จากระบบgpsในโทรศัพท์ไปจนถึงระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติ(autopilot) จากการควบคุมจราจรไปจนถึงระบบนำทางของอากาศยานไร้นักบิน


 


เขาเลือกอย่างหลัง ‘ระบบนำทางของอากาศยานไร้นักบิน’ มันเหมาะกับแนวคิดสมัยใหม่


 


แน่นอนสาขานี้ก็ยังกว้างขวางมาก อย่างไรก็ตามเขาไม่กังวลเพราะเขามีเก้าวิทยานิพนธ์ที่ต้องส่ง!


 


มันเหมือนกับการเทน้ำลงในมหาสมุทรแห่งวิชาการ เขาวางแผนแบ่งมันเป็นเก้าส่วนด้วยสายยางแล้วค่อยๆเทน้ำลงท่อ


 


ดังนั้นนิ้วเขาจึงเคาะคีย์บอร์ดแล้วเขียนต่อ


 


[วิเคราะห์อัลกอริทึมพิกเซลจากปัญญาประดิษฐ์]


 


[อัลกอริทึมที่เหมาะสมที่สุดเพื่อการรู้จำรูปภาพแบบไดนามิกจากปัญญาประดิษฐ์]


 


[วิธีวัดขนาดร่างกายมนุษย์โดยอัตโนมัติจากปัญญาประดิษฐ์]


 


[อัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์เพื่อรวบรวมที่อยู่อัตโนมัติ]


 


[ปัญญาประดิษฐ์…]


 


อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่แค่ต้องทำให้หัวข้อสมบูรณ์ เขายังต้องเขียนบทคัดย่อเพื่ออธิบายรายละเอียดของหัวข้อ เพราะยังไง’บอท’ของวีดีโอเกมและ’จาวีส’ของไอรอนแมนต่างก็เป็นปัญญาประดิษฐ์ประเภทเดียวกัน ลู่โจวไม่คิดหรอกว่าระบบจะเข้าใจความแตกต่างของทั้งสองอย่างนี้อย่างถูกต้อง


 


ด้วยเหตุนี้ไม่เพียงแต่เขาต้องเขียนรายละเอียดของความคิดอย่างชัดเจนเท่านั้น สิ่งนี้ต้องไม่ปรากฏในวิทยานิพนธ์ด้วย


 


กว่าเขาจะทำทั้งหมดเสร็จ ห้องสมุดก็ใกล้ถึงเวลาปิดแล้ว


 


เขาลากเอกสารทั้งหมดลงในโฟลเดอร์เดียวกับโฟลเดอร์ที่มีวิทยาพนธ์คณิตศาสตร์ ลู่โจวเหยียดหลังพิงเก้าอี้ เขาคิดย้อนกลับไปตอนที่เขียนวิทยานิพนธ์ฉบับแรกแล้วเริ่มพูดในใจ


 


“ระบบ ประเมิณราคาของวิทยานิพนธ์ให้ฉันหน่อย”


 


ระบบให้คำตอบมาอย่างรวดเร็วมาก


 


[ทั้งหมด 10 คำถาม ราคารวม : 210 แต้มทั่วไป ท่านต้องการยืนยันคำสั่งซื้อหรือไม่?]


 


ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคำถามละ 21 แต้มทั่วไป หลังจากนี้เขาจะเหลือแค่ 125 แต้มทั่วไปเท่านั้น อย่างไรก็ตามเขาจะได้รับ 800 แต้มทั่วไปเมื่อภารกิจสำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงรางวัลเพิ่มเติมเมื่อเขาได้เกรด S นี่มันคุ้มค่า!


 


“ยืนยันคำสั่งซื้อ!”


 


ลู่โจวหลับตา ไม่นานก็เกิดไฟฟ้าช็อตแล่นตั้งแต่กระดูกสันหลังขึ้นไปจนถึงสมอง ตามมาด้วยกระแสข้อมูลจำนวนมหาศาล


 


แม้ว่าแต้มประสบการณ์วิทยาการสารสนเทศของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่หลังจากได้รับข้อมูลใหม่นี้ เขาก็เข้าใจปัญญาประดิษฐ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


 


การซื้อความรู้ด้วยแต้มทั่วไปก็คือวีธีการเรียนรู้เช่นกัน อย่างไรก็ตามมันง่ายกว่าการศึกษาด้วยตนเองอย่างมาก


 


แน่นอนมันยังต้องใช้เวลาสักพักกว่าเขาจะย่อยสลารข้อมูลนี้โดยสมบูรณ์


 


อย่างไรก็ตามมันเพียงพอแล้วสำหรับการเขียนวิทยานิพนธ์!


 


ลู่โจวสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วลืมตา แววตาเขาลุกโชนด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้


 


วิทยานิพนธ์สิบฉบับ


 


เขาจะใช้เวลาอย่างมากหนึ่งเดือน


 


เขาจะทำมันให้สำเร็จ!


 


…..


 


วันต่อมาลู่โจวบังคับตัวเองให้ตื่นแต่เช้า เขาล้างหน้าแปรงฟันแล้วสวมเสื้อผ้า จากนั้นเขาก็ออกจากห้องนอน


 


เนื่องจากโต้รุ่งตลอดทั้งคืน มันจึงมีรอยคล้ำอยู่ใต้ตา เขาลืมนับไปแล้วว่าระหว่างไปโรงอาหารเขาหาวไปกี่สิบครั้ง


 


“ลู่โจว!”


 


เฉินยู่ซานสะพายกระเป๋าและมายืนอยู่ใกล้ๆ เธอยิ้มแล้วกล่าวสวัสดี เมื่อเธอสังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ดวงตา เธอก็กล่าว “ว้าว นายไปได้ตาแพนด้านี้มาจากไหน?”


 


“ผมได้มาจากสวนสัตว์…มุกนี้ฝืดมาก มันไม่ตลกเลย” ลู่โจวกล่าวขณะหาวไปอีกหนึ่งที


 


หน้าตาของเฉินยู่ซานดูเหมือนปกติ แว่นตาหนาเต๊อะพร้อมกับผมหางม้าดำสลวย จะว่าไปเขาเคยเห็นเธอแต่งหน้าสวมคอนแทคเลนส์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในยุคที่แม้แต่เด็กผู้หญิงก็เริ่มแต่งหน้า ผู้หญิงประเภท’ธรรมชาติ’แบบนี้หาได้ยากมาก


 


พวกเขาเดินไปด้วยกัน


 


เฉินยู่ซานถาม “วันนี้นายไม่ไปห้องสมุดเหรอ?”


 


ลู่โจวคิดสักครู่ก่อนจะกล่าว “ผมอาจไปตอนบ่าย ผมต้องไปติวเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ก่อน”


 


“ว้าว การแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์” เฉินยู่ซานกล่าว เธอพยักหน้าแล้วกล่าวจากประสบการณ์ “เงินรางวัลการแข่งขันนี้ค่อนข้างสูง มันจะเป็นประโยชน์ต่อหน้าที่การงานในอนาคตของนายมาก ฉันเอาใจช่วยนะ!”


 


“คุณเคยเข้าร่วม?”


 


“นายพูดเรื่องอะไร? ฉันได้อันดับสอง ฉันทำให้ผู้ชมประหลาดใจด้วยความแข็งแกร่งของฉัน!” เฉินยู่ซานกล่าวและยักคิ้วด้วยความพึงพอใจ เธอเอามือกดหน้าอกแล้วกล่าว “ถ้านายไม่เข้าใจอะไร มาขอความช่วยเหลือจากฉันได้ตามสบาย!”


 


“เจ๋งไปเลย” ลู่โจวตอบอย่างขอไปที


 


ฉันเดาว่าการแข่งขันการสร้างแบบจำลองครั้งนี้คงไม่สนใจทักษะคณิตศาสตร์ของคุณหรอก…


 


มันคงยากไปหน่อย


 


ขณะที่ลู่โจวกำลังคิด เฉินยู่ซานก็เดินมาหยุดอยู่หน้าเขา


 


“รอเดี๋ยว อย่าพึ่งขยับ”


 


“หือ?”


 


เฉินยู่ซานหันหลังไปเปิดกระเป๋าแล้วหยิบเอาทิชชู่ออกมา


 


ลู่โจวสับสน เธอเดินเข้ามาสองก้าวแล้วมองดูลู่โจวด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นจู่ๆเธอก็เอื้อมแขนมาเช็ดหน้าเขา


 


“อ่า น่าขยะแขยง นายไม่สนใจเลยเหรอ? นายไม่ ล้างตาก่อนออกจากหอพักเหรอ?” เฉินยู่ซานกล่าวแล้วทิ้งทิชชู่ลงถังขยะ


 


เชี่ย?


 


ใบหน้าของลู่โจวเป็นสีแดงทันทีและเขาก็ไม่ง่วงอีกต่อไป


 


มันไม่ใช่เพราะเขาเขิน


 


แต่มันเป็นเพราะ…


 


เขาเดินไปเดินมาตลอดทั้งวันพร้อมกับขี้ตาอันใหญ่ๆบนใบหน้า?


 


หน้าของลู่โจวดูฝืดๆ เขาถามเงียบๆ “มัน…ไม่ชัดใช่ไหม?”


 


เฉินยู่ซานหัวเราะ “ไม่เป็นไร มันเห็นไม่ชัดขนาดนั้น แต่ฉันแนะนำให้นายไปล้างหน้าในห้องน้ำก่อนเข้าห้องเรียน”


 


เชี่ย ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย!


 


ลู่โจวเดินเข้าห้องน้ำทันที เขาล้างหน้าแล้วถูอย่างหนักหลายครั้ง


 


…..


 


หลังจากล้างหน้าเสร็จ เขาก็รู้สึกสดชื่น


 


ลู่โจวเดินเข้าห้องเรียนด้วยใบหน้าเปียกชุ่ม เขาเดินเข้ามาแล้วคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ข้างใน


 


เขานั่งแถวหน้าแล้วทักทายเขา


 


“มอนิ่ง”


 


หวังเสี่ยวตงเห็นลู่โจวแล้วไม่ได้เปลี่ยนสีหน้ามากนัก เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวสวัสดี จากนั้นเขาก็เริ่มอ่านหนังสืออีกครั้ง


 


อาทิตย์หน้าเป็นการสอบอังกฤษของทุกมหาลัย มีเพียงคนอย่างลู่โจวที่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษระดับสี่ทั้งเล่มเสร็จราวกับสัตว์ประหลาดเท่านั้นที่ไม่กังวลกับการสอบ สุดท้ายแล้วไวยกรณ์และคำศัพท์ของข้อสอบอยู่ในระดับสี่ ดังนั้นเขาจึงต้องอ่านหนังสือระดับสี่เล่มเดียวเท่านั้น เขาอาจไม่ได้คะแนนสูง แต่สัก 80 คะแนนมันไม่มีปัญหาสำหรับเขาเลย


 


การนั่งอยู่ที่นี่นั้นน่าเบื่อ แต่การคุยกับนักศึกษาหวังน่าเบื่อยิ่งกว่า ลู่โจวหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มอ่านข้อมูลเมื่อวาน ด้วยข้อมูลเหล่านี้ เขาค่อยๆย่อยสลายความรู้ในหัวที่รับมาเมื่อคืน


 


โชคดีที่โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษา C++ เพราะภาษานี้มีระดับความเป็นอิสระสูง ส่วนภาษา Python นิยมใช้เขียน shell มากที่สุด ยกตัวอย่างระบบการเรียนรู้ของปัญญาประดิษฐ์รุ่นแรก’DistBelief’ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของAIที่เขียนในภาษา C++


 


มีภาษาโปรแกรมเดียวเท่านั้นที่ลู่โจวรู้จักนั่นก็คือภาษา C++ ดังนั้นมันจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะเข้าใจความรู้นี้


 


ถ้ามีคนถามเขาว่าเขาเขียนวิทยานิพนธ์เหล่านี้ได้อย่างไร เขาก็ยังเขียนมันได้สองสามบรรทัด


 


ขณะที่ทั้งสองยุ่งอยู่กับกิจกรรมของตนเอง มันก็ถึงแปดโมงอย่างรวดเร็ว เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น อาจารย์ผู้สอนการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หลิวเซี่ยงผิง ก็เดินเข้ามาในห้องเรียน


23 ปัญหาการสร้างแบบจำลองธุรกิจที่พบได้ทั่วไป


 


เมื่อหลิวเซี่ยงผิงเห็นทั้งสองคนในห้องเรียน เขาก็ยิ้มแล้วกล่าว “อยู่กันแค่สองคน? อาจารย์ได้ยินว่ามีอีกคนไม่ใช่หรือ?”


 


“…ผมจะโทรถามเธอ” หวังเสี่ยวตงกล่าว เขาเดินออกไปโทรศัพท์ข้างนอกอย่างขัดเขิน


 


ศาสตราจารย์ไม่ได้เร่งรีบ เขาเปิดขวดสูญญากาศแล้วจิบน้ำร้อน จากนั้นเขาก็นั่งข้างลู่โจวอย่างลวกๆแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ทีมของเธอวางแผนไว้ยังไง?”


 


ลู่โจววางโทรศัพท์ลงแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ผมรับผิดชอบในการสร้างแบบจำลอง หวังเสี่ยวตงรับผิดชอบการเขียนโปรแกรม และหลิวอวี่เซียงรับผิดชอบในการเขียนวิทยานิพนธ์และนำเสนอ”


 


“สร้างแบบจำลอง เขียนโปรแกรมและเขียนวิทยานิพนธ์ มันเป็นแผนมาตรฐาน” ศาสตราจารย์หลิวกล่าว เขาหัวเราะแล้วกล่าวต่อ “จะว่าไปแล้วเธอเป็นนักศึกษาปริญญาตรีลู่โจวใช่ไหม? อาจารย์อ่านวิทยานิพนธ์ของเธอแล้ว มันไม่เลวเลยจริงๆ”


 


แววตาของลู่โจวเปล่งประกาย “ศาสตราจารย์อยู่เอกคณิตหรือ?”


 


“จะพูดแบบนั้นก็ได้ แต่อาจารย์ค้นคว้าทางด้านสาขาฟิสิกส์ อาจารย์ไม่ได้ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์มากนัก” อาจารย์หลิวกล่าว เขาชำเลืองมองไปทางประตูห้องแล้วกล่าว “ดูเหมือนเพื่อนร่วมทีมหญิงของเธอจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือ”


 


ลู่โจวรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาได้แต่ยิ้มด้วยความสุภาพ


 


อาจารย์หลิวยิ้มและไม่ได้พูดปัญหานี้อีก เขาหยุดสักครู่ก่อนจะกล่าว “ส่วนเรื่องแผนของทีม อาจารย์แนะนำให้เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทำแบบจำลองและเขียนวิทยานิพนธ์ควรทำคนเดียว อีกสองคนเขียนโปรแกรมแบบจำลอง ข้อดีคือคนที่เขียนแบบจำลองจะมีความเข้าใจหัวข้อนี้อย่างถ่องแท้ แน่นอนข้อเสียคือมันจะกดดันมาก การแข่งขันกินเวลาสามวันเท่านั้น มันหมายความว่าเมื่อเขียนแบบจำลองเสร็จ ผู้เข้าแข่งขันต้องเริ่มเขียนวิทยานิพนธ์ทันที”


 


ลู่โจวถามย้ำ “สองคนเขียนโปรแกรม?”


 


อาจารย์หลิวจิบชาแล้วตอบอย่างช้าๆ “ถูกต้อง”


 


ลู่โจวหัวเราะ แต่เขาก็ยังไม่ได้มอบคำตอบ “ผมขอคิดก่อน เพราะยังไงผมต้องไปปรึกษากับเพื่อนร่วมทีมด้วย”


 


ในขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกทางเดิน ในที่สุดเพื่อนร่วมทีมคนสุดท้ายก็มา


 


“หนูขอโทษ หนูมาสายเล็กน้อย หนูขอโทษจริงๆ!” หลินอวี่เซียงกล่าวขณะเดินเข้ามาห้องเรียนพร้อมกับหวังเสี่ยวตง เธอมองดูศาสตราจารย์ด้วยสีหน้าเชิงขอโทษ


 


“ไม่เป็นไร ไหนๆทุกคนก็มาแล้ว เรามาเริ่มกันเถอะ” ศาสตราจารย์หลิวเซี่ยงผิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเฉยชา เขาไม่ได้ตำหนิที่มาสาย เขาหันหน้าเดินตรงไปยังโพเดี้ยม เสียบUSBเข้ากับคอมพิวเตอร์ เปิดเครื่องโปรเจ็คเตอร์แล้วเปิดพาวเวอร์พ้อยขึ้นมา


 


“ก่อนที่อาจารย์จะพรีเซนต์ อาจารย์อยากถามพวกเธอหนึ่งคำถาม คำถามนี้ไม่ได้ยาก แต่มันเป็นตัวอย่างคำถามการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ อาจารย์หวังว่าพวกเธอจะเข้าใจว่าการสร้างแบบจำลองต้องทำยังไงด้วยคำถามนี้”


 


เขาคลิกเมาส์แล้วเปิดพาวเวอร์พ้อยหน้าถัดไป


 


“มีนักธุรกิจและผู้ติดตามอย่างละสามคน พวกเขาต้องขึ้นเรือข้ามแม่น้ำ เรือบรรจุคนได้สองคนเท่านั้น ผู้ติดตามแอบคุยกันอย่างลับๆว่าถ้าในแต่ละฝั่ง ผู้ติดตามมีมากกว่านักธุรกิจ พวกเขาก็จะฆ่านักธุรกิจ อย่างไรก็ตามวิธีการขึ้นเรือนั้นถูกกำหนดโดยนักธุรกิจ คำถาม นักธุรกิจจะข้ามฝั่งไปได้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร?”


 


อันที่จริง คำถามนี้ไม่ยากเลย


 


ลู่โจวไม่ต้องใช้พลังของระบบด้วยซ้ำในการหาคำตอบ เขาตอบ


 


“รอบแรก ให้ผู้ติดตามสองคนไป แล้วให้ผู้ติดตามคนนึงกลับมา”

(ผู้แปล : ฝั่งนึงมีนักธุรกิจ 3 ผู้ติดตาม 2 อีกฝั่งมี ผู้ติดตาม 1)


 


“รอบสอง ให้ผู้ติดตามสองคนไปอีกครั้ง แล้วให้ผู้ติดตามคนนึงกลับมา”

(ผู้แปล : ฝั่งนึงมีนักธุรกิจ 3 ผู้ติดตาม 1 อีกฝั่งมี ผู้ติดตาม 2)


 


“รอบสาม ให้นักธุรกิจไปกันสองคนแล้วให้นักธุรกิจกับผู้ติดตามกลับมาอย่างละคน”

(ผู้แปล : นักธุรกิจไปสอง อีกฝั่งก็จะมีนักธุรกิจ 2 ผู้ติดตาม 2 เท่ากัน พอกลับมาก็กลายเป็น ฝั่งนึงมี นักธุรกิจ 2 ผู้ติดตาม 2 กับ อีกฝั่งมี นักธุรกิจ 1 ผู้ติดตาม 1)


 


“รอบสี่ นักธุรกิจไปสองคนแล้วให้ผู้ติดตามกลับมาหนึ่งคน”

(ผู้แปล : นักธุรกิจไป 2 ฝั่งนึงก็จะเหลือ ผู้ติดตาม 2 กับอีกฝั่งมี นักธุรกิจ 3 ผู้ติดตาม 1)


 


“รอบห้า ผู้ติดตามไปสองคนแล้วให้ผู้ติดตามกลับมาหนึ่งคน”


“รอบหก ผู้ติดตามสองคนสุดท้ายไป แล้วทุกคนก็จะข้ามแม่น้ำได้สำเร็จ!”


 


แปะๆๆ!


 


หลิวอวี่เซียงปรบมือด้วยมือเรียวบาง ใบหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความนับถือ


 


สีหน้าของหวังเสี่ยวตงไม่ได้เปลี่ยนสักนิด เขาเหมือนเป็นคนที่ละทางโลก


 


จากมุมมองของเขา คำถามนี้ไม่ได้ยากเลย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลองแก้โจทย์ด้วยตนเอง แต่เขาก็เชื่อว่าIQเขาสูงพอที่จะแก้โจทย์นี้ได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน


 


“ถูกต้อง” ศาสตราจารย์หลิวหัวเราะ เขากล่าวต่อ “แม้ไม่มีความรู้คณิตศาสตร์ใดๆ คำถามนี้ก็สามารถแก้ได้ง่ายๆโดยการวิเคราะห์เชิงตรรกวิทยา ถ้าเราขยายโจทย์นี้เป็นนักธุรกิจnคนล่ะ?”


 


โจทย์นี้ยากขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ยากในด้านคณิตศาสตร์ ส่วนที่ยากคือการสรุปโจทย์นี้ให้เป็นโจทย์ทางคณิตศาสตร์


 


ลู่โจวคิดอย่างจริงจังชั่วครู่ เขาวางโครงคร่าวๆในหัวแล้ว


 


“ผมใช้กระดานดำได้ไหม?”


 


“แน่นอน เชิญตามสบาย” ศาสตราจารย์หลิวเซี่ยงผิงกล่าวแล้วทำท่าเชิญ


 


ลู่โจวเดินไปที่กระดานดำแล้วเริ่มเขียนด้วยชอล์ก


 


[แทนจำนวนของนักธุรกิจก่อนข้ามแม่น้ำเป็น Xk แทนจำนวนของผู้ติดตามเป็น Yk. k = 1,2,… Yk = 0,1,2,3 แทนเวกเตอร์สองมิติเป็น Sk = (Xk,Yk) แทนเงื่อนไขการข้ามแม่น้ำอย่างปลอดภัยเป็น S]


 


ดังนั้น S={(X,Y)|X=0,Y=0,1,2,3;X=3,Y=0,1,2,3;X=Y=1,2}


 


2. จำนวนนักธุรกิจบนเรือข้ามฟากคือ 2 Uk และจำนวนผู้ติดตามคือ Vk เวกเตอร์สองมิติ Dk=(Uk,Vk) นิยามเป็นการตัดสินใจ แทนเซ็ตการอนุญาตให้ตัดสินใจเป็น D จากความจุเรือมันก็จะเป็น D={(U,V)|1≤U+V≤V, U, V=0,1,2}


 


3. สรุปจากข้อข้างบน สถานะกฏของการเปลี่ยนแปลงของSkกับDkคือ S(k+1)=Sk+(-1)^k*Dk


(ผู้แปล : ตรงนี้แอดค่อนข้างมั่วเลย อย่าสนใจมากครับ)


 


]


 


“สุดยอด…” หลิวอวี่เซียงอ้าปากค้าง เธอมองดูกระดานดำด้วยสีหน้าโง่งม เธออ้าปากค้างเล็กน้อย เธอดูลู่โจวเดินลงจากโพเดียมแล้วถามด้วยความประหลาดใจ “คุณไม่ต้องร่างคำนวณเลยเหรอ?”


 


“ผมคำนวณในใจได้” ลู่โจวกล่าวพร้อมกับหัวเราะ


 


หวังเสี่ยวตงยังคงนิ่งเงียบ


 


ดูจากสีหน้า อัจฉริยะที่เย่อหยิ่งยอมรับความสามารถทางคณิตศาสตร์ของลู่โจวแล้ว


 


ศาสตราจารย์หลิวมองขั้นตอนบนกระดานดำแล้วพยักหน้า “ถูกต้อง! แต่จากมุมมองแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เธอสำเร็จแค่ครึ่งเดียว หลังจากสร้างแบบจำลอง มันยังมีอีกขั้นตอน Implementation of the model แน่นอนแบบจำลองนี้ง่ายมากและอาจารย์เชื่อว่านักศึกษาหวังสามารถใช้ทักษะการเขียนโปรแกรมสร้างสิ่งนี้ได้แน่นอน ดังนั้นเราจะไม่เสียเวลาอันมีค่าไป”


 


หวังเสี่ยวตงดันกรอบแว่น สีหน้าของเขายังคงเดิม มันแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ


 


เนื่องจากไม่มีโอกาสให้เขาโอ้อวดทักษะการเขียนโปรแกรม เขาจึงผิดหวังเล็กน้อย


 


หลังจากหยุดสักพัก ศาสตราจารย์หวังก็พูดต่อ “อันที่จริงการสร้างแบบจำลองข้อมูลเป็นกระบวนการลดความยุ่งยากของปัญหาที่ยากแก่การเข้าใจให้อยู่ในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย จากนั้นก็จะนำไปแก้ปัญหาด้วยเครื่องมือทางคณิตศาสตร์”


 


“ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ ทีมของเธอจะได้แก้ปัญหาชีวิตจริงอะไร?”


 


“การสร้างแบบจำลองไม่ได้เป็นการทดสอบความสามารถในการเขียนโปรแกรมหรือความสามารถทางคณิตศาสตร์ อันที่จริงมันเป็นการทดสอบความสามารถในการเปลี่ยนปัญหาในชีวิตจริงให้เป็นข้อมูลแล้วหาวิธีแก้ พวกเธอต้องจำเรื่องนี้ไว้”


 


“ส่วนการสร้างแบบจำลอง อาจารย์ไม่มีคำแนะนำมากนัก ไม่มีทางลัดนอกจากการฝึกฝนและขยายความรู้ของตน ส่วนเรื่องโปรแกรม อาจารย์พอให้คำแนะนำได้บ้าง”


 


“มีซอร์ฟแวร์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปสี่ประเภท Matlab Mathematica Lingo และSAS เธอไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญโปรแกรมทั้งหมด เธอแค่เชี่ยวชาญสักหนึ่งโปรแกรมก็พอ สิ่งสำคัญคือการใช้ซอร์ฟแวร์ที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาชีวิตจริง” ศาสตราจารย์หลิวเซี่ยงผิงกล่าวและมองดูหวังเสี่ยวตง


 


นี่เป็นเพราะส่วนใหญ่แล้วเขากำลังพูดกับหวังเสี่ยวตง


 


หวังเสี่ยวตงดันกรอบดแว่นแล้วพยักหน้า “ผมเคยใช้MatlabกับSAS ดังนั้นมันไม่มีปัญหาอะไร”


 


ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้า “การรู้สองโปรแกรมนี้ก็เพียงพอแล้ว พวกเธอต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง อาจารย์ช่วยพวกเธอได้ก็ต่อเมื่อพวกเธอติดขัดเท่านั้น”


 


“ประเด็นสุดท้ายเกี่ยวกับหนังสือ อาจารย์ขอแนะนำให้เธออ่านหนังสือเกี่ยวกับการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์อย่างหนังสือ’แบบจำลองทางคณิตศาสตร์’ ‘อัลกอริทึมและการประยุกต์การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์’ และ ‘พื้นฐานการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์’


 


“อาจารย์ยังมีเอกสารประกอบคำบรรยายและข้อมูลจากมหาลัย เธอสามารถก๊อปปี้และนำไปอ่านที่บ้าน แต่จำไว้ว่าอย่านำไปเผยแพร่หรืออัพโหลดขึ้นโลกออนไลน์ เข้าใจนะ?”


 


นักศึกษาทั้งสามตอบพร้อมเพรียงกัน “เข้าใจครับ/ค่ะ!”


 


ศาสตราจารย์หลิวหัวเราะแล้วกล่าว “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ อาจารย์ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพวกเธอ ถ้าพวกเธอต้องการ พวกเธอก็มาดาวน์โหลดข้อมูลจากอาจารย์ เสร็จแล้วก็กลับไปอ่านภาษาอังกฤษเถอะ”


24 การฝึกครั้งแรก


 


หลังจากดาวน์โหลดข้อมูล ศาสตราจารย์หลิวก็ปล่อยพวกเขา เขาแสดงให้เห็นว่าถ้าพวกเขาไม่ยุ่งกับการอ่านหนังสือสอบ พวกเขาก็ควรอ่านข้อมูลคืนนี้


 


พรุ่งนี้พวกเขานัดพบกันที่ห้องคอมพิวเตอร์ของมหาลัยและจะเริ่มการฝึกฝนครั้งแรก


 


หลังจากศาสตราจารย์หลิวปล่อยตัวพวกเขา ลู่โจวก็ถือโน๊ตบุ๊คไปห้องสมุด เขาจะไปเขียนวิทยานิพนธ์ต่อ


 


เขาไม่ได้เข้าไปดูข้อมูลในUSBด้วยซ้ำ


 


เพราะยังไงสำหรับเขาแล้ว ภารกิจของระบบนั้นมีความสำคัญสูงกว่างานของมหาลัย


 


นอกจากเขียนวิทยานิพนธ์ ลู่โจวก็จะไปช่วยโจทย์คณิตของเฉินยู่ซานเป็นครั้งคราว


 


พูดตามตรง พื้นฐานคณิตศาสตร์ของผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา เขาไม่รู้ว่าเธอทำคะแนนสอบคณิตวิเคราะห์ปีหนึ่งได้ 85 คะแนนได้อย่างไร


 


“พวกคุณไม่ได้เรียนคณิตในคณะบริหารธุรกิจเหรอ?” ลู่โจวถาม เขารู้สึกพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์กับโจทย์เกี่ยวกับการหาลิมิตของฟังก์ชัน เขากลอกตามองบนแล้วเขียนคำตอบบนกระดาษทด เขากล่าวโดยไร้ความเมตตา “อาจารย์พึ่งอธิบายโจทย์นี้เป็นตัวอย่างในชั้นเรียน”


 


เฉินยู่ซานหน้าแดง เธอไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และปกป้องตัวเอง “ฉันกำลังเรียนเศรษฐกิจเพื่อการจัดการในคณะบริหารธุรกิจ ฉันไม่ได้เรียนบัญชี ฉันมีเรื่องอื่นให้จำมากมาย ฉันจะเอาเวลาไหนไปเรียนคณิต?”


 


“ฉันจำได้ว่าคุณก็เรียนแอคเคาน์ติ้งและสถิติ…”


 


“เงียบไป ฉันจะเลี้ยงข้าวเที่ยงนาย”


 


ลู่โจวหุบปากทันที เขาพูดในใจ “ไม่ต้องเกรงใจ อยากถามอะไรก็ถามเลย”


 


จะดีที่สุดถ้าคุณเลี้ยงอาหารเย็นด้วย…


 


เมื่อมีคนเลี้ยงข้าวเขา ลู่โจวจะรู้สึกเหมือนเขาติดหนี้พวกเขา แม้ว่าการเงินของเขาค่อนข้างแย่ แต่เขาก็ยังจะหาโอกาสเลี้ยงข้าวพวกเขาคืน


 


อย่างไรก็ตามถ้าเฉินยู่ซานอยากเลี้ยงข้าวเขา…


 


เขาก็ไม่รู้สึกละอายใจเลย


 


เขาใช้ความสามารถของตนเพื่อข้าวมื้อนี้ ทำไมเขาต้องเลี้ยงเธอกลับด้วย?


 


เขาช่วยพีชคณิตขั้นสูงให้เธอมาทุกหัวข้อ และเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเธอด้วยซ้ำ เธอจะเลี้ยงข้าวเขาก็เป็นเรื่องปกติ


 


หลังจากห้องสมุดปิด ลู่โจวก็กลับหอพักและทำงานต่ออีกเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เขียนวิทยาพนธ์ฉบับแรกเสร็จ


 


คะแนนคุณค่าของวิทยานิพนธ์ฉบับแรกสูงสุดในบรรดาสิบหัวข้อ ระบบประเมิณหัวข้อนี้อยู่ที่ 30 แต้มทั่วไป เขาคิดถึงบทสรุปบางส่วนของวิทยานิพนธ์นี้เพราะมันเป็นส่วนเสริมของประเด็นโต้แย้งในวิทยานิพนธ์ก่อนหน้านี้ ลู่โจวเตรียมส่งมันไปวารสาร’วารสารทฤษฏีและการสื่อสารคณิตศาสตร์ประยุกต์’


 


ส่วนวิทยานิพนธ์ที่เหลืออีกเก้าฉบับ เขาจะส่งไปยัง’การสื่อสารสมัยใหม่และเทคโนโลยีสารสนเทศทางภูมิศาสตร์’


 


ในฐานะวารสารที่ไม่ใช่สายหลัก วารสารแบบนี้ในประเทศหาได้ยากและมันไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการตรวจสอบและค่าตีพิมพ์ มันไม่สนใจเช่นกันว่าผู้เขียนจะมีการสนับสนุนทางการเงินไหม มันกระทั่งจ่ายให้ผู้เขียน 150 หยวนต่อวิทยานิพนธ์หนึ่งฉบับ เมื่อเทียบกับวารสารอื่นๆที่จ้องมองแต่กระเป๋าตังของนักวิจัย นี่คือการเป็นโคลนถล่มในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวของโลกวิชาการ


 


วิทยานิพนธ์เก้าฉบับเป็นเงิน 1350 หยวน!


 


กว่าเขาจะอัพโหลดวิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์เสร็จ มันก็ตีสองแล้ว


 


ลู่โจวเห็นว่ามันจะเช้าอยู่แล้ว เขาจึงปิดโน๊ตบุ๊ค เขาหาวก่อนจะล้มตัวลงบนเตียง ขณะที่ฟังเสียงกรนของเพื่อนร่วมห้อง เขาก็ค่อยๆล่องลอยเข้าสู่ห้วงความฝัน


 


…..


 


วันต่อมา ศาสตราจารย์หลิวกับลู่โจวรู้สึกขี้เกียจและไม่ได้ตื่นเช้านัก เขาเข้าห้องคอมพิวเตอร์ตามหลังศาสตราจารย์หลิว เมื่อเขาเดินเข้าไป เขาก็พบว่าเขาไม่ใช่คนสุดท้ายที่มา เมื่อเขาเดินเข้ามาพร้อมกับศาสตราจารย์หลิว เขาก็เห็นแค่หวังเสี่ยวตงคนเดียวที่อยู่ในห้อง


 


“อรุนสวัสดิ์”


 


ลู่โจวยิ้มแล้วกล่าวทักทายเช่นเคย เขาคิดว่าอัจฉริยะผู้เย่อหยิ่งจะเมินเขา เป็นผลให้เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับคำตอบกลับจากอีกฝ่าย


 


“อรุนสวัสดิ์”


 


แม้ว่ามันจะเป็นเพียงหนึ่งประโยค แต่มันก็เป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่


 


ลู่โจวเป็นปลื้ม


 


พูดตามตรง เขาไม่ได้กังวลเรื่องความสามารถของทีมเลย สิ่งเดียวที่เขากังวลก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพื่อนร่วมทีม เขารู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่กังวลเรื่องนี้ ศาสตราจารย์หลิวก็กังวลเช่นกัน


 


ถ้าหลินอวี่เซียงใช้เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยได้ การมีเธออยู่ในทีมก็ไม่เลวเหมือนกัน


 


บางทีอะนะ


 


ขณะที่เขากำลังคิดเรื่อยเปื่อย ในที่สุดหลินอวี่เซียงก็มาถึง ครั้งนี้เธอดีขึ้นเพราะเธอมาสายเพียง 15 นาทีเท่านั้น


 


ศาสตราจารย์หลิวเซี่ยงผิงก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธอเหมือนกัน เขาแค่ยิ้มบางๆให้เธอ เขาส่งสัญญาณให้เธอหาที่นั่งแล้วเริ่มการสอนของวันนี้


 


จากแผนฝึกอบรม วันนี้เป็นการฝึกครั้งแรกซึ่งมันจะพัฒนาความสามัคคีระหว่างเพื่อนร่วมทีม


 


พวกเขาไม่อยากเสียเวลามากเกินไปกับโจทย์ที่ไม่ยาก พวกเขาสามารถแก้โจทย์ทั้งหมดได้ในทันที


 


ศาสตราจารย์หลิวได้มอบข้อมูลผู้ใช้สายโทรคมนาคมจำลองแล้วมอบข้อกำหนดให้มากกว่ายี่สิบรายการ สิ่งที่ต้องทำคือจำแนกพฤติกรรมของผู้ใช้ผ่านการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และออกแบบผลิตภัณฑ์กลุ่มผู้ใช้ที่แตกต่างกัน


 


ส่วนข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้น แหล่งข้อมูลไม่ได้มาจากโจทย์ เขาแค่มอบเสปรตชีตเอ็กเซล(excel spreadsheet)ให้พวกเขาอย่างเดียว


 


ความรู้ที่จำเป็นของการคำนวณเอนเอียงไปทางสถิติ มันเกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์และเทคนิคการจัดระเบียบข้อมูลสินค้า เมื่อเทียบกับโจทย์เรียกน้ำย่อยเมื่อวาน ความยากของโจทย์นี้มันยากขึ้นโดยไม่ต้องสงสัย


 


สูตรคณิตศาสตร์นี้ไม่มีประโยชน์ต่อการใช้จริง แต่ความยากของโจทย์นี้ไม่ได้อยู่ที่ส่วนคณิตศาสตร์ มันเป็นวิธีการแปลงโจทย์ประเภทนี้ให้เป็นโจทย์ทางคณิตศาสตร์


 


เรื่องดีอย่างนึงคือโจทย์มันไม่ซับซ้อน มันแค่ต้องการความรู้ที่กว้างขวาง ลู่โจวคิดเกือบครึ่งชั่วโมง อย่างแรกเขาใช้วิธีทางสถิติเพื่อจัดระเบียบลูกค้า จากนั้นเขาก็ใช้อัลกอริทึมเมทริกซ์เพื่อแก้โจทย์สอง


 


ลู่โจวนำกระดาษทดสองแผ่นมาวางไว้บนโต๊ะคอมให้หวังเสี่ยวตง เขากล่าว “แบบจำลองเสร็จแล้ว และฉันจะส่งมันเข้าในเมลล์คุณ อีกส่วนผมคำนวณด้วยปากกา มันจึงถูกเขียนไว้ในกระดาษ จัดสูตรแล้วป้อนเข้าสู่คอมพิวเตอร์คงไม่มีปัญหาใช่ไหม?”


 


หวังเสี่ยวตงพยักหน้าแล้วตอบอย่างกระชับ “ไม่มีปัญหา”


 


เป็นไปตามคาด ประสิทธิภาพของอัจฉริยะทั้งสองนั้นไม่ธรรมดา


 


ลู่โจวสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เสร็จอย่างรวดเร็ว หวังเสี่ยวตงรีบใช้คอมพิวเตอร์ในห้องคอมมาเขียนโปรแกรมเช่นกัน มันใช้เวลาน้อยกว่าสองชั่วโมงเสียอีก เวลาประเมิณไว้คือหนึ่งวัน แต่แค่เวลาอันสั้น พวกเขาก็เสร็จแล้ว


 


หลังจากตรวจสอบผลลัพธ์ของลู่โจวและหวังเสี่ยวตง ศาสตราจารย์หลิวก็อดประทับใจไม่ได้ เขาเป็นโค้ชการแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มาห้าครั้งแล้ว สองคนนี้เป็นนักศึกษาที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่เขาเจอมา


 


ลู่โจวยิ้มแล้วยอมรับคำชมเชยของอาจารย์ ส่วนหวังเสี่ยวตงไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเหมือนปกติ อย่างไรก็ตามจากมุมปากของเขา เขาพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด


 


การฝึกฝนครั้งแรกเป็นไปได้อย่างราบรื่น


 


อย่างไรก็ตามปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือหลินอวี่เซียง…


 


แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเขียนรายงานของสภานักศึกษามามาก แต่เธอก็ไม่เคยเขียนวิทยานิพนธ์ เธอใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการค้นคว้าการจัดรูปแบบอยู่ครึ่งชั่วโมงโดยไม่มีความก้าวหน้าใดๆ


 


หวังเสี่ยวตงรู้สึกอับอาย เพราะยังไงมันก็เป็นเขาเองที่แนะนำหลินอวี่เซียงซะดิบดีและเชื่อว่าเธอทำหน้าที่ของตนได้ การแข่งขันยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ เธอก็ทำพลาดตั้งแต่การฝึกครั้งแรก


 


แม้ว่าลู่โจวจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าเล็กน้อย แต่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ


 


เธอบอกว่าเธอทำงานในสภาและทำผลงานได้ดี เธอก็ควรทำงานของตัวเองไป อนาคตของฉันสดใส ทำไมเธอต้องลากฉันลงมาด้วย


 


ครั้งหน้าอย่างน้อยก็ค้นหาวิธีเขียนวิทยานิพนธ์บนอินเตอร์เน็ตมาก่อนสิ สิ่งเดียวที่เธอทำเป็นก็คือวิธีที่ทำให้คนอื่นสงสารเธอ! ไร้ประโยชน์!


 


ฉันโกรธมาก!


 


อาจารย์หลิวไม่ได้โกรธเลย เขาแค่ยิ้มแล้วปลอบหลินอวี่เซียงที่ยังขอโทษไม่หยุด จากนั้นเขาก็อนุญาตให้หวังเสี่ยวตงไปแนะนำการเขียนวิทยานิพนธ์ให้เธอแล้วเรียกลู่โจวไปที่ทางเดิน


 


เขาหยิบบุหรี่ออกมาแล้วมองดูนักศึกษาสองคนในห้องเรียน จากนั้นเขาก็กล่าวกับลู่โจว “เธอคิดว่าไง? เธอคิดถึงข้อเสนอที่อาจารย์บอกเมื่อวานรึยัง?”


ตอนที่ 25 ผมโกรธมาก


 


 


“…” ลู่โจวไม่ได้ตอบ


 


“อาจารย์เข้าใจ เธอต้องมีความคิดของเธอเอง” ศาสตราจารย์หลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขากล่าวเสริม “มันก็เหมือนกับชุมชนวิจัยของอาจารย์ ทุกๆทีมจะมีเพื่อนร่วมทีมที่ไร้ประโยชน์อยู่เสมอ พวกเขาไม่สนใจเรื่องของโปรเจ็คเลย คนเหล่านี้มีอยู่ทุกที่”


 


“ศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์มีทัศนคติดีมาก” หลินฟ่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่ใช่ทัศนคติอาจารย์ดี” ศาสตราจารย์หลิวกล่าว เขาโบกมือแล้วยิ้ม “อาจารย์แค่ชินแล้ว”


 


เขาตบบ่าลู่โจวแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เธอต้องเข้าใจว่าอันดับหนึ่งคือเป้าหมายเดียวของเรา มันอาจดูไม่ยุติธรรมที่ต้องทำงานมากขึ้น แต่นี่เป็นเพียงเส้นทางแห่งการเรียนรู้”


 


ลู่โจวคิดสักพักแล้วพยักหน้า “ตกลงครับ ผมเข้าใจ ผมจะรับผิดชอบในการเขียนแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และเขียนวิทยานิพนธ์ แต่ผมมีเงื่อนไขนึง”


 


“พูดมาเลย” ศาสตราจารย์หลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“ผมอยากลดจำนวนฝึกกลุ่มแล้วเปลี่ยนเป็นฝึกเดี่ยว เราไว้เน้นฝึกกลุ่มตอนใกล้แข่งเอา” ลู่โจวกล่าว เขาหยุดสักครู่ก่อนจะกล่าว “ด้วยวิธีนี้ ตารางการฝึกผมจะยืดหยุ่นได้มากขึ้น”


 


การให้ทุกคนมาฝึกร่วมกันมันจะเสียเวลามากเกินไป


 


ลู่โจวยังต้องทำงานตัวเองอีก


 


“ไม่มีปัญหา แผนเดิมของอาจารย์ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” หลิวเซี่ยงผิงตอบด้วยรอยยิ้ม


 


ทั้งสองคนเดินกลับเข้าห้องคอมพิวเตอร์


 


สุดท้ายลู่โจวก็เป็นคนเขียนวิทยานิพนธ์


 


ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีประสบการณ์จากการส่งวิทยานิพนธ์SCIและเขาก็ค้นคว้าเสร็จไปมากเนื่องจากภารกิจของระบบ เมื่อพูดถึงการเขียนวิทยานิพนธ์คนเดียว ไม่ต้องพูดถึงคนไร้ประโยชน์อย่างหลินอวี่เซียง แม้แต่นักศึกษาปีสองหวังเสี่ยวตงก็เทียบเขาไม่ได้


 


แน่นอนวันนี้เป็นแค่การฝึก มันไม่จำเป็นต้องทำวิทยานิพนธ์ให้สวยเลิศให้ตรงกับมาตรฐานของการแข่งขัน เค้าโครงจำเป็นต้องมีสิบถึงยี่สิบหน้า มันไม่อาจเสร็จในวันเดียว


 


ลู่โจวเขียนส่วนสำคัญของ’สมมติฐานแบบจำลอง’และ’วิเคราะห์โจทย์’ตามรูปแบบของวิทยานิพนธ์การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ส่วนหัวข้อที่ไม่สำคัญ เขาเขียนแค่หัวข้อแล้วข้ามไป


 


หลิวอวี่เซียงมองวิทยาพนธ์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วกล่าวขอบคุณลู่โจวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอกล่าวอย่างน่าสงสารว่าวันนี้เธอเสียใจมากที่เป็นตัวถ่วงของทุกคนและเธอจะพยายามตามทุกคนให้ทัน


 


ลู่โจวไม่ได้ตอบ แต่ในใจเขา เขาถอนหายใจ


 


สู้ๆละกัน!


 


หลังจากแยกย้ายกัน ลู่โจวก็ปฏิเสธการเลี้ยงข้าวของหลินอวี่เซียง


 


เขาถือกระเป๋าโน๊ตบุ๊คแล้วเดินไปห้องสมุด จากนั้นก็เริ่มเขียนวิทยานิพนธ์อย่างบ้าคลั่ง


 


เฉินยู่ซานนั่งข้างเขา นอกจากเธอจะถามโจทย์เขาข้อสองข้อเป็นครั้งคราว เธอก็ตั้งใจแก้โจทย์ของตนเองเช่นกัน แม้ว่าเธอจะสงสัยมากว่าทำไมเอกคณิตอย่างเขาต้องมาเขียนวิทยานิพนธ์วิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่เธอก็ไม่ได้ถามว่าทำไม


 


เขาเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วบิดขี้เกียจ ลู่โจวกำลังจะไปห้องน้ำ แต่แล้วจู่ๆโทรศัพท์บนโต๊ะก็สั่น


 


ลู่โจวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเห็นว่าเป็นเบอร์ของเจ้าอ้วนอู๋ เขาลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเดินไปห้องน้ำของห้องสมุด


 


เขารับสายแล้วเอนตัวพิงหน้าต่าง


 


“ว่าไง?”


 


“ฉันเอง อู๋ต้าไห่ อาทิตย์นี้นายว่างไหม?”


 


น้ำเสียงจริงใจของเจ้าอ้วนอู๋ดังมาจากโทรศัพท์ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหาคนไปทำงาน


 


เขาเป็นนักศึกษาปีสาม แต่เขาไม่ได้สนใจการสอบเข้าปริญญาโทเลย เขาไม่หางานด้วยเช่นกัน เขาใช้เวลาทั้งวันไปกับการทำงานและไม่เคยมามหาลัย ถ้าเขาไม่มีบัตรนักศึกษา ลู่โจวคงสงสัยว่าเขาเป็นนักศึกษามหาลัยจินหลิงจริงไหม


 


“งานแบบไหน?” ลู่โจวถาม


 


แม้ว่าตอนนี้เขาจะยุ่งมาก แต่ถ้าค่าตอบแทนสูง เขาก็ยังเก็บไปพิจารณาอยู่


 


อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก


 


“จินหลิงเปิดตัวอพาร์ทเม้นท์ใหม่และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องการคนแจกใบปลิว ยี่สิบหยวนต่อชั่วโมง พวกเขาต้องการคนทั้งอาทิตย์ นายมาไหม?” อู๋ต้าไห่ถาม


 


“…ช่วงนี้ฉันค่อนข้างยุ่ง ฉันคงไปไม่ได้” ลู่โจวกล่าวเสียงแผ่ว แม้ว่าลู่โจวจะตื่นเต้นเล็กน้อย แต่เขาก็ต้องนึกถึงวิทยานิพนธ์อีกเก้าฉบับที่เขาต้องเขียน


 


“ไม่เป็นไร งั้นฉันจะไปหาคนอื่น” เจ้าอ้วนอู๋กล่าว เขาไม่สนใจนัก “ไปทำธุระของนายเถอะ”


 


ลู่โจววางสายแล้วทำธุระส่วนตัว จากนั้นเขาก็กลับเข้าห้องสมุด


 


เมื่อเขากลับมาที่เก้าอี้ เขาก็เห็นกระดาษทดอยู่ใต้คีย์บอร์ดแล้วเฉินยู่ซานก็กำลังนั่งอยู่ข้างๆ เธอตั้งหน้าตั้งตารอเขาอยู่ เมื่อเขาเห็นสีหน้าของเธอ เขาก็อดยิ้มไม่ได้ เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาหยิบปากกาขึ้นมาแก้โจทย์


 


การหาผลเฉลยทั่วไปของโจทย์สมการเชิงอนุพันธ์ค่าสัมประสิทธิ์คงที่กำลังสองเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างยากในพีชคณิตขั้นสูง เมื่อรวมคะแนนหลายหมวดอย่างฟังก์ชั่นตรีโกณมิติ อินทิกรัล อนุพันธ์ ปกติมันจะถูกใช้เป็นคำถามใหญ่สองข้อสุดท้ายหรือข้อสุดท้ายในการสอบ


 


อย่างไรก็ตามสำหรับลู่โจวมันไม่ได้ท้าทายอะไรเลย


 


เขาไม่ได้คุยโว ไม่มีโจทย์คณิตศาสตร์ระดับสูงข้อไหนที่เขาแก้ไม่ได้


 


เฉินยู่ซานมองลู่โจวแก้โจทย์แล้วถามเสียงเบา “เมื่อกี้ใครโทรมาเหรอ?”


 


“รุ่นพี่ เขามาให้งานผม” ลู่โจวตอบอย่างรวดเร็ว


 


“นายยังทำงานอยู่?” เฉินยู่ซานถามด้วยแววตาเบิกกว้าง เธอถามเสียงเบา “แต่ฉันเห็นนายอยู่ห้องสมุดทั้งวัน…”


 


“ช่วงนี้ผมทำงานน้อยลง ครั้งก่อนผมทำงานตอนกลางคืน…” ลู่โจวกล่าว เขาหยุดปากกาแล้วกล่าวเสริม “มันเป็นงานแยกพัสดุ”


 


“ทำไมนายต้องเสริมด้วย?” เฉินยู่ซานถามด้วยความสงสัย


 


“ไม่มีเหตุผล…ผมแก้เสร็จแล้ว”


 


ลู่โจวกล่าวและส่งกระดาษทดคืนให้เธอ เขาใช้เวลาน้อยกว่าสามนาทีเพื่อแก้โจทย์นี้ มันเร็วมาก นักศึกษาปกติอาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงเพื่อแก้โจทย์ระดับนี้


 


“อ๊ะ ขอบคุณ…ฉันหวังว่านายจะไม่ว่าที่ฉันถาม แต่นายมีเบี้ยเลี้ยงไม่พอเหรอ?” เฉินยู่ซานถามและรับกระดาษทดคืนมา


 


“…คุณจะว่าแบบนั้นก็ได้” ลู่โจวตอบ


 


ฉันไม่เคยมีเบี้ยเลี้ยงด้วยซ้ำ


 


เฉินยู่ซานพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเข้าใจ จากนั้นเธอก็พูด “งั้น…ฉันมีงานให้นาย มันง่ายกว่าการแยกพัสดุ นายอยากทำไหม?”


 


ลู่โจวกำลังพิมพ์ แต่แล้วจู่ๆเขาก็หยุดชะงักแล้วหันไปมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ “ไม่ใช่สอนคณิตให้คุณหรอกใช่ไหม?”


 


“คณิตฉัน…ความคิดดี!” เฉินยู่ซานกล่าว เธอเกือบพูดเสียงดังแล้ว แต่เธอก็จำได้ว่าเธอกำลังอยู่ในห้องสมุด เธอใจเย็นลงแล้วกล่าวเสียงเบา “เป็นงานสอนคณิต แต่ไม่ใช่สอนฉัน ฉันมีลูกพี่ลูกน้องที่ยังเรียนมัธยมปลาย เธออยู่ในเมืองจินหลิง อยู่ใกล้มหาลัยของเรา เธอจะขึ้นม.5แล้ว แต่ผลการเรียนของเธอย่ำแย่ โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ป้าฉันเป็นห่วงการเรียนของเธอมาก ดังนั้นเธอจึงขอให้ฉันหาติวเตอร์ให้ โดยเฉพาะติวเตอร์ที่เก่งคณิต…”


 


เฉินยู่ซานมองลู่โจวเชิงขอโทษ “ตอนแรกฉันตั้งใจจะชวนเพื่อนร่วมชั้น แต่เธอเตรียมสอบเข้าปริญญาเอก เธอจึงไม่มีเวลา นอกจากนี้มันก็ผ่านมานานมากแล้ว เธอจึงลืมความรู้ม.ปลายไปหมดแล้ว ฉันคิดว่า…นายดูไม่ค่อยมีพิษมีภัย ดังนั้นฉันจึงมาถามนายว่าช่วงวันหยุดฤดูร้อนนายว่างไหม…”


 


ลู่โจว “???”


 


ไม่เป็นพิษเป็นภัยคืออะไรเนี่ย? เธอกำลังบอกว่าฉันหล่อใช่ไหม?


 


หลังจากนั้นสักพัก ลู่โจวก็ไม่ได้ทำอะไร เฉินยู่ซานกล่าวเสียงเบา “ไม่มีเวลา? ฉันจะไปถามคนอื่น…”


 


“ค่าจ้างเท่าไหร่?” ลู่โจวถาม เขาอยากทราบค่าแรงก่อนตอบเธอ


 


ตอนแรกเขาวางแผนทำงานตลอดช่วงวันหยุด ทำงานให้เจ้าอ้วนอู๋หรือผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนกัน


 


เฉินยู่ซานคิดเล็กน้อยแล้วกล่าว “200หยวนต่อชั่วโมง มีค่ารถให้ ตั้งแต่เดือนกรกฏา ไปทุกวันเสาร์”


 


“เท่าไหร่นะ???”


 


“200หยวน…อะไรนะ?”


 


ลู่โจวได้ยินแบบนั้น เขาก็วางมือไว้บนคีย์บอร์ดแล้วเงียบ


 


“มันน้อยเกินไป?” เฉินยู่ซานถาม เมื่อเธอเห็นว่าเขาเงียบไปสักพัก เธอก็คิดว่ามันน้อยเกินไป เธอกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ฉันอาจขอป้าฉัน…”


 


“ไม่จำเป็น” ลู่โจวกล่าว เขาจับมือเธอ “ตกลง”


 


“แล้วทำไมนายถึงทำหน้าจริงจังล่ะ? ฉันคิดว่ามันน้อยเกินไปซะอีก” เฉินยู่ซานกล่าว เธอโล่งใจและกลอกตามองลู่โจว


 


“ไม่มีอะไร ผมแค่รู้สึกว่า…” ลู่โจวกล่าว เขามองเพดานแล้วถอนหายใจเบาๆ “ผมโกรธมาก”


ตอนที่ 26 ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ไหน? ฉันกำลังเขียนอะไร?


“…แม่ ฤดูร้อนปีนี้ผมไม่กลับนะ”


“ครับ…เรื่องเป็นแบบนี้ ศาสตราจารย์แนะนำให้ผมเข้าร่วมการแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ระดับประเทศ มหาลัยมีฝึกช่วงฤดูร้อน…ไม่ต้องครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย มหาลัยจ่ายให้แล้ว! ช่วงปีใหม่ผมจะกลับบ้าน รักษาสุขภาพด้วยนะครับ ผมแข็งแรงมาก ไม่ต้องห่วง!”


“…แม่ไม่ต้องให้เงินผม ผมยังมีเงินจากทุนเทอมที่แล้ว แถมตอนว่างๆผมยังทำงานพาร์ทไทม์ด้วย พ่อกับแม่เก็บเงินให้ถงถงเถอะ ถ้าน้องเข้ามหาลัย แม่ต้องหมดเงินอีกเยอะ”


“…ครับ แค่นี้แหละครับ”


ลู่โจวหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เขาเอนตัวพิงราวระเบียงในหอพักแล้ววางสาย


ทุกคืนวันอาทิตย์เขาจะโทรหาที่บ้าน


จะว่าไปแล้วเวลาก็ผ่านไปเร็วมาก


ลู่โจวรำพึงรำพันขณะมองดูดวงดารานอกหน้าต่าง


เขาเกือบจบปีหนึ่งแล้ว น้องสาวเขากำลังเข้าม.ห้า ซึ่งมันเป็นระดับชั้นที่สำคัญที่สุดในช่วงมัธยมปลาย


ไม่เหมือนกับเขา น้องสาวเขาเรียนศิลปศาสตร์


ข้างระเบียงเป็นห้องน้ำ หวงกวงหมิงกำลังอาบน้ำอยู่ข้างใน แต่แล้วเขาก็กล่าวขึ้นมา “พี่ชายภรรยา โทรหาที่บ้านเหรอ?”


ลู่โจวช็อคไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็กล่าว “นายอยากออกมารึเปล่า? รอเดี๋ยว ฉันจะเอาไม้กวาดมาล็อคประตูไว้”


“เชี่ย ฉิบหาย พี่ใหญ่โจว โปรดเมตตาด้วย ฉันผิดไปแล้ว อ้ากกก~ ถ้านายไม่ปล่อยฉัน ฉันจะเริ่มร้องเพลงในห้องน้ำแล้ว”


หวงกวงหมิงอ้าปากกว้างแล้วเริ่มร้องเพลงด้วยเสียงร้องโหยหวน


“ว้ากกกก ห้าวง เธอเป็นหนึ่งวงที่มากกว่าสี่~~”

(ผู้แปล : คิดซะว่ามันเป็นเพลง)


เชี่ย!


มันเป็นเสียงราวกับไก่กำลังถูกเชือด ลู่โจวขนลุกทั่วร่าง เขาหันหลังกลับแล้วปิดประตูระเบียงก่อนจะตรงเข้าไปในหอพัก


อย่างไรก็ตามกำแพงห้องน้ำกันเสียงไม่ค่อยดี มันจึงไม่ได้ช่วยอะไรเลย


ทั้งสองคนที่อยู่ในหอพักได้ยินเสียงร้องเพลงก็โมโหทันที โดยเฉพาะหลิวรุ่ยที่ชอบพูดเกินจริง เขาทิ้งตัวบนโต๊ะจับกรามค้างไว้แล้วตะโกน “บัดซบ! แกร้องเพลงเพื่อ? อ้ากปวดฟัน!”


ในช่วงวิกฤตและตื่นตระหนก สือช่างก็ดึงเก้าอี้ออกมาแล้วขึ้นไปยืน เขาตะโกน “สหายอย่าตื่นตระหนก! ฉันจะไปหยุดเจ้าชั่วนั่นเอง!”


“ไสหัวไปเลย!”


เป็นไปตามคาด เขาหมดคำพูด


ลู่โจวรำคาญมาก เขากำลังจะลากเจ้าหมอนี่เข้าห้องน้ำแล้วกระทืบเขาพร้อมกับหวงกวงหมิง


ทำไมฉันถึงเป็นคนปกติคนเดียวที่อยู่ในหอพักนี้นะ?


อ้า น่าอึดอัดจริงๆ!


…..


ในช่วงสองสัปดาห์นี้ ลู่โจวนั่งเขียนวิทยานิพนธ์อยู่ที่ห้องสมุด ไม่ก็อยู่ระหว่างทางห้องสมุดหรือนั่งอยู่ในห้องสอบ


ระหว่างช่วงอาทิตย์สุดท้ายในการสอบ ไม่มีใครมีความมั่นใจเท่าเขา


ไม่เหมือนพวกเขา เขามีความสามารถพอที่จะมั่นใจ


อย่างที่เขาประเมิณไว้ เขาผ่านภาษาอังกฤษอย่างไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ


ภาษา C ก็เหมือนกัน นอกจากคําถามเชิงสร้างสรรค์ มันก็แทบไม่มีความยากเลย มันเหมือนกับว่าความรู้ที่ได้มาจากภารกิจถูกสลักไว้ในสมองและเขาจะไม่มีวันลืม


อย่างไรก็ตามระหว่างสอบประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ลู่โจวก็แข็งค้างโดยสมบูรณ์


เขาเปิดกระดาษสอบแล้วจ้องมองคำถามแรก


ฉันคือใคร?


ฉันอยู่ไหน?


ฉันกำลังเขียนอะไร?


เขาพยายามถามระบบ แต่ระบบก็ไม่ตอบสนอง ไม่ว่าเขาจะให้แต้มทั่วไปมากเท่าไหร่ แต่คำถามสังคมศาสตร์ประเภทนี้ไม่มีอยู่ในฐานความรู้ของระบบ


โชคดีที่ลู่โจวรู้เรื่องประวัติศาสตร์เล็กน้อย เขาแค่ต้องหาทิศทางไป มันไม่สำคัญว่าเขาจะเชื่อว่าที่เขาตอบไปจะถูกไหม แต่ตราบใดที่เขาตอบคำถามก็พอแล้ว


ส่วนคำตอบจะถูกไหมนั้น มันขึ้นอยู่กับปลายปากกาของอาจารย์


สุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่พยายามให้ดีที่สุด!


สามวันหลังสอบประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ในที่สุดลู่โจวก็ส่งวิทยานิพนธ์ฉบับสุดท้าย


เขาทำงานอย่างบ้าคลั่งในช่วงสามสัปดาห์นี้จนถึงขั้นตัวซูบผอม แต่เมื่อเขาดูผลงานของตน เขาก็รู้สึกค่อนข้างสำเร็จ


วิทยานิพนธ์SCIสามฉบับต่อหนึ่งอาทิตย์ วิทยานิพนธ์SCIสิบฉบับใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ!


ฉันอยากถามว่าใครจะทำเช่นนี้ได้บ้าง?


ห๊ะ?


หลังจากรอมาสามวันอย่างร้อนรน วิทยานิพนธ์อันสุดท้ายก็ผ่านขั้นตอนตรวจสอบจนได้


เมื่อลู่โจวได้รับอีเมลล์ตอบกลับ เขาก็อดคิดไม่ได้ว่ามันจะไม่มีปัญหาจริงๆหรือที่ส่งวิทยานิพนธ์ต่ำกว่ามาตรฐานจำนวนมากขนาดนี้ นอกจากนี้วิทยานิพนธ์ทั้งหมดยังมีชื่อคนเขียนเหมือนกัน จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?


บางทีระบบอาจช่วยเขาแจกจ่ายต้นฉบับไปยังผู้ประเมิณที่แตกต่างกัน


ลู่โจวรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อเข้าสู่มิติขาวบริสุทธิ์ของระบบ เขารีบเดินไปที่หน้าจอข้อมูลกึ่งโปร่งใส


[โฮสต์ขอแสดงความยินดีที่ทำภารกิจสำเร็จ]


[รายละเอียดภารกิจที่สำเร็จ : โฮสต์ประสบความสำเร็จในการส่งวิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์ 1 ฉบับ วิทยานิพนธ์วิทยาการสารสนเทศ 9 ฉบับ เหลือเวลาอีก 39 วัน ผลประเมิณ : S+ มอบ’ภารกิจรางวัล’ให้เพิ่มเติม]


เขาได้แรงค์ S+ จริงๆด้วย


รางวัลเพิ่มเติม…จริงๆแล้วมันเป็นภารกิจรางวัล!


ลู่โจวมองไปที่ตัว S+ และรางวัลพิเศษบนหน้าจอข้อมูลด้วยความตื่นเต้น เขาตื่นเต้นมากจนลืมเรื่องอื่นไปหมด


แม้เขาจะไม่รู้ว่าภารกิจรางวัลคืออะไร แต่เขารู้ว่าถ้าจะซื้อเขาต้องจ่ายถึง 1000 แต้มทั่วไป!


[รางวัลภารกิจ : แต้มประสบการณ์คณิตศาสตร์ 100 แต้ม แต้มประสบการณ์วิทยาการสารสนเทศ 900 แต้ม แต้มทั่วไป 800 แต้ม ตั๋วเสี่ยงโชค 1 ใบ(ขยะ90% ตัวอย่าง9% พิมพ์เขียว1%)]


[การแจ้งเตือน : คณิตศาสตร์ ระดับ 0 → ระดับ 1 วิทยาการสารสนเทศ ระดับ 0 → ระดับ1]


ในที่สุดเขาก็เพิ่มระดับสาขาคณิตศาสตร์บัดซบนี่ได้!


หัวใจของลู่โจวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มันไม่ใช่เพราะเขาเพิ่มระดับเท่านั้น แต่เพราะในที่สุดเขาก็ก้าวข้ามเพดานคณิตศาสตร์ นี่หมายความว่าในที่สุดเขาก็ออกจากหมู่บ้านเริ่มต้นและขีดจำกัดของสาขาอื่นๆจะปลดล็อคระดับ 1 แล้ว


เพียงแต่…


เมื่อเขาระดับเพิ่มขึ้น เขาไม่ได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมเลย เขาคิดว่ามันจะคล้ายกับการใช้แต้มทั่วไปแลกเปลี่ยนเป็นความรู้ของวิทยานิพนธ์ ซึ่งระบบจะเทความรู้ลงในสมองเขา อย่างไรก็ตามมันแตกต่างกัน


เขาไม่ได้รู้สึกเลยว่าสมองเขามีความรู้ที่เขาไม่เคยเห็น


“ดูเหมือนว่าระดับสาขาวิชาของระบบจะไม่ได้หมายถึงความเชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ แต่ฉันแค่มีอำนาจในการเปิดฐานข้อมูลความรู้เพิ่มขึ้น? แถมฉันยังต้องใช้คะแนนทั่วไปในการเข้าถึง’ฐานข้อมูล’นี้? ฉันสงสัยว่ามันจะมีส่วนลดให้คำถามระดับต่ำๆไหม”


ลู่โจวลูบคางแล้วนึกถึงรายละเอียดข้อคาดการณ์ของรีมันน์ในใจอย่างเงียบๆ เขาสั่งระบบให้ประเมิณราคา


อย่างไรก็ตามเป็นเหมือนทุกที ระบบไม่ตอบสนอง


“ฉันคิดว่าคณิตศาสตร์ระดับ 1 ยังไม่สูงพอที่จะแก้ข้อคาดการณ์ของรีมันน์”


ลู่โจวคิดอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าว “แล้วข้อคาดการณ์ของบีลล่ะ?”


ข้อคาดการณ์ของบีลคือทฤษฏีทั่วไปของทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา ว่ากันว่ารางวัลในการแก้ข้อคาดการณ์ของบีลคือหนึ่งล้านเหรียญ ครั้งก่อนเขาพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยพลังของระบบ แต่ระบบก็ไม่ตอบสนอง


[คะแนนทั่วไปที่ต้องการ : 5000 ระดับคณิตศาสตร์ที่ต้องการ : ระดับ 2]


ลู่โจวเห็นตัวเลขนี้แล้วหัวเราะ เขายกเลิกความคิดนี้ทันที


ทำไมมันถึงแพงแบบนี้?


อย่างน้อยครั้งนี้ระบบก็ให้ราคา ดูเหมือนว่าที่เขาคิดไว้จะถูกต้อง การเพิ่มระดับสาขาวิชามันแค่การปลดล็อคฐานข้อมูลของระบบไฮเทคจริงๆ อย่างไรก็ตามถ้าคุณอยากดูฐานข้อมูล คุณก็ยังต้องใช้แต้มทั่วไป


ตอนที่ 27 สมองว่างเปล่าเกินไป ไปเรียนเพิ่มซะ!


 


 


หลังจากรู้เรื่องนี้ ลู่โจวก็ดึงสมาธิกลับมาที่ปัญหาที่แท้จริง


 


เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวในใจ


 


“ระบบ เปิดแผงหน้าต่างตัวละคร”


 


หน้าจอข้อมูลกึ่งโปร่งใสเด้งขึ้นมา


 


[


 


แก่นของวิทยาศาสตร์ :


 


A คณิตศาสตร์ : ระดับ 1 (0/10000)


 


B ฟิสิกส์ : ระดับ 0 (100/1000)


 


C ชีววิทยา : ระดับ 0 (0/1000)


 


D วิศวกรรม : ระดับ 0 (0/1000)


 


E วัสดุศาสตร์ : ระดับ 0 (0/1000)


 


F วิทยาการพลังงาน : ระดับ 0 (0/1000)


 


G วิทยาการสารสนเทศ : ระดับ 1 (0/10000)


 


แต้มทั่วไป : 925 (ตั๋วเสี่ยงโชค 1 ใบ)


 


ภารกิจ : ไม่มี (ภารกิจรางวัล*1)


 


]


 


ค่าประสบการณ์ขึ้นระดับ 2 มันเพิ่มเลขศูนย์มาให้อีกหนึ่งหลัก ลู่โจวคิดถึงแต้มประสบการณ์ 1000 แต้มที่หาได้ยากแล้วอดรู้สึกท้อไม่ได้


 


อย่างน้อยรางวัลของภารกิจก็จะเพิ่มขึ้นเมื่อระดับฉันเพิ่มเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามเพราะแบบนี้ความยากของภารกิจจึงเพิ่มขึ้นแล้ว


 


เขาแค่หวังว่าระบบขยะนี่จะไม่มอบภารกิจอย่าง’ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์SCI 100 ฉบับ’ให้เขา


 


เพราะนั่นจะฆ่าเขาเอาจริงๆ!


 


ลู่โจวไม่ได้ใช้ตั๋วเสี่ยงโชคในทันที กลับกันเขาออกจากมิติของระบบแทน เขาเข้าไปในห้องน้ำแล้วล้างหน้าในอ่างล้างหน้า จากนั้นเขาก็กลับมาที่เตียงและล้มตัวลงก่อนจะกลับเข้าไปในมิติของระบบ


 


เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและมองดูวงล้อในหน้าจอข้อมูล เขาเปล่งเสียงออกมา


 


“เริ่มเสี่ยงโชค!”


 


“…”


 


“หยุด!”


 


เขามองดูลูกศรด้วยสีหน้าว่างเปล่าและจิตใจสงบ


 


[ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านได้รับตัวอย่าง!]


 


นอกจากพิมพ์เขียว ทุกอย่างเป็นรางวัลขยะ


 


แม้ว่าฉันจะได้พิมพ์เขียว มันก็เป็นแค่ทฤษฏีพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์


 


อย่างไรก็ตามลู่โจวไม่ได้คาดหวังกับระบบนี้ เขาแค่อยากเสี่ยงโชคให้เสร็จแล้วเริ่มทำภารกิจเพื่อรับแต้มทั่วไป


 


[รางวัล : แคปซูลสมาธิ (40 แคปซูลต่อขวด ระยะใช้งาน 5 ชั่วโมง ไม่สามารถใช้ต่อเนื่องได้ใน 24 ชั่วโมง หลังจากทานแคปซูล มันจะปรับปรุงการทำงานของเซลล์สมองและเพิ่มความเร็วการดูดซึมความรู้และความสามารถในการคิดเชิงตรรกะ)]


 


เอิ่ม…


 


อะไรนะ???


 


ลู่โจวเห็นคำแนะนำข้างหลังแล้วสูญเสียความเยือกเย็น เขาเกือบเอาหน้าแนบหน้าจอแล้ว


 


แคปซูลสมาธิ!?


 


เชี่ย นี่เป็นของดี!


 


สี่สิบคูณห้าเท่ากับ 200 ชั่วโมง! ถ้าหากมันมีผลเหมือนกับตอนภารกิจแรก เขาก็สามารถอ่านหนังสือจำนวนมหาศาล!


 


บางทีพิธีการลับในการเสี่ยงโชคคือการสงบใจแทนการล้างหน้า?


 


ลู่โจวหลั่งน้ำตาในใจ เขาตัดสินใจแล้วว่าครั้งหน้าเขาจะสงบสติอารมณ์ตัวเองลง


 


ลู่โจวไม่อยากให้โชคหายไปซะก่อน เขาจึงไม่ได้พูดอะไรและเลือกภารกิจรางวัล


 


[ภารกิจรางวัลเริ่มต้นขึ้น]


 


[


 


ภารกิจ : ภารกิจรางวัล (ยกเลิกได้ตลอดเวลา ไม่มีการปรับแต้มทั่วไป)


 


คำอธิบาย : ความรู้ของโฮสต์ต่ำเกินไป ระบบจึงเลือกหนังสือที่มีคุณภาพให้เพื่อเติมเต็มสมองที่ว่างเปล่าของท่าน!


 


สิ่งที่ต้องทำ : อ่านหนังสือในรายชื่อให้เสร็จ (0/30) นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจเนื้อหาในหนังสือโดยสมบูรณ์


 


รางวัล : 1000 แต้มประสบการณ์ของสาขาที่โฮสต์เลือก


 


ปลดล็อคสาขาเทคโนโลยี – ปัญญาประดิษฐ์ ระดับ 0


 


]


 


ลู่โจวมองภารกิจบนหน้าจอแล้วพูดไม่ออก


 


เขาไม่ได้เสียสติไปเพราะสิ่งที่ต้องทำในภารกิจ แต่เป็นคำอธิบาย


 


แกหมายความว่ายังไงสมองว่างเปล่า?


 


ฉันได้คะแนนเต็มในคณิตวิเคราะห์และพีชคณิตขั้นสูง!


 


ลู่โจวรู้สึกถึงความคิดร้ายๆจากระบบ แต่เขาก็ยังมีความสุขกับรางวัล


 


มันเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสาขาเทคโนโลยี


 


เขาไม่รู้ว่าทำไมระบบถึงแยกปัญญาประดิษฐ์ออกจากวิทยาการสารสนเทศให้เป็นสาขาเทคโนโลยีแยกออกมา


 


การเพิ่มระดับปัญญาประดิษฐ์นั้นไม่ยาก เขามีวิทยาการสารสนเทศระดับ 1 แล้ว เขาแค่ต้องทำภารกิจให้เสร็จแล้วใช้ 100 แต้มทั่วไปอัพเกรดสาขาเทคโนโลยี


 


ลู่โจวเปิดรายชื่อหนังสือที่ระบบมอบให้


 


[สมการเชิงอนุพันธ์สามัญ]


 


[ทฤษฏีฟังก์ชันของตัวแปรเชิงซ้อน]


 


[ฟิสิกส์ระดับมหาลัย]


 


[เคมีอนินทรีย์]


 


[เคมีอินทรีย์]


 


[ชีวะเคมี Lehninger]


 


[การออกแบบวิศวกรรมเครื่องกล]


 


[การออกแบบICเบื้องต้น]


 


[การสร้างและตีความโปรแกรมคอมพิวเตอร์]


 


[…]


 


จากคณิตศาสตร์ไปจนถึงวิทยาการสารสนเทศ ความรู้ของหนังสือเหล่านี้ครอบคลุมสาขาสายเทคโนโลยีเกือบทั้งหมด


 


“…”


 


ลู่โจวประเมิณเนื้อหาของหนังสือในรายการอย่างคร่าวๆแล้วพูดไม่ออกไปชั่วครู่


 


ในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับว่าสมองเขาว่างเปล่าจริงๆ


 


ฉันเดาว่าบนโลกนี้คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถือว่าฉลาดตามมาตรฐานของระบบ


 


จะว่าไปบนโลกจะมีใครเชี่ยวชาญทุกสาขาด้วยหรือ? แม้แต่หัวข้อนึงยังแบ่งออกเป็นสาขาจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อมกับทิศทางวิจัยนับไม่ถ้วน


 


บางทีระบบอาจเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับตัวมนุษย์?


 


ลู่โจวคิดว่ามันเป็นไปได้


 


…..


 


ลู่โจวออกจากพื้นที่ของระบบแล้วลุกจากเตียง จากนั้นก็หยิบเอาโน๊ตบุ๊คข้างๆขึ้นมา


 


เขาเปิดอีเมลล์แล้วเห็นว่าศาสตราจารย์หลิวได้ส่งโจทย์เข้ามาในกล่องขาเข้าแล้ว


 


พวกเขาวางแผนกันในระหว่างการฝึกครั้งล่าสุด ลู่โจวจะสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์แล้วเขาจะส่งมันให้หลินอวี่เซียงและหวังเสี่ยวตงเพื่อให้พวกเขาเขียนโปรแกรม จากนั้นพวกเขาก็จะส่งมันกลับมาให้ลู่โจวเพื่อให้เขาเขียนวิทยานิพนธ์ สุดท้ายลู่โจวก็จะส่งทั้งหมดให้ศาสตราจารย์หลิว


 


ศาสตราจารย์หลิวคำนึงว่าทุกคนต่างก็ไม่ค่อยมีเวลาและเขาก็มีโปรเจ็คของตนด้วย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจมอบโจทย์ข้อนึงให้ทุกวันจันทร์ ส่วนเวลาที่เหลือ พวกเขาอ่านหนังสือและฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยตนเอง


 


ลู่โจวรีบสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ให้เสร็จแล้วส่งข้อมูลให้ทั้งสอง จากนั้นเขาก็บิดขี้เกียจแล้วปิดโน๊ตบุ๊ค


 


แม้ว่าการสอบของมหาลัยจะจบแล้ว แต่ภารกิจของเขาพึ่งเริ่มต้น เขาไม่อยากเสียเวลาเปล่า ดังนั้นเขาจึงเตรียมไปห้องสมุด


 


เขาใส่เสื้อผ้าแล้วกำลังจะปีนลงจากเตียง แต่แล้วจู่ๆก็มีคนมาเคาะประตูห้อง


 


“หลิวรุ่ย ไปเปิดประตูที” หวงกวงหมิงกล่าว เขาสวมรองเท้าแตะและกำลังเล่นเกมอยู่


 


หลิวรุ่ยก็เล่นเกมอยู่เช่นกัน แต่เขากำลังเล่นตัวซัพพอร์ตที่ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงไม่โกรธกับคำขอของหวงกวงหมิงเลย เขาเปิดประตูแล้วรีบกลับมานั่ง


 


กลายเป็นว่าเป็นหัวหน้าห้องเถียนจวิ้นที่มาเคาะประตู เขาเดินเข้ามาแล้วยิ้ม “พวกนายเล่นเกมกันอยู่เหรอ”


 


สือช่างตอบ “แน่นอน! หัวหน้า สอบเสร็จแล้ว เราจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่?”


 


เถียนจวิ้นยิ้มแล้วกล่าวต่อ “มีประชุมห้องตอนบ่าย เราจะคุยเรื่องแผนวันหยุดกัน เอ้อ นายได้คิดเรื่องการสมัครการแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไหม? ถ้านายได้คะแนนสอบพีชคณิตขั้นสูงและคณิตวิเคราะห์เกิน 80 ทางมหาลัยจะจัดการฝึกภาคฤดูร้อนให้”


 


หวงกวงหมิงกับสือช่างตอบพร้อมกัน “เราไม่ไป!”


 


หลิวรุ่ยชะงักสักครู่แล้วถาม “นายลงสมัครเองไม่ได้เหรอ? มันต่างกับทางมหาลัยสมัครให้ยังไง?”


 


เถียนจวิ้นยิ้มแล้วตอบ “ถ้านายสมัครเอง นายต้องไปหาอาจารย์ผู้สอนเอง ทีมมหาลัยมีอาจารย์เฉพาะด้านมาจัดทีมให้ แต่มีคนมากมายมาสมัคร ดังนั้นมันอาจมีการคัดออกหลายรอบ มันต้องให้เหลือประมาณ 60 คนหรือให้เหลือประมาณ 20 ทีม”


 


แม้ว่าหลิวรุ่ยจะไม่พอใจกับการฝึกช่วงฤดูร้อน แต่เขารู้ว่าลู่โจวจะอยู่มหาลัยช่วงฤดูร้อน นี่จึงทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจะโดนแซง


 


หลิวรุ่ยเลิกลังเลแล้วกล่าว “สมัครให้ฉันเลย!”


 


“โอเค ฉันจะเขียนชื่อนาย” เถียนจวิ้นกล่าว เขายิ้มแล้วมองลู่โจว “ลู่โจว แล้วนายล่ะ? นายสมัครไหม?”


 


“ฉันสมัครแล้ว” ลู่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้มถ่อมตน


 


หวงกวงหมิงประหลาดใจ เขาหันหน้าไปถามลู่โจว “ว้าว โจว พีชคณิตขั้นสูงยากมาก นายได้ 80 คะแนนจริงๆ?”


 


ผลสอบออกมาตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว นอกจากลู่โจว ทุกคนในห้องพักต่างก็เทียบคะแนนกันแล้ว มันเป็นเหมือนเทอมที่แล้ว หลิวรุ่ยยังคงเป็นที่หนึ่ง หวงกวงหมิงได้ที่สองด้วยคะแนน 88 คะแนน ส่วนสือช่างดิ้นรนได้ 80 คะแนน


 


ที่พวกเขาไม่ได้ถามคะแนนลู่โจวไม่ใช่เพราะพวกเขากีดกันเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่อยากทำให้เขาโกรธ ดังนั้นพวกเขาจึงระมัดระวังไม่พูดถึงมัน


 


สุดท้ายแล้วทั้งสามก็จำได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าหมอนี่ออกห้องสอบตอนครึ่งชั่วโมงแรก


 


เขาจะเขียนอะไรได้ในครึ่งชั่วโมง?


 


แค่โจทย์ยาวๆสักข้อยังไม่รู้จะเขียนทันไหม


 


หลิวรุ่ยเห็นกับตาว่าลู่โจวทำข้อสอบเสร็จ แต่เขายังไม่อยากจะเชื่อ เขาเขียนคำตอบอย่างระมัดระวัง เขาอยากจะเชื่อว่าลู่โจวเดาข้อสอบส่วนใหญ่


 


ลู่โจวชะงักแล้วครุ่นคิดว่าเขาควรจะบอกหวงกวงหมิงดีไหมว่าเขาได้คะแนนสอบทั้งสองวิชาเท่าไหร่


 


มันเต็มทั้งสอง มันน่ากลัวเกินกว่าจะพูดได้


 


เรือแห่งมิตรภาพอาจจมได้


 


หัวห้องหน้าเข้าใจผิด เขาคิดว่าลู่โจวลังเลเพราะเขาสอบได้ไม่ดี เขาหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนแล้วกล่าว “มันไม่มีข้อกำหนดสำหรับการลงสมัครด้วยตนเอง ถ้านายได้ไม่ถึง 80 ก็ไม่เป็นไร เอาล่ะ มีแค่นี้แหละ หลิวรุ่ย นายแน่ใจไหม? ฉันจะได้เขียนชื่อนาย”


 


“ฉันแน่ใจ” หลิวรุ่ยพยักหน้า เขามั่นใจ


 


อันที่จริงเขามั่นใจเรื่องนี้นานแล้ว


 


ไม่ใช่แค่เขาอยากเข้าร่วมเท่านั้น แต่เขายังอยากชนะด้วย!


 


นี่คือความตั้งใจของเขา วันหยุดฤดูร้อนมีแค่สองเดือนเท่านั้น แม้แต่ลู่โจวก็สมัคร เขาจะยอมล้าหลังได้อย่างไร!


ตอนที่ 28 การประชุมครั้งสุดท้ายของปีหนึ่ง


 


 


ในช่วงบ่าย พวกเขามารวมกันที่ห้อง 403 ของตึก A การประชุมคลาสครั้งสุดท้ายของเอกคณิตศาสตร์ปีหนึ่งถูกจัดขึ้นตามกำหนด


 


กลุ่มนักศึกษาชายอัดแน่นอยู่ในห้องเรียน มีอาจารย์ผู้สอนตัวสูงผอมที่สวมแว่นตาเดินเข้ามา


 


อาจารย์ผู้สอนชื่อจางเหว่ย เขากำลังเรียนสาขาวิชาคณิตศาสตร์ของปริญญาเอก ปกติเขาจะยุ่งอยู่กับโปรเจ็ควิจัย ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยได้โผล่หน้าให้เห็นนัก


 


แม้ว่าเขาจะยุ่ง แต่เขาก็ยังสนใจกิจกรรมของคลาส เขาจะจัดประชุมเกือบทุกเดือนและพูดถึงเรื่องความปลอดภัย วินัยและเทคนิคการเรียน เขากระทั่งโม้ช่วงเวลาที่เขายังเรียนปริญญาตรีให้กับนักศึกษาฟัง


 


อาจารย์ผู้สอนจางค่อยๆเดินไปทางโพเดียมแล้วเอามือไขว้หลัง เขาพิจารณานักศึกษาที่อยู่ด้านล่างแล้วกระแอมก่อนจะกล่าว “หลังจากจบประชุมวันนี้ มหาลัยปีหนึ่งของพวกเธอก็จะจบลง ฉันขอเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยอีกครั้ง ครั้งก่อนมีเจ้าโง่ที่เสียบปลั๊กลวดต้มน้ำทิ้งไว้ในหอพักจนไฟไหม้ บางทีเขาอาจต้องมาสอบเข้ามหาลัยอีกครั้งในปีนี้ ใครจะรู้ว่าเราจะได้เห็นเขาหลังซัมเมอร์ไหม”


 


มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากห้องเรียน


 


อาจารย์ผู้สอนจางกระแอมเบาๆแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันแค่ล้อเล่นให้บรรยากาศครึกครื้นเฉยๆ สั้นๆคือเธอต้องระวังเรื่องความปลอดภัย! ฉันรู้ว่าจริงๆแล้วมีคนแอบเอาที่เป่าผมและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำความร้อนไว้ในหอพัก เธอเก่งที่แอบเอาเข้าไปได้ แต่ฉันหวังว่าทุกคนจะเช็คให้ดีว่าตัวเองไม่ได้เสียบปลั๊กทิ้งไว้…”


 


อาจารย์ผู้สอนจางพูดเกี่ยวกับปัญหาความปลอดภัยประมาณ 20 นาที เขาหยุดแล้วเริ่มพูดถึงข้อสรุปเทอมนี้ “พวกเธอทำข้อสอบได้ไม่เลว ฉันหวังว่าพวกเธอจะรักษามาตรฐานนี้ไว้ นอกจากนี้ผู้ช่วยเบอร์สาม เธอต้องพยายามเช่นกัน อย่าคิดว่าการเป็นส่วนหนึ่งของกรรมการชั้นเรียนจะเป็นแค่คนรวบรวมการบ้านและจัดประชุม เธอต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการเรียนด้วยเช่นกัน”


 


สมาชิกกรรมการชั้นเรียนที่ถูกเรียกก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วเอามือเกาหัวแกรกๆ


 


ตอนแรกที่มามหาลัย เขาถือว่าเป็นอัจฉริยะ อย่างไรก็ตามเขาติดเที่ยวเกินไป การเรียนของเขาจึงตกลง มันเป็นความจริงที่ว่าเทอมนี้เขาย่ำแย่มาก เขาได้คะแนนพีชคณิตขั้นสูงเพียง 65 คะแนนเท่านั้น แต่เขาก็พร้อมจะแก้ตัวอีกครั้ง


 


อาจารย์ผู้สอนจางกล่าวต่อ “นักศึกษาหลัวรุ่นตงทำได้ไม่เลว 95 คะแนน มีผิดแค่ข้อเดียวเท่านั้น แสดงความยินดีกับเขาด้วย! นอกจากนี้นักศึกษาหลิวรุ่ย 92 คะแนน ไม่เลวเช่นกัน! มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่ได้ 90 คะแนน คนอื่นต้องพยายามให้มากขึ้น!”


 


หวงกวงหมิงเอื้อมมือออกไปแล้วบีบไหล่หลิวรุ่ย เขากล่าวเสียงเบา “พี่หลิวเก่งเกินไปแล้ว!”


 


สือช่างเอื้อมมือออกมาบีบไหล่อีกข้างของหลิวรุ่ยเช่นกัน “เก่งเกินไปแล้ว! แบ่งความสุขให้เราบ้าง!”


 


“ไปไกลเลย มันร้อน!” หลิวรุ่ยกล่าว เขาปัดมือออกด้วยท่าทางรำคาญ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรู้สึกพึงพอใจ


 


เป็นไปตามคาด เขาประเมิณสูงเกินไป มีเพียงสองคนที่ได้คะแนนมากกว่า 90 และนั่นก็คือเขากับนักศึกษาคณิตศาสตร์อัจฉริยะที่ชื่อหลัวรุ่นตง


 


ส่วนลู่โจว…


 


เขายังตามหลังอยู่มาก!


 


นักศึกษาที่ไม่ได้เรื่องที่แสร้งไปห้องสมุด!


 


ทุกคนก็เริ่มถกเถียงกัน พวกเขาอิจฉานักศึกษาอัจฉริยะทั้งสองมาก


 


พีชคณิตขั้นสูงไม่ใช่แค่ยากธรรมดา แต่มันยากมาก!


 


ข้อสอบถูกเขียนโดยศาสตราจารย์ถัง แถมโจทย์ทั้งหมดยังแทบไม่มีทางแก้ โจทย์มันไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แต่มันมักโจมตีจุดบอดของฐานความรู้นักศึกษาเสมอ แค่ 80 คะแนนก็ว่ายากแล้ว ใครที่ทำได้ 90 คะแนนกล่าวได้ว่าเป็นพระเจ้า!


 


“นอกจากนี้ฉันอยากชื่นชมนักศึกษาลู่โจว เทอมนี้ลู่โจวพัฒนาขึ้นอย่างมาก 100 คะแนนทั้งคณิตวิเคราะห์และพีชคณิตขั้นสูง! เขาทำให้อาจารย์ตกใจ พวกเขาถึงกับตรวจข้อสอบเขาถึงสองรอบและมันก็ยังได้คะแนนเต็ม ไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว เขามีทัศนคติในการเรียนรู้ที่ถูกต้องเหมือนกับฉันในอดีต พวกเธอควรเอาอย่างเขา” อาจารย์ผู้สอนจางกล่าว เขาจ้องมองลู่โจวด้วยสีหน้าเห็นชอบแล้วพยักหน้าให้เขา


 


ผู้คนในห้องแข็งค้างทันที


 


ไม่มีใครตอบสนองกับคำชมเชยนี้


 


แววตาของหลัวรุ่นตงเบิกกว้าง เขามองไปข้างหลังอย่างไม่อยากจะเชื่อ รอยยิ้มพึงพอใจกับตัวเองของหลิวรุ่ยก็แข็งมาก แม้แต่คิ้วเขาก็กระตุก


 


ทั้งสองวิชา…


 


คะแนนเต็ม?


 


คะแนนเต็ม?


 


เหมือนกับมีคนจุดดอกไม้ไฟ ทั้งห้องก็ระเบิดความโกลาหลทันที


 


“เชี่ย! พี่ลู่สุดยอด!”


 


“เก่งเกินไปแล้ว!”


 


“คุณพระ โคตรเจ๋ง!”


 


“อ๊ะ ฉันคิดว่าเขาคืนข้อสอบเพราะเขาตอบไม่ได้ แต่เป็นเพราะเขาทำเสร็จแล้ว…”


 


หวงกวงหมิงกับสือช่างไม่ได้พูดอะไรสักคำแล้วเอื้อมแขนออกไป ลู่โจวรีบหลบแล้วเตือนพวกเขา “ฉันเตือนแล้ว อย่าแตะตัวฉัน ฉันไม่ใช่เกย์!”


 


หวงกวงหมิงยิ้มอย่างซุกซนแล้วเอื้อมมือออกมา “มาพี่ลู่ แบ่งความสุขให้เราบ้าง”


 


สือช่างกล่าวอย่างหยาบคาย “ใช่ พี่ชายภรรยา”


 


“ไสหัวไป!”


 


“…”


 


อาจารย์ผู้สอนจางมองดูห้องเรียนที่อยู่ในความโกลาหลโดยไม่ขัดจังหวะ เขาค่อยๆเดินไปหาลู่โจวแล้วกล่าวกับเขา “แน่นอน แม้ว่าเธอจะได้คะแนนเต็ม แต่เธอก็อย่ามั่นใจเกินไป พยายามต่อไป แล้วเธอเขียนบ้าอะไรในประวัติศาสตร์สมัยใหม่? เธอเกือบตก ถ้าเธอหางานหลังเรียนจบ ฉันแนะนำให้เธอหาเวลาเรียนหลักสูตรนี้แทน ถ้าเธออยากสอบเข้าปริญญาโท เธอไม่อาจตกวิชาการเมืองได้”


 


ลู่โจวกล่าวอย่างถ่อมตน “ผมเข้าใจ”


 


“ดีที่เธอเข้าใจ” อาจารย์จางกล่าว เขาพยักหน้า “เอ้อ ทำไมฉันไม่เห็นชื่อเธอในรายชื่อการแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์? ฉันรู้ว่าเธอทำวิจัยส่วนตัว แต่มันยังคุ้มค่าที่จะเข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศอันมีค่านี้ ฉันยังไม่ได้ส่งรายชื่อลงทะเบียน เธอคิดยังไงถ้าฉันจะใส่ชื่อเธอลงไป?”


 


“ผมสมัครแล้ว ศาสตราจารย์ถังช่วยผมสมัคร” ลู่โจวกล่าวด้วยน้ำเสียงมีอะไรแอบแฝง


 


“โอ้ ฉันเข้าใจแล้ว” อาจารย์จางกล่าว เป็นไปตามคาดว่าเขาเข้าใจ เขาพยักหน้าแล้วยิ้ม “งั้นเธอต้องพยายามให้หนัก”


 


“ขอบคุณครับ” ลู่โจวตอบด้วยรอยยิ้ม


 


ในที่สุดนักศึกษาที่เอะอะเสียงดังก็ใจเย็นลง ส่วนอาจารย์จางก็เดินกลับไปที่โพเดียม เขาเอามือไขว้หลังแล้วกระแอม การประชุมดำเนินต่อไป แต่ก็ไม่มีใครฟังจริงๆ


 


นี่มันน่าประหลาดใจเกินไป


 


ข้อสอบคณิตวิเคราะห์นั้นง่าย มันถูกเขียนโดยอาจารย์คนเก่า คลาสอื่นอาจมีนักศึกษาที่ได้คะแนนเต็มเช่นกัน แต่ข้อสอบพีชคณิตขั้นสูงนั้นถูกเขียนโดยศาสตราจารย์ถัง! ในภาควิชานี้มีนักศึกษาน้อยกว่าสามสิบคนเสียอีกที่ได้คะแนนเกิน 90 คะแนน! แกได้คะแนนเต็มได้ยังไงเนี่ย!


 


ไม่ต้องพูดถึง แกส่งข้อสอบเร็วมาก!


 


ส่วนเรื่องโกง มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดเรื่องนี้เลย ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้คุมสอบคือคณบดีหลู่ คะแนนต้องทำให้ทั้งภาควิชาตกใจ ทางมหาลัยต้องย้อนกลับไปดูเทปบันทึกย้อนหลังแน่นอน


 


กล้องวงจรปิดไม่มีจุดบอดเฝ้าระวัง ถ้าเขาโกงมันก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน ทุกคนจึงรู้ว่าลู่โจวทำข้อสอบนี้เองแน่นอน


 


อาจารย์ผู้สอนจางเห็นว่านักศึกษาไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดของเขา เขาจึงพูดเรื่องปัญหาความปลอดภัยตอนฤดูร้อนและปาร์ตี้ของเทอมหน้าเสียงเบาก่อนจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไป


 


การประชุมคลาสก็จบลงแล้ว และลู่โจวก็ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคน


 


“พี่ลู่! ฉันเป็นเพื่อนนายได้ไหม?”


 


“พี่ชายลู่ นายยังอยากได้เพื่อนร่วมทีมไปแข่งสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไหม? ฉันแต่งหญิงได้!”


 


“พี่ลู่! ฉันเคยช่วยนายตอนฝึกทหาร ปีหน้าฉันจะมาเกาะนาย!”


 


เชี่ย นายอย่าพูดเรื่องที่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดจะได้ไหม!


 


ในที่สุดลู่โจวก็แหวกฝูงชนและวิ่งลงบันไดได้สำเร็จ


 


อาจารย์จางยิ้มแล้วมองเหล่านักศึกษาที่กระตือรือร้น เขาคิด ‘คนหนุ่มสาวนี่ดีจริงๆ’ เขาหยิบกระเป๋าเอกสารแล้วเดินออกไป


 


หลิวรุ่ยวางกระเป๋าเงียบๆ เขาคิดสักครู่ก่อนจะเดินไปหาหัวหน้าคลาส


 


“หัวหน้า ฉันยกเลิกการสมัครลงการแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ได้ไหม?”


 


“ได้ ถ้าใบลงสมัครยังไม่ได้ถูกส่งนะ” เถียนจวิ้นกล่าว “ทำไมนายถึงยกเลิก? เราหวังพึ่งนายอยู่”


 


หลิวรุ่ยฝืนยิ้มแล้วไม่รู้จะพูดอะไร


 


ตอนแรกเขาเข้าร่วมการแข่งขันเพราะเขาไม่อยากแพ้คนอื่น


 


แต่ตอนนี้…


 


อีกฝ่ายกลายเป็นเทพในสายตาคนอื่นไปแล้ว


 


นับแต่นี้ไป เมื่อไหร่ที่มีคนถามถึงปีหนึ่ง หอพักห้อง201 จะไม่มีใครถามว่า ‘นักศึกษาอัจฉริยะที่ชื่อหลิวรุ่ยอยู่ห้องนายไหม?’ อีกต่อไป แต่มันจะเป็น’เชี่ย นายอยู่หอพักเดียวกับลู่โจว’แทน


 


ช่องว่างระหว่างเขากับลู่โจวนั้นใหญ่มากจนเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำหน้ายังไง


 


ฉันอยากเข้ารอบไปแข่งขันระดับประเทศในขณะที่เขาตั้งเป้าไว้ที่รางวัลที่หนึ่งแล้ว


 


หลิวรุ่ยถอนหายใจ


 


ความทะเยอทะยานของเขาพังทลายลงในพริบตา…


ตอนที่ 29 บางที นี่คือพรสวรรค์?


 


 


“โจว หลิวรุ่ย เราจะไปแล้ว พวกนายดูแลตัวเองด้วยล่ะ”


 


“เจอกันสองเดือนหน้า”


 


สือช่างกับหวงกวงหมิงถือกระเป๋าเดินทางและโบกมือลา พวกเขาจากไป มีเพียงหลิวรุ่ยกับลู่โจวเท่านั้นที่อยู่ในหอพักอันกว้างขวาง


 


วันหยุดฤดูร้อนเริ่มต้นขึ้น


 


ภายในหนึ่งสัปดาห์ มันก็กลายเป็นมหาลัยร้าง จนกว่าจะถึงสิ้นเดือนสิงหาผู้คนถึงจะเริ่มกลับมามหาลัย มีแต่ตอนนั้นเท่านั้นมหาลัยถึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่นักศึกษาจะกลับมาเท่านั้น แต่นักศึกษาใหม่ก็มาถึงด้วยเช่นกัน


 


ลู่โจวลงสมัครเรียนซัมเมอร์ เขาบอกลาหลิวรุ่ยแล้วออกจากหอพักพร้อมกับโน๊ตบุ๊ค ก่อนอื่นเขาไปยื่นใบสมัครที่ศูนย์หอพักก่อนจะตรงไปห้องสมุด


 


รูปแบบการเรียนของมหาลัยจินหลิงนั้นเข้มข้นมาก แม้ว่าจะมีนักศึกษาจำนวนมากกลับบ้าน แต่ห้องสมุดก็ยังเต็มไปด้วยนักศึกษาที่กำลังเรียนเพื่อสอบเข้าปริญญาโท กองหนังสือที่ถูกกองอยู่บนเก้าอี้ที่ว่างเปล่าก็เพื่อป้องกันไม่ให้ที่นั่งถูกแย่งไป


 


ลู่โจวอดคิดไม่ได้ว่าคนพวกนี้ทำอะไรอยู่ หนังสือเริ่มฝุ่นเกาะแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกลับมานั่ง


 


ลู่โจวเห็นว่าที่นั่งประจำเขาถูกหนังสือยึดไปแล้ว เขาจึงจะไปหาที่นั่งใหม่ แต่แล้วเขาก็เห็นเฉินยู่ซานนั่งอยู่ข้างๆเก้าอี้ตัวนั้น เธอรีบหยิบหนังสือเหล่านั้นออกแล้วโบกมือให้เขา


 


ลู่โจวตระหนักว่าเธอจองที่ไว้ให้เขา


 


เขารับข้อเสนอเธอแล้วเดินเข้าไป


 


ลู่โจววางโน๊ตบุ๊คลงบนโต๊ะ เขาไม่ได้นั่งลงทันที กลับกันเขาไปที่ชั้นหนังสือแทน


 


เขาจำเนื้อหาของหนังสือในรายชื่อได้ หลังจากลังเลเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็หยิบหนังสือ[พีชคณิตเชิงเส้น(ฉบับตีพิมพ์ในประเทศ)]


 


ระบบเน้นย้ำตำแหน่งของหนังสือโดยใช้ภาพโฮโลแกรมที่มีแต่เขาเท่านั้นที่เห็น น่าเสียดายที่ระบบไม่ได้บอกคะแนนคุณค่าของหนังสือ เขาแค่ใช้ดุลพินิจของตนเองเพื่อกำหนดลำดับการอ่าน


 


ลำดับการอ่านมีความสำคัญเพราะเนื้อหาความรู้ที่แตกต่างกันมันมีความสัมพันธ์กัน แม้แต่สาขาวิชาที่ต่างกันก็อาจมีอิทธิพลต่อกัน


 


ถ้าไม่อ่าน[เซมิคอนดัคเตอร์ฟิสิกส์]และ[การออกแบบวงจรพื้นฐาน] มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจหัวข้อ[ไมโครอิเล็กทรอนิกส์] ถ้าไม่มีพื้นฐานไมโครอิเล็กทรอนิกส์ การเรียน[การออกแบบวงจรรวม]นั้นก็เหมือนการพยายามเรียนรู้เวทมนตร์


 


การเรียนคณิตศาสตร์เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยอย่างไม่ต้องสงสัย


 


ปกติแล้วทักษะทางคณิตศาสตร์มักถูกนำไปประยุกต์ใช้ในสาขาวิทยาศาสตร์อื่นๆ แต่สาขาวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยมีผลต่อคณิตศาสตร์นัก โชคดีของลู่โจว คณิตศาสตร์เป็นจุดแข็งของเขา แม้ว่าเนื้อหาสาขาวิชาอื่นจะยังใหม่สำหรับลู่โจว แต่ด้วยพื้นฐานคณิตศาสตร์ มันคงไม่ยากนักถ้าเขาจะเรียนรู้


 


แต่ความรู้ทางคณิตศาสตร์ของเขายังมีช่องว่างอยู่ ดังนั้นความเข้าใจส่วนใหญ่ของเขาจึงตื้นเขินไป


 


ยกตัวอย่างเหตุผลที่เขาเขียนวิทยานิพนธ์ฉบับแรกได้เป็นเพราะความเข้าใจที่ลึกซึ้งของการวิเคราะห์เชิงฟังก์ชั่นค่าจริงและฟังก์ชั่นเชิงซ้อน เขาจะทำอะไรไม่ได้เลยในหัวข้ออื่นๆที่วิทยานิพนธ์ไม่ครอบคลุม


 


ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีใครว่างพอจนมาทดสอบเขาด้วยหนังสือเรียน ไม่งั้นเขาคงตอบไม่ได้แน่นอน


 


ถ้ามีคนพบว่าเขายังเรียนหนังสือการวิเคราะห์เชิงฟังก์ชั่นไม่จบ แต่ดันส่งวิทยานิพนธ์’ทฤษฏีอินเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวดำเนินการเชิงเส้นและฟังก์ชั่นเชิงเส้น’ เขาคงจะถูกหัวเราะเยาะ


 


ลู่โจวยืนอยู่หลังชั้นหนังสือแล้วหยิบเอาขวดยาสีขาวออกจากกระเป๋า ‘ถ้าฉันมีน้ำก็ดีสิ’ ลู่โจวคิด เขามองดูแก้วน้ำของเฉินยู่ซานบนโต๊ะ สุดท้ายเขาก็ล้มเลิกความคิดอาจหาญนั้นไป


 


ลู่โจวหยิบยาออกมา เขาหลับตาแล้วโยนแคปซูลเข้าปาก เขาฝืนกลืนยาลงไปด้วยน้ำลาย


 


เขารอสักครู่แล้วไม่ได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ทันใดนั้นเองความรู้สึกเสียวซ่าเล็กน้อยก็แผ่กระจายจากหลังหัว มันค่อยๆแล่นผ่านไปทางดวงตาจนหว่างคิ้ว


 


มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มันเหมือนกับมีมดที่มองไม่เห็นวิ่งอยู่ในหัวเขา


 


หุนยนต์นาโน?


 


หรือฮอร์โมนพิเศษ?


 


ลู่โจวไม่แน่ใจ เทคโนโลยีที่รับบมอบให้อยู่นอกเหนือขอบเขตความรู้ที่มีอยู่ ความรู้สึกเดียวที่เขารู้สึกก็คือสมองเขามีสมาธิและความคิดก็ละเอียดขึ้นมาก มันแทบเป็นเหมือนนิวตันหรือไอน์สไตน์


 


นอกจากนี้ความรู้สึกที่รุนแรงนี้เป็นเหมือนการเคี้ยวหมากฝรั่ง Stride gum มันหยุดไม่ได้


 


ลู่โจวตระหนักว่ามันเป็นผลของยา


 


โดยไม่ลังเล เขาหยิบหนังสือแล้วกลับไปนั่ง เขาพลิกหนังสือหน้าแรกอย่างระมัดระวัง


 


ผลของแคปซูลสมาธิแตกต่างจากประสบการณ์ห้วงภวังค์ของการอ่านจากภารกิจก่อนหน้านี้


 


ห้วงภวังค์ของการอ่านจากครั้งก่อนมันเหมือนกับว่าร่างกายเขาถูกกลืนเข้าไปในท้องปลาวาฬ


 


ส่วนความรู้สึกของแคปซูลสมาธิมันเหมือนกับมันไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมอง เขากำลังรับความรู้มา แต่เขาก็ทำความเข้าใจไปด้วย


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานมันก็หกโมงเย็นแล้ว ท้องฟ้าข้างนอกกลายเป็นสีส้มสวยงาม


 


เฉินยู่ซานบิดขี้เกียจแล้วมองลู่โจว เธอเห็นว่าเขายังอยู่ในตำแหน่งเดิมเมื่อชั่วโมงก่อนแล้วอดนับถือไม่ได้


 


พรสวรรค์อะไรแบบนี้!


 


ฉันเดาว่าอัจฉริยะเกิดขึ้นได้เพราะแบบนี้แหละ!


 


แต่เขานั่งอ่านแบบนี้เขาไม่ปวดคอบ้างเหรอ?


 


เฉินยู่ซานสะกิดแขนลู่โจวแล้วถามเสียงเบา “เฮ้รุ่นน้อง นายจะไปโรงอาหารไหม?”


 


ลู่โจวส่ายหน้าแล้วตอบ “คุณไปก่อนเลย ผมยังไม่หิว”


 


ห้าชั่วโมงผ่านไป ผลของยาเริ่มลดลงแล้ว แต่มันยังมีผลหลงเหลืออยู่บ้าง


 


เขาสงสัย ‘ผลของยาจะอยู่อีกนานแค่ไหน?’


 


“งั้นฉันขอตัวก่อน…” เฉินยู่ซานตอบ จู่ๆเธอก็นึกเรื่องบางอย่างได้ เธอถามเสียงเบา “เอ่อ นายยังจำเรื่องงานที่ฉันพูดถึงได้ไหม?”


 


ลู่โจวถาม “จำได้ ผมจะเริ่มเมื่อไหร่?”


 


เฉินยู่ซานแนะนำ “พรุ่งนี้วันเสาร์ เราไปพบกันตอนเช้าไหม? ฉันจะได้พานายไปพบกับป้าฉัน”


 


ลู่โจวคิดแล้วพยักหน้า “…”


 


ยังไงพรุ่งนี้เขาก็ว่าง แถมยายังทานซ้ำไม่ได้ใน 24 ชั่วโมง


 


200 หยวนต่อชั่วโมง ถ้าเขาแค่ทำงานไม่กี่ครั้ง เขาก็มีตังจ่ายค่าเทอมปีหน้าแล้ว


 


หลังจากทั้งสองตกลงพบกันที่นอกมหาลัยตอนเก้าโมง เฉินยู่ซานก็เก็บข้าวของแล้วออกจากโรงอาหาร


 


หลังจากเฉินยู่ซานจากไป ลู่โจวก็กลับมาสนใจหนังสือต่อ


 


เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าระดับสมาธิของเขาลดลงกลับมาเป็นปกติ


 


หัวข้อที่เขาทำความเข้าใจได้ในการอ่านครั้งเดียว ตอนนี้เขาจำเป็นต้องอ่านสองสามครั้ง


 


ส่วนที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือถ้าไม่มีผลของยา เขาจะใจลอยอยู่ตลอด มันมากกว่าปกติเสียอีก


 


ลู่โจวมองดูสมุดของตน เขาถอนหายใจแล้วหยิบโทรศัพท์มาดูเวลา


 


มันทุ่มครึ่งแล้ว


 


เขาหิวแล้ว


 


“ผลของยามีห้าชั่วโมง หลังจากนั้นประสิทธิภาพมันจะค่อยๆลดลงในเวลาหนึ่งชั่วโมงจนหมดประสิทธิภาพไป”


 


“ฉันเรียนไม่ได้เลยถ้าไม่มียา ไม่ดีแล้ว…”


 


ลู่โจวหยิบหนังสือแล้วไปหาบรรณารักษ์ เขาหยิบบัตรห้องสมุดออกมาเพื่อขอยืมหนังสือ จากนั้นเขาก็เก็บข้าวของแล้วออกจากห้องสมุด


 


เขาเดินไปโรงอาหารระหว่างทางกลับหอพักแล้วทานบะหมี่เป็นมื้อค่ำ


 


จากนั้นเขาก็กลับหอพัก นั่งลงแล้วอ่านหนังสือต่อ


 


เขาไม่สนใจว่าความเร็วการดูดซับความรู้ของเขามันช้าแค่ไหน เขาอ่านไปเรื่อยๆ


 


แม้ว่าภายใต้สถานการณ์ปกติความเร็วการเรียนของเขาจะช้ามาก แต่มันก็ไม่ได้ป้องกันไม่ให้เขาจำหัวข้อที่เขาได้เรียนรู้ไปแล้ว เขายังสามารถเพิ่มพูนความรู้ในปัจจุบันของตน


 


แน่นอนสิ่งสำคัญคือเขาต้องไม่พึ่งพาแคปซูลสมาธิมากเกินไป


 


เพราะยังไงเสียในขวดมันก็มีเพียง 40 แคปซูลเท่านั้น มันจะหมดในไม่ช้า แถมเขาจะได้รับอีกครั้งก็คงยาก ความเป็นไปไม่ได้มันต่ำ


 


ประมาณสามทุ่ม หลิวรุ่ยก็กลับมาจากการประชุมฝึกฝนการแข่งขันการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์


 


เขาเหลือบมองลู่โจวที่กำลังอ่านหนังสืออยู่แล้ววางกระเป๋าก่อนจะเดินเข้าไปหา


 


“โจว สอบเสร็จแล้ว แต่นายยังเรียนอยู่เหรอ?”


 


“ฉันว่าง ฉันไม่มีอะไรทำนัก” ลู่โจวตอบด้วยรอยยิ้ม


 


หลิวรุ่ยมองเนื้อหาในหนังสือที่ลู่โจวกำลังอ่านแล้วไม่ได้พูดอะไร


 


เขาพบว่าจิตใจเขาสงบมากขึ้นเมื่อเขายอมรับสถานการณ์นี้ได้


 


ถ้าพวกเขามีระดับใกล้เคียงกัน เขาก็ยังมีความหวังที่จะตามทัน อย่างไรก็ตามความแตกต่างระหว่าง 90 คะแนนกับคะแนนเต็มนั้นใหญ่เกินไป เขาไม่มีแรงจูงใจที่จะลองด้วยซ้ำ


 


พอคิดถึงเขาก็รู้สึกปวดใจ


 


หนึ่งเดือนก่อนสอบ เขาเริ่มเรียนตั้งแต่ตื่นยันหลับ ส่วนลู่โจวยังทำงานพาร์ทไทม์อยู่เลย แต่แล้วก่อนสอบเขาก็’ตื่นรู้’ เขาพยายามเล็กน้อยแล้วก้าวข้ามเขากับหลัวรุ่นตงได้อย่างงายดาย


 


หลิวรุ่ยไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของลู่โจว เขาจึงน่าทึ่งแบบนี้


 


สุดท้ายเขาก็อดถามเพื่อคลายความสับสนไม่ได้


 


“โจว นายมีเทคนิคยังไงในการเรียนคณิตศาสตร์? นายสอนฉันได้ไหม?”


 


หลิวรุ่ยหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อพูดแบบนี้


 


ก่อนหน้านี้ต่อให้เพื่อนมาขอยืมดูสมุดเขา เขาก็ไม่มีทางช่วยเหลือ


 


ลู่โจวชะงักแล้วคิดอย่างจริงจังเล็กน้อย


 


“ฉันไม่รู้เหมือนกัน…บางทีมันอาจเป็นพรสวรรค์?”


 


“…”


 


หลิวรุ่ยได้ยินคำพูดเขาแล้วแทบกระอักเลือด


 


เลิกปลอมได้แล้ว แม้ว่าฉันจะเป็นนักศึกษาที่ไม่ได้เรื่อง แต่นายก็ควรเคารพฉันสักหน่อย!


 


ลู่โจวมองหลิวรุ่ยจากด้านหลัง เขาแอบถอนหายใจ เขารู้ว่าเพื่อนเขาต้องโกรธแน่


 


แต่เขาจะทำอะไรได้?


 


เขาก็หมดหวังเหมือนกัน


 


ฉันบอกใครไม่ได้ว่าฉันมีระบบอยู่ในหัวใช่ไหมล่ะ?


ตอนที่ 30 มาเล่นหมากฮอสกัน นายเริ่มก่อน


 


 


ลู่โจวคลานลงจากเตียงตอนเช้าตรู่ เขาล้างหน้าในห้องน้ำแล้วออกไปกินอาหารเช้า


 


ขณะที่เขากำลังเดิน เขาก็เห็นหลินอวี่เซียงกับชายตัวสูงเดินเคียงคู่กัน


 


ทั้งสองเดินไปหัวเราะไปและเหมือนพวกเขาจะสนิทกันมาก พวกเขาใกล้ชิดกันจนแทบจะจับมือกันอยู่รอมร่อ


 


ชายคนนั้นกำลังลากกระเป๋าเดินทาง ดูเหมือนเขากำลังจะไปส่งเธอที่สถานีรถไฟ


 


ลู่โจวไม่อยากรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาจึงไม่ได้ไปทักทาย เขาแค่ถอนหายใจและไว้อาลัยหวังเสี่ยวตงหนึ่งวิ


 


เป็นไปตามคาด สัญชาตญาณเขาถูกต้อง


 


ลู่โจวเดินไปทางประตูหน้าอย่างช้าๆแล้วมองดูเวลาบนโทรศัพท์ มันเก้าโมงแล้ว


 


มีสาวสวยยืนอยู่หน้าต้นอู๋ถง เธอโบกมือให้เขาราวกับพยายามบอกเขาว่า’ทางนี้’


 


ลู่โจวเห็นเฉินยู่ซาน เขาก็ก้าวไปหาเธอ


 


รูปลักษณ์ของเฉินยู่ซานในวันนี้แตกต่างจากตอนที่อยู่ในห้องสมุดโดยสิ้นเชิงราวกับเป็นคนละคน


 


แว่นตาทรงกลมคู่หนาถูกแทนด้วยคอนแทคเลนส์ ผมปรกหน้าธรรมดาก็กลายเป็นหน้าม้า เธอสวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะสีขาว นิ้วเท้าขาวเนียนน่ารักของเธอเห็นได้อย่างชัดเจน


 


เฉินยู่ซานเห็นลู่โจวเดินมาแล้วกล่าว “ในที่สุดนายก็มา”


 


เห็นได้ชัดว่าเธอรอมาสักพักแล้ว


 


ลู่โจวตอบอย่างอายๆ “โอ้ ไม่ใช่ว่าเก้าโมงพอดีเหรอ?”


 


เฉินยู่ซานกลอกตามองบนแล้วกล่าว “โอ้ นายมาตรงเวลาเป๊ะ! ฉันเถียงไม่ได้เลย!” เธอส่ายโทรศัพท์แล้วกล่าว “จุดนัดพบอยู่ใกล้ๆ ฉันเรียกแท็กซี่แล้ว”


 


ลู่โจวสงสัยว่าถ้ามันอยู่ใกล้แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่เดินไป เขาลังเลเล็กน้อยแล้วตัดสินใจไม่ถามเธอ


 


หลังจากนั้นไม่นาน แท็กซี่ก็มาถึง ทั้งสองนั่งที่เบาะหลัง


 


ลู่โจวคิดถึง 200 หยวนต่อชั่วโมงและการขาดประสบการณ์ในการสอนของตน เขาอดเป็นกังวลไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจถามเฉินยู่ซานว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร “ลูกพี่ลูกน้องของคุณเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์? เกรดเท่าไหร่?”


 


เฉินยู่ซานตอบอย่างไม่แน่ใจ “ฉันคิดว่าวิทย์ แต่เกรดคณิต ฟิสิกส์ เคมีและชีวะของเธอย่ำแย่ทั้งหมด”


 


เท่าที่ฉันเห็นมันเหลือแต่วิชาภาษาจีนกับอังกฤษแล้วนะ


 


ลู่โจวอดถามไม่ได้ “งั้นทำไมเธอไม่เรียนสายศิลป์ล่ะ?”


 


เฉินยู่ซานชะงักเล็กน้อยเพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน


 


“ฉันจะรู้ได้ไง?”


 


ทั้งสองคุยกันเล็กน้อยและมาถึงที่หมายในที่สุด พวกเขาลงจากรถเข้าสู่ถนนที่วุ่นวายและเดินตรงไปยังร้านกาแฟ


 


การตกแต่งในร้านนั้นหรูหรามาก แถมเฟอร์นิเจอร์ยังดูมีรสนิยม มันยังเช้าอยู่ ดังนั้นที่นั่งส่วนใหญ่จึงว่าง


 


เฉินยู่ซานพาลู่โจวเข้ามาด้านในแล้วเดินตรงไปที่หลังร้าน


 


ผู้หญิงวัยสามสิบกว่าบุคลิคดูเป็นผู้ใหญ่นั่งอยู่ใกล้ชั้นหนังสือ ผมสีดำของเธอถูกมัดไว้ด้านหลังอย่างปราณีต เธอถือหนังสืออ่านอย่างสง่างาม การแต่งกายของเธอยังมีรสนิยมเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนมีระดับ


 


ลู่โจวรู้สึกถึงบรรยากาศที่แข็งแกร่งจากตัวเธอ เขาบอกได้เลยว่าเธอมีสถานะสูงส่ง ไม่ว่าจะเป็นวงการกฏหมาย ผู้จัดการบริษัท CEO…


 


นอกจากนี้อันที่จริงเธออ่อนกว่าวัยแน่นอน


 


เฉินยู่ซานทักทายเธออย่างอบอุ่นก่อนจะแนะนำตัวลู่โจว “คุณป้า นี่คือนักศึกษาลู่โจวที่หนูเล่าให้ฟัง เขาเป็นนักศึกษาสุดยอดอัจฉริยะ โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ เขาน่าทึ่งมาก! เขาสอนคณิตให้เมิ่งฉีได้แน่นอน”


 


ผู้หญิงคนนี้ยิ้มให้เฉินยู่ซานแล้วหันไปกล่าวกับลู่โจว “สวัสดี”


 


“สวัสดีครับ” ลู่โจวตอบอย่างกังวลใจ


 


“มานั่งลงเถอะ” ผู้หญิงคนนี้กล่าว เธอยิ้มบางๆแล้วถาม “เธออยากสั่งอะไรไหม?”


 


เฉินยู่ซานยิ้มแล้วกล่าว “หนูเอามอคค่าแก้วใหญ่”


 


ลู่โจวกล่าวอย่างอบอุ่น “ผมเอาแค่น้ำเปล่า”


 


ผู้หญิงคนนั้นยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ต้องเกรงใจ” เธอกดปุ่มเรียกพนักงานแล้วกล่าว “เอามอคค่ากับอเมริกาโน่”


 


ผู้หญิงคนนั้นวางเมนูลงแล้วมองลู่โจว เธอกล่าวต่อ “อเมริกาโน่ของที่นี่ไม่ขมเลย มันมีรสช็อคโกแลตเข้มมาก มันเหมาะกับคนหัดดื่ม ฉันแนะนำให้เธอลอง”


 


ดูเหมือนเธอจะเป็นหญิงแกร่งที่ชอบควบคุมทุกอย่าง


 


จินตนาการได้ยากเลยว่าแม่แบบนี้จะมีลูกที่มีผลการเรียนแย่…


 


ลู่โจววิเคราะห์อยู่ในใจ แต่สีหน้าเขายังคงความสุภาพเอาไว้ เขายิ้มแล้วกล่าว “งั้น…ผมขอรับไว้ด้วยความเคารพ”


 


ผู้หญิงคนนั้นยิ้มแล้วกล่าว “นักศึกษาจากมหาลัยจินหลิงสุภาพมาก เธอเรียนสายศิลป์?”


 


“คณิตครับ”


 


ผู้หญิงคนนั้นมองลู่โจวด้วยความประหลาดใจและไม่ได้พูดอะไร เธอจิบกาแฟก่อนจะหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋า เธอวางมันไว้บนโต๊ะแล้วดันให้ลู่โจวเบาๆ


 


“นี่นามบัตรของฉัน”


 


ลู่โจวประหลาดใจเมื่อดูนามบัตร


 


หยางตันยวิ๋น ประธานและผู้จัดการทั่วไปหย่าลี่แฟชั่นจำกัด หมายเลขติดต่อ : xxxx…


 


เขาไม่เคยได้ยินชื่อหย่าลี่แฟชั่นมาก่อน แต่แน่นอนว่าเขารู้จักตำแหน่งประธานและผู้จัดการทั่วไป


 


ว่าแต่คุณรับสองตำแหน่งในบริษัทได้ด้วยเหรอ? คุณไม่ยุ่งตายเลยรึไง?


 


“ผม…ผมไม่มีนามบัตร ขอโทษครับ”


 


“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ เธอแค่เพิ่มวีแชทฉันก็ได้” หยางตันยวิ๋นตอบ


 


ลู่โจวหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วใช้หมายเลขโทรศัพท์ในนามบัตรเพื่อเพิ่มวีแชท เขาพยายามจำชื่อเธอไว้ด้วยเช่นกัน


 


พนักงานถือถาดเดินมาแล้ววางถ้วยกาแฟทั้งสองบนโต๊ะ


 


“ซานซานคุยเรื่องค่าจ้างกับเธอแล้ว ดังนั้นฉันคิดว่าเธอน่าจะเข้าใจแล้ว” หยางตันยวิ๋นกล่าว เธอไขว่ห้างแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “200 หยวนต่อชั่วโมง ค่าเดินทางแยกต่างหาก ทุกวันเสาร์อาทิตย์ตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงหกโมงเย็น มีคำถามไหม?”


 


เพิ่มวีแชทแล้ว


 


ลู่โจวพยักหน้าและก็ส่ายหน้า “ไม่มีครับ”


 


หยางตันยวิ๋นพยักหน้าแล้วกล่าว “โอเค งั้นเธอเริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลย ที่อยู่อยู่หลังนามบัตร เธอจะมาเองก็ได้หรือมากับซานซานก็ได้”


 


แค่นี้? ตกลงกันเสร็จแล้ว?


 


ลู่โจวยังคงไม่อยากจะเชื่อ


 


สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เห็นนักเรียนด้วยซ้ำ เขาไม่จำเป็นต้องพบเธอและไม่ต้องดูเลยเหรอว่าเขาเหมาะสมไหม?


 


ราวกับว่าหยางตันยวิ๋นเห็นถึงข้อสงสัยของลู่โจว เธอจิบกาแฟแล้วกล่าว “เนื่องจากซานซานเป็นคนแนะนำเธอ ฉันเชื่อว่าเธอมีความสามารถ เธออยู่ในมหาลัยจินหลิง ดังนั้นเธอต้องมีความเข้าใจในการสอน ฉันไม่ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง ฉันชอบความเด็ดขาด ถ้าเธอทำได้ไม่ดี ฉันก็แค่หาคนมาแทน”


 


ลู่โจวอยากถามว่า’ทำได้ไม่ดี’หมายถึงอะไร


 


เขาคิดเล็กน้อยและตัดสินใจไม่ถาม เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ไม่ต้องห่วง ผมจะทำงานให้คุ้มค่าเงินแน่นอน”


 


ทักษะพื้นฐานที่สุดของพนักงานขายก็คือการทำให้ลูกค้าเชื่อใจคุณ ถ้าคุณอยากให้ลูกค้าไว้ใจ คุณก็อย่าถามคำถามโง่ๆและตั้งใจทำงานให้ดีก็พอ


 


ลู่โจวเรียนรู้สิ่งนี้ตอนที่เขาไปติดตั้งเร้าเตอร์


 


หยางตันยวิ๋นยิ้มอย่างสุภาพ เธอพยักหน้าแล้วกล่าว “ได้ยินเธอพูดแบบนี้ฉันก็วางใจ”


 


เธอดูนาฬิกาแล้วเอามือถือใส่กระเป๋า


 


หยางตันยวิ๋นกล่าว “มันเริ่มสายแล้ว ฉันยังมีประชุมอีก ฉันขอไปออฟฟิศก่อน” เธอกล่าวต่อ “เธอกับซานซานอยู่ทานมื้อเที่ยงที่นี่ก็ได้ ฉันบอกกับที่เคาน์เตอร์แล้ว ฉันจะจ่ายเงินให้ ฉันขอแนะนำพิซซ่า มันอร่อยมาก”


 


“ไว้พบกันใหม่ค่ะคุณป้า”


 


“คุณป้…ไว้พบกันครับคุณหยาง”


 


หยางตันยวิ๋นเดินจากไป เฉินยู่ซานหัวเราะเสียงดังและหยอกล้อลู่โจว “นายเกือบเรียกเธอว่าคุณป้า”


 


ลู่โจวยอมรับ “ใช่”


 


เฉินยู่ซานกล่าว “มันไม่เป็นไรถ้านายเรียกเธอว่าป้าเพราะเธออายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่ป้าฉันไม่ชอบให้คนเรียกเธอว่าป้า แค่เรียกเธอว่าคุณหยางก็พอ”


 


ลู่โจวเข้าใจ เขาพยักหน้า


 


โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงที่ให้ความสนใจกับรูปลักษณ์ของตนจะค่อนข้างอ่อนไหวเรื่องอายุ


 


จะดีที่สุดถ้าเขาหลีกเลี่ยงกับระเบิดนี้ ไม่งั้นงานรายได้ 200 หยวนต่อชั่วโมงต้องหายไปแน่


 


ลู่โจวถาม “เราจะทำอะไรกันต่อ? รอ…จนเที่ยงเพื่อกินมื้อเที่ยงกัน?”


 


เฉินยู่ซานหัวเราะแล้วกล่าว “นายจะกินระหว่างรอก็ได้ มีคนเลี้ยง ไม่ใช่สิ่งที่นายชอบหรอกเหรอ? แน่นอนนายไม่รอที่นี่ก็ได้ เราออกไปเดินดูข้างนอก แต่นายต้องจ่ายมื้อเที่ยง”


 


งั้นก็รอตรงนี้แหละ


 


แถวนี้ทุกอย่างแพงมาก ไม่มีอะไรที่เขาจ่ายไหว


 


ลู่โจวหยิบหนังสือจากชั้นวางหนังสือแล้วเริ่มอ่าน


 


เฉินยู่ซานจ้องมองเขาพักใหญ่ ส่วนลู่โจวก็ไม่ตอบสนองเลย ในที่สุดเธอก็อดถามไม่ได้ “นายทำอะไรเป็นนอกจากการอ่านหนังสือไหม?”


 


ลู่โจวถามอย่างไม่มีทางเลือก “งั้นเราควรทำยังไง?”


 


สองคนไม่พอต่อการเล่นบอร์ดเกม แถมโทรศัพท์ของพวกเขาก็แย่เกินกว่าจะเล่นวีดีโอเกม ดูเหมือนสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือการอ่านหนังสือ


 


เฉินยู่ซานมองไปรอบๆแล้วเห็นสองคนที่นั่งถัดจากพวกเขา แววตาเธอเปล่งประกาย “รอแปป เดี๋ยวฉันมา”


 


จากนั้นเธอก็ไปที่เคาน์เตอร์หน้า


 


ลู่โจวสงสัยว่าเธอจะทำอะไร หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็กลับมาพร้อมกับหมากฮอสชุดนึง


 


เธอวางมันไว้บนโต๊ะแล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น “เรามาเล่นหมากฮอสกันเถอะ นายเริ่มก่อน”


 


ลู่โจว “…”


ตอนที่ 31 ไม่ว่าผมจะกินเท่าไหร่น้ำหนักก็ไม่ขึ้น


 


 


เฉินยู่ซานกัดนิ้วโป้งแล้วขมวดคิ้ว เธอจ้องมองกระดานหมากฮอสแล้วเริ่มคิดหนัก


 


แพ้ชนะถูกตัดสินแล้ว…


 


ไม่มีโอกาสที่จะกู้เกมเลยสักนิด


 


เธอใช้เวลาคิดอยู่นานและยอมรับความพ่ายแพ้ในที่สุด เธอชักชวนด้วยน้ำเสียงไม่แน่นอน


 


“…อีกตา”


 


ลู่โจวถอนหายใจแล้วแหงนมองท้องฟ้า


 


“ผมยอมได้ไหม?”


 


“ไม่ได้!”


 


เฉินยู่ซานโกรธมากจนอยากกระทืบพื้น


 


เมื่อเธอถามคำถามคณิตศาสตร์ เธอจะถูกเหน็บแหนมเสมอว่า’นี่มันง่ายเกินไป’ ‘โจทย์แจกคะแนนอีกแล้ว’ ‘มันจะสายเกินไปที่คุณจะสอบเข้าปริญญาเอก’ เธออยากกู้หน้าคืนจากการเล่นหมากฮอส แต่ลู่โจวก็ไม่ยอมเธอเลย เขาชนะไปสิบเกมรวด เขากระทั่งให้เธอเริ่มก่อน


 


บางทีIQฉันอาจต่ำเกินไป?


 


เฉินยู่ซานถูกเรียกว่านักศึกษาอัจฉริยะในช่วงสามปีมานี้ แต่แล้วจู่ๆเธอก็รู้สึกกังขากับชีวิตของตน


 


เธอผลักกระดานหมากฮอสอย่างดื้อรั้นและยังอยากจะเล่นต่อ ลู่โจวอดถามไม่ได้


 


“ผมขอถามได้ไหม?”


 


เฉินยู่ซานตอบอย่างฉุนเฉียว “ว่า”


 


ลู่โจวถามอย่างจริงจัง “ทำไมคุณถึงคิดว่าตัวเองเก่งหมากฮอส?”


 


เฉินยู่ซานได้ยินแบบนั้นแล้วหน้าแดง เธอกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันไม่เคยแพ้พ่อแม่เลย…”


 


“เด็กแค่ไหน?”


 


เฉินยู่ซานพึมพำเสียงเบา “ฉันคิดว่ามันเป็นช่วงประถม”


 


คุณพระ!


 


เธอยังจำเรื่องสมัยประถมอยู่เหรอ?


 


เห็นได้ชัดว่าพ่อแม่ปล่อยให้ชนะ เธอไม่ได้เล่นกับคนอื่นเลยเหรอ?


 


ลู่โจวไม่รู้ว่าทำไม แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกเสียใจแทนเธอ


 


พวกเขาสั่งพิซซ่าสุพรีมทะเลเป็นมื้อเที่ยง คุณหยางพูดถูก พิซซ่าที่ร้านกาแฟนี้อร่อยมาก


 


แม้ว่ามันค่อนข้างแพง แต่ลู่โจวไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน เขากระทั่งเหลือที่ว่างในท้องเพื่อสั่งของหวานมากินเพิ่ม


 


เฉินยู่ซานทานแซนวิช ขณะที่เธอเฝ้าดูลู่โจวทานอย่างมีความสุข เธอก็อดบ่นไม่ได้ “นายกินมากไปแล้ว ถ้านายกินไม่ระวังนายจะอ้วนเอานะ”


 


ลู่โจวตอบ “ผมหวังว่าผมจะอ้วนนะ” ขณะที่เขากล่าวหน้าตาย เขาก็กำลังทานไอศกรีมแคลอรี่สูงและมูสช็อคโกแลตไปด้วย “ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ไม่ว่าผมจะกินมากแค่ไหน ผมก็ไม่อ้วน”


 


จู่ๆก็เกิดความเงียบขึ้น เฉินยู่ซานไม่พูดอะไรออกมา


 


เอิ่ม…


 


มันมีความเกลียดชังบางอย่างอยู่ในคำพูดหยอกล้อนี้หรือ?


 


เขาสัมผัสถึงความคับข้องใจ…


 


ลู่โจวอดตัวสั่นไม่ได้


 


…..


 


กว่าพวกเขาจะกลับมหาลัย มันก็บ่ายสองแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน


 


เฉินยู่ซานกลัวถูกแดดเผา เธอจึงไม่อยู่ข้างนอกนานนัก เธอกล่าวลาลู่โจวแล้วกลับหอพักของตน


 


ลู่โจวสังเกตว่ามันยังเร็วไป ดังนั้นเขาจึงกลับหอพัก เขาหยิบโน๊ตบุ๊คกับหนังสือที่เขายืมมาก่อนหน้านี้แล้วมุ่งไปยังตึกคณิต จากนั้นเขาก็หาที่ว่างในห้องเรียนนั่ง


 


มันอีกสี่ชั่วโมง กว่าเขาจะทานแคปซูลได้อีกครั้ง เขากินยาไปตอนหกโมงแล้วเรียนจนถึงห้าทุ่ม บางทีมันอาจเที่ยงคืนเลย ห้องสมุดปิดเวลานั้น ดังนั้นเขาจึงนั่งเรียนในห้องสมุดไม่ได้


 


เขาวางแผนกินยาทุกวัน แต่พรุ่งนี้เขายุ่ง เขาจึงไม่อยากเสียเวลาของวันนี้ไป เขาตัดสินใจลุยเต็มที่ทั้งวัน


 


เขาเปิดโน๊ตบุ๊ค เมื่อเขาตรวจสอบอีเมลล์ เขาก็เห็นว่าหวังเสี่ยวตงส่งโปรแกรมสมบูรณ์ให้เขาแล้ว


 


เขามองดูโปรแกรมแล้วดาวน์โหลดโค้ดมาเป็นแบ็คอัพ จากนั้นเขาก็เริ่มเขียนวิทยานิพนธ์ตามรูปแบบแบบจำลองทางคณิตศาสตร์


 


เขาใช้เวลาช่วงบ่ายในการทำวิทยานิพนธ์จนสำเร็จ จากนั้นเขาก็แนบโปรแกรมและวิทยานิพนธ์ลงในอีเมลล์แล้วส่งให้ศาสตราจารย์หลิว


 


‘ไปกินข้าวที่โรงอาหารก่อนแล้วค่อยกลับมาทำงานละกัน’ ลู่โจวคิด เขาเหยียดหลังแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาก็เดินออกห้องเรียน


 


มันเป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อน ดังนั้นโรงอาหารจึงแทบร้าง


 


ข้อดีคือเขาไม่ต้องไปต่อแถว ข้อเสียคือพนักงานในโรงอาหารก็หยุดเช่นกัน ดังนั้นจึงมีอาหารให้เลือกน้อยลง


 


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลต่อลู่โจว เพราะเขาทานบะหมี่เป็นมื้อค่ำเสมอ


 


ลู่โจวเห็นศาสตราจารย์ถัง เขาจึงเดินเข้าไปทักทาย เขาวางถ้วยบะหมี่ตรงข้ามศาสตราจารย์ถัง


 


ศาสตราจารย์ถังเห็นลู่โจว เขาจึงหัวเราะแล้วถาม “เตรียมการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ไปถึงไหนแล้ว?”


 


ลู่โจวหัวเราะเช่นกัน “พอได้ครับ ผมพึ่งส่งการบ้านให้ศาสตราจารย์หลิว”


 


“แล้วช่วงนี้เธอค้นคว้าเรื่องอะไร?”


 


ลู่โจวเห็นว่าศาสตราจารย์ถังไม่ได้ถามเรื่องการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ดังนั้นเขาจึงตอบ “ช่วงนี้ผมอ่านวิทยานิพนธ์ มันเป็นเรื่องของความก้าวหน้าในการวิจัย GIMPS…”


 


ศาสตราจารย์ถังประหลาดใจ เขายิ้มแล้วถาม “เป็นวิทยานิพนธ์จากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน?”


 


ลู่โจวพยักหน้าแล้วตอบ “ครับ ผมอ่านวิทยานิพนธ์ปี 1992 [การกระจายจำนวนเฉพาะแมร์แซน]และพบว่าเนื้อหามันน่าสนใจมาก เสียดายขั้นตอนกระบวนการในวิทยานิพนธ์มันสั้นเกินไป มันมีเพียงข้อสรุปเดียวเท่านั้น ดังนั้นผมจึงค้นคว้าต่อไป”


 


“โอ้ อาจารย์รู้จักวิทยานิพนธ์นั้น” ศาสตราจารย์ถังกล่าว เขารู้สึกคิดถึง “วิทยานิพนธ์ฉบับนั้นของท่านโจวเป็นส่วนช่วยเหลือสำคัญต่อวงการคณิตศาสตร์จีน”


 


น่าเสียดาย วิทยานิพนธ์นี้สั้นเกินไป มันมีความยาวเพียงสองหน้าเท่านั้น แม้ว่ามันจะเสนอสูตรที่ถูกต้องของจำนวนเฉพาะของแมร์แซน แต่มันก็ไม่มีกระบวนการพิสูจน์ สุดท้ายมันก็ได้แต่ตีพิมพ์เป็นในฐานะข้อคาดคะเน


 


ศาสตราจารย์ถังหยุดชั่วครู่ เขามองลู่โจวแล้วยิ้ม “จะว่าไป แล้วเรื่องเรียนฟังก์ชั่นเชิงเส้นล่ะ? ทำไมเธอถึงมาเรียนจำนวนเฉพาะของแมร์แซน?”


 


“คือ…สนใจล่ะมั้ง?”


 


ด้วยน้ำเสียงไม่แน่นอนแบบนี้ ลู่โจวยังไม่เชื่อคำพูดของตัวเองด้วยซ้ำ


 


ศาสตราจารย์ถังไม่เชื่อเขา เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเธอนั้นสูงมาก แต่เธอใจร้อนเกินไปหน่อย เธอจะไม่สำเร็จอะไรเลยถ้าเธอเปลี่ยนหัวข้อ เธอให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เกินไป เธอคิดว่าจำนวนเฉพาะของแมร์แซนแก้ได้ง่ายงั้นเหรอ? โปรเจ็คGIMPSที่เธอพูดถึงใช้เวลาถึงแปดปีเต็ม มันคำนวณไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจำนวนเฉพาะของแมร์แซนตัวที่ 44 จะเป็นจำนวนเฉพาะตัวที่ 44 จริงไหม เธอคิดว่าเงินรางวัลมันได้รับง่ายๆงั้นเหรอ?”


 


แม้ว่าพวกเขาจะพบจำนวนเฉพาะของแมร์แซนตัวที่ 44 ในปี 2006 แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่ามีตัวอื่นอีกไหมที่อยู่ในระหว่างตัวที่ 43 กับตัวที่ 44


 


นี่เป็นเพราะจำนวนมันมีมากเกินไป จำนวนตัวเลขที่ต้องคำนวณนั้นเกินกว่าจะจินตนาการได้


 


ตามเกณฑ์ให้รางวัลของโปรเจ็คGIMPS ถ้าใครอยากได้รางวัล คนๆนั้นต้องแก้ปัญหาจำนวนเฉพาะของแมร์แซน 100 ล้านตัวก่อน รางวัลมันไม่คุ้มกับงานที่ทำ เพราะยังไงรางวัลของจำนวน 100 ล้านตัวก็มีแค่แสนห้าหมื่นเหรียญเท่านั้น ค่าใช้จ่ายที่เสียไปไม่คุ้มกับเงินด้วยซ้ำ


 


มันเป็นเรื่องน่าตลกที่ผลกำไรของการขุดบิทคอยนั้นมากกว่าทำวิจัยทางคณิตศาสตร์


 


ศาสตราจารย์ถังรู้ว่าลู่โจวต้องการเงิน


 


ลู่โจวยิ้มเชิงขอโทษและไม่ได้ปฏิเสธ


 


มันเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะอธิบายให้ศาสตราจารย์ถัง


 


ฉันว่าปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไปเถอะ


 


ศาสตราจารย์ถังเห็นว่าลู่โจวไม่ตอบ เขาจึงถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “วิทยานิพนธ์ของเธอนั้นยอดเยี่ยม อาจารย์ได้คุยกับศาสตราจารย์ฟิสิกส์หลายคน และพวกเขาก็เห็นด้วยกับอาจารย์ว่า ถ้าเธอทำวิจัยในสาขานี้ต่อ เธอจะประสบความสำเร็จในสองปีแน่นอน แม้ว่าเธอจะเห็นแก่ผลประโยชน์ แต่เธอก็ควรมองผลประโยชน์ระยะยาว”


 


ลู่โจวถามเสียงเบา “ศาสตราจารย์ นี่หมายความว่าศาสตราจารย์ไม่แนะนำให้ผมวิจัยสาขานี้ต่อใช่ไหม?”


 


ศาสตราจารย์ถังส่ายหน้าแล้วกล่าว “อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ก็แค่อาจารย์ไม่ชอบสาขานี้ อย่างแรกเลยมันเป็นสาขาที่ไม่เป็นที่นิยม สองมันยากที่จะสำเร็จ สุดท้ายอาจารย์ไม่ได้วิจัยสาขานี้มากนัก ดังนั้นอาจารย์จึงช่วยเธอไม่ได้ ถ้าเธอสนใจอยากวิจัยจริงๆ อาจารย์ก็ไม่คัดค้าน แต่ถ้าเธอแค่อยากได้เงิน มันก็เสียเวลาเธอไปเท่านั้น อาจารย์พูดมามากแล้ว ลองไปคิดดูเอง!”


ตอนที่ 32 วิธีการใช้ระบบไฮเทคที่ถูกต้องคือการอ่านหนังสือจนดึก?


 


 


ลู่โจวซาบซึ้งกับคำพูดของศาสตราจารย์ถัง


 


ศาสตราจารย์ถังเป็นห่วงเขาจริงๆ!


 


อย่างไรก็ตามฉันไม่มีทางเลือก ระบบมอบพิมพ์เขียวให้ฉัน ถ้าไม่ใช้มันคงสูญเปล่า!


 


หลังจากทานมือค่ำเสร็จ ลู่โจวก็ไปห้องสมุด บรรณารักษ์เฝ้าดูเขายืมหนังสือเรขาคณิตวิเคราะห์ สมการเชิงอนุพันธ์สามัญ ฟังก์ชั่นค่าจริงเชิงซ้อน การวิเคราะห์เชิงฟังก์ชั่น เรขาคณิตเชิงอนุพันธ์และโทโพโลจี และหนังสือที่เกี่ยวข้องเล่มอื่นๆที่อยู่ในลิสต์หนังสือของระบบ


 


หนึ่งในสามในลิสต์หนังสือประกอบด้วยหนังสือคณิตศาสตร์


 


ถ้าเขาอ่านหนังสือเสร็จ เขาคงจบหลักสูตรคณิตศาสตร์ระดับปริญญาตรี


 


แต่…


 


ลู่โจวมองดูขวดยาแล้วคิด ‘แคปซูลสมาธิ 40 อันจะพอไหม?’ เขาไม่แน่ใจ


 


เขาส่ายหน้าแล้วตัดสินใจไม่คิดเรื่องนี้อีก เขาจะพยายามเต็มที่เพื่อให้ภารกิจสำเร็จ


 


ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นหลังยาหมด?


 


เขาค่อยมาคิดทีหลัง


 


ลู่โจวเปิดฝาขวดน้ำที่เตรียมไว้แล้วเอาแคปซูลเข้าปาก


 


เนื่องจากประสบการณ์ครั้งก่อน เขาจึงเข้าสู่สมาธิอย่างรวดเร็ว


 


…..


 


แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา


 


สายลมพัดผ่านผ่านม่าน เสียงจักจั่นขับร้องก็ดังทะลุหน้าต่างเข้ามา หัวของลู่โจวฟุบอยู่บนโต๊ะเรียน ขนตาเขาเริ่มขยับ เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมา


 


“อ่า…”


 


เขารู้สึกปวดทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงคอ


 


เขาใช้เวลาเรียนตลอดทั้งคืนจนถึงขั้นจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหลับไปเมื่อไหร่ เขาแค่จำได้ว่าเขาเหนื่อยมากและใช้โทรศัพท์ดูเวลา ที่เขาจำได้จากนั้นก็คือ หัวเขาจมอยู่กับหนังสือและเขาก็เผลอหลับคาหนังสือ


 


ห้องเรียนไม่ปิดไฟเพื่อให้นักศึกษาที่เตรียมสอบเข้าปริญญาโทปริญญาเอก ความปลอดภัยในช่วงฤดูร้อนจึงหละหลวม ดังนั้นจึงไม่มีใครปลุกเขา เขาจึงหลับตลอดทั้งคืน


 


กี่โมงแล้ว?


 


โทรศัพท์ของลู่โจวเหลือแบตเตอรี่ต่ำแล้ว เมื่อเขาเปิดโทรศัพท์ เขาก็ตะโกน


 


“มันสิบเอ็ดโมงแล้ว…ฉันยังต้องไปสอนตอนบ่าย”


 


เขานั่งลงสักพักแล้วสะบัดหัวไล่ความมึนงงออกแล้วไปเข้าห้องน้ำ


 


ลู่โจวเอาน้ำเย็นๆสาดหน้าแล้วรู้สึกดีขึ้นมาก เขาเดินกลับเข้าไปพักในห้องเรียนแล้วความทรงจำของเมื่อวานก็ค่อยๆกลับมา


 


ข้อสรุปจากครั้งล่าสุดของเขาคือ แม้ว่าจะผ่านไปห้าชั่วโมงแล้ว แต่ผลของยาก็ยังมีตกค้างอยู่บ้าง


 


เพื่อทดสอบระยะเวลาสูงสุดของแคปซูล ลู่โจวจึงเลือกที่จะลองในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ


 


ผลลัพธ์คาดไม่ถึงเลยทีเดียว


 


เขาพบว่าหลังจากกำจัดสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิไป แม้จะผ่านไปห้าชั่วโมงแล้ว สมองเขาก็ยังอยู่ใต้ผลของยา เมื่อไม่มีเสียงรบกวนและการขัดจังหวะ เขาสามารถรักษาสภาวะสมาธิไว้ได้


 


อย่างไรก็ตามการคงสภาวะสมาธิสูงจะทำให้สมองเขาได้รับความเสียหาย ตอนแรกมันเป็นอาการปวดหัวเบาๆ จากนั้นมันก็จะกระตุ้นกลไกป้องกันตัวเองแล้วเขาก็จะหมดสติไป


 


“ฉันคิดว่าผลห้าชั่วโมงนี้ไม่แน่นอน ถ้าฉันพยายาม ฉันสามารถเพิ่มระยะเวลาได้อีก 50% ถ้าฉันพยายามหนักๆแล้วผลักดันไปจนถึงขีดจำกัด สมองฉันก็จะเฉียบแหลมอย่างผิดปกติ ส่วนผลข้างเคียง มันไม่ต่างอะไรกับการโต้รุ่งทั้งคืน”


 


ลู่โจวพูดกับตัวเองแล้วอดหาวไม่ได้


 


“ดูเหมือนหลังจากทานยา ฉันต้องอ่านหนังสือจนดึกเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด”


 


ลู่โจวบิดคอที่ปวดๆ จากนั้นเขาก็หลับตาแล้วเข้าสู่มิติของระบบ เขาเปิดหน้าภารกิจขึ้นมา


 


[ความคืบหน้าของภารกิจ 2/30]


 


ดูเหมือนว่าหนังสือ’พีชคณิตเชิงเส้น’และ’เรขาคณิตเชิงวิเคราะห์’ทั้งสองเล่มนี้ระบบจะให้ผ่านแล้ว ขั้นต่อไปคือสมการเชิงอนุพันธ์สามัญ


 


ถ้าเขาดำเนินต่อด้วยความเร็วระดับนี้ การทำภารกิจ’ภารกิจรางวัล’ให้เสร็จด้วยแคปซูล 40 อันนี้จะไม่มีปัญหาแน่นอน


 


…..


 


ลู่โจวเก็บของใส่ในกระเป๋าแล้วเดินกลับหอพักก่อน เขาอาบน้ำสวมเสื้อผ้าสะอาดแล้วออกไปข้างนอกพร้อมกับเรียกแท็กซี่ จากนั้นเขาก็บอกให้คนขับไปตามที่อยู่บนนามบัตร


 


ช่วงฤดูร้อนในเมืองจินหลิงมันร้อนมาก


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่ต้องจ่ายค่าเดินทาง เขาจึงไม่อยากไปเหงื่อท่วมกับรถเมล์ ดังนั้นเขาจึงนั่งแท็กซี่


 


หลังจากนั้นไม่นาน แท็กซี่ก็มาจอดที่ชุมชนที่ชื่อว่า ‘จื่อจิงฮวาหยวน’ ลู่โจวลงจากรถแล้วเงยหน้าขึ้นลง เขารู้สึกกระวนกระวาย


 


ชุมชนนี้คู่ควรกับชื่อ’ฮวาหยวน(สวน)’ ต้นไม้แต่ละต้นถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม


 


บริเวณนี้ถือเป็นทำเลที่ดีที่อยู่ใกล้กับย่านธุรกิจ มันมีพื้นที่สีเขียวมากมายล้อมรอบ แถมมันยังเป็นสไตล์อพาร์ทเม้นท์แบบหรูหรา ค่าครองชีพที่นี่ต้องสูงอย่างที่จินตนาการไม่ได้ มีแต่คนที่ถูกเรียกว่าชนชั้นสูงเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ได้


 


ลืมเรื่องจำนวนเฉพาะของแมร์แซนร้อยล้านตัวแรกไปได้เลย ต่อให้คุณแก้ปัญหาข้อคาดคะเนของบีลและได้รับรางวัลหนึ่งล้านเหรียญ คุณก็ไม่มีปัญญาซื้ออพาร์ทเม้นท์ที่นี่


 


ลู่โจวมองยามและยามก็มองกลับมาทางเขา เห็นได้ชัดว่าลู่โจวไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นยามจึงไม่ปล่อยให้ลู่โจวเข้าไปข้างใน


 


ลู่โจวเริ่มใจร้อน ดังนั้นเขาจึงโทรหาคุณหยาง เธอโทรหายามแล้วบอกให้ยามปล่อยให้เขาเข้าไป


 


เขาเดินออกจากลิฟท์แล้วกดออด ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเหมือนวัตถุกระทบพื้นและเสียงกรีดร้องดังมาจากหลังประตู


 


“…แม่ไม่เคยสนใจฉันเลย เลิกแสร้งทำเป็นว่าแม่ทำทุกอย่างเพื่อฉันได้แล้ว”


 


ปัง!


 


ลู่โจวยังคงได้ยินเสียงอู้อี้ดังออกมา


 


ไม่นะ…


 


งานนี้ดูไม่ดีแล้ว


 


ลู่โจวลังเลอยู่ในใจ เขากำลังคิดว่าเขาควรไปไหม


 


ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากหลังประตูแล้วประตูก็ถูกเปิดออก


 


ลู่โจวประหลาดใจเมื่อเห็นคุณหยาง จากสีหน้าเย็นชาของเธอ เขาก็รู้เลยว่าเธอพึ่งทะเลาะกับลูกสาวมาอย่างใหญ่โต


 


คุณหยางกล่าวอย่างใจเย็น “ครูลู่ใช่ไหม รองเท้าแตะวางตรงนั้น เชิญเข้ามาเลย”


 


ลู่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ผมไม่ใช่ครู เรียกผมแค่ลู่โจวก็พอครับ”


 


“ครูสอนพิเศษก็ยังเป็นครู เชิญมาทางนี้”


 


ลู่โจวเดินผ่านประตูแล้วสังเกตเห็นเศษแก้วแตก มันดูเหมือนผลงานศิลปะ


 


มีประตูห้องนึงปิดอยู่ เขาคิดว่ามันต้องเป็นห้องลูกพี่ลูกน้องของเฉินยู่ซาน


 


คุณหยางไม่ได้ปล่อยให้เขาอยู่ในห้องนั่งเล่น กลับกันเธอพาเขาไปห้องหนังสือแทน เธอส่งสัญญาณให้เขานั่งลงแล้วยิ้มบางๆ


 


“ขอโทษที่ให้เธอมาเจอเรื่องแบบนี้”


 


มันน่าอึดอัดเล็กน้อย…


 


ลู่โจวยิ้มและไม่ได้ตอบอะไร


 


เขาแค่มาทำงาน เขาไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุระครอบครัวของพวกเขา


 


คุณหยางไม่ได้พูดอะไร เธอหยิบบุหรี่มากล่องนึง


 


“เธอสูบไหม?”


 


ลู่โจวปฏิเสธ “ผมไม่สูบครับ”


 


คุณหยางพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร เธอปิดกล่องบุหรี่แล้วมองนาฬิกาบนกำแพงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเพลียๆเล็กน้อย


 


“บ่ายโมงแล้ว ฉันเลิกงานตอนหกโมง ในช่วงเวลานี้เธอจะต้องดูแลหานเมิ่งฉี ฉันเอาหนังสือเรียน แบบฝึกหัดข้อสอบและเอกสารอื่นๆไว้ในห้องหนังสือ เธอแค่ต้องสอนคณิตศาสตร์ให้”


 


“สถานการณ์ของเธอตอนนี้โอเคไหม?” ลู่โจวถามอย่างลังเล


 


ถ้าเธออยู่ในห้อง เขาก็จะสอนเธอไม่ได้


 


“ไม่มีปัญหา” คุณหยางกล่าว เธอหยิบกุญแจออกมาแล้ววางไว้บนโต๊ะเบาๆโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “นี่เป็นกุญแจห้อง”


 


เชี่ย?


 


คุณ คุณเรียกตัวเองว่าเป็นแม่ได้เหรอ?


 


ปัญหานี้ร้ายแรงมาก!


 


“ผมคิด…”


 


“เธอคิดอะไร?”


 


“ไม่มีอะไรครับ…” ลู่โจวส่ายหน้า


 


เขาอยากพูดว่าถ้าทำแบบนี้จะทำให้ความตึงเครียดระหว่างพวกเขาเพิ่มขึ้น แต่เขาก็เป็นเพียงคนนอก มันไม่เหมาะที่เขาจะไปพูดเรื่องครอบครัวคนอื่น เพราะมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน


 


นอกจากนี้เขาเชื่อว่าคุณหยางคงไม่มองจากมุมมองของเขา


 


เพียงแต่…


 


เขาไม่รู้ว่าเธอหมดหวังหรือเธอแค่ไม่สนใจ


 


คุณหยางลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “งั้นฉันจะมอบกุญแจให้ มีสอบเดือนกรกฎาคมก่อนวันหยุด ถ้าเธอได้คะแนนมากกว่า 80 ฉันจะมอบโบนัสให้ ถ้าเธอทำได้ไม่ถึง 80 งั้นฉันจะคิดเรื่องเปลี่ยนครูสอนพิเศษ”


 


เธอไม่ได้รอให้ลู่โจวตอบด้วยซ้ำ เธอออกจากห้องหนังสือไปทันที


 


“ลืมบอกอีกเรื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกฉันหนีไป ฉันจะล็อคประตูจากข้างนอก เธอไม่มีปัญหาใช่ไหม?”


 


“…ไม่มีครับ” ลู่โจวกล่าวและส่ายหน้า


 


เธอกลับมาตอนหกโมง แถมเขาก็ไม่มีที่ไหนต้องไป


 


แต่…


 


แม้ว่าหลานสาวคุณจะเป็นคนแนะนำฉัน แต่มันจะไม่เป็นไรจริงเหรอที่ขังคนแปลกหน้าไว้ในบ้านกับลูกสาวของคุณ?


 


อย่างไรก็ตามคำพูดต่อจากนั้นก็ทำให้เขาหายสงสัย


 


นอกจากนี้มันยังมีกล้องวงจรปิดเป็นโหลอยู่ในอพาร์ทเม้นท์หลังนี้ มันไม่มีจุดบอทเลย ถ้าคุณคิดว่ามันรบกวนความเป็นส่วนตัวของคุณ โปรดบอกฉันด้วย


 


สีหน้าของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยหลังจากพูดเรื่องนี้ แต่ลู่โจวสัมผัสถึงคำเตือนจากเธอ


 


เป็นอย่างที่คาดไว้…


 


คุณคือแม่ที่แท้จริงของเธอหรือ?


 


“ผมไม่มีปัญหา”


 


อย่างไรก็ตามลู่โจวไม่ได้มีความคิดที่จะทำเรื่องน่ารังเกียจ เขาแค่มาทำงาน


 


ส่วนเรื่องกล้อง มันมีกล้องในห้องสมุดและห้องเรียนอยู่ทั่วเต็มไปหมด เขาชินแล้ว


 


อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยินว่าเธอติดตั้งกล้องวงจรปิดเป็นโหลในอพาร์ทเม้นท์ ลู่โจวก็เข้าใจเล็กน้อยว่าทำไมระหว่างลูกสาวกับแม่ถึงมีความตึงเครียดมากนัก


ตอนที่ 33 แมลงสาบที่ดื้อด้าน


 


 


หลังจากอธิบายทุกอย่างแล้ว คุณหยางก็ออกจากบ้านไป


 


ลู่โจวยืนอยู่หน้าห้องหานเมิ่งฉี เขามองกุญแจในมือแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เอากุญแจเก็บใส่กระเป๋าแล้วเคาะประตู


 


ก๊อก ก๊อก!


 


ลู่โจวได้ยินเสียงอู้อี้เบาๆ


 


ดูเหมือนประตูจะถูกกระแทกด้วยหมอน


 


“ออกไป ฉันขอเตือน ถ้าเข้ามา ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ”


 


ผู้หญิงคนนี้มีทัศนคติที่ไม่ดีเลย…


 


แต่เสียงของเธอค่อนข้างดีเลย


 


ลู่โจวยักไหล่ เขาไม่โกรธเลย เขากล่าวผ่านประตู “ผมไม่สน แถมผมยังถูกว่าจ้าง แต่นี่คือสิ่งที่เธอต้องการเหรอ? ผมจะได้พันหยวนในห้าชั่วโมงแบบฟรีๆ”


 


ใครที่ได้ยินพันหยวนต้องรู้สึกแย่ใช่ไหม?


 


ลู่โจวพยายามเปลี่ยนวิธีการ แต่เขาประเมิณทัศนคติของคนรวยต่ำไป


 


“โอ้” น้ำเสียงเย็นชาดังผ่านประตูออกมา หานเมิ่งฉีกล่าวอย่างไม่แยแสและเสียงดัง “ทำตามใจเลย ผู้หญิงคนนั้นมีเงินมากอยู่แล้ว ใครจะสนว่าเธอจ่ายเงินไปเท่าไหร่ นายอาจถูกเธอเลี้ยงเช่นกัน”


 


ผู้หญิงคนนี้…


 


ตัดสินจากน้ำเสียง ความเกลียดชังระหว่างแม่กับลูกสาวต้องลึกมากแน่


 


ลู่โจวหยุดอยู่นอกประตูชั่วครู่ เขาเห็นว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ได้จะมาเปิดประตูให้ เขาจึงไม่อยากเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เขาจึงไปห้องหนังสือแล้วนำพวกอุปกรณ์การเรียนทั้งหมดไปห้องนั่งเล่น


 


เขาไม่ได้แตะเนื้อหามัธยมมาเป็นปีแล้ว แต่เมื่อเขาเอามาดู เหมือนมันจะค่อนข้างง่ายเลย เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็อยู่ในหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในจีน เขาเอาชนะทหารหลายพันจนเข้ามาได้ นี่มันไม่ใช่อะไรเลยสำหรับเขา


 


เขานั่งบนโซฟาแล้วมองดูหนังสือเรียน จู่ๆเขาก็สังเกตเห็นแก้วแตกบนพื้นแล้วอดหน้างอไม่ได้


 


อาการย้ำคิดย้ำทำของเขากำเริบขึ้นมาอีกครั้ง


 


เขาถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน เขาเดินไปห้องน้ำเพื่อหาไม้กวาด เขาอยากทำความสะอาดเศษสกปรกก่อน


 


อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังวางไม้กวาด ก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากห้องที่ถูกล็อคไว้


 


“กรี๊ด!”


 


ลู่โจวช็อค เขาคิดว่ามันมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น เขารีบโยนไม้กวาดทิ้งก่อนจะรีบไปทางห้องนั้น


 


เขาใช้กุญแจไขประตูแล้วผลักประตูเข้าไป วัตถุปริศนาสีดำก็พุ่งมาทางเขา


 


แมลงสาบ?


 


ลู่โจวเหยียบมันจนตายโดยสัญชาตญาณ เขาเดินเข้าไปข้างในห้องต่อแล้วรีบถาม


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


ห้องมืดมาก เพราะผ้าม่านปิดไว้สนิท


 


มันจินตนาการได้ยากว่านี่เป็นห้องของผู้หญิง มันจินตนาการได้ยากยิ่งขึ้นด้วยว่านี่คือห้องในอพาร์ทเม้นท์หรู


 


เพราะความเละเทะของห้องนี้มันเทียบได้กับที่หอพักเขาเลยทีเดียว


 


หนังสือและของเล่นถูกกองรวมกันไว้ที่มุมห้อง ถุงอาหารขยะเรี่ยราดระเกะระกะบนพื้น เขาเห็นกระทั่งเศษมันฝรั่งทอด…ไม่แปลกใจเลยว่าแมลงสาบจะมาหาอาหาร มันถูกกลิ่นน้ำมันของอาหารขยะดึงดูดมา


 


มีร่างเล็กๆผมยาวนั่งอยู่มุมเตียง มือของเธอกำลังจับหมอนเอาไว้ เข่าของเธอกำลังสั่นเทา เธอสวมชุดนอนหลวมๆ ใบหน้าขาวเนียนของเธอดูแข็งๆ ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีฟ้า มันราวกับว่าเธอพึ่งเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ


 


“ตาย ตาย…”


 


“ตาย?”


 


“มันตายยัง?” หานเมิ่งฉีถาม เธอกัดริมฝีปากและมองใต้เตียงอย่างกล้าหาญ เธอกลัวไม่อยากเหยียบพื้น


 


ลู่โจวชะงักชั่วครู่แล้วมองดูแมลงสาบข้างเท้า


 


“เธอกำลังพูดถึง…แมลงสาบ?”


 


หานเมิ่งฉีพยักหน้าอย่างเป็นกังวล


 


“มันตายแล้ว มันอยู่ตรงนี้” ลู่โจวถอนหายใจแล้วใช้นิ้วชี้


 


เขาคิดว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น แต่มันเป็นแค่แมลง


 


ฉันเหยียบมันจนตายแล้ว


 


ทำไมเธอถึงกลัวขนาดนั้น?


 


เมื่อหานเมิ่งฉีได้ยินว่าศัตรูของเธอตายแล้ว ในที่สุดเธอก็ใจเย็นและร่างกายเกร็งๆก็คลายตัวลง


 


อย่างไรก็ตามแทบจะในพริบตา เธอก็จ้องมองลู่โจวราวกับเขาเป็นศัตรูเธอ เธอโบกไอโฟนแล้วเตือน “ใคร ใครให้นายเข้ามา! ออกไป หรือจะให้ฉันโทรหาตำรวจ! แล้วนายเปิดไฟทำไม เจ้าคนหยาบคาย!”


 


ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างเจาะเข้าไปในดวงตาของหานเมิ่งฉี เธอยกแขนขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง


 


ลู่โจวไม่ได้ตอบเธอ เขาไปห้องน้ำแล้วหยิบไม้กวาดมา


 


เขาทำความสะอาดทั่วห้องเธอ ยกเว้นใต้เตียงและมุมห้อง


 


หลังทำความสะอาดเสร็จ เขาก็ช็อค


 


เมื่อลู่โจวเห็นกองขยะที่เขาทำความสะอาด เขาก็ปัดฝุ่นออกจากหน้าแล้วอดวิจารณ์ไม่ได้ “ทำไมถึงมีอาหารขยะในห้องมากขนาดนี้? แมลงพวกนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอเหรอ?”


 


ผู้หญิงบนเตียงหน้าแดง เธอตอบด้วยความโกรธ “ทำธุระของนายเถอะ!”


 


ลู่โจวมองเธอและกล่องอาหารขยะก่อนจะถามว่า “เธอกินนี่เป็นมื้อเที่ยง?”


 


“…”


 


หญิงสาวเงียบและไม่ได้พูดอะไร


 


ลู่โจวไม่ได้พูดอะไร เขาลากถุงขยะไปข้างนอก เขาเดินออกไปและปิดประตูห้อง


 


หานเมิ่งฉีเห็นประตูถูกปิดแล้วประหลาดใจ เธอหยุดจับหมอน เธอแปลกใจที่ครูสอนพิเศษที่แม่เธอจ้างมา’ยอมประนีประนอม’แล้ว เธอวางแผนระยะยาวพร้อมเสร็จสรรพ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนการเตรียมพร้อมของเธอนั้นไม่จำเป็น…


 


ลู่โจวกลับห้องนั่งเล่นแล้วเริ่มอ่านหนังสือคณิตศาสตร์ระดับมัธยม เขาวางหนังสือไว้ทั่วโต๊ะกาแฟ


 


มันไม่ใช่แค่หนังสือเท่านั้น มันมีสื่อการเรียนอย่างอื่นด้วยเช่นกัน คุณหยางยังทิ้งข้อสอบของเดือนก่อนไว้ด้วย มันเป็นเรื่องจริงที่เกรดวิชาคณิตศาสตร์ของลูกสาวเธอค่อนข้างแย่


 


จาก 150 คะแนนเธอได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ มากสุดเธอได้ 80 คะแนน


 


ด้วยเกรดแบบนี้ มันจะเป็นปัญหากับการเข้ามหาลัยแน่


 


อย่างไรก็ตามเกรดภาษาจีนของเธอไม่เลวเลย ลู่โจวอ่านเรียงความของเธอแล้วประหลาดใจที่เห็นว่ามันถูกเขียนเป็นวรรณกรรม ภาษาอังกฤษของเธอก็ไม่เลวเช่นกัน เธอได้ 120 คะแนนขึ้นไปเสมอ ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์ บางอันก็ดี บางอันก็แย่ ดังนั้นมันจึงตัดสินได้ยาก


 


“ทำไมเธอถึงอยากเรียนสายวิทย์…ทำไมเธอไม่เรียนสายศิลป์?”


 


ลู่โจวส่ายหน้าแล้วหยิบปากกาจากโต๊ะ เขาเริ่มเขียนบนกระดาษ A4 เปล่า


 


คณิตศาสตร์มัธยมนั้นไม่ยาก มันไม่ได้ทดสอบความสามารถในการนำความรู้ไปใช้ มันแค่ตัดสินความสามารถในการจดจำความรู้


 


หัวข้อที่จำเป็นก็มีเซ็ตกับฟังก์ชั่นพื้นฐาน มันจะใช้เวลาสอนประมาณ 40 ชั่วโมง การบรรยายคาบพีชคณิตขั้นสูงของมหาลัยคาบนึงก็มีข้อมูลมากกว่าแล้ว


 


นี่เป็นเหตุผลเช่นกันว่าทำไมนักศึกษาหลายคนที่ได้เกรดช่วงมัธยมสูงเยี่ยมถึงได้กระเสือกกระสนเมื่อเข้ามหาลัย มันเป็นเพราะการบรรยายของมหาลัยไม่ได้สอนด้วยความเร็วเท่ารถไฟ พวกเขาสอนด้วยความเร็วของจรวด


 


พื้นฐานคณิตศาสตร์ของหานเมิ่งฉีนั้นย่ำแย่ แต่ลู่โจวยังเห็นโอกาสรอด


 


สุดท้ายแล้วการสอบก็ไม่ใช่การแข่งขัน มันเป็นเพียงการทดสอบพื้นฐานเท่านั้น


 


เมื่อเธอเรียนรู้พื้นฐาน เธออาจไม่ได้ 140 คะแนน แต่ 120 คะแนนมันเป็นไปได้


 


หนังสือเรียนสี่เล่มมันดูน่ากลัว แต่หัวข้อข้างในนั้นเหมือนกัน…อย่างน้อยมันเหมือนกันในสายตาลู่โจวที่อ่านหนังสือ[เรขาคณิตวิเคราะห์]ทั้งเล่มจบในหนึ่งคืน…


 


ก่อนอื่นเขาต้องร่างโครงและสรุปหัวข้อทั้งหมดในหนังสือ จากนั้นเขาก็ต้องอ้างอิงจากข้อสอบครั้งก่อนของหานเมิ่งฉีแล้วชี้ให้เห็นจุดที่เธอพลาด…อันที่จริงเธอควรทำเรื่องนี้ด้วยตนเอง


 


อย่างไรก็ตามมันไม่สำคัญว่า’ลูกค้า’เขาจะมีทัศนคติแย่แค่ไหน ลู่โจวรู้สึกว่าเนื่องจากเขารับงานมาแล้ว เขาก็ควรพยายามให้ดีที่สุด


 


อย่างน้อยก็ต้องทำให้คุ้มค่าเงิน 200 หยวนต่อชั่วโมง แม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับตลาดครูสอนพิเศษ แต่เขาก็ยังรู้ว่าค่าจ้างนี้สูงจนผิดปกติ


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไป


 


มันก็เกือบห้าโมงครึ่งแล้ว ลู่โจวบิดขี้เกียจแล้วขยับไล่แก้เมื่อย


 


เขามองดูกระดาษ A4 ที่เป็นระเบียบซึ่งเต็มไปด้วยงานเขียนของเขาแล้วอดยิ้มไม่ได้


 


แม้ว่าตอนแรกมันจะลำบากเล็กน้อย แต่มันก็ค่อนข้างคุ้มค่าเมื่อกลับมาดูสิ่งที่เขาทำเสร็จ


 


เกือบหกโมง


 


เขาสามารถแสดงกระดาษเหล่านี้เพื่อรายงานผลการทำงานของเขา


 


มีเสียงดังเล็กน้อยดังมาจากประตูใกล้ๆ มีร่างเล็ก ๆเดินออกมา


 


ลู่โจวมองแล้วเห็นว่าชุดนอนของเธอถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่ผมของเธอยังคงยุ่งอยู่


 


มันอาจเป็นภาพลวงตา แต่เขารู้สึกเหมือนเธอตัวเล็กลงเมื่อเทียบกับตอนที่เธอขดอยู่บนเตียง


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายไม้กระดานของเธอ มันไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งเลย เธอตรงข้ามกับลูกพี่ลูกน้องของเธอโดยสิ้นเชิง


 


“นาย…กำลังดูอะไร? ฉันจะโทรเรียกตำรวจ!”


 


ลู่โจวถอนหายใจ “เลิกขู่ผมด้วยตำรวจได้แล้ว ผมไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ และคุณก็ต้องมีเหตุผลเพื่อโทรเรียกตำรวจ ก่อกวนเจ้าหน้าที่ก็ผิดกฏหมายเช่นกัน ดังนั้นควรคิดให้ดีก่อน”


 


“…”


 


หานเมิ่งฉีอึ้งกับความสงบของลู่โจว เธอไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำ


 


ลู่โจวเห็นประตูห้องน้ำปิดแล้วตระหนักว่าเธอต้องฉี่แตกแน่เลย


 


ฉันก็สงสัยอยู่ว่าเธอออกมาทำไม


 


หลังจากนั้นไม่นานร่างเล็กๆก็ออกมาจากห้องอาบน้ำ หานเมิ่งฉีล้างหน้าแล้วเดินออกมาด้วยใบหน้าตึงเครียด


 


เธอเดินผ่านห้องนั่งเล่น เมื่อเธอเห็นสิ่งของบนโต๊ะกาแฟ เธอก็ขมวดคิ้วแล้วถาม “นี่คืออะไร?”


 


“เธอจำหนังสือเรียนตัวเองไม่ได้เหรอ? ครั้งสุดท้ายที่เธอเรียนนั่นมันเมื่อไหร่?”


 


หานเมิ่งฉีมองดูกระดาษ A4 แล้วกล่าว “ไม่ใช่เรื่องของนาย” เธอหันหลังและเดินไปห้องครัว “ฉันหิว นายอยากกินอะไรก็กิน”


 


“แม่เธอใกล้กลับมาแล้ว เธอไม่รอแม่หน่อยเหรอ?” ลู่โจวถาม เขาเอนตัวพิงโซฟาแล้วยกขาขึ้น เขามองหานเมิ่งฉีแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ผมคิดว่าครอบครัวทานข้าวร่วมกันจะดีกว่านะ”


 


หานเมิ่งฉีหันหน้ามาแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา


 


เสียงหัวเราะนั้นไม่เหมือนกับเสียงหัวเราะของเด็กอายุ 16-17


 


“รอเธอ? เธอไม่ได้ส่งข้อความมาหานายรึไง?”


ตอนที่ 34 ไม่เห็นค่าเงิน


 


 


หลิวรุ่ยช็อคเล็กน้อย เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเห็นว่าคุณหยางส่งข้อความมาให้เขาจริงๆ


 


[ครูลู่ ขอโทษด้วย ฉันมีประชุมที่สำนักงาน ฉันยังกลับไปไม่ได้ ฉันอาจกลับช่วงสี่ทุ่มเลย ฉันจะจ่ายค่าจ้างรายชั่วโมงให้สองเท่าเป็นการชดเชย หวังว่าเธอจะให้อภัยฉัน]


 


ค่าจ้างสองเท่า…


 


นั่นก็หมายความว่า 400 หยวนต่อชั่วโมงใช่มั้ย?


 


ลู่โจวสูดหายใจลึกๆขณะคิด ‘คุณนาย ไม่ต้องเกรงใจ คืนนี้คุณไม่ต้องกลับมาก็ได้!’


 


เขารู้ว่ามันไม่เกิดขึ้นแน่นอน


 


หานเมิ่งฉีโผล่หัวออกจากห้องครัว เธอมองลู่โจวแล้วถาม “นายจะกินไก่ปรุงรสหรือเนื้อวัวปรุงรส? ในตู้เย็นมีแต่แซนวิชเท่านั้น ผู้หญิงคนนั้นล็อคประตูไว้ เราจึงสั่งอาหารไม่ได้”


 


ลู่โจวมองแซนวิชแช่แข็งในมือเธอแล้วอดถามไม่ได้ “เธอกินนี่เป็นมื้อค่ำ?”


 


“มีปัญหาเหรอ?” หานเมิ่งฉีถาม เธอไม่ได้สนใจเลย


 


มันมีปัญหาแน่นอน!


 


ลู่โจวถอนหายใจ เขาลุกขึ้นยืนจากโซฟาแล้วเดินไปห้องครัว


 


หานเมิ่งฉีถามด้วยความสงสัย “นายทำอะไร?” เธอก้าวถอยหลัง


 


“ผมจะทำอาหาร”


 


“นายทำเป็น?” หานเมิ่งฉีถาม เธอจ้องมองลู่โจวด้วยสายตาเบิกกว้างราวกับว่าเธอไม่เชื่อเขา


 


ลู่โจวล้างหม้อ เขายิ้มแล้วกล่าว “ใช่ เธอคิดว่าผมเหมือนเธองั้นเหรอ?”


 


หานเมิ่งฉีเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจแล้วถาม “พูดงี้หมายความว่าไง?”


 


“ไม่มีอะไร ถ้าเธอไม่มีอะไรทำ เธอก็ไปอ่านสิ่งที่ผมเขียน มันอยู่ในห้องนั่งเล่น มันจะช่วยเธอ” ลู่โจวกล่าวขณะล้างหม้อ เขาไม่ได้หันหน้าไปด้วยซ้ำ


 


ครอบครัวนี้ไม่ได้ทำอาหารนานจนฝุ่นเกาะกะทะ ลู่โจวล้างมันหลายครั้งเพื่อให้มันสะอาดเอี่ยม


 


นอกจากแซนวิช ตู้เย็นมีอาหารสดอยู่บ้างเช่นกันอย่างน่าแปลกใจ หานเมิ่งฉีบอกว่า นี่เป็นของที่’ผู้หญิงคนนั้น’ใช้ทำสลัด


 


“ผมจะผัดกะหล่ำปลีแล้วทอดอกไก่ใส่พริก สองจานน่าจะพอ ผมจะหุงข้าวสักสองถ้วย ถ้ามันเยอะไป ผมก็จะกินเยอะเอา”


 


ลู่โจวล้างมือแล้วเอาเขียงมาวาง เขาใช้มีดหั่นวัตถุดิบอย่างชำนาญ อกไก่ยุ่งยากเล็กน้อยเพราะเขาต้องเอาไปต้มในน้ำก่อน อุณหภูมิก็ไม่อาจสูงเกินไป ไม่งั้นเนื้อจะแข็งจนทำให้เคี้ยวยาก


 


อย่างไรก็ตามสำหรับลู่โจว นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย


 


ในช่วงเวลาที่แม่เขาป่วย เขามักจะทำอาหารให้ครอบครัวแทบทุกวัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าครัวมาสองปี แต่ฝีมือเขาก็ยังไม่ตก


 


หานเมิ่งฉีนั่งบนโซฟาห้องนั่งเล่นแล้วฟังเสียงหั่นที่ดังจากห้องครัว เธออ่านสิ่งที่ลู่โจวเขียนแล้วรู้สึกรำคาญมากจนตั้งสมาธิไม่ได้


 


หลังจากนั้นสักครู่ ประตูห้องครัวก็ถูกเปิด กลิ่นหอมของอาหารแผ่ซ่านเข้ามาสู่ปลายจมูกเธอ


 


จมูกของหานเมิ่งฉีขยับเล็กน้อย น้ำลายแตกซ่าน ท้องก็เริ่มร้อง


 


ลู่โจวเรียกเธอ


 


“ถ้าหิวก็มากิน ตักข้าวเอง”


 


หานเมิ่งฉีอยากพูดอะไรบางอย่างเพื่อถากถาง เธอมองไปที่หนังสือที่มีการแก้ไขบนโต๊ะกาแฟแล้วมองดูอาหารบนโต๊ะ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจไม่พูดคำพูดที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้น กลับกันเธอพึมพำคำว่า’โอเค’แล้วเดินเข้าห้องน้ำแทน


 


คนทั่วไปย่อมรู้ความแตกต่างระหว่างความตั้งใจดีกับความตั้งใจไม่ดี


 


หานเมิ่งฉีล้างมือแล้วตักข้าวมาครึ่งชาม เธอนั่งอยู่ตรงข้ามลู่โจว


 


เธอดูจานอาหารอย่างลังเล เธอใช้ตะเกียบคีบกะหล่ำปลีแล้วจู่ๆก็มองลู่โจวด้วยสายตาระแคงใจ “นายไม่ได้ใส่อะไรแปลกๆลงไปใช่ไหม?”


 


ลู่โจวได้ยินเธอแล้วเกือบสำลักข้าว เขาเงยหน้าถลึงตามองเด็กน้อยตรงหน้าด้วยความโกรธก่อนจะกล่าว “เธอบ้าไปแล้ว? ผมก็กำลังกินอยู่เหมือนกัน”


 


หานเมิ่งฉีหน้าแดง เธอตระหนักว่าคำถามของเธอโง่แค่ไหน เธอไม่อยากยอมรับความโง่ของตนเอง เธอจึงกล่าวอย่างดื้อรั้น “ไม่ใช่ว่านายกินยาต้านพิษไว้ก่อนแล้ว นายเลยไม่โดนพิษหรอกเหรอ…”


 


ลู่โจวกล่าวอย่างหยาบคาย “เธอต้องดูทีวีมากไปจนโง่แน่ ถ้าไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน ไปกินแซนวิชของเธอนู่น”


 


หานเมิ่งฉีแลบลิ้นแล้วกินต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไร


 


ขณะกิน ทั้งสองไม่ได้คุยกันสักคำ


 


พวกเขาทานกันช้า ลู่โจวทานข้าวเสร็จและกำลังลุกขึ้นยืน แต่จู่ๆเขาก็เห็นหานเมิ่งฉีเดินเข้าไปตักข้าวในห้องครัว เขารู้สึกประหลาดใจ


 


นี่ไม่ใช่ถ้วยที่สามแล้วเหรอ?


 


ทำไมสาวน้อยคนนี้ถึงกินเยอะขนาดนี้ล่ะ?


 


ลู่โจวมองไปที่ร่างเล็กๆของเธออย่างไม่อยากจะเชื่อ มันดูไม่เหมือนคนทานมากเลย


 


บางทีเธออาจตักข้าวทีละนิด?


 


ลู่โจวเดินไปดูหม้อหุงข้าว เขาเปิดฝาออกแล้วช็อค


 


หมดแล้ว?


 


ลู่โจวหันกลับไปมองหานเมิ่งฉีที่กำลังทานอย่างบ้าคลั่ง


 


“ทำไม…นายมองฉันเพื่อ?” หานเมิ่งฉีถาม เธอสังเกตว่าลู่โจวจ้องมองเธอแล้วรู้สึกอาย เธอกลืนอาหารในปากแล้วถาม “ฉันแบ่งให้ไหม?”


 


“ไม่เป็นไร…เธอกำลังโต เธอควรกินให้มากๆ” ลู่โจวกล่าวพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นเขาก็เอาถ้วยวางไว้ในอ่างล้างจาน


 


ขณะที่เขากำลังจะล้างเสร็จ หานเมิ่งฉีก็เดินมาพร้อมกับถ้วยเปล่า เธอมองลู่โจวอย่างขอโทษ “ฉันล้างไหม?”


 


ชายคนนี้ทำงานหนักจนเธอรู้สึกอาย


 


“ไม่เป็นไร ทิ้งไว้นี่แหละ ไปใช้เวลานี้อ่านหนังสือในห้องนั่งเล่นเถอะ” ลู่โจวกล่าว เขากำลังล้างจาน เขาจึงไม่ได้หันหน้าไปด้วยซ้ำ


 


เรียนอีกแล้ว?!


 


หานเมิ่งฉีทำหน้าล้อเลียนใส่หลังลู่โจวก่อนจะเดินไปห้องนั่งเล่น


 


ลู่โจวทำความสะอาดครัวเสร็จแล้วและเดินกลับไปห้องนั่งเล่น เมื่อเขาเห็นสาวน้อยคนนี้กำลังอ่านเนื้อหาที่เขาเขียน เขาก็ยิ้มในใจ เขานั่งข้างเธอแล้วถาม “เป็นไง? เธอเข้าใจไหม?”


 


“เข้าใจ…มันง่ายเกินไป”


 


“ง่าย? เธอทำให้โจทย์ง่ายๆพวกนี้ยุ่งยาก” ลู่โจวกล่าว เขาหยิบกระดาษสอบอันเก่าออกมาแล้วกล่าว “ยกตัวอย่างโจทย์นี้ มันให้เธอกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเส้นกับวงกลมตามสมการ เท่าที่ผมเห็น มันเป็นโจทย์แจกคะแนน”


 


หานเมิ่งฉีบุ้ยปากแล้วเถียง “นายเรียนมหาลัยแล้ว มันก็ง่ายสำหรับนายสิ”


 


“จริงเหรอ? ผมไม่ได้เรียนเรื่องนี้ในมหาลัย ผมไม่ได้จับโจทย์ประเภทนี้มาเป็นปี ผมพึ่งมาอ่านตอนบ่ายนี้” ลู่โจวตอบด้วยรอยยิ้ม


 


“เอ่อ ฉันทำได้แค่นี้นี่ นายจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ” หานเมิ่งฉีกล่าว เธอยอมแพ้ เธอนั่งไขว่ห้างแล้วเอนตัวพิงโซฟา


 


“เธอยอมแพ้แล้ว? ผมคิดว่าผมยังช่วยเธอได้” ลู่โจวกล่าว


 


“นายไม่ต้องมาปลอบฉัน ฉันรู้สถานการณ์ของตัวเอง เทอมแล้วฉันไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่” หานเมิ่งฉีกอดอกแล้วกล่าวอย่างไร้อารมณ์


 


ลู่โจวยิ้มแล้วตอบ “เธอไม่กล้าลองเหรอ?”


 


“ไม่ต้องมาล่อฉันด้วยวิธีนี้”


 


อ่า…


 


เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะดูอุบายเขาออก


 


บรรยากาศเย็นลงอีกครั้ง หานเมิ่งฉีกำลังเล่นโทรศัพท์ เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่ขังตัวเองอยู่ในห้องอีก อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้พูดอะไรกับลู่โจวสักประโยค


 


ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง ลู่โจวเปิดไฟห้องนั่งเล่น


 


เวลานี้เขาก็ตระหนักว่าการมีบ้านหลังใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องดี


 


ถ้ามีคนเยอะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่คนเดียวมันจะค่อนข้างว่างเปล่า บ้านที่มืดและว่างเปล่ามันเหมือนจะดูดจิตวิญญาณของคนออกไปได้


 


ลู่โจวหยิบหนังสือจากชั้นวางหนังสือแล้วนั่งลงบนโซฟ้าห้องนั่งเล่น เขาเริ่มอ่านอย่างเงียบๆ


 


หานเมิ่งฉีกำลังเล่นโทรศัพท์ แต่แล้วจู่ๆเธอก็แอบมองเขาแล้วพึมพำเสียงเบา


 


“ขอบคุณ”


 


“อะไรนะ?” ลู่โจวถาม เขาหันหน้าไปมองเธอเล็กน้อยด้วยสีหน้าสับสน


 


“นายทำอาหาร…อร่อยมาก” หานเมิ่งฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงเต็มฝืนขณะเล่นโทรศัพท์ไปด้วย


 


“มันเป็นเรื่องง่ายมาก…แม่เธอไม่เคยทำอาหารให้เลยเหรอ?” ลู่โจวถาม


 


สีหน้าของหานเมิ่งฉีดูเย็นชา เธอเย้ยหยัน “เธอ? เธอไม่ทำอาหาร…ฉันแทบไม่เห็นด้วยซ้ำ”


 


ไม่แปลกใจเลยที่เธอกินมากขนาดนี้ เธออาจไม่ได้ทานอาหารที่ทำเองมานานแล้ว!


 


ลู่โจวคิดว่าฝีมือทำอาหารเขาจะพัฒนาขึ้น แต่กลายเป็นว่าเขาเข้าใจผิด


 


“แล้วพ่อเธอล่ะ?”


 


ลู่โจวเสียใจที่ถามคำถามนี้กับเธอ เพราะคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว


 


“เขากำลังสู้คดีกับแม่ แต่มันน่าจะใกล้จบแล้ว” หานเมิ่งฉีเอามือกอดเข่าตัวเองแล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่ยังคงไร้อารมณ์


 


ลู่โจวสำลักเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเห็นเธอเป็นอย่างนี้ทำให้เขารู้สึกเห็นใจเธอ


 


หานเมิ่งฉีมองตรงไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นมาอย่างฉับพลัน


 


“…วันข้างหน้า นายยังทำอาหารให้ฉันอีกได้ไหม?”


 


ลู่โจวคิดสักครู่แล้วกล่าว “ถ้าเธอตั้งใจเรียน ผมจะคิดดู”


 


“ว้าว มีเงื่อนไขด้วย น่าเบื่อจริงๆ” หานเมิ่งฉีตอบก่อนจะเบือนหน้าหนีไป


 


ลู่โจวกล่าว “เพราะยังไง ผมก็ต้องได้รับการประเมิณผล ถ้าแม่เธอคิดว่าผมทำงานได้ไม่ดี เธอก็จะไล่ผมออก”


 


“เรื่องนี้ไม่มีทางแก้ ผู้หญิงคนนั้นชอบบังคับคนอื่นให้ทำตาม” หานเมิ่งฉีกล่าว เธอก้มหน้าลงแล้วกอดเข่าตัวเองแน่น “ฉันจะลองพยายามดู แต่ไม่รับประกันนะ”


 


“ตกลง” ลู่โจวยิ้ม “เราตกลงกันแล้วนะ”


 


ทั้งสองเริ่มคุยกันถึงงานที่โรงเรียน ความตึงเครียดสูงตอนแรกก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว


 


เกือบห้าทุ่มก็มีเสียงรถดังมาจากข้างล่าง


 


จากนั้นไม่นานประตูหน้าก็ถูกเปิดออก ในที่สุดคุณหยางก็กลับบ้าน


 


หานเมิ่งฉีมองแม่ของตนเงียบๆและไม่ได้พูดอะไร เธอกลับเข้าไปในห้อง


 


สีหน้าของผู้หญิงคนนี้ยังคงปกติ เธอมองหนังสือและบทสรุปบนโต๊ะกาแฟ คิ้วของเธอผ่อนคลายลง เธอคำนับลู่โจวเล็กน้อย เธอกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอเสียเวลา ให้ฉันไปส่งบ้านไหม?”


 


“ไม่ต้องครับ ผมจะเรียกแท็กซี่เอง” ลู่โจวกล่าวขณะโบกไม้โบกมือ เขายิ้มแล้วกล่าว “อยู่บ้านกับลูกสาว เธอยังมีงานจำนวนมากเพื่อสร้างรากฐานคณิตศาสตร์ ผมได้สรุปให้เธอแล้ว ถ้าเธอใช้เวลาเรียนมัน ผมเชื่อว่าเธอจะตามคนอื่นทัน”


 


“ครูลู่ ขอบคุณ ฉันจะเตือนเธอ” คุณหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มแล้วพยักหน้า


 


“ไม่มีปัญหา ผมขอตัวก่อน เอ้อ พวกคุณควรคุยกันให้มากขึ้น ผมหมายถึง เกี่ยวกับการเรียน เพราะยังไงเสียการเรียนก็รีบไม่ได้ มันจะส่งผลตรงกันข้ามถ้าคุณผลักดันเธอมากไป มันจะดีกว่าถ้าปล่อยให้เธอค้นพบจังหวะการแก้ปัญหาของตนเอง”


 


คุณหยางเสนอจะไปส่งลู่โจวอีกครั้ง แต่ลู่โจวก็ยังปฏิเสธ เขาลงลิฟท์แล้วเรียกรถแท็กซี่


 


หลังจากที่เขาขึ้นรถ คุณหยางก็ใช้วีแชทส่งเงินมาให้โทรศัพท์ลู่โจว


 


ห้าชั่วโมงแรก 200 หยวนต่อชั่วโมง ห้าชั่วโมงหลังคือ 400 หยวนต่อชั่วโมง มันก็จะเป็น 3000 หยวน


 


เขามองดู 3000 หยวนแล้วอดคิดไม่ได้


 


คนรวยไม่เห็นค่าของเงินจริงๆ…


 


เขามีเพียง 3000 กว่าหยวนเท่านั้นที่อยู่ในบัญชีธนาคารและเงินในบัญชีก็เพิ่มขึ้นสองเท่าทันที


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเรียนซัมเมอร์ที่เขาต้องไปเข้าร่วม เขาจะมาทำงานที่นี่ทำวันเลย…


ตอนที่ 35 ฉันซัพพอร์ตเก่ง


 


 


วันต่อมา ลู่โจวอยากซื้ออาหารเลี้ยงเฉินยู่ซานเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยหางานให้เขา


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าจะกินอะไรดีระหว่างKFCกับไก่เหลือง(หวงเมิ่นจี) เขากำลังติดอยู่กับปัญหานี้


 


ดังนั้นเขาจึงขอคำแนะนำคนๆเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ในหอพักเขา นั่นก็คือหลิวรุ่ย


 


หลิวรุ่ยกำลังเล่นวีดีโอเกมกับเพื่อนบนเน็ต เขาถูกฆ่าแล้วถูกส่งกลับไปยังบ่อเกิด เขารู้สึกรำคาญและไม่ได้ใส่ใจกับคำถามของลู่โจวเลย เขาตอบโดยไม่ได้หันหัวกลับด้วยซ้ำ “ซุปหมาล่า(หมาล่าทั่ง) มันถูกและไม่แพง!”


 


และแล้ว…


 


ลู่โจวก็ตัดสินใจ


 


พวกเขาไปร้านที่ชื่อว่าซุปหมาล่าซานเฉิงที่อยู่บนถนนหน้าโรงเรียน เฉินยู่ซานไว้ผมหางม้าและนั่งอยู่ตรงข้ามลู่โจว เธอแลบลิ้นออกมาเพราะความเผ็ด


 


เฉินยู่ซานรู้สึกเผ็ดจนอยากร้องไห้ แต่เธอก็ทน เธอทานต่อแล้วถาม “เป็นไง? คณิตศาสตร์ของลูกพี่ลูกน้องฉันยังพอมีหวังไหม?”


 


มันเผ็ดขนาดนั้นเลย?


 


ลู่โจวกินลูกชิ้นปลาและรู้สึกสับสน เขาเคี้ยวไปพูดไป “มีหวัง? บางทีนะ? ผมจะพยายามให้ดีที่สุด”


 


“งั้นฉันต้องพึ่งพานายแล้ว ลูกพี่ลูกน้องฉัน…อันที่จริงคะแนนวิทยาศาสตร์ของเธอช่วงมัธยมต้นนั้นไม่เลวเลย แต่จากนั้น…อ้า เผ็ดมาก!”


 


ลู่โจวเอาน้ำให้เธอแล้วถาม “จากนั้นทำไมเหรอ?”


 


เฉินยู่ซานดื่มน้ำแล้วแลบลิ้นออกมาอย่างน่ารัก เธอสูดปากก่อนจะกล่าว “จากนั้น…น้ากับลุงก็มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ พวกเขากำลังต่อสู้กันเพื่อสิทธิ์ในตัวเมิ่งฉี ฉันไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด ตอนนี้เมิ่งฉีอยู่กับป้าฉันชั่วคราว”


 


ลู่โจวพยักหน้าเงียบๆและไม่ได้พูดอะไร


 


เขาไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเพราะเขาเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาก


 


หลังจากพวกเขาทานซุปหมาล่าเสร็จ ลู่โจวก็ส่งเฉินยู่ซานกลับหอ จากนั้นเขาก็ตรงไปห้องสมุด


 


ขณะที่เขากำลังเดินไปห้องสมุด เขาก็ได้รับอีเมลล์สองฉบับ


 


อีเมลล์แรกมาจากศาสตราจารย์หลิว มันเป็นข้อเสนอแนะการฝึกการสร้างแบบจำลองข้อมูล


 


อีเมลล์ที่สองเป็นการตอบกลับจาก[วารสารทฤษฏีและการสื่อสารคณิตศาสตร์ประยุกต์] มันบอกว่าเงินค่าวิทยานิพนธ์ได้ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารเขาแล้ว 150 หยวนต่อหนึ่งวิทยานิพนธ์ ทั้งหมดเป็น 1350 หยวน


 


“…”


 


1350 หยวนเท่านั้นต่อวิทยานิพนธ์SCI 9 ฉบับ นักวิชาการนี่หาเงินยากจริงๆ…


 


ลู่โจวอดคิดไม่ได้


 


1350 หยวนก็เป็นเงินไม่น้อย ถ้าเขารวม 3000 หยวนที่ได้มาเมื่อวาน เขาก็จะมี 7000 หยวนในบัญชี มันเพียงพอสำหรับค่าเล่าเรียนของเขา


 


เขาอยากชะลอการจ่ายเงินแล้วค่อยจ่ายตอนก่อนจบการศึกษา แต่เขาไม่ต้องทำแบบนั้นแล้ว


 


หลายวันต่อมา ชีวิตของลู่โจวเป็นแบบแผนมาก เขาจะอ่านหนังสือโต้รุ่งตอนวันจันทร์ วันพุธและวันศุกร์ ส่วนวันอังคารและวันพฤหัสเป็นวันทบทวน นอกจากนี้เขายังฝนฝนการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ด้วย


 


บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าถ้าเขาสามารถรักษานิสัยรักการเรียนแบบนี้ได้ ต่อให้เขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากระบบ เขาก็กลายเป็นอัจฉริยะได้


 


มันก็แค่ว่าความก้าวหน้าของเขาเพิ่มขึ้นได้เพราะความช่วยเหลือของระบบ


 


มันเหมือนกับว่าเขากำลังเดินทางด้วยความเร็วของจรวด…


 


ในที่สุดก็เป็นวันเสาร์ เขาไปบ้านคุณหยางเพื่อสอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ให้หานเมิ่งฉีตามปกติ


 


มันอาจเป็นเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้หรือคุณหยางอาจตกลงกับลูกสาวได้ เพราะเมื่อคุณหยางออกไปทำงาน เธอไม่ได้ล็อคประตู เธอแค่ขอให้ลู่โจวดูแลลูกสาวเธอให้


 


เธอเฝ้าดูแม่ออกไปทำงานอย่างปราศจากอารมณ์ หานเมิ่งฉีมองลู่โจวแล้วกล่าว “งั้นมาเริ่มกันเถอะ”


 


เธอหันกลับเข้าห้องไป


 


ลู่โจวเดินตามหานเมิ่งฉีไปห้องนอนของเธอ มันหนึ่งสัปดาห์เท่านั้นที่เขาไม่ได้เห็นเธอ แต่เขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นห้องเธอสะอาดเรียบร้อย


 


พวกเขาคุยกันอย่างไม่จำเป็น หานเมิ่งฉีเปิดหนังสือแล้วพลิกไปหน้าที่คั่นไว้ เธอมองลู่โจว


 


“ฉันเรียนเรื่อง[เรขาคณิตวิเคราะห์]ที่นายเขียนให้ฉันเรียบร้อยแล้ว ไงต่อ?”


 


“อะไรนะ?” ลู่โจวกล่าวพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น เขายิ้มแล้วกล่าว “เธอไม่เข้าใจตรงไหน?”


 


“ฉันเข้าใจทุกอย่าง มันค่อนข้างง่าย” หานเมิ่งฉีกล่าว เธอยกหัวเล็กๆขึ้นแล้วกล่าวอย่างหงุดหงิด “แล้วไงต่อ?”


 


“ผมจะทดสอบเธอ” ลู่โจวกล่าว เขาหยิบกระดาษ A4 แล้วเริ่มเขียนลงไป


 


[ในระบบพิกัดคาร์ทีเซียน x และ y จุดโฟกัสซ้ายขวาของวงลีคือ C1:x^2/a^2+y^2/b^2=1 (a>b>0) คือ F1 และ F2 ตามลำดับ โดยที่ F2 เป็นจุดโฟกัสของพาราโบลา C2:y^2=4x จุด m คือจุดตัดของ C1 และ C2 ในควอดรันต์แรก และ |MF2|=5/3 จงหาสมาการของ C1]


 


ในที่สุดลู่โจวก็เขียนเสร็จ จากนั้นเขาก็ทำท่าเชื้อเชิญ


 


หานเมิ่งฉีเลิกคิ้วขึ้น เธอไม่คิดเลยว่าลู่โจวจะทดสอบเธอ


 


เธอขบฟันแล้วหยิบปากกา จากนั้นเธอก้จ้องกระดาษทดเป็นเวลานาน


 


สิบนาทีผ่านไป เธอพึ่งแก้ขั้นตอนแรกเท่านั้น


 


ซึ่งก็คือ :


 


[จาก C2: y^2 = 4x, F1 = (1,0)]


 


ลู่โจวรอมาสิบนาที เขามองดูนาฬิกาแล้วยิ้ม “ตอนสอบ เธอมีเวลามากสุดสิบนาทีสำหรับโจทย์นี้ มาดูคำตอบของเธอ เธอได้สามคะแนนเท่านั้น”


 


“เอ่อ…” หานเมิ่งฉีกัดฟันกล่าว เธอไม่อยากยอมแพ้ ยิ่งฝืนตัวเองแก้โจทย์มากเท่าไหร่ มันก็จะแก้ได้ยากมากเท่านั้น


 


ลู่โจวยิ้มแล้วหยิบกระดาษข้อสอบจากกองสื่อการเรียน เขาชี้ไปที่โจทย์ที่สองแล้วกล่าว “ส่วนสำคัญที่สุดก็คือ โจทย์นี้เป็นโจทย์ที่เธอพลาดตอนสอบ”


 


“…นายรังแกฉัน” หานเมิ่งฉีกล่าว เธอโยนปากกาด้วยความโกรธแล้วกล่าวต่อ “ฉันรู้ว่าฉันโง่ โอเคมั้ย?”


 


“ผมแค่สอน ผมไม่ได้บอกว่าเธอโง่ อันที่จริงผมคิดว่าเธอฉลาดมาก อย่าท้อแท้” ลู่โจวกล่าว เขาหยิบปากกาที่เธอโยนแล้วทำโจทย์บนกระดาษ A4 ให้เสร็จ “กุญแจสำคัญของโจทย์นี้คือการกำหนดค่าของ M ดังนั้นขั้นตอนที่สองคือการกำหนด M เป็น (x1,y1) และต่อด้วย | MF2 | = 5 / 3 และ M2 บนพาราโบลา C2…”


 


“เป้าหมายที่สองของเราก็คือการหาความยาวกึ่งโฟกัสของวงรี C1 เมื่อเธอแก้ขั้นตอนนี้ได้ ส่วนที่เหลือก็แค่ทำความเข้าใจกับสมการ”


 


ลู่โจวเขียนขั้นตอนสำคัญบนกระดาษ A4 แล้วชี้แจงกระบวนการแก้โจทย์


 


ตอนแรกหานเมิ่งฉีรู้สึกรำคาญ แต่ไม่นานเธอก็เริ่มจ้องมองกระดาษอย่างตั้งใจ


 


ในที่สุดหน้าเธอก็ปรากฏร่องรอยของความรู้แจ้ง


 


หานเมิ่งฉีพยักหน้าแล้วมองกระดาษอย่างจริงจัง เธอขมวดคิ้วแล้วปากเล็กๆของเธอก็ขยับ “เป็นแบบนี้นี่เอง…”


 


“ครูของเธออธิบายเรื่องนี้ให้ฟังแล้วแน่นอน เธอแค่ไม่ได้ฟัง”


 


หานเมิ่งฉีเถียง “ครูของฉัน…ไม่ได้อธิบายรายละเอียดมากนัก”


 


ลู่โจวตอบ “ลองบอกคุณสอนคณิตแบบนี้สิ เขาโกรธแน่นอน”


 


หานเมิ่งฉีโกรธมากจนฟันเริ่มสั่น เธอไม่มีอะไรจะพูด เธอคร่ำครวญ “ไม่แปลกใจเลยที่พี่สาวบอกว่านายโหดร้าย…”


 


ลู่โจว “???”


 


มีคนพูดจาลับหลังฉัน?


 


ฉันไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


 


ลู่โจวกระแอมแล้วเปลี่ยนเรื่อง เขาหยิบปากกาขึ้นมาแล้วกล่าว “โจทย์นี้เป็นจุดตัดผ่านธรรมดาเพื่อหาโจทย์สมาการรูปไข่ ผมคิดว่าเมื่อเธอพบโจทย์แบบนี้อีก อย่างน้อยเธอก็ได้ครึ่งคะแนน”


 


หานเมิ่งฉีเงยหน้าขึ้นแล้วถาม “แล้วอีกครึ่งล่ะ?”


 


“คะแนนอีกครึ่งอยู่ในโจทย์สอง ข้อสอบมัธยมปลายแบบนี้มักจะมีโจทย์เวกเตอร์ในส่วนสอง…”


 


ลู่โจวพูดแล้วเขียนที่หลังข้อสอบ


 


[จุด N บนระนาบสอดคล้องกับเวคเตอร์ MN = เวคเตอร์ MF1 + เวคเตอร์ MF2 เส้นตรง L//MN C1ตัดกับ A และ B OA*OB = 0 จงหาสมาการของ L]


 


หานเมิ่งฉีเห็นโจทย์แล้วติดทันที เธอมองลู่โจวอย่างจนปัญญา


 


อย่างไรก็ตามลู่โจวไม่ได้มองเธอ เขานั่งข้างเตียงแล้วหยิบหนังสือแบบฝึกหัดและเริ่มหาตัวอย่างต่อไป


 


“ลองทำเอง ผมจะช่วยถ้าเธอแก้ไม่ได้ 15นาที เริ่ม”


 


หานเมิ่งฉีทำได้แย่กว่าโจทย์แรกเสียอีก เธอเขียนถูกบรรทัดเดียวเท่านั้น บรรทัดอื่นผิดหมดเลย


 


มันอาจเป็นเพราะลู่โจวมีน้องสาวที่อายุไล่เลี่ยกับหานเมิ่งฉี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้หงุดหงิดเลย เขาไม่ได้หัวเราะเธอหรือบอกว่านี่เป็น’โจทย์แจกคะแนน’ กลับกันเขาอธิบายขั้นตอนการแก้โจทย์ให้เธออย่างอดทนแทน


 


เมื่อหานเมิ่งฉีเห็นขั้นตอนบนกระดาษ แววตาของเธอก็เบิกกว้าง เธอกล่าวเงียบๆ “ว้าวนายเก่งมาก…”


 


“เทคนิคการเรียนของผมก็คือการประเมิณความผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดอยู่เสมอ ผมหวังว่าเธอจะคัดลอกโจทย์ที่แก้ไม่ได้ลงในสมุด จากทุกอาทิตย์ผมจะมาอธิบายให้เธอ” ลู่โจวกล่าว เขาส่งปากกาคืนให้หานเมิ่งฉีแล้วกล่าวต่อ “การมีสมุดที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดของตนคือวิธีการที่เธอเรียนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ถ้าเธออยากเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เก่ง เธอต้องเตรียมตัว มันก็เหมือนแครี่ยิงไกลออก Doran’s blade หรือซัพพอร์ตซื้อวอร์ด ทั้งหมดเป็นการเตรียมพื้นฐาน”


 


แววตาของหานเมิ่งฉีเปล่งประกาย จู่ๆเธอก็รู้สึกสนใจและขัดจังหวะ “นายเล่น League of Legends ด้วยเหรอ? เซิฟเวอร์ไหน? ฉันเล่นซัพพอร์ตเก่ง!”


 


“…เซิฟเวอร์ Black rose”


 


“มาเพิ่มเพื่อนกัน! เอาเลข QQ มา!”


 


ลู่โจวเอื้อมมือไปเคาะหน้าผากเธอ เขามองเธอแล้วกล่าวอย่างหงุดหงิด “เลิกเล่นเกมแล้วสอบให้ได้ร้อยคะแนนก่อน!”


ตอนที่ 36 พี่โจวเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!


 


 


หกโมงเย็น ลู่โจวเดินไปห้องครัวแล้วสวมผ้ากันเปื้อนก่อนจะเริ่มลงมือทำอาหาร นี่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง สาวน้อยคนนี้ตามเขาเข้ามาดูในครัวเช่นกัน เหมือนเธอจะสนใจมาก


 


ในครัวมีอาหารสดที่คุณหยางซื้อไว้ด้วย


 


มันมีเต้าหู้ สันในหมูและผักสด ไม่เพียงเท่านั้น เกลือกับเครื่องเทศที่ถูกใช้ไปเกือบหมดก็ถูกเติมด้วย


 


ดูเหมือนว่าคุณหยางจะยอมให้เขาใช้ห้องครัวของเธอ เพราะยังไงเสียเธอก็คงไม่อยากให้ลูกสาวทานอาหารขยะและซื้อกลับบ้านทุกวัน


 


แต่…


 


ทำไมเธอไม่จ้างแม่บ้าน?


 


มันไม่ได้รบกวนลู่โจว เขามีความสุขที่ได้ทานอาหารบ้านลูกค้า เพราะเขาไม่ต้องเสียเงิน ก่อนที่เขาจะเริ่มลงมือทำอาหาร เขาก็ถามหานเมิ่งฉีก่อนว่าเธอทานเผ็ดได้ไหม


 


หานเมิ่งฉีถาม “นายเคยเป็นครูสอนพิเศษมาก่อนงั้นเหรอ?”


 


ลู่โจวตอบขณะเทน้ำมันลงหม้อ “นี่เป็นครั้งแรกของผม”


 


แววตาของหานเมิ่งฉีเบิกกว้าง เธอคาดไม่ถึงกับคำตอบเขาเลย “จริงเหรอ? ฉันคิดว่านายสอนค่อนข้างดีเลย”


 


“เธอคิดแบบนั้นงั้นเหรอ? บางทีอาจเป็นเพราะผมเคยสอนน้องสาวเป็นครั้งคราว” ลู่โจวกล่าว เขาผัดเนื้อสับ ใส่เต้าหู้ เพิ่มน้ำแล้วปิดฝาหม้อ จากนั้นเขาก็เปิดไฟเพื่อเคี่ยวแล้วไปสับมะเขือเทศ


 


เขากำลังทำเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน ส่วนมะเขือเทศ เขาเตรียมเอามาทำไข่เจียวใส่มะเขือเทศ


 


“นายมีน้องสาวด้วยเหรอ?” หานเมิ่งฉีถามอย่างแปลกใจ จากนั้นเธอก็กล่าวเสริม “เธออายุเท่าไหร่?”


 


“อายุเท่าเธอ ตอนนี้อยู่ ม.4 แล้ว เธอจะขึ้น ม.5 หลังซัมเมอร์นี้”


 


หานเมิ่งฉีจมูกกระตุกเล็กน้อย เธออิจฉาและถอนหายใจ


 


“ฉันอิจฉามาก…”


 


“เธอจะอิจฉาทำไม? น้องสาวน่ารำคาญมาก”


 


หานเมิ่งฉีเงยหน้าแล้วถาม “นายเกลียดน้องสาวเหรอ?”


 


ลู่โจวคิดสักครู่แล้วส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ เธอเป็นครอบครัวของผม ผมจะเกลียดเธอทำไม?”


 


เขายังไม่ได้พูดถึงว่า ไม่ว่าจะเป็นยังไงเราก็ควรรักครอบครัวของตน


 


“ฉันยังอิจฉาอยู่ดี…” หานเมิ่งฉีกล่าว เธอบุ้ยปาก “ฉันอยากมีพี่ชาย”


 


อะไรนะ? บางทีเธออยากเป็นตัวสร้างปัญหางั้นเหรอ?


 


ลู่โจวกลอกตา


 


หานเมิ่งฉียืนอยู่ข้างเขา เธอมองดูหม้อที่กำลังเดือดและไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นเธอก็ถามด้วยความสงสัย “ถ้าพ่อแม่หย่ากัน พวกเขาจะยังมีพี่ชายให้ฉันไหม?”


 


ลู่โจวคิดแล้วตอบ “ผมไม่รู้…แม้ว่าพวกเขาจะมี มันก็คงเป็นน้องชาย”


 


จะว่าไป ทำไมเธอถึงตั้งหน้าตั้งตารอวันหย่าของพ่อแม่?


 


มันอธิบายไม่ได้


 


หานเมิ่งฉีหน้าแดงแล้วตระหนักว่าเธอถามคำถามโง่ๆ เธอแลบลิ้นออกมาแล้วไม่ได้พูดอะไร


 


ลู่โจววางข้าวไว้บนโต๊ะ ครั้งนี้เขาหุงข้าวสามถ้วย พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าข้าวจะไม่พอให้กิน


 


หานเมิ่งฉีนั่งบนโต๊ะกินข้าวแล้วเริ่มกินเต้าหู้ผัดพริกเฉสวน หน้าผากเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ คอของเธอเปียกจนเป็นไอ แต่เธอก็ไม่ได้บ่นและทานอย่างมีความสุข


 


ลู่โจวมองดูสาวน้อยคนนี้ เขายิ้มแล้วกล่าว “เธอเหมือนลูกพี่ลูกน้องเลย พวกเธอชอบกินเผ็ดเหมือนกัน”


 


หานเมิ่งฉีเปิดปากแล้วกำลังจะทานต่อ แต่แล้วเธอก็วางช้อนลงแล้วเงยหน้าขึ้น “อะไรนะ? ลูกพี่ลูกน้องฉันไม่ชอบกินเผ็ด”


 


ลู่โจว “???”


 


หานเมิ่งฉีเงยหน้าด้วยความรู้สึกสับสน เธอถามลู่โจว “ทำไมเหรอ?”


 


“ไม่มีอะไร?” ลู่โจวตอบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน


 


ครั้งหน้าฉันจะเลี้ยงข้าวเธอเป็นการขอโทษ…


 


พวกเขาทานอาหารกันเสร็จแล้วลู่โจวก็ทำความสะอาดโต๊ะ เขาเตือนหานเมิ่งฉีให้ระวังตัวเมื่ออยู่คนเดียวแล้วเขาก็จากไป


 


เขาเรียกแท็กซี่ด้านนอกแล้วกลับไปมหาลัย


 


ขณะที่ลู่โจวกำลังลงรถอยู่หน้ามหาลัย เขาก็ได้รับข้อความวีแชทจากคุณหยาง


 


[ได้รับโอน : 1000]


 


นอกจากนี้…


 


[หยางตันยวิ๋น : ขอบคุณ]


 


ลู่โจวเห็นข้อความขอบคุณแล้วชะงัก เขายิ้มแล้วพิมพ์ตอบ [ด้วยความยินดี]


 


เขากำลังจะเอาโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋า แต่แล้วจู่ๆก็มีสายเข้า


 


เมื่อเขาเห็นว่าเป็นหลิวรุ่ยโทรมา ลู่โจวก็หัวเราะ เขาคิดว่าหลิวรุ่ยต้องลืมกุญแจห้องแน่ เขาจึงรับสาย


 


อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังจะหยอกเจ้าหนูนี่ ก็มีเสียงที่ร้อนรนดังขึ้นมา


 


“พี่ใหญ่โจว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”


 


…..


 


หลิวรุ่ยแจ้งลู่โจวทันที


 


หลิวรุ่ยบางครั้งก็ค่อนข้างหยิ่ง แต่เขาไม่ได้เป็นคนชั่วร้าย ดังนั้นลู่โจวจึงตัดสินใจทนอยู่กับเขา


 


สิ่งสำคัญก็คือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


 


ลู่โจวกลับหอพัก เขาหยิบโทรศัพท์ของหลิวรุ่ยขึ้นมาแล้วเริ่มอ่านบทความ


 


[ในหัวข้อนักวิชาการมหาลัยจีนสมัยใหม่ : เริ่มต้นจากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาตรี]


 


บทความนี้พูดถึงสถานการณ์โดยรวมของนักวิชาการจีน ตั้งแต่คณิตศาสตร์ไปจนถึงฟิสิกส์ ตั้งแต่วิทยาการคอมพิวเตอร์ไปจนถึงปรัชญา ประโยคสุดท้ายพูดถึงว่าทำไมประเทศจีนถึงไม่สร้างนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างไอน์สไตน์กับนิวตัน


 


ใครก็ตามที่เขียนบทความจะรู้ว่ายิ่งคำถามเปิดกว้างเท่าไหร่ มันก็มีเรื่องเหลวไหลให้เขียนมากเท่านั้น มันไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการตอบคำถามด้วยซ้ำ


 


จากนั้นบทความก็วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าทางวิชาการของการลงวิทยานิพนธ์SCI 9 ฉบับในวารสารเดียว มันแสดงให้เห็นว่านักศึกษาปริญญาตรีคนนี้เป็น’มะเร็งโลกวิชาการ’ที่ไม่รู้อะไรเลย


 


ถูกต้อง พวกเขาใช้คำว่า’มะเร็งโลกวิชาการ’จริงๆ


 


สุดท้ายมันก็กล่าวว่านักศึกษาปริญญาตรีคนนี้มาจากมหาลัยจินหลิงและมีแซ่ว่าโจว


 


ผู้เขียนเป็นนักวิจารณ์ทางการศึกษา นักเขียนงานวิทยาศาสตร์และเป็นนักวิชาการที่โด่งดัง เขากระทั่งมีเครื่องหมาย’ยืนยันตัวตน’อยู่ข้างรูปโปรไฟล์เขา


 


ชายคนนี้มีผู้ติดตามหลายล้านคน


 


อย่างไรก็ตาม…


 


ลู่โจวสับสน


 


หมอนี่เป็นใคร?


 


ฉันไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ คุณทำบ้าอะไรเนี่ย?


 


ฉันเขียนวิทยานิพนธ์ด้วยความสามารถของตน ทำไมฉันไม่ควรนำไปตีพิมพ์? มันส่งผลกระทบกับคุณยังไง?


 


หลิวรุ่ยไม่ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ เขาหัวเราะแล้วกล่าว “นายเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ตอนไหนกัน? แล้วนายส่งSCIเมื่อไหร่?”


 


เขายังมีคำพูดที่เขาคิดแต่ยังไม่ได้พูดก็คือ ‘ฉันจะลองส่งบ้าง’


 


“ฉันเรียนรู้มันตอนดูหนัง! ทำไม?” ลู่โจวตอบด้วยความโกรธขณะถลึงตามองเขา


 


หลิวรุ่ยเห็นว่าลู่โจวโกรธ เขาจึงหุบปาก


 


ลู่โจวสูดหายใจ เมื่อเขาสงบใจตนเองแล้วถาม “นายเห็นจากไหน?”


 


เขาไม่เชื่อว่าเจ้าหนูนี่จะเบื่อถึงขนาดติดตามไอ้พวกนักวิจารณ์ทางการศึกษา


 


“นักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์จากกลุ่มฝึกสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์โพสต์มันแล้วฉันเห็น…แต่ฉันไม่ได้โพสต์มันในหน้าฟี้ดข่าวฉัน!” หลิวรุ่ยอธิบาย


 


ความอิจฉายังไงก็คืออิจฉา เพียงเพราะเขาเป็นคู่แข่งไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนชั่วร้าย ลู่โจวรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาจะไม่แทงข้างหลังเขา


 


ลู่โจวไม่ได้ตอบและอ่านเว่ยป๋อต่อ


 


หลิวรุ่ยเห็นว่าลู่โจวไม่ได้พูดอะไร เขาจึงถาม “เราจะทำยังไง?”


 


ลู่โจวไม่รู้เช่นกัน เขาไม่มีบัญชีเว่ยป๋อด้วยซ้ำ เขาเคยได้ยินเว่ยป๋อมาก่อน แต่เขาไม่เคยสมัคร


 


ลู่โจว “ด่าเขาให้ฉันที”


 


หลิวรุ่ย “ด่าเพื่อ? เดี๋ยว ทำไมนายไม่ไปด่าเองล่ะ?”


 


ลู่โจว “ฉันไม่มีบัญชีเว่ยป๋อ”


 


หลิวรุ่ย “…”


 


สุดท้ายหลิวรุ่ยกับลู่โจวก็ตัดสินใจไม่สนใจขยะนี้


 


ใครจะสนล่ะว่าแกจะวิจารณ์ฉันไหม?


 


เด็กน้อย ฉันจะไม่ตอบโต้แก แกเล่นไปเองเถอะ! ใครจะสนใจแกกัน!


 


จากนั้นลู่โจวก็ถือกระเป๋าโน๊ตบุ๊คแล้วไปห้องสมุด


 


อย่างไรก็ตามเขาคิดง่ายเกินไป


 


เขาไม่ใช่แค่ลู่โจวเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักศึกษาของมหาลัยจินหลิงเช่นกัน…


ตอนที่ 37 ผมเห็นด้วย


 


 


ณ ห้องประชุมมหาลัยจินหลิง มีการจัดประชุมฉุกเฉินขึ้น อาจารย์ใหญ่ขอให้คณบดีสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์มานำเสนอโดยเฉพาะ


 


มีศาสตราจารย์จำนวนมากอยู่ในห้องแล็บตอนที่ถูกเรียกประชุมด่วน


 


หัวข้อการประชุมนั้นเรียบง่ายมาก มันเกี่ยวกับปัญหาหนึ่ง ซึ่งเป็นบทความที่กำลังเป็นกระแสบนเว่ยป๋อ [ในหัวข้อของนักวิชาการมหาลัยจีนสมัยใหม่ : การเริ่มต้นจากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาตรี]


 


บทความนี้พูดถึงว่านักศึกษาปริญญาตรีตีพิมพ์วิทยานิพนธ์วิทยาการคอมพิวเตอร์เก้าฉบับในหนึ่งเดือน มันถูกใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการวิพากษ์วิจารณ์บรรยากาศทางวิชาการของสถาบันระดับอุดมศึกษาในประเทศจีนและกระบวนการตรวจสอบวารสารที่หละหลวม มันยังพูดถึงเช่นกันว่าเป็นนักศึกษาจากมหาลัยจินหลิง


 


บทความนี้ย่อมเป็นการด่ามหาลัยจินหลิง


 


ระหว่างการประชุม ศาสตราจารย์ชราจากสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ดันกรอบแว่น เขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอย่างเฉยเมย “ฉันเคยอ่านวิทยานิพนธ์ทั้งเก้านี้ อันที่จริงมันเขียนได้ไม่เลว มันค่อนข้างน่าประทับใจที่นักศึกษาปริญญาตรีสามารถเขียนได้เช่นนี้ เขาพยายามส่งวิทยานิพนธ์ค่อนข้างมาก แต่วิทยานิพนธ์ของเขาซับซ้อนมากกว่าวิทยานิพนธ์วิทยาการคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่เสียอีก นักวิจารณ์ทางการศึกษาจูฟางไฉคนนั้นอาจไม่ได้รู้เรื่องวิทยาการสารสนเทศมากนัก บางทีเราควรคุยกับเขา ทำให้เขายอมรับความผิดพลาดและขอให้เขาลบบทความ”


 


ทำไมถึงมีคนที่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะตีพิมพ์วิทยานิพนธ์มากเกินไป?


 


ศาสตราจารย์รู้สึกสับสนมาก เขาไม่รู้ว่าทำไมการประชุมนี้ถึงจำเป็น!


 


“เป็นไปไม่ได้…ชายคนนี้ จูฟางไฉ รู้ระดับของตนเอง ดูสมญานามของเขาสิ นักวิจารณ์ทางการศึกษา นักเขียนงานวิทยาศาสตร์ เขาทำงานสาขาที่แตกต่างจากเรา” เลขาของโต๊ะประชุมกล่าว เขาส่ายหน้าแล้วกล่าว “เขากำลังมองหาความขัดแย้ง เขาไม่สนใจคุณหรอก”


 


สถานการณ์นี้ยากที่จะจัดการ


 


นักศึกษาไม่ได้ทำอะไรผิด มหาลัยย่อมไม่อาจไล่นักศึกษาออกไปได้ ปัญหาคือประชาชนมองความด้านเดียวและพวกเขาก็กล่าวโทษทางมหาลัย


 


สถานการณ์นี้เหลวไหลสิ้นดี คนนอกวงการกำลังใช้ประโยชน์จากสถานะและอิทธิพลของตนเองชี้นิ้วลงมา


 


ผู้บริหารมหาลัยไม่เข้าใจแรงจูงใจ


 


ขอบคุณพระเจ้าที่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างช่วงที่มหาลัยเปิดรับสมัครนักศึกษา ไม่งั้นคนในห้องประชุมนี้จะโกรธมากแน่นอน


 


ไม่ว่ายังไงสถานการณ์นี้ก็สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงมหาลัยอย่างร้ายแรง


 


สีหน้าของอาจารย์ใหญ่สุ่ยย่ำแย่มาก เขาเงียบไปครึ่งนาทีก่อนจะพูดช้าๆ “ตอนนี้มันไม่สำคัญว่าวิทยานิพนธ์มีคุณภาพดีไหม สิ่งสำคัญคือสังคมได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ของเรา อันดับแรกเราต้องลบข้อสงสัยเหล่านั้นและทำให้สถานการณ์ชัดแจ้ง ในทางกลับกัน เราต้องหาด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”


 


พวกเขาคุยกันตลอดช่วงบ่ายและในที่สุดก็ได้ตัดสินใจสองอย่าง


 


ด้านนึงทางมหาลัยต้องรักษาชื่อเสียงและอธิบายคุณค่าทางวิชาการของวิทยานิพนธ์เหล่านั้น พวกเขาต้องส่งจดหมายเตือนทางกฏหมายและร้องขอให้ขอโทษ ในทางกลับกันพวกเขาต้องขอให้คณบดีค้นหาว่าใครคือคนแซ่ลู่และสอบถามสถานการณ์ให้แน่ชัด


 


วิทยานิพนธ์SCIเก้าฉบับในหนึ่งเดือน มันฟังดูแหม่งๆ ศาสตราจารย์จากสาขาต่างๆเหล่านี้ล้วนเคยส่งวิทยานิพนธ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานเพื่อเงินกันทั้งนั้น แต่พวกเขาไม่เคยทำอะไรบ้าคลั่งแบบนี้!


 


อย่างไรก็ตามเวลานี้คณบดีทั้งหลายไม่รู้ว่าจริงๆแล้วลู่โจวส่งวิทยานิพนธ์ไป 10 ฉบับ แทนที่เขาจะส่งวิทยาการคอมพิวเตอร์ อันสุดท้ายเป็นคณิตศาสตร์…


 


…..


 


คอมเมนต์เว่ยป๋อ


 


[เชี่ย นักศึกษาปริญญาตรีตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ SCI 9 ฉบับ ต้องเป็นเรื่องหลอกลวงแน่ มันจะตีพิมพ์ได้ง่ายขนาดนั้นเลยจริงเหรอ?]


 


[…ฉันคิดว่าฉันทำได้เช่นกัน (อิโมจิสุนัข)]


 


[สนับสนุนครูโจว! ต่อสู้กับมะเร็งโลกวิชาการ! ดัดนิสัยเจ้าต้มตุ๋นนี้! (กำปั้น)(กำปั้น)]


 


[นักศึกษาที่มาจากMITบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นในอเมริกา วารสารต้องได้ผลประโยชน์และกระบวนการตรวจสอบเป็นของปลอม…]


 


[เศร้า! มหาลัยฉันผลิตนักศึกษาแบบนี้มาได้ยังไง! เขียนวิทยานิพนธ์มีประโยชน์อะไร? คุณเปลี่ยนวิทยานิพนธ์เป็นระเบิดนิวเคลียร์ได้เหรอ? แม้แต่นักศึกษาปริญญาตรีก็ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ได้มากมาย โลกวิชาการของประเทศเราหมดหวังแล้ว…]


 


[เจ้าพวกนักรบคีย์บอร์ด แกลองไปเขียนวิทยานิพนธ์เก้าฉบับในหนึ่งเดือนสิ]


 


บัดซบ นี่มันอะไรกันเนี่ย?


 


ไม่มีใครที่มี IQ ปกติอยู่ข้างฉันเลย?


 


แชร์สองหมื่น คอมเมนต์หนึ่งหมื่นและยอดวิวนับไม่ถ้วน!


 


ลู่โจวนั่งอยู่ในห้องเรียนที่ว่างเปล่าแล้วไถอ่านเว่ยป๋อ เขาไม่มีทางออก


 


ไม่มีใครอยากรู้ความจริง พวกเขาแค่อยากเชื่อะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า


 


เป็นอย่างที่คุณจูกล่าว วิทยานิพนธ์นั้นไร้ค่า แต่จะมีคนอ่านจริงๆสักกี่คน?


 


มันเป็นไปไม่ได้


 


ลู่โจวอยากแก้แค้นข้อกล่าวหาเหล่านี้ เขาลงทะเบียนบัญชีเว่ยป๋อ เขาพิมพ์คอมเมนต์ลงไปเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครมาไลค์เลย


 


บางทีนี่อาจเป็นผลที่ตามมาของการมีบัญชีเว่ยป๋อที่ไม่เป็นที่นิยม…


 


เขาคิดว่าเขาเลือกภารกิจที่ง่ายขึ้น เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะเจอปัญหามากมาย


 


นี่เป็นเพราะความประมาทของเขาเช่นกัน ถ้าเขาใช้นามแฝงในการตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ คงไม่มีใครสังเกต และตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว


 


ทันใดนั้นเองโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น


 


มันเป็นสายจากศาสตราจารย์ถัง


 


ลู่โจวทำหน้าสับสน มันไม่มีเหตุผลที่ศาสตราจารย์ถังจะโทรหาเขา


 


มันเป็นเพราะวิทยานิพนธ์? หวังว่าไม่นะ


 


ลู่โจวรู้สึกถึงความไม่แน่นอนขณะรับสาย


 


“ฮัลโหล?”


 


“โจวน้อย เธอทำอะไรอยู่?”


 


ลู่โจวได้ยินแบบนั้นเสียงเขาก็สงบมาก เขาผ่อนคลายแล้วตอบ “ผมกำลังเรียนอยู่ในห้องเรียน มีอะไรเหรอครับ?”


 


ศาสตราจารย์ถังชะงักชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าเธอว่างให้มาออฟฟิศฉันด้วย”


 


“ตอนนี้?”


 


“ใช่ ตอนนี้”


 


…..


 


ลู่โจวเก็บโน๊ตบุ๊คกับหนังสือก่อนจะตรงไปออฟฟิศศาสตราจารย์ถัง


 


เขาเดินเข้าไปแล้วเห็นคณบดีหลู่จากเอกคณิตศาสตร์และคณบดีจางจากวิทยาการคอมพิวเตอร์อยู่ด้วยเช่นกัน


 


ลู่โจวเดินเข้าไป ศาสตราจารย์ทั้งสามก็ยิ้ม พวกเขาสบตากันแล้วใช้ภาษากายคุยกัน สุดท้ายศาสตราจารย์ถังก็ถอนหายใจแล้วกล่าว “ลู่โจว อาจารย์ขอถามเธอบางอย่าง”


 


ลู่โจวถาม “ศาสตราจารย์ เชิญถามมาได้เลยครับ”


 


ศาสตราจารย์ถังกล่าวต่อ “ช่วงนั้น…หลังจากที่เธอส่งวิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์ เธอได้ส่งSCIอีกไหม?”


 


ลู่โจวรู้ว่าเขาไม่อาจเก็บซ่อนความจริงได้ เขาจึงตอบตามตรง “ใช่ครับ”


 


คณบดีจางมองคณบดีหลู่ก่อนจะพูดอย่างจนปัญญา “อาจารย์คิดไว้แล้ว มีนักศึกษาในสาขาเราไม่มากนักที่แซ่ลู่ ส่วนคนที่เขียนวิทยานิพนธ์เป็นนั้นมีน้อยกว่ามาก”


 


ศาสตราจารย์ถังเป็นกังวล เขาถาม “เธอส่งวิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์ใช่ไหม?”


 


“ครับ…” ลู่โจวกล่าวตามตรงและพยักหน้า จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมด้วยเสียงอันเบา “และวิทยานิพนธ์อื่นๆ…เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และระบบระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์”


 


ดวงตาของศาสตราจารย์ถังแทบถลนออกมา “เธอ…ทำไมเธอถึงข้ามมาวิทยาการคอมพิวเตอร์! ไม่ใช่ว่าไม่กี่วันก่อนเธอกำลังวิจัยจำนวนเฉพาะของแมร์แซนเหรอ?”


 


“ผมเห็นว่าการส่งจะได้รับเงิน 150 หยวนต่อวิทยานิพนธ์หนึ่งฉบับ” ลู่โจวกล่าวเชิงขอโทษ เขามองศาสตราจารย์ถังแล้วกล่าวเงียบๆ “จากนั้นผมเลยแบ่งงานวิจัยของผมเป็นเก้าส่วนแล้วส่งไป…”


 


ศาสตราจารย์ถัง “…”


 


คณบดีหลู่ “…”


 


คณบดีจาง “…”


 


มันมีปัญหาไหม?


 


เห็นได้ชัดว่าไม่มีปัญหา เพราะยังไงมหาลัยก็สนับสนุนให้นักศึกษาส่งวิทยานิพนธ์ การส่งเพื่อเงินนั้นแปลกเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย…


 


อย่างไรก็ตามสถานการณ์นี้ได้สร้างปัญหา


 


ออฟฟิศเงียบสนิท สุดท้ายคณบดีหลู่ก็กระแอมแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงใจดี “เอ่อ…นักศึกษาลู่ เธอเขียนวิทยานิพนธ์เอง?”


 


“แน่นอนครับ” ลู่โจวกล่าว เขาพยักหน้าและกล่าวต่อ “ผมเขียนในห้องสมุด”


 


เขาไม่ได้โกหก เพราะการซื้อความรู้จากระบบไม่เพียงพอที่จะเขียนวิทยานิพนธ์ เขายังต้องค้นคว้าส่วนที่ไม่เข้าใจ อย่างมากเขาก็แค่คัดลองขั้นตอนการคำนวณ


 


เขาอ่านเอกสารมากกว่าร้อยฉบับและหนังสืออีกนับไม่ถ้วนเพื่อวิทยานิพนธ์เหล่านี้


 


พวกเขาไม่ต้องไปดูกล้องวงจรปิดด้วยซ้ำ พวกเขาสามารถถามคำถามเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์หรือระบบGISกับลู่โจว แล้วลู่โจวจะตอบคำถามทั้งหมดเอง


 


แน่นอนถ้าพวกเขาถามคำถามยากๆอย่างการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในงานสาขาอื่น เขาอาจตอบไม่ได้ อย่างไรก็ตามเขายังสามารถใช้แต้มทั่วไปเพื่อซื้อคำตอบทันที มันแค่สิ้นเปลืองก็เท่านั้น


 


คณบดีหลู่ไม่รู้จะพูดอะไร เป็นคณบดีจางที่ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “คณบดีหลู่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เขาแค่ประหลาดใจที่เธอชำนาญวิทยาการคอมพิวเตอร์ อาจารย์เห็นสอบภาษา C เธอแล้ว เธอได้95คะแนน ดีมาก อาจารย์เชื่อว่ามันเป็นวิทยานิพนธ์ที่เขียนมาด้วยตนเอง…แต่ก็มีคนที่ไม่เชื่อเธอแล้วเขียนบทความขึ้นมา เธอเคยเล่นเว่ยป๋อไหม?”


 


อันที่จริงพูดตรงๆ ปัญญาประดิษฐ์ส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษา C++ ซึ่งมันค่อนข้างแตกต่างจากภาษา C อาจารย์จะสอนแค่รูปแบบพื้นฐานของภาษา C++ เท่านั้นและไม่ได้ลงลึกในภาษาเลย


 


คณบดีจางรู้ว่าใครก็ตามที่เขียนวิทยานิพนธ์ได้แบบนั้น เขาจะต้องชำนาญภาษา C เช่นกัน 95 คะแนนก็เป็นไปตามความคาดหวังของเขาแล้ว


 


“อาจารย์กำลังพูดถึงบทความนั้นเหรอครับ?” ลู่โจวถาม


 


“ใช่” คณบดีจางกล่าว เขาจ้องมองลู่โจวแล้วพยักหน้า “เธออ่านแล้ว?”


 


ลู่โจวตอบ “ผมอ่านแล้ว” แม้ว่าเขาจะโกรธมาก แต่ภายนอกเขาก็ยังทำตัวสงบ เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวลวกๆ “บทความนี้ไม่มีสมอง ผมไม่ลดตัวเองไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา”


 


อันที่จริงในใจของเขา เขาอยากถือมีดไปแทงคนเขียนบทความให้ยับ


 


“นักศึกษาลู่ อาจารย์ต้องอธิบายให้เธอสักหน่อย” คณบดีหลู่กล่าว เขามองลู่โจวอย่างจริงจัง “เธอไม่ใช่แค่คนๆเดียว เธอเป็นนักศึกษาของทางมหาลัย เธอเป็นตัวแทนชื่อเสียงของมหาลัย! เราจะไม่ยกโทษให้นักศึกษาที่ผิดศิลธรรม แต่เราจะไม่ยอมให้มีคนมาทำให้ชื่อเสียงของนักศึกษาของเราแปดเปื้อนเช่นกัน อาจารย์หวังว่าเธอจะปรับทัศนคติแล้วให้ความสำคัญกับเหตุการณ์นี้อย่างจริงจัง”


 


“แต่คณบดีหลู่ ผมทำอะไรไม่ได้ ผมเขียนถึงเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่ตอบเลย” ลู่โจวกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก


 


“อันที่จริง คณบดีหลู่แค่อยากให้เธอมีทัศนคติเชิงบวกมากขึ้น” คณบดีจางกล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “เกี่ยวกับความคิดเห็นของสาธารณชน มหาลัยจะทำการแถลงข่าว เราหวังว่าเธอจะร่วมมือกับเราแล้วออกมาพูดให้ตัวเองกับทางมหาลัย ไม่เป็นไรใช่ไหม?”


 


พวกคุณแค่อยากให้ฉันออกมาพูด?


 


ง่ายมาก ทำไมคุณไม่บอกฉันแต่แรก?


 


ลู่โจวโล่งอกแล้วพยักหน้า


 


“ผมเห็นด้วย!”


ตอนที่ 38 มอบถ่านไม้กลางหิมะ


ณ เซินเจิ้น อาคารซุนเฟิงกรุ๊ป ออฟฟิศของซีอีโอ


หวังเหว่ยกำลังเอนตัวพิงเก้าอี้สำนักงานไถโทรศัพท์เล่น


มันเป็นพักหลังทานอาหารเที่ยง เขามักจะใช้เวลาพักครึ่งชั่วโมงหลังจากทานมื้อเที่ยงเพื่อดูกระแสบนเว่ยป๋อหรือข่าวของวันนี้ ท้ายที่สุดแล้วงานของเขาก็เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตอย่างใกล้ชิด ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด


“นักศึกษาปริญญาตรีจากมหาลัยจินหลิงตีพิมพ์ 9 วิทยานิพนธ์SCI…นักศึกษาปริญญาตรีสมัยนี้ฉลาดขนาดนี้เลย?” หวังเหว่ยถาม จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า


เขาเปิดบทความแล้วเห็นว่าผู้เขียนเป็นนักเขียนแนววิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง จูฟางไฉ


หวังเหว่ยเห็นชื่อนี้แล้วคิ้วกระตุก ความประทับใจแรกที่มีต่อชายคนนี้ไม่ดีนัก


จูฟางไฉคนนี้ถือได้ว่าเป็นคนมีชื่อเสียง เขามีชื่อเสียงในด้านการสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นบนเว่ยป๋อ เขาไม่ได้มีความสามารถ เขาถูกเรียกว่า ‘ปากใหญ่’ กับตัวตลกที่ชอบปั่นกระแสแบบนี้ หวังเหว่ยเกลียดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากคนๆนี้ชอบวิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษาของจีนแล้วพูดถึงมันทุกวัน เขากระทั่งเคยใช้วุฒิมัธยมปลายของหวังเหว่ยมาเป็นตัวอย่างในการพิสูจน์มุมมองของตน


หวังเหว่ยไม่ได้สนใจเรื่องวุฒิของตน ไม่งั้นเขาแค่บริจาคเงินนิดหน่อยให้มหาลัย เขาก็ได้ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์แล้ว


อย่างไรก็ตามจูฟางไฉเรียกเขาว่า’นักเรียนมอปลาย’ ซึ่งมันทำให้หวังเหว่ยรำคาญ เพราะยังไงก็คงไม่มีใครชอบถูกเปิดโปงซ้ำแล้วซ้ำเล่า


หวังเหว่ยเห็นชื่อนี้แล้วเลิกสนใจ เขาไม่อ่านบทความด้วยซ้ำ มันก็แค่การพยายามสร้างความเสียหายด้วยคำพูด


ใช้วิทยานิพนธ์เก้าฉบับของนักศึกษาปริญญาตรีเพื่อพูดถึงการศึกษาของจีน?


แกเป็นตัวอะไร?


ในเวลานั้นเองก็มีเสียงคนเคาะประตูห้องเขา


“เข้ามา”


คนที่เข้ามาคือเหลียงเซิ่งหาว เขาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของศูนย์วิจัยและพัฒนาโดรนโลจิสติกส์ของบริษัท เขาจบการศึกษาจากคาลเทค(Caltech) เขามีปริญญาคู่(dual degree)วิทยาการคอมพิวเตอร์และการจัดการด้านโลจิสติกส์ และเขาก็อายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น


เนื่องจากความก้าวหน้าล่าสุดของเทคโนโลยีโดรน คอนเซ็ปโดรนจึงเป็นกระแส ซุนเฟิงเป็นองค์กรโลจิสติกส์เอกชนชั้นนำของประเทศ ย่อมเป็นเรื่องธรรมชาติที่ซุนเฟิงจะไม่ยอมล้าหลังในเรื่องของโดรน ดังนั้นซุนเฟิงจึงได้ก่อตั้งโปรเจ็คอากาศยานไร้คนขับโดยร่วมมือกับDJI พวกเขาลงทุนไป 500 ล้านแล้วสร้างโรงงานวิจัยและพัฒนาในเซินเจิ้น


แน่นอนเนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะบรรลุโดนขนส่งในระยะสั้น


หวังเหว่ยรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน ดังนั้นแม้ว่าศูนย์วิจัยและพัฒนาตามเทคนิคแล้วควรเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาโลจิสติกส์อากาศยานไร้คนขับ แต่ก็มีนักวิจัยไม่มากนักที่มีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาโลจิสติกส์อากาศยานไร้คนขับ โปรเจ็คอากาศยานไร้คนขับหลักๆจะมุ่งเน้นไปในทิศทางของโลจิสติกส์อัจฉริยะ


มันหมายถึงการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อคาดการณ์พิกัดของโกดังสินค้าและสถานจำหน่ายสินค้า รวมไปถึงการปรับปรุงเทคโนโลยีการจัดสินค้าอัตโนมัติเป็นต้น


เหลียงเซิ่งหาวเดินมาที่โต๊ะทำงานแล้ววางวารสารวิทยาการคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ เขายิ้มแล้วกล่าว “ท่านซีอีโอหวัง ผมหาอัจฉริยะให้ท่านแล้ว”


“อะไรนะ?” หวังเหว่ยวางโทรศัพท์ลงแล้วอ่านวารสาร เขายิ้มแล้วกล่าว “เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์และการสื่อสารสมัยใหม่? ครั้งก่อนคุณไม่ได้บอกฉันเหรอว่ามันมีผลงานไม่ได้มาตรฐานจำนวนมากในวารสารนี้? ในที่สุดคุณก็ซื้อมาอ่าน?”


“ผมอ่านวารสารวิทยาการคอมพิวเตอร์ทั้งหมด โดยเฉพาะที่มันเกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ ผมไม่อ่านวารสารในประเทศเลยจริงๆ” เหลียงเซิ่งหาวกล่าว เขาดันกรอบแว่นแล้วกล่าวต่อ “ขอบคุณพระเจ้าที่ผมเห็นบทความในกระแส ไม่งั้นวิทยานิพนธ์เหล่านี้อาจอยู่ในถังขยะ”


“คุณกำลังพูดถึง?” สีหน้าของหวังเหว่ยดูแปลกไปเล็กน้อย


“ใช่ครับ นักศึกษาปริญญาตรีที่ส่งวิทยานิพนธ์เก้าฉบับ ผมเอามาอ่านแล้วพบว่าการคำนวณที่กล่าวถึงในวิทยานิพนธ์ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว มันก็แค่…”


โอ้?


มีนักศึกษาปริญญาตรีที่ทำให้คุณสนใจด้วย?


หวังเหว่ยรู้สึกสนใจ เขานั่งตัวตรงแล้วกล่าว “แค่อะไร?”


“มันก็แค่ว่างานวิจัยของเขา…ล้ำเล็กน้อย” เหลียงเซิ่งหาวกล่าว เขานึกถึงคำพูดที่ใช้แล้วกล่าวต่อ “การขนส่งแบบโลจิสติกส์อากาศยานไร้คนขับยังเป็นแค่แนวคิด ไม่มีบริษัทไหนในโลกที่บรรลุฮาร์ดแวร์ที่ได้มาตรฐานสำหรับโดรนขนส่ง ดังนั้นบริษัทเดินเรือรอบโลกจึงมุ่งเน้นในด้านฮาร์ดแวร์”


หวังเหว่ยพยักหน้าแล้วถาม “ฉันรู้ แล้วอะไรอีก?”


“แต่เนื้อหาวิทยานิพนธ์ของเขาขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ทางทฤษฎีของโดรนขนส่ง ยกตัวอย่างในวิทยานิพนธ์ของเขา เขาเสนอแนวคิดการสร้างโลจิสติกส์แบบ’รังผึ้ง’ในเมือง เชื่อมต่อกับศูนย์คัดแยก แนะนำโดรนให้เข้าสู่ระบบGPS ค้นหาหนทางดำเนินการแบบอัตโนมัติโดยไม่ใช้แรงงานมนุษย์ มันสามารถระบุที่อยู่ผ่านกล้อง ยืนยันผู้ได้รับสินค้าโดยใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ยืนยันใบเสร็จรับของโดยการใช้ท่าทาง และอัพโหลดข้อมูลการแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติเมื่อโดรนถูกแทรกแซง…”


เหลียงเซิ่งห่าวพูดถึงตรงนี้แล้วหยุด


นิ้วของหวังเหว่ยเคาะบนโต๊ะเบาๆ เขาหยุดสักพักแล้วกล่าว “เอาล่ะ เขาแค่เสนอแนวคิดงั้นเหรอ?”


ถ้าลู่โจวแค่เสนอแนวคิด มันคงไม่มีอะไรพิเศษ ขอแค่ทำพาวเวอร์พ้อยเป็น ใครๆก็พูดเรื่องปัญญาประดิษฐ์ได้สักสองสามหัวข้อ การพูดถึงไอเดียเหล่านี้ได้มันก็แค่หมายความว่าเขามีความเข้าใจในหัวข้ออยู่บ้าง

(ผู้แปล : เข้าใจแค่หัวข้อ แต่ไม่เข้าใจเนื้อหา)


อย่างไรก็ตามถ้าระดับของลู่โจวต่ำขนาดนั้นจริง เขาคงไม่ผ่านแผนกทรัพยากรมนุษย์หรอก


“ไม่ใช่แค่เสนอแนวคิดครับ” เหลียงเซิ่งหาวกล่าว เขาส่ายหน้า “มันพูดถึงวิธีการคำนวณด้วย ส่วนใหญ่เกี่ยวกับระบบจดจำใบหน้าและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ นี่เป็นเหตุผลที่ผมคิดว่าเจ้าหนูนี่มีฝีมือ โดยเฉพาะอัลกอริทึมที่เขาเขียนเพื่อจดจำใบหน้า แม้ว่าผมจะเห็นข้อบกพร่องบ้าง แต่มันยังถือว่าแปลกใหม่ ศูนย์วิจัยของเราสามารถนำงานของเขาไปต่อยอดได้”


มันไม่ใช่แค่ไอเดีย ลู่โจวก็ตระหนักถึงไอเดียของตนเช่นกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


มันเหมือนกับคำพูดที่ว่า ‘ฉันอยากสร้างอพาร์ทเม้นท์’ จากนั้นก็หาคนสองคนมาวางก้อนอิฐสองก้อน คุณค่าของคนสร้างเหล่านั้นมันแตกต่างจากคุณค่าของไอเดีย


แม้ว่าความคืบหน้าของงานวิจัยเขาจะมีไม่กี่เปอร์เซ็น แต่หวังเหว่ยไม่สนใจ งานวิจัยล้วนจำเป็นต้องมีกระบวนการที่ยาวนาน ยิ่งมูลค่าของโปรเจ็ควิจัยสูงแค่ไหน เงินและเวลาก็จะใช้มากขึ้นเท่านั้น


หวังเหว่ยไม่ได้พูดอะไร กลับกันเขาหยิบวารสารวิทยาการคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วพลิกไปหน้าของลู่โจว


[การวิจัยและพัฒนาโลจิสติกส์อากาศยานไร้คนขับและพูดคุยเกี่ยวกับกรอบแนวคิด]


[วิเคราะห์อัลกอริทึมพิกเซลจากปัญญาประดิษฐ์]


[อัลกอริทึมที่เหมาะสมที่สุดเพื่อการรู้จำรูปภาพแบบไดนามิกจากปัญญาประดิษฐ์]


[วิธีวัดขนาดร่างกายมนุษย์แบบอัตโนมัติจากปัญญาประดิษฐ์]


[…]


แม้ว่าวิทยานิพนธ์แบบเดี่ยวๆอาจจะต่ำกว่ามาตรฐาน แต่มูลค่าโดยรวมของวิทยานิพนธ์ยังคงสูงค่า


เหลียงเซิ่งหาวเห็นว่าซีอีโอเขาไม่พูดอะไร เขาจึงกล่าวต่อ “การตีพิมพ์อัลกอริทึมแบบนี้ลงในวารสารเป็นการสูญเปล่าเหลือเกิน ผมขอแนะนำให้ส่งข้อเสนองานให้เขาแล้วจ้างเขาเข้ามาทำงานในบริษัทเราโดยตรง เขาสามารถช่วยงานวิจัยของเราได้”


“ไม่ต้องรีบขนาดนั้น” หวังเหว่ยกล่าวและโบกมือ


เหลียงเซิ่งหาวขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ท่านกำลังสงสัยการศึกษาของเขาหรือ? จากความสามารถของเขา แม้แต่นักศึกษาปริญญาโทในสาขาปัญญาประดิษฐ์ประยุกต์ก็มีค่าไม่เท่าเขา นอกจากนี้แม้ว่าเราจะไม่ใช้โลจิสติกส์อากาศยานไร้คนขับในระยะสั้น แต่สุดท้ายเราต้องเข้ามาสู่สาขานี้แน่! เราควรเริ่มเตรียมพร้อมตั้งแต่ตอนนี้”


วิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นวิชาใหม่ มันแตกต่างจากสาขาอื่น แม้ว่าการศึกษาจะยังสำคัญ แต่มันก็ไม่ได้สำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมากมาย


ท้ายที่สุดแล้วเหล่าคนที่มีความสามารถพิเศษจะไม่ปรากฏในตลาดหางาน พวกเขาจะถูกขึ้นชื่อในรายชื่อการรับสมัครคนของบริษัทที่มีชื่อเสียง


“ฮ่าๆ คุณไม่ต้องสอนฉันเรื่องนี้ คุณก็รู้ว่าฉันมองแค่ความสามารถ” หวังเหว่ยกล่าว เขายิ้มแล้วโยนวารสารไว้บนโต๊ะ “อย่าพึ่งส่งข้อเสนอ ปล่อยให้รอไปก่อน เพราะยังไงเราก็เป็นบริษัทในประเทศแห่งเดียวที่ทำโลจิสติกส์โดรนส่งของ ดังนั้นจะไม่มีใครขโมยเขาไปจากเราแน่”


เหลียงเซิ่งหาวชะงัก เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาตระหนักถึงความหมายแฝงจากซีอีโอ ดวงตาเขาก็เปล่งประกาย


เข้าใจแล้ว…


ซีอีโอของฉันฉลาดมาก!


คนหนุ่มสาวที่กระฉับกระเฉงทรงพลังถูกวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้และถูกกล่าวหาว่างานวิจัยของตนไร้ค่า มันจะต้องทำให้เขาทุกข์ทรมาณ


ปล่อยให้จูฟางไฉคนนั้นโจมตีเขาไปอีกสักนิดแล้วรอจนกว่าลู่โจวจะรับแรงกดดันไม่ไหว จากนั้นซุนเฟิงกรุ๊ปก็จะออกมาแล้วมอบข้อเสนอ 500000 หยวนต่อปีให้เขาเพื่อยืนยันคุณค่าวิจัยของเขา…


จากนั้นเขาก็จะภักดีต่อซุนเฟิงตลอดกาล!


คนที่มีเงินเดือนสูงมักจะได้รับตำแหน่งที่ดีกว่าในบริษัทอื่น ดังนั้นบริษัทมากมายจึงใช้ผลประโยชน์ของพนักงานและหุ้นเพื่อรักษาพนักงานของตน สิ่งสำคัญอย่างแรกคือรักษาให้พนักงานเชื่อมั่นว่าอนาคตของบริษัทจะสดใส อีกอย่างก็คือการทำให้บริษัทไปอยู่ในใจของพนักงาน ทำให้บริษัทเป็นที่พิเศษสำหรับพวกเขา


ในอีกแง่นึง อย่างหลังมีความสำคัญมากกว่าอย่างแรก


หวังเหว่ยเอนตัวพิงเก้าอี้สำนักงาน เขายิ้มแล้วกล่าว “เอาวารสารไว้นี่แหละ ฉันจะจำสิ่งนี้ ไปทำธุระของคุณเถอะ”


“ครับ” เหลียงซุนหาวพยักหน้าก่อนจะออกจากออฟฟิศเขา


ตอนที่ 39 เข้าใจจดหมายทนาย


 


 


วันนี้จูฟางไฉรู้สึกดีมากจริงๆ


 


ปกติเขาจะแค่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นทั้งวัน เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นกระทู้มาแรงอันดับแรก


 


แม้ว่ามหาลัยจินหลิงกับกองบรรณาธิการของ[เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์และการสื่อสารสมัยใหม่]จะออกมาตอบว่าวิทยานิพนธ์เหล่านี้มันไม่มีปัญหาใดๆ แต่ประชาชนก็ไม่เชื่อมั่นเนื่องจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์


 


มหาลัยจินหลิงไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขากระทั่งส่งจดหมายทนายให้จูฟางไฉ!


 


ในจดหมายทนาย มหาลัยจินหลิงกล่าวอย่างชอบด้วยธรรมว่าวิทยานิพนธ์เหล่านี้ไม่มีปัญหาเลย มหาลัยจินหลิงไม่ใช่แค่ให้เขาถอนบทความทันทีเท่านั้น แต่พวกเขายังขอให้ออกมาขอโทษอีกด้วย ไม่งั้นมหาลัยจินหลิงจะฟ้องร้องเพื่อรักษาสิทธิ์ของตน


 


นอกจากนี้มันยังถูกโพสต์บนบัญชีเว่ยป๋ออย่างเป็นทางการของมหาลัยจินหลิง มันแสดงคำตอบจากคณะตรวจสอบจาก[เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์และการสื่อสารสมัยใหม่]ซึ่งพิสูจน์คุณค่าทางวิชาการของวิทยานิพนธ์ ในที่สุดชาวเน็ตก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง มันทำให้พวกเขารู้สึกสงสัยว่าพวกเขาถูกหลอกหรือไม่


 


อย่างไรก็ตาม ‘ปากใหญ่’ไม่กลัว


 


ใครจะสนใจกลยุทธ์ทางการตลาดของแก?


 


ใครจะสนใจจดหมายทนายของแก?


 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนขู่จะฟ้องฉัน


 


เรื่องนี้จะทำให้เขาเป็นกระแสต่อ!


 


เขาได้รับผู้ติดตามมาสี่แสนคนในเวลาสองวัน มันทำให้เขามีผู้ติดตามกว่า 3 ล้านคน! รายได้จากโฆษณาของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เขาแค่ต้องด่าทนายคนนี้หน่อย เขาก็จะมีผู้ติดตามกว่า 4 ล้านคน!


 


ดังนั้นจูฟางไฉจึงไม่ตอบจดหมายของทนายความจางเลย ไม่ใช่แค่นั้น เขาเปิดเว่ยป๋อบนคอมพิวเตอร์ทันทีแล้วเริ่มเขียนโพสต์ที่สอง


 


กล่าวอีกนัยนึงคือ มันเป็นโพสต์ต่อสู้ของเขา!


 


[สุภาพบุรุษจอมปลอมที่อับอายกลายเป็นโทสะ : พูดจากจดหมายทนาย]


 


จูฟางไฉมองหัวข้อด้วยความพึงพอใจแล้วพิมพ์บนคีย์บอร์ดต่อ เขาทำตามแบบที่คิดไว้แล้วเริ่มพิมพ์ข้อความ


 


“มหาลัยจินหลิงให้คำตอบว่าไม่มีปัญหากับวิทยานิพนธ์ มันเป็นทางการมาก”


 


“ผมมาลองคิดๆดู แม้ว่าวิทยานิพนธ์จะไม่มีปัญหา แต่นักศึกษาปริญญาตรีจะตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ 9 ฉบับในหนึ่งเดือนได้อย่างไร?! ใครจะพิสูจน์ได้ว่าเขาเขียนเอง? เขาต้องลอกผลงานมาหรือไม่ก็มีคนอื่นเขียนให้!”


 


“…หลังจากมหาลัยพบนักศึกษาทุจริต พวกเขาก็ไม่ได้ตรวจสอบนักศึกษาด้วยซ้ำ กลับกันพวกเขาพยายามปิดปากผู้เขียนด้วยจดหมายทนาย วิธีการแบบนี้ทำให้ประชาชนทุกคนที่สนใจกับการศึกษารู้สึกผิดหวัง! นักศึกษาคนนี้ต้องมีปูมิหลังครอบครัวที่ไม่ธรรมดา!”


 


“ผมขอบอกเลยผมขอโทษถ้าผมไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตเข้า แต่ผมจะไม่ขอโทษสำหรับเรื่องนี้! ทำไมผมต้องขอโทษในสิ่งที่ถูกต้อง? ผมเป็นนักวิจัยวิทยาศาสตร์ ผมคิดว่าการเขียนวิทยานิพนธ์เก้าฉบับในหนึ่งเดือนมันเป็นไปไม่ได้ ผมเป็นนักวิจารณ์ทางการศึกษาเช่นกัน ผมคิดว่าผมกับประชาชนมีสิทธิ์สงสัย”


 


“ผมขอโทษถ้าผมจะไปเจอกับคนแซ่ลู่แล้วทำให้เขาตอบข้อสงสัยทั้งหมดของผม แต่เขาจะกล้าไหม”


 


เมื่อจูฟางไฉพิมพ์คำว่า’คนแซ่ลู่’ เขาก็ชะงักไปแปปนึง แววตาเขาเปลี่ยนไป เขายิ้มอย่างน่ากลัว เขากดปุ่มลบบนคีย์บอร์ดแล้วพิมพ์คำว่า’นักศึกษาชื่อโจว’แทน


 


ฉันจะไม่ใช่แค่เปิดเผยแซ่ของเขาเท่านั้น ฉันจะเปิดเผยชื่อโจวด้วยเช่นกัน!


 


กดส่ง!


 


จูฟางไฉกดส่ง เขาไขว่ห้างแล้วยกขาขึ้นมา


 


หลังจากนั้นไม่นาน ไลค์และคอมเมนต์ก็เริ่มปรากฏขึ้นมา


 


[น่าตกใจ เขาเป็นปีหนึ่ง!]


 


[ฉันคิดว่านักศึกษาปริญญาตรีชื่อลู่โฉว! เรื่องนี้ในที่สุดก็ได้รับการแก้ไข]


 


[ฉันรู้สึกเสียใจกับระบบการศึกษา…]


 


[สนับสนุนครูจู! ต่อต้านคนหลอกลวงในโลกวิชาการ! (กำปั้น) (กำปั้น)]


 


[ถ้านี่อยู่ในเมือง X ตำรวจคงไปจับคนหลอกลวงในโลกวิชาการแบบนี้ไปแล้ว…]


 


[ผู้คนคิดยังไงเมื่อพวกเขาบอกว่าวิทยานิพนธ์ไม่มีปัญหา เห็นได้ชัดว่ามหาลัยจินหลิงช่วยเหลือนักศึกษาของตนเพื่อประโยชน์ต่อชื่อเสียงของพวกเขา แต่นักศึกษาคนนี้มีปัญหามากไป เขาจบแล้ว (ยิ้ม)]


 


[…]


 


ฮ่าๆๆ!


 


จูฟางไฉมองดูตัวเลขการค้นหาที่เพิ่มขึ้นแล้วมีความสุข


 


ในเวลานั้นเองโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น


 


เขากระแอมแล้วรับสาย


 


“ฮัลโหล?”


 


“ฮัลโหลคุณจู นี่คณบดีของมหาลัยจินหลิง…”


 


“ว้าว น่าประทับใจ พวกคุณรู้เบอร์ฉันได้ไง? ฉันจะบอกบางอย่างให้พวกคุณ ฉันไม่ใช่นักศึกษาของคุณ ข้ามขั้นตอนเหลวไหลทิ้งไปแล้วเข้าประเด็นซะ” จูฟางไฉกล่าวขณะหยิบบุหรี่เข้าปากแล้วจุดไฟ


 


ท่าทีเย่อหยิ่งของจูฟางไฉทำให้อาจารย์จากปลายสายตกใจ อย่างไรก็ตามเธอก็ยังรักษาความสงบของตนเองได้ “งั้นฉันจะเข้าประเด็น คำกล่าวหาของคุณทำให้เกิดปัญหากับนักศึกษาของเรา ฉันหวังว่าคุณจะจริงจังกับสถานการณ์นี้แล้วออกมาขอโทษ”


 


จูฟางไฉหัวเราะ เขาเล่นกับขี้เถ้าแล้วตอบ “ปัญหา? ผมไม่คิดเลยว่าจะมีปัญหา คุณถามมาได้เลย แต่พวกคุณก็ไม่สามารถเอาเสรีภาพในการพูดของผมไป”


 


“คุณ!” อาจารย์โกรธมากกับท่าทีของจูฟางไฉ แต่เธอก็หยุดหลังพูดไปคำนึง


 


เธอไม่อาจดูเบาระดับความไร้ยางอายของขยะ ถ้าเขาบันทึกบทสนทนาแล้วตัดต่อมัน พาดหัวข่าวพรุ่งนี้อาจจะเป็น ‘มหาลัยข่มขู่นักข่าว’


 


อาจารย์ที่โกรธเกรี้ยวไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นจูฟางไฉจึงใช้มืออีกข้างถือโทรศัพท์แล้วกล่าว “ไม่เป็นไร อย่าเสียเวลาของผมเลย ผมขอโทษได้ แต่มีสองสิ่งที่คุณต้องพิสูจน์ให้ผม หนึ่งวิทยานิพนธ์ไม่ใช่ของปลอมและมีคุณค่า! ผมกำลังเตือนคุณ ผมอยากพิสูจน์จากผู้มีอำนาจสูงกว่าไม่ใช่จากพวกคุณ สองเป็นเขาที่เขียนวิทยานิพนธ์เหล่านี้จริงๆ! ถ้าพวกคุณไม่สามารถพิสูจน์สองประเด็นนี้ได้ งั้นผมจะสนับสนุนความเห็นของผมต่อไป! ผมจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องของโลกการศึกษา!”


 


เมื่อจูฟางไฉพูดจบ เขาก็วางสายทันที


 


…..


 


ลู่โจวรู้สึกเหมือยเขากลายเป็นแพนด้า เขาไม่รู้ว่าใครทำวีแชทเขาหลุดไป แต่มีคนจำนวนมากแอดวีแชทเขา


 


[อาจารย์ ช่วยฉันเขียนวิทยานิพนธ์ด้วย]


 


[ฉันอยากถามเรื่อง SCI มันผ่านง่ายเหรอ?]


 


[ช่วยฉันเขียนวิทยานิพนธ์ด้วย เราคุยเรื่องราคากันได้]


 


ฉันคิดว่ามีคนรู้สึกพรสวรรค์ที่แท้จริงของเขา


 


แม้ว่าวิธีสนับสนุนของพวกเขาจะค่อนข้างแปลกก็ตาม…


 


แน่นอนมันมีคนมากมายที่กำลังดูถูกเขาเช่นกัน พวกเขาอาจเป็นติ่งของคุณจู


 


ตอนนี้ลู่โจวรู้สึกชินแล้ว คนพวกนี้แค่ใช้คำดูถูกแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมา มันไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง


 


ส่วนครอบครัวของเขา พวกเขาไม่ได้เล่นเว่ยป๋อ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเห็นบทความนี้ มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวเขามากนักเช่นกัน เมื่อวานนี้เขายังคงไปบ้านของหานเมิ่งฉีเพื่อไปสอนคณิตศาสตร์อยู่เลย


 


ไม่มีใครบนท้องถนนรู้ว่าเขาคือลู่โจว แถมช่วงวันหยุดของมหาลัยก็มีคนอยู่กันไม่มากนัก


 


ในเวลานี้ลู่โจวพลันสังเกตเห็นว่าเฉินยู่ซานส่งข้อความมาให้เขา


 


[เฉินยู่ซาน : ช่วงนี้ฉันไม่เห็นนายที่ห้องสมุด นายเป็นไรไหม?]


 


[เฉินยู่ซาน : คนๆนั้นเลวมาก! นายพยายามอย่างหนักเพื่อเขียน…]


 


[เฉินยู่ซาน : เอางี้ไหม…คืนนี้ฉันจะเลี้ยงข้าวนาย?]


 


ลู่โจวรู้สึกอบอุ่นที่มีคนเห็นห่วงเขามากขนาดนี้ นิ้วเขาแตะที่โทรศัพท์แล้วพิมพ์ว่า [วันหลัง ผมยังต้องไปสัมภาษณ์กับจินหลิงไดอารี่ ผมไม่รู้ว่าผมจะเสร็จตอนไหน]


 


[เฉินยู่ซาน : นายจะขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์?]


 


[ลู่โจว : แม้ว่าจะไม่ได้ขึ้นเพราะเรื่องดีก็ตาม…]


 


ลู่โจวรอสักครู่ เฉินยู่ซานก็ส่งข้อความมาสองข้อความ


 


[ฉันเชื่อนาย]


 


[สู้ๆนะ!]


 


ห๊ะ?


 


ลู่โจวหัวเราะแล้วมองดูเวลาบนโทรศัพท์


 


มันเกือบถึงเวลาแล้ว!


 


ลู่โจวมาถึงห้องเรียน นอกจากคณบดีหลู่ มีผู้นำคนอื่นอีกสองคนที่มาจากสาขาคณิตศาสตร์เช่นกัน


 


เมื่อพวกเขาเห็นวิทยานิพนธ์ของลู่โจว ความประทับใจของศาสตราจารย์ที่มีต่อเขาก็ดีมาก ลู่โจวทักทายพวกเขาแล้วพวกเขาก็ส่งยิ้มให้เขา


 


นักศึกษาของพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เห็นได้ชัดว่าพวกเขารวมกำลังกันต่อต้านโลกภายนอก


 


นักข่าวจากจินหลิงไดอารี่กำลังเตรียมสัมภาษณ์ คณบดีหลู่ใช้เวลานี้ลากตัวลู่โจวไปถามข้างๆ “เธอพร้อมไหม? นักข่าวจะถามเธอ เธอก็แค่ตอบคำถามที่เธอตอบได้ก็พอ”


 


“ผมเข้าใจ” ลู่โจวกล่าวแล้วพยักหน้า


 


คณบดีหลู่ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาตบบ่าลู่โจวแล้วกล่าว “ไปกันเถอะ”


 


การสัมภาษณ์เริ่มต้นขึ้น


 


ลู่โจวนั่งบนเก้าอี้ในห้องเรียนและเผชิญหน้ากับกล้องและไมโครโฟน เขาแปลกใจที่พบว่าตนเองสงบกว่าที่คาดไว้


 


นักข่าวหญิงที่ไว้ผมหางม้ายิ้มให้เขา เมื่อเธอได้สัญญาณเริ่ม เธอก็กล่าวด้วยน้ำเสียงนักข่าว “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นนักข่าวจากจินหลิงไดอารี่ ฉันถามได้ไหมว่าเธอเขียนวิทยานิพนธ์เก้าฉบับในหนึ่งเดือนได้อย่างไร?”


 


คำถามนี้เป็นไปตามคาด


 


ลู่โจวคิดแล้วกล่าว “อันที่จริงผมไม่ได้รู้สึกว่ามันยากนัก เก้าวิทยานิพนธ์ล้วนเกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมันเป็นวิชาที่ค่อนข้างใหม่ ผมรู้สึกว่าผลงานของผมไม่ได้ยากนัก นอกจากนี้ผมได้ค้นคว้ามาสักพักนึงแล้ว ผมแค่พึ่งเริ่มเขียนช่วงนี้…”


 


นักข่าวสาวพยักหน้าแล้วมองเขาอย่างเห็นด้วย เธอถามคำถามที่สองต่อ “เธอมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับคำถามของคุณจูที่ถามเรื่องคุณค่าของวิทยานิพนธ์ของเธอไหม?”


 


“ผมคิดว่าเรื่องวิทยานิพนธ์ของผมไม่มีคุณค่านั้นเป็นการกล่าวหากันแบบผิดๆ เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิทยาการคอมพิวเตอร์ เขาสามารถเข้าใจวิทยานิพนธ์ของผมหรือ? เขาตรวจสอบการคำนวณของผมด้วยหรือ? บางทีเขาอาจไม่ได้อ่านด้วยซ้ำหรือบางทีเขาอาจไม่เข้าใจ…” ลู่โจวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์


 


“ฉันคิดว่าคุณจูคงไม่พอใจที่ได้ยินแบบนี้ เพราะเขาเป็นคนที่อ้างตัวเองเป็นนักเขียนแนววิทยาศาสตร์” นักข่าวกล่าวพร้อมกับหัวเราะ จากนั้นเธอก็กล่าวต่อ “แต่ปีหนึ่ง…หรือนักศึกษาที่กำลังจะขึ้นปีสองตีพิมพ์วิทยานิพนธ์SCIเก้าฉบับในหนึ่งเดือนมันเหลวไหลไปเล็กน้อย นี่เป็นเหตุผลที่ประชาชนตั้งคำถามกับเธอ นอกจากนี้คุณจูยังกล่าวอีกว่าวิทยานิพนธ์อาจถูกขโมยผลงานมาหรือว่ามันอาจไม่ได้เขียนด้วยตัวเธอเอง…”


 


“เรื่องนี้เป็นการกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริง” ลู่โจวยักไหล่ เขาพยายามรักษาความเยือกเย็นไว้ “ผมเขียนวิทยานิพนธ์ทุกฉบับในห้องสมุด ถ้าคุณต้องการ ผมขอคลิปกล้องวงจรปิดให้คุณได้”


 


“ไม่จำเป็นต้องใช้คลิปกล้องวงจรปิด เธอเคยพูดว่าเธอส่งวิทยานิพนธ์คณิตศาสตร์ด้วยใช่ไหม?” นักข่าวหยิบยกเอาคำพูดของลู่โจวมาใช้อย่างรวดเร็วแล้วอยากขยายความอีก


 


ลู่โจวไม่สามารถเก็บซ่อนมันไว้ แทนที่จะปล่อยให้คนอื่นขุดมาใช้เป็นหัวข้อโจมตีเขา สู้เขาพูดมาเองดีกว่า


 


ลู่โจวพยักหน้ายอมรับ “ใช่ นอกจากวิทยานิพนธ์วิทยาการคอมพิวเตอร์ ผมส่งวิทยานิพน์สองฉบับในวารสาร[วารสารนานาชาติ ทฤษฎีและคณิตศาสตร์ประยุกต์] หนึ่งในนั้นเป็นช่วงที่ผมเขียนวิทยานิพนธ์ทั้งเก้า ดังนั้นอันที่จริงผมเขียนวิทยานิพนธ์สิบเรื่องในหนึ่งเดือน”


 


นักข่าวได้ยินคำพูดของเขาแล้วแววตาเปล่งประกาย สีหน้าของคณบดีหลู่กลายเป็นสีฟ้า เขามองลู่โจวอย่างแรงกล้าโดยหวังว่าจะโน้มน้าวเขาไม่ให้พูดหัวข้อนี้ต่อ


 


อย่างไรก็ตามลู่โจวจงใจไม่มองคณบดีหลู่


 


เนื่องจากผู้อื่นเลือกที่จะโปรไฟล์สูงให้ลู่โจว มันจึงไม่มีประโยชน์ถ้าเขาจะทำตัวโปรไฟล์ต่ำ เขาต้องทำตัวโปรไฟล์สูงเพื่อสวนกลับ


 


สุดท้ายแล้วนี่ก็ไม่ใช่การถกเถียงกันอย่างเรียบง่าย มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะพิสูจน์เพื่อหักล้างกับข้อกล่าวหา ถ้าเขาบอกว่าผู้ประเมิณทางวิชาการสามารถพิสูจน์คุณค่าของวิทยานิพนธ์ของฉัน พวกเขาก็จะกระโดดออกมาแล้วสงสัยในความน่าเชื่อถือของผู้ประเมิณทางวิชาการ พวกเขาจะสงสัยว่าวารสารกับทางมหาลัยกำลังช่วยเหลือเขาเพื่อชื่อเสียงของตน


 


บางทีประชาชนอาจมีการคิดวิเคราะห์แยกแยะเป็นของตนเอง…


 


ช่างมันเถอะ นั่นมันเป็นไปไม่ได้เลย


 


มติมหาชนหมู่จะล้มล้างเขาโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริง


 


ดังนั้นลู่โจวจึงตัดสินใจแล้ว


 


เขาไม่อาจเป็นคนธรรมดา อัจฉริยะไม่ใช่คนธรรมดา


 


ถ้าคุณวาดแต่งให้ฉันเป็นมะเร็งโลกวิชาการ งั้นฉันก็จะวาดแต่งให้ตนเองเป็นอัจฉริยะ!


 


นักข่าวพยักหน้า เธอกำลังจะถามคำถามต่อไป แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูเสียงดังมาจากนอกห้องเรียน


 


นักข่าวถูกขัดจังหวะ คณบดีหลู่ขมวดคิ้ว แต่อาจารย์ที่เข้ามาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข


 


“คณบดีหลู่! มหาลัยของเราได้รับจดหมาย’ขอบคุณ’จากมหาลัยนิวยอร์ก ผู้รับคือ…ลู่โจว!”


ตอนที่ 40 แค่ก่อกวนโง่ๆ


 


 


[สวัสดีลู่โจว นี่คือแผนกวิจัยคณิตศาสตร์ Courant ของมหาลัยนิวยอร์ก ก่อนอื่นขอบคุณที่ท่านส่งงานวิจัยของท่านมาที่วารสาร[ทฤษฎีและคณิตศาสตร์ประยุกต์] หนึ่งในข้อสรุปที่ท่านพูดถึงในวิทยานิพนธ์’ทฤษฏีอินเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวดำเนินการเชิงเส้นและฟังก์ชั่นเชิงเส้น’ทำให้งานวิจัยที่เราร่วมมือกับสถาบัน Paul Scherrer มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ]


 


[…โปรเจ็คนี้เกี่ยวกับการวิเคราะห์สเปกตรัมหลังคลื่นไหวสะเทือนซึ่งมันจะถูกใช้ในการสำรวจธรณีวิทยาและวิจัยแผ่นดินไหว รายละเอียดเฉพาะของโปรเจ็คนี้อยู่ภายใต้ข้อตกลงการรักษาความลับ แต่ผมขอสัญญา งานวิจัยของท่านจะถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่สงบสุข…]


 


[…เมื่อเราพบว่าท่านอายุ 19 ปีเท่านั้น ศาสตราจารย์ร็อดเวลล์และศาสตราจารย์หลี่ของสถาบันเราก็ได้แสดงความแปลกใจออกมา


 


ในขณะเดียวกัน ผมค่อนข้างชื่นชมความสามารถทางคณิตศาสตร์ของท่าน ในขณะที่กำลังแสดงความขอบคุณสำหรับงานวิจัย เราก็ขอเชิญท่านอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ถ้าท่านสนใจมาอเมริกาเพื่อศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทโปรดติดต่อกลับมาหาเรา วิทยาเขตของมหาลัยนิวยอร์กเปิดต้อนรับท่านเสมอ]


 


ปักกิ่ง มหาลัยอู่เต๋าโข่ว ณ อพาร์ทเม้นท์สไตล์เก่าแห่งหนึ่ง


 


จินหลิงไดอารี่อยู่บนโต๊ะ เนื้อหามันถูกยกมาจากจดหมายจากมหาลัยนิวยอร์ก มันเลือกบางส่วนจากจดหมายมาเพื่อสรุปความขัดแย้งบนเว่ยป๋อ


 


ส่วนที่มาของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ มันถูกส่งมาจากเพื่อนร่วมชั้นเก่าของเขาที่เป็นอาจารย์ใหญ่ที่มหาลัยจินหลิง


 


นอกจากนี้มันยังส่งมาพร้อมกับสำเนาจดหมายภาษาอังกฤษ


 


“ก็แค่ก่อกวนโง่ๆ!”


 


ชายชราผมขาวอ่านหนังสือพิมพ์เสร็จ เขาดันกรอบแว่นแล้วส่ายหน้า นิ้วที่เขาวางอยู่บนโต๊ะกำลังสั่นด้วยความโกรธ


 


ชายกลางคนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ เมื่อเขาเห็นสีหน้าของชายชรา เขาก็ถาม “พ่อ อะไรทำให้พ่อโกรธขนาดนี้?”


 


“ดูเอง” ชายชรากล่าวแล้วนิ้วเคาะตรงหนังสือพิมพ์


 


ชายกลางคนเห็นหน้าปกหนังสือพิมพ์แล้วเข้าใจทันที


 


เขาแตกต่างจากพ่อที่เกษียณอายุแล้วที่ใช้เวลาทั้งวันเพื่อเล่นกับหมากับเล่นหมากรุก เขาใช้อินเตอร์เน็ตบ่อยครั้ง เขาย่อมได้ยินข่าวที่มาแรงอันนี้ เมื่อวานเขาพึ่งพูดเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงานอยู่เลย


 


มันไม่สำคัญว่าวิทยานิพนธ์จะมีปัญหาจริงหรือไม่ ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็น’ผู้เชี่ยวชาญ’พยายามจับนักศึกษาปริญญาตรี มันเป็นกลยุทธ์ที่ละโมภเพื่อชื่อเสียง


 


เขาแค่พยายามนินทาชาวบ้าน เป็นตัวสร้างปัญหาที่น่ารำคาญ


 


คุณอาจพูดได้ว่าเขากำลังทำลายปัญญาชน ชั่วร้ายอะไรแบบนี้!


 


ชายคนนั้นยิ้มแล้วถาม “พ่อรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”


 


“คนนอกชี้นิ้วลงมา อุกอาจอะไรแบบนี้! ฉันไม่สามารถทนดูต่อไปได้อีก!…”


 


มันเหมือนกับดวงตาขุ่นมัวของเขาจะตกลงไปในห้วงความทรงจำในอดีต


 


ชายชราอ้าปาก จากนั้นจู่ๆเขาก็ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า


 


“ไม่เป็นไร ฉันจะไม่พูดถึงมัน เรื่องมันแล้วไปแล้ว”


 


จากนั้นเขาก็ดูหนังสือพิมพ์อีกครั้ง มันอ้างอิงบล็อกโพสต์ที่เกี่ยวกับบล็อกเกอร์ที่ชื่อจูฟางไฉ


 


“…บทความนี้เขียนได้ดี มันคล้ายกับประเพณีที่ตกทอดจากอดีต” ชายชรากล่าว เขาใช้ที่วางแขนของเก้าอี้พยุงตัวเองขึ้นมาแล้วลุกขึ้นยืน


 


ชายกลางคนถาม “พ่อ? พ่อจะออกไปข้างนอก? เราใกล้ถึงเวลาทานข้าวแล้ว”


 


ชายชราโบกมือแล้วเดินไปที่ประตู “ฉันไม่กิน ฉันจะไปบ้านเพื่อนร่วมชั้นเก่า! ฉันโกรธมาก หัวใจฉันรู้สึกอึดอัด!”


 


…..


 


จดหมายขอบคุณที่[จินหลิงไดอารี]โพสต์ได้เปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชน


 


นักศึกษาที่ได้รับการยอมรับจากมหาลัยนิวยอร์กไม่สามารถเป็นมะเร็งโลกวิชาการ


 


ผู้คนที่เคยสงสัยลู่โจวก็เริ่มพิจารณาข้อมูลใหม่อีกครั้ง


 


มหาลัยนิวยอร์กติดอันดับท็อป 30 ของโลก เราอาจกล่าวได้ว่ามหาลัยจินหลิงปกป้องชื่อเสียงของตน แต่มันไม่มีเหตุผลที่จะมีคนข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมาทำแบบนั้นใช่ไหม? นอกจากนี้ศูนย์วิจัยของสวิสก็ยังฟังดูโดดเด่นเช่นกัน…


 


ข่าวนี้ออกมาทำให้จูฟางไฉโกรธจัด


 


เขาไม่อาจนั่งดูดาย เขากระโดดออกจากเก้าอี้แล้วเผยแพร่โพสต์ที่สาม


 


เขาไม่อาจพูดถึงคุณค่าทางวิชาการของวิทยานิพนธ์ชิ้นนี้อีกต่อไป


 


“แม้ว่าคุณจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับวิทยานิพนธ์ แต่คุณยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณเขียนมันเอง!”


 


“นักศึกษาปริญญาตรีจะเขียนวิทยานิพนธ์แบบนี้ได้อย่างไร?”


 


“ใครพิสูจน์ได้? มหาลัยจินหลิง? เพียงเพราะคุณไปห้องสมุดไม่กี่ครั้ง? ผมเข้าห้องสมุดนับครั้งไม่ถ้วน ทำไมผมถึงไม่สามารถเขียนวิทยานิพนธ์ 10 ฉบับในหนึ่งเดือน?”


 


“คุณบอกว่าคุณเป็นอัจฉริยะ ผมไม่เชื่อ”


 


ลู่โจวมองโพสต์ของจูฟางไฉแล้วคิด ‘มันเป็นเพราะคุณโง่…’


 


อย่างไรก็ตามโชคร้าย ฝ่ายตรงข้ามของลู่โจวไม่ได้ให้โอกาสเขา


 


การถกเถียงนี้พัฒนาจนเริ่มน่าเกลียด


 


ขณะที่ลู่โจวคิดว่าการถกเถียงครั้งนี้จะดำเนินต่อไป หนังสือพิมพ์[หัวกั๋วชิงเหนียน]ก็เผยแพร่ข่าว มันทำลายเรื่องตลกนี้ทันที


 


พาดหัวข่าวครอบงำมาก


 


[ความทะเยอทะยานของฮีโร่ตัวน้อย!]


 


บทความไม่ได้พูดถึงสงครามออนไลน์เมื่อสักครู่ มันรายงานแค่เรื่องของนักศึกษามหาลัยธรรมดาที่ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ SCI 11 ฉบับในปีนี้ นอกจากนี้ศาสตราจารย์ทั้งสองจากมหาลัยอู่เต๋าโข่วก็ได้ประเมิณวิทยานิพนธ์เหล่านี้และจดหมายขอบคุณที่ข้ามมหาสมุทรมา


 


และชื่อของเขาก็คือลู่โจว


 


บทความนี้ไม่เพียงถูกเผยแพร่ในวารสารเท่านั้น แต่มันยังถูกโพสต์บนบัญชีเว่ยป๋ออย่างเป็นทางการของหนังสือพิมพ์[หัวกั๋วชิงเหนียน]ด้วย


 


นอกจากนี้[เหรินเหรินไดอารี่]และสื่ออื่นๆอีกมากมายก็ได้รีโพสต์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน


 


ลู่โจวกลับอยู่ในหน้ามาแรงอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามครั้งนี้เขามาอยู่ในหน้ามาแรงด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง…


 


จูฟางไฉจ้องมองหน้าจอด้วยความโกรธ เขาเหงื่อไหลไม่หยุด


 


จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าเขากำลังเล่นอะไรที่ไม่เจียมตน


 


ในอดีต ไม่มีใครสนใจเขา เขาทำอะไรก็ได้ตามต้องการ ทุกคนเป็นตัวตนเล็กๆเช่นเดียวกับเขา มากสุดก็แข็งแกร่งกว่าเขาเล็กน้อย แต่มันก็ยังอยู่ห่างไกลจากการทำลายเขา


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้


 


สื่อพยายามดันให้ลู่โจวเป็นแบบอย่างของนักศึกษาที่เจิดจรัส แต่การถกเถียงของเขามันตรงข้ามกับการประชาสัมพันธ์ของสื่อ


 


แย่แล้ว…


 


ฉันจะทำยังไง?


 


ยอมแพ้?


 


แต่แฟนคลับของฉันไม่ชอบ แฟนคลับที่หาได้ยากอาจหายไปทั้งหมด


 


แต่ถ้าฉันไม่ยอมแพ้…


 


อันที่จริงจูฟางไฉกลัวว่าเขาจะถูกเรียกตัวออกไป


 


ไม่ว่าคนเราจะมีแฟนคลับมากแค่ไหน เราก็ยังสื่อทำลายได้ง่ายๆ


 


ในเวลานั้นเองโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น


 


มันเป็นสายจากนักวิจารณ์ทางการศึกษาอีกคนชื่อจงป๋อเหวิน


 


ชายคนนี้เขียนโพสต์คล้ายเขา แต่รุนแรงน้อยกว่า มุมมองของเขาก็ไม่รุนแรงเท่า’ปากใหญ่’เช่นกัน ผู้คนมักเรียกเขาว่าเฒ่าจง เขาเป็นคนใจดีและมีจิตใจงาม


 


“จู เลิกทำแบบนี้ได้แล้ว มันยังไม่สายเกินไป ถ้านายทำต่อ ฉันเกรงว่าจะมีปัญหาเอา” เฒ่าจงกล่าวอย่างหนักอึ้ง


 


“เฒ่าจง มันไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากหยุด แต่ฉันหยุดไม่ได้!” จูฟางไฉถอนหายใจ


 


เฒ่าจงเศร้า “คุณคิดว่ามหาลัยเหล่านี้ตอแยด้วยง่ายหรือ? คุณคิดว่าพวกเขาไม่มีผู้ติดตามเลยทำ? เรื่องนี้เกี่ยวกับผู้ติดตาม?! ทำไมคุณถึงไปมีเรื่องกับมหาลัยในเมื่อนายมีเพื่อนเก่าเพียงน้อยนิด?”


 


“ฉันไม่ได้อยากล่วงเกินมหาลัยจินหลิง ฉันแค่อยากวิจารณ์เจ้าหนูนี่ ใครที่เห็นวิทยานิพนธ์ 10 ฉบับในหนึ่งเดือนก็จะคิดว่ามันไม่ปกติใช่ไหม? ใครจะรู้ว่าปฏิกิริยาของพวกเขาจะใหญ่แบบนี้? ฉันคิดว่ามันต้องมีปัญหา!” จูฟางไฉโต้เถียง


 


“ฉันคิดว่าสมองคุณอะมีปัญหา” เฒ่าจงกล่าว เขาอดดูถูกไม่ได้ “ใช้สมองคุณคิด นักศึกษาปริญญาตรีตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ 10 ฉบับในหนึ่งเดือน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา!”


 


ตอนนี้คุณก็คิดแบบนี้แล้ว…


 


คุณพูดถูก…


 


แต่ตอนนี้จะเสียใจมันก็สายไปแล้ว


 


“งั้นคุณแนะนำให้ฉันทำยังไง?” จูฟางไฉกล่าวแล้วถอนหายใจ


 


“เรื่องนี้แก้ไขได้อย่างง่ายดาย พวกเขาแค่อยากให้คุณขอโทษ ถ้าคุณขอโทษ ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง เรื่องนี้ก็จะจบลง” เฒ่าจงกล่าวทางโทรศัพท์


 


“ไม่มีทาง ฉันจะสู้คดี คดีไม่แพงนัก…ถ้าฉันยอมรับความพ่ายแพ้ ฉันจะเสียมากกว่า” จูฟางไฉกล่าว เขากัดฟันพูด สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้า “อย่างมากฉันจะพูดน้อยลง”


 


ไม่มีทางที่ฉันจะออกไปขอโทษ ฉันไม่เคยขอโทษ


 


เขาจะเงียบใส่พวกเขาหรือไม่งั้นเราก็ขึ้นศาลกัน!


 


เขาเคยเห็นพายุลูกใหญ่กว่านี้!


 


เขาเขียนว่าชาหลงจิ่งเป็นต้นเหตุของมะเร็งและถูกรัฐบาลฟ้องร้อง สุดท้ายเขาก็เสียหกแสนหยวนเท่านั้น ศาลบังคับให้เขาจ่ายเงินได้ แต่บังคับให้เขาขอโทษไม่ได้!


 


เฒ่าจงถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “งั้นฉันจะไม่ช่วยคุณแล้ว ฉันหวังว่าคุณจะทำดีที่สุด”


 


เขาวางสาย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม