Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi 61-75

ตอนที่ 61

 

“ฝ, ฝีมือไม่เบาเลยนี่……!”


 


“องค์ชายก็เหมือนกันครับ! ไม่เคยมีใครที่เสมอกับข้ามาก่อนเลย!”


 


พอพูดจบ, พวกเราก็เริ่มเหวี่ยงดาบสำหรับฝึกอีกครั้ง


 


ด้วยความที่พวกเราห่วยด้านศิลปะการต่อสู้กันทั้งคู่, ท่ายืนของพวกเราจึงไม่มั่นคงและขาดพลัง


 


ดังนั้นฉันก็เลยตั้งใจจะจัดการแข่งขันที่เร่าร้อนระหว่างฉันกับเขา ฉันตั้งใจจะทำแบบนั้นจริงๆ


 


หลังจากการแข่งขัน, ฉันก็ถามความเห็นเซบาสที่เฝ้าสังเกตพวกเรา


 


“แฮ่ก, แฮ่ก……เป็นยังไงบ้าง!?”


 


“ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยครับ มันให้ความรู้สึกหน่อมแน้มมากเหมือนข้ากำลังดูเด็กเล่นต่อสู้กัน”


 


“ว่าแล้วเชียว…….”


 


เยอร์เกนไหล่ตก


 


พอมาคิดดูดีๆแล้วการต่อสู้ระหว่างนักดาบที่มีฝีมือห่วยพอๆกันนั้น, ดูเหมือนว่าเด็กเล่นต่อสู้กันจะยังดูเร่าร้อนกว่าอีก


 


เอาเถอะ, นี่มันก็ถือว่าไปได้ดีแล้วในความคาดหมายของฉัน เนื่องจากเขาเอาแต่บอกว่าเขาไม่เก่งด้านนี้เลย, ฉันก็เลยอยากให้เขาเห็นว่าจริงๆแล้วฉันเองก็ไม่ได้เก่งไปกว่ากัน


 


พวกเราเอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดเหงื่อของตัวเองและคิดหาแนวทางต่อไปของพวกเรา


 


“ดูเหมือนว่าการใช้ดาบจะเป็นทางตันนะ…..ท่านมีอะไรที่คิดว่าตัวเองเก่งบ้าง?”


 


“สิ่งที่ข้าเก่งหรอ?…..มีอยู่อย่างนึงที่ข้าฝึกฝนมาได้ซักพักแล้ว”


 


“แล้วมันคืออะไรหรอ?”


 


“ง้าวครับ”


 


เซบาสไปเบิกง้าวสำหรับฝึกซ้อมเตรียมเอาไว้ให้พวกเราล่วงหน้า


 


ง้าวนั้นเป็นอาวุธที่ผสมผสานระหว่างหอกกับขวานโดยการเอาคมของขวานไปติดที่ปลายหอก มันคืออาวุธอรรถประโยชน์แต่ว่ามันหนักและควบคุมได้ยาก คนแคระพัฒนามันขึ้นมาเพื่อชดเชยช่วงตัวที่สั้นของพวกเขา


 


ถ้าเชี่ยวชาญมันได้, มันก็ถือเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งแต่สำหรับมนุษย์ที่พึ่งเริ่มฝึก, หอกคงจะดีกว่า


 


“ทำไมท่านถึงเลือกง้าวหล่ะ?”


 


“ในตอนที่ข้าอายุสิบห้า, ยามที่ข้าขอท่านลีเซล็อตต์แต่งงาน, ข้าได้ไปหาเธอโดยตรงและเธอก็บอกข้ามาว่าเธอจะไม่แต่งงานกับคนที่จับอาวุธไม่เป็น ซึ่งข้าก็คาดการณ์เอาไว้แล้วดังนั้นข้าจึงฝึกใช้หอกแต่ข้าก็ไม่สามารถเอาชนะท่านลีเซล็อตต์ได้เลย”


 


“มันก็แน่แหล่ะนะ…….”


 


ท่านพี่ลีเซนั้นแน่นอนว่าเป็นแม่ทัพที่แข็งแกร่งแต่นอกจากนี้แค่ตัวเธอเองก็ถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวเหมือน


 


ไม่ว่าเธอจะใช้อาวุธอะไร, เธอก็เชี่ยวชาญมันได้หมด


 


คนที่รู้จักอาวุธเพียงผิวเผินนั้นคงจะไม่สามารถแข่งกับเธอได้


 


“ตอนนั้นเธอบอกข้าว่าการโจมตีของข้ามันเบาเกินไป ตอนนั้นข้าผอมมาก แถมยังตัวเตี้ยด้วย เพราะเหตุนั้นเอง, ข้าจึงไม่สามารถใส่การโจมตีที่จะทำให้ท่านลีเซล็อตต์สนใจได้ นั่นคือเหตุผลที่ข้าเลือกอาวุธหนักแต่เนื่องจากมันค่อนข้างหนักข้าจึงเสียบสมดุลย์ในตอนที่เหวี่ยงมันอยู่บ่อยๆดังนั้นข้าก็เลย……”


 


“อย่าบอกนะว่า…..”


 


“ใช่ครับ, ข้ากินให้เยอะขึ้นเพื่อเพิ่มน้ำหนัก ถึงยังไงการที่ข้าจะสร้างกล้ามเนื้อให้ร่างกายของตัวเองมันก็มีจำกัดอยู่แล้ว”


 


น่าสงสารชะมัด…..


 


ก็จริงอยู่, ง้าวที่เยอร์เกนถืออยู่ในตอนนี้คือจะว่ายังไงดี, มันดูเหมือนว่าเขาสามารถรักษาสมดุลย์ในขณะที่เหวี่ยงมันได้จริงๆและจากท่าถือของเขา, ฉันคิดว่ามันน่าจะรุนแรงใช้ได้เลยด้วย ฉันพอจะนึกภาพเขาเหวี่ยงมันได้แต่…..อย่าบอกนะว่าเขายอมเสียสละรูปลักษณ์ของตัวเองเพื่อสิ่งนี้


 


ท่านพี่…….มีคนๆนึงซึ่งเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเพียงเพราะคำพูดของท่านพี่อยู่ที่นี่ด้วย ฉันอดรู้สึกสงสารเขาไม่ได้จริงๆ


 


ด้วยการนึกถึงพี่สาวที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่, ฉันก็หันไปมองเซบาส


 


“เจ้าคิดว่าไง?”


 


“ท่าของเขาค่อนข้างดีเลยครับ แต่ข้าไม่มั่นใจว่าทักษะระดับนี้จะสามารถทำให้องค์หญิงลีเซล็อตต์ประทับใจได้รึเปล่า”


 


“ถ้าพวกเรากำลังพูดถึงมาตรฐานของท่านพี่ก็คงจะมีแค่พวกแม่ทัพกับอัศวินหลวงของพวกเราเท่านั้นแหล่ะที่จะมีคุณสมบัติ ข้ามั่นใจว่าเธอคงไม่ใช้มาตรฐานระดับนั้นกับเขาหรอก”


 


“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีครับแต่นี่ดูมีแววมากกว่าดาบจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะอะไรตราบใดที่สามารถลงน้ำหนักไปกับการโจมตีได้ ซึ่งมันน่าจะได้ผลถ้าสามารถรักษาสมดุลย์ในการควบคุมน้ำหนักได้ และดยุคก็ต้องฝึกมันหนักในระดับนึงด้วย เท่าที่ข้าดูทักษะดาบ, กับศิลปะการต่อสู้ของเขาน่าจะมีพรสวรรค์พอๆกับท่านครับ, ท่านอาร์โนลด์”


 


“จะบอกว่าไม่มีพรสวรรค์สินะ แต่ว่าต่อให้จะเป็นแค่อาวุธประเภทเดียว, แต่การที่สามารถเอามันมาใช้เป็นอาวุธได้จริงๆแบบนี้….เขาก็ถือว่าเป็นคนที่ยิ่งใหญ่คนนึงเลยหล่ะ ข้าเลียนแบบในเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ”


 


เยอร์เกนเรียนรู้ธุรกิจและพัฒนาตระกูลดยุคที่พึ่งเข้ามาใหม่ของเขา เขาน่าจะมีพรสวรรค์ในฐานะพ่อค้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นคนที่เก่งในเรื่องนั้น


 


แต่, เยอร์เกนก็ยังคงฝึกฝนต่อไป เขารู้สิ่งที่เขาเก่งจริงๆแต่เขาก็ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้พี่สาวของฉันหันมาสนใจด้วยการเปลี่ยนจุดอ่อนของเขาให้กลายเป็นจุดแข็ง


 


“ดยุคไรน์เฟลด์”


 


“ครับ? มีอะไรหรอครับ?”


 


“ท่านเคยชายตามองผู้หญิงคนอื่นไหม?”


 


“ไม่มีวันหรอกครับ ข้าประกาศความรักของข้ากับคนๆนั้นไปแล้ว ในเมื่อข้าบอกเธอไปแบบนั้น, ข้าก็ไม่สามารถทำให้คำพูดของข้ากลายเป็นคำโกหกได้ ท่านพ่อบอกข้าว่าความจริงใจคือข้อดีเพียงอย่างเดียวของข้าซึ่งข้าก็ชอบการเป็นคนที่จริงใจของข้า นี่คือเหตุผลที่ข้าอยากใช้ชีวิตแบบนี้ ข้ารักผู้หญิงแค่คนเดียวและข้าก็อยากมอบความรักให้เธอ ข้าคิดว่าความรักนี้สวยงามและข้าก็เชื่อว่าถ้าข้าไม่ลงทุนทำถึงขนาดนี้, ท่านลีเซล็อตต์ก็คงจะไม่ชายตามองข้า”


 


“…..เซบาส ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าข้าพึ่งทำเรื่องที่ไม่ดีลงไปยังไงไม่รู้สิ…….”


 


“องค์หญิงจะเลือกยอมรับหรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับเธอครับ ถ้าเธอจะแต่งงานกับใครก็ได้ขอแค่ขยัน, เธอก็คงแต่งงานไปแล้ว เธออาจจะให้ความสำคัญกับความพยายามแต่มันก็ไม่แน่นอนเสมอไป จิตใจของผู้หญิงนั้นยากแท้หยั่งถึงเหมือนกับท้องฟ้ายามฤดูใบไม้ร่วง มีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับผู้หญิงที่เลือกผู้ชายเหลาะแหละแทนที่จะเป็นคนขยัน”


 


“นี่, ดยุคไรน์เฟลด์เข่าทรุดแล้วนะเห็นไหม!?”


 


“นี่มันก็แค่ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นครับ, ท้ายที่สุดแล้ว, มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจขององค์หญิง”


 


บางทีเขาอาจจะพยายามปิดกั้นเสียงทั้งหมดที่อยู่รอบตัว


 


ด้วยความที่ไม่เคยคิดว่าเขาอาจจะเลือกเดินทางผิด, เขาก็เลยพยายามอย่างเต็มที่


 


ดังนั้นเรื่องราวพวกนี้ก็เลยค่อนข้างโหดร้ายเกินไปหน่อยสำหรับเยอร์เกน


 


ฉันพยายามเข้าไปใกล้แล้วเรียกเขา


 


“ดยุคไรน์เฟลด์, ฮึดหน่อยสิ”


 


“เห้อ! ถ้าข้ารู้สึกเศร้าจากเรื่องนี้ข้าก็คงไม่เหมาะสมกับท่านลีเซล็อตต์แล้วหล่ะ! ทำไมข้าถึงได้อ่อนแอขนาดนี้!”


 


“……”


 


“ถ้าเธอบอกว่าชอบผู้ชายเหลาะแหละถ้างั้นข้าก็จะเป็นมันทั้งคู่เลย! องค์ชายอาร์โนลด์! ช่วยบอกวิธีทำให้ข้ากลายเป็นคนเหลาะแหละมากกว่านี้หน่อยเถอะครับ!”


 


เยอร์เกนลุกขึ้นแล้วขอร้องฉัน


 


ด้วยความที่เขาเข้ามาหาฉันอย่างกระทันหันฉันก็เลยเผลอถอยไปหาเซบาสโดยไม่รู้ตัว


 


“เขาเป็นคนที่ไม่ถูกทำลายง่ายๆจริงๆสินะ”


 


“แถมเขายังขอให้ข้าสอนวิธีการเป็นคนเหลาะแหละด้วย, แบบนี้มันหยาบคายไม่ใช่หรอ?”


 


“ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่ครับ ในเมืองหลวงของจักรวรรดิคงไม่มีใครที่เดินบนเส้นทางแห่งความเหลาะแหละได้ดีไปกว่าองค์ชายแล้ว”


 


“เส้นทางเหลาะแหละอะไรกัน, อย่าทำเป็นเล่นไปหน่อยเลย ข้าจำไม่เห็นได้นะว่าข้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางแบบนั้น ข้าก็แค่ไม่เคยเลือกซักทางต่างหากหล่ะ”


 


“เข้าใจแล้วครับ! ท่านไม่ได้เลือกอะไรมาตั้งแต่แรกแล้วสินะครับ! นี่มันถือว่าเป็นการเรียนรู้ใหม่สำหรับข้าเลย!”


 


“………”


 


“………”


 


นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย


 


พูดแบบนั้นก็โหดร้ายอยู่นะ


 


ในตอนที่คนเรามีความรักมันสามารถไปได้ไกลถึงขนาดนี้เลยหรอ ดูเหมือนข้าจะดูถูกความรักมากเกินไปซะแล้ว


 


“หลักๆแล้วพี่สาวของข้าชอบคนที่แข็งแกร่ง ถ้าพวกเราหาอะไรบางอย่างในตัวดยุคไรน์เฟลด์ที่สามารถแสดงด้านนั้นให้เธอเห็นได้พวกเราก็น่าจะมีโอกาสใช่ไหมหล่ะ?”


 


“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ, องค์หญิงสังเกตุดูความพยายามของดยุคมาเป็นเวลาถึงยี่สิบปีแล้วไม่ใช่หรอ? ตอนนี้เธอก็น่าจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ?”


 


“เธอเห็นแค่ผลลัพธ์ พวกเราจำเป็นต้องแสดงกระบวนการให้เธอดู เธอน่าจะมีใจอ่อนบ้างแหล่ะถ้าพวกเราแสดงให้เห็นว่าเขาทุ่มเทขนาดไหน, ไม่คิดอย่างนั้นหรอ?”


 


“ก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่นะครับ”


 


“องค์ชายอาร์โนลด์, คือว่า, มันอาจจะฟังดูหยาบคายไปหน่อยแต่ข้าขอถามซักเรื่องได้ไหมครับ”


 


“ท่านหยาบคายกับข้ามามากเกินพอแล้วหล่ะเพราะฉะนั้นมีอะไรก็พูดมาเถอะ”


 


“งั้นหรอครับ, ถ้างั้นค่อยโล่งอกหน่อย ข้าแค่อยากถามว่าท่านทำยังไงถึงกลายเป็นที่ถูกใจของท่านลีเซล็อตต์หรอครับ, องค์ชาย?”


 


เป็นคนตรงขนาดนี้มันก็เกินไปนะ


 


ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น, ฉันก็นึกถึงตอนที่ท่านพี่ลิเซเริ่มถูกใจฉัน


 


มันคือเรื่องเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน ในตอนนั้นฉันถูกขังเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เพื่อช่วยเด็กสาวคนนึง


 


ดูเหมือนว่าพี่ชายคนโตของฉันจะรู้เรื่องจากท่านพ่อและไปบอกท่านพี่ว่าฉันถูกส่งเข้าคุกเพราะปกป้องเด็กสาวคนนึงดังนั้นเธอก็เลยมาเยี่ยมฉันที่คุกทุกวัน


 


เธอบอกกับฉันว่าถ้าฉันยอมรับว่าฉันทำไปเพื่อปกป้องคนๆนึง, เธอก็จะไปช่วยพูดกับท่านพ่อให้


 


แน่นอนว่า, ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องทุกอย่างแล้วดังนั้นฉันก็เลยพูดออกไปตลอดว่าฉันทำคนเดียวจนกระทั่งวันสุดท้าย ตอนนี้พอมาคิดดูดีๆแล้ว, ฉันเองก็อาจจะมีทิฐิเกินไปหน่อยก็ได้


 


การถูกขังคุกเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อปกป้องเด็กสาวคนนึง, ฉันคิดว่าถ้าฉันบอกความจริงกับเธอ, ทุกอย่างที่ทำมาก็จะไร้ความหมาย


 


นั่นคือเหตุผลที่ฉันเก็บความลับเอาไว้จนกระทั่งได้ออกจากคุก


 


ในตอนนั้นท่านพี่ก็เข้ามาลูบศรีษะของฉันอย่างอ่อนโยน


 


“สมแล้วที่เป็นน้องชายของข้า……”


 


“ครับ?”


 


“ข้าถูกบอกมาว่าในตอนที่ข้าเป็นเด็กนั้น ท่านพี่ชื่นชมข้าสำหรับความมุ่งมั่นของข้าในการผ่านพ้นเรื่องต่างๆจนถึงที่สุด ตั้งแต่นั้นมา, เธอก็ให้ความสนใจข้ามากขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจเป็นเพราะทัศนคติของข้าในตอนนั้นท่านพี่ก็เลยเริ่มถูกใจข้า”


 


“นี่เป็นข่าวดีนะครับ อย่างน้อยที่สุด, เรื่องนี้ก็ช่วยบ่งบอกว่าการกระทำของดยุคไรน์เฟลด์จนถึงตอนนี้ไม่ได้ผิดพลาด”


 


“นั่นสินะ การกระทำของดยุคไรน์เฟลด์น่าจะเป็นสิ่งที่พี่สาวของข้าชอบ เธอชอบคนขยัน เอาเถอะ, ข้าก็ไม่รู้หรอกสเป็คผู้ชายจริงๆของเธอเป็นยังไงแต่……การปล่อยให้ทั้งสองคนเจอกันน่าจะช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้เร็วที่สุดนะ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็ลุกขึ้น


 


ถึงยังไงการจัดการเรื่องสำคัญแบบนี้ผ่านจดหมายมันก็ผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว


 


“เซบาส, ไปเตรียมตัวซะ พวกเราจะมุ่งหน้าไปที่ดินแดนของดยุคไรน์เฟลด์ก่อน”


 


“ได้ครับ ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย”


 


“อ, องค์ชาย!?”


 


“ดินแดนของเจ้าอยู่ใกล้กับที่ที่ท่านพี่อยู่มากกว่าเมืองหลวงของจักรวรรดิ ถ้าข้าไปที่นั่น, เธออาจจะมาเยี่ยมข้าก็ได้ และถึงเธอจะไม่มาพวกเราก็สามารถไปยังที่ที่เธออยู่ได้เหมือนกัน”


 


พอพูดจบฉันก็ยิ้มออกมา


 


ในการรับมือกับพี่สาวของฉันนั้น, ถ้าฉันทำทั้งหมดนี้ในขณะที่ยังอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ, ฉันก็คงจะไปดูถูกเธอเข้าอย่างแรง


 


ฉันต้องลงพื้นที่ด้วยตัวเอง


 


เอาหล่ะ, ในเมื่อตัดสินใจได้แล้วก็มาเตรียมตัวกันเลยเถอะ

 

 

 


ตอนที่ 62

 

“เข้าใจหล่ะ เจ้าจะไปหาเธอสินะ”


 


“ครับ ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด”


 


“นั่นสินะ, เนื่องจากเธอเป็นคนแบบนั้น, ต่อให้พวกเราส่งจดหมายไปเธอก็คงจะไม่สนใจอะไรหรอก”


 


“ครับ ถ้าเธอไม่สามารถมาที่เมืองหลวงของจักรวรรดิได้เธอก็อาจจะมาเยี่ยมพวกเราที่ดินแดนของท่านดยุค”


 


ท่านพ่อพยักหน้าให้กับคำพูดของฉันอยู่หลายครั้ง


 


ฟรานซ์อยู่ข้างเขาด้วย, และเขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าทุกข์ใจเหมือนเมื่อครั้งก่อนแล้ว


 


“องค์ชาย ข้ามีเรื่องอยากถามเป็นการส่วนตัวจะได้รึเปล่า?”


 


“เชิญว่ามาได้เลยครับ, ท่านนายกรัฐมนตรี”


 


“ขอบคุณมากครับ ดยุคไรน์เฟลด์ตกหลุมรักองค์หญิงลีเซล็อตต์มาเป็นเวลายี่สิบปีแล้วแต่เขาไม่เคยส่งจดหมายไปหาเธอโดยตรง ถึงแม้จะเป็นตอนที่องค์หญิงอยู่ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ, เขาก็มักจะเข้ามาผ่านข้าก่อน เมืองหลวงของจักรวรรดิกับดินแดนของเขาไม่ได้อยู่ใกล้ถึงขนาดที่จะเคลื่อนย้ายระหว่างสองเมืองได้ง่ายๆ แต่ไม่ว่ายังไง, ดยุคก็มักจะส่งจดหมายมาให้ข้าก่อนทุกครั้ง ท่านพอจะรู้เหตุผลรึเปล่าว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น?”


 


“เขาคงคิดว่าถ้าส่งให้เธอโดยตรงมันมีแต่จะทำให้เธอมีปัญหารึเปล่า?”


 


“นั่นสินะครับ, อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ ‘ถ้ามันไม่ได้เป็นการรบกวนจนเกินไปก็ช่วยส่งจดหมายฉบับนี้ให้ข้าด้วย, ถ้าเธอรังเกียจท่านก็โยนทิ้งไปได้เลย’ นี่คือสิ่งที่เขาพูด ในบรรดาผู้ที่มีคุณสมบัติ, ดยุคเรนเฟลด์เป็นคนๆเดียวที่ได้รับความสนใจจากองค์หญิง นี่คือสาเหตุที่องค์หญิงอ่านแค่จดหมายของเขาและรับของขวัญจากดยุคไรน์เฟลด์ นี่คือเรื่องราวที่ข้าได้ยินมาจากแม่ทัพที่เข้าร่วมกับเธอในสนามรบ”


 


นี่มันเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจอยู่นะ


 


ที่น่าประหลาดใจนั้นไม่ใช่ความจริงที่ว่าดยุคไรน์เฟลด์ได้รับความสนใจ


 


 


มันคือเรื่องที่พี่สาวของฉันอ่านจดหมายของเขาตลอดต่างหาก


 


หรือนี่จะหมายความว่า?


 


“สำหรับขุนนางที่ใช้ชีวิตอยู่ไกลกันเพราะความห่างไกลของดินแดน, จดหมายกับของขวัญคือวิธีการที่พวกเขาใช้ในการรักษาความสัมพันธ์ ตลอดทั้งปีพวกเขาอาจจะไม่ได้เจอกันเลยซักครั้ง ในบรรดาขุนนางที่ส่งของขวัญให้เธอ, คงพูดได้ว่าดยุคไรน์เฟลด์นั้นค่อนข้างเป็นสุภาพบุรุษ นี่คือเหตุผลที่, ถึงแม้ว่าท่านลีเซล็อตต์จะปฏิเสธคำขอแต่งงานของเขา, แต่เธอก็ไม่เคยปฏิเสธจดหมายหรือของขวัญของเขาเลย”


 


“นั่นสินะครับ แบบนี้ก็แสดงว่าเธอไม่ได้เกลียดเขาสินะ”


 


“ครับ เธอคงมีเหตุผลบางอย่างถึงทำแบบนี้ บางทีเธออาจจะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีวันแต่งงานหรือบางทีมันอาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น ถ้าเป็นสาเหตุแรกก็คงจะทำอะไรไม่ได้แต่ถ้าองค์หญิงมีเหตุผลอื่นข้าก็อยากให้องค์ชายไปโน้มน้าวเธอ ถ้าองค์หญิงแสดงอาการออกมาชัดเจนว่าไม่ชอบดยุคไรน์เฟลด์พวกเราก็ล้มเลิกไปได้เลยแต่ข้าไม่คิดว่าองค์หญิงลีเซล็อตต์จะรังเกียจเขาหรอก นี่คือเหตุผลที่ตัวเขาเองค่อนข้างน่าสงสาร”


 


ความจริงที่เขารู้ว่าเธออ่านจดหมายของเขาทุกฉบับก็แสดงว่าฟรานซ์ต้องมองออกมาตั้งแต่แรกแล้วแน่ๆ


 


เนื่องจากเขารู้สิ่งที่ดยุคมอบให้เธอ, เขาก็ต้องรู้ปฏิกิริยาพี่สาวของฉันในตอนที่ได้รับของขวัญพวกนี้ด้วย


 


ฟรานซ์เป็นคนที่ดูแลคนอื่นเก่งดังนั้นเขาต้องให้คำแนะนำไปด้วยแน่ๆ


 


ดูเหมือนว่าฟรานซ์เองก็อยากเห็นความรักครั้งนี้สมหวังเหมือนกันสินะ


 


“ยี่สิบปี…..ถ้าเป็นคนอื่นคงจะรู้สึกว่าคนแบบนี้ดื้อด้าน ข้าเองก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้น ข้าบอกให้เขาตัดใจไปหลายครั้งแล้ว, เพื่อตัวของเขาเอง, ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์หรอก, นี่คือสิ่งที่ข้าเคยบอกกับเขา แต่ดยุคไรน์เฟลด์ก็ยังไม่เปลี่ยนใจ, เขาเอาแต่พูดว่าถ้าการกระทำของเขาไปรบกวนลีเซล็อตต์เขาก็จะหยุด สำหรับเขา, ลิเซล็อตต์คือโลกทั้งใบของเขา ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง, ข้าก็อยากทำสิ่งนี้เพื่อเขา”


 


ว่าแล้วเชียว, ท่านพ่อเองก็เป็นคนเหมือนกันแหล่ะนะ


 


เขาคงรู้สึกเห็นใจผู้ชายที่พยายามอย่างหนักเพียงลำพังเป็นเวลาถึงยี่สิบปี


 


แต่มันก็ขึ้นอยู่กับวิธีมองด้วย, ดูเหมือนที่ท่านพี่ยังเก็บเขาไว้ก็เพราะเขามีประโยชน์ด้วยหล่ะนะ


 


มันคือท่านพี่คนนั้น เธออาจจะไม่ได้รู้สึกตัวแต่ถ้าเธอไม่เคยบอกกับดยุคตรงๆว่าอย่ามายุ่งกับเธออีกมันก็ยังพอมีหวังอยู่


 


“แล้วถ้าเกิด….ท่านพี่บอกว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับใคร? พวกเราจะยอมแพ้ไปเฉยๆเลยหรอครับ?”


 


“…..ถ้าเธอพูดแบบนั้นข้าก็จนปัญญาแล้วหล่ะ”


 


ท่านพ่อพึมพำออกมาอย่างหงอยๆ


 


ข้าอยากเห็นเธอเป็นเจ้าสาว


 


นี่อาจจะเป็นความรู้สึกจริงๆของท่านพ่อก็ได้แต่มันก็พูดได้ว่านี่เป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของเขาเอง


 


ก็คนเป็นพ่อนี่นะ เขาคงคิดว่าถ้าท่านพี่แต่งงาน, เธอก็จะสามารถเอาตัวออกห่างจากสงครามผู้สืบทอดได้


 


ถ้ากอร์ดอนหรือซานดร้าได้บัลลังก์, ท่านพี่ก็อาจจะถูกยัดข้อหาบางอย่างและถูกกำจัด


 


แต่ถ้าเธอกลายเป็นภรรยาของใครซักคน, เธอก็จะไม่มีตำแหน่งในราชวงศ์อีกต่อไป มันช่วยลดทอนอันตรายให้กับเธอได้และจักรวรรดิก็จะไม่เสียแม่ทัพดีๆไปด้วย


 


ถึงยังไงต่อให้ได้เป็นจักรพรรดิแล้ว, มันก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำได้ทุกอย่าง


 


“ถ้างั้นข้าจะทำหน้าที่ต่อไป ข้าไม่รู้ว่าจะสามารถเอาข่าวดีกลับมาได้รึเปล่าแต่ข้าจะทำให้เต็มที่, เพราะฉะนั้นช่วยรอข้าหน่อยแล้วกันนะครับ”


 


“เข้าใจหล่ะ ขอฝากเรื่องนี้เอาไว้กับเจ้าแล้วกันนะ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็ออกมาจากห้องบัลลังก์


 


หลังจากที่ออกมาแล้วฉันก็เดินทางไปหาแม่ของฉัน


 


ฉันอาจจะไม่ได้ไปไกลถึงพรมแดนเหมือนกับลีโอแต่มันก็ยังเป็นการออกจากเมืองหลวงของจักรวรรดิอยู่ดี


 


ขุมอำนาจอยู่ในมือของฟีเน่และเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างขุมอำนาจยังสงบอยู่, มันก็น่าจะไม่เป็นไร กอร์ดอนกับซานดร้ากำลังเหนื่อยล้าจากการต่อสู้กันเองในช่วงที่พวกเราไม่อยู่ในจักรวรรดิส่วนขุมอำนาจของเอริคก็ยังคงไม่เคลื่อนไหวเพื่อที่จะไม่เสี่ยงไปทำให้ท่านพ่อโกรธจากการเคลื่อนไหวในสถานการณ์แบบนี้


 


ท่านพ่อจะอ่อนไหวเป็นพิเศษกับเรื่องของผู้อพยพ ถ้ามีคนตั้งใจจะขัดขวางลีโอในขณะที่เขากำลังเคลื่อนไหวเพื่อแก้ปัญหานี้, ท่านพ่อจะต้องโกรธอย่างแน่นอน เอริคไม่ใช่คนที่จะทำอะไรโง่ๆแบบนั้น นี่คือสาเหตุที่มันไม่น่าจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในเมืองหลวงไปพักนึง, อย่างน้อยก็ภายนอกหล่ะนะ


 


แน่นอนว่า, มันยังมีการเคลื่อนไหวอยู่หลังฉาก ความขัดแย้งระหว่างพ่อค้าของแต่ละขุมอำนาจก็คือหนึ่งในนั้น นี่คือสาเหตุที่ฉันไม่สามารถพาฟีเน่ไปด้วยได้ในครั้งนี้ ถึงยังไงเธอก็ถือเป็นไพ่ตายของบริษัทอะจิน


 


“ดูท่าแล้ว, พวกเราจะขาดกำลังคนจริงๆสินะ”


 


เซบาสต้องถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ด้วยเหมือนกันเพื่อคอยคุ้มกันฟีเน่


 


การคุ้มกันรอบตัวฉันอาจจะเบาบางลงแต่มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้ฟีเน่ไร้การป้องกัน ฉันห่วงแค่เรื่องไม่ให้ตัวตนของฉันถูกเปิดเผยก็พอ, มันไม่มีอันตรายกับชีวิตของฉันหรอก ฉันก็แค่ต้องระวังให้มากกว่าปกติ


 


ลีโอมีลินเฟียอยู่ด้วยส่วนฟีเน่ก็มีเซบาสคอยปกป้องเธอ มันจะง่ายกว่าสำหรับฉันถ้ามีคนคุ้มกันที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระซักคนนึง, แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนแบบนั้นเลย


 


น่าเสียดายที่ครั้งนี้ฉันพึ่งพาเอลน่าไม่ได้ด้วยเพราะเธอติดภารกิจอื่นอยู่


 


“มันไม่ใช่ว่าขอแค่เป็นคนเก่งก็พอ ฉันไม่สามารถปล่อยให้คนที่ไม่ไว้ใจมาคุ้มกันฉันได้ เห้อ…..ขออนุญาตครับ, อัลเอง”


 


“อัลหรอ!? รีบเข้ามาเร็ว!”


 


ในตอนที่ฉันมาเยี่ยมห้องของแม่ที่ตำหนักใน, เธอก็ตะโกนบอกให้ฉันเข้ามา


 


ด้วยความที่ตระหนักได้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ, ฉันก็เลยเข้าห้องไปอย่างเงียบๆ


 


แม่กำลังกอดคริสต้าที่กำลังตัวสั่น


 


“คริสต้า!?”


 


“ฮือฮือ….ฮือออ…….”


 


“จู่ๆเธอก็เริ่มร้องไห้ออกมาโดยไม่พูดอะไรเลย เธอน่าจะเห็นอะไรบางอย่างอีกแล้ว”


 


แน่นอนว่าแม่ของฉันที่รับหน้าที่เป็นผู้ปกครองของคริสต้ารู้เรื่องความสามารถในการทำนายของเธอ


 


เธอมักจะปลอบโยนคริสต้าและปล่อยให้มันผ่านไปแต่ถ้าคริสต้าเป็นแบบนี้จะปล่อยให้มันผ่านไปเองคงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีแล้ว


 


ฉันย่อตัวลงมาให้อยู่ในระดับสายตาของคริสต้า


 


“คริสต้า เป็นอะไรรึเปล่า? นี่ข้าเอง, อัล”


 


“…..ท่านพี่อัล…………ท่านพี่อัล!”


 


คริสต้าที่กอดแม่อยู่เข้ามากอดฉันแทน


 


ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อย


 


ฉันลูบศรีษะของเธอจนกระทั่งเธอใจเย็นลง


 


ในตอนที่คริสต้าได้สติแล้ว, เธอก็พยายามจะปริปากพูดแต่เธอทำไม่ได้


 


“…..คริสต้า เจ้าเห็นอะไรหรอ? มันเป็นเรื่องน่ากลัวใช่ไหม?”


 


“คริสต้า บอกอัลเถอะ เขาอาจจะสามารถช่วยจัดการกับมันได้นะ”


 


“….ฮือ….ฮืออ………”


 


“คริสต้า?”


 


“…..กระท่อมหลังเล็กๆ……แล้วก็มีเด็กอยู่เต็มเลย……..”


 


คริสต้าเริ่มพูดออกมาทีละนิด


 


เธอพูดสิ่งที่เห็นออกมาเป็นคำๆแต่สุดท้ายนั้น, เธอก็พึมพำออกมาแบบนี้,


 


“ริ, ริต้า…….”


 


“ริต้าหรอ?”


 


“เธอตาย…….! ต่อหน้าต่อตาข้าเลย……..!”


 


“หา!?”


 


“ไม่จริงหน่า……”


 


นี่มันทำให้ฉันตกใจจริงๆ


 


ในอดีต, นิมิตของคริสต้าจะมีจริงบ้างไม่จริงบ้าง


 


อย่างไรก็ตาม, ในแง่ของความแม่นยำ, อนาคตที่เกี่ยวข้องกับคริสต้าโดยตรงนั้นจะแม่นยำกว่า


 


ความตายของพี่ชายคนโตของพวกเราก็คือความตายของคนที่ใกล้ชิดกับเธอ, และเธอก็อยู่ที่นั่นในตอนที่เคียร์ถูกโจมตี


 


ในแง่นี้, อนาคตที่เกิดขึ้นตรงหน้าตัวคริสต้าเองนั้นจะน่าเชื่อถือมากๆ


 


แต่จังหวะเวลาแบบนี้มันเข้าขั้นเลวร้ายที่สุดเลย!


 


“พี่อัล……ช่วยริต้าด้วย……!”


 


“อัล…..”


 


“….ข้าพึ่งจะบอกลาท่านพ่อมาเอง……….”


 


“เอ๋……? ไม่ได้นะคะ! พี่อัล! อย่าไปนะ!”


 


คริสต้าเกาะฉันด้วยความสิ้นหวัง มือเล็กๆของเธอจับเสื้อของฉันแน่น


 


จะเอายังไงดีนะ?


 


ฉันควรบอกท่านพ่อว่าพวกเราควรตัดใจรึเปล่า?


 


ไม่ได้, เขาไม่ยอมแน่น ฉันจำเป็นต้องมีเหตุผล และถ้าฉันอธิบายเรื่องคริสต้ากับเขา, ความสามารถของคริสต้าก็จะถูกเปิดเผย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้แม่นยำร้อยเปอร์เซนต์, แต่เวทมนตร์ที่ช่วยให้เห็นอนาคตได้นั้นถือว่ามีประโยชน์กับประเทศเป็นอย่างมาก


 


นั่นคือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มันจะทำให้คริสต้าตกอยู่ในอันตรายและเธอก็จะถูกบังคับให้มองในสิ่งที่เธอไม่อยากมอง


 


อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้พวกเราไม่มีคนที่พึ่งพาได้เลย


 


“อัล แม่จะหาทางขอร้องจักรพรรดิให้เอง”


 


“….ต่อให้ข้าไม่ไปไหน, จะให้ข้าอยู่ตำหนักในตลอดเวลาก็คงไม่ได้”


 


นอกจากสนม, คนคุ้มกัน, ข้ารับใช้หญิงแล้ว, คนที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในตำหนักในก็มีแค่ราชวงศ์ที่เป็นผู้หญิงหรือไม่ก็เจ้าชายที่มีอายุไม่ถึงยี่สิบปี


 


ต่อให้เป็นเจ้าชาย, ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในตำหนักในหลังจากที่อายุมากขึ้นถึงระดับนึง


 


ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในที่แห่งนี้, การตอบสนองของฉันก็จะล่าช้า


 


ถ้าลินเฟียอยู่ที่นี่หล่ะก็ฉันคงสามารถขอให้แม่แต่งตั้งเธอเป็นคนคุ้มกันได้แต่ตอนนี้ตัวเลือกนั้นคงเป็นไปไม่ได้


 


แม้จะเป็นซิลเวอร์, แต่ถ้าจู่ๆฉันไปปรากฎตัวขึ้นที่ตำหนักใน, ก็จะมีบทลงโทษตามมาอย่างแน่นอน


 


“ประเมินจากสถานการณ์แล้ว, ดูเหมือนว่าตัวคริสต้าเองจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พวกเราจำเป็นต้องมีคนคุ้มกันที่อยู่ใกล้เธอได้มากที่สุด และผู้หญิงที่มีทักษะมากพอจะคุ้มกันเธอได้ก็คือ…..”


 


“….ก็นึกออกอยู่คนเดียวนั่นแหล่ะ”


 


“นั่นสินะ”


 


ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ฉันก็คงทำได้แค่ขอร้องเอลน่า


 


ฉันต้องขอให้เธอพักภารกิจและมาอยู่กับคริสต้า


 


ถ้าไม่ได้ผลฉันก็ต้องหาวิธีใหม่


 


“แต่เอลน่าถูกมอบหมายภารกิจไปแล้ว ในแง่ของความเสี่ยง, เธอคงอยู่ในระดับเดียวหรืออาจจะหนักกว่าข้าด้วยซ้ำ”


 


เธอถูกมอบหมายภารกิจในฐานะอัศวินหลวงในขณะที่ฉันถูกมอบหมายในฐานะเจ้าชาย แม้แต่เด็กก็ยังบอกได้ว่าพวกเราคนไหนที่ควรเลือกภารกิจของตัวเองมาก่อนเรื่องนี้


 


ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่เธอใช้, เธออาจจะถึงขั้นถูกถอดออกจากภาคีอัศวินหลวงก็ได้


 


แต่ถึงอย่างนั้น, พวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพาเอลน่า

 

 

 


ตอนที่ 63

 

ฉันกำลังคิดหลายๆเรื่องในระหว่างที่มุ่งหน้าไปหาเอลน่า


 


ฉันจะขอร้องเธอยังไงดีนะ


 


ฉันจะทำยังไงถ้าเธอปฏิเสธ?


 


ตอนนี้มีหลายเรื่องผุดขึ้นมาในหัวของฉัน


 


ฉันได้รับการต้อนรับที่หน้าประตูเหมือนปกติแล้วเข้าไปที่คฤหาสน์ผู้กล้าหาญ


 


“อัล มีอะไรรึเปล่า?”


 


“เอลน่า……”


 


เอลน่าออกมาทักทายฉัน


 


ฉันคงจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าคุณแอนนาออกมาแทน


 


พูดตามตรง, ฉันไม่กล้าสบตากับเอลน่าตรงๆ


 


อย่างไรก็ตาม, ท่าทีที่ผิดปกตินี้คงรอดพ้นสายตาเพื่อนสมัยเด็กของฉันไม่ได้


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


“คือว่า……”


 


“ต่อให้เจ้าพยายามปิดบังก็ไม่มีประโยชน์หรอก มีอะไรก็พูดออกมาซะดีๆ…”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็พาฉันไปที่ห้องรับแขก


 


คนใช้กำลังเตรียมชากับขนมให้พวกเราอยู่ที่นั่น


 


เมื่อเห็นแบบนี้, เอลน่าจึงขอให้พวกเขาออกไปจากห้อง หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว, เอลน่าก็นั่งลงแล้วบังคับให้ฉันเข้าประเด็นในทันที


 


“ข้าจะถามอีกครั้ง เกิดอะไรขึ้น?”


 


“…..เป็นข่าวร้ายหน่ะ”


 


“งั้นหรอ เจ้าต้องการความช่วยเหลือสินะ?”


 


“…..อ่า”


 


ฉันพยักหน้าโดยไม่ได้สบตากับเธอตรงๆ


 


จะไปขอได้ยังไงกันหล่ะ


 


แต่ถึงอย่างนั้น, ฉันก็ยังแบกหน้ามาหาเอลน่า


 


 


ฉันควรจะทำหน้ายังไงดี?


 


สุดท้ายแล้วภารกิจของฉันก็คือผลประโยชน์ของพวกเราในสงครามผู้สืบทอด ด้วยความที่มีการประเมินของท่านพ่อเข้ามาพ่วงด้วย, ฉันก็เลยไม่สามารถละทิ้งภารกิจในครั้งนี้ได้


 


นั่นสินะ ฉันกำลังชั่งน้ำหนักความสำคัญระหว่างความปลอดภัยของน้องสาวกับบัลลังก์อยู่ และเพราะฉันไม่สามารถเลือกทิ้งได้เลยซักอย่าง, ฉันก็เลยมาหาเอลน่า


 


ตำหนักในคือโลกของผู้หญิง แม้กระทั่งคนคุ้มกันก็ต้องเป็นผู้หญิง แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่เหตุผลภายนอก, ไม่ใช่เหตุผลหลัก


 


ในที่สุดพวกเราก็เป็นฝ่ายนำแล้ว ท่านพ่อกำลังถูกใจพวกเรา ฉันไม่อยากโยนข้อได้เปรียบนี้ทิ้ง


 


อย่างไรก็ตาม, ฉันไม่สามารถละเลยคริสต้าได้เหมือนกัน


 


ฉันไม่สามารถเลือกได้


 


นี่คือสาเหตุที่ฉันอยากจะพึ่งเอลน่า การทำตัวน่าสมเพศแบบนี้, ฉันไม่กล้าที่จะมองหน้าเอลน่าเลย


 


แต่ถึงอย่างนั้น


 


“ไม่เป็นไร ข้าจะไปหาจักรพรรดิแล้วปฏิเสธภารกิจเอง”


 


“!? จะดีหรอ…..?”


 


“อะไรกัน?”


 


พอเจอการตอบกลับอย่างทันควันเช่นนี้, ฉันก็เลยเผลอเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ


 


และในตอนนั้นเอง, ฉันก็เห็นสีหน้าตามปกติของเอลน่า


 


สีหน้าของเธอดูเหมือนไม่มีปัญหาเลย


 


“แต่ว่า…..ถ้าเจ้าปฏิเสธไปเกียรติของเจ้าจะไม่เสื่อมเสียหรอ……?”


 


“มันไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องเกียรติแล้ว เจ้าต้องการความช่วยเหลือของข้าใช่ไหมหล่ะ? ถ้างั้นก็ไม่ต้องพิจารณาอะไรอีกแล้ว”


 


“….ข้าต้องออกจากเมืองหลวงไปจัดการเรื่องคำขอแต่งงานของท่านพี่ เพื่อให้พวกเราคืบหน้าในสงครามผู้สืบทอดไปได้อย่างราบลื่น, ข้าจะต้องทำให้การแต่งงานนี้ผ่านไปได้ด้วยดีที่สุดเท่าที่จะทำได้…..นี่คือเหตุผลที่ข้ามาหาเจ้า, พอจะเข้าใจสินะ?”


 


“เจ้าปล่อยมันไปไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญใช่ไหมหล่ะ? ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าอยากให้ข้าทำอะไรแต่ถ้ามันเป็นเรื่องจำเป็นข้าก็จะช่วยเจ้าเอง”


 


“ทำไมหล่ะ…..”


 


“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรอ? ข้าจะไม่มีวันทิ้งอัล เจ้าก็น่าจะรู้ตัวนี่? เจ้าทำหน้าสลดมาตั้งแต่ตอนที่มาถึงที่นี่แล้วไม่ใช่รึไง? ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เจ้าต้องการข้าใช่ไหมหล่ะ? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าก็พอจะทิ้งซักงานสองงานได้อยู่หรอก เจ้าน่าจะคิดมาดีแล้วก็เลยมาหาข้าเพราะเจ้าสามารถพึ่งพาได้แค่ข้าเท่านั้นถูกไหม?”


 


เอลน่าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


 


แต่มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นหน่ะสิ


 


ถ้ามันง่ายจริงข้าคงไม่มานั่งรู้สึกผิดแบบนี้หรอก


 


ในฐานะบุตรีของบ้านผู้กล้าหาญและหนึ่งในอัศวินหลวง, การปฏิเสธภารกิจถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเอลน่า, แน่นอนว่า, ท่านพ่อไม่ชอบบังคับคนอื่น  บ้านผู้กล้าหาญที่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นมีความสำคัญกับจักรวรรดิ, ท่านพ่อคงไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับราชวงศ์


 


แต่, นี่ก็ยังสร้างความเสื่อมเสียให้กับชื่อของเธอ


 


“เกียรติยศมันสำคัญกับเจ้าไม่ใช่หรอ…..?”


 


“ก็ใช่อยู่หรอก แต่สำหรับข้านั้น, คำสาบานสำคัญกว่าเกียรติ ถ้าเจ้าบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญข้าก็จะทำให้ทุกอย่าง เถอะหน่า, บอกข้ามา เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร?”


 


เอลน่าเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่ไม่ค่อยแสดงให้เห็นออกมา


 


รอยยิ้มนี้ทำให้หัวใจของฉันสั่นไหว


 


แต่ฉันก็ยังอดรู้สึกผิดกับรอยยิ้มนี้ไม่ได้


 


“……คริสต้ามีพรสวรรค์โดยกำเนิดด้วย มันคือพลังแห่งการทำนาย”


 


“….นั่นน่าประหลาดใจอยู่นะ นี่เจ้าปกปิดเรื่องนี้มาตลอดเลยหรอ?”


 


“มันแสดงออกมาเมื่อประมาณสามปีก่อนในตอนที่คริสต้าเห็นความตายของมงกุฎราชกุมาร ตั้งแต่นั้นมา, ก็มีอีกหลายอนาคตที่เธอเห็นทั้งที่เป็นจริงและไม่จริงแต่อนาคตส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรงนั้นมักจะเป็นความจริงตลอด”


 


“แล้วมันก็เกิดขึ้นในครั้งนี้ใช่ไหม”


 


“ใช่ เจ้าจำริต้าได้รึเปล่า? เด็กสาวที่เคยเล่นกับลีโอเมื่อไม่กี่วันก่อน”


 


“จำได้สิ เด็กสาวคนนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรอ?”


 


“…..คริสต้าบอกว่าเธอตาย ต่อหน้าต่อตาเธอ”


 


สายตาของเอลน่าจริงจังขึ้นมาในตอนที่ได้ฟังคำพูดของฉัน


 


คริสต้าไม่เคยออกจากปราสาทหรือตำหนักใน ความจริงที่ว่าคริสต้ามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงนั้นก็หมายความว่ามีคนจากปราสาทหรือตำหนักในเกี่ยวข้องด้วย


 


ในแง่นี้, มันถือเป็นข้อได้เปรียบสำหรับพวกเราที่มีเอลน่าซึ่งเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในบ้านผู้กล้าหาญคอยคุ้มกันเธอ


 


ต่อให้มีคนพยายามจะทำเรื่องไม่ดี, แต่ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความสามารถพอที่จะทำได้ถ้ามีเอลน่าคอยคุ้มกันอยู่


 


“จะให้ข้าอยู่คุ้มกันองค์หญิงคริสต้าใช่ไหม? ด้วยวิธีนี้ข้าก็จะสามารถปกป้องริต้าได้ด้วย”


 


“ใช่…..มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องความสามารถในการทำนายของคริสต้า แม้แต่ท่านพ่อก็ยังไม่รู้ เจ้าจะใช้เรื่องนี้มาเป็นเหตุผลในการบอกปัดภารกิจไม่ได้นะเข้าใจใช่ไหม?”


 


 


“ไม่เป็นไร ภารกิจต่อไปของข้าอยู่ใกล้กับทะเลสาบใหญ่พอดี”


 


“….นี่เจ้า, ทำไมไม่บอกข้าหล่ะ?”


 


“ถ้าข้าบอกองค์จักรพรรดิไปว่าไม่ค่อยถูกกับน้ำ, ก็น่าจะไม่เป็นปัญหาอะไรใช่ไหมหล่ะ?”


 


“นั่นก็จริงอยู่แต่ว่า…..มันจะเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของเจ้าไม่ใช่หรอ? จะไม่เป็นอะไรแน่นะ? เจ้ารังเกียจมันไม่ใช่รึไง?”


 


“แม้แต่ตอนนี้ข้าก็ยังไม่ชอบความคิดนี้ ถ้าข้าบอกปัดภารกิจไปมันก็คงจะเหมือนกับการยอมรับความพ่ายแพ้ของข้าและข้าก็จะกลายเป็นที่หัวเราะถ้าผู้คนรู้ว่าลูกสาวของบ้านผู้กล้าหาญไม่ถูกกับน้ำ”


 


“ถ้างั้น…..”


 


“แต่ว่าคำสาบานของข้าสำคัญกว่าเรื่องนั้น เจ้ากำลังมีปัญหาใช่ไหมหล่ะ? เจ้าจะไหวหรอถ้าไม่มีข้าคอยช่วย? เจ้าจะทำยังไง? ที่เจ้ามาหาข้าก็เพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วถูกไหม? ถ้างั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง ถ้าคำสาบานของข้าเป็นแค่คำพูดเลื่อนลอยมันก็คงไม่มีความหมายอะไรหรอก”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาฉัน


 


จากนั้นเธอก็ยื่นหน้าเข้ามาหา


 


ฉันตกใจกับการเคลื่อนไหวอย่างกระทันหันของเธอแต่เอลน่าก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา


 


“ไม่ต้องห่วงหน่า ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะปกป้องทุกสิ่งที่อัลอยากปกป้อง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าสูญเสียอะไรไปหรอก ข้าจะเป็นพลังให้เจ้า เพราะฉะนั้นอย่าทำหน้าตาเจ็บปวดแบบนั้นอีกนะ”


 


“เอลน่า….”


 


“ไม่เป็นไรหรอก อัล, เจ้าไม่ได้ทิ้งองค์หญิงคริสต้าซักหน่อย สงครามผู้สืบทอดเป็นเรื่องสำคัญ, และองค์หญิงคริสต้าเองก็เหมือนกัน ถ้าเจ้าไม่สามารถรักษาทั้งสองอย่างเอาไว้ได้พร้อมกัน, ข้าก็จะปกป้องพวกเขาเพื่อเจ้า อัลเจ้าต้องทุ่มเทให้กับเรื่องแต่งงานเพื่อสงครามผู้สืบทอดใช่ไหมหล่ะ? เดี๋ยวข้าจะปกป้ององค์หญิงคริสต้าให้เจ้าเอง”


 


“…..ข้าไม่อยากให้เด็กคนนั้นต้องมานั่งเสียใจอีกแล้ว…..ในตอนที่แม่ของเธอตาย, เธอดูเหมือนกับเปลือกที่ว่างเปล่าแต่ในที่สุดเธอก็เริ่มยิ้มออกมาได้….ดูแลน้องสาวของข้าให้ทีนะ…..ดูแลคริสต้าเพื่อข้า คงไม่มีใครทำได้แล้วนอกจากเจ้า……”


 


“ไว้ใจข้าได้เลย พวกเราเป็นทั้งเพื่อนสมัยเด็กและผู้ร่วมมือ, ถูกไหม? เจ้าบอกข้าได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น, ข้าก็จะเป็นพลังให้กับเจ้า”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ถอยไปหนึ่งก้าว


 


จากนั้นเธอก็ยิ้มให้ฉันอย่างสดใส


 


ฉันเคยเห็นรอยยิ้มนั้นมาก่อน


 


ตั้งแต่ที่ฉันได้รู้จักกับเธอ, นั่นคือรอยยิ้มในตอนที่เธอบอกว่าจะปกป้องฉัน


 


เข้าใจหล่ะ เธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสินะ


 


ถึงยังไงเอลน่าก็ยังคงเป็นเพื่อนของฉัน


 



 


“พี่อัล! อย่าไปเลยนะ…..!”


 


“คริสต้า ทำแบบนั้นอัลจะลำบากใจเอานะ”


 


ท้ายที่สุดแล้ว, เอลน่าก็บอกปัดภารกิจโดยใช้เหตุผลเรื่องทะเลสาบ


 


เธอสารภาพกับท่านพ่อตามตรงว่าเธอกลัวน้ำ


 


สำหรับฉันกับลีโอ, เธอฝืนตัวเองทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันของพวกเราเมื่อครั้งที่ผ่านมาแต่เนื่องจากเธอรู้ว่าเธอจะเป็นตัวถ่วงในภารกิจครั้งนี้แน่ๆ, เธอก็เลยอยากจะบอกปัดงานของเธอ


 


ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้, ท่านพ่อรู้เรื่องนั้นและส่งอัศวินหลวงคนอื่นไปทำภารกิจแทน


 


จากนั้นท่านแม่ก็มาบอกท่านพ่อว่าเธออยากให้เอลน่ามาเป็นคนคุ้มกันของเธอซักพักเพราะเธออยากฟังเรื่องราวของพวกเรา, ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่เชื่อถือได้


 


ซึ่งท่านพ่อก็ยอมอนุญาต บางทีเขาคงคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะให้เอลน่าได้พักผ่อนเหมือนกัน


 


และตอนนี้ฉันก็กำลังบอกลาท่านแม่กับคริสต้าก่อนที่จะออกจากเมืองหลวง


 


“เอลน่าจะอยู่กับพวกเรานะ”


 


“ไม่เอา…..! ข้าอยากอยู่กับท่านพี่อัล……!”


 


“…คริสต้า เชื่อใจข้าไหม?”


 


“อื้ม…..”


 


“ดีมาก”


 


ในขณะที่กำลังลูบศรีษะของเธอแล้วเธอก็เข้ามากอดฉัน, ฉันก็รู้สึกใจหาย


 


ต่อให้ฉันฝืนจากไปทั้งแบบนี้เลย, คริสต้าก็อาจจะไม่ไว้ใจเอลน่า


 


เอาเถอะ, ฉันก็ไม่ได้อะไรมากแต่ฉันอยากทำให้เธอไว้ใจเอลน่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


เพราะฉะนั้นฉันก็เลยพูดความในใจออกมา


 


“ถ้างั้นข้าจะฝากดาบที่ข้าไว้ใจมากที่สุดเอาไว้กับเจ้านะ”


 


“ดาบหรอคะ…..?”


 


“ใช่แล้ว มันคือดาบที่ดีที่สุดในทวีปนี้ มันจะปกป้องเจ้าจากอันตรายทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรเจ้าก็สามารถพึ่งพามันได้ ถ้าเจ้ารู้สึกสิ้นหวังเจ้าก็สามารถเรียกชื่อของมันแทนข้าได้ มันจะเข้ามาช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน”


 


“แต่ว่า….”


 


“ยังไม่พอใจอีกหรอ? มันคือดาบที่ข้าเชื่อใจที่สุดเลยนะรู้รึเปล่า? มันเคยปกป้องข้ามาหลายครั้งแล้ว ถึงขนาดนี้, เจ้ายังไม่พอใจอีกหรอ?”


 


“…..อ..อื้ม”


 


“เด็กดี ไม่เป็นไรนะ เอลน่าจะปกป้องเจ้ากับริต้าแทนข้า”


 


พอพูดจบ, ฉันก็กอดคริสต้าแน่นแล้วหันหลังเตรียมแยกกับเธอ


 


เอลน่าอยู่ที่นี่ด้วย


 


“ฝากดูแลน้องสาวของข้าด้วยนะ”


 


“ไว้ใจได้เลย


 


ด้วยการพูดคุยกันสั้นๆ, ฉันก็เริ่มเดินต่อ


 


ฉันไม่ได้หันกลับมา


 


ตอนนี้มันไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 64

 

ข้างหน้าห้องๆหนึ่งที่ตำหนักใน


 


ซานดร้าพึ่งจะมาถึงที่นี่


 


“ท่านแม่! ท่านแม่!”


 


ด้วยการทำเหมือนกับว่าพวกคนใช้ไม่มีตัวตนอยู่, ซานดร้าก็โวยวายเข้ามาในห้อง


 


มันคือห้องของภรรยาลำดับห้าของจักรพรรดิ ห้องแม่ของซานดร้า


 


มีผู้หญิงคนนึงที่มีผมสีเขียวเข้มเป็นมันวาวอยู่ข้างใน, เธอถอนหายใจแล้วทักทายลูกสาวของเธอ


 


“เกิดอะไรขึ้น? ซานดร้า โวยวายอะไรนักหนา”


 


“ก็แน่หล่ะสิ ข้าต้องโวยวายอยู่แล้ว! ท่านรู้รึเปล่าว่าลีโอนาร์ดพึ่งจะออกเดินทางลงใต้ในฐานะผู้ตรวจสอบของจักรวรรดิ!? มันคิดจะทำลายฐานสนับสนุนหลักของพวกเรานะคะ!”


 


ในขณะที่มองลูกสาวขี้โวยวาย, ผู้หญิงผมสีเขียวเข้ม, ซูซานก็ยิ้มให้เธอ


 


บางทีพอมาหงุดหงิดใส่แม่ของตัวเองที่กำลังยิ้มร่า, ซานดร้าก็เลยสร้างแส้ลมขึ้นมาแล้วหวดใส่คนใช้ที่อยู่ใกล้ๆ


 


“โอ๊ยยย!!?? ป, โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถอะค่ะ!!”


 


“หุบปาก! หุบปากไปซะ! ไอ้เวรลีโอนาร์ด! คิดจะไปถิ่นของท่านลุงงั้นหรอ!? ไม่ว่าพวกเราจะตกที่นั่งลำบากแค่ไหน, แกก็ไม่มีสิทธิมาทำแบบนี้!”


 


“อึ้ก!! โอ๊ย! ย, ยก, ยกโทษให้ข้าด้วย………”


 


“หุบปากซะ! หุบปากไปก่อนที่จะไม่ได้หุบอีก! จุดประสงค์เดียวที่เจ้ามาอยู่ที่นี่มีแค่การเป็นกระสอบทรายเท่านั้น!”


 


พอพูดจบ, ซานดร้าก็ฟาดใส่คนใช้ที่หมดสติไปแล้วไม่ยั้ง


 


ในตอนที่ซานดร้าใจเย็นลง, คนใช้ก็ถูกแปรสภาพเป็นซากเลือดแล้ว


 


โดยปกติ, เธอจะรู้สึกผิดเล็กน้อยหลังจากที่ใจเย็นลงแต่โดยที่ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเลย, ซานดร้าก็เริ่มพูดกับแม่ของเธอ


 


“พวกเรากำลังพูดถึงลีโอนาร์ดกันอยู่นะคะ มันจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดแน่ๆ ถ้ามันขุดเจอเรื่องนั้นขึ้นมาพวกเราก็จะปฏิเสธไม่ได้เลย”


 


“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องทางใต้หรอกหน่า ท่านพี่เป็นคนดูแลอยู่ เขาจะทำหน้าที่ของเขาเป็นอย่างดีเพื่อพวกเราอย่างแน่นอน ต่อให้เขาล้มเหลว, ความรับผิดชอบทั้งหมดก็จะตกอยู่กับเขา ไฟไม่ลามมาถึงพวกเราหรอก”


 


“ถึงอย่างนั้น, พวกเราก็จะสูญเสียแรงสนับสนุนจากทางใต้ไปอยู่ดีนะคะ”


 


“ไม่เป็นไรหรอกหน่า ถ้าการทดลองของเจ้าไปได้ดี, ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วไม่ใช่หรอ?”


 


“นั่นก็จริงอยู่หรอกค่ะแต่ว่า……”


 


“ตราบใดที่ข้ากับเจ้าปลอดภัยก็ไม่เป็นไรหรอก พวกเราค่อยตบรางวัลให้ขุนนางพวกนั้นหลังจากที่พวกเราได้บัลลังก์มาแล้วก็ได้ พวกนั้นน่าจะยอมปล่อยผ่านไปในไม่ช้า ถึงยังไงพวกนั้นก็เชื่อฟังแค่คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นแหล่ะ”


 


พอพูดจบ, ซูซานก็ยิ้มออกมา


 


มันเป็นรอยยิ้มที่ทั้งชั่วร้ายและโหดเหี้ยม


 


ในขณะที่ซานดร้ามักจะไม่แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า, ซูซานเองก็เป็นผู้หญิงที่มักจะเก็บเรื่องต่างๆเอาไว้ในใจอย่างเงียบๆเช่นกัน


 


รอยยิ้มของซูซานที่เผยออกมานั้นเกิดจากความรุนแรงตามธรรมชาติของเธอที่สั่งสมมานานหลายปี, ซึ่งดูเหมือนว่าต่อให้ใช้คำจำกัดความว่าโรคจิตก็คงไม่ผิด


 


“ด้วยคำสั่งของจักรพรรดิ, ข้าก็เลยไม่สามารถทำการวิจัยเวทมนตร์ต้องห้ามได้อีก คนๆเดียวที่ยังทำได้ก็คือเจ้า”


 


“ข้าเข้าใจดีค่ะ ท่านแม่”


 


“เจ้าเป็นเด็กที่เก่ง เจ้ามีคุณสมบัติที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดินีมากกว่าใครอื่น เจ้าได้รับส่วนนั้นมาจากข้า พ่อค้าทาสจะเอาตัวพวกเด็กๆมาให้เจ้าในเร็วๆนี้ เด็กพวกนั้นคือหนูทดลองของเจ้า เจ้าจะต้องทำให้มันสมบูรณ์แบบ คำสาปที่ไร้ที่ติ”


 


“ค่ะ ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นเอง และข้าจะจัดการใครก็ตามที่กล้ามายั่วโมโหข้า พวกมันไม่มีสิทธิมายั่วโมโหข้าแบบนี้ ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมด”


 


“ใช่แล้ว นี่แหล่ะคือจิตวิญญาณที่กล้าแกร่ง”


 


ในขณะที่กำลังลูบศรีษะสีเขียวเข้มของซานดร้า, ซูซานก็จ้องมองลูกสาว


 


ลูกสาวของเธอได้รับทุกส่วนที่เธอต้องการให้มี


 


เป็นลูกสาวที่สามารถพูดได้เลยว่าถอดแบบมาจากเธอ


 


การทำให้ซานดร้าได้เป็นจักรพรรดินีนั้นก็เหมือนกับการทำให้ตัวเองได้เป็น


 


“ถ้าจนมุมจริงๆ, ข้าจะกำจัดพวกที่มาขวางทางเจ้าอีกครั้ง เจ้าแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ก็พอ ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงพวกเราก็มีพันธมิตรตั้งหลายคน


 


“ค่ะ ท่านแม่”


 


พอพูดจบ, แม่ลูกก็กอดกัน


 


ถ้าจักรพรรดิมาเห็น, เขาคงจะต้องสงสัยแน่ๆว่าสองคนนี้เป็นแม่ลูกกันจริงๆหรอ


 


ทั้งคู่มีรอยยิ้มที่ดูโรคจิตซึ่งสามารถสลักความสยองอันบริสุทธิลงไปในสายตาของผู้ที่มองได้เลย


 


คนใช้ที่เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ต่างก็พากันก้มศรีษะลง


 


จากนั้นพวกเธอก็สวดภาวนา


 


ภาวนาให้นรกนี้รีบผ่านพ้นไปเร็วๆ


 



 


ในการเดินทางลงใต้, ลีโอได้มาถึงเมืองๆนึง


 


มันคือเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเขตใต้, วูมเม่


 


มันคือเมืองที่ปกครองโดยขุนนางที่มีอิทธิพลทั่วทั้งเขตใต้, ดยุคครูเกอร์


 


“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะครับ, ดยุคครูเกอร์”


 


“ไม่ ไม่หรอกครับ, มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่ขุนนางจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้ตรวจสอบของจักรวรรดิ”


 


ชายผมสีเขียวเข้มพูดด้วยรอยยิ้ม


 


เขาอายุเกินห้าสิบปีแล้วแต่ยังดูเด็กอยู่เลย


 


เขาเป็นผู้ชายตัวสูงหุ่นดีที่ห้อยดาบเอาไว้ที่เอว เขาเคยเป็นนักรบที่ออกลุยมาหลายสนามรบ


 


ชื่อของเขาคือสเวน ฟ็อน ครูเกอร์


 


เขาคือพี่ชายของภรรยาลำดับห้าเช่นเดียวกับพี่เขยของจักรพรรดิ


 


“ดยุคครูเกอร์, ข้าคิดว่าท่านเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะถามเรื่องทางใต้ ข้าขอเข้าประเด็นเลยนะครับ, ท่านเคยเห็นขุนนางคนไหนทำตัวน่าสงสัยบ้างรึเปล่า?”


 


ลีโอจ้องตรงไปที่ดยุคครูเกอร์


 


ดยุคครูเกอร์เกี่ยวข้องกับหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นทางใต้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม, ลีโอนาร์ดจะไปเริ่มกล่าวหาเขาเลยไม่ได้


 


ก่อนอื่น, เขาต้องเริ่มด้วยเรื่องหมู่บ้านของลินเฟียแต่เขากำลังสงสัยอยู่ว่าดยุคจะยอมบอกชื่อมาสักคนก่อนที่เขาจะเริ่มรึเปล่า


 


“ขุนนางน่าสงสัยหรอครับ? เท่าที่ข้ารู้, ไม่มีคนในใจข้าเลยครับแต่ข้าคงยืนยันได้ไม่เต็มปากสำหรับขุนนางที่อยู่ชายแดนเพราะข้าไม่ได้จับตาดูพวกเขาอย่างเต็มที่”


 


“หืม”


 


เขากำลังบอกว่าเขาไม่ได้ควบคุมพวกเขาอย่างสมบูรณ์หรอ การที่เขาพูดอะไรคลุมเครือแบบนี้มันดูค่อนข้างทะแม่งๆนะ


 


เขาสามารถใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการปัดความรับผิดชอบได้


 


อย่างไรก็ตาม, นี่มันยังไม่พอหรอก


 


ลีโอยิ้มในขณะที่คอยสังเกตการเคลื่อนไหวทุกอย่างของครูเกอร์และประชุมกันต่อ


 



 


ในขณะที่ลีโอกำลังประชุมกับดยุคครูเกอร์อยู่นั้น, ลินเฟียก็ออกไปเดินซื้อของในเมือง


 


แน่นอนว่า, เธอกำลังรวบรวมข้อมูลจากรอบๆเมืองไปพร้อมกันด้วย


 


“เอาอันนี้, แล้วก็ขออันนั้นด้วยค่ะ”


 


“เอ้าจัดไป, ขอบใจที่อุดหนุนนะ”


 


“ช่วงนี้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้างรึเปล่าคะ?”


 


“เปลี่ยนหรอ? อืมม, ข้าไม่เห็นอะไรเลยนะ”


 


นี่คือคำตอบจากเจ้าของแผงผลไม้


 


นี่คือครั้งที่ห้าแล้วที่เธอได้รับคำตอบแบบเดียวกัน


 


อย่างน้อยก็ที่ภายนอกหล่ะนะ, มันยังไม่มีอะไรผิดปกติกับเมืองนี้


 


“งั้นหรอ เข้าใจแล้วค่ะ”


 


พอพูดจบ, ลินเฟียก็หันไปมองรอบๆในขณะที่ถือสิ่งที่เธอซื้อมา


 


เธอซื้อของที่ต้องการมาครบทุกอย่างแล้วและไม่มีเหตุผลให้รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมแล้วด้วย


 


ในตอนที่เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงต่อดี, ลินเฟียก็บังเอิญไปเห็นชายแก่ผมหงอกที่ดูท่างทางลำบากคนนึงอยู่ที่ข้างถนน


 


“ขอโทษนะ ช่วยฟังข้าหน่อยได้ไหม……”


 


“…….”


 


“เห้อ คนแถวนี้นี่เย็นชาจังเลยนะ”


 


พอพูดจบ, ชายแก่ก็ถอนหายใจ


 


เขาตัวเตี้ยและหูของเขาก็ชี้เล็กน้อย


 


ชายแก่คนนี้เป็นคนแคระ คนแคระทั่วๆไปก็ดูหน้าแก่แล้วแต่คนแคระคนนี้ดูเหมือนจะดูแก่ที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา


 


แทนที่จะมีร่างกายที่ดูอ้วนล่ำ, คนแคระคนนี้กลับมีหนวดยาวสีขาวและตัวผอมมาก


 


ด้วยความที่ไม่สามารถปล่อยคนแคระหลังค่อมที่กำลังเดินด้วยไม้เท้าสีขาวเอาไว้คนเดียวได้, ลินเฟียก็เลยคุกเข่าลงแล้วพูดกับเขา


 


“คุณปู่ มีอะไรรึเปล่าคะ?”


 


“โอ้, ยังมีเด็กสาวใจดีอยู่สินะ, ขอโทษที, แต่ช่วยพาข้าไปที่ประตูเมืองหน่อยได้ไหม? ข้าหลงทางอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว”


 


“สามวันเลยหรอคะ? คงลำบากแย่เลย, ไปกันเถอะค่ะ, ข้าจะพาคุณปู่ไปเอง”


 


ลินเฟียไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแต่เธอรู้สึกประหลาดใจมากในตอนที่รู้ว่าคนแคระเฒ่าคนนี้หลงอยู่ในเมืองมาเป็นเวลาสามวันแล้ว


 


เธอยิ้มให้และจูงมือนำทางชายแก่ด้วยท่าทีสบายๆ


 


ชายแก่เองก็ยิ้มรับเธอ


 


“อื้ม, ขอบใจนะ, ขอบใจเจ้ามากจริงๆ เพราะข้าเป็นคนแคระก็เลยไม่มีใครฟังข้าเลย ข้าลำบากมากเลยหล่ะ”


 


“งั้นหรอคะ ที่ผ่านมาคงสาหัสมากเลยสินะคะ”


 


น้ำเสียงของลินเฟียอาจจะฟังดูปกติแต่คำพูดของเธอนั้นเต็มไปด้วยความหวังดี


 


ชายแก่รู้สึกได้ถึงสิ่งนั้นและยิ้มกว้างให้เธอ


 


“ไม่ต้องห่วง, ไม่ต้องห่วงหรอก, ข้าโชคดีจริงๆที่มีเด็กสาวใจดีอย่างเจ้ามาช่วยข้าแบบนี้”


 


“ข้าเองก็เหมือนกันค่ะ…… ข้าเคยถูกช่วยเอาไว้ในตอนที่มีปัญหาเหมือนกัน ไม่สิ, ตอนนี้ข้าก็ยังถูกช่วยอยู่”


 


“โฮ่? เจ้าเองก็มีปัญหาเหมือนกันสินะ, สาวน้อย”


 


“นั่นสินะคะ”


 


“เข้าใจหล่ะ, เข้าใจหล่ะ มันต้องเป็นเรื่องลำบากสำหรับเจ้าแน่ๆเลย อืม, นี่ต้องเป็นโชคชะตาบางอย่างแน่ๆ พอมีอะไรที่ข้าช่วยได้บ้างนะ”


 


พอพูดจบ, ชายแก่ก็เปิดกระเป๋าและเริ่มลื้อของที่อยู่ข้างใน


 


ลินเฟียรู้สึกเกรงใจแต่ชายแก่ก็บอกกับเธอว่าไม่เป็นไรและหาของในกระเป๋าของเขาต่อ


 


“คุณปู่ ทางนี้ค่ะ, ทางนี้”


 


“หืม? ทางนั้นหรอกเรอะ”


 


เนื่องจากเขากำลังมีสมาธิกับกระเป๋าอยู่, ชายแก่ก็เลยเกือบจะเดินไปผิดทางในตอนที่ลินเฟียมองไปทางอื่น


 


ด้วยสภาพเช่นนี้, ลินเฟียก็คอยบอกให้คนแคระเฒ่าเดินไปทางที่ถูกอยู่หลายครั้งและในที่สุดพวกเขาก็มาอยู่ที่ประตูเมืองแล้ว


 


“คุณปู่, พวกเรามาถึงแล้วนะคะ”


 


“ห้ะ? ถึงแล้วหรอ? ที่ไหน?”


 


“ประตูไงคะ”


 


“อ๋ออ! นั่นสินะ, ข้ากำลังหาทางมาที่ประตูอยู่นี่หน่า! ข้ามัวแต่หาอะไรบางอย่างมาเป็นของขอบคุณเจ้าจนลืมไปเลย!”


 


ชายแก่เงยหน้าขึ้นมาและหัวเราดังลั่น


 


บางทีที่คุณปู่หลงทางอาจจะเป็นเพราะนิสัยแบบนี้ก็ได้มั้ง, ลินเฟียคิดในขณะที่เป็นห่วงว่าเขาจะกลับบ้านคนเดียวไหวรึเปล่า


 


อย่างไรก็ตาม


 


“สาวน้อย, ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้เจ้า มันคือนกหวีดภูติป่า เป่ามันในตอนที่เจ้าเจอปัญหานะ แล้วพันธมิตรของเจ้าจะรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน”


 


“ข้ารับของแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ! เก็บเอาไว้เถอะนะคะคุณปู่!”


 


“ข้าไม่อยากได้ เจ้าเก็บเอาไว้เถอะสาวน้อย เจ้าต้องเป่ามันในตอนที่จำเป็นนะ การพึ่งพาคนอื่นบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอก”


 


ชายแก่ยิ้มแล้วเดินออกจากประตูเมืองไป


 


เนื่องจากท่าทีของเขาดูไม่น่าไว้ใจ, ลินเฟียก็เลยเป็นห่วงเขามากแต่เนื่องจากเธอมีภารกิจของตัวเอง, เธอก็เลยไม่สามารถสละเวลามาดูแลเขาได้


 


ด้วยการโค้งทำความเคารพให้กับแผ่นหลังของชายแก่, ลินเฟียก็มุ่งหน้ากลับเข้าไปในเมือง


 


“ดูเหมือนข้าจะยังไม่สามารถละทิ้งมนุษย์ไปได้สินะ เอาหล่ะ, ข้าจะไปที่ไหนดีนะ? อยากรู้จังว่าในเร็วๆนี้จะมีคนเรียกหาข้ารึเปล่า”


 


ชายแก่เดินออกจากถนนในขณะที่พึมพำออกมาแบบนั้นแล้วหายเข้าไปในภูเขา

 

 

 


ตอนที่ 65

 

เวลาได้ล่วงเลยมาหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่ตอนที่ฉันออกจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


ในที่สุดฉันก็มาถึงเมืองหลวงของดยุคไรน์เฟลด์


 


“ยินดีต้อนรับสู่เอิร์ซ, เมืองหลวงของดยุคไรน์เฟลด์ นี่คือคฤหาสน์ของข้าเองครับ”


 


“พวกเรามาถึงแล้วสินะ”


 


ในตอนที่ฉันลงมาจากรถม้า, ฉันก็ทำการยืดเส้นยืดสาย เบื้องหน้าฉันมีคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่หลังหนึ่ง มันกว้างมากสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยแต่สำหรับมุมมองของดยุค, มันอาจจะถูกพิจารณาว่าเป็นคฤหาสน์เล็กๆหลังนึงก็ได้


 


เอาเถอะ, เมื่อเทียบกับดยุคบ้านอื่น, บ้านไรน์เฟลด์ที่ปกครองพื้นที่วันออกเฉียงใต้ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ขนาดเท่านี้อาจจะเหมาะสมแล้วก็ได้


 


“พวกเราก็เดินทางมาตั้งหลายวัน, พักผ่อนกันก่อนดีไหมครับ?”


 


“นั่นสินะ เหนื่อยจริงๆนั่นแหล่ะ”


 


ฉันใช้เวลาห้าวันกว่าจะขี่ม้าไปถึงบ้ายดยุคไคลเนลต์ ตอนนั้นม้าของฉันแทบทรุดเพราะฉันอยากไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม, ครั้งนี้ฉันไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น นี่คือสาเหตุที่ฉันใช้รถม้าและเลือกเดินทางแบบสบายๆ


 


แต่ถึงกระนั้น, รถม้าที่พวกเราใช้ก็ยังเป็นรุ่นล่าสุดที่สงวนเอาไว้สำหรับราชวงศ์และดยุคดังนั้นพวกเราจึงมาถึงที่นี่ไวกว่ารถม้าธรรมดามาก


 


“ข้าขอโทษนะครับ องค์ชายคงจะเหนื่อยเพราะข้าเอาแต่พูดอยู่ตลอดเวลาสินะครับ”


 


เยอร์เกนพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด


 


ฉันยิ้มกลับไปอย่างเจื่อนๆ ตอนอยู่ในรถม้า, เยอร์เกนพูดไม่หยุดจริงๆ


 


ฉันไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับมันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เหนื่อย


 


“ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากจะอาบน้ำซักหน่อย”


 


“ไว้ใจได้เลยครับ มีห้องน้ำขนาดใหญ่อยู่ในคฤหาสน์ของข้า ท่านแม่ของข้าให้ความสำคัญกับห้องน้ำเป็นพิเศษเลยหล่ะเดี๋ยวท่านจะได้เห็นเอง”


 


“ข้าจะรอดูแล้วกันนะ”


 


ในขณะที่พวกเรากำลังพูดคุยกัน, เยอร์เกนก็พาฉันแนะนำข้างในคฤหาสน์


 


อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่พวกเราเข้ามาในคฤหาสน์, ชายแก่คนนึงที่น่าจะเป็นพ่อบ้านของเยอร์เกนก็รีบวิ่งเข้ามาหาพวกเรา


 


“เกิดอะไรขึ้น? จะรีบร้อนอะไรขนาดนั้น”


 


“น, นายท่าน, แย่แล้วครับ! ช่วยทำใจเย็นๆแล้วตั้งใจฟังให้ดีๆนะครับ!”


 


“เจ้านั่นแหล่ะใจเย็นก่อน ไหนบอกข้ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


เยอร์เกนพูดแบบนั้นเพื่อให้พ่อบ้านใจเย็นลง


 


จากนั้นพ่อบ้านก็สุดหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วเริ่มพูดด้วยท่าทีที่สงบลง


 


“ม, มีราชวงศ์เสด็จมาครับ”


 


“ข้ารู้แล้ว เขาก็มากับข้านี่ไง”


 


“ม, ไม่ใช่แบบนั้นครับ! ข้าไม่ได้พูดถึงองค์ชายอาร์โนลด์!”


 


“เจ้าบอกว่าราชวงศ์เขาก็สับสนสิ นับจากนี้ไปเรียกข้าว่าจอมพลก็ได้”


 


จู่ๆเสียงที่ทำให้ฉันอยากคุกเข่าลงตรงนั้นเลยก็เข้ามาในหูของฉันอย่างกระทันหัน


 


มันไม่ได้คุกคามแต่มันเป็นเสียงที่ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าไม่สามารถต่อต้านได้, เสียงของผู้ปกครองโดยกำเนิด


 


เจ้าของเสียงนั้น, ที่ถ้ามีคนบอกว่าเธอเกิดมาเพื่อบงการผู้อื่นฉันก็คงจะเชื่อจนสุดใจ, กำลังเดินลงบันไดมาอย่างช้าๆ


 


ผมสีบลอนด์อร่ามและดวงตาสีม่วง ส่วนสูงที่จัดว่าสูงสำหรับผู้หญิง ชุดเครื่องแบบทหารที่ดูงดงามและรัดรูปซึ่งบ่งบอกได้ถึงรสนิยมที่ดี เธอคือความงดงามที่สามารถดึงดูดผู้มองได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าเธอสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินเอาไว้ข้างหลังด้วย โดยคนที่สามารถสวมผ้าคลุมนี้ได้นั้นมีแค่จอมพลสามคนของจักรวรรดิเท่านั้น


 


ชื่อของผู้หญิงคนนี้ที่เหมือนกับคริสต้าเวอร์ชันผู้ใหญ่บวกกับความงดงามอันน่าหลงใหล, ความกล้าหาญ, และพลังก็คือลีเซล็อตต์ เลคส์ แอดเลอร์


 


เธอคือเจ้าหญิงลำดับหนึ่งของจักรวรรดิเช่นเดียวกับแม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา


 


“ท่านพี่ลีเซ….! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย!?”


 


“นั่นคือวิธีทักทายพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันนานหรอ? ไหนลองพูดใหม่ซิ”


 


“เอ่อ….”


 


“พูดใหม่”


 


“…..ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ท่านพี่ลีเซ ข้าดีใจที่ท่านพี่มีสุขภาพแข็งแรงดี”


 


“ดีมาก”


 


โดยไม่ต้องมีคำแก้ตัวใดๆ, ฉันลังเลที่จะทำการทักทายอีกครั้ง


 


บางทีเธอคงจะพอใจแล้ว, ท่านพี่ลีเซเข้ามาหาฉันด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่เจอกันนานเลยนะ, อัล ข้าเองก็ดีใจที่เจ้ายังแข็งแรงดี คริสต้าเป็นยังไงบ้างหล่ะ?”


 


จู่ๆเธอก็เริ่มพูดคุยกับฉัน นิสัยของเธอไม่เคยเปลี่ยนเลยสินะ


 


เยอร์เกนตกตะลึงและตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่


 


โดยปกติแล้ว, ท่านพี่ควรจะทักทายเขาก่อนเพราะเขาเป็นเจ้าของบ้านไม่ใช่หรอ?


 


ช่างเถอะ, พูดกับพี่สาวคนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ มันไม่ใช่ว่าเธอไม่สนใจคนอื่น, เธอก็แค่รู้สึกไม่อยากทำแบบนั้น ถึงยังไงคนๆนี้ก็เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลหล่ะนะ


 


“คริสต้าสบายดีครับ ช่วงนี้เธอมีเพื่อนอายุไล่เลี่ยกันและเริ่มยิ้มออกมาบ่อยขึ้นด้วย”


 


“งั้นหรอ ขอโทษด้วยนะที่ข้ามักจะฝากให้เจ้าดูแลเธอตลอดเลย”


 


“ไม่หรอกครับ, เด็กคนนั้นก็เป็นน้องสาวของข้าเหมือนกัน และเอาจริงๆคนที่ดูแลเธอคือท่านแม่ต่างหากหล่ะครับ”


 


“อืม แล้วท่านแม่สบายดีไหม?”


 


“ครับ เธอก็เหมือนเดิมแหล่ะ”


 


หลังจากที่ฟังรายงาน, ท่านพี่ลีเซก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ


 


และในที่สุด, เธอก็หันไปหาเยอร์เกน


 


“เยอร์เกน, ขอโทษด้วยนะที่ข้าบุกเข้ามาในช่วงที่เจ้าไม่อยู่”


 


“ไม่หรอกครับ, ข้าต่างหากหล่ะที่ต้องขอโทษที่มาต้อนรับท่านไม่ได้”


 


“ท่านพี่ลีเซ ข้าขอถามอีกครั้งนะ, ท่านพี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงหรอครับ?”


 


แผนการในตอนแรกคือจะส่งจดหมายไปหาเธอหลังจากที่พวกเรามาถึงคฤหาสน์


 


ดังนั้นการที่เธอมาอยู่ที่นี่แล้วจึงเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ


 


ที่นี่ไม่ได้อยู่ไกลจากชายแดนตะวันออกขนาดนั้น, เมื่อเทียบกับเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


แน่นอนว่ามันไม่ได้ไกลมากโดยเฉพาะถ้าพวกเรากำลังพูดถึงพี่สาวของฉัน แต่ไม่ว่ายังไง, พี่สาวของฉันก็เป็นถึงจอมพลที่มีหน้าที่ดูแลทั้งชายแดนตะวันออก เธอไม่น่าจะเป็นคนที่สามารถเดินทางไปไหนได้ง่ายๆ


 


“ข้าได้ยินว่าเจ้ากำลังมาที่นี่ในตอนที่ทำการฝึกทหารใหม่ข้าก็เลยแวะมาเยี่ยมเจ้า”


 


“ท่านพี่ได้ยินมาว่าพวกเรากำลังจะมาหรอ……”


 


เธอมีเครือข่ายข้อมูลแบบไหนกันเนี่ย?


 


ไม่ใช่แค่ข่าวไปถึงหูของเธอเร็วเท่านั้นแต่ความสามารถในการรวบรวมข้อมูลยังสูงด้วย


 


“ตอนนี้, ข้าบอกเหตุผลของข้าไปแล้ว คงถึงเวลาที่เจ้าต้องบอกเหตุผลที่มาที่นี่กับเยอร์เกนแล้วมั้ง?”


 


“เอ่อ…..คือว่า……..”


 


ซวยแล้วไง นี่เราพึ่งขุดหลุมฝังศพตัวเองรึเปล่า?


 


ควรบอกความจริงกับเธอไหมนะ?


 


ในตอนที่ฉันกำลังลังเลอยู่, ท่านพี่ลีเซก็ยิ้มออกมาอย่างกระทันหัน


 


“เจ้าไม่ต้องพูดก็ได้ ท่านพ่อเป็นคนส่งเจ้ามาใช่ไหม?”


 


“….ท่านพี่เข้าใจข้าดีจังเลยนะครับ”


 


“ก็พวกเรากำลังพูดถึงท่านพ่อกันอยู่นี่นะ ข้ารู้ดีว่าเขาเป็นคนยังไง”


 


พอถอนหายใจออกมาด้วยความประหลาดใจ, ท่านพี่ลีเซก็หันไปหาเยอร์เกน


 


เยอร์เกนดูกระอักกระอ่วนแต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้คิดจะปกปิดอะไรจากเธอเลย


 


“เจ้านี่ไม่หัดเรียนรู้บ้างเลยนะ, เยอร์เกน แถมครั้งนี้ยังลากน้องชายของข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก, นี่เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?”


 


“ก็เหมือนเดิมหล่ะครับ, ท่านลีเซล็อตต์”


 


“เข้าใจหล่ะ ถ้างั้นคำตอบของข้าก็ยังเหมือนเดิม ข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้า ข้าจะไม่แต่งงานกับใครก็ตามที่ไม่สามารถตายพร้อมกับข้าได้”


 


“ข้ารู้เรื่องนั้นดีครับ, แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็จะ…….!”


 


“พอได้แล้ว ข้าไม่ได้เจออัลมาตั้งนาน, ข้าอยากจะคุยกับเขาซักหน่อยเพราะฉะนั้นขอยืมห้องของเจ้าซักห้องนึงนะ”


 


“….ครับ”


 


ด้วยการหันผ้าคลุมให้, ท่านพี่ลีเซก็เริ่มเดินเหมือนกับว่ามันเป็นคฤหาสน์ของเธอเอง


 


แผ่นหลังของเธอกำลังบอกให้ฉันตามไปแต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถทำตามเธอได้


 


“ท่านพี่ลีเซ ข้ายังเหนื่อยมาจากการเดินทางไกลอยู่, ขอข้าไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนได้ไหมครับ?”


 


“ข้าไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก”


 


“แต่ข้าสนครับ”


 


“เจ้าพูดอะไรเหมือนผู้หญิงเลยนะ เอาเถอะ, ก็ได้ ข้าเองก็อยากล้างเนื้อล้างตัวให้สดชื่นเหมือนกัน จะว่าไป, เราก็ไม่ได้เข้าด้วยกันมาตั้งนานแล้วนะ”


 


“ครับ…..?”


 


เธอพึ่งพูดอะไรออกมาเนี่ย พี่สาวคนนี้นี่


 


ไม่มีทางที่ฉันจะเข้าไปอาบกับท่านพี่อยู่แล้ว!


 


“ม, ไม่เอาครับ, ช่วยเว้นไว้ซักเรื่องเถอะนะครับ……!”


 


“ไม่ต้องอายหน่า เดี๋ยวข้าขัดหลังให้เอง”


 


“ข้า, ข้าจะเข้าไปกับดยุคไรน์เฟลดครับ! พวกเราสนิทกันมากในระหว่างทางมาที่นี่ข้าก็เลยอยากจะคุยกับเขาอีกซักหน่อย!”


 


มันเจ็บปวดที่ต้องพูดแบบนี้แต่มันไม่มีทางอื่นที่จะปฏิเสธพี่สาวของฉันแล้ว


 


บางทีเขาคงเดาความคิดของฉันได้, เยอร์เกนเองก็สนับสนุนฉัน


 


“ท่านลีเซล็อตต์ ข้าจะขัดหลังองค์ชายอาร์โนลด์ให้เองครับเพราะฉะนั้นวางใจได้”


 


“ก็ได้”


 


“ถ้างั้น, ท่านพี่ลีเซช่วยไปรอข้างใน……”


 


“ช่วยไม่ได้หล่ะนะ เข้าไปอาบกันหมดนี่แหล่ะ”


 


“หา!?”


 


“ถ้าแยกกันไปอาบมันคงเป็นปัญหาได้ใช่ไหมหล่ะ? อะไรกัน? ไม่เป็นไรหรอกหน่า ข้าไม่ได้มีร่างกายที่จะทำให้รู้สึกอายในตอนที่ถูกมองซักหน่อย”


 


“แหะๆ!!”


 


เขาต้องจินตนาการถึงมันโดยไม่ได้ตั้งใจแน่ๆ


 


เยอร์เกนเลือดกำเดาไหลพรากและล้มฟุบไปกับพื้น


 


เมื่อเห็นแบบนี้, ท่านพี่ลีเซก็ยิ้มอย่างขำขัน


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า, ยังเป็นเจ้าไก่อ่อนไม่เปลี่ยนเลยนะ, เยอร์เกน”


 


“นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรหัวเราะนะครับ! ช่วยไปรอในห้องเถอะ! ได้ใช่ไหมครับ, ท่านพี่?”


 


“อะไรเล่า? เจ้าไม่อยากเข้าไปอาบน้ำกับพี่สาวหรอ?”


 


“ใช่ครับ, ข้าไม่อยากเพราะฉะนั้นช่วยไปรอในห้องเถอะ!”


 


“งั้นหรอ ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้หล่ะนะ พวกเจ้าสองคนไปสนุกกันเองก็แล้วกัน”


 


พอพูดจบ, ท่านพี่ลีเซก็ขึ้นบันไดไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย


 


นี่มันเข้าขั้นอันตรายจริงๆนะเนี่ย เธอกำลังจะฆ่าดยุค คดีฆาตกรรมที่จอมพลของจักรวรรดิ, เช่นเดียวกับองค์หญิงลำดับนึงกระทำ, โดยทำให้ดยุคเลือดกำเดาไหลจนตายนี่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ เธอจะทำให้เขาขาดเลือดตายจริงๆแน่


 


“ดยุค, ไหวไหม?”


 


“ข, ข้าไม่เป็นไรครับ…..แต่ว่า, สมกับเป็นท่านลีเซล็อตต์เลยนะครับ เธอห้าวหาญมากจริงๆ……”


 


“คงเพราะเธอโยนส่วนที่เป็นผู้หญิงทิ้งไปหมดแล้วมั้ง…….”


 


“ไม่หรอกครับ, เธอก็แค่แกล้งข้าเหมือนปกตินั่นแหล่ะ…..แต่ก็เพราะแบบนี้หล่ะครับองค์หญิงถึงน่ารัก……”


 


“สำหรับเจ้า, ถ้าเป็นพี่สาวข้าจะอะไรก็ได้สินะ……”


 


พอตระหนักได้ว่าสองคนนี้เพี้ยนพอๆกัน, ฉันก็ถอนหายใจออกมา, จากนั้นฉันก็เข้าไปอาบน้ำกับเยอร์เกนทั้งแบบนั้นเพื่อขจัดความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล

 

 

 


ตอนที่ 66

 

หลังจากที่อาบน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกายและขจัดความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล, ฉันกับเยอร์เก็นก็พูดคุยเกี่ยวกับแนวทางในอนาคตของพวกเราในขณะที่กำลังแต่งตัว


 


“ไม่ว่ายังไงตอนนี้ท่านพี่ก็กำลังเป็นฝ่ายนำอยู่ พวกเราต้องหาทางหลีกเลี่ยงจากจุดนี้ให้ได้”


 


“ครับ, แต่เธอก็ชิงจังหวะนำได้ยอดเยี่ยมจริงๆนะครับ”


 


สีหน้าของเยอร์เกนนั้นไม่ได้มีความผิดหวังอยู่เลย, มันมีแต่ความชื่นชม


 


ก็นะ, เธอทำลายแผนของเราไปได้อย่างงดงามแต่นี่มันไม่ใช่เวลามาประทับใจกับเรื่องนั้นซักหน่อย


 


“ในฐานะน้องชายของเธอ, ข้าบอกได้ว่าเธอไม่ได้เกลียดท่านนะ, ดยุคไรน์เฟลด์ กลับกัน, ข้าคิดว่าจริงๆแล้วเธอค่อนข้างชอบท่านด้วยซ้ำ”


 


“จริงหรอครับ!?”


 


“จะบอกว่าเป็นความรู้สึกในฐานะน้องชายก็ได้, แต่จากนิสัยของท่านพี่นั้น ต่อให้ข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์ของท่าน, เธอก็คงจะไม่มาเยี่ยมหรอกถ้าเป็นคฤหาสน์ของคนที่เธอไม่ชอบ เท่าที่ข้าคิด, มันต้องมีเหตุผลอื่นที่เธอไม่ยอมรับคำขอของท่านแน่ๆ, บางทีอาจจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอพูดก่อนหน้านี้”


 


“ที่บอกว่า [ข้าจะไม่แต่งงานกับใครก็ตามที่ไม่สามารถตายพร้อมกับข้าได้], สินะครับ……..”


 


“ใช่ ในทางกลับกัน, ถ้าพวกเราสามารถทำตามเงื่อนไขนั้นได้, เธอก็อาจจะไม่ต่อต้านความคิดเรื่องแต่งงานอีก คงไม่มีอะไรที่พวกเราทำได้ถ้าเธอเกลียดความคิดเรื่องแต่งงานแต่เธอก็ยังคงเป็นลูกสาวของจักรพรรดิ เธอน่าจะถูกบอกมาตั้งแต่ยังเด็กว่าสักวันนึงเธอจะต้องแต่งงาน นี่คือเหตุผลที่ถ้าพวกเราทำตามความต้องการของเธอได้, ท่านก็น่าจะยังพอมีโอกาสอยู่”


 


“อย่างนี้นี่เอง…..แต่ว่าการจะตายพร้อมกับเธอได้, ข้าก็ต้องอยู่เคียงข้างเธอก่อนไม่ใช่หรอครับ”


 


นั่นแหล่ะปัญหา


 


ท่านพี่ถีบไสไล่ส่งเยอร์เกนออกจากกองทัพในตอนที่เขาสมัครเกณฑ์ทหาร


 


เธอปิดกั้นโอกาสไม่ให้เยอร์เกนได้อยู่ข้างเธอ


 


นี่คือจุดที่ไม่ค่อยสมกับเป็นท่านพี่เลย มันไม่ใช่เพราะเยอร์เก็นเข้าไปป่วนในกองทัพ, แต่ตัวเธอเองนั่นแหล่ะที่เป็นคนเตะเขาออกไป


 


มีบางอย่างน่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


“ไม่ว่ายังไง, พวกเราก็ต้องพิสูจน์ให้เธอเห็นให้ได้ว่าท่านสามารถต่อสู้ได้”


 


“เข้าใจแล้วครับ ไปแสดงผลลัพธ์การฝึกของข้าให้ท่านลีเซล็อตต์ดูกันเถอะ”


 


พอพูดจบ, เยอร์เก็นก็เอามือตบที่ท้องอย่างภาคภูมิใจ


 


ในตอนที่ฉันเห็นเนื้อกระเพื่อม, ฉันก็เริ่มรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก, แต่ฉันก็ไม่ได้พูดออกมา


 


….


 


“ใช้เวลาซะคุ้มเลยนะ แค่ล้างเนื้อล้างตัวมันต้องใช้เวลาขนาดนี้เลยหรอ?”


 


“ถ้าท่านพี่บอกว่าห้องน้ำมีไว้แค่ล้างเนื้อล้างตัวเดี๋ยวก็ถูกเทพแห่งห้องน้ำลงโทษหรอกครับ, รู้รึเปล่า”


 


นี่คือสิ่งแรกที่เธอพูดกับพวกเราแต่ว่าผมของท่านพี่ลีเซก็ยังคงเงางามอยู่


 


จากลักษณะการพูดของเธอ, เธอน่าจะแค่ล้างมันตามปกติเหมือนกัน


 


แบบนี้ผู้หญิงทั่วโลกจะเขม่นท่านพี่เอานะเนี่ย


 


ฉันกับเยอร์เกนเดินไปยังโต๊ะกลมที่ท่านพี่นั่งอยู่ มีชาถูกจัดเตรียมเอาไว้ที่โต๊ะแล้ว มีขนมวางอยู่ด้วยแต่ฉันไม่สามารถยื่นมือไปหยิบได้เพราะท่านพี่ดึงจานไปไว้ที่เธอ


 


“งั้นหรอ? พอดีน้ำเป็นของสำคัญในสนามรบ ข้าก็เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ซักเท่าไหร่”


 


“ท่านพี่ไม่ชอบตั้งแต่ตอนที่พวกเรายังอยู่เมืองหลวงของจักรวรรดิแล้วไม่ใช่หรอครับ?”


 


“ที่เมืองหลวงจักรวรรดิมันน่ารำคาญจริงๆนั่นแหล่ะ, พวกสาวใช้ยืนกรานเสียงแข็งมาก เพราะงั้นข้าก็เลยมักจะรีบอาบน้ำไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าเจ้าเพลิดเพลินกับมันได้ยังไง”


 


ในบางแง่, พวกสาวใช้ก็ดูค่อนข้างสุดยอดเหมือนกันนะ


 


พวกเธอไม่ห่วงชีวิตของตัวเองในตอนที่ต้องเข้าอาบน้ำกับพี่คนนี้แล้วต้องขัดหลังของเธอเลยหรอ?


 


เอาเถอะ, ถ้าพวกเธอห่วงเรื่องนั้นก็คงจะทำงานไม่ได้หล่ะนะ


 


การเป็นสาวใช้นี่มันงานหนักชะมัด ครั้งหน้าเอาขนมไปฝากสาวใช้ของท่านแม่บ้างก็ดีเหมือนกันนะ


 


“โอกาสที่จะได้อาบน้ำก็มีอยู่บ่อยครั้ง บางทีท่านลีเซล็อตต์อาจจะเกลียดมันโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะครับ”


 


“โอ้! นั่นแหล่ะ! พูดได้ดีนี่เยอร์เกน”


 


ท่านพี่ลีเซชื่นชมเยอร์เกนด้วยรอยยิ้ม


 


จากนั้นเธอก็เอาขนมชิ้นนึงให้เยอร์เกนเป็นรางวัล


 


ท่านพี่คนนี้แบ่งของให้คนอื่นงั้นหรอ!?


 


นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจ ท่านพี่ลีเซนั้นค่อนข้างเป็นคนหวงของ แม้กระทั่งฉัน, ก็เคยรับของจากเธอแค่ไม่กี่ครั้งเอง


 


ในอดีต, เคยมีลูกน้องคนนึงของท่านพี่ลีเซไปทำให้ขุนนางระดับสูงคนนึงไม่พอใจและถูกอัดจนฟกช้ำดำเขียว ในตอนที่เธอรู้ข่าว, ท่านพี่ลีเซก็ไปหาขุนนางคนนั้นแล้วพูดแบบนี้


 


ลูกน้องของข้าก็คือสมบัติของข้า พวกนั้นมอบชีวิตให้ข้าแล้วด้วยซ้ำ การทำแบบนี้ก็หมายความว่าเจ้าพึ่งทำลายทรัพย์สินของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า


 


หลังจากนั้น, ท่านพี่ลีเซก็อัดขุนนางคนนั้น


 


ตอนนั้นมันเป็นข่าวที่ค่อนข้างอื้อฉาวแต่ฉันจำได้ว่ามงกุฎราชกุมารเป็นคนฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก่อนที่เรื่องจะซาลง


 


และพี่สาวคนนั้นก็กำลังส่งขนมของเธอให้เยอร์เกนอยู่ในตอนนี้……เอาเถอะ, ถ้าพูดตามเหตุผล, แต่เดิมแล้วขนมนี้มันเป็นของเยอร์เกนต่างหากและมันก็ถูกเตรียมเอาไว้เพียงพอสำหรับสามคนกินด้วย


 


แต่นี่มันก็ยังผิดปกติมาก แค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอค่อนข้างชอบเยอร์เกน


 


“ขอบคุณมากครับ”


 


“อื้ม”


 


เยอร์เกนขอบคุณสำหรับขนมที่ได้รับและพี่สาวของฉันก็ยอมรับคำขอบคุณเหมือนกับเป็นเรื่องปกติ


 


วันนี้เธอน่าจะอารมณ์ดี


 


ลองหยิบดูซักชิ้นแล้วตรวจสอบทฤษฎีดีกว่า


 


ทันใดนั้นเอง, ท่านพี่ก็หันกลับมาหาและฉันก็ถูกแรงสะเทือนเข้าที่หลัง ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่า, ฉันก็ลงไปนอนที่พื้นแล้ว


 


“พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนานแต่ดูเหมือนมารยาทของเจ้าจะแย่ขึ้นเยอะเลยนะ อัล?”


 


“ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะครับ, ท่านพี่ลีเซ…….”


 


มือขวาที่อาจหาญของฉันถูกท่านพี่จับข้อมือเอาไว้


 


ดูเหมือนว่าเธอจะบิดข้อมือของฉันและทำให้ฉันสูญเสียการทรงตัว ยิ่งไปกว่านั้น, เธอยังทำให้มั่นใจว่าฉันจะลงไปนอนบนพื้นอย่างนุ่มนวลด้วย


 


ที่ทำทั้งหมดนี้ก็แค่เพราะขนมเล็กๆน้อยๆ, ช่างเป็นพี่สาวที่น่ากลัวชะมัด…..


 


“แปลกจังนะครับ….ข้าคิดว่าท่านพี่อารมณ์ดีซะอีก?”


 


“ก็อารมณ์ดีอยู่นี่ ถึงยังไงข้าก็ได้มาเจอเจ้าหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นน้องชายใจจืดใจดำที่ไม่ยอมมาเยี่ยมข้าทั้งๆที่มีเวลาว่างและเอาแต่เที่ยวเล่นในเมืองหลวง, ข้าก็ยังอารมณ์ดีเพราะข้ามาเจอเจ้า ข้าเป็นพี่สาวที่ดีใช่ไหมหล่ะ?”


 


“ข้าก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ครับ ท่านพี่คิดว่าผู้คนจะมองพี่สาวที่เหวี่ยงน้องชายของตัวเองลงกับพื้นแค่เพราะเขาพยายามจะหยิบขนมว่าเป็นพี่สาวที่ดีรึเปล่าหล่ะ?”


 


“มันเป็นเพราะเจ้าพยายามหยิบขนมโดยไม่ขอไม่ใช่รึไง”


 


“แบบนั้นมันแปลกไม่ใช่หรอครับ? มันถูกเตรียมเอาไว้สำหรับสามคนไม่ใช่หรอ? แบ่งกันกินไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ”


 


“มันอยู่ตรงหน้าข้า, ก็หมายความว่ามันเป็นของข้า”


 


“……”


 


พอพูดจบ, ท่านพี่ก็หยิบขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย


 


ที่แนวหน้านั้นไม่ค่อยมีขนมให้กินซักเท่าไหร่ ในฐานะจอมพล, เธอสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้แต่เนื่องจากมันจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับทหาร, เธอจึงใช้ชีวิตอย่างสมถะเหมือนพวกเขา


 


ฉันคิดว่านี่คงเป็นขนมครั้งแรกของเธอหลังจากที่ผ่านมาพักใหญ่ๆดังนั้นเธอก็เลยเพลิดเพลินกับมันอย่างเต็มที่


 


ในขณะที่กำลังมองท่านพี่ในสภาพนี้, เยอร์เกนเองก็ดูมีความสุข


 


แต่ว่าทำไมหล่ะ ทำไมฉันถึงเป็นคนเดียวที่ถูกบิดข้อมือ? นี่มันไร้เหตุผลชะมัด


 


ถึงแม้ว่าฉันจะดิ้นรนมาซักพักนึงแล้ว, ฉันก็ยังหลุดจากการจับของท่านพี่ไม่ได้เลย


 


“ท่านพี่ น่าจะถึงเวลาปล่อยมือข้าแล้วไม่ใช่หรอครับ?”


 


“ทำไมหล่ะ?”


 


“แล้วทำไมถึงไม่ปล่อยหล่ะครับ!?”


 


“ข้าปล่อยเจ้าไม่ได้เพราะเจ้ายังไม่ขอโทษ, ถูกไหม?”


 


“ข้าก็บอกแล้วว่า, มันเตรียมเอาไว้สำหรับสามคน”


 


“มันเป็นของข้า”


 


“…….ข้าขอโทษที่พยายามจะขโมยขนมครับ”


 


“มันดูขาดๆอะไรไปนะว่าไหม?”


 


“ข้าขอโทษที่พยายามขโมยขนม (ของท่านพี่) ครับ”


 


“ดี”


 


ในที่สุดเธอก็ยอมปล่อยฉัน


 


ในตอนที่ฉันกลับมานั่งที่พร้อมกับลูบข้อมืออยู่, ก็แทบจะไม่มีขนมเหลืออยู่ตรงหน้าพี่สาวของฉันแล้ว


 


“นี่? เยอร์เกิน ขนมมันหายไปแล้วเห็นไหม?”


 


“ช่วยอย่าพูดเหมือนกับว่าพวกมันหายไปเองตามธรรมชาติสิครับ ท่านพี่เป็นคนกินมันไม่ใช่หรอ”


 


“ข้าจะรีบเตรียมมาเพิ่มเดี๋ยวนี้เลยครับ”


 


“อื้ม”


 


“…..”


 


ทำไมฉันต้องมากลายเป็นตัวตลกที่นี่ด้วย?


 


เยอร์เกนตบมือแล้วคนใช้ก็เอาเค้กมาจัดเรียงบนจานเล็กๆ ฉันบอกได้จากกลิ่นว่ามันต้องหวานแน่ๆแต่มันไม่ใช่ความหวานที่ไม่น่าอภิรมย์ นั่นชีสเค้กใช่ไหม? ดูน่ากินจัง


 


จากแรกถูกนำมาวางข้างหน้าท่านพี่, จานต่อไปก็สำหรับฉั—– ท่านพี่ยื่นมือมาจากด้านข้างแล้วก็แย่งมันไป


 


ฉันทนไม่ไหวแล้ว!


 


“นี่!! แบบนี้มันแปลกนะครับ!!”


 


“แปลกอะไร?”


 


“ทุกอย่างนั่นแหล่ะ! ทำไมท่านพี่ถึงต้องแย่งจานของข้าไปด้วย!? ท่านพี่ก็มีของตัวเองแล้วไม่ใช่หรอ!?”


 


“ไม่เห็นมีเลยนี่”


 


“หา, กินไปแล้ว!? ไม่ไวไปหน่อยหรอ!? เดี๋ยวนะ, นั่นของข้า! ช่วยอย่ากินเถอะนะครับ!”


 


“ของๆน้องชายก็เป็นของข้าเหมือนกัน”


 


“ไอ้เหตุผลแบบเผด็จการนั่นคืออะไรกัน? ถ้าข้าบอกว่าของๆท่านพี่ก็เป็นของๆข้าท่านก็จะโอเคเหมือนกันใช่ไหม!?”


 


“ข้าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเผด็จการหรอก”


 


“หา!? หนอยย!”


 


พอตระหนักได้ว่าเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ฉันก็เลยยื่นมือไปหยิบจานเค้กอย่างไม่ยอมถอย


 


อย่างไรก็ตาม, เธอปัดการโจมตีของฉันด้วยมือข้างเดียวได้อย่างง่ายดายและใช้มืออีกข้างกินเค้ก


 


ขี้โกงชะมัด!


 


ฉันตัดสินใจว่าจะยอมรับคำท้าและโจมตีเธอด้วยมือสองข้างแต่ทั้งหมดก็ถูกปัดทิ้งด้วยมือข้างเดียว


 


ในระหว่างนั้น, ท่านพี่ก็กินเค้กของฉันไปหมดแล้ว


 


“โถ่ววว….”


 


“องค์ชายอาร์โนลด์, เอาของข้าไปก็ได้ครับ”


 


“ดยุค….ขอบใจนะ ข้าขอกินหล่ะ”


 


“ข้าพึ่งบอกไปไม่ใช่หรอว่าของๆน้องชายข้าก็คือของข้า?”


 


เค้กที่เยอร์เกนส่งมาให้ถูกขัดขวางเอาไว้ก่อนที่จะมาถึงมือของฉัน


 


จากนั้น, ท้ายที่สุดแล้ว, มันก็ลงไปอยู่ในท้องของท่านพี่ทั้งหมด


 


ไร้เหตุผลชะมัด……


 


สุดท้ายแล้ว, ฉันก็ไม่ได้กินอะไรที่อยู่บนโต๊ะเลย

 

 

 


ตอนที่ 67

 

ในช่วงที่อัลอยู่ที่ดินแดนของดยุคไรน์เฟลด์


 


ข้างในเมืองหลวงของจักรวรรดิก็ดูยุ่งขึ้นสำหรับฟีเน่


 


“เหวออ!!?? ข, ข้าควรทำยังไงดี! ข้าควรทำยังไงดี!? คุณยูริยะ!”


 


“เข้มแข็งเข้าไว้หน่า”


 


“เปิดร้านแล้วค่า—!”


 


ในเวลาเดียวกับที่บริษัทอะจินสาขาเมืองหลวงจักรวรรดิประกาศเปิดร้าน, ฝูงชนที่ต่อแถวยาวเหยียดก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาข้างใน


 


เป้าหมายของพวกเขาคือ ‘น้ำตบเสริมความงาม’, สินค้าตัวใหม่ที่ออกโดยบริษัทอะจิน


 


แค่ตัวสินค้าก็ถือว่ามีคุณภาพดีอยู่แล้วแต่บริษัทอะจินยังเพิ่มวลีเด็ดเข้าไปอีก


 


“ทุกคนคะ! น้ำตบเสริมความงามของเรา, สินค้าที่เจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินใช้เองกับตัวในตอนนี้ได้วางขายแล้วค่ะ! วันนี้เรามี ‘น้ำตบนกนางนวล’ ขายแค่ 300 ขวดเท่านั้น, เชิญมาจับจ่ายใช้สอยกันได้เลยค่า!!”


 


คนขายมนุษย์สัตว์กำลังโฆษณาสินค้าอย่างน่ารัก


 


สิ่งที่อยู่ข้างในขวดนั้นดูเหมือนกับน้ำบริสุทธิ์


 


มีผู้คนมากมายผสมปนเปกันอยู่ในร้านแต่สายตาของลูกค้าทุกคนนั้นได้มองตรงไปที่ฟีเน่


 


“นั่นมันท่านฟีเน่ตัวจริงนี่! ข้าขอขวดนึง!”


 


“เธอคือตัวตนในอุดมคติของข้าเลย! ข้าขอสาม!”


 


“เอามาห้า!”


 


“น่ารำคาญจริง! ส่งมาให้ข้าสิบขวดเลย!”


 


น้ำตบที่ถูกใช้โดยผู้หญิงที่สวยที่สุดในจักรวรรดิ


 


นี่คือถ้อยคำที่เหมือนกับปรุงแต่งด้วยเวทมนตร์ซึ่งมีฤทธิ์ดึงดูดผู้หญิงจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ ลูกค้าต่างก็แห่กันเข้ามาในร้านเพื่อคว้าน้ำตบและที่มีวางขายอยู่แค่สามร้อยขวดก็ขายหมดอย่างรวดเร็ว


 


แค่วลีเด็ดอาจจะไม่ได้ส่งผลถึงขนาดนี้แต่ตัวฟีเน่เองกำลังโบกมือให้ลูกค้าจากชั้นสองของร้านด้วย


 


การที่ฟีเน่ตัวจริงมาอยู่ที่นี่นั้นส่งผลอย่างรุนแรงและภายในเวลาไม่กี่วันหลังจากที่เปิดตัว, น้ำตบนกนางนวลก็กลายเป็นสินค้าขายดีในเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


“เหนื่อยหน่อยนะ, ฟีเน่”


 


“น, นี่มันน่าประหลาดใจจริงๆ……”


 


ยูริยะฉีกยิ้มตลอดเวลาเพราะกลยุทธ์ของเธอประสบความสำเร็จ


 


ในอีกด้านนึง, ฟีเน่ก็อดรู้สึกกังวลกับลูกค้าผู้หญิงทุกคนที่วิ่งเข้ามาซื้อสินค้าเหมือนอัศวินที่กำลังลุยเข้าไปในค่ายของศัตรูไม่ได้


 


“ขนาดร้านยังไม่เปิด, ทุกคนก็จ้องมาที่ข้าแล้ว……ข้าสงสัยจังว่าจะทำยังไงดีถ้าทุกคนมาหาข้า……”


 


“ขอโทษด้วยนะ, แต่ทำใจให้ชินซะเถอะ เดี๋ยวข้าจะชดเชยให้ทีหลัง”


 


“ค่ะ! ข้าจะทำเต็มที่!”


 


ภาพของฟีเน่ที่กำลังกำมือเล็กๆของเธอนั้นยังดูงดงามแม้กระทั่งจากมุมมองของผู้หญิงอย่างยูริยะ


 


ในตอนที่ลูกค้าผู้ชายเห็นภาพนี้, พวกเขาเองก็อยากจะวิ่งเข้ามาข้างในร้านเหมือนกันแต่พวกเขาก็ต้องยอมแพ้เพราะยูริยะไม่อนุญาตให้ลูกค้าที่ไม่ใช่ผู้หญิงเข้ามาในร้านในวันนี้


 


แม้ว่าจะมีลูกค้าบางคนที่พยายามบุกเข้ามา, พวกเขาทุกคนก็ถูกไล่ออกไปด้วยฝีมือของคนเฝ้าหน้าร้านกึ่งมนุษย์ที่น่าภาคภูมิใจของบริษัทอะจิน


 


ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ, เริ่มมีคำพูดแพร่กระจายออกไปในเมืองหลวงของจักรวรรดิว่าความรุนแรงจะไม่ได้รับการยกโทษในร้านของพวกเขา


 


และหลังจากที่เห็นสถานการณ์ที่ผ่านมานี้, ยูริยะก็ตัดสินใจที่จะเคลื่อนไหวขั้นต่อไป


 


“ฟีเน่ พรุ่งนี้พวกเราจะขยับไปสู่กลยุทธ์ขั้นต่อไปแล้วนะ”


 


“กลยุทธ์ขั้นต่อไปหรอคะ? ข้าต้องทำยังไงบ้าง?”


 


“ก็เหมือนเดิมนั่นแหล่ะ สำหรับตอนนี้, เจ้าแค่โบกมือและแสดงเสน่ห์ของเจ้าก็พอ แล้วเดี๋ยวข้าจะเพิ่มการคุ้มกันให้เจ้าอีกเท่านึงด้วย”


 


“เท่านึงเลยหรอคะ…..?”


 


ฟีเน่หันไปมองรอบๆ


 


แค่ตอนนี้รอบตัวเธอก็มีบอดี้การ์ดกึ่งมนุษย์ที่ดูแข็งแรงอยู่สามคนแล้ว ถ้าจะเพิ่มอีกเท่านึงเธอก็จะมีการ์ดทั้งหมดหกคนอยู่รอบตัวเธอ


 


พอนึกภาพตัวเองถูกล้อมรอบด้วยคนหกคน, ฟีเน่ก็เริ่มวิตกกังวล


 


“พ, พวกเขาจะบังข้ามิดเลยนะคะ……!”


 


“ไม่เป็นไรหรอก ให้ลูกค้าเห็นแวบๆก็พอแล้ว แค่รู้ว่าเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินอยู่ที่นี่พวกผู้ชายก็จะกรูกันเข้ามาเองหล่ะ”


 


“ง, งั้นหรอคะ?”


 


“ใช่ พวกเราจะสูบเงินจากพวกผู้ชายโง่มาให้หมด หึหึหึ, ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายผม”


 


“ช, ช่วยอย่าทำเกินเลยไปนะคะ…..”


 


“ข้ารู้หรอกหน่า ข้าจะจัดการตามสมควร ใช่แล้ว, ตามสมควร”


 


พอพูดจบยูริยะก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา


 


เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น, ฟีเน่ก็รู้สึกว่าเธอดูเหมือนอัลเลยแต่เธอก็ไม่ได้พูดออกมา


 


วันต่อมา ฟีเน่เริ่มคิดว่าแผนการร้ายของยูริยะอาจจะร้ายกว่าของอัลด้วยซ้ำ


 


“ทุกคนนน! บริษัทอะจิน, สาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิเปิดให้บริการแล้วค่า!”


 


ในตอนที่คนขายมนุษย์สัตว์สวมคอสตูมน่ารักๆประกาศออกมา, ลูกค้าผู้ชายจำนวนมหาศาลก็แห่เข้ามาในร้าน


 


ฟีเน่โบกมือให้พวกลูกค้าผู้ชายด้วยรอยยิ้มเขินอาย


 


“โอ้วว!!! นั่นมันท่านฟีเน่!! ท่านฟีเน่ตัวจริง!! เธอน่ารักกว่าภาพในใบปลิวซะอีก!!”


 


“เธอสวยจังเลย!! เปล่งประกายสุดๆ! เธอคือแส่งที่ส่องลงมาหาพวกเรา!”


 


“ข้าต้องสลักภาพนี้เอาไว้ในดวงตาของข้า! ข้าจะไม่มีวันลืมจนกระทั่งวันที่ข้าตาย!”


 


ก่อนหน้านี้บริษัทอะจินได้โฆษณาโดยใช้ภาพหน้าตรงของฟีเน่และโปสเตอร์พร้อมกับใบปลิวเวทมนตร์ที่นักเวทย์ผลิตขึ้นมาเป็นจำนวนมาก, ใบปลิวพวกนี้จะแสดงภาพของฟีเน่ให้พวกเขาเห็นในช่วงสั้นๆ


 


แค่โอกาสที่จะได้เจอเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินตัวจริงก็ดึงดูดลูกค้าผู้ชายให้มาเข้าร้านได้มากพอแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม, บางคนไม่ได้อ่านใบปลิวละเอียด


 


“ท่านฟีเน่! ช่วยมองมาทางนี้หน่อยครับ! ท่านฟีเน่!”


 


“ไอ้เวร! ถ้าไม่ได้มาซื้ออะไรก็ไสหัวออกไปซะ!”


 


“เงียบไปเลย! ข้าไม่ได้อยากมาซื้ออะไรซักหน่อย!”


 


ชายหนุ่มที่พูดเสียงดังถูกกึ่งมนุษย์เฝ้าร้านตัวใหญ่จับตัวเอาไว้แล้วโยนออกไปนอกร้าน


 


“จ, เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย!?”


 


“เรียนลูกค้าที่เคารพ ได้อ่านเนื้อหาในใบปลิวรึเปล่าครับ?”


 


“หา!? เนื้อหาอะไร!?”


 


พอเห็นปฏิกิริยาของลูกค้า, พนักงานดูแลความเรียบร้อยก็ถอนหายใจแล้วชี้ไปตรงท่อนล่างสุดของโปสเตอร์


 


มีข้อความตัวใหญ่ที่เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า [ทางเราขอปฏิเสธท่านลูกค้าที่ไม่ประสงค์จะซื้อสินค้า, ในกรณีที่ไม่ยินยอมปฏิบัติตามจะถูกลงโทษ]


 


สีหน้าของชายหนุ่มที่ไม่ได้อ่านใบปลิวละเอียดซีดเผือดแต่มันก็สายเกินไปแล้ว


 


เขาถูกพนักงานดูแลความเรียบร้อยพาไปที่หลังร้าน


 


“ค, คุณยูริยะ”


 


“ไม่เป็นไร พวกเราไม่ได้ทำร้ายเขาหรอก พวกเราแค่ให้เขาซื้ออะไรซักอย่าง, แค่นั้นแหล่ะ แต่ถ้าพวกเขาไม่มีเงินพวกเขาก็จะต้องจ่ายด้วยแรงแทน”


 


“ง, งั้นหรอคะ…….”


 


ฟีเน่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


พอเห็นฟีเน่เป็นแบบนี้, ยูริยะก็ยิ้ม


 


“อ, อะไรหรอคะ?”


 


“เปล่าหรอก, ข้าก็แค่คิดว่าเจ้านี่ใจดีจังเลยนะ ปกติ, คงไม่มีใครเป็นห่วงผู้ชายแบบนั้นหรอก”


 


“จ, จริงหรอคะ?”


 


“ก็นะ แต่ข้าคิดว่าเจ้าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วหล่ะ ที่นี่มีข้าเป็นตัวร้ายแล้ว, เด็กดีอย่างเจ้าอยู่ที่นี่อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราก็ได้”


 


“ข้าคิดว่าคุณยูริยะก็เป็นคนดีนะคะ!”


 


“คิดงั้นหรอ? ข้าที่คิดแค่ว่าจะรีดเงินจากคนพวกนั้นยังไงเนี่ยนะ?”


 


“ปิดไม่ได้หรอกนะคะ! ข้ารู้ คุณยูริยะเน้นย้ำให้ติดใบปลิวทุกใบในจุดที่คนรวยอาศัยอยู่และท่านก็คอยเลี้ยงอาหารให้คนที่อยู่เขตนอกด้วย ข้ารู้ว่าท่านทำเรื่องพวกนี้เยอะเลย”


 


มันไม่สำคัญว่าจะทำอะไรถ้ามีเงินแต่นโยบายของยูริยะนั้นไม่ได้พุ่งเป้าไปที่คนจน


 


มีกึ่งมนุษย์ที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมมนุษย์ได้มารวมตัวกันที่บริษัทอะจิน ในขณะเดียวกัน, ก็มีกึ่งมนุษย์ยากจนอีกหลายคนที่อาศัยอยู่เขตนอกดังนั้นหลังจากที่เห็นแบบนี้, ยูริยะก็เลยตัดสินใจเปิดโรงทานให้พวกเขาที่นั่น


 


และเธอก็ทำมาตั้งแต่ตอนที่สาขาเมืองหลวงยังไม่เปิด


 


ยูริยะใช้เงินในกระเป๋าของตัวเองเพื่อทำเรื่องแบบนั้นโดยไม่หวังผลกำไร


 


“รู้ได้ยังไงเนี่ย?”


 


ยูริยะพึมพำด้วยความสงสัยแต่ฟีเน่ทำได้แค่ยิ้มในขณะที่มองพนักงานดูแลความเรียบร้อย


 


เนื่องจากความปลอดภัยที่ร้านนั้นจะบอกว่าอยู่ระดับเดียวกับปราสาทก็คงไม่ได้, พนักงานดูแลความเรียบร้อยจึงตัวติดกับฟีเน่อยู่ตลอด


 


ฟีเน่คุยกับพวกเขาและก็ได้ยินเรื่องต่างๆมาจากพวกเขา


 


“เจ้าบอกสินะ”


 


“ขอโทษด้วยครับ….ข้าทำไปโดยไม่ได้คิด”


 


“เห้อ….”


 


“ทุกคนเคารพคุณยูริยะนะคะ! พวกเขาบอกความยอดเยี่ยมของคุณให้ข้าฟัง! คุณเริ่มบริษัทอะจินก็เพราะมีกึ่งมนุษย์จำนวนมากในทวีปที่ถูกมนุษย์เกลียดเพราะข่าวลือแย่ๆเกี่ยวกับพวกเขา! ข้ารู้สึกประทับใจมากที่คุณสร้างสถานที่สำหรับกึ่งมนุษย์ที่โดดเดี่ยวขึ้นมาและถึงแม้ว่าจะแค่เล็กน้อย, แต่คุณก็ช่วยทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาดีขึ้นนะคะ!”


 


“จริงๆเล้ย…..เจ้าพูดเหมือนกับข้าเป็นคุณหญิงที่แสนอ่อนโยนเลยนะ”


 


“แต่มันเป็นความจริงนี่คะ”


 


ยูริยะเตะขาของพนักงานดูแลความเรียบร้อยเบาๆ


 


และการพูดคุยก็จบลงตรงนี้


 


เธอบอกว่าเธอจะไปดูแลการขายและลงไปที่ชั้นล่าง


 


“เธอโกรธหรอคะ?”


 


“ข้าคิดว่าเธอแค่เขินนะครับ”


 


“งั้นหรอคะ คุณยูริยะเป็นคนที่น่ารักจังเลยนะคะว่าไหม”


 


ในขณะที่กำลังพูดเรื่องที่จะทำให้ยูริยะโกรธแน่ๆ, ฟีเน่ก็โบกมือให้ลูกค้าที่อยู่ข้างล่างต่อ


 


หลังจากผ่านไปด้วยสภาพนี้, ก็มาถึงเวลาที่ผู้คนซื้อของๆพวกเขาเสร็จ, ฟีเน่กลับไปพักที่หลังร้าน


 


ถึงยังไงถ้าเธอยังอยู่ที่เดิม, ลูกค้าก็จะเข้ามาเรื่อยๆ


 


“เห้อ, เหนื่อยจังเลย”


 


“ทำงานได้ดีมาก”


 


ยูริยะส่งแก้วชาให้ฟีเน่ในขณะที่ขอบคุณเธอ


 


ในมือของเธอมีกระดาษแผ่นนึงที่บันทึกยอดขายของวันนี้เอาไว้


 


จำนวนเงินที่เขียนเอาไว้นั้นเป็นจำนวนที่ยูริยะไม่เคยเห็นมาก่อนแม้ว่าเธอจะทำธุรกิจมานานแล้วก็ตาม


 


“ดูเหมือนข้าจะเข้าใจพลังของเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินผิดไปสินะ ข้าคิดว่าคงต้องทบทวนเรื่องนี้ใหม่แล้วหล่ะ”


 


“ได้น้อยไปหรอคะ!?”


 


“ตรงข้ามต่างหากหล่ะ, ตรงข้ามเลย ถ้าข้าไม่เริ่มสต็อคสินค้าใหม่ตอนนี้, สินค้าของพวกเราจะขาดตลาดแน่นอน”


 


“อ่อ, แบบนี้นี่เอง! แค่นี้ข้าก็ดีใจแล้วค่ะ!”


 


ฟีเน่ดื่มชาด้วยความพึงพอใจที่วันนี้ตัวเธอมีประโยชน์


 


อย่างไรก็ตาม, ด้วยความกระทันหัน, เซบาสก็ปรากฎตัวขึ้นในห้อง


 


พนักงานดูแลความเรียบร้อยเตรียมเคลื่อนไหวในทันทีแต่ยูริยะก็บอกให้พวกเขาหยุด


 


“หยุดก่อน! นั่นพ่อบ้านขององค์ชายอาร์โนลด์”


 


“ท่านเซบาส? มีอะไรรึเปล่าคะ? ไหงจู่ๆถึงมาปรากฎตัวที่นี่”


 


“แย่แล้วครับ! ช่วยกลับไปที่ปราสาทเดี๋ยวนี้เลยครับ!”


 


“เอ๋…..”


 


“องค์หญิงคริสต้าถูกลักพาตัว ตอนนี้, ท่านเอลน่ากำลังไล่ตามพวกมันอยู่แต่มีความเป็นไปได้ว่าท่านฟีเน่อาจจะตกเป็นเป้าด้วย เพราะฉะนั้นรีบไปกันเถอะครับ”


 


มันเป็นรายงานที่โหดร้ายพอจะทำลายอารมณ์ที่กำลังดีของฟีเน่

 

 

 


ตอนที่ 68

 

ย้อนเวลากลับไปซักเล็กน้อย


 


เอลน่าถูกแต่งตั้งให้เป็นคนอารักขามิทสึบะที่ตำหนักในแต่งานส่วนใหญ่นั้นก็คือการคุ้มกันคริสต้า


 


ในตอนที่มิทสึบะกับคริสต้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน, เธอก็มักจะอยู่กับคริสต้าและมิทสึบะก็ยอมรับมันเหมือนเป็นเรื่องปกติ


 


ในวันนั้น, คริสต้าได้ออกไปหาริต้าที่กำลังฝึกอยู่ในปราสาทและเอลน่าก็ไปกับเธอด้วย


 


“แต่น แต้น! ดูสิ ดู! คูจัง!”


 


“อะไรหรอ…..?”


 


ริต้าที่อยู่ที่จตุรัสของปราสาทหยิบเหรียญออกมาแสดงให้คริสต้าดู


 


ในแวบแรก, มันดูเหมือนเหรียญเก่าๆ


 


แต่ริต้าก็ยังแสดงท่าทีภาคภูมิใจให้คริสต้าเห็น


 


“สงสัยหรอ? อยากรู้ใช่ไหมหล่ะ?”


 


“เอ่อ, บอกมาเถอะหน่า…..!”


 


“อืมมม, เอายังไงดีนะ? จะบอกดีรึเปล่า?”


 


“ก็ได้! ข้าจะถามเอลน่า! เอลน่า, บอกมาหน่อยสิ”


 


“เอ๋!!??”


 


คริสต้าเดินย่ำเตาะแตะมาหาเอลน่าที่กำลังดูอยู่ใกล้ๆแล้วถามเธอ


 


พอเห็นแบบนี้เอลน่าก็ยิ้มเจื่อนๆ


 


แน่นอนว่า, มันคือสิ่งที่ริต้า, ผู้มีสิทธิได้เป็นอัศวินใช้, ดังนั้นในฐานะอัศวินหลวง, เอลน่าเองก็รู้ว่ามันคืออะไร


 


อย่างไรก็ตาม, เอลน่าหันไปมองริต้าในขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าเธอควรเข้าไปแทรกแซงการคุยเล่นของเด็กจริงๆหรอ


 


เมื่อเห็นริต้าทำหน้าเหมือนอยากอวดของเล่นใหม่ให้เพื่อนดู, เอลน่าก็นึกถึงวันเก่าๆ


 


เธอนึกถึงตัวเองในตอนที่อวดดาบหรืออุปกรณ์เวทมนตร์ใหม่ๆที่เธอได้มาให้อัลกับลีโอ


 


“นั่นสินะคะ….มันคืออุปกรณ์ลับสำหรับอัศวินดังนั้นข้าคงบอกไปง่ายๆไม่ได้ เอางี้เป็นไงคะ, ถ้าท่านแข่งเกมส์ชนะข้า, ข้าจะยอมบอก”


 


“เกมส์หรอ…..?”


 


“ใช่ค่ะ มันเป็นเกมส์ง่ายๆ ข้าจะซ่อนหินก้อนนึงเอาไว้ซักที่และถ้าองค์หญิงหาเจอก็จะถือว่าองค์หญิงชนะ ริต้า, เจ้าเองก็มานี่ด้วย”


 


“ค่า”


 


ริต้าพูดอย่างอยากรู้อยากเห็นในขณะที่ให้ความสนใจกับการกระทำของเอลน่า


 


มันอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับชื่นชมยกย่องแต่เอลน่าที่เป็นถึงพี่สาวที่มีชื่อเสียงนั้นก็ยังคงเป็นคนที่น่าสนใจสำหรับเธอ


 


เอลน่าหยิบหินที่หล่นอยู่บนแปลงดอกไม้ขึ้นมาแล้ววางมันเอาไว้ที่ฝ่ามือเพื่อให้พวกเด็กๆดู


 


“ริต้า เจ้าเองก็มาเล่นด้วยสิ ถ้าเจ้าชนะข้า, ข้าก็จะไม่บอกองค์หญิงว่าสิ่งนั้นคืออะไร”


 


“จริงนะ!? เอาสิ, ริต้าจะเล่นด้วย!”


 


“อืม, เจ้าฮึกเหิมแบบนี้ก็ดีแล้ว เอาหล่ะ, ที่อยู่ตรงนี้คือก้อนหินธรรมดาก้อนนึง ข้าจะซ่อนหินก้อนนี้ จับตาดูดีๆนะโอเคไหม”


 


“อื้ม…..!”


 


“ข้าจะไม่ปล่อยให้คลาดสายตาไปแน่!”


 


เอลน่าย้ายหินในมือขวาไปไว้ที่มือซ้ายในขณะที่คิดว่าเด็กสองคนที่กำลังสนใจอยู่นั้นดูน่าเอ็นดูจริงๆ จากนั้นเธอก็สลับหินกลับไปกลับมาระหว่างมือทั้งสองข้าง


 


ในตอนแรก, มันคือระดับความเร็วที่เด็กสามารถไล่ตามทันได้, แต่สุดท้ายแล้ว, เธอก็ค่อยๆเร่งขึ้นจนกระทั่งมันหายไปจากสายตาของเด็กๆ


 


ด้วยความที่ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า, ทั้งสองจึงทำได้แค่มองภาพนั้นอย่างเหม่อลอยแต่เอลน่าก็หยุดมือของเธอในเวลาไม่นาน


 


มือที่เคยแบอยู่นั้นตอนนี้เปลี่ยนเป็นกำปั้นและเอลน่าก็ยื่นให้เด็กๆทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม


 


“เอาหล่ะ, คิดว่าหินอยู่ที่ไหน?”


 


“อืมมม, ข้างไหนกันน้า~~?”


 


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…….”


 


“ต้องเป็นข้างนี้แน่ๆ!”


 


“แบบนั้นไม่ได้นะริต้า! พวกเราต้องร่วมมือกันแล้วหล่ะ! ข้าจะเลือกข้างขวาส่วนริต้าก็เลือกข้างซ้ายไปนะ”


 


“โอ้!! คูจังนี่ฉลาดจังเลยนะ! ได้เลย! ริต้าจะเลือกข้างซ้าย!”


 


“ข้าเอาข้างขวา…..!”


 


รอยยิ้มของเอลน่ากว้างขึ้นหลังจากที่เห็นเด็กๆใช้ตรรกะแบบเด็กๆในการคิดหาคำตอบ


 


อย่างไรก็ตาม, เอลน่าไม่มีหินอยู่ในมือทั้งสองข้าง


 


เนื่องจากหินที่ควรจะมีอยู่หายไป, พวกเด็กๆจึงมองอย่างอึ้งๆแต่ไม่นานนักคริสต้าก็พึมพำออกมาอย่างหวาดกลัว


 


“อ, เอลน่ากินมันไปแล้ว…….”


 


“ข้าเปล่าซักหน่อย! มันอยู่ในกระเป๋าเสื้อของซักคนนึงต่างหากหล่ะ”


 


เอลน่าชี้ไปยังกระเป๋าเสื้อของเด็กๆที่เห็นได้ชัดว่ากำลังเข้าใจผิดไปกันใหญ่


 


พอได้ฟังแบบนั้น, พวกเด็กๆก็รู้สึกตัวว่าที่กระเป๋าเสื้อมีอะไรนูนอยู่และลองมองเข้าไปดู


 


จากนั้น


 


“โอ้!!?? มีหินสองก้อนอยู่ในกระเป๋าของริต้า!?”


 


“สองก้อน….เอลน่าโกงหรอ……..?”


 


“ข้าไม่ได้โกงซักหน่อย มันก็หินก่อนที่องค์หญิงพึ่งเห็นนั่นแหล่ะ”


 


“แต่ตอนนี้มันมีสองก้อนนะ!”


 


“ข้าตัดมัน”


 


“ว้าว!! สุดยอดเลย! พี่เอลน่าสุดยอดมาก!!”


 


“………”


 


แม้ว่าริต้าจะตื่นเต้น, แต่ทางคริสต้านั้นกลับนึกถึงสิ่งที่อัลบอกเธอ


 


คำที่เขาบอกก็คือ [ดาบของข้า]


 


ในตอนนั้น, คริสต้าคิดว่าเขาแค่พูดเหมือนคำเปรย


 


คริสต้ามองเอลน่าและพยักหน้าเหมือนกับเข้าใจแล้ว


 


“เอลน่าคือดาบ…..ถ้าไปจับก็จะเป็นอันตรายสินะ…..”


 


“ท, ทำไมหล่ะ!?”


 


ในขณะที่บทสนทนาดำเนินไปเช่นนี้, เอลน่าก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย


 


ในตอนที่เธอคอยคุ้มกันคริสต้าช่วงแรกๆนั้น, คริสต้าเหมือนจะสร้างกำแพงเล็กๆขั้นไว้ระหว่างพวกเธอ


 


เพื่อที่จะทำลายกำแพงนั้น, เอลน่าก็เลยเล่าเรื่องของเธอเกี่ยวกับอัล ถึงยังไงเธอก็คงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันได้ถ้าอีกฝ่ายคอยระวังเธออยู่


 


อย่างไรก็ตาม, ผลลัพธ์ก็คือเธอได้เล่าด้านที่เห่ยๆของอัลให้คริสต้าฟังมากมายแต่เอลน่าก็คิดซะว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ถึงยังไงอัลก็เป็นคนที่มาขอให้เธอทำหน้าที่นี้


 


ตอนนี้พอเห็นองค์หญิงเริ่มคุยเล่นกับเธอ, เอลน่าก็รู้สึกมั่นใจว่าตอนนี้คริสต้าค่อนข้างไว้ใจเธอแล้ว


 


“เอลน่า, ในเมื่อพวกเราทายผิดกันทั้งคู่, แล้วใครจะเป็นผู้ชนะหล่ะ…..?”


 


“อืมมม, ในเมื่อมันเป็นชัยชนะของข้าถ้างั้นข้าจะเป็นคนอธิบายให้องค์หญิงฟังเองค่ะ ริต้า, ขอยืมเหรียญหน่อย เอามาทั้งสองเหรียญเลย”


 


“ค่ะ! พี่เอลน่า”


 


จากนี้ไปเธอจะเรียกเราแบบนี้แล้วสินะ, ในขณะที่คิดเช่นนั้น, เอลน่าก็รับเหรียญโทรมๆสองเหรียญมาจากริต้า แล้วเธอก็ส่งเหรียญนึงให้กับคริสต้า


 


“ถือเอาไว้ดีๆนะคะ”


 


“อื้ม….”


 


“เอาหล่ะ, เหมือนกับก่อนหน้านี้, ข้าจะซ่อนเหรียญนี้อีกครั้ง, ตั้งใจดูดีๆนะคะ”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็สลับเหรียญกลับไปกลับมาระหว่างมือของเธอเหมือนที่ทำกับหินก่อนหน้านี้


 


จากนั้นเธอก็เพิ่มความเร็วจนกระทั่งมองเหรียญไม่เห็นอีกแล้วยื่นกำปั้นให้เด็กๆ


 


“เอาหล่ะ, ตอนนี้คิดว่ามันอยู่ที่ไหน?”


 


“กระเป๋าเสื้อ!”


 


“กระเป๋าหลังฝั่งซ้ายของเจ้ารึเปล่า”


 


“ผิดทั้งคู่”


 


เอลน่าแบมือ


 


ไม่มีเหรียญอยู่ในนั้นหรือในกระเป๋าเสื้อ


 


ทั้งสองยังคงมองหามันแต่สุดท้ายก็หาไม่เจอ


 


“เอาหล่ะ, องค์หญิงคริสต้า, ช่วยเอาเหรียญที่ข้าส่งให้ไปก่อนหน้านี้ออกมาหน่อยสิคะ”


 


“เจ้านี่หรอ…..?”


 


ใช่ค่ะ วางเอาไว้บนมือแบบนั้นหล่ะค่ะ, ริต้าด้วย, เอานิ้วของเจ้าไปแตะเหรียญนั่นสิ”


 


“ค่ะ!”


 


“เอาหล่ะ, ตั้งใจดูดีๆนะคะ [บันเด้]”


 


พอเอลน่าพูดคำๆนึงออกมาพร้อมกับใส่เวทมนตร์เข้าไปด้วยเล็กน้อย, ด้ายแสงบางๆก็โผล่ออกมาจากเหรียญ


 


จากนั้นมันก็โยงไปที่กระเป๋ากระโปรงของเอลน่า


 


เอลน่าหยิบเหรียญออกมาจากกระโปรงของเธอแล้วแสดงให้ดูว่ามันเชื่อมต่อกับเหรียญของคริสต้าด้วยด้ายบางๆ


 


“เหรียญพวกนี้มีชื่อว่า ‘มันซ์*’ พวกมันคืออุปกรณ์เวทมนตร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อม ถ้าบอกรหัสผ่านในขณะที่สัมผัสเหรียญอยู่ด้ายก็จะโผล่ออกมาจากมันและไปเชื่อมกับตัวรับของมัน โดยหลักแล้วด้ายนี้จะเห็นได้แค่คนที่สัมผัสเหรียญ คนที่เก่งเรื่องเวทมนตร์ก็อีกเรื่องนึงแต่น่าจะมีอยู่แค่ไม่กี่คนที่จะมองเห็นมันได้”


(ผมใช้คำอ่านตามโรมันจินะครับส่วนคันจิจะเขียนตามนี้ 絆硬貨(ミュンツェ) แปลว่า: เหรียญสายสัมพันธ์)


 


“สุดยอดเลย….ถ้างั้นข้าก็สามารถใช้เจ้านี่ติดต่อกับเพื่อนได้หน่ะสิ?”


 


“บางครั้งมันถูกใช้สำหรับจัดประชุมลับและก็มีบางครั้งที่ใช้เพื่อจุดประสงค์ในการติดตาม ถ้ายกตัวอย่างก็คือให้คนนึงถือเหรียญเอาไว้เหรียญนึงแล้วแอบเข้าไปในค่ายของศัตรูส่วนอีกคนก็พกอีกเหรียญเอาไว้เพื่อแอบตามเข้ามาข้างในอย่างเงียบๆ เนื่องจากมันผลิตไม่ทันความต้องการ, ก็เลยมีแค่อัศวินในพื้นที่รอบเมืองหลวงของจักรวรรดิที่ได้ใช้, แต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็จะถูกแจกจ่ายไปทั่วจักรวรรดิ ก็ตามนั้นแหล่ะ, ริต้า, ห้ามทำหายนะเข้าใจไหม? ในเมื่อเจ้าเป็นอัศวินฝึกหัด, มันก็เป็นแค่ของที่ให้เจ้ายืมเท่านั้น ที่ครูฝึกของเจ้ามอบให้ก็เพราะเขาอยากจะดูว่าเจ้าสามารถดูแลมันได้ไหม”


 


“ค่า!”


 


ร่าเริงมันก็ดีอยู่หรอกแต่เอลน่าก็ยังคงถอนหายใจให้กับคำตอบแบบส่งๆของเธอ


 


โดยไม่สนใจเอลน่า, ริต้ากับคริสต้าก็ไปเล่นกันที่จตุรัสของปราสาท


 


“เธอจะกลายเป็นอัศวินทั้งแบบนี้เนี่ยนะ…….”


 


ไม่เคยมีกรณีที่อัศวิฝึกหัดที่ปราสาทกลายเป็นอัศวินหลวงมาก่อน


 


อย่างไรก็ตาม, เอลน่าคาดหวังให้ริต้ากลายเป็นคนแรกที่ทำแบบนั้นได้ ถึงยังไงเธอก็คิดว่าริต้าจำเป็นต้องอยู่ข้างคริสต้า


 


ถ้าเธอกลายเป็นอัศวินหลวง, เธอก็จะสามารถกลายเป็นคนคุ้มกันราชวงศ์ได้ ริต้า, ที่ไม่ได้มาจากบ้านผู้กล้าหาญเหมือนเอลน่า, จะสามารถกลายเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของคริสต้าได้ถ้าคริสต้าต้องการ


 


ด้วยการนึกถึงอนาคตเช่นนั้น, เอลน่าก็ตั้งปณิธานของเธอ


 


เพื่อที่จะปกป้องอนาคตนั้นเอาไว้, เอลน่าจะต้องทำลายอนาคตที่โหดร้ายซะก่อน


 


ในขณะที่เอลน่าตั้งปณิธานมั่น, เธอก็ได้ยินคริสต้าส่งเสียงร้องในขณะที่เรียกชื่อของริต้า


 


“ริต้า!”


 


“ไม่เป็นไร! ข้าไม่เป็นไร! อ้ะ”


 


ริต้าปีนขึ้นไปบนเสาต้นหนึ่งในจตุรัสและในตอนที่เธอมองลงมาหาคริสต้า, เธอก็สูญเสียการทรงตัวและเผลอปล่อยมือ


 


ริต้ากำลังร่วงลงมากระแทกพื้น


 


อย่างไรก็ตาม, เอลน่าทำการตอบสนองในทันทีและรับเธอเอาไว้ได้อย่างนุ่มนวล


 


“จริงๆเลย, อัศวินไม่ควรทำให้ราชวงศ์เป็นห่วงนะรู้รึเปล่า? ริต้า”


 


“แหะแหะ….ขอโทษค่ะ”


 


“ริต้า! เป็นอะไรรึเปล่า!? บาดเจ็บไหม!?”


 


เสาไม่ได้สูงมากนัก


 


ต่อให้เธอตกลงมา, ก็ไม่น่าจะมีแผลอะไรนัก นี่คือสิ่งที่เอลน่าเรียนรู้มาจากประสบการณ์


 


ในอดีต, เธอเคยเรียกอัลออกมาที่นี่เพื่อรับการฝึกพิเศษ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้, อัลที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลยนั้นตกลงมาจากเสาและเขาก็ได้รับบาดแผลแค่เล็กน้อย


 


อย่างไรก็ตาม, คริสต้านั้นกังวลจนเกินเหตุ


 


มันต้องเกี่ยวข้องกับอนาคตที่เธอเห็นแน่ๆ


 


“ข้าไม่เป็นไร, เห็นไหม ปกติข้าก็ทำแบบนี้อยู่แล้ว”


 


“ห้ามเลยนะ! อย่าทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีก!”


 


“องค์หญิง, ใจเย็นหน่อยเถอะค่ะ”


 


“ริต้า! ข้ามองเห็นอนาคตได้! ริต้าจะตกอยู่ในอันตราย! ข้าก็เลย, อู้อึ้!?”


 


เอลน่ารีบเข้ามาปิดปากของเธอ


 


จากนั้นก็หันไปมองรอบๆในขณะที่มือยังคงปิดปากของคริสต้าเอาไว้


 


หลังจากที่ยืนยันได้แล้วว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ, เอลน่าก็ถอนหายใจออกมาแล้วมองตรงไปที่คริสต้า


 


“องค์หญิง, อัลบอกไปแล้วไม่ใช่หรอคะว่าท่านต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ?”


 


“……ใช่ค่ะ…..ข้าขอโทษ”


 


“ในเมื่อท่านหลุดปากไปแล้วก็คงช่วยไม่ได้แต่ริต้า, เจ้าต้องลืมสิ่งที่เธอพูดเมื่อสักครู่นี้นะ”


 


“เรื่องมี้กี้นี้หรอคะ? เข้าใจแล้วค่ะ!”


 


ริต้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม


 


เอลน่าไม่ได้สั่งห้ามเธอเด็ดขาด


 


แม้ว่าริต้าจะเอาไปบอกคนอื่น, มันก็จะถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระของเด็ก, และถึงแม้เอลน่าจะไม่บอกให้เธอเก็บเงียบ, เธอก็ไม่คิดว่าริต้าจะเป็นคนประเภทที่ชอบเผยแพร่ข่าวลือ


 


ริต้า, ที่เติบโตในกลุ่มเด็กหลายคนนั้นสามารถอ่านอารมณ์ได้ดังนั้นมันก็น่าจะไม่เป็นอะไร, นี่คือสิ่งที่เอลน่าคิด


 


อย่างไรก็ตาม, เอลน่าไม่ได้รู้เลย


 


มีใครบางคนที่สามารถปกปิดตัวตนในระดับที่เอลน่าตรวจจับไม่ได้อยู่ใกล้ๆ


 


แถมความจริงก็คือว่าเธอเป็นคนใช้ของคนที่พวกเขาควรจะเก็บให้เป็นความลับมากที่สุดด้วย


 


“ข้าต้องเอาเรื่องนี้ไปรายงานท่านซานดร้าแล้วหล่ะ”


 


พอพูดจบ, คนใช้ผมสีน้ำตาลก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย


 


เธอติดตามเอลน่ามาตามคำสั่งของซานดร้าและเธอก็ได้รู้เรื่องที่คาดไม่ถึงเข้า


 


เธอเป็นคนมีความสามารถที่แอบตามรอยเอลน่ามาได้โดยที่เธอไม่รู้ตัว


 


แม้ว่าเธอจะถูกฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว, แต่เธอก็ยังคงกลัวการถูกจับได้ ถ้าเธอเป็นแค่หนึ่งในนักฆ่าของซานดร้าเธอก็คงจะถูกจับได้ไปนานแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม, การที่มีเอลน่ามาช่วยคุ้มกันนั้นมันก็ยิ่งช่วยยืนยันความจริงข้อนี้


 


ความจริงที่ว่าเจ้าหญิงลำดับสามคริสต้ามีความสามารถในการมองอนาคต หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิด


 


ด้วยการพกพาความมั่นใจนี้เอาไว้, คนใช้ก็หายไปในความมืดอย่างช้าๆ

 

 

 


ตอนที่ 69

 

ตำหนักใน


 


ข้างในห้องของสนมลำดับห้า, คนใช้ผมสีน้ำตาลกำลังรายงานการติดตามของเธอให้ซานดร้าและซูซาน


 


“แน่ใจนะ?”


 


“ค่ะ, ไม่ผิดแน่ การคุ้มกันของอีกฝ่ายดูมากเกินปกติอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ”


 


“ถ้ามันเป็นรายงานจากเจ้าที่ได้รับการฝึกแบบนักฆ่ามาตั้งแต่เด็กมันก็น่าจะไม่มีข้อผิดพลาดหล่ะนะ”


 


ซูซานพูดกับคนใช้ในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเชื่อใจ


 


ซานดร้าเองก็ไม่ได้ดูถูกคนใช้คนนี้


 


เพราะเธอรู้ดี ในบรรดาคนใช้ของพวกเธอที่มีอยู่มากมายนั้น, คนที่อยู่เบื้องหน้าเธอคนนี้ถือว่าเป็นคนพิเศษ


 


“ข้าคิดว่าเวทมนตร์แต่กำเนิดที่ทำให้มองเห็นอนาคตได้นั้นมีอยู่แค่ในตำนานซะอีก……ท่านแม่คะ ข้าอยากได้จังเลย”


 


“นั่นสินะ เด็กคนนั้นจะเป็นหนูทดลองที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน เจ้าก็คิดแบบนั้นใช่ไหม? เสี่ยวเม่ย”


 


คนใช้, เสี่ยวเม่ย, เงยหน้าขึ้นมาและเห็นด้วยกับคำพูดของเจ้านาย


 


ด้วยความพึงพอใจกับคำตอบของเธอ, ซูซานก็เริ่มคิด


 


ไม่ว่าพวกเธอจะอยากได้คริสต้ามาเป็นตัวอย่างทดลองมากแค่ไหน, แต่อีกฝ่ายนั้นคือเจ้าหญิงของจักรวรรดิ การลักพาตัวเธอมาโดยตรงมันอันตรายเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น, เธอยังเป็นลูกสาวของสนมลำดับสองด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคริสต้า, เธอจะตกเป็นเป้าสงสัยแรก


 


“ใช้เสี่ยวเม่ยไปเอาตัวเธอมาให้พวกเราก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้งคะ?”


 


“ใช้สมองหน่อยสิ ถ้าทำแบบนั้นตรงๆ, พวกเขาได้เริ่มสงสัยข้าแน่ เอาจริงๆถึงแม้ว่าข้าจะยังไม่ทำอะไรก็ตกเป็นที่ต้องสงสัยอยู่แล้ว มันไม่เป็นไรหรอกถ้าพวกเขาสงสัยข้าแต่ถ้าการสืบสวนของพวกเขาสาวมาถึงข้า, เจ้าก็จะถูกทำลายด้วยเหมือนกันนะ”


 


“การจะให้ข้าหลอกสายตาของท่านหญิงบ้านแอมส์เบิร์กมันค่อนข้างจะหนักเกินไปสำหรับข้าเหมือนกันค่ะ….แต่ว่าข้ามีข้อเสนอดีๆอยู่”


 


“งั้นหรอ? ไหนลองว่ามาซิ”


 


“ใช้พ่อค้าที่คอยส่งของให้ท่านซานดร้าทำการลักพาตัวให้พวกเราค่ะ”


 


“พูดอะไรของเจ้า!? ถ้าพวกนั้นถูกจับได้, ความจริงที่มีคนจัดหาเด็กให้ข้าจะถูกเปิดเผยนะรู้รึเปล่า!?”


 


“ซานดร้า เงียบก่อน”


 


ซูซานพูดให้ซานดร้าใจเย็นลงและกระตุ้นให้เสี่ยวเม่ยพูดต่อ


 


เสี่ยวเม่ยที่เคยชินกับความฉุนเฉียวของซานดร้าพยักหน้าและพูดต่อโดยไม่มีความกลัวเลยซักนิด


 


“ในเมื่อองค์ชายลีโอนาร์ดถูกส่งไปเขตใต้, มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่พ่อค้าจะถูกเชื่อมโยงกับคดีลักพาตัว”


 


“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก! ท่านลุงไม่ปล่อยให้ลีโอนาร์ดใช้ประโยชน์ได้หรอก!”


 


“แต่มันก็ยังเสี่ยงอยู่, ข้าพูดถูกไหม?”


 


“ใช่ค่ะ เพราะฉะนั้นพวกเราควรรีบใช้พวกนั้นซะตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าพวกนั้นทำสำเร็จ, พวกเราก็จะได้ตัวองค์หญิงคริสต้ามาและในกรณีที่ล้มเหลว, พวกเราก็แค่กำจัดเจ้าพวกนั้นทิ้งซะก็พอแล้ว”


 


“แล้วถ้ามีคนหนีรอดไปได้หล่ะ?”


 


“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ เพราะข้าจะเป็นคนรับหน้าที่เก็บกวาดเอง”


 


พอพูดจบ, เสี่ยวเม่ยก็เผยรอยยิ้มออกมา


 


รอยยิ้มของเธอนั้นดูน่าขนลุกแม้กระทั่งจากมุมมองของซูซานและซานดร้า


 


แต่ถึงอย่างนั้น, ซูซานกับกับซานดร้าก็ไม่ได้ปล่อยเธอไป เธอมีความโดดเด่นอย่างท่วมท้นและเหมือนกับคนใช้คนอื่นๆ, เสี่ยวเม่ยเองก็มีคำสาปติดตัวเธอ


 


เธอคือนักฆ่าสุดแกร่งพร้อมกับปลอกคอที่ไม่สามารถถอดออกได้


 


นี่คือสาเหตุที่เธอเป็นที่ชื่นชอบของทั้งซานดร้าและซูซาน


 


และด้วยเหตุนี้เองพวกเธอถึงยอมรับข้อเสนอของเสี่ยวเม่ย


 


ซานดร้ากับซูซานยิ้ม ซานดร้ารู้สึกตื่นเต้นกับเวทมนตร์แต่กำเนิดที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนในขณะที่ซูซานกำลังเพลิดเพลินกับอนาคตที่ลูกสาวของสนมลำดับสองที่เธอเกลียดจะถูกนำมาทดลอง


 


และด้วยประการฉะนี้เองแผนการของพวกเธอก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น


 



 


“สนมลำดับห้าส่งคำเชิญมาให้องค์หญิงคริสต้ากับท่านเอลน่าครับ, เธอบอกว่าเธอมีเรื่องจะคุยกับทั้งสองคน”


 


พอได้ยินคนใช้ถ่ายทอดข้อความมาแบบนี้, เอลน่าก็ขมวดคิ้ว


 


เอลน่าเคยฟังเรื่องระหว่างสนมลำดับสองกับซูซานมาก่อนแล้ว


 


การพาลูกสาวของสนมลำดับสองอย่างคริสต้าไปยังที่ที่ซูซานอยู่นั้นก็เหมือนกับการพาสัตว์ตัวเล็กๆไปที่รังของสัตว์ร้าย มันไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเธอจะทำอะไรบ้าง


 


อย่างไรก็ตาม, ในตำหนักในนั้น, คำพูดของสนมคือคำขาด เริ่มตั้งแต่มเหสี, ยิ่งมีตำแหน่งสูงเท่าไหร่, ก็จะยิ่งมีอิทธิพลมากเท่านั้น สนมลำดับสามกับลำดับห้าที่เข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดจะมีอำนาจเป็นพิเศษ อิทธิพลของมิทสึบะเทียบกับพวกเธอไม่ได้เลยเพราะเธอไม่ได้ข้องเกี่ยวกับสงครามผู้สืบทอดโดยตรง


 


“พอดีวันนี้ท่านมิทสึบะไม่อยู่พวกเราค่อยรับคำเชิญวันหลังแล้วกันนะคะ”


 


“สนมเชิญทั้งสองคนโดยที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วค่ะ”


 


มันคงพอมีทางปฏิเสธอยู่ถ้ามิทสึบะอยู่ที่นี่แต่โชคไม่ดีที่มิทสึบะถูกจักรพรรดิเรียกตัว


 


 


เนื่องจากเขาส่งทั้งอัลและลีโอไปทำภารกิจ, จักรพรรดิก็เลยต้องดูแลมิทสึบะ


 


เอลน่ามองดูคริสต้าที่กำลังหลบอยู่หลังเธอ


 


ถ้าพาเธอไปที่นั่นมันคงนรกแน่ และต่อให้เราไปคนเดียวก็คงไม่ต่างกัน


 


การปฏิเสธก็ไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับที่นี่ด้วย ถ้าทำแบบนั้น, อีกฝ่ายก็จะใช้เรื่องนี้เป็นเหตุผลในการโจมตีมิทสึบะ


 


อย่างไรก็ตาม, การพาคริสต้าไปหาผู้หญิงที่อาจจะเป็นศัตรูของแม่เธอนั้นมันไม่ยุติธรรมเลย


 


แถมไม่ว่ายังไง, มันก็มีเรื่องอนาคตนั่นมาเป็นหัวข้อพิจารณาด้วย ดังนั้นการทิ้งเธอไว้ก็เป็นตัวเลือกที่อันตรายเกินไปเหมือนกัน


 


“ช่วยบอกสนมลำดับห้าให้หน่อยนะคะว่าพวกเราขอเวลาสักพัก”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ”


 


พอพูดจบ, คนใช้ก็ออกจากห้องไป


 


อย่างไรก็ตาม, นี่มันก็ทำได้แค่ยื้อเวลาออกไปเท่านั้น


 


“ไหวไหมคะ? องค์หญิง”


 


“เอลน่า….ข้าไม่อยากไป….”


 


“นั่นสินะคะ องค์หญิงอยู่ที่นี่เถอะค่ะเดี๋ยวข้าจะไปเองคนเดียว”


 


“เองน่าจะไปหรอ…..?”


 


“ถ้าข้าไม่ไปท่านมิทสึบะจะตกที่นั่งลำบากได้ เพราะฉะนั้นองค์หญิงห้ามออกจากห้องนี้เด็ดขาดเลยนะคะ พวกเจ้าก็เข้าใจตรงกันใช่ไหม?”


 


หลังจากที่เธอบอกคริสต้า, เอลน่าก็ออกคำสั่งการ์ดที่ถูกมอบหมายมาให้มิทสึบะ


 


การ์ดตำหนักในนั้นมีแค่ผู้หญิงและทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในตำหนักใน กองนึงจะถูกแต่งตั้งให้กับสนมแต่ละคนและถึงแม้จะมีสนมที่ตำแหน่งสูงกว่ามายืนอยู่ตรงหน้า, พวกเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสนมหรือการ์ดของสนมคนอื่น พวกเธอนั้นเหมือนกับทหารประจำตัวของเหล่าสนม


 


ข้อยกเว้นเดียวสำหรับกฏนี้ก็คือมเหสีที่ใหญ่สุดในตำหนักในแต่เนื่องจากมเหสีองค์ปัจจุบันไม่ค่อยเข้ามาแทรกแซงเท่าไหร่เว้นเสียแต่ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น, ตอนนี้พวกเธอก็เลยทำหน้าที่เหมือนทหารส่วนตัวของสนมมากกว่า


 


“ไว้ใจพวกเราได้เลยค่ะ”


 


“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น, ต่อให้องค์หญิงพูดเองว่าอยากออกไปข้างนอก, พวกเจ้าก็ห้ามปล่อยให้องค์หญิงออกจากห้องนี้โดยเด็ดขาดเข้าใจไหม”


 


“ค่ะ!”


 


ภายใต้สถานการณ์พิเศษนี้, เอลน่าได้รับอำนาจบัญชาการที่สูงกว่ามิทสึบะและการ์ดของคริสต้า


 


อย่างไรก็ตาม, เอลน่ายังคงกังวลอยู่เพราะเธอไม่สามารถใช้ลูกน้องสายตรงของเธอได้


 


มันมีกำลังคนไม่พอ


 


สถานการณ์คงจะต่างออกไปถ้าเธอสามารถพามาร์คมาด้วยได้แต่ตำหนักในคือสถานที่สำหรับผู้หญิงเท่านั้น ไม่มีผู้ชายคนไหนเข้ามาที่นี่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต


 


“ฟังให้ดีนะคะ, องค์หญิง ช่วยสัญญากับข้าได้ไหมว่าท่านจะไม่ออกจากห้องนี้”


 


“โอเค…..ข้าจะไม่ออกจากห้องนี้……”


 


“ขอบคุณมากค่ะ ต่อให้พวกเขาใช้ชื่อของข้า, ท่านก็ต้องไม่ออกไปนะคะ”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ลูบศรีษะของคริสต้าแล้วออกจากห้องไป


 


การหายไปอย่างกระทันหันของเอลน่าทำให้คริสต้ารู้สึกกังวล


 


ดังนั้นคริสต้าก็เลยเข้าไปขลุกอยู่ในฟูกบนเตียงของเธอแล้วกอดตุ๊กตากระต่ายตัวโปรด


 


อย่างไรก็ตาม, มีรายงานนึงเข้ามาและมันก็สั่นคลอนจิตใจของคริสต้า


 


“อ, องค์หญิง! แย่แล้วค่ะ! คือว่า, องค์ชายอาร์โนลด์!


 


“ท่านพี่อัลหรอ!? เขากลับมาแล้วหรอ!?”


 


คริสต้าตอบสนองต่อรายงานนี้ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลและสังเกตเห็นว่าคนใช้ที่เข้ามารายงานนั้นเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด เนื่องจากคนใช้ดูแข็งแรงดี, เธอจึงเข้าใจว่าไม่ใช่เลือดของคนใช้


 


มีบางอย่างเกิดขึ้น


 


ร่างของคริสต้าสั่นตามสันชาตญาณ


 


“นะ, นี่มัน……”


 


“พวกเขาเจอมอนส์เตอร์ในระหว่างทางมาที่นี่ ดูเหมือนว่าองค์ชายจะได้รับบาดเจ็บในขณะที่ปกป้องดยุคไรน์เฟลด์จากการโจมตีของมอนส์เตอร์ค่ะ….แถมบาดแผลค่อนข้างสาหัสด้วย”


 


“ไม่นะ……”


 


“เขากำลังพึมพำเรียกหาองค์หญิงคริสต้าข้าก็เลยมาที่นี่เพื่อถ่ายทอดข้อความ….ช่วยรีบเข้าเถอะค่ะ”


 


น้ำเสียงที่เย็นชาของคนใช้สั่นคลอนคริสต้า


 


คริสต้าพยายมจะออกไปในทันทีแต่การ์ดก็หยุดเธอเอาไว้


 


“ช่วยหยุดเถอะค่ะองค์หญิง!”


 


“ปล่อยข้านะ! ท่านพี่อัลหน่ะ!”


 


“ท่านเอลน่าบอกพวกเราว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามออกจากห้องค่ะ!”


 


“ท่านพี่อัลกำลังตกอยู่ในอันตราย! ช่วยปล่อยข้าไปเถอะนะ!”


 


“ท่านมิทสึบะไปถึงที่เกิดเหตุแล้วค่ะ! ช่วยรีบด้วย!”


 


พอได้ยินแบบนี้, คริสต้าก็สลัดแขนของการ์ดออกแล้วเริ่มวิ่งตามคนใช้ไป


 


ตอนนี้การ์ดไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามเธอไป


 


คนใช้ที่เปื้อนเลือดกำลังนำทางไปอยู่


 


“นี่! ตั้งใจจะไปถึงไหน!? นี่มันทางเข้าของพ่อค้าไม่ใช่หรอ!?”


 


“ข้าใช้ทางนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายค่ะ! เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยต้องรักษาเขาตรงนั้นเลย!”


 


“เร็วเข้าเถอะ!”


 


คริสต้าวิ่งเร็วแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน


 


เธอเป็นห่วงเขามากถึงขั้นโยนตุ๊กตากระต่ายของเธอทิ้งเหมือนกับว่ามันเป็นตัวถ่วงความเร็วของเธอ


 


ในตอนที่คริสต้าเลี้ยวตรงมุม, เธอก็เห็นคนนอนซมที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดอยู่ข้างๆรถม้ากำลังได้รับการรักษาอยู่


 


“ท่านพี่!!”


 


คริสต้ารีบวิ่งไปหาคนเจ็บ


 


อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่เธอไปถึง, มันกลับเป็นคนละคนที่มีผมสีดำเหมือนกับอัล


 


“นี่มัน…..ไม่ใช่ท่านพี่หรอ….?”


 


“ก็มันเป็นกับดักนี่ครับ”


 


พอพูดจบ, ชายรูปร่างอ้วนท้วมที่อยู่ข้างๆคนเจ็บก็เอาผ้ามาปิดปากของเธอ


 


“อู้อื้อออออ!!?? อื้อ….”


 


คริสต้าพยายามจะส่งเสียงแต่เธอก็ไม่สามารถทำได้เพราะสู้แรงของผู้ใหญ่ไม่ไหว


 


กลิ่นของยาที่ชะโลมเอาไว้ในเนื้อผ้าค่อยๆพรากสติของคริสต้าไป


 


ในตอนที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น, มันก็ตามมาด้วยเสียงคนกำลังล้ม


 


การ์ดสามคนที่ตามหลังคริสต้ามานั้นมีเลือดไหลที่คอและล้มลงไป


 


“ทำงานได้ดีเหมือนเคยเลยนะ, กุนเธอร์”


 


“ไม่ต้องชมหรอก, รีบเข้าเถอะ”


 


กุนเธอร์เป็นนักฆ่าวัยกลางคนที่เคยพยายามลอบโจมตีอัล


 


เขามักจะใช้เวทมนตร์ในตอนที่ทำการลอบสังหารแต่ครั้งนี้เขาเลือกใช้มีดธรรมดา


 


เพราะเขาจะทำให้อาชญากรรมนี้เชื่อมโยงมาถึงเขาไม่ได้


 


“ถ้างั้นขอรับตัวเธอไปเลยนะ”


 


“อา, ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจดีแล้วใช่ไหม”


 


“แน่นอน ข้าจะไม่ทำอะไรเธอ, รับรองเลย”


 


พอเห็นรอยยิ้มหยาบช้าของชายร่างท้วม, กุนเธอร์ก็มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ


 


กุนเธอร์รู้ว่าชายคนนี้คือหนึ่งในพ่อค้ามือดีของเมืองหลวงจักรวรรดิแต่หลังฉากนั้น, เขาคือพ่อค้าทาสผู้รักเด็กที่แอบลักพาตัวและขายเด็กจากทั่วทั้งประเทศ


 


เด็กสาวที่อายุไร่เลี่ยกับคริสต้านั้นคือของชอบของเขา


 


“ถ้าเจ้าทำเป็นเล่นพวกเราจะไม่ทนแน่ เข้าใจดีใช่ไหม?”


 


“ค, ครับ ข้าเข้าใจแล้ว”


 


พอมองตาของกุนเธอร์, ก็เห็นว่าพ่อค้าอ้วนคนนี้กำลังกลัวอยู่


 


หลังจากนั้นเขาก็ให้ลูกน้องพาตัวคริสต้าขึ้นรถม้า


 


สถานที่ที่พวกเขาซ่อนคริสต้าที่กำลังหลับเอาไว้ก็คือช่องเก็บของลับในรถม้าของพวกเขา มันคือพื้นสองชั้นที่พวกเขาทำเอาไว้สำหรับส่งของผิดกฏหมายมาที่ปราสาท


 


มีผู้ตรวจสอบอยู่ไม่กี่คนในตอนที่พวกเขาจะออกไปแต่ว่าครั้งนี้พวกเขากำลังขนองค์หญิงของจักวรรดิอยู่ดังนั้นต้องระวังตัวเป็นพิเศษ


 


พ่อค้าไม่ได้รู้สึกผิดเลย แน่นอนว่า, มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาลักพาตัวเจ้าหญิงแต่พวกเขาก็มักจะลักพาตัวขุนนางผู้หญิงและเปลี่ยนให้พวกเธอเป็นทาสอยู่แล้ว


 


แต่ก็แน่นอนว่า, พวกเขาเองก็กลัวอยู่, ถึงยังไงศัตรูในครั้งนี้ก็เป็นตัวเบ้งของจริง อย่างไรก็ตาม, ในเมื่อคนที่ส่งคำขอในครั้งนี้มานั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากซินดร้า, พ่อค้าก็เลยคิดว่าน่าจะยังเอาอยู่


 


ตราบใดที่พวกเขาไม่ยอมรับความผิด, มันก็จะไม่เป็นอะไร


 


หลังจากที่เห็นพ่อข้าขึ้นรถม้าไปด้วยรอยยิ้ม, กุนเธอร์ก็สั่งให้คนของเขาเก็บกวาดศพของการ์ด


 


จากนั้นรถม้าก็เริ่มขับออกไปอย่างช้าๆ


 


อย่างไรก็ตาม, มีเด็กคนนึงกำลังวิ่งไล่ตามรถม้าคันนั้นอยู่


 


ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือริต้า


 


ในมือของริต้าคือตุ๊กตากระต่ายที่เป็นของคริสต้า ริต้าสามารถไล่ตามและขึ้นไปที่ส่วนเก็บของของรถม้าได้แล้วเธอก็ยัดตุ๊กตาเข้าไปจากด้านนอก


 


“เดี๋ยวริต้าจะช่วยเองนะ…..คูจัง”


 


หลังจากผ่านไปช่วงสั้นๆ, การหายตัวไปของคริสต้าก็กลายเป็นที่รู้กันทั้งปราสาท, และถูกกำหนดให้เป็นการเตือนภัยระดับสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


 


แต่ว่ากว่าจะรู้ตัวรถม้าก็ออกจากปราสาทไปนานแล้ว


 


ด้วยเหตุนี้เอง, เมืองหลวงของจักรวรรดิจึงกำลังเข้าใกล้อนาคตที่คริสต้าเห็นอย่างช้าๆ

 

 

 


ตอนที่ 70

 

แก้ไขตอนที่ 69 ตอนที่ริต้าขึ้นรถม้าได้แล้วริต้าโยนตุ๊กตาทิ้งนะครับไม่ใช่ยัดเข้าไปในรถพอดีผมสับสนคันจิแล้วแปลผิดเองขอประทานโทษด้วยครับ


………………………………………………………


 


 


เอลน่าที่มาเยี่ยมห้องของซูซาน, สนมลำดับห้า, ตอนนี้กำลังยืนอยู่หน้าคนเรียก


 


“ข้าคิดว่าข้าขอให้พาคริสต้ามาด้วยกันกับเจ้าไม่ใช่หรอ?”


 


เอลน่ากำหมัดให้กับท่าทีใสซื่อของซูซาน


 


เห็นได้ชัดว่านี่มันไม่ใช่คำขอแต่เป็นคำขู่


 


อย่างไรก็ตาม, เอลน่าจ้องซูซานกลับไปแล้วตอบกลับ


 


“องค์หญิงคริสต้ารู้สึกไม่ค่อยสบายก็เลยมาไม่ได้ค่ะ เพราะฉะนั้นข้าก็เลยมาที่นี่คนเดียว”


 


“งั้นหรอ เธอป่วยสินะ…..ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร”


 


ซูซานพูดแล้วส่งสัญญาณให้เอลน่านั่ง


 


ด้วยความที่ไม่สามารถปฏิเสธได้, เอลน่าก็เลยนั่งลงบนเก้าอี้แต่เธอไม่ได้ยื่นมือไปหยิบอะไรบนโต๊ะเลย


 


เอลน่าจำได้ว่าซูซานร้องไห้ในงานศพของสนมลำดับสอง


 


น้ำตาของเธอเป็นของจริง นี่คือสาเหตุที่เธอน่ากลัว


 


ความน่ากลัวมันอยู่ตรงที่ว่าผู้หญิงที่ชื่อซูซานนั้นสามารถร้องไห้ได้แม้กระทั่งกับศัตรูคู่อาฆาตของเธอ การที่เธอสามารถหลอกตัวเองได้ถึงขั้นนั้ง, ก็แสดงว่าการหลอกคนอื่นต้องเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอเช่นกัน


 


พ่อของเอลน่าเคยพูดเอาไว้ว่าซูซานนั้นคือนังงูพิษ


 


ซึ่งตอนนี้เธอก็ได้เข้าใจสิ่งที่เขาสื่อแล้ว


 


“เหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามาในครั้งนี้ก็เพราะข้าอยากให้เจ้ามาอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเรา”


 


พอเห็นซูซานพูดแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม, เอลน่าก็นึกถึงภาพงูที่กำลังแลบลิ้นและค่อยๆเข้ามาใกล้เธออย่างช้าๆพร้อมกับรอจังหวะที่จะเข้าใส่เธอ


 


และก่อนที่จะรู้ตัว, คุณก็จะโดนรัดและเตรียมที่จะถูกกินแล้ว


 


เอลน่าหลับตาลงและสลัดภาพนั้นออกไป


 


“ถ้าท่านขอให้ข้าช่วยในสงครามผู้สืบทอดข้าก็คงต้องขอปฏิเสธค่ะ”


 


“งั้นหรอ…..ทำไมหล่ะ?”


 


“บ้านแอมส์เบิร์กไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสงครามผู้สืบทอดมาทุกยุคสมัย จุดยืนของพวกเราคือการที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง”


 


“แต่เจ้ากำลังช่วยลีโอนาร์ดอยู่ไม่ใช่หรอ? แถมตอนนี้เจ้าก็คุ้มกันแม่ของเขาอยู่ด้วยนะ”


 


“เขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของข้า การที่ข้าช่วยนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของข้าคนเดียว พวกเขาก็แค่จะรู้สึกปลอดภัยกว่าถ้ามีข้าคอยทำหน้าที่คุ้มกัน ท่านรู้สึกไม่พอใจหรอคะ?”


 


“เปล่าหรอก, มิตรภาพของเจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าช่วยแบ่งมิตรภาพนั้นมาให้ซานดร้าบ้างไม่ได้หรอ?”


 


แน่นอนว่าไม่มีวันอยู่แล้ว


 


นี่คือสิ่งที่เอลน่าคิดแต่เธอไม่สามารถพูดออกมาได้ดังนั้นเธอจึงตอบกลับไปอย่างกลางๆแทน


 


“ไว้ข้าจะหาโอกาสพิจารณาดูนะคะ”


 


“เป็นคำตอบที่เย็นชาจังเลยนะ รู้ไหมว่าทั้งข้าและเด็กคนนั้นประเมินเจ้าเอาไว้สูงเชียวหล่ะ?”


 


“งั้นหรอคะ”


 


ในขณะที่ตอบกลับไปอย่างปัดๆ, เอลน่าก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ


 


โดยปกติแล้วผู้คนจะไม่ใช้คำว่า ‘ประเมิน’ กับสมาชิกของตระกูลแอมส์เบิร์ก สถานะของบ้านแอมส์เบิร์กนั้นมั่นคง มันไม่น่าจะมีใครกล้าตัดสินคุณค่าของพวกเขา


 


อย่างไรก็ตาม, คำถามก็คือว่าทำไมซูซานถึงพูดเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้ออกมา เอลน่าขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ


 


“ถ้าร่วมมือกับซานดร้าเจ้าจะได้รางวัลเยอะแยะเลยนะรู้รึเปล่า? และพวกเราก็ยินดีที่จะให้สัญญาด้วยว่าจะไม่แตะต้องเพื่อนสมัยเด็กของเจ้า”


 


“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติกับข้อเสนอของท่านนะคะ…..แต่ข้าขอถามอะไรซักอย่างได้รึเปล่า!?”


 


เป็นการชักชวนที่ขวานผ่าซากจริงๆ


 


การปฏิเสธเสียงแข็งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี มันจะดีกว่าถ้ารีบหาทางเปลี่ยนหัวข้อแล้วจบการสนทนาให้ได้เร็วๆ


 


เอลน่าเข้าใจตรงจุดนี้ ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลที่ทำไมถึงแปลก


 


เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในตอนนี้, เอลน่าก็เลยยิงคำถามของเธอออกไปและพยายามที่จะควบคุมการสนทนา


 


“ถามอะไรหล่ะ?”


 


“ทำไมถึงเรียกองค์หญิงคริสต้ามาด้วยหรอคะ?”


 


“เด็กคนนั้นเป็นน้องสาวของลีเซล็อตต์ที่มักจะอยู่ชายแดนตลอดเวลา ข้าคิดว่าถ้าข้าถามเธอ, เธออาจจะมาเข้าร่วมกับข้า”


 


“เข้าร่วมกับท่านหรอคะ……?”


 


เอลน่าไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ซูซานพูดออกมา


 


เรื่องแบบนั้นมันไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้ว


 


มันดูไม่น่าเชื่อสุดๆที่ลูกสาวของสนมลำดับสองอย่างลีเซล็อตต์หรือคริสต้าจะเข้าร่วมกับฝั่งของซูซาน แม้ว่าเธอจะถูกพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว, แต่เธอก็ยังเป็นที่น่าสงสัย, มันไม่มีทางเลยที่พวกเธอจะร่วมมือกับคนๆนี้


 


แล้วทำไมเธอถึงให้คำตอบแบบนี้หล่ะ?


 


“ตอนนี้คริสต้าไม่อยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น, ข้ายังอยากคุยกับเจ้าต่อด้วย”


 


“เธอกำลังซื้อเวลา………”


 


เอลน่าตื่นตัวแล้วพึมพำออกมาแบบนั้น


 


ในอีกด้านนึง, ซูซานแค่เอียงศรีษะเล็กน้อยราวกับเธอกำลังประหลาดใจ


 


“เมื่อสักครู่นี้เจ้าพูดอะไรรึเปล่า?


 


“!!??”


 


พอเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้, เอลน่าก็รู้สึกตัว


 


เธอคือคนที่ซูซานอยากจะล่อออกมา


 


พอเธอคิดได้, เอลน่าก็วิ่งออกไปจากห้องโดยที่ไม่พูดอะไรเลย


 


ซูซานไม่ได้พยายามจะหยุดเธอ


 


ตำหนักในนั้นกว้างขวางและเขตของสนมแต่ละคนก็อยู่ห่างกัน แค่เวลาที่เอลน่าเดินทางมาที่นี่มันก็มากพอแล้ว


 


เอลน่าตำหนิความสะเพร่าของตัวเองในขณะที่กระโดดขึ้นหลังคาของตำหนักในและใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุดกลับไปหาคริสต้า


 


เหตุผลที่เธอเรียกคริสต้ามาด้วยก็เพราะเธอรู้ว่าเอลน่าจะต้องทิ้งคริสต้าเอาไว้


 


เป้าหมายดั้งเดิมก็คือการจับพวกเธอแยก


 


“ชิ!”


 


เนื่งจากเป็นห่วงความรู้สึกของคริสต้า, เธอก็เลยทำให้คริสต้าตกอยู่ในอันตราย


 


เธอน่าจะอยู่ข้างๆคริสต้าเอาไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม


 


ด้วยความรู้สึกเสียใจ, เอลน่าก็กลับมาถึงพื้นที่ใกล้กับห้องของมิทสึบะ


 


อีกฝ่ายไม่น่าจะสามารถทำอะไรได้ตราบใดที่ยังอยู่ในตำหนักใน


 


พอคิดได้แบบนี้, เอลน่าก็มองเข้าไปในห้อง และเห็นว่าคริสต้าไม่อยู่แล้ว, ซึ่งนี่ก็ทำให้สีหน้าของเอลน่าหม่นหมอง


 


“องค์หญิง!? เธอไปอยู่ไหนแล้ว!?”


 


“ค, ค่ะ! มีรายงานเข้ามาว่าองค์ชายอาร์โนลด์ได้รับบาดเจ็บในระหว่างทางกลับก็เลย….”


 


“ถ้าเป็นความจริงผู้คนก็น่าจะแตกตื่นกันแล้ว! รีบตามข้ามาเร็ว!”


 


ด้วยการพาการ์ดที่อยู่ใกล้ๆไปกับเธอด้วย, เอลน่าก็ไล่ตามคริสต้าไป


 


พอถามจากคนที่อยู่ในระแวก, เธอก็พอรู้ทิศทางที่คริสต้ามุ่งหน้าไป


 


เมื่อเห็นว่าทิศทางมันตรงไปยังพื้นที่โหลดสินค้าของพ่อค้า, เอลน่าก็ทิ้งการ์ดเอาไว้แล้วมุ่งหน้าไปข้างหน้า


 


หลังจากที่เอลน่ามาถึงพื้นที่โหลดสินค้า, เธอก็กวาดตามองพวกพ่อค้าที่อยู่ที่นี่


 


ทุกคนรู้สึกประหลาดใจกับการปรากฎตัวอย่างกระทันหันของเอลน่าแต่เธอก็ไม่สนใจพวกเขาแล้วมองดูรอบๆ จากนั้นเธอก็เจอเบาะแสนึงบนพื้น


 


มันคือรอยคราบเลือดที่พึ่งถูกเช็ดไป แถมยังมีมากกว่าหนึ่งรอยด้วย


 


การเช็ดคราบเลือดลักษณะนี้เป็นหนึ่งในเทคนิคที่นักฆ่าชอบใช้


 


พอเห็นแบบนี้เอลน่าก็เดาะลิ้น, แล้วเงยหน้าขึ้นมา


 


หลังจากที่มองหาเบาะแสรอบๆ, เธอก็เจอตุ๊กตากระต่ายที่ดูคุ้นเคย มันเป็นของคริสต้า


 


“องค์หญิง…..!”


 


ด้วยการเรียกชื่อของเธอออกมาโดยไม่รู้ตัว, เอลน่าก็วิ่งไปหาตุ๊กตา


 


ตุ๊กตาสีขาวตัวสกปรกไปหมดแต่ไม่มีคราบเลือดอยู่ แสดงว่าตอนนี้, เธอน่าจะยังไม่ได้รับบาดเจ็บสินะ เอลน่าตระหนักได้ถึงเรื่องนี้แล้วถอนหายใจออกมา


 


ในตอนนั้นเอง, เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแข็งๆอยู่ข้างใน


 


มันมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างในตุ๊กตา ในตอนที่เธอเอาออกมาดู, เธอก็เจอเหรียญ


 


พอนึกถึงความเป็นไปได้, เอลน่าก็พึมพำออกมาเบาๆ


 


“…..บันเด้”


 


มีเส้นด้ายเส้นนึงที่ทำมาจากพลังเวทย์งอกออกมาจากเหรียญ


 


มันทอดยาวไปไกลจนออกนอกปราสาท


 


“ริต้า…..!”


 


เอลน่าเรียกชื่อของเธอออกมาโดยไม่คิดอะไร


 


มันมีทั้งความดีใจและความเป็นห่วง


 


ในเมื่อเป็นแบบนี้, ก็แสดงว่าริต้าต้องตามคริสต้าไปแน่ๆ อย่างไรก็ตาม, การที่เธออยู่กับคริสต้านั้นก็หมายความว่าตอนนี้อนาคตที่คริสต้าเห็นเริ่มกลายเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆแล้ว


 


“เอาเรื่องนี้ไปรายงานจักรพรรดิเดี๋ยวนี้เลย! องค์หญิงคริสต้าถูกลักพาตัว! เรียก VIP ทุกคนกลับมาที่ปราสาทและสั่งปิดปราสาททันที! เร็วเข้า!”


 


หัวหน้าหน่วยของภาคีอัศวินหลวงนั้นมีอำนาจถึงขั้นนี้


 


ในสถานการณ์ฉุกเฉิน, พวกเขาได้รับอนุญาตให้มีอำนาจตัดสินใจในระดับนึง


 


เอลน่าออกคำสั่งต่อ


 


“ข้าจะไล่ตามไปเอง! ขออนุญาตฝ่าบาทให้ส่งอัศวินหลวงมาให้ข้าด้วย!”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ทะยานขึ้นฟ้าแล้วเริ่มบิน


 


วิธีนี้เร็วกว่าการวิ่งฝ่าฝูงชนในเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


เหตุผลที่ทำไมเธอไม่ค่อยทำแบบนี้ก็เพราะจักรพรรดิห้ามไม่ให้เธอบินเล่นตามใจชอบ


 


อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้มันไม่มีเวลามาห่วงเรื่องนั้นแล้ว


 


เอลน่าบินตรงไปทางที่เหรียญนำเธอไป


 



 


“เอาหล่ะ, เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วนะ”


 


คริสต้า, ที่ถูกขังเอาไว้ข้างในรถม้าตื่นแล้ว, แต่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน


 


เธอไม่สามารถออกแรงขยับตัวได้และเธอก็ถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือก


 


เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังเดินลงบันไดแต่เธอไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่


 


เธอรู้แค่ว่ามันเป็นห้องที่ทั้งมืดทั้งอับ


 


“เอาหล่ะ, องค์หญิง, รอข้าก่อนนะ, เดี๋ยวจะไปเอาปลอกคอดีๆมาให้”


 


ชายหัวล้านที่เป็นคนมัดคริสต้าพูด


 


ผู้ช่วยพ่อค้าที่ถูกทิ้งเอาไว้ให้ดูแลทาสเดินไปที่หลังห้องอย่างมีความสุข


 


เขากำลังจะเอาปลอกคอมาสวมเธอ ซึ่งความจริงนี้ทำให้คริสต้ารู้สึกสิ้นหวัง


 


การเอาปลอกคอมาสวมคนนั้นมักจะหมายความว่าเขาจะใส่อุปกรณ์เวทมนตร์ที่จะแย่งชิงอิสรภาพของเธอ ทาสนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายในจักรวรรดิมาตั้งแต่แรกแล้วดังนั้นมันจึงเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ถูกแบนด์ในจักรวรรดิ


 


พอตระหนักได้ว่าเธอถูกคนที่ใช้ของแบบนี้จับได้, ร่างกายของคริสต้าก็เริ่มสั่น


 


อย่างไรก็ตาม, เสียงของเพื่อนเธอที่ไม่น่าจะอยู่ที่นี่ก็ดังเข้ามาในหูของคริสต้า


 


“คูจัง…….!”


 


“ริต้า…..?”


 


ริต้ากระซิบเรียกคริสต้าและคริสต้าก็ยิ้มให้เพื่อนของเธอ


 


อย่างไรก็ตาม, เธอไม่สามารถใช้มีดของเธอตัดเชือกที่มัดคริสต้าเอาไว้ได้ในทันที


 


“ได้ยังไงกัน……”


 


“ริต้าเจอตุ๊กตาของคูจังก็เลยไล่ตามมา แล้วในตอนที่ริต้าเห็นคูจังอยู่บนรถม้า, ริต้าก็เกาะขึ้นมาด้วย”


 


“ทำไมหล่ะ……มันอันตรายไม่ใช่หรอ……?”


 


“ริต้าไม่ใช่พวกขี้ขลาดที่ทอดทิ้งเพื่อนซักหน่อย”


 


พอพูดจบ, ริต้าก็สามารถตัดเชือกได้และช่วยพยุงคริสต้าขึ้นมา


 


“ไม่….พวกเราหนีไปไม่ได้หรอก…..”


 


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวริต้าจะคอยคุ้มกันให้เอง”


 


ริต้าเผยรอยยิ้มตามปกติออกมาแล้วพาคริสต้าไปที่ทางออก


 


ทั้งสองคนค่อยๆเดินไปตามอุโมงที่ซับซ้อนแต่ว่าพวกเขาก็ยังเป็นแค่เด็กและมีคนนึงที่เดินไม่ค่อยไหวด้วย


 


ไม่นานนัก, ชายหัวล้านเมื่อก่อนหน้านี้ก็ตามพวกเขาทัน


 


“ดูเหมือนจะมีหนูหลงเข้ามาสินะ, เอาเถอะ ข้าจะเอาเจ้าไปเป็นสินค้าด้วยละกัน”


 


“เขาไล่ตามมาแล้ว!?”


 


“ริต้า, หนีไป……!”


 


“ริต้าไม่หนีหรอก!”


 


พอถูกชายหัวล้านไล่, ริต้ากับคริสต้าก็เปลี่ยนเส้นทาง


 


ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ทางออก, แต่ถ้าพวกเขายังวิ่งทางเดิมต่อเขาก็จะไล่ทัน


 


หลังจากเลี้ยวอยู่หลายครั้ง, ริต้ากับคริสต้าก็เข้ามาในห้องๆนึงแล้วปิดประตู


 


“เห้อ…..พวกเราจะหาทางออกไปให้ได้นะ”


 


“ม ไม่นะ…..”


 


ริต้ารู้สึกโล่งอกในขณะที่คริสต้าตกอยู่ในความสิ้นหวัง


 


มันคือห้องของเด็กๆที่ถูกจับมาขายเป็นทาส ห้องนี้ถูกแยกจากห้องอื่นและดูเหมือนกระท่อมถ้ามองผ่านๆ


 


คริสต้าจำห้องนี้ได้ดี


 


มันคือห้องที่เธอเห็นริต้าตาย


 


นี่คือสถานที่ที่ริต้าจะถูกบางอย่างฆ่า


 


“ริต้า!! เจ้าต้องหนีไปนะ!!”


 


“หืม? พวกเราก็กำลังหนีอยู่ไม่ใช่หรอ?”


 


“ไม่ใช่แบบนั้น! ขอร้องหล่ะ!”


 


คริสต้าอ้อนวอนแต่เสียงของเธอก็ถูกกลบไปด้วยเสียงอีกเสียงนึงที่อยู่ในห้อง


 


“จับ-ได้-แล้ว-นะ”


 


เสียงทุ้มต่ำที่บีบรัดหัวใจของพวกเธอนี้เป็นของชายหัวล้าน


 


ชายคนนี้เข้ามาในห้องจากประตูที่มองแวบแรกดูเหมือนกับส่วนนึงของกำแพง


 


“มีประตูลับซ่อนอยู่ทั่วสถานที่แห่งนี้ เจ้าซ่อนตัวจากข้าไม่ได้หรอก”


 


“ไม่จริงหน่า…..”


 


“หนอยย!!”


 


ริต้าพยายามจะเปิดประตูที่พวกเธอเข้ามาแต่มันติดและเปิดไม่ออก


 


ชายหัวล้านคนนี้ต้องทำอะไรบางอย่างกับมันแน่ๆ


 


“เอาหล่ะ, พวกเรามาจบเกมส์เล่นซ่อนหากันเลยดีไหม”


 


“อย่าเข้ามาใกล้นะ!”


 


ริต้าซ่อนคริสต้าเอาไว้ข้างหลังแล้วชักมีดออกมา


 


ชายหัวล้านมองไปที่มีดแล้วยิ้มเยาะ


 


“โห โห, น่ากลัวจังเลย ตอนนี้กำลังเล่นเป็นอัศวินอยู่งั้นหรอ”


 


“หุบปากไปซะ!”


 


ริต้ายกมีดขึ้นมา, ท่ายืนของเธอนั้นไม่เหมือนกับเด็กเลย


 


ชายหัวล้านเข้าไปใกล้พวกเธอโดยไม่สนใจอะไรแต่ในตอนนั้นเองเลือดที่เท้าของเขาก็ไหลออกมาเล็กน้อย


 


“หนอย…..เจ้าเด็กเวร…..วางมีดลงเดี๋ยวนี้นะ ถ้าเจ้าทำตัวดีๆข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้าโอเคไหม?”


 


“ฝันไปเถอะ!”


 


“ริต้า! หยุดเถอะนะ!”


 


“องค์หญิงสั่งเจ้าแล้วนะไม่ได้ยินหรอ?”


 


“ริต้าจะไม่ทิ้งเพื่อนเด็ดขาด!”


 


ริต้าจับมีดของเธอแน่น


 


ในตอนที่ชายหัวล้านเข้าไปในระยะของริต้าอีกครั้ง, เธอก็พยายามขัดขวางเขาเหมือนกับก่อนหน้านี้แต่ชายหัวล้านที่รู้จังหวะมีดของเธอแล้วก็ก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อหลบคมมีดแล้วฉวยโอกาสเตะริต้าออกไป


 


“อึ้ก!!”


 


“หืม, โดนเต็มๆเลยสินะ”


 


“แค่ก, แค่ก! แก…..”


 


“ริต้า! ริต้า!”


 


ริต้าที่ถูกเตะนั้นกลิ้งไปกระแทกกับกำแพง


 


พอเห็นริต้ากระอักเลือดออกมา, คริสต้าก็วิ่งไปหาเธอแต่ริต้าก็ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ยังเปียกไปด้วยน้ำตา จากนั้นเธอก็เอาตัวมาบังคริสต้าอีกครั้ง


 


“ยังยืนไหวอยู่หรอเนี่ย พวกอัศวินสอนให้เจ้าคอยปกป้ององค์หญิงสินะ?”


 


“ข้า, มันไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย….”


 


“อะไรกัน? พวกนั้นก็แค่เติบโตในปราสาทอันแสนอบอุ่นโดยที่ไม่รู้จักความลำบากไม่ใช่หรอ? แถมตัวเจ้าเองก็เป็นสามัญชนไม่ใช่รึไง? ข้าจะไม่พูดอะไรแย่ๆเพราะฉะนั้นทิ้งมีดลงได้แล้ว เป็นทาสก็ยังดีกว่าตายนะถูกไหม?”


 


“ข้าขอปฏิเสธ……”


 


“เห้อ, ช่างน่าเจ็บปวดจริงๆ แม้กระทั่งเด็กอย่างเจ้าก็ยังพูดเรื่องอะไรอย่างเช่นความภาคภูมิใจของอัศวินงั้นหรอ”


 


ชายหัวล้านพูดออกมาแบบนั้นเหมือนกับว่าเขาอยากจะอ้วก


 


อย่างไรก็ตาม, ริต้าจ้องชายคนนั้นตาเขม็ง


 


จากนั้นเธอก็ยกมีดขึ้นมาอีกครั้งด้วยมือที่สั่นเครือ


 


“ริต้าไม่ใช่อัศวิน……คูจังเป็นเพื่อนของข้าเพราะฉะนั้นข้าก็เลยปกป้องเธอ…..ริต้าจะไม่มีวันทิ้งเพื่อนเป็นอันขาด!!”


 


“งั้นหรอ”


 


พอพูดจบชายหัวล้านก็หยิบแท่งเหล็กที่อยู่ใกล้ๆขึ้นมา


 


ปลายของมันนั้นคมกริบ บางทีมันน่าจะมีไว้ใช้สำหรับทรมานทาส


 


ชายหัวล้านเดินตรงมาหาริต้า


 


ฉากที่เห็นตรงหน้านี้ได้ซ้อนทับกับภาพนิมิตของคริสต้า


 


และในตอนนี้เองความรู้สึกอยากยอมแพ้ก็เริ่มเติบโตขึ้นในใจของคริสต้า


 


ตั้งแต่วันที่เธอเห็นอนาคตที่มงกุฎราชกุมารตาย, คริสต้าก็ได้เห็นอนาคตอื่นๆอีกมากมาย มันมีอนาคตที่เธอไม่ได้บอกกับอัลหรือมิทสึบะด้วย


 


นี่คือสาเหตุที่คริสต้ารู้ถึงความแตกต่างระหว่างอนาคตที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้และอนาคตที่ถูกกำหนดเอาไว้แน่นอนแล้ว


 


อนาคตที่เป็นความตายของคนนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าเธอจะทำยังไง, ผลลัพธ์ก็จะออกมาเหมือนเดิม


 


จนถึงตอนนี้เธอได้พยายามมาหลายอย่างแล้วแต่อนาคตที่แสดงให้เห็นความตายของคนก็ไม่เคยเปลี่ยน นี่ไม่ได้นำมาใช้ตัดสินแค่ความตายของมงกุฎราชกุมารแต่ยังรวมถึงทหารที่รับใช้ภายใต้ลีเซล็อตต์และคนใช้ของเธอด้วย, มันไม่มีอะไรเคยเปลี่ยนไปเลย


 


อย่างไรก็ตาม, เหตุผลที่เธอดิ้นรนในครั้งนี้ก็เพราะว่าเธอไม่อยากให้ริต้าตาย


 


แต่ในท้ายที่สุดแล้ว, การกระทำนั้นก็ทำให้ความตายของเธอกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้


 


การทำอะไรซักอย่างเป็นเรื่องไร้ประโยชน์, และการปล่อยเอาไว้เฉยๆเองก็ไม่ดีเหมือนกัน


 


อนาคตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้


 


“ถ้างั้นก็ตายซะ”


 


พอพูดจบ, ชายหัวล้านก็ค่อยๆง้างแท่งเหล็ก


 


เมื่อเห็นแบบนั้น, คริสต้าก็ยิ่งสิ้นหวัง


 


มันเป็นความสิ้นหวังที่เกิดจากทั้งความไร้พลังและความทุกข์ใจของเธอ


 


อย่างไรก็ตาม, เธอยังถอดใจไม่ได้


 


ความตายของคริสต้าคือสิ่งที่เธอจะไม่ยอมรับ


 


ดังนั้นคริสต้าจึงยึดมั่นในความหวังสุดท้ายของเธอ


 


ด้วยความที่เชื่อใจในคำพูดของพี่ชาย, เธอก็ตะโกนออกมา


 


“เอลน่า!!!!”


 


“ตะโกนไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกหน่า”


 


ชายหัวล้านพูดในขณะที่แทงแท่งเหล็กไปทางริต้า


 


ในตอนนั้นเอง


 


กำแพงห้องก็พังทลายและบางอย่างก็โจมตีชายหัวล้าน


 


เป็นเวลาพักนึงที่ชายหัวล้านไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น


 


เขาเข้าใจแค่ว่ามีบางอย่างฟาดใส่เขาและตอนนี้ร่างกายของเขาก็ถูกตรึงกับกำแพง


 


“เหวอ……”


 


“ขอโทษที่มาช้านะคะ, องค์หญิง, ริต้า ทั้งสองคนไม่เป็นไรใช่ไหม?”


 


“เอลน่า…..”


 


จากนั้นเขาก็เข้าใจ


 


มีกำแพงพังทะลุมาเป็นชั้นๆที่ฝั่งตรงข้าม


 


อัศวินที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นได้พุ่งเข้ามาหาเป็นเส้นตรง


 


และความจริงก็คือว่าดาบของอัศวินคนนี้ได้แทงทะลุร่างของเขาอยู่


 


ชายหัวล้านเข้าใจแล้ว


 


ผู้หญิงที่มีผมสีซากุระและดวงตาสีหยก


 


“แอมส์….เบิร์ก…..”


 


“ใช่แล้ว….เจ้าสินะที่เป็นคนทำร้ายรุ่นน้องของข้า?”


 


“แล้วถ้า….ข้าบอกว่าใช่หล่ะ……?”


 


“เจ้าก็จะได้บอกลาโลกนี้อย่างแน่นอน”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ใส่พลังเพิ่มเข้าไปในดาบที่กำลังตรึงชายหัวล้านกับกำแพงอยู่


 


ด้วยพลังนี้เพียงอย่างเดียวกำแพงก็พังทลายแล้วซัดชายหัวล้านกระเด็นทะลุมันไป


 


เอลน่าไม่รู้ว่าชายคนนั้นอยู่ที่ไหน ซึ่งนี่ก็เพราะมันไม่มีเหตุผลที่จะต้องยืนยันเรื่องนั้นอีกแล้ว


 


“ริต้า…..!”


 


“พี่เอลน่า…..”


 


“โถ่, ริต้า….”


 


เอลน่าเข้าไปพยุงริต้าที่เดินซวนเซและตรวจดูที่ท้องของเธอ


 


ท้องของเธอช้ำจนม่วงแล้วเพราะฉะนั้นต้องมีกระดูกหักข้างในแน่ๆ


 


เธอร่ายเวทย์ฟื้นฟูเบื้องต้นให้ริต้าแต่ดูเหมือนว่ากระดูกจะเสียหายหนักมากเพราะฉะนั้นมันจึงทำได้แค่บรรเทาความเจ็บปวดของเธอ เธอต้องรีบเอาตัวริต้าเป็นส่งหมอที่เชี่ยวชาญเดี๋ยวนี้เลย


 


“เอลน่า…..!”


 


“องค์หญิง……! ข้าขอโทษจริงๆค่ะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของข้าเอง……”


 


“ไม่ใช่ซักหน่อย….ข้าต่างหากหล่ะที่ต้องขอโทษ….ข้าเป็นคนผิดสัญญาเอง…..”


 


เอลน่ากอดคริสต้าที่กำลังร้องไห้


 


จากนั้นเธอก็กอดริต้าอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้กระทบบาดแผลของเธอ


 


“ขอบใจนะ….ทั้งหมดต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ, ริต้า….”


 


“ฮี่ฮี่….ริต้าเก่.ง.ไหม..?”


 


“อืม, สุดยอดเลยหล่ะ ทำหน้าที่ได้ดีมาก”


 


เอลน่าลุกขึ้นพร้อมกับแบกริต้าเอาไว้ที่หลังของเธอ


 


“เอลน่า….พวกเด็กๆ……”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ”


 


เอลน่าสบัดดาบเบาๆ


 


แล้วปลอกคอที่ติดอยู่ที่คอของทาสเด็กก็ถูกตัดออกทีละอัน


 


“ถ้าอยากรอดก็ตามข้ามา”


 


เอลน่าออกมาจากห้องด้วยกันกับริต้าและคริสต้า


 


จากนั้นพวกเด็กๆก็ตามมาโดยไม่ลังเล

 

 

 


ตอนที่ 71

 

“ว่าไงนะ!? แล้วผลกระทุบรุนแรงแค่ไหน!?”


 


“ประธานเกนท์เนอร์, เกิดอะไรขึ้นหรอครับ!?!”


 


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ, ใจเย็นก่อนเถอะ แค่มีทาสกลุ่มนึงก่อเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย”


 


พ่อค้าร่างอ้วนท้วม, เกนท์เนอร์อธิบายสถานการณ์ด้วยท่าทีใจเย็นกับลูกค้าที่มาซื้อทาสจากเขา


 


เกนท์เนอร์นั้นกำลังยืนอยู่บนเวทีที่เหมือนกับโรงละครในขณะที่ลูกค้าของเขากำลังเฝ้ามองเขาจากที่นั่งคนดู ในวันนี้มีลูกค้ามาหาเขา 20 คน, ซึ่งทุกคนล้วนเป็นขุนนางที่สนับสนุนระบบทาสในเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใต้ดินของบริษัทเกนท์เนอร์และห้องนี้ก็เป็นโรงประมูลลับของพวกเขา


 


อุโมงใต้ดินถูกออกแบบมาอย่างซับซ้อนและมีการ์ดหลายคนประจำการอยู่ที่ทางเข้าเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของพวกเขา


 


ด้วยความที่มั่นใจว่าจะไม่มีผู้บุกรุกคนไหนหนีไปได้, เกนท์เนอร์ก็เลยใจเย็น


 


อย่างไรก็ตาม


 


“น่าประหลาดใจจริงๆนะเนี่ย, ไม่นึกเลยว่าคนอย่างประธานเกนท์เนอร์จะทำธุรกิจค้าทาส”


 


“ว่าไงนะ!? เหวอ!? อ้าก!! ข, ข, ขาของข้า…….”


 


คนที่ค่อยๆโผล่ออกมาบนเวทีนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเอลน่า สถานที่ที่เธอออกมานั้นเดิมทีเป็นทางเข้าของทาสสำหรับส่งตัวทาสที่จับได้ออกมาประมูลและมันก็เป็นจุดที่การ์ดของเกนท์เนอร์ประจำการอยู่ด้วย


 


การ์ดพวกนี้ถูกเอลน่าจัดการไปหมดแล้วและตอนนี้คริสต้ากับเด็กคนอื่นๆก็กำลังมองเอลน่าจากตรงนั้น


 


เกนท์เนอร์พยายามทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าและนี่ก็คือตอนที่เขาไม่สามารถหนีไปได้แล้ว เอลน่าฟันขาทั้งสองข้างของเขา บาดแผลนั้นไม่ได้ลึกถึงขั้นที่ทำให้เขาตายได้แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เขาหนีไปไหนไม่ได้ การฟันของเธอช่างแม่นยำจริงๆ


 


“หัวหน้าหน่วยสามของภาคีอัศวินหลวง, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์กมาอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าถูกจับกุมข้อหาลักพาตัวเจ้าหญิงของจักรวรรดิและข้อหาค้าทาส”


 


“อ, แอมส์เบิร์กหรอ!? ด, ด, ได้ยังไงกัน!?”


 


“ได้ยังไงหน่ะหรอ? มันก็เพราะพวกเจ้าเป็นอาชญากรยังไงหล่ะ ถ้าพวกเจ้าขยับตัวหล่ะก็โดนฟันทิ้งแน่ ตอนนี้อย่าคิดว่าจะหนีไปจากแอมส์เบิร์กได้ง่ายๆหล่ะ”


 


พวกลูกค้าหย่อนก้นกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง


 


พวกเขาทุกคนเป็นขุนนางของเมืองหลวงจักรวรรดิ


 


พวกเขารู้ถึงความน่ากลัวของแอมส์เบิร์กดี ถ้าหนึ่งในคนของตระกูลนี้มาปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า, ก็แสดงว่าจบสิ้นแล้ว แอมส์เบิร์กคือตัวตนที่เหมือนกับยมทูตสำหรับพวกเขา


 


“ว, เหวออ! ช, ช่วยข้าด้วย……..!”


 


“ช่วยหรอ? เจ้าพึ่งจะลักพาตัวเจ้าหญิงของจักรวรรดิแต่นี่คือทั้งหมดที่เจ้าพูดออกมางั้นหรอ?”


 


“ม, มันเป็นคำขอครับ!”


 


“นั่นสินะ เพราะแบบนั้นแหล่ะข้าก็เลยจะไม่ฆ่าเจ้า หลังจากนี้ข้าจะให้เจ้าคายทุกอย่างออกมาโอเคไหม?”


 


“แบบนั้นก็แย่สิ”


 


พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น, มีดเล่มนึงก็พุ่งมาทางเอลน่า


 


เอลน่าปัดมันทิ้ง


 


จากนั้นนักฆ่าสวมหน้ากากก็ใช้ช่องโหว่วนั้นเข้าไปหาเกนท์เนอร์


 


ในตอนนั้นเองเอลน่าก็ได้ใช้ดาบรับมีดที่นักฆ่าแทงออกมา


 


“ข้าไม่ยอมให้เจ้าปิดปากเขาหรอก”


 


“แสดงว่าข้าต้องจัดการเจ้าก่อนสินะ”


 


เสียงของนักฆ่าอู้อี้เพราะหน้ากากที่สวมอยู่ เอลน่าไม่สามารถบอกได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง


 


ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดกับหน้ากากที่ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมในช่วงนี้, เอลน่าก็หยุดการโจมตีของนักฆ่าไปเรื่อยๆ


 


การโจมตีของนักฆ่านั้นรวดเร็วและการควบคุมมีดจากทั้งมื้อซ้ายและมือขวาของนักฆ่าก็ต้อนเอลน่าไปจนถึงขอบเวที


 


อย่างไรก็ตาม,


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยั้งมือเอาไว้เพราะกลัวว่าจะไปทำให้ตึกพังสินะ”


 


“ก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่า,”


 


เอลน่ายกดาบขึ้นมาในตอนที่นักฆ่าเล็งไปที่ลำตัวของเธอ ซึ่งนี่ก็ทำให้นักฆ่าที่พุ่งเข้าใส่เอลน่าด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่นั้นไม่สามารถหลบการสวนกลับของเอลน่าได้


 


มันคือการโจมตีสวนที่เกิดจากการอ่านความตั้งใจของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสมบูรณ์


 


นักฆ่าที่อยากรีบจบการต่อสู้เร็วๆนั้นจะเล็งมายังจุดที่สร้างความเสียหายได้มากที่สุดและเอลน่าก็รู้จากประสบการร์ของเธอ


ว่าการโจมตีนี้จะเกิดขึ้น


 


“อึ้ก……!”


 


ไหล่ของนักฆ่าถูกฟันเข้าเต็มๆ


 


นักฆ่าพยายามจะถอยออกไปด้วยความรวดเร็วแต่ในตอนนั้นเอง, เอลน่าก็ใช้ความแตกต่างทางด้านความเร็วย่นระยะเข้ามา


 


ในขณะที่คอยระวังไม่ให้ตึกถล่ม, เธอก็วิเคราะห์ปริมาณพลังที่เธอสามารถใช้ได้และเข้าไปหานักฆ่า


 


ในตอนนั้นเอง, นักฆ่าก็เปลี่ยนเป้าหมายในทันที


 


ด้วยการใช้มือขวา, มีดก็ถูกเขวี้ยงออกไปหาเกนท์เนอร์


 


และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน, ดาบของเอลน่าก็แทงเข้าที่ท้องของนักฆ่า


 


“เหวออ!! เลือด, มีเลือดอยู่เต็มเลย!!??”


 


“แค่กๆ…….”


 


“ชิ!”


 


เอลน่าดึงดาบออกมาในทันทีแล้ววิ่งไปหาเกนท์เนอร์


 


มีดปักลึกเข้าไปในอกของเกนท์เนอร์ มันเป็นบาดแผลร้ายแรง ถ้าเธอทิ้งเขาเอาไว้เขาไม่รอดแน่ๆ


 


ในขณะที่เธอกำลังใช้ความคิดอยู่, ตึกก็สั่นอย่างรุนแรง


 


และแทบจะในเวลาเดียว, มันก็เริ่มทลายลงมา


 


“นี่มัน…..!?”


 


“ข้าว่าเจ้ารีบหนีไปซะจะดีกว่านะ…….”


 


ด้วยมือที่กุมเอาไว้ที่ท้อง, นักฆ่าก็ถอยออกมาจากเอลน่า


 


จากแรงสั่นสะเทือนและสถานการณ์ในปัจจุบัน, มันไม่ต้องสงสัยเลยว่านักฆ่านั้นได้ทำอะไรบางอย่างกับตัวอาคาร


 


ไม่ต้องเอ่ยถึงคริสต้า, ริต้า, และเด็กคนอื่นๆที่ถูกจับมาเป็นทาส, เกนท์เนอร์เองก็ถือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่เธอต้องปกป้อง


 


เอลน่ายอมตัดใจเรื่องการไล่ตามนักฆ่าและเลือกที่จะหนี


 


“ทุกคน, ตามข้ามา!”


 


ด้วยการมัดบาดแผลของเกนท์เนอร์ให้แน่น, เอลน่าก็เริ่มอุ้มเขาขึ้นมา


 


จากสถานการณ์ในปัจจุบันนั้น, มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ทุกคนรีบขึ้นไปข้างบน


 


และด้วยความคิดนี้เอง, เอลน่าก็เดินนำเด็กกับลูกค้าของเกนท์เนอร์ไปที่ทางออก


 


“คนๆนี้คือแหล่งข้อมูลสำคัญ! ห้ามให้เขาตายเด็ดขาด! แล้วก็จับตัวพวกที่ตามหลังข้าไปซะ


 


พอมาถึงข้างบน, เอลน่าก็มอบหมายหน้าที่ให้อัศวินที่ประจำการอยู่ที่นี่และสั่งให้จับตัวพวกขุนนาง


 


อัศวินหลวงนั้นถูกส่งออกมาในทันทีผ่านคำสั่งโดยตรงของจักรพรรดิ พวกเขามุ่งหน้ามาตามเส้นทางที่เอลน่าบินและล้อมบริษัทแม่ของเกนท์เนอร์เอาไว้


 


พวกเขาร่วมมือกับกองทหารของเมืองหลวงจักรวรรดิและกำลังจะบุกเข้าไปในพื้นที่แต่เอลน่าก็ออกมาพอดี


 


“อย่ามองข้ามใครก็ตามที่ออกมาจากที่แห่งนี้! ส่วนพวกที่ยังไม่มีหน้าที่ให้ไปไล่ตรวจสอบสำนักงานสาขาของบริษัทเกนท์เนอร์เดี๋ยวนี้เลย”


 


หลังจากจัดแจงหน้าที่เสร็จแล้ว, เอลน่าก็พูดกับหนึ่งในอัศวินหลวงที่เธอรู้จักด้วย


 


เขาคืออัศวินที่เชี่ยวชาญเวทย์รักษา


 


เธอฝากริต้าเอาไว้กับอัศวินคนนั้น


 


“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ ริต้า….เจ้าทำได้เยี่ยมมาก”


 


“อูยย….ท้องของข้าเจ็บจังเลย…..”


 


“เดี๋ยวมันก็ได้รับการรักษาแล้ว”


 


“ริต้า…..”


 


ริต้าที่ถูกวางนอนไว้ได้รับการรักษาตรงนั้นเลย


 


คริสต้ากำลังกุมมือเธอเอาไว้และคอยอยู่เคียงข้างเธอ


 


ริต้าพยายามมาอย่างเต็มที่จนถึงตอนนี้บางทีอาจเป็นเพราะในที่สุดเธอก็วางใจได้แล้ว, เธอก็เลยค่อยๆหมดสติไปอย่างช้าๆ


 


“ริต้า!?”


 


“ไม่เป็นไรครับองค์หญิง ให้เธอได้พักเถอะ”


 


“แต่ว่า….”


 


“องค์หญิง ฝากเธอไว้กับเขาเถอะนะคะ”


 


พอถูกเอลน่ากระตุ้น, คริสต้าก็ลุกขึ้นยืน


 


มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของเธอแต่เธอก็พยายามกลั้นใจฝากริต้าเอาไว้กับอัศวินคนนี้


 


สำหรับตอนนี้, ให้จักรพรรดิรู้ว่าเธอปลอดภัยจะดีที่สุด


 


นี่คือสิ่งที่เอลน่าคิดแต่ว่าเธอก็คุกเข่าลงอย่างเงียบๆหลังจากที่ได้ยินเสียงควบม้ากลุ่มใหญ่


 


“คริสต้า!”


 


มันคือเสียงของตัวจักรพรรดิโยฮันเนสเองที่เรียกคริสต้าในขณะที่เขารีบควบม้ามาทางเธอ


 


ข้างหลังเขามีอัศวินอารักขากลุ่มใหญ่ตามมารวมทั้งฟรานซ์ด้วย


 


เนื่องจากไม่สามารถทนรอให้พวกเธอกลับไปได้, เขาก็เลยมายังที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง


 


“โถ่! คริสต้า! เจ้าปลอดภัยใช่ไหม!? เจ็บตรงไหนรึเปล่า!?”


 


“ม, ไม่ค่ะ…..ท่านพ่อ อ้ะ, ไม่สิ, ฝ่าบาท”


 


“เรียกท่านพ่อก็ได้, ข้าไม่ถือหรอก! ข้าดีใจนะ, ข้าดีใจจริงๆ…..”


 


โยฮันเนสรู้สึกดีใจซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งในขณะที่กอดคริสต้า


 


ในระหว่างนั้น, ฟรานซ์ก็หันไปไล่ประชาชนที่มุงอยู่ใกล้ๆ นี่ทั้งเพื่อความปลอดภัยของจักรพรรดิและหลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง


 


จากนั้น, ในตอนที่เหลืออยู่แค่อัศวินและทหารจากกองทหารเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


โยฮันเนสก็ลุกขึ้นแล้วมองเอลน่า


 


สายตาของเขาลุกไหม้ไปด้วยความโกรธ


 


“ท่านพ่อ…..?”


 


“ขนาดเจ้าอยู่ข้างๆเธอแท้ๆ, แล้วเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง! เอลน่า! เจ้าเป็นหนึ่งในหัวหน้าหน่วยของภาคีอัศวินหลวงแต่เจ้ากลับปกป้ององค์หญิงแค่คนเดียวยังไม่ได้เลย!!”


 


“ขอประทานอภัยด้วยค่ะ…..ทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของข้าเอง”


 


“ก็ใช่หน่ะสิ! เจ้าพึ่งจะทำลายชื่อเสียงของแอมส์เบิร์กจนป่นปี้!”


 


“ท, ท่านพ่อคะ…..เอลน่าหน่ะ…..”


 


“เงียบไปก่อน ข้ากำลังคุยกับเอลน่าอยู่”


 


“ข้า, ข้าขอโทษด้วยค่ะ….”


 


 


พอถูกสายตาที่เข้มงวดจ้อง, คริสต้าก็รู้สึกกลัวและร่างกายของเธอก็สั่นอย่างเห็นได้ชัด


 


จากนั้นเธอก็มองเอลน่าที่ค่อยๆเบือนหน้าหนีเธอ


 


“เอลน่า มีอะไรจะแก้ตัวไหม?”


 


“ไม่มีค่ะ”


 


การบอกเขาว่าซูซานเป็นคนเรียกตัวเธอนั้นมันเป็นเรื่องง่าย ในตอนนั้น, ซูซานยังเรียกตัวคริสต้าด้วย แต่ไม่ว่ายังไง, ความจริงที่เธอไปหาซูซานคนเดียวก็ถือเป็นการตัดสินใจของเอลน่า


 


แม้ว่าซูซานกับซานดร้าจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการสืบคดี, แต่การตัดสินใจนั้นก็ยังถือเป็นความรับผิดชอบของเอลน่า


 


ในตำหนักในนั้นไม่สามารถใช้วิธีการที่รุนแรงได้ มันเป็นเพราะแนวคิดนี้เอลน่าถึงเลือกที่จะทิ้งคริสต้าเอาไว้ นี่คือความผิดของเอลน่าไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม


 


“ข้าจะลงโทษเจ้าทีหลัง จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ไปอยู่ที่บ้านของเจ้าซะ”


 


“ค่ะ…..”


 


พอพูดจบ, โยฮันเนสก็พาคริสต้ากลับไปที่ปราสาท


 


เอลน่ายังคงอยู่ที่เดิมต่อไปอีกสักพัก


 


“เป็นยังไงบ้าง?”


 


“การลอบสังหารล้มเหลว แต่ว่า, ต่อให้สามารถช่วยชีวิตของเจ้านั่นได้, มันก็ไมน่าจะพูดอะไรได้ไปอีกซัก”


 


“เข้าใจหล่ะ ทำงานได้ดีมาก”


 


พอได้ฟังแบบนั้น, นักฆ่าสวมหน้ากาก, เสี่ยวเม่ยก็รายงาน


 


ร่างกายของเธอได้รับบาดเจ็บหนักเพราะคำสาปแต่มันก็ยังเป็นความเจ็บปวดที่ทนได้สำหรับเสี่ยวเม่ยที่ผ่านการฝึกฝนอันโหดร้ายมาตั้งแต่ยังเด็ก


 


“พอเจอเรื่องนี้เข้าไปลีโอนาร์ดคงไม่ยอมอยู่เฉยๆแน่, พวกนั้นจะทุ่มกำลังจัดการขุมอำนาจของซานดร้าในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน นี่ถือเป็นการพัฒนาที่ดี”


 


“แต่อัจฉริยะของแอมส์เบิร์กอาจจะถูกปลดออกจากภาคีอัศวินหลวงเพราะเรื่องนี้ก็ได้นะคะ”


 


“มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นหล่ะ ถึงยังไงที่เธอถูกลงโทษก็เพราะจักรพรรดิไม่มีทางเลือก เขาน่าจะเอาเธอกลับมาในตอนที่สถานการณ์สงบลงแล้ว”


 


“ต่อให้มันจะแค่ชั่วคราว, แต่ในระหว่างนั้นขุมอำนาจของลีโอนาร์ดก็จะใช้งานเอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์กได้อย่างอิสระนะคะ ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวอันตราย ในตอนที่เธอยังไม่ได้จับดาบข้าคิดว่าข้าน่าจะหาทางรับมือกับเธอได้แต่พอเธอเริ่มเหวี่ยงดาบเธอก็เหมือนกับเป็นคนละคนเลย ข้าคิดว่าเธอในตอนนั้นเป็นเหมือนพวกสัตว์ประหลาดเลยค่ะ”


 


“นั่นแหล่ะคือแอมส์เบิร์ก จิตใจของพวกเขาจะถูกสลับในระหว่างการต่อสู้ มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจหรอก ถ้าเธอกลายเป็นตัวปัญหามากเกินไปข้าก็แค่ดึงเธอกลับเข้ามาในภาคีอัศวินหลวงด้วยตัวเองก็ได้”


 


“กำจัดเธอไปเลยไม่ดีกว่าหรอคะ?”


 


“เธอเป็นลูกน้องฝีมือดีในอนาคตของข้า ไม่มีจักรพรรดิคนไหนที่คิดจะสร้างความร้าวฉานกับแอมส์เบิร์กหรอก แถมมันยังถือเป็นโอกาสดีที่จะซื้อใจพวกเขาด้วย”


 


“แต่ว่า……”


 


เสี่ยวเม่ยเรียกร้องในขณะที่ทนกับความเจ็บปวด


 


มันเป็นความจริงที่ดูเหมือนเธอจะสามารถรับมือกับเอลน่าที่ไม่ถือดาบได้


 


ถ้ากันเธอออกจากสงครามผู้สืบทอดได้มันก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องกังวลแล้ว


 


แม้ว่าเธอจะมีความคับแค้นใจกับเอลน่า, แต่เสี่ยวเม่ยก็ยังรู้สึกว่าเอลน่านั้นเป็นศัตรูที่คู่ควร


 


อย่างไรก็ตาม


 


“ข้าแตกต่างจากคู่แข่งคนอื่นๆ พวกนั้นหวังแค่บัลลังก์เพียงอย่างเดียวโดยไม่สนว่าจะทำอะไรหลังจากนั้น ในแง่นี้, ข้าแตกต่างจากพวกนั้น อย่าเอาข้าไปจัดการกับความขุ่นเคืองใจจากลูกน้องของข้าเลย เอาจริงๆ, ต่อให้ข้าไม่เคลื่อนไหว, ซานดร้ากับกอร์ดอนก็จะเคลื่อนไหวเอง”


 


“……เข้าใจแล้วค่ะ”


 


“ทำตามคำแนะนำของท่านแม่ของข้าในตำหนักในต่อไป เอาหล่ะตอนนี้ไปรักษาบาดแผลของเจ้าเถอะ นี่ยังไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะเคลื่อนไหว”


 


“ตามประสงค์ค่ะ, องค์ชายเอริค”


 


พอพูดจบ, เสี่ยวเม่ยก็หายไปจากวิสัยทัศน์ของเอริค


 


เมื่อเห็นเธอจากไปแล้ว, เอริคก็เริ่มเดินอย่างช้าๆ


 


ในระหว่างนั้นเขาก็ยิ้มอยู่ตลอดเวลา

 

 

 


ตอนที่ 72

 

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ, หัวหน้าหมู่บ้าน ข้าเจ้าชายลำดับแปด, ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์”


 


“พอพูดจบลีโอก็โค้งคำนับหญิงชราผมหงอกที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่สุดของหมู่บ้าน”


 


หญิงชราที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าหมู่บ้านคนนี้ก้มศรีษะตอบอย่างกระท่อนกระแท่น


 


“ข้าชื่อเหมา….เป็นหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านฮีน่าแห่งนี้ ข้าขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับความช่วยเหลือของท่านที่ทำเพื่อพวกเราถึงขนาดนี้”


 


“ไม่หรอกครับ, ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านแบบไหนก็ยังถือเป็นหมู่บ้านของจักรวรรดิครับ ในฐานะราชวงศ์ของจักรวรรดินั้น, มันถือเป็นหน้าที่ของข้าในการให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกคน”


 


ลีโอตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน


 


พอได้ฟังคำพูดของลีโอ, อีกคนที่อยู่ในบ้านก็ผิวปาก


 


“น่าประหลาดใจจริงๆนะเนี่ย ใครจะไปคิดหล่ะว่าฝาแฝดจะแตกต่างกันได้ขนาดนี้”


 


“แล้วเจ้าคิดว่าพี่ชายของข้าเป็นคนแบบไหนหล่ะ?”


 


“เขาดูหยิ่งผยอง”


 


มีชายผมแดงคนนึงยืนพิงกำแพงอยู่


 


ตามคำขอของอัล, อาเบลได้นำทีมนักผจญภัยมาที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกัน


 


ตัวตนที่แสดงถึงความเป็นนักผจญภัยและความตรงไปตรงมาของเขานั้นได้ทิ้งความประทับใจให้ลีโออย่างมาก


 


“งั้นหรอ เจ้าอาจจะประหลาดใจก็ได้นะถ้าได้เห็นเขาตอนเวลาปกติ”


 


“ก็ไม่รู้สินะ เจ้าชายนั่นเสนอรางวัลให้เราแบบสุดโต่งเพื่อให้พวกเรามาปกป้องหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลนี้ เจ้ารู้รึเปล่าตอนแรกข้าหน่ะกลัวจนขี้หดตดหายเลยหล่ะในตอนที่พยายามจินตนาการถึงมอนส์เตอร์ที่มาก่อความวุ่นวายแถวนี้?”


 


“แล้วเจ้าเจออะไรไหมหล่ะ?”


 


“มันไม่มีมอนส์เตอร์อยู่แถวนี้เลยหน่ะสิ หมู่บ้านแห่งนี้สงบสุขมาก แต่มันเหมือนกับที่ข้าได้ยินมาจริงๆ, มีพวกโจรที่ดูเหมือนกับโจรลักพาตัวมาด้อมๆมองๆแถวนี้อยู่จำนวนนึง พอเห็นว่าพวกเราเสริมการป้องกันของหมู่บ้านจนมั่นคงแล้ว, จนถึงตอนนี้พวกมันก็ไม่ได้ทำอะไรกับชาวบ้านจริงๆแต่ข้าก็ยังเห็นพวกมันอยู่แถวนี้นะ คงต้องพูดเลยว่า, งานนี้มันยังไม่เหมาะกับจำนวนเงินขนาดนั้นหรอก ถึงยังไงเรื่องแบบนี้มันก็เป็นแค่คำของ่ายๆเท่านั้นเอง”


 


นี่น่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับนักผจญภัยอย่างอาเบลแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจ


 


เนื่องจากเขาไม่ใช่คนที่อยู่ในวงการนี้, ลีโอจึงทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ


 


ถ้ารางวัลถูกเกินไป, พวกเขาก็จะโกรธและถ้ามันสูงเกินไป, พวกเขาก็จะไม่พอใจ นักผจญภัยนี่เป็นพวกเอาใจยากจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น, ลีโอก็ยังรู้สึกว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างอิสระ


 


“ส่วนที่ยากจะมาถึงในเร็วๆนี้แหล่ะ ข้าจะตามสืบองค์กรที่อยู่เบื้องหลังคดีลักพาตัวและมันก็มีวี่แววว่าลอร์ดที่บริหารพื้นที่แห่งนี้จะเกี่ยวข้องด้วย”


 


 


“โฮ่? ทำไมถึงคิดเช่นนั้นหล่ะ?”


 


“ข้าไปเยี่ยมเมืองของลอร์ดคนนั้นก่อนที่จะมาที่นี่และข้าก็เห็นท่าทีที่น่าสงสัยของพวกเขา ตัวลอร์ดเองดูเหมือนจะดูลนๆและมีพวกคนที่น่าสงสัยเคลื่อนไหวอยู่แถวนั้นด้วย ถ้าเขาไม่รู้เรื่องของหมู่บ้านชายแดนและละเลยคำขอของพวกเขาโดยตั้งใจปล่อยผ่านไปจริงๆเขาก็น่าจะแค่ให้การต้อนรับข้าตามปกติก็พอ แต่ลอร์ดคนนี้เหมือนพยายามจะติดต่อใครบางคน แค่การกระทำนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ข้าสงสัย”


 


“เขาอาจจะแค่รู้สึกเกร็งเพราะท่านมาเยี่ยมก็ได้ไม่ใช่หรอ?”


 


“ก็อาจจะใช่แต่ขุนนางทางใต้น่าจะได้รับแจ้งถึงจุดประสงค์การมาของข้าแล้ว ถ้าพวกเขาไม่รู้เรื่องของหมู่บ้านเหล่านี้หรือมันเป็นเพราะการละเลยจากส่วนของพวกเขา, พวกเขาก็น่าจะแสดงความพยายามในเรื่องนี้ให้ข้าเห็นบ้าง อันที่จริง, ลอร์ดคนอื่นๆที่อยู่ใกล้พื้นที่ชายแดนก็เริ่มออกเคลื่อนไหวเพื่อหมู่บ้านผู้ลี้ภัยในพื้นที่ของพวกเขาแต่ลอร์ดที่ตกเป็นที่ต้องสงสัยยังไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย”


 


“ข้าคิดว่าท่านแค่แวะระหว่างทางเฉยๆ, นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะสืบไปได้ขนาดนี้แล้ว ท่านนี่เป็นคนที่มีความสามารถเหมือนที่ข่าวลือบอกเลยนะ”


 


“ก็ไม่รู้สินะ เอาจริงๆข้าก็ยังไม่ได้ทำอะไรหรอก”


 


พอพูดจบ, ลีโอก็ก้มหน้าลง


 


นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของลีโอ


 


เทศกาลล่าของอัศวิน, เขาได้ชักนำอัศวินไปกอบกู้เมืองแต่ก็จะให้พิจารณาว่าเป็นคนจบเรื่องก็คงจะไม่ได้ ในฐานะทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเอง, เขาก็ไม่ใช่คนที่ซื้อใจของทั้งสองประเทศแต่เป็นอัลที่ปลอมเป็นลีโอต่างหาก


 


ตั้งแต่เข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดมาเขายังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย


 


นี่คือสาเหตุที่เขาจริงจังกับคดีนี้


 


เขาจะยอมให้ตัวเองกลายเป็นคนที่ถูกดันขึ้นเป็นจักรพรรดิไม่ได้ เขาต้องแสดงความตั้งใจที่จะกลายเป็นจักรพรรดิและลงมือทำจริงๆ พวกที่ไม่สามารถลงมือทำได้ด้วยตัวเองนั้นไม่คู่ควรที่จะกลายเป็นจักรพรรดิ


 


ถ้าเขาคลี่คลายคดีนี้ไม่ได้การเป็นจักรพรรดิก็คงจะเป็นแค่เรื่องที่อยู่ในความฝันของเขา


 


คำพูดของเขาออกมาจากความคิดนี้


 


“เอาเถอะ, ถ้าท่านว่าอย่างนั้นก็คงจะเป็นแบบนั้นแหล่ะนะ มันเป็นเรื่องดีที่ท่านไม่อวดดี แต่ถ้าท่านจะรีบคลี่คลายคดีนี้หล่ะก็ระวังให้ดีหล่ะอย่าให้พลาดจุดสำคัญไปซะหล่ะ”


 


“แน่นอนอยู่แล้ว สิ่งแรกที่ข้ากำลังพิจารณาอยู่ก็คือความเป็นอยู่ของหมู่บ้านและคนที่ถูกลักพาตัว”


 


“…..ลินเป็นเด็กใจดี…..เธอน่าจะเป็นคนที่ทุ่มเทหนักที่สุดแต่เธอก็เก็บเงียบเอาไว้และทำเพื่อหมู่บ้าน, เพื่อพวกเรา”


 


“…..ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนั้นจากลินเฟียเลยแต่ข้าคิดว่าน่าจะมีต้องมีเรื่องเลวร้ายบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ, เธอก็เลยตัดสินใจออกเดินทางจากหมู่บ้านและได้มาเจอพวกเรา”


 


“ค่ะ…..คดีลักพาตัวครั้งแรกสุดคือเด็กสาวอายุสิบเอ็ดปี เด็กคนนั้นเป็นพี่สาวของลินที่มีอายุมากกว่าสามปี ตอนนั้นลินพึ่งจะแค่ห้าขวบ และเด็กคนล่าสุดที่ถูกลักพาตัวไปก็เป็นน้องสาวที่เด็กกว่าเธอหกปี วันนั้นเป็นวันที่ลินนอนหลับอยู่เพราะเธอล้มป่วย……..”


 


“พวกมันลักพาตัวไปทั้งพี่สาวและน้องสาวของเธอเลยสินะ…….”


 


“ในกลุ่มพี่น้อง, ลินเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มีตาสองสี ซึ่งก็ต้องขอบคุณเรื่องนั้น, เธอถึงไม่ได้ถูกลักพาตัวไปด้วย โจรลักพาตัวนั้นเล็งเด็กที่มีตาสองสี เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนมีคนแคระหลายคนอพยพเข้ามาในจักรวรรดิและการล่ากึ่งมนุษย์กับเด็กที่มีความสามารถพิเศษก็ได้ราคาดี อัตราการเกิดคดีพวกนั้นเริ่มลดลงตั้งแต่ตอนที่จักรพรรดิประกาศกร้าวว่าผู้อพยพทุกคนเป็นประชากรของจักรวรรดิแต่หมู่บ้านของข้าก็ยังคงถูกเพ่งเล็งต่อไป ไม่มีใครเข้ามาช่วยพวกเราเพียงเพราะพวกเราทุกคนเป็นผู้อพยพ


 


หัวหน้าหมู่บ้านพูดแบบนั้นแล้วถอนหายใจออกมา


 


มันไม่ใช่ว่าที่พวกเขาเป็นผู้อพยพเพราะพวกเขาเลือกที่จะเป็น


 


พวกที่อพยพมาจักรวรรดินั้นคือคนที่สูญเสียบ้านของตัวเองให้กับความขัดแย้งทางใต้ในยุคสงครามหรือไม่ก็พวกที่ได้รับความบอบช้ำจากการกดขี่กึ่งมนุษย์ของจักรวรรดิโซคัลที่ขับไล่กึ่งมนุษย์ทั้งหมดออกจากประเทศของพวกเขา


 


จักวรรดิใจกว้างกับผู้อพยพแต่นี่ก็เพื่อรวมกึ่งมนุษย์ที่มีความสามารถมาอยู่ฝั่งพวกเขา, ถึงยังไงจักวรรดิก็ดำเนินต่อไปไม่ได้ถ้ามีแค่มนุษย์อย่างเดียว กึ่งมนุษย์ที่มีทักษะพิเศษนั้นมีประโยชน์ในหลายๆสถานที่แต่พวกที่ไม่ได้มีทักษะแบบนั้นก็ยังต้องใช้ชีวิตภายใต้การถูกเลือกปฏิบัติอยู่ดี


 


เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน, พวกเขาถูกปฏิบัติเหมือนกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตนอยู่ อย่างไรก็ตาม, เพราะคำประกาศของจักรพรรดิ, สถานการณ์ของพวกเขาจึงเริ่มเปลี่ยนไป


 


ผู้อพยพมีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงนี้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป


 


ในช่วงที่จักรพรรดิประกาศออกมานั้น, ผู้อพยพที่ได้รับการยอมรับเป็นประชาชนของจักรวรรดิจะได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเวลาห้าปี มันคือภาระสำหรับลอร์ดแต่ในความเป็นจริง, ผู้อพยพในตอนนั้นก็จ่ายภาษีไม่ไหวอยู่แล้ว นี่คือสาเหตุที่พวกเขาได้รับเวลาห้าปีเพื่อก่อตั้งสังคม, เริ่มการค้าขาย, หรือปรับปรุงดินแดน นี่คือคำสั่งของจักรพรรดิแต่ลอร์ดบางคนก็ตั้งใจมองข้ามมัน


 


ถึงยังไงเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้ทำประโยชน์ให้พวกเขาอยู่แล้ว


 


ลีโอเข้าใจตรงจุดนี้ดี เขาคิดว่าถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ยังพอมีพื้นที่ให้อภัยพวกเขาอยู่ เพราะมุมมองของพวกลอร์ดเองก็ฟังดูมีเหตุผล


 


อย่างไรก็ตาม, ครั้งนี้มันไม่ใช่แบบนั้น


 


หมู่บ้านแห่งนี้มีความพิเศษอยู่ คนที่มีดวงตาสองสีมักจะเกิดที่นี่, และที่นี่ก็ยังให้กำเนิดคนที่มีความสามารถอย่างลินเฟีย, และมีนักล่าเก่งๆอีกหลายคนในหมู่บ้านแห่งนี้ ถ้าพวกเขารวมเข้ากับอาณาเขตของลอร์ดท้องถิ่น, พวกเขาก็จะสร้างผลประโยชน์ให้ลอร์ดคนนั้นได้อย่างมากมายเป็นแน่แท้ และถึงยังไงมันก็คือสิ่งที่สามารถพบได้ในทันทีถ้าพวกเขาทำการสืบค้น


 


อย่างไรก็ตาม


 


ถ้าพวกเขาทำแบบนั้น, การมีอยู่ของหมู่บ้านนี้ก็จะรู้ไปถึงส่วนกลางของจักรวรรดิ พวกเขาต้องมีอะไรบางอย่างที่พวกเขาอยากซ่อนเอาไว้ในที่แห่งนี้แน่ๆ


 


“นี่คือเหตุผลที่ลินเฟียมาหาพวกเรา การละเลยเรื่องนี้มาจนถึงตอนนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของพวกเราซึ่งอยู่ส่วนกลางของจักรวรรดิ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยนะครับ”


 


“ม, ไม่หรอกค่ะ! ไม่มีปัญหาเลย! ได้โปรดอย่าพูดแบบนั้นเลยนะคะ! แล้วก็ช่วยเงยหน้าขึ้นเถอะค่ะ!”


 


“ไม่ว่าข้าจะขอโทษยังไง, มันก็คงไม่เพียงพอที่จะรักษาบาดแผลของท่าน…… ข้าให้สัญญาไม่ได้ว่าข้าสามารถพาทุกคนกลับมาบ้านได้แต่ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาชาวบ้านทุกคนที่ถูกลักพาตัว, ข้าจะเอาพวกคนบาปทั้งหมดมาเปิดโปง และจักรพรรดิจะเป็นคนให้คำตัดสินที่ยุติธรรมกับพวกเจ้าทุกคน”


 


“ขอบคุณมากเลยค่ะ…..! ขอบคุณจริงๆ….!”


 


หัวหน้าหมู่บ้านก้มหัวขอบคุณเขาซ้ำไปซ้ำมา


 


การพูดคุยกันของพวกเขาจบลงไปด้วยประการฉะนี้และลีโอก็ออกไปด้วยกันกับอาเบล


 


“ที่พูดนั่นเอาจริงหรอ, ข้าคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ”


 


“ข้าเองก็คิดแบบนั้น”


 


“จากท่าทีและอุปกรณ์ของพวกมัน, คนที่แอบซุ่มอยู่ในหมู่บ้านนี้เป็นมืออาชีพ ข้าคิดว่าพวกโจรทั่วๆไปก็ทำการลักพาตัวแบบนี้อยู่เหมือนกันแต่ข้าไม่เคยเห็นกลุ่มที่จริงจังเหมือนไอ้พวกนี้มาก่อนเลย พวกมันทำธุรกิจที่นี่อย่างครบครัน”


 


“เข้าใจหล่ะ แบบนี้ก็แสดงว่าองค์กรที่หนุนหลังพวกมันอยู่คงไม่ใช่เล่นๆแน่ ลอร์ดที่ปกครองพื้นที่นี้ไม่ได้มีอิทธิพลขนาดนั้น บางที, ตัวลอร์ดเองก็อาจจะเป็นแค่เบี้ยเหมือนกัน”


 


“มีความเป็นไปได้ด้วยนะว่าลอร์ดทางใต้ทุกคนจะเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ถ้าท่านจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีมันอาจจะกลายเป็นชนวนกบฎก็ได้นะรู้รึเปล่า?”


 


“ฟังดูเป็นปัญหาใหญ่จังเลยนะ”


 


พอพูดจบ, ลีโอก็หัวเราะแห้ง


 


ปัญหาชายแดนใต้คือโอกาสที่เหมาะสมที่สุดในการที่เขาจะชนะใจจักรพรรดิแต่ถ้าขุนนางทางใต้ก่อกบฎขึ้นมา, ความรับผิดชอบทั้งหมดก็อาจจะถูกย้ายมาที่ลีโอ


 


นี่คือภารกิจที่อันตราย


 


มันคือการสืบสวนพวกเขาโดยไม่ขุดให้ลึกจนเกินไปและรวบตัวพวกเขา


 


นี่คือกลยุทธ์ที่เหมาะสม


 


อย่างไรก็ตาม,


 


“แต่พอมาฟังเรื่องจากปากของพวกเขาแล้ว, ข้าก็รู้สึกอยากจะช่วยพวกเขาจริงๆ เจ้าคิดว่าคนที่ไม่สามารถช่วยพวกที่เขาอยากช่วยได้จะกลายเป็นจักรพรรดิได้รึเปล่า?”


 


“ข้าไม่รู้เรื่องนั้นหรอก แต่ถ้าข้าต้องเลือกคนที่จะมาเป็นจักรพรรดิของข้า, ข้าคิดว่าข้าก็คงอยากได้คนที่ทำแบบนั้นได้หล่ะนะ”


 


“นั่นสินะ นี่คือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่ ขอโทษนะแต่ในเมื่อเจ้าได้รับเงินเยอะขนาดนั้น, ข้าก็คงต้องขอให้เจ้าทำงานให้คุ้มเงินหน่อยหล่ะโอเคไหม?”


 


“ได้เลยได้เลย, ตามประสงค์เลยครับ…..”


 


สัญชาตญาณนักผจญภัยของเขาบอกว่าเขาพึ่งจะรับคำขอที่โหดร้ายมาซะแล้ว


 


แต่ในเมื่อเขารับเงินมาแล้ว, ในฐานะนักผจญภัย, เขาก็คงไม่สามารถบอกปัดคำขอที่เขารับมาแล้วได้


 


ไม่มีอะไรที่อาเบลทำได้นอกจากยักไหล่และขานรับลีโอ

 

 

 


ตอนที่ 73

 

บัสเซา, หนึ่งในเมืองทางใต้ของจักรวรรดิ ในบรรดาคฤหาสน์ของขุนนางทางใต้, คฤหาสน์ในเมืองนี้น่าจะถูกนับได้ว่าอยู่ล่างสุดในแง่ของขนาด


 


นี่คือสถานที่ของลอร์ดที่ดูแลพื้นที่ที่หมู่บ้านของลินเฟียตั้งอยู่และคนที่น่าจะให้ความช่วยเหลือพวกเขาได้, เอิร์ล เดนนิส ฟ็อน ซิทเทอร์ไฮม์


 


“แสดงว่า…..ดยุคครูเกอร์ไม่ได้คิดจะช่วยข้า ถูกไหม?”


 


“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นครับ”


 


พอได้ฟังคำตอบของผู้ส่งสารที่รับใช้สเวน ฟ็อน ครูเกอร์, เดนนิสก็ทำสีหน้าเหมือนพึ่งกินหนอนแมลงเข้าไป


 


“แล้วจะให้ข้าทำยังไง?”


 


“เขาอยากให้ท่านรับผิดว่าเป็นคนบงการของเรื่องนี้ ทั้งหมดจะเป็นความรับผิดชอบของท่านครับ”


 


พอพูดจบผู้ส่งสารก็ยิ้มออกมา


 


เขาเชื่อจนหมดใจว่าเดนนิสจะยอมรับข้อตกลงนี้


 


“เพื่อเขตใต้สินะ……”


 


“ใช่แล้วครับ รวมทั้งตัวท่านด้วย, หนึ่งในสามของดยุคทางใต้ร่วมมือกับดยุคครูเกอร์ เขาอยากให้ท่านสละตัวเองเพื่อปกป้องเพื่อนขุนนางทางใต้ของพวกเราครับ”


 


มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง


 


เดนนิสสูดหายใจเข้าลึกๆ


 


เดนนิสพึ่งจะอายุแค่ 33 ปี เขากลายเป็นลอร์ดเมื่อสิบปีก่อนแต่ตอนนี้เขารู้สึกอับอายกับเรื่องนั้น


 


ตอนแรก, เขาแค่ทำตามความต้องการของพ่อ


 


แค่หนึ่งปีหลังจากที่จักรพรรดิประกาศว่าผู้อพยพทุกคนเป็นประชาชนของจักรวรรดิ, ท่านพ่อของเขาก็จากไป ในตอนนั้น, ท่านพ่อได้บอกเขาว่าผู้อพยพจะไม่มีวันถูกนับเป็นประชาชนในดินแดนของพวกเขา


 


พ่อของเดนนิสเคยได้รับบาดเจ็บจากผู้อพยพที่ก่อความวุ่นวายซึ่งส่งผลให้เขาเป็นอัมพาต เขามีอคติกับพวกผู้อพยพเพราะเรื่องนี้และเดนนิสน้อยก็เข้าใจเขาดี


 


จากนั้นไม่กี่ปีต่อมา, ความจริงก็ล่วงรู้ถึงดยุคครูเกอร์ ถ้าข่าวไปถึงเมืองหลวง, สถานะลอร์ดของเขาก็คงจะจบลงและเขาก็จะถูกบังคับให้ช่วยดยุคด้วยปฏิบัติการลักพาตัวของเขา


 


ตอนนี้มีฐานสำหรับองค์กรลักพาตัวอยู่ใต้คฤหาสน์ของเขาพร้อมกับอัศวินจากดยุคครูเกอร์ที่เดินลาดตระเวณรอบคฤหาสน์เพื่อยืนยันความภัคดีของเขา


 


เขายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มาจนถึงจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้แล้วและตอนนี้เขาก็กำลังถูกทิ้ง


 


“ถ้าข้าเชื่อฟัง, จะช่วยรับรองความปลอดภัยให้ผู้คนของข้าได้รึเปล่า?”


 


“แน่นอนครับ”


 


คำพูดของคนส่งสารนั้นมีกลิ่นของคำโกหกโชยมา


 


ในอดีต, เดนนิสเคยพยายามเข้าหาจักรพรรดิเพราะความรู้สึกผิดของเขา ในตอนนั้น, ดินแดนของเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์ก็ถูกพวกขุนนางทางใต้รังแกอย่างหนัก พืชผลของพวกเขาถูกทำลาย, พื้นดินไม่สามารถให้ผลผลิตที่น่าพึงพอใจได้, และคนของเขาก็อดอยากเพราะการกระจายพืชผลถูกขัดขวาง


 


หลังจากนั้น, เดนนิสก็ไปขอโทษดยุคครูเกอร์และสาบานว่าจะเป็นพวกกับเขา มันคือการทำเพื่อปกป้องคนของเขา


 


เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าดยุคครูเกอร์จะทำเรื่องเลวร้ายอะไรกับคนของเขาถ้าเขาตัดสินใจทรยศในครั้งนี้


 


นี่คือสาเหตุที่เดนนิสตัดสินใจที่จะยอมแพ้


 


“ถ้างั้นก็ได้ครับ ข้าจะรับความผิดทั้งหมดในฐานะคนบงการเอง”


 


“ขอบคุณนะครับ, ข้าจะไม่ลืมความเสียสละที่ท่านทำให้กับทางใต้เลย”


 


“ถ้าจะพูดเรื่องพวกนั้นหล่ะก็ช่างมันเถอะ บอกว่าทั้งหมดนี้เพื่อดยุคครูเกอร์น่าจะเข้ากว่าไหม? เขาควบคุมเขตใต้ส่วนใหญ่และทำตัวเหมือนพระราชามาซักพักแล้ว นี่คิดวางแผนจะทำอะไรกันแน่?”


 


“นั่นไม่ใช่กงการอะไรของท่านครับ”


 


“ใช่สิ ถึงยังไงข้าก็เป็นเหมือนหินที่ดยุคครูเกอร์ใช้ไต่เต้าขึ้นไป นี่เขาวางแผนจะก่อจราจลหรอ?”


 


“เห้อ….เจ้านายของข้าไม่มีความคิดเช่นนั้นหรอก บอกว่าทั้งหมดนี้เพื่อบัลลังน่าจะถูกกว่าครับ”


 


“งั้นหรอ…..แต่ถ้าจนมุมจริงๆเขาก็คงวางแผนเริ่มก่อกบฎทางเขตใต้แล้วผลักดันให้องค์หญิงซานดร้าขึ้นครองบัลลังก์สินะ ถ้าเป็นแบบนั้นดยุคก็จะกลายเป็นญาติคนสนิทขอบผู้ครองบัลลังก์ ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้คือสนมลำดับห้า เธอต้องวางคนของดยุคครูเกอร์เอาไว้ในนั้นแล้ว และแน่นอนว่า, นี่มันไม่ใช่การแย่งชิงอำนาจ มันคือการยึดอำนาจต่างหากหล่ะ”


 


สำหรับการวิเคราะห์อันแสนขมขื่นของเดนนิสนั้น, คนส่งสารไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย ซึ่งนี่เป็นเพราะมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเมื่อดูจากประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ อย่างไรก็ตาม, จักรพรรดิที่พึ่งพาญาติของตัวเองแบบนี้จะอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะสูญเสียอำนาจและถูกขุนนางคนอื่นรุมทึ้งทั้งเป็น


 


ดยุคครูเกอร์เองก็น่าจะคิดถึงเรื่องนี้ได้ไม่ใช่หรอ


 


เขาคือคนที่บริหารองค์กรลักพาตัวและรวบรวมขุนนางทางใต้หลายคนมาเข้ากับขุมอำนาจของเขา, เขาต้องคิดเรื่องแบบนี้เอาไว้แล้วแน่ๆ


 


แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว ในขณะที่เดนนิสกำลังคิดสมเพสตัวเองอยู่นั้น, คมดาบก็ทะลุออกมาจากหน้าอกของคนส่งสารอย่างกระทันหัน


 


“อึ้ก……”


 


“เหวอ!?”


 


“อภัยให้ข้าด้วยค่ะ….นายท่าน”


 


อัศวินสาวพูด


 


สำหรับเดนนิส, หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนที่เกือบจะเหมือนสีส้มคนนี้ไม่ใช่แค่อัศวินธรรมดา


 


“รีเบคก้า!? นี่เจ้าคิดจะทำอะไรหน่ะ!?”


 


“ท่านห้ามไปเชื่อฟังคำพูดของมันนะคะ! พวกมันวางแผนจะฆ่านายท่านค่ะ!”


 


“อะไรนะ!?”


 


“พวกมันจะฆ่าท่านหลังจากที่เขียนจดหมายสารภาพและส่งไปให้องค์ชายลีโอนาร์ด! ได้โปรดเถอะค่ะ, ท่านต้องรีบหนีแล้ว!”


 


ในตอนที่มองไปรอบๆ, เขาก็เห็นว่ามีอัศวินอีกหลายคนอยู่ในห้องนอกจากรีเบคก้า


 


พวกเขาคืออัศวินกลุ่มน้อยในคฤหาสน์ที่สาบานว่าจะภัคดีกับดยุคบ้านซิทเทอร์ไฮม์


 


“ไปเข้าพวกกับองค์ชายลีโอนาร์ดกันเถอะค่ะ, พวกเราจะเปิดโปงการกระทำอันชั่วร้ายของเจ้าดยุคนั่น! เขาคือเจ้าชายที่ไม่ยอมตัดใจทอดทิ้งเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในราชรัฐอัลบราโทร! เขาจะต้องช่วยพวกเราแน่ๆ!”


 


“……”


 


เดนนิสเงียบไปพักนึงหลังจากได้ฟังคำขอของรีเบคก้า


 


เขาน่าจะหนีไปจากเมืองนี้ได้


 


แต่พวกเขาจะหนีได้จริงๆหรอ?


 


มันไม่มีทางที่ดยุคจะไม่ระมัดระวังการทรยศในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้และเขาก็รู้ด้วยว่าเดนนิสเคยพยายามทรยศเขามาก่อน


 


มันจะต้องมีการลอบโจมตีในระหว่างทางที่เขาไปเข้าร่วมกับเจ้าชายลีโอนาร์ดอย่างแน่นอน


 


เดนนิสมองสถานการณ์แบบนั้นออกแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


จากนั้นเขาก็หัวเราะให้กับความโง่เขลาของตัวเอง


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า….ข้านี่เป็นคนที่ไร้ค่าจังเลยนะ”


 


“นายท่านคะ?”


 


“….อัศวินริเบคก้า ข้าจะขอมอบภารกิจให้”


 


พอพูดจบ, เดนนิสก็เดินไปเหยียบพื้นที่อยู่มุมห้อง


 


หลังจากนั้น, มันก็เปิดออกและเผยให้เห็นจดหมายที่อยู่ข้างใน มันคือจดหมายที่เดนนิสเคยเขียนอธิบายวีรกรรมอันชั่วร้ายทั้งหมดของดยุคครูเกอร์และขุนนางทางใต้คนอื่นๆ


 


ทั้งหมดนี้คือลายมือของเขาพร้อมกับตราประทับเลือดพิเศษที่ใช้ในการเขียนสัญญาสำคัญ ซึ่งการมีอยู่ของตราประทับนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถอของจดหมาย


 


“เอาจดหมายนี้ไปแล้วเดินทางไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ”


 


“ไม่เอาค่ะ!? นี่ท่านกำลังจะบอกให้ข้าหนีไปคนเดียวหรอ!?”


 


“เจ้าคือลูกสาวของเพื่อนสนิทของข้า สำหรับข้าที่ไม่มีลูกนั้น, เจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากลูกสาวของข้า…..นี่คือเหตุผลที่ข้าไว้ใจเจ้า ช่วยมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงแล้วส่งจดหมายฉบับนี้ให้จักรพรรดิทีเถอะ”


 


“ไม่ค่ะ! ได้โปรดให้ข้าอยู่เคียงข้างท่านเถอะนะคะ!”


 


“ไม่ได้ เจ้ายังเด็กอยู่ นี่มันไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรจะเอาชีวิตมาทิ้งนะ”


 


พอพูดจบ, เดนนิสก็หยิบดาบที่วางพิงอยู่ข้างกำแพงขึ้นมา


 


ในตอนที่เห็นเขา, รีเบคก้าก็ตระหนักได้ว่าเดนนิสกำลังวางแผนที่จะตาย


 


มันผ่านมากว่าสิบปีแล้วตั้งแต่ที่พ่อแม่ของเธอจากไปในตอนที่เธอยังเด็กและลอร์ดที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองคนใหม่ของเธอก็กำลังจะมาตายในตอนนี้อีก


 


รีเบคก้าไม่สามารถยอมรับเรื่องนั้นได้


 


“ข้าก็จะสู้ด้วย! ข้าจะตอบแทนที่ท่านเป็นคนเลี้ยงข้ามา!”


 


“ข้าไม่ได้เลี้ยงเจ้าให้มาตายนะ! จงมีชีวิตอยู่….ช่วยทำตามคำขออันน่าสมเพชของข้าเถอะ”


 


“ไม่ค่ะ! ข้าทำไม่ได้! อย่างน้อยก็ช่วยหนีไปด้วยกันกับข้าเถอะนะคะนายท่าน!”


 


“ข้าทอดทิ้งเด็กมาหลายคนแล้ว…..ข้าคิดว่าข้าคงใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้แล้วหล่ะ แน่นอนว่า, นี่ไม่ใช่การตายที่มีเกียรติ มันไม่มีเกียรติเหลืออยู่ในบ้านหลังนี้อีกแล้ว แต่, อย่างน้อยที่สุดข้าก็ขอเติมเต็มหน้าที่ของข้าในฐานะขุนนางซักหน่อยเถอะ”


 


พอพูดจบ, เดนนิสก็มองอัศวินของเขานอกจากรีเบคก้า


 


สีหน้าของพวกเขามุ่งมั่น พวกเขาเตรียมใจสละชีวิตเพื่อปล่อยให้เจ้านายของพวกเขารอดมาตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรก็ตาม, ถ้าตัวลอร์ดบอกว่าเขามีสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างสุดท้ายก็คงไม่มีใครในกลุ่มพวกเขาที่จะออกปากห้าม


 


“หน้าที่ของขุนนางอะไรกัน….ความตายมันนับเป็นหน้าที่ของท่านด้วยหรอคะ!?”


 


“ผิดแล้ว มันคือการช่วยเหลือต่างหากหล่ะ เด็กทุกคนที่ถูกลักพาตัวในเขตใต้นี้จะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เป็นเวลาพักนึง ซึ่งมันก็เพื่อกำหนดมูลค่าของตัวเด็ก ยังมีเด็กอีกหลายคนที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ แล้วตัวข้าจะหนีไปได้ยังไงกัน ถูกไหม?”


 


“แต่ว่า….ข้าเองก็เป็นอัศวินของท่านนะคะ!”


 


“ภารกิจของอัศวินคือการทำตามคำสั่งของเจ้านาย ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเห็นแก่ตัวอีกต่อไปแล้ว ไปซะ! อัศวินรีเบคก้า!”


 


เสียงของเขาหนักแน่นแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน


 


ในการรับคำสั่งนั้น, รีเบคก้าได้ปาดน้ำตาออกในขณะที่คุกเข่าลงแล้วรับจดหมาย


 


จากนั้น, เสียงเท้าก็ดังมาจากข้างนอก


 


เดนนิสที่ได้ยินเสียงก็ออกคำสั่งสุดท้าย


 


“หนีออกไปทางหน้าต่าง ในขณะที่พวกเรากำลังสู้อยู่, ให้เผยแพร่คำพูดออกไปว่ามีการกบฎและใช้ช่วงเวลาที่สับสนหนีไปที่เมืองหลวงซะ!”


 


“ค่ะ…..”


 


พอรับคำสั่งมาแล้ว, รีเบคก้าก็ไปยืนรอจังหวะตรงหน้าต่าง


 


จากนั้นเดนนิสก็ถีบประตูออกแล้วเริ่มเข้าปะทะกับอัศวินของดยุคครูเกอร์ที่กำลังตื่นตกใจ


 


ด้วยหลังของเขาที่ตราตรึงอยู่ในสายตาของเธอ, รีเบคก้าก็กระโดดออกไปทางหน้าต่าง


 


จากนั้น


 


“กบฎ! มีการก่อกบฎที่คฤหาสน์ของลอร์ด! ทุกคน, รีบหนีไปซะ—!!”


 


พอออกมาจากคฤหาสน์, รีเบคก้าก็ตะโกนสุดเสียงแล้วเริ่มต้นการเดินทางไกลไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


…..


 


“อึ้กกก!!”


 


เดนนิสฟันอัศวินไปคนแล้วคนเล่า


 


จนในที่สุดเขาก็มาถึงใต้ดินของคฤหาสน์


 


มีอัศวินที่สาบานว่าจะภัคดีกับเขามากว่าที่คิดเอาไว้และตอนนี้พวกเขาก็กำลังต่อสู้กับอัศวินของดยุคครูเกอร์ที่เดินพล่านอยู่ทั่วคฤหาสน์เหมือนกับเป็นสถานที่ของตัวเองอย่างดุเดือด


 


“เหวออ!!??”


 


“อย่ามาขวางทางข้า!”


 


พ่อค้าทาสที่ล้มก้นจ้ำเบ้าถูกเดนนิสตัดหัวโดยไม่ลังเล


 


พวกเขาคือพ่อค้าที่สมคบคิดกับบ้านครูเกอร์ซึ่งมาที่นี่เพื่อประเมินราคาของทาสเด็ก


 


เดนนิสไม่มีความเห็นอกเห็นใจพวกเขาเลยซักนิด


 


หลังจากนั้น, เดนนิสกับอัศวินกลุ่มเล็กๆที่เข้าร่วมกับเขาก็มาถึงคุกที่เอาไว้ขังเด็ก


 


มีเด็กจำนวนนึงที่ถูกใส่ปลอกคอแล้วถูกเอาตัวไปไว้ในคุกที่มีแสงสลัวๆ


 


หลังจากเห็นคุกที่ไม่น่าอภิรมย์และเด็กๆที่ตัวซูบผอม, เดนนิสก็รู้สึกว่าตัวเขาน่าจะมาที่นี่ให้เร็วกว่านี้


 


“ไม่เป็นไรนะ! ข้ามาช่วยพวกเจ้าแล้ว!”


 


จากนั้นเดนนิสก็เอากุญแจออกมาจากศพการ์ดแล้วเปิดประตูคุก


 


อย่างไรก็ตาม, พวกเด็กๆไม่ยอมขยับตัวราวกับว่าพวกเขาถูกสต๊าฟเอาไว้


 


เมื่อเห็นแบบนี้, เดนนิสจึงชักดาบออกมาแล้วค่อยๆเข้าไปในคุก


 


“ไม่เป็นไรนะ….ข้าจะพาพวกเจ้าออกไปจากที่นี่….”


 


“จริงหรอคะ…..?”


 


เด็กสาวคนนึงพึมพำออกมา


 


เธออายุประมาณสิบขวบพร้อมกับมีดวงตาสองสี, สีแดงกับน้ำเงิน


 


เนื่องจากเดาได้ว่าเธอคือเด็กจากหมู่บ้านผู้ลี้ภัย, เดนนิสจึงเม้มปากแน่น


 


“ใช่แล้ว, ข้ามาช่วยจริงๆ…..”


 


“ข้าจะได้กลับหมู่บ้านรึเปล่าคะ…..?”


 


“อืม, ได้กลับสิ…..”


 


“ข้าจะได้เจอพี่ลินรึเปล่า…..?”


 


“อืม, ได้เจอสิ มีเจ้าชายใจดีที่ชื่อว่าเจ้าชายลีโอนาร์ดกำลังมาช่วยเจ้า เขาจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีแน่นอน”


 


พอพูดจบ, เดนนิสก็ค่อยๆเข้าไปหาเด็กสาว


 


จากนั้นเขาก็โอบกอดเด็กสาวที่เนื้อตัวสกปรก


 


“ขอโทษนะ……ข้าขอโทษจริงๆ…..”


 


“ข้าอยากกลับบ้าน…..ข้าอยากกลับจังเลย….”


 


ในขณะที่กำลังลูบผมของเด็กสาวที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น, เดนนิสก็พยักหน้า


 


เดนนิสเงยหน้าขึ้นแล้วบอกเด็กคนอื่นๆ


 


“ทุกคน, ข้าจะพาพวกเจ้ากลับบ้านเอง ข้าสาบาน”


 


เด็กๆตอบกลับคำพูดของเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


 


อย่างไรก็ตาม


 


“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าทำแบบนั้นหรอก”


 


“อึ้กก……”


 


ชายชุดดำคนนึงปรากฎตัวขึ้นข้างหลังเขาและแทงทะลุหน้าอกของเดนนิส


 


เดนนิสไอออกมาเป็นเลือดและเรียกพลังทั้งหมดของเขาเพื่อชักดาบออกมาแล้วฟันชายคนนั้น


 


อย่างไรก็ตาม, การโจมตีของเขานั้นไม่พลาดเป้า


 


ชายคนนี้คือครูฝึกที่สอนเด็กที่เป็นพรสวรรค์เป็นนักฆ่า เขาไม่ใช่ศัตรูที่สามารถเอาชนะด้ายด้วยทักษะดาบดาษๆ


 


ไม่ต้องพูดถึงหน้าอกที่ถูกแทงทะลุ, มันชัดเจนแล้วว่าตอนนี้เขามาถึงประตูแห่งความตายแล้ว


 


แต่, เดนนิสก็ยังไม่ยอมแพ้


 


แต่ถึงอย่างนั้น


 


มันมีกำแพงที่เรียกว่าความสามารถที่แท้จริงซึ่งเขาคงไม่มีทางเอาชนะได้ไม่ว่าเขาจะมุ่งมั่นแค่ไหนก็ตาม


 


เดนนิสวิ่งไปหาชายคนนั้นอย่างไม่กลัวตาย


 


“ย้ากกก!!!”


 


“เป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาซะเลย”


 


ครูฝึกตัดศรีษะของเดนนิสในตอนที่เขาพุ่งผ่าน


 


คอของเขาลอยขึ้นฟ้า, จากนั้นมันก็ตกลงมาแล้วกลิ้งไปหาเด็กสาวที่มีตาสองสี


 


พอเห็นศรีษะของชายที่บอกว่าเขามาช่วยเธอ, เด็กสาวก็อึ้งกับเหตุการณ์ตรงหน้าไปพักนึง


 


อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่เธอสบตากับเดนนิส, ความฝันอันริบหรี่ของเธอก็ถูกขยี้ด้วยความกลัวและความสิ้นหวังที่ครอบงำจิตใจของเธอ


 


“ม่ายยยยยยยย!!!!!!!”


 


เสียงร้องของเด็กสาวดังก้องไปทั่วพื้นที่


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ดวงตาของเด็กสาวก็เปล่งแสงและจากนั้นคุกก็ถูกปกคลุมด้วยอะไรบางอย่างที่มีสีดำ

 

 

 


ตอนที่ 74

 

เวลาผ่านมาสามวันแล้วตั้งแต่ที่ท่านพี่มาที่ปราสาท


 


วันนี้คือวันที่เธอจะเดินทางกลับ แต่เดิมนั้น, ที่เธอมาอยู่ที่นี่ก็เพราะเธอมาด้วยกันกับทหารใหม่ในการฝึกของพวกเขา ก่อนที่เธอจะเดินทางกลับนั้น, พวกเราได้เตรียมการบางอย่างเอาไว้


 


และในที่สุด, คืนวันก่อน, ผู้ส่งสารก็มาถึงและแจ้งเธอว่าพวกเขาจะกลับกันในวันพรุ่งนี้เช้า


 


มันคือเวลาสำหรับการประลอง


 


“ป, เป็นยังไงครับ? คิดว่าข้าจะไหวรึเปล่า?”


 


“ดูดีแล้ว กล้าๆหน่อยแล้วไปโชว์ทักษะของท่านให้เธอได้เห็นเถอะ”


 


“น, นั่นสินะครับ”


 


ที่สนามของคฤหาสน์


 


เยอร์เกนกำลังเตรียมง้าวของเขา แน่นอนว่า, มันคือการฝึกแต่เขาก็จะใช้มันในการต่อสู้


 


และแน่นอนว่า, คู่ต่อสู้ก็คือ, ท่านพี่


 


พวกเราถ้าเธอแข่งในวันนี้และจะทำให้เธอยอมรับว่าอย่างน้อยเยอร์เกนก็มีทักษะพอที่จะเป็นคู่ครองของเธอ นี่คือจุดประสงค์ของพวกเรา


 


“ถ้าดูจากการพูดคุยกันที่ผ่านมานี้, ท่านพี่ไม่ได้รังเกียจท่าน กลับกัน, เธอดูค่อนข้างชอบท่านด้วยซ้ำ และด้วยเหตุนี้เอง, สิ่งที่ท่านจำเป็นต้องทำก็คือแสดงพลังให้เธอดู”


 


ฉันให้กำลังใจเยอร์เกน


 


จักรพรรดิเองก็เข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย


 


การแต่งงานจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับผลลัพธ์การประลองนี้ อย่างไรก็ตาม, ถ้าเขาล่มเหลวที่นี่, เยอร์เกนก็จะปล่อยให้โอกาสที่สำคัญนี้หลุดลอยไป บางทีนี่คงจะเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวของเขา, เพราะเขาดูกดดันอย่างเห็นได้ชัด


 


ถึงยังไงเขาก็พยายามมาหนักมาก แม้กระทั่งฉันก็อยากให้เขาชนะ, เพราะถ้าเกิดเขาแพ้ขึ้นมาฉันก็คงจะมีปัญหา


 


บทสรุปการแต่งงานของท่านพี่จะทำให้มันง่ายขึ้นสำหรับฉันในการดึงเธอเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนของเรา แม้จะเป็นเช่นนี้, ฉันก็ยังคงเป็นผู้ร่วมมือในสงครามผู้สืบทอด, เนื่องจากฉันไม่ใช่กลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรง, มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะใช้ท่านพ่อ ฉันรู้สึกผิดที่มันอาจจะสร้างปัญหาให้กับเขาแต่ฉันก็ต้องใช้มันเพื่อชิงความได้เปรียบ


 


ฉันต้องหาทางเอาชนะใจท่านพ่อให้ได้


 


ด้วยเหตุนี้เอง, ฉันกับเยอร์เกนจึงมีเป้าหมายร่วมกัน


 


“ท่านไม่ต้องชนะก็ได้ เธอจะยอมรับท่านอย่างแน่นอนถ้าท่านแสดงพลังของตัวเองให้เธอได้เห็น”


 


“ครับ ข้ารู้ว่าเธอเป็นคนแบบนั้น”


 


ในตอนที่เยอร์เกนพูดออกมาแบบนั้น, เสียงเท้าก็ดังมาจากทางเข้า


 


คนที่ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับเสียงเท้าที่บ่งบอกว่าผ่านการฝึกฝนมาดีก็คือท่านพี่ลีเซ


 


ท่านพี่ถอนหายใจในขณะที่เห็นเยอร์เกนถือง้าวอยู่กลางสนาม


 


“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะทำแบบนี้เพราะเจ้าไม่ได้ไปส่งข้าแต่ว่า….อีกแล้วหรอ?”


 


“ครับ, อีกแล้วครับ องค์หญิง”


 


“เจ้านี่ไม่หัดเรียนรู้ซะบ้างเลยนะ”


 


พอพูดจบ, ท่านพี่ก็รับดาบฝึกที่พ่อบ้านเตรียมเอาไว้ให้เธอ


 


เธอเหวี่ยงมันอยู่สองสามครั้งเพื่อเช็คสภาพและเตรียมความพร้อมให้ตัวเอง


 


“เข้ามาสิ แสดงผลลัพธ์ความพยายามของเจ้าให้ข้าเห็นหน่อย”


 


“ครับ!”


 


มันเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นครูฝึกกับนักเรียน


 


พอมาคิดว่าฝ่ายนึงกำลังขอแต่งงานในขณะที่อีกฝ่ายกำลังบอกปัด, มันก็ทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเล็กน้อย


 


ชายหญิงคู่นี้อายุย่างยี่สิบแล้วแต่ก็ไม่มีร่องรอยของความโรแมนติคเลยซักนิด


 


อย่างไรก็ตาม, เนื่องจากประกายไฟของพวกเขาน่าจะซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่ง, งานของฉันก็คือการจุดไฟนั่นให้ได้


 


“ถ้างั้นรอฟังสัญญาณจากข้านะ ถ้าดยุคไรน์เฟลด์ตีโดน, ก็จะถือเป็นชัยชนะของเขา ได้ใช่ไหมครับท่านพี่?”


 


“เอาเถอะ, ข้าไม่มีปัญหาหรอก, ถึงข้าจะคิดว่าคงไม่มีหวังก็เถอะนะ”


 


“จอมพลที่เก่งกาจมาประมาทฝ่ายตรงข้ามแบบนี้มันไม่ดีไม่ใช่หรอครับ”


 


เยอร์เกนเผยรอยยิ้มยั่วยุแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน


 


ฉันแนะนำเขาให้ยั่วยุเธอเพราะช่องว่างระหว่างทักษะของพวกเขานั้นมันเป็นเรื่องยากที่จะชดเชย


 


ตอนแรกเยอร์เกนลังเลที่จะทำแบบนี้แต่ฉันก็โน้มน้าวเขาจนได้


 


และมันก็ได้ผลอย่างสวยงาม


 


“หืม? ปกติไม่พูดแบบนี้ไม่ใช่หรอ? ไม่หัดเลือกใช้คำพูดกับข้าแบบนี้, แสดงว่าเจ้าค่อนข้างมั่นใจอยู่สินะ”


 


“มันไม่ใช่ความมั่นใจครับ นี่ก็แค่การตัดสินอย่างมีเหตุผลครับ, องค์หญิง”


 


“ดี ถ้าเจ้าบอกว่าข้าประมาทก็เข้ามาพิสูจน์สิ ข้าจะต่อสู้กับเจ้าโดยใช้แค่มือข้างที่ไม่ถนัดข้างเดียวด้วย”


 


พอพูดจบ, ท่านพี่ลีเซก็เปลี่ยนมาจับดาบมือซ้ายและเก็บมือขวาเอาไว้ข้างหลัง


 


ในตอนนั้นเอง, ฉันก็กำหมัดดีใจ พี่สาวของฉันเกลียดความพ่ายแพ้ ฉันคิดว่าถ้าพวกเรายั่วยุเธอ, เธอก็จะต่อให้เรา


 


ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งแค่ไหน, แต่การต่อสู้ด้วยมือเดียวก็จะช่วยลดความเร็วของเธอแม้ว่ามันจะแค่เล็กน้อยก็ตาม แถมมันยังดีกว่าที่พวกเราคิดด้วยซ้ำเนื่องจากเธอไม่ได้ใช้มือข้างที่ถนัด ความแตกต่างทางด้านทักษะระหว่างเยอร์เกนกับพี่สาวของฉันมันเป็นเรื่องยากที่จะบีบเข้ามาแต่นี่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เยอร์เกนตีเธอโดนได้อย่างมีนัยสำคัญ และถ้าเป็นเช่นนี้การที่ท่านพี่จะยอมรับเยอร์เกนนั้นก็จะง่ายขึ้นไปด้วย


 


ถ้าเขาสามารถทำให้เธอต่อสู้ได้อย่างยากลำบาก, เธอก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับเขา เธอไม่ใช่คนใจแค็บที่จะไปโทษว่ามันเป็นเพราะเธอต่อให้เอง แถม, เธอยังไม่ยอมให้ขนมฉันด้วย


 


“ท่านพี่ ก่อนอื่นข้าขอยืนยันให้แน่ใจก่อนถ้าดยุคสามารถปล่อยการโจมตีที่น่าประทับใจได้……”


 


“แน่นอน, ข้าจะยอมรับเขา ถ้าเขาเติบโตขึ้นถึงขนาดนั้นจะให้ข้าไปเป็นภรรยาของเขาข้าก็ไม่ติดขัดอะไรหรอก”


 


เธอยอมรับเงื่อนไข


 


ฉันตอบกลับเธอไปว่าเข้าใจแล้วและยกมือขวาของฉันขึ้นมาระหว่างพวกเขา


 


และพอเห็นว่าทั้งคู่พร้อมแล้ว, ฉันก็ให้สัญญาณ


 


“เริ่มได้!!”


 


“ย้ากกก!!!!!”


 


เยอร์เกนเริ่มพุ่งเข้าใส่เธอด้วยพลังเต็มที่


 


ท่านพี่ไม่ได้หลบมันแต่เลือกที่จะรับมันเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น, ด้วยมือข้างที่ไม่ถนันดและดาบที่บางกว่า


 


มันกลับส่งเสียงปะทะดังสนั่น


 


ง้าวของเยอร์เกนถูกท่านพี่หยุดเอาไว้ได้อย่างงดงาม


 


“อะไรกัน? มีแรงแค่นี้หรอ?”


 


“ไม่หรอกครับ ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าท่านจะรับมัน ถึงยังไงท่านก็ไม่ใช่คนที่จะหลบการโจมตีแบบนี้อยู่แล้ว”


 


พอพูดจบ, เยอร์เกนก็ใส่พลังเพิ่มเข้าไปที่แขนของเขา


 


ต่อให้เป็นท่านพี่, แต่ถ้าแข่งพละกำลังมันก็คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ ด้วยการใช้ทั้งร่างกาย, เยอร์เก็นก็ผลักดันการโจมตีของเขาไปหาเธอได้มากขึ้นผ่านการใช้น้ำหนักอย่างเต็มที่


 


“หนอยย! อัลเป็นคนแนะนำสินะ? การโจมตีมันดูมีลูกเล่นใช้ได้เลยนี่”


 


“คิดว่ายังไงหล่ะครับ?”


 


“เจ้าตั้งใจจะดันเข้ามาต่อหรอ? แต่จำเรื่องนี้เอาไว้ให้ดีหล่ะ ตอนที่เจ้าโจมตีนั่นแหล่ะคือช่วงที่เจ้าเปราะบางที่สุด”


 


พอพูดจบ, ด้วยการฉวยจังหวะที่การโจมตีอ่อนลง, ท่านพี่ก็หมุนตัว


 


เนื่องจากไม่มีอะไรมาสนับสนุนน้ำหนักการโจมตีของเขา, ง้าวของเยอร์เกนก็เลยพุ่งลงไปที่พื้น และผ่านการหมุนที่งดงามนี้เอง, ท่านพี่ก็ใช้แรงจากการเคลื่อนที่เพื่อสวนกลับเยอร์เกน


 


แบบนี้ไม่ดีแล้วสิ


 


ในตอนที่ฉันคิดแบบนั้น, ก็มีเสียงปะทะดังขึ้นอีก


 


และเมื่อมองดูดีๆ, เยอร์เกนก็ใช้ด้ามจับง้าวรับการโจมตีของท่านพี่


 


“หืม?”


 


“ข้าไม่ได้เลือกอาวุธชิ้นนี้เพราะน้ำหนักของมันอย่างเดียวนะครับ”


 


“เจ้าโตขึ้นมาหน่อยนะ แต่แค่รับการโจมตีระดับนี้ได้เจ้าก็พอใจแล้วหรอ?”


 


ทั้งสองทิ้งระยะออกจากกัน


 


จากนั้นเยอร์เกนก็ค่อยๆควงง้าว


 


เขาคิดที่จะทะลวงการป้องกันของเธอด้วยการโจมตีเดียวผ่านการใช้แรงเหวี่ยง


 


บางทีเธอคงมองเรื่องนั้นออก, ท่านพี่ไม่ได้เข้าไปในระยะของเยอร์เกน


 


อย่างไรก็ตาม, เยอร์เกนไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้นแล้วเริ่มไล่ต้อนเธอ


 


“ฝีมือควงใช้ได้นี่”


 


“พอผมตัวใหญ่ขึ้น, มันก็ใช้ได้ง่ายขึ้นครับ”


 


“เจ้านี่ตลกจังเลยนะ เจ้าอยากให้ข้าเป็นภรรยาของเจ้าขนาดนั้นเลยหรอ?”


 


“ข้าไม่กล้าหรอกครับ ข้าแค่อยากให้ท่านคอยอยู่เคียงข้างข้า”


 


“มันก็เหมือนกันไม่ใช่รึไง?”


 


“น่าเสียดายนะครับที่มันต่างกันเยอะเลยหล่ะ ถ้าท่านไม่เข้าใจหล่ะก็ดูเหมือนว่าองค์หญิงเองก็ยังต้องเรียนรู้เหมือนกันนะครับ”


 


“หนอย….ช่างเป็นคำยุที่ราคาถูกซะจริง”


 


พอพูดจบ, ท่านพี่ก็หยุดถอย


 


เธอตั้งใจจะรับคำท้าทายของเยอร์เกนตรงๆ ให้ตายเถอะ, เธอยังคงเอาตัวเองไปอยู่ในจุดเสียเปรียบทั้งๆที่มันเกี่ยวพันกับอนาคตของเธอเนี่ยนะ


 


ถ้าเธอบัญชาการกองทัพในฐานะจอมพลเธอจะไม่ทำแบบนี้แต่นี่เป็นการต่อสู้ส่วนตัวของเธอ


 


นี่คือสาเหตุที่ท่านพี่ยึดติดกับความรู้สึกของตัวเอง


 


ฉันรู้จักพี่สาวของฉันดีเพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่คาดเอาไว้แล้ว


 


“ย้ากก!!”


 


เยอร์เกนย่นระยะเข้ามาในขณะที่ควงง้าว


 


จากนั้นเขาก็ควบคุมการหมุนของมันอย่างเชี่ยวชาญแล้วเหวี่ยงง้าวของเขาในท่าแทง


 


เขาฝีมือใช้ได้


 


เธอน่าจะประหลาดใจกับเรื่องนี้


 


นี่คือสิ่งที่ฉันคิดแต่ว่า


 


“อ่อนไป”


 


ท่านพี่แทงดาบออกแล้วขัดจังหวะง้าวของเขาก่อนที่มันจะทิ้งน้ำหนักลงมา


 


ปลายง้าวได้ปะทะเข้ากับปลายดาบของเธอ


 


มันคือฝีมือระดับผู้เชี่ยวชาญ


 


แต่ว่าเธออ่านออกได้ยังไงกันว่ามันเป็นการแทง?


 


เธอน่าจะรู้ถึงพลังของตัวง้าวและสาเหตุที่เยอร์เกนก็หยิบมันมาเป็นอาวุธของเขาตั้งแต่แรกนั้นก็เพราะพลังของมัน ในเมื่อท่านพี่เองก็รู้เรื่องนั้น, เธอก็น่าจะคิดว่ามันเป็นการฟันแทนที่จะเป็นการแทงสิ……..


 


“ได้ยังไงกัน……”


 


“หึหึ, ถึงกับพูดไม่ออกเลยสินะ”


 


 


“ไม่จริงหน่า…..ท่านแค่แทงออกมาไม่ใช่หรอ?”


 


“ข้าไม่ทำอะไรโง่ๆแบบนั้นหรอก ข้าแค่อ่านการเคลื่อนไหวของเจ้า และถึงยังไงเจ้าก็เป็นพวกโรแมนติค ถ้าเจ้าจะแทงข้าการโจมตีของเจ้าก็จะอ่อนลง เหมือนกับที่เจ้ารู้นิสัยของข้า, ข้าเองก็รู้นิสัยของเจ้าเหมือนกันนั่นแหล่ะ”


 


“โถ่…….”


 


เยอร์เกนถูกทิ้งห่างอีกครั้งแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม, มันสามารถบอกได้จากสีหน้าของเขาว่าการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้คือแผนลับของเขา, มันคือไพ่ตายของเขา


 


และตอนนี้มันก็ถูกปิดผนึกแล้ว


 


เขาไม่เหลือลูกไม้อะไรให้เล่นแล้ว


 


“ดูเหมือนจะไม่เหลือลูกไม้แล้วสินะ สุดท้ายแล้วมันก็เป็นชัยชนะของข้าอีกครั้ง, เยอร์เกน”


 


“…..ครับ ข้าแพ้แล้ว…”


 


เยอร์เกนยอมรับความพ่ายแพ้ของเขา


 


ท่านพี่ลีเซยิ้มให้เยอร์เกนแล้วเริ่มเอ่ยชม


 


“เอาเถอะ, ครั้งนี้ถือว่าไม่แย่นะ”


 


“แสดงว่าท่านพี่จะยอมรับเขาแล้วใช่ไหม?”


 


“นั่นมันคนละเรื่องกัน การโจมตีของเขายังซื้อใจข้าไม่ได้เลย ครั้งนี้เจ้าก็ยังไม่ได้แต่งหรอก, เยอร์เกน”


 


ท่านพี่พูดออกมาอย่างโหดร้าย


 


เยอร์เกนอึ้งในตอนที่เขาได้ยินคำพูดพวกนี้


 


“ท่านพี่……! ท่านไปเกลียดอะไรในตัวเขาครับเนี่ย……!?”


 


“อะไรกัน? เจ้าก็ดูเข้าข้างเยอร์เกนไม่ใช่หรอ?”


 


“ใช่ครับ เขาพยายามตั้งขนาดนั้นเพราะฉะนั้นช่วยอย่าทำแบบนั้นกับเขาเลยนะครับ ข้าสามารถบอกได้เลยว่าข้าชอบเขา ถ้ามีเหตุผลอะไรก็ช่วยบอกพวกเราเถอะครับ มาปั่นหัวเขาแบบนี้ก็มีแต่จะทำให้ดยุคดูน่าสงสารไม่ใช่หรอครับ”


 


สำหรับข้อเรียกร้องของฉัน, ท่านพี่ลีเซใช้ความคิดเล็กน้อยแล้วยิ้มออกมาอย่างเหงาๆ


 


รอยยิ้มของเธอคือรอยยิ้มที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน


 


จากนั้นท่านพี่ก็พยักหน้าเล็กน้อย


 


“นั่นสินะ……เยอร์เกน ฟังให้ดีๆหล่ะ”


 


“ครับ…….”


 


“อย่ามายุ่งเกี่ยวกับข้าอีก เจ้ามันน่ารำคาญ”


 


บางสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้พึ่งออกมาจากปากของเธอ


 


และเป็นเวลาพักนึงที่ฉันไม่อยากเชื่อหูตัวเอง


 


เมื่อสักครู่คนๆนี้พึ่งพูดอะไรออกไปนะ?


 


เยอร์เกนเองก็ดูตกใจเหมือนกัน


 


อย่างไรก็ตาม,


 


“…..งั้นหรอครับ……ข้าน่ารำคาญสินะครับ……”


 


“ใช่”


 


“…..ขออภัยด้วยครับ นับจากนี้ไปข้าจะหยุดส่งขอคำแต่งงานมาให้ท่านแล้ว”


 


พอพูดจบ, เยอร์เกนก็คอตก


 


 


เป็นเวลาพักนึงที่เขามองท่านพี่อย่างเจ็บปวดแต่สีหน้านั้นก็หายไปในเวลาไม่นาน


 


ซึ่งนั่นก็เพราะท่านพี่เองก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน


 


“ถ้างั้นข้าขอตัวหล่ะ อัล, ดูแลเยอร์เกนแทนข้าด้วย”


 


“เอ๊ะ? เดี๋ยวนะครับ! ท่านพี่!”


 


ในขณะที่มองแผ่นหลังที่เศร้าสลดของท่านพี่, ฉันก็เริ่มเดินตามเธอไป


 


และเมื่อหันกลับมา, เยอร์เกนก็กำลังคุกเข่าอยู่


 


นี่มันสถานการณ์บ้าอะไรเนี่ย!?


 


ตอนนี้ฉันควรจะดูแลใครดี!?


 


ในขณะที่กำลังคิดว่าถ้าลีโออยู่ที่นี่ก็ดี, ฉันก็ชั่งน้ำหนักความสำคัญระหว่างพวกเขาทั้งสอง


 


จากนั้นฉันก็เลือกตามท่านพี่ไป


 


ซึ่งเหตุผลก็เพราะฉันคิดว่าเธอต้องมีเหตุผลที่ทำแบบนี้แน่ๆ


 


เธอคงไม่ทำสีหน้าแบบนั้นออกมาหรอกถ้าเธอรำคาญเขาจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 75

 

“ท่านพี่! ท่านพี่ลีเซ!”


 


“อะไรอีกหล่ะ? เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรอ?”


 


ท่านพี่ลีเซตอบกลับอย่างหงุดหงิด


 


น้ำเสียง, สีหน้า, ความอดทน, ทุกอย่างของเธอกำลังบอกเป็นนัยๆว่า [ตอนนี้อย่าพึ่งมายุ่งกับข้า] เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดี ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ, ฉันก็คงจะไม่เข้าใกล้เธอในสภาพนี้


 


แต่ครั้งนี้ถือเป็นข้อยกเว้น


 


“ครับ, ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับท่านพี่เยอะเลยหล่ะ เอาจริงๆท่านยังสะสางไม่จบซักเรื่องเลยด้วยซ้ำ”


 


“ข้าก็ปฏิเสธเยอร์เกนไปอย่างชัดเจนเหมือนที่เจ้าบอกข้าแล้วไม่ใช่รึไง? เจ้ายังมีอะไรที่ไม่พอใจอีก?”


 


“ถ้ามันมาจากใจจริงของท่านพี่ข้าก็คงจะไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นไม่ใช่หรอ?”


 


“พูดอะไรของเจ้ากัน? มันมาจากใจจริงของข้าล้วนๆเลยต่างหากหล่ะ”


 


“ท่านพี่นี่โกหกไม่เก่งเอาซะเลยนะครับ”


 


ถ้าดูจากสีหน้า, มันไม่มีทางอยู่แล้วที่เธอจะพูดจากใจจริง


 


นอกจากนี้, ดูเหมือนเธอจะรู้สึกเสียใจกับมันมากกว่าด้วยซ้ำ


 


“พวกเราเดินไปคุยไปดีไหมครับ? ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่านพี่ด้วย”


 


“ข้าไม่มีอารมณ์”


 


“งั้นหรอครับ…..อันที่จริง, คริสต้าพึ่งจะมีเพื่อนใหม่เป็นผู้ชายด้วยนะครับท่านพี่รู้รึเปล่า”


 


“ว่าไงนะ!? ผู้ชายแบบไหน!? เป็นคนไม่ได้ความรึเปล่า!? แล้วอายุเท่าไหร่”


 


“ข้าโกหกครับ”


 


สีหน้าของท่านพี่นิ่งค้างไปพักนึง


 


จากนั้น,


 


“อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนเจ้าจะอยากรับบทเรียนจากข้าหลังจากที่ไม่ได้เจอมานานสินะ?”


 


“เหวอ!? ข้าก็แค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง! ขำๆไงครับ! แต่ถ้าท่านพี่มองไม่ออกว่ามันเป็นเรื่องโกหกก็แสดงว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ท่านพี่ไม่รู้ไม่ใช่หรอครับ?”


 


พอหยุดมือของท่านพี่ไม่ให้ขยับไปที่ดาบตรงเข็มขัดของเธอได้, ฉันก็ยิ้มเจื่อนๆ


 


ท่านพี่คิดอยู่พักนึงแล้วจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา


 


“…..แค่แป๊บเดียวนะ”


 


“นั่นมันขึ้นอยู่กับท่านพี่ครับ เอาเป็นว่ามาเดินคุยกันเลยดีกว่า”


 


พอพูดจบฉันก็เริ่มมาเดินข้างเธอ


 


ท่านพี่ยังคงเงียบอยู่ตลอดเวลา


 


ว่าแล้วเชี่ยว, ฉันต้องสร้างบรรยากาศที่เธอสามารถพูดได้สินะ


 


“ข้ามีหลายเรื่องที่กำลังสงสัยอยู่ครับ”


 


“ย่อมาให้เหลือแค่เรื่องเดียว”


 


“ก็ได้ครับ….งั้นเอาแค่เรื่องนี้ละกัน เมื่อสามปีก่อนเกิดอะไรขึ้นระหว่างท่านพี่กับลีโอหรอครับ?”


 


เธอน่าจะคิดไม่ถึงว่าจะเจอคำถามนี้


 


ท่านพี่ลีเซถลึงตากว้าง


 


จากนั้นเธอก็หันหนีฉัน


 


“เจ้าบอกว่าเจ้าจะถามแค่คำถามเดียวใช่ไหม?”


 


“…..มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ”


 


“บางที ท่านพี่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมเมืองหลวงบ่อยๆตั้งแต่ตอนนั้นใช่ไหมหล่ะครับ? พวกเราพึ่งจะมาแลกเปลี่ยนจดหมายกันอย่างเดียวตั้งแต่ตอนนั้นด้วย จากมุมมองของข้า, มันดูเหมือนกับว่าท่านพี่พยายามจะหลีกเลี่ยงผู้คนอยู่นะครับ”


 


ท่านพี่ลีเซมองฉันอย่างรำคาญใจแล้วแหงนหน้ามองฟ้า


 


จากนั้น


 


“…เมื่อสามปีก่อน, ที่งานศพของมงกุฎราชกุมาร ข้าพยายามจะทำอะไรบางอย่างแล้วลีโอก็เข้ามาห้ามข้าเอาไว้”


 


“ท่านพี่พยายามจะทำอะไรหรอครับ?”


 


“ข้ากำลังจะฆ่าซูซาน”


 


“แบบนั้นมัน….”


 


แบบนั้นมันสมกับเป็นท่านพี่จริงๆ


 


และการห้ามเธอก็สมกับเป็นลีโอด้วย


 


เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ


 


หมอนั่นก็มีความลับของตัวเองอยู่หรอเนี่ย


 


“เธอเกี่ยวข้องกับความตายของทั้งแม่ข้าและมงกุฎราชกุมาร ข้าเชื่อว่าข้าควรกำจัดเธอก่อนที่หายนะจะเกิดขึ้นกับจักรวรรดิ….แต่ลีโอก็เข้ามาขวางข้า”


 


“ไม่ว่ายังไง….ข้าก็อยากฆ่าผู้หญิงคนนั้น ข้าคิดว่าข้าไม่สามารถอภัยให้เธอได้ นี่คือสาเหตุที่ข้าพยายามจะใช้กำลังฝ่าลีโอไปแต่…..ลีโอก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าข้าจะเอาชนะเขากี่ครั้ง, เขาก็จะบอกว่าข้าเป็นคนผิดแล้วเข้ามาขวาง”


 


“สมกับเป็นหมอนั่นจริงๆ”


 


“….ลีโอบอกว่าการพิพากษาควรจะดำเนินการผ่านกฏหมาย แต่กฏหมายมันไร้พลัง ท่านพี่ใหญ่ถูกฆ่าแต่กลับไม่มีหลักฐานการฆาตรกรรมเลย นี่คือสาเหตุที่ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากฆ่าเธอด้วยตัวเอง….นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด และนี่ก็คือเหตุผลที่ข้าพยายามจะทำให้เขาหมดสติ แต่เขาก็ยังประคองสติเอาไว้ได้ แม้ว่าข้าจะเอาชนะเขาไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม”


 


พอมาคิดดูแล้ว, หมอนั่นก็ขังตัวเองเอาไว้ในห้องอยู่พักนึงหลังจากงานศพของมงกุฎราชกุมารนี่นะ


 


ฉันคิดว่าเขากำลังตกใจแต่บางทีเขาอาจจะแค่ปกปิดรอยแผลจากการต่อสู้ก็ได้


 


“แม้จะโดนไปขนาดนั้น…ลีโอก็ไม่ยอมถอย เขาเอาแต่บอกว่าข้าเป็นคนผิดและท่านพี่ใหญ่ไม่ได้ต้องการแบบนี้ แต่ว่า….ราชวงศ์ตายไปแล้วสองคน…..ข้าคงไม่สามารถอยู่เงียบๆแล้วยอมรับมันได้หรอกข้าก็เลยบอกเขาว่าให้หยุดพูดถึงอุดมคติของตัวเองซักที ข้าขอให้เขาเข้าใจความรู้สึกของข้าที่สูญเสียแม่ของตัวเองและพี่ชายที่ข้าสาบานว่าจะคอยสนับสนุนไป แต่ไม่ว่าเขาจะเข้าใจเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกทิ้งให้มีชีวิตอยู่รึเปล่านั้น….เขาก็ถามข้ากลับมาว่า, จะเกิดอะไรขึ้นกับคริสต้าถ้าข้าไม่อยู่แล้ว สมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆของข้าหล่ะ? จักรวรรดิหล่ะ? ท่านพี่พยายามจะปกป้องอะไรกันแน่? เขาบอกว่าสิ่งที่ข้าพยายามจะทำมันก็แค่การโยนความรับผิดชอบของตัวเองทิ้งแล้วเลือกที่จะหนี”


 


“….แล้วท่านพี่ตอบลีโอกลับไปว่ายังไง?”


 


ท่านพี่ลีเซลดสายตากลับมามองฉัน สีหน้าของเธอเสียใจมาก


 


นี่คือครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอแสดงสีหน้าแบบนี้


 


“….ข้าพูดอะไรไม่ได้…..ข้าปล่อยให้เลือดขึ้นหน้า และก่อนที่ข้าจะรู้สึกตัว…..ข้าก็ไม่สามารถยืนอยู่ตรงนั้นได้อีก ข้าไม่มีสิทธิเผชิญหน้ากับลีโอที่อยู่ในสภาพร่อแร่ในตอนนั้น….นั่นคือสาเหตุที่ข้ากลับไปที่ชายแดนเหมือนกับว่าข้ากำลังหนีจากเขา”


 


“เข้าใจแล้วครับ ท่านยกโทษให้ตัวเองไม่ได้ก็เลยห้ามตัวเองไม่ให้ไปพบคนอื่นสินะครับ”


 


“….ใช่ ข้ายกโทษให้ตัวเองไม่ได้ ข้ากลัว ถ้าลีโอไม่ห้ามข้าเอาไว้ข้าก็คงจะทำเรื่องโง่ๆไปแล้ว ข้ากลัวตัวเอง…..ข้าหยุดผูกสัมพันธ์กับคนอื่นหลังจากนั้นมา ข้าตีตัวออกห่างใครก็ตามที่พยายามเข้าใกล้ข้า แต่, ข้าก็ไม่สามารถทิ้งเจ้า, คริสต้า….แล้วก็เยอร์เกนได้ ในตอนแรก, ข้าคิดว่าเยอร์เกนน่ารำคาญเพราะเขาเข้ามาตามตื้อข้าไม่ยอมเลิกราแต่ว่า…..ข้าก็รู้สึกขอบคุณเขา”


 


ก่อนที่พวกเราจะรู้ตัวพวกเราก็ขึ้นมาถึงหน้าผาใกล้กับคฤหาสน์แล้ว


 


ท่านพี่ปีนขึ้นไปอย่างเงียบๆจนไปถึงยอดจากนั้นเธอก็ไปนั่งตรงม้านั่งที่อยู่บนยอดหน้าผา


 


ท่าทีของเธอนั้นแตกต่างจากพี่สาวจอมวางมาดของฉัน


 


“[ข้าจะแต่งงานแค่กับคนที่สามารถตายด้วยกันกับข้าได้] คำพูดพวกนี้คือรากฐานสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้สินะครับ”


 


“….ถ้าข้าเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้, ข้าไม่รู้ว่าจะทำยังไง และในทางกลับกัน…..ข้าก็ไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกเจ็บปวดด้วย ข้าเป็นทหาร ข้าเตรียมใจตายเอาไว้แล้ว แต่ว่า….ข้าไม่สามารถยอมรับความตายของคนอื่นที่ไม่ใช่ทหารได้”


 


“นั่นคือเหตุผลที่ท่านพี่เตะดยุคไรน์เฟลด์ออกจากกองทัพสินะครับ?”


 


“เยอร์เกนเป็นคนเก่ง ข้าสามารถปล่อยให้เขาจัดการกองทัพหรือจะให้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของข้าก็ยังได้ แต่เขาไม่สามารถตายด้วยกันกับข้าได้ ข้าไม่สามารถปล่อยให้เขารู้สึกเจ็บปวดเหมือนที่ข้ารู้สึกได้”


 


“แต่ท่านพี่ก็ยังตัดสัมพันธ์กับเขาไม่ได้ เขาเป็นเพื่อนสนิทของท่านพี่ไม่ใช่หรอ?”


 


“….ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเขาคิดยังไงแต่จากมุมมองของข้า, เขาเป็นเพื่อนสนิท แต่ก็อย่างที่เจ้าว่า ข้าไม่ควรผูกสัมพันธ์กับเขา ข้า….ข้าถูกเขาตามใจมากเกินไป”


 


นี่คือสาเหตุที่เธอพูดแบบนั้นสินะ


 


จะบอกว่าไม่ถนัด, หรือว่ายังไงดี


 


บางทีเวลาของเธอน่าจะถูกหยุดไว้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน


 


เธอปิดกั้นใจจากทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความสำคัญแค่กับหน้าที่ของเธอในฐานะทหาร


 


ฉันไม่สามารถโทษเธอได้ ท่านพี่คือคนที่สนิทกับมงกุฎราชกุมารมากที่สุด เธอเฝ้ามองเขา, สนับสนุนเขา เหมือนที่ฉันทำกับลีโอ


 


ถ้าลีโอจากไป…..ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี?


 


นี่มันเป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ ฉันเองก็น่าจะทำตัวเหมือนกับท่านพี่


 


แต่ฉันจะทำยังไงหล่ะถ้ามีคนมาหยุดฉัน?


 


ท่านพี่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่มีที่จะไปแล้ว


 


“จะให้ข้าบอกว่าข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านพี่ก็คงไม่ได้ ข้ายังไม่เคยสูญเสียคนสำคัญเลย มงกฎราชกุมารเป็นคนที่ข้ามองจากข้างล่างแต่ความสัมพันธ์ของเราในฐานะครอบครัวนั้นตื้นเขิน ข้ามีแค่ท่านแม่กับน้องชายเท่านั้น ยังไม่เคยมีคนสำคัญของข้าที่ถูกพรากไป แต่ข้าก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างที่ข้าสามารถพูดได้”


 


“อะไรหล่ะ….?”


 


“ข้าคิดว่าท่านพี่เป็นคนในครอบครัว คริสต้าก็คงจะคิดแบบนั้น, ท่านแม่เองก็เช่นกัน, และบางทีลีโอก็น่าจะยังคิดแบบนั้น นี่คือสาเหตุที่การใช้ชีวิตของท่านพี่ทำให้เข้าเศร้า ข้าไม่คิดว่าท่านพี่จะค้นพบความสุขได้ถ้าท่านพี่ยังใช้ชีวิตแบบนี้”


 


“ข้าไม่ได้มองหาความสุข ความสุขที่ข้าวาดฝันเอาไว้หน่ะ…..มันพังทลายไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว”


 


“ลีโอจะสร้างความสุขขึ้นมาใหม่ให้ท่านพี่เอง เพราะฉะนั้นช่วยมองไปที่อนาคตข้างหน้าด้วยเถอะครับ, ท่านพี่”


 


มันไม่มีพลังการโน้มน้าวแฝงอยู่ในคำพูดพวกนี้


 


มันเป็นแค่การโฆษณาว่าลีโอที่พึ่งเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดนั้นจะสามารถสร้างอุดมคติที่ดีกว่ามงกุฎราชกุมารที่จากไปได้


 


ลีโอมักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับมงกุฎราชกุมารและตัวเขาเองก็พยายามที่จะเป็นแบบนั้น


 


อย่างไรก็ตาม, ไม่มีใครเคยพูดว่าเขาสามารถเทียบกับมงกุฎราชกุมารได้ ลีโอในตอนนี้เป็นเหมือนกับเวอร์ชันที่รองลงมาจากเขา


 


แต่ว่า


 


“ข้าจะชดเชยในส่วนที่ลีโอขาดไป พวกเราสามารถก้าวข้ามได้แม้กระทั่งพี่ชายคนโตสุดของเรา พวกเราจะแสดงให้ท่านพี่เห็นบางสิ่งที่ดียิ่งกว่าอนาคตในอุดมคติที่ท่านพี่วาดฝันเอาไว้กับเขา เพราะฉะนั้นช่วยลองเปิดใจดูอีกซักครั้งเถอะนะครับ”


 


“….เจ้าโตขึ้นนะ แต่อุดมคติที่ข้าวาดฝันเอาไว้กับพี่ใหญ่มันใหญ่กว่าที่เจ้าคิดเอาไว้มากรู้ไหม?”


 


“ถึงงั้นข้าก็จะลองดูซักตั้งครับ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็จ้องตาของท่านพี่ลีเซ


 


สายตาของเธอนั้นแตกต่างจากปกติ


 


พวกมันคือความสงบสุข


 


“……การได้เห็นน้องชายโตขึ้นนี่มันเป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆนะ”


 


“งั้นหรอครับ? ถ้างั้นท่านพี่อาจจะรู้สึกแปลกกว่านี้ก็ได้นะครับถ้าได้เห็นลีโอ หมอนั่นเองก็โตขึ้นเหมือนกัน ทุกคนเติบโตขึ้นตั้งแต่ตอนที่มงกุฎราชกุมารจากไป ดยุคไรน์เฟลด์เองก็เหมือนกัน สำหรับผู้ชายที่พยายามจะกลายเป็นคนที่เหมาะสมกับท่านพี่อย่างเอาเป็นเอาตายนั้นมันไม่มีทางที่จะเป็นกันง่ายๆหรอกครับ ข้าไม่ได้สนหรอกว่าท่านพี่อยากแต่งงานกับเขารึเปล่าแต่ท่านพี่ก็ไม่ได้เกลียดเขาใช่ไหมหล่ะครับ?”


 


“นั่นสินะ….เขาคือคนที่ทุ่มเทเพื่อข้าอย่างมาก ข้าคิดว่าข้าค่อนข้างชอบเขาอยู่ แต่ก็แน่นอนว่า, ข้าไม่ได้มองเขาในฐานะเพศตรงข้ามหรอกนะ”


 


“ถ้างั้นก็ไปบอกเขาแบบนั้นแหล่ะครับ ถึงยังไงการไปตัดสัมพันธ์กับเขาแบบนี้มันก็น่าเสียดายนะครับ”


 


“ก็จริงอยู่แต่ว่า…..”


 


ท่านพี่ดูกังวล


 


อย่าบอกนะว่า


 


“ท่านพี่รู้สึกอึดอัดใจสินะครับ?”


 


“ก, ก็แน่หล่ะสิ, มันน่าอึดอัดอยู่ไม่ใช่รึไง!? ข้าพึ่งจะพูดแบบนั้นกับเขาไปนะ? แล้วตอนนี้ถ้าไปเจอเขาจะให้ข้าพูดยังไงหล่ะ!?”


 


“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ ถ้าท่านพี่จริงใจกับเขา, ข้ามั่นใจว่าคนๆนั้นคงไม่ถือสาอะไรหรอก”


 


“แต่ข้าถือ! ข้าไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง! เจ้าต้องไปพูดกับเขาแล้วบอกเขาในสิ่งที่ข้าพูด! นี่แหล่ะคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”


 


“ท่านพี่นี่เป็นตัวปัญหาจริงๆเลยนะครับ…..”


 


“เจ้าว่าไงนะ? ถ้าเจ้าเป็นน้องชายของข้าเจ้าก็ควรพยายามช่วยพี่สาวของเจ้าสิ! ในเมื่อเจ้ายื่นมือช่วยเยอร์เกน, ข้าก็คงไม่ยอมให้เจ้าปฏิเสธข้าหรอกเข้าใจไหม!?”


 


เห้อ, ฉันควรช่วยเยอร์เกนเรื่องคำขอแต่งงานของเขาแต่มันมากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย


 


ถ้าเป็นเยอร์เกนหล่ะก็แค่ท่านพี่บอกว่า ‘ขอโทษนะ, ข้าพูดแรงไปหน่อย’ เขาก็คงจะน้ำตาแตกด้วยความสุขในทันที แต่ดูเหมือนว่าศักดิ์ศรีของเธอจะไม่ยอมให้เธอพูดแบบนั้นสินะ


 


ว่าแล้วเชียว, เธอนี่มันตัวปัญหาจริงๆ


 


เอาเถอะถึงแม้มันจะแค่เล็กน้อย, แต่ก็ยังดีที่ท่านพี่เริ่มกลับมาเป็นตัวเองแล้ว


 


ค่อยๆจัดการเรื่องนี้ไปละกัน ถึงยังไงเรื่องแบบนี้รีบไปก็ไม่ดี


 


ในขณะที่ฉันกำลังคิดแบบนั้น, ก็มีคนๆนึงขึ้นมาบนหน้าผา


 


“หืม? เจ้าเป็นพ่อบ้านของดยุคไรน์เฟลด์ไม่ใช่หรอ?”


 


“ในที่สุดข้าก็เจอพวกท่านซักที! ม, มีรายงานเข้ามาหาพวกท่านทั้งสองคนครับ! มีสัญญาณไฟสีม่วงถูกจุดขึ้นจากทางใต้ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องบางอย่างที่น่าจะคุกคามทั้งจักรวรรดิ!”


 


สัญญาณไฟสีม่วงคือสัญญาณของภัยฉุกเฉินระดับสูงสุด ในตอนที่จุดมันขึ้นมา, มันก็จะถูกส่งต่อไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิผ่านสถานีที่ติดตั้งเอาไว้ตามที่ต่างๆ


 


มันคือสัญญาณที่เคยใช้ในตอนที่มงกุฎราชกุมารตายในสนามรบเมื่อสามปีก่อน


 


และตอนนี้สัญญาณนั้นก็ถูกจุดขึ้นมาจากทางใต้


 


“ลีโอ…..?”


 


ฉันหันไปมองทางใต้โดยไม่รู้ตัว


 


มันเหมือนกับเมื่อวันนั้นเลย


 


ดูเหมือนว่าจุดเปลี่ยนของโชคชะตามักจะเข้ามาในตอนที่ไม่ทันได้เตรียมตัวตลอดสินะ


 


ด้วยกันกับท่านพี่, พวกเราก็เริ่มวิ่งออกไปพร้อมกัน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม