Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi 31-45

ตอนที่ 31

 

ในช่วงที่อัลแสดงเป็นลีโออยู่นั้น


 


ลีโอเองก็พยายามทำตัวเป็นอัลอย่างเต็มที่


 


“องค์ชายอาร์โนลด์ครับ กัปตันเรือถามว่าที่พวกเราไม่ออกค้นหาเรือของเจ้าชายลีโอนาร์ดจะไม่เป็นไรจริงๆหรอครับ?”


 


“เรื่องนี้อีกแล้วหรอ นั่นลีโอนะหมอนั่นต้องหาทางจัดการได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว มุ่งหน้าต่อไปเถอะ แล้วข้าก็รู้สึกไม่ค่อยดีด้วยเพราะฉะนั้นอย่ามากวนข้าด้วยคำถามไร้สาระอีก มันน่ารำคาญ”


 


“คะ, ครับองค์ชาย…..ตามประสงค์ครับ”


 


ลีโอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในตอนที่อัศวินเดินออกจากห้องของเขา


 


แต่ว่า, ยังมีคนนึงที่อยู่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงแอบอ้างอันแสนเลวร้ายของเขา


 


“ห้าสิบคะแนน ถ้าเป็นอัลตัวจริง, เขาจะฝากทุกอย่างเอาไว้กับกัปตันเรือ”


 


“นี่มันยากมากเลยนะครับ…..”


 


ลีโอพึมพำแล้วหันไปหาเอลน่า


 


ไม่เหมือนกับเรือของอัลที่ถูกดึงไปติดกับพายุ, เรือของพวกเขาสามารถหนีออกมาได้ก่อนที่จะถูกมันลากเข้าไป


 


แต่ถึงอย่างนั้น, เอลน่าก็อยู่ในอาการตื่นตระหนกอย่างสุดขีดเพราะเรือสั่นตลอดเวลา กว่าเธอจะรู้สึกตัวว่าลีโอสลับตัวกับอัลมันก็เป็นตอนที่เรือสั่นน้อยลงแล้ว


 


 


อย่างไรก็ตาม, หลังจากที่เธอจับได้, เธอก็ทำตัวเป็นที่ปรึกษาของลีโอ บาเรียที่อัลร่ายใส่เอาไว้ยังทำงานอยู่ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนักเมื่อเรืออยู่ในสภาพโคลงเคลงเล็กน้อยตามปกติ


 


“สำหรับตอนนี้, เรามาผ่านจุดนี้โดยไม่ให้ถูกจับได้กันเถอะ ถ้ามีคนรู้ว่าเจ้าสลับตัวมาหล่ะก็ได้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวใหญ่โตแน่”


 


“นั่นสินะครับ…..ข้าเองก็ต้องหนักแน่นเข้าไว้….ว่าแต่ท่านพี่จะเป็นอะไรรึเปล่านะ?


 


“อัลไม่เป็นอะไรหรอก มาร์คอยู่กับเขา, หมอนั่นค่อนข้างไว้ใจได้สำหรับสถานการณ์แบบนี้ ปัญหาในตอนนี้ก็คือเจ้าต่างหากหล่ะ”


 


“นั่นสินะครับ….ข้าเลียนแบบท่านพี่ไม่ไหวจริงๆ……”


 


“โชคดีนะที่มีแค่ไม่กี่คนที่รู้จักกับอัลเป็นการส่วนตัว ตราบใดที่เจ้าทำในสิ่งที่หมอนั่นชอบทำมันก็คงไม่เป็นอะไรหรอก”


 


“สิ่งที่พี่ชอบทำ, นั่นมันอะไรกันหล่ะครับ? แล้วก็เอลน่า, ไม่ว่าตอนนี้จะสวมซับในอยู่กี่ชั้น, แต่ข้าคิดว่าการทำแบบนี้ต่อหน้าข้ามันไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่นะครับ”


 


ลีโอเตือนเอลน่าที่กำลังเหยียดขาอยู่บนเตียง


 


จากจุดที่ลีโอนั่งอยู่, มุมมันทำให้เขามองเห็นข้างใต้กระโปรงของเอลน่า แน่นอนว่า, เอลน่าไม่ได้สนใจอะไรมากนักเนื่องจากมีกางเกงซับในปิดชุดชั้นในเอาไว้อยู่


 


“นี่แหล่ะเหตุผลที่พวกเจ้าสองคนไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นอัลหล่ะก็หมอนั่นคงไม่มีวันพูดเรื่องแบบนั้นหรอก”


 


“แต่นี่มันดูเปิดเผยมากเกินไปนะครับ ข้าว่าอย่าทำแบบนี้จะดีกว่า”


 


“ก็ได้ ก็ได้, ข้าจะระวัง แต่เอาจริงๆนะ, อัลคงไม่มีวันพูดแบบนั้นหรอก แค่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นข้าก็เลยพูดออกมามันอาจจะทำให้เจ้าโดนจับได้ก็ได้นะรู้รึเปล่า?”


 


“ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ…..แล้วถ้าเป็นท่านพี่เขาจะพูดแบบไหนหล่ะครับ?”


 


“นั่นสินะ…..ก็คงประมาณว่า [เจ้าลืมสวมซับในนะ] หรือไม่ก็ [อืมม, วันนี้สีขาวหรอ], อะไรเทือกๆนี้ หรือสรุปง่ายๆก็คือ, หมอนั่นมักจะพูดบางอย่างเพื่อให้ได้รับการตอบสนองจากข้าแล้วก็หัวเราะเยาะใส่”


 


“ข้าพูดไม่ได้หรอกครับ, แบบนั้นหน่ะ……”


 


เขาอาจจะกำลังนึกภาพตอนที่ตัวเองพูดอยู่, ลีโอหน้าแดงขึ้นมาแล้วเบือนสายตาหนีจากเธอ


 


นี่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่แล้วหล่ะ, เอลน่าคิด


 


อัลที่เคยชินกับการแกล้งทำตัวเหมือนลีโอกับลีโอที่ไม่ชิน ความแตกต่างที่ชัดเจนเลยก็คือการวางตัวและการตอบสนองกับเพศหญิง อัลสามารถปรับตัวให้เข้ากับคู่สนทนาได้แต่ลีโอมักจะสุภาพอยู่ตลอดในขณะที่คอยรักษารยะห่างเอาไว้ในระดับนึง


 


มันคือจุดคอขวดสำหรับลีโอเมื่อเขาต้องพยายามทำตัวให้เหมือนอัล


 


“ต่อให้อัลจะสามารถกลายเป็นลีโอได้ง่ายๆ, แต่มันเป็นเรื่องยากที่ลีโอจะกลายเป็นอัลงั้นหรอ….พวกเจ้าสองคนเป็นเจ้าชายกันทั้งคู่แต่ทำไมถึงได้โตมาแล้วมีนิสัยต่างกันขนาดนี้นะ……”


 


“ปกติแล้วท่านพี่เป็นคนรักอิสระและชอบออกไปเที่ยวเล่นตามใจชอบ เขาใช้เวลาตลอดทั้งวันอยู่นอกปราสาทแต่เขาก็มักจะร้องไห้กลับมาด้วยเหตุผลบางอย่าง”


 


“หนะ, นั่นมันก็แค่ข้าพยายามช่วยเขาเพราะเขาชอบโดนรังแกอยู่ฝ่ายเดียวยังไงหล่ะ!”


 


“ข้ารู้ครับ, เอลน่าคอยดูแลท่านพี่อยู่ตลอดเลยนี่หน่า”


 


“….แต่เขาคิดว่ามันคือความเจ็บปวดนะ”


 


เห้ออ~


 


เอลน่าถอนหายใจ


 


ช่วงนี้, เธอมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีประโยชน์


 


หลังจากไม่ได้เจอเขาเป็นเวลาพักใหญ่ๆ เธอก็อยากทำอะไรซักอย่างเพื่อเพิ่มชื่อเสียงของอัล, นั่นคือเหตุผลที่เธอเข้าร่วมเทศกาลล่าของอัศวิน แต่ว่า, เขาก็ต้องจบลงที่การถูกตัดสิทธิ ในตอนที่เอลน่ากำลังลำบากใจว่าจะตัดสินใจเคลื่อนไหวยังไงดี, เขาก็ทำให้ตัวเองหมดสิทธิโดยไม่แยแสต่ออะไรทั้งนั้น และมันก็ทำให้ผลลัพธ์ออกมาตรงข้ามกับที่เธอคาดหวังเอาไว้โดยสิ้นเชิง


 


และครั้งนี้, เธอก็ตามมาด้วยโดยหวังว่าจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง, แต่สุดท้ายแล้ว, เธอก็ทำอะไรไม่ได้เลย เธอขังตัวเองอยู่ในห้องในตอนที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้น ต่อให้เขาบอกเธอว่าเป็นตัวถ่วง, เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้


 


เอลน่าคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่อัลพยายามทำให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิ แต่ว่า, เอลน่าอยากให้อัลกลายเป็นที่ยอมรับเหมือนกับลีโอด้วย


 


เอลน่ารู้ว่ามันแตกต่างจากสิ่งที่อัลต้องการและมันก็ทำให้แผนการของเขาเละเทะ แต่เอลน่าก็ไม่อยากให้อัลมีชื่อเสียงทางด้านที่ดูไม่ยุติธรรมแบบนั้น


 


อย่างไรก็ตาม, ช่วงนี้เธอเริ่มคิดแล้วว่ามันเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของเธอเอง


 


อัลไม่ได้สนใจชื่อเสียงของเขาเลย กลับกัน, เขาถึงกับยอมลดชื่อเสียงของตัวเองในขณะที่เพิ่มให้กับลีโอ สำหรับอัล, การกระทำของเอลน่าก็ไม่ต่างอะไรจากความน่ารำคาญ


 


เธอพูดแบบนั้นออกมาด้วยเหตุผลพวกนี้, แต่ว่านี่มันก็ทำให้ลีโอหัวเราะใส่เธอ


 


“นั่นสินะ, พี่อาจจะคิดแบบนั้นจริงๆก็ได้”


 


“อืมม…”


 


“แต่ข้าคิดว่าท่านพี่คงไม่มองว่าคุณเป็นตัวยุ่งหรอก ตั้งแต่ที่เอลน่ากับมาท่านพี่ก็ดูมีความสุขขึ้นและข้าคิดว่าคุณเป็นที่พักใจสำหรับท่านพี่นะ ลึกๆแล้ว, ข้าคิดว่าท่านพี่เองก็กำลังหวังพึ่งคุณอยู่เหมือนกัน”


 


“จริงหรอ….?”


 


“ข้ารับประกันได้เลย”


 


“แต่ว่า….”


 


“แต่อะไรหรอ?”


 


“….ต่อให้มีข้าอยู่ที่นี่เขาก็ยังจ้างนักผจญภัยคนนั้น”


 


ด้วยความที่อยากจะบ่น, เอลน่าจึงพึมพำออกมาอย่างขุ่นเคือง


 


เธอกำลังลังเลอยู่ว่าจะพูดดีรึเปล่าแต่เธอก็ตัดสินใจพูดออกมาเนื่องจากนี่เป็นโอกาสที่จะได้ระบาย


 


ลีโอเข้าใจในทันทีว่าเธอกำลังพูดถึงลินเฟีย, เขายิ้มออกมา


 


“ที่เธอทำงานกับพวกเราก็เพื่อช่วยหมู่บ้านของเธอ ท่านพี่ไม่ได้จ้างเธอเพราะเขาคิดว่าคุณทำหน้าที่ไม่ได้หรืออะไรแบบนั้นหรอก”


 


“ข้าก็รู้อยู่หรอก….แต่, ช่วยพูดให้กำลังใจต่อท้ายบ้างไม่ได้หรอ? ข้าคิดว่าข้าพยายามเต็มที่แล้วนะ”


 


ในฐานะคนจากบ้านผู้กล้าหาญ, เอลน่าไม่สามารถเอาตัวเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองได้โดยตรง


 


เธอรู้สึกหงุดหงิดกับข้อจำกัดนี้ สำหรับเอลน่า, การได้ปกป้องฟีเน่ก็คือโอกาสหายากในการที่จะได้ช่วยเหลืออัลกับลีโอ ถ้าฟีเน่ตกเป็นเป้า, เธอก็จะหาข้ออ้างได้ว่าองค์จักรพรรดิจะไม่พอใจถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอและพวกเขายังสามารถใช้นี่เป็นข้ออ้างในการตอบโต้ศัตรูของพวกเขาได้ด้วย


 


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น, สุดท้ายแล้วคนที่ตกเป็นเป้าก็คืออัลและเขาก็ถูกนักผจญภัยคนนึงช่วยเอาไว้ ตอนนี้นักผจญภัยคนนั้นกำลังทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันของฟีเน่อยู่ซึ่งมันสมควรจะเป็นงานของเอลน่า


 


พูดตามตรง, เอลน่าไม่รู้สึกตลกด้วยเลยซักนิด ต่อให้เธอจะรู้ตัวดีว่ามันมีความเป็นไปได้ที่เธอจะต้องออกห่างจากฟีเน่เนื่องจากหน้าที่ของเธอ, แต่เธอก็ยังทำใจสนุกด้วยไม่ได้


 


“นี่กำลังเคืองอยู่หรอ?”


 


“ข้าไม่ได้เคือง! ข้าหงุดหงิดต่างหากหล่ะ!”


 


“งั้นหรอครับ แต่ว่า, ท่านพี่คิดว่าถ้าเป็นเอลน่าหล่ะก็คงจะตามมาด้วยไม่ใช่หรอ? พอคิดแบบนี้การจ้างลินเฟียก็ถือว่ามีเหตุผลแล้วถูกไหมครับ? เพราะถ้าทิ้งฟีเน่เอาไว้คนเดียวก็อาจจะทำให้เธอได้รับอันตรายได้ แถมเรายังทิ้งเซบาสเผื่อเอาไว้ด้วย”


 


“ทำไมเจ้าถึงมองโลกในแง่ดีได้ขนาดนี้นะ, ลีโอ…..ข้าเข้าใจความคิดของอัล เขาคิดว่าแทนที่จะใช้ผู้คุ้มกันที่อยู่ในตำแหน่งที่เคลื่อนไหวได้ยากแบบข้า, มันจะดีกว่าถ้าจ้างนักผจญภัยฉลาดๆที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในฐานะผู้คุ้มกัน ใช่, ข้าชื่นชมเธอ เธอเป็นคนฉลาดจริงๆ”


 


ลีโอกำลังจะบอกว่า [เอลน่าเองก็ฉลาดเหมือนกันไม่ใช่หรอ] แต่เขาก็เลือกที่จะกลืนประโยคนี้กลับเข้าไป


 


แน่นอนว่า, เอลน่าเป็นคนเรียนรู้ไว เขาสามารถบอกได้เลยว่าเธอเก่งกว่าเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว อย่างไรก็ตาม, คำว่าฉลาดที่เอลน่าพูดถึงไม่ได้มีความหมายแบบนั้น สิ่งที่เธอกำลังจะสื่อก็คือความสามารถในการหลอกลวงผู้คนหรือการอ่านความคิดของผู้คน, มันคือความฉลาดที่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ทางการเมือง เอลน่ารู้ตัวดีว่าเธอขาดสิ่งนี้ จะบอกว่ามันไม่เข้ากับนิสัยของเธอก็ได้ดังนั้นเธอจึงไม่ได้อยากเรียนรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว


 


ถ้ามีคนจากบ้านผู้กล้าหาญเรียนรู้เรื่องพวกนี้, มันก็จะไปคุกคามขุนนางที่มีอิทธิพลกับพวกราชวงศ์ บ้านผู้กล้าหาญนั้นควรจะเป็นแค่ดาบ นี่คือจุดยืนพื้นฐานของบ้านผู้กล้าหาญ


 


และมันก็เป็นสาเหตุที่พลังอำนาจของบ้านผู้กล้าหาญนั้นไม่ได้มีอยู่ในการต่อสู้แย่งชิงอย่างลับๆในเมืองหลวงด้วย, แทนที่จะใช้กับข้างใน, เอาไปใช้กับข้างนอกยังดีกว่า, นี่คือแนวทางที่ถูกต้องในการใช้พลังของบ้านผู้กล้าหาญ


 


“เอลน่าก็มีข้อดีของตัวเองเหมือนกันแหล่ะ ข้าคิดว่าถ้าเอลน่าช่วยท่านพี่ในเรื่องที่มีแค่คุณที่ทำได้มันก็โอเคแล้วไม่ใช่หรอ? แบบนี้พอจะยอมรับได้ไหม?”


 


“ข้าก็เข้าใจอยู่แต่ข้ายังยอมรับไม่ได้…..การปกป้องฟีเน่มันควรจะเป็นงานของข้า……”


 


“คุณยังเกลียดความพ่ายแพ้เหมือนเดิมเลยนะ แต่ว่าลินเฟียอาจจะไม่ได้อยากแข่งกับเอลน่าก็ได้นี่ ยิ่งไปกว่านั้น, งานของคุณก็ไม่ได้ไปซ้อนทับกับของเธอซักหน่อย ขุมอำนาจของเรายังด้อยกว่ากลุ่มอื่น พันธมิตรของเรามีจำนวนน้อย และมีคนกำลังเพ่งเล็งพวกเราอยู่เยอะ ข้าสามารถปกป้องตัวเองได้แต่ฟิเน่กับท่านพี่ทำแบบนั้นไม่ได้ พวกเขาต้องมีคนที่สามารถปกป้องพวกเขาได้เป็นพันมิตรของพวกเรา ข้าคิดว่าเขาตัดสินใจโดยอิงจากเรื่องนี้และถ้าเอลน่าว่างเมื่อไหร่ข้าคิดว่าท่านพี่จะขอพึ่งคุณเอง”


 


“จะเป็นแบบนั้นจริงๆหรอ? ดูเหมือนว่าอัลอยากจะมองข้าเป็นตัวยุ่งต่อไปไม่ใช่รึไง?”


 


“ไม่หรอกครับ คุณนี่ดื้อจังเลยนะ เอาตอนนี้เป็นตัวอย่างก็ได้, ตอนนี้คนที่ข้าสามารถพึ่งพาได้มีแค่เอลน่าถูกไหม? เพราะงั้นช่วยหยุดเคืองแล้วให้คำแนะนำข้ามาหน่อยเถอะ ข้าควรจะทำยังไงดีในตอนที่ไปเข้าพบกับราชาของรอนดิเน่


 


“ให้ตายเถอะลีโอ, เจ้านี่จริงๆเลย…..ก็ได้, ในเมื่ออัลยังรู้จักมารยาทขั้นพื้นฐานอยู่, เจ้าก็แค่ทักทายเขาตามปกติก็พอ แต่อย่าพูดอะไรที่ไม่จำเป็นออกไปหล่ะ ไม่ต้องสรรเสริญ, เจ้าต้องทักทายไปแค่ตามมารายาทพื้นฐานเท่านั้นเข้าใจใช่ไหม?”


 


“ขะ, เข้าใจแล้วครับ”


 


ด้วยประการฉะนี้เอง, เรือของพวกเขาก็มุ่งหน้าตรงไปที่รอนดิเน่


 


ซึ่งพวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าอัลได้พาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับภัยพิบัติในขณะที่แสดงเป็นลีโออยู่

 

 

 


ตอนที่ 32

 

“องค์ชาย พวกเรามีคนที่มีสภาพร่างกายไม่เสถียรเยอะเกินไป สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ที่นี่มีจำกัดมาก…….”


 


หมอประจำเรือเฒ่ารายงาน


 


พวกเราสามารถไปให้ถึงเมืองหลวงของอัลบราโทรได้แต่ผู้รอดชีวิตหลายคนที่แช่อยู่ในทะเลเป็นระยะเวลานานเริ่มมีอาการไข้แล้ว นอกจากนี้, ยังมีบางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บก่อนจะถูกโยนลงทะเลและอาการของพวกเขาก็เลวร้ายยิ่งกว่า


 


ฉันสามารถใช้เวทย์รักษาให้พวกเขาได้แต่มันก็รักษาได้แค่บาดแผลของพวกเขา ส่วนความเจ็บป่วยและความผิดปกติภายในอื่นๆมันอยู่นอกเหนือความเชี่ยวชาญของฉัน


 


“เข้าใจแล้วครับ พยายามยื้อชีวิตของพวกเขาเอาไว้”


 


“ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถครับแต่….ขอไม่รับปากนะครับ”


 


“ไม่เป็นไร…..ขอโทษด้วยนะที่ต้องโยนภาระเรื่องนี้ให้กับเจ้า”


 


“ไม่หรอกครับ, นี่มันเทียบกับสิ่งที่ท่านต้องแบกรับไม่ได้เลย, องค์ชาย”


 


หมอประจำเรือพูดแล้วออกจากห้องไป


 


ในขณะที่มองเขา, ฉันก็เดาะลิ้นออกมาเสียงดัง


 


หลังจากนั้นฉันก็เห็นว่า, มาร์คกำลังยิ้มให้ฉัน


 


“เรื่องแบบนี้มันช่วยไม่ได้หรอกครับ มันไม่มีอะไรที่พวกเราทำได้นอกจากฝากเอาไว้กับพวกเขา”


 


“อย่าเพิ่งเหมารวมว่าช่วยไม่ได้สิ ข้าบอกแล้วนี่ว่าข้าจะไม่ปล่อยให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ตาย”


 


“แต่ว่า….พวกเราก็มีขีดจำกัดของตัวเองนะครับ จะให้ช่วยทุกคนหน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก”


 


“มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกถ้าเจ้ายอมแพ้แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมพวกเราก็ยังสามารถทำอะไรซักอย่างได้ สรรพสิ่งส่วนใหญ่ในโลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้ใช้งานได้ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดในโลกนี่มันก็แค่ส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าพวกเขาไม่สามารถถูกช่วยได้โลกนี้ก็คงไม่มีเหตุผลแล้วหล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเราเองก็จ่ายค่าเสียหายสำหรับมันไปแล้วด้วย


 


ฉันนึกถึงสมบัติที่พึ่งจะโยนทิ้งไป


 


เห้อ, เสียดายชะมัด ถ้ามีมันหล่ะก็ฉันสามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง


 


มันน่าเสียดายอย่างถึงที่สุด ฉันบอกกับมาร์คว่าทิ้งมันไปได้เลยไม่ต้องเสียดายแต่ว่าตัวฉันเองกลับยังคงผูกพันธ์กับมันอยู่


 


ผู้รอดชีวิตเหล่านี้คุ้มค่าแน่หรอ? ไม่, พวกเขาไม่คุ้มเลย การช่วยพวกเขาไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้จักรวรรดิและมันก็ไม่คุ้มสำหรับลีโอด้วยเพราะถ้ามันไม่นำประโยชน์มาให้จักรวรรดิ, ก็จะไม่มีใครชื่นชมในผลงานของเขา


 


แต่ถึงอย่างนั้น, ฉันก็ช่วยมาแล้ว ฉันช่วยพวกเขาทุกคนในขณะที่รับความสูญเสียพวกนี้ ฉันซื้อชีวิตของพวกเขาด้วยสมบัติมากมายมหาศาล ถ้ามองในแง่นี้มันก็เหมือนกับว่าชีวิตของพวกเขาเป็นของฉันแล้ว ดังนั้นจะมาโยนทิ้งตามใจชอบได้ยังไง


 


“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ข้าจะขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือ”


 


“ครับ, ดูเหมือนพวกเราใกล้จะถึงแนวป้องกันของพวกเขาแล้วสินะครับ”


 


ในตอนที่มาร์คพูดออกมาก็มีเสียงดังขึ้น


 


มีเสียงรบกวนผสมอยู่ในเสียงนั้น, มันคือลักษณะของเสียงที่ถูกเพิ่มขึ้นด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์


 


“เรือของจักรวรรดิที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา โปรดแจ้งจุดประสงค์ของท่าน พวกเราไม่ได้รับแจ้งว่าเรือของท่านจะเข้ามา ดังนั้นกรุณาแจ้งจุดประสงค์ใหม่อีกครั้งด้วย ประเทศของเราไม่ได้รับแจ้งว่าเรือของท่านเข้ามา”


 


พวกเขาคือกองเรือที่คอยปกป้องเมืองหลวงของพวกเขา


 


พวกเขาไม่ได้รับแจ้งมาเลยว่าจะมีเรือของจักรวรรดิเข้ามาดังนั้นพวกเขาอาจจะอยากสืบสวนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


ความจริงที่พวกเขาไม่ได้เปิดฉากยิงในทันทีนั้น, ถือว่าสมแล้วที่เป็นกองเรือของอัลบราโทร การที่พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาดีนั้นมันช่วยได้เยอะจริงๆ


 


ฉันขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือแล้วหยิบอุปกรณ์ขยายเสียงขึ้นมา


 


“ข้าคือลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์, เจ้าชายลำดับแปดของจักรวรรดิ ในระหว่างทางไปรอนดีเน่, ข้าได้พบกับเรือของประเทศเจ้าที่บังเอิญประสบอุบัติเหตุทางทะเล พวกเราช่วยผู้รอดชีวิตมาได้ประมาณ 80 คน, ซึ่งมีเจ้าชายกับเจ้าหญิงของประเทศเจ้ารวมอยู่ด้วย ข้าอยากจะขออนุญาตเข้าเทียบท่าเป็นกรณีพิเศษ”


 


เรือรบซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยดูกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด


 


พวกเขารู้ว่าเรือรบสามลำที่พวกเขาส่งออกไปไม่ได้กลับมาและพวกเขาก็รู้ว่าเอวากับจูลิโออยู่บนเรือพวกนั้น


 


ในขณะนี้เอง, พวกเราก็มุ่งหน้าเข้าใกล้ท่าเรือขึ้นเรื่อยๆ


 


ยิ่งพวกเราถึงเร็วเท่าไหร่, ผู้รอดชีวิตก็จะไปถึงมือหมอเร็วเท่านั้น


 


“พวกเราเข้าใจจุดประสงค์แล้ว เพื่อความปลอดภัย, พวกเราอยากจะทำการยืนยันว่ามีผู้รอดชีวิตขึ้นมาด้วยจริงรึเปล่า ช่วยหยุดเรือรับการตรวจสอบด้วย”


 


“เข้าใจแล้ว นอกจากนี้พวกเรายังมีผู้รอดชีวิตบางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด ข้าอยากจะส่งตัวพวกเขาไปที่เรือของพวกเจ้าเพื่อให้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากหมอที่ท่าเรือในทันที”


 


“พวกเราเองก็อยากจะทำแบบนั้นแต่มันเป็นกฏของเรา, จะไม่มีใครบนเรือของท่านเข้าเทียบท่าได้จนกว่าจะได้รับอนุญาต พวกเราอยากให้ท่านรอคำอนุมัติจากฝ่าบาท”


 


นี่พวกเขาจะมัวเสียเวลาเพื่อ!


 


ฉันจ้องไปยังเรือที่กำลังเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ


 


นี่มันไม่ใช่เวลามาระวังสปายนะ


 


จูลิโอกับเอวาเองก็อยู่ด้วย พวกเขาควรจะยืนยันแค่ว่ามีลูกเรืออยู่จริงรึเปล่าก็พอแล้ว!


 


“เจ้าหญิงกับเจ้าชายอยู่ที่ไหน?”


 


“พวกเขายังไม่ฟื้นเลยครับ…..”


 


“ชิ!”


 


ถ้ามีพวกเขาสักคนฟื้นแล้ว, ก็จะมีวิธีที่พวกเราจะได้รับการอนุญาตให้เข้าเทียบท่าโดยไม่ต้องรอพระราชา แต่ถ้าพวกเขายังหมดสติอยู่มันก็จนปัญญาแล้วหล่ะ


 


นี่ฉันทำได้แค่รอคำอนุญาตที่นี่อย่างงั้นหรอ?


 


มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าพวกเขาจะมาถึงท่าเรือจากปราสาทของพวกเขา? มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าพระราชาจะตัดสินใจลงมา? แล้วพวกเราจะสามารถพาตัวคนป่วยไปถึงท่าได้ทันรึเปล่า?


 


แม้ว่านี่จะเป็นการแข่งกับเวลา, แต่มันก็ยังมีกระบวนการที่ซับซ้อนมาขัดขวางพวกเราเอาไว้


 


“นี่เป็นปัญหาของพวกเขาแล้ว มันไม่สำคัญว่าพวกเราจะทำอะไรในจุดนี้ พวกเราพาพวกเขาทุกคนเดินทางมาถึงที่นี่แล้วเพราะฉะนั้นความรับผิดชอบทั้งหมดที่อยู่ที่นี่มันอยู่กับพวกเขาครับ”


 


“มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย…..! ความรับผิดชอบมันเป็นของพวกนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว! แต่ในเมื่อข้าสอดมือเข้ามายุ่งเพื่อคนพวกนี้แล้วข้าก็จะดูแลพวกเขาให้ถึงที่สุด!”


 


ฉันบอกกับมาร์คแบบนั้นในขณะที่กำอุปกรณ์รับเสียงแน่น


 


ถ้าพวกเราดึงดันจะฝ่าเข้าไป, กองเรือของอัลบราโทก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโจมตีพวกเรา


 


ว่าแล้วเชียวมีแต่ต้องรอฝ่ายนั้นใช่ไหม?


 


“โปรดยอมรับคำขอของข้าด้วย มีคนที่จะตายถ้าไม่ได้รับการรักษาในทันทีอยู่ พวกเขาสามารถรอดจากทะเลนรกมาได้แล้ว มีแค่พวกเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยชีวิตของพวกเขาได้ กรุณาให้พวกเขาเข้าเทียบท่าก่อนโดยไม่ต้องรอรับคำอนุญาตเถอะ”


 


“….สำหรับเรื่องที่ท่านยอมช่วยเพื่อนร่วมชาติของข้าถึงขนาดนี้ข้าขอขอบคุณอย่างสุดซึ้ง แต่ว่ากฏก็ต้องเป็นกฏ ไม่มีเรือลำไหนที่จะเข้าเทียบท่าได้โดยไม่ได้รับอนุญาต ถึงแม้ว่าเรือลำนั้นจะมีราชวงศ์ของพวกเราพำนักอยู่, พวกเราก็ยังต้องรอการตัดสินใจของฝ่าบาท”


 


“ใครเป็นกัปตันเรือของเจ้า…..?”


 


“ข้าเองครับองค์ชาย”


 


“….กัปตัน ข้าเสียสละหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อช่วยชีวิตพวกเขา ข้าเอาชีวิตคนของข้ามาเสี่ยงเพื่อช่วยพวกเขา ไม่สิ, จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังเสี่ยงอยู่ และมีเพียงเหตุผลเดียวที่ข้าทำแบบนั้น ข้าไม่อยากให้พวกเขาตาย คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลอย่างเจ้าก็น่าจะเข้าใจถึงความน่ากลัวของทะเลดีไม่ใช่หรอ ช่วยตัดสินใจให้ฉลาดหน่อยเถอะ”


 


พอได้ฟังคำพูดของฉัน, การตอบสนองของกัปตันก็ช้าลง


 


เรือของพวกเขากำลังเข้ามาหาพวกเราอย่างมั่นคงแต่พวกเขาน่าจะลังเลเพราะเรื่องนี้


 


จากนั้นเอง


 


“….ฝ่าบาท ลูกชายสองคนของข้าก็ขึ้นเรือที่ออกเดินทางไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเหมือนกัน ข้าหวังจากใจจริงว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่….ข้านั้นเป็นทหาร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น, ข้าก็ไม่สามารถละเมิดกฏได้ โปรดอภัยให้ข้าด้วย”


 


“เป็นพวกเข้าใจอะไรยากสินะ…..!”


 


“องค์ชาย พอเท่านี้เถอะครับ, พวกเราหน่ะ”


 


ฉันที่ทำหน้าบึ้งตึง, โยนอุปกรณ์รับเสียงทิ้ง


 


ในตอนที่มาร์คพยายามจะเตือนสติฉัน, หมอประจำเรือก็ตะโกนออกมา


 


“องค์ชาย! อาการของพวกเขามัน!”


 


มันแย่ลง


 


ในทันทีที่ฉันรู้เรื่องนี้ฉันก็ทำการตัดสินใจในทันที


 


“กัปตัน! มุ่งหน้าไปที่ท่าเรือเลย!”


 


“ครับ—!? ท่านพูดอะไรของท่านกันองค์ชาย!? พวกเรายังไม่ได้รับคำอนุญาตเลยไม่ใช่หรอครับ!?”


 


“ข้ารู้ แต่ถ้าพวกเราไม่รีบพาคนพวกนี้ไปรับการรักษาโดยเฉพาะอาการของพวกเขาก็จะเลวร้ายจนถึงขั้นสุด”


 


“ชะ, ช่วยรออีกสักพักเถอะครับ! ต่อให้พวกเราทำแบบนั้นราชรัฐก็คงไม่ยินดีกับพวกเราหรอกท่านก็รู้นี่!? มันเป็นกฏของพวกเขาและนี่ก็เป็นประเทศของพวกเขา! พวกเราต้องทำตามที่พวกเขาบอกนะครับ!”


 


“ถ้าเจ้าทำตามกฏของพวกเขาผู้คนก็จะตาย”


 


“แต่เจ้าหญิงกับเจ้าชายไม่ตายหรอกครับ! พวกที่อาจจะตายก็มีแค่ลูกเรือที่ไม่มีคุณค่าทางการเมือง! ท่านจะยอมเพิกเฉยต่อคำเตือนของพวกเขาแล้วเข้าเทียบท่าโดยไม่ได้รับอนุญาตหรอครับ!? ทำแบบนั้นถ้าเกิดอีกฝ่ายจมเรือของเราจริงๆพวกเราก็ว่าอะไรไม่ได้นะครับ”


 


“ตราบใดที่พวกเรามีเจ้าหญิงกับเจ้าชายอยู่ด้วยอีกฝ่ายไม่กล้าจมเรือพวกเราหรอก ตอนนี้, ข้าจะช่วยชีวิตคนที่อยู่ตรงหน้าข้าด้วยทุกสิ่งที่มี ข้าจะไม่เปลี่ยนคำสั่ง เข้าเทียบท่าซะ”


 


พอได้ยินการตัดสินใจของฉัน, ทุกคนก็เงียบลง


 


มีแค่คนๆเดียวเท่านั้น, มีแค่มาร์คที่เข้ามาเผชิญหน้าฉันแล้วพูดออกมา


 


“ท่านมาไกลเกินไปแล้วนะครับ….! องค์ชายลีโอนาร์ดคงไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอก…! ไม่สิ, องค์ชายลีโอนาร์ดคงไม่สามารถทำเรื่องที่ฝืนบังคับแบบนี้ได้…..!”


 


“ก็ใช่, มันก็จริงอยู่ แล้วยังไงหล่ะ….?”


 


“ยังไงนี่มัน……”


 


“นี่เป็นโอกาสดี ข้ากำลังจะทำให้ผู้คนจำนวนมากประทับใจลีโอ ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ คือชายที่เมื่อตัดสินใจแล้วจะไม่คืนคำ เขาไม่ใช่แค่คนซื่อๆ ต่อให้นี่เป็นการตัดสินใจที่ลีโอทำด้วยตัวเองไม่ได้, แต่ชื่อเสียงนี้จะเปลี่ยนวิธีการที่ผู้คนจะมองเขา”


 


“ถ้าท่านทำเรื่องแบบนี้สักวันนึงองค์ชายลีโอนาร์ดจะถูกบังคับให้ตัดสินใจเรื่องที่ยากกว่านี้นะครับ……!”


 


“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เขาเป็นน้องชายของข้า ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้แล้วเขาจะทำไม่ได้”


 


ฉันประกาศออกมาแล้วกดดันเขาด้วยสายตา


 


ฉันเผชิญหน้ากับกับตันที่เงียบสนิทซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหลังมาร์ค


 


กัปตันดูมีสีหน้าที่ซับซ้อน


 


“เข้าใจรึยังครับ….? องค์ชาย ก็จริงอยู่ที่พวกเขาอาจจะไม่เปิดฉากยิงกับพวกเราแต่ทุกอย่างจะจบลงเมื่อพวกเราเข้าเทียบท่าแล้วนะครับ พวกเราจะไม่สามารถหนีได้อีก”


 


“ข้ารู้”


 


“ในหมู่พวกเราท่านจะอยู่ในตำแหน่งที่เลวร้ายที่สุดเลยนะครับ! ถ้าพวกเราเดินหน้าต่อไปทั้งแบบนี้, ท่านจะถูกจับข้อหาเข้าประเทศอย่างผิดกฏหมายได้ พวกเราก็แค่อยากขอน้ำกับอาหารแล้วมุ่งหน้าไปที่รอนดิเน่ต่อเท่านั้นเอง! มันไม่มีความจำเป็นที่ท่านต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อไม่กี่ชีวิตที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรอครับ!?”


 


“ต่อให้มีไม่กี่ชีวิตอยู่กับพวกเรา, แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนสำคัญกับครอบครัวของพวกเขา ข้าตัดสินใจแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ข้าช่วยพวกเขาเอาไว้ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขา ถ้าพวกเราทิ้งพวกเขาที่นี่, ความเสี่ยงทั้งหมดที่ลูกเรือของเราแบกรับก็จะไร้ความหมาย”


 


“…องค์ชายท่านกำลังต่อสู้ชิงบัลลังก์อยู่ไม่ใช่หรอครับ? ถ้าคู่แข่งของท่านใช้เรื่องนี้มาเล่นงานท่าน, บัลลังก์ก็จะยิ่งอยู่ห่างไกลจากท่านไปอีกไม่ใช่หรอครับ?”


 


“เมื่อถึงเวลาเดี๋ยวข้าค่อยคิดอีกที ตอนนี้ช่วยทำตามคำสั่งของข้าเถอะ, กัปตัน นี่คือเรือของเจ้า ลูกเรือฝากชีวิตเอาไว้กับเจ้า อย่าให้ข้าต้องทำเรื่องหยาบคายอย่างการยึดตำแหน่งมาจากเจ้าเลย”


 


กัปตันคิดอยู่พักนึง


 


จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างกระทันหันแล้วเผยรอยยิ้มที่ดูร่าเริงให้ฉัน


 


“ข้าคิดมาโดยตลอดว่าท่านเป็นแค่เจ้าชายซื่อๆคนนึง แต่…..ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้เป็นแค่นั้นสินะครับ ข้าเริ่มชอบท่านขึ้นมาอีกนิดนึงแล้ว ทุกคน! เตรียมตัวเข้าเทียบท่า! พวกเราจะฝ่าเข้าไป!”


 


ลูกเรือตอบรับการตัดสินใจของกัปตัน


 


ด้วยผ้าใบที่กางออก, ฉันก็ได้ยินเสียงมาจากเรือของราชรัฐในขณะที่พวกเรากำลังเริ่มเดินหน้าต่อ


 


“เดี๋ยวก่อนครับ! องค์ชาย! ท่านคิดจะทำอะไรกัน!?”


 


“พวกเรากำลังจะเข้าเทียบท่า พวกเราไม่มีเวลามาเถียงกับเรื่องนี้แล้ว”


 


“พวกเรายอมให้ท่านทำแบบนั้นไม่ได้! ถ้าท่านเข้าเทียบท่าอย่างผิดกฏหมาย, ต่อให้มีเจ้าชายกับเจ้าหญิงพำนักอยู่, พวกเราก็จะจมเรือของท่าน


 


พอสิ้นคำประกาศ, เรือของราชรัฐก็หักหัวเรือแล้วหันข้างเข้าหาเรา


 


พวกเขากำลังเล็งปืนเวทมนตร์มาที่เรือของเรา ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, เสียงหวอก็ดังไปทั่วท่าเรือ, ซึ่งเป็นสัญญาณที่กำลังบ่งบอกว่ามีสถานการณ์ฉุกเฉิน


 


เรือรบกำลังมุ่งหน้าจากท่าเรือมาหาพวกเราทีละลำ


 


ในขณะเดียวกัน, กัปตันก็เสนอแผนนึงขึ้นมาในขณะที่เขากำลังบังคับหางเสือเรืออยู่


 


“องค์ชาย! ข้ามีแผนครับ!”


 


“ว่ามา?”


 


“พวกเราจะยกธงขาวขึ้น”


 


ในตอนที่ลูกเรือได้ยินแบบนั้นพวกเขาทุกคนก็ดูประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม, มีแค่กัปตันที่ดูเหมือนกับว่าเขากำลังสนุกอยู่


 


ฉันยิ้มให้กับข้อเสนอนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าทหารเรืออย่างเขาจะเสนอเรื่องแบบนี้ออกมา


 


“รู้ใช่ไหมว่าเรือจักรวรรดิของเราไม่เคยยกธงขาวขึ้นมาก่อน?”


 


“แน่นอนครับ และเรือของพวกเราก็จะกลายเป็นที่น่าจดจำจากการที่ทำเรื่องแบบนั้น”


 


“แน่นอนว่า, พวกนั้นคงไม่ยิงเรือที่ยกธงขาวหรอก, แต่นี่มันจำเป็นจริงๆหรอ?”


 


“ถ้ามีเรือเข้ามาอีกหลายลำก็ต้องมีพวกกัปตันหัวแข็งอีกหลายคนติดมากับเรือพวกนั้นด้วย เพื่อการนี้, มาเตรียมข้ออ้างให้ฝั่งนั้นกันเถอะครับ ในฐานะกัปตันเอง, ข้ารู้ดีว่าพวกเขารู้สึกลำบากใจแค่ไหนกับเรื่องนี้”


 


“ข้าใจหล่ะ…..ถ้างั้นส่งธงขาวมาให้ข้า ข้าจะทำในสิ่งที่ข้าทำได้”


 


จากนั้น, ในตอนที่ลูกเรือทุกคนเห็นพ้อง, ฉันก็ยกธงขาวขึ้น


 


ซึ่งมันก็ทำให้เรือของราชรัฐตกอยู่ในความประหลาดใจ


 


จักรวรรดิเป็นประเทศมหาอำนาจ แม้จะเป็นเรือแค่ลำเดียว, แต่ความจริงที่ว่าเรือจักรวรรดิยกธงขาวให้ราชรัฐนั้นถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่


 


และเพื่อเป็นการจบเรื่อง ฉันจึงเพิ่มเสียงของอุปกรณ์ขยายเสียงจนสุดและประกาศบอกผู้คนที่อยู่ในท่าเรือที่อยู่ข้างหลังพวกเขา


 


“ถึงทุกคนในท่าเรือ ข้าคือลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์, เจ้าชายลำดับแปดของจักรวรรดิ ตอนนี้, เรือของข้าได้บรรทุกผู้รอดชีวิตจากเรือของราชรัฐที่ประสบอุบัติเหตุมา เนื่องจากสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ของผู้รอดชีวิตบางคน, พวกเราจึงเข้ามาที่ท่าอย่างผิดกฏหมาย แต่ว่า, เรือของข้าไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำอันตรายกับพวกเจ้า ถ้ามีหมออยู่บริเวณท่า, ข้าต้องการความร่วมมือของพวกเจ้าทุกคน ส่วนคนอื่นๆ ข้าต้องการให้เตรียมน้ำกับอาหารเท่าที่จะหาได้ พวกเขาพึ่งผ่านนรกมา ได้โปรดขอความร่วมมือด้วย และ—สำหรับกัปตันของกองเรือราชรัฐทุกคน ตอนนี้, ชีวิตของพี่น้องของพวกเจ้าขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว พวกเราคาดหวังการตัดสินใจที่ชาญฉลาดจากกัปตันของกองเรือราชรัฐ”


 


พอได้ยินเสียงของฉัน, ท่าเรือก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, เรือที่พยายามจะขัดขวางเส้นทางของพวกเราก็หยุดเคลื่อนไหว


 


จากนั้น, ในขณะที่ล่องผ่านเรือจำนวนมากของราชรัฐ, พวกเราก็เข้ามาเทียบท่าที่เมืองหลวงของพวกเขา”


 


“จัดเตรียมการส่งตัวผู้บาดเจ็บ! เร็วเข้า!”


 


หลังจากได้ยินคำสั่งของฉัน, ลูกเรือก็ขนผู้บาดเจ็บออกมา


 


มีหลายคนมารวมตัวกันที่ท่าเรือเพื่อช่วยเหลือพวกเขา


 


ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่แล้ว ถึงยังไงคนที่นี่ก็เป็นครอบครัวของพวกเขา


 


“เร็วเข้า! พวกเราต้องการสถานที่ที่มีอุปกรณ์ครบครัน!”


 


“ที่คลีนิคของข้ามีอุปกรณ์ทุกอย่าง! ตามมาทางนี้เลย!”


 


“น้ำอุ่นอยู่ที่นี่! พวกเราเอาอาหารมาด้วย!”


 


ในตอนที่ผู้รอดชีวิตลงมาจากเรือ, พวกเขาก็ถูกรายล้อมด้วยอาหารอุ่นๆ พวกเขาได้รับอาหารตอนอยู่บนเรือแต่อาหารอุ่นๆที่พวกเขากินบนบกนั้นจะช่วยให้หัวใจของพวกเขาอบอุ่นขึ้นด้วย


 


ทุกคนกินในขณะที่ร้องไห้ออกมา


 


“พวกเราผ่านขั้นแรกมาได้แล้วแต่…ตอนนี้พวกเราเป็นเชลยสงครามแล้วสินะ”


 


“ครับ, ก็พวกเรายกธงขาวขึ้นนี่หน่า”


 


ในขณะที่ได้ยินเสียงกีบม้ากระทบกับพื้นจากระยะไกลๆ, ฉันก็เงยหน้ามองท้องฟ้า


 


จากทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จสู่การเป็นเชลยสงคราม, นี่มันเหนือความคาดหมายจริงๆ แต่ว่า, มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วหล่ะว่าเรื่องนี้จะออกมาดีหรือแย่


 


“ไปกันเถอะ พวกเราต้องไปคุยกับพระราชาเกี่ยวกับเรื่องมังกรทะเลด้วย บางทีพวกเขาอาจจะหวังในสิ่งเดียวกันอยู่”


 


พอพูดจบ, ฉันก็ลากมาร์คมาด้วยแล้วเหยียบก้าวแรกเข้าสู่ราชรัฐอัลบราโทร

 

 

 


ตอนที่ 33

 

ในช่วงที่อัลกับลีโอออกเดินทางลงใต้นั้น


 


มีการเคลื่อนไหวอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


“หนอย! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย! บ้าชะมัด! บ้าชะมัด!”


 


“อึ้ก! ไม่นะ!! อ้ากกกก!! ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย! อะ, อะ…อภัยให้ข้าด้วยเถอะ……”


 


ซานดร้ากำลังฟาดแส้ใส่หนึ่งในนักฆ่าของเธอเพื่อระบายความเครียด


 


ในตอนที่เธอเห็นว่านักฆ่าหมดสติไปแล้ว, เธอก็โยนแส้ทิ้งในขณะที่กำลังหอบอยู่


 


“ไร้ประโยชน์! ห่วยแตก! อ้ากก, ข้าโคตรจะหงุดหงิดเลย! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย!”


 


ซานดร้าเดินไปรอบๆในขณะที่กำลังกัดเล็บของตัวเอง


 


พอเห็นนายหญิงเป็นแบบนี้, นักฆ่าวัยกลางคนที่เคยพยายามจะลักพาตัวอัล, กุนเธอร์, ก็เอ่ยปากออกมา


 


“ดูเหมือนว่าแผนการของฝั่งเราจะถูกอ่านออกหมดเลยนะครับ”


 


“เรื่องพวกนั้นข้ารู้อยู่แล้ว! ไปคิดซะสิว่าทำไมถึงถูกอ่านออก! พวกนั้นไม่ได้มีลีโอนาร์ดหรืออาร์โนลด์อยู่ด้วยไม่ใช่หรอ!? นี่เจ้ากำลังจะบอกว่ายัยนกนางนวลสีน้ำเงินจอมหยิ่งนั่นกำลังปั่นหัวข้าอยู่ใช่ไหม?”


 


“ดูเหมือนว่าขุมอำนาจของลีโอนาร์ดจะมีคนที่ทั้งฉลาดและมีไหวพริบอยู่ด้วยนะครับ พวกเขาน่าจะกำลังอ่านการเคลื่อนไหวของเราและให้ข้อมูลนั้นกับขุมอำนาจของกอร์ดอนในทันที่ที่พวกเราจะเริ่มอะไรซักอย่าง”


 


“ชิ! น่าหงุดหงิดชะมัด! พวกนั้นเป็นขุมอำนาจที่พึ่งตั้งขึ้นมาแท้ๆ, พวกนั้นกล้ามากวนประสาทของข้าขนาดนี้ได้ยังไง! ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้พวกมันแน่!”


 


ถึงจะพูดออกมาแบบนั้น, แต่ซานดร้าก็ยังคงไม่มีทางเลือก


 


ทุกๆครั้งที่ซานดร้าพยายามจะโจมตีขุมอำนาจของลีโอนาร์ด, กอร์ดอนก็จะเข้ามาโจมตีเธอ


 


ในตอนที่เธอพยายามจะขโมยผู้สนับสนุนของลีโอนาร์ด, ผู้สนับสนุนของเธอก็จะถูกชิงไปด้วยเหมือนกันและซานดร้าก็จะถูกบังคับให้ตกเป็นฝ่ายป้องกัน


 


ด้วยสภาพเช่นนี้, ในตอนที่เธอโจมตีขุมอำนาจของลีโอนาร์ด, กอร์ดอนก็มักจะโผล่มาตลอดราวกับว่าเขากำลังรอช่วงเวลาที่เหมาะเจาะนี้อยู่และขโมยผู้สนับสนุนของซานดร้าไป


 


ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป, ผู้ชนะก็จะมีแค่กอร์ดอนเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งเดียวที่เธออยากจะหลีกเลี่ยง


 


“วางมือจากขุมอำนาจของลีโอนาร์ดซักพักเถอะครับ องค์หญิงข้าว่าท่านค่อยแก้แค้นเขาสำหรับเรื่องที่ขโมยรัฐมนตรีของท่านในภายหลังจะดีกว่า”


 


“หนอย…เอาแบบนั้นก็ได้ แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน, ช่วยพาคนที่เหมาะสมมาหาข้าหน่อย! ความเกรี้ยวกราดของข้าคงจะไม่หายไปง่ายๆแน่!”


 


“ตามประสงค์ครับ”


 


ซานดร้าเป็นคนที่มีนิสัยโหดร้ายจนเกินคนปกติ ถ้าอารมณ์ของเธอถูกกักเก็บเอาไว้จนถึงระดับนึงเธอจะไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เว้นเสียแต่ว่าเธอจะได้ปลดปล่อยด้านที่โหดร้ายและก้าวร้าวของเธอออกมา”


 


นักฆ่าที่ไม่ได้มีภารกิจอะไรในตอนนี้มักจะถูกส่งมาเพื่อเป็นที่ระบายอารมณ์ของซานดร้า


 


ในขณะที่กำลังคิดว่าวันนี้ควรจะส่งใครไปให้เธอดี, กุนเธอร์ก็เตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้


 


…..


 


“ยอดเยี่ยมจริงๆ อ่านการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้จากชิ้นส่วนข้อมูลเล็กๆแบบนี้, ถือว่าทำงานได้สุดยอดจริงๆครับ”


 


“มันก็เหมือนกับการอ่านทิศทางการโจมตีของมอนส์เตอร์นั่นแหล่ะค่ะ ในสถานการณ์ที่การเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกจำกัด, ตามปกตินั้น, พวกเขาก็จะพยายามวางมาตรการให้ดีที่สุด ข้าก็แค่เฝ้าดูจุดนั้นในขณะที่คอยส่งข้อมูลให้ขุมอำนาจอื่น และในเมื่อองค์หญิงลำดับสองระมัดระวังตัวมากขึ้นแล้ว, เธอก็น่าจะไม่ลุยเข้ามาอย่างดุดันขนาดนี้อีก”


 


“สุดยอดเลยค่ะ! คุณลินเฟีย!”


 


ลินเฟียค่อนข้างสับสนกับการสรรเสริญอย่างซื่อตรงของฟีเน่


 


อัลได้ฝากฝังลินเฟียให้เป็นคนคอยอารักขาฟีเน่และบอกกับฟีเน่ให้ฟังคำแนะนำของลินเฟีย


 


เพราะเหตุนี้เอง, ฟีเน่จึงรับฟังทุกความเห็นของเธอ


 


แน่นอนว่า, ฟีเน่ไม่ได้แค่รับฟังเฉยๆ, เธอบอกสิ่งที่เธออยากทำด้วยและลินเฟียก็จะเสนอวิธีทำมันให้สำเร็จให้, ซึ่งพวกเขาก็ได้นำวิธีเหล่านั้นมาปรับใช้ในแนวทางปฏิบัติของพวกเขา


 


มันไม่ใช่เรื่องแย่ที่ถูกปฏิบัติอย่างดีขนาดนี้แต่ลินเฟียรู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลกนิดหน่อย


 


“มีอะไรรึเปล่าคะ?”


 


“ไม่มีค่ะ….ข้าก็แค่, กำลังสงสัยอยู่ว่าทำไมท่านถึงเชื่อใจข้าขนาดนี้?”


 


“ทำไมถึงพูดแบบนั้นหล่ะคะ, มันก็เพราะท่านอัลไว้ใจท่าน นอกจากนี้, ท่านอัลเองก็เข้าใจถึงความสำคัญของข้าดีดังนั้นเขาคงไม่ส่งคนที่ไม่น่าไว้ใจมาอยู่ข้างตัวข้าหรอกค่ะ”


 


ไม่มีความประสงค์ร้ายอยู่ในรอยยิ้มของฟีเน่เลย


 


มีแค่สาเหตุเดียวที่เธอสามารถยิ้มออกมาได้ขนาดนี้, นั่นก็คือมันไม่มีความสงสัยอยู่ในกระบวนการคิดของเธอเลย


 


ฟีเน่นั้นเข้าใจตำแหน่งของเธอดี ลูกสาวของดยุค, เจ้าของฉายาเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน เธอเข้าใจว่านี่คือทั้งหมดที่เป็นเธอ


 


เธอไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพราะความสามารถเฉพาะตัวของเธอ ความสำคัญของเธอที่มีต่อทั้งอัลกับลีโอ, ก็แค่ให้ ‘มีชีวิตอยู่’ ก็พอ ส่วนนอกเหนือจากนั้นไม่ได้มีใครคาดหวังจากเธอมากนัก


 


นี่เป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่สามารถเอาคนที่ไม่น่าไว้ใจมาอยู่ข้างเธอได้ และมันก็เป็นเหตุผลที่ฟีเน่มีความมั่นใจขนาดนี้ ด้วยรูปแบบความคิดเช่นนี้, ฟีเน่จึงไว้ใจลินเฟียอย่างเต็มที่”


 


“เอ่อ…ไม่รู้สึกรังเกียจเลยหรอคะ? ที่จู่ๆมีคนใหม่เสนอหน้ามาแบบนี้”


 


เอาจริงๆ, ลินเฟียนั้นเตรียมใจที่จะถูกเกลียดขี้หน้าเอาไว้แล้ว


 


ฟีเน่เป็นลูกสาวของดยุคในขณะที่ลินเฟียเป็นแค่เด็กจากหมู่บ้านผู้ลี้ภัย นี่คือข้อแตกต่างระหว่างพวกเธอ เธอไม่เคยคิดเลยว่าคนระดับนี้จะยอมฟังทุกอย่างที่เธอพูด


 


อย่างไรก็ตาม, นั่นมันไม่ใช่ประเด็น


 


ต่อให้เธอได้รับความไว้ใจจากอัล, ลินเฟียก็ยังอดรู้สึกแปลกไม่ได้ที่ฟีเน่ยอมฟังความคิดเห็นของเธอถึงขนาดนี้


 


อย่างน้อยที่สุด, เธอก็อยู่ห่างไกลจากภาพของขุนนางในความคิดของลินเฟีย


 


“? ถ้าข้าสามารถเป็นประโยชน์กับท่านอัลและท่านลีโอได้ข้าก็ไม่สนใจหรอกค่ะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้ามีประโยชน์คุณลินเฟียเองก็จะมีประโยชน์เหมือนกันถูกไหมคะ?”


 


“….เข้าใจแล้วค่ะ ท่านไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเองเลยสินะคะ”


 


“มองได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลยนะครับ ท่านฟีเน่เป็นคนแบบนี้จริงๆ เธอมักจะให้ความสำคัญกับคนอื่นก่อนส่วนตัวเองเอาไว้ทีหลัง”


 


ลินเฟียที่ถูกโน้มน้าวพยักหน้าให้กับคำพูดของเซบาส


 


ในขณะที่กำลังคิดว่ามีขุนนางแบบเธออยู่ด้วย, เธอก็สงสัยว่าทำไมคนแบบนี้ถึงเข้าร่วมในความขัดแย้งทางการเมืองแบบนี้ นี่คือคำถามใหม่ที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ


 


“ทำไมคุณถึงเอาตัวเองมาเกี่ยวข้องกับสงครามผู้สืบทอดหรอคะ? ขออภัยที่เสียมารยาทแต่ข้าไม่คิดว่าคนอย่างท่านจะเหมาะกับเรื่องแบบนี้”


 


“อูยย….ข้ารู้ดีค่ะ….ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน…..”


 


ฟีเน่พูดแบบนั้นออกมาด้วยสีหน้าเหมือนกับว่าเธอพึ่งได้รับความตกใจ


 


ดูเหมือนว่าเธอจะตกใจจริงๆดังนั้นลินเฟียจึงเริ่มวิตกกังวล


 


“อะ, เอ่อ….มันทำให้ท่านตกใจขนาดนั้นเลยหรอคะ?”


 


“ค่ะ….ข้าไม่เคยเป็นประโยชน์กับท่านอัลและคนอื่นๆเลย…..ข้าเองก็อยากจะเป็นประโยชน์กับเขาเหมือนกัน”


 


ตราบใดที่เธอสามารถสร้างผลลัพธ์ดีๆให้อัลได้, เธอก็ไม่สนใจไม่ว่าเธอจะต้องร่วมมือกับใครก็ตาม


 


นี่คือแนวคิดหลักๆของฟีเน่ อย่างไรก็ตาม, มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอยินดีกับการที่เป็นคนไร้ประโยชน์


 


เธออยากเป็นประโยชน์โดยที่ไม่ต้องใช้ตำแหน่งหรือฉายาของเธอมาโดยตลอด


 


แต่มันก็แค่เพราะตัวฟีเน่เองนั้นเข้าใจดีว่าเธอไม่มีความสามารถที่จะทำแบบนั้นเธอถึงไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวที่สังเกตเห็นได้


 


“แค่มีท่านอยู่ที่นี่ก็ถือเป็นโชคดีของพวกเขาสองคนแล้วหล่ะค่ะ, ท่านฟีเน่ อย่าคิดมากไปเลยนะคะ”


 


“ข้าเองก็หวังแบบนั้น……”


 


ฟีเน่ในสภาพคอตกยังคงดูงดงามแม้ว่าจะมองจากสายตาของลินเฟียที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน และนี่มันก็ไม่ใช่แค่เพราะใบหน้าที่งดงามของเธอเพียงอย่างเดียว


 


เธอกำลังถ่ายทอดความรู้สึกที่ว่าอยากมีประโยชน์กับคนอื่นจริงๆ ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่เธอคิดมากขนาดนี้


 


ในวันที่เขาออกเดินทาง, อัลได้ให้คำพูดทิ้งท้ายเอาไว้ด้วย


 


ฝากดูแลฟีเน่ให้ข้าด้วยนะ


 


เธอไม่รู้ว่าเขาอยากให้เธอดูแลฟีเน่ในระดับไหนแต่ลินเฟียตัดสินใจที่จะถลำไปต่ออีกซักเล็กน้อย


 


เขาอยากให้ฟีเน่ประสบความสำเร็จซักเรื่องนึง นี่คือแนวทางที่เธอเลือกที่จะตีความคำพูดของเขา


 


“ถ้างั้นมามีประโยชน์ด้วยกันเถอะค่ะ ท่านฟีเน่”


 


“เอ๋? มีอะไรที่ข้าทำได้ด้วยหรอคะ?”


 


“มีสิ่งที่มีเพียงแค่ท่านเท่านั้นที่ทำได้อยู่ค่ะ ท่านมีชื่อเสียงในเมืองหลวงและมีพวกที่อยากได้ชื่อเสียงนั้นของท่านอยู่”


 


“ใครหรอคะ?”


 


“พ่อค้าค่ะ ข้าคิดว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพวกเขาก่อนที่องค์ชายจะกลับมาจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับขุมอำนาจนี้ได้อย่างแน่นอน”


 


ในขณะที่เธอเสนอออกมาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย, ลินเฟียก็เหลือบมองเซบาส


 


ถ้าเขาไม่พอใจกับข้อเสนอนี้, เซบาสคงจะแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างแน่นอน


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าเซบาสไม่พูดอะไร


 


ลินเฟียก็จะพูดต่อ


 


“แน่นอนว่าตอนนี้, มีบริษัทในเมืองหลวงที่อยากใช้ความนิยมของท่านอยู่แต่พวกเขาอาจจะคุยกับคู่แข่งคนอื่นๆไปแล้ว ดังนั้น, พวกเราจะเล็งบริษัทที่แตกต่างออกไปซึ่งกำลังโหยหาอยากจะเปิดตัวในตลาดของเมืองหลวงแทน”


“Right now, there are, of course, companies inside the capital that want to utilize your popularity but they are probably already talking to the other candidates. So, we will aim for a different company that eagerly wants to make a debut inside the capital’s market instead.”


 


“มีบริษัทแบบนั้นจริงๆหรอคะ?”


 


“มีค่ะ บางทีท่านฟีเน่น่าจะเคยได้ยินเหมือนกัน ท่านรู้จักบริษัทใหญ่ที่ชื่อว่าไอจิน(กึ่งมนุษย์)รึเปล่าคะ?”


 


“เข้าใจแล้วครับ ดูเหมือนว่าข้าต้องประเมินท่านไปอีกระดับนึงแล้วสินะ บริษัทไอจินเองก็เป็นที่สนใจของท่านลีโอนาร์ดกับท่านอาร์โนลด์อยู่เหมือนกัน แต่ว่า, พวกเขายังไม่ได้ติดต่อมาเลย นี่แสดงว่าท่านต้องรู้เหตุผลสินะครับ?”


 


“ใช่ค่ะ, มันเป็นเพราะผู้นำของบริษัทนั้นเป็นแวมไพร์หญิง คนของจักรวรรดิไม่ค่อยประทับใจแวมไพร์เท่าไหร่เนื่องจากเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ข้าเข้าใจสาเหตุที่พวกเขาชะลอการติดต่อแต่พวกเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพวกเขาได้อย่างแน่นอนค่ะด้วยการใช้สถานการณ์นี้ ท่านไม่คิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีหรอคะ?”


 


ฟีเน่พยักหน้ารัวๆให้กับข้อเสนอของลินเฟีย


 


เธอไม่เพียงแค่พยักหน้า เธอยังพิจารณาเกี่ยวกับมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย


 


ถ้าเธอทำตามข้อเสนอนี้, ใครจะเปลี่ยนเป็นศัตรูของพวกเขา? ใครจะกลายเป็นพันธมิตรของพวกเขา? ข้อเสนอนี้จะสร้างผลกระทบแบบไหนให้กับเมืองหลวงของจักรวรรดิ?


 


หลังจากที่เธอพิจารณาทุกอย่างแล้ว, ฟีเน่ก็ได้ข้อสรุป


 


“ลองไปพบแวมไพร์หญิงคนนั้นกันเถอะค่ะ ข้าคิดว่าข้าต้องเห็นนิสัยของเธอกับตาของตัวเองก่อนถึงจะตัดสินใจได้”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะสามารถจัดการประชุมขึ้นได้ถ้าพวกเราส่งคนไป ข้าขอฝากเรื่องการจัดการให้ท่านได้ไหมคะ?”


 


“ไม่มีปัญหาครับ คิดว่าพวกเราน่าจะได้รับคำตอบของพวกเขาภายในสองสามวันนี้”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ…..ท่านอัล, ข้าจะพยายามนะคะ”


 


ในขณะที่พูดอยู่นั้น, ฟีเน่ได้เพิ่มเสียงของเธอโดยหันไปทางใต้, ซึ่งเป็นทิศทางที่อัลกำลังอยู่


 


ในตอนนี้เอง, ฟีเน่ไม่ได้รู้เลยว่าอัลต้องจัดการกับอะไรบ้างทางฝั่งเขา

 

 

 


ตอนที่ 34

 

พวกเราถูก ‘เชิญ’ ไปที่ปราสาท


 


ดูจากท่าทีที่สุภาพของเขา, เห็นได้ชัดว่าพระราชาไม่มีความตั้งใจที่จะเป็นศัตรูกับพวกเรา เอาเถอะ, ถ้าประเทศนี้ทำอะไรกับพวกเรามันก็คงจะเป็นสิ่งที่เหมือนกับโดนรุกฆาตสำหรับพวกเขา พวกเรามีมังกรทะเลที่ต้องจัดการอยู่แล้ว, ถ้าพวกเขาสู้กับจักรวรรดิตอนนี้มันก็คงจะเป็นจุดจบสำหรับพวกเขาอย่างแน่นอน


 


เมื่อเป็นเช่นนี้, มันจะดีกว่าสำหรับพวกเขาถ้าให้การต้อนรับพวกเราอย่างสุภาพและปรึกษาหารือเพื่อขอความร่วมมือในการจัดการกับมังกรทะเล


 


มันขึ้นอยู่กับขนาดของพวกมันแต่ปกติแล้ว, มังกรนั้นถูกพิจารณาว่าเป็นมอนส์เตอร์คลาส S ถ้าเลือกพึ่งพากิลด์นักผจญภัยในการต่อสู้กับมัน, พวกเขาก็จะส่งปาร์ตี้ที่ประกอบด้วยนักผจญภัยแรงค์ S กับแรงค์ AAA หรือไม่ก็ขอให้นักผจญภัยแรงค์ SS มาจัดการกับมัน


 


ถ้าเลือกพึ่งพากองทัพก็อาจจะจำเป็นต้องเตรียมตัวอย่างมหาศาลและต้องมีทหารจำนวนมากเพื่อต่อสู้กับมัน


 


แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหนอย่างน้อยที่สุดมันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ราชรัฐอัลบราโทรจะเอาชนะมันได้ด้วยตัวคนเดียว


 


“เชิญทางนี้ครับ”


 


“ขอบคุณครับ”


 


หลังจากขอบคุณอัศวินที่พาฉันมาที่นี่, ฉันก็เข้าไปในห้องบัลลังก์


 


พอก้าวเข้ามาแล้ว, พระราชาไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ เขากำลังก้มศรีษะให้ในขณะที่ยืนอยู่บนพรมแดงที่ปูลากยาวออกมาจากบัลลังก์


 


ผู้คนรอบตัวเขาที่น่าจะเป็นรัฐมนตรีเองก็กำลังก้มศรีษะเหมือนกัน


 


“เป็นเกียรติที่ได้พบครับ, ท่านลีโอนาร์ดองค์ชายแห่งจักรวรรดิ ข้าคือกษัตริย์แห่งอัลบราโทร, โดนาโต เดอ อัลบราโทร เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มันมาจากความไม่รอบครอบของประเทศเรา ข้ารู้สึกผิดจริงๆที่ลากท่านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ข้าอยากจะขอแสดงความขอบคุณจากใจจริงสำหรับการช่วยเหลือประชาชนและพวกเด็กๆทั้งหลายของข้า ขอบคุณมากจริงๆครับ”


 


“โปรดรับความขอบคุณของเราด้วยครับองค์ชายลีโอนาร์ด!!”


 


รัฐมนตรีที่อยู่รอบๆทำตามแบบเดียวกับพระราชาและกล่าวขอบคุณ


 


มันคือภาพที่หาดูได้ยาก


 


ไม่ว่าประเทศของฉันจะใหญ่แค่ไหน, เขาก็ยังเป็นพระราชาในขณะที่ฉันเป็นแค่เจ้าชาย ตามหลักแล้วจุดยืนของเขาสูงกว่าของฉัน แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์, ถ้าให้ดีที่สุดพวกเราควรจะมีจุดยืนเท่ากัน


 


การลงมาจากบัลลังก์แล้วก้มศรีษะให้แบบนี้มันดูบ้าบออย่างถึงที่สุด


 


แน่นอนว่า, ฉันหยุดอึ้งในทันทีแต่ในตอนที่ฉันมองไปทางมาร์ค, เขาก็ตัวแข็งทื่อไปแล้ว


 


เขาสามารถเอาเข่าค้ำยันร่างกายเอาไว้ได้แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขากำลังทำตัวไม่ถูก ดูเหมือนว่าแค่จัดการกับความคิดในหัวของตัวเองเขาก็ยุ่งจนทำอย่างอื่นไม่ไหวแล้ว


 


พระราชาคนนี้อยู่ในช่วงวัยสี่สิบกลางๆ เหมือนกับเอวาและจูลิโอ, เขามีผมสีน้ำตาลซีดและดวงตาสีเขียวในขณะที่ใบหน้าของเขาไปทางจูลิโอมากกว่า


 


เขาดูใจดีแต่ใบหน้าของเขานั้นซูบผอมมากจนทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มักจะป่วยอยู่บ่อยๆ


 


ฉันคุกเข่าลงแล้วพูดกับพระราชา


 


“ฝ่าบาท เป็นเกียรติที่ได้พบครับ ข้าเจ้าชายลำดับแปดของจักรวรรดิ, ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ ข้าขอโทษด้วยที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายในประเทศของท่าน และท่านก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าแค่ช่วยเหล่าผู้รอดชีวิตเพราะพวกเขาบังเอิญประสบเหตุต่อหน้าต่อตาข้า ถ้ามีเรือของจักรวรรดิเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน, ทางฝั่งราชรัฐเองก็คงจะทำเช่นเดียวกันอย่างแน่นอน เพราะทุกคนที่นี่คงจะรู้ถึงความน่ากลัวของทะเลดีอยู่แล้ว”


 


“ตะ, แต่ว่า!”


 


“แต่ถึงยังไง, ประเทศที่ตระหนักถึงหน้าที่รับผิดชอบอย่างหนักแน่นเฉกเช่นประเทศของท่านก็คงจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆแน่ ดังนั้นข้าอยากจะขอค่าตอบแทนเป็นน้ำกับอาหารเพื่อนำมาใช้เป็นเสบียงให้เรือของข้า และเนื่องจากเรือของข้าได้ทิ้งสมบัติที่ตั้งใจจะนำไปเป็นของขวัญให้รอนดิเน่ไปหมดแล้วเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตของท่าน, ถ้าท่านสามารถแบ่งสมบัติมาให้ได้ซักเล็กน้อยพวกเราก็คงจะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง”


 


“อะ, อะไรกันครับ! ท่านอุตส่าห์ลงทุนทำเพื่อพวกเราตั้งขนาดนั้น! แน่นอนอยู่แล้ว! ถึงท่านไม่ขอ, ประเทศของเราก็ยินดีที่จะชดเชยให้ท่านทุกอย่าง!”


 


“ขอบคุณมากครับ มีอีกเรื่องนึง ข้าอยากจะถามฝ่าบาทเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศของท่าน ถ้าปัญหานี้ยืดเยื้อออกไป, ผลกระทบของมันจะกระจายไปทั่วทวีปอย่างแน่นอน”


 


“…..ข้าเข้าใจครับ ท่านไม่ใช่ผู้ไม่เกี่ยวข้องอีกต่อไปแล้ว แจ้งให้ท่านทราบเอาไว้คงจะดีกว่า”


 


ฉันส่งสัญญาณขอให้พระราชากลับไปนั่งบนบัลลังก์


 


พระราชาพยักหน้า เขากลับไปนั่งบนบัลลังก์แล้วเริ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“ท่านคงจะทราบเรื่องนี้แล้วแต่….มังกรทะเลกำลังแอบซุ่มอยู่ในทะเลของเราครับ”


 


“ข้าก็พอจะรู้สึกได้ลางๆ พายุที่เกิดขึ้นมันดูผิดธรรมชาติเกินไปและลักษณะของมันก็ตรงกับสิ่งที่กัปตันเรือของข้าบอกเกี่ยวกับเรื่องเล่าของมังกรทะเลด้วย”


 


“ครับ….มังกรตัวนั้นมีชื่อว่าลิเวียธาน มันคือมังกรที่หลับไหลมาเป็นเวลากว่าสองร้อยปี”


 


“สองร้อยปีเลยหรอ? นี่มันค่อนข้างนานสำหรับการจำศีลของมังกรนะ”


 


“มันไม่ใช่แค่การจำศีลทั่วๆไปครับ พวกเราตั้งใจทำให้มันเป็นแบบนั้น โดยใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ นำสิ่งนั้นมาให้ข้า”


 


พระราชาบอกกับคนใช้ให้นำบางอย่างออกมา


 


จากนั้น, คนใช้ก็นำคทาที่พังแล้วออกมา


 


มันพังจนใช้การไม่ได้แล้ว โครงสร้างของมันผิดปกติแต่มันมีอัญมณีเม็ดโตที่ปลายของมัน มันน่าจะเป็นอัญมณีที่เคยเก็บพลังเวทย์เอาไว้ ฉันยังสามารถสัมผัสถึงพลังที่กล้าแกร่งจากมันได้ อย่างไรก็ตาม, นี่ยังมีแค่ครึ่งเดียวของมัน ถ้าลองนึกภาพตอนที่มันยังอยู่ในสภาพปกติ, เจ้าสิ่งนี้คงจะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ค่อนข้างโดดเด่นใช้ได้เลย


 


“สองร้อยปีก่อน, ดินแดนทางใต้นั้นเคยถูกปกครองด้วยประเทศเดียวที่รวมกันเป็นปึกแผ่น แต่ว่า, มังกรทะเลลิเวียธานก็เข้ามาในช่วงที่มันกำลังออกอาละวาดและเรียกพายุออกมาทั่วทั้งพื้นที่ ประเทศนั้นได้ต่อสู้กับมัน และผลก็คือ, พวกเขาสามารถทำให้มันจำศีลได้โดยใช้อุปกรณ์เวทมนตร์นี้ แต่ถึงอย่างนั้น, ราชวงศ์ในยุคนั้นก็อยู่ในช่วงตกต่ำแล้วซึ่งมันก็ส่งผลให้เข้าสู่ยุคสงครามภายใน แต่เดิมราชรัฐอัลบราโทรของเราก่อตั้งขึ้นมาก็เพื่อปกป้องคทาดังนั้นตำนานเกี่ยวกับลิเวียธานที่ถูกส่งต่อมาให้พวกเราจึงมีความแม่นยำกว่าของรอนดิเน่”


 


“เข้าใจหล่ะ เพราะคทานี้พังไปแล้ว, เจ้าก็เลยรีบส่งคนออกไปสืบสินะ?”


 


“ใช่ครับ ข้ารู้สึกผิดจริงๆที่ดึงท่านเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้ เรือของท่านคงจะถูกดึงเข้าไปอยู่ในพายุเหมือนกัน, มันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเรือของท่านเองก็จมตามไปด้วย……พวกเราน่าจะทำการติดต่อกับกิลด์นักผจญภัยตั้งแต่เนิ่นๆ”


 


“ช่างเถอะครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น, การกำจัดมังกรท่านจะต้องจ่ายรางวัลเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้อมูลเกี่ยวกับมันจะเริ่มแพร่กระจายไปยังประเทศข้างเคียงด้วย ข้าไม่โทษฝ่าบาทในเรื่องนี้หรอก”


 


“……ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ”


 


“การอธิบายจบลงเพียงเท่านี้


 


ตอนนี้ฉันเข้าใจสถานการณ์แล้ว ต่อไปก็คือการคิดมาตรการตอบโต้


 


ฉันจะทำยังไงดีนะ? ต่อให้พวกเราติดต่อกิลด์นักผจญภัย, มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะออกเคลื่อนไหวในทันที ถึงยังไงมันก็มีนักผจญภัยเพียงหยิบมือที่สามารถต่อกรกับมังกรได้


 


เอาเถอะ, ฉันก็คือหนึ่งในนักผจญภัยพวกนั้นนั่นแหล่ะแต่มันคงจะผิดธรรมชาติเกินไปถ้าซิลเวอร์ที่เคลื่อนไหวอยู่แค่ภายในเมืองหลวงจักรวรรดิจู่ๆออกมาโผล่ที่นี่เข้า ฉันต้องหาเหตุผลที่ดูฟังขึ้น


 


“ฝ่าบาท, พอจะคิดมาตรการตอบโต้เอาไว้บ้างรึยังครับ?”


 


“….ข้าคิดได้แค่วิธีเดียวนั่นก็คือติดต่อกิลด์นักผจญภัย แต่ว่า, พวกเขาคงจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในทันที….”


 


“นี่ยังเป็นแค่ทางเลือกเดียวของเราสินะ ข้าเองก็อยากให้ยืมอำนาจของจักรวรรดิเหมือนกันแต่ถ้าศัตรูของเราคือมังกรทะเลและการต่อสู้ต้องอยู่ในทะเลพวกเราก็คงไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยการส่งกองเรือของพวกเรามา มันคงจะดีกับพวกเรากว่าถ้าพึ่งพาพวกที่เชี่ยวชาญเรื่องมอนส์เตอร์ แต่ว่านะ, ข้ามีข้อเสนออยู่”


 


“อะไรหรอครับ ท่านจะเสนออะไร?”


 


“พวกเราควรก่อตั้งพันธมิตรต่อต้านมังกรขึ้นมากับราชรัฐรอนดิเน่ ถ้าพวกเขารู้สถานการณ์, พวกเขาก็น่าจะเข้าใจเหมือนกันว่ามันไม่ใช่เวลามาขัดแย้งกัน”


 


“ข้าเองก็คิดเรื่องนั้นอยู่ครับแต่ว่า…..พวกเรามีความขัดแย้งกับรอนดิเน่มานานแล้ว พวกเราไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอะไรที่สามารถใช้เพื่อก่อตั้งพันธมิตรกับพวกเขาได้ในตอนนี้”


 


“นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่ข้าอยากยื่นข้อเสนอนี้ ข้าขออนุญาตเป็นผู้ดำเนินการในการเจรจาขอก่อตั้งพันธมิตรกับรอนดิเน่เอง ถ้าทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จของจักรวรรดิเคลื่อนไหวในฐานะคนกลาง, พวกเขาคงจะไม่กล้าปฏิเสธในทันทีหรอก”


 


พระราชาค่อนข้างสับสนกับข้อเสนอของฉัน


 


ซึ่งนี่เป็นเพราะข้อเสนอนี้มันดูเอื้อประโยชน์ให้กับพวกเขามากเกินไป


 


หลังจากพิจารณาอยู่พักนึง, พระราชาก็ให้คำตอบมาแบบเลี่ยงๆ


 


“ข้าขอปรึกษากับคณะรัฐมนตรีของข้าก่อนได้รึเปล่า?”


 


“ไม่มีปัญหาครับ, แต่ฝ่าบาทพวกเราควรรีบจัดการเรื่องนี้นะครับ รอนดิเน่ยังไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแต่พวกเขาก็น่าจะพอมีข้อมูลคร่าวๆแล้วว่าตอนนี้ประเทศของท่านกำลังประสบภัยพิบัติ พวกเขาอาจจะใช้โอกาสนี้โจมตีเข้ามาก็ได้”


 


“แน่นอนครับ……”


 


เอาเถอะ, ถึงฉันจะพูดแบบนั้นออกไปแต่ฉันก็ไม่คิดว่าสถานการณ์มันจะไปทิศทางนั้นหรอก


 


ลีโออยู่ฝั่งนั้น ต่อให้เขาต้องแกล้งทำตัวเป็นฉัน, เขาก็ยังมีเอลน่าอยู่ด้วย


 


เขาน่าจะสามารถตามการเคลื่อนไหวได้ในระดับนึงและยับยั้งการเคลื่อนไหวของรอนดิเน่ไม่ให้ไปถึงจุดนั้น นอกจากนี้ถ้าฉันยังไม่ถึงรอนดิเน่เขาก็คงจะคาดการณ์ได้แน่ๆว่าตอนนี้ฉันอยู่ในอัลบราโทร


 


แต่ว่า, มันคงจะช่วยได้เยอะถ้าเขาสามารถซื้อเวลาให้ฉันได้ซักพัก


 


ฉันอยากได้เวลาคิด ด้วยการใช้สิ่งนั้น, ฉันสามารถกลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิได้ด้วย แต่ปัญหาก็คือว่าฉันจะต้องใช้สองครั้งในการเดินทางขาเดียว และฉันจะต้องใช้เวทย์เคลื่อนย้ายทั้งหมดสีครั้งในการเดินทางไปกลับ ด้วยเหตุนี้เอง, ฉันจะต้องกำหนดเวลาสำหรับเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง


 


ด้วยความคิดนี้เอง, ฉันก็โค้งทำความเคารพแล้วขอตัวออกจากห้องบัลลังก์

 

 

 


ตอนที่ 35

 

ขอแก้ชื่อบริษัทจากไอจินเป็นอะจินครับพอดีผมสะกดผิด


………………………………


 


เหมือนกับชื่อของมัน, บริษัทอะจินนั้นคือบริษัทที่บริหารโดยพวกกึ่งมนุษย์


 


สมาชิกทุกคนเป็นกึ่งมนุษย์ แม้ว่ามันจะดึงดูดความสนใจเพราะลักษณะที่พิเศษนี้, แต่เนื่องจากความหลากหลายของสมาชิก, คุณภาพชิ้นงานของพวกเขาจึงยอดเยี่ยมกว่าบริษัทอื่นมาก


 


งานแบกหามสัมภาระจะจัดสรรค์ให้กึ่งมนุษย์ที่มีร่างกายแข็งแรง งานจัดส่งสำหรับพวกที่มีฝีเท้าว่องไว้ งานเก็บเกี่ยวสำหรับพวกที่มีประสาทสัมผัสทางการรับกลิ่นดี


 


กึ่งมนุษย์แต่ละคนจะมีสาขาที่เชี่ยวชาญเป็นของตัวเองซึ่งพวกเขาจะสามารถปฏิบัติได้เก่งกว่ามนุษย์ ถ้าพวกเขาถูกจัดสรรค์ให้อยู่ในสาขางานที่เหมาะสม, มันก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้


 


ด้วยการทำแบบนี้, บริษัทอันแสนยอดเยี่ยมนี้จึงค่อยๆขยายอิทธิพลขึ้นโดยเริ่มจากฝั่งตะวันออกของทวีปและตอนนี้พวกเขาก็มาตั้งสาขาในเมืองหลวงของจักรวรรดิ นอกจากนี้ ,บริษัทนี้ยังมีผู้นำเป็นแวมไพร์ลึกลับที่ไม่เคยโผล่หน้ามาให้สาธารณะเห็นด้วย


 


ทั้งหมดนี้คือบริษัทอะจิน


 


ลินเฟียกับฟีเน่กำลังมุ่งหน้าไปที่สาขาเมืองหลวงจักรวรรดิ


 


“พวกเขาพึ่งจะตั้งสำนักงานสาขาขึ้นมาและกำลังจะเริ่มธุรกิจที่นี่แต่ว่าเหตุการณ์ทางฝั่งตะวันออกก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังไม่ได้เปิด, และมันก็ยังไม่มีป้ายร้านที่สำนักงานของพวกเขาด้วย หัวหน้าของพวกเขาเป็นแวมไพร์และจักรพรรดิก็พึ่งจะถูกแวมไพร์โจมตี ดังนั้นมันก็เลยทำให้ตอนนี้จักรวรรดิอ่อนไหวกับพวกกึ่งมนุษย์มากขึ้น ข้าคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดในส่วนของพวกเขา”


 


“งั้นหรอคะ? ข้าคิดว่าถ้าพวกเขาไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีพวกเขาก็ไม่น่าจะถูกรังเกียจนะคะ พวกเขาดูไม่เหมือนกับพวกที่โจมตีจักรพรรดิเลยไม่ใช่หรอ……?”


 


“ถ้าทุกคนคิดแบบท่านฟีเน่ก็คงไม่มีปัญหาหรอกค่ะแต่ในโลกนี้ไม่ได้มีแค่คนดีๆแบบท่านนะคะ มีหลายคนที่ไม่ได้มองคนร้ายเป็นตัวบุคคลแต่พวกเขาจะเหมารวมกึ่งมนุษย์ทั้งหมด, ด้วยอคติที่ติดตัวพวกเขา”


 


ลินเฟียกำลังคิดว่าฟีเน่เป็นคนมีคุณธรรม


 


เธอไม่ได้เป็นแค่คนนอก, เธอคือหนึ่งในเหยื่อของเหตุการณ์นั้น แต่ว่า, เธอก็ยังไม่มีอคติกับพวกแวมไพร์หรือเผ่ากึ่งมนุษย์อื่นๆเลย


 


มันคือหลักฐานที่บ่งบอกว่าเธอไม่ได้ตัดสินคนจากฐานะหรือเผ่าพันธ์ของพวกเขา ในเมื่อเธอมองคนกระทำผิดเป็นตัวบุคคุล, เธอก็จะไม่เชื่อมโยงพวกเขากับสิ่งอื่นหรือคนอื่นเพื่อระบายความเกลีดชังของเธอ


 


อย่างไรก็ตาม, ลินเฟียคิดว่าฟีเน่ควรจะรู้เอาไว้ว่าแนวคิดของเธอนั้นถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว


 


และนี่ก็คือเหตุผลที่เธออยากเตือนสติฟีเน่ที่ดูเหมือนจะลืมความจริงนั้น


 


“ท่านฟีเน่คะ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้นล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง ท่านเข้าใจในเรื่องนี้ใช่ไหมคะ?”


 


“แน่นอนค่ะ”


 


“ถ้างั้นท่านก็น่าจะเข้าใจว่ามันมีกรณีที่ความคิดในเรื่องหนึ่งๆของท่านไม่ตรงกับความคิดของคนอื่นด้วย ข้าไม่ได้มีอคติอะไรกับพวกกึ่งมนุษย์แต่ถ้าท่านไปพูดกับคนที่อคติกับพวกกึ่งมนุษย์, คนผู้นั้นก็อาจจะมองว่าท่านสนับสนุนกึ่งมนุษย์ได้ และนั่นก็จะเป็นผลเสียกับท่านและขุมอำนาจของท่านด้วย ถ้าท่านนึกถึงพวกองค์ชายท่านก็ควรจะระวังในตอนที่ท่านอยากฝังความคิดแบบนั้นให้คนอื่นนะคะ”


 


“นะ, นั่นสินะ….ถูกที่สุดเลย มันเป็นความผิดของข้าเองแหล่ะ”


 


พอเห็นฟีเน่ตัวสั่น, ลินเฟียก็รู้สึกเหมือนกับเธอพึ่งทำเรื่องไม่ดีลงไป อย่างไรก็ตาม, ลินเฟียยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อปลอบเธอ


 


ในเมื่ออัลขอให้เธอดูแลฟีเน่เพื่อแลกเปลี่ยนกับการช่วยหมู่บ้านของเธอ, ลินเฟียจึงรู้สึกว่าเธอจะต้องรับผิดชอบฟีเน่


 


ในฐานะนักผจญภัย, เธอต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้รางวัล


 


อย่างน้อยเธอก็ต้องปกป้องขุมอำนาจนี้และทำให้ฟีเน่ได้เครดิตจากเรื่องบางอย่าง ถ้าแค่ปัจจัยขั้นต่ำสุดเธอยังทำไม่ได้เธอก็ไม่สามารถร้องขอรางวัลได้


 


ยิ่งไปกว่านั้น, อัลยังจ้างกลุ่มของอาเบลให้คอยปกป้องหมู่บ้านของเธอเอาไว้อีก


 


ไม่ว่าจะเป็นปริมาณงานที่มากแค่ไหนมันก็ถูกจำนวนเงินที่เขาจ่ายไปบดบังหมดแล้ว


 


ในฐานะซิลเวอร์, อัลมีเงินมากมายมหาศาลดังนั้นเขาจึงจ่ายให้กับมันได้โดยไม่ต้องหยุดคิดเลยแต่ในฐานะเจ้าชาย, นั่นคือจำนวนเงินที่ต้องใช้ความพยายามระดับนึงถึงจะได้มา


 


และนี่ก็คือสิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกถึงหน้าที่รับผิดชอบของลินเฟีย


 


“ครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นตัวแทนของบริษัทใหญ่ ถ้าท่านกล่าวอะไรออกไปโดยไม่ระมัดระวัง, มันก็มีโอกาสสูงที่ท่านจะถูกพวกเขาหลอกลวงด้วยวิธีการบางอย่าง เพราะฉะนั้นช่วยระมัดระวังด้วยนะคะ”


 


“ค, ค่ะ!”


 


ลินเฟียพยักหน้าให้ในขณะที่เธอเห็นสีหน้าที่จริงจังของฟีเน่


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, รถม้าก็หยุดลง


 


พวกเขามาถึงบริษัทอะจินสาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิแล้ว


 


…..


 


สำนักงานสาขานั้นตั้งอยู่ในทำเลที่เงียบสงบของเมืองหลวงจักรวรรดิ


 


มันแทบจะไม่มีใครอยู่แถวนี้


 


พอเข้ามาในสำนักงาน, พวกเขาก็ได้พบกับเอลฟ์ผมบลอนด์ที่ดูเหมือนจะเป็นเลขาของตัวแทน, เธอทำหน้าที่เป็นไกด์นำทางในสำนักงาน


 


ไม่มีใครพูดอะไร


 


พวกเธอเดินตามเลขาที่อยู่ข้างในอาคารสำนักงานใหญ่และมาหยุดลงที่หน้าประตูสีแดง


 


“เชิญค่ะ, ท่านตัวแทนกำลังรออยู่ข้างใน”


 


“ค่ะ”


 


พอพูดจบ, เลขาก็เปิดประตูให้


 


ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องแต่ไม่มีใครอยู่ข้างในเลย


 


ในตอนที่พวกเธอรู้สึกตัวถึงเรื่องนี้, เลขาก็ออกจากห้องไปแล้ว


 


“พวกเรามาผิดห้องรึเปล่า?”


 


“ข้าไม่คิดว่าคนนำทางจะทำเรื่องผิดพลาดแบบนั้นหรอกนะคะ การให้แขกมารอที่ห้องรับรองก่อนถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรทำเพราะฉะนั้นมานั่งรอกันเถอะค่ะ”


 


ลินเฟียกระตุ้นให้ฟีเน่ไปนั่งบนโซฟาอย่างใจเย็น


 


หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย, ฟีเน่ก็เริ่มชงชาโดยใช้อุปกรณ์ที่อยู่บนโต๊ะ


 


“คุณลินเฟียจะรับชาด้วยไหมคะ?”


 


“ข้าทำหน้าที่เป็นคนอารักขาท่านอยู่เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่ต้องสนใจข้าหรอกค่ะ ในตอนที่พวกเราเสร็จจากที่นี้แล้วข้าค่อยขอรบกวนท่านใหม่”


 


“งั้นหรอ…แต่ดื่มชาคนเดียวมันไม่สนุกนี่หน่า…..”


 


ด้วยความเหงาหงอย, ฟีเน่ก็ดื่มชาคนเดียว


 


ทันใดนั้นเอง, ที่ข้างหลังฟีเน่จู่ๆก็มีมือข้างนึงยื่นออกมาจากฝั่งของลินเฟีย


 


แม้ว่าจะตกตะลึง, แต่ลินเฟียก็สามารถจับมันเอาไว้ได้ก่อนที่จะถึงตัวฟีเน่


 


อย่างไรก็ตาม


 


“อุ๊ยตาย, น่าเสียดายจัง ข้าอยากจะเพลิดเพลินกับความรู้สึกของเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินซักหน่อยแต่เอาเถอะ, คนอารักขาเองก็น่ารักเหมือนกันนะ”


 


พอพูดจบ, คนๆนั้นก็ปรากฎตัวขึ้นถัดจากลินเฟียโดยใช้ช่องว่างจากตอนที่ลินเฟียปกป้องฟีเน่เพื่อวนเข้าหลังของเธอแล้วเริ่มใช่มือทั้งสองข้างขยำหน้าอกของเธอจากด้านหลัง


 


“อ้าา!?”


 


“อุ๊ย, ข้าคิดว่าหน้าผิดหวังไปหน่อยนะ แต่มันยังโตได้อยู่! อดทนเอาไว้หล่ะ!”


 


“หา!”


 


ลินเฟียที่เพลี่ยงพล้ำพยายามจะชักดาบเวทมนตร์ออกมาแต่ถูกฟีเน่หยุดเอาไว้ได้


 


“คุณลินเฟีย ใจเย็นก่อนค่ะ”


 


“ท่านฟีเน่….?”


 


“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ ข้าคิดว่าท่านคงเป็นตัวแทนของบริษัทอะจินสินะคะ? แล้วก็กรุณาปล่อยผู้อารักขาของข้าด้วย ถ้าท่านยืนกรานที่จะเล่นเลยเถิดไปกว่านี้ข้าก็พร้อมที่จะเดินทางกลับเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า, อย่าทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นสิ นี่มันก็แค่การสกินชิพกันเฉยๆ, แค่สกินชิพหน่ะ เอาหล่ะ, ข้าคือตัวแทนของบริษัทนี้เอง”


 


หญิงผมเงินพูดด้วยรอยยิ้มอ่านยาก


 


เธอมีผมสั้นหยักศกและมีม่านตาสีแดงอมม่วง


 


เธอมีบรรยากาศของผู้ใหญ่แต่ลักษณะภายนอกของเธอนั้นดูสาวมาก เธอดูเหมือนกับวัยรุ่นตอนปลายช่วงยี่สิบต้นๆ อย่างไรก็ตาม, อายุของแวมไพร์นั้นไม่สามารถคาดเดาจากรูปลักษณ์ของพวกเขาได้ดังนั้นฟีเน่จึงหยุดคิด”


 


ผู้หญิงที่มีผิวหนังสีขาวและความงดงามของแวมไพร์ รูปลักษณ์ภายนอกของเธอนั้นไม่ได้ด้อยกว่าเลยต่อให้เปรียบเทียบกับฟีเน่ก็ตาม ถ้ามีผู้ตัดสินเป็นผู้ชายร้อยคน, คะแนนเสียงก็คงจะถูกแบ่งเป็นครึ่งๆ


 


ผู้หญิงผมเงินคนนี้เผยรอยยิ้มอารมณ์ดีที่ทำให้บรรยากาศดูเป็นมิตรออกมาแล้วเดินไปที่โต๊ะของเธอ


 


เธอนั่งลงบนโต๊ะด้วยท่าไขว่ห้างแล้วมองตรงมาที่ลินเฟียกับฟีเน่


 


“ข้าคือตัวแทนของบริษัทอะจิน, ยูริยะ เจ้าอาจจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่ข้าเป็นแวมไพร์ ข้าชอบเด็กสาวน่ารักแล้วก็เงินด้วย สิ่งที่ข้าเพลิดเพลินก็คือการสัมผัสกับเด็กสาวน่ารักแล้วก็หาเงิน ยินดีที่ได้รู้จักนะ!”


 


พอได้ฟังคำแนะนำตัวที่ดูตรงจนเกินไปของยูริยะ, ลินเฟียก็ตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของเธอ


 


นี่อาจจะเป็นสถานที่ที่เธอไม่ควรพาสาวงามแสนล้ำค่าอย่างฟีเน่มาก็ได้


 


อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่นั้นยอมรับฟังการแนะนำตัวของยูริยะอย่างเยือกเย็นโดยไม่ต้องเตือนอะไรเลย


 


“ข้าเองก็ชอบผู้หญิงน่ารักเหมือนกันค่ะ, คุณยูริยะ”


 


“หรอ! ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าพวกเราจะคลื่นตรงกัน, พวกเราอาจจะสนิทกันขึ้นมาจริงๆก็ได้นะ, ฟีเน่”


 


ฟีเน่ไม่ได้ตกใจกับการที่จู่ๆก็ถูกเรียกชื่อโดยไม่มีคำนำหน้าดังนั้นลินเฟียจึงทำอะไรไม่ได้ และเธอก็รู้สึกตัวแล้วว่าการรับมือกับเธอคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย


 


พอเห็นลินเฟียในสภาพนี้, ยูริยะก็ยิ้ม


 


“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้พวกเราอยู่ในโหมดคุยงานแล้ว ถ้าเจ้าสามารถสร้างผลกำไรให้ข้าได้ข้าก็จะมอบของขวัญให้เจ้าเป็นการตอบบแทน เจ้าอยากให้พวกเราเป็นพันธมิตรในสงครามผู้สืบทอดใช่ไหมหล่ะ? ถ้างั้นมาเริ่มเจรจากันเถอะ”


 


พอพูดจบ, ยูริยะก็กลายเป็นคนคุมการต่อรองในครั้งนี้แล้ว


 


และเมื่อเห็นแบบนี้, ลินเฟียก็เริ่มรู้สึกผิดกับการตัดสินใจของเธออีกครั้ง


 


ยูริยะไม่ใช่แค่แม่ค้าธรรมดา บางทีเธอน่าจะใช้ชีวิตมานานกว่าปู่ย่าของฟีเน่หรือลินเฟียซะอีก, เธอผ่านสงครามการค้ามาเป็นร้อยในขณะที่ถูกผูกรั้งด้วยชะนักที่เรียกกว่ากึ่งมนุษย์ เธอพัฒนาบริษัทขึ้นมาจากบริษัทเล็กๆสู่บริษัทยักษ์ใหญ่ในทุกวันนี้


 


ตอนแรกลินเฟียคิดว่าเธอจะสามารถดำเนินการเจรจานี้เพื่อสร้างความได้เปรียบให้พวกเขาได้แต่จากท่าทีของยูริยะนั้น เธอเหมือนกับตัวแทนแห่งความใจนิ่ง เธอครองกระแสของการเจรจานี้ได้อย่างสมบูรณ์


 


ตอนนี้จะเอายังไงต่อดีนะ?


 


ในขณะที่ลินเฟียคิดแบบนั้นอยู่เอง


 


ฟีเน่ก็ใช้ไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุด, อย่างรวดเร็วสุดๆ


 


“ชิปต่อรองก็คือข้าเอง ข้าจะมอบสิทธิในการใช้ข้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้พวกเรายื่มอำนาจ”


 


ลินเฟียตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ไวเกินเหตุนี้แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือยูริยะเองก็ตกใจเหมือนกัน


 


อย่างไรก็ตาม, เธอดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วแล้วเผยรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความกลัวออกมา


 


“ถ้าเจ้าให้สิทธินั้นข้าอาจจะทำอะไรบางอย่างที่ดูไม่เหมาะสมกับบุตรีจากบ้านดยุคก็ได้นะรู้ไหม?”


 


“เชิญเลยค่ะ”


 


ด้วยการตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


ตอนนี้มันก็ถึงคราของยูริยะที่ถูกกดดันด้วยรอยยิ้มของฟีเน่

 

 

 


ตอนที่ 36

 

ยูริยะกำลังถูกกดดันด้วยรอยยิ้มของฟีเน่


 


หรือถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ, ยูริยะไม่สามารถคิดหาสิ่งตอบแทนที่มีค่าเท่าเทียมสำหรับสิทธิในการใช้ฟีเน่ได้ ต้องใช้พ่อค้ากี่คนกันถึงจะสามารถจัดหาสิ่งที่มีคุณค่ากว่าเธอได้?


 


คำตอบอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ


 


ไม่ว่าเธอจะรู้หรือไม่, แต่ยูริยะนั้นกำลังรู้สึกว่ารอยยิ้มของฟีเน่น่ากลัว


 


ถ้ายูริยะเสนอบางอย่างที่มีค่าเท่าเทียมเป็นสิ่งตอบแทนได้, ฟีเน่ก็คงจะไม่สามารถกลับคำพูดได้


 


มันเหมือนกับการที่มีคนหัวเราะออกมาก่อนที่จะถูกพิพากษาในระหว่างการพิจารณาคดี


 


ยูริยะคิดว่าเธอสติไม่ดี อย่างไรก็ตาม, ตัวฟีเน่นั้นดูไม่เหมือนกับคนที่เป็นบ้าไปแล้วเลย


 


และนี่ก็คือสาเหตุที่เธอดูน่าสนใจ


 


“เจ้าเข้าใจใช่ไหม? ถ้าข้าสามารถตอบแทนในสิ่งที่เจ้าต้องการได้, เจ้าก็จะไม่สามารถปริปากบ่นอะไรได้ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ตาม”


 


“ข้าเข้าใจดีค่ะ แต่ว่า, ต่อให้เป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ข้าแค่อยากมีประโยชน์กับท่านอัลแล้วก็ท่านลีโอ”


 


“….ถ้าเจ้าสามารถทำประโยชน์ให้กับขุมอำนาจของตัวเองได้เจ้าก็ไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองอย่างนั้นสินะ? นี่พวกเขากุมจุดอ่อนของเจ้าหรืออะไรทำนองนั้นอยู่รึเปล่า?”


 


ยูริยะรู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติกับฟีเน่ที่เสนอการต่อรองที่ดูเสียสละตัวเองแบบนี้ออกมา


 


เธอเหลือบมองลินเฟียแต่ก็เห็นว่าลินเฟียเองก็กำลังตกใจเหมือนกัน


 


“พวกเขาไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ ข้าแค่อยากมีประโยชน์กับพวกเขา, นั่นคือทั้งหมดแล้ว”


 


“พวกเขาคุ้มค่าถึงขนาดที่เจ้ายอมเสียสละให้ถึงขนาดนี้เลยหรอ? ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ คือเจ้าชายที่คุ้มค่าถึงขนาดที่ทำให้เจ้ายอมสนับสนุนขนาดนี้เลยอย่างงั้นหรอ?”


 


“แน่นอนค่ะ ข้าจะทำให้เขาได้เป็นจักรพรรดิต่อให้ข้าต้องสละชีวิตของตัวเองก็ตาม ข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ถ้าคุณเสนออะไรบางอย่างที่มีค่าเทียบเท่ากันได้ข้าก็ยินดีที่จะเสนอร่างกายนี้ให้ค่ะ คุณมีอะไรจะเสนอรึเปล่าคะ?”


 


“….แบบนั้นคงไม่ไหวหรอก ข้าไม่มีอะไรที่มีค่าพอจะเทียบกับเจ้าได้ เจ้าชนะ มาคุยกันเรื่องธุรกิจเถอะ เจ้าต้องการอะไร? ไหนว่ามาซิ”


 


ยูริยะยอมอ่อนข้อด้วยการพูดเช่นนี้


 


ยูริยะไม่เคยประนีประนอมกับการเจรจาทางธุรกิจที่สำคัญ ต่อให้เป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ, เธอก็จะไม่ปล่อยให้คนอื่นได้ประโยชน์เหนือเธอ อย่างไรก็ตาม, ยูริยะตระหนักได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะฟีเน่ในวันนี้


 


การบลัฟจะใช้ไม่ได้ผลถ้าอีกฝ่ายเป็นคนจริงจัง


 


พอเห็นสายตาของเธอ, ยูริยะก็ตระหนักได้แล้วว่าเธอไม่ใช่แค่คุณผู้หญิงธรรมดาๆดังนั้นเธอจึงตัดสินใจพูดคุยต่อในทันที


 


การเจรจานี้ก็สำคัญกับยูริยะเหมือนกัน ต่อให้กระแสการเจรจาจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยซักเท่าไหร่แต่เธอก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลถ้าเธอสามารถรับมือกับมันได้


 


เธออาจจะสามารถเปิดสาขาเมืองหลวงจักรวรรดิซึ่งเธอคิดว่าเธอไม่สามารถใช้ได้แล้วด้วย


 


“ในเรื่องของรายละเอียดลินเฟียจะเป็นคนพูดแทนข้าค่ะ เชิญค่ะ, คุณลินเฟีย”


 


“อ้ะ, ได้ค่ะ ความต้องการของเราก็คือเงิน อย่างที่คุณรู้, สงครามผู้สืบทอดต้องใช้เงินทุนค่อนข้างเยอะ เพื่อที่จะเอาชนะผู้สนับสนุนของศัตรู, เงินที่จะต้องผลาญนั้นคงไม่สามารถนับได้ พวกเราขอให้คุณช่วยสนับสนุนในเรื่องนี้ได้ไหม?”


 


“เข้าใจหล่ะ มีอะไรอีกไหม?”


 


“แล้วก็อีกเรื่องนึงถ้าเป็นไปได้อยากจะให้ช่วยสร้างความเสียหายให้กับพ่อค้าคนอื่นที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับคู่แข่งคนอื่นๆด้วยค่ะ, ช่วยโจมตีพวกเขาในขอบเขตที่ท่านจะรับไหวจะได้ไหมคะ?”


 


“เจ้าจะยกเรื่องทางฝั่งพ่อค้าให้พวกเราเป็นคนจัดการถูกไหม? ก็ได้ จัดไป มีแค่นี้หรอ?”


 


“สำหรับตอนนี้มีเท่านี้ค่ะ….”


 


“เข้าใจหล่ะ, ถ้างั้นข้าจะบอกความต้องการทางฝั่งของเราบ้าง พวกเราเต็มใจที่จะรับคำขอทั้งหมดของเจ้าแต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนพวกเราอยากจะขอใช้ชื่อของฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์, และถ้าเป็นไปได้, อยากจะขอใช้ใบหน้าของเธอด้วย”


 


นี่มันเป็นข้อเสนอที่เกิดความคาดหมายสำหรับลินเฟีย


 


มันไปได้ดีเกินไปจนทำให้กระแสของเธอปั่นป่วน


 


ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะว่ามันคือสิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าทุกคนในจักรวรรดิต้องการ


 


ยกตัวอย่างง่ายๆ, ถ้าขายผลไม้และบอกลูกค้าว่าผลไม้พวกนี้ได้รับการรับรองจากฟีเน่, มันก็คงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ความนิยมของฟีเน่นั้นครอบคลุมอยู่ทั่วทั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


แต่เหตุที่ไม่มีใครกล้าใช้วิธีนี้ก็เพราะถ้าพวกเขาทำโดยใช้อุบายของตัวเองพวกเขาก็คงจะต้องเผชิญกับความโกรธของจักรพรรดิ


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าได้รับอนุญาตจากเธอแล้วการจะใช้วิธีนี้ก็คงไม่มีใครโต้แย้งอะไร ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าสามารถใช้ภาพเหมือนของเธอหรือภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากอุปกรณ์เวทมนตร์ได้ด้วยหล่ะก็, ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงจะดียิ่งขึ้น


 


ความนิยมของฟีเน่นั้นมีค่ายิ่งกว่าพ่อค้าที่มีเหมืองเงินเหมืองทองเป็นของตัวเองซะอีก


 


“ไม่มีคำขออื่นแล้วใช่ไหมคะ?”


 


“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เอาจริงๆ, ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากจะทำให้สมบูรณ์แล้วลองยื่นข้อต่อรองที่ดีกว่านี้แต่ว่าข้าก็ตัดสินใจที่จะทำตรงข้าม อย่างที่รู้กันจักรพรรดิของประเทศนี้มีหูมีตาอยู่ทั่วทุกที่ ฟีเน่, เจ้าเป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ เจ้าทั้งกล้าหาญและน่ารัก ข้าถึงกับอยากได้เจ้ามาเป็นแฟนเลยหล่ะ”


 


“ข้าดีใจกับคำขอของท่านนะคะแต่ถ้าข้าตกเป็นของผู้ใดผู้หนึ่งแล้วหล่ะก็คุณค่าของข้าคงจะลดลงเพราะฉะนั้นข้าขออนุญาตปฏิเสธแล้วกันนะคะ”


 


“ตายจริง นี่เจ้าถึงกับยอมสงวนเรื่องนี้เพื่อสงครามผู้สืบทอดของเจ้าชายเลยหรอ? ตอนนี้, ข้าชักสงสัยแล้วสิว่าอะไรเป็นสาเหตุที่เจ้ายอมทำเพื่อพวกเขาขนาดนี้


 


ฟีเน่ลังเลว่าจะตอบคำถามของยูริยะยังไงดี


 


ซึ่งเหตุผลก็เพราะเธอไม่รู้ว่าอะไรคือคำตอบที่ดีที่สุด และด้วยเหตุนี้เองเธอจึงตอบทั้งสองข้อไปเลย


 


“ข้าเป็นบุตรีจากบ้านดยุค ข้าอยู่ในตำแหน่งที่ต้องไปข้องเกี่ยวกับสงครามผู้สืบทอดอยู่แล้ว ข้าเชื่อว่าข้ามีหน้าที่ที่จะต้องสนับสนุนจักรพรรดิที่ผู้คนสามารถไว้วางใจได้ พักจุดยืนนี้เอาไว้ก่อนนะคะ, ถ้าข้าต้องตอบตามความรู้สึกจริงๆ….การสนับสนุนคนที่ตัวเองชอบมันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอคะ?”


 


นี่คือคำตอบที่เกินความคาดหมายสำหรับยูริยะ


 


ครึ่งแรกนั้นทั้งน่าเบื่อและไม่น่าสนใจเลยแต่ครึ่งหลังกลับต่างออกไป


 


มันคือคำตอบที่ยูริยะต้องการ


 


“เจ้าสนับสนุนพวกเขาก็เพราะเจ้าชอบพวกเขาหรอเนี่ย ถ้าข้าจำไม่ผิด, เจ้าชายที่เป็นหัวเรือในขุมอำนาจของเจ้าเป็นแฝดใช่ไหม? แล้วเจ้าชอบคนไหนหล่ะ?”


 


“ความลับค่ะ”


 


ฟีเน่ยกนิ้วชี้ขึ้นมาหยุดตรงหน้าจมูกของเธอแล้วกระพริบตา


 


ในการตอบสนองกับท่าทีที่น่ารักของเธอ, ยูริยะได้เข้ามาใกล้ฟีเน่ด้วยมือที่สั่นไหวแต่ในตอนที่สัมผัสได้ถึงอันตราย, ลินเฟียก็พูดขัดขึ้นมา


“ตอนนี้ข้าถือว่าการเจรจาของพวกเราได้ข้อสรุปแล้วคงไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ? ถ้างั้นพวกเราขอตัวค่ะ!”


 


“เอ๋, จะกลับแล้วหรอ? อยู่ต่ออีกหน่อยสิ เดี๋ยวข้าจะเสิร์ฟชาสุดพิเศษของพวกเราให้เจ้าด้วย


 


“ถ้าพวกเราไม่รู้ว่าท่านใส่อะไรเข้าไปพวกเราก็ไม่มีทางดื่มของแบบนั้นหรอกค่ะ……”


 


แวมไพร์หญิงคนนี้อาจจะมียาแปลกๆอยู่กับตัวก็ได้


 


ด้วยความระมัดระวังถึงขีดสุด, ลินเฟียก็ค่อยๆถอยกลับในขณะที่คอยคุ้มกันหลังให้ฟีเน่


 


พอเห็นลินเฟียในสภาพนี้, ยูริยะก็ถอนหายใจออกมา


 


“เจ้านี่ระวังข้าจังเลยนะ….ข้าเคยไปทำอะไรให้รึไง?”


 


“ลองถามสติของคุณดูไหมคะ?”


 


“อืมม….ข้าถามแล้ว, มันบอกว่าข้าไม่ได้ทำอะไรนะ


 


ลินเฟียเข้าไปหยิกแก้มของยูริยะสำหรับคำตอบอันไร้ยางอายของเธอ สำหรับลินเฟียนั้นแค่ได้พบเจอกับคนประเภทนี้ก็เสียเวลาแล้ว


 


ด้วยเหตุนี้เอง, ลินเฟียจึงตัดสินใจว่าพวกเธอควรรีบออกไปจากที่นี่


 


“ถ้าต้องการอะไรพวกเราจะติดต่อไปนะคะ เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าติดต่อพวกเราจนกว่าจะถึงตอนนั้นค่ะ”


 


“ดะ, ได้จ้า”


 


“ถ้างั้น, ลาก่อนนะคะคุณยูริยะ”


 


“เจอกันจ้า~~”


 


พอพูดจบ, ยูริยะก็เห็นลินเฟียกับฟีเน่เดินออกไปจากสำนักงานของเธอ


 


หลังจากที่ทั้งสองคนออกไป, เธอก็มองลงไปที่ฝ่ามือของเธออย่างช้าๆ


 


เธอกำลังเหงื่อออก ซึ่งมันเป็นเพราะความกดดันที่เธอรู้สึกได้จากสายตาของฟีเน่


 


ผู้ชายแบบไหนกันนะที่ทำให้ผู้หญิงดีๆอย่างเธอสนใจได้?


 


ความสนใจของเธอผุดขึ้นมา, จากนั้นยูริยะก็ลุกออกจากโต๊ะไป


 


แล้ว


 


“ต้องรีบเปิดร้านแล้ว พวกเราต้องสร้างผลลัพธ์ให้เร็วที่สุดแล้วขายพวกมันเพื่อขุมอำนาจของลีโอนาร์ด ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่ได้เจอพวกเขาแน่”


 


ยูริยะพึมพำในขณะที่ให้คำแนะนำกับเลขาของเธอที่นั่งอยู่ใกล้ๆ


 


ถ้าชายที่ฟีเน่รู้สึกดีด้วยเป็นคนที่สามารถตอบสนองความสนใจของเธอได้หล่ะก็


 


“เอาหล่ะ, ข้าอยากรู้จังว่าเธอจะยอมให้ข้าชิมรึเปล่านะ”


 


ยูริยะเลียลิมฝีปากแล้วเผยเขี้ยวอันคมกริบของเธอออกมา


 


ในขณะที่มองเธอ, เลขาก็ถอนหายใจ


 


นิสัยแย่ๆนี้อีกแล้ว


 


ตัวแทนคนนี้มีจุดอ่อนกับสิ่งที่มีค่า ต่อให้สิ่งนั้นบังเอิญเป็นคนก็ตาม


 


มันคงจะยอดเยี่ยมไปเลยถ้าเรื่องมันไม่ซับซ้อนขึ้น


 


ด้วยความคิดนี้ในหัว, เอลฟ์เลขาก็เริ่มเตรียมเปิดร้านของพวกเขาอย่างเงียบๆ

 

 

 


ตอนที่ 37

 

“เฮ้อ—…..”


 


ฉันถอนหายใจออกมาจนสุดปอด, ในขณะที่อยู่ในห้องที่ปราสาทอันบราโทรตัวคนเดียว


 


ฉันถูกขังอยู่ ตั้งแต่ที่ฉันสลับตัวกับลีโอ, ฉันต้องผ่านเรื่องเลวร้ายมามากมาย


 


พูดตามตรง, ฉันเหนื่อยแล้ว การฝืนตัวเองเพื่อทำเรื่องบางอย่างมันเป็นภาระกับฉันมากเกินไป


 


“สงสัยจังว่าตอนนี้ลีโอกำลังทำอะไรอยู่….”


 


ฉันเป็นห่วงฝั่งนั้น


 


เนื่องจากมีเอลน่าอยู่ที่นั่นด้วยฉันจึงพยายามจะเชื่อว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆเหมือนอัลได้อย่างเหมาะสม


 


ตราบใดที่ฉันต้องแกล้งทำตัวเหมือนลีโอ, ฝ่ายนั้นเองก็ต้องแสดงเหมือนกัน


 


อย่างไรก็ตาม, ฉันรู้ว่าเขาคงจะลำบากกว่าฉัน ลีโอไม่สามารถทำตัวเหมือนคนไร้ประโยชน์ได้จริงๆ, เขาไม่มีเศษเสี้ยวของความขี้เกียจอยู่ในตัวเลยด้วยซ้ำ


 


ถึงยังไง, การทำเรื่องที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนมันก็เป็นสิ่งที่ยากลำบากอยู่แล้ว


 


“เอาเถอะ, เป็นห่วงไปมันก็ไม่ได้อะไรหล่ะนะ….”


 


ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อในตัวพวกเขาว่ามันจะผ่านไปด้วยดี


 


และที่สำคัญกว่านั้น, ฉันมีอีกเรื่องนึงที่ต้องกังวล


 


มังกรทะเลลิเวียธาน


 


มันเป็นมอนส์เตอร์ที่เกินกว่าคลาส S อย่างไม่ต้องสงสัย มีอยู่สองวิธีที่จะกำจัดมันได้อย่างรวดเร็วซึ่งฉันก็กำลังพิจารณาอยู่ในตอนนี้


 


ตัวเลือกที่มีอยู่นั้นมีทั้งให้ฉันออกไปสู้กับมันในฐานะซิลเวอร์หรือไม่ก็ให้ฝั่งจักรวรรดิขอองค์จักพรรดิเพื่อให้พระองค์ทรงอนุญาตให้เอลน่าใช้ดาบศักดิ์สิทธิ


 


ว่าแต่ฉันจะเลือกทางไหนดีหล่ะ?


 


มันไม่มีเหตุผลที่ซิลเวอร์จะเดินทางลงมาอยู่ทางภาคใต้ แล้วพวกเราก็ยังไม่ได้ส่งคำร้องให้กิลด์นักผจญภัยเลยด้วย


 


ในอีกด้านนึง, การส่งคำร้องขออนุญาตจากองค์จักรพรรดิและรอให้การตอบกลับมาถึงเองก็ค่อนข้างจะใช้เวลาอยู่พอสมควร


 


ไม่ว่าจะวิธีไหนมันก็อยู่ห่างไกลจากอุดมคติที่อยากให้เป็น


 


“จะเอายังไงดีนะ”


 


ในระหว่างที่ฉันกำลังพิจารณาตัวเลือกที่มีอยู่, ก็มีคนมาเคาะประตู


 


ขออยู่คนเดียวอย่างสงบๆไม่ได้รึไงนะ, ในขณะที่กำลังคิดเช่นนี้, ฉันก็จัดเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยพร้อมกับเซ็ทผมให้เข้าที่แล้วขานรับ


 


“เข้ามาได้ครับ”


 


“ขออนุญาตค่ะ เอวาเองค่ะ, ข้าอยากจะมาขอบคุณท่านสำหรับเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมา”


 


คนที่เข้ามาในห้องก็คือเอวาที่กำลังสวมชุดเดรส


 


เธอฟื้นแล้วสินะ ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้ฟื้นเร็วกว่านี้นะเนี่ย ถ้าเธอทำแบบนั้นได้, ฉันคงไม่ต้องฝืนทำเรื่องพวกนี้หรอก, ด้วยความคิดนี้ในหัว, ฉันก็ซ่อนความคิดที่แท้จริงเอาไว้แล้วเผยรอยยิ้มหวานให้เธอ


 


“สิ่งที่สำคัญก็คือความปลอดภัยของท่านครับ, องค์หญิงเอวา นี่ท่านฟื้นตัวพอจนออกมาเดินข้างนอกคนเดียวได้แล้วหรอครับ?”


 


“ชะ, ใช่ค่ะ…เอ่อ…ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยข้าเอาไว้ ทุกคนบอกข้าว่าที่พวกเราปลอดภัยทั้งหมดต้องขอบคุณองค์ชายลีโอนาร์ด แล้วพวกเขาก็บอกข้าด้วยว่าท่านทั้งใจดีและกล้าหาญมาก”


 


“นั่นก็ชมเกินไปแล้วครับ คนที่พยายามช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอย่างสุดความสามารถรวมทั้งตัวท่านด้วยก็คือลูกเรือของข้าต่างหาก ถ้าท่านอยากจะสรรเสริญใครซักคนพวกเขาคือคนที่สมควรได้รับครับ”


 


“ถ้างั้น….ในฐานะพี่สาวของจูลิโอข้าขออนุญาตแสดงความขอบคุณจะได้ไหมคะ ข้าได้ยินมาว่าท่านกระโดดลงไปในทะเลเพื่อช่วยเขาโดยไม่ลังเลเลย การดำลงไปในที่ที่อาจจะมีมังกรทะเลแอบซุ่มอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครที่ไหนก็ทำได้แน่นอนค่ะ ท่านเป็นคนที่กล้าหาญมากถึงทำเรื่องแบบนั้นได้”


 


“ไม่หรอกครับ, ข้าก็แค่ทำไปตามสถานการณ์”


 


เอวายิ้มให้กับคำตอบของฉันอย่างอ่อนโยน


 


และเพราะเหตุนี้เอง, แก้มของฉันก็เริ่มเกร็ง


 


สถานการณ์แบบนี้มัน, นี่มันฉากที่ฉันเคยเห็นอยู่บ่อยๆนี้ แต่เห็นจากฝั่งคนดูนะ


 


มันคือสีหน้ากระสับกระส่ายที่ขุนนางสาวๆชอบทำในตอนที่ลีโอทำเรื่องที่เยี่ยมยอด การตอบสนองของเอวาใกล้เคียงกับสิ่งนั้นมาก หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ, เธอกำลังเขิน เขินเพราะลีโอได้ทำเรื่องที่กล้าหาญอย่างการช่วยเหลือผู้คนของเธอโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้ว่าจะมีมังกรทะเลอยู่ก็ตาม


 


อย่าใช้สายตาที่เร่าร้อนแบบนั้นจ้องมาที่ฉันนะ


 


จริงๆแล้วฉันคืออัลต่างหากหล่ะเพราะฉะนั้นถ้ามองฉันแบบนั้นฉันจะมีปัญหาเอาได้นะ แถมไม่ใช่ปัญหาเล็กๆด้วย


 


“พอพูดถึงจูลิโอแล้ว, เขาเป็นยังไงบ้างครับ?”


 


“เขาพึ่งได้สติค่ะ เขาอยากให้ข้ามาขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เขาบอกว่าท่านคือเจ้าชายในอุดมคติและอยากเป็นเหมือนท่านให้ได้ในซักวันนึง”


 


“งะ, งั้นหรอครับ…..”


 


ฝั่งพี่สาวหลงไหลจนเคลิบเคลิ้มในขณะที่น้องชายเทิดทูนลีโออย่างสุดโต่ง


 


นี่มันไม่ดีแล้ว ถ้าพวกเราสลับตัวกลับหล่ะก็นี่มันจะต้องเป็นปัญหาอย่างแน่นอน


 


จะเอายังไงดีนะ? ฉันควรทำให้เธอเกลียดดีไหม?


 


ไม่สิ, แบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันไม่สามารถทำเรื่องที่ดูออกได้ง่ายเกินไปกับเจ้าหญิงหรือเจ้าชายในเขตแดนของอัลบราโทร มันมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะมองออกเรื่องการสลับตัวถ้าฉันทำสิ่งที่มันรุนแรงเกินไป


 


แต่ถ้าฉันทำตัวเหมือนลีโอต่อไปหล่ะก็, เธอก็จะหลงไหลหนักขึ้นและสุดท้ายแล้วมันก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความรัก ฉันเคยเห็นเรื่องแบบนั้นมาหลายครั้งแล้ว


 


สายตาของเอวาได้จับจ้องมาที่เจ้าชายสุดเท่จากประเทศมหาอำนาจแล้ว


 


มันไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร เด็กสาววัยนี้มักจะชอบเพ้อฝันและตกหลุมรักได้ง่ายๆ ซึ่งลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ มีคุณสมบัติที่ตรงกับสเป็คของเด็กสาววัยนี้


 


เขาเป็นเจ้าชาย, เขาหล่อ , เขาอ่อนโยนและที่สำคัญที่สุด, เขาสามารถทำอะไรก็ได้


 


ฉันคงไม่แพ้เขาในส่วนของสามข้อแรกแต่ข้อสุดท้ายมันเป็นจุดที่แตกต่างจากตัวฉันมากเกินไป


 


แต่ก็นะถึงฉันจะมีใบหน้าเหมือนหมอนั่นแต่ก็ไม่มีใครเคยบอกว่าฉันหล่อหรอก


 


“องค์ชายลีโอนาร์ดคะ พวกเราก็ยืนคุยกันมาซักพักแล้วเอาเป็นว่าเราเข้าไปนั่งคุยต่อกันข้างในดีไหมคะ?”


 


“อ้ะ, นั่นสินะครับ…..”


 


ไม่คิดว่าใจกล้าเกินไปหน่อยรึไง เด็กสาวคนนี้, เธออาจจะเป็นประเภทที่ฉันรับมือไม่ค่อยไหวก็ได้


 


ฉันไม่ถนัดรับมือกับผู้หญิงสายรุกเพราะบาดแผลทางใจที่เอลน่าสร้างให้ฉันตั้งแต่ยังเด็ก แน่นอนว่า, ฉันรับมือกับเอลน่าได้แย่มากเหมือนกัน แต่เธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กและฉันสามารถเข้าใจความคิดของเธอได้ดังนั้นฉันเลยยังพอคิดมาตรการตอบโต้เธอได้บ้าง


 


แต่สำหรับกรณีเด็กสาวไม่สนิทที่เข้าหาฉันอย่างใจกล้าแบบนี้, ฉันไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับเธอยังไงดี


 


“อ้ะ, นี่ข้ารบกวนท่านรึเปล่า…..?”


 


“ไม่หรอกครับ, แต่ว่า….ตอนนี้ข้ากำลังเขียนรายงานให้จักรวรรดิอยู่ ข้าต้องเขียนต่ออีกสักพักเพราะฉะนั้นข้าก็เลยกังวลว่าท่านอาจจะเบื่อได้หน่ะครับ, องค์หญิงเอวา”


 


“อย่างงั้นหรอคะ….”


 


ใบหน้าของเอวาถูกย้อมด้วยสีแดงในขณะที่เธอปิดมันเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ


 


อ้ากกก…..ฉันควรทำยังไงกับเธอดีนะ?


 


ฉันมักจะออกไปเที่ยวเล่นในเมืองอยู่บ่อยๆ, ฉันเคยเล่นสนุกกับพวกผู้หญิงด้วยซ้ำ แต่ฉันไม่เคยถูกเข้าหาแบบบังคับขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยเลยซักครั้งด้วย


 


ฉันไม่รู้ว่าจะปฏิเสธกับเธอยังไงดีให้ดูสุภาพและตราบใดที่ฉันต้องแกล้งเป็นลีโอ, ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรที่จะทำลายชื่อเสียงของเขาได้ด้วย”


 


“ขอโทษที่มารบกวนค่ะ ถ้างั้นเอาไว้เจอกันคราวหน้านะคะ เอาแบบนี้เป็นไงคะครั้งหน้าเราไปรับประทานอาหารด้วยกันจะดีไหมคะ?”


 


“ถ้ามีเวลา, ข้าก็ยินดีครับ”


 


ฉันเลี่ยงการตอบรับตรงๆด้วยรอยยิ้ม, จากนั้นในตอนที่เอวาจากไปแล้ว, ฉันก็รีบไปปิดประตู


 


“ซวยแล้ว, ซวยแล้ว, ซวยสุดๆ…..แบบนี้ไม่ดีเลย….”


 


ฉันจะอธิบายกับลีโอยังไงหล่ะเนี่ย?


 


ขอโทษนะ, เจ้าหญิงกำลังตกหลุมรักนายอยู่ แบบนี้หรอ?


 


ไม่ ไม่, นี่มันไม่ดีเลยซักนิด


 


ฉันต้องหาทางหยุดเธอให้ได้ เธอแค่กำลังรู้สึกชื่นชมเจ้าชายที่ช่วยชีวิตของเธอและน้องชายของเธอเอาไว้ ถ้าฉันไม่ทำเรื่องที่ไม่จำเป็น, ความรู้สึกนั้นก็น่าจะสงบลงไปบ้าง


 


“ใจเย็นนะ, ตัวฉัน ไม่เป็นไรหรอกหน่า แทนที่จะห่วงเรื่องนี้, มาสนใจปัญหาที่ใหญ่กว่าไม่ดีกว่าหรอ มาลุยกันต่อดีกว่า”


 


ด้วยความมุ่งมั่น, ฉันก็ตรงไปที่โต๊ะทำงาน


 


ไม่ว่ายังไง, ตอนนี้ฉันก็ยังเป็นลีโออยู่ ฉันต้องส่งจดหมายไปให้จักรวรรดิเพื่อรายงานสถานการณ์ของพวกเรา


 


แต่ฉันจะเขียนรายงานนี้ยังไงดี?


 


ฉันควรบอกพวกเขาว่าพวกเรากำลังสลับตัวกันอยู่รึเปล่า? ไม่ได้สิ, ถ้าฉันทำแบบนั้นพวกระดับสูงของจักรวรรดิก็จะรู้ว่าสิ่งที่ลีโอกำลังทำอยู่ในตอนนี้จริงๆแล้วเป็นฝีมือของฉัน และนั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะรู้ว่าฉันมีความสามารถมากพอที่จะทำแบบลีโอด้วย


 


แบบนั้นคงแย่แน่ แย่สุดๆเลยหล่ะ


 


ฉันอยากให้พวกเขาดูถูกฉันต่อไปนานกว่านี้อีกสักหน่อย


 


ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเขียนรายงานตามแบบฉบับลีโอสินะ


 


“ว่าแต่ถ้าฉันเป็นลีโอ, ฉันจะเขียนรายงานนี้ยังไงหล่ะ”


 


ถึงยังไงกว่ารายงานนี้จะไปถึงพวกเขาสถานการณ์ก็คงจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาอย่างแน่นอน


 


ฉันควรเขียนรายงานสถานการณ์ปัจจุบัน, และเขียนการคาดการณ์ในอนาคตของฉันไปด้วยสินะ


 


มีโอกาสสูงมากที่การปรากฎตัวของมังกรทะเลจะสร้างความเสียหายให้กับจักรวรรดิด้วย


 


นี่ฉันควรเขียนรายงานให้ดูเหมือนกับว่ากำลังขออนุญาตพ่อเพื่อใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอัลบราโทรในฐานะทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จรึเปล่านะ?


 


ในตอนที่รายงานนี้ไปถึง อย่างเลวร้ายที่สุด, หนึ่งในประเทศทางใต้อาจจะหายไปแล้วก็ได้, นี่มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากลัว


 


“มันคงจะเยี่ยมไปเลยถ้าพวกเขาเร่งรีบและส่งคำร้องให้กิลด์นักผจญภัย….ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ”


 


ราชรัฐอัลบราโทรมีเครื่อข่ายการค้าทางทะเลที่เฟื่องฟู, ทหารเรือของพวกเขาแข็งแกร่งแต่กองทัพภาคพื้นดินนั้นค่อนข้างไม่มั่นคง ในอีกด้านนึง, ราชรัฐรอนดิเน่คือขั้วตรงข้าม กองทัพภาคพื้นดินของพวกเขาแข็งแกร่งในขณะที่กองทัพเรือค่อนข้างด้อย


 


ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทุกๆครั้งที่รอนดิเน่โจมตี, พวกเขามักจะใช้เส้นทางบกอยู่ตลอด


 


และเพื่อเป็นการต่อสู้กับกองทัพของรอนดิเน่นั้น, อัลบรามักจะหยิบยืมทหารกับอาวุธมาจากประเทศอื่นที่พวกเขาสนิทด้วย เพราะเหตุนี้เอง, ถึงแม้ว่าอัลบราโทรจะดูเหมือนกับประเทศที่ร่ำรวย, แต่จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้รวยขนาดนั้น


 


แน่นอนว่า, พวกเขาไม่ได้จนด้วยแต่ถ้าพวกเขาขอให้กิลด์นักผจญภัยทำการกำจัดมังกรทะเลเพื่อพวกเขา, พวกเขาก็จะมีปัญหาเอาได้ในตอนที่ต้องขอยืมทหารและอาวุธจากประเทศอื่น


 


ซึ่งนี่คือสาเหตุที่อัลบราโทรไม่ได้พึ่งพากิลด์นักผจญภัยตั้งแต่แรก


 


วิธีเดียวที่จะช่วยกู้สถานการณ์ให้พวกเขาได้ก็คือการทำอะไรซักอย่างกับรอนดิเน่


 


ตอนนี้ราชรัฐอัลบราโทรกำลังถูกขนาบด้วยปัญหาทั้งสองด้านระหว่างมังกรทะเลกับรอนดิเน่ ถ้าพวกเขาสามารถทำอะไรซักอย่างกับรอนดิเน่ได้พวกเขาก็จะสามารถทุ่มความสนใจมาที่มังกรทะเลได้


 


“สำหรับตอนนี้ฉันต้องทำอะไรซักอย่างกับรอนดิเน่”


 


ด้วยเหตุนี้เอง, แนวทางการเคลื่อนไหวจึงได้รับการตัดสินใจแล้ว


 


ด้วยการคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคต, ฉันก็เริ่มเขียนรายงานให้จักรวรรดิ

 

 

 


ตอนที่ 38

 

“ข้า, อาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์, เจ้าชายลำดับเจ็ดของจักรวรรดิมาขอเข้าพบพระราชาแห่งรอนดิเน่ครับ”


 


“โอ้, องค์ชายอาร์โนลด์ ขอบคุณที่มานะ ข้าได้ยินมาว่าเรือของน้องชายท่านโดนพายุ ข้าหวังว่าเขาจะรอดมาได้อย่างปลอดภัยนะ”


 


“ขอบคุณมากครับ”


 


ลีโอนาร์ดทักทายพระราชาแห่งรอนดิเน่ในฐานะอาร์โนลด์


 


พระราชาแห่งรอนดิเน่นั้นเป็นชายร่างท้วมที่มีหนวดเครามากมาย อายุของเขาน่าจะอยู่ช่วงวัยสี่สิบแก่ๆ


 


ชื่อของเขาคือคาร์โล เดอ ลอนดิเน่


 


เขารับสืบทอดการทำสงครามกับอัลบราโทรต่อมาจากยุคพ่อของเขา ในตอนที่เขารู้ว่าอัลบราโทรกำลังหาความร่วมมือจากประเทศอื่นเพื่อทำการต่อสู้, เขาก็ส่งทูตสันถวไมตรีไปยังจักรวรรดิด้วยตัวเองเพื่อขอความร่วมมือจากจักรวรรดิ, ชายคนนี้คือคนที่สร้างเหตุผลในการมาเยี่ยมเยือนของพวกเราในครั้งนี้


 


“นี่มันค่อนข้างกระทันหันไปหน่อยก็จริง แต่องค์ชายอาร์โนลด์ ในเมื่อน้องชายของท่านไม่อยู่, ถ้าข้าคิดว่าตอนนี้ท่านเป็นหัวหน้าของภารกิจ, คงไม่ผิดใช่ไหม?”


 


“ใช่ครับ, คงต้องตามนั้นแหล่ะครับ”


 


ลีโอแค่ตอบคำถามเฉยๆโดยไม่พูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น


 


นี่คือจุดที่เอลน่าซึ่งตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่ข้างหลังเขาคอยพร่ำบอกอยู่เสมอ


 


อย่างไรก็ตาม, โลกไม่ได้ใจดีถึงขนาดที่จะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ


 


“แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย, ถ้างั้นข้าขอฟังคำตอบจากจักรพรรดิหน่อยได้ไหม?”


 


พอพูดจบ, พระราชารอนดิเน่ก็ลงมาจากบัลลังก์


 


ราชรัฐรอนดิเน่ได้ขอความช่วยเหลือจากจักรวรรดิเพื่อต่อสู้กับราชรัฐอัลบราโทร


 


ซึ่งคำตอบของจักรพรรดิก็คือ ‘ไม่’ อย่างไรก็ตาม, ในบรรดาของขวัญทั้งหลายที่จักรวรรดินำมานั้นมีอาวุธและพิมพ์เขียวอยู่ด้วย แม้ว่าคำตอบอย่างเป็นทางการจะเป็นไปในแง่ลบ, แต่จักรพรรดิก็ไม่ได้คิดจะตัดความสัมพันธ์กับรอนดิเน่ นี่คือคำตอบที่ตั้งใจเอาไว้แต่อาวุธส่วนใหญ่อยู่บนเรือที่อัลนั่งและทุกอย่างก็จมลงไปที่ก้นทะเลแล้ว


 


ลีโอกำลังคิดหาคำตอบและใช้คำตอบแบบเลี่ยงๆที่เขาเตรียมตัวมาก่อน


 


“ในส่วนของเรื่องนี้, ข้าอยากให้ท่านฟังจากหนึ่งในอัศวินหลวงของพวกเรา เอลน่า”


 


“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะฝ่าบาท ข้าเอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก, ผู้บัญชาการหน่วยที่สามของภาคอัศวิน


 


“อะ, แอมส์เบิร์ก….ผู้มีพรสวรรค์จากบ้านผู้กล้าหาญที่โด่งดังคนนั้นหน่ะหรอ….นะ, นี่มันค่อนข้างน่าตกใจไม่ใช่น้อยเลย ข้าได้ยินมาว่าท่านเข้าร่วมกับอัศวินหลวงแต่ข้านึกไม่ถึงเลย………”


 


“ฝ่าบาทไม่นึกว่าผู้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์จะมาที่นี่ด้วยตัวเอง, ถูกไหมคะ?”


 


พระราชารอนดิเน่พยักหน้าซ้ำไปซ้ำมาให้กับคำพูดของเอลน่า


 


เอลน่า, ในอีกด้านนึง, ได้ตอบกลับความประหลาดใจของเขาด้วยรอยยิ้ม


 


จากรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ, เอลน่านั้นเป็นเด็กสาวที่น่ารักและมีหน้าตาสละสลวยดังนั้นรอยยิ้มของเธอจึงทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย


 


“วางใจได้ค่ะ ข้าไม่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์นอกเขตแดนของจักรวรรดิได้”


 


“หงะ งั้นหรอ, มันไม่ใช่ว่าข้าสงสัยในตัวท่านหรืออะไรหรอกนะ…..ข้าขอโทษด้วยถ้าข้าเผลอไปทำเรื่องเสียมารยาทกับท่าน”


 


“ไม่หรอกค่ะ, ข้าเข้าใจดีว่าการมีอยู่ของบ้านผู้กล้าหาญแอมส์เบิร์กมันเป็นเช่นนั้น และนี่ก็คือคำตอบค่ะ ฝ่าบาท”


 


“ทะ, ท่านหมายความว่ายังไง….? ช่วยขยายความหน่อยได้ไหม?”


 


เอลน่าเริ่มอธิบายกับพระราชารอนดิเน่ที่ไม่สามารถทำความเข้าใจสถานการณ์นี้ได้


 


“จักรวรรดิของเรามีอำนาจทางการทหารที่แข็งแกร่ง สำหรับจักรวรรดิการเคลื่อนไหวก็คงหมายถึงการที่นายพลระดับสูงอย่างเช่นตัวข้าออกเดินทางมาด้วย สรุปง่ายๆก็คือว่า, จักรวรรดิสามารถทำลายทั้งประเทศของท่านและราชรัฐอัลบราโทรได้อย่างง่ายดายค่ะ,”


 


“หนะ, นั่นสินะ, เรื่องนั้นข้าเข้าใจอยู่”


 


“สมแล้วค่ะที่เป็นถึงพระราชา ท่านฉลาดจริงๆ แต่ว่า, จักรวรรดิของเราก็มีศัตรูเหมือนกัน ถ้าจักรวรรดิส่งกำลังเสริมมาช่วยประเทศของท่านอย่างเป็นทางการ, คู่แข่งของเราก็จะส่งกำลังเสริมไปช่วยอัลบราโทรเหมือนกัน และถ้าเป็นเช่นนั้น, อนาคตที่รออยู่สำหรับทั้งสองประเทศก็คงจะมีแค่ความเหนื่อยล้าและในที่สุดมันก็จะนำไปสู่การทำลายดินแดนทางใต้”


 


“บะ, แบบนั้นมัน….”


 


“ขอโทษด้วยนะคะ, แต่นี่คือคำตอบของเราค่ะ เพราะว่าจักรวรรดิของเราแข็งแกร่งเกินไป, ถ้าพวกเราเคลื่อนไหว, ประเทศอื่นก็คงจะตอบสนองอะไรบางอย่างเหมือนกัน ดังนั้น, ฝ่าบาทจึงไม่สามารถทำตามคำขอของท่านได้ โดยเฉพาะในตอนที่ประเทศของท่านมีอำนาจเหนือกว่าในความขัดแย้งนี้”


 


“อะ, อืม….สมกับที่เป็นองค์จักรพรรดิของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ เขาถึงกับนำสถานการณ์ของทวีปมาประกอบการตัดสินใจด้วยสินะ แต่ว่า, การที่ประเทศของข้าจะเอาชนะราชรัฐอัลบราโทรด้วยตัวเองนั้นคงจะเป็นเรื่องยาก ถึงยังไงมันก็มีประเทศอื่นที่คอยให้ความช่วยเหลือกับพวกเขา”


 


เอลน่าพยักหน้า


 


แน่นอนว่า, เอลน่ากับลีโอรู้เรื่องนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขานำอาวุธกับพิมพ์เขียวติดตัวมาเป็นของขวัญด้วยซึ่งมันเป็นการบอกโดยนัยกับรอนดิเน่ว่าพวกเขาต้องพอแค่นี้ แต่ว่า, ตราบใดที่เอลน่ากับลีโอไม่มีสิ่งนั้น, พวกเขาก็ทำได้แค่เงียบเท่านั้น


 


“แน่นอนค่ะ, พวกเรารู้เรื่องนั้นดี นี่จึงเป็นสาเหตุที่องค์จักรพรรดิหวังว่าพวกเราจะสามารถรักษามิตรภาพต่อไปได้ในขณะที่พวกเราจะคอยช่วยเหลือท่านที่ละนิด ซึ่งในขั้นต้น, องค์จักรพรรดิได้ส่งข้ามาอยู่ข้างท่านในครั้งนี้ นี่คือการแสดงพลานุภาพทางการทหารของจักรวรรดิให้ท่านเห็นค่ะ ท่านจะยอมรับสิ่งนี้ได้ไหมคะ? ฝ่าบาท, หรือว่าท่านสนใจอยากทดสอบพลังของลูกหลานผู้กล้า?”


 


“โอ้! เป็นเช่นนี้นี่เอง! แบบนี้ก็เยี่ยมไปเลย!”


 


ในที่สุดก็รู้ถึงความตั้งใจของพวกเราแล้ว, สีหน้าของราชารอนดิเน่สดใสขึ้น


 


ถึงยังไง, ถ้าพวกเขาถูกจักรวรรดิปฏิเสธพวกเขาก็ต้องทำการปรับเปลี่ยนแนวทางการเคลื่อนไหวของพวกเขาครั้งใหญ่


 


ราชรัฐรอนดิเน่ไม่สามารถเอาชนะอัลบราโทรด้วยตัวคนเดียวได้อีกแล้ว มันไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ถ้าพวกเขาได้ใช้เวลาซักพักใหญ่ๆแต่พระราชากลับรู้สึกยอมรับไม่ได้


 


พระราชาอยากจะรวมเขตใต้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันในยุคของเขา ถ้าเขาทำไม่ได้ประเทศของเขาก็คงจะไม่สามารถเอาชนะประเทศทางตอนกลางของทวีปซึ่งกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆและจะกลืนกินพวกเขาในที่สุด


 


ด้วยเหตุผลนี้เอง, แผนการกลายเป็นพระราชาของประเทศทางใต้ที่หลอมรวมกันเป็นปึกแผ่นจึงถูกฝังอยู่ในจิตใจของเขา แน่นอนว่ามันคือแผนการที่ดูทะเยอทะยานแต่นี่เองก็เป็นเพราะเขาอยากปกป้องทางใต้ด้วย


 


สำหรับราชารอนดิเน่คนนี้, แน่นอนว่าเขาอยากจะเห็นพลังของลูกหลานผู้กล้า, มนุษยชาติที่แข็งแกร่งที่สุด


 


“อืม, แต่ว่า, ในประเทศของเราไม่มีคนที่สามารถแข่งกับท่านได้ด้วยการต่อสู้ตัวต่อตัวหรอก เพราะฉะนั้น. องค์ชายอาร์โนลด์ ข้าขอให้ฝั่งเรามีนักสู้มากกว่าหนึ่งคนจะได้ไหม?”


 


“ถ้าเจ้าตัวไม่มีปัญหาข้าเองก็ไม่มีอะไรจะคัดค้าน”


 


“ยินดีค่ะ”


 


“เข้าใจหล่ะ, เข้าใจหล่ะ ถ้างั้นขอฝั่งเราซักประมาณ 10 คนจะได้ไหม? แบบนี้น่าจะเหมาะสมกับความสามารถของท่าน”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ 10 คนสินะคะ”


 


เอลน่าตอบรับอย่างสบายๆ


 


พระราชาไม่คิดว่าเธอจะยอมรับง่ายดายขนาดนี้แต่เนื่องจากมันจะไม่ใช่เรื่องดีถ้ามาเปลี่ยนเงื่อนไขในตอนนี้, เขาจึงเรียกตัวอัศวินที่มีความสามารถ 10 คนที่กำลังประจำอยู่ในปราสาท


 


ด้วยเหตุนี้เอง, ข้างในพื้นที่ห้องบัลลังก์, การต่อสู้ 1 ต่อ 10 จึงได้เริ่มต้นขึ้น


 


“โอ้วววว!!”


 


คนแรกที่เคลื่อนไหวคืออัศวินที่มีร่างกายใหญ่โต


 


เขาพุ่งเข้าใส่พร้อมกับดาบฝึกแต่จากมุมมองของเอลน่า, เขากำลังเผยช่องว่างอย่างเต็มเปี่ยม


 


ในขณะที่คิดถึงเรื่องนี้, เธอก็ปัดดาบของเขาเบาๆ, ถ้าเกิดเขาเป็นลูกน้องของเธอ, เธอคงจะสั่งสอนเขาใหม่ตั้งแต่ต้นแล้ว


 


ดาบฝึกที่อัศวินตัวใหญ่กำลังถืออยู่ถูกผ่ากลางพร้อมกับเสียงไม้แตก


 


“เอ้ะ…..?”


 


“ข้าว่าเข้ามาพร้อมกันทุกคนจะไม่ดีกว่าหรอ?”


 


ใบหน้าของอัศวินตัวใหญ่ซีดเผือดเหมือนกับว่าเขาถูกฟันด้วยดาบที่คมกริบ


 


โดยที่ไม่สนใจเขา, เอลน่าก็เหลือบมองอัศวินอีก 9 คนที่เหลือ


 


เป็นเวลาพักนึงที่, อัศวินกลัวสายตาของเอลน่าแต่ในทันทีที่พวกเขารู้สึกตัวว่ากำลังยืนอยู่หน้าพระราชาของตัวเองพวกเขาก็รวบรวมความกล้าของตัวเอง


 


เริ่มแรก, สามคนในกลุ่มพวกเขาเข้ามาโจมตีเธอพร้อมกันจากคนละทิศ


 


จากมุมมองของเอลน่า, การโจมตีของพวกเขาช้ามากจนทำเธอหาวได้เลย, เธอผ่าครึ่งดาบฝึกทั้งหมดที่กำลังพุ่งเข้ามาในเวลาเดียวกัน


 


พอเห็นดาบฝึกถูกเอลน่าที่กำลังใช้ดาบฝึกเหมือนกันผ่าครึ่งอีกครั้ง, อัศวินคนที่เหลือก็ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว พอเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้, เอลน่าก็ตะโกนใส่พวกอัศวิน


 


“ถ้าเจ้าเป็นอิศวินก็อย่าได้คิดจะถอยหนีต่อหน้าเจ้านายของพวกเจ้าเป็นอันขาด! ไม่อย่างนั้นผู้คนจะพูดได้ว่าไม่มีอัศวินอยู่ในรอนดิเน่รู้ไหม!”


 


“คะ ครับ! พวกเรากำลังจะเข้าไปแล้ว!”


 


เหมือนกับอาจารย์ที่กำลังฝึกลูกศิษย์ของตัวเอง


 


นี่คือสิ่งที่ลีโอคิดในขณะที่มองฉากตรงหน้า


 


อัศวินที่ถูกตะโกนใส่เข้ามาหาเอลน่าโดยไร้ซึ่งความกลัว และมันก็เป็นครั้งแรกที่, เอลน่ารับดาบของพวกเขา


 


แค่สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวก็สร้างเสียงตะโกนแห่งความสุขจากฝั่งรอนดิเน่ได้แล้ว


 


อย่างไรก็ตาม, เอลน่าเป็นคนจัดฉากขึ้นมา บางทีอาจจะมีแค่ลีโอกับลูกน้องของเอลน่าที่สังเกตเห็นจุดนี้


 


แสดงให้พวกเขาเห็นถึงพลังอำนาจที่ท่วมท้นจากนั้นก็ออมมือให้เล็กน้อยเพื่อเป็นการรักษาหน้า นี่คือเทคนิคที่อัศวินหลวงมักจะใช้ในตอนที่พวกเขามีคู่ต่อสู้เป็นชนชั้นสูง


 


แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่, ทางฝั่งรอนดิเน่ไม่มีใครสังเกตเห็น


 


ด้วยความโล่งอก, ลีโอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆในขณะที่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน


 


“สงสัยจังว่าท่านพี่จะกำลังลำบากเหมือนกันรึเปล่า……”


 


เขาพึมพำออกมาด้วยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน


 


สำหรับลีโอ, อัลมักจะเป็นพี่ชายสุดเก่งที่สามารถทำเรื่องที่เขาทำไม่ได้มาโดยตลอด


 


ในสมัยเด็ก, เคยมีต้นไม้อยู่ต้นนึงที่ไม่มีเด็กคนไหนปีนได้ ในบรรดาพวกเด็กๆ, พวกเขาพูดคุยกันเรื่องที่ใครจะเป็นคนแรกที่สามารถปีนต้นไม้ต้นนั้นได้  ลีโอเองก็ฝึกฝนเพื่อที่จะปีนมันอย่างเอาจริงเอาจังแต่ก็ไม่มีใคร, ไม่แม้แต่ลีโอที่สามารถทำมันได้และในที่สุดแฟชั่นการปีนต้นไม้ก็เลือนหายไปตามกาลเวลา


 


อย่างไรก็ตาม, หลังจากนั้นซักพัก, ลีโอก็ไปเจอนกตัวเล็กๆที่ได้รับบาดเจ็บอยู่บนต้นไม้ต้นนั้น


 


แต่ว่า, ลีโอไม่สามารถช่วยมันได้เพราะเขาไม่สามารถเข้าถึงตัวมันได้


 


ในตอนนั้น, อัลก็บังเอิญผ่านมาพอดีและถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้น, เขาก็บอกให้รอที่ต้นไม้และหายไปที่ไหนซักแห่ง


 


หลังจากนั้นซักพัก, อัลก็กลับมาและช่วยมันได้อย่างง่ายดาย เขาเอาตัวมันไปรักษาแล้วเอากลับไปคืนที่รังของมัน


 


ตอนนั้นอัลได้แก้สถานการณ์ด้วยการยืมอุปกรณ์เวทมนตร์อันล้ำค่าที่ช่วยให้ลอยกลางอากาศได้, โดยไม่ขออนุญาต


 


นี่คือวิธีการแก้สถานการณ์ของอัลที่ลีโอไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการได้ ถ้าเป็นพี่ชายคนนี้ของเขาก็คงจะสามารถแสดงเป็นเขาได้อย่างง่ายดาย


 


พอคิดได้แบบนี้, ลีโอก็หันกลับมาสนใจตัวเอง


 


เขาติดสินใจว่าจะเล่นบทคนไม่เอาถ่านด้วยความสามารถทั้งหมดของเขา

 

 

 


ตอนที่ 39

 

วันต่อมา, ในที่สุดพระราชาอัลบราโทรก็ตัดสินใจเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ระหว่างอัลบราโทรกับรอนดิเน่


 


ฉันดีใจที่พวกเขาคิดเรื่องต่างๆให้ถี่ถ้วนแต่ในฐานะประเทศ, นี่เป็นการตัดสินใจที่ช้าเกินไป


 


ฉันเข้าใจว่าพวกเขามีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งกับรอนดิเน่มาเนิ่นนานแต่ทุกสิ่งจะสูญสิ้นในตอนที่ประเทศของพวกเขาล่มสลาย


 


“ข้าคงต้องขอฝากท่านแล้วหล่ะนะ องค์ชายลีโอนาร์ด”


 


“ครับฝ่าบาท, ไว้ใจข้าได้เลย”


 


“ตะ, แต่ว่า, ท่านจะใช้เส้นทางทะเลจริงๆหรอครับ…..?”


 


พระราชามองไปที่ทะเลด้วยสีหน้าหวาดกลัว


 


ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ที่ท่าเรือ พอได้รับคำขอของพวกเขา, ฉันก็สั่งให้เรือทำการเตรียมตัวในทันที


 


ผู้คนของราชรัฐอัลบราโทรต่างก็คิดกันหมดว่าฉันจะใช้เส้นทางบกในการเดินทางและตอนนี้พวกเขาก็ทำเหมือนกับว่ากลัวจนแทบลมจับ แม้กระทั่งตอนนี้, พวกเขาก็ยังคงมองฉันเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อ


 


“ไปทางทะเลมันเร็วกว่า เมืองหลวงของรอนดิเน่เองก็เป็นเมืองท่าเหมือนกันเพราะฉะนั้นข้าน่าจะไปถึงที่นั่นภายในสองวัน ถึงยังไงข้าก็ไม่อยากเสียเวลาโดยไม่จำเป็นกับเรื่องนี้อีกแล้ว”


 


“แต่ว่า……ลิเวียธานยังแอบซุ่มอยู่ในนั้นนะครับ”


 


“ข้ามีปืนใหญ่เวทมนตร์ที่ประเทศของท่านให้ยืมมา และเหนือสิ่งอื่นใด, ถ้าข้าไม่ไปยั่วโมโหมัน, ลิเวียธานก็ไมน่าจะมาโจมตีเรือของข้าหรอก พิจารณาจากมุมมองของมันแล้ว, สิ่งที่มันระวังมากที่สุดน่าจะเป็นอุปกรณ์ปิดผนึก หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, ลิเวียธานอาจจะพุ่งความสนใจมาที่นี่ เพราะฉะนั้นระวังด้วยนะครับ”


 


“อะ, อืม…. ข้าขอโทษสำหรับทุกอย่างนะ พวกเราขอฝากท่านด้วยขอร้องหล่ะ”


 


“ถึงแม้ว่าความสามารถของข้าจะมีจำกัด, แต่ไว้ใจได้เลยครับ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็กำลังจะแยกกับพระราชาแต่ในตอนนั้นเองก็มีคนเรียกฉัน


 


“อะ, องค์ชายลีโอนาร์ด! ได้โปรดรอก่อนครับ!”


 


“นั่นองค์ชายจูลิโอไม่ใช่หรอครับ ตอนนี้ร่างกายของท่านหายดีแล้วหรอ?”


 


คนที่ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับผู้ติดตามของเขาก็คือจูลิโอ


 


จากสภาพร่างกายของเขามันจะเป็นการดีกว่าถ้าเขาอยู่นิ่งๆ


 


แต่ถึงอย่างนั้น, จูลิโอก็ยังคงเดินเข้ามาหาฉันแล้วโค้งคำนับจนสุดตัว


 


“ข้าอยากจะมาขอบคุณก่อนที่ท่านจะไปครับ ข้ารู้สึกซาบซึ้งมากที่ท่านช่วยชีวิตผู้คนของข้าตั้งมากมาย”


 


เขาไม่ได้พูดว่าเพราะฉันช่วยชีวิตของเขาและพี่สาวของเขา, ที่เขาแสดงความซาบซึ้งก็เพราะฉันช่วยเหล่าผู้รอดชีวิต


 


แนวคิดเชิงอุดมคติสุดๆแบบนี้มันคล้ายกับลีโอจริงๆ


 


จูลิโอเองก็เป็นคนอ่อนโยนเหมือนกันสินะ


 


“ข้าแค่ช่วยคนที่ขอความช่วยเหลือตรงหน้าข้า ข้าไม่ได้ทำสิ่งที่คุ้มค่ากับคำสรรเสริญของท่านหรอก”


 


“แต่ถึงอย่างนั้น, ความจริงที่ท่านช่วยพวกเราก็ไม่ได้เปลี่ยนไปครับ ข้าจะไม่มีวันลืมหนี้บุญคุณในครั้งนี้เป็นอันขาด”


 


“…..ท่านก็พูดเกินไป แต่, มันก็ไม่ได้รู้สึกแย่นะครับ ถ้างั้นซักวันนึงข้างหน้าข้าจะมาขอให้ท่านตอบแทนนะครับ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็ยิ้มเหมือนลีโอแล้วหันหลังให้เขา


 


แต่, จูลิโอก็หยุดฉันไว้อีกครั้ง


 


“องค์ชายลีโอนาร์ดครับ!…. ข้าอยากจะเป็นเหมือนกับท่าน! ข้าควรทำยังไงถึงจะกลายเป็นเจ้าชายที่น่านับถือเหมือนท่านได้!?”


 


คำตอบสำหรับคำถามนี้ค่อนข้างยาก


 


ฉันคิดว่าลีโอเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแต่ฉันก็ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนที่น่านับถือ


 


ลีโอมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน


 


ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้หล่ะนะ ตอบไปตามตรงก็แล้วกัน


 


“องค์ชายจูลิโอ ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ไม่ได้เป็นคนที่ยอดเยี่ยมเท่าที่ท่านคิดหรอกครับ บางคนอาจจะคิดว่าข้าอ่อนโยนแต่ก็มีคนที่คิดว่าอ่อนต่อโลกเหมือนกัน บางคนคิดว่าข้ากล้าหาญแต่ในทำนองเดียวกันก็มีคนที่คิดว่าข้าไม่รู้จักยั้งคิด แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังคิดว่าแนวคิดในอุดมคติของข้านั้นคือจุดอ่อนสำหรับตำแหน่งที่จำเป็นต้องใช้การตัดสินตามความเป็นจริงเฉกเช่นจักรพรรดิหรือเจ้าชาย ท่านอาจจะเทิดทูนข้าในฐานะฮีโร่แต่ข้าไม่ใช่ฮีโร่อย่างที่ท่านคิดหรอกครับ”


 


“ตะ, แต่ว่า…….!”


 


“ครับ, ข้ารู้ ถ้าท่านคิดว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร, ข้าก็ขอให้คำแนะนำซักเล็กน้อยนะครับ ข้าไม่เคยลังเลในการทำสิ่งที่ข้าคิดว่ามันถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ข้ารู้สึกภูมิใจกับมัน ท่านสามารถมีผู้ติดตามเพื่อชดเชยจุดอ่อนอื่นๆของท่านได้แต่การตัดสินใจนั้นถือเป็นความโดดเดี่ยวของกษัตริย์ นี่คือสาเหตุที่ทำไมข้าถึงคิดว่าถ้าสิ่งที่ตัวเองทำมันถูกต้องแล้ว, ข้าก็จะไม่ลังเล ในตอนที่ข้าช่วยเหลือเหล่าผู้รอดชีวิตก็เหมือนกัน ข้าคิดว่าข้าต้องช่วยพวกเขาดังนั้นข้าก็เลยทำ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง, ถ้าข้าคิดว่ามันถูกต้องข้าก็จะทำการตัดสินใจนั้นในทันที ถ้าท่านอยากจะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองในฐานะเจ้าชายถ้างั้นก็อย่าเสียเวลาโลเลในสิ่งที่ท่านพิจารณาแล้วว่าถูกต้อง”


 


“คะ, ครับ! คำพูดเหล่านี้! ข้าจะสลักเอาไว้ในใจของข้าเลยครับ!”


 


จูลิโอก้มศรีษะ


 


คำพูดเหล่านี้คือทัศนคติของฉันที่มีต่อลีโอจริงๆ


 


พูดตามตรง, ลีโอไม่เหมาะกับการเป็นจักรพรรดิ พี่ชายคนโตสุดของพวกเรา, มงกุฎราชกุมารเองก็เป็นคนอ่อนโยนแต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ปล่อยให้สิ่งนั้นมาสร้างผลกระทบกับการตัดสินใจของเขา อย่างไรก็ตาม, ลีโอใสซื่อเกินไปในเรื่องนี้ การตัดสินใจของเขาจะได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของเขาอย่างแน่นอน


 


อย่างไรก็ตาม, ลีโอไม่เคยลังเล การอ่อนต่อโลกเกินไปหรือโลกสวยเกินไปนั้นสามารถชดเชยได้ด้วยเหล่าผู้ติดตาม สิ่งที่จำเป็นของจักรพรรดิก็คือความสามารถในการตัดสินใจที่เด็ดขาด


 


เขาไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ


 


สิ่งที่สำคัญก็คือความหนักแน่น เขาไม่จำเป็นต้องคิดแผนการเพื่อทำร้ายคนอื่น ถ้าเขาแค่ทำการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ต่อจักรวรรดิได้ในฐานะคนที่มีความสำคัญสูงสุดเขาก็ถือว่าเป็นจักรพรรดิที่ดีแล้ว


 


ซึ่งนี่คือสาเหตุที่ฉันเลือกผลักดันให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิ


 


คนอื่นอีกสามคนเองก็มีความสามารถแต่พวกเขามีอีโก้เยอะเกินไป พวกเขาให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนจักรวรรดิ นี่คือลักษณะของจักรพรรดิที่พวกเขาจะกลายเป็น


 


พวกเขาต้องถูกหยุดยั้ง


 


“แต่ถ้าเป็นลีโอคงบอกว่า, ‘ถ้าท่านพี่มองแบบนี้ทำไมท่านพี่ไม่กลายเป็นจักรพรรดิซะเองเลยหล่ะ’ หล่ะมั้งนะ”


 


ฉันพึมพำด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแล้วขึ้นไปที่เรือ


 


ฉันไม่เหมาะที่จะเป็นจักรพรรดิ


 


นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของฉันเช่นเดียวกับท่านทวดที่เคยเป็นจักรพรรดิมาก่อนเป็นคนตัดสิน


 


จากคำพูดของเขา, จักรพรรดินั้นจำเป็นต้องมีความตั้งใจ ตราบใดที่ไม่มีสิ่งนั้นต่อให้มีคุณสมบัติอื่นครบทุกอย่างก็ยังไม่เหมาะสมที่จะเป็นจักรพรรดิอยู่ดี


 


ความตั้งใจในที่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เหมือนกับความทะเยอทะยานที่จะเป็นจักรพรรดิ มันคือความตั้งใจที่จะทำสิ่งต่างๆ พูดอีกนัยนึงก็คือ, คนที่เกลียดเรื่องยุ่งยากอย่างฉันไม่เหมาะที่จะกลายเป็นจักรพรรดิ


 


ซึ่งฉันก็เห็นด้วยกับเขาอย่างเต็มที่


 


แค่แกล้งแสดงเป็นลีโอไม่กี่วันมันก็ทำให้สุขภาพจิตของฉันย่ำแย่ไปเยอะแล้ว ฉันอดใจที่จะกลับไปเป็นคนไร้ค่าอีกครั้งไม่ไหวแล้วเนี่ย


 


“ออกเรือได้! จุดหมายของเราคือราชรัฐรอนดิเน่!”


 


ด้วยความคิดนั้นในหัว, ฉันก็ออกคำสั่ง


 


ถ้าฉันสามารถไปรวมตัวกับฝั่งของลีโอได้ก็น่าจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง


 


ด้วยการสงบจิตใจที่ระส่ำระส่ายของฉัน, ฉันก็ล่องเรือไปในทะเลที่มีมังกรทะเลแอบซุ่มอยู่


 


วันที่ฉันออกเดินทางจากอัลบราโทรผ่านไปโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น


 


จากนั้นก็เข้าสู่วันที่สอง


 


พอหลุดจากน่านน้ำของอัลบราโทรมาได้, เรือของเราก็เข้ามาในเขตของรอนดิเน่


 


ซึ่งมันคือตอนที่มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น


 


จู่ๆเสียงคำรามก็ดังขึ้นมาจากใต้ทะเล


 


“เหวอ, อะไรหน่ะ!?”


 


“มังกรทะเลกำลังคำรามหรอ!?”


 


“หนอย! ทุกคน, เข้าประจำตำแหน่งของตัวเองซะ!”


 


ทุกคนที่อยู่บนเรือระส่ำระส่าย


 


ในอีกด้านนึง, ฉันออกมาจากห้องอย่างใจเย็นแล้วขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ


 


ฉันสร้างบาเรียเอาไว้รอบเรือลำนี้แล้ว มันคือบาเรียที่ตัดขาดตัวตนของเราจากการรับรู้ของภายนอก ที่ฉันเลือกเส้นทางทะเลก็เพราะฉันมีเวทย์นี้ แต่ว่า, สุดท้ายแล้วพวกเราก็มาเจอมันที่นี่จนได้สินะ


 


“ทุกคน, ใจเย็นก่อน! ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว พวกเราทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้มันผ่านไป”


 


“อะ, องค์ชาย…..”


 


“มันอยู่ข้างใต้พวกเราแล้วครับ”


 


ฉันมองไม่เห็นมัน


 


บางทีมันน่าจะอยู่ลึกเข้าไปใต้ทะเล


 


แต่, ถ้าฉันไม่ได้ร่ายบาเรียปกปิดตัวตนหล่ะก็เรือของพวกเราอาจจะถูกจมไปแล้วก็ได้


 


จากตำนานของอัลบราโทร, ร่างกายของมันน่าจะยาวประมาณห้าสิบเมตรได้และมีปีกหนึ่งคู่กับขาสี่ข้างแต่ว่าฉันไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าตำนานนั้นเป็นความจริงรึเปล่า


 


อย่างไรก็ตาม, ฉันมั่นใจว่ามันอยู่ข้างใต้พวกเราเนี่ยแหล่ะ


 


ไม่ใช่แค่ฉัน, ดูเหมือนว่าทุกคนบนเรือก็รู้เรื่องนี้เหมือนกันเพราะสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ซึ่งความจริงที่ว่าทุกคนต่างก็กลั้นหายใจนั้นคือหลักฐาน


 


พวกเขาทุกคนรู้สึกได้ถึงอันตรายที่ร้ายแรงถึงชีวิต


 


มังกรคือผู้ล่าและมนุษย์ก็เป็นแค่เหยื่อของพวกมัน กฏนี้แทบจะแน่นอนนอนในโลกใบนี้


 


หลังจากผ่านไปซักพัก, ฉันก็ยืนยันได้ว่ามันผ่านพวกเราไปแล้ว อย่างไรก็ตาม, ฉันไม่ได้บอกพวกเขา


 


จนในที่สุด, หลังจากผ่านไปนานกว่าหนึ่งชั่วโมงโดยที่ไม่มีใครกล้าขยับกล้ามเนื้อเลย, มาร์คก็ประกาศออกมาว่าตอนนี้น่าจะปลอดภัยแล้วและพวกเราก็มุ่งหน้าไปที่รอนดิเน่ต่อ


 


“ข้านึกว่าพวกเราจะเสร็จมันแล้วนะเนี่ย…….”


 


“นั่นสินะ, ข้าเองก็นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะมาเจอมันในสถานที่แบบนี้ ข้าไม่ระวังเองแหล่ะ”


 


“ครับ, แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”


 


“….สำหรับลิเวียธาน, มนุษย์ทุกคนคงจะเป็นศัตรูของมัน มันไม่มีแนวคิดเรื่องประเทศดังนั้นมันอาจจะไปทำอะไรบางอย่างในรอนดิเน่, หรือบางทีมันคงอยู่ในระหว่างทางกลับหลังจากทำแบบนั้นไปแล้ว แต่ไม่ว่ายังไง, มันคงจะดีกับรอนดิเน่มากกว่าถ้าพวกเขามองว่านี่เป็นปัญหาของพวกเขาเหมือนกัน”


 


ราวกับช่วยสนับสนุนคำพูดเป็นลางไม่ดีของฉัน, มีรายงานเข้ามา


 


“องค์ชาย! ตอนนี้รอนดิเน่กำลังถูกมอนส์เตอร์โจมตีอยู่ครับ!”


 


“ตามที่คิดเอาไว้เลยสินะ…..”


 


“องค์ชาย, ครั้งหน้าช่วยอย่าพูดอะไรที่อยู่ในใจท่านอีกจะได้ไหมครับ?”


 


“ถ้าสามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้มันจะไม่ดีกว่ารึไง?”


 


“แต่สิ่งที่ท่านพูดมันอาจจะกลายเป็นจริงก็ได้นี่ครับ”


 


“ข้าไม่ได้มีความสามารถเหมือนพระเจ้าแบบนั้นซักหน่อย”


 


พอพูดจบ, ฉันก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วมองไปทางเมืองหลวงของรอนดิเน่ที่อยู่ไกลๆ


 


ตอนนี้, พวกเขากำลังถูกมอนส์เตอร์หลากหลายขนาดโจมตีอยู่


 


ในขณะนั้นเอง, ก็มีเรือลำนึงที่กำลังต่อกรกับมอนส์เตอร์


 


ซึ่งเรือลำนั้นได้ชูธงของจักรวรรดิ


 


สมแล้ว, การตัดสินใจของเขารวดเร็วจริงๆ


 


“เดินหน้าเต็มกำลัง พวกเราจะไปช่วยสนับสนุนท่านพี่ของข้า!”


 


“รับทราบครับ! ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งต่อสู้! เตรียมปืนใหญ่เวทมนตร์ที่ยืมมาจากอัลบราโทรให้พร้อมด้วย!”


 


พอพูดจบ, กัปตันเรือก็ให้คำแนะนำด้วยแรงใจที่พกมาอย่างเต็มที่


 


เขาคงกำลังมีความสุขที่จะได้ใช้อาวุธที่พวกเรายืมมาจากอัลบราโทร


 


ฉันได้ห้อยดาบของลีโอเผื่อเอาไว้ที่เอวด้วยแต่ว่ามันหนัก ฉันน่าจะไม่สามารถเหวี่ยงมันได้ดีซักเท่าไหร่


 


“แต่ถึงงั้นก็เถอะ, แบบนี้ก็แสดงว่าฉันจะมีโอกาสได้สลับตัวกลับแล้วใช่ไหม?”


 


ในขณะที่คิดเรื่องพวกนี้, พวกเราก็มุ่งหน้าตรงไปที่รอนดิเน่

 

 

 


ตอนที่ 40

 

ที่ลีโอสามารถล่องเรือออกมาได้ในตอนที่เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนั้นมันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ


 


ในตอนที่มอนส์เตอร์ปรากฎตัวขึ้น, ลีโอกำลังตรวจสอบเสบียงอยู่บนเรือ ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงเป็นอัลและทำเหมือนกับว่าตัวเองไม่อยากทำก็เถอะนะ


 


อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่มอนส์เตอร์เริ่มปรากฎตัวขึ้นนั้นเอง, ลีโอก็รู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติในทันทีและสั่งให้เรือของเขามุ่งหน้าออกมา


 


เขาสามารถหยุดมอนส์เตอร์เอาไว้ที่ทะเลได้และป้องกันไม่ให้ความเสียหายแพร่กระจายออกไป


 


แต่นี่มันก็หมายความว่าตอนนี้เรือของเขาเป็นเป้าหมายเดียวของพวกมอนส์เตอร์


 


“หนอย! มีมอนส์เตอร์ตัวนึงอยู่ทางซ้ายของเราด้วย!”


 


“ปล่อยมันไป! ตอนนี้สนใจมอนส์เตอร์ที่อยู่ตรงหน้าก่อน!”


 


ลูกเรือทุกคนต่างก็จ้องไปข้างหน้าตามคำสั่งของกัปตันเรือ


 


ตอนนี้มีงูทะเลตัวนึงที่มีความยาว 10 เมตรอยู่ตรงหน้าพวกเขา


 


งูทะเล มอนส์เตอร์ที่ถูกเรียกว่าเป็นมังกรปลอมเนื่องจากขนาดร่างกายและพละกำลังของมัน คลาสของมอนส์เตอร์นั้นจะถูกกำหนดโดยตัดสินจากว่ามันสามารถทำความเสียหายกับมนุษย์ได้มากแค่ไหนและสถานที่ที่พวกมันปรากฎตัว ซึ่งมอนส์เตอร์ที่สามารถจมเรือได้และดำลึกลงไปในทะเลได้นั้นมักจะอยู่ช่วงคลาส AA ถึง AAA


 


ครึ่งนึงของอุบัติเหตุทางทะเลนั้นสามารถพูดได้เลยว่าเป็นฝีมือของงูทะเล เมื่อเทียบกับมังกรทะเลที่เจอได้ยากกว่า, งูทะเลคือมอนส์เตอร์ที่พวกชาวเรือหวาดกลัวมากที่สุด


 


อย่างไรก็ตาม, มันเป็นเรื่องหายากมากที่งูทะเลปรากฎตัวใกล้แผ่นดินขนาดนี้


 


มอนส์เตอร์ที่มักจะปรากฎตัวใกล้ๆชายหาดคือมอนส์เตอร์ที่ปรับตัวให้ใช้ชีวิตอยู่บนบกได้ อย่างไรก็ตาม, โดยพื้นฐานนั้นงูทะเลเป็นมอนส์เตอร์ทะเล พวกมันไม่สามารถเคลื่อนไหวบนบกหรือออกจากทะเลได้


 


แต่กระนั้น, งูทะเลตัวนี้ก็ยังคงพยายามเข้าใกล้ท่าเรืออยู่


 


“กัปตัน! อย่าประมาทนะ! พวกเราแค่ล่อความสนใจของมันก็พอ!”


 


“อย่าพูดอะไรไร้เหตุผลแบบนั้นสิครับองค์ชาย! ถ้าท่านกลัวก็เชิญเข้าไปอยู่ในห้องของท่านเถอะครับ!”


 


ลีโอให้คำแนะนำในฐานะอัลแต่ไม่มีใครฟังเขาเลย ทุกคนต่างก็เมินคำสั่งของเขา


 


เพราะว่านี่เป็นเรือแค่ลำเดียวที่สามารถแล่นออกทะเลได้, ถ้าเรอลำนี้จม, ก็จะไม่มีอะไรมาหยุดมอนส์เตอร์จากการโจมตีท่าเรือได้อีก ต่อให้งูทะเลไม่สามารถออกจากทะเลได้, แต่ถ้ามันทำลายเรือที่ท่าจนหมดหล่ะก็, มันจะสร้างความเสียหายให้กับรอนดิเน่อย่างมหาศาล ซึ่งนี่คือสาเหตุที่เขาสั่งให้พวกเขาล่อความสนใจของงูทะเลจนกว่าพวกเขาจะสามารถกำจัดมอนส์เตอร์ทั้งหมดที่สามารถขึ้นบกได้, นี่คือการตัดสินใจที่มาจากการวิเคราะห์การต่อสู้อย่างเยือกเย็น แต่ว่า, กัปตันกลับไม่สนใจมันและเริ่มต่อสู้กับงูทะเล


 


ลีโอขมวดคิ้ว


 


“ปกติแล้วท่านพี่จัดการยังไงให้ผู้คนยอมเคลื่อนไหวนะ…..?”


 


ผู้คนจะไม่ฟังคำแนะนำจากคนที่พวกเขาไม่เชื่อใจ โดยเฉพาะในระหว่างการต่อสู้


 


ในสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ตัวตนของอาร์โนลด์ที่ดูไม่น่าเชื่อถึอจึงไม่ได้รับความสนใจ, แต่ถึงอย่างนั้นลีโอก็ต้องหาทางทำอะไรซักอย่าง


 


และในตอนนั้นเอง


 


เรือลำนึงก็ปรากฎขึ้นอย่างชัดเจนจากฝั่งขวาของเขา


 


ในตอนที่เขาเห็นเรือลำนั้นลีโอก็ยิ้มออกมาแล้วออกคำสั่งแกมบังคับกับกัปตันเรือ


 


“กัปตัน! ล่องูทะเลไปทางซ้าย!”


 


“องค์ชาย, ข้าบอกแล้วไงครับว่ามันไม่มีเหตุผล! พวกเราไม่ได้—”


 


“ทำเถอะหน่า! ลีโอกำลังมาแล้ว! พวกเราจะผนึกกำลังกันจัดการงูทะเล!”


 


ในขณะที่พูด, ลีโอก็จ้องไปยังเรือที่กำลังเข้ามาหาพวกเขาด้วยความมั่นใจ


 


….


 


“กัปตัน เลี้ยวเรือไปทางซ้าย”


 


“รับทราบครับ! เตรียมปืนใหญ่ทางกราบขวาเรือ! วันนี้เราจะเสิร์ฟปืนใหญ่เวทมนตร์ของเราให้ไอ้มอนส์เตอร์งูตัวนั้นกัน!”


 


ด้วยการคาดเดาแผนการของลีโอ, อัลก็หันเรือของเขาไปทางซ้าย


 


ในตอนที่เรือของพวกเขาแล่นผ่านกันและงูทะเลถูกล้อมอยู่ระหว่างพวกเขา, พวกเขาก็ออกคำสั่งในเวลาพร้อมกันพอดี


 


จังหวะเวลาในการโจมตีของพวกเขานั้นไม่มีความเคลื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว


 


“เปิดฉากยิงได้!”


 


ด้วยคำสั่งของอัลกับลีโอ, กระสุนก็พุ่งออกมาพร้อมกันจากเรือทั้งสองลำ


 


ปืนใหญ่เวทมนตร์เป็นอาวุธที่พลปืนจะใส่พลังเวทย์เข้าไปข้างในและยิงก้อนพลังเวทย์ออกมา ซึ่งปืนใหญ่เวทมนตร์สุดทันสมัยจากราชรัฐอัลบราโทรนั้นจะมีระยะยิงที่ไกลกว่าและใช้พลังเวทย์ต่อนัดน้อยกว่า


 


“ยอดไปเลย! สมกับที่เป็นอำนาจการยิงจากโมเดลปืนใหญ่ตัวใหม่! ยิงอีก!”


 


กัปตันรู้สึกเพลิดเพลินกับสิ่งนี้เหมือนกับเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นใหม่


 


เอาเถอะ, มันก็แน่หล่ะนะ อัลคิด การที่ได้โจมตีใส่งูทะเล, สิ่งมีชีวิตที่เป็นที่น่าหวาดกลัวของชาวเรืออยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ ถ้าเป็นชาวเรือการจะมีความสุขกับช่วงเวลาแบบนี้มันก็ไม่แปลกหรอก


 


หลังจากการกระหน่ำยิง, งูทะเลก็ร่วงลงไปในน้ำ


 


เสียงเชียร์ดังมาจากเรือทั้งสองลำ อย่างไรก็ตาม, มันยังไม่จบ


 


“มอนส์เตอร์ตัวอื่นกำลังเล็งไปที่เรือของท่านพี่ กัปตัน! ช่วยพาพวกเราไปจอดประชิดเรือของพวกเขาได้ไหม?”


 


“ไม่มีปัญหาครับ!”


 


“อัศวิน, เตรียมตัวให้พร้อม! พวกเราจะไปต่อสู้กับมอนส์เตอร์ที่ขึ้นไปบนเรือของท่านพี่!”


 


ในขณะที่ออกคำสั่งนั้น, อัลก็มองหามาร์ค


 


ถ้าอัลสามารถสลับตัวกับลีโอในระหว่างการต่อสู้ได้, คนที่จะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายก็คงจะเป็นลีโอ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์, แต่มันก็มีเรื่องมากมายที่เขาต้องทำ


 


ซึ่งนี่คือเหตุผลที่อัลมองหามาร์ค ถ้าเขาไม่พูดอะไรกับมาร์คให้เรียบร้อยก่อนมันจะมีปัญหาในภายหลังได้


 


“มาร์ค!”


 


“ครับองค์ชาย! เชิญรับสั่งมาได้เลยครับ?”


 


“ข้าจะไปช่วยท่านพี่ ขอฝากที่เหลือกับเจ้านะ”


 


“อย่างนี้นี่เอง, รับทราบครับ ไว้ใจข้าได้เลย”


 


ด้วยการสนทนาสั้นๆนี้, มาร์คก็เดาความตั้งใจของฉันได้และก้มศรีษะให้


 


การที่มีคนที่สามารถเข้าใจเราได้โดยไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะอยู่ใกล้ตัวนั้นมันช่วยได้มากจริงๆ อัลรู้สึกชื่นชมลูกน้องที่ฉลาดเฉลียวคนนี้แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


แต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้อัลก็ต้องถือดาบ, ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ถนัดในขณะที่มุ่งหน้าไปทางฝั่งของลีโอ มันไม่มีเวลาให้อธิบายอะไรเพิ่มเติมแล้ว


 


มีมอนส์เตอร์ตัวเล็กๆอีกมากมายบนเรือของลีโอ


 


แทนที่จะเป็นเรือของฉัน, ฉันพิจารณาแล้วว่าเรือของพวกเขาอยู่ภายใต้ภัยคุกคามที่สาหัสกว่ามาก


 


ในตอนที่เรือจอดเทียบกัน, อัลก็นำอัศวินไปที่เรือของลีโอ


 


“บุกได้!!”


 


แม้ว่ามันจะหนัก, แต่อัลก็เหวี่ยงดาบลงมาแล้วออกคำสั่งให้อัศวินเริ่มบุกขึ้นเรือของลีโอ และด้วยค่าเสียหายที่แขนของเขารับไป, อัลก็ขมวดคิ้ว


 


เอาจริงดิ, นี่หมอนั่นใช้ดาบหนักขนาดนี้เลยหรอ


 


ด้วยความคิดนี้ในหัว, อัลก็เริ่มวิ่งตรงไปหาลีโอ


 


อย่างน้อยที่สุดอัลก็อยากจะสลับตัวกันในห้องแต่เหตุการณ์มันไม่ง่ายแบบนั้น


 


“ฟ่อวววว!”


 


งูทะเลที่พึ่งจมลงไปในทะเลโผล่ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงคำรามแสบแก้วหู


 


น้ำทะเลจำนวนมากตกลงมาใส่อัลเหมือนกับฝนตก


 


ทุกคนต่างก็พุ่งความสนใจไปที่งูทะเล อย่างไรก็ตาม, มันไม่ใช่กับอัลและลีโอ


 


อัลไถลไปตามพื้นลื่นๆของดาดฟ้าเรือที่ถูกชโลมด้วยน้ำทะเลแล้วโยนดาบกับฝักของมันไปหาลีโอ


 


ซึ่งลีโอก็รับมันได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร, จากนั้นเขาก็กระโดดไปหางูทะเลที่อ้าปากกว้างเข้ามาโจมตีเรือแล้วอัดมันเข้าไปเต็มแรง


 


ลีโอฟันดวงตาของงูทะเลได้อย่างแม่นยำ ทำให้มันร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วถอยหนีไป


 


ในตอนที่ลีโอกลับมาอยู่บนพื้นเรือ, เขาก็ยืนหลังชนหลังกับอัล ในตอนนี้เอง, อัลที่ยืนตัวตรงก็ค่อมหลังลงในขณะที่ลีโอยืนตัวตรงขึ้น ด้วยฝนน้ำทะเล, ทรงผมและเสื้อผ้าของพวกเขาจึงกระเจิงไปหมด, ซึ่งมันทำให้ความแตกต่างของพวกเขามีไม่มากเท่าไหร่ และด้วยเหตุนี้เองมันจึงเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะในการสลับตัวกลับ


 


“มาสายนะครับ…….!”


 


“ข้าผิดเองหล่ะ พอดีเจอปัญหานิดหน่อย”


 


“ปัญหาเท่านี้ยังไม่พออีกหรอครับ?”


 


“เดี๋ยวเจ้าจะได้ฟังเรื่องน่าประหลาดใจอีกเพียบเลย แล้วมันก็จะทำให้มีปัญหายิ่งกว่านี้ด้วย”


 


“หึหึ, ช่างเป็นข่าวดีจริงๆนะครับ…..”


 


ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน, มอนส์เตอร์ที่มีหน้าตาเหมือนกบก็กระโดดมาหาอัล


 


ซึ่งอัลก็ได้หมุนทวนเข็มนาซิกาและโดยที่ไม่พูดอะไร, ลีโอก็มาอยู่ตรงหน้ามันแล้วผ่ามันด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว


 


“เจ้าเหวี่ยงดาบหนักขนาดนั้นได้ยังไงกัน? รู้รึเปล่าพรุ่งนี้ข้าเตรียมใจเจ็บกล้ามเนื้อเอาไว้แล้วนะเนี่ย”


 


“ท่านพี่ก็พูดเกินไป พี่แค่พกมันเอาไว้กับตัวเฉยๆไม่ใช่หรอครับ”


 


“ไม่ใช่ซักหน่อย, ข้าก็ใช้อยู่บ้างตามความเหมาะสม”


 


“ท่านพี่พึ่งเหวี่ยงมันแค่ครั้งเดียวเองไม่ใช่หรอ? ท่านพี่ถือโอกาสนี้เริ่มกลับมาฝึกดาบดีไหมครับ? ถ้าท่านพี่ทำแบบนั้นมันก็จะดีสำหรับข้าเหมือนกัน…..”


 


“ไม่เอาอะ และข้าก็จะไม่มีวันสลับตัวกับเจ้าอีกแล้วด้วย ขอโทษนะ”


 


“มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าครับ? ท่านพี่ไม่ได้ทำเรื่องแปลกๆในระหว่างที่ปลอมเป็นข้าอยู่ใช่ไหม?”


 


“เปล่าซักหน่อย ข้าแสดงเป็นเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบและก็นั่นแหละมันเลยทำให้ข้าเหนื่อยถึงขนาดนี้”


 


“ข้าเองก็ด้วย การพยายามปลอมเป็นท่านพี่อย่างสุดความสามารถมันก็ทำให้ข้าเหนื่อยมากเหมือนกัน”


 


“แต่ความจริงที่เจ้าพูดว่า [พยายามอย่างสุดความสามารถ] ในขณะที่ปลอมตัวเป็นข้านี่ถือว่าเป็นจุดผิดพลาดของเจ้านะ”


 


ในขณะที่พวกเรากำลังพูดคุยกัน, พวกอัศวินเองก็กำลังทำการกำจัดมอนส์เตอร์อยู่


 


ตอนนี้, อัลเหยียดแขนในขณะที่คิดว่าเขาจะฝากที่เหลือเอาไว้กับพวกคนที่อยู่ที่นี่ พอเขากลับมาอยู่ในสภาพเฉื่อยชาตามปกติ, อัลก็พูดกับลีโอ


 


“ลีโอ~ ขอฝากที่เหลือด้วยนะ ข้าจะขยายแนวป้องกันที่ท่าเรือ”


 


“ครับ ครับ ข้าก็แค่ต้องคอยเก็บกวาดสินะครับ?”


 


“เจ้าก็รู้งานนี่ เอลน่าคงจะทำอะไรซักอย่างกับมอนส์เตอร์ที่เข้าไปถึงท่าแล้วเพราะฉะนั้นข้าขอฝากทางทะเลเอาไว้กับเจ้าแล้วกันนะ”


 


“กลับมาอยู่ในสภาพปกติแล้วสินะครับ ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”


 


พอพูดจบ, ลีโอก็กลับไปยังเรือที่อัลนั่งมาในขณะที่อัลยังคงอยู่บนเรือของลีโอ


 


และด้วยประการฉะนี้เอง, ในที่สุดทั้งสองคนก็กลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม


 


“องค์ชาย พวกเราควรขยายแนวป้องกันไปไกลแค่ไหนดีครับ?”


 


“ให้เป็นหน้าที่กัปตันเลย ข้าจะกลับไปนอนที่ห้อง”


 


“คะ, ครับ?”


 


“ทำตามที่เจ้าเห็นสมควรเลย ถึงยังไงลีโอก็จะจัดการทุกอย่างอยู่แล้ว”


 


‘…..เอาจริงดิ เราอุตส่าห์คิดว่าเขาทำตัวเหมาะสมขึ้นในช่วงที่องค์ชายลีโอนาร์ดไม่อยู่นะเนี่ย…..’


 


พอได้ยินเสียงบ่นของกัปตัน, อัลก็แสยะยิ้มให้กับความพยายามอย่างหนักของลีโอแล้วกลับไปที่เตียงในห้องนอนของเขา


 


ท้ายที่สุด, เรือของอัลก็ไม่ได้เข้าสู่การต่อสู้อีกเลยและในที่สุดอัลก็สามารถกลับมาเพลิดเพลินกับการทำตัวขี้เกียจที่ไม่ได้ทำมาพักใหญ่ๆ

 

 

 


ตอนที่ 41

 

ฉันตื่นขึ้นมาในตอนที่เสียงดังลั่นของปืนใหญ่เวทมนตร์สิ้นสุดลงแล้ว


 


การต่อสู้จบแล้วในตอนที่ฉันขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ


 


ลีโอกับคนอื่นๆดูเหมือนจะกำลังออกค้นหาเผื่อยังมีมอนส์เตอร์เหลืออยู่


 


“ถ้าพวกเราเสร็จงานแล้วก็รีบพาข้ากลับฝั่งได้แล้ว ข้าอยากไปงีบในปราสาท”


 


“เห้อ….พวกเรากำลังจะกลับแล้วครับ”


 


พวกเรามุ่งหน้ากลับไปที่ท่าเรือในขณะที่ฉันถูกลูกเรือมองด้วยสายตาเอือมระอา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ก้าวเข้าสู่แผ่นดินของรอนดิเน่


 


เอาเถอะ, ตัวท่าเรือก็ไม่ได้ต่างจากอัลบราโทรมากนัก แค่อัลบราโทรอาจจะดูเจริญกว่าเท่านั้นเอง


 


ในขณะที่ฉันกำลังชื่นชมท่าเรืออยู่, เอลน่าก็กระโดดข้ามหลังคามาแล้วตะโกนเรียกฉัน


 


“อัล!”


 


“ไง, เอลน่า เหนื่อยหน่อยนะ”


 


ด้วยการโบกมือให้เธอ, ฉันก็พูดขอบคุณ


 


ตัดสินจากสภาพแวดล้อมของฉัน, มอสเตอร์ส่วนใหญ่ที่ขึ้นบกอาจจะถูกเอลน่ากำจัดไปหมดแล้ว


 


การที่ซากมอนส์เตอร์เกือบทั้งหมดถูกกองเอาไว้เกลื่อนกลาดอยู่ที่นี่และดูเหมือนจะถูกฆ่าด้วยการโจมตีเดียวนั้น, ก็ถือว่าเป็นหลักฐานที่เพียงพอแล้ว


 


“ข้าก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอก คนที่เหนื่อยน่าจะเป็นฝั่งเจ้าไม่ใช่หรอ?”


 


“ก็นะ ตอนนี้ข้าเหนื่อยจริงๆนั่นแหล่ะ”


 


สมกับที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉัน


 


เธอมองออกในทันทีว่าฉันคืออัลตัวจริง


 


การที่สามารถมองออกได้ง่ายแบบนี้, ฉันไม่สามารถดูถูกสายตาของเธอได้จริงๆ


 


ด้วยความคิดนี้, ฉันก็เงยหน้าขึ้น ซึ่งการทำแบบนี้, ทำให้ฉันอยู่ในจุดที่สามารถส่องใต้กระโปรงของเอลน่าได้


 


แน่นอนว่า, ฉันมองไม่เห็นชุดชั้นในของเธอเพราะเธอสวมซับในสีดำอยู่ ถ้าเป็นลีโอเขาก็คงจะบ่นว่าเธอแต่งตัวไม่เหมาะสม


 


“นี่, เอลน่า ข้าว่าปีนไปอยู่บนที่สูงแบบนั้นไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่นะ”


 


“อะไรของเจ้าเนี่ย? ตอนนี้คิดจะแกล้งทำตัวเป็นลีโออีกรึไง? เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรอว่ามันไม่ได้ผลหรอก?”


 


“ก็นะ, เอาเถอะถ้าเจ้าไม่ถือสาข้าเองก็ไม่อะไรเหมือนกัน”


 


เอลน่าไม่ได้เสียความมั่นใจเลย


 


ดูเหมือนว่าเธอจะมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มที่


 


ซึ่งการที่เธอมั่นใจขนาดนี้มันก็เป็นธรรมดาที่ฉันอยากจะทำลายมัน


 


“เปล่าประโยชน์หน่า! ข้าแต่งตัวมามิดชิดแล้ว!”


 


“อ๋อ, หรอ….แต่มันกำลังจะขาดไม่ใช่รึไงนั่น?”


 


ความมั่นใจทั้งหมดหายไปจากใบหน้าของเอลน่า


 


จากนั้นเธอก็ตะโกนกลับมาหาฉันด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อย


 


“ขะ, ข้าไม่มีวันหลงกลเจ้าหรอก!”


 


“ข้าก็บอกแล้วไงถ้าเจ้าไม่ถือสาข้าเองก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน แต่ขอพูดเอาไว้เลยนะ, ซับในสีดำของเจ้ามันทำให้ชุดชั้นในสีอ่อนของเจ้ามันดูเด่นรู้ตัวบ้างไหม?”


 


“!!??”


 


เท่านี้การแข่งขันก็ถูกตัดสินแล้ว


 


เอลน่าหันกลับไปแล้วแอบตรวจดูใต้กระโปรงของเธอ


 


ตามปกตินั้นเอลน่าชอบสวมชุดชั้นในสีขาวหรือไม่ก็สีโทนอ่อน ฉันพูดออกมาให้คลุมเครือเพื่อให้เธอเข้าใจผิดไปเองแต่ดูเหมือนว่าเธอจะติดกับจริงๆสินะ


 


“ตะ, ตรงไหน!? มันขาดตรงไหน!? อัล~……?”


 


“มันก็ต้องเป็นเรื่องโกหกอยู่แล้ว รู้สึกตัวซักทีสิ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็มุ่งหน้าไปที่ปราสาทอย่างเฉยเมย


 


หลังจากนี้, ลีโอคงเข้าไปทักทายพระราชาอีกครั้ง, เขาน่าจะมาขอพูดคุยกับฉันเป็นการส่วนตัวเนื่องจากเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือจะบอกว่ามันเป็นทางเลือกเดียวของเขาก็ว่าได้


 


สรุปง่ายๆก็คือฉันมีเวลาว่างจนกว่าจะถึงตอนนั้นเพราะฉะนั้นขอไปงีบที่ปราสาทซักหน่อยละกัน


 


“อัล….? นี่เจ้าคิดจะไปไหน?”


 


“ก็ต้องไปปราสาทหน่ะสิ”


 


“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมปล่อยไปง่ายๆหรอ?”


 


“ตอนนี้เจ้าอยู่ในตำแหน่งที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยข้าไปไม่ใช่รึไง?”


 


ที่แห่งนี้เคยเป็นสนามรบจนถึงเมื่อซักครู่นี้


 


เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามอนส์เตอร์จะกลับมาอีกรึเปล่า


 


สำหรับลีโอนั้นคงไม่ต้องพูดถึงแต่ฉันต้องรีบลี้ภัยโดยด่วน


 


“เจ้าจะปลอดภัยถ้าอยู่ใกล้ข้าเพราะฉะนั้นเจ้าแค่อยู่กับข้าก็พอแล้ว”


 


“เอามือทาบอกแล้วถามตัวเองดีๆ ข้าเคยปลอดภัยตอนอยู่ข้างเจ้าด้วยหรอ? จนถึงตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนเกือบตายมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วไม่รู้รึไง?”


 


“นั่นก็เพราะอัลชอบพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องต่างหากหล่ะ! จริงๆเลย! ทำไมเจ้าต้องโกหกแบบนั้นด้วยนะ!?”


 


“ไอ้นั่นมันก็นั่นไงหล่ะ พอเห็นเจ้าทำท่าที่มั่นใจขนาดนั้นแล้วมันก็เป็นธรรมดานี่ที่ข้าอยากจะแกล้งเจ้า”


 


“นิสัยตรงนี้ของเจ้านี่เหมือนจักรพรรดิจริงๆ….ฝ่าบาทเองก็ชอบพูดเรื่องแบบนี้เหมือนกัน”


 


“ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อของข้านี่หน่า เอาเถอะขอโทษละกัน, ข้าผิดเองแหล่ะ แต่ว่า, นานๆครั้งหาชุดชั้นในแบบหวือหวามาใส่บ้างก็ดีเหมือนกันนะ”


 


“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!”


 


เธอกระโจนเข้ามาคว้าคอเสื้อของฉันแล้วสั่นฉันไปมาอย่างรุนแรง


 


อา, โลกกำลังสั่นอยู่หล่ะ…..


 


ในตอนที่ฉันคิดจะบอกลาสติของฉัน, ในที่สุดเธอก็ยอมปล่อยฉันไป


 


ท้ายที่สุดแล้ว, ฉันก็เคลื่อนไหวไม่ได้ไปพักนึงซึ่งมันก็จบลงที่ฉันต้องขึ้นรถม้าที่ตั้งใจเตรียมไว้เพื่อพาลีโอกลับปราสาท


 



 


“อะ, อะไรนะ!? มังกรทะเลตื่นจากการจำศีลแล้วหรอ!?”


 


“ใช่ครับ, ฝ่าบาท เรือรบรุ่นใหม่ล่าสุดของอัลบราโทรถูกมันจมไปสามลำแล้ว นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่าการโจมตีของมอนส์เตอร์ที่พึ่งผ่านมานั้นจะเกี่ยวข้องกับมังกรทะเลตัวนี้ด้วย”


 


“ถะ, ถ้ามีเจ้าตัวแบบนั้นตื่นขึ้นมาหล่ะก็….ประเทศของข้าจะอยู่รอดต่อไปได้หรอ……?”


 


พอเห็นราชารอนดิเน่ที่อยู่ในสภาพตื่นตระหนก, ฉันก็รู้สึกปลงอยู่ในใจ


 


ในตอนที่ฉันคิดว่าในที่สุดก็จะได้พักผ่อนแล้ว, เอลน่าก็พูดขึ้นมาว่า ‘ถ้าพวกเจ้าสลับตัวกันอีกครั้งคงไม่เป็นไรหรอกหน่า’ แล้วตอนนี้ฉันก็กำลังพูดกับราชารอนดิเน่ในฐานะลีโอ


 


แน่นอนว่า, การแกล้งแสดงเป็นลีโอแล้วคุยเรื่องนี้ให้จบไปเลยนั้นมันเร็วกว่าการที่ต้องมาอธิบายรายละเอียดทั้งหมดให้กับลีโอตัวจริงก่อนค่อยให้เขามาคุยแต่ว่า…..


 


ฉันก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี


 


“ครับ สำหรับเรื่องนี้, ราชาของอัลบราโทรต้องการจะขอให้จักรวรรดิเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างราชรัฐอัลบราโทรกับราชรัฐรอนดิเน่ครับ ฝ่าบาท ในฐานะที่ข้าเป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จของจักรวรรดิ ข้าอยากจะขอให้ท่านต่อสู้กับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ด้วยการปล่อยวางความขัดแย้งในอดีตแล้วร่วมมือกับราชรัฐอัลบราโทรเพื่อก่อตั้งพันธมิตรกำจัดมังกรทะเลขึ้นมา ข้าให้สัญญาเลยว่าจักรวรรดิจะสนับสนุนพันธมิตรนี้เช่นกัน”


 


“อะ, อืม….แต่ว่านะ”


 


“ท่านมีปัญหาอะไรหรอครับ?”


 


“มันจะนำอันตรายมาสู่ประเทศของข้าจริงๆหรอ?”


 


“อย่างนี้นี่เองสินะครับ ก็จริงอยู่ที่ข้าไม่มีหลักฐาน แต่ว่า, ข้าได้บังเอิญเจอกับมังกรทะเลในระหว่างทางมารอนดิเน่ ข้าสามารถหนีจากมันมาได้แต่หลังจากนั้นข้าก็มาเจองูทะเลซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าจะเข้าใกล้ฝั่งกำลังมุ่งหน้าเข้าหาท่าเรือของท่าน ข้าสงสัยว่าการโจมตีของมอนส์เตอร์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะมังกรทะเลเข้ามาในน่านน้ำของท่าน”


 


“ตะ, แต่นี่มัน…..”


 


“สิ่งที่สำคัญก็คือว่าระยะการก่อความวุ่นวายของมังกรทะเลมันกินมาถึงน่านน้ำของรอนดิเน่ด้วย ฝ่าบาทครับ การที่เป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าเส้นทางทะเลสู่ประเทศของท่านในตอนนี้ถูกมังกรทะเลขวางเอาไว้อยู่ ซึ่งสถานการณ์แบบนี้มันเป็นผลเสียกับราชรัฐรอนดิเน่อย่างแน่นอนไม่ใช่หรอครับ?”


 


ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะโน้มน้าวเขาด้วยวิธีนี้แต่ในเมื่อฉันไม่รู้ว่าพระราชาจะลังเลแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหนฉันจึงต้องอธิบายถึงความเสียเปรียบของสถานการณ์ที่รอนดิเน่กำลังเผชิญอยู่


 


“ถ้าเส้นทางทะเลถูกปิดกัน, ท่านก็จะทำการค้าขายแลกเปลี่ยนได้แค่ทางบกเท่านั้น ถึงแม้ว่าราชรัฐรอนดิเน่จะปกครองพื้นที่ถึงสองในสามของคาบสมุทร, แต่เส้นทางส่วนใหญ่ที่เชื่อมกับตอนกลางของทวีปนั้นยังถูกราชรัฐอัลบราโทรควบคุมอยู่ ถ้าพวกเขากวดขันเส้นทางบกขึ้นมาฝ่ายที่จะเสียเปรียบก็จะเป็นราชรัฐรอนดิเน่ของท่านนะครับ, ฝ่าบาท”


 


“จะ, จริงหรอ!?”


 


“ถ้าเกิดเส้นทางทะเลถูกปิดกั้นแบบนี้จักรวรรดิของเราก็คงไม่มีวิธีสนับสนุนท่าน ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ? ฝ่าบาทถ้าเกิดท่านเลือกที่จะมองข้ามภัยคุกคามจากมังกรทะเลในตอนนี้, มันก็เหมือนกับการยอมรับสถานการณ์นั้น แน่นอนว่า, ข้าจะไม่ห้ามท่านถ้าท่านยังมั่นใจว่าสามารถเอาชนะอัลบราโทรได้ด้วยสถานการณ์แบบนั้น แต่ว่า, ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าจักรวรรดิจะเลือกสนับสนุนฝ่ายไหนเมื่อถึงเวลานั้น”


 


ด้วยประโยคทิ้งท้าย, สีหน้าของราชารอนดิเน่ก็ซีดเผือด


 


จักรวรรดิเป็นมหาอำนาจ แค่การพูดเปรยว่าจักรวรรดิจะทำการเคลื่อนไหวแบบนั้นก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับประเทศขนาดเล็กและประเทศขนาดกลางส่วนใหญ่ได้แล้ว


 


ยิ่งกว่านั้นในเมื่อราชรัฐอัลบราโทรพยายามจะขอความช่วยเหลือจากจักรวรรดิ สิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อสักครู่นี้อาจจะได้ผลกว่าที่คิดเอาไว้ก็ได้


 


“ขะ, เข้าใจแล้วครับ! พวกเรายอมรับการก่อตั้งพันธมิตร ประเทศของข้าจะให้ความร่วมมือกับราชรัฐอัลบราโทรในการต่อสู้กับมังกรทะเลอย่างสุดความสามารถ”


 


ในที่สุดเขาก็ทำการตัดสินใจได้แล้ว


 


เท่านี้ราชรัฐอัลบราโทรก็สามารถจ้างกิลด์นักผจญภัยได้แล้ว


 


เอาจริงๆ, พวกเขาอาจจะส่งคำขอไปแล้วด้วยซ้ำ ถึงยังไงในเมื่อพวกเขาขอให้จักรวรรดิเข้าแทรกแซงแบบนี้พวกเขาก็คงไม่คิดว่าพวกเราจะล้มเหลวหรอก


 


เอาหล่ะตอนนี้, งานของอาร์โนลด์ก็จบลงเพียงเท่านั้น


 


ฉันได้บอกเอลน่ากับลีโอไปแล้วว่าหลังจากที่ฉันโน้มน้าวพระราชาได้สำเร็จฉันจะขอให้พวกเขายอมปล่อยให้ฉันได้ทำตามใจชอบ


 


รอนดิเน่น่าจะส่งกองเรือไปช่วยอัลบราโทรต่อสู้กับมังกรทะเลแต่ว่าฉันจะไม่เข้าร่วมด้วย


 


ถึงยังไงมันก็ถึงเวลาเคลื่อนไหวในเงามืดแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 42

 

“ถ้างั้นข้าไปหล่ะนะ”


 


“เข้าใจแล้วครับ”


 


พอพูดจบฉันก็เตรียมแยกทางกับลีโอ


 


พระราชารอนดิเน่เตรียมกองทัพของเขาเสร็จในวันต่อมาหลังจากที่ยอมรับการจัดตั้งพันธมิตร เขาทำงานอย่างรวดเร็ว ความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันนี้คงพูดได้ว่าเป็นลักษณะเด่นของประเทศทางใต้หล่ะนะ


 


ครั้งนี้, พระราชารอนดิเน่น่าจะออกไปด้วยตัวเองเพื่อจัดตั้งพันธมิตรกับราชรัฐอัลบราโทร แต่ถึงแม้จะพูดอย่างนั้น, บางทีเขาคงคิดว่ามันจะดีที่สุดถ้าได้สู้กับมังกรทะเลในขณะที่ยังอยู่ในอาณาเขตของอัลบราโทร


 


“อัล, ไปคนเดียวไม่เป็นไรแน่นะ?”


 


เอลน่าถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ในขณะที่พูดสายตาของเธอก็พยายามหันหนีจากทะเล


 


ดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่สินะ


 


ครั้งนี้มาร์คจะเข้าร่วมกับลีโอ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อยู่กับฉัน


 


แต่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องมีคนที่มีพรสวรรค์มาอยู่กับฉันในรอนดิเน่อยู่แล้ว


 


“พอเข้าน่านน้ำของอัลบราโทรเมื่อไหร่, ความสนใจของมังกรทะเลก็จะพุ่งไปที่ราชรัฐอัลบราโทร ข้าสามารถพักผ่านอย่างสบายๆได้พักนึง แทนที่จะมาห่วงข้า, ข้าต่างหากหล่ะที่ควรเป็นห่วงเจ้ามากกว่า ดูนั่นสิ ทะเลสวยดีนะว่าไหม?”


 


“ข้า, ข้า, ข้าไม่เป็นไรหรอกหน่า!! ถะ, ถ้ามันเป็นการต่อสู้หล่ะก็…..ไว้ใจข้าได้เลย ละ, แล้วก็เหมือนกับที่เจ้าพูด….ทะเลสะ, สวยดีนี่…..มัน, มันเหมือนกับข้ากระโดดเข้าไปในรูปวาดเลย……”


 


แค่มองทะเลจากท่าเรือ, เอลน่าก็หน้าซีดขึ้นเรื่อยๆในขณะที่พูด ตอนนี้ดวงตาของเธอตายซากไปแล้ว


 


ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าครั้งนี้เธอคงไม่ค่อยมีประโยชน์ในการต่อสู้ซักเท่าไหร่


 


เอลน่าเก่งบนบกมากกว่า แต่ก็เอาเถอะ, ลีโอน่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเพราะฉะนั้นมันคงไม่เป็นไรต่อให้ฉันไม่ได้บอกเขาด้วยตัวเอง


 


“ขอฝากที่เหลือไว้กับเจ้านะ แล้วก็ช่วยดูแลเอลน่าด้วย”


 


“ครับ, ไว้ใจข้าได้เลย ท่านพี่พักผ่อนอยู่ที่นี่ให้สบายเถอะ”


 


“โอเค ขอฝากเรื่องต่อสู้ไว้กับเจ้าละกัน ไปสะสางเรื่องนี้ให้จบ ถึงยังไงถ้ามีมังกรทะเลแอบซุ่มอยู่แถวนี้การจะกลับจักรวรรดิก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆหล่ะนะ”


 


ด้วยการพูดคุยลักษณะนี้, ฉันก็บอกลาพวกเขาทั้งสองคน


 


ในตอนที่กองเรือพ้นระยะสายตาของฉัน, ฉันก็กลับไปที่ห้องที่จัดเตรียมเอาไว้ให้ฉันข้างในปราสาท ฉันอยากจะนอนหลับไปทั้งแบบนี้เลยแต่ก็เป็นไปตามคาด, ฉันไม่มีเวลาทำเรื่องแบบนั้น


 


เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน, ฉันได้สร้างภาพลวงตาของตัวเองให้นอนหลับอยู่บนเตียงก่อนที่จะออกจากห้องผ่านทางหน้าต่าง


 


จุดหมายของฉันคือกิลด์นักผจญภัยสาขารอนดิเน่


 


แน่นอนว่า, ฉันไม่ได้มุ่งหน้าไปที่นั่นในฐานะอาร์โนลด์ ฉันกำลังไปที่นั่นในฐานะซิลเวอร์, โดยใช้เวทย์ลวงตาเพื่อแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของฉัน


 


อย่างไรก็ตาม, มันจะสร้างความโกลาหลได้ถ้านักผจญภัยทั่วไปรู้ว่าซิลเวอร์อยู่ที่นี่ดังนั้นฉันก็เลยใช้เวทมนตร์ทำให้พวกเขาหลับไปก่อนที่จะเข้ามาในสำนักงานของสาขา


 


ในตอนที่นักผจญภัยทุกคนเคลิ้มหลับไปแล้ว, ฉันก็เข้ามาข้างใน


 


พนักงานต้อนรับซึ่งฉันยกเว้นเอาไว้ยังตื่นอยู่ อย่างไรก็ตาม, เธอกำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเธอ


 


“ทะ, ท่านเป็นใครกันคะ……!?”


 


“ข้าคือซิลเวอร์, นักผจญภัยแรงค์ SS ที่ประจำอยู่สาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิ ข้าไม่อยากก่อความวุ่นวายก็เลยทำให้นักผจญภัยที่นี่หลับไปก่อน ขอโทษนะถ้ามันไปทำให้เจ้ากลัว”


 


“ซะ, ซิลเวอร์? นักผจญภัยที่มีชื่อเสียงคนนั้นหรอคะ?”


 


“มีชื่อเสียงรึเปล่าข้าไม่รู้หรอก”


 


พอพูดจบ, ฉันก็แสดงบัตรนักผจญภัยของฉันให้พนักงานต้อนรับดู


 


พนักงานต้องรับรับบัตรไปอย่างกล้าๆกลัวๆและตรวจสอบรายละเอียดของมันในขณะที่ส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ


 


“ตะ, ตัวจริงหรอคะเนี่ย!?”


 


“ข้าก็บอกไปแล้วนี่ ขอโทษนะแต่ข้าอยากใช้ห้องสื่อสารทางไกล”


 


กิลด์นักผจญภัยแต่ละสาขานั้นจะมีห้องสื่อสารทางไกลของตัวเองอยู่


 


มันคือห้องที่มีบาเรียพิเศษซึ่งสร้างขึ้นโดยคริสตัลชิ้นนึงที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องโดยมันจะเชื่อมต่อกับห้องสื่อสารทางไกลอื่นๆในสำนักงานใหญ่กิลด์นักผจญภัยและสาขาย่อยของมัน


 


มันคือเทคนิคลับของกิลด์ที่ช่วยให้กิลด์สาขาต่างๆสามารถตอบโต้กับภัยคุกคามจากมอนส์เตอร์ทั่วทวีปได้อย่างรวดเร็ว


 


“ขะ, เข้าใจแล้วค่ะ! เชิญตามข้ามาทางนี้ได้เลยค่ะ!”


 


มีแค่พนักงานกิลด์หรือนักผจญภัยแรงค์ S ขึ้นไปเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องสื่อสารทางไกล


 


นักผจญภัยแรงค์ S ขึ้นไปที่สามารถต่อสู้กับมอนส์เตอร์คลาสสูงๆได้ด้วยตัวคนเดียวนั้นจะได้รับการดูแลดีเป็นพิเศษในบรรดากลุ่มสมาชิกกิลด์


 


พนักงานต้อนรับพาฉันไปที่ห้องสื่อสารทางไกลและเชื่อมต่อสายกับสำนักงานใหญ่ในทันที


 


จากนั้น


 


“นี่คือนักผจญภัยแรงค์ SS ซิลเวอร์ ช่วยเรียกรองหัวหน้ากิลด์มาหน่อย”


 


“รับทราบค่ะ”


 


สมกับเป็นพนักงานของสำนักงานใหญ่ พวกเขาเคยชินกับเรื่องพวกนี้


 


การตอบสนองของพวกเขาเยือกเย็นและฉะฉาน


 


หลังจากรออยู่พักนึง, ใบหน้าของชายหนวดเฟิ้มก็ปรากฎขึ้นบนคริสตัล


 


ผมสีดำและดวงตาสีน้ำเงิน ชื่อของชายคนนี้ที่ดูเข้ากับคำพูดที่ว่า ‘คุณลุงหน้าหล่อ(Nice middle)’ ก็คือไคลด์


 


(หมายเหตุ: 「ナイスミドル」 หรือภาษาอังกฤษคือ ‘Nice Middle’ เป็นแสลงค์ของคนญี่ปุ่นที่ใช้เรียกผู้ชายวัยกลางคนที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดครับ)


 


เขาเคยเป็นนักผจญภัยคลาส S ที่เดินทางสร้างชื่อเสียงไปทั่วทวีป ตอนนี้เขาเกษียณแล้วและทำหน้าที่เป็นรองหัวหน้ากิลด์ที่กิลด์นักผจญภัยสำนักงานใหญ่


 


[ไหงเจ้าถึงโทรมาหาข้าจากสาขาเขตใต้ได้หล่ะเนี่ย?]


 


“ข้าแค่มาหาคนรู้จักที่อยู่แถวนี้หน่ะ”


 


[คนรู้จักสินะ ข้าประหลาดใจนะเนี่ยที่เจ้ามีคนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนรู้จักอยู่ด้วย]


 


“ข้าเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ ข้าก็ต้องมีคนรู้จักอยู่บ้างแหล่ะ แต่ช่างเรื่องนั้นเถอะ, ข้าพึ่งได้ยินข่าวลือแปลกๆมา, มันเป็นความจริงรึเปล่า?”


 


[ปกปิดไปก็คงไม่มีประโยชน์สินะ…ใช่มันเป็นเรื่องจริง มีคำขออย่างเป็นทางการจากราชรัฐอัลบราโทรให้ไปกำจัดมังกรทะเล ตอนนี้สำนักงานใหญ่กำลังวุ่นวายเลยหล่ะ]


 


“ก็ไม่แปลกหล่ะนะ แล้วสำนักงานใหญ่กำหนดคลาสไว้ที่เท่าไหร่?”


 


[ตั้งใจว่าจะกำหนดเอาไว้ที่คลาส S แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันจะสร้างความเสียหายได้มากแค่ไหนบางทีคลาสของมันอาจจะถูกเลื่อนเป็น SS ก็ได้ และถ้าเป็นแบบนั้นมันก็จะกลายเป็นคำขอระดับสูงสุดที่ต้องการนักผจญภัยแรงค์ SS มากกว่าหนึ่งคน]


 


“อย่าทำแบบนั้นนะ ต่อให้พวกเขาสามารถเอาชนะมังกรทะเลได้, แต่ราชรัฐอัลบราโทรได้กลายเป็นซากแน่”


 


การเรียกรวมตัวนักผจญภัยแรงค์ SS หลายคน


 


มันคือสิ่งที่แม้แต่กิลด์นักผจญภัยเองก็ยังอยากที่จะหลีกเลี่ยง ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีความแข็งแกร่งผิดมนุษย์, แต่พวกเขานั้นไม่ค่อยมีสามัญสำนึก


 


ถ้าคนแบบนั้นมาอยู่ด้วยกัน, สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในทะเลอาจจะตายไปพร้อมกับมังกรทะเลเลยก็ได้, เมืองท่าเองก็อาจจะอยู่ในสภาพที่เกินกว่าจะฟื้นฟูได้เช่นกัน สเกลความเสียหายนั้นมันมีความเป็นไปได้มากถึงขนาดนั้น


 


[ข้าเองก็ไม่อยากเรียกรวมพวกเขาเหมือนกัน ขอโทษนะแต่ในเมื่อเจ้าอยู่แถวนั้นแล้ว, ช่วยกำจัดมันให้ข้าหน่อยได้ไหม?]


 


“อย่าพูดเหมือนข้าเป็นบ๋อยของเจ้านะ เดี๋ยวข้าจะกลับไปจัดการธุระที่เมืองหลวงของจักรวรรดิก่อน แล้วจะมาจัดการให้ทีหลัง”


 


[งั้นหรอ…..ถ้าเจ้ารีบจัดการให้ได้จะขอบคุณมากเลยหล่ะ]


 


“มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”


 


[…….ข้อมูลนี้เป็นความลับนะแต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะรั่วไหลไปถึงจักรวรรดิแล้ว แถมดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็เริ่มหารือกันแล้วด้วยว่าจะแทรกแซงยังไงดี]


 


“ถ้าการแทรกแซงของพวกเขาสำเร็จพวกเขาก็จะสร้างหนี้บุญคุณก้อนใหญ่ให้กับประเทศทางใต้ได้สินะ แต่ว่า…..มันมีความเป็นไปได้อยู่นะว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นระลอกที่สอง”


 


หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือมันจะเกิดขึ้นแน่


 


ถ้าพวกเขาส่งกองเรือมา, พวกเขาก็ก็มีแต่จะถูกพายุจม


 


สิ่งที่จักรวรรดิสามารถทำได้ก็คือส่งพวกระดับสูงของพวกเขามาแต่ถ้ามันเป็นแบบนั้น, มันจะเป็นการดีกว่าถ้าปล่อยให้เอลน่าที่อยู่ในเหตุการณ์อยู่แล้วเป็นคนจัดการ


 


บางที่สิ่งที่พ่อของฉันกำลังพิจารณาอยู่ในตอนนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ว่าเขาควรอนุญาตให้เอลน่าใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์รึเปล่า


 


[ตามนั้นแหล่ะ, ก่อนที่จักรวรรดิจะมาถึงแล้วทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น, ข้าอยากให้กิลด์นักผจญภัยจัดการกับมันให้ได้ก่อน]


 


“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกหรอกนะ แต่ว่าข้าไม่อยากจะรอมังกรทะเลที่ไม่รู้ว่าจะโผล่มาที่ไหนหรือตอนไหน เอาเป็นว่าถ้ามันโผล่มาข้าจะรีบมุ่งหน้าไปหามันในทันที ตกลงไหม?”


 


[แบบนั้นก็พอรับได้อยู่ เดี๋ยวทางฝั่งข้าจะแจ้งข้อมูลให้เจ้าทราบแล้วกัน ช่วงนี้จักรวรรดิค่อนข้างระส่ำระส่ายจากสงครามผู้สืบทอด ถ้าเป็นไปได้ข้าก็ไม่อยากไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา ดังนั้นถ้าเจ้าได้รับรายงานการพบเห็นมันเมื่อไหร่ให้รีบจัดการทันทีเลยนะ]


 


“เดี๋ยวข้าใช้ดุลยพินิจของข้าตัดสินเองก็แล้วกัน”


 


ฉันตอบไปแบบนี้แล้วจบการสนทนา


 


ความลับของกิลด์รั่วไหลไปถึงจักรวรรดิหรอ….ชักรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้แล้วสิ


 


ฉันคิดว่ามีบางคนพยายามจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้อยู่


 


ถ้าฉันไม่ป้องกันเอาไว้นี่อาจจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายได้


 


ดูเหมือนว่าฉันควรจะกลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิสักครั้งนึงเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้สินะ


 


“ขอบใจนะ ตอนนี้ข้าขอตัวหล่ะ”


 


“ค, ค่ะ!”


 


ฉันขอบคุณพนักงานต้อนรับแล้วเดินออกจากกิลด์


 


พรุ่งนี้ต้องบินกลับเมืองหลวงของจักรวรรดิสินะ


 


ฉันต้องไปตรวจสอบสถานการณ์ของพวกฟีเน่แล้วสืบดูว่าจักรวรรดิวางแผนจะแทรกแซงยังไง


 


ถ้าจักรวรรดิเคลื่อนไหวไปในแนวทางแทรกแซงอย่างจริงจัง, การจะไปทำลายแผนการของพวกเขาในฐานะซิลเวอร์ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดี


 


จักรวรรดิและกิลด์นักผจญภัย, ทั้งคู่ต่างก็มีชื่อเสียงให้ยึดถืออยู่ มันจะเป็นการดีที่สุดถ้าแก้ปัญหานี้ได้พร้อมกับรักษาหน้าของทั้งสองฝ่าย


 


“เอาเถอะ, หลังจากที่กลับไปแล้วค่อยคิดเรื่องนี้ก็แล้วกัน”


 


ฉันพึมพำออกมาหลังจากนั้นก็คลายเวทย์ลวงตาและกลับไปเป็นอาร์โนลด์เหมือนเดิม


 


ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด, พวกฟีเน่อาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ว่าแล้วเชียว, จะยืนยันได้แน่ๆก็ต่อเมื่อกลับไปดูด้วยตัวเองสินะ


 


“เอาเถอะ, ถ้าไม่ได้ไปทำเรื่องบ้าๆก็คงจะดีอยู่หรอก”


 


แต่ถึงอย่างนั้นฟีเน่ก็ดูเหมือนพวกที่ทำอะไรไม่ยั้งคิดด้วยสิ


 


ในตอนที่ต่อสู้กับแวมไพร์เอง, เธอก็ปีนขึ้นไปบนหอนาฬิกาโดยไม่ลังเลเลย แม้แต่ตอนที่เธอกำลังร่วงลงมา, เธอก็ยังให้ความสำคัญกับขลุ่ยมากกว่าตัวเอง


 


คนอะไรทำไมถึงไม่หัดให้ควาสำคัญกับตัวเองบ้างเลย


 


ถ้านิสัยด้านนั้นของเธอยังไม่แสดงออกมาก็คงจะดี


 


ฉันกลับไปที่ปราสาทในขณะที่กังวลเรื่องของเธอ

 

 

 


ตอนที่ 43

 

เช้าวันต่อมา


 


ฉันบอกกับทุกคนว่าฉันป่วยและขังตัวเองอยู่ในห้อง


 


และด้วยการทิ้งภาพลวงตาของตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงเอาไว้, ตอนนี้ทุกคนที่เห็นก็คงจะคิดว่าฉันกำลังนอนหลับอยู่ในห้อง


 


จากนั้น, ฉันก็ได้ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายเพื่อไปยังเมืองที่อยู่ใกล้กับพรมแดนทางใต้ของจักรวรรดิและใช้มันอีกครั้งจากที่นั่นเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิโดยตรง


 


สถานที่ที่ฉันเคลื่อนย้านไปก็คือห้องลับของท่านทวด


 


มีใบหน้าอันแสนคุ้นเคยรอฉันอยู่ที่นั่น แต่ว่าไม่ใช่ท่านทวด ตอนนี้เขาน่าจะกำลังพักผ่อนอยู่ในหนังสือ เขาอาจจะเป็นร่างความคิดแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอจิตวิญญาณของเขาก็อาจจะสลายไปได้


 


“ยินดีต้อนรับกลับครับ”


 


“เซบาสหรอ รู้ได้ไงว่าข้าจะกลับมาวันนี้?”


 


“ไม่รู้หรอกครับ ข้าแค่มารอที่นี่ทุกวัน”


 


“ทุกวันเลยหรอ….เจ้านี่ขยันจังเลยนะ”


 


“ถ้าไม่ขยันก็คงทำงานเป็นพ่อบ้านไม่ได้หรอกครับ”


 


พอพูดจบ, เซบาสก็ส่งหน้ากากเงินกับผ้าคลุมสีดำให้ฉัน


 


ในขณะที่ฉันกำลังสวมเครื่องแบบของซิลเวอร์อยู่, ฉันก็ถามเซบาสเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้


 


“ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”


 


“สงครามชิงอำนาจกำลังไปได้ด้วยดีครับ ลินเฟียทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ”


 


“งั้นหรอ ดูเหมือนว่าข้าจะตัดสินใจถูกสินะ”


 


“นั่นสินะครับ แต่ว่าท่านฟีเน่ค่อนข้าง……”


 


“ฟีเน่ทำอะไร?”


 


จากวิธีที่เขาพูด, ดูเหมือนว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวฟีเน่


 


ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฟีเน่จริงๆ, เซบาสคงไม่ได้ใจเย็นแบบนี้ ในขณะที่สงบสติอารมณ์ด้วยความคิดนี้, เซบาสก็ให้คำตอบกับฉัน


 


“เธอไปเข้าพบตัวแทนของบริษัทอะจินตามคำแนะนำของลินเฟียครับ ท่านฟีเน่สามารถโน้มน้าวตัวแทนของพวกเขาให้ร่วมมือกับเราได้แต่ว่า……”


 


“แต่อะไร? ข้าว่าข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรอว่าอยู่ห่างจากเธอ? ข้าเชื่อใจลินเฟียก็จริงอยู่แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะไว้วางใจในตัวเธออย่างเต็มที่”


 


“ข้าขอโทษจริงๆครับ ข้าคิดว่าถ้าข้าไปกับลินเฟียด้วย, อีกฝ่ายจะระวังพวกเรามากขึ้น”


 


“…เอาเถอะ แล้ว? ฟีเน่โน้มน้าวตัวแทนของพวกเขายังไง?”


 


“เธอเอาตัวเองไปเป็นข้อต่อรองครับ เธอเสนอสิทธิให้พวกเขาใช้งานตัวเธอได้ตามใจชอบและขอให้พวกเขาเสนอสิ่งแลกเปลี่ยนมา แต่ในท้ายที่สุดนั้น, พวกเขาก็พับข้อเสนอนี้ทิ้งไปเนื่องจากไม่สามารถเสนอสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมได้และหลังจากนั้นพวกเขาก็เลือกที่ใจให้ความร่วมมือด้วยข้อเสนอที่เรียบง่าย โดยสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ, พวกเขาแค่อยากจะใช้ชื่อของท่านฟีเน่, ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ธรรมดามาก”


 


“เห้อ……”


 


ให้ตายเธอ


 


เธอทำเรื่องสิ้นคิดจริงๆ


 


ฉันรู้ว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่ให้ค่าตัวเองแต่แบบนี้มันก็เกินไปหน่อยนะ


 


เธอจะทำยังไงกันถ้าพวกเขามีข้อเสนอที่มีค่าเท่าเทียมกับตัวเธอ


 


“สมกับเป็นยัยตัวปัญหาจริงๆ”


 


“พูดไม่ดูตัวเองเลยนะ”


 


ชายแก่ที่มีร่างกายโปร่งแสงปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหัน


 


นี่คืออาจารย์ของเขาเช่นเดียวกับท่านทวดของฉัน


 


“ท่านทวดหมายความว่าไง?”


 


“เจ้ามักจะมองว่าชื่อเสียงของตัวเองเป็นเรื่องรอง ไอ้ส่วนที่ชอบเสียสละตัวเองแบบนี้มันก็เหมือนกับแม่หนูนั่นไม่ใช่รึไง?”


 


“ช่างข้าเถอะหน่า การมีสถานะแบบนี้มันทำให้ข้าเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่า”


 


“แม่หนูนั่นก็คงคิดเหมือนกันแหล่ะ ‘ฉันไม่เป็นไรหรอก แบบนี้แหล่ะดีแล้ว’ โลกเรานี่มันช่างน่าเศร้าจริงๆนะ, เซบาส มันน่าเศร้าที่เด็กไม่สามารถเป็นแค่เด็กได้”


 


“เห็นด้วยที่สุดเลยครับ”


 


ชายแก่สองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน


 


นี่มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก


 


มันเหมือนกับว่าฉันเป็นตัวร้ายคนเดียวที่นี่ อย่ามางี่เง่ากับฉันนะ


 


“ข้าคงจะสามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติไปได้ตลอดถ้ามีใครซักคนเปลี่ยนธรรมเนียมของสงครามผู้สืบทอดในตอนที่ได้เป็นจักรพรรดิ”


 


“ก็นะ, ถ้าจักรพรรดิที่ฉลาดและมีไหวพริบเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติมันก็คงจะเป็นไปได้อยู่หรอก….แต่ในความเป็นจริงคงไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ นี่คือเหตุผลที่ทำไมสงครามผู้สืบทอดถึงยังคงอยู่ มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝึกคนที่มีความสามารถให้กลายเป็นจักรพรรดิ แต่ว่าการที่มีผู้เข้าแข่งที่ฝีมือเก่งกาจเยอะขนาดนี้มันก็ถือว่าเป็นเรื่องหายากจริงๆนั่นแหล่ะ”


 


เป็นทฤษฎีที่เห็นแก่ตัวชะมัด


 


ความไม่พอใจที่สั่งสมอยู่ในตัวฉันกำลังจะระเบิดออกมาแต่เนื่องจากการทำแบบนั้นมันไม่ได้ประโยชน์อะไรฉันก็เลยมุ่งหน้าไปที่ประตูโดยไม่พูดอะไรอีก


 


“อัล”


 


“อะไรอีกหล่ะ?”


 


“อย่าไปดุแม่หนูนั่นหล่ะ เข้าใจใช่ไหม?”


 


“….ท่านไม่จำเป็นต้องมาบอกข้าหรอกหน่า”


 


ฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะไปสั่งสอนเธอได้


 


ฉันพึมพำกับตัวเองในใจในขณะที่ปกปิดตัวเองด้วยเวทย์ลวงตาแล้วออกจากห้องไป


 



 


ห้องของลีโอ


 


แม้ว่าฉันกับลีโอจะไม่ได้อยู่ที่นี่, แต่มันก็ยังคงเป็นฐานปฏิบัติการของฟีเน่กับคนอื่นๆ


 


และด้วยเหตุนี้เองฉันจึงมายืนรอฟีเน่ที่นี่


 


บางทีพวกเขาน่าจะคุยกับผู้สนับสนุนของเราเสร็จแล้ว, ฟีเน่กับลินเฟียถึงได้กลับมาที่ห้อง


 


“!?ทะ, ท่านซิลเวอร์!?”


 


“ซิลเวอร์…..”


 


“ขอโทษนะ ท่านฟีเน่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านนิดหน่อย”


 


“ค, ค่ะ….”


 


ฉันหันไปมองลินเฟีย


 


แน่นอนว่า, ลินเฟียดูเหมือนจะอยากอยู่ฟังการสนทนาด้วยเหมือนกันแต่ฉันไม่สามารถอนุญาตได้


 


“ขอพวกเราคุยกันสองคนซักพักนึงได้ไหม? นักผจญภัยหญิง, ที่ข้าเคยเจอที่ดินแดนของดยุคไคลเนลต์”


 


“ข้ารู้สึกเป็นเกียรตินะคะที่ท่านจำข้าได้แต่ตอนนี้ข้าทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันของท่านหญิงผู้นี้อยู่”


 


“ข้าอยากจะคุยกับเธอตามลำพัง ขอเวลาซักพักนึงเถอะหน่า”


 


“…ข้าไม่ได้สงสัยในตัวท่านนะคะแต่จะให้ข้าพูดว่า ‘ได้ค่ะ, เชิญเลย’ แบบนั้นก็คงจะไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉะนั้นขอประทานโทษด้วย”


 


นิสัยที่ยอมหักไม่ยอมงอของลินเฟียนั้นพึ่งพาได้มากๆ


 


ฉันคงจะไม่กล้าฝากฟีเน่เอาไว้กับเธอถ้าเธอเป็นคนที่ยอมใจอ่อนง่ายๆ


 


แต่ตอนนี้เธอกำลังขัดขวางฉันอยู่


 


ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้, เซบาสก็เข้ามาช่วยฉัน


 


“ถ้างั้นเดี๋ยวข้าอยู่คุ้มกันท่านฟีเน่ให้เองครับ ไม่ต้องห่วง, ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก”


 


“….เข้าใจแล้วค่ะ”


 


“ถ้างั้น, ลินเฟีย เจ้าช่วยไปรอที่อีกห้องนึงก่อนได้ไหม?”


 


“….ถ้าท่านเซบาสว่าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาค่ะ”


 


ด้วยประการฉะนี้เอง, ในที่สุดลินเฟียก็ยอมออกไปจากห้อง


 


หลังจากยืนยันได้แล้วว่าลินเฟียออกไปแล้ว, เซบาสก็ย้ายไปยังห้องที่อยู่ติดกัน


 


ตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็ได้อยู่กันตามลำพัง


 


“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ แต่ในเมื่อท่านกลับมาที่นี่, ก็แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับทางโน้นใช่ไหมคะ?”


 


“ก็นะ, เรื่องใหญ่เลยแหล่ะ….แต่เอาไว้ค่อยเล่าคราวหลังละกัน”


 


“? คราวหลังหรอคะ ?”


 


ฟีเน่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


 


บางทีเธอคงจะคิดว่านอกจากเรื่องนั้นแล้วมันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้พูดอีก


 


ซึ่งมันเป็นเพราะเธอจัดลำดับความสำคัญของตัวเองเอาไว้ต่ำมากๆ


 


“….ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปพบกับตัวแทนของบริษัทอะจินมา”


 


“ใช่ค่ะ! การเจรจาผ่านไปได้อย่างราบลื่นเลยค่ะ! แถมคุณตัวแทนเองก็เป็นคนดีด้วย”


 


พอพูดจบ, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มออกมา


 


รอยยิ้มแบบนี้ของเธอนั้นถือว่าหาดูได้ยาก


 


แล้วมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ความรู้สึกทุกข์ใจของฉันชัดเจนขึ้นด้วย มันเหมือนกับว่าฉันกำลังมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก


 


ฉันไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำไป มันเป็นเรื่องจำเป็นและฉันก็จะทำแบบนี้อีกในอนาคตด้วย


 


แต่ฉันรู้สึกผิดที่ฉันทำให้คนรอบตัวฉันรู้สึกแบบนี้


 


“….นี่, ฟีเน่ ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรได้ยินจากข้า เจ้าอาจจะเกลียดข้าเพราะเรื่องนี้ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็ยังอยากจะบอกเรื่องนี้กับเจ้า”


 


“คะ?”


 


“ข้าอยากให้เจ้าดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อย”


 


มันเหมือนกับการโยนบูมเมอแรง ลีโอเคยพูดเรื่องแนวๆนี้กับฉันมากี่ครั้งแล้วนะ? แต่ว่าที่ฉันมาอยู่ในสถานะแบบนี้ก็เพราะฉันต้องการเอง และฉันก็ไม่ได้พยายามสุดโต่งและเสียสละตัวเองในสิ่งที่เหมือนกับฟีเน่ด้วย


 


แล้วฟีเน่จะตอบสนองยังไงกัน?


 


ฉันสามารถจินตนาการออกมาได้ง่ายๆเลย แต่ว่านี่คือสิ่งที่ฉันต้องพูดกับเธอ


 


ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่, ฉันก็พูดต่อ


 


“ฟีเน่การเห็นเจ้าให้ความสำคัญกับตัวเองต่ำแบบนี้มันทำให้ข้าไม่สบายใจนะ ข้ารู้ว่าเจ้าแค่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์แต่เจ้าไม่ต้องทุ่มเทหนักขนาดนั้นก็ได้”


 


“…ถ, ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ…..แต่ข้า….แต่ข้าอยากจะเป็นประโยชน์กับท่านอัลนี่คะ……”


 


ฟีเน่พูดงึมงำ, สีหน้าของเธอนั้นเหมือนกับกำลังจะร้องไห้


 


พอเห็นเธอเป็นแบบนี้, ความรู้สึกผิดก็เติบโตขึ้นในใจฉัน มันเป็นเพราะความไม่เอาใจใส่ของฉันเอง ฉันคิดว่าถ้าฉันไม่บ่นเธอหรือโมโหใส่เธอ, มันก็คงจะไม่เป็นอะไร


 


ฟีเน่ไม่เคยออกจากดินแดนของดยุคไคลเนลต์เลย การย้ายมาอยู่เมืองหลวงจะทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจมันก็แน่นอนอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น, เธอก็ยังอยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์จากใจจริง


 


สำหรับเรื่องนี้ฉันไม่ได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนเธอเลย ฉันเคยพาเธอออกไปเที่ยวข้างนอกกี่ครั้งกัน? ฉันเคยปล่อยให้เธอได้พักบ้างรึเปล่า?


 


ในหัวของฉันมีแต่ความคิดเรื่องสงครามผู้สืบทอด พูดตามตรง, แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนเลย


 


จากนั้นคำพูดของแม่ก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน


 


‘เจ้านี่ชอบหักโหมตลอดเลยนะ’ นี่คือสิ่งที่แม่ของฉันพูดในตอนที่ฉันแยกกับเธอที่ตำหนักใน


 


ในตอนนั้น, ฉันปล่อยผ่านไปเฉยๆโดยไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่บางทีฉันคงจะหักโหมอยู่ตลอดจริงๆ


 


ฉันไม่มีเวลาพัก, แต่ดูเหมือนว่าฉันควรจะต้องหาเวลาพักบ้างแล้วสินะ


 


ถ้าสถานการณ์ยังคงบิดเบี้ยวแบบนี้ต่อไป, ฉันอาจจะสูญเสียฟีเน่ไปก็ได้


 


“ฟีเน่….เจ้าเป็นคนสำคัญนะ”


 


ในขณะที่พูด, ฉันก็ถอดหน้ากากเงินออก


 


คนที่ฉันสามารถถอดหน้ากากต่อหน้าได้มีแค่เซบาสกับฟีเน่เท่านั้น


 


เนื่องจากเซบาสรู้มาตั้งแต่แรกแล้วดังนั้นคนๆเดียวที่บังเอิญรู้ตัวตนของฉันจึงมีแค่ฟีเน่


 


“ท่านอัล……”


 


“คนที่ข้าสามารถแสดงทั้งสองตัวตนให้ดูได้แบบนี้มีแค่เซบาสกับเจ้าเท่านั้น เซบาสเป็นคนคอยดูแลข้า, เขาเหมือนกับพ่อของข้า เพราะฉะนั้น…คนๆแรกที่ข้าสามารถแสดงตัวตนแบบนี้ให้ดูได้ก็คือเจ้า ในตอนที่เจ้ารู้ความลับของข้า, เจ้าก็ไม่ใช่แค่คนอื่นสำหรับข้าแล้ว ถ้าลีโอเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของข้า, เจ้าก็คือหุ้นส่วนเพียงคนเดียวข้องข้า ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นได้ ขอแค่เจ้าอยู่ข้างๆข้าก็พอแล้ว การมีคนที่สามารถแบ่งปันความลับได้แบบนี้, เจ้ารู้ไหมว่ามันช่วยให้ข้ารู้สึกโล่งใจขึ้นขนาดไหน…..”


 


ใช่ มันรู้สึกโล่งใจขึ้นจริงๆ


 


ฉันอาจจะประคบประหงมเธอเกินไปก็ได้


 


แต่พอตระหนักถึงจุดนี้มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดมากขึ้น


 


“ข, ข้า……ข้าไม่ใช่คนที่พิเศษอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ…..ข้าไม่ได้เก่งเหมือนท่านอัลหรือท่านลีโอ…..ต, แต่ในเมื่อข้ารู้ความลับของท่านอัลแล้ว…..ข้าก็ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์กับท่านค่ะ……”


 


“อา, ช่วยได้ตลอดเลยหล่ะ ขอบใจนะ แล้วก็ขอโทษด้วย, ข้าควรจะบอกเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้”


 


สิ่งที่ฉันต้องการก็คือความสุขในฐานะมนุษย์


 


แต่ถึงอย่างนั้น, ฉันก็ไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับฟีเน่ เพราะขืนพูดไปฟีเน่ก็คงจะกังวลหนักกว่าเดิมอีก แค่ความจริงที่ว่าเธอรู้ความลับของฉันก็กดดันฟีเน่มากเกินพอแล้ว


 


แค่เท่านี้เธอก็ให้ความสำคัญกับตัวเองน้อยลงจนไม่รู้จะน้อยยังไงแล้ว  สำหรับเธอผลประโยชน์ของขุมอำนาจของพวกเราคือความสำคัญอันดับหนึ่ง


 


เธอคงคิดว่ามันจะทำให้ฉันมีความสุขแน่ๆ


 


ถึงจะเป็นเรื่องของตัวเองก็เถอะ, แต่นี่มันน่าสมเพชชะมัด ฉันเกลียดนิสัยส่วนนี้ของตัวเองจริงๆ


 


พอได้ฟังคำพูดของฉัน, น้ำตาก็หลั่งไหลออกมาจากดวงตาของฟีเน่ มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น, ฟีเน่เอาสองมือปิดหน้าเอาไว้แล้วเริ่มร้องไห้ออกมาจริงจัง


 


ฟีเน่ยังเป็นแค่เด็กสาวอายุ 16 ต่อให้มันเป็นความตั้งใจของเธอเอง, แต่ฉันก็ยังพาเธอออกมาจากบ้านแล้วลากเธอให้มาข้องเกี่ยวกับสงครามผู้สืบทอดที่ผู้คนไม่ลังเลที่จะฆ่ากันเอง


 


ฉันมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลสภาพจิตใจของเธอ


 


“ยกโทษให้ข้าด้วยนะ ที่ไม่ได้นึกถึงใจเจ้าบ้างเลย”


 


“ฮือ, ฮือ! มะ….มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ….มะ มัน…ไม่ใช่ความผิด…..ของท่านอัลซักหน่อย….”


 


“ถ้างั้นก็ถือเป็นความผิดของเราทั้งคู่แล้วกัน มาพยายามเรียนรู้ไปด้วยกันเถอะ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็ลูบผมของฟีเน่อย่างอ่อนโยน


 


ฟีเน่เป็นหุ้นส่วนเพียงคนเดียวของฉัน


 


พวกเราควรจะเรียนรู้ความผิดพลาดและมีความสุขไปด้วยกัน


 


ฉันลูบผมของเธอไปเรื่อยๆจนเธอใจเย็นลง


 


จากนั้น


 


“….ต…ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วค่ะ….”


 


“งั้นหรอ?”


 


“ค่ะ….ข้าโอเคดีแล้ว”


 


พอพูดจบ, ฟีเน่ก็มองตรงมาที่ฉันด้วยดวงตาที่แดงก่ำ


 


สายตาของเธอทั้งแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ ฉันรู้สึกได้ถึงความตั้งใจที่ไม่สั่นคลอนจากมัน


 


“บอกข้ามาเถอะค่ะ….เกิดอะไรขึ้นทางใต้หรอคะ ข้าจะช่วยท่านเอง”


 


“อา, รบกวนหน่อยนะ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็เริ่มอธิบายสถานการณ์ทางใต้กับเธอโดยไม่ปกปิดอะไรไว้เลย


 


ความจริงที่ว่ามังกรทะเลจะเคลื่อนไหวในเร็วๆนี้ ความจริงที่ว่ามีคนในจักรวรรดิพยายามจะหาผลประโยชน์จากสถานการณ์นี้ และความจริงที่ว่าต้องหยุดพวกเขาให้ได้


 


“ก็ประมาณนี้แหล่ะ มีแค่คนเดียวที่วางแผนจะเคลื่อนไหวกองทัพเพื่อแซกแทรงสถานการ์ณทางใต้ ถ้าเขาล้มเหลวก็คงไม่เป็นอะไรหรอกแต่พวกทหารที่ต้องเสียสละในระหว่างนั้นคงจะน่าสงสารแย่ ข้าคิดว่าการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดจากฝั่งนี้ก็คือลดสเกลการแทรกแซงของจักรวรรดิให้น้อยลงที่สุดและเอาชนะมังกรทะเลให้ได้ด้วยตัวพวกเราเอง”


 


“ค่ะ, ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แล้วก็…ข้ามีแผนอยู่….มีวิธีนึงที่จะลดการแทรกแซงของจักรวรรดิให้น้อยที่สุดและช่วยเหลือทางใต้ค่ะ”


 


“บังเอิญจังเลยนะ ข้าเองก็มีแผนเหมือนกัน ปัญหาก็คือว่าพวกเราจะโน้มน้าวคนที่เป็นกุญแจสำคัญได้รึเปล่า แต่ว่าข้าไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้ ขอฝากเจ้าทำได้ไหม?”


 


“ไว้ใจได้เลยค่ะ ข้าจะลองโน้มน้าวให้เอง”


 


ด้วยการตอบรับคำขอของฉัน, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมาและโค้งคำนับอย่างสง่างาม

 

 

 


ตอนที่ 44

 

หลังจากที่ฉันคุยกับฟีเน่เสร็จ, ฉันก็ให้ลินเฟียเข้ามาฟังด้วย


 


ลินเฟียสังเกตเห็นดวงตาที่ค่อนข้างแดงของฟีเน่แล้วหันมาจ้องฉันตาเขม็ง


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


“มีมังกรทะเลปรากฎตัวขึ้นทางใต้ ถ้าข้าบอกไปแบบนี้, เจ้าคงพอจะนึกออกใช่ไหมว่าสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน?”


 


“ม, มังกรทะเลหรอ!?”


 


“ท่านซิลเวอร์คงสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่ต้องมีคำขอจากกิลด์สินะคะ…..”


 


“สถานการณ์มันแตกต่างจากตอนที่ข้าเอาชนะแวมไพร์ทางตะวันออก ประเทศทางใต้ทั้งสองประเทศเริ่มก่อตั้งพันธมิตรกันแล้ว ด้วยสถานการ์เช่นนี้, ถ้าข้าเข้าไปแทรกแซงในฐานะบุคคล, มันก็จะทำให้พวกเขาสับสนยิ่งกว่าเดิม และตั้งแต่แรกแล้ว, แม้ว่ามันจะอยู่คลาส S เหมือนกับพวกแวมไพร์สองคนนั่น, แต่มังกรทะเลจัดการยากกว่าพวกนั้นมาก ถ้าข้าต้องเอาชนะมันจริงๆ, ข้าก็อยากได้กำลังเสริมเหมือนกัน”


 


“เรื่องปกติเมื่อมีคู่ต่อสู้เป็นมังกรสินะคะ”


 


ลินเฟียเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ในทันที


 


สมกับเป็นเพื่อนนักผจญภัยหล่ะนะ เอาเถอะ, มังกรมันก็เป็นตัวอันตรายในระดับที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้อยู่แล้วแม้ว่าจะไม่ใช่นักผจญภัยก็ตาม


 


“แล้วเป้าหมายในการมาที่นี่ของท่านคืออะไรคะ?”


 


“ผู้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ทางใต้ ถ้าเธอสามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้แค่มีเธอกับข้าก็น่าจะพอแล้ว เพราะงั้นข้าถึงอยากให้จักรพรรดิส่งตัวแทนออกไป”


 


“ข้อจำกัดเรื่องที่ตระกูลแอมส์เบอร์กไม่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์นอกอาณาจักรได้ นี่ท่านไปเอาข้อมูลนี้มาจากไหนกัน? แม้แต่ข้าเองก็พึ่งมารู้ตอนที่องค์ชายบอกข้าเนี่ยแหล่ะ”


 


“พอกลายเป็นนักผจญภัยแรงค์ SS แล้ว, เจ้าจะได้รู้ในเรื่องที่นักผจญภัยทั่วไปไม่สามารถรู้ได้อีกมากมาย พอใจกับคำอธิบายไหม?”


 


“รวมทั้งความลับของจักรวรรดิด้วยหรอ?”


 


“ข้อจำกัดของดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ความลับของจักรวรรดิซักหน่อย จักรวรรดิไม่ได้ปกปิดเรื่องนี้เลย, มันก็แค่ข้อมูลไม่ได้แพร่หลายเท่านั้นเอง ถึงยังไงมันก็มีอยู่ไม่กี่วิธีที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้”


 


“…..นั่นสินะคะ เข้าใจแล้วค่ะ”


 


ลินเฟียยังคงมองฉันอย่างสงสัยแต่เธอก็เลิกกดดันฉันในเรื่องนี้


 


บางทีเธอน่าจะคิดว่าถึงจะพยายามสอบปากคำฉันในตอนนี้มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร


 


แทนที่จะมาสอบสวนว่าฉันเอาข้อมูลมาจากไหน, สู้รีบหาทางคลี่คลายสถานการณ์ทางใต้ให้จบเร็วๆยังจะดีกว่า


 


“ในเมื่อท่านอุตส่าห์ดั้งด้นมาถึงที่นี่, ก็แสดงว่าต้องมีเรื่องบางอย่างอยากจะขอกับท่านฟีเน่สินะคะ? แต่มันจะไม่เป็นไรจริงๆหรอคะถ้าพวกระดับสูงของจักรวรรดิเข้าแทรกแซงปัญหาทางใต้แบบนี้?”


 


“เดาเก่งดีนี่ ใช่, ตามนั้นแหล่ะ แต่ว่าดูเหมือนความลับภายในของกิลด์จะรั่วไหลไปถึงจักรวรรดิด้วยวิธีการบางอย่างดังนั้นตอนนี้กิลด์เองก็กำลังระวังการแทรกแซงของจักรวรรดิอยู่ กิลด์ไม่ได้มีความตั้งใจจะปล่อยให้จักรวรรดิเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แต่อย่างน้อยข้าก็อยากให้พวกเขาอนุญาตให้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็นะ, ถ้าขืนสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปบางทีจักรวรรดิน่าจะส่งหนึ่งในราชวงศ์ตามไปกับกองทัพเพื่อเข้าแทรกแซงก็ได้ แต่ว่ากองทัพนั้นไม่จำเป็นเลย ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากให้พวกเขาถอนกำลังกลับไปซะ”


 


“ที่มาที่นี่ก็เพื่อขอให้ท่านฟีเน่ทำเรื่องแบบนั้นหรอคะ? นี่ท่านตั้งใจจะใช้งานพวกเราแบบไหนกัน?”


 


“ตอนนี้ผู้เข้าแข่งศึกชิงบัลลังก์ทั้งสามคนน่าจะกำลังเสนอชื่อของตัวเองอยู่ ซึ่งคนที่น่าจะถูกส่งออกไปมากที่สุดในตอนนี้ก็คือกอร์ดอนที่เป็นนายพลอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น, อีกสองคนเองก็เคลื่อนไหวกองทัพได้เหมือนกัน ซึ่งข้าอยากจะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นั้น สิ่งที่ข้าอยากให้เกิดขึ้นที่นี่ก็คือจักรวรรดิยอมอนุญาตให้ปลดปล่อยดาบศักดิ์สิทธิ์และส่งสมาชิกของราชวงศ์ไปเป็นตัวแทนพร้อมกับผู้คุ้มกันระดับสูงจำนวนนึงเพื่อส่งคำอนุญาตนี้ ถ้าสถานการณ์เป็นไปตามนั้นข้าก็จะสามารถพาพวกเขาไปได้ด้วยเวทย์เคลื่อนย้าย มีแค่ตัวหลักที่สำคัญระดับนั้นเท่านั้นที่จะคลี่คลายปัญหาในครั้งนี้ได้”


 


“หรือถ้าให้พูดก็คือ, ท่านอยากให้ท่านฟีเน่ไปโน้มน้าวราชวงศ์คนอื่นนอกเหนือจากผู้เข้าแข่งสามคนนั้นสินะคะ?”


 


สมกับเป็นลินเฟีย


 


การที่เธอทำความเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขนาดนี้ถือว่าช่าวยได้มากจริงๆ


 


พอฉันพยักหน้า, ลินเฟียก็ดูเหมือนจะยินยอมทำตาม


 


คำถามก็คือว่าพวกเราควรเข้าหาใครดี


 


“สามคนนั้นที่เข้าร่วมในสงครามผู้สืบทอดอย่างจริงจังคงไม่มีวันฟังข้อเสนอของข้าแน่ ถึงยังไงพวกเขาทุกคนก็คงอยากได้เครดิตในตอนที่ผู้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์คลี่คลายสถานการณ์ได้ และเอาจริงๆพวกเขาน่าจะอยากยกกองทัพไปด้วยตัวเองมากกว่า เพราะต่อให้ผู้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์จะทำสำเร็จ, ถึงยังไงสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถอ้างได้อยู่ดีว่าเป็นความสำเร็จของตัวเองจริงๆ และด้วยเหตุนี้หล่ะ, ข้าก็เลยอยากให้เป็นเจ้าชายที่ไม่ได้เข้าร่วมในสงครามผู้สืบทอดถึงขนาดนั้น”


 


อย่างไรก็ตาม, มีเจ้าชายแบบนั้นอยู่ไม่กี่คน


 


เพราะหลายๆคนมีความสัมพันธ์กับเอริค, กอร์ดอน, หรือซานดร้าผ่านแม่ของพวกเขา


 


แต่ว่าในบรรดาเจ้าชายทั้งหลายนั้น, มีอยู่คนนึงที่เหมาะกับข้อต้องการนี้


 


“ถ้างั้น, เจ้าชายลำดับสี่ก็คงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดใช่ไหมคะ?”


 


“ใช่แล้วหล่ะ”


 


เธอหาคำตอบได้ในทันที


 


บางทีเธอน่าจะศึกษาสถานการณ์ของสงครามผู้สืบทอดมาแล้วสินะ


 


เธอขยันจริงๆ


 


แม่ของเจ้าชายลำดับสี่คือองค์ราชินี หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, เขามีแม่คนเดียวกับมงกุฎราชกุมาร และด้วยเหตุนี้เอง, เขาจึงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทะเลาะกันของตำหนักใน


 


และตัวเขานั้นก็สนใจแค่การเขียนหนังสือของตัวเอง, เขาไม่ได้สนใจบัลลังก์เลย


 


พูดแบบนี้อาจจะดูไม่ดีเท่าไหร่แต่แค่ขอให้ทำงานง่ายๆอย่างการส่งดาบศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่แสดงท่าทีคัดค้านหรอกมั้ง


 


คำถามก็คือว่าเขาจะยอมออกนอกจักรวรรดิรึเปล่า, ไม่ต้องพูดถึงสถานที่ที่มีมังกรทะเลก่อความวุ่นวายอยู่เลย


 


ตรงส่วนนี้คงต้องพึ่งการโน้มน้าวของฟีเน่หล่ะนะ


 


“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะค่ะ”


 


ฟีเน่พูด


 


สายตาของเธอจริงจัง


 


ตอนนี้, ถึงเวลาต่อรองแล้ว


 



 


“ไม่เอาด้วยหรอก”


 


การปฏิเสธที่รวดเร็วมาจากชายที่มีรูปร่างใหญ่โต


 


ถ้าให้พูด, ร่างกายของเขานั้นไม่ได้ดูกำยำแข็งแรงเหมือนกับกอร์ดอน ก็นะ, ขนาดร่างกายของเขาใกล้เคียงกับกอร์ดอนก็จริงแต่ตรงส่วนท้องของเขาใหญ่กว่ามาก


 


เขาคือชายที่ตัวใหญ่ที่สุดและอ้วนที่สุดในราชวงศ์


 


ร่างกายของเขานั้นทั้งใหญ่และอ้วนกลม


 


นี่คือเจ้าชายลำดับสี่, เทราก็อตต์ เลคส์ แอดเลอร์


 


ดวงตาสีน้ำเงิน, ผมสีน้ำตาลและสวมแว่นที่ดูน่าเกลียด


 


คนที่โดนดูถูกมากที่สุดในราชวงศ์อาจจะเป็นฉันก็จริงแต่คนที่เป็นตัวตลกของราชวงศ์น่าจะเหมาะกับเขามากกว่า และด้วยความที่ว่าพี่ชายคนโตของเรามีหน้าตาหล่อเหลาขนาดนั้น, ทุกคนก็เลยพากันสงสัยว่าเขาเกิดมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง


 


“แต่ว่า, องค์ชายคะ”


 


“ต่อให้เป็นคำขอร้องจากคุณฟีเน่, สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี, และตอนนี้ข้าก็กำลังสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงใกล้เสร็จแล้วด้วย”


 


พอพูดจบท่านพี่เทราก็แสดงสิ่งที่เขาเขียนอยู่ให้เราด้วย


 


ด้วยการรับสิ่งนั้นมาอย่างสุภาพ, ฟีเน่ก็อ่านดูคร่าวๆแล้วปิดหนังสือในทันที ใช่แล้ว มันน่าอายก็จริงแต่ท่านพี่เทราไม่มีพรสวรรค์เลย เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องนี้, พรสวรรค์ในด้านขี่ม้ากับการใช้ดาบของเขายังมีมากกว่า อย่างน้อยที่สุดประสาทสั่งการของเขาก็ยังดีกว่าฉัน ฉันสงสัยจังเลยนะว่าทำไม…..


 


พี่เทราหันมามองฉันที่เงียบอยู่


 


“บางทีคงเป็นคุณซิลเวอร์ที่เคยได้ยินจากข่าวลือใช่ไหม?”


 


“ใช่ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”


 


“คำขอในครั้งนี้ก็คงมาจากคุณซิลเวอร์หล่ะสิ, ข้าเดาถูกไหม?”


 


“ส่วนใหญ่ก็ใช่ครับ ในสถานการณ์ที่มีมังกรทะเลปรากฎตัวขึ้นทางใต้นั้น, มันจะเป็นปัญหาเอาได้ถ้าจักรวรรดิส่งกองทัพไปด้วย ถ้าเป็นท่าน, ท่านสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนของจักรพรรดิในการส่งดาบศักดิ์สิทธิ์และมุ่งหน้าลงใต้ด้วยผู้คุ้มกันระดับสูงจำนวนนึง”


 


“ข้าเข้าใจความต้องการแล้วแหล่ะ แต่ตอนนี้, ข้ากำลังสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงอยู่เพราะฉะนั้นข้าขออนุญาตปฏิเสธนะ”


 


ภายนอกท่านพี่เทราอาจจะดูเหมือนคนหัวไม่ดีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้างในของเขาจะเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาเป็นถึงน้องชายแท้ๆของพี่ชายคนโตของพวกเรา ดังนั้นเขาไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก


 


หลังจากมองความต้องการของฉันออกอย่างทะลุปรุโปร่ง, เขาก็ใช้เหตุผลโง่ๆนั่นในการบอกปัดฉัน


 


ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันนะ……


 


“องค์ชาย! ข้าขอร้องหล่ะค่ะช่วยทำหน้าที่นี้เพื่อผู้คนทางใต้และเหล่าทหารเรือของพวกเราเถอะนะคะ!”


 


“ข้าก็อยากจะทำตามคำขอของคุณฟีเน่นะแต่ข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์และผู้คนทางใต้ก็ไม่ใช่ประชาชนของข้า ข้าไม่มีภาระผูกพันที่ต้องไปทำอะไรให้พวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น, พวกทหารเองก็เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของพวกเขาถูกไหม? มันคงไม่จบง่ายๆหรอกนะถ้าคุณไปห้ามไม่ให้พวกเขาทำแบบนั้นแค่เพียงเพราะมันอันตราย”


 


เป็นคำตอบที่ทั้งเรียบง่ายและตรงประเด็น


 


ฉันสงสัยจังว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถเขียนเรื่องแบบนี้ได้ในหนังสือของเขา


 


“แบบนั้นมัน…..”


 


“ช่วยยอมรับมันเถอะนะ ถึงยังไงข้าก็ไม่มีความคิดที่จะเคลื่อนไหวอยู่แล้ว”


 


“….แล้วท่านจะทำยังไงกับน้องชายของท่านที่อยู่ทางใต้หล่ะคะ?”


 


ฟีเน่ยังไม่ยอมอ่อนข้อง่ายๆ


 


พอรู้ว่าเขาจะไม่เคลื่อนไหวเพื่อประชาชนหรือทหาร, เธอก็หยิบยกฉันกับลีโอขึ้นมาพูด


 


ครั้งนี้มีการตอบสนองที่มากขึ้นจากท่านพี่เทรา


 


“เล่นจี้กันตรงจุดเลยนะเนี่ย แต่ว่าอาร์โนลด์กับลีโอนาร์ดก็โตๆกันแล้ว พวกเขาคงหาทางจัดการได้ด้วยตัวเองแหล่ะ”


 


“แล้วถ้าเป็นคนที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่หล่ะคะ? ถ้าท่านปฏิเสธ, ข้าก็คงไม่มีทางเรื่องนอกจากนำคำขอแบบเดียวกันนี้ไปขอกับคนที่ท่านต้องปกป้อง”


 


ฟีเน่น่าจะกำลังพูดถึงคริสต้ากับน้องชายคนเล็กสุดของฉัน


 


เธอกำลังจะบอกว่าถ้าเขาปฏิเสธตรงนี้เธอก็จะต้องดึงให้หนึ่งในพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย


 


พอได้ฟังแบบนี้ท่านพี่เทราก็จ้องฟีเน่ตาเขม็ง


 


“นี่เจ้ากำลังเอาน้องชายกับน้องสาวของข้ามาขู่หรอ?”


 


“ถ้าท่านมองแบบนั้นข้าก็ไม่ถือค่ะ”


 


“….น้องชายคนเล็กสุดของข้าหน่ะช่างเถอะ, แต่คริสต้าเป็นสมบัติของราชวงศ์ ข้าจะไม่ยอมให้ใครส่งเด็กสาวผมบลอนด์สุดน่ารักคนนั้นไปเจออันตรายหรอก ถ้ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น, มนุษย์ชาติทุกคนก็คงจะถูกสาปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”


 


“ห, หรอคะ….”


 


นี่มันก็เวอร์ไปหน่อยนะ, เขาพูดเรื่องบ้าๆออกมาอีกแล้ว


 


ยิงไปกว่านั้น, เขาไม่ได้สนใจน้องชายคนเล็กสุดเลยหรอ? รู้รึเปล่าว่าเขายังมีอายุแค่ 13 เองนะ?”


 


ฉันเกือบจะถอนหายใจออกมาแต่ฉันสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้


 


“แต่เรื่องที่ข้ากำลังสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงอยู่มันก็เป็นความจริงเหมือนกัน…..นี่มันชักเป็นปัญหาแล้วสิ”


 


“ถ้าท่านกังวลเรื่องผลงานชิ้นโบว์แดงของท่านมันก็ยิ่งเป็นเหตุผลที่ท่านต้องเคลื่อนไหวค่ะ! ตั้งแต่อดีตแล้ว, นักเขียนเก่งๆทุกคนล้วนแบ่งปันประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา! การที่ท่านสามารถช่วยน้องสาวของตัวเองได้และได้รับประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นในเวลาเดียวกันมันก็ถือเป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่หรอคะ!? ยิ่งไปกว่านั้น ,ถ้าองค์ชายช่วยทางใต้ได้สำเร็จชื่อเสียงของท่านก็จะดึงดูดผู้คนมาติดตามอ่านผลงานของท่านอย่างแน่นอน แบบนี้มันน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าการทำผลงานชิ้นโบว์แดงของท่านให้เสร็จไม่ใช่หรอคะ!?”


 


เพื่อกดดันด้วยคำตอบในแง่บวก, ฟีเน่ก็สาธยายสิ่งต่างๆที่จะเป็นประโยชน์กับเขา


 


พอได้ฟังแบบนี้, ท่านพี่เทราก็ไขว้เขวเล็กน้อย


 


และแล้ว


 


“ขอข้าถามคำถามนึงได้ไหม? คุณฟีเน่”


 


“ค่ะ”


 


“ทำไมคุณฟีเน่ถึงยอมลงทุนทำถึงขนาดนี้? เพื่อสงครามผู้สืบทอดหรอ? หรือว่ามีเหตุผลอื่น?”


 


“ข้าจะมีเหตุผลอะไรอีกหล่ะคะนอกจากช่วยเหลือผู้คนที่สำคัญกับข้า?”


 


นี่คือคำตอบที่ซื่อตรง


 


หลังจากได้ยินแบบนี้, ท่านพี่เทราก็ประหลาดใจเล็กน้อยแล้วพยักหน้าให้เธอหนึ่งครั้ง


 


“วิเศษ, วิเศษมาก ก็ได้ สำหรับคำตอบที่ซื่อตรงและสวยงามนี้ ถ้าข้าไม่เคลื่อนไหว, ข้า, เทราก็อตต์, ก็คงจะเป็นที่น่าอับอายในฐานะชายรสนิยมดีแล้ว ข้ายอมรับคำขอนี้ เจ้าจะมองว่าเป็นรางวัลจากข้าก็ได้นะ”


 


พอพูดจบ, ท่านพี่เทราก็ลุกขึ้นแล้วสวมแว่น


 


ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ดูเหมือนว่าบางสิ่งที่อยู่ในใจของท่านพี่เทราจะหวั่นไหว


 


และแล้ว, ด้วยการโน้มน้าวของฟีเน่, พวกเราก็ได้ชายที่เป็นกุญแจสำคัญมาแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 45

 

“ท่านพ่อ! เทราก็อตต์มีเรื่องอยากจะขอท่านครับ! ได้โปรด!”


 


“ไร้มารยาทที่สุด! เจ้าจะโผล่โพล่งเข้ามาในระหว่างการประชุมแบบนี้ไม่ได้! และเจ้าก็เสียงดังเกินไปแล้ว!”


 


“เหวออ!!?? ขะ, ข้าขอโทษด้วยครับ!!”


 


“เห้อ….”


 


ท่านพี่เทราที่เปิดประตูห้องบัลลังก์ด้วยเสียงดังสนั่นถูกพ่อตะหวาด ในตอนที่เขาถูกตะหวาดแบบนั้นอย่างกระทันหัน, เขาก็กลับออกไปข้างนอกในทันที


 


 


มันค่อนข้างน่ากลัวจริงๆ


 


“แฮ่ก…แฮ่ก……ข้าเข้าไปลุยซะเต็มที่เลยหล่ะ…..”


 


“ไม่เป็นไรครับ, ทำได้เท่านี้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว….”


 


ว่าแล้วเชียว, คนๆนี้ไม่มีพรสวรรค์เลยจริงๆ


 


ไอ้คำว่า ‘ลุย’ นี่อธิบายสถานการณ์เมื่อสักครู่นี้ยังไงกัน? เห็นได้ชัดเลยว่าคนที่โดนลุยหน่ะมันท่านพี่เทราไม่ใช่หรอ?


 


ฟีเน่เองก็ยิ้มแหยๆ


 


ให้ตายเถอะ….เขาเป็นลูกขององค์ราชินีและหัวของเขาก็ไม่ได้แย่ ถ้าเขาไม่ได้มีนิสัยแบบนี้ฉันคงไม่ประหลาดใจเลยถ้าเขาเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดอย่างจริงจัง


 


ด้วยความเหนื่อยใจ, ฉันก็เปิดประตูห้องบัลลังก์อย่างเงียบๆ


 


แน่นอนว่ามีคนคุ้มกันประตูอยู่ด้วยแต่ไม่มีใครพยายามจะหยุดฉันเลย เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของฉัน, ในเมืองหลวงของจักรวรรดินี้คงไม่มีใครไม่รู้หรอกว่านี่คือซิลเวอร์


 


“ขออนุญาตครับ องค์จักรพรรดิ”


 


“หืม….ดูเหมือนจะมีแขกที่คาดไม่ถึงมาหานะเนี่ย”


 


“ข้า, ซิลเวอร์มาที่นี่เพื่อขอเข้าพบองค์จักรพรรดิ”


 


“เข้าพบอะไรกัน ถ้าเจ้าเดินผ่านประตูปราสาทมาอย่างถูกต้องข้าก็น่าจะได้รับรายงานอะไรมาบ้างไม่ใช่หรอ?”


 


“พอดีว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน, ข้าเลยต้องเข้ามาในปราสาทอย่างเสียมารยาท”


 


“ปราสาทแห่งนี้คือศูนย์กลางของจักรวรรดิ ถ้ามีคนย่างกรายเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต, การจะถูกตัดสินโทษประหารก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเจ้ารู้รึเปล่า? นี่ไม่ใช่แค่การเสียมารยาทนะ เจ้ามาที่นี่เพื่อฆ่าข้ารึเปล่า? หรือเจ้ากำลังบอกเป็นนัยๆว่าเจ้าสามารถลอบสังหารข้าได้ทุกเมื่อที่ต้องการ?”


 


“ความระวังของท่านนั้นไม่จำเป็นเลย ถ้าท่านเป็นผู้ปกครองที่เบาปัญญา, ข้าคงไม่สามารถเข้ามาในปราสาทในลักษณะนี้ได้หรอก ผู้ปกครองที่ชาญฉลาดอย่างองค์จักรพรรดินั้นรู้วิธีจัดการกับข้าดีอยู่แล้ว, และท่านก็ต้องมีสิ่งที่ช่วยรับประกันว่าการลอบสังหารท่านนั้นมันเป็นไปไม่ได้ด้วย นี่คือเหตุผลที่ถึงแม้มันจะไร้มารยาท, แต่ข้าก็เลือกที่จะขอเข้าพบท่านอย่างไม่เป็นทางการเช่นนี้ โปรดอภัยให้ข้าสำหรับเรื่องนี้ด้วย”


 


ชั้นบนของปราสาทดาบหลวง พูดอีกนัยนึงก็คือ, ที่พักอาศัยของจักรพรรดินั้นมีบาเรียที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกันอยู่ซึ่งทำให้เวทย์เคลื่อนย้ายไม่สามารถใช้ได้


 


เมื่อผนวกกับอัศวินหลวงที่คอยคุ้มกันพื้นที่อยู่, ใครก็ตามที่วางแผนจะเข้ามาลอบสังหารในพื้นที่แห่งนี้ก็น่าจะไปให้หมอตรวจสมองซักหน่อยแล้ว


 


ถ้าฉันลองทำดูจริงๆ, ฉันจะสามารถทำได้รึเปล่านะ? ถึงจะพูดอย่างนั้น, แต่ในปราสาทแห่งนี้มีลูกเล่นต่างๆมากมายที่แม้แต่ฉันเองก็ไม่รู้ มันต้องมีเส้นทางหนีสำหรับกรณีที่มีคนลอบสังหารเก่งๆด้วย ถ้าฉันพลาดโอกาสนั้นแล้วปล่อยให้เขาหนีไปได้, ฉันเนี่ยแหล่ะที่จะกลายเป็นคนที่จะถูกไล่ล่าจนสุดขอบโลก


 


ฉันไม่มีความคิดที่จะทำเรื่องโง่ๆแบบนั้น


 


“ถ้าไม่ว่ายังไงก็ยกโทษให้ข้าสำหรับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆก็ได้โปรดยอมยกความผิดให้ข้าด้วยหนี้ที่ท่านเคยพูดเอาไว้ในตอนที่ข้าช่วยชีวิตของท่านเมื่อครั้งก่อน”


 


“หึ, ก็ได้ ที่เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อพูดเรื่องสถานการณ์ทางใต้สินะ?”


 


“ครับ ความลับของกิลด์ได้รั่วไหลมาถึงจักรวรรดิด้วย ‘สาเหตุบางอย่าง’ ทางกิลด์หวังว่าทางฝั่งจักรวรรดิจะไม่ทำเรื่องที่ไม่จำเป็นกับมัน


 


ในตอนที่ฉันใช้คำว่า ‘สาเหตุบางอย่าง’, ท่านพ่อก็ยิ้มเยาะ


 


แบบนี้ก็แสดงว่าเขารู้สินะ ตอนนี้, เอริค, กอร์ดอน, กับซานดร้าได้มาอยู่ต่อหน้าท่านพ่อ หนึ่งในสามคนนี้ต้องเอาข้อมูลมารายงานเขาแน่ๆ


 


“ใช้คำว่าเรื่องไม่จำเป็นนี่มันค่อนข้างแรงนะ ที่พวกเราพยายามจะช่วยทางใต้มันไม่ได้รึไง?”


 


“ข้าไม่ได้ใส่ใจตรงจุดนั้น ข้าไม่รู้ว่ากิลด์จะว่ายังไงกับเรื่องนี้แต่ถ้าท่านทำในสิ่งที่ถูกต้อง, ท่านจะสามารถช่วยผู้คนได้มากมายอย่างแน่นอน สิ่งที่ข้ากังวลก็คือว่าท่านจะเลือกทำการตัดสินใจผิดรึเปล่า”


 


“สมกับที่เป็นนักผจญภัยแรงค์ SS เจ้านี่อวดดีใช้ได้เลยนะ เจ้าเป็นใครกันถึงกล้ามาตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิดสำหรับจักรวรรดิ?”


 


“สิ่งที่ตัดสินเรื่องนั้นไม่ใช่ข้าแต่เป็นผลลัพธ์ต่างหาก มันเป็นทางเลือกที่ผิดรึเปล่านั้นแค่มองดูก็ชัดเจนแล้ว”


 


ฉันจ้องตรงไปที่ท่านพ่ออยู่พักนึง


 


มันอาจจะดูลบหลู่แต่มันก็ยังยอมรับได้เพราะฉันเป็นนักผจญภัยแรงค์ SS ตัวตนของฉันสามารถช่วยเหลือจักรวรรดิให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามมอนส์เตอร์ต่างๆได้ ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นทางใต้ ณ ตอนนี้มาเกิดขึ้นข้างในจักรวรรดิ, ผู้คนก็คงไม่ได้ตื่นตระหนกซะเดี๋ยวนั้นเพราะมีตัวตนของฉันอยู่


 


นี่คือสาเหตุที่ทำไมการลบหลู่อย่างการจ้องเขาตรงๆแบบนี้ถึงยอมรับได้ เอาเถอะ, มันก็เพราะนิสัยของท่านพ่อด้วยหล่ะ, เขาคงไม่ลงโทษคนอื่นแค่เพียงเพราะทำตัวไม่เคารพตั้งแต่แรกหรอก


 


“ถ้างั้นข้าขอฟังหน่อยสิ อะไรคือสิ่งที่ถูกและอะไรคือสิ่งที่ผิดอย่างที่เจ้าว่า?”


 


“ข้าไม่ได้มีหน้าที่อธิบาย ข้าทำตัวเหมือนผู้ส่งสารมามากพอแล้ว จากนี้ไป, มันเป็นหน้าที่ของทั้งสองคนที่อยู่ข้างหลังข้า”


 


พอพูดจบฉันก็ก้าวถอยออกไป


 


จากนั้นท่านพี่เทรากับฟีเน่ก็ก้าวขึ้นมาอยู่ข้างหน้าท่านพ่อแทนที่ฉัน


 


ด้วยความที่รู้จักกับฟีเน่, สีหน้าของท่านพ่อจึงอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย


 


“เจ้าดูสบายดีนะ ฟีเน่”


 


“ค่ะ, ฝ่าบาท โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่มาขอเข้าพบพระองค์ด้วยวิธีแบบนี้”


 


“ไม่เป็นไร ถ้าเป็นเจ้าข้าอนุญาตให้มาหาได้ตามที่ต้องการอยู่แล้ว”


 


เขาดูเหมือนกับพ่อที่ลูกสาวสุดที่รักพึ่งมาเยี่ยม


 


แต่ไม่ว่ายังไง, ฟีเน่ก็ไม่ได้เด็กจนถึงขนาดเชื่อในคำพูดรักษาหน้าขององค์จักรพรรดิแล้วคิดจะมาเข้าพบองค์จักรพรรดิตามใจชอบ ฉันเองก็ไม่ได้คิดจะใช้เรื่องนี้เพื่อสร้างข้อได้เปรียบของเราในสงครามผู้สืบทอดด้วยซ้ำ


 


พ่อของฉันเป็นจักรพรรดิที่จะลงโทษคนที่กระทำความผิดไม่ว่าเขาจะชื่นชอบคนๆนั้นมากแค่ไหนก็ตาม ต่อให้เป็นฟีเน่ที่เขาโปรดปราน, เขาก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรที่เอื้อแก่พวกเราเพียงเพราะเรื่องนี้


 


“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านค่ะ”


 


“ทะ, ท่านพ่อครับ ข้า..”


 


“เรียกฝ่าบาทสิ เทรา”


 


“ขอโทษครับ ฝ่าบาทขอข้าเข้าเรื่องเลยนะครับ, ได้โปรดช่วยแต่งตั้งข้าเป็นตัวแทนของท่านแล้วส่งข้าไปทางใต้ด้วยเถอะ”


 


ในขณะที่ฟีเน่เริ่มทักทายเขาและสร้างเจตคติที่ดีกับเขาในตอนแรก, เจ้าชายลำดับสี่ที่ไม่สามารถอ่านอารมณ์ได้ก็ทำทั้งหมดพังครืนในทันที


 


เอาเถอะ, เขาคงมองแล้วว่ามันเสียเวลาเปล่าถ้ามั่วแต่พูดอ้อมๆเมื่ออีกฝ่ายเป็นท่านพ่อ แต่ก็นะ, ฉันก็อยากจะคิดแบบนี้อยู่หรอก


 


“เก็บคำพูดในฝันเอาไว้พูดตอนหลับจริงๆเถอะ เจ้าหมู”


 


“การเข้ามารบกวนการประชุมไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะโอเคด้วยหรอกนะ”


 


“ถ้าคิดมาขวางทางข้า, ข้าจะขยี้เจ้าซะ”


 


ทั้งสามคนที่เงียบอยู่จนกระทั่งตอนนี้ระบายความไม่พอใจของพวกเขาออกมา


 


การถูกพวกเขาสามคนตำหนิอย่างกระทันหันนั้น, ทำให้ท่านพี่เทราสะดุ้งเล็กน้อยแล้วพูดสวนพวกเขาไป, แต่ว่า, เขาก็ยังคงอ่านอารมณ์ไม่เป็นอยู่ดี


 


“นะ, น้ำเสียงแล้วก็สายตาของเจ้ายังไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ, คุณซานดร้า…. บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เจ้ายังไม่มีใครมาขอแต่งงานรึเปล่า?”


 


“เจ้าอยากถูกทำเป็นเนื้อบดแล้วเอาไปให้หมูกินรึไง?”


 


“เหวอ!!??”


 


พวกเขากล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาต่อหน้าท่านพ่อเลยหรอ ทั้งสองคนนี่กล้าจริงๆ


 


ในตอนที่ความตึงเครียดค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น, ฟีเน่ก็กระแอมแล้วดึงความสนใจกลับมาที่เธอ


 


จากนั้น


 


“ขอข้าพูดได้ไหมคะ?”


 


“เชิญเลย”


 


“ขอบคุณมากค่ะ คนที่โน้มน้าวองค์ชายเทราก็อตต์ก็คือข้าเอง ซึ่งเหตุผลที่ข้าทำแบบนั้นก็เพราะว่าการเอากองทัพไปแทรกแซงทางใต้นั้นจะไม่เป็นผลดีกับจักรวรรดิ”


 


“โฮ่? ฟีเน่พูดเรื่องทางการทหารหรอเนี่ย”


 


“นี่อาจจะเป็นความคิดตื้นๆของผู้หญิงคนนึงก็ได้ค่ะแต่ช่วยรับฟังหน่อยนะคะ ถึงแม้ว่าจักรวรรดิจะส่งกองทัพไปช่วยกู้สถานการณ์ทางใต้มันก็ยังคงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะไปถึง ถ้ามังกรทะเลถูกจัดการลงได้ก่อนในระหว่างนั้น, การส่งทหารของพวกเราออกไปก็จะสูญเปล่าและต่อให้ทหารของเราไปถึงทันเวลา, แต่ศัตรูในครานี้คือมังกรทะเล ข้าเกรงว่าต่อให้ส่งกองทัพของเราออกไปก็คงจะกำจัดมันไม่ได้ง่ายๆค่ะ พวกเราไม่ได้ส่งกองทัพไปกำจัดมังกรมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว ซึ่งนี่เป็นเพราะคุณภาพนั้นสำคัญกว่าปริมาณยามเมื่อคู่ต่อสู้เป็นมังกร ดังนั้น, ข้าจึงคิดว่าการส่งองค์ชายเทราก็อตต์ออกไปในฐานะตัวแทนขององค์จักรพรรดิและอนุญาตให้ท่านเอลน่าที่อยู่ทางใต้ใช้ดาบศักสิทธิ์ต่อสู้กับมังกรจะเป็นผลดีกับจักรวรรดิมากกว่าค่ะ”


 


“ที่ฟีเน่พูดมานั้นมีประเด็นอยู่แต่ก็ตามที่คาดไว้, ฟีเน่ไม่ได้คิดขึ้นมาด้วยตัวเอง ฟีเน่มีแนวคิดที่คล้ายๆกันอยู่แต่เธอคงไม่สามารถนำเสนอประเด็นของเธอออกมาได้อย่างมีเหตุผลแบบนี้


 


ก่อนที่พวกเราจะมาถึงที่นี่, ฉันได้บอกกับฟีเน่ว่าเธอจะต้องเป็นคนอธิบายเรื่องนี้กับองค์จักรพรรดิ ดังนั้นพวกเราก็เลยให้ลินเฟียคิดประเด็นที่เธอจะสามารถใช้เพื่อโน้มน้าวองค์จักรพรรดิได้ขึ้นมาและให้ฟีเน่เป็นคนนำเสนอ


 


“อืมม, เข้าใจหล่ะ ก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่นะ แต่ว่าฟีเน่ ทำไมข้าถึงต้องแต่งตั้งเทราเป็นตัวแทนของข้าหล่ะ?”


 


“องค์ชายกับองค์หญิงทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่มีสถานะสูงเกินไปค่ะ หน้าที่ของผู้ที่ได้รับมอบหมายในครั้งนี้มีแค่การส่งดาบศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ถ้าพวกเราฝากเรื่องนี้เอาไว้กับหนึ่งในองค์ชายหรือองค์หญิงทั้งสามคน, นี่จะเป็นการสร้างผลเสียต่อชื่อเสียงของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัยค่ะ ข้าขออภัยด้วยแต่ถ้าพวกเราฝากเรื่องนี้เอาไว้กับองค์ชายเทราก็อตต์, พวกเราก็จะไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ค่ะ”


 


“ที่คุณฟีเน่พูดมามันฟังดูโหดร้ายจังเลยนะ…..แต่ในเมื่อคุณน่ารัก, ข้ายอมยกโทษให้ก็ได้ ถึงยังไงความน่ารักก็คือความยุติธรรมอยู่แล้ว”


 


“เทรา, เพลาๆลงบ้างเถอะนะ…..”


 


ด้วยการอดทนกับอาการปวดหัว, ท่านพ่อก็ตักเตือนท่านพี่เทราในขณะที่เอามือกุมขมับ เอาเถอะ, ก็แน่แหล่ะนะที่เขาจะปวดหัว ฉันเองก็ปวดหัวเหมือนกัน


 


“ฝ่าบาท ข้ามีคำถามนึงอยากจะถามเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินครับ”


 


“ข้าอนุญาต”


 


“องค์หญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน ถ้าพวกเราทำตามความคิดของเจ้า, มันก็ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกันไม่ใช่หรอถ้าข้านำกองทัพไปพร้อมกับดาบศักดิ์สิทธิ์? ทำไมเจ้าถึงไม่อยากให้พวกเราใช้กองทัพถึงขนาดนั้นหล่ะ? นี่เจ้ากำลังจะพูดเปรยว่าการผนวกกำลังของผู้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์กับกองทัพของพวกเราจะพ่ายแพ้ให้มังกรทะเลหรอ?”


 


“ไม่ใช่หรอกค่ะ, องค์ชายกอร์ดอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชนะจะเป็นกองทัพของพวกเรา แต่ว่า, มันใช้เวลานานเกินไป ซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดี, ที่พวกเรามีท่านซิลเวอร์อยู่กับพวกเราด้วย ถ้าเป็นท่านซิลเวอร์หล่ะก็เขาสามารถพาตัวแทนกับผู้คุ้มกันลงใต้ได้ในทันทีด้วยเวทย์เคลื่อนย้ายของเขา วิธีนี้จะทำให้ส่งกองทัพของเราไปได้ไวกว่า ยิ่งกว่านั้น, พวกเราก็มีผู้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดและนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิอยู่ด้วย เมื่อทั้งสองคนนี้รวมพลังกัน, การส่งกองทัพของเราออกไปก็ไม่จำเป็นแล้วถูกไหมคะ และแน่นอนว่า, ชื่อเสียงของจักรวรรดิจะเพิ่มขึ้นทั่วทั้งทวีป, แถมมันยังไม่มีข้อเสียกับจักรวรรดิด้วย”


 


สมบูรณ์แบบ


 


ดูเหมือนว่ากอร์ดอนจะพยายามใช้หัวเพื่อเถียงกลับไปอยู่ครั้งนึง อย่างไรก็ตาม, ในสถานการณ์แบบนี้, พวกเขาไม่มีโอกาสชนะหรอก


 


มันไม่มีวิธีไหนที่จะดึงดูดความสนใจของจักรพรรดิได้ดีไปกว่านี้แล้ว


 


ไม่มีความเสียหายกับจักรวรรดิและชื่อเสียงของพวกเราก็จะเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น, เหมือนกับที่ฟีเน่พูดไปแล้ว ด้วยหน้าที่กับแค่ส่งมอบดาบศักดิ์สิทธิ์ของตัวแทน, มันมีแต่จะต้องใช้คนอื่นมาทำหน้าที่แทนเท่านั้น ความภาคภูมิใจและชื่อเสียงของทั้งสามคนสูงเกินกว่าจะมาจัดการเรื่องนี้


 


อย่างไรก็ตาม


 


“หลอกลวงกันชัดๆ ชื่อเสียงของจักรวรรดิจะแผ่ขยายไปทั่วทวีปได้ก็แค่ตอนที่พวกเราช่วยเหลือทางใต้ด้วยพลังของพวกเราเองเท่านั้น ขอเถอะเรื่องที่ให้ร่วมมือกับกิลด์นักผจญภัยหน่ะ ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ให้กิลด์นักผจญภัยจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองไปสิ”


 


“อืมม, เอริค เจ้าคิดว่าไง?”


 


“ข้าเห็นด้วยกับความคิดของฟีเน่ครับ ทางเลือกนี้จะเป็นประโยชน์กับจักรวรรดิมากที่สุด ถ้าพวกเราทำแบบที่ซานดร้าพูด, ความสัมพันธ์ของเรากับกิลด์นักผจญภัยจะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมและมันจะเพิ่มข่าวลือว่าฝ่าบาทเป็นคนใจแคบด้วย”


 


สมกับที่เป็นเอริค


 


เขาประเมินสถานการณ์แล้วกระโดดขึ้นเรือลำที่ชนะในทันที ยิ่งไปกว่านั้น, เขายังฉวยโอกาสโจมตีซานดร้าด้วย


 


ซานดร้าจ้องเอริคตาเขม็งแต่เอริคไม่สนใจเธอ


 


ในขณะนั้นเอง, กอร์ดอนก็มองตรงไปที่ท่านพ่อ


 


“ฝ่าบาท ฝากเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเองเถอะ ข้าจะถือโอกาสนี้ชิงภูมิภาคทางใต้มาให้ท่านเอง”


 


คำพูดของเขาซื่อตรงไม่มีปิดความตั้งใจของตัวเองเลย


 


กอร์ดอนพูดออกมาว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ในการบุกแดนใต้


 


เพื่อเป็นการตอบสนอง, ท่านพ่อทำได้แค่ยิ้มอย่างระเหี่ยใจเท่านั้น


 


“เจ้านี่เป็นคนตรงจังเลยนะ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการภาคใต้หรอก ถ้าเจ้าอยากได้มันก็ค่อยไปยึดในตอนที่เจ้ากลายเป็นจักรพรรดิ พวกเราจะทำตามข้อเสนอของฟีเน่และถือว่าเป็นการจบเรื่องนี้ ตอนนี้, การยึดภาคใต้ไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้นและก็ไม่มีอะไรที่เราจะได้จากการส่งกองทัพของเราไปด้วย


 


“แต่ท่านพ่อคะ!”


 


“เรียกฝ่าบาทสิ, ซานดร้า”


 


“ชิ! ฝ่าบาทคะ! พวกเราไม่เห็นต้องไปพึ่งพากิลด์นักผจญภัยเลยนี่คะ!”


 


“ครั้งก่อน, พวกเราได้รับบทเรียนจากการกดดันกิลด์นักผจญภัยมาแล้ว ครั้งนี้, พวกเราจะใช้หน้าของซิลเวอร์และร่วมมือกับกิลด์นักผจญภัย ถึงยังไงเขาก็ลงทุนดั้งด้นมาถึงที่นี่ มันคงจะง่ายขึ้นถ้ามีเอลน่าอยู่กับเจ้าถูกไหม?”


 


“ครับ, ถ้าข้าลุยคนเดียวคงจะสาหัสแน่ๆ”


 


“ถ้างั้นก็ถือว่าเป็นอันตัดสิน เทรา, ก้าวออกมาข้างหน้าซะ”


 


พอพูดจบ, ท่านพ่อก็ถอดแหวนที่นิ้วของเขา


 


มันคือแหวนเวทมนตร์ที่ถูกส่งต่อกันมาให้จักรพรรดิรุ่นต่อรุ่น มันไม่ได้มีผลพิเศษในตอนที่สวมใส่แต่มันสามารถมอบอำนาจบางส่วนของจักพรรดิให้กับผู้อื่นได้ พูดอีกนัยนึงก็คือ, มันคือสิ่งที่ใช้ในการแต่งตั้งตัวแทน


 


“เทราก็อตต์ เลคส์ แอดเลอร์, ฟังรับสั่ง จงมุ่งหน้าลงใต้แล้วส่งดาบศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้กล้า”


 


“รับทราบครับ, ฝ่าบาท”


 


สมกับที่เป็นช่วงเวลาแบบนี้, เขาไม่ได้เริ่มพูดโพล่งเรื่องแปลกๆออกมา


 


ฉันถอนหายใจเพราะฉันค่อนข้างกังวล


 


ในขณะเดียวกัน, ผู้ส่งสารก็เข้ามาในห้องบัลลังก์


 


“รายงานครับ! มังกรทะเลถูกพบเห็นในราชรัฐอัลบราโทร! ตอนนี้กิลด์นักผจญภัยกำลังตามหาตัวซิลเวอร์อยู่!”


 


“มาแล้วสินะ…….”


 


“ข้าจะจัดอัศวินหลวงให้ตามไปคุ้มกันด้วยแต่ว่าซิลเวอร์, ช่วยดูแลลูกชายของข้าด้วย”


 


“ไว้ใจได้เลยครับ ข้าจะพาเขากลับมาโดยไม่มีรอยขีดข่วน”


 


“ถ้าข้ากำลังจะมีคนคุ้มกัน, มันคงเยี่ยมไปเลยนะถ้าได้เด็กสาวสวยๆมา”


 


“ผู้หญิงที่มีความแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนาแบบนั้นไม่ใช่สเป็คข้าหรอก”


 


ถ้าเอลน่าได้ยินหล่ะก็, เธอของขึ้นแน่ๆ


 


ด้วยความคิดนี้, ฉันกับท่านพี่เทราก็มุ่งหน้าไปที่กิลด์นักผจญภัยสาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม