Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi 16-30

 ตอนที่ 16 ค่าชดเชยของแผนการ

 


ฉากที่เขาเห็นในตอนที่เคลื่อนย้ายมาก็คือเอลน่ากำลังต่อสู้กับศัตรูที่ดูเหมือนกับแวมไพร์สองคน


 


สำหรับฉากนี้, เขาไม่ได้ประหลาดใจอะไร


 


สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือว่าฟีเน่อยู่ใกล้ๆด้วย


 


เธอกำลังแหงนหน้าอยู่ตลอดในขณะที่วิ่งขึ้นหอนาฬิกา


 


จากนั้นในตอนที่เธอเห็นเอลน่าปัดขลุ่ยออกจากมือของหนึ่งในแวมไพร์ได้, เธอก็ยื่นมือออกมาแล้วรับมันเอาไว้


 


ในตอนที่เขาเห็นแบบนั้นเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว


 


เพื่อให้ดิ่งลงมาด้วยความเร็วสูงสุด, เขาจึงใช้เวทมนตร์มากที่เท่าจะทำได้เพื่อลงไปให้ฟีเน่เหมือนกับลูกอุกกาบาต


 


แวมไพร์ที่ทำขลุ่ยตกนั้นได้ทำลายหอนาฬิกาทิ้งแล้วฟีเน่ก็กระเด็นตกลงมา


 


ในตอนนั้น, ฟีเน่ไม่ได้ยื่นมือไปหาเอลน่าแต่โยนขลุ่ยไปให้เธอแทน


 


สีหน้าของเธอในตอนที่กำลังร่วงนั้นดูพึงพอใจ ซึ่งเขาเกลียดสีหน้าแบบนั้นดังนั้นเขาจึงเร่งความเร็วขึ้นอีก


 


“นังเด็กนี่!!”


 


แวมไพร์ปล่อยกระสุนเวทมนตร์ใส่เธอ


 


ในตอนที่ฟีเน่กำลังจะโดนนั้นเอง, เขาก็กันมันเอาไว้ได้แล้วกอดเธอกลางอากาศ


 


พอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของเธอ, เขาก็โล่งอก เขาทำได้ เขามาช่วยเธอได้ทันเวลา


 


นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นตระหนกที่สุดที่เขาเคยประสบมาในช่วงนี้เลยก็ว่าได้


 


และ…..เขาก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้มานานมากแล้ว


 


“หนอย….แกสามารถยกเลิกกระสุนเวทมนตร์ของข้าได้, นี่แกเป็นใครกันแน่…….? บอกชื่อมาซะ!!”


 


“…..นักผจญภัยภายใต้สังกัดกิลด์สาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิ, นักผจญภัยแรงค์ SS, ซิลเวอร์….ข้ามาที่นี่เพื่อเอาชนะเจ้า”


 


ความโกรธแฝงอยู่ในน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังของเขา


 


นี่คือคำปฏิญาณ เขาจะไม่มีวันปล่อยให้ศัตรูหนีไปได้


 


“ทะ, ท่านซิลเวอร์….!?”


 


“….อย่าฝืนตัวเองสิ”


 


“ข้าขอโทษจริงๆค่ะ….ข้าจะไม่ทำเรื่องสิ้นคิดแบบนี้อีกแล้—….”


 


“….เอาไว้ค่อยคุยกันที่หลัง แต่เอาเถอะ….ทำได้ดีมาก ที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการเอง”


 


ในตอนที่เขาลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน, แก้มของฟีเน่ก็ถูกย้อมด้วยสีแดง


 


เขาพาฟีเน่ที่กำลังเขินอยู่ไปส่งที่พื้นและเงยหน้ามองแวมไพร์ที่อยู่บนฟ้า


 


ในหมู่พวกแวมไพร์, มีแค่สองคนเท่านั้นที่จะวางแผนการชั่วร้ายใหญ่ระดับนี้ได้


 


แวมไพร์นอกรีดที่กิลด์ตั้งค่าหัวเอาไว้ ค่าหัวระดับคลาส S, พี่น้องแซมกับดีน


 


“ท่านซิลเวอร์! โชคดีนะคะ…..”


 


“อา, ไว้ใจได้เลย”


 


หลังจากที่ตอบเธอ, เขาก็บินขึ้นไปบนฟ้าในทันที


 


ทั้งแซมและดีนต่างก็จ้องมาที่เขาด้วยความระมัดระวัง


 


เอาเถอะ, มันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเงื่อนไขในการได้เป็นนักผจญภัยแรงค์ SS ก็คือการเอาชนะมอนส์เตอร์คลาส S หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, เขาเคยเอาชนะสิ่งที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาหรือแข็งแกร่งกว่ามาแล้ว


 


“ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่านักผจญภัยแรงค์ SS จะโผล่มาที่นี่….ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ”


 


“หนอย! มีตัวปัญหามาเพิ่มอีกคนแล้ว! แกหน่ะ!!, อย่ามาขัดขวางแผนการของท่านพี่นะ”


 


คนตัวเล็กกว่าที่ตะโกนออกมาคนเป็นน้องชายที่ชื่อแซมสินะ


 


พูดอีกนัยนึงก็คือ, คนที่แข็งกว่านั้นก็คือพี่ชาย


 


“ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกันแหล่ะ ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะกลับตัวกลับใจตั้งแต่ตอนที่กิลด์ตั้งค่าหัวแล้วนะ ถึงยังไงถ้าพวกเจ้าก่อเรื่องขึ้นมานักผจญภัยแรงค์ SS ก็คงจะมาไล่ล่าพวกเจ้าอยู่แล้ว สงสัยคงเหนื่อยกับการใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวแล้วสินะ?”


 


“อย่ามาทำเป็นเล่นกับพวกข้านะ! พวกข้าก็แค่รู้จักระวังตัวเฉยๆ!”


 


“แต่ดูเหมือนความอดทนของเจ้าจะหมดแล้วนะ กองกำลังรักษาการณ์กับอัศวินจะจัดการกับพวกมอนส์เตอร์, และในเมื่อข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว, แผนการของพวกเจ้าก็คงจะจบสิ้นแล้วหล่ะ”


 


“เหอะ! คิดว่าตัวเองชนะแล้วรึไง? ถึงเจ้าจะชิงขลุ่ยไปได้แต่มันจะทำไมหล่ะ? มอนส์เตอร์ยังคงอาละวาดอยู่, ถ้าพวกข้าเอาชนะเจ้ากับยัยผู้กล้าได้มันก็จะเป็นชัยชนะของเรา”


 


พวกนี้คิดอะไรอยู่เนี่ย


 


พวกมันอยากจะสู้กับเราแล้วก็เอลน่าพร้อมกันหรอ?


 


ช่างน่าประหลาดจริงๆ, เขาเหลือบมองเอลน่า เธอมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย


 


“เจ้ากำลังดูถูกข้าสินะ ขนาดพวกนั้นร่วมมือกันยังรับมือกับข้าไม่ค่อยไหวเลย”


 


“เจ้าต่างหากหล่ะที่กำลังดูถูกพวกข้า! พวกข้ายังไม่ได้เอาจริงเลย!”


 


“ถ้างั้นก็มาเลย! ข้าจะทำลายพวกเจ้าด้วยชื่อของแอมส์เบิร์ก!”


 


“ไม่, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเครื่องติดอยู่แต่คนที่จะโค่นพวกมันคือข้าต่างหาก”


 


เขาพูดในขณะที่มองเอลน่าที่กำลังตั้งท่าดาบด้วยความเยือกเย็น


 


พอได้ยินแบบนั้น, เอลน่าก็หันมาหาเขา


 


เธอขมวดคิ้วและสีหน้าของเธอก็กำลังบอกว่าเธอไม่เชื่อเขา นี่มันไม่ใช่สีหน้าที่เหมาะกับเด็กผู้หญิงอีกแล้ว


 


“ซิลเวอร์หรอ? ข้าไม่รู้หรอกนะว่าหูของเจ้ามีอะไรผิดปกติรึเปล่าแต่ข้ารู้สึกเหมือนเจ้าบอกว่าเจ้าอยากจะขโมยเหยื่อของข้าใช่ไหม?”


 


“ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าพูดแบบนั้น หูของเจ้านั่นแหล่ะมั้งที่ผิดปกติ ถ้าเจ้าเป็นอัศวินก็ไปคุ้มกันองค์จักรพรรดิสิ เดี๋ยวข้ารับมือกับศัตรูเอง”


 


“นี่เจ้า! ความหมายมันก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ! เจ้าต่างหากหล่ะที่ควรจะถอยไป! ข้าสู้กับพวกมันก่อนนะ!”


 


“ตอนนี้รอบตัวจักรพรรดิไม่ปลอดภัยไม่ใช่รึไง?”


 


“มันเป็นคำสั่งจากองค์จักพรรดิ! และข้าก็ไม่สามารถยกโทษให้พวกมันได้! พวกมันพูดคำที่ข้าเกลียดที่สุดออกมา! ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวเอง…..ถอยไปซะไม่อย่างนั้นข้าจะจัดการเจ้าด้วย”


 


น่ากลัวชะมัด


 


นี่มันเครื่องติดสุดๆเลยไม่ใช่หรอ พวกนั้นพูดอะไรกับเธอเนี่ย? จริงๆเลย


 


คิดว่าให้ตามไปช่วยลีโอจะดีกว่าแท้ๆ


 


“หา! ว่างมากสินะ ผู้กล้ากับนักผจญภัยแรงค์ SS อยู่ด้วยกันมันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ? ไม่เข้าใจรึไงว่าสถานการณ์จะได้ดีขึ้นแล้วจะได้สูสีกันด้วย?”


 


“สูสีหรอ? ฝั่งเจ้าด้อยกว่าเห็นๆเลยไม่ใช่รึไง”


 


“ซิลเวอร์ เจ้าไม่รู้สถานการณ์ข้างล่างเลยหรอ? รู้ไหมแม้กระทั่งตอนนี้จักรพรรดิอาจจะถูกจัดการไปแล้วก็ได้? การที่ผู้กล้าตรงนั้นมาสู้กับพวกเรามันก็ช่วยไม่ได้หรอก แกไม่ไปช่วยเขาแทนหล่ะ? ถ้าแกเป็นนักผจญภัยของจักรวรรดิ, จักรพรรดิจะต้องให้ความสำคัญกับอย่างแน่นอนถูกไหม?”


 


ข้างล่างนั้นกำลังเสียเปรียบอยู่จริงๆ


 


การให้หนึ่งในพวกเขาลงไปช่วยข้างล่างคงจะเป็นการดีกว่า ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้หล่ะก็นะ


 


อย่างไรก็ตาม, ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะเข้าใจผิดใหญ่แล้ว


 


“ข้าไม่ได้เป็นคนของจักรวรรดิ ข้าเป็นคนของกิลด์ นักผจญภัยจะทำงานเพื่อปกป้องผู้คนทั่วทวีปนี้แต่พวกเราไม่ได้ถูกบังคับให้ปกป้องประเทศชาติ ถึงยังไงพวกเราก็ไม่ได้รับเงินจากประเทศอยู่แล้ว พูดตามตรง, มันไม่สำคัญกับข้าหรอกต่อให้ชีวิตของจักรพรรดิต้องมาจบลงที่นี่ก็ตาม”


 


“อะไรนะ?”


 


“ถ้าเจ้าไม่อยากให้เขาตายเจ้าก็ต้องให้คนอื่นไปปกป้องเขา ข้ามาที่นี่เพื่อปกป้องเมืองนี้และชาวเมือง, ไม่ใช่ผู้มีสิทธิพิเศษ ข้าปกป้องผู้คนของประเทศนี้ไม่ใช่ตัวประเทศ มันต้องมีพวกที่ใช้ชีวิตอยู่โดยไม่เสียเงินภาษีหรือพวกที่ทำสัญญาเพื่อให้ได้ตำแหน่งบางอย่างในประเทศนี้ไม่ใช่รึไง การปกป้องจักรวรรดิมันเป็นหน้าที่ของพวกราชวงศ์และอัศวินของพวกเขาต่างหาก ถ้าพวกเขาไม่ทำหน้าที่ตอนนี้การมีอยู่ของพวกเขาก็คงไม่มีค่าอะไรหรอก นี่คือสาเหตุที่ข้าไม่มีวันทำงานแบบนั้นให้พวกเขา”


 


“งานของพวกเขาหรอ?”


 


ดีนดูเหมือนจะสงสัยกับคำพูดของเขา


 


และเหมือนกับเพื่อตอบคำถามของเขา, พวกเขาก็ปรากฎตัวขึ้นในทันที


 


ที่ทางใต้ของเคียร์


 


มีเสียงเท้าย่ำพื้นดังมาจากอีกฝั่งนึงของฝูงมอนส์เตอร์ เหมือนกับเสียงฟ้าผ่า, เสียงนั้นค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นหนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์ก็ปรากฎตัวขึ้น


 


“นั่นมัน….!?”


 


“อัศวินทั้งหลาย! ข้า, เจ้าชายลำดับ 8 ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ ขอออกคำสั่ง! จงปกป้องเคียร์ให้ได้! เดินหน้า!!”


 


พอพูดจบ, ลีโอก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับอัศวินนับพันคน


 


มอนส์เตอร์ไม่สามารถตอบสนองกับการปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหันของอัศวินได้


 


แซมกับดีนพยายามจะเข้าไปหยุดพวกเขาแต่ก็ถูกซิลเวอร์กับเอลน่าเข้ามาขวางข้างหน้า


 


“ซิลเวอร์, เอาแบบนี้เป็นไง ข้าจะยกไอ้หมอนั่นให้เจ้า, ส่วนหมอนี่ข้าจัดการเอง”


 


“ก็ดูเป็นข้อตกลงที่ดีนะ เอาแบบนั้นก็ได้”


 


พอพวกเขาตกลงเรื่องเป้าหมายกันได้แล้ว, พวกเขาก็เตรียมตัวต่อสู้


 


ข้างใต้นั้น, อัศวินที่ลีโอพามาได้โหมกระหน่ำใส่มอนส์เตอร์เหมือนเกลียวคลื่น พวกมอนส์เตอร์ที่ระส่ำระส่ายมองไม่เห็นอะไรนอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันไม่มีทางเลยที่พวกมันจะตอบสนองได้ในตอนที่เจอโจมตีจากด้านข้าง


 


เอาเถอะ, หลังจากผ่านไปซักพักพวกมันก็คงจะมองว่ากำลังเสริมเป็นภัยคุกคามและทำการสวนกลับ แต่ตอนนี้น่าจะยังไม่เป็นอะไรหรอก


 


ในระหว่างนี้, มาจัดการไอ้เจ้านี่ให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า


 


ตอนนี้การปกป้องเคียร์ได้มาถึงฉากสุดท้ายแล้ว


 


“หนอย! ไอ้พวกมนุษย์โสโครก!!”


 


ดีนปล่อยกระสุนเวทมนตร์ออกมานับไม่ถ้วนในขณะที่เคลื่อนไหวไปรอบๆแต่เขาก็ไล่ตามดีนไปในขณะที่คอยสกัดกั้นเวทมนตร์ไปด้วย


 


ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างไสวเหมือนกับมีการจุดพลุ


 


ดีนดูเหมือนจะหงุดหงิดกับสถานการณ์ในตอนนี้


 


ดูเหมือนพวกนี้จะไม่ได้เอาจริงในตอนที่ต่อสู้กับเอลน่าเหมือนอย่างที่พูดไว้สินะ ตอนนี้พลังของมันเพิ่มขึ้นมาเยอะจริงๆ บางทีมันน่าจะเก็บพลังเอาไว้สำหรับตอนนี้แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกแล้วก็เลยหันมาสู้จริงจัง


 


ดีนเข้ามาหาเขาด้วยเขี้ยวอันคมกริบซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของแวมไพร์


 


ดีนคงมองแล้วว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ในการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์ และก็เป็นดังคาด, เขาใช้การต่อสู้ประชิดตัว


 


“ชิ!”


 


ซิลเวอร์เดาะลิ้นในขณะที่ใช้เวทมนตร์เพื่อขัดขวางดีนแต่เขาก็หลบมันได้อย่างสวยงาม


 


เขากำลังคิดว่าจะทิ้งระยะห่างแต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น, ดีนก็ต่อยเข้ามาที่ท้องของเขา


 


“อุ้ก!”


 


“หืม! เป็นอะไรไป!? นักผจญภัยแรงค์ SS!”


 


“หุบปากไปซะ!”


 


ดีนหลบเวทมนตร์ที่เขายิงสวนแล้ววนอ้อมหลังเขา


 


นี่มันไม่ดีแล้วไง เขาใช้เวทมนตร์ปกป้องร่างกายของตัวเอง


 


ในตอนนั้นเองดีนก็ผสานมือเข้าด้วยกันแล้วทุ่มใส่เขา


 


ความรู้สึกจากแรงกระแทกนั้นเหมือนกับเขาโดนค้อนทุบ, และเขาก็รู้สึกได้ถึงผลกระทบจากร่างกายของเขาในตอนที่ชนเข้ากับถนนในเมือง


 


“เจ็บชะมัด! อย่ามาทำอะไรตามใจชอบนะ…..”


 


“อะไรกัน? นี่เจ้าสู้ข้าตอนเอาจริงไม่ได้หรอเนี่ย?”


 


“มัวทำอะไรอยู่!? จริงๆแล้วเจ้าคงไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนักใช่ไหม!? หรือว่าเจ้าออมมืออยู่? คงยังออมมืออยู่สินะ!! เจ้าคิดว่าที่ทำอยู่มันเท่รึไง? พูดตรงๆมันโคตรเห่ยเลย!”


 


ถูกศัตรูดูถูก, แถมพรรคพวกของเขายังมาทำหน้าเหมือนเยาะเย้ยอีก


 


เอาจริงๆ, การเป็นนักผจญภัยนี่มันไม่ง่ายเลย


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าแค่ประมาณนี้ยังพอทนได้อยู่


 


เพื่อน้องชายคนสำคัญและอัศวินที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพื่อเขา เพื่อเหล่าทหารที่จะเพิกเฉยหรือหนีไปก็ได้แต่กลับเลือกที่จะยืนหยัดต่อสู้


 


และเพื่อผู้คนในเมืองนี้


 


ถ้ามันเพื่อพวกเขา ความเจ็บปวดระดับนี้มันยังทำให้รู้สึกคันไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


อย่างไรก็ตาม, อารมณ์ของเขามันก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน


 


“เห้อ! ข้ามันโง่จริงๆที่หลงกลัวคนอย่างเจ้าแล้วหลบซ่อนตัวอยู่ตั้งนาน! สุดท้ายแล้วเจ้ามันก็แค่มนุษย์หล่ะนะ!”


 


“แสดงว่าพวกแกซ่อนตัวอยู่จริงๆสินะ ดูเหมือนว่าถึงจะเป็นแวมไพร์ก็ตกต่ำเป็นเหมือนกันนะเนี่ย”


 


 


พอพูดจบ, เขาก็ลุกขึ้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


มันไม่มีแผลบนร่างของเขาเลย แน่นอนว่า, ไม่มีความเสียหายด้วย


 


ดีนรู้สึกประหลาดใจกับภาพนี้แต่เขาก็สังเกตุเห็นความผิดปกติรอบๆในทันที


 


“เหวออ!! แขนข้า!! ขะ, แขน?”


 


“เจ็บ! เจ็บ….หรอ? มันฟื้นฟูแล้ว?”


 


ไม่ใช่แค่กองกำลังรักษาการณ์ที่กำแพงของเคียร์เท่านั้นแต่ยังรวมถึงอัศวินที่ลีโอพามาโจมตีฝูงมอนส์เตอร์ด้วย, ตั้งแต่ตอนที่เขาปรากฎตัวขึ้นมานั้นก็ไม่มีใครตายเลย


 


ถ้ามีใครได้รับบาดเจ็บ, คนๆนั้นก็จะได้รับการฟื้นฟูในทันที


 


“หนอยแหน่ะแก…..!? อย่าบอกนะว่า, แกต่อสู้ในขณะที่สร้างบาเรียรักษาไปด้วย!?”


 


“ถูกแค่ครึ่งเดียวนะ”


 


สิ่งที่เขาร่ายนั้นไม่ใช่แค่บาเรียรักษา


 


ในตอนที่เขามาถึง, เขาก็สร้างบาเรียรักษาขึ้นมาและเริ่มต่อสู้ในขณะที่คงสภาพของบาเรียนั้นพร้อมกับเตรียมเวทมนตร์อีกเวทย์นึงด้วย


 


และตอนนี้การเตรียมเวทย์ที่ว่านั้นก็สำเร็จแล้ว


 


“ข้าต่อสู้พร้อมกับร่ายเวทย์บาเรียสองแบบ แต่ก็เอาเถอะ, อีกบาเรียนึงมันพึ่งสำเร็จหล่ะนะ”


 


ในตอนนั้นเอง,


 


วงเวทย์ขนาดยักษ์ก็ปรากฎขึ้นจากทั้งเมืองของเคียร์ จากวงเวทย์นั้นมีโซ่นับไม่ถ้วนพุ่งออกมาแล้วมัดดีนกับแซมเอาไว้


 


“เหวอ!? นี่มัน!!”


 


“บ้าชะมัด! ปล่อยข้าไปนะ!!”


 


“พวกแกทำลายไม่ได้หรอก โซ่พวกนี้สร้างขึ้นจากเวทย์คำสาปโบราณ คนที่ถูกโซ่นี้จับได้จะถูกสาปให้อ่อนแอลง เอาหล่ะ….พวกแกเตรียมใจพร้อมรึยังหล่ะ?”


 


ตอนที่เรากำลังยุ่งอยู่กับการสร้างบาเรีย, ก็อัดเรามาซะเยอะเลยนะ


 


ตอนนี้มันถึงเวลาลงโทษแล้ว


ตอนที่ 17 : ขาวกับดำ

 


โซ่ยังคงพันตัวพวกเขาต่อไป


 


ซึ่งนี่ก็หมายความว่าคำสาปที่ทำให้อ่อนแอนั้นจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


 


หลังจากที่จับพวกเขาได้, เขาก็ค่อยๆบินขึ้นไปบนฟ้า ตอนนี้พวกเขาอ่อนแอยิ่งกว่าแมลงซะอีก งานที่เหลืออยู่ก็มีแค่การกำจัดพวกเขาเท่านั้น


 


“ความแข็งแกร่งของแวมไพร์มาจากพลังเวทย์อันมหาศาล พวกแกอาจจะมีชีวิตยืนยาวแต่ถ้าไม่มีเวทมนตร์, ร่างกายภาพของพวกแกก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมนุษย์นักหรอก หรือพูดอีกอย่างนึงก็คือ, ถ้าข้าผนึกเวทมนตร์ของพวกแกซะตั้งแต่ตอนนี้ก็คงจะไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว”


 


“นี่!!?? ทำไมโซ่พวกนี้ถึงไล่ตามข้ามาด้วยหล่ะ!?”


 


“………..”


 


อุตส่าห์คิดว่าจะได้จบแบบเท่ๆแล้วเชียว, จริงๆเลยยัยนี่


 


พอหันไปมองเธอ, มันก็ดูเหมือนว่าโซ่กำลังไล่ตามเธออยู่จริงๆ บางทีมันก็แค่ทำตามหน้าที่ของมันในการจับกุมคนที่คิดไม่ดีกับเขา


 


แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องนั้น, ทำไมเธอยังไม่โดนจับตัวอีก? นี่เธอเป็นมนุษย์จริงๆรึเปล่า? เวทย์นี้เปิดใช้ในตอนที่เธอไม่ได้ระวังเขาเลยนะ


 


“ขอโทษที ดูเหมือนว่าพวกมันแค่พยายามจะจับคนที่คิดร้ายกับข้าหน่ะ”


 


ในตอนที่เขาใช้สายตาหยุดโซ่, เอลน่าก็หายใจหอบอย่างรุนแรงเหมือนกับหายใจไม่ทันแล้วจ้องมาที่เขา


 


พอเห็นแบบนี้เขาก็หัวเราะเยาะเธอ, แล้วใบหน้าของเธอก็ถูกย้อมด้วยสีแดง


 


“นี่เจ้า!! ทำไมถึงพยายามใช้โซ่จับพวกเดียวกันห้ะ!?”


 


“โซ่จะไม่ตอบสนองกับคนที่มองว่าข้าเป็นพวกเดียวกัน เจ้านั่นแหล่ะที่คิดร้ายกับข้าเอง ยิ่งไปกว่านั้น, เจ้าไม่น่าจะมีปัญหาในการจัดการกับโซ่ที่คนอย่างข้าเป็นคนร่ายไม่ใช่หรอ?”


 


“หนอย! นี่เจ้าเก็บความแค้นจากเมื่อกี้เอาไว้อยู่ใช่ไหม!? ช่วยเพลาๆกับความใจแคบของตัวเองหน่อยเถอะ! ข้าอุตส่าห์เป็นห่วงในตอนที่เห็นเจ้าถูกไอ้เจ้าแวมไพร์นั่นอัดเละ”


 


“เป็นห่วงก็เลยบ่นงั้นหรอ ถ้าเป็นแบบนี้คนรอบตัวเจ้าคงจะลำบากน่าดูนะ”


 


ตอนนี้ใบหน้าของเอลน่าแดงก่ำ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถอธิบายระดับความโกรธของเธอได้อีกแล้ว


 


การทำให้เอลน่าอยู่ในสภาพนี้มันก็สนุกดี, แต่ลูกค้าที่มาก่อนกำลังรอเขาอยู่


 


“ขอโทษที พอดีถูกยัยผู้กล้าที่ทำตัวไม่สมกับเป็นผู้หญิงตรงนั้นทำให้เสียเวลาหน่ะ ว่าแต่, พวกเราคุยกันถึงไหนแล้ว? อ่อใช่, ถึงตรงที่ถ้าแวมไพร์ถูกผนึกเวทมนตร์ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วใช่ไหม?”


 


“หนอยแหน่ะแก!! อย่ามาดูถูกพวกข้านะ!”


 


“ปล่อยข้าซะ! ถ้าข้าฉีกโซ่พวกนี้ได้คนอย่างเจ้าหน่ะข้าใช้เวลาขยี้ไม่ถึงวินาทีหรอก!!”


 


“ถ้าคิดว่าทำได้ก็เชิญลองให้เต็มที่เลย แต่เอาจริงๆต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่ไหวหรอกมั้ง เอาหล่ะตอนนี้…. มันถึงเวลาสำนึกผิดแล้ว มีอะไรจะสั่งเสียไหม?”


 


พอพูดจบ, เขาก็รวบรวมพลังเวทย์ปริมาณมหาศาลเอาไว้ที่มือ


 


มันคือการร่ายเวทย์ที่แตกต่างจากที่เขาใช้ก่อนหน้านี้คนละเรื่อง


 


พอเห็นแบบนี้, แซมกับดีนก็เริ่มเหงื่อตก


 


“เหวอ, เดี๋ยวก่อนสิ……! เจ้าไม่เห็นต้องแค้นอะไรพวกข้าขนาดนี้ก็ได้นี่! ถ้าเจ้ายอมปล่อยพวกข้าไปพวกข้าก็จะติดหนี้เจ้านะ!”


 


“แค้นหรอ…..มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ”


 


คนที่ยิงเวทย์ใส่ฟีเน่ก่อนหน้านี้ก็คือดีน แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วที่ทำให้เขารู้สึกอยากฆ่าเป็นพันๆครั้งในตอนที่เขานึกถึงความโกรธพวกนี้


 


ความจริงที่ว่าดีนยิงเวทย์ใส่เธอ ความจริงที่ว่าเธอต้องมาตกอยู่ในอัตราย ต่อให้ฟีเน่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนัก, แต่แค่นี้มันก็สมควรได้รับการลงโทษแล้ว


 


“พะ, พวกข้าไปทำอะไรให้เจ้ากัน!? เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพราะคำขอของกิลด์ใช่ไหม!? ถ้าเจ้าจะข้าพวกข้าก็ควรทำภายใต้คำสั่งของกิลด์สิ!”


 


“พวกแกก็น่าจะเข้าใจดีนะว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อน แกไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าเอาความแค้นมาจากไหน ยิ่งไปกว่านั้น, ต่อให้ข้าไม่ได้รับคำขอมาจากกิลด์, ข้าก็ยังคงเป็นนักผจญภัยอยู่ดี ความจริงนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรอกไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหน มันคือหน้าที่ของข้าในการปกป้องผู้คนในทวีปนี้จากพวกมอนส์เตอร์ ไม่ว่าจะมีคำขอหรือไม่ก็ตาม”


 


“พะ, พวกข้าไม่ใช่มอนส์เตอร์นะ!”


 


“กิลด์ระบุว่าพวกแกเป็นมอนส์เตอร์ แถมการกระทำของพวกแกก็ไม่เห็นต่างจากมอนส์เตอร์ตรงไหน เอาหล่ะ, ไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม? หรือไม่ถ้าพวกแกบอกตัวตนของคนที่สั่งพวกแกมาทำเรื่องแบบนี้ข้าอาจจะสามารถหยุดผผู้กล้าตรงนั้นให้พวกแกก็ได้นะ, สนใจไหม?”


 


ในขณะที่พูด, พลังเวทย์ของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


 


ไม่ว่าจะมองหรือคิดยังไง, มันก็เห็นได้ชัดว่าการโจมตีที่เขากำลังเตรียมอยู่นี้มันคือการโจมตีแบบทีเดียวตายแน่ๆ สองคนนี้ก็น่าจะเข้าใจดีว่าพวกเขาจะต้องตายแน่ๆถ้ารับการโจมตีนี้เข้าไป


 


อย่างไรก็ตาม, แม้ว่าแซมกับดีนจะมีสีหน้าหวาดกลัว, แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดออกมา


 


นี่พวกเขาปากแข็งหรือกลัวจนพูดไม่ออกกัน เขาไม่สามารถนึกภาพสองคนนี้หลงไหลหรือซื่อสัตย์กับคนอื่นได้เลย ดังนั้นมันต้องเป็นเพราะความกลัวแน่ๆ


 


ผู้บงการที่แม้แต่ค่าหัวคลาส S ยังกลัวงั้นหรอ


 


ใครกันนะ?


 


“จะทำอะไรก็รีบทำ ถ้าเจ้าไม่ทำข้าจะจัดการเองแล้วนะ”


 


“พะ, พวกข้าคือแวมไพร์ที่มีเกียรติ! อย่าคิดว่าพวกข้าจะยอมจำนนให้กับพวกมนุษย์เชียวหล่ะ!!”


 


“งั้นหรอ ถ้างั้นก็มาจบเรื่องกันเลย ข้าเตรียมการเสร็จแล้วด้วย”


 


คนที่ประหลาดใจกับคำพูดพวกนี้มากที่สุดก็คือซิลเวอร์


 


แวมไพร์อาจจะไม่ทันสังเกตุแต่ถ้ามีอะไรที่เอลน่าต้องใช้เวลาเตรียมหล่ะก็มันต้องเป็นสิ่งนั้นแน่ๆ


 


“อะ, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก!! อย่าบอกนะว่า, เจ้ากำลังจะเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์!?”


 


“ถ้าใช้แล้วทำไมหล่ะ?”


 


“แค่เวทมนตร์ของข้าก็พอแล้ว! นี่เจ้าคิดจะทำลายเมืองไปด้วยรึไง!?”


 


“ข้าจะปรับพลังลงมาเพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอกหน่า ถึงยังไง, ก็มีคนแถวนี้ช่วยหยุดศัตรูให้ข้าหล่ะนะข้าถึงสามารถอัญเชิญแบบระมัดระวังได้”


 


“หะ, เห้ย เห้ย…..”


 


“ข้าคือสมาชิกของบ้านแอมส์เบิร์ก การกำจัดศัตรูของจักรวรรดิคือหน้าที่ของข้า ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้พวกมันอย่างเด็ดขาด!”


 


เอลน่ายกมือขวาของเธอขึ้นฟ้า


 


จากนั้น


 


“จงรับฟังเสียงของข้าแล้วจุติลงมา! ดาบดวงดาราส่องสกาว! ตอนนี้, ผู้กล้าต้องการเจ้า!!”


 


แสงสีขาวส่องลงมาจากสวรรค์


 


เอลน่าคว้ามันเอาไว้แล้วด้วยประกายสีขาวมันก็เปลี่ยนเป็นดาบเงินสว่างจ้า


มันคือดาบที่ผู้กล้าใช้เอาชนะราชาปีศาจออโรร่าเมื่อห้าร้อยปีก่อน,  ว่ากันว่ามันถูกตีขึ้นมาจากหินดาวตก, มันคือดาบที่สามารถตัดทุกสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นมาได้และไม่ยอมรับความชั่วร้ายทุกรูปแบบ


 


เนื่องจากพลังอันมหาศาลของมัน, มันจึงถูกผู้กล้าบ้านแอมส์เบิร์กรุ่นแรกผนึกเอาไว้และมีแค่คนที่มีพรสวรรค์เท่านั้นถึงจะใช้ได้


 


พูดอึกนัยนึงก็คือ, การที่สามารถอัญเชิญดาบเล่มนี้มาได้นั้นก็หมายความว่าคนๆนั้นมีคุณสมบัติเป็นผู้กล้า


 


เอลน่าอัญเชิญดาบเล่มนี้มาได้ตั้งแต่อายุสิบสอง และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ผู้คนเรียกเธอว่าอัจฉริยะ


 


“!?”


 


สมกับเป็นดาบที่เคยเอาชนะราชาปีศาจมาก่อน, แค่ตัวตนของมันก็ยิ่งใหญ่มากแล้ว


 


ถ้าถูกใช้โดยคนที่มีความสามารถเหมือนกับเอลน่า, คนๆนั้นก็คงจะเรียกว่าไร้เทียมทาน มันคือเหตุผลที่บ้านแอมส์เบิร์กเป็นที่เกรงกลัวของประเทศอื่น ด้วยการใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาวนี้, แม้ว่าจะมาเป็นกองทัพก็กำจัดได้ด้วยการโจมตีเดียว แต่ในเรื่องนี้, ในอดีตมีอยู่เพียงไม่กี่ครั้งที่อัญเชิญดาบเล่มนี้ออกมาเพื่อสู้กับกองทัพ


 


ถึงยังไงการอัญเชิญดาบเล่มนี้ออกมานั้นก็เป็นสิ่งที่หาดูได้ยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนที่อัญเชิญมันออกมาอย่างไร้ประโยชน์เพียงเพราะรู้สึกหงุดหงิดคงจะมีแค่เอลน่าหล่ะมั้ง


 


“เอาหล่ะ ….เตรียมใจไว้ได้เลย”


 


“เห้อ….ถ้างั้นข้าจะยกให้เจ้าคนนึงแล้วกันนะ”


 


“เชอะ! พวกมันเป็นเหยื่อของข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว! ข้าต่างหากหล่ะที่ยกให้เจ้าคนนึง”


 


“ก็ได้, จะคิดแบบนั้นก็ตามใจ”


 


เขาถอยหลังกลับแล้วเริ่มร่ายเวทย์


 


เขาไม่ได้ร่ายยาวนักแต่มันเป็นการร่ายที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ใช้พลังเวทย์สูงสุดและรับรองว่าจัดการเป้าหมายได้แน่ๆ


 


[[ข้าคือผู้ช่วงชิง・การช่วงชิงดำมืดยิงกว่าสุดห้วงลึกปถพี・ความมืดดำมืดยิ่งกว่านรก・ความมืดล้ำลึกกว่าราตรี・ความมืดแห่งการรังสรรค์・ความมืดแห่งความตาย・จงนำพวกที่เกิดจากความมืดมิดกลับไปยังที่ของมัน—ความมืดนิรันดร์]]


 


มีลูกบอลสีดำขนาดยักษ์ปรากฎขึ้นเหนือศรีษะของเขา


 


ตรงข้ามกับความมืดที่กลืนกินทุกสิ่งนี้, แสงสีขาวจากดาบศักดิ์สิทธิ์ของเอลน่าก็ทอดยาวลงมาจากสวรรค์


 


ดำกับขาว ความมืดและแสงสว่าง


 


การโจมตีด้วยคุณสมบัติที่เข้ากันไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม, ผลที่ตามมาของพวกที่ถูกมันกลืนกินนั้นไม่ต่างกัน


 


พวกเขาได้ปรับทิศทางการโจมตีด้วย เพราะมันจะช่วยให้ง่ายขึ้นถ้ากำจัดมอนส์เตอร์ไปพร้อมๆกัน ณ ตอนนี้, ลีโอยังอยู่ระหว่างการเตรียมบุกทะลวงฝูงมอนส์เตอร์


 


เท่าที่เขาเห็น, ยังไม่มีใครอยู่ในฝูงมอนส์เตอร์เลย


 


แต่เพื่อความแน่ใจ, เตือนพวกนั้นสักหน่อยน่าจะดีกว่านะ


 


“ถ้ามีใครยังอยู่กลางฝูงมอนส์เตอร์, ให้รีบวิ่งออกมาซะ!”


 


“ข้ารับประกันไม่ได้นะว่าพวกเจ้าจะไม่โดนสิ่งนี้!”


 


พวกเขาพูดเตือนพร้อมกัน


 


บางทีคนที่อยู่ข้างล่างคงรู้สึกได้ถึงอันตราย, ลีโอกับทหารของเขาถอยห่างจากมอนส์เตอร์ในทันทีในขณะที่ทหารรักษาการณ์เองก็ปีนลงมาจากป้อมปราการแล้วเริ่มหนี


 


ณ ตอนนี้, พวกมอนส์เตอร์ซึ่งเป็นเป้าโจมตีต่างก็เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย


 


มีมอนส์เตอร์ที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆและไม่เคยได้รับอันตรายจากมนุษย์อยู่ในฝูงนี้ด้วย แต่ก็ขอโทษแล้วกันนะ ถึงพวกมันจะถูกใช้ประโยชน์มาอีกทอดนึง, แต่เขาก็ไม่สามารถมองข้ามความจริงที่ว่าพวกมันโจมตีมนุษย์ได้


 


เหมือนกับที่พวกมันต่อสู้กับมนุษย์เพื่อปกป้องพวกพ้อง, พวกเขาเองก็ต้องปกป้องมนุษย์เช่นเดียวกัน


 


สำหรับเรื่องนี้, ในใจของเขานั้นมีแต่ความรู้สึกผิด


 


อย่างไรก็ตาม, สำหรับสองคนที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นเขาไม่ได้รู้สึกผิดเลย


 


“เอาหล่ะ….กัดฟันให้ดีๆหล่ะ”


 


“ถึงเวลาชดใช้แล้ว!”


 


“เหวอออออ!?”


 


“อ้ากกกกกก!!??”


 


ลูกบอลสีดำกลืนกินดีนไปพร้อมกับฝูงมอนส์เตอร์


 


แสงจากดาบศักดิ์สิทธิ์ของเอลน่ากลืนกินแซมและกลืนฝูงมอนส์เตอร์ต่อด้วย


 


ด้วยความที่พวกเขาปล่อยออกมาพร้อมกัน, การโจมตีจึงลบล้างทุกสิ่งทุกอย่างและในที่สุด, ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย


 


ไม่มีเสียงร้องแห่งชัยชนะ ในตอนที่พวกเขามองลงไปดู, ก็เห็นจักรพรรดิกำลังมองมาที่พวกเขาอย่างเหนื่อยอ่อน บางทีเขาคงอยากจะพูดว่า ‘พวกเจ้าทำเกินไปแล้วนะ’ หล่ะมั้ง


 


แต่ก็ช่างเถอะ, ถึงยังไงคนที่จะโดนบ่นก็คงมีแค่เอลน่า


 


นั่นสินะ, ไม่เห็นเป็นอะไรเลย


 


“ฝ่าบาท! ครั้งนี้ข้าเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง……แต่ถ้าท่านเข็ดกับครั้งนี้แล้วก็อย่าทำเหมือนกับว่ากิลด์ไม่มีตัวตนอีกนะครับ”


 


“เห้อ…เข้าใจหล่ะ ขอบใจสำหรับความร่วมมือนะซิลเวอร์”


 


“ด้วยสิ่งนี้, กิลด์ก็จะสามารถรักษาหน้าได้, และพวกเขาก็น่าจะไม่มากดดันจักรวรรดิเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน”


 


จากนั้นเขาก็โค้งคำนับจักรพรรดิและเตรียมใช้เวทย์เคลื่อนย้าย, ในตอนนั้นเองเอลน่าก็เรียกเขา


 


“ซิลเวอร์”


 


“หืม? เจ้ามีอะไรจะบ่นข้าอีกรึไง?”


 


“ใช่, เยอะเลยหล่ะ แต่ข้าจะยังไม่พูดตอนนี้ ครั้งนี้เจ้าช่วยพวกเราเอาไว้ โดยเฉพาะฟีเน่, ขอบคุณที่ช่วยเธอนะ เด็กคนนั้น….ถึงยังไงเธอก็เป็นเพื่อนของเพื่อนสมัยเด็กของข้า”


 


“เพื่อนสมัยเด็กที่ว่าคงหมายถึงเจ้าชายไร้ค่าสินะ?”


 


“เจ้านี่นะ…..ขนาดเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับแวมไพร์ตัวนั้นแล้วเจ้ายังกล้าเรียกเขาแบบนั้นอีกหรอ? ถอนคำพูดซะ เพื่อนสมัยเด็กของข้าคือเจ้าชายที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ข้าจะไม่ยกโทษให้ใครก็ตามที่กล้ามาล้อเลียนเขาต่อหน้าข้า!”


 


เอลน่าชี้ดาบศักดิ์สิทธิ์มาที่เขา


 


สายตาของเธอนั้นบ่งบอกว่าเอาจริง


 


ดูเหมือนว่าเธออยากจะสู้กับนักผจญภัยแรงค์ SS เพื่อปกป้องชื่อของเขาจริงๆ


 


ในขณะที่ยิ้มให้เอลน่าอย่างขมขื่น, เขาก็ยอมอ่อนข้อ


 


“ขอโทษด้วย ถ้าเจ้าพูดถึงขนาดนั้นแสดงว่าการเรียกเขาว่าเจ้าชายไร้ค่าคงจะเสียมารยาทมากจริงๆ แต่ว่า, ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ มีคนอย่างเจ้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กนี่คงจะเหนื่อยน่าดู”


 


“หา!?”


 


“เอาเถอะ, ตอนนี้ข้าต้องขอตัวลาหล่ะนะ”


 


พอพูดจบ, เขาก็ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายหนีไปก่อนที่เอลน่าจะบ่น


 


เขามาถึงห้องห้องที่เซบาสกำลังรออยู่แล้วทิ้งร่างที่เหนื่อยล้าของเขาพร้อมกับถอดหน้ากากและเสื้อคลุมออก


 


“เหนื่อยหน่อยครับ องค์ชายจะรับชาไหมครับ”


 


“ขอบใจ….รบกวนหน่อยนะ….”


 


“ท่านดูเหนื่อยมากจริงๆนะครับ”


 


“อืม….ก็คิดเอาไว้แล้วหล่ะนะ……”


 


เวทย์เคลื่อนย้าย, บาเรียรักษา, บาเรียโซ่ต้องสาป, และการโจมตีสุดท้ายนั่นอีก เขาใช้พลังเวทย์ไปเยอะจริงๆ พูดตามตรง, พลังเวทย์ของเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว, สภาพร่างกายของเขาเองก็เช่นกัน


 


“ข้าเหนื่อยแล้ว….ของีบหน่อยนะ…..”


 


“เรื่องที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการให้เองครับ”


 


หลังจากดื่มชาไปเล็กน้อย, เขาก็เริ่มหลับคาเก้าอี้ เขาอยากจะไปหลับบนเตียงแต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะไม่ฟังเขาแล้ว


 


พอเห็นเขาในสภาพนี้, เซบาสก็มากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน


 


“ขอบคุณที่เหนื่อยยากครับ ท่านทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ, ท่านอาร์โนลด์”


 


“งั้นหรอ….แสดงว่าข้าพักได้โดยที่จะไม่ถูกลงโทษสินะ……”


 


เซบาสไม่ได้ชื่นชมเขาแบบนี้มานานมากแล้ว


 


เดี๋ยวความรู้สึกนี้, เขาก็ปล่อยให้สติหลุดลอยและผลอยหลับไปด้วยความสบายใจ


ตอนที่ 18: จอมวางแผนผู้ถูกรู้ทันแผนของตัวเอง

 


สามวันหลังจากเหตุการณ์นั้น


 


อาร์โนลด์เป็นคนสุดท้ายในบรรดาลูกๆของจักรพรรดิที่มาถึงเคียร์


 


แม้ว่าคนอื่นจะมาเข้าร่วมการต่อสู้ไม่ทัน, แต่พวกเขาก็ยังรีบกลับมาพร้อมกับพวกอัศวิน, ดังนั้นแทบจะทุกคนจึงกลับมาถึงเคียร์ประมาณช่วงเย็นของวันนั้น


 


“ดูเหมือนว่าท่านจะกลายเป็นตัวตลกอีกแล้วนะครับ”


 


“ช่างมันเถอะหน่า ปล่อยไปเถอะ”


 


ในขณะที่เขาพูดคุยกับเซบาส, เขาก็ลงจากรถม้าที่มาจอดหน้าคฤหาสน์


 


ที่นี่, เขาเจอคนกลุ่มนึงมารอต้อนรับเขาอยู่


 


“ท่านพี่……!”


 


“ไง, คริสต้า เป็นยังไงบ้าง?”


 


“มันน่ากลัวมากเลยค่ะ……”


 


ในขณะที่อุ้มตุ๊กตาเหมือนปกติ, เธอก็เดินเตาะแตะเข้ามากอดเขา


 


หลังจากลูบศรีษะของเธออยู่หลายครั้ง, เขาก็จับมือเธอเดินเข้าไปข้างใน


 


ที่นี่มีคนที่มารอต้อนรับเขาอยู่อีกคือฟีเน่, ลีโอแล้วก็


 


“ยินดีต้อนรับกลับนะ อัล”


 


“ยินดีต้อนรับกลับครับเจ้าชายอาร์โนลด์”


 


“อา, กลับมาแล้ว”


 


เอลน่ากับอัศวินของเธอกำลังตั้งแถวต้อนรับเขา


 


เท่าที่เขาเห็น, ดูเหมือนจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย ด้วยความรู้สึกโล่งอกในเรื่องนี้, เขาก็เดินไปหาลีโอ


 


“พวกเอลน่าหน่ะมันแน่นอนอยู่แล้ว, ว่าแต่นายไปทันใช่ไหม?”


 


“ครับ, ซิลเวอร์ช่วยข้าเอาไว้”


 


“สมกับที่เป็นนักผจญภัยแรงค์ SS จริงๆ เขาเป็นคนที่มีความสามารถใช้ได้เลยว่าไหม”


 


“อัล, คนแบบนั้นมันมีดีตรงไหนกัน?”


 


เอลน่าพูดด้วยสีหน้าขุ่นเคือง


 


เขาตอบกลับเธอด้วยการยักไหล่


 


“เขาก็ช่วยจักรพรรดิเอาไว้ได้ไม่ใช่หรอ?”


 


“ก็แค่ทำตามอารมณ์เท่านั้นแหล่ะ แบบเจ้านั่นหน่ะข้าดูออก”


 


“ถึงจะทำตามอารมณ์ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ถึงยังไงเขาก็ช่วยองค์จักรพรรดิเอาไว้ได้ ใช่ไหม, คริสต้า?”


 


“อื้ม”


 


“เห็นไหมหล่ะ”


 


“หนอย, ดึงองค์หญิงคริสต้าไปเป็นพวกแบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย!”


 


ด้วยการพูดคุยกันลักษณะนี้, พวกเขาก็เข้าไปในคฤหาสน์


 


ในระหว่างทาง, เขาได้สบตากับฟีเน่แล้วเธอก็คืนเขากลับมาด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน เธอกำลังบอกว่าให้เลื่อนการพูดคุยของเราไปก่อนสินะ? เขาตีความหมายจากรอยยิ้มของเธอได้ง่ายๆ, แล้วก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์ต่อพร้อมกับคริสต้าที่ไม่ยอมปล่อยมือเขา


 


มันเป็นเพราะท่านพ่อบอกเขาว่าจะเริ่มการประชุมในทันทีที่เขามาถึง


 


อย่างไรก็ตาม


 


“เจ้ามาสายนะอาร์โนลด์ มัวทำอะไรอยู่หล่ะ?”


 


“นั่นมันท่านพี่เอริคนี่ ข้ากำลังรอคนคุ้มกันอยู่เพราะข้าไม่มีอัศวินอยู่ช่วยคุ้มกันข้ากลับหน่ะ ข้าขอโทษด้วยที่มาสาย”


 


“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก ถึงยังไงเจ้าก็ไม่ได้รู้สึกผิดตั้งแต่แรกแล้วนี่, ใช่ไหมหล่ะ?”


 


ชายผมสีน้ำเงินสวมแว่น


 


เจ้าชายลำดับสองเอริคยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา


 


แม้ว่าจะสวมแว่นอยู่ดวงตาของเขาก็ยังคมกริบ มันเหมือนกับว่าเขามักจะตัดสินคุณค่าของทุกสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเขาเสมอ


 


บางทีเธอน่าจะกลัวสายตาคู่นี้, คริสต้าจึงเข้าไปหลบข้างหลังเขา


 


“ข้ารู้สึกผิด ไม่มากก็น้อยแหล่ะ”


 


“บางทีเจ้าก็ทำตัวไม่ชัดเจนนะ เจ้าไม่ได้รู้สึกผิดกับพวกเรา, ใช่ไหมหล่ะ? เจ้าชอบเป็นแบบนั้นตลอด”


 


“เอาเถอะ, ถ้าท่านพี่มองแบบนั้น, ข้าก็คงต้องบอกว่าใช่หล่ะนะ ถึงยังไงข้าก็ไม่ได้รบกวนใครอยู่แล้วนี่”


 


พวกที่เขารู้สึกผิดนั้นมีแค่คนที่ใกล้ชิดกับเขาเท่านั้น


 


เขาไม่ได้มีอารมร์รู้สึกผิดกับเอริค, พี่ๆของเขาหรือแม้กระทั่งพ่อของเขาเลยซักนิด


 


พอได้ยินคำตอบแบบนี้, เอริคก็ยิ้มออกมา


 


“เจ้าเองก็น่าสนใจอยู่นะอาร์โนลด์ การให้เอลน่าล่วงหน้ามาก่อนนั้นถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดี ต่อจากนี้ไปก็ขอให้ตัดสินใจให้ถูกต้องแบบนี้หล่ะ ถ้าเจ้าทำตัวให้ดูมีคุณค่ากับข้า, เหมือนลีโอนาร์ด, ข้าก็จะไม่ทำอะไรแย่ๆกับเจ้าหรอก”


 


“ท่านพี่พูดเหมือนกับว่าได้เป็นจักรพรรดิแล้วเลยนะ”


 


“ข้าคือจักรพรรดิองค์ต่อไป แน่นอนว่า, ไม่ว่าเจ้า, กอร์ดอนหรือซานดร้าจะพยายามหนักแค่ไหน, ก็ไม่มีทางเปลี่ยนความจริงนี้ได้หรอก จำเอาไว้ให้ดีหล่ะ”


 


พอพูดจบเอริคก็กวาดตามองพวกเขาทุกคนแล้วมาหยุดที่ลีโอ


 


ลีโอเองก็ไม่ได้หลบตาหนีแล้วเผชิญหน้ากับมันตรงๆ


 


ใช่แล้ว, เขาไม่ได้กลัวเลยต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นเอริคก็ตาม


 


“อย่าทำตัวเหลิงจนเกินไปหล่ะ”


 


“ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้ครับ ท่านพี่เอริค”


 


พวกเขายืนนิ่งในขณะที่เอริคหันกลับไปแล้วเดินลึกเข้าไปในคฤหาสน์


 


ตอนนี้มันคือการประกาศสงครามแล้ว


 


ครั้งนี้, มันพูดได้เลยว่าพวกเขาทั้งคู่ได้เพิ่มเครดิตให้ตัวเองด้วยการที่เขาส่งเอลน่าล่วงหน้ามาก่อนและลีโอก็นำทัพอัศวินเข้ามาช่วยต่อสู้


 


พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากซิลเวอร์ก็จริงแต่การกระทำต่างๆนั้นก็ยังคงเพิ่มเครดิตของพวกเขาอยู่ดี


 


สิ่งที่เอริคจะสื่อก็คือว่าถ้าพวกเขาทำอะไรเกินหน้าเกินตาแบบนี้อีกเขาจะขยี้พวกเขาทิ้ง


 


ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมองข้ามผู้ที่มีสิทธิได้เป็นจักรพรรดิมากที่สุดไม่ได้อีกแล้วสินะ แต่ถึงอย่างนั้น, มันก็ยังเป็นแค่คำเตือน เขายังลงมือกับพวกเขาไม่ได้ง่ายๆ


 


แต่ถ้าเกิดพวกเขาทำเกินหน้าเกินตาอีกเขาก็คงจะร่วมมือกับกอร์ดอนและซานดร้าเพื่อขยี้พวกเขาแน่ๆ ซึ่งถ้าเป็นเขาเองก็คงจะทำแบบนั้นเหมือนกัน


 


“ท่านพี่คะ…….”


 


“มีอะไรรึเปล่า? เจ้ากลัวหรอ?”


 


“ไม่เป็นไรนะ เขาไม่ทำอะไรเจ้าหรอก, คริสต้า แล้วก็แน่นอนว่า, พวกเราเองก็จะไม่เป็นอะไรเหมือนกัน”


 


พอเห็นคริสต้าพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม, พวกเขาก็เดินเข้าไปข้างในต่อ


 


“เอ้อ, ลีโอ ถ้าท่านพ่อถาม, ให้ตอบแบบนี้นะ”


 


ในระหว่างทาง, เขาได้กระซิบกับลีโอ


 


ลีโอเบิกตากว้างแต่เขาก็พูดต่อไปเพื่อทำให้มั่นใจว่าลีโอจะได้ยินอย่างครบถ้วน


 


“เข้าใจแล้วนะ?”


 


“จะไม่เป็นไรจริงๆหรอครับ?”


 


“อา, มีแค่นายเท่านั้นที่จะพูดแบบนั้นได้, แล้วมันก็เป็นการช่วยเจ้านั่นด้วย”


 



 


จักรพรรดิยังคงอยู่ที่เคียร์หลังจากจบเหตุการณ์นั้นและรับหน้าที่สั่งการในเรื่องการซ่อมแซมเมือง แต่ถึงอย่างนั้น, มันก็แค่ทำเป็นพิธี ความเสียหายจากสึนามิไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้น


 


ส่วนเรื่องที่พ่อของพวกเขาทำจริงๆก็คือการสืบสวนดูว่ามีคนอื่นเกี่ยวข้องกับการเกิดเรื่องวุ่นวายนี้อีกไหม


 


และบางทีอาจเป็นเพราะการสืบสวนเป็นไปได้อย่างราบลื่น, จักรพรรดิจึงรอให้เขามาถึงและเรียกรวมพวกลูกๆพร้อมกับอัศวินหลวงเพื่อจัดประชุม


 


“ทุกคน, ขอบใจนะ”


 


ในขณะที่พูดนั้น, สีหน้าของจักรพรรดิดูเหนื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด


 


เอาเถอะ, มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะเขาออกไปลุยในสนามรบด้วยตัวเอง, แถมเขาก็ไม่ได้หนุ่มๆแล้วและหลังจากที่จบเรื่องก็ยังต้องมาทำงานต่อโดยที่ไม่ได้พักอีก ยิ่งไปกว่านั้น, เขาต้องรู้แล้วแน่ๆว่าลูกชายโง่เง่าของเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วย


 


“ครั้งนี้ข้าได้เรียกรวมแค่คนที่จำเป็นต้องรู้เรื่องเท่านั้น สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดต่อไปนี้ถือเป็นความลับ เมื่อคืน, คาร์ลอสที่ได้รับบาดเจ็บหนัก, ฟื้นขึ้นมาแล้ว หลังจากที่ตรวจสอบหลักฐานที่รวบรวมมาในช่วงไม่กี่วันนี้, ข้าก็ยืนยันได้ว่าคาร์ลอสมีส่วนเกี่ยวข้องกับแวมไพร์สองตัวนั่น คาร์ลอสล่ามอนส์เตอร์ที่ถูกขลุ่ยที่ไอ้สองตัวนั้นครอบครองอยู่ล่อออกมาและมาถึงที่นี่เป็นคนแรก ยิ่งไปกว่านั้น, เขายังร่วมมือกับพวกแวมไพร์ในการโจมตีเคียร์ด้วยเงื่อนไขที่ว่าพวกนั้นจะถอยในตอนที่เขากลับมาและเพื่อเป็นการตอบแทน, เขาจะยกเลิกค่าหัวของพวกมันให้ ช่างเป็นการกระทำที่สิ้นคิดจริงๆ!”


 


“หรือจะให้พูดก็คือ….คาร์ลอสวางแผนล่อพวกมอนส์เตอร์ออกมาตั้งแต่แรกแล้วสินะครับ?”


 


“ใช่ ถึงแม้ว่าเขาจะถูกพวกแวมไพร์หลอกใช้แต่เขาก็ทำมันเพื่อประโยชน์ของตัวเอง, และทำให้ข้ารวมทั้งจักรวรรดิต้องตกอยู่ในความเสี่ยง ข้าไม่สามารถยกโทษให้กับเรื่องนี้ได้จริงๆ!”


 


ดวงตาของจักรพรรดิแดงก่ำ อาร์โนลด์คิดว่าเขาพยามอดกลั้นความโกรธของตัวเองอยู่


 


อย่างไรก็ตาม, เอริคได้คุกเข่าลงต่อหน้าจักรพรรดิ


 


“ฝ่าบาท ได้โปรดช่วยลดโทษให้เขาเถอะครับ ถึงจะโง่ยังไง, เขาก็ยังคงเป็นน้องชายของข้า”


 


นี่มันการโกหกหน้าตายชัดๆ


 


กอร์ดอนกับซานดร้าเองก็ทำตามเขา


 


แน่นอนว่า, พวกเขาไม่ได้กำลังอ้อนวอนให้คาร์ลอสเพราะความห่วงใย แล้วก็ใช่, มันไม่ได้สำคัญว่าจะมีใครสังเกตเห็นตรงจุดนี้รึเปล่า


 


ที่ทำแบบนี้ก็เพราะทุกคนรู้ว่านี่คือสิ่งที่จักรพรรดิต้องการ


 


ถ้าเขาอยากประหารคาร์ลอสจริงๆเขาก็คงจะทำไปแล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกประชุมแล้วแสดงความโกรธออกมาแบบนี้ มันเป็นเพราะจักรพรรดิไม่สามารถยกโทษให้เขาได้ด้วยตัวเอง


 


เขาจำเป็นต้องให้เอริคกับคนอื่นๆทำให้เขายกโทษให้คาร์ลอส ไม่อย่างนั้น, เขาก็จะไม่สามารถรักษาเกียรติภูมิของเขาในฐานะจักรพรรดิได้


 


เอาเถอะ, ถึงยังไงมันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฆ่าเขาอยู่แล้ว


 


หลังจากที่เขารับการโจมตีของแซม, คาร์ลอสก็เสียมือขวาและการควบคุมร่างกายช่วงล่างไป เขาจะต้องนอนติดเตียงไปตลอดชีวิต พอเห็นลูกชายเป็นแบบนี้, ในฐานะคนเป็นพ่อเขาคงไม่สามารถฆ่าลูกชายของตัวเองได้


 


อย่างไรก็ตาม, จะให้เป็นแบบนี้ต่อไปมันก็ไม่ดีเหมือนกัน


 


ถ้าทุกคนขอให้ไว้ชีวิตคาร์ลอสมันก็จะดูเหมือนว่าจักรพรรดิยอมใจอ่อนเพราะถูกอ้อนวอน ซึ่งมันคงจะเป็นผลร้ายต่อชื่อเสียงของเขา


 


“ลีโอนาร์ด จะพูดว่าเจ้าเป็นคนที่มีส่วนช่วยเหลือมากที่สุดก็ว่าได้ เจ้าคิดว่ายังไงกับเรื่องนี้?”


 


“ถ้างั้นข้าขออนุญาตพูดนะครับ ฝ่าบาทไม่ควรยกโทษให้เขาครับ เขาควรจะถูกตัดหัว”


 


ในตอนนั้นเอง, สีหน้าของทุกคนก็แข็งทื่อ


 


ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมันเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของคนที่ไม่น่าจะพูดแบบนี้มากที่สุด


 


ดูเหมือนจักรพรรดิเองก็ค่อนข้างประหลาดใจเหมือนกัน


 


“….ทำไมเจ้าถึงพูดอย่างนั้นหล่ะ? เขาเป็นน้องชายของเจ้าไม่ใช่หรอ?”


 


“ก่อนความเป็นพี่น้อง, เขาคือกบฎของจักรวรรดิ ถ้าฝ่าบาทยกโทษให้เขาที่นี่มันก็จะกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีได้ แล้วข้าจะอธิบายกับอัศวินที่ยอมเสียเลือดเนื้อเพื่อปกป้องพวกเราได้ยังไงครับ?”


 


“เรื่องนี้ไม่ได้นำไปบอกกับประชาชนหรือัศวิน มันแค่กับพวกเราที่นี่ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก”


 


“ถึงอย่างนั้น, ก็ยังยอมรับไม่ได้อยู่ดีครับ ฝ่าบาทควรจะซื่อตรงและแสดงให้พวกเขาได้เห็นด้วยการตัดหัวกบฎเพื่อแสดงให้พวกเขาดูว่าฝ่าบาทเป็นคนยุติธรรม แม้จะเป็นลูกของตัวเอง, ท่านก็จะตัดสินโทษสำหรับบาปของเขา แบบนี้จะทำให้ประชาชนวางใจได้ครับ”


 


ลีโอพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว


 


ตอนนี้ความคิดเห็นถูกแบ่งแล้ว ไม่ว่าเขาจะเลือกแบบไหน, เขาก็จะมีความชอบธรรม


 


พูดอีกนัยนึงก็คือ, ตอนนี้จักรพรรดิสามารถใช้มันเป็นข้ออ้างได้แล้ว


 


ถ้าเขาช่วยคาร์ลอส, มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดูถูกลีโอ และนี่ก็จะเป็นสาเหตุที่ต่อให้ลีโอเสมอกับกอร์ดอน, กระแสก็ได้ปรับเพื่อทำให้ลีโอได้เป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จแล้ว


 


ทุกอย่างพัฒนาไปตามความต้องการของจักรพรรดิ


 


จักรพรรดิที่รู้สึกพึงพอใจเหลือบมองอาร์โนลด์ พอเห็นสีหน้าไม่สนโลกของเขาแล้ว, เขาก็ทำหน้ามุ่ย


 


“เจ้ามีอะไรจะแนะนำไหม?”


 


“หมายความว่ายังไงครับ?”


 


“เห้ออ….เอาเถอะ ข้าจะเคารพความเห็นของเอริคกับคนอื่นๆแล้วไว้ชีวิตคาร์ลอส แต่ว่านะ, ลีโอนาร์ด ข้าเองก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความสำเร็จของเจ้าได้เหมือนกัน”


 


พอพูดจบ, จักรพรรดิก็เรียกให้ลีโอไปยืนข้างหน้าเขา


 


ลีโอเดินไปตรงนั้นแล้วคุกเข่าลงอย่างสง่างาม


 


จากนั้นจักรพรรดิก็ชักดาบออกมาแล้วยื่นให้ลีโอ


 


ลีโอรับมัน


 


“พอดีข้าไม่ได้สั่งให้เตรียมพิธีเอาไว้ก่อนเพราะฉะนั้นทนไปทั้งแบบนี้แล้วกันนะ ลีโอนาร์ด, ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้ชนะของเทศกาลนี้ คาร์ลอสหมดคุณสมบัติไปแล้ว, อาร์โนลด์ที่เป็นที่สองเองก็หมดคุณสมบัติเหมือนกัน ส่วนเจ้าก็ได้ที่สามเสมอกับกอร์ดอน แต่ว่า, ลีโอนาร์ดเจ้าได้พาอัศวินมากอบกู้เคียร์ ตอนนี้เจ้าได้รับความนิยิมทางฝั่งตะวันออก ลีโอนาร์ดต้องเป็นผู้ชนะที่นี่เพื่อลบล้างความไม่พอใจของผู้คน เจ้าคงจะเข้าใจใช่ไหม? กอร์ดอน”


 


“….ตามที่องค์จักรพรรดิเห็นสมควรครับ”


 


กอร์ดอนโค้งคำนับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน


 


เนื่องจากน้ำเสียงของเขาสั่น, แสดงว่าเขาต้องโกรธอยู่แน่ๆ


 


อย่างไรก็ตาม, เขาไม่สามารถขัดการตัดสินใจของจักรพรรดิได้ มันไม่มีปัจจัยให้ทำแบบนั้น


 


ในตอนนั้นเอง, เอลน่าก็ก้าวเข้ามายืนเบื้องหน้าจักรพรรดิ


 


“ฝ่าบาท, ข้าขอเรียกร้องอะไรหน่อยได้ไหมคะ”


 


“อะไรรึ?”


 


“ข้าอยากให้ช่วยยกเลิกตัดสิทธิเจ้าชายอาร์โนลด์ค่ะ เขาเป็นคนส่งพวกเราไปที่เคียร์ การกระทำของเขาสมควรได้รับการสรรเสริญ ความอับยศจากการถูกตัดสิทธินั้นไม่คู่ควรกับเขาค่ะ”


 


“พวกเราเองก็ขอร้องด้วยครับ, ฝ่าบาท!”


 


อัศวินของเธอคุกเข่าตามเอลน่า


 


จักรพรรดิหลับตา


 


จากนั้น


 


“อาร์โนลด์……การที่กำไลของเจ้าพังมันเป็นเพราะความผิดพลาดใช่ไหม?”


 


“ครับ ข้าบังเอิญทำมันพัง”


 


“ถ้างั้นก็คงเลิกตัดสิทธิไม่ได้ ถ้าเจ้าตั้งใจทำลายมันแล้วส่งเอลน่ามาหาข้ามันก็อีกเรื่องนึง แต่กฏก็คือกฏ ผู้ชนะจะเป็นลีโอนาร์ดเหมือนเดิม”


 


เอลน่ามองเขาเหมือนกับว่าเธอไม่อยากจะเชื่อการกระทำของเขาแต่เขาก็ไม่สนใจเธอ


 


ต่อให้เขาบอกว่าจงใจทำเพื่อส่งเอลน่ามาที่นี่, เขาก็ไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ดี


 


อย่างดีที่สุด, เขาก็คงจะได้รับคำชมมาบ้างแต่ก็เหมือนกับที่จักรพรรดิพูดก่อนหน้านี้, ลีโอนาร์ดต้องเป็นผู้ชนะเพราะความนิยมทางฝั่งตะวันออกของเขา


 


ไม่มีใครยอมรับชัยชนะของเขา


 


นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมถึงปล่อยให้เขาเป็นเจ้าชายโง่ที่บังเอิญทำกำไลพังก็ไม่เป็นไร


 


เขาคิดแบบนั้นแต่ว่า


 


“แต่ถึงอย่างนั้น, มันก็เป็นความจริงที่ข้าถูกเอลน่าช่วยเอาไว้ หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, ข้าถูกช่วยเหลือเพราะความผิดพลาดของอาร์โนลด์ และข้าก็จะมอบรางวัลให้สำหรับความผิดพลาดนั้น”


 


“เอ้ะ?”


 


“ข้าจะแต่งตั้งอาร์โนลด์เป็นรองทูต จงไปกับลีโอนาร์ดแล้วให้ความช่วยเหลือเขาซะ”


 


“….ทะ, ท่านพ่อ?”


 


“เรียกฝ่าบาทสิ, อาร์โนลด์”


 


“เอ่ออ….ข้า….ข้าไม่คิดว่าข้าจะมีทักษะขนาดนั้นนะครับ”


 


“เจ้าจะทิ้งทุกอย่างให้ลีโอนาร์ดทำก็ได้ แต่อย่างน้อยก็หางานที่ตัวเองทำได้แล้วทำมันเพื่อพิสูจน์ให้ข้าเห็นซะ เรื่องนี้จบแค่นี้ พรุ่งนี้ข้าจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกที ทุกคนไปพักผ่อนเถอะ”


 


พอพูดจบ, จักรพรรดิก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้


 


จากนั้นเขาก็ออกไป, แล้วเขาก็หันมามองเขาด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับสะใจที่ได้แกล้งสำเร็จ


 


ตาพ่อบ้านั่น, ตั้งใจนี่หว่า……!


 


หนอยย! เขาเล่นทำแผนการของเราเละเทะหมดเลย!?


 


ถ้าเรากับลีโอต้องออกจากจักรวรรดิทั้งคู่, ใครจะอยู่ที่นี่เพื่อชี้นำขุมอำนาจของเราหล่ะ!?


 


เอาจริงดิ!?


 


เขาตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ ในอีกด้านนึง, พวกคู่แข่งของเขาต่างก็มีสีหน้าประมาณว่า ‘สมควรโดนแล้ว’


 


นี่มันไม่ดีแล้วไง….. ถ้าเขาไม่ทำอะไรซักอย่าง, ขุมอำนาจของพวกเขาจะต้องพังในตอนที่พวกเขาไม่อยู่แน่


 


“แบบนี้ก็ดีเลยไม่ใช่หรอ! อัล”


 


“….”


 


“อัล? เป็นอะไรรึเปล่า?”


 


“ก็คิดเอาไว้แล้วหล่ะ, อย่ามาข้องเกี่ยวกับข้าอีกนะ……”


 


“ทำไมหล่ะ!?”


 


เขาเอามือก่ายหน้าผากแล้วส่งเสียงไล่เอลน่าที่กำลังดีใจ


 


อย่างไรก็ตาม, เขาเข้าใจดี มันไม่ใช่ความผิดของเอลน่า


 


เขาคิดเอาไว้แล้วว่าเธอจะขอให้ยกเลิกการตัดสิทธิเขา สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือการตอบสนองของพ่อ


 


เหตุผลที่ท่านพ่อทำแบบนี้ต้องเป็นเพราะการทำตัวไม่สนโลกของเราแน่ๆ เขาคงจะหงุดเพราะเขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเต้นอยู่บนฝ่ามือของเรา


 


นี่มันความผิดของเราเต็มๆ…..


 


การประชุมจบลงด้วยการที่เขาต้องเอามือก่ายหน้าผากเพราะความน่าขบขันของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น



 

 

 


ตอนที่ 19

 

หมายเหตุ:ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปผมขอเปลี่ยนใช้คำแทนตัวในบทบรรยายที่เกี่ยวข้องกับพระเอกว่า ‘ฉันหรือผม’ ตามต้นฉบับนะครับ พอดีตอนแรกคิดว่าใช้ ‘เขา’ หรือ ‘ชื่อตัวละคร’ จะดูสมกับเป็นบทบรรยายมากกว่า แต่พอมาปรับตลอดมันค่อนข้างใช้เวลา ผมเลยขอกลับมาอิงตามต้นฉบับดีกว่าครับ


*********************************************************************************


 


ตั้งแต่เรื่องวุ่นวายในครานั้นเวลาก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว ด้วยความที่มีเรื่องวุ่นๆมากมาย, จึงแทบไม่มีความเคลื่อนไหวในสงครามผู้สืบทอดที่สังเกตเห็นได้ชัดเลย


 


ในช่วงเวลานี้เอง, ฉันกับลีโอก็กำลังเดินทางไปเยี่ยมสถานที่แห่งนึง


 


สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าตำหนักใน


 


มันคือสถานที่ที่เหล่าสนมของจักรพรรดิใช้ชีวิตอยู่


 


มันตั้งอยู่ข้างหลังปราสาทดาบหลวง, ปราสาทสำหรับผู้หญิงที่ซึ่งมีแค่จักรพรรดิและผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่มีสิทธิเข้ามาได้


 


เหตุผลที่พวกเรามาสถานที่แบบนี้มีอยู่แค่เรื่องเดียว


 


นั่นก็คือมาเจอแม่ของพวกเรา


 


นี่เราไม่ได้เจอแม่มานานขนาดไหนแล้วนะ บางทีน่าจะซักสามเดือนได้ เอาเถอะ, นั่นคงจะมีแค่เราหล่ะมั้ง


 


ดูเหมือนว่าลีโอจะมาเยี่ยมเธอทุกครั้งที่เขามีเวลาว่าง เขาช่างเป็นลูกชายที่กตัญญูจริงๆ


 


“ท่านแม่, อัลกับลีโอมาเยี่ยมครับ”


 


“เข้ามาๆ, แม่อบขนมเอาไว้ด้วย มากินสิ”


 


คนๆเดียวที่สามารถพูดคุยกับลูกชายได้อย่างตรงไปตรงมาแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมาตั้งนานบางทีคงจะมีแค่แม่ของฉัน


 


เธอมีชื่อว่ามิทสึบะ เธอมีผมสีดำยาวและดวงตาสีดำ เธอดูสาวและสวยมากจนคนอื่นคงคิดไม่ถึงว่าเธอมีลูกชายสองคนที่โตเต็มที่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ในตอนที่อยู่กับเธอ


 


เธอเป็นนักเต้นจากตะวันออก, เธอคือตำนานที่พ่อคนนั้นตกหลุมรักในความงามและขอหมั้นในสถานที่ที่ได้เจอกันเลย เรื่องราวของพวกเขายังคงโด่งดังในเมืองหลวงของจักรวรรดิจนถึงทุกวันนี้


 


เอาเถอะ, ที่เป็นตำนานนั้นมันก็มาจากการที่พระราชาขอหมั้นเธออย่างรวดเร็ว แต่ว่าการอบรมลูกๆไม่เคยออกมาจากปากของเธอเลยมันจะไม่เป็นอะไรหรอ? เธอค่อนข้างแปลกในแง่นี้แต่ก็เอาเถอะ, มันก็ฟังดูสมกับเป็นแม่ของเราดี


 


อันที่จริง, แม่คนนี้ไม่เคยพูดเรื่องการอบรมกับจักรพรรดิด้วยซ้ำ


 


และต้องขอบคุณเรื่องนี้, คนอย่างฉันถึงถูกสร้างขึ้นมา, แต่เนื่องจากลีโอโตมาเป็นคนที่น่านับถือก็ดูเหมือนว่าจะไปได้ด้วยดีหล่ะนะ


 


พวกเราเข้ามานั่งที่โต๊ะที่จัดเตรียมเอาไว้แล้วยื่นมือหยิบขนม จากนั้น


 


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ, อัล”


 


“ครับ, นานจริงๆ ท่านแม่”


 


“มันเป็นเพราะเจ้าเอาแต่เที่ยวเล่นจนลืมแม่ใช่ไหมหล่ะ? หรือว่าเจ้าจะเจอคนที่ตัวเองรักแล้ว?”


 


“แบบแรกครับ”


 


“เห้อ, ช่างเป็นคำตอบที่น่าเบื่อจริงๆ รู้ไหมพวกเจ้าทั้งสองคนรู้จักกับผู้หญิงน้อยเกินไปแล้ว ช่วยแบ่งปันเรื่องราวน่ารักใสๆให้แม่ของพวกเจ้าฟังซักครั้งเถอะ”


 


บางครั้งก็คิดนะว่าคนๆนี้คงลืมไปแล้วว่าลูกชายของเธอเป็นเจ้าชาย


 


พักเรื่องของฉันเอาไว้ก่อน, มันคงจะเป็นข่าวใหญ่ถ้าลีโอมีคนรัก ถึงยังไงก็คงต้องมีคนสืบแน่ๆว่าใครเป็นคู่ของเขาหรือเธอคนนั้นมาจากตระกูลที่ดีรึเปล่า


 


ก็นะ, พวกเราถูกเลี้ยงดูในฐานะเด็กธรรมดาที่ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนั้น พวกเราถูกสอนเรื่องมารยาทพื้นฐานมาบ้างนิดหน่อยแต่นั่นคือทั้งหมดแล้ว


 


นโยบายการอบรมของเธอคือการปล่อยให้ลูกๆได้ทำในสิ่งที่ต้องการ ด้วยความที่แม่ของพวกเราเป็นแบบนี้, ดังนั้นต่อให้ฉันเจอคาบเรียนที่น่าเบื่อแล้วแอบโดด, เธอก็ไม่เคยโกรธพวกเราเลย อย่างไรก็ตาม, เธอมักจะบอกพวกเราว่าถ้าคิดว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอนาคตก็จงตั้งใจศึกษาเรื่องนั้น


 


พอตอนนี้มาคิดดูแล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเลย นี่เธอคิดว่าการอบรมเจ้าชายคืออะไรกัน?


 


ในส่วนของผลลัพธ์จากความเป็นอิสระของพวกเราก็คือ, คนโตกลายเป็นคนที่ไม่เก่งอะไรเลยในขณะที่คนน้องโตมาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม คงพูดได้ว่าวิธีการของเธอนั้นสามารถดึงเอาตัวตนของพวกเราออกมาได้อย่างสมบูรณ์


 


“แล้วทำไมครั้งนี้พวกเจ้าทั้งสองคนถึงมาด้วยกันหล่ะ?”


 


“ท่านแม่ ครั้งนี้, ข้าถูกแต่งตั้งให้เป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จแล้วท่านพี่ก็ถูกแต่งตั้งให้อยู่ข้างกายข้าครับ พวกเราคงต้องออกจากจักรวรรดิในอนาคตอันใกล้นี้ ดังนั้นพวกเราก็เลยอยากจะมาบอกให้ท่านรู้เอาไว้ก่อน”


 


“อะไรกัน? เป็นแบบนั้นหรอกหรอ? ถ้างั้น, ข้าขอของฝากเป็นของกินได้ไหม? เพราะถ้าพวกเจ้าเอาเครื่องประดับมาให้ข้าคงจะมีปัญหาเอาได้”


 


“เห้ออ…..”


 


แม้ว่าเธอจะมีนิสัยแบบนี้, แต่เธอก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักในได้เป็นอย่างดี


 


ตอนนี้, ตำหนักในเองก็อยู่ในระหว่างการแย่งชิงอำนาจ เห็นได้ชัดเลยว่า, แม่ของคนที่อยากให้ลูกได้เป็นจักรพรรดินั้นกำลังวางแผนการบางอย่างอยู่ แต่เนื่องจากสายตาของจักรพรรดินีและจักรพรรดินั้นจับจ้องมาที่ตำหนักใน, พวกเธอจึงเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ค่อยได้แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานที่แห่งนี้ก็จำเป็นต้องระวังตัวให้ดีเหมือนกัน


 


“ท่านแม่, ไม่กังวลหรอครับ?”


 


“เจ้าอยากให้ข้ากังวลหรอ? เจ้านี่เด็กจังเลยนะ, ลีโอ ข้าไม่คิดจะบอกลูกชายอายุสิบแปดปีของข้าหรอกนะว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่ถ้าองค์จักรพรรดิมอบหมายงานให้เจ้าทำ, ข้าก็คิดว่าเขาคงจะประเมินแล้วว่าเจ้ามีความสามารถพอที่จะทำเรื่องนั้นได้”


 


“เข้าใจแล้วครับ…. ถ้างั้นข้าก็จะทำงานของข้าด้วยความมั่นใจ”


 


“ในเมื่อท่านพ่อมอบหมายงานให้ข้าทำข้าก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถครับ”


 


“เอาที่เจ้าสบายใจเถอะ ถึงยังไงต่อให้ล้มเหลวเจ้าก็ไม่ถูกฆ่าหรอก”


 


แม่พูด, ในขณะที่จิบชา


 


ถ้าเป็นคนอื่นคงจะบอกกับพวกเราว่าห้ามล้มเหลวเด็ดขาดหรือไม่ก็นี่คือโอกาสที่จะทำให้เป็นที่ชื่นชอบขององค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน


 


ในขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้, เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู


 


ในตอนที่แม่ตอบรับ, คริสต้าก็โผล่มาอย่างคาดไม่ถึง


 


“อ้าว, คริสต้า เชิญจ้ะ”


 


“ท่านแม่คะ!”


 


ด้วยใบหน้าที่สดใสหาดูได้ยาก, คริสต้าก็วิ่งมาหาแม่แล้วขึ้นไปนั่งบนตักของเธอ


 


คริสต้าจัดตำแหน่งของเธอบนตักแม่แล้วจ้องของหวานที่อยู่บนโต๊ะ


 


ดูเหมือนเธอจะเข้าใจว่าของหวานพวกนี้ถูกเตรียมเอาไว้ให้พวกเรา


 


“ถ้าเจ้าอยากกินก็หยิบได้เลย ปกติอัลกับลีโอก็กินกันไม่เยอะอยู่แล้ว”


 


“ได้ใช่ไหมคะ? ท่านพี่อัล, ท่านพี่ลีโอ”


 


“อืม, กินเถอะ กินได้ตามที่เจ้าต้องการเลย”


 


“ข้าเองก็กินไปบ้างแล้วเพราะฉะนั้นพวกเรามากินด้วยกันเถอะนะ, คริสต้า”


 


“ค่ะ!”


 


การได้เห็นคริสต้าหยิบของหวานพวกนี้ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้จริงๆ


 


มันดูเหมือนกับว่าพวกเธอเป็นแม่ลูกกันจริงๆ


 


แม่ของคริสต้าจากไปตั้งแต่ตอนที่คริสต้ายังเด็ก ในตอนนั้นคนที่บอกว่าจะดูแลคริสต้าก็คือแม่ของฉัน


 


ตั้งแต่นั้นมา, คริสต้าก็นับถือแม่ของพวกเราเหมือนกับเป็นแม่แท้ๆของเธอ พอเห็นพวกเธอเป็นแบบนี้, มันก็ชวนให้คิดถึงจริงๆ


 


“จะว่าไป, เอลน่ามาหาเมื่อวันก่อน เธอมาขอโทษข้าเกี่ยวกับเรื่องอัล, นี่เจ้าไปทำอะไรหรอ?”


 


“ช่างมันเถอะครับ, เธอทำอะไรนั้นมันไม่สำคัญหรอก แต่ต้องขอบคุณเรื่องนั้น, ตอนนี้ข้าเลยอยู่ในตำแหน่งที่เป็นปัญหา”


 


“ท่านพี่นั่นแหล่ะที่เป็นตัวปัญหา—!”


 


คริสต้าใช้แขนของตุ๊กตากระต่ายของเธอชี้มาที่ฉัน


 


เห็นได้ชัดเลยว่า, ฉันกำลังถูกตุ๊กตาตำหนิ ในตอนที่ฉันขมวดคิ้วใส่เธอ, ทุกคนก็หัวเราะ


 


ช่วงเวลาอันแสนสงบสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


ในตอนที่คิดว่าใกล้จะได้เวลากลับนั้นเอง, แม่ก็ถามคำถามนึงขึ้นมาอย่างกระทันหัน


 


“อ้ะ, นั่นสินะ ข้าลืมถามเรื่องนี้เลย”


 


“เรื่องอะไรครับ?”


 


“พวกเจ้าคนไหนที่จะรับเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินเป็นเจ้าหญิงหรอ?”


 


“พรื่ดดด!!”


 


ลีโอกับฉันพ่นชาออกมาพร้อมกัน


 


พวกเรากำลังสำลักชาในขณะที่กำลังใช้ผ้าที่คริสต้ายื่นให้เช็ดปากอยู่


 


จู่ๆมาถามอะไรแบบนี้เนี่ย, ยัยแม่คนนี้


 


“ท่านแม่, พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับท่านฟีเน่หรอกครับ……”


 


“แต่มันผิดปกติไม่ใช่หรอที่พวกเจ้าทั้งคู่มีผู้หญิงเข้ามาในชีวิตแบบนี้? นี่แสดงว่า, เป็นของลีโอใช่ไหม?”


 


“ก็นะครับ, ผู้คนเขาพูดกันว่าพวกเขาดูเข้ากันดีมากเลย”


 


โยนเรื่องนี้ให้ลีโอดีกว่า


 


สีหน้าของลีโอเหมือนกำลังบอกว่า [ท่านพี่ทรยศข้าหรอ!?] หรือบ่นอะไรประมาณนี้แต่ช่วยรับเรื่องที่เป็นปัญหาแบบนี้ไปแทนฉันทีเถอะ


 


ในตอนที่ฉันคิดว่ามันได้เวลาขอตัวกลับแล้ว, การลอบโจมตีก็มาจากทิศทางที่คาดไม่ถึง


 


“ท่านแม่คะ ฟีเน่เป็นเพื่อนของท่านพี่อัลค่ะ”


 


“แหม! เป็นแบบนี้เองหรอกหรอ?”


 


“ใช่ค่ะ ฟีเน่สวยมากและเธอก็ดูเหมาะสมกับท่านพี่อัลมากเลยค่ะ”


 


“โถ่ โถ่”


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ…..”


 


ดูเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถดูถูกเธอได้เหมือนกันสินะ, ไม่อย่างนั้นแม่ของเราคงไม่มองมาที่เราด้วยสายตาน่าอึดอัดแบบนี้


 


นี่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังได้ยังไง, ยัยน้องสาวคนนี้นี่ ฟีเน่ดูเหมาะกับข้าหรอ? ถ้าเจ้ากระจายเรื่องนี้ไปในเมืองหลวงเจ้าได้ถูกหัวเราะเยาะแน่


 


“พวกเราก็แค่อยู่ด้วยกันบ่อยขึ้นเพราะเรื่องเกี่ยวกับดยุคไคลเนลต์ครับ มันไม่มีอะไรระหว่างพวกเราหรอก”


 


“แต่เธอเป็นคนที่สวยที่สุดในจักรวรรดิเลยนะ ใช่ไหม, คริสต้า?”


 


“ค่ะ……แต่ข้าว่าท่านแม่สวยกว่า!”


 


“ขอบใจนะจ้ะ, คริสต้า ข้าเองก็คิดว่าเจ้าน่ารักที่สุดเลย”


 


พอเห็นทั้งสองคนกำลังกอดกันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง, ฉันก็ถอนหายใจออกมาแล้วลุกขึ้น


 


เขาโค้งทำความเคารพแล้วเตรียมตัวกลับ


 


“ท่านพี่จะกลับแล้วหรอครับ?”


 


“ก็อยู่มาพักนึงแล้วนี่นะ วันนี้ข้าต้องไปพบคนๆนึงด้วย เจ้าอยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อยก็ได้”


 


“ท่านพี่อัล, ไว้เจอกันนะคะ”


 


“อา, ไว้เจอกันนะ ท่านแม่ด้วย”


 


“โอเค, ดูแลตัวเองดีๆนะ เจ้าหน่ะชอบฝืนตัวเองอยู่ตลอด”


 


“ท่านแม่ก็รู้นี่ว่าในชีวิตของข้าข้าไม่เคยทำเรื่องฝืนตัวเองเลยซักวันเดียว ถึงยังไงข้าก็ใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมอยู่แล้ว”


 


“งั้นหรอกหรอ? ก็ได้, จะเอาแบบนั้นก็ได้ พยายามเข้าแล้วกันนะ”


 


พอแยกมาจากท่านแม่แล้ว, ฉันก็ออกจากตำหนักในด้วยแรงจูงใจใหม่


 


ฉันยังต้องคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้


 


ฉันต้องปกป้องที่แห่งนี้เอาไว้


 


ฉันไม่สามารถพักได้


 


“เซบาส”


 


“ครับ”


 


“ตามหาจุดอ่อนของขุนนางที่อยู่ฝ่ายเป็นกลางให้หน่อย ข้าต้องทำสิ่งที่ทำได้ในขณะที่ยังได้อยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ”


 


“เข้าใจแล้วครับ”


 


ด้วยประการฉะนี้เอง, ฉันจะทำการเคลื่อนไหวแบบลับๆต่อ

 

 

 


ตอนที่ 20

 

“สวัสดี, เอิร์ลเบลส์”


 


“อ้าวนี่มันเจ้าชายอาร์โนลด์ไม่ใช่หรอครับ วันนี้มีอะไรให้ช่วยครับ?”


 


เอิร์ลเบลส์เป็นขุนนางราชสำนักที่ไม่มีที่ดินและอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


ด้วยการได้รับสืบทอดมารุ่นต่อรุ่น, เอิร์ลเบลส์นั้นได้รับหน้าที่ให้ดูสำนักงานสำคัญๆในจักรวรรดิ นอกจากนี้เอิร์ลเบลส์ยังมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยของกระทรวงวิศวะกรรมซึ่งทำหน้าที่ในสาขางานของวิศวกรรมโยธาและการควบคุมน้ำท่วม


 


เบลส์นั้นรักษาระยะห่างของตัวเองจากสงครามผู้สืบทอดมาโดยตลอด เนื่องจากตำแหน่งของเขาไม่ได้มีอิทธิพลโดยตรงกับกระแสของสงครามผู้สืบทอด, พวกพี่ๆสามคนเองก็ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับเขาเหมือนกัน


 


ส่วนเหตุผลที่เขามายังที่พักของเอิร์ลเบลส์คนนี้ก็เพราะเขาได้ยินข่าวลือมาบางอย่าง


 


“อันที่จริง, ข้าได้ยินข่าวลือมาเรื่องนึง”


 


เอิร์ลเบลส์เป็นชายวัยสามสิบปีแล้ว


 


ศรีษะที่โล่งเตียนของเขาผนวกกับนิสัยที่ดูใจเสาะทำให้เขาเป็นคนที่ไม่ตกเป็นที่สนใจของผู้หญิง


 


อย่างไรก็ตาม, เมื่อไม่กี่ปีก่อน, ในที่สุดเขาก็ได้ทำการหมั้นหมาย แต่เดิมแล้ว, เขาก็ถือเป็นคนที่มีพรสวรรค์ผู้ซึ่งอยู่ในตระกูลที่มีชื่อเสียงและยังมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยอีก ขอแค่วิธีการหาเจ้าสาวของเขาไม่ผิดพลาด, ก็น่าจะมีคนมาสมัครเป็นภรรยาของเขานับไม่ถ้วน


 


แต่, เขาก็ได้ทำพลาดเข้าซะแล้ว


 


“ขะ, ข่าวลือหรอครับ…….?”


 


“อ่า, เป็นข่าวลือไม่ดีนะ อันที่จริงเรื่องมันมีอยู่ว่าดูเหมือนภรรยาของเอริ์ลเบลส์นั้นจะชอบออกไปเที่ยวเล่นทุกคืนแถมยังเป็นที่สะดุดตาด้วย เธอชอบทำตัวเหมือนกับว่าตัวเองเป็นราชวงศ์และทุกคนก็พากันสงสัยว่าเธอไปเอาเงินทั้งหมดมาจากไหน ข้าได้ยินข่าวลือมาแบบนี้แหล่ะ”


 


“คะ, คือว่ามัน……มันก็แค่ข่าวลือที่ใส่สีใส่ไข่จนเกินจริงครับ ก็ใช่อยู่ที่ภรรยาของข้าชอบเที่ยวเล่น แต่การทำตัวเหมือนเป็นราชวงศ์นี่มัน, เธอไม่ทำแน่ๆครับ……”


 


เอิร์ลเบลส์เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อที่ไหลบนหน้าผากของเขา


 


ดูเหมือนว่าข้อมูลที่เซบาสสืบมาจะเป็นความจริงสินะ


 


จากที่เซบาสบอกมา, เห็นได้ชัดว่า, เอิร์ลนั้นชอบบนเรื่องภรรยากับเหล่าคนรู้จักของเขา ความไม่พอใจของเขาที่มีต่อเธอเข้าขั้นรุนแรง, เขามักจะชอบพูดว่าอยากหย่าหรือถ้าหย่าไม่ได้เขาก็จะฆ่าตัวตาย


 


ตัดสินจากปฏิกิริยาของเขา, ฉันเดาว่าเขารู้สึกว่าการกระทำของภรรยาของเขานั้นไม่เป็นที่น่าพอใจ คำถามก็คือว่าชายคนนี้จะทำกับเธอได้มากแค่ไหน


 


“เอิร์ลเบลส์


 


“คะ, ครับ!”


 


เขาเปลี่ยนโทนเสียง, ในตอนที่ฉันจ้องเขา, ฉันมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังยืดตัวตรง


 


มันเป็นเพราะสำนึกผิดรึเปล่า? หรือว่าอาจจะเป็นท่าทีตามปกติของเขา?


 


“แล้วก็มีข่าวลือเรื่องนี้ด้วย ผู้คนพูดกันว่าเจ้ากำลังใช้เงินที่ยักยอกมาจากจักรวรรดิเพื่อภรรยาของเจ้า”


 


“ข้า, ข้าไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นครับ! ข้าทำงานหนักมาโดยตลอดในฐานะรัฐมนตรีที่ซื่อสัตย์ต่อจักรวรรดิ! ได้โปรดเชื่อข้าเถอะนะครับ!”


 


“ถึงเจ้าจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ครั้งนี้, ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะข่าวลือมันไปถึงปราสาทแล้ว เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ถ้าข่าวมันไปถึงหูของพ่อข้า? ข้าอยากจะจัดการให้เรียบร้อยก่อนหน้านั้น”


 


เลือดฝาดหายไปจากใบหน้าของเอิร์ล


 


เขาเป็นคนที่อ่านได้ง่าย มันอาจจะเป็นเพราะนิสัยใจเสาะของเขา, เขาถึงไม่อยากให้ข่าวลือแบบนี้ไปถึงจักรพรรดิ


 


ฉันคาดหวังอะไรจากเรื่องนี้ได้บ้างนะ?


 


“อะ, องค์ชาย! ขอข้ายืมอำนาจของท่านหน่อยเถอะครับ! ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”


 


“ข้าไม่คิดจะช่วยอาชญากรหรอกนะ แน่นอนว่า, ลีโอด้วย”


 


“ข้า, ข้าไม่ได้แตะต้องเงินของจักรวรรดิเราจริงๆนะครับ!”


 


“แล้วเงินนั่นมาจากไหนหล่ะ? ภรรยาของเจ้าไม่น่าจะออกไปเที่ยวเล่นแบบนั้นได้ด้วยเงินเดือนของเอิร์ลหรอกนะ”


 


“คือว่ามัน, มันมาจากเงินเก็บของพวกเราครับเพราะฉะนั้นตอนแรกมันจึงไม่เป็นปัญหาอะไร….แต่มันก็ถูกผลาญอยากรวดเร็วข้าก็เลยยืมเงินจากคนรู้จักของข้าและช่วงนี้ข้าก็ต้องยืมจากพ่อค้าด้วย….ข้ารู้สึกไม่ดีกับคนรู้จักของข้าแถมเส้นตายก็ใกล้จะถึงแล้ว, ข้าควรจะทำยังไงดี……..”


 


ทำไมถึงเลือกแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้นะ?


 


ในตอนที่ฉันกำลังคิดเรื่องหยาบคายนี้อยู่, ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง


 


“ที่รัก! เงินของเดือนนี้ไม่พอ!?”


 


“บะ, เบทิน่า!? ออกไปเลยนะ! ข้ากำลังคุยเรื่องสำคัญกับเจ้าชายอยู่!”


 


คนที่เข้ามานั้นคือสาวงามแต่งตัวหวือหวาที่มีผมสีทอง อายุของเธอน่าจะพอๆกับฉันหรือไม่ก็เด็กกว่าเล็กน้อย หญิงสาวคนนึงจะพิจารณาว่าเธอจะแต่งงานกับชายแก่อายุช่วงวัยสามสิบเมื่อไหร่กันหล่ะ


 


ทุกสิ่งที่เธอสวมนั้นแวววับ เสื้อผ้าของเธอคือชุดแบบที่ฉันมักจะเห็นผู้หญิงในตำหนักในสวมกันและโลหะอันล้ำค่าที่ประดับอยู่ตามร่างกายของเธอก็ดูเหมือนจะเป็นของจริงด้วย


 


ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงอยากเลิก


 


“เจ้าชายหรอ? องค์ไหน?”


 


“นะ นี่!?”


 


“ข้าอาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์ ขอโทษที่รบกวนนะ, คุณนายเบลส์”


 


“อาร์โนลด์? อ๋อ! เจ้าชายไร้ค่าคนนั้นหน่ะหรอ? ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าจากลูกชายของดยุคฮอร์วาร์ธ เจ้าชายน่าสมเพชที่ถูกน้องชายแย่งส่วนดีๆไปหมดใช่ไหม? แล้วคนที่ไม่มีอะไรดีอย่างเจ้ามาทำอะไรในบ้านของเราหล่ะ?”


 


“…….”


 


เอิร์ลเบลส์ถึงกับพูดไม่ออก


 


เอาเถอะ, ฉันเองก็เหมือนกัน คนๆเดียวที่เคยล้อเลียนฉันกลางฝูงชนก็คงจะมีแค่กีโด้เท่านั้น เธอคงคิดว่ามันจะไม่เป็นอะไรกับเธอเหมือนกันเพราะกีโด้ยังสามารถทำได้ แต่กีโด้เป็นทั้งเพื่อนสมัยเด็กของฉันและลูกชายของดยุค ตำแหน่งของพวกเขาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


โถ่, ยัยผู้หญิงคนนี้, เธอช่างโง่จริงๆ พอเห็นการตอบโต้ของเธอ, ฉันก็รู้สึกเห็นใจแทนเอิร์ล


 


“อะ, ออกไปเดี๋ยวนี้……”


 


“หา? นี่เจ้ากำลังสั่งข้าหรอ?”


 


“จะยังไงก็ช่าง, รีบๆออกไปซะ!!”


 


นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เอิร์ลโกรธใส่ภรรยาของเขาขนาดนี้


 


ด้วยความตกตะลึง, เบทิน่าก็ออกจากห้องไปอย่างไม่พอใจ


 


“ได้โปรดยกโทษให้กับความไร้มารยาทของภรรยาข้าด้วยเถอะครับ! องค์ชาย!”


 


“ข้าไม่สนใจหรอก ข้าชินแล้ว แต่เธอเป็นภรรยาที่ใช้ไม่ได้เอาซะเลยนะ”


 


“…..ภรรยาของข้าเข้ามาหาข้าในตอนที่เธออายุได้สิบเจ็ดปี เธอเป็นลูกสาวของขุนนางท้องถิ่นและมีชื่อเสียงในเรื่องของความงดงาม, ข้าตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น หลังจากนั้น, ข้าก็มอบให้เธอทุกอย่างตามที่ต้องการเพราะข้าไม่อยากถูกเกลียดแต่มันก็เริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เธอเข้าใจผิดว่าตัวเองมีความเป็นราชวงศ์หรือมีความเป็นขุนนางระดับสูงอยู่”


 


“แน่นนอน, ข้าคิดว่ามันเป็นความผิดของเธอแต่มันก็ถือเป็นความรับผิดชอบของท่านด้วยเหมือนกันเพราะเธอถูกสามีตามใจมากเกินไป ถ้าท่านเป็นสามีของเธอท่านก็ควรจะตำหนิเรื่องการวางตัวของเธอในทันทีที่จับได้”


 


“ครับ….ที่องค์ชายกล่าวมามันถูกต้องแล้ว”


 


บางทีหัวใจของเขาน่าจะพังจนไม่เหลือชิ้นดีแล้วหล่ะ


 


ร่างที่นั่งอย่างเซื่องซึมและศรีษะที่ตกลงมาของเขานั้นมันช่างน่าสงสารจริงๆ


 


เอาเถอะ, ในเมื่อเป็นแบบนี้, ดูเหมือนว่าฉันจะต้องปรับแผนซักหน่อยสินะ


 


แผนเดิมคือการค่อยๆรับความไว้ใจจากเอิร์ลแต่ถ้าฉันทิ้งเขาเอาไว้คนเดียว, บางทีนี่อาจจะนำไปสู่การฆ่าตัวตายจริงๆก็ได้


 


มันก็ช่วยไม่ได้หล่ะนะ


 


“เหตุผลที่เจ้าไม่หย่าเพราะเจ้ายังรักเธอหรอ?”


 


“นั่นก็ใช่อยู่หรอกครับ…แต่คือว่าในตอนที่ข้ารายงานกับองค์จักรพรรดิว่าแต่งงานกับเธอ, พระองค์ดูปลื้มปิติมาก…..แถมพวกเรายังได้รับของขวัญแสดงความยินดีมาเยอะเลยด้วย


 


“เข้าใจหล่ะ แบบนั้นจะให้หย่ามันก็ยากอยู่หล่ะนะ”


 


เหตุผลที่ฉันจับตาดูเอิร์ลเบลส์นั้นมันไม่ใช่แค่จุดอ่อนของเขาในเรื่องของภรรยา


 


มันยังเป็นเพราะองค์จักรพรรดิถูกใจเขาด้วย


 


บางทีตอนนี้ฉันอาจจะกำลังคุยกับว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรมคนต่อไปก็ได้ เอิร์ลเบลส์ที่ซื่อสัตย์กับงานและไม่ค่อยออกไปเที่ยวไหนนั้นคือคนที่น่าเชื่อถือจากมุมมองของคนที่ทำงานด้วย


 


ถ้าเขารู้สถานการณ์ของเอิร์ล, จักรพรรดิคงจะสนับสนุนเรื่องหย่าด้วยตัวเองแน่ๆ อย่างไรก็ตาม, มันไม่มีทางที่เขาจะรู้เรื่องของลูกน้องทุกคนอย่างลึกซึ้งขนาดนั้นหรอก”


 


ตอนนี้, เขาจำเป็นต้องมีคนที่ทำหน้าที่เป็นคนกลาง


 


“เอิร์ลเบลส์ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนโง่ เจ้าคงจะรู้เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ใช่ไหม?”


 


“คะ, ครับ…..เพื่อเพิ่มข้าเข้าไปในขั้วอำนาจของเจ้าชายลีโอนาร์ดสินะครับ?”


 


“ตามนั้นแหล่ะ ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากใช้เวลามากกว่านี้เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากเจ้า…..แต่ดูเหมือนว่าพวกเราคงไม่มีเวลามากขนาดนั้นนะ ข้าจะขอให้ลีโอนำสถานการณ์ของเจ้าไปถ่ายทอดกับท่านพ่อ จากนั้น, ถ้าการตอบสนองของท่านพ่อเอนเอียงไปทางสนับสนุนเจ้าก็จะทำเรื่องหย่าในทันที และข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องจดหมายจากฝั่งครอบครัวภรรยาของเจ้าเองเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง”


 


“จะ, จริงหรอครับ!?”


 


เอิร์ลเบลส์มองฉันเหมือนกับว่ากำลังมองผู้ช่วยชีวิต นี่เขากังวลขนาดไหนกันเนี่ย


 


เอาเถอะ, มันอาจจะดูค่อนข้างเห็นแก่ตัวแต่นี่ก็เพื่อสงครามผู้สืบทอด เรามาทำให้คุณนายได้เสียน้ำตากันเถอะ ผลที่ตามมาคงจะจบไม่สวยแน่ๆ แต่ความแตกต่างก็คือว่าเอิร์ลมีประโยชน์กับเขาในขณะที่ภรรยาของเขาไม่มีเลย


 


แต่ว่าจะอธิบายกับลีโอยังไงดีหล่ะ? คนแบบหมอนั่น, เข้าไปคุยด้วยตรงๆคงจะดีกว่าหล่ะนะ


 


แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากเก็บลีโอเอาไว้ให้ห่างสายตาของผู้หญิงคนนั้นจังเลยนะ ไอ้หมอนั่นมันแพ้ผู้หญิงซะด้วย


 


“เอิร์ลเบลส์ ขอโทษนะ, แต่เจ้าช่วยเขียนจดหมายร้องเรียนให้ลีโอได้ไหม?”


 


“จะ, จดหมายหรอครับ?”


 


“อ่า, ขอตอนนี้เลย ถ้าใช้วิธีนี้มันจะโน้มน้าวเขาได้ง่ายกว่า”


 


“โน้มน้าวหรอครับ?”


 


“ก็รู้นี่ว่าลีโอเป็นพวกที่มีนิสัยดีจ๋า ถ้าข้าเอาเรื่องนี้ไปพูดด้วยตัวเอง, อาจจะจบลงที่ได้ข้าเป็นคนกลางก็ได้ เจ้าคงไม่ต้องการแบบนั้นหรอกถูกไหม?”


 


“คะ, ครับ, ข้าจะเขียนจดหมายให้เดี๋ยวนี้เลย!”


 


พอถูกเขากระตุ้น, เอิร์ลก็เริ่มเขียนจดหมายร้องเรียนให้ลีโอ


 


แม้ว่าเขาจะเป็นพวกหัวกะทิที่เกิดในบ้านของขุนนางราชสำนักและประสบความสำเร็จในฐานะหัวหน้าตระกูล, แต่แค่ผู้หญิงคนเดียวสามารถทำให้เขาตกต่ำได้ถึงขั้นนี้เลยหรอ…..


 


ว่าแล้วเชียว, การเลือกภรรยานี่มันต้องพิจารณาให้ดีๆจริงๆด้วย


 


ทันใดนั้นเอง, ภาพของผู้หญิงที่อยู่รอบตัวเขา, ฟีเน่กับเอลน่าก็ปรากฎขึ้นในความคิดของเขา


 


แค่นึกภาพพวกเธอมาเป็นภรรยาของฉันก็ขนลุกแล้ว ดูเหมือนว่ามันคงจะมีปัญหาตามมาเพียบเลยหล่ะไม่ว่าใครจะได้มาเป็นภรรยาของฉันก็ตาม หยุดคิดเรื่องนี้เถอะ


 


ไม่ว่ายังไง, ฉันก็ชอบผู้หญิงปกติ


 


“อะ, องค์ชาย, แบบนี้ได้ไหมครับ…..?”


 


“ขอดูหน่อยซิ”


 


ใบหน้าของฉินบิดเบี้ยวในตอนที่อ่านจดหมาย


 


สิ่งที่เขียนอยู่ในนี้คือรายงานของเอิร์ล, และการติเตียนเกี่ยวกับการกระทำของภรรยา ความไม่พอใจทั้งหมดที่เขามีต่อภรรยานั้นได้ถ่ายทอดผ่านตัวอักษรแต่ละตัวที่อยู่ในจดหมายฉบับนี้


 


ฉันถอนหายใจให้กับเนื้อหาในจดหมาย อันที่จริงเรียกมันว่าคำสาปแช่งคงจะถูกต้องกว่า


 


“หลังจากที่เจ้าเริ่มร่วมมือกับพวกเราแล้ว, ทำให้มั่นใจด้วยนะว่าจะระวังเรื่องการถูกล่อลวง”


 


“คะ, ครับ! ข้าจะไม่ชายตามองผู้หญิงคนไหนอีก! ข้าจะรับใช้เจ้าชายลีโอนาร์ดกับเจ้าชายอาร์โนลด์อย่างซื่อสัตย์ด้วยความสามารถทั้งหมดที่ข้ามีครับ!”


 


“อย่าเข้าใจผิดไป พวกเราก็แค่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เจ้านายของเจ้ายังคงเป็นองค์จักพรรดิอยู่ ไม่ใช่พวกเรา”


 


“ปะ, โปรดอภัยให้กับความหยาบคายของข้าด้วย”


 


ฉันจำเป็นต้องทำให้ชัดเจนในเรื่องนี้


 


ถ้าเขาปฏิบัติกับลีโอเหมือนเป็นเจ้านาย, พวกเราก็มีแต่จะสร้างศัตรูให้ตัวเองมากขึ้น ฉันอยากกำจัดความเป็นไปได้พวกนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


“ไม่เป็นไร, ตอนนี้จดหมายของเจ้าอยู่กับข้าแล้ว ข้าจะแจ้งผลให้รู้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าช่วงนี้ก็อดใจรอไปก่อนหล่ะ”


 


“ครับ! ขอบคุณมากจริงๆครับ”


 


หลังจากนั้น, ฉันก็ออกมาจากคฤหาสน์ของเอิร์ล


 


ในตอนที่ฉันออกมาจากคฤหาสน์นั้นคุณนายกำลังจ้องเอิร์ลเบลส์จากด้านหลังแต่ก็เอาเถอะ, ฉันหวังว่าในช่วงไม่กี่วันนี้เข้าจะยังอดทนไหวอยู่นะ


 


ท้ายที่สุดแล้ว, ในตอนที่ฉันให้ลีโออ่านจดหมาย, ‘ทำไมเขาถึงแต่งงานกับคนแบบนี้นะ?’, คำถามที่ไม่น่าแปลกอะไรนี้ออกมาจากปากของลีโอ เอาเถอะ, หลังจากนั้นฉันก็โน้มน้าวลีโอให้เขาไปแจ้งกับท่านพ่อ, ซึ่งท่านพ่อก็สนับสนุนเรื่องการหย่าของเอิร์ลอย่างเต็มที่และพิธีหย่าก็ถูกดำเนินการในทันที


 


มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่, สำหรับท่านพ่อ, การได้เห็นว่าทีรัฐมนตรีในอนาคตของเขาถูกลูกสาวขุนนางท้องถิ่นที่ไหนไม่รู้มาทำขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องที่จะทนกันได้อยู่แล้ว


 


ด้วยประการฉะนี้เอง, เอิร์ลเบลส์จึงได้เข้าร่วมกับขุมอำนาจของลีโอและอิทธิพลของลีโอก็แข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย

 

 

 


ตอนที่ 21

 

“มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆหรอคะ?”


 


ในตอนที่ฉันกำลังรวบรวมเอกสารบางอย่างอยู่, ฟีเน่ก็กำลังรินชาในขณะที่ถามแบบนี้ออกมา


 


“เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกัน?”


 


“เรื่องที่เพิ่มเอิร์ลเบลส์เข้ามาเป็นพันธมิตรของเราค่ะ ข้ารู้สึกเห็นใจเขาอยู่บ้างก็จริงแต่ท่านก็ไม่สามารถปฏิเสธได้นะคะว่าเขาเองก็กำลังทรมานจากผลที่ตามมาสำหรับการกระทำของเขา เขาเคยมอบให้ทุกสิ่งตามที่เธอขอและจากนั้นก็หย่ากับเธอเพราะในที่สุดเขาก็ควบคุมเธอไม่ได้……ในฐานะผู้หญิงข้าคิดว่าข้าไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ค่ะ”


 


“ก็นะ, ถ้าเธอมองมุมนั้นเอิร์ลก็คงดูเหมือนผู้ชายที่เลวร้ายที่สุดเลยหล่ะ”


 


“มันมองมุมอื่นได้ด้วยหรอคะ?”


 


ถ้าเธอมาพูดกับฉันตรงๆแบบนี้ก็แสดงว่าเธอไม่พอใจระดับนึงเลยหล่ะ เอาเถอะ, ถึงยังไงพวกเราก็กำลังพูดเรื่องความรัก, มันไม่ใช่สิ่งที่จะโยนทิ้งง่ายๆแค่เพราะมันหมดประโยชน์แล้ว จากมุมมองของผู้หญิงคนนึง, มันเป็นธรรมดาที่พวกเธอจะรู้สึกไม่พอใจ


 


อย่างไรก็ตาม, เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของพวกเขาสองคน


 


ฉันเริ่มอธิบายให้เธอฟังในขณะที่รวบรวมเอกสารต่อ


 


“เบทิน่า, อดีตภรรยาของเอิร์ลนั้นมีสายเลือดของขุนนางทางใต้, จากบ้านเอิร์ลดาอึม ซึ่งเอิร์ลดาอึมคนนี้เป็นญาติกับขุนนางที่มีอำนาจมากที่สุดทางใต้, ดยุคครูเกอร์ คุ้นกับชื่อตระกูลนี้ไหมหล่ะ?”


 


“คุ้นค่ะ ข้าจำได้ว่ามีสนมองค์นึงของจักรพรรดิมาจากบ้านครูเกอร์ใช่ไหมคะ?”


 


“ใช่, สนมคนที่ห้าคือน้องสาวของดยุคครูเกอร์ในปัจจุบัน หรือจะให้พูดง่ายๆก็คือ, ดยุคบ้านนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ เอาหล่ะไหนลองตอบข้ามาซิ, ลูกของสนมคนที่ห้าคือใคร?”


 


หลังจากครุ่นคิดอยู่พักนึง, ฟีเน่ก็ตบมือในตอนที่นึกคำตอบออก


 


จากนั้นเธอก็ตอบออกมาด้วยความมั่นใจ


 


“องค์หญิงซานดร้า……”


 


“เจ้าชายลำดับเก้าด้วย แต่ตอนนี้น้องชายของเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรอก จุดที่สำคัญก็คือความเชื่อมโยงระหว่างซานดร้ากับเบทิน่า”


 


“ความเชื่อมโยงหรอคะ…..? แต่ข้าไม่คิดว่าเครือญาติจากฝั่งแม่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งขนาดนั้นเลยหรอคะ?”


 


“ปกติก็คงจะใช่แหล่ะ แต่ในกรณีนี้มันต่างกันนิดหน่อย ว่าแต่, ฟีเน่, เธอยังจำฐานอำนาจของคู่แข่งได้อยู่รึเปล่า?”


 


“อ๋อ, ค่ะ องค์ชายเอริคมีเสียงสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรี, องค์ชายกอร์ดอนได้รับเสียงสนับสนุนจากกองทัพส่วนองค์หญิงซานดร้าได้รับเสียงสนับสนุนจากนักเวทย์ใช่ไหมคะ?”


 


เธอยังจำได้อยู่สินะ


 


ก็ดี, ถ้าเธอจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้มันจะเป็นปัญหากับเราได้


 


ในตอนที่ฉันบอกเธอว่าถูกต้อง, ฟีเน่ก็มีท่าทีดีใจในขณะที่พูดออกมาเสียงดังว่า ‘ทำได้แล้ว’ จากนั้นด้วยความคิดที่ว่ายัยนี่ตั้งเป้าหมายต่ำจังเลยนะเขาก็พูดต่อ


 


“แล้วคิดว่าเสียงสนับสนุนของใครอ่อนแอที่สุดในเมืองหลวงของจักรวรรดิ?”


 


“ในเมืองหลวง? ไม่ได้หมายถึงทั้งจักรวรรดิใช่ไหมคะ?”


 


“ใช่, เมืองหลวง”


 


“อืมม…ที่แข็งแกร่งที่สุดก็น่าจะเป็นขององค์ชายเอริคดังนั้นก็เหลือแค่องค์ชายกอร์ดอนกับองค์หญิงซานดร้าแต่ว่า…..อ้ะ, เข้าใจแล้วค่ะ! ขององค์ชายกอร์ดอนค่ะ!”


 


“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”


 


“ก็ในเมื่อเจ้าหน้าที่ของกองทัพอยู่ที่แนวหน้า, อิทธิพลของเขาในเมืองหลวงก็น่าจะอ่อนแอค่ะ”


 


“แนวคิดไม่ผิดหรอกแต่ตอบไม่ถูก มีเจ้าหน้าที่ของกองทัพที่ไม่ได้อยู่แนวหน้าเหมือนกันนะ คำตอบที่ถูกคือของซานดร้าต่างหากหล่ะ”


 


“อ้ะ, ข้าตอบผิดซะแล้ว…..แต่ทำไมเสียงสนับสนุนของซานดร้าถึงอ่อนแอที่สุดหล่ะคะ?”


 


ในขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะอธิบายยังไงดีให้เธอเข้าใจง่ายๆ, ฉันก็หยิบขนมที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเสียงตอบรับที่ดีจากคริสต้า, ขนมวันนี้จึงเป็นคุกกี้รูปสัตว์


 


ฉันเลือกหยิบคุกกี้สิงโต, นกและหมาป่า ฉันวางสิงโตกับนกเอาไว้บนจานและขยี้คุกกี้หมาป่ากระจายมันเอาไว้รอบๆ


 


“โถ่…..ครั้งนี้ข้าอุตส่าห์ทำออกมาได้ดีแท้ๆเชียว…….”


 


“อ่าวหรอ, ขอโทษแล้วกันนะ ตอนนี้, บนจานคือเสียงสนับสนุนของเอริคกับกอร์ดอน, ส่วนที่กระจายอยู่ก็คือของซานดร้า ตอนนี้, เธอพอจะเข้าใจรึยังว่าข้ากำลังจะสื่ออะไร?”


 


“????”


 


“แสดงว่าไม่สินะ เอาเถอะ รัฐมนตรีกับเจ้าหน้าที่ทหารนั้นมักจะอยู่ในเมืองหลวง แต่ว่า, นักเวทย์ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในรัฐบาลของเรา แน่นอนว่า, มีเจ้าหน้าที่ส่วนนึงที่เป็นนักเวทย์อยู่แต่พวกเขากระจายอยู่ตามตำแหน่งอย่างรัฐมนตรี, ขุนนางท้องถิ่น, และเจ้าหน้าที่ทหารที่พรมแดน พวกเขากระจัดกระจายกันมากเกินไป”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ! แสดงว่าคนที่สามารถสนับสนุนองค์หญิงซานดร้าในเมืองหลวงได้นั้นมีอยู่ไม่มากใช่ไหมคะ?”


 


“ก็นะ, มันก็ใช่อยู่หรอก แต่ประเด็นหลักอยู่ตรงนี้”


 


“เอ๋…..? ที่บอกไปเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่ประเด็นหลักหรอคะ….?”


 


ฟีเน่ตัวสั่นเล็กน้อยเพราะเธอกลัวว่าบทสนทนาจะเข้าใจยากยิ่งขึ้น


 


ด้วยการมอบรอยยิ้มอันแสนขมขื่นให้เธอ, ฉันก็พยายามอธิบายให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


“ง่ายๆเลยก็คือ, ซานดร้ามีเสียงสนับสนุนน้อยกว่าในตำแหน่งสำคัญๆของจักรวรรดิเพราะธรรมชาติของฐานอำนาจของเธอ กอร์ดอนมีเจ้าหน้าที่ทหารและเอริคก็สนิทกับรัฐมนตรี, คนพวกนี้สามารถถ่ายทอดความต้องการของพวกเขากับจักรพรรดิได้ แต่ซานดร้าในอีกด้านนึง, เธอไม่มีเส้นสายที่จะทำเช่นนั้น และเพราะเหตุนี้เองมันก็เลยเป็นปัญหาสำหรับซานดร้าใช่ไหมหล่ะ?”


 


“พอจะเข้าใจแล้วค่ะ ข้าคิดว่ามันคงสร้างความแตกต่างได้จริงๆถ้ามีผู้สนับสนุนที่มีเก้าอี้อยู่ในที่ประชุมสภาองคมนตรี”


 


“ถูกต้อง และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ซานดร้ามักจะพยายามหาทางทำให้ผู้สนับสนุนของเธอได้เก้าอี้รัฐมนตรีอยู่ตลอด”


 


“ทำได้ด้วยหรอคะ? คนที่แต่งตั้งรัฐมนตรีได้มีแค่องค์จักรพรรดิไม่ใช่หรอคะ?”


 


“ก็นะ, มันพอมีวิธีอยู่”


 


พอพูดจบ, ฉันก็เอาคุกกี้มาวางซ้อนกันบนจานเป็นแนวตั้ง


 


พอเห็นแบบนี้, ฟีเน่ก็เอียงศรีษะ ถ้าไม่ได้เคยชินกับการแสดงออกเหล่านี้ก็คงจะถูกขโมยหัวใจไปได้เลยเพราะมันเป็นการแสดงออกที่ดูน่ารักมาก ฉันคงปล่อยให้เอิร์ลเบลส์เห็นภาพนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะขอแต่งงานกับเธอขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้


 


อย่างไรก็ตาม, ฉันไม่ได้หวั่นไหวกับมันและขยี้คุกกี้สิงโตที่วางอยู่บนสุด


 


“อ้ะ!? อีกแล้วหรอคะ!?”


 


“ถึงยังไงก็จะเอามันมากินอยู่ดีไม่ใช่หรอ? เถอะน่า, นี่คือวิธีที่จะเอาคนที่ต้องการเข้าไปอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี”


 


“หมายความว่ายังไงหรอคะ?”


 


“จะสมมุติแบบนี้ก็แล้วกัน สิงโตคือรัฐมนตรีที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ นกที่อยู่ข้างล่างก็คือผู้สมัครตำแหน่งรัฐมนตรี ถ้าสิงโตข้างบนแตก, ตำแหน่งก็จะตกลงมาที่นก


 


“อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ! สรุปก็คือเตรียมผู้สมัครรัฐมนตรีคนต่อไปเอาไว้ในขณะที่หาทางกำจัดคนปัจจุบันสินะคะ!”


 


เธอมีจินตนาการค่อนข้างใช้ได้ โดยปกติเธอจะไม่ทันคนอื่นเขาในตอนที่เป็นเรื่องอุบายแบบนี้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอโง่สินะ บางครั้งเธอก็เข้าใจง่ายเกินไปจนทำให้เรากลัวเหมือนกัน


 


“ตามนั้นแหล่ะ ถ้าผู้สนับสนุนเป็นรองรัฐมนตรีหรือมีตำแหน่งใกล้เคียงก็จะสามารถดึงคนที่อยู่จุดสูงสุดในปัจจุบันลงมาได้และเอาตัวเองไปเป็นรัฐมนตรีแทน”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ…..แล้วทำไมต้องเป็นเอิร์ลเบลส์หล่ะคะ?”


 


“หา….ตอนนี้เอิร์ลเบลส์อยู่ตำแหน่งอะไร?”


 


“รองรัฐมนตรีกระทรวงวิศวะ…….อ้ะ!?”


 


ในที่สุดเธอก็เชื่อมโยงเรื่องราวได้แล้ว


 


ก็ยังดี, มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนเพราะฉะนั้นมันก็ช่วยไม่ได้หล่ะนะ


 


“ซานดร้ากำลังชักใยเบทิน่าผ่านทางบ้านของครอบครัวฝ่ายแม่เธอ, ตัวเบทิน่าเองต้องถูกสั่งให้เที่ยวเล่นไปทั่วแน่ๆ  เธอเต้นรำไปตามบทเพลงที่มีคนกำหนดเอาไว้อย่างมีความสุข และช่วงนี้ซานดร้าก็ได้มอบอีกคำสั่งให้เธอด้วย”


 


“ยังมีอีกหรอคะ……”


 


“มันคือส่วนสำคัญเลยหล่ะ เบทิน่ามีชู้กับรัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรมคนปัจจุบัน มันอาจจะดูเหมือนตัวรัฐมนตรีเองที่เป็นคนเริ่มความสัมพันธ์แต่บางทีเบทิน่านั่นแหล่ะที่เริ่มอ่อยเค้าก่อน ยิ่งไปกว่านั้น, ภรรยาของรัฐมนตรีก็คือลูกสาวเพื่อนสนิทขององค์จักรพรรดิ เห็นได้ชัดเลยว่า, จักรพรรดิเป็นคนที่จับคู่พวกเขา ถ้าฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้เข้าเขาจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน”


 


“…..อย่าบอกนะว่า, มันถูกจัดฉากเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว?”


 


“ใช่แล้ว มันคือเรื่องราวที่ซานดร้าเป็นคนออกแบบขึ้นมา เธอส่งสาวงามคนนึงไปหาเอิร์ลเบลส์ที่ไม่เก่งเรื่องผู้หญิงและทำให้เขาทุกข์ทรมาน ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, เธอก็เล่นงานรัฐมนตรีเพื่อเตรียมกำจัดเขา จากนั้นหลังจากที่เธอช่วยเอิร์ลด้วยการบอกจักรพรรดิเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวในจังหวะเวลาที่เหมาะสม เมื่อถึงตอนนั้นก็, เซอร์ไพรส์, จู่ๆฉันก็ได้ผู้สนับสนุนเป็นรัฐมนตรี”


 


“ดะ, เดี๋ยวนะคะ! ถ้า, ถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่า……..”


 


ฉันยิ้มให้กับสีหน้าเชื่อไม่ลงของฟีเน่


 


เธอเก่งมากสำหรับการดำเนินแผนการพวกนี้มาเป็นเวลาหลายปี บางที, เธอน่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่มุงกุฎราชกุมารจากไป มันเหลืออีกแค่ก้าวเดียวก็จะสำเร็จอยู่แล้ว


 


“ก็นะ, ฉันแค่ทำลายแผนการของซานดร้าทิ้งทั้งหมด ตอนนี้เธอคงจะกำลังโมโหสุดๆอยู่”


 


“ไม่จริงหน่า!? ท่านอัลกับท่านลีโอจะออกจากจักรวรรดิในเร็วๆนี้ใช่ไหมคะ? แล้วตอนนี้ท่านจะไปยั่วโมโหองค์หญิงซานดร้าทำไมกัน!?”


 


“ก็เพราะพวกเราใกล้จะออกเดินทางแล้วเนี่ยแหล่ะถึงต้องรีบทำลายแผนการของเธอซะ ตราบใดที่พวกเราไม่อยู่ในเมืองหลวง, พวกเขาก็จะมาโจมตีฐานอำนาจของพวกเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่า, ถ้าพวกเราทำลายสมดุลย์การต่อสู้ของพวกพี่ๆทั้งสามหล่ะ เอริคกับกอร์ดอนคงไม่ปล่อยให้พลาดไปแน่ พวกเขาสามารถจัดการพวกเราเมื่อไหร่ก็ได้แต่มีแค่ไม่กี่ช่วงที่พวกเขาสามารถโจมตีซานดร้าที่อ่อนแอได้ ถ้าเป็นข้า, ข้าจะรับโอกาสนี้เพื่อสลายอำนาจของซานดร้าอย่างแน่นอน”


 


“นี่ท่านคิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลยหรอคะ…….?”


 


“ทั้งหมดคงต้องขอบคุณเซบาสนั่นแหล่ะนะ เขาสามารถดึงเอาข้อมูลสำคัญทั้งหมดมาจากนักฆ่าได้, แล้วเขาก็เป็นคนที่สืบเรื่องเอิร์ลเบลส์ให้ข้าด้วย”


 


ดูเหมือนว่าซานดร้าเองก็ทำเรื่องโง่ๆเป็นเหมือนกันสินะ


 


พอคิดว่าเธอส่งนักฆ่าที่เคยจัดการเรื่องเอิร์ลเบลส์มาจัดการฉันแล้ว ก็คงต้องขอบคุณหล่ะนะ, เพราะเรื่องนี้เลยแผนการของเธอถึงถูกชิงไป แต่ก็เอาเถอะ, ฉันไม่อยากพูดไม่ดีกับเธอหรอกแต่ดูเหมือนเธอจะดูถูกพวกเราไปหน่อยนะ


 


“เอ่อ….ข้าสงสัยมาซักพักแล้วค่ะ, คือว่าท่านเซบาสเป็นใครกันแน่คะ?”


 


“หืม? ข้าไม่เคยบอกหรอ? เซบาสเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น, เขาค่อนข้างจะมีชื่อเสียงไปจนถึงขั้นที่ทั่วทั้งทวีปรู้จักเขาด้วยฉายาว่า ‘ยมทูต’ เลยนะ”


 


“!? แล้วคนระดับนั้นมาเป็นพ่อบ้านของท่านอัลได้ยังไงคะเนี่ย!?”


 


“ไว้คราวหน้าค่อยเล่านะ เรื่องมันค่อนข้างยาวหน่ะ เอาหล่ะ, ในเมื่อได้ฟังคำอธิบายมาจนถึงขั้นนี้แล้วยังคิดจะบ่นเรื่องที่ข้าช่วยเหลือเอิร์ลอีกไหม?”


 


“มะ, ไม่แล้วค่ะ….”


 


“โอเค บางทีเหตุผลที่เขาอ่อนแอเรื่องผู้หญิงขนาดนี้อาจจะเป็นฝีมือของซานดร้าด้วยเหมือนกัน ถึงยังไงเขาก็เป็นรองรัฐมนตรีมาสามปีแล้ว ถ้าคิดตามปกติ, มันควรจะเป็นฝั่งผู้หญิงต่างหากหล่ะที่เป็นคนเข้าหาเขา”


 


“เขาดูค่อนข้างน่าสงสารยังไงก็ไม่รู้สินะคะ…..”


 


“นั่นสินะ, เขาต้องเต้นบนฝ่ามือของซานดร้ามาหลายปีหลังจากการแต่งงานของเขาและในที่สุดพวกเราก็สามารถช่วยเอิร์ลที่น่าสงสารคนนี้ได้ แถมเขายังมีประโยชน์กับเราอยู่ด้วย”


 


พอพูดจบ, ฉันก็จัดการรวบรวมเอกสารต่อ


 


มันคือเอกสารเรื่องที่รัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรมมีกิ้ก ฉันจะให้เอิร์ลเบลส์นำไปมอบให้จักรพรรดิ


 


เพียงเท่านี้, อีกไม่นานก็จะเกิดการแก่งแย่งอย่างลับๆกับซานดร้า ซึ่งกอร์ดอนจะต้องเคลื่อนไหวโดยไม่ปล่อยให้พลาดโอกาสไปอย่างแน่นอนและสงครามผู้สืบทอดก็จะรุนแรงยิ่งขึ้น


 


แต่ว่า แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก, กอร์ดอนมองซานดร้าเป็นศัตรูอยู่แล้ว, แถมจากนิสัยของซานดร้า, เธอคงไม่อยากถูกกอร์ดอนจัดการแน่ๆ


 


ถ้าพวกเขาต่อสู้กันเอง, พวกเราก็จะได้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น, ในสถานการณ์แบบนี้, เอริคก็คงจะไม่ทำการเคลื่อนไหวห่ามๆเหมือนกัน


 


ในขณะที่พวกเราต้องออกจากเมืองหลวง, ก็ให้พวกพี่ๆลดทอนอำนาจกันเองตามที่สบายใจ


 


ด้วยความคิดเช่นนี้, ฉันก็หยิบเศษคุกกี้เข้าปาก


 


………………….


*ประโยชน์ตกอยู่กับชาวประมง (漁夫の利gyofu no ri) เป็นสำนวนญี่ปุ่นมีความหมายประมาณว่ามีคนทะเลาะกันแล้วผลประโยชน์ไปตกอยู่กับบุคคลที่สาม มาจากนิทานเรื่องหอยกับนกกระสา นกกระสาจะกินหอยแต่ถูกหอยงับปากเอาไว้ แล้วชาวนามาเห็นเลยจับไปทั้งหอยและนกกระสา

 

 

 


ตอนที่ 22

 

“เป็นความจริงหรอ!?”


 


จักรพรรดิโยฮันเนสผลักเอกสารที่เอิร์ลเบลส์ส่งมาไปทางรัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรม


 


เปลวเพลิงแห่งความโกรธกำลังครุกรุ่นอยู่ในดวงตาของเขา


 


รัฐมนตรีที่ถูกจับได้เรื่องมีกิ้กคุกเข่าและขออภัยโทษในทันที


 


“โปรดอภัยให้ข้าด้วย, ฝ่าบาท! ข้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์!”


 


“การไปยุ่งกับภรรยาของคนอื่นถือเป็นอาชญากรรม! ในฐานะรัฐมนตรี, เจ้าก็น่าจะรู้เรื่องนี้ไม่ใช่หรอ!? ยิ่งไปกว่านั้น, เธอยังเป็นภรรยาของลูกน้องเจ้าไม่ใช่รึไง!? นี่เจ้าคิดบ้าอะไรอยู่!?”


 


“คะ, คือว่า…..เบ, เบทิน่าเป็นคนเข้าหาข้าครับ! ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย! ข้าถูกล่อลวง! นี่ต้องเป็นฝีมือของคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าแน่ๆ”


 


“นี่เจ้าคิดว่าการเล่นชู้กับภรรยาของลูกน้องตัวเองเพราะถูกเธอล่อลวงมันจะไม่เป็นอะไรหรอ!? แล้วถ้าหนึ่งในสนมของข้าไปอ่อยเจ้า, เจ้าจะมีอะไรกับสนมคนนั้นรึเปล่า!?”


 


“นะ, นั่นมัน……..”


 


“ก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ! ตัวเองไม่ซื่อสัตย์เองแล้วไปโทษผู้หญิงได้ยังไง!?”


 


ความโกรธของโยฮันเนสไปถึงจุดไม่สามารถหยุดได้แล้ว


 


เขาอุตส่าห์ไว้วางใจรัฐมันตรีคนนี้ให้ทำงานด้วยมาเป็นเวลาตั้งหลายปี แถมเขายังแนะนำลูกสาวของเพื่อนสนิทให้มาเป็นภรรยาของเขาด้วย, ความจริงที่ว่ารัฐมนตรีตอบแทนความไว้วางใจของเขาแบบนี้มันทำให้เขาโกรธอย่างถึงที่สุด


 


แต่เหตุผลมันไม่ใช่แค่นั้น คู่ขาที่เขาเล่นชู้ด้วยก็คือภรรยาของเอิร์ลเบลส์, ชายที่เขาจับตาดูอยู่, ชายผู้ซึ่งถูกภรรยาทำให้เจ็บปวด


 


เขาเป็นคนที่ไฟเขียวเรื่องการสอบสวนภรรยาของเอิร์ล เขาถึงกับบอกเอิร์ลที่ไม่เต็มใจว่าถ้ามีปัญหาอะไรเขาจะเป็นคนที่ดำเนินการตัดสินด้วยตัวเอง แค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่าเขาถูกใจเอิร์ลมากแค่ไหน


 


สมมุติฐานหลักในแผนการของซานดร้าขึ้นอยู่กับว่าโยฮันเนสไว้ใจเอิร์ลมากแค่ไหน เธอใช้ความจริงที่ว่าจักรพรรดิเชื่อในตัวเอิร์ลเบลส์ว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายหัวหน้าของเขาและความจริงที่ว่า, ตัวเอิร์ลเป็นคนนิสัยแบบนี้


 


ซึ่งนี่เองก็เป็นสาเหตุที่ในสายตาของโยฮันเนส, เรื่องนี้จึงดูเหมือนว่ารัฐมนตรีพยายามต้อนลูกน้องมากฝีมือของเขาให้จนมุมด้วยการใช้ภรรยาของลูกน้องเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเอง


 


ถ้ามองในแง่นี้, ทุกสิ่งจะเป็นไปตามแผนของซานดร้า โดยปกติ, มันคงจะมองได้ว่าเอิร์ลกำลังใช้ภรรยาของเขาเพื่อใส่ร้ายเจ้านายแต่เนื่องจากความไว้ใจของโยฮันเนสที่มีต่อนิสัยของเอิร์ลมันจึงดูไม่น่าจะเป็นแบบนั้น


 


นอกจากนี้, โยฮันเนสที่ได้ฟังความเจ็บปวดจากภรรยาของเอิร์ลมาแล้วก็รู้สึกสงสารเอิร์ลเบลส์ด้วย


 


และมันก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้การตัดสินใจของโยฮันเนสรวดเร็วถึงขนาดนี้


 


“ลงจากตำแหน่งซะ! กลับไปที่บ้านของเจ้าแล้วรอรับการลงโทษได้เลย!”


 


“ดะ, ได้โปรดอภัยข้าด้วย! อภัยให้ข้าด้วยเถอะครับ, ฝ่าบาท!”


 


“เรียกเอิร์ลเบลส์มาที่นี่!”


 


โยฮันเนสประกาศโดยไม่มีทีท่าว่าเขาจะผ่อนผันโทสะของเขา


 


เอิร์ลเบลส์ที่ดูเหมือนจะตัวหดลงเล็กน้อย, เข้ามาอยู่เบื้องหน้าโยฮันเนส


 


และในตอนนั้นเอง, เอิร์ลเบลส์ก็พูดขอโทษ


 


“ข้าขอโทษจริงๆครับ! ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ทั้งหมดเป็นเพราะข้าดูแลอดีตภรรยาไม่ดีพอ!”


 


“เบลส์….เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน? เจ้าไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ซักหน่อย”


 


“ตะ, แต่ว่า……”


 


“ข้าเชื่อเจ้า เจ้าอาจจะใสซื่อเกินไปจนถูกผู้หญิงไม่ดีหลอกแต่ข้าก็ชอบนิสัยนั้นของเจ้านะ ข้าชื่นชมในความจริงจังและความตั้งใจที่เจ้าแสดงออกมาในงานของเจ้า ข้าอยากให้คนอย่างเจ้าได้เป็นรัฐมนตรี เอาแบบนี้เป็นไง, สนใจจะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรมให้ข้าไหม?”


 


“ข้า, ข้ารับตำแหน่งใหญ่โตขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ! ภรรยาของข้าเป็นคนก่อความผิดนี้! ได้โปรดช่วยละเว้นโทษเถอะนะครับฝ่าบาท!”


 


“เธอไม่ใช่ภรรยาของเจ้าอีกแล้ว ยิ่งกว่านั้น, รัฐมนตรีเองก็มีความผิดร่วมในเรื่องนี้ด้วย ต่อให้ถูกล่อลวงเขาก็ไม่มีทางได้รับอภัยโทษ ข้าไม่มีความตั้งใจจะลงโทษเจ้าสำหรับเรื่องนี้และข้าจะลงโทษใครก็ตามที่ว่าร้ายเจ้าด้วย”


 


“ฝะ, ฝ่าบาท…..”


 


“ข้าจะสั่งอีกครั้ง ข้าขอแต่งตั้งเอิร์ลเบลส์เป็นรัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรม เจ้าต้องทำงานให้หนักขึ้นกว่าเมื่อก่อนเพื่อจักรวรรดินี้”


 


“…..ข้าจะไม่มีวันลืมความเมตตาของจักรพรรดิเลยครับ ภายใต้ชื่อของตระกูลเบลส์ได้โปรดให้ข้าได้รับหน้าที่นี้ด้วย”


 


ด้วยประการฉะนี้เองเอิร์ลเบลส์ก็รับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรม


 


โยฮันเนสพูดคุยกับเขาต่ออีกสักพักและก็ปล่อยให้เอิร์ลกลับไป


 


จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวพิงบัลลังก์แล้วถอนหายใจออกมา


 


“ในที่สุดมันก็รุนแรงขึ้นจนได้สินะ”


 


“ฟรานซ์หรอ….”


 


คนที่มาปรากฎตัวเบื้องหน้าเขาโดยไม่ขอคำอนุญาตคือชายที่มีอายุพอๆกับโยฮันเนส


 


ชายคนนี้มีผมสีเงินซีดและสวมชุดสีขาวเหมือนกับรัฐมนตรี ในจักรวรรดินี้มีแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้สวมใส่มัน


 


หัวหน้าของข้าราชการทุกคน, นายกรัฐมนตรี


 


ชื่อของชายคนนี้คือฟรานซ์ ซีเบค ถ้าดูจากชื่อของเขาที่ไม่มี ‘ฟ็อน’ ก็คงเดากันได้, ชายคนนี้ไม่ใช่ขุนนาง ด้วยสติปัญญาของเขาเพียงอย่างเดียว, เขาคือชายที่สามารถไต่เต้าจากการเป็นลูกชายของเจ้าของโรงแรมมาจนถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในจักรวรรดิได้


 


โยฮันเนสเริ่มพูดกับฟรานซ์


 


“การแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสงครามผู้สืบทอดเสมอมา รัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ ณ ตอนนี้ก็น่าจะรู้กันดีทุกคน และมันก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องระวังตัวให้ดี การถูกภรรยาของลูกน้องตัวเองล่อลวงนี่ยิ่งตัดออกไปได้เลย เพราะสุดท้ายแล้วเขาจะนำอันตรายมาสู่จักรวรรดิ ถ้าข้าไม่หาคนมาแทนที่เขาซะตั้งแต่ตอนนี้, ความเสียหายอาจจะกระจายมาถึงข้าด้วย”


 


“ข้าไม่มีอะไรจะบ่นท่านเกี่ยวกับการจัดการเรื่องของรัฐมนตรีครับ แต่ว่า, ในตอนที่ท่านแต่งตั้งเอิร์ลเบลส์เป็นรัฐมนตรีท่านกำลังคิดอะไรกันแน่? เห็นๆอยู่ว่าเรื่องนี้มันอาจจะมีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังนะครับ”


 


ในสายตาของฟรานซ์, ที่เป็นลูกน้องของโยฮันเนสมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเจ้าชาย, สภาพแวดล้อมของเอิร์ลคนนี้มันดูน่าสงสัยไปหมด


 


เหตุผลที่เขาไม่ได้ตรวจสอบอะไรลึกก็เพราะเขาถูกกันไม่ให้แทรกแซงสงครามผู้สืบทอด ไม่อย่างนั้น, เขาก็คงจะทำการสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว


 


“ต่อให้เป็นแผนของใครบางคนข้าก็ไม่ถือสาหรอก ตัวเบลส์นั้นมีความสามารถในสายงานนี้แล้วเขาก็ไม่น่าจะเป็นคนที่คิดแผนขึ้นมาเองด้วย ถ้ามองในมุมนี้, ข้าไม่มีปัญหาในการยกตำแหน่งให้เขา ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าพวกเขาไม่สามารถคิดแผนการแบบนี้ได้บ้างเลย, พวกเขาก็คงไม่เหมาะกับตำแหน่งจักรพรรดิหรอก”


 


“ที่พูดมานั่นมันแปลกๆนะครับ? ข้าไม่ใช่หรอที่เป็นคนคิดแผนทั้งหมดในตอนที่ฝ่าบาทยังเป็นเจ้าชายอยู่?”


 


“นั่นแหล่ะคือการเป็นจักรพรรดิ พลังในการมองพรสวรรค์ของผู้อื่น, พลังในการฝากฝังผู้อื่น, ไม่ว่าสิ่งไหนก็คือสิ่งจำเป็นสำหรับการเป็นจักรพรรดิ ข้าก็แค่เล็งเห็นถึงพรสวรรค์ของเจ้าได้เร็วเท่านั้นเอง ข้าก็เลยฝากเรื่องแผนการทั้งหมดไว้กับเจ้า และก็ต้องขอบคุณที่ทำแบบนั้น, ข้าก็เลยเป็นคนที่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้”


 


“ช่วยอย่าล้อเล่นแบบนั้นสิครับ ต่อให้ข้าไม่อยู่, ฝ่าบาทก็คงจะชิงบัลลังก์มาได้เหมือนกันนั่นแหล่ะ ท่านหน่ะฉลาดเป็นกรดจะตาย”


 


พอพูดจบ, ฟรานซ์ก็นึกย้อนถึงอดีตไปพักนึง โยฮันเนสเองก็เช่นกัน


 


พวกลูกๆกำลังพยายามเดินตามเส้นทางที่พวกเขาเคยผ่าน มันคือเส้นทางที่ชโลมไปด้วยเลือด เขารู้เรื่องนี้ดีแต่โยฮันเนสก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้


 


ที่โยฮันเนสเป็นอย่างทุงวันนี้ได้มันก็เพราะการต่อสู้ชิงบัลลังก์ ในตอนที่เขาได้กลายเป็นจักรพรรดิหลังจากที่ผ่านประสบการณ์พวกนั้นมา, มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขกับชีวิตอย่างถึงที่สุด


 


แน่นอนว่าจักรวรรดินี้คือประเทศทรงอำนาจแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไร้ซึ่งคู่แข่ง มันยังมีคู่แข่งอยู่และต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ดังนั้นมันจึงต้องการจักรพรรดิที่ทั้งแข็งแกร่งและยอดเยี่ยม ซึ่งสงครามผู้สืบทอดก็คือบททดสอบเพื่อเป้าหมายนั้น, มันคือการฝึกจริงก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นจักรพรรดิ


 


ถ้าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้พวกเขาก็จะไม่มีสิทธิได้เป็นจักรพรรดิ มันคือสิ่งที่เหมือนกับวัฒนธรรมที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น


 


“ฝ่าบาทแกล้งทำตัวเป็นคนโง่นี่ครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์โตสุด, แต่ฝ่าบาทก็เคยถูกเรียกว่าเจ้าชายจอมเสเพลไม่ใช่หรอครับ?”


 


“การเป็นผู้นำในสงครามผู้สืบทอดมันอันตรายนะ แถมความเสี่ยงที่จะถูกลอบสังหารก็สูง ลูกชายของข้าเองก็น่าจะโดนแบบนั้นเหมือนกัน…….”


 


“พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่บ่งบอกว่ามงกุฎราชกุมารถูกลอบสังหารได้นะครับ ทั้งข้าและท่านต่างก็สืบสวนทุกอย่างโดยคำนึงถึงเรื่องนั้น แต่ถึงแม้จะทำไปตั้งขนาดนั้นแล้ว, ท่านก็ยังสงสัยว่าเขาจะถูกลอบสังหารอีกหรอครับ?”


 


“ใช่, ข้ามั่นใจเลยหล่ะ มงกุฎราชกุมารถูกลอบสังหารแน่ๆ เขาเป็นคนเก่งแต่ก็มีจิตใจดีมากเกินไป ต้องมีคนใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้นแน่ๆ ข้าเองก็หวังอยู่ว่าอย่างน้อยน่าจะมีลูกสักคนที่สามารถชดเชยส่วนนั้นของเขาได้”


 


“มันคงเป็นเพราะโชคชะตานั่นแหล่ะครับ แต่จะว่าไป, ท่านคิดว่าขุมอำนาจที่สี่ดูน่าสนใจดีไหมครับ?”


 


โยฮันเนสยิ้มให้กับคำพูดของฟรานซ์


 


ซึ่งมันเป็นเพราะโยฮันเนสเห็นด้วยกับเขา


 


“เจ้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันสินะ? ในแวบแรก, มันอาจจะดูเหมือนเป็นเพราะพลังจากนิสัยของลีโอนาร์ดแต่ข่าว่ามันต้องมีใครสักคนที่คอยเคลื่อนไหวอยู่หลังฉากแน่ๆ ไม่อย่างนั้น, ขุมอำนาจของเขาคงไม่สามารถแผ่ขยายได้เร็วขนาดนี้หรอก”


 


“หรือว่าท่านกำลังนึกถึงองค์ชายอาร์โนลด์?”


 


“ใช่, เขาเป็นคนที่คล้ายกับข้าจริงๆ ข้ามีความรู้สึกว่าเขาแค่แกล้งทำตัวเหมือนเป็นคนไม่ได้ความ”


 


“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกับครับแต่เขาไม่ได้เหมือนกับฝ่าบาทซะทีเดียว, ข้าไม่รู้สึกถึงความทะเยอทะยานเพื่อให้ได้บัลลังก์จากตัวเขาเลย ยิ่งไปกว่านั้น, มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังดูถูกตัวเองอยู่ อันที่จริง, เขาไม่เคยทำอะไรเพื่อเป็นการตอบโต้ไม่ว่าจะมีใครทำอะไรกับเขาก็ตาม และตอนนี้, เขาก็ถูกขุนนางทุกคนดูถูกเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยครับ”


 


“ข้าไม่รู้หรอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่แต่ในช่วงวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด, เขาเป็นคนแรกที่เคลื่อนไหวและส่งเอลน่ามาหาข้า ยิ่งไปกว่านั้น, เขายังทำลายกำไลของตัวเองเพื่อที่เอลน่ากับพวกอัศวินจะได้ไม่ถูกกล่าวโทษในกรณีที่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นด้วย นี่คือหลักฐานที่บ่งบอกว่าเขาพิจารณาผลลัพธ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นที่เคียร์ ดังนั้นอย่างน้อยที่สุด, เขาก็ไม่น่าจะใช่คนไร้ค่าเหมือนที่สาธารณะเขาพูดกัน แต่ก็แน่นอนว่า, มันอาจจะเป็นเพราะข้าประเมินสูงเกินไปด้วย”


 


“แล้วท่านจะให้เขาไปช่วยองค์ชายลีโอนาร์ดทำไมหล่ะครับ? แบบนั้นมันไม่เป็นผลดีเลยไม่ใช่หรอ? มันจะทำให้ไม่มีคนอยู่คอยเคลื่อนไหวขุมอำนาจขององค์ชายลีโอนาร์ดในตอนที่เขาไม่อยู่นะครับ”


 


“ก็นะ, ข้ายอมรับว่าตอนนั้นมีอารมณ์มาเกี่ยวข้องด้วยนิดหน่อย ข้าไม่ชอบท่าทีไม่สนโลกที่อาร์โนลด์แสดงออกมาทางสีหน้า เขาทำหน้าเหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขา, มันเป็นแบบที่ชวนให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดหน่ะ….”


 


ฟรานซ์กำลังจะพูดว่า, ‘ที่ท่านหงุดหงิดมันก็เพราะเขาคล้ายท่านไม่ใช่หรอ?’ แต่เขาก็กลืนคำพูดพวกนี้กลับไปในทันที


 


เอาจริงๆต่อให้พูดออกมาเขาก็คงจะปฏิเสธอยู่ดี


 


แต่ว่า, ฟรานซ์รู้


 


อาร์โนลด์นั้นคล้ายกับโยฮันเนสมากกว่าที่เขาคิดซะอีก


 


ความแตกต่างก็คือว่าโยฮันเนสมีความตั้งใจ ความตั้งใจที่จะกลายเป็นจักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม, เขาไม่รู้สึกถึงความตั้งใจเช่นนี้จากอาร์โนลด์เลย


 


พวกที่ไม่มีความตั้งใจหรือความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งมีแต่จะนำพาสนามรบไปสู่ความโกลาหล และมันจะยิ่งหนักขึ้นถ้าพวกเขามีอำนาจ


 


ถ้าอาร์โนลด์มีความปราถนาอันแรงกล้า, เขาก็จะเอาชนะวิกฤติการณ์นี้ด้วยทุกสิ่งที่เขามี และนั่นก็คือสิ่งที่โยฮันเนสอยากจะเห็น


 


คงจะต้องรอให้พวกเขาผ่านทุกอย่างให้ได้ก่อน, โยฮันเนสถึงจะยอมรับอาร์โนลด์กับลีโอนาร์ดได้


 


“หวังว่าองค์ชายแฝดม้ามืดของพวกเราจะโชว์อะไรเด็ดๆให้ดูในเร็วๆนี้นะครับ”


 


“แฝดม้ามืดหรอ…..ข้าชอบชื่อนี้นะ สองคนนั้นก็เหมือนกับเป็นหนึ่งเดียวกัน ลีโอนาร์ดผู้ชอบธรรมที่ให้ความรู้สึกเหมือนมงกุฎราชกุมาร ถ้าอาร์โนลด์เคลื่อนไหวในเงามืดและคอยช่วยเหลือเขา, พวกนั้นอาจจะชิงบัลลังก์สำเร็จจริงๆก็ได้”


 


“ไม่รู้สินะครับ องค์ชายกับองค์หญิงคนอื่นๆที่เดินบนเส้นทางนี้ก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ถ้าเกิดกันคนละยุค, แล้วทุกคนได้เป็นจักรพรรดิหมดก็ไม่แปลกใจเลยครับ, ตอนนี้โอกาสชนะใกล้เคียงกันมาก”


 


“แบบนี้ก็ดีแล้ว เมื่อคนที่ยอดเยี่ยมชิงบัลลังก์ได้, จักพรรดิที่ชาญฉลาดก็จะถือกำเนิดขึ้น และจักรวรรดิก็จะปลอดภัย”


 


สำหรับโยฮันเนสที่คำนึงถึงจักรวรรดิอยู่เสมอ, มันถือเป็นข่าวดีจริงๆ


 


แต่ในใจของโยฮันเนสนั้น, เขามีอีกความรู้สึกนึง


 


เขาหวังว่าพวกลูกๆจะไม่เสียเลือดเนื้อจนมากเกินไป


 


ด้วยความที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าเขาไม่สามารถพูดความรู้สึกเช่นนี้ออกมาได้เพราะเป็นจักรพรรดิ, โยฮันเนสก็ออกไปประชุมเรื่องต่อไป

 

 

 


ตอนที่ 23

 

“รายงานครับ! ไวส์เคานท์เฮลเมอร์กำลังขยายอิทธิพลของเขาครับ!”


 


“ส่งคนไปเกลี้ยกล่อมพวกเขา! อย่ายอมให้อิทธิพลอื่นมาทำให้เราไขว้เขวได้!”


 


“รายงานครับ! กัปตันเรอเมอร์ของกองรักษาการณ์หลวงถูกองค์หญิงซานดร้าแย่งตัวไปแล้วครับ!”


 


“อะไรนะ!? หนอย! พวกเราจะปล่อยให้มีคนหนีไปอีกไม่ได้! ใช้กำลังคนทั้งหมดที่พวกเราสามารถเคลื่อนไหวได้, พวกเราต้องปกป้องผู้สนับสนุนของเรา! ข้าเองก็จะเคลื่อนไหวด้วย!”


 


ตอนกลางคืน, ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ, การต่อสู้กำลังเกิดขึ้นอยู่


 


ตั้งแต่ที่ฉันขโมยแผนของซานดร้า, ซานดร้าก็เริ่มขโมยผู้สนับสนุนของลีโอเป็นการแก้เผ็ด


 


ตอนนี้, ลีโอกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการมันอย่างเต็มที่


 


“คงจะหนักมากเลยสินะ”


 


“ช่วยพวกเราหน่อยสิครับท่านพี่! คนที่เริ่มสงครามนี้มันก็คือท่านพี่ไม่ใช่หรอ!?”


 


“ไม่ ไม่ใช่ซักหน่อย, ก็จริงอยู่ที่ข้าเป็นคนแนะนำให้ช่วยเอิร์ลที่น่าสงสารแต่เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรอที่ตกลงจะให้ความช่วยเหลือ? ข้าก็รู้สึกผิดอยู่หรอกที่ผลลัพธ์มันทำให้เกิดการต่อสู้แบบนี้, แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็คงจะมาเล่นงานเราอยู่ดี มันก็ประจวบเหมาะพอดีเลยไม่ใช่หรอ”


 


“ถึงงั้นก็ช่วยหน่อยเถอะครับ……”


 


“ตีกันมันไม่ใช่งานถนัดของข้า ถึงยังไงก็ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้อยู่แล้ว”


 


“ถ้าไม่มีอะไรที่ท่านพี่ทำได้, ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกันแหล่ะ”


 


“นี่, นี่, ถ่อมตัวมากเกินไปก็ไม่ดีนะ, ถ้าเจ้าเป็นคนออกหน้าด้วยตัวเอง, ผู้สนับสนุนของเจ้าก็คงจะลังเลไม่กล้าออกจากขุมอำนาจของเจ้าหรอก และสุดท้ายแล้ว, ที่เหลืออยู่ก็จะมีแค่คนที่คิดสนับสนุนเจ้าอย่างแท้จริง, เถอะหน่า, พยายามเข้า”


 


“พูดเหมือนเป็นคนนอกเลยนะครับ จริงๆเลย, ข้ามั่นใจได้ใช่ไหมว่าท่านพี่จะช่วยข้าเรื่องงานทูต?”


 


พอพูดจบลีโอก็สวมเสื้อคลุมแล้วออกจากห้องไป


 


เมื่อเห็นแบบนี้, ฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


ซานดร้าโจมตีพวกเราแต่คนที่เป็นศูนย์กลางอำนาจของเรายังไม่เคลื่อนไหว คนที่ถูกดึงตัวไปนั้นมีแค่พวกที่เพิ่งจะมาสนับสนุนพวกเราเท่านั้น การเสียคนพวกนี้ไปไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงกับอิทธิพลของฝั่งเราเลย


 


ปัญหาก็คือว่าจะรักษาคนที่เป็นตัวหลักในขุมอำนาจของพวกเรายังไงดี เอาเถอะ, นี่มันเป็นงานของลีโอ


 


สิ่งที่ฉันต้องคิดในตอนนี้ก็คือว่าศัตรูกำลังวางแผนอะไรอยู่หลังฉาก


 


“เซบาส”


 


“มีอะไรหรอครับ”


 


“ถ้าเจ้าเป็นซานดร้าเจ้าจะทำอะไร? แล้วเจ้าจะเล็งใคร?”


 


“ถ้าเป็นข้า, ข้าจะไม่โจมตีเลยครับ เพราะถึงยังไงมันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า, ข้าสามารถใช้อุบายอื่นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดียวกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าหากข้าคิดวางแผนจะทำอะไรบางอย่างจริงๆข้าก็คงจะรอให้เวลาผ่านไปซักพักก่อน ถึงยังไงข้าก็เชื่อว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือการรักษาผู้สนับสนุนของตัวเอง”


 


“ข้ารู้แต่คนที่พวกเรากำลังมีเรื่องอยู่ด้วยคือซานดร้าที่ตอนนี้กำลังเลือดขึ้นหน้านะ ถ้าเป็นแบบนี้เจ้าคิดว่าเธอจะวางแผนอะไรหล่ะ?”


 


หลังจากไตร่ตรองคำถามของเขาอยู่พักนึง, เซบาสก็มองไปที่ถุงขนมบนโต๊ะแล้วพึมพำออกมา


 


รู้สึกตัวแล้วหรอ ก็คงจะใช่หล่ะนะ ไม่ว่าใครก็คงจะรู้สึกตัวถ้าได้ใช้ความคิดซักเล็กน้อย


 


“คงเป็นท่านฟีเน่สินะครับ ถ้าเป็นข้าก็คงจะเล็งท่านฟีเน่”


 


“ตามนั้น มีแค่การที่ฟีเน่ออกจากขุมอำนาจของพวกเราเท่านั้นพวกเราถึงจะจบสิ้นกันจริงๆ ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายตั้งใจจะเล่นงานใครสักคนหล่ะก็คนๆนั้นคงจะไม่พ้นฟีเน่


 


“ครับ แต่ว่า, ถ้าอีกฝ่ายไปโจมตีฟีเน่ง่ายๆพวกเขาก็จะมีปัญหาเอาไม่ใช่หรอ”


 


“ก็นะ, ท่านพ่อคงจะไม่ปล่อยผ่านไปเฉยๆแน่ แต่, สมมุติว่า, ฟีเน่ถูกโจรบางคนโจมตีในตอนที่เธอพยายามจะปกป้องผู้สนับสนุนของเราหล่ะ? ถ้าเป็นแบบนั้นความโกรธของท่านพ่อก็จะตรงมาที่เราแทนถูกไหม?”


 


“ถ้างั้นพวกเราจะทิ้งท่านฟีเน่เอาไว้ในปราสาทหรอครับ? ถึงข้าไม่เห็นว่าจะทำแบบนั้นก็เถอะ”


 


“ไม่, ข้าได้ส่งเธอไปยังที่ปลอดภัยแล้ว จะบอกว่าที่นี่ปลอดภัยแน่นอนก็ไม่ได้เหมือนกัน, ข้าคงจะมีปัญหาแน่ถ้าอีกฝ่ายใช้คนจากปราสาทแอบพาตัวเธอออกไปข้างนอก”


 


ความปลอดภัยที่ปราสาทดาบหลวงนั้นครอบคลุมดีแล้ว แต่มันใช้ได้แค่กับภัยคุกคามจากภายนอกเท่านั้น มันไม่สามารถนำหลักการเดียวกันมาใช้กับคนในได้ อันที่จริง, ความปลอดภัยของชั้นบนที่ซึ่งจักรพรรดิอาศัยอยู่นั้นอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบแต่แค่เพราะมีอันตรายก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะส่งฟีเน่ไปหาเขา


 


“ที่ปลอดภัยสินะครับ? เท่าที่ข้ารู้, ข้าคิดว่าสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือข้างตัวท่านไม่ใช่หรอครับ?”


 


“ไม่ได้หรอก, ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าข้าคือคนที่ดึงตัวเอิร์ลเบลส์มาเข้าร่วมกันฝั่งเรา, คนที่ซานดร้าอยากฆ่าทิ้งมากที่สุดในตอนนี้ก็คงจะเป็นข้านั่นแหล่ะ ข้าไม่สามารถให้เธอมาอยู่ใกล้ตัวทั้งๆที่รู้เรื่องนั้นได้หรอก”


 


“เข้าใจแล้วครับ, แบบนี้ก็แสดงว่าการดึงตัวเอิร์ลเบลส์มาอยู่ฝั่งเรามันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอครับ? ถึงยังไงมันก็มีความเป็นไปได้ที่องค์หญิงซานดร้าจะสังเกตเห็นว่าท่านซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้นะครับ ข้าเองก็ไม่คิดว่าการดึงตัวเอิร์ลมาจะคุ้มกับความเสี่ยงนี้เหมือนกัน”


 


“ถึงยังไงก็ไม่สามารถปกปิดความจริงเรื่องนั้นไปได้ตลอดอยู่แล้ว, บางทีท่านพ่อเองก็น่าจะเริ่มรู้สึกตะหงิดๆตั้งแต่ตอนที่ข้าส่งเอลน่าไปหาเขาแล้วด้วย ยิ่งไปกว่านั้น, อีกฝ่ายจะรู้ว่าเจ้าเคยเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงมาก่อนด้วยการสืบค้นเพียงเล็กน้อย ตอนนี้, ข้าจะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเรื่องทุกอย่างมันเป็นแผนการของเจ้าไปก่อนซักพักนึง”


 


“ถ้าท่านดูถูกพวกพี่ๆของท่านมากเกินไปท่านจะซวยเอาได้นะครับ ท่านก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอว่าการมองโลกในแง่ดีเป็นสิ่งต้องห้าม? ถึงยังไงพวกพี่ทั้งสามคนของท่านก็มีเลือดของท่านพ่อที่ท่านนับถือไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของพวกเขาเหมือนกันนะครับ”


 


“ข้ารู้ ไม่ต้องห่วงหรอก, ข้าไม่ได้ดูถูกพวกนั้นซักหน่อย แต่ว่า, ข้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีใครรู้ถึงความสามารถของพวกนั้นดีกว่าข้า”


 


มันเป็นเพราะฉันระวังอย่างถึงที่สุดฉันถึงเลือกที่จะให้เธออยู่ห่างจากฉัน


 


การโจมตีของซานดร้าในครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่ฟีเน่อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเธอไม่สามารถแย่งตัวฟีเน่ไปจากฉันได้เธอก็จะแย่งผู้สนับสนุนของเราไปเรื่อยๆ เอาเถอะ, มันคงจะเกิดความเสียหายกับขุมอำนาจของเราไม่มากก็น้อยแต่มันก็ยังดีกว่าการเสียฟีเน่ไปอย่างแน่นอน


 


“ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้ดูถูกพวกเขาจริงๆสินะครับ ท่านดูจริงจังมากกว่าปกติ หรือว่ามันเป็นเพราะมีท่านฟีเน่มาเกี่ยวข้องด้วย?”


 


“ก็นะ มันก็ใช่อยู่หรอก ฟีเน่เป็นลูกสาวของดยุคไคลเนลต์ ถ้าเธอถูกแย่งตัวไปได้ในครั้งนี้ก็ไม่ต่างกับการที่เราถอนตัวจากการแข่งนั่นแหล่ะ”


 


“เป็นแบบนั้นแน่หรอครับ? ท่านรู้เป้าหมายของอีกฝ่ายแล้ว, ถ้าเป็นท่านอาร์โนลด์ตามปกติก็คงจะตอบโต้ในทันที แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ท่านจะไม่เตรียมการตอบโต้แบบนั้น, แต่ท่านยังวางแผนป้องกันที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ด้วย ที่ทำแบบนี้มันก็เพราะท่านไม่อยากเห็นท่านฟีเน่ตกอยู่ในอันตรายไม่ใช่หรอครับ?”


 


“นี่เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”


 


“เปล่านี่ครับ, ข้าแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ท่านมิทสึบะเองก็คงจะมีความสุขเหมือนกัน”


 


เมื่อฉันคิดจะพยายามจะอธิบายเซบาส, ฉันก็ปิดปากในทันทีในตอนที่เห็นใบหน้าที่บ่งบอกว่าเข้าใจทุกอย่างของเขา


 


มันเห็นได้ชัดว่าไม่ว่าฉันจะพูดอะไรกลับไปพ่อบ้านคนนี้ก็จะยังเถียงกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่ดี


 


นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฉันเริ่มเตรียมตัวออกไปข้างนอกโดยไม่พูดอะไรอีก


 


“ท่านจะออกไปข้างนอกหรอครับ?”


 


“ใช่, มีพ่อบ้านบางคนบอกข้าว่าอย่าดูถูกศัตรูข้าก็เลยจะออกไปตรวจสอบความปลอดภัยซักหน่อย”


 


“วิเศษไปเลยครับ แล้วก็ถ้าท่านบอกเธอว่ากำลังเป็นห่วงเธอในตอนที่ไปหา, มันก็จะยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้อีกนะครับ”


 


“ใครจะไปพูดกัน”


 


“แบบนั้นคงน่าเสียดายแย่เลยนะครับ ว่าแต่, ท่านซ่อนท่านฟีเน่เอาไว้ที่ไหนหรอครับ?”


 


“สถานที่ที่เจ้าเองก็รู้จักดี มันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองหลวงของจักรวรรดิและยังเป็นที่ที่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิอาศัยอยู่ด้วย”


 


“ที่นั่นนี่เอง คฤหาสน์แอมส์เบิร์กสินะครับ แน่นอนว่า, คงไม่มีใครกล้าแตะต้องสถานที่แห่งนั้นอยู่แล้ว”


 


ด้วยประการฉะนี้เอง


 


ฉันกับเซบาสที่เข้าใจเหตุการณ์แล้วก็มุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์แอมส์เบิร์ก


 


……………..


 


ที่พักของแอมส์เบิร์กอยู่ใกล้กับปราสาท


 


ในตอนที่ฉันไปถึงคฤหาสน์ฉันก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในทันที ในบรรดาเจ้าชายทั้งหลาย, คนที่พวกเขาอนุญาตให้เข้าไปได้ง่ายขนาดนี้น่าจะมีแค่ฉัน


 


 


เอลน่า, ฉันแล้วก็ลีโอเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันแต่ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก, คนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขามากที่สุดก็คือฉัน


 


ฉันไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เอลน่าทำฉันร้องให้ในขณะที่ลากฉันเข้าไปในคฤหาสน์หลังนี้


 


หลังจากเป็นแบบนั้นอยู่สักพัก, อัศวินที่หน้าประตูก็เริ่มพูดยินดีต้อนรับกลับครับในทุกๆครั้งที่เห็นฉัน ในตอนนั้น, ความเคยชินของพวกเขาทำให้รู้สึกสยองเลยหล่ะ


 


แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันมาเยี่ยมในช่วงไม่กี่ปีมานี้, แต่คนเฝ้าประตูก็ยังคงพูดกับฉันว่ายินดีต้อนรับกลับครับ ถึงยังไงสำหรับคนในบ้านนี้, ฉันก็เป็นเพื่อนของเจ้าหญิงที่แสนน่ารักของพวกเขาหล่ะนะ


 


“พอมาคิดดูดีๆ, การบอกเด็กที่กำลังร้องให้อยู่ว่ายินดีต้อนรับกลับมันก็ยังไงอยู่นะ…..”


 


“จากมุมมองของผู้ใหญ่, คงเห็นว่าเด็กๆดูสนิทกันดีหล่ะมั้งครับ”


 


“แล้วเจ้าคิดว่าไง?”


 


“ก็เข้าใจอยู่หรอกครับว่าท่านอาร์โนลด์ไม่ชอบ, แต่ข้าก็คิดแบบนั้นหล่ะครับ”


 


“…….”


 


คำว่า ‘เลิกพูดแบบนั้นเถอะ’ กำลังจะหลุดออกจากปากของฉันแต่ฉันก็กลืนมันกลับไป ถึงฉันจะพูดในสิ่งที่เหมาะสมออกไปก็คงจะถูกปล่อยผ่านอยู่ดี แถมมันก็เป็นเรื่องตั้งแต่อดีตแล้วด้วย, และก็ต้องขอบคุณอดีตนั้น, ฉันถึงสามารถฝากฝังฟีเน่เอาไว้กับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย


 


ด้วยความคิดนี้ในหัว, ฉันก็มาถึงทางเข้า มีผู้หญิงคนนึงที่มีผมสีเดียวกับเอลน่ายืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเธอมีสีฟ้า เธอยังดูสาวและมีหน้าตาที่งดงาม ถ้าไม่มีใครพูดอะไร, ก็คงจะคิดว่าเธอเป็นพี่สาวของเอลน่า……


 


“ไม่เจอกันนานเลยนะ, อัล”


 


“ขอโทษที่ไม่ได้แวะมาเลยนะครับคุณอันนา”


 


“เซบาสก็ยังเหมือนเดิมสินะ?”


 


“ครับ คุณนายแอมส์เบิร์ก”


 


คนๆนี้คือแอนนา ฟ็อน แอมส์เบิร์ก เธอเป็นภรรยาของหัวหน้าตระกูลแอมส์เบิร์กแล้วก็เป็นแม่ของเอลน่า


 


แม่ของฉันเองก็แทบจะเหมือนกันแต่ความสาวของคนๆนี้มันน่าอัศจรรย์จริงๆ มันดูเหมือนกับว่ากระแสเวลาไม่มีผลกับเธอเลย และต้องขอบคุณเรื่องนี้ฉันถึงลังเลที่จะเรียกเธอว่าคุณป้าและจบด้วยการเรียกคุณแล้วต่อด้วยชื่อของเธอแทน


 


คุณแอนนาเชิญฉันเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยรอยยิ้มปนเสียงหัวเราะ


 


“น่าเสียดายที่ตอนนี้สามีของข้าไม่อยู่ อ้ะ, เจ้าเป็นเจ้าชายเต็มตัวแล้วนี่นะ พูดแบบนี้มันอาจเป็นการแสดงความไม่เคารพรึเปล่า?”


 


“ไม่หรอกครับ, ช่วยพูดแบบนี้ต่อไปเถอะครับ ข้าคงจะรู้สึกอึดอัดแน่ถ้าคุณแอนนาเริ่มใช้คำสุภาพกับข้า”


 


“อุ๊ยตาย, ถ้างั้นข้าจะพูดแบบเดิมก็ได้ ตอนนี้เอลน่ากับฟีเน่อยู่ในห้องน้ำ ถ้าสนใจอยากจะเข้าไปด้วยก็ได้นะ ว่าไงจ้ะ?”


 


“ข้ายังไม่อยากตายเพราะฉะนั้นขอนุญาตปฏิเสธนะครับ”


 


“ที่พูดมาดูอันตรายจังเลยนะ เมื่อก่อนก็เคยอาบน้ำด้วยกันไม่ใช่หรอ?”


 


“นั่นมันตอนที่ข้ายังเด็กนี่ครับแล้วคุณก็น่าจะยังจำได้นะว่าข้าเกือบจะถูกเอลน่าทำให้จมน้ำตายในห้องน้ำแล้ว?”


 


“เคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นด้วยนี่นะ ถ้างั้นเจ้ายังจำตอนที่พวกเจ้าร้องไห้ด้วยกันได้รึเปล่า? เจ้าร้องให้ในตอนที่เอลน่าฝึกเจ้าให้เอาชนะเด็กขี้รังแกและมันก็จบลงที่เอลน่าร้องไห้ตามเพราะเจ้าไม่เคยพัฒนาขึ้นเลยไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตาม”


 


“ที่มาถามเอาตอนนี้ดูไม่มีเหตุผลเลยนะครับ”


 


ว่าแล้วเชียว, ยัยนั่นมันศัตรูตามธรรมชาติของฉันชัดๆ


 


มันเป็นเรื่องแปลกที่ฉันไม่ได้เก็บมาเป็นปมร้ายแรงจากตอนนั้น


 


ถ้าฉันมีจิตใจอ่อนแอฉันอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้


 


แล้วก็รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะในตอนที่พูดของยัยนั่นมันเข้าขั้นเลวร้ายเลยหล่ะ


 


“ถ้างั้นตอนนี้, ข้าให้เจ้าไปรอที่ห้องรับแขกข้างในสุดจะดีไหม?”


 


“เข้าใจแล้วครับ”


 


“เซบาส, เจ้ามาช่วยข้าเสิร์ฟชาหน่อยได้รึเปล่า?”


 


“แน่นอนครับ”


 


ความจริงที่ว่าฉันมาที่นี่บ่อยๆก็หมายความว่าเซบาสเองก็ตามมาด้วย


 


เขาเชื่อฟังคุณแอนนาเหมือนกับว่าเขาเป็นพ่อบ้านของเธอ


 


ฉันมุ่งหน้าไปยังห้องรับแขกที่อยู่ลึกสุดตามที่ถูกบอกมาแล้วบิดลูกบิดประตูโดยไม่คิดอะไร


 


อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่ฉันเปิดประตูไปได้เล็กน้อย, ฉันก็รู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ข้างใน นอกจากนี้, ฉันยังได้ยินเสียงผู้หญิงด้วย


 


ฉันคิดว่าคนใช้กำลังจัดเตียงให้อยู่ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจที่จะเปิดประตูเข้าไปเลย


 


ซึ่งมันก็ได้พิสูจน์ว่าตัดสินพลาดซะแล้ว


 


“……”


 


“ท่านเอลน่าสวมชุดเดรสเข้ามากเลย, ต่อไปเรามาลองชุดเดรสสีขาวกันดีไหมคะ”


 


“ฟิ, ฟีเน่…..เจ้าช่วยหยุดเปลี่ยนชุดข้าเหมือนเล่นแต่งตัวตุ๊กตาทีเถอะ…..”


 


ข้างในห้องมีผู้หญิงสองคนที่สวมแค่ชุดชั้นใน ฟีเน่กำลังสวมชุดชั้นในสีขาวในขณะที่ของเอลน่าเป็นสีชมพู, และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ, ของเอลน่านั้นมีลูกไม้เล็กๆน่ารักประดับอยู่ด้วย


 


ผิวของเธอเป็นสีขาวที่ตามปกตินั้นเธอคงจะไม่ได้เผยให้ใครเห็น บางที, พวกเธออาจจะคิดว่ามีแค่ผู้หญิงอยู่ที่นี่ดังนั้นทั้งคู่ก็เลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องปกปิดร่างกายของเธอ เนื่องจากฟีเน่มักจะสวมเสื้อผ้าหลวมๆมันจึงไม่ได้เน้นความเด่นที่หน้าอกของเธอเท่าไหร่นักแต่ดูเหมือนว่าเธอจะมีเสน่ห์มากกว่าที่ฉันคิดซะอีก ส่วนทางด้านของเอลน่านั้นเธอไม่ได้โตขึ้นเลยตั้งแต่ตอนที่ฉันตรวจสอบไปครั้งก่อนแต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบแบบกระทัดรัด


 


ในตอนที่ฉันกำลังคิดเรื่องแบบนั้น, ทั้งสองคนก็สังเกตเห็นฉัน


 


พวกเธออึ้งไปพักนึงแล้วใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในทันที


 


จากนั้นเอลน่าก็คว้าหมอนที่อยู่ใกล้ตัวแล้วตั้งท่าพร้อมเขวี้ยง


 


ตอนนี้ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว, ฉันคงทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม


 


ฉันลืมไปเลย คนที่เป็นตัวปัญหามากที่สุดในที่นี้ก็คือคุณแอนนา นี่เธอชี้นำให้ฉันมาดูลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานของตัวเองได้ยังไงกัน เธอเป็นวายร้ายที่มีความสุขกับการได้เห็นปฏิกิริยาของคนที่รับเคราะห์จากอาชญากรรมของเธอ


 


“อัล!? นี่เจ้า!”


 


“ท่านอัล!?”


 


พอตระหนักได้ว่าฉันติดกับเข้าแล้ว, ฉันก็จบลงที่การถูกหมอนที่พุ่งมาด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ปาอัดเข้าที่หน้า

 

 

 


ตอนที่ 24

 

“เหวออ!?”


 


ในตอนที่รับหมอนที่เธอปาใส่มาเต็มแรง, ฉันก็ล้มกลิ้งจนหัวไปกระแทกกับกำแพง


 


“โอ๊ย!? หัวข้า!?”


 


ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วทั้งหน้าและหลังศรีษะของฉัน


 


ฉันนอนกลิ้งเกลือกกับพื้นในขณะที่ครุ่นคิดว่าทำไมถึงต้องมาโดนแบบนี้ด้วย


 


ในขณะเดียวกัน, เอลน่าก็ปิดประตูใส่


 


และในเวลาเดียวกันนั้นเอง, แอนนากับเซบาสก็มาถึงพร้อมกับน้ำชาและขนมในมือ


 


“เกิดอะไรขึ้น? อัล? นึกถึงอดีตที่น่าอับอายขึ้นมาได้หรอ?”


 


“ไม่ใช่ซักหน่อย! เอลน่ากับฟีเน่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ข้างในห้องพวกเธอก็เลยโจมตีข้า!”


 


คนร้ายตัวจริงที่ทำให้เป็นแบบนี้คือคุณแอนนาแท้ๆ, แต่เธอก็ยังทำเป็นใสซื่ออีก


 


คนๆนี้นี่จริงๆเลย……!


 


นี่เธอวางแผนจะทำอะไรกันแน่


 


“ข้าก็บอกแล้วนะว่าพวกเธอกำลังอาบน้ำอยู่…..เอาเถอะ, ช่างมันแล้วกัน จะว่าไป, เอลน่าเป็นยังไงบ้างหล่ะ? หลงสเน่ห์เธอเลยใช่ไหม?”


 


“มันไม่ได้ใกล้เคียงกับประสบการณ์ที่มีความสุขเลยครับ, ก่อนที่ข้าจะลงสเน่ห์ข้าน่าจะถูกฆ่าตายซะก่อน…..”


 


ทำไมเธอถึงพูดแค่ ‘เอาเถอะ, ช่างมันแล้วกัน’ และตัดประโยคทิ้งไปทั้งแบบนั้นหล่ะ? นี่เธอโง่รึเปล่า


 


ถ้ามันไม่ใช่หมอนฉันอาจจะตายไปแล้วก็ได้นะรู้รึเปล่า


 


ฉันยังเจ็บที่หน้าอยู่เลย แม้ว่าจะเป็นแค่หมอนนุ่มๆก็ยังสร้างความเสียหายได้มากขนาดนี้ ถ้าเกิดมันเป็นอะไรที่แข็งกว่านี้หล่ะ?


 


ในขณะที่ฉันกำลังส่ายหน้าให้กับความคิดนั้น, ประตูก็เปิดออกอย่างรุนแรง


 


แน่นอนว่าคนที่ออกมาต้อนรับก็คือเอลน่า


 


“อัล~? คิดถูกแล้วหล่ะที่ไม่หนีไป ข้าขอชมเลย และเห็นแก่เรื่องนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าอธิบาย เอาหล่ะ, อธิบายมาซะไอ้โรคจิตจอมถ้ำมอง”


 


“เห้ย, เห้ย! นี่ไม่ใช่ชั่วโมงฝึกดาบนะ!? ใจเย็นหน่อยสิ! มันเป็นฝีมือของคุณแอนนาต่างหากหล่ะ—!”


 


“อย่ามาโทษแม่ข้านะ! มันเป็นความผิดของเจ้านั่นแหล่ะที่ไม่ยอมเคาะประตู!”


 


“เจ้าเองก็ไม่เคยเคาะประตูในตอนที่เข้ามาในห้องของข้าเหมือนกันไม่ใช่รึไง!?”


 


“ถ้าข้าเป็นคนทำถือว่าไม่เป็นไร!”


 


“ไอ้คำตอบไร้เหตุผลนั่นมันอะไรกัน!?”


 


เอลน่าเหวี่ยงดาบของเธอลงมาแล้วฉันก็เริ่มกลิ้งหลบมัน


 


ตามที่ฉันคิดเอาไว้, เธอไม่ได้เอาจริงแต่ถึงแม้ว่าเอลน่าจะใช้ดาบสำหรับฝึกที่ไม่มีคม, มันก็ยังสร้างภัยคุกคามได้มากพอ ฉันคิดว่าฉันคงไม่ตายหรอกถ้าฉันโดนดาบนี้เข้าแต่มันก็ถือเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้บอกลาความทรงจำของฉัน


 


“เอลน่า ทำแบบนี้ไม่น่าดูเลยนะ”


 


“ตะ, แต่ท่านแม่! ก็อัลหน่ะ—!”


 


“แค่เห็นชุดชั้นในของเจ้าเองไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรไม่ใช่หรอ, ตอนเด็กๆก็เคยอาบน้ำด้วยกันนี่?”


 


“นะ, นั่นมันนานมาแล้วนะคะ! ตอนนี้พวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”


 


“ถ้าเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆก็หัดควบคุมอารมณ์หน่อยสิ”


 


ถึงอย่างนั้น, เอลน่าก็ยังคงจ้องมาที่ฉันตาเขม็ง


 


ทำไมต้องเป็นฉันหล่ะ…….


 


คำพูดที่ไร้เหตุผลผุดขึ้นมาในหัวของฉันได้ซักพักนึงแล้ว ใช่ นี่มันเหมือนกับตอนที่พวกเรายังเด็กเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันอยู่กับเอลน่าคำที่ไร้เหตุผลมักจะเข้ามาในหัวของฉันเสมอ


 


“เอาเป็นว่าตอนนี้, สนใจรับชาไหม”


 


พอพูดจบ, แอนนาก็เข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้ม


 


เอลน่าตามเธอเข้าไปแล้วปิดประตูดังปั้ง ยัยคนนี้นี่…..


 


คนที่ถูกทิ้งเอาไว้นั้นมีแค่ฉันกับเซบาส


 


“คงเจอภัยพิบัติมาสินะครับ”


 


“นี่, เซบาส….”


 


“อะไรกัน? โถ่, ข้าขอบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า, ข้าไม่รู้เรื่องนี้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกนั้นกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้อง ข้าแค่คิดว่ากำลังทำอะไรซักอย่างอยู่เท่านั้นเอง”


 


ถ้ารู้ว่าเธอกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ก็บอกข้าหน่อยสิ, ฉันกล้ำกลืนเสียงที่กรีดร้องจากใจของฉัน


 


ตอนสมัยเด็กเองก็เหมือนกัน เซบาสไม่เคยพูดหรือทำอะไรเว้นเสียแต่ว่าจะมีอันตรายจริงๆ


 


“ข้าหล่ะรู้สึกประหลาดใจจริงๆ….พอมาคิดว่าตัวเองโตขึ้นมาเป็นคนซื่อตรงขนาดนี้”


 


“ซื่อตรงหรอครับ? ช่างเป็นคำกล่าวอ้างที่ดูน่าสนใจดีนะครับ”


 


“แน่จริงก็พูดอีกสิ”


 


ฉันเข้ามาในห้องในขณะที่เขม่นใส่เซบาสเบาๆ


 


ครั้งนี้ฉันไม่ได้ลืมเคาะประตู


 


….


 


“ขอโทษด้วยนะอัล ข้าไม่คิดว่าพวกเธอกำลังลองเสื้ออยู่ในห้องนี้”


 


“ไม่เป็นไรครับ, ขอเถอะ, จบเรื่องนี้เอาไว้แค่นี้เถอะครับ……”


 


“ข้าเองก็ขอโทษด้วยค่ะ….มันเป็นเพราะข้าทำเรื่องไม่จำเป็นแท้ๆ”


 


“มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าฟีเน่ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของอัล


 


ฟีเน่ที่รู้สึกผิดกับเอลน่าที่สำคัญตัวเองมากเกินไป แค่นี้ก็แสดงให้เห็นนิสัยของพวกเธอแล้ว


 


สรุปเรื่องราวเลยก็คือ


 


เพราะมีเสื้อผ้าสำหรับแขกอยู่เยอะ,  เอลน่ากับฟีเน่ก็เลยแวะมาเลือกก่อนที่จะไปอาบน้ำ และด้วยเหตุผลบางอย่าง, พวกเธอก็เริ่มจัดแฟร์ชันโชว์ขึ้นแล้วเวลาก็ล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ


 


แน่นอนว่า, คุณแอนน่าที่คิดว่าพวกเธอเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็บอกให้ฉันตรงมาที่ห้องนี้


 


และด้วยประการฉะนี้เอง, โศกนาฎกรรมก็เกิดขึ้น


 


เอาเถอะ, มันไม่มีอะไรที่ดูน่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าเรื่องราวมันเหมือนแต่งขึ้นมา ทำไมเธอถึงเจาะจงชี้ให้ฉันมาที่ห้องนี้หล่ะ? ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเธอกำลังเล็งให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อย่างไรก็ตาม, จะถามจี้ต่อมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ฉันน่าจะไม่สามารถเอาชนะคุณแอนนาได้ด้วยการพูดคุย


 


“ช่างมันเถอะนะ, ในเมื่อข้าชดใช้กรรมไปแล้วก็ถือว่าเราดีกันแล้วนะ, เอลน่า”


 


“นี่เจ้าคิดว่าโดนแค่นี้แล้วข้าจะยอมยกโทษให้ง่ายๆหรอ!? เจ้าแอบดูผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานสองคนเลยนะรู้รึเปล่า!? ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเรายังเป็นลูกสาวของบ้านผู้กล้าหาญกับบ้านดยุคอีก!”


 


“แสดงว่าเจ้าอยากให้เขารับผิดชอบสินะ? เอาสิ, ข้าไม่ขัดข้องอยู่แล้ว”


 


“ห้ะ!?”


 


“เอ๋!!??”


 


“หา……”


 


เอลน่าหันใบหน้าที่แดงก่ำของเธอไปหาแอนนาที่พึ่งจะทิ้งระเบิดกลางวงสนทนาอย่างเงียบๆในขณะที่ฟีเน่ไม่ได้ทันตั้งตัวเลยซักนิดและไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีด้วย


 


เอาจริงดิ, คนๆนี้…….


 


“ถ้าเป็นอัลหล่ะก็คนๆนั้นก็คงจะไม่คัดค้านเหมือนกันใช่ไหมหล่ะ? เจ้าจะเอายังไงหล่ะ?”


 


 


“จะ, จะเอายังไงหรอคะ?….คะ, คือว่า….ข้า, ข้าเป็นอัศวินเพราะฉะนั้นเรื่องแบบนั้นมัน…….”


 


“ถ้าไม่ว่ายังไงเจ้าก็ยกโทษให้เขาเรื่องที่มาเห็นชุดชั้นในของเจ้าไม่ได้, แน่นอนว่ามันก็ต้องแก้แบบนี้ไม่ใช่หรอ? แต่ปัญหาก็คงจะเป็นการที่ต้องเจรจากับดยุคไคลเนลต์นี่แหล่ะ อัล, ช่วงนี้เจ้านี่เนื้อหอมจริงๆนะ”


 


“นั่นสิ, พวกเราต้องติดต่อบ้านของคุณฟีเน่เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”


 


“เอ๋!!!?, ติดต่อท่านพ่อหรอคะ!? แบบนั้นมัน……”


 


“ช่วยอย่าตัดสินใจเรื่องชีวิตของข้าอย่างสนุกปากแบบนี้ได้ไหมครับ ข้าขอโทษด้วยแต่ข้ายังไม่มีความคิดที่จะแต่งงาน”


 


“นี่เจ้าจะไม่รับผิดชอบหรอ?”


 


“ไม่ครับ”


 


“อุ๊ย, น่าเสียดายจัง”


 


หลังจากที่เธอพูดแบบนี้ออกมา, คุณแอนนาก็หยิบขนมเข้าปาก


 


ณ จุดนี้, เอลน่าคงรู้สึกตัวแล้วว่าเธอโดนแกล้งมาโดยตลอด, ดังนั้นเธอจึงหันใบหน้าที่แดงก่ำของเธอหนีจากฉัน


 


ฟีเน่เองก็น่าจะรู้สึกตัวเหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นเพราะใบหน้าของเธอแดงแจ๋แล้ว


 


“เอาหล่ะ, อัล น่าจะถึงเวลาที่เจ้าจะเข้าประเด็นหลักแล้วไม่ใช่หรอ? เจ้าคงไม่ได้มาที่นี่แค่เพื่อคุยเล่นกันเฉยๆถูกไหม?”


 


สมกับที่เป็นคุณนายแห่งบ้านแอมส์เบิร์ก เธอดูออกสินะ


 


ฉันหันไปเผชิญหน้ากับคุณแอนนา


 


“นี่อาจจะเป็นคำขอที่น่าอายแต่ข้าขอฝากฟีเน่เอาไว้ที่นี่ให้ท่านดูแลซักพักนึงได้ไหมครับ? แล้วก็, ข้าอยากให้เธออยู่ด้วยกันกับเอลน่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”


 


“มันเกี่ยวข้องกับสงครามผู้สืบทอดใช่ไหม? ถ้างั้นก็เป็นไปไม่ได้หรอก พวกเราบ้านผู้กล้าหาญจะไม่เอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับสงครามผู้สืบทอด”


 


ก็คงจะเป็นแบบนั้นหล่ะนะ


 


ฉันรู้ว่าเธอจะให้คำตอบที่ชัดเจนแบบนี้


 


การให้ฟีเน่อยู่ที่นี่สักสองสามวันมันก็อีกเรื่องนึงแต่ถ้าฉันทิ้งให้เธออยู่ที่นี่นานระดับนึงมันก็คงไม่แปลกอะไรถ้าผู้คนจะเริ่มคิดว่าบ้านผู้กล้าหาญกำลังสนับสนุนขุมอำนาจของเรา


 


พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้


 


อย่างไรก็ตาม


 


“เจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินเป็นคนโปรดของจักรพรรดิ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ, ฝ่าบาทคงไม่พอใจแน่ๆ ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไรนะครับที่บ้านผู้กล้าหาญจะปกป้องคนระดับนี้”


 


“อุ๊ยตาย? นี่เจ้าคิดจะมาไม้นี้หรอ?”


 


“ถ้าไม่พูดแบบนี้ก็คงจะไม่รับไม่ใช่หรอครับ?”


 


“ถึงเจ้าไม่พูดแบบนั้น, แล้วขอร้องว่าเห็นแก่หน้าผมสักครั้งเถอะข้าก็รับแล้ว เจ้านี่แสดงความรู้สึกออกมาไม่เก่งเหมือนเดิมเลย มันน่าเสียดายนะรู้ไหม?”


 


แอนนาพูดแบบนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


 


พูดอีกนัยนึงก็คือ, เธอรับคำขอของฉัน


 


แค่นี้ก็รับประกันความปลอดภัยของฟีเน่จนกว่าซานดร้าจะหยุดโจมตีได้แล้ว ตราบใดที่บ้านผู้กล้าหาญอยู่กับเธอ, ก็จะไม่มีทางที่จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอได้


 


“ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้ครับ แล้วก็ขอบคุณมากเลยนะครับที่ช่วยข้า สักวันนึงข้าจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ให้อย่างแน่นอน”


 


“นั่นสินะ, สักวันจะให้ชดใช้คืนแน่ แล้วก็….จะให้รีบชดใช้ด้วย อัลคนนั้นเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดแล้วหรอเนี่ย…..เจ้าเป็นเด็กขี้แงสำหรับข้ามาโดยตลอด, แต่ดูเหมือนคงจะไม่ใช่แบบนั้นแล้วสินะ”


 


“ข้าคงขี้แง่ไปตลอดไม่ได้หรอกครับ แล้วก็, ฟีเน่ ช่วยอยู่ที่นี่ซักพักนะ ไม่ต้องห่วง, มันจะจบในอีกไม่กี่วันนี้แหล่ะ”


 


“ค่ะ…ว่าแต่, ตัวท่านไม่ได้อยู่ในอันตรายใช่ไหมคะท่านอัล?”


 


“มันเป็นเพราะเจ้าจะเป็นอันตรายได้ถ้าอยู่ใกล้ตัวข้า, ข้าก็เลยอยากให้เจ้ามาอยู่บ้านผู้กล้าหาญ พูดตามตรง, มันมีความเป็นไปได้ว่าซานดร้าจะไม่สนเหตุผลอะไรทั้งนั้นแล้วเข้ามาโจมตีข้า ตอนนี้, เธออยากจะฆ่าข้าสุดๆเลยหล่ะ”


 


นิสัยของซานดร้านโหดร้าย อารมณ์ของเธอเองก็แปรปรวน แค่การโจมตีในครั้งนี้ก็ชัดเจนแล้ว, ฝั่งอื่นๆนั้นไม่มีใครที่สามารถควบคุมซานดร้าได้อย่างสมบูรณ์ หรืออย่างน้อยคนๆนั้นก็ไม่ได้อยู่กับเธอในตอนนี้


 


ด้วยเหตุนี้เอง, ฉันจึงไม่สามารถคาดหวังได้ว่าเธอจะทำตามที่ฉันคิดเอาไว้


 


ในช่วงไม่กี่วันถัดจากนี้ถือว่าอันตรายสุดๆ ในช่วงเวลานี้กอร์ดอนจะโจมตีขุมอำนาจของซานดร้าอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นจะทำให้การโจมตีของเธอที่ทำกับฝั่งเราเบาบางลงแต่ไม่ว่ากอร์ดอนจะแข็งแกร่งแค่ไหน, พวกเราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากรอต่อไปอีกสองสามวัน


 


มันคือการแข่งขันว่าพวกเราจะสามารถทนจนถึงตอนนั้นได้รึเปล่า


 


“ถะ, ถ้างั้นให้ท่านอัลมาซ่อนด้วยจะไม่ดีกว่าหรอคะ…….”


 


“ถ้าข้าซ่อนตัว, ลีโอก็จะตกเป็นเป้าหมาย ข้าไม่สามารถซ่อนตัวได้เพราะข้าต้องดึงดูดความสนใจของซานดร้ามาที่ข้า เอาเถอะ, ข้าคิดว่าอย่างน้อยที่สุดเธอก็คงจะส่งนักฆ่ามาหาข้าสักครั้งนั่นแหล่ะ”


 


“แต่ว่านั่นมัน!?”


 


“เถอะหน่า, ไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามีเซบาสอยู่ด้วยแล้วก็ยังมีคนที่จะช่วยพาออกไปถ้าพวกเราเจอปัญหาเข้า”


 


พอได้ฟังแบบนี้, ฟีเน่ก็ยอมถอดใจในที่สุด


 


ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เจ้าต้องมีสีหน้าเป็นกังวลแบบนี้แต่ข้าจะไม่ถูกลอบสังหารหรอก


 


อีกฝ่ายคงจะคิดว่าสามารถจัดการฉันได้ถ้าสามารถผ่านเซบาสมาได้แต่ฉันเองก็มีวิธีปกป้องตัวเองเหมือนกัน


ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าฉันเป็นซิลเวอร์, การที่จะมีคนลอบสังหารฉันนั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอก

 

 

 


ตอนที่ 25

 

ด้วยการที่บ้านผู้กล้าหาญคุ้มกันฟีเน่, พวกเราจึงสามารถทำการเคลื่อนไหวได้อย่างสบายใจ


 


มันผ่านมาได้สองวันแล้ว ซานดร้ายังคงดึงผู้สนับสนุนที่พวกเราคิดว่าจะย้ายข้างออกไป อย่างไรก็ตาม, ในคืนวันที่สอง, ในที่สุดซานดร้าก็เริ่มเปิดฉากรุกเต็มขั้น


 


“ศัตรูสินะ”


 


“ในที่สุดพวกเขาก็มาสักทีนะครับ”


 


เซบาสพึมพำในขณะที่พวกเรากำลังอยู่บนรถม้า


 


แม้ว่าฉันจะคาดเอาไว้แล้ว, แต่ฉันก็ยังคงถอนหายใจออกมาอยู่ดี เลือดในหัวเธอคงเดือดพล่านแล้วจริงๆ การที่เธอทำแบบนี้ มันก็เหมือนกับการเปิดช่องโหว่ของเธอให้เอริคกับกอร์ดอนด้วยตัวเอง ฉันมีเซบาสอยู่ข้างตัวและต่อให้เธอลอบสังหารฉันสำเร็จ, อำนาจของเธอก็จะลดลงอยู่ดี


 


ถึงขนาดยอมรับมือกับการโจมตีจากทั้งสองขั้วอำนาจ, นี่เธอคงอยากจะสั่งสอนฉันจริงๆสินะ


 


“เป็นผู้หญิงที่ไม่หัดมองการไกลเลยนะ”


 


“ถ้ามองอีกแง่, ก็ถือว่าเธอมองการไกลนะครับ การที่เล็งมาที่ท่านก็แสดงว่าเธอตาสูงใช้ได้”


 


“ขอบใจที่ชม แต่การโจมตีของเธอก็ยังน่ารำคาญอยู่ดี”


 


“นั่นสิครับ ผู้สนับสนุนขององค์หญิงซานดร้าเป็นพวกขยันจริงๆ”


 


อิทธิพลของซานดร้ามาจากนักเวทย์ที่สนับสนุนเธอ


 


แน่นอนว่า, มีผู้สนับสนุนบางคนที่ไม่ใช่นักเวทย์แต่พวกรัฐมนตรีกับเจ้าหน้าที่ทหารเก่งๆไปเข้าร่วมกับเอริคหรือกอร์ดอนกันหมดแล้ว ซึ่งผลก็คือ, ซานดร้ามีผู้สนับสนุนไม่กี่คนเท่านั้นที่เก่งเรื่องการเมือง และนี่ก็คือสาเหตุที่ถึงแม้จะมีนักเวทย์ที่แข็งแกร่งมากมายอยู่ฝั่งเธอ, แต่เธอก็ยังไม่สามารถเอาชนะกอร์ดอนกับเอริคได้


 


มันคงจะแตกต่างกันคนละเรื่องเลยถ้าซานดร้ามีกุนซื่อเก่งๆอยู่ฝั่งเธอ


 


“เดี๋ยวข้าจัดการเองครับ”


 


“โอเค งั้นข้าจะมุ่งหน้าไปที่ปราสาทนะ”


 


“ระวังตัวด้วยนะครับ อาจจะมีการดักซุ่มโจมตีในระหว่างทางก็ได้”


 


“ถ้าถึงเวลาเดี๋ยวข้าจัดการเอง”


 


หลังจากพูดคุยกันเสร็จ, เซบาสก็กระโดดลงรถม้าในขณะที่ยังวิ่งอยู่


 


เอาหล่ะ, 8 หรือ 9 เต็มสิบ, น่าจะมีทหารบางส่วนรอซุ่มโจมตีฉันนะ ในอีกด้านนึง, ฉันก็แค่ให้รถม้าขับโดยมีฉันอยู่ด้วย จากสายตาของศัตรู, มันต้องดูเหมือนว่าพวกนั้นสามารถล่อเซบาสออกห่างจากฉันได้สำเร็จแน่ๆ และถ้าเป็นแบบนั้น, ครั้งนี้ก็น่าจะมีนักฆ่าบางส่วนที่รู้ข้อมูลวงในของฝ่ายนั้นนะ


 


เรามาใช้โอกาสนี้เก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมอีกสักหน่อยดีไหม?


 


ในตอนที่ฉันกำลังวางแผนการร้ายอยู่, คนขับรถม้าก็ส่งเสียงร้องออกมา


 


“หวะ เหวออ!!?? อะ, องค์ชาย! มีคนอยู่ข้างหน้าพวกเราครับ!?”


 


“ไม่ต้องกลัว, ขับต่อไปเรื่อยๆ”


 


“มะ, ไม่เอาหรอกครับ!? ข้า, ข้ายังไม่อยากตายนะ!”


 


ตามที่คาดเอาไว้, มีนักฆ่ามาดักรอข้างหน้าพวกเราจริงๆ


 


คนขับหนุ่มหยุดรถม้าแล้วทิ้งฉันหนีไปในทันที


 


ฉันถอนหายใจออกมาในขณะที่อยู่ข้างในรถม้า ฉันรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้และแน่นอนว่าการปล่อยไปนั้นจะทำให้จัดการกับนักฆ่าได้ง่ายกว่าแต่ฉันก็ยังคงถอนหายใจให้กับความนิยมอันน้อยนิดของฉัน ถ้าคนที่กำลังนั่งอยู่ในรถม้าเป็นลีโอแทนที่จะเป็นฉันหล่ะก็คนขับคงจะไม่มีหวันหนีไปเองแบบนี้หรอก”


 


“ลงมาจากรถซะ ถ้าไม่ยอม, ข้าจะเป็นคนลากลงมาเอง”


 


“เจ้าก็แค่อยากจะยืนยันตัวตนของข้าไม่ใช่รึไง”


 


ในขณะที่ตอบนักฆ่า, ฉันก็ลงมาจากรถม้าอย่างเชื่อฟัง


 


ข้างหน้ารถม้ามีชายวัยกลางคน, ที่มีผมเสยขึ้นสีน้ำตาล ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเขารับราชการทหารมาเป็นเวลานานแล้ว เห็นได้ชัดว่า, ครั้งนี้ซานดร้าค่อนข้างจะเอาจริง ในบรรดาคนของซานดร้า, เขาอาจจะเป็นห้าอันดับต้นๆของเธอด้วยซ้ำ


 


ด้วยการมองเพียงปาดเดียว, ฉันก็เห็นว่าเขาน่าจะมีพลังพอๆกับนักผจญภัยแรงค์ A


 


ความจริงที่ว่าเขาสามารถบุกมาแบบนี้ได้นั้นก็หมายความว่าเขาเป็นนักฆ่าที่ค่อนข้างจะมีทักษะ แม้ว่าจะเป็นนักผจญภัยแรงค์ A ก็น่าจะถูกฆ่าได้ง่ายๆถ้าเจอคนที่มีความสามารถพอๆกันโผล่มาข้างหลังอย่างกระทันหัน ถึงยังไงนักฆ่าก็แตกต่างจากนักผจญภัยเพราะพวกเขาเป็นมืออาชีพด้านการฆ่าคนโดยเฉพาะ


 


“การที่คนรับใช้ของตัวเองหนีไปแบบนี้, มันทำให้เจ้าดูน่าสมเพชใช้ได้เลย”


 


“ข้าก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมาตั้งแต่แรกแล้วนี่”


 


“เข้าใจหล่ะ เจ้าคงไม่สนใจเรื่องพวกนั้นสินะ คงเป็นเพราะเจ้าเชื่อใจพ่อบ้านคนนั้นมากเลยหล่ะสิ?”


 


“ใช่ เดี๋ยวเซบาสก็จะมาจัดการแกแล้ว”


 


“เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับข้ารับใช้ที่ดูสวยงามจังนะแต่ครั้งนี้เขาคงมาช่วยเจ้าไม่ได้หรอก ไม่ว่าเขาจะเป็นพ่อบ้านที่มีทักษะสูงแค่ไหน, เขาก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ในขณะที่จัดการกับนักฆ่าสิบสองคน”


 


“เดี๋ยวเราจะได้เห็นดีกัน”


 


ฉันไม่ได้ทำลายนิสัยไม่สนโลกของฉัน


 


บางที, เขาคงจะคิดว่ามันเป็นการบลัฟ, ชายที่เข้ามาหาฉันนั้นมีรอยยิ้มอันแสนขมขื่นแสดงอยู่บนใบหน้า


 


จากนั้นเขาก็สร้างมีดขึ้นมาในมือด้วยเวทย์ไฟ


 


“คำสั่งก็คือลอบสังหารเจ้าแต่ข้าจะไม่เอาชีวิตเจ้าหรอก ข้าจะทำให้เจ้าสิ้นหวังและพาเจ้าไปพบกับเจ้านายของข้า”


 


“แต่ข้าไม่อยากไปเจอพี่สาวจอมซาดิสที่ชื่นชอบการทรมานสักหน่อย”


 


เขาเป็นลูกน้องที่ค่อนข้างหัวดีใช้ได้เลย


 


การเปลี่ยนจากการลอบสังหาร, เป็นการลักพาตัวฉันนั้นจะเป็นการดีกว่า ถ้าฉันหายตัวไป, พวกเขาก็จะสามารถทำกับฉันได้ตามใจชอบ เอริคกับกอร์ดอนเองก็คงไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมากนักในการช่วยเหลือฉันและถ้าให้มันดีที่สุด, พวกเขายังสามารถกลายเป็นผู้ช่วยของลีโอแทนฉันได้ด้วย


 


ในตอนนี้, พวกเขาสามารถพาฉันออกไปข้างนอกเมืองหลวงได้ก่อนที่การค้นหาจะเริ่มขึ้นและพวกเขาก็จะทำการทรมานฉันที่นั่น ถ้าจิตใจของฉันถูกทำลาย, ซานดร้าก็จะสามารถเล่นงานฉันได้ตามที่เธอต้องการ ต่อให้ฉันหนีไปได้, คนที่จิตใจแตกสลายจากการทรมานของซานดร้าก็จะไม่มีวันพูดว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แถมเธอยังสามารถทำลายสตินึกคิดของฉันและทำให้ฉันพิการได้อีก ด้วยวิธีนี้, พวกเขาก็จะสามารถสร้างความเสียหายให้กับเราได้มากกว่าและมันก็มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลอบสังหารเยอะ


 


“ช่างน่าอับอายจริงๆ, ถ้าเจ้าอยากจะเกลียดใครสักคนเพราะเรื่องนี้ก็ไปเกลียดน้องชายคนเก่งของเจ้าแล้วกันนะ”


 


พอพูดจบ, เขาก็เขวี้ยงมีดเพลิงใส่ฉัน


 


อย่างไรก็ตาม, ฉันมีบาเรียป้องกันอยู่รอบตัว เขาไม่สามารถทะลวงมันมาได้ด้วยเวทมนตร์ระดับนั้น


 


ที่ฉันทำตัวไม่สนโลกได้ก็เพราะสิ่งนี้แต่ว่าทันใดนั้นเองมีดเพลิงนี้ก็ถูกดาบที่ปรากฎขึ้นจากด้านข้างปัดเอาไว้ได้อย่างกระทันหัน


 


“!?”


 


“เจ้าเป็นใคร?”


 


“ก็แค่นักผจญภัยคนนึงที่เดินผ่านทางมา”


 


ฉันหันไปมองผู้บุกรุกคนนี้ด้วยความประหลาดใจ


 


มีเด็กสาวคนนึงที่ไว้ผมทรงหางม้าอยู่ตรงนั้น อย่างไรก็ตาม, ความจริงที่ว่าเธอกำลังสวมหมวกอยู่ผนวกกับการแสดงออกที่แข็งกร้าวของเธอทำให้เธอดูเหมือนกับเด็กผู้ชาย


 


ฉันจำได้ว่าเคยเจอเด็กสาวคนนี้มาก่อน


 


เธอคือหนึ่งในนักผจญภัยแรงค์ A ที่เข้าร่วมภารกิจจัดการมาเธอร์สไลม์ในอาณาเขตของดยุคไคลเนลต์


 


“ถ้าเจ้าเป็นนักผจญภัยก็ถอยไปซะ ดูๆแล้วเจ้าไม่น่าจะได้รับภารกิจให้ปกป้องมันไม่ใช่หรอ?”


 


“ใช่, ข้าไม่ได้รับคำขอแบบนั้นมาหรอก แล้วข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าคนที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังข้าเป็นใครหรือทำไมเขาถึงถูกโจมตี ข้าไม่มีหน้าที่หรือภาระผูกพันธ์อะไรที่จะต้องช่วยเหลือเขา”


 


“ถ้างั้น—”


 


“แต่ว่าการเห็นคนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาตัวเองมันจะทำให้ข้ากินอะไรไม่อร่อย ยิ่งไปกว่านั้น, เขาก็พึ่งถูกคนรับใช้ทิ้งไปด้วย ถ้าข้าไม่ช่วยเขาในตอนนี้เขาก็จะดูน่าสงสารเกินไปไม่ใช่หรอ?”


 


“ยัยนี่……การเป็นพันธมิตรกับมันก็หมายความว่าเจ้ายอมที่จะให้คนที่มีอำนาจอันยิ่งใหญ่หันมาเป็นศัตรูกับเจ้านะรู้รึเปล่า? เจ้ายอมรับเรื่องนั้นได้รึไง?”


 


“แทนที่จะเสียใจเพราะทิ้งเขา, ข้าว่ามันจะรู้สึกดีกว่าถ้ามาเริ่มเสียใจหลังจากที่ช่วยเขา”


 


พอได้ฟังคำตอบ, ชายคนนี้ก็ตัดสินใจว่าเด็กสาวคนนี้เป็นศัตรู


 


เขาเอามีดออกมาไว้ทั้งสองมือแล้วเริ่มเขวี้ยงใส่เด็กสาว ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้, มีดของเขาไม่ได้สร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์


 


เด็กสาวใช้ดาบปัดพวกมันทิ้งไปได้แต่ก็มีมีดที่สร้างขึ้นจากน้ำแข็งพุ่งตามการโจมตีระลอกแรกมาติดๆ ถ้าเธอหลบ, มีดพวกนี้ก็จะโดนฉันที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ


 


เธอตอบโต้การเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติเช่นนี้ด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติยิ่งกว่า


 


เธอเปลี่ยนดาบของเธอเป็นโล่แล้วป้องกันมีดน้ำแข็งเอาไว้ได้


 


“ดาบเวทมนตร์ที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างงั้นหรอ, ดูเหมือนเจ้าจะพกของแปลกติดตัวมาด้วยนะเนี่ย…..”


 


“ข้าได้มาจากซากปรักหักพังสักแห่งนึง แล้วมันก็ทำแบบนี้ได้ด้วยนะ”


 


“พอพูดจบ, เด็กสาวก็เปลี่ยนดาบเป็นหอก เธอเหวี่ยงมันลอบตัวแล้วพุ่งเข้าหาชายคนนั้นอย่างเชื่องช้า


 


ในแวบแรก, มันดูเหมือนกับหอกธรรมดาแต่เขาก็รู้สึกถึงความพิเศษของมันได้ในทันที


 


“หืมม…..!?”


 


“สมแล้ว, เจ้าไม่ได้หลับไปในทันทีสินะ เสียงที่แผ่ออกมาจากสิ่งนี้สามารถส่งมอนส์เตอร์ที่แข็งแกร่งไปสู่ห้วงนิทราได้เลยรู้รึเปล่า”


 


“เสียงหรอ…..!”


 


แสดงว่ามันปล่อยเสียงที่ขับกล่อมเป้าหมายให้หลับได้สินะ ฉันไม่รู้ว่าเสียงมันเป็นยังไงจากจุดที่ฉันอยู่แต่ดูเหมือนว่าชายคนนั้นกำลังฟังอะไรบางอย่างที่เหมือนกับเพลงกล่อมเด็กอยู่ตรงนั้น


 


ช่างเป็นความสามารถที่น่ารำคาญจริงๆ การผลอยหลับไปในการต่อสู้ที่จริงจังนั้นมันไม่ใช่เรื่องตลกเลย ต่อให้สามารถทนง่วงได้, ก็ไม่มีใครที่จะต่อสู้ได้ดีในสภาพนั้นหรอก


 


ชายคนนี้ก็น่าจะรู้เรื่องนั้นดีเหมือนกัน


 


เขาทิ้งระยะห่างจากเด็กสาวในทันที จากนั้นเขาก็จ้องมาที่ฉันพร้อมกับเดาะลิ้นแล้วถอยไป


 


หลังจากนั้นไม่นาน, เซบาสก็มาถึง


 


“แล้วนี่ข้าพาตัวเองมาเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรเนี่ย?”


 


“เจ้ามาช่วยข้าในช่วงเวลาที่สำคัญพอดี ขอบใจนะ”


 


“ไม่เป็นไรหรอก, ถึงยังไงข้าก็ทนเห็นคนถูกฆ่าไม่ได้อยู่แล้ว ว่าแต่, ถ้าดูจากรถม้าเจ้าต้องเป็นคนที่สำคัญแน่ๆเลยใช่ไหม?”


 


“อืม, ขอโทษที ข้าชื่ออาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์, เจ้าชายลำดับเจ็ดของจักรวรรดิ”


 


“เจ้าชายลำดับเจ็ดหรอ? พอจะเข้าใจแล้วหล่ะ, มันมีข่าวลือเกี่ยวกับสงครามผู้สืบทอดอยู่นี่นะ ข้าก็แค่พยายามจะช่วยคนแต่ดูเหมือนว่าข้าจะก้าวเข้าใกล้เป้าหมายของข้าไปเยอะเลยนะ”


 


จากนั้นเด็กสาวก็ถอดหมวกแล้วคุกเข่าลงกับพื้น


 


ฉันเห็นใบหน้าที่ดูทั้งสวยและหล่อแฝงไปด้วยความเรียบร้อยของเธอ อายุของเธอน่าจะพอๆกับฉัน


 


“องค์ชาย ข้าชื่อลินเฟีย จะมองว่าข้ากำลังหาผลประโยชน์จากการช่วยชีวิตท่านก็ได้แต่ช่วยฟังคำขอร้องของข้าหน่อยได้ไหม?”


 


ไม่, ไม่, ฉันจำไม่เห็นได้เลยว่าขอให้เธอช่วย แล้วฉันก็เสียโอกาสจับตัวนักฆ่าของศัตรูไปแล้วด้วย


 


ต่อให้นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากจะพูด, แต่เธอไม่รู้ว่าฉันคือซิลเวอร์ และในฐานะอาร์โนลด์, ฉันคงไม่สามารปฏิเสธคำขอของเธอได้เพราะเธอพึ่งจะช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ ถ้าฉันปฏิเสธเธอก็จะไม่มีใครยอมช่วยเหลือฉันหรือลีโออีกในอนาคต


 


แต่ว่า, ฉันสามารถบอกได้จากประสบการณ์


 


มันจะต้องเป็นคำขอที่สร้างปัญหาให้ไม่ผิดแน่


 


อย่างไรก็ตาม,


 


“เอาเป็นว่าไปคุยกันต่อที่ปราสาทแล้วกัน เชิญขึ้นรถม้าได้เลย แต่ข้าไม่รับประกันนะว่าด้วยอำนาจที่ข้ามีจะทำตามคำขอของเจ้าได้รึเปล่า”


 


พอพูดจบ, ฉันก็เชิญลินเฟียขึ้นรถม้า


 


เอาจริงดิ, พอจบเรื่องนึงไปได้ก็มีอีกเรื่องเข้ามา, การสลัดปัญหาให้หลุดออกไปนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆสินะ


 


ด้วยการถอนหายใจออกมาสั้นๆ, ฉันก็ทำได้แค่คร่ำครวญให้กับความโชคร้ายของฉัน

 

 

 


ตอนที่ 26

 

หลังจากที่พวกเรากลับมาถึงปราสาท, ฉันก็เชิญลินเฟียมาที่ห้อง


 


ฉันนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามเธอแล้วเริ่มการสนทนา


 


“ก่อนอื่นขอขอบคุณอีกครั้งนะลินเฟีย ถ้าเจ้าไม่อยู่ที่นั่นข้าก็คงจะตายไปแล้ว”


 


“ข้ามีข้อสงสัยอยู่ นักฆ่าคนนั้นไม่ได้พยายามฆ่าท่านนี่ ในเมื่อเป็นแบบนั้น, พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างหลังท่านก็น่าจะมาช่วยทันไม่ใช่หรอ?”


 


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, ถ้าไม่มีเจ้าข้าก็คงไม่สามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นั้นได้โดยไม่มีบาดแผล ขอบใจนะ”


 


“ข้าทำเพื่อตัวเองค่ะ แล้วข้าก็ไม่อยากให้ท่านขอบคุณข้าอย่างเดียวด้วย”


 


ลินเฟียพูดแบบนั้นออกมาโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนเลย


 


เป็นเด็กสาวที่ดูสงบเสงี่ยมจังเลยนะ น้ำเสียงของเธอราบเรียบและเธอก็ไม่ปล่อยให้มีอารมณ์อะไรแสดงออกมาทางสีหน้าด้วย ในฐานะนักผจญภัยแบบลุยเดี่ยว, ฉันคิดว่าเธอขาดเสน่ห์ไปหน่อย แต่ก็เอาเถอะ, ถึงอย่างนั้นเธอก็มีความสามารถมาทดแทนตรงจุดนี้


 


“ก็ได้ ไหนลองว่ามาซิ”


 


“ขอบคุณมากค่ะ ข้าเกิดในหมู่บ้านที่พรมแดนทางใต้ของจักรวรรดิ ถ้าข้าบอกว่ามาจากหมู่บ้านผู้ลี้ภัย, ท่านก็น่าจะพอเดาเรื่องราวได้ใช่ไหมคะ?”


 


หมู่บ้านผู้ลี้ภัย


 


ฉันขมวดคิ้วในทันทีที่คำนี้หลุดออกมา ฉันคิดว่ามันน่าจะมีปัญหาแต่นี่มันดูท่าจะยุ่งยากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะแล้ว


 


หมู่บ้านผู้ลี้ภัยที่ว่านี้หมายถึงสถานที่ที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในจักรวรรดิด้วยกันจนก่อตั้งเป็นหมู่บ้าน แต่เดิมนั้นพวกเขาไม่ใช่ประชาชนของจักรวรรดิ คนพวกนี้ย้ายมาจากบ้านของตัวเองเนื่องจากสงครามหรือไม่ก็วิกฤตการณ์มอนส์เตอร์


 


“แน่นอนว่าข้าพอจะเดาได้อยู่ มันคงเป็นปัญหาที่แม้แต่ข้าเองก็คงจะจัดการได้ยากสินะ เอาเถอะ, ข้าจะฟังเรื่องราวให้จบก่อน”


 


“ค่ะ คิดว่าท่านคงรู้อยู่แล้ว, มีผู้คนจากหลากหลายที่อยู่ในหมู่บ้านผู้ลี้ภัยแต่ส่วนใหญ่นั้นจักรวรรดิไม่ได้รับรู้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ พวกเขาเข้ามาในจักรวรรดิและก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นมาตามใจชอบ ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะบ่นในเรื่องนี้ เพราะข้าเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นเหมือนกัน แต่ว่า….ตอนนี้พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากจักรวรรดิค่ะ”


 


“มีปัญหาเกิดขึ้นสินะ?”


 


“ตามนั้นค่ะ หมู่บ้านของพวกเรากลายเป็นเป้าหมายของพวกค้ามนุษย์ มีผู้หญิงกับเด็กหลายคนถูกลักพาตัว ส่วนเหตุผลที่พวกเราตกเป็นเป้าหมายนั้นก็เพราะว่าหมู่บ้านของเราก่อตั้งขึ้นมาด้วยความร่วมมือจากคนหลายเชื้อชาติ รวมทั้งตัวข้าด้วย, มีผู้คนอีกมากมายในหมู่บ้านของข้าที่เป็นลูกครึ่ง”


 


ลูกครึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติขนาดนั้น


 


ถ้าพวกเรากำลังพูดถึงเรื่องนี้ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน


 


สำหรับจักรวรรดินั้นผมสีดำไม่ใช่ของแปลกอะไร แต่ว่านัยตาสีดำมันค่อนข้างแปลกนิดหน่อย เอาเถอะ, บางทีมันก็ทำให้ผู้คนคิดว่าเป็นคนจากฝั่งตะวันออกรึเปล่านะ


 


พูดอีกนัยนึงก็คือ, นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้คนของเธอถูกลักพาตัว


 


“ลูกครึ่งในหมู่บ้านของเจ้ามีความพิเศษบางอย่างด้วยใช่ไหม?”


 


“……พวกเขามีม่านตาสองสีค่ะ”


 


ในตอนที่ได้ยินประโยคนี้, คำว่า ‘ว่าแล้วเชียว’ ก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน เหตุผลที่ลูกครึ่งถูกลักพาตัวนั้นมีแค่เรื่องเดียวพวกเขามีสายเลือดของเผ่ากึ่งมนุษย์


 


ฉันเดาะลิ้นแล้วนั่งไขว่ห้างโดยไม่รู้ตัว


 


มันเป็นหัวข้อสนทนาที่ค่อนข้างอ่อนไหว ดวงตาสองสีคือปรากฎการณ์ที่คนๆนึงจะมีสีของม่านตาแต่ละข้างแตกต่างกัน ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าพวกเขาสามารถนำไปขายได้ในราคาที่สูงมาก ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพวกเขาหายากและส่วนใหญ่มักจะมีพลังเวทย์สูง


 


“ข้าไม่สามารถมองข้ามเรื่องการค้ามนุษย์ได้แต่พรมแดนทางใต้นั้นมีการจัดการค่อนข้างดี แทนที่จะดั้งด้นมาขอความช่วยเหลือถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิมันจะไม่ดีกว่าหรอถ้าเจ้าไปติดต่อลอร์ดท้องถิ่นในเมืองใหญ่ๆที่อยู่ในระแวกใกล้เคียงหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ทหารที่ดูแลเขตนั้น?”


 


“ข้าลองดูแล้วค่ะ แต่ไม่มีใครยอมเคลื่อนไหวเลย พวกเขาบอกว่าไม่มีหลักฐานหรือไม่ก็มันไม่มีหมู่บ้านแบบนั้นในจักรวรรดิหรอก…. และเพราะแบบนี้เองข้าก็เลยออกจากหมู่บ้านเพื่อมาขอความช่วยเหลือจากคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง มันเป็นโชคดีของข้า, ที่ไม่ได้มีดวงตาสองสี จากนั้น, ในตอนที่ข้ารับคำขอให้กำจัดมอนส์เตอร์ทางเขตตะวันตก, ข้าก็ได้ไปเจอกับซิลเวอร์ที่นั่น เนื่องจากมีข่าวลือมาว่าซิลเวอร์นั้นติดต่อกับราชวงศ์อยู่ภายใต้เหตุผลบางอย่าง, ข้าก็เลยมาที่เมืองหลวงของจักรวรรดิโดยหวังที่จะติดต่อเขา แต่ในท้ายที่สุด, ก่อนที่ข้าจะได้เจอเขา, ข้าก็มาเจอท่านก่อน”


 


“ช่างเป็นการพบกันที่บังเอิญจริงๆ แต่ว่า, พวกเขาไม่ยอมเคลื่อนไหวงั้นสินะ…..”


 


สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเข้ามาในหัวของฉัน และปัญหานี้ก็เป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากที่สุดด้วย


 


สถานการณ์ที่ว่านี้ก็คือลอร์ดท้องถิ่นกับทหารในพื้นที่เป็นหุ้นส่วนกับองค์กรค้ามนุษย์ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆนี่ก็จะไม่ใช่แค่เรื่องของหมู่บ้านผู้ลี้ภัยอีกต่อไป


 


มันจะกลายเป็นปัญหาเรื่องการทุจริตของขุนนางและกองทัพ


 


และถ้าเป็นแบบนั้น, ฉันคนเดียวก็คงจะมีเวลาไม่พอที่จะจัดการเรื่องนี้


 


“ท่านอาร์โนลด์ครับ, ต่อให้เป็นคำขอของผู้ช่วยชีวิต, แต่ท่านคงต้องยอมรับตั้งแต่ที่ท่านรู้แล้วนะครับว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่าน”


 


“เซบาส…..”


 


“ทำไมหล่ะคะ?”


 


“ท่านอาร์โนลด์กับน้องชายของเขาท่านลีโอนาร์ดจะถูกส่งไปประเทศอื่นในเร็วๆนี้ในฐานะทูตและผู้ช่วยทูตครับ เขาจะไม่สามารถกลับมาที่จักรวรรดิได้เป็นเวลาอย่างน้อยที่สุดก็ครึ่งเดือน, หรืออย่างนานที่สุดก็หลายเดือน ต่อให้เขาอยากจะช่วย, เขาก็ไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการเรื่องนั้นหรอกครับ”


 


“เป็นอย่างนี้นี่เอง……..ถ้างั้นอย่างน้อยก็ช่วยเรื่องเงินทุนหน่อยได้ไหมคะ? ข้าจ้างนักผจญภัยที่ไว้ใจได้ไปปกป้องหมู่บ้านแล้ว หมู่บ้านคงจะปลอดภัยไปได้สักพักนึงแต่ในเร็วๆนี้พวกเราก็จะมีเงินไม่พอสำหรับจ้างนักผจญภัย ข้าได้มอบเงินที่ข้ามีให้พวกเขาไปด้วยเป็นค่าใช้จ่ายล่วงหน้าแต่มันก็ยังไม่พอที่จะให้พวกเขาอยู่หมู่บ้านไปตลอด….”


 


อย่างนี้นี่เอง นี่คือเหตุผลที่เธอมาเป็นนักผจญภัยสินะ


 


คอยเก็บเงินไปด้วยในขณะที่เสาะหานักผจญภัยที่ไว้ใจได้ การทำแบบนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำสองเป้าหมายพร้อมกัน


 


เธอเข้าใจคิดใช้ได้เลยนะเนี่ย


 


ว่าแต่, จะเอายังไงดีนะ


 


เรื่องมันจะง่ายขึ้นถ้าฉันเลือกที่จะทิ้งเธอ ในช่วงเวลาแบบนี้ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาปัญหามาใส่ตัวเพิ่ม


 


ต่อให้เธอบอกว่าเป็นคนช่วยชีวิตฉัน, นั่นมันก็แค่ผิวเผิน ฉันไม่ได้เป็นคนขอให้เธอช่วย ยิ่งไปกว่านั้น, คำขอมันก็มีทั้งที่สามารถทำให้ได้และทำให้ไม่ได้


 


และไม่ว่าจะคิดยังไง, นี่มันก็เป็นอย่างหลังชัดๆ


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าฉันเลือกทิ้งเธอก็คงจะมีคนตำหนิ ฉันไม่สนใจที่จะถูกตำหนิหรอกแต่มันจะเป็นปัญหาเอาได้ถ้าพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง


 


ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกแล้วสินะ


 


“ลินเฟีย ข้าเข้าใจสถานการณ์ของเจ้านะ เจ้าจะว่าอะไรไหมถ้าข้าจะขอให้ยอมรับการประนีประนอม?”


 


“ประนีประนอมหรอคะ?”


 


“ใช่, ข้ากับลีโอจะต้องไปต่างประเทศ นี่เป็นเรื่องที่หลักเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่า, ในตอนที่กลับมาแล้วข้าจะพยายามช่วยเจ้าในขอบเขตความสามารถของข้า ข้าอยากให้เจ้ารอจนกว่าจะถึงตอนนั้น และแน่นอนว่า, ข้าจะส่งคำขอไปให้นักผจญภัยที่ข้าไว้ใจได้เพื่อรับรองความปลอดภัยของหมู่บ้านเจ้าไปสักพักนึง พวกเรามีเงินพอสำหรับเรื่องนั้นอยู่แล้ว ว่าไงหล่ะ?”


 


“แบบนั้นจะดีหรอคะ…..?”


 


“ท่านอาร์โนลด์……นี่มันค่อนข้างอันตรายนะครับ ท่านก็รู้ไม่ใช่หรอว่าพวกเรากำลังอยู่ในช่วงสงครามผู้สืบทอด? ถ้าตอนนี้ท่านเอาตัวเองไปยุ่งกับปัญหาอื่นท่านจะสร้างช่องโหว่วขึ้นมานะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะต้องเกิดขึ้นอีกในอนาคตอย่างแน่นอน”


 


“ถ้าเป็นแบบนั้นข้าเองก็จะให้ความช่วยเหลือเหมือนกันค่ะ แบบนี้โอเคไหมคะ?”


 


พอพูดจบ, ลินเฟียก็เอาดาบมาวางไว้บนโต๊ะ


 


ถ้ามองผ่านๆมันก็เป็นแค่ดาบบางๆเล่มนึงแต่จากที่เห็นมาก่อนหน้านี้, นี่คือดาบเวทมนตร์ มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นหอกหรือโล่ได้ ถ้าตัดสินจากพลังที่ฉันเห็นกับหอก, แต่ละรูปแบบนั้นน่าจะมีความสามารถของตัวเอง


 


ลินเฟียแสดงมันให้เราเห็นโดยที่สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนเลย


 


“ถ้าท่านยอมปกป้องหมู่บ้านเพื่อข้า, ข้าเองก็จะคอยปกป้องท่านค่ะ รวมถึงข้าจะปกป้องในสิ่งที่ท่านอยากปกป้องด้วย แบบนี้พอจะตกลงกันได้ไหมคะ? ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้มีความมั่นใจมากมายนัก, แต่ข้าคิดว่าตัวเองค่อนข้างเก่งเรื่องปกป้องคนสำคัญในระดับนึง”


 


“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะแต่ถ้าเจ้าไม่อยู่ที่หมู่บ้านจะไม่เป็นอะไรหรอ?”


 


“ตราบใดที่ท่านยอมส่งนักผจญภัยไปปกป้องพวกเขามันก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ คนขององค์กรค้ามนุษย์ไม่ได้เก่งอะไรนัก ในตอนที่ข้ายังอยู่ที่หมู่บ้าน, ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการพวกมัน ถ้ามีนักผจญภัยแรงค์ A สักคนอยู่ในหมู่บ้าน, ความปลอดภัยก็ค่อนข้างจะแน่นอนแล้วค่ะ”


 


การที่ยอมพูดถึงขนาดนี้ก็แสดงว่าเธอเป็นเด็กที่รู้คุณคนและยังมีความรอบครอบด้วย


 


ถ้าพิจารณาจากความเป็นไปได้ที่ว่าฉันอาจจะไม่รักษาคำพูด, ลินเฟียก็คงกำลังบอกว่าเธออยากจะอยู่ข้างกายฉันเพื่อรับรองข้อตกลงทางฝั่งฉัน


 


อันที่จริง, ฉันได้ลำดับสถานการณ์เอาไว้ในหัวแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมฉันถึงพูดว่า [ในขอบเขตความสามารถของฉัน] ตั้งแต่ตอนที่ยื่นข้อเสนอ


 


นี่มันเหมือนกับสิ่งที่ได้มาโดยที่คาดไม่ถึงยังไงไม่รู้สินะ?


 


ขอลองทดสอบเธออีกซักหน่อยแล้วกัน


 


“ลินเฟีย, สมมุติว่าข้าผิดสัญญากับเจ้า, เจ้าจะทำยังไง?”


 


“ข้าจะหนีไปหาผู้มีอำนาจกลุ่มอื่นพร้อมกับเอาสิ่งที่สามารถทำให้เสียเปรียบไปด้วย แล้วข้าก็จะขอให้พวกเขาช่วยหมูบ้านของข้าโดยแลกกับสิ่งนั้น”


 


ฉันกลับเซบาสมองหน้ากันในเวลาที่แทบจะพร้อมกัน


 


นักผจญภัยแรงค์ A ที่มีทักษะการต่อสู้ที่สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้หลากหลายแถมยังสร้างข้อต่อรองแบบนี้ขึ้นมาได้อีก และเนื่องจากเธอใช้ชีวิตในฐานะนักผจญภัยแบบลุยเดี๋ยว, เธอต้องมีความรู้ด้านอื่นด้วยแน่ๆ


 


ฉันไม่สามารถฝากฟีเน่เอาไว้กับเอลน่าได้ตลอด ถึงยังไงเอลน่าเองก็มีภารกิจของตัวเองเหมือนกัน


 


ในเมื่อเป็นแบบนี้ลินเฟียก็คือทรัพยากรที่จะมาเติมเต็มช่องว่างนั้นได้


 


ถ้าให้พูดจริงๆ, ทั้งนิสัยและความสามารถของเธอนั้นมันดูเหมาะสมกว่าเอลน่าซะอีก


 


“แล้วจะเป็นยังไงถ้าข้ายกเลิกข้อตกลงตอนนี้เลย?”


 


“ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ ข้าก็แค่จะเอาเรื่องนี้ไปเจรจากับผู้เข้าแข่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิคนอื่นๆ ถ้าข้าบอกพวกเขาว่าท่านปฏิเสธที่จะช่วยข้า, พวกเขาก็น่าจะยอมรับข้านะคะ”


 


“โฮ่……”


 


นี่เธอมีความสามารถในการมองภาพรวมด้วยหรอเนี่ย


 


ในสถานการณ์แบบนี้, แม้กระทั่งความเยือกเย็นที่แสดงออกจากการไม่ขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าก็ถือเป็นหนึ่งในจุดให้ประเมินแล้ว ตอนนี้สำหรับลินเฟีย, มันก็เหมือนกับการที่เธอกำลังเดินอยู่บนเชือกเส้นเดียว


 


ถ้าฉันปฏิเสธเธอตรงนี้, ลินเฟียก็จะตกที่นั่งลำบากไม่ผิดแน่ และฉันก็นึกไม่ออกเลยว่าพวกพี่ๆจะยื่นข้อเสนอให้เธอเหมือนกับที่ฉันเสนอ เธอบอกว่าจะเข้าร่วมขุมอำนาจอื่นถ้าฉันไม่ยอมช่วยเธอแต่นั่นก็แค่สิ่งที่เธอพูดให้ตัวเองดูแข็งแกร่งขึ้น, มันคือการบลัฟดีๆนี่เอง


 


แต่ถึงอย่างนั้น, ตัวลินเฟียเองก็ไม่ได้ทำตัวเร่งรีบหรือพยายามประจบประแจงฉัน


 


ซึ่งนี่เป็นเพราะเธอรู้ตัว เธอรู้ว่ากำลังถูกทดสอบอยู่


 


“เซบาส คิดว่าไง?”


 


“ข้าไม่มีอะไรจะคัดค้านครับ ถ้าท่านเลือกให้ความร่วมมือกับเธอ, เธอก็จะกลายมาเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของเราอย่างแน่นอน แต่ว่า, ท่านจะต้องแก้ปัญหาเรื่องหมู่บ้านของเธอให้ได้ก่อนนะครับ”


 


“ตัดสินใจยากแฮะ….เอาเถอะ, ช่วยไม่ได้หล่ะนะ ข้าไม่มีทางเลือก, ลินเฟีย, ข้าจะรับข้อเสนอของเจ้า จงมาร่วมมือกับข้าแล้วข้าจะร่วมมือกับเจ้า แบบนี้คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”


 


“ไม่มีปัญหาค่ะแต่ว่า….ทำไมท่านถึงบอกว่าไม่มีทางเลือกหรอคะ?”


 


“น่าจะรู้นี่ว่าน้องชายของข้าเป็นพวกนิสัยดีสุดๆ ลูกสาวของดยุคที่เป็นผู้สนับสนุนหลักของเราก็เป็นคนแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าข้าทิ้งเจ้าตอนนี้, พวกเขาก็จะโกรธข้าและพยายามช่วยเจ้าด้วยตัวเองอยู่ดี และถ้าเป็นแบบนั้นมันจะดีที่สุดถ้าข้ายอมตกลงช่วยเจ้าตั้งแต่แรก”


 


“….พูดตามตรง, ข้าประหลาดใจนะคะ ชื่อเสียงของท่านนี่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าหาดีไม่ได้เลย ไร้ความสามารถและเฉื่อยชา เจ้าชายเสเพลที่เอาแต่เล่นไปวันๆโดยไม่ทำอะไรเลย เจ้าชายที่ถูกน้องชายของตัวเองแย่งส่วนดีๆไปทั้งหมด นี่คือคำที่ผู้คนบ่งบอกถึงตัวตนของท่าน แต่ว่า, จากความรู้สึกที่ข้าได้คุยกับท่านในวันนี้มันตรงกันข้ามกันหมดเลย ท่านไม่ได้ไร้ความสามารถหรือเฉื่อยชาย หรือว่าจริงๆแล้วท่านคือเจ้าชายลีโอนาร์ดปลอมตัวมากันแน่คะ?”


 


ลินเฟียมองฉันด้วยสายตาขี้สงสัยเล็กน้อย


 


สำหรับเรื่องนี้, ฉันยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


 


จะว่าไปแล้ว, ดูเหมือนว่าปัญหามันจะยุ่งยากเกินไปจนฉันลืมแกล้งทำตัวเป็นคนไร้ความสามารถสินะ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้, การจะปล่อยลินเฟียที่รู้ถึงขนาดนี้ก็คงจะไม่ได้แล้วหล่ะ


 


“ไม่ต้องห่วง ข้าคืออาร์โนลด์จริงๆ เอาเป็นว่าเราทำข้อตกลงกันแล้วนะ ขอฝากตัวด้วยหล่ะ, ลินเฟีย”


 


“……ขอฝากตัวด้วยค่ะ”


 


พอพูดจบ, ฉันกับลินเฟียก็จับมือกัน

 

 

 


ตอนที่ 27

 

รูปร่างของทวีปโฟเกลนั้นบางครั้งก็ถูกบอกว่าเหมือนนกกำลังสยายปีก


 


แผ่นดินที่แผ่ขยายออกไปทั้งซ้ายและขวาโดยเชื่อมกับส่วนที่ยื่นออกไปทางฝั่งเหนือและใต้เล็กน้อยทำให้มันดูเหมือนกับปีก, ศรีษะ, และหางของนกจริงๆ


 


ที่ตรงกลาง(ลำตัว)ของทวีปโฟเกลก็คือจักรวรรดิอาเดรเชีย


 


ส่วนสถานที่ที่ลีโอกับฉันถูกส่งไปนั้นตั้งอยู่ที่ส่วนหาง


 


ชื่อของประเทศนั้นก็คือราชรัฐรอนดิเน่ มันคือหนึ่งในสองประเทศที่ตั้งอยู่ตรงส่วนหางของทวีป


 


“หนึ่งในสองประเทศที่รอดมาจากยุคสงครามภายในเขตใต้สินะ…..”


 


ฉันกำลังอ่านเอกสารเกี่ยวกับประเทศที่ว่านี้อยู่บนเรือ


 


มันคือกองเรือเอกอัครราชทูตของจักรวรรดิที่นำโดยลีโอซึ่งมาทำภารกิจในฐานะทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ


 


มันประกอบไปด้วยเรือสองลำ, และแต่ละลำก็ขนของขวัญที่นำมาให้รอนดิเน่ด้วย


 


เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น, ฉันกับลีโอจึงนั่งเรือคนละลำกัน แต่ก็นะ, ทะเลเขตนี้ค่อนข้างสงบดังนั้นมันไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอก


 


อย่างไรก็ตาม, มีอยู่คนนึงที่ตอนนี้กำลังตัวสั่นอยู่บนเรือของฉันตลอดเวลา


 


“ถ้าอยู่บนทะเลที่สงบแบบนี้เธอยังตัวสั่นได้ขนาดนี้, เธอก็คงไปทะเลแถบอื่นไม่ไหวหรอกรู้รึเปล่า?”


 


“ข้า, ข้าไม่อยากไปทะเลแถบอื่นมาตั้งแต่แรกแล้ว……”


 


คนที่พูดถึงอยู่นี้ก็คือเอลน่าที่กำลังขลุกอยู่ในฟูกบนเตียงของเธอ


 


ยัยนี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงแล้วทำไมถึงตัวสั่นขนาดนี้?


 


ถ้าให้อธิบาย, เรื่องมันก็ค่อนข้างยาวอยู่


 


โดยปกติ, ทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จนั้นจะต้องมีสมาชิกของภาคีอัศวินหลวงตามมาคุ้มกันด้วย ซึ่งเหตุผลที่เอลน่ามาอยู่ที่นี่ก็แค่เพราะพวกพี่ๆเสนอชื่อของเธอ ส่วนสาเหตุที่พวกเขาตั้งใจทำแบบนี้ก็เพื่อแยกคนที่สนับสนุนพวกเราออกมาจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ แต่ก็นะ, ฉันคิดเอาไว้แล้วหล่ะว่าจะเป็นแบบนี้ก็เลยสั่งลินเฟียเอาไว้ล่วงหน้าให้คอยดูแลฟีเน่ดังนั้นมันน่าจะไม่มีปัญหาอะไร


 


แต่ถึงอย่างนั้น, การส่งคนจากบ้านผู้กล้าหาญที่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้ออกนอกจักรวรรดินั้นค่อนข้างจะเป็นปัญหาอยู่ แต่ว่ามันก็ยังมีประโยชน์ตรงที่มันช่วยแสดงให้เห็นว่าความปราถนาดีของเรานั้นจริงจังขนาดไหน


 


ในท้ายที่สุดแล้ว, พ่อก็ยอมรับข้อเสนอเรื่องที่จะส่งเธอมากับพวกเราแต่ตัวท่านพ่อเองต้องรู้อยู่แล้วแน่ๆว่ามันเป็นหนึ่งในแผนการของพวกพี่ๆ


 


ไหนๆก็พูดแล้วขอเข้าเรื่องปัญหาด้วยละกัน, คนจากบ้านผู้กล้าหาญที่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิได้นั้นคือหนึ่งในแสนยานุภาพที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิ การส่งคนระดับนี้ไปยังประเทศอื่นจะเป็นการลดตัวเลือกของจักรวรรดิลงในกรณีที่ต้องปกป้องตัวเองเมื่อมีประเทศอื่นเลือกที่จะโจมตีพวกเรา นี่คือปัญหานึง ส่วนอีกปัญหาก็คือว่าบ้านผู้กล้าหาญนั้นไม่สามารถใช้พลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ข้างนอกอาณาเขตของจักรวรรดิได้ถ้าไม่ได้รับคำอนุญาตจากจักรพรรดิ มันคือมาตรการรักษาความปลอดภัยเผื่อในกรณีที่บ้านผู้กล้าหาญทรยศจักรวรรดิและมันก็ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าตระกูลรุ่นแรกของพวกเขา


 


ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ซักเท่าไหร่ เพราะถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องหายากที่คนจากบ้านผู้กล้าหาญออกนอกอาณาเขตของจักรวรรดิ


 


“ข้าจะสาปแช่งไอ้พวกนั้น…….! ข้าจะไม่มีวันลืมความแค้นนี้…..! ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้ไอ้พวกสามคนนั่นเด็ดขาด…..!”


 


“พอเห็นเธอตัวสั่นแบบนี้แล้วมันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่เลยนะ”


 


และเหตุผลที่เธอตัวสั่นแบบนี้ก็เพราะเธอกลัวทะเล


 


เอลน่าไม่มีปัญหากับการอาบน้ำแต่เธอเป็นประเภทที่จะกลายเป็นพวกไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ในแม่น้ำหรือมหาสมุทร ฉันคิดว่ามันคือสิ่งที่น่าจะเรียกว่าโรคกลัวน้ำ สำหรับเอลน่าที่เรียกได้ว่าเกือบสมบูรณ์แบบนั้น, คงต้องบอกเลยว่านี่คือจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของเธอ แม้ว่าตัวเอลน่าเองจะเกลียดความพ่ายแพ้, แต่นี่คือจุดอ่อนที่เธอไม่สามารถเอาชนะได้


 


ในตอนที่เห็นทะเล, เธอจะเริ่มรู้สึกคลื่นไส้มวนๆท้องและมีอาการหัวหมุนเนื่องจากความกังวลและในตอนที่ขึ้นมาบนเรือร่างกายของเธอก็จะไม่สามารถหยุดสั่นได้เนื่องจากความกังวลที่ไม่สามารถอธิบายได้ของเธอ ถ้าเธอออกไปที่ดาดฟ้าเรือตอนนี้เธอน่าจะเป็นลมจากความตกใจได้เลย


 


“แต่ก็นะ, จนถึงตอนนี้เธอก็ปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้ดีอยู่ไม่ใช่หรอ? ถึงข้าจะคิดว่ามันถูกเปิดเผยแล้วก็เถอะ”


 


“คนจากบ้านผู้กล้าหาญที่สามารถใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นจะไม่ค่อยได้ออกนอกจักรวรรดิ……ตั้งแต่ตอนที่ข้ารู้ว่าดินแดนส่วนใหญ่ของจักรวรรดิเป็นพื้นบก, ข้าก็พยายามอัญเชิญดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างเอาเป็นเอาตายในตอนที่อายุสิบสอง…..เพราะไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่อยากขึ้นเรือนี่หน่า……..”


 


เอลน่าเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเล็กน้อย


 


คนๆแรกที่อัญเชิญดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาด้วยเหตุผลโง่ๆแบบนี้น่าจะเป็นเอลน่า และยิงไปกว่านั้น, ความพยายามที่สูญเปล่าเช่นนี้มันก็ทำให้ฉันหลุดขำออกมา


 


“มะ, เมื่อกี้เจ้าพึ่งหัวเราะใช่ไหม…..!? นั่นคือสิ่งที่เจ้าทำในตอนที่เพื่อนสมัยเด็กของตัวเองกำลังสั่นกลัวแบบนี้หรอ…..!?”


 


“ถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอกลัวน้ำขนาดนี้ก็คงจะเป็นเหมือนกันนั่นแหล่ะ โดยเฉพาะข้า”


 


“อะ อัล, เจ้าเองก็มีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้นะ, รู้ตัวไหม…..!? ที่ข้ารู้สึกกลัวขนาดนี้มันมาจากการที่ข้าได้เห็นสภาพของเจ้าในตอนที่จมน้ำยังไงหล่ะ……!”


 


ใช่แล้ว, มันคือเหตุการณ์ในตอนที่ฉันอายุแปดขวบ ฉันกำลังอาบน้ำกับเอลน่า, ในตอนนั้น, ดูเหมือนว่าฉันจะไปพูดอะไรบางอย่างที่ไปยั่วโมโหเธอเข้าแล้วก็จบลงที่การถูดอัดเข้าที่ลำตัว หลังจากนั้น, ฉันก็หมดสติไปและจมอยู่ในอ่างน้ำ ตอนนั้นฉันเกือบจะจมน้ำตายแล้วด้วยซ้ำ


 


และในตอนที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเธอก็รู้สึกกลัวด้วยเหตุผลบางอย่างและจบลงที่เป็นโรคกลัวน้ำจนถึงตอนนี้


 


นี่คือสาเหตุที่ดูไร้เหตุผลที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายคนไหนก็คงจะเอาชนะความไร้เหตุผลของเธอไม่ได้


 


“เจ้าก็แค่กรรมตามสนองนี่ เอาจริงๆนะ, มันคงจะไม่แปลกอะไรหรอกถ้าคนที่กลายเป็นโรคกลัวน้ำคือข้า มันคือการลงโทษจากสวรรค์ยังไงหล่ะ, ใช่แล้วนี่มันการลงโทษจากสวรรค์แน่ๆเลย


 


“ฮืออ…..เจ้าดูมีความสุขกับเรื่องนี้เกินไปแล้วนะ……”


 


เอลน่าน้ำตาคลอด้วยความรู้สึกอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน


 


พูดตามตรง, ถ้ากลัวขนาดนั้นจะปฏิเสธไปตั้งแต่ตอนที่ถูกเสนอชื่อก็ได้นี่


 


 


ทำไมถึงต้องฝืนตามฉันมาด้วย


 


“ข้าคิดว่าถ้าเธอไปคุยกับท่านพ่อ, เขาก็น่าจะยอมพิจารณาหาคนอื่นมาแทนเธอไม่ใช่หรอ?”


 


“ถ้าผู้คนรู้ว่าลูกสาวของบ้านผู้กล้าหาญเป็นโรคกลัวน้ำแบบนั้นมันก็จะกลายเป็นข่าวฉาวได้หน่ะสิ……..! และยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าข้าบอกฝ่าบาทว่ากลัวการออกทะเลมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนแพ้เลยไม่ใช่หรอ……”


 


“เอาจริงดิ, นี่เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังแข่งกับอะไรเนี่ย…..”


 


ในตอนที่ฉันตกตะลึงกับคำพูดของเธอ, เรือก็โคลงเคลงเล็กน้อย


 


มันไม่ใช่การสั่นสะเทือนที่รุนแรงอะไรแต่ดูเหมือนว่าเอลน่าจะรับผลกระทบเข้าไปเต็มๆ


 


“ไม่น้า!!!?? โอ๊ย!?”


 


เธอกลิ้งไปมารอบเตียงเล็กๆของเธอ, จนศรีษะไปกระแทกและตอนนี้ก็กำลังขดตัวด้วยความเจ็บปวด


 


นี่คือฉากที่คงไม่มีวันได้เห็นในตอนที่อยู่บนบกดังนั้นมันจึงค่อนข้างรู้สึกสดชื่นในตอนที่เห็นเธออยู่ในสภาพแบบนี้


 


“พออยู่บนน้ำแล้วเธอนี่ไร้ประโยชน์จังเลยนะ ถ้าเกิดมีโจรสลัดโจมตีเข้ามาพวกเราก็คงจะจบสิ้นแน่ๆเลยใช่ไหมเนี่ย?”


 


“หยะ, อย่ามาดูถูกข้านะ…..! ถ้าถึงเวลาจริงๆเข้าหล่ะก็…..! ม่ายยยยย!!?? เมื่อกี้สั่นแรงเลยใช่ไหม!? มันทำให้เรือเป็นรูรึเปล่า!?”


 


“ถ้าถึงเวลาเข้าจริงๆเจ้าก็จะไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์สินะ ข้าคิดว่ามันคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรอกแต่มันคงจะเป็นหนังคนละม้วนถ้าเกิดมีมังกรทะเลโผล่มา”


 


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในทะเลก็คือมังกรทะเล, ราชาแห่งท้องทะเล


 


มันคือมังกรที่ปรับตัวให้เข้ากับทะเลและมอนส์เตอร์คลาสสูงสุดที่อาละวาดในมหาสมุทร ความน่ากลัวนั้นยิ่งกว่าอยู่บนบก มีลูกเรือนับไม่ถ้วนที่ตายจากการถูกจมเรือกลางทะเล


 


มีบางครั้งที่กองเรือของสองประเทศที่เป็นอริกันกำลังทำสงครามกันอยู่แล้วถูกมันจมเรือทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่า, เอลน่าต้องเคยได้ยินเรื่องราวที่น่ากลัวแบบนี้มาเหมือนกัน


 


ในตอนที่เธอได้ยินคำว่ามังกรทะเล, สีหน้าของเธอก็ดูเหมือนกับกำลังจะบอกว่าสติของเธอพังไปหมดแล้ว


 


“นี่ข้า….จะต้องมาตายที่นี่หรอ?”


 


“ยัยโง่, เธอไม่ตายหรอกหน่า ตอนนี้เธอดูเหมือนกับเป็นคนละคนเลยนะ นี่คือสีหน้าของอัศวินหลวงหรอ ต่อให้เธอเจอปัญหาในภารกิจของตัวเอง, แต่มันก็ยังเป็นภารกิจที่เธอรับมาไม่ใช่รึไง”


 


“แต่นี่มัน…..”


 


“เห้อ…..”


 


เอาเถอะ, มันก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่เข้าใจเรื่องที่เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น, มันดูไม่มีทีท่าว่าพวกเราจะต้องทำศึกกลางมหาสมุทรด้วย แถมฉันเองก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะมีโจรสลัดที่เจาะจงเลือกโจมตีกองเรือที่มีการคุ้มกันแน่หนาแบบนี้


 


ถ้าพวกเราไปถึงแผ่นดิน, เอลน่าก็จะกลับมาอยู่ในสภาพปกติ ตอนนี้คงได้เวลาหยุดแกล้งเธอแล้วหล่ะ


 


ด้วยความรู้สึกสดชื่นหลังจากที่ได้ระบายความแค้นไประดับนึง, ฉันก็แอบร่ายบาเรียรอบตัวเอลน่าอย่างลับๆ มันคือบาเรียที่จะตัดขาดเธอจากโลกภายนอก ด้วยสิ่งนี้, การสั่นของเรือที่เธอต้องเผชิญอยู่ก็จะดีขึ้นมาเล็กน้อย โดยปกติแล้ว, ฉันคงจะใช้มันโดยที่เธอไม่รู้สึกตัวไม่ได้แต่นี่คงจะไม่เป็นไรเพราะเอลน่าในสภาพนี้คงไม่ทันรู้สึกถึงบาเรียหรอก”


 


“ระ, เรือสั่นเบาลงหน่อยแล้วใช่ไหม…..”


 


“มันก็ไม่ได้สั่นแรงมาตั้งแต่แรกแล้วนะ”


 


“อะ, อัล, เจ้าจะทำตัวหย่อนยานเกินไปแล้วนะ……ถ้าเกิดเรือล่มขึ้นมาเจ้าจะทำยังไง?”


 


“ในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของจักรวรรดิ, มีอยู่แค่สองเหตุการณ์เท่านั้นที่กองเรือล่ม”


 


“แต่นี่มันก็ช่วยรับประกันไม่ได้ไม่ใช่หรอว่าวันนี้จะไม่ใช่ครั้งที่สาม……?”


 


ไม่เหมือนกับปกติ, เธอกลายเป็นพวกคิดลบจนน่ารำคาญ ขนาดบอกข้อมูลที่ทำให้สบายใจได้แล้วทำไมยังทำให้กลัวได้อีกหล่ะ?


 


ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรก็คงไม่มีประโยชน์สินะ ถ้าชอบนักเดี๋ยวจะทำให้กลัวอีกสักหน่อยแล้วกัน


 


ในตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา, ฉันก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่ฟังดูนุ่มนวล


 


เอลน่าตอบสนองด้วยความกลัวแม้กระทั่งกับเสียงเคาะประตู และเนื่องจากเธอไม่มีทีท่าว่าจะขานตอบ, ฉันจึงทำหน้าที่นี้แทนเธอ


 


และในตอนที่ฉันทำ, อัศวินวัยกลางคนที่เป็นลูกน้องของเอลน่าก็เข้ามา


 


“เข้ามาสิ”


 


“ขออนุญาตครับ….. เอ่อว่าแต่, หัวหน้าไปไหนหรอครับ?”


 


“ยะ, ยังมีลมหายใจอยู่…….”


 


“ท่านช่วยไปที่ดาดฟ้าเรือหน่อยได้ไหมครับ?”


 


“นี่เจ้าจะบอกให้ข้าไปตายหรอ….!? ขืนไปที่นั่นข้าได้ถูกลมพัดตกจากดาดฟ้าเรือแล้วต้องจมน้ำตายแน่ๆ…..!”


 


“นี่เธอคิดว่าเราอยู่ท่ามกลางพายุหรืออะไรเทือกนั้นรึไง? ก็เห็นอยู่นี่ว่าวันนี้ฟ้าโปร่ง ให้ตายเถอะ…..หัวหน้าของเจ้าก็เป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหล่ะ”


 


ในตอนที่ฉันมองอัศวินด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ, อัศวินคนนั้นก็ยิ้มกลับมาอย่างขมขื่น ตามที่คาดเอาไว้, ดูเหมือนว่าลูกน้องสายตรงของเธอนั้นจะรู้เรื่องอาการของเธอ ก็นะ, ถึงยังไงเธอก็น่าจะปกปิดเรื่องนี้ได้ไม่มิดหรอก


 


“ถ้างั้นข้าขอรายงานอย่างเดียวแล้วกันครับ มีเรือจากราชรัฐอัลบราโทรมาขอเจรจา เมื่อสักครู่นี้, ทั้งเรือของเราและขององค์ชายลีโอนาร์ดได้ทำการทอดสมอแล้วแต่ว่าพวกเราจะเอายังไงต่อไปดีครับ?”


 


“ราชรัฐอัลบราโทรหรอ, แสดงว่าพวกเราเข้ามาถึงน่านน้ำของพวกนั้นแล้วสินะ”


 


ราชรัฐอัลบราโทรนั้นคือประเทศที่ตั้งอยู่ถัดจากราชรัฐรอนดิเน่ มันคือประเทศแห่งการเดินเรือและเป็นประเทศที่มีการส่งออกทางทะเลอย่างกว้างขวาง ความสัมพันธ์ของพวกเขากับจักรวรรดินั้นค่อนข้างไม่ลงรอยกันซักเท่าไหร่เพราะในยุคสงครามเมื่อครั้งอดีตพวกเขาเลือกเป็นพันธมิตรกับศัตรูของจักรวรรดิ


 


การที่มาขอเจรจาในครั้งนี้, ก็แสดงว่าพวกเขาไม่อยากให้เรามุ่งหน้าไปที่รอนดิเน่สินะ แทนที่จะเป็นการพูดคุย,ประเด็นหลักจริงๆต้องเป็นการสอบสวนแน่ๆ


 


“ตะ, ตอนนี้ให้อัศวินไปอยู่ในห้องพักของตัวเองแล้วครับ….การไปกวนประสาทเจ้าพวกนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่……”


 


“ข้าเห็นด้วย แล้วลีโอว่ายังไงบ้าง?”


 


“ดะ….ดูเหมือนว่าองค์ชายลีโอนาร์ดจะรู้สึกไม่ดีดังนั้นเขาก็เลยส่งข้ามาที่นี่เพื่อขอแนวทางจากหัวหน้าครับ”


 


“เห้อ….ช่วยไม่ได้หล่ะนะ เดี๋ยวข้าจะแกล้งทำตัวเป็นลีโอแล้วคุยกับพวกนั้นเอง”


 


พอพูดจบ, ฉันก็ออกจากห้องไปพร้อมกับอัศวินวัยกลางคน


 


เรือที่จอดอยู่ถัดจากฉันก็คือเรือของลีโอ ถ้าฉันให้สัญญาณว่าพวกเราจะยอมรับการเจรจา, ผู้คนจากราชรัฐอัลบราโทรก็น่าจะขึ้นไปที่เรือลำนั้นสินะ


 


เอาเถอะ, ในเมื่อพวกนั้นไม่ได้ตรวจสอบกองเรือละเอียดซักเท่าไหร่, ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง


 


ในตอนที่ฉันย้ายไปที่เรืออีกลำนึง, ฉันก็ตรงไปที่ห้องของลีโอ


 


ข้างในห้องมีลีโอที่กำลังหน้าซีดอยู่ ตามที่คาดเอาไว้, ฉันจะปล่อยให้เขาไปเจรจาในสภาพนี้ไม่ได้


 


“ว่าไง, สภาพดูไม่จืดเลยนี่ เมาเรือหรอ?”


 


“ครับ….ดูเหมือนจะใช่…..”


 


“ไม่ใช่เอลน่าซักหน่อย ตั้งสติให้ดีๆสิ”


 


“ขอโทษครับ…..”


 


“เดี๋ยวข้าจะรับหน้าให้เอง เจ้าไปพักที่เรืออีกลำเถอะ”


 


“แต่ว่า……”


 


“ไม่เป็นไรหรอกหน่า, บอกคนอื่นไปว่าองค์ชายอาร์โนลด์รู้สึกไม่ดี”


 


“แต่ว่า, ถ้าพูดแบบนั้นไป, ชื่อเสียงขององค์ชายก็จะ……”


 


“เถอะหน่า ถึงพูดไปมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก”


 


ในตอนที่ฉันพูดแบบนั้นกับลูกน้องของเอลน่า, ฉันก็ส่งลีโอไปที่เรืออีกลำนึง แน่นอนว่า, ทุกคนที่อยู่รอบๆคิดว่าเขาคือเจ้าชายอาร์โนลด์


 


หลังจากนั้น, ฉันก็เซ็ทผมแล้วจัดแต่งเสื้อผ้าของตัวเองก่อนที่จะออกมาจากห้องด้วยสีหน้าหนักแน่น


 


“ยอมรับการขอเจรจา ไปเตรียมการซะ”


 


“ครับ, องค์ชาย”


 


ด้วยประการฉะนี้เอง, ฉันก็สลับตัวกับลีโอกลางทะเล

 

 

 


ตอนที่ 28

 

มีเรือรบสามลำของอัลบราโทรกำลังเข้ามาใกล้พวกเรา


 


พวกมันเป็นเรือใบที่ติดตั้งปืนใหญ่สำหรับยิงกระสุนเวทมนตร์ ณ ตอนนี้พวกมันคือเรือรบรุ่นล่าสุด การต่อสู้ระยะใกล้นั้นมันก็เรื่องนึงแต่พวกเราคงจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าปะทะกันในการต่อสู้ระยะไกล


 


“ตามที่คาดเอาไว้, พวกนั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อโจมตีพวกเราสินะ”


 


“ถ้าพวกนั้นทำ, มันก็คงจะเป็นการเริ่มสงครามแล้วหล่ะครับ”


 


“ขอบใจที่พาเจ้านั่นไปส่งนะ แล้วสองคนนั้นที่อยู่บนเรืออีกลำเป็นยังไงบ้างหล่ะ?”


 


“หมดสภาพครับองค์ชาย ถ้าพวกเขาอยู่ในการแข่งขันท่านคงต้องเรียกให้กรรมการยุติการแข่งเลยหล่ะครับ”


 


หลังจากที่เขาพาลีโอไปส่งที่เรือของฉัน, อัศวินวัยกลางคนก็กลับมาอยู่ข้างฉัน มีแค่เขาที่รู้ว่าพวกเราสลับตัวกันดังนั้นมันคงจะช่วยได้มากถ้ามีเขาอยู่ด้วย


 


“ถ้าเอาสถานการณ์แบบนั้นมาอ้างอิ้งข้าจะไม่ถูกพิจารณาตัดสิทธิรึไง?”


 


“ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่รู้ก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”


 


เขาตอบกลับ


 


เขาเป็นคนที่ปรับตัวได้ดีมากจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของเอลน่า พอเห็นแบบนี้, ฉันชักอยากได้ตัวเขามาเป็นลูกน้องแล้วสิ


 


“งั้นหรอ แบบนี้คงต้องแสดงให้เต็มที่สินะ”


 


“ขอให้ข้าติดตามไปด้วยนะครับ”


 


พอพูดจบ, พวกเราก็มุ่งหน้าไปรับเรือของอัลบราโทรที่กำลังแล่นเข้ามา


 


————–


 


“ขอบคุณที่ยอมรับคำขอเจรจาของพวกเรานะคะ ท่านทูต”


 


คนที่มาขึ้นเรือของเรานั้นเป็นเด็กสาวที่มีผมสีน้ำตาลอ่อน ผมยาวประบ่าของเธอปลิวไสวไปตามแรงลม


 


อายุของเธอน่าจะอยู่ที่ราวๆ 14 หรือ 15 ปี ดวงตาสีเขียวของเธอมองมาที่ฉันด้วยความสนใจ


 


ฉันไม่นึกเลยว่าจะต้องมาจัดการกับคนที่เด็กกว่าที่นี่, ดังนั้นฉันจึงค่อนข้างประหลาดใจ


 


เธอเองก็น่าจะรู้สึกตัวแล้วแน่ๆดังนั้นเธอจึงรีบก้มศรีษะในทันที


 


“ขออภัยสำหรับความไร้มารยาทของข้าค่ะ ข้าชื่อเอวาเจริน่า เดอ อัลบราโทร ข้าเป็นองค์หญิงของราชรัฐอัลบราโทรค่ะ ชื่อมันค่อนข้างยาวจะเรียกสั้นๆว่าเอวาก็ได้ค่ะ”


 


“โถ่, ท่านพี่, รอข้าด้วยสิครับ……”


 


“คนที่ดูหน้าตางี่เง่าตรงนั้นเป็นน้องชายของข้า, เขาชื่อจูลิโอ เดอ อัลบราโทรค่ะ


 


หน้าตาของจูลิโอกับเอวานั้นเหมือนกันจนแทบจะแยกไม่ออก มันไม่ใช่ว่าเอวาดูเหมือนผู้ชายแต่เป็นจูลิโอต่างหากหล่ะที่ดูเหมือนผู้หญิง


 


ถ้าพวกเขามายืนอยู่ข้างกันและยังไม่ได้แนะนำตัว, ฉันคงจะเชื่อว่าพวกเขาเป็นคู่พี่สาวน้องสาว


 


เอวาเป็นเด็กสาวที่งดงามแต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงจิตใจที่แข็งแกร่งจากดวงตาของเธอ ในอีกด้านนึง, จูลิโอนั้นดูเหมือนจะขี้อายและไม่เด็ดขาด ถ้ามาถามฉันว่าใครดูเหมือนผู้หญิงมากกว่าก็คงต้องขอโทษสำหรับความไร้มารยาทของฉันด้วยแต่คำตอบคงเป็นจูลิโอแน่ๆ


 


ไม่อยากจะเชื่อเลยนะเนี่ยว่าเจ้าชายกับเจ้าหญิงของอัลบราโทรเป็นฝาแฝด ว่าแต่, ที่พวกเขามาขึ้นเรือเรานี่ต้องการอะไรกันแน่นะ?


 


ฉันทำความเคารพกลับด้วยท่าทีที่งดงามเหมือนกับลีโอในขณะที่คิดว่ามันเป็นเรื่องดีแล้วที่ฉันสลับตัวกับลีโอที่อาการไม่ดีแทนที่จะปล่อยให้เขาฝืนตัวเองมาที่นี่


 


ก่อนที่พวกเราจะออกเดินทางนั้น, อัลบราโทรได้รับแจ้งว่าลีโอถูกส่งไปที่รอนดิเน่ในฐานะทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ


 


แน่นอนว่า, สองคนนี้ต้องรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว


 


นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาขอเจรจาไม่ใช่หยุดพวกเรา ถ้าพวกเขาอยากจะหยุดพวกเราพวกเขาก็แค่ขวางเส้นทางเดินเรือของพวกเราในตอนที่พวกเรามาถึงน่านน้ำของอัลบราโทรก็พอแล้ว และถ้าอัลบราโทรตั้งใจยอมให้พวกเราผ่านดินแดนของพวกเขาแล้วมาเปลี่ยนใจทีหลังพวกเขาก็จะสูญเสียความเชื่อใจจากประเทศอื่น


 


ด้วยประการฉะนี้เอง, เอวากับจูลิโอต้องมาที่นี่ด้วยเหตุผลอื่นแน่ๆ


 


“ข้าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับท่านมาค่ะ, เจ้าชายลีโอนาร์ด ในตอนที่เกิดสึนามิมอนส์เตอร์ในจักรวรรดิ, ท่านได้รับความภัคดีจากเหล่าอัศวินและเป็นผู้นำในการโจมตีมอนส์เตอร์ ช่างสมกับเป็นเจ้าชายของจักรวรรดิจริงๆ ท่านมีทั้งความกล้าหาญและพรสวรรค์ทางการทหาร”


 


“ไม่จริงหรอกครับ ทั้งหมดมันเป็นเพราะความพยายามอย่างแข็งขันของเหล่าอัศวิน ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าพวกเรากำลังพูดเรื่องพรสวรรค์ทางการทหาร, ท่านทั้งสองเองก็มีอยู่ไม่ใช่หรอครับ? องค์หญิงไม่ได้ส่งเรือรบมาที่นี่แค่เพียงเพื่อมาเจอข้าถูกไหม?”


 


พอได้ยินแบบนี้, สายตาของเอวาก็คมขึ้นเล็กน้อยในขณะที่จูลิโอดูลนลานหนักขึ้น


 


เป็นไปตามที่คาดเอาไว้, พวกเขามีเหตุผลอื่นในการมาพบพวกเรา


 


แทนที่จะเคลื่อนไหวเพื่อขัดขวางพวกเรา, พวกเขากลับออกมาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างออกไปและพวกเราก็แค่จี้ตรงนั้นเลย


 


คำถามในที่นี่ก็คือเจ้าชายกับเจ้าหญิงคู่นี้มีเป้าหมายแบบไหนกัน ตัดสินจากนิสัยของพวกเขาทั้งคู่มันดูไม่เหมือนกับว่าสองคนนี้มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้เลย


 


เอวาอาจจะพอมีความรู้ในเรื่องนั้นอยู่บ้างแต่ฉันไม่สามารถรู้สึกจากจูลิโอได้เลยแม้แต่น้อย บางทีเขาอาจจะมีทักษะดาบแย่กว่าฉันด้วยซ้ำ ทำไมถึงพาคนแบบเขามาด้วยนะ?


 


ในตอนที่ฉันกำลังคิดที่จะแหย่พวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้, เอวาก็ส่งเสียงออกมา


 


“สีหน้าของเจ้าออกเกินไปแล้วนะ! ตาโง่เอ๊ย! ให้ตายเถอะ…..”


 


“ขะ, ขอโทษครับท่านพี่……..”


 


“เห้อ….. องค์ชายลีโอนาร์ด ถ้าท่านเข้าใจถึงขนาดนั้นแล้วข้าก็ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันค่ะ พวกเราอยากให้ท่านเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือ พวกเราไม่ได้คิดจะห้ามท่านจากการไปรอนดิเน่แต่, ช่วยอ้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เถอะนะคะ”


 


“ช่วยบอกเหตุผลมาได้รึเปล่า?”


 


“…..เป็นไปได้ก็ไม่อยากบอกค่ะ ถึงยังไงพวกเราก็เชื่อใจท่านหรือจักรวรรดิไม่ได้”


 


“เข้าใจหล่ะ”


 


การที่สามารถแสดงความไม่ไว้ใจกับคนจากจักรวรรดิได้ชัดเจนขนาดนี้นั้น, เด็กสาวคนนี้เป็นคนที่ใจเด็ดใช้ได้เลย


 


ราชรัฐอัลบราโทรก็ไม่ต่างอะไรจากประเทศอ่อนแอประเทศนึงเมื่อเทียบกับจักรวรรดิ การค้าขายทางทะเลของพวกเขามีความเจริญรุ่งเรื่องดังนั้นถ้าจักรวรรดิโจมตีพวกเขา, ประเทศอื่นก็จะกลายเป็นพันธมิตรของพวกเขา อย่างไรก็ตาม, ถ้าจักรวรรดิตัดสินใจจะลุยจริงๆ, พวกเราก็มีอำนาจมากพอที่จะขยี้พวกเขา


 


อัลบราโทเองก็คงจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว


 


แม้กระนั้น, ถ้าเธอมาไม้นี้, มันก็หมายความพวกเขาจะมีปัญหาได้ถ้าพวกเรารู้เรื่องของพวกเขา


 


ฉันมองไปรอบๆอยู่พักนึง


 


จากนั้น


 


“เปลี่ยนเส้นทางเดินเรือ พวกเราจะใช้ทางอ้อมในการไปที่รอนดิเน่”


 


“อะ, องค์ชาย!? ถ้าพวกเราทำแบบนั้นมันจะทำให้พวกเราไปถึงช้ากว่าเวลาที่กำหนดเอาไว้หลายวันอยู่นะครับ!”


 


“ไม่เป็นไร พวกเรามีอาหารกับน้ำตุนเอาไว้เยอะอยู่, และทางฝั่งรอนดิเน่เองก็คงจะไม่ว่าอะไรเหมือนกันถ้าพวกเราไปถึงช้าสักหน่อย”


 


“แต่!”


 


“ข้าตัดสินใจแล้ว แบบนี้โอเคไหมครับ? องค์หญิงเอวา”


 


ฉันแอบขำอยู่ในใจในตอนที่เห็นสีหน้าตกตะลึงของเอวา


 


เข้าใจหล่ะ นี่คือปฏิกิริยาที่ฉันจะได้รับในตอนที่ทำตัวเหมือนลีโอสินะ หรือว่าที่ลีโอทำแบบนี้ก็เพราะเขามีความสุขกับการได้เห็นการตอบสนองแบบนี้?


 


ปฏิกิริยาของเอวานั้นน่าสนใจมากๆ


 


“…….สมแล้วค่ะที่เป็นคนที่เข้าร่วมในสงครามผู้สืบทอด ท่านช่างเป็นคนที่จิตใจกว้างขวางจริงๆ พวกเรารู้สึกยินดีกับการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของท่านค่ะ, องค์ชายลีโอนาร์ด”


 


“ขะ, ขอบคุณมากครับ”


 


“ถ้างั้น, ตอนนี้พวกเราขอตัวลานะคะ”


 


“ขะ, ขอตัวลาครับ”


 


ในตอนที่ธุระของพวกเขาเสร็จสิ้น, เอวากับจูลิโอก็กลับไปที่เรือของพวกเขา


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, พวกเราก็เริ่มเตรียมตัวออกเดินทางไปตามเส้นทางของตัวเอง ฉันอยากจะเลิกทำตัวเหมือนลีโอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ฉันไม่สามารถทำอะไรที่น่าสงสัยได้เพราะพวกเขากำลังจับตามองพวกเราเพื่อดูว่าพวกเราเปลี่ยนเส้นทางจริงรึเปล่า


 


ในท้ายที่สุดนั้น, พวกเราก็ออกเดินทางไปในขณะที่ฉันยังปลอมตัวเป็นลีโออยู่


 


เอาเถอะ, มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรขนาดนั้น ถ้าอยู่แต่ในห้องก็ไม่เป็นที่สะดุดตาแล้ว แล้วมันก็ยังไม่มีงานให้ฉันหรือลีโอทำจนกว่าจะถึงฝั่งด้วย ปัญหาที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ก็คือวัตถุประสงค์ของอัลบราโทร


 


“พวกเขาต้องการอะไรกันแน่ครับ?”


 


“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน”


 


สำหรับคำถามของอัศวินวัยกลางคนนั้น, ฉันเองก็กำลังสงสัยอยู่


 


พูดตามตรง, ฉันไม่มีเงื่อนงำอะไรเลย พวกเขาส่งเรือรบมาสามลำที่มีเจ้าชายกับเจ้าหญิงขึ้นมาด้วย ถ้าพวกเขาอยากจะสู้, เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็คงไม่จำเป็นหรอก และถ้าพวกเขาไม่อยากสู้, การส่งเรือรบมาสามลำก็ดูจะเกินไปหน่อย


 


ถ้ามาคิดๆดูแล้วนี่อาจจะเป็นแค่กองเรือสืบข่าวของพวกเขา ถ้าสองคนนั้นมีความสามารถบางอย่างที่มุ่งเน้นไปที่การสืบข่าวมันก็พอจะน่าเชื่อถืออยู่


 


ว่าแต่, พวกเขากำลังสืบหาอะไรอยู่หล่ะ?


 


สถานที่แห่งนี้อยู่ในอาณาเขตของราชรัฐอัลบราโทรและฉันก็ไม่เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับกองเรือโจรสลัดขนาดใหญ่ในแถบนี้เลยด้วย


 


หลังจากที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับการเจรจาก่อนหน้านี้อยู่พักนึง, เรือก็โคลงเคลงขึ้นมาอย่างกระทันหัน


 


“เกิดอะไรขึ้น!?”


 


“รายงานครับ! ตอนนี้มีพายุเข้าครับ!”


 


“อะไรนะ!?”


 


นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน


 


สภาพอากาศเป็นปกติดีจนถึงเมื่อสักครู่นี้, แล้วจู่ๆพายุมันมาจากไหนกัน


 


ด้วยความคิดนี้, ฉันก็รีบไปที่ดาดฟ้าเรือ


 


บนดาดฟ้าเรือ, มีลมกรรโชกแรงและคลื่นสูงกำลังโจมตีเรืออยู่


 


ยิ่งไปกว่านั้น, ในตอนที่หันไปด้านข้าง, ฉันก็เห็นอะไรบางอย่างที่ดูน่าจะมีปัญหากำลังจะเกิดขึ้น


 


“คุณกับตันเรือครับ! พวกเรากำลังจะแยกจากเรือของท่านพี่แล้วนะครับ!”


 


“ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! แค่รักษาสภาพเรือให้ลอยอยู่ก็ตึงมือพวกเราแล้วครับ! พวกเราไล่ตามพวกเขาไม่ทัน!”


 


“ทำอะไรไม่ได้เลยหรอครับ!?”


 


“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ! นี่มันไม่ใช่พายุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ! จู่ๆมันก็ปรากฎขึ้นมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า! นี่ต้องเป็นฝีมือของมอนส์เตอร์ในทะเลแน่เลยครับองค์ชาย!”


 


พอได้ยินเสียงกรีดร้องของกัปตันเรือ, ฉันก็นึกถึงสิ่งที่ฉันพูดกับเอลน่าขึ้นมาได้


 


ฉันบอกเธอเรื่องมังกรทะเล


 


เรื่องราวที่มักจะวนเวียนอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับมังกรทะเลก็คือว่าพวกมันสามารถจมเรือได้ด้วยการเรียกพายุออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งนี่ตรงกับสถานการณ์ในตอนนี้พอดีเลย


 


และนอกจากนี้มันยังมีเรื่องท่าทีของราชรัฐอัลบราโทรเมื่อสักครู่นี้มาสนับสนุนอีก


 


เจ้าชายกับเจ้าหญิงเอาเรือรบมาสามลำและบอกให้พวกเราเปลี่ยนเส้นทาง


 


มันเป็นไปได้รึเปล่าว่าราชรัฐอัลบราโทรรู้ว่ามังกรทะเลจะโผล่มาในตำแหน่งใกล้ๆนี้ก็เลยเข้ามาสำรวจ


 


ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่มีทางหรอกที่พวกเขาจะบอกพวกเราได้ อัลบราโทรเป็นประเทศที่เน้นเรื่องการค้าขายทางทะเล อย่างไรก็ตามถ้ามีข่าวหลุดไปว่ามีมังกรทะเลโผล่มาในน่านน้ำของพวกเขา, ก็คงไม่มีประเทศไหนที่จะร่องเรือมาประเทศของพวกเขาหรอก เพราะถ้าพวกเขาทำแบบนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากฆ่าตัวตาย


 


ด้วยความคิดนี้, ฉันก็ใช้เวทย์ตรวจจับในทันที สิ่งที่ฉันกำลังตรวจสอบอยู่ก็คือขนาดของพายุ


 


ในตอนที่ฉันได้รู้ว่าพายุรุนแรงแค่ไหน, ฉันก็เดาะลิ้น


 


พายุนี้ใหญ่มากและพวกเราก็อยู่ที่ขอบของมัน พูดอีกนัยนึงก็คือ, จุดกำเนิดของพายุไม่ได้อยู่ที่นี่


 


บางที, ศูนย์กลางของมันน่าจะอยู่ในน่านน้ำของอัลบราโทร


 


และที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ, เรือของเรากำลังถูกดูดเข้าไปที่ศูนย์กลาง


 


ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป, อย่างเลวร้ายที่สุด, พวกเราก็จะต้องต่อสู้กับมังกรทะเลกลางมหาสมุทร


 


ถ้าถึงขั้นนั้นหล่ะก็ขอโทษแล้วกันนะ


 


“กัปตันเรือครับ! ไม่ว่ายังไงก็ต้องพาพวกเราออกไปจากพายุนี้ให้ได้นะครับ!”


 


“ตอนนี้พยายามอยู่ครับ!”


 


ด้วยเหตุนี้เอง, ฉันจึงยังต้องปลอมตัวเป็นลีโอต่อไปท่ามกลางพายุคลั่ง

 

 

 


ตอนที่ 29

 

“กัปตันเรือ, ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนแล้วครับ?”


 


ด้วยการรักษามาดของลีโอเอาไว้, ฉันก็ไปหากัปตันเรือ


 


พายุอ่อนกำลังลงแล้ว แต่พวกเราที่ติดร่างแหไปด้วยนั้นได้พัดหลงกับเรือที่ลีโอนั่งอยู่, ซึ่งมันคงจะผ่านมานานมากแล้วแน่ๆ เพราะดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว


 


พายุที่เกิดขึ้นนั้นมันอยู่ในระดับที่ถึงแม้เรือจะพลิกคว่ำก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เรือลำนี้คือกองเรือของจักรวรรดิที่มีบุคลากรของกองทัพเรือซึ่งผ่านการฝึกฝนมาแล้วขึ้นเรือมาด้วยดังนั้นพวกเราจึงสามารถรอดพ้นมาได้


 


“พวกเราน่าจะอยู่ในน่านน้ำของราชรัฐอัลบราโทรครับ เรือของพวกเราไม่คว่ำก็จริงแต่เห็นได้ชัดว่าพวกเราถูกคลื่นซัดออกมาจากเส้นทางเดิมของเรา หรือพูดให้ถูกกว่านี้ก็คือพวกเราถูกคลื่นดึงเข้ามาแทนที่จะพัดออกไป พายุที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เหตุการณ์ปกติแน่ๆครับ”


 


“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเป็นฝีมือของมอนส์เตอร์สินะ?”


 


“ครับ, ไม่ผิดแน่ ข้าล่องเรือกับท่านปู่ของข้ามาตั้งแต่ยุคของเขา, พายุนั่นเหมือนกับเรื่องราวที่ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับพายุมังกรทะเลเลยครับ”


 


“พายุมังกรทะเลหรอ…..มันเป็นพายุแบบไหนหล่ะ?”


 


“ก็ตามชื่อของมันนั่นแหล่ะครับ, มันคือพายุที่เกิดจากฝีมือของมังกรทะเล มันคือพายุที่จะค่อยๆดึงเรือของเหยื่อไปยังทิศทางที่มันอยู่ ต่อให้รอดพ้นจากพายุไปได้, ก็จะต้องเผชิญหน้ากับมังกรทะเลอยู่ดี มันเหมือนกับเรื่องหลอนสำหรับชาวเรือ, ถึงยังไง, มังกรทะเลก็ถือเป็นหนึ่งในมอนส์เตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเล, การได้เห็นมันก็คงไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้วหรอกครับ, องค์ชาย”


 


หืม, ลักษณะของพายุจากเรื่องเล่ากับพายุที่พึ่งเผชิญมามีความคล้ายคลึงกันอยู่นะ


 


แบบนี้ก็แสดงว่าจะเข้าว่ามีมังกรทะเลอยู่ในพื้นที่นี้ก็คงไม่ผิดอะไรใช่ไหม?


 


ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆนี่ก็คงเป็นปัญหาใหญ่แล้วหล่ะ


 


แต่เดิม, มังกรเป็นมอนส์เตอร์ที่มีวัฎจักรระหว่างช่วงที่ออกอาละวาดกับช่วงที่นิ่งสงบสลับกันไปมา ซึ่งช่วงที่สงบนั้นจะมีระยะเวลาที่นานมาก มันเคยมีรายงานด้วยซ้ำว่ามังกรบางตัวจะจำศีลเป็นเวลาร้อยปี


 


ช่วงสงบที่ยาวนานและช่วงอาละวาดในระยะสั้นๆ นี่คือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามังกร ซึ่งมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับมังกรทะเล


 


ฉันไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซนต์ถ้าไม่ได้ตรวจสอบบันทึกแต่ดูเหมือนว่ามังกรทะเลที่จำศีลในพื้นที่นี้จะออกอาละวาดอีกครั้งแล้วสินะ ปัญหาก็คือว่าราชรัฐอัลบราโทรเป็นประเทศที่เด่นด้านการทะเล แน่นอนว่าพวกเขาอ่อนชั้นกว่าจักรวรรดิอยู่หลายขั้นแต่พวกเขาก็มีเครือข่ายการค้ากับประเทศอื่นที่กว้างไกล ถ้ามีมังกรทะเลโผล่มาในอาณาเขตของพวกเขา, ก็คงจินตนาการได้เลยว่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นนั้นคงไม่ใช่น้อยๆอย่างแน่นอน


 


ด้วยความที่เข้าใจถึงจุดนี้, อัลบราจึงต้องเริ่มการสืบหาอย่างลับๆแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเผลอไปแหย่โดนเกล็ดย้อนของมังกรเข้าแล้วสินะ


 


ต้นเหตุของพายุก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเอวาก็ได้


 


ถ้าเจอพายุแบบนั้นเข้าไปเธอก็ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่แล้ว ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสงสารจริงๆ


 


“งั้นหรอครับ……ถ้างั้นการอยู่แถวนี้นานเกินไปก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ ท่านพี่กับคนอื่นๆต้องเป็นห่วงพวกเราอยู่แน่ เรารีบจัดเส้นทางตรงไปที่รอนดิเน่เดี๋ยวนี้เลยเถอะครับ”


 


“นะ, นี่! ดูตรงนั้นสิ!!”


 


ในตอนที่ฉันออกคำสั่ง, หนึ่งในลูกเรือก็ตะโกนออกมา


 


ด้วยความรู้สึกไม่ดี, ฉันจึงมองไปตามทิศทางที่เขาชี้และเหมือนกับการตอบรับความคาดหวังของฉัน, มีซากเรือกำลังลอยมาหาเรา


 


“เรือของราชรัฐสินะ……”


 


“ดูเหมือนว่า พวกเขาคงโดนพายุมาเหมือนกับพวกเรานะครับ”


 


“น่าเสียดายจัง…..”


 


ฉันกำลังจะจบเหตุการณ์และออกคำสั่งให้เดินเรือต่อแต่ในตอนนั้นเองอัศวินวัยกลางคนก็เข้ามากระซิบอะไรบางอย่างข้างหูฉัน


 


“องค์ชาย….ถ้าเป็นองค์ชายลีโอนาร์ดคงจะออกคำสั่งช่วยเหลือแน่นอนครับ……!”


 


“พวกเราไม่มีเวลาทำเรื่องแบบนั้นซักหน่อย ก็รู้นี่ว่าอาจจะมีมังกรทะเลซุ่มอยู่ในพื้นที่แถวนี้? ถ้าคิดตามปกติแล้ว, พวกเราควรจะจัดลำดับความสำคัญโดยเลือกออกจากพื้นที่นี้ไม่ใช่หรอ……?”


 


“ข้าก็เข้าใจตรงจุดนั้นอยู่หรอกครับ, แต่ตอนนี้องค์ชายยังต้องแสดงให้เหมือนกับเป็นองค์ชายลีโอนาร์ดอยู่นะครับ ถ้าเกิดมีคนรู้ว่าทูตที่ส่งไปประเทศอื่นได้สลับตัวกับพี่ชายฝาแฝดมันก็จะกลายเป็นข้อครหาได้ไม่ใช่หรอครับ……!?”


 


“ข้ารู้แต่ตอนนี้ลูกเรือกำลังวิตกจากเหตุการณ์พายุก่อนหน้านี้ พวกเขาคงไม่ทันสังเกตเห็นเรื่องเล็กๆแบบนั้นหรอก……!”


 


“จริงๆแล้วมันเป็นเพราะพวกเขากำลังวิตกนั่นแหล่ะครับองค์ชายถึงต้องยิ่งทำตัวให้เหมือนเจ้าชายลีโอนาร์ด ถ้าพวกเขารู้ว่ามีการสลับตัวขึ้นมาหล่ะก็พวกเขาจะตื่นตระหนกแน่นอนครับ พวกเราอาจจะไม่สามารถห้ามพวกเขาจากการพูดคุยกันได้ด้วย, และแน่นอนว่ามันไม่มีทางเลยที่จะรู้ได้ว่าพวกเขาจะพูดอะไรออกมาในตอนที่พวกเราไปถึงรอนดิเน่ไม่ใช่หรอครับ…..?”


 


ความเห็นของอัศวินวัยกลางคนนั้นฟังดูน่าเชื่อถือ


 


ใช่, มันน่าเชื่อถือ แต่ว่า, การทำตัวเหมือนลีโอก็หมายถึงการทำสิ่งที่ฉันไม่อยากจะทำมากที่สุด


 


ในเรื่องนี้, การช่วยเหลือพวกเขามันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพวกเรา และราชรัฐอัลบราก็ไม่ได้เป็นทั้งพันธมิตรหรือประเทศที่ใกล้ชิดกับพวกเรามาตั้งแต่แรกแล้ว การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตของประเทศแบบนั้นในพื้นที่ที่อาจจะมีมังกรทะเลอยู่ใกล้ๆนั้นมันเป็นเรื่องที่ฟังดูโง่เง่าที่สุด


 


แถมพวกเราก็ไม่มีเวลาแล้วด้วย แค่เพราะพายุที่เจอก่อนหน้านี้ก็ทำพวกเราเสียเวลาไประดับนึงแล้ว ถ้าเริ่มภารกิจช่วยเหลือที่นี่มันจะทำให้พวกเรายิ่งไปถึงรอนดิเน่ช้าขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน และต่อให้ลีโอไปถึงที่นั่นก่อนก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะว่าตอนนี้เขาเป็นอาร์โนลด์อยู่และอาร์โนลด์ก็เป็นเจ้าชายไร้ค่า ถ้าเขาเริ่มเจรจากับรอนดิเน่ด้วยตัวเอง, เขาคงจะถูกสงสัยอย่างแน่นอน


 


ว่าแล้วเชียว, ฉันอยากรีบมุ่งหน้าไปให้ถึงรอนดิเน่จะแย่แล้ว ต่อให้ลีโอมีเอลน่าอยู่ด้วย, ฉันก็กังวลว่าลีโออาจจะไม่สามารถทำตัวเหมือนฉันได้


 


นอกจากนี้, ถ้าพวกเราเริ่มภารกิจช่วยเหลือแล้วเจอผู้รอดชีวิต, พวกเราก็ต้องไปแวะที่อัลบราโทรเพื่อส่งพวกเขาอีก และถ้าเป็นแบบนั้นก็จะกลายเป็นปัญหาอย่างถึงที่สุด มันไม่มีทางหรอกที่พวกเขาจะยอมให้เจ้าชายของจักรวรรดิที่รู้ความลับของพวกเขาออกจากประเทศไปโดยไม่ทำอะไรเลย


 


ถ้าเป็นฉัน, ก็คงจะกักตัวคนระดับนั้นเอาไว้จนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย และถ้าเป็นแบบนั้นลีโอกับฉันก็คงจะต้องสลับตัวไปอีกพักใหญ่ๆ


 


นี่มันไม่มีอะไรดีเลยสักนิด


 


“ตอนนี้ผู้รอดชีวิตคงจะกำลังสิ้นหวังอยู่, รีบไปพาตัวพวกเขามาที่นี่เร็ว”


 


“ดูนั่น, มีคนกำลังเกาะซากเรืออยู่! เขายังไม่ตาย!!”


 


“……”


 


“ท่านจะเอายังไงดีครับ? จะทิ้งพวกเขารึเปล่า?”


 


อัศวินวัยกลางคนถามคำถามที่เขารู้คำตอบอยู่แล้ว


 


ถ้ามันมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยพวกเขา


 


ชิ! ทำไมปัญหามันถึงถาโถมเข้ามาหาฉันเยอะแยะขนาดนี้เนี่ย!


 


ถ้าพระเจ้ามีตัวตนอยู่จริงๆฉันก็อยากจะสาปแช่งพระองค์เหลือเกิน!


 


“โยนเชือกให้พวกเขา! ทำการช่วยเหลือพวกเขาเดี๋ยวนี้! แล้วก็คอยสังเกตดูรอบๆด้วย, อาจจะยังมีผู้รอดชีวิตอยู่อีก, ลองหาให้ดีๆ!”


 


ฉันออกคำสั่งเหมือนกับลีโอด้วยเมฆหมอกอันมืดมิดที่ครุกรุ่นอยู่ในใจของฉัน


 


ฉันอยากจะหนีไปซะเดี๋ยวนี้เลยแล้วกลับมาเป็นอาร์โนลด์อีกครั้ง มันไม่ใช่ว่าฉันกลัว, ถ้ามังกรทะเลโผล่มาฉันก็เต็มใจที่จะสู้กับมัน


 


แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมันก็จะทำให้พวกเราเจอปัญหาใหญ่โต สถานการณ์อาจจะโกลาหลจนถึงขั้นที่ฉันไม่สามารถจัดการด้วยตัวคนเดียวได้ ฉันต้องหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นั้นด้วยทุกสิ่งที่มี


 


แต่ว่า, ด้วยความที่เป็นคนดีซะขนาดนั้นๆ, ลีโอนาร์ดจะไม่มีวันปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแน่ๆ


 


“พวกเราช่วยเหลือผู้รอดชีวิตมาได้แล้วครับ! จากที่พวกเขาพูด, ดูเหมือนว่าจะยังมีผู้รอดชีวิตอยู่อีกครับ, องค์ชาย!”


 


คำรายงานของลูกเรือได้ดึงจิตใจของฉันกลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน


 


การมีผู้รอดชีวิตจำนวนมากก็หมายความว่ายิ่งพวกเราต้องอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่, ก็ยิ่งต้องจัดการพื้นที่เพื่อที่จะรองรับพวกเขามากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้, พวกเรายังต้องคำนวณเสบียงอาหารกับน้ำด้วย


 


“นี่อัลบราโทรเป็นเทพแห่งความซวยจำแลงมารึไงเนี่ย…..!”


 


“ช่วยระวังคำพูดหน่อยสิครับ…….!”


 


“พูดก็ไม่ได้หรอเนี่ย…..! อ้าก, บ้าชะมัด…..! นี่มันโคตรจะเลวร้ายเลย……!”


 


“ช่วยอดทนหน่อยนะครับ เหตุการณ์นี้มันจะถ่ายทอดคุณธรรมขององค์ชายลีโอนาร์ดในอนาคต ถ้าผู้คนรู้ว่าท่านช่วยเหลือผู้รอดชีวิตในสถานการณ์ที่อันตรายแบบนี้, รอนดิเน่ก็คงจะปรบมือให้กับการกระทำของท่านและน่าจะไม่ถือโทษในเรื่องนี้ด้วยนะครับ”


 


 


“รู้รึเปล่าว่าความสัมพันธ์ของรอนดิเน่กับอัลบราโทรก็เหมือนหมากับแมว? พวกเขาต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสิทธิควบคุมดินแดนทางใต้มาตั้งนานแล้ว พวกเขาจะสรรเสริญคนที่ช่วยเหลือคนจากประเทศคู่แข่ง…..?”


 


“จักรวรรดิของเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการต่อสู้ทางใต้ของพวกเขาและพวกเราก็เป็นประเทศมหาอำนาจด้วย แค่ท่านทำตัวให้น่ายกย่องมันก็ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ ถ้าองค์ชายยอมรับได้แล้วก็ช่วยเตรียมใจเอาไว้ด้วยนะครับ


 


พอถูกอัศวินวัยกลางคนกระตุ้น, ฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเงยหน้าขึ้นจากนั้นก็ก้มลงไปอีกแล้วถอนหายใจอีกครั้ง


 


เห้อ, ฉันไม่อยากทำแบบนี้แล้ว มีวิธีหลุดพ้นจากเรื่องนี้โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของลีโอไหมเนี่ย?


 


ไม่, ไม่มีเลยสินะ ถ้าเป็นลีโอ, เขาจะช่วยพวกนั้นอย่างแน่นอน ต่อให้เขาต้องละทิ้งทุกอย่างเพื่อทำแบบนั้นก็ตาม


 


ถ้าเขาเป็นคนที่พิจารณาได้ว่าการกระทำของตัวเองจะสร้างประโยชน์ให้เขาได้รึเปล่าก่อนที่จะเคลื่อนไหวเขาก็คงจะกลายเป็นจักรพรรดิได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากฉัน


 


อันที่จริงนี่มันคือสาเหตุที่เขาคุ้มค่าพอที่จะให้ความช่วยเหลือแต่มันก็เพราะนิสัยและชื่อเสียงเรื่องความดีจ๋าเนี่ยแหล่ะฉันถึงต้องมากลุ้มใจกับสถานการณ์ในตอนนี้


 


“กัปตันเรือ เราจะทำการช่วยเหลือผู้รอดชีวิต”


 


“นี่ท่านเอาจริงหรอ!? มันอาจจะมีมังกรทะเลซุ่มอยู่แถวนี้ก็ได้นะครับ! ถ้าพวกเราถูกโจมตีในระหว่างทำการช่วยเหลือพวกเราก็จะไร้การป้องกันและมอนส์เตอร์ก็จะกรูเข้ามากินศพของพวกเรา! ตอนนี้แม้กระทั่งมอนส์เตอร์ประเภทอื่นๆนอกจากมังกรทะเลก็ยังถือเป็นภัยคุกคามสำหรับพวกเรานะครับองค์ชาย”


 


“พายุสงบลงแล้ว ตอนนี้มังกรทะเลคงจะพอใจแล้วหล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น, มอนส์เตอร์ทั่วไปคงไม่หลงเข้ามาอยู่ใกล้กับสถานที่ที่มีมอนส์เตอร์ที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่หรอก ศัตรูของเรามีแค่มังกรทะเล ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะปลอดภัยอยู่ซักสองสามวันนะ”


 


“แต่ว่าตะวันใกล้ตกดินแล้วนะครับ! การทำภารกิจช่วยเหลือในความมืดมันอันตราย! และถ้าพวกเราใช้แสงเพื่อส่องดูพื้นที่รอบข้าง, พวกเราก็อาจจะไปดึงดูดความสนใจของมังกรทะเลมาที่พวกเราได้ด้วยนะครับ!”


 


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, พวกเราจะทำการช่วยเหลือพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าอยากให้ท่านตัดสินใจแนวทางของพวกเราโดยอิงจากข้อมูลที่ได้มาจากผู้รอดชีวิต ขอโทษนะ, กัปตันเรือ นี่เป็นคำสั่งในฐานะทูต จงใช้ทุกสิ่งที่พวกเรามีเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากอัลบราโทร อย่าให้พลาดไปแม้แต่คนเดียวหล่ะ


 


“……ข้าได้ยินข่าวลือมาบ้างแต่ท่านนี่เป็นคนดีโดยแท้เลยนะครับองค์ชาย ในฐานะกัปตันเรือที่คอยดูแลเรือลำนี้ข้าไม่สามารถยอมรับคำสั่งแบบนั้นได้แต่ถ้ามันเป็นคำสั่งจากท่านมันก็คงช่วยไม่ได้ครับ เรามาช่วยพวกเขากันเถอะ”


 


กัปตันเรือที่หมดแรงเถียงแล้วยอมอ่อนข้อให้


 


ฉันเข้าใจความรู้สึกของเขา ฉันเห็นด้วยกับเขาว่านี่มันไร้สาระมาก


 


อย่างไรก็ตาม, นี่คือลีโอ


 


ก็มันช่วยไม่ได้นี่ เพราะงั้นช่วยเลิกทำสายตาไม่พอใจแบบนี้เถอะนะ


 


ด้วยเหตุนี้เอง, การเดินทางไปรอนดิเน่ของพวกเรา, จึงเริ่มด้วยภารกิจช่วยเหลือในทะเลที่อาจจะมีมังกรทะเลอาลวาดอยู่, มันเป็นการกระทำที่โง่เง่าเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้

 

 

 


ตอนที่ 30

 

“ทุกคน…..จงมีชีวิตอยู่……พวกเราจะรอดผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยกัน!……”


 


จูลิโอตะโกนในขณะที่เกาะเรือชูชีพขนาดเล็ก คอของเขาเริ่มเจ็บจากการตะโกนเรื่องเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา แต่ถึงอย่างงั้น, เขาก็ยังคงตะโกนอยู่เพราะเขาเชื่อว่านี่คือหน้าที่ของเขา


 


มีลูกเรืออยู่ประมาณโหลนึงที่ลอยอยู่รอบจูลิโอ และเพื่อเป็นการให้ความสำคัญกับคนเจ็บ, พวกเขาจึงเอาพวกคนเจ็บขึ้นเรือเล็กในขณะที่ลูกเรือคนอื่นๆเกาะอยู่รอบเรือเล็กหรือซากที่เคยเป็นเรือของพวกเขามาก่อน


 


“อะ, องค์ชายครับ….ท่านเองก็ต้องขึ้นเรือด้วยนะครับ…..”


 


“ข้าไม่เป็นอะไร…..ข้ายังไหวอยู่…..”


 


จูลิโอพูดออกมาแบบนั้น, แต่อันที่จริง, เขาแทบจะหมดแรงแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่เรือร่มมันก็ผ่านมานานกว่าสิบชั่วโมงแล้วและพวกเขาก็ลอยเคว้งอยู่กลางทะเล พวกเขาผ่านพ้นจากค่ำคืนแห่งนรกมาได้ในขณะที่ตัวสั่นจากความกลัวและความหนาวเหน็บของน้ำแต่มันก็ยังไม่มีวี่แววว่าความช่วยเหลือจะมาถึงเลย


 


ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


 


พวกเขาได้รับแจ้งมาว่ามังกรทะเลอาจจะตื่นจากการจำศีลแล้วดังนั้นเอวากับจูลิโอก็เลยออกมาสำรวจเรื่องนี้ พวกเขาเอาเรือรบมาด้วยสามลำเพื่อป้องกันเอาไว้ก่อนเผื่อมีเรื่องฉุกเฉินแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาอยากจะสู้กับมังกรทะเลด้วยตัวเอง, มันก็แค่เป็นการระมัดระวังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามังกรทะเลตื่นขึ้นมาจริงๆรึเปล่า, นี่คือสิ่งที่พ่อสั่งให้พวกเขาทำ ส่วนเหตุผลที่เลือกพวกเขานั้นก็เพราะทั้งสองคนสามารถใช้เวทมนตร์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเสียงได้ สำหรับพวกเขาสองคน, การสำรวจทะเลก็เป็นแค่งานง่ายๆ


 


ถ้าจะมีอะไรที่คำนวณพลาดไปในแผนนี้มันก็คงจะเป็นการที่มังกรทะเลตามเสียงที่พวกเขาปล่อยออกมาและโจมตีเรือของพวกเขา พวกเขานั้นจบลงที่การไปแหย่เกล็ดย้อนของมันเข้า


 


มังกรทะเลเรียกพายุมาและทำลายเรือของพวกเขาแต่ยังถือว่าโชคดี, มันถอยกลับไปในตอนที่เรือของพวกเขาเป็นซากแล้ว อย่างไรก็ตามถึงจะพูดแบบนี้, สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย


 


“เหวออ!!?? มอนส์เตอร์!? มีมอนส์เตอร์มาโดนขาของข้า!?”


 


“ใจเย็นหน่อย! มันก็แค่ปลา!”


 


ลูกเรือที่รอดชีวิตตัวสั่นด้วยความกลัว


 


กลัวความตาย กลัวว่าความช่วยเหลือจะไม่มีวันมาถึง กลัวว่าพวกเขาจะหนาวตาย และกลัวว่ามอนส์เตอร์ทะเลจะเข้ามากินพวกเขา


 


เมื่อความกลัวทั้งหมดผนวกเข้าด้วยกัน, ผู้รอดชีวิตจึงทั้งรู้สึกเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง


 


แต่ว่า, จูลิโอก็ยังคงตะโกนอยู่


 


“ความช่วยเหลือจะมาถึงอย่างแน่นอน…..! นึกถึงหน้าครอบครัวของพวกเจ้าสิ….! พวกเราจะต้องมีชีวิตกลับไปให้ได้…….!”


 


จูลิโอใช้คำพูดให้กำลังใจผู้รอดชีวิตต่อ และพวกมันยังเป็นคำที่เขากำลังพร่ำบอกกับตัวเองด้วย


 


อย่างไรก็ตาม, จูลิโอตามปกตินั้นไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนั้น ไม่สิ, เขาเป็นคนที่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้


 


เขาไม่ใช่คนที่มีความมั่นใจในตัวเอง แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าชาย, แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่สามารถทำตัวเองให้เหมือนกับคนที่ยอดเยี่ยมได้


 


มันคือเอวาต่างหากที่คอยผลักดันจูลิโอที่เป็นแบบนี้อยู่ตลอด แต่ตอนนี้เอวากำลังนอนอยู่บนเรือ


 


ในตอนที่พวกเขาถูกโยนลงทะเล, เธอก็หมดสติไปเพราะเธอเอาตัวปกป้องเขาแล้วกระแทกกับผิวน้ำ


 


ตั้งแต่นั้นมา, จูลิโอก็พยายามทำตัวให้เหมือนเอวา ซึ่งเหตุผลนั้นก็มาจากทั้งพี่สาวที่อยู่เบื้องหน้าเขาและเพื่อที่จะมีชีวิตรอด


 


ความรู้สึกถึงหน้าที่รับผิดชอบที่เติบโตขึ้นมาเนื่องจากสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ทำให้จูลิโอดูสมกับเป็นเจ้าชายมากขึ้น


 


แต่ถึงอย่างนั้น, ไม่ว่าจูลิโอจะพยายามให้กำลังใจพวกเขามากแค่ไหน, มันก็ยังไม่มากพอ


 


“ความช่วยเหลือหรอครับ?…..ความช่วยเหลือไม่มีวันมาถึงหรอก…..ท่านก็รู้ดีไม่ใช่หรอว่าต่อให้พวกเขาเริ่มส่งเรือออกค้นหาตั้งแต่ตอนกลางคืนมันก็ยังใช้เวลามากกว่าหนึ่งวัน…..?”


 


หนึ่งในลูกเรือพูดออกมาอย่างอ่อนแรง


 


นี่คือสิ่งที่ทุกคนที่นี่กำลังคิดอยู่


 


เรือกู้ภัยจากอัลบราโทรน่าจะมาไม่ทันเวลา แต่ถึงอย่างนั้น, จูลิโอก็ยังคงมีความหวัง


 


“ดูจากขนาดของพายุแล้ว, ถ้าเรือของจักรวรรดิโดนไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร…. เจ้าชายลีโอนาร์ดจะต้องเข้ามาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน……..”


 


“จักรวรรดิจะช่วยพวกเราหรอครับ…..? ท่านก็รู้ไม่ใช่หรอว่าพวกเราเคยให้ความช่วยเหลือประเทศที่เป็นศัตรูของพวกเขา…..พวกเขาคงไม่เอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงกับการค้นหาพวกเราในน่านน้ำที่อันตรายแบบนี้หรอกครับ……….”


 


“เจ้าชายลีโอนาร์ดมีชื่อเสียงในเรื่องที่เป็นคนจิตใจดีและไม่ชอบละทิ้งปัญหา…..ไม่เป็นไรหรอกหน่า! ข้ามั่นใจว่าเขาจะมาช่วยพวกเรา!”


 


“ในเวลาแบบนี้, แม้กระทั่งพันธมิตรก็ยังละทิ้งพวกเราได้, หวังว่าเขาจะมาจริงๆก็แล้วกันนะครับ…..”


 


“ถ้าข้ารอดจากวิกฤตนี้ไปได้ข้าจะรีบบอกลาสถานที่แห่งนี้ในทันที…..ใครจะไปอยากอยู่ในทะเลที่มีมังกรทะเลอาละวาดอยู่หล่ะ…..”


 


“ทุกคน……”


 


จิตใจของทุกคนกำลังพังทลาย


 


ซึ่งมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับจูลิโอ พอได้เห็นเอวา, เขาก็สามารถทำตัวเข้มแข็งได้แต่ทั้งสภาพจิตใจและสภาพร่างกายของเขาได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว


 


นี่เป็นครั้งแรก, ที่ความสามารถทางกายของจูลิโอเหนือกว่าลูกเรือคนอื่นๆ ถึงยังไงถ้าเป็นช่วงเวลาปกติเขาก็มักจะเป็นคนแรกที่หมดสภาพก่อน


 


แต่ตอนนี้จูลิโอยังคงเกาะเรือเอาไว้อยู่ด้วยแรงฮึดล้วนๆ อย่างไรก็ตาม, แรงฮึดที่กล้าแกร่งก็ยังคงถูกอารมณ์เศร้าสลดรอบตัวเขาบั่นทอนอยู่เรื่อยๆ


 


มันอาจจะหมดหนทางแล้วก็ได้


 


ในตอนที่ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวของเขา


 


เขาก็เห็นบางสิ่งอยู่ไกลๆ


 


มันคือเรือ


 


“นั่นมัน, นั่นมันเรือนี่…….! มีเรืออยู่ตรงนั้น…….!!”


 


“เฮ!! พวกเรารอดแล้ว! ทางนี้! ทางนี้!!”


 


จิตใจที่เหนื่อยล้าของเขาฟื้นกลับมา


 


ทุกคนต่างก็พยายามตะโกนและโบกมือเพื่อให้เรือสังเกตเห็นพวกเขา


 


พวกเขาทำแบบนี้อยู่พักนึงแต่ในตอนนั้นเองก็มีคนพึมพำออกมา


 


“นะ, นั่นมันเรือจักรวรรดินี่…..”


 


แค่เท่านี้มันก็เพียงพอแล้วที่พวกเขาจะหยุดโบกมือ


 


ธงที่กำลังพริ้วไหวอยู่เป็นของจักรวรรดิ


 


จากหน้าตาของมัน, มันคือธงของเรือจักรวรรดิทั้งสองลำที่พวกเขาขอเจรจาก่อนหน้านี้


 


ความจริงที่ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่นั้นหมายความว่าพวกเขาเองก็โดนพายุมาเหมือนกัน


 


และการที่พวกเขาอยู่ที่นี่มันก็เห็นๆอยู่ว่าพวกเขาถูกซัดออกจากเส้นทางเดิม ทุกคนที่นี่รู้ดีว่าจุดหมายของพวกเขาคือรอนดิเน่


 


พวกเขาจะยอมเสียเวลามาช่วยเราทั้งๆที่กำหนดการของพวกเขาล่าช้าอยู่แล้วหรอ


 


นอกจากนี้, มังกรทะเลยังแอบซุ่มอยู่ในพื้นที่นี้, พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถูกโจมตีอีกเมื่อไหร่


 


ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือเหตุผลที่จักรวรรดิจะไม่ช่วยเหล่าผู้รอดชีวิต


 


ในตอนนั้นเอง, เรือของจักรวรรดิก็ทำการหันหัวเรือ


 


ความสิ้นหวังจุกอยู่ในอกของจูลิโอ


 


อย่างไรก็ตาม, มีเสียงนึงดังเข้ามาในหูของเขา


 


มันคือเสียงที่ถูกทำให้ดังขึ้นด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์


 


[[ข้าคือเจ้าชายลำดับแปดของจักรวรรดิ, ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ ตอนนี้เรือของข้ากำลังช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากราชรัฐอัลบราโทร พวกเราจะค่อยๆช่วยทีละคน, ส่วนใครที่ยังมีแรงเหลืออยู่ให้ว่ายมาที่เรือของเรา แต่ถ้าไม่ไหว, ช่วยอดทนรออีกสักพัก พวกเราจะทำการช่วยพวกเจ้าอย่างแน่นอน]]


 


พอได้ยินเสียงนี้, น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของจูลิโอโดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว


 


อย่างไรก็ตาม, เขาเช็ดพวกมันออกไปในทันที


 


“ไปกันเถอะ, ทุกคน! คอยดูแลคนเจ็บด้วยนะ!”


 


“คะ, ครับท่าน!”


 


“ไปกันเลย! พวกเราใกล้จะถึงแล้ว!”


 


จูลิโอกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆรีบมุ่งหน้าไปทางเรือของจักรวรรดิเพื่อช่วยย่นระยะ


 


…..


 


อัลที่กำลังแสดงเป็นลีโอวางอุปกรณ์เวทมนตร์ขยายเสียงแบบพกพาแล้วถอนหายใจออกมา


 


“ถ้าการช่วยเหลือมันง่ายกว่านี้ก็คงจะดีนะ”


 


“ไม่ว่ามันจะยากหรือไม่, ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ที่ท่านช่วยเหลือมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ถึงยังไงพวกเขาก็แช่อยู่ในน้ำมานานมากดังนั้นข้าคิดว่ามันคงช่วยไม่ได้หรอกครับ, องค์ชาย”


 


“ข้ารู้…. กัปตัน! เหลือลูกเรือเอาไว้แค่จำนวนต่ำสุดสำหรับหน้าที่เฝ้าระวังแล้วให้ลูกเรือคนอื่นๆเน้นไปที่ปฏิบัติการช่วยเหลือ!”


 


“พูดแบบนั้นออกมาอีกแล้วหรอครับ…..!? ถ้าเกิดมังกรทะเลโผล่มาตอนนี้ท่านจะทำยังไง!?”


 


“พวกเราก็คงจะจบเห่ในทันที แทนที่จะมาคอยสอดส่องมัน, ข้าว่าทุ่มความพยายามในส่วนของการช่วยเหลือให้เสร็จให้ไวที่สุดมันจะดีกว่านะ”


 


“แล้วถ้าเกิดมีมอนส์เตอร์ตัวอื่นอยู่ด้วยหล่ะครับ!?”


 


“แถวนี้ไม่มีมอนส์เตอร์ตัวอื่นหรอก ถึงยังไงมันก็คงไม่มีมอนส์เตอร์ตัวไหนที่กล้าย่างกรายเข้ามาในพื้นที่ที่มังกรทะเลพึ่งเคยผ่านอยู่แล้ว”


 


พอพูดจบ, อัลก็มุ่งหน้าออกไปช่วยผู้รอดชีวิต


 


เพราะว่านี่คือสิ่งที่ลีโอคงจะทำ ถึงแม้ตัวอัลเองนั้นอยากจะอยู่แนวหลังเพื่อคอยสังเกตสถานการณ์แล้วออกคำสั่งมากกว่าแต่เขาก็ต้องบอกตัวเองว่าตอนนี้เขาคือลีโอและออกไปเข้าร่วมปฏิบัติการ


 


ในตอนนี้, ลูกเรือพึ่งจะดึงผู้รอดชีวิตที่อยู่รวมกลุ่มกันประมาณ 4-5 คนขึ้นมา พวกเขาทุกคนตัวสั่นด้วยความหนาวดังนั้นอัลจึงเอาผ้าห่มที่เตรียมไว้สำหรับผู้รอดชีวิตให้กับพวกเขา


 


“อดทนได้ดีมาก ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”


 


“ขอบคุณครับ, ขอบคุณจริงๆ…..”


 


พอเห็นผู้รอดชีวิตที่กำลังร้องไห้ในขณะที่กล่าวขอบคุณ, ฉันก็ตระหนักได้ถึงความโหดร้ายและความน่ากลัวจากสิ่งที่พวกเขาพึ่งเผชิญมา


 


ในขณะเดียวกันนั้นเอง, ก็มีรายงานใหม่เข้ามา


 


“เจอผู้รอดชีวิตจำนวนมากอยู่ที่กราบซ้ายเรือครับ! จำนวนน่าจะมีประมาณห้าสิบคน!”


 


“ห้าสิบเลยหรอ! พวกเราไม่มีพื้นที่พอที่จะรองรับคนเยอะขนาดนั้นนะ!!”


 


พวกเราช่วยเหลือผู้รอดชีวิตมาได้เยอะพอสมควรแล้ว, ถ้าพวกเรารับเพิ่มอีกห้าสิบคน, พวกเราก็จะไม่มีที่พอสำหรับรองรับพวกเขา แต่เดิม, จำนวนลูกเรือของเรานั้นมีเกือบๆร้อยคน พวกเราอาจจะรับคนอีกห้าสิบคนขึ้นเรือลำนี้ไม่ไหว


 


และนี่เองก็เป็นสาเหตุที่บังคับให้อัลต้องตัดสินใจ


 


เขาต้องเลือกสิ่งที่จะเสียสละ


 


“จะเอายังไงต่อดีครับองค์ชาย? มันมีผู้รอดชีวิตเยอะกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้”


 


“นั่นสินะ, ข้าก็ทำใจเอาไว้แล้วหล่ะ……พวกเขามีเรือสามลำในขณะที่พวกเรามีแค่ลำเดียว ถ้ามีคนโชคดีรอดมาได้เยอะผลลัพธ์แบบนี้มันก็ชัดเจนอยู่”


 


“แสดงว่าท่านมีมาตรการจัดการแล้วสินะครับ?”


 


อัศวินวัยกลางคนถามอย่างคาดหวัง


 


และเพื่อเป็นการตอบสนอง, อัลทำหน้าเหมือนกับเขาพึ่งกินหนอนเข้าไป


 


สำหรับอัล, มันถือเป็นการตัดสินใจที่แย่ที่สุด แต่เขาก็ยังต้องทำ


 


“ทิ้งทุกอย่างที่อยู่ในคลังของเรายกเว้นเสบียงอาหารกับน้ำ”


 


“…..รวมทั้งของขวัญที่จะเอาไปให้รอนดิเน่ด้วยหรอครับ?”


 


“ใช่, ทุกอย่างเลย”


 


ตามที่คาดเอาไว้, แม้กระทั่งอัศวินวัยกลางคนก็ยังถึงกับพูดไม่ออก


 


แต่เดิมเรือลำนี้เป็นของลีโอดังนั้นของที่เรือลำนี้ขนมาจึงมีค่ากว่าลำที่อัลนั่งมา ข้างใน, มีอาวุธรุ่นล่าสุดและสมบัติที่ทำจากทองกับเงินที่จัดเตรียมมาเพื่อส่งให้กับรอนดิเน่


 


สมบัติทั้งหมดนั้นมีมูลค่ามากพอที่จะทำให้คนๆนึงสามารถใช้ชีวิตอย่างเสเพลได้จนตาย, ซึ่งอัลก็ตัดสินใจโยนพวกมันทั้งหมดทิ้งลงทะเล


 


“จะไม่เป็นอะไรจริงๆหรอครับ? ให้ทำเรื่องแบบนั้นหน่ะ?”


 


“ไม่มีทางที่จะไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ด้วยจำนวนผู้รอดชีวิตมากมายขนาดนี้, พวกเราจึงไม่สามารถไปรอนดิเน่ได้ด้วยปริมาณเสบียงที่พวกเรามี เรามีไม่พอทั้งน้ำและอาหาร หรือพูดอีกอย่างก็คือ, พวกเราต้องไปที่อัลบราโทรเพื่อเติมเสบียง ณ จุดนี้, มันจะทำให้ภารกิจของเราล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น, มังกรทะเลก็กำลังแอบซุ่มอยู่แถวนี้ด้วย ข้าไม่รู้ว่าพวกเราจะสามารถไปรอนดิเน่ได้เมื่อไหร่ แต่ไม่ว่ายังไงข้าก็ตัดสินใจจะช่วยพวกเขาแล้ว สิ่งเดียวที่ข้าเหลืออยู่ในตอนนี้ก็คือการปกป้องชื่อเสียงของลีโอ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ไม่ว่าข้าจะต้องละทิ้งอะไรไป, ข้าก็ต้องช่วยเหลือผู้รอดชีวิตให้ได้ นี่เป็นคำขาด, ไม่ต้องคร่ำครวญเรื่องสมบัติพวก, จงช่วยชีวิตพวกเขาซะ ข้าจะไม่ปล่อยให้คนที่ยังรอดอยู่ต้องตายโดยเด็ดขาด เข้าใจใช่ไหม?”


 


“ขะ, เข้าใจแล้วครับ……”


 


พอเห็นสายตาที่มุ่งมั่นของอัล, อัศวินวัยกลางคนก็ชะงักไปชั่วขณะ


 


เขากำลังรู้สึกยำเกรง


 


ในขณะที่กำลังประหลาดใจอยู่นี้, อัศวินวัยกลางคนก็นึกถึงเรื่องในวันนั้นขึ้นมา


 


วันที่อัลทำลายกำไลเพื่อเอลน่า


 


ที่เอลน่าเข้าร่วมในเทศกาลล่าของอัศวินก็เพื่ออัล สำหรับเอลน่า, การทำสิ่งที่สามารถทำให้อัลหมดคุณสมบัติได้นั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมอัลถึงทำมันด้วยตัวเองเพื่อให้เธอสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ


 


มันเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่จริงๆ


 


มันไม่ใช่สิ่งที่จะมีใครคาดคิดจากคนที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วกันในฐานะเจ้าชายไร้ค่า


 


และตอนนี้, การแสดงเป็นลีโอของเขามันก็ยิ่งกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบ


 


นอกจากนี้คำแนะนำของเขายังถูกต้องด้วย


 


“ว่าแล้วเชียวจริงๆแล้วท่านเป็นเหยี่ยวที่มีความสามารถสินะครับ…..”


 


“เมื่อกี้พูดอะไรรึเปล่า?”


 


“ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องโยนสัมภาระทิ้งเดี๋ยวปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอัศวินหลวงเองครับ”


 


“โอเค, ฝากด้วยนะ ทุกคน, ทำการช่วยเหลือกันต่อไป! จงช่วยทุกคนที่สามารถช่วยได้! ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นข้าจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง!”


 


ในขณะที่ให้คำแนะนำ, อัลก็เหลือบไปเห็นผู้รอดชีวิตกลุ่มนึงกำลังเข้ามา


 


มีเรือลำเล็กที่บรรทุกคนเจ็บอยู่, และอัลก็เห็นเอวาอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เขามองเห็นจูลิโอที่อยู่ข้างๆเช่นกัน


 


“เจ้าชายกับเจ้าหญิงยังปลอดภัยสินะ….เพียงเท่านี้เราก็มีตัวช่วยต่อรองกับพระราชาของอัลบราโทรเพิ่มขึ้นแล้ว”


 


ด้วยความคิดนี้, อัลก็โยนบันไดเชือกไปทางจูลิโอ อย่างไรก็ตาม, จูลิโอไม่ได้พยายามจะจับมัน


 


“องค์ชายจูลิโอ! รีบขึ้นมาเลยครับ!”


 


“ช่วยคนเจ็บก่อนได้ไหมครับ!?”


 


พอพูดจบ, จูลิโอก็ชี้ไปยังคนเจ็บที่อยู่บนเรือ


 


การช่วยคนเจ็บที่ไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ด้วยตัวเองนั้นจะใช้เวลามากกว่า


 


มันจะทำให้การช่วยเหลือจูลิโอและลูกเรือของเขาช้าลงแต่พวกเขาก็ยังอยากให้พวกเราให้ความสำคัญกับคนเจ็บก่อน


 


“เข้าใจแล้วครับ! ช่วยรอสักพักนึงนะ!”


 


พวกเราเริ่มช่วยเหลือคนเจ็บด้วยความรวดเร็ว


 


ลูกเรือลงไปที่เรือลำเล็กแล้วหามคนเจ็บขึ้นไปทีละคน


 


ในขณะเดียวกันนั้นเอง, ผู้รอดชีวิตจากตำแหน่งอื่นก็ถูกช่วยเอาไว้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


 


หลังจากที่พวกเรารับตัวคนเจ็บมาครบรวมทั้งเอวา, อัลก็โยนเชือกไปทางจูลิโอ


 


มันอาจเป็นเพราะความโล่งใจ, ในตอนที่จูลิโอคว้าเชือกเอาไว้, เขาก็สูญเสียพละกำลังทั้งหมดที่อยู่ในร่าง


 


สติของเขาถึงขีดจำกัดแล้ว


 


“องค์ชายจูลิโอ!?”


 


หลังจากที่เห็นจูลิโอค่อยๆจมลงไปในขณะที่หมดสติ, อัลก็ทำการเคลื่อนไหวในทันที


 


มันเหมือนกับตอนที่เขาดิ่งลงไปช่วยฟิเน่ มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ผ่านการคำนวณมา, เขาทำไปตามสัญชาตญาณ


 


อัลกระโดดลงไปในทะเลที่อาจจะมีมังกรทะเลแอบซ่อนอยู่แล้วดึงตัวจูลิโอที่จมน้ำขึ้นมา


 


คนที่ตื่นตระหนกในครั้งนี้กลายเป็นฝ่ายจักรวรรดิ


 


“องค์ชาย!?”


 


“องค์ชายกระโดดลงไปแล้ว!”


 


แม้กระทั่งลูกเรือที่ลงไปยังเรือลำเล็กเพื่อช่วยเหลือคนเจ็บ, ก็ยังไม่มีใครกระโดดลงทะเลเลย ต่อให้พวกเขาถูกบอกมาว่าไม่มีมอนส์เตอร์ตัวอื่นนอกจากมังกรทะเล, พวกเขาก็ยังคงกลัวอยู่ดี


 


แต่ในขณะเดียวกันนั้น, เจ้าชายที่พวกเขาสมควรจะปกป้องมากที่สุดกลับกระโดดลงไป


 


หลังจากที่เห็นเช่นนี้, ลูกเรือของจักรวรรดิจึงฮึดขึ้นมาแล้วเริ่มกระโดดลงทะเลเพื่อทำการช่วยเหลือต่อ


 


“ส่งเชือกมา!!”


 


“นี่ครับ!!”


 


อัศวินวัยกลางคนเป็นคนที่โยนเชือกมาให้ฉัน


 


ฉันพันเชือกเอาไว้รอบร่างที่ไร้สติของจูลิโอแล้วให้เขาดึงขึ้นไป


 


หลังจากนั้น, ฉันก็ปีนขึ้นบันไดเชือก


 


พอปีนขึ้นไปสุดแล้ว, ก็มีมือข้างนึงยื่นมาหาฉัน


 


พอจับมัน, ฉันก็เห็นอัศวินวัยกลางคนที่มีสีหน้าประหลาดใจ


 


“ขอบใจ”


 


“ไม่เป็นไรครับ, ข้าชินกับการดึงท่านขึ้นจากน้ำแล้ว”


 


“?หมายความว่ายังไง?”


 


“ท่านจะจำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกครับเพราะตอนนั้นท่านหมดสติอยู่”


 


“นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย?”


 


“ข้าเป็นคนที่ดึงท่านขึ้นมาในตอนที่ท่านเกือบจมน้ำตายที่บ้านผู้กล้าหาญ, แต่เดิมนั้นข้าเป็นอัศวินที่คอยรับใช้บ้านผู้กล้าหาญครับ”


 


“…..เอาจริงดิ?”


 


“ครับ, เนื่องจากหัวหน้ากลายเป็นอัศวินหลวง, ข้าก็เลยมาเข้าร่วมภาคีด้วย ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาดึงองค์ชายขึ้นจากน้ำอีกหลังจากที่ข้ากลายมาเป็นอัศวินหลวงแล้ว”


 


“ช่วยเลิกพูดเหมือนข้าตั้งใจทำจะได้ไหม? ครั้งแรกข้าถูกต่อยและครั้งที่สองข้าก็ทำเพื่อช่วยคน ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะไปรบกวนเจ้ามากขนาดนั้นไม่ใช่หรอ?


 


“แน่นอนครับ, ท่านพูดถูกที่สุด”


 


พอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา, อัลก็ถอนหายใจ


 


อันที่จริงเหตุผลที่อัลไม่ได้เผยความรู้สึกขอบคุณออกมานั้นก็เพราะเขาเป็นคนจากบ้านผู้กล้าหาญ


 


หลังจากพูดคุยกันช่วงสั้นๆ, อัลก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


 


“จะว่าไป, ข้ายังไม่รู้จักชื่อเจ้าเลยใช่ไหม? เจ้าชื่ออะไรนะ?”


 


“รองผู้บัญชาการหน่วยสาม, มาร์ค ไทเบอร์, จากนี้ไปก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ, องค์ชาย”


 


“งั้นหรอ….ข้าหวังว่าพวกเราจะเก็บความสัมพันธ์นี้เอาไว้ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ, มาร์ค”


 


“นั่นสินะครับ, เป็นแบบนั้นได้ก็ดีนะครับ”


 


ไม่ว่าฝั่งไหนต่างก็พูดเป็นนัยที่แสดงถึงความคาดหวัง


 


ถึงยังไง, ในสถานการณ์แบบนี้มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตัดความสัมพันธ์ให้สั้น


 


หลังจากนั้น, โดยไม่ทิ้งผู้รอดชีวิตคนไหนเอาไว้, อัลก็สั่งหยุดเรือเป็นพักๆเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตที่ยังอยู่ในทะเล


 


หลังจากที่ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตมาได้ทั้งหมดแปดสิบคน, เรือของพวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงของอัลบราโทร, ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม