Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi 46-60

ตอนที่ 46

 

ย้อนเวลากลับไปซักเล็กน้อย


 


ลีโอที่ไปด้วยกันกับกองเรือของรอนดิเน่ได้ไปถึงราชรัฐอัลบราโทรแล้ว


 


เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็น, จึงมีแค่เรือของลีโอกับเรือของราชารอนดิเน่เท่านั้นที่เข้าไปเทียบท่าและรับการต้อนรับจากราชาอัลบราโทร


 


“ข้าดีใจจริงๆที่ท่านมา, ราชารอนดิเน่”


 


“ในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ข้าทนอยู่เฉยๆไม่ได้หรอก, ราชาอัลบราโทร”


 


พอพูดจบ, พวกเขาก็จับมือกันแน่น


 


การจับมือกันแบบนี้มันคือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์สำหรับพระราชาของทั้งสองประเทศที่ห้ำหั่นกันมาอย่างยางนาน


 


กองเรือของทั้งสองประเทศซึ่งกำลังเฝ้าระวังอีกฝ่ายอยู่ก็ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่พระราชาของพวกเขาพบเจอกันโดยไม่มีเหตุการอะไรเกิดขึ้น


 


ลีโอกับเอลน่าที่พึ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเองก็รู้สึกโล่งอกที่พวกเขาผ่านขั้นแรกไปได้อย่างราบลื่น


 


“ดูเหมือนว่าจะผ่านขั้นแรกไปได้แล้วสินะ”


 


“นั่นสินะ ถัดจากนี้ก็คือเรื่องที่ว่าจะจัดการกับมังกรทะเลยังไง”


 


ลีโอกับเอลน่าเดินตามพระราชาเข้าไปในปราสาทในขณะที่พูดคุยกัน


 


อย่างไรก็ตาม, จู่ๆเอลน่าก็หันกลับไปมองทางทะเลอย่างกระทันหัน และมือของเธอก็จับไปที่ดาบแล้ว


 


เธอชักมันออกจากฝักในทันที


 


“เอลน่า!?”


 


“อัศวินทุกคน, เตรียมเฝ้าระวัง! ปกป้ององค์ชายกับพระราชาเอาไว้! มันกำลังมาแล้ว!”


 


พอได้ยินคำสั่งของเอลน่า, อัศวินหลวงก็จัดแถวเป็นขบวนคุ้มกันพวกเขา


 


และในเวลาแทบจะพร้อมกัน, พายุหมุนก็ก่อตัวขึ้นในทะเล


 


มันก่อตัวขึ้นตรงกลางระหว่างกองเรือของรอนดิเน่กับอัลบราโทรและกลืนส่วนหนึ่งของทั้งสองกองเรือเข้าไป


 


ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกในตอนที่เกิดเหตุการณ์ผิดปกตินี้อย่างกระทันหัน


 


หลังจากกลืนหนึ่งในสามของกองเรือของทั้งสองประเทศและเปลี่ยนพวกมันเป็นซากแล้ว, พายุก็หายไปอย่างกระทันหัน


 


จากนั้นมันก็มา


 


“มังกรทะเลลิเวียธาน……!?”


 


มันคือมังกรลำตัวยาวที่ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีน้ำเงินซึ่งดูเหมือนสร้างขึ้นมาจากน้ำบริสุทธิ์


 


มันมีปีกกับแขนอย่างละคู่ ส่วนเท้าของมันน่าจะจมอยู่ใต้น้ำ มังกรที่ปรับตัวเข้ากับทะเล ลักษณะของมันนั้นใกล้เคียงกับงูแต่ว่าตัวใหญ่กว่ามาก


 


แค่ส่วนที่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำก็มีความยาวกว่า 50 เมตรแล้ว ทุกคนต่างก็ตัวสั่นเมื่อเห็นว่ารูปร่างของมันทั้งใหญ่และน่ากลัวกว่าที่ตำนานบอกเอาไว้มาก


 


โดยไม่สนใจปฏิกิริยาของผู้คน, ลิเวียธานก็ค่อยๆอ้าปาก


 


จากนั้นมันก็ยิงกระสุนน้ำลูกยักษ์ออกมา


 


มันเทียบกับสิ่งที่สามารถใช้เวทมนตร์น้ำธรรมดาสร้างขึ้นมาไม่ได้เลย


 


พอรู้สึกถึงอันตราย, เอลน่าก็ออกคำสั่งในทันที


 


“หนีเร็ว!”


 


อัศวินหลวงเชื่อในการตัดสินใจของหัวหน้าแล้วทำการอพยพพระราชาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ


 


เอลน่าเองก็หนีไปกับลีโอ และในเวลาที่แทบจะพร้อมกัน, สถานที่ที่เอลน่ากับคนอื่นๆเคยยืนอยู่ก็ถูกโจมตีด้วยกระสุนน้ำลูกมหึมา


 


ด้วยเสียงที่ดังสนั่น, ผนวกกับหลุมยักษ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันเหมือนกับว่าสถานที่แห่งนี้พึ่งถูกอุกาบาตตกใส่เลย


 


เมื่อเห็นแบบนี้, สีหน้าของลีโอกับเอลน่าก็เริ่มซีด


 


มันไม่ใช่เพราะอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขา แต่มันเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกในเมืองนี้ถ้าพวกเขาต่อสู้กับมังกรทะเลที่นี่”


 


“! เอลน่า! คอยสั่งการที่นี่แล้วทำการอพยพผู้คนซะ!”


 


“ลีโอ! แล้วเจ้าหล่ะ!?”


 


“ข้าจะขึ้นเรือออกไปจากที่นี่! อย่างน้อยข้าก็ต้องล่อมันออกไปจากเมืองให้ได้ไม่อย่างนั้นเมืองนี้ถูกทำลายแน่!”


 


“แบบนั้นมันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว! แค่เรือลำเดียวจะไปทำอะไรได้!?”


 


“ข้าต้องไปออกคำสั่งกองเรือที่กำลังตื่นตระหนก! พวกเขาจำเป็นต้องมีผู้บัญชาการ!”


 


“พวกเขาไม่ใช่กองเรือของพวกเรานะเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรอ!? ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเขาคือกลุ่มคนที่ห้ำหั่นกันมาตลอดจนถึงเมื่อซักครู่นี้ถ้าเจ้าจัดการได้ไม่ดีเจ้าจะถูกยิงข้างหลังจากความสับสนของผู้คนได้นะรู้รึเปล่า!?”


 


“ท่านพี่ปลอมตัวเป็นข้าแล้วสร้างพันธมิตรนี้ขึ้นมาให้ข้า! ข้าจะไม่นั่งดูอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้มันล่มไปทั้งแบบนี้หรอก!”


 


หลังจากที่พูดออกมาแบบนั้น, ลีโอก็เริ่มวิ่ง


 


เอลน่าพยายามจะห้ามเขาแต่เธอก็ทำไม่ได้


 


ซึ่งนี่เป็นเพราะกระสุนน้ำลูกที่สองจากลิเวียธานกำลังจะเข้ามาแล้ว


 


กระสุนน้ำกำลังลอยอยู่เหนือศรีษะของเธอและมุ่งหน้าไปที่ใจกลางเมือง, เอลน่าต้องปัดป้องมัน


 


ซึ่งสุดท้ายแล้วกระสุนลูกที่สองนี้ก็ตกลงมาใกล้กับหลุมแรกและสร้างเป็นหลุมใหม่ขึ้นมา


 


“เราจะทนรับของแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนกันนะ…..”


 


เอลน่าพึมพำกับตัวเองในขณะที่มองแขนขวาที่ชาไปทั้งแขนและดาบคู่ใจของเธอ


 


ถ้าเธอใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้หล่ะก็นะ, ในขณะที่คิดแบบนี้เอลน่าก็เริ่มออกคำสั่งและทำการอพยพพระราชากับประชาชนในขณะที่คอยปกป้องพวกเขาจากกระสุนน้ำที่กระหน่ำเข้ามา


 


….


 


“กัปตัน! เริ่มทำการสวนกลับได้!”


 


“การจะต่อกรกับพี่เบิ้มแบบนั้น, ปืนใหญ่ของพวกเราก็ไม่ต่างอะไรจากปืนยิงถั่วหรอกนะครับ!”


 


“ลงมือเถอะหน่า!”


 


“ท่านนี่เป็นคนไร้เหตุผลจริงๆนะครับรู้ตัวรึเปล่า! พวกเราจะเคลื่อนพลแล้ว! เตรียมตัวซะเจ้าพวกบ้า!”


 


พอได้รับคำสั่งจากลีโอ, กัปตันเรือก็พาเรือของลีโอเข้าสู่ตำแหน่งโจมตีและยิงปืนใหญ่เวทมนตร์ของพวกเขา


 


อย่างไรก็ตาม, มันทำให้เกล็ดแข็งๆของมังกรเป็นรอยไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


แต่ถึงอย่างนั้น, ลีโอก็ยังสั่งให้ลูกเรือของเขาโจมตีต่อไป


 


จากนั้นเขาก็หยิบเครื่องขยายเสียงเวทมนตร์ขึ้นมา


 


“ถึงกองเรือของรอนดิเน่และอัลบราโทรที่อยู่ในระแวกนี้! ข้าคือเจ้าชายลำดับแปดของจักรวรรดิ, ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์! ตอนนี้พวกเรากำลังจะดึงความสนใจของลิเวียธานด้วยการโจมตีมัน! ถ้ายังมีเรือลำไหนของทั้งสองประเทศที่ไม่หวั่นกลัวมังกรทะเล, ขอให้ตามพวกเรามา! แค่นิดหน่อยก็ไม่เป็นไร! พวกเราจำเป็นต้องล่อมันออกจากท่าเรือให้ได้! มีเรือลำไหนที่พร้อมจะจมไปด้วยกันกับข้ารึเปล่า!?”


 


จากนั้นก็มีเรือลำนึงตอบสนองต่อเสียงเรียกของลีโอในทันที


 


ในตอนที่พวกเขาเห็นเรือของลีโอ, พวกเขาก็หันหัวเรือไปทางลิเวียธานและเคลื่อนที่เข้ามาสนับสนุนลีโอ


 


“ขอข้าติดตามไปด้วยนะครับ, องค์ชาย”


 


มันคือเรือลำแรกที่เคยเข้ามาหยุดอัลในตอนที่เขาพยายามจะเข้าเทียบท่า


 


คนแรกที่สังเกตเห็นก็คือกัปตันเรือของลีโอ


 


“องค์ชาย! นั่นมันเรือจากเมื่อตอนนั้นนี่ครับ!”


 


“ตอนนั้นนี่ตอนไหน?”


 


“ก็เรือที่เข้ามาหยุดพวกเราในตอนที่พวกเราพยายามจะเข้าเทียบท่ายังไงหล่ะครับ!”


 


พอได้รับแจ้งจากกัปตัน, ลีโอก็นึกย้อนเรื่องราวที่ได้ยินมาจากอัล


 


อย่างไรก็ตาม, เนื่องจากอัลพูดแค่ว่าเขาเข้าเทียบท่าได้, ลีโอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดไปตามน้ำ


 


“อ๋อ, เรือเมื่อตอนนั้นเองสินะ”


 


ถ้ามีเหตุการณ์ผิดแปลกอะไรก็ช่วยเล่ามาให้หมดสิครับท่านพี่, ลีโอบ่นอยู่ในใจ


 


แต่ถึงอย่างนั้น, ลีโอก็ยังคงคิดว่านี่แหล่ะนะคือพี่ชายของเขา ถ้าอัลไม่ได้บอกเขาก็แสดงว่ามันต้องเป็นสิ่งที่เขาไม่คิดว่ามันจำเป็นถึงขนาดต้องเล่าให้ลีโอฟัง


 


“คงมีอีกเยอะสินะที่ท่านพี่ยังไม่ได้บอก”


 


ในขณะที่พึมพำ, ลีโอก็หวังอยู่ในใจว่าจะได้ยินมันจากเขา


 


อัลเป็นพี่ชายที่ยอดเยี่ยมสำหรับลีโอมาโดยตลอด นี่คือสาเหตุที่ลีโอมักจะรู้สึกดีใจในตอนที่ได้ยินเขาทำเรื่องที่น่าทึ่ง และบอกพวกเขา


 


เห็นไหมหล่ะ, พี่ชายของฉันสุดยอดไปเลยใชไหม


 


ในขณะที่คิดแบบนั้น, เรือจากราชรัฐอัลบราโทรก็เริ่มมารวมตัวกันรอบๆเขา


 


ราวกับไม่มีอะไรจะเสียแล้ว, เรือจากรอนดิเน่เองก็เริ่มเข้าร่วมด้วย


 


เมื่อเห็นแบบนี้, ลีโอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วออกคำสั่ง


 


“เหล่าผู้กล้าจากกองเรือของทั้งสองประเทศเอ๋ย, ข้ารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ เราจะทำการโจมตีพร้อมกัน! เราจะดึงความสนใจของลิเวียธานมาที่พวกเรา!”


 


ด้วยเหตุนี้เอง, กองเรือที่พึ่งตั้งขึ้นเป็นการชั่วคราวนี้ก็เริ่มยิงใส่ลิเวียธาน


 


อย่างไรก็ตาม, สายตาของลิเวียธานยังคงจับจ้องไปที่เมืองหลวงของอัลบราโทร


 


ลีโอสามารถจุดแรงบัลดาลใจให้กับกองเรือจนพวกเขามาช่วยดึงดูดความสนใจของมันได้แต่ลิเวียธานก็ยังคงพ่นกระสุนน้ำออกมาโดยไม่สนใจอะไร


 


ที่ท่าเรือ, เอลน่าสามารถเปลี่ยนวิถีกระสุนได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะหายไปไหน


 


การเบี่ยงกระสุนน้ำให้ไปลงในพื้นที่รกร้างนั้นได้เปลี่ยนสภาพผิวของตึกอาคารและภูมิประเทศในจุดที่มันลงจอด


 


ด้วยสถานการณ์ที่เหมือนนรกนี้, มีเด็กสาวคนนึงที่เดินเข้าไปในสำนักงานสาขาของกิลด์ อย่างไรก็ตาม, สาขานี้ได้ถูกทำลายไปบางส่วนแล้วและพนักงานก็ลี้ภัยไปนานแล้วด้วย


 


แต่ถึงอย่างนั้น, เด็กสาวก็ยังคงมุ่งหน้าไปที่สำนักงานสาขา


 


ห้องสื่อสารทางไกลอยู่ที่นั่น มันคือสถานที่ที่พวกเขาใช้รายงานการปรากฎตัวของมังกรทะเลเมื่อครู่ก่อน ที่นั่น, เด็กสาว, เอวา, คุกเข่าของเธอลง


 


“ได้โปรดเถอะค่ะ…..ได้โปรดเถอะ…..จะเป็นใครก็ได้…..ได้โปรดช่วยประเทศของข้าด้วย….ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป, ประเทศของข้าคงถูกทำลายแน่…..! มังกรทะเลจะกลืนกินผู้คนทั้งหมดของเรา…….! จะเป็นใครก็ได้…..ได้โปรดช่วยประเทศของเราที….. ได้โปรดยอมรับคำขอนี้แล้วเอาชนะมังกรทะเลเพื่อพวกเราด้วย…..!”


 


เอวาทิ้งคนคุ้มกันของเธอแล้วแยกมาจากประชาชนที่กำลังลี้ภัยคนอื่นๆเพื่อมุ่งหน้ามายังสถานที่แห่งนี้


 


เธอรู้ว่ากิลด์นักผจญภัยมีห้องสื่อสารทางไกลที่สามารถติดต่อกับสาขาอื่นได้ ดังนั้นเอวาจึงร้องขออย่างไม่หยุดหย่อนราวกับว่าเธอกำลังภาวนาต่อพระเจ้า


 


คนกลุ่มเดียวที่เธอสามารถพึ่งพาได้ในตอนนี้ก็คือนักผจญภัย


 


นักผจญภัยแรงค์ SS จากกิลด์น่าจะทำอะไรบางอย่างกับสถานการณ์นี้ได้


 


ด้วยความคิดเช่นนี้, เอวาก็ทำการขอความช่วยเหลือต่อไปเรื่อยๆ


 


การกระทำนี้มันกระโดดไปไกลเกินกว่าการคาดการณ์ของเอวาจริงๆเพราะคำขอของเธอนั้นกำลังออกอากาศไปยังกิลด์นักผจญภัยทุกสาขาทั่วทวีป


 


ในตอนที่อาคารถูกทำลายไปบางส่วน, ห้องก็ถูกเปลี่ยนเป็นโหมดออกอากาศที่จะถ่ายทอดบทสนทนาไปยังกิลด์นักผจญภัยทุกแห่ง แต่เดิมนั้น, มันคือโหมดที่ใช้ในการรายงานเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นวิกฤตระดับสูงสุดไปยังกิลด์สาขาทั้งหมดที่อยู่ทั่วทวีป และด้วยเหตุนี้เองตอนนี้คำขอของเอวาจึงได้กระจายไปทั่วทวีปแล้ว


 


คำขอของเอวานั้นไม่ได้ถ่ายทอดไปถึงแค่พนักงานกิลด์เพียงอย่างเดียวแต่ยังรวมถึงนักผจญภัยที่อยู่ข้างในของแต่ละสาขาด้วย


 


หลังจากได้ยินคำขอของเธอ, นักผจญภัยบางคนก็อยากจะทำอะไรซักอย่างเพื่อช่วยเหลือเธอแต่พวกเขาไม่มีวิธีที่จะไปทางใต้


 


ซึ่งนี่เองก็กำลังเกิดขึ้นข้างในสาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


“บ้าชะมัด…..!”


 


“นี่พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยหรอ!?”


 


“เงียบเถอะหน่า! ต่อให้เสนอตัวอยากจะช่วยอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก!”


 


“ว่าไงนะ!? ไม่เห็นหรอว่ามีผู้หญิงกำลังร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเราอยู่!?”


 


“แล้วอยู่ในสภาพแบบนี้จะช่วยเธอได้ยังไงหล่ะ!?”


 


นักผจญภัยที่กำลังดื่มเหล้าเบียร์ของพวกเขาได้ยินคำวิงวอนขอความช่วยเหลือของเด็กสาวแล้วสาปแช่งให้กับความไร้พลังของตัวเอง


 


จากนั้นพวกเขาก็หยุดสาปแช่งแล้วกระเดือกเหล้าลงไป, พวกเขากำลังรอให้มีใครซักคนปรากฎตัวขึ้นมา


 


อย่างไรก็ตาม, คำวิงวอนของเอวาก็ยังคงดำเนินไปอยู่ในระหว่างนี้


 


ด้วยความที่มันเป็นโหมดที่ถูกออกแบบมาสำหรับสถานกาณร์ฉุกเฉิน, เสียงของเธอจึงกำลังออกอากาศไปทั่วทวีป


 


พวกพนักงานเองก็มีสีหน้าเศร้าสลด


 


ในขณะนั้นเอง, ก็มีชายคนนึงเข้ามาในกิลด์ เขาก้าวเข้ามาในสำนักงานสาขาแล้วตอบสนองต่อคำวิงวอนของเธอ


 


“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ รอแปบนึงนะ”


 


มันคือการตอบสนองที่คาดไม่ถึงสำหรับเอวา


 


เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนตอบกลับมาจริงๆ


 


ยิ่งไปกว่านั้น, เขาบอกว่ากำลังจะมาแล้วด้วย


 


ในขณะที่เอวากำลังสับสนกับสิ่งที่เขาพูด, ก็มีรอยแตกเกิดขึ้นในอากาศที่อยู่ใกล้ๆกับเอวา


 


จากตรงนั้นมีชายชุดคลุมสีดำและหน้ากากสีเงินปรากฎตัวขึ้น


 


“ใครหรอคะ…..?”


 


“นักผจญภัยแรงค์ SS ที่ทำงานให้กับสาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิ, ซิลเวอร์ ข้ามาที่นี่เพื่อตอบรับคำขอของเจ้า


 


แน่นอนว่าเสียงนี้ถูกออกอากาศไปยังกิลด์นักผจญภัยทั้งหมดที่อยู่ทั่วทวีปด้วย


 


ณ ตอนนี้, มีนักผจญภัยหลายคนที่ส่งเสียงเชียร์ให้กับการปรากฎตัวของตัวแทนของพวกเขา

 

 

 


ตอนที่ 47

 

ในตอนที่พวกเราออกจากปราสาท, ฟีเน่ก็ขออยู่ต่อแล้วส่งพวกเราออกไป


 


บางทีเธอน่าจะรู้ว่า ณ จุดๆนี้เธอทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว


 


นอกจากนี้, ฟีเน่ยังพึมพำด้วยเสียงทีเบามากจนมีแค่ฉันที่ได้ยิน


 


“ระวังตัวด้วยนะคะ ข้ารอการกลับมาของท่านอยู่”


 


“อืม, ไปละนะ”


 


หลังจากจบการสนทนานี้, ฉันก็พาท่านพี่เทรากับอัศวินหลวงที่คอยคุ้มกันเขาไปที่กิลด์นักผจญภัยสาขาเมืองหลวงจักรวรรดิ


 


ในตอนที่ฉันเข้าไปในกิลด์, จู่ๆเสียงของเด็กสาวก็ลอยเข้ามาในหูของฉัน


 


“—จะเป็นใครก็ได้…..ได้โปรดช่วยประเทศของเราที….. ได้โปรดยอมรับคำขอนี้แล้วเอาชนะมังกรทะเลเพื่อพวกเราด้วย…..!”


 


ฉันรู้ได้ในทันทีว่าเอวากำลังส่งข้อความผ่านห้องสื่อสารทางไกลของสำนักงานกิลด์สาขา


 


ยิ่งไปกว่านั้น, นี่ยังเป็นการออกอากาศฉุกเฉินสำหรับวิกฤตระดับทวีปด้วย บางทีมันน่าจะถูกเปิดใช้ด้วยสาเหตุบางอย่าง แต่จะรู้หรือไม่นั้น, เอวาก็กำลังขอความช่วยเหลือจากนักผจญภัยทั่วทวีปอยู่


 


นักผจญภัยในกิลด์นั้นบางส่วนก็กำลังเศร้าสลด, บางคนก็กำลังทะเลาะเบาะแว้งกันหรือไม่ก็กระดกเหล้าเข้าไปเพิ่ม แต่ไม่ว่ายังไง, พวกเขาทุกคนก็กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่


 


เด็กสาวที่ถูกมอนส์เตอร์โจมตีกำลังขอความช่วยเหลืออยู่แต่พวกเขากลับทำอะไรเพื่อช่วยเธอไม่ได้เลย ในฐานะนักผจญภัย, นี่มันก็ไม่ต่างอะไรจากการถูกเหยียดหยาม


 


การช่วยเหลือผู้ที่ร้องขอความช่วยเหลือนั้นคือภารกิจของนักผจญภัย


 


พวกเขารู้สึกอับอายกับความไร้พลังของตัวเองและความผิดหวังก็ถูกกลั่นออกมาจากความรู้สึกนั้น


 


ฉันรู้สึกโล่งอกที่ได้เห็นภาพนี้


 


ในขณะที่มีครอบครัวโง่ๆที่กำลังต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ มันก็มีพวกที่รู้สึกเศร้ากับความไร้พลังของตัวเองเพราะเด็กสาวที่พวกเขาไม่รู้จักด้วยซ้ำกำลังขอความช่วยเหลืออยู่


 


นี่มันเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกดีจริงๆ


 


และมันก็เป็นสาเหตุที่ฉันเข้าไปในห้องสื่อสารทางไกลในฐานะตัวแทนของพวกเขาและตอบรับคำอ้อนวอนของเด็กสาว


 


“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ รอแปบนึงนะ”


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ฉันก็สร้างประตูเคลื่อนย้ายข้างในกิลด์


 


ซึ่งมันเชื่อมต่อกับสำนักงานสาขาทางใต้


 


“พวกเรากำลังจะไปแล้วนะ เจ้าชายลำดับสี่”


 


“ไปสิ ข้ามองข้ามเด็กสาวที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือไม่ได้หรอก”


 


พอพูดจบ, ฉันก็เข้าประตูไปแล้วไปถึงกิลด์สาขาทางใต้


 


ทุกคนดูกล้าๆกลัวๆในตอนแรกแต่พวกเขาก็เอาชนะความกลัวของตัวเองแล้วก้าวผ่านประตูในทันที, จากนั้นพวกเขาก็มาถึงราชรัฐอัลบราโทร


 


ในตอนที่ฉันมาถึงสำนักงานกิลด์ที่เป็นซากไปส่วนนึงแล้ว, ฉันก็ได้สบตากับเอวาที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น


 


 


“ใครหรอคะ…..?”


 


“นักผจญภัยแรงค์ SS ที่ทำงานให้กับสาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิ, ซิลเวอร์ ข้ามาที่นี่เพื่อตอบรับคำขอของเจ้า


 


ดวงตาของเอวาเบิกกว้างแล้วหลังจากนั้นน้ำตาของเธอก็เริ่มเอ่อล้นในทันที


 


พอเห็นเธอเป็นแบบนี้แล้ว, ฉันก็เข้าใจว่าเธอรู้สึกกลุ้มขนาดไหน


 


“เจ้าทำได้ดีแล้ว ตอนนี้รีบอพยพเถอะ”


 


“ค, ค่ะ….แต่ว่า, น้องชายของข้า……”


 


“น้องชายของเจ้าหรอ?”


 


“เขาบอกว่าเขาอยากทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้แล้วมุ่งหน้าไปที่ปราสาทค่ะ…..”


 


ฉันรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้อย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นไม่นาน, ท่านพี่เทราก็ตามมาถึง


 


จากสีหน้าของเขานั้น, เวทย์เคลื่อนย้ายต้องไปกระตุ้นความสนใจของเขาแน่ๆ


 


“อืม อืม นี่พวกเรามาถึงทางใต้แล้วหรอเนี่ย เวทย์เคลื่อนย้ายนี่มันยอดเยี่ยมจริงๆนะ, คุณซิลเวอร์”


 


“เก็บความประทับใจเอาไว้ก่อน, ตอนนี้ช่วยมอบสิทธิการใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ให้ทีเถอะครับ, เจ้าชายลำดับสี่”


 


“มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะ ถ้าคุณเอลน่าไม่ได้ยินมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”


 


“ถ้างั้นพวกเรามุ่งหน้าไปที่ที่ทำให้พวกเราเด่นกว่านี้ดีไหม”


 


ด้วยความคิดนี้, พวกเราก็มุ่งหน้าออกมาจากกิลด์ที่พังไปส่วนนึง ทัศนียภาพข้างนอกนั้นเละเทะมาก


 


ตึกอาคารที่อยู่ใกล้ๆกับท่าเรือได้รับความเสียหายหนักและมีมังกรตัวมหึมาอยู่ในทะเล


 


“ตัวใหญ่ชะมัด, นี่เจ้าจะเอาชนะมันได้จริงๆหรอ?”


 


“ก็ถ้าลุยคนเดียวก็คงหืดขึ้นคออยู่ครับ”


 


ในขณะที่พูด, กระสุนน้ำลูกนึงก็ถูกยิงออกมาจากปากของมังกรทะเล


 


แต่มันก็ใหญ่จริงๆหน่ะแหล่ะ ทำไมมันถึงใหญ่ขนาดนี้นะ?


 


“มันใหญ่กว่าเมื่อก่อนรึเปล่า!?”


 


พอได้ยินคำพูดของเอวา, ฉันก็เริ่มเตรียมเวทย์ป้องกัน


 


ถ้าสิ่งนั้นตกใส่เมืองหล่ะก็, มันคงจบด้วยภัยพิบัติดีๆนี่เอง


 


มีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้อพยพ


 


ฉันคงต้องหาวิธีดึงความสนใจของมันสินะ


 


ในขณะที่กำลังพิจารณาเรื่องนี้, ฉันก็ได้ยินเสียงดังมาจากยอดปราสาท


 


“ทางนี้โว้ย! ลิเวียธาน!!”


 


นั่นมันเสียงของจูลิโอ เขาน่าจะใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อทำให้เสียงของเขาดังขึ้น


 


ในมือของเขานั้นมีคทาที่เคยผนึกลิเวียธานอยู่


 


บางทีการที่ลิเวียธานมาโจมตีราชรัฐอัลบราโทรน่าจะเป็นเพราะมันกลัวว่าจะถูกผนึกอีกรอบหรือไม่ก็นี่อาจจะเป็นแค่การล้างแค้นที่ทำให้มันหลับไหลมาเนิ่นนานขนาดนี้


 


ก็พอเข้าใจอยู่ว่าที่จูลิโอไปเอามันมาเก็บไว้กับตัวนั้นก็เพื่อทำให้ตัวเองตกเป็นเป้า และถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขาอาจจะต้องตายจากการทำแบบนี้, แต่เขาก็อยากปกป้องประชาชนที่อยู่ในเมือง


 


สายตาของลิเวียธานขยับแล้วเพ่งเล็งไปที่จูลิโอ


 


[อยู่นั่นเองสินะ ไอ้คทาน่ารังเกียจที่ทำให้ข้าหลับใหล ดูเหมือนว่ามันจะหมดพลังไปแล้วแต่มันอาจจะถูกใช้เพื่อทำให้ข้าหลับอีกก็ได้ ข้าจะทำให้มันหายไปจากโลกนี้ซะ]


 


ด้วยคำพูดนี้, ลิเวียธานก็เปลี่ยนกระสุนน้ำที่แต่เดิมก็ใหญ่อยู่แล้วให้ใหญ่ขึ้นไปอีก


 


นี่มันไม่ดีแล้ว


 


ฉันสร้างประตูเคลื่อนย้ายในขณะที่เตรียมเวทย์ป้องกัน


 


[เจ้าเด็กน้อยผู้ไม่รู้จักยั้งคิด ข้ายอมรับในความกล้าหาญของเจ้า, และเพื่อการนั้นข้าจะทำให้เจ้าได้ตายแบบไม่ต้องทรมาน]


 


พอพูดจบ, ลิเวียธานก็ยิงกระสุนน้ำลูกยักษ์ใส่ยอดปราสาท


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ฉันก็พุ่งเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายแล้วปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งที่หน้าจูลิโอ


 


“ยกโทษให้ข้าด้วยนะครับ…..ท่านพ่อ, ท่านแม่, ท่านพี่……”


 


“เก็บคำขอโทษไปใช้ตอนที่ได้เจอพวกเขาจริงๆเถอะ”


 


ฉันพูดแบบนั้นกับจูลิโอที่หลับตาเตรียมเผชิญหน้ากับความตายอยู่ในขณะที่ปล่อยเวทย์ป้องกันรัศมีกว้างออกมา


 


มันคือโล่


 


โล่ยักษ์สี่ฟ้าเงินที่ปรากฎขึ้นข้างหน้าปราสาทและรับกระสุนน้ำของลิเวียธานเอาไว้


 


<<นี่คือโล่อันยิ่งใหญ่ของทวยเทพ・ ชื่อของมันเป็นที่รู้จักโดยทั่วกัน・ มันคือตัวแทนของการปกปักษ์รักษา・ ตัวตนของมันมีเพื่อปกป้องผู้อ่อนแอ・ มันไม่สามารถพังทลายได้แม้จะเป็นเทพก็ตาม・ นี่คือโล่ที่ไร้พ่ายและไร้คู่ต่อกร ・นามของมันคือ—เอจิส>>


 


ในตอนที่ฉันเรียกชื่อโล่, มันก็เริ่มเปล่งแสง


 


กระสุนน้ำขนาดมหึมาที่ลิเวียธานยิงออกมานั้นถูกทำลายอย่างงายดาย


 


จูลิโอรู้สึกประหลาดใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาและสูญเสียการทรงตัว


 


บางทีเธอน่าจะเป็นห่วงเขามาก, เอวารีบกระโดดออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายแล้วเข้าไปหาเขา


 


“จูลิโอ!”


 


“ท่านพี่……”


 


“ข้าดีใจจังเลย, ดีใจจริงๆ…..! ข้าคิดว่าพวกเราจะจบสิ้นแล้วซะอีก….! แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะ…เขามา…..คนๆนี้มาเพื่อช่วยพวกเราแล้ว…..!”


 


“ช่วยพวกเราหรอครับ…..?”


 


“เข้าเดาว่าพวกท่านทั้งสองคงเป็นแฝดเจ้าชายเจ้าหญิงของอัลบราโทรสินะครับ?”


 


“ค, ครับ….ข้าชื่อจูลิโอ เดอ อัลบราโทร……”


 


“ข้าคือนักผจญภัยแรงค์ SS จากกิลด์นักผจญภัย, ซิลเวอร์ ส่วนคนผู้นี้คือ”


 


“ข้าเทราก็อตต์ เลคส์ แอดเลอร์, เจ้าชายลำดับสี่ของจักรวรรดิ”


 


ท่านพี่เทราออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายแล้วแนะนำตัว


 


เขาอาจจะดูมีภูมิฐานแต่สายตาของเขานั้นก็จับจ้องไปที่เอวาอยู่ตลอด


 


ดูเหมือนว่าเด็กสาวเจ้าน้ำตาสุดน่ารักคนนี้จะได้รับคะแนนจากท่านพี่เทราไปเต็มๆเลย


 


ฉันนึกอยากจะเข้าไปตบเรียกสติเขาซักครั้งแต่เนื่องจากจุดยืนของฉันในตอนนี้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้, ฉันจึงตัดสินใจใช้คำพูดแทน


 


“เจ้าชายลำดับสี่ ถึงเวลาทำงานแล้วครับ”


 


“พวกเรายังพอมีเวลาเหลือสำหรับชื่นชมเด็กสาวผู้งดงามคนนี้อยู่ไม่ใช่หรอ? หรือว่าคุณซิลเวอร์ไม่มั่นใจในความทนทานของโล่ที่เรียกออกมา?”


 


“จะให้ข้าโยนท่านออกไปตอนนี้เลยก็ได้นะสนใจไหม?”


 


“แบบนั้นก็แย่สิ….ช่วยไม่ได้หล่ะนะ ข้าจะทำหน้าที่ในฐานะราชวงศ์ซักครั้งนึงก็ได้”


 


พอพูดจบ, ท่านพี่เทราก็คว้าเครื่องขยายเสียงเวทมนตร์ที่จูลิโอมีอยู่แล้วดึงมันมาทางตัวเอง


 


ในตอนนั้นเอง, ท่านพี่เทราก็ได้เห็นจูลิโอเป็นครั้งแรก และ,


 


“จะว่าไป, เจ้าชายจูลิโอ สิ่งที่คุณทำเมื่อซักครู่นี้มันควรค่าแก่การสรรเสริญจริงๆ คนที่ยอมเสียสละเพื่อปกป้องผู้คนถึงขนาดนี้ที่ข้ารู้จักมีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น, ซึ่งนั่นก็คือพี่ชายที่จากไปของข้า ดังนั้น, ตอนนี้ข้าจะแสดงคุณสมบัติในระดับเดียวกับที่คุณพึ่งแสดงออกไปเมื่อซักครู่นี้ให้ดูเอง คุณสมบัติของราชวงศ์ที่ประชาชนสามารถภาคภูมิใจได้”


 


ด้วยคำพูดนี้, ท่านพี่เทราก็ใช้เครื่องขยายเสียง


 


ในขณะเดียวกันนั้นเอง, ลิเวียธานก็กำลังเตรียมการโจมตีต่อไปของมัน


 


และเพื่อเป็นการตอบสนอง, ท่านพี่เทราก็เริ่มสุนทรพจน์ของเขาด้วยท่าทีสบายๆ


 


“ถึงทุกคนในราชรัฐอัลบราโทร ข้าเจ้าชายลำดับสี่ของจักรวรรดิ, เทราก็อตต์ เลคส์ แอดเลอร์ ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงของข้า, จงตั้งใจฟังให้ดี”


 


ฉันอยากให้เขารีบๆทำมันให้จบๆแต่การอัญเชิญดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถทำได้ด้วยการยินยอมของท่านพี่เทราและเอลน่าต้องรู้ถึงการยินยอมนี้ด้วย


 


เพื่อความแน่นอน, มันจะดีกว่าถ้าท่านพี่เทรากับเอลน่ารู้ที่อยู่ของกันและกัน


 


ดังนั้น, ท่านพี่เทราจึงเริ่มเรียกหาเอลน่า


 


ส่วนฉันก็ต้องปกป้องเขาจนกว่าจะถึงตอนนั้น


 


“ในสถานการณ์ที่วุ่นวายนี้, ข้ามาที่นี่ในนามของท่านพ่อ, ในฐานะตัวแทนขององค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อรักษาหรือปกป้องดินแดนแห่งนี้ มันไม่ใช่หน้าที่ของข้า ข้าแค่มาที่นี่เพื่อส่งมอบของสิ่งนึง”


 


บางทีมันคงเข้าใจว่ากระสุนนัดเดียวนั้นไม่สามารถทะลวงการป้องกันของฉันได้, ลิเวียธานจึงกระหน่ำกระสุนน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามา


 


ซึ่งฉันเองก็ตอบรับพวกมันด้วยวงเวทย์นับไม่ถ้วน


 


ในระหว่างนี้เอง, ท่านพี่เทรานั้นไม่ได้ถูกอะไรมาขัดสุนทรพจน์ของเขาเลย


 


“มีอัศวินของข้าอยู่ในดินแดนนี้หรือไม่? อัศวินผู้กล้าหาญ? อัศวินผู้แข็งแกร่ง? อัศวินที่ยึดมั่นในเกียรติของตัวเอง? มีอัศวินคนไหนที่อยากทำอะไรซักอย่างกับสถานการณ์ในตอนนี้หรือไม่? ตอนนี้, มีอัศวินคนไหนที่อยากจะช่วยเหลือเหยื่อเหล่านี้จากภัยพิบัติอันไร้เหตุผลนี้รึเปล่า? ถ้ามีอยู่ก็ช่วยบอกชื่อของตัวเองมา ข้าจะมอบเกียรติยศจากการช่วยดินแดนนี้ภายใต้ชื่อของข้า!!”


 


ไม่มีใครตอบรับ


 


มันไม่มีทางที่พวกเขาจะได้ยินมัน


 


อัศวินทุกคนที่อยู่ในพื้นที่นี้อาจจะอยากเสนอชื่อของตัวเอง


 


อย่างไรก็ตาม, ในพื้นที่นี้มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ตอบรับคำบัญชาของท่านพี่เทรา


 


“ข้าอยู่ที่นี่ค่ะ!! องค์ชาย! อัศวินที่จะตอบรับคำบัญชาของท่านอยู่ที่นี่แล้ว!!”


 


พอผ่ากระสุนน้ำเป็นสองซีก, เอลน่าก็ปรากฎตัวขึ้นอย่างห้าวหาญ


 


เมื่อรับรู้ถึงตัวตนของเธอแล้ว, ท่านพี่เทราก็พยักหน้าแล้วโบกมือเหมือนเขากำลังแสดงละครอยู่


 


“จงขานนามของเจ้ามา!”


“เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์กมาที่นี่เพื่อตอบรับคำบัญชาของท่านค่ะ, องค์ชาย!”


 


“ดีมาก! ภายใต้ชื่อขององค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่, โยฮันเนส เลคส์ แอดเลอร์, ข้า, เทราก็อตต์ เลคส์ แอดเลอร์, ขอบัญชา! จงเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมา, ผู้กล้าหาญ!”


 


ในตอนนั้นเอง, เอลน่าก็ชูมือขึ้นฟ้า


 


จากนั้น, แสงออโรร่าก็ส่องลงมาจากสวรรค์


 


ด้วยการคว้าแสงที่เจิดจ้าเอาไว้, เอลน่าก็พึมพำออกมาในขณะที่มันค่อยๆเปลี่ยนเป็นรูปร่างดาบในมือของเธอ


 


“ขอบคุณค่ะ, องค์ชาย”


 


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก คุณเอลน่า นี่คือหน้าที่ของข้าในฐานะสมาชิกของราชวงศ์ เอาหล่ะ, ขอให้ข้าได้เชยชมความเจิดจรัสของคุณจากที่นั่งแถวหน้านี้เถอะนะ อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดและนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ การร่วมมือกันโค่นล้มมังกรของทั้งสองคนจะเป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับผลงานชิ้นโบว์แดงของข้า”


 


พอพูดแบบนี้ออกมา, ท่านพี่เทราก็เผยรอยยิ้มน่าขนลุกตามปกติของเขาออกมาเล็กน้อย


 


ด้วยการยิ้มเอือมระอาให้กับท่านพี่เทราในสภาพนี้, ฉันก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าในขณะที่มองตรงไปยังจูลิโอ


 


“เอาหล่ะ, องค์ชายจูลิโอ, ตอนนี้ลูกค้าของข้าก็คือท่านเพราะฉะนั้นข้าขอยืนยันเพื่อความแน่ใจ….ท่านไม่มีปัญหาใช่ไหมถ้าข้าจะฆ่ามังกรทะเลตัวนั้น?”


 


“!? ค, ครับ! เชิญจัดการมันตามที่ท่านต้องการเลย!”


 


พอได้ฟังการตอบรับของจูลิโอ, ฉันก็หันกลับไปและเผชิญหน้าลิเวียธานด้วยกันกับเอลน่า

 

 

 


ตอนที่ 48

 

“อย่าเป็นตัวถ่วงหล่ะเข้าใจไหม? นักผจญภัยสวมหน้ากาก”


 


“นั่นควรจะเป็นประโยคของข้ามากกว่านะ, ผู้กล้าหญิง”


 


“หา!? ไม่มีทางที่ข้าจะเป็นตัวถ่วงอยู่แล้วไม่ใช่รึไง!?”


 


“จะใช่แน่เรอะ? เมื่อซักครู่นี้ดูเหมือนจะตึงมืออยู่ไม่ใช่หรอ? ช่วยเป็นคนซื่อตรงแล้วขอบคุณข้าซักครั้งที่อุตส่าห์พาตัวแทนขององค์จักรพรรดิมาที่นี่ไม่ได้รึไง?”


 


ไหล่ของเอลน่าสั่นเพราะคำพูดแหย่ของฉัน


 


อา, เธอโกรธแล้ว, โกรธแล้วจริงๆ


 


ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับปฏิกิริยาเช่นนี้จากเอลน่า, แนก็ร่ายบาเรียป้องกันและบาเรียรักษาคลุมทั้งเมืองหลวงของอัลบราโทร


 


ผ่านความพยายามของเอลน่า, ดูเหมือนว่าพื้นที่ที่ประชาชนไปรวมตัวกันอยู่นั้นจะไม่ได้รับความเสียหายเลย อย่างไรก็ตาม, ยังมีคนเจ็บและพวกที่ยังไม่ได้อพยพอยู่อีกหลายคน


 


แต่ถึงยังไงตอนนี้พวกเขาก็ใจเย็นลงกว่าตอนแรกแล้ว


 


ซึ่งนี่เป็นเพราะสุนทรพจน์ที่เว่อวังของท่านพี่เทราในตอนที่เขายินยอมให้เอลน่าใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์, ผู้คนในเมืองหลวงได้รับแจ้งแล้วว่าความช่วยเหลือมาถึงแล้ว


 


เขาอาจจะไม่ได้มุ้งหวังให้เป็นแบบนี้ เหตุผลครึ่งนึงสำหรับสุนทรพจน์ของเขานั้นมาจากนิสัยส่วนตัวและอีกครึ่งที่เหลือก็เป็นการแสดงเพื่อมอบคำยินยอมให้เอลน่า มันคือบทบาทของท่านพี่เทราในการทำตัวให้ดูยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีและการปรากฎตัวของจักรวรรดิ


 


แต่ไม่ว่ายังไง, มันก็ต้องขอบคุณท่านพี่เทราที่ช่วยให้ความสับสุนวุ่นวายในเมืองหลวงลดน้อยลง


 


ถ้าเขาไม่ได้มีนิสัยส่วนตัวที่ดูน่าผิดหวังแบบนั้นฉันก็คงอยากสนับสนุนเขาให้กลายเป็นจักรพรรดิจริงๆ


 


“นี่เจ้าฟังอยู่รึเปล่า!? ซิลเวอร์!”


 


“หืม? อะไร? เจ้าพูดอะไรหรอ?”


 


“หึ, เข้าใจหล่ะ…..เจ้าอยากจะบอกว่าคำพูดของข้าไม่คู่ควรกับการฟังของเจ้าสินะ?”


 


เอลน่ายิ้มในขณะที่เส้นเลือดที่ศรีษะของเธอเริ่มปูดขึ้นมา


 


ฉันยิ้มให้เธออย่างเหนื่อยใจแล้วถามเธอ


 


“ขอโทษด้วยละกัน ข้ากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ เกี่ยวกับเรื่องนั้น หรือว่าเจ้ากำลังถามวิธีเอาชนะมังกรทะเลอยู่?”


 


“ถ้าเจ้าเข้าใจก็ตอบคำถามมาได้แล้ว เจ้ามีแผนอะไรรึเปล่า? ถ้าไม่มี, พวกเรามาทำตามแผนของข้าคงไม่เป็นไรใช่ไหม?”


 


“เอาเถอะ, ก็ใช่ว่าจะไม่มีหรอกแต่มาดูกันดีกว่าว่าแผนของผู้กล้าหาญเป็นยังไง เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรหล่ะ?”


 


“สำหรับตอนนี้, ข้าอยากให้เจ้าเพ่งสมาธิไปที่การป้องกันเมืองหลวงและดึงดูดความสนใจของมัน ส่วนข้าจะเป็นคนไปผ่าเจ้ามังกรนั่นด้วยตัวเอง”


 


“จะใช้ข้าเป็นตัวล่อสินะ แผนแบบนี้นี่สมกับเป็นเจ้าจริงๆ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย


 


บางทีเธอคงเข้าใจว่าฉันรับรู้แล้ว, เอลน่าถอยห่างจากฉัน


 


[ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าจะมีมนุษย์ที่สามารถรับกระสุนน้ำของข้าได้ด้วย ข้ารู้สึกประหลาดใจจริงๆ]


 


“ข้าก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ มังกรเป็นมอนส์เตอร์ที่มีสติปัญญาสูง ทำไมเจ้าถึงเลือกเข้าปะทะกับมนุษย์โดยตรงแบบนี้?”


 


[เหอะ, พวกมันบังคับให้ข้าจำศีล ถ้าข้าเอาคืนให้กับการเหยียดหยามนี้ไม่ได้ข้าก็คงจะสูญเสียความภาคภูมิใจในฐานะมังกรไปแล้ว ข้าคือมังกรที่ปกครองเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง! เจ้าคิดว่าข้าจะทนให้มนุษย์ดูถูกแบบนี้ได้รึไง!]


 


“ความภาคภูมิใจสินะ….ไร้สาระชะมัด นี่ความภาคภูมิใจมันสำคัญกว่าชีวิตของเจ้าถึงขนาดนั้นเลยหรอ?”


 


[เจ้าพูดเหมือนกับว่าสามารถเอาชนะข้าได้เลยนะ?]


 


“ชนะได้สิ อย่าดูถูกมนุษย์จะดีกว่า”


 


ในตอนนั้นเอง, กระสุนน้ำจำนวนมหาศาลก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าลิเวียธาน


 


มันไม่ใช่แค่หลักร้อยหรือสองร้อย นี่หมายความว่าก่อนหน้านี้มันไม่ได้เอาจริงเลยสินะ?


 


[ข้าจะพูดซ้ำอีกครั้ง ข้าจะไม่ยอมทนให้มนุษย์ดูถูกแบบนี้!]


 


“ถ้างั้นข้าก็ขอตอบคำถามซ้ำอีกรอบ อย่าดูถูกมนุษย์”


 


ด้วยคำพูดนี้, ฉันก็ปล่อยวงเวทย์ออกมาข้างหลังฉันในจำนวนพอๆกัน


 


เนื่องจากมันไม่สามารถเอาชนะฉันได้ด้วยการโจมตีเดียว, บางทีมันคงคิดว่าสามารถเอาชนะฉันได้ด้วยจำนวน


 


“ดูเหมือนว่าเรื่องจำนวนข้าก็ชนะเหมือนกันใช่ไหม?”


 


[หนอยเจ้ามนุษย์!!]


 


กระสุนน้ำกับเวทมนตร์จำนวนนับไม่ถ้วนปะทะกันบนฟ้าเหนือเมืองหลวง


 


มันเหมือนอยู่ในสนามรบเลย


 


มันคือการต่อสู้วัดความอดทนที่หากใครขาดความแน่วแน่ก็จะถูกอีกฝ่ายจัดการได้ในทันที ถ้าจำนวนเข้าปะทะมีไม่พอลิเวียธานก็จะเพิ่มกระสุนน้ำเข้ามาอีกและฉันก็จะเพิ่มเวทมนตร์ขึ้นเรื่อยๆเพื่อไล่ตามการเปลี่ยนแปลงนี้


 


มีประกายไฟหลากหลายสีกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า


 


ถ้ามีคนที่ไม่รู้สถานการณ์มาเห็น, พวกเขาอาจจะคิดว่านี่เป็นงานจัดแสดงดอกไม้ไฟก็ได้


 


[หนอย! อวดดียิ่งนัก!]


 


ลิเวียธานอ้าปากกว้าง


 


กระสุนน้ำที่ปล่อยออกมาจนถึงตอนนี้เป็นแค่สิ่งที่สร้างขึ้นโดยใช้พลังของมัน, พวกมันไม่ใช่การโจมตีพิเศษของมังกร, ‘ปราณมังกร’


 


ในที่สุดก็ตัดสินใจใช้ไพ่ตายแล้วสินะ


 


ในขณะที่ความคิดพวกนี้เข้ามาในหัวของฉัน, น้ำก็เริ่มอัดแน่นขึ้นเรื่อยๆข้างในปากของลิเวียธาน มันถูกบีบอัดเป็นลูกบอลลูกเล็กๆ, และจากตรงนั้น, ปราณวารีก็ถูกยิงออกมาเหมือนกับลำแสง


 


ฉันพยายามซ้อนเวทย์ป้องกันเพื่อเบี่ยงมันออกแต่ปราณวารีก็ทำเหมือนกับว่าไม่มีโล่อยู่เพราะปราณวารีนั้นเจาะทะลวงทุกสิ่งและเข้ามาใกล้ฉันขึ้นเรื่อยๆ


 


“เอาจริงดิ!?”


 


หลังจากที่ฉันรีบหลบออก, ปราณวารีก็พุ่งผ่านจุดที่ฉันเคยยืนอยู่และเจาะภูเขาที่อยู่ข้างหลังเมืองหลวงได้อย่างง่ายดาย


 


“เกือบแล้วเชียว…..”


 


ในขณะที่มองภาพนี้, เหงื่อของฉันก็เริ่มไหล


 


เล่นเจาะเวทย์ป้องกันที่ฉันซ้อนเอาไว้ตั้งหลายชั้นแบบนี้เลยหรอ, พลังนั่นมันไม่บ้าบอเกินไปรึไง?


 


มันคือการบีบอัดน้ำอย่างสุดขีดจนเหมือนกับเป็นใบมีดน้ำงั้นหรอ? นี่มันคือดาบศักดิ์สิทธิ์เวอร์ชันลิเวียธานสินะ


 


มันสามารถเจาะทะลวงอะไรก็ได้เหมือนกับหั่นเนย


 


ถ้าเป็นแบบนี้หล่ะก็ยืนป้องกันต่อไปคงจะเสียเปรียบ รุดหน้าเข้าไปแล้วรีบจบเรื่องนี้น่าจะดีกว่า


 


แต่ก็ตามที่คาดเอาไว้, การโจมตีแบบนั้นดูเหมือนจะยิงติดต่อกันไม่ได้สินะ


 


ลิเวียธานเริ่มกระหน่ำกระสุนน้ำใส่ฉันอีกครั้ง ฉันเงยหน้าขึ้นไปข้างบนในขณะที่ป้องกันมัน


 


เอลน่ากำลังรวบรวมสมาธิอยู่บนนั้น


 


ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจจะผ่ามังกรจริงๆสินะ ตั้งแต่ที่เห็นเอลน่าเพ่งสมาธิแบบนี้เมื่อครั้งก่อนนี่มันก็ผ่านมาซักพักแล้ว


 


แต่ว่า,


 


“ช่วยเร่งหน่อยได้ไหม…..”


 


ฉันบ่นในขณะที่คอยปัดกระสุนน้ำที่เทียบกับลูกที่เคยใช้กับท่านพี่เทราไม่ได้เลย


 


อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้เสียงแบบนั้นคงเข้าไปไม่ถึงหูของเอลน่า


 


ในตอนที่ลิเวียธานกับฉันปะทะกันไปได้พักนึง,


 


เอลน่าก็ดิ่งลงมาจากท้องฟ้า แน่นอนว่าเป้าหมายของเธอคือลิเวียธาน


 


[อย่าได้ใจไปหน่อยเลย!!]


 


ลิเวียธานยิงกระสุนน้ำใส่เอลน่าแต่เธอก็หลบมันได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย


 


จากนั้นเธอก็เหวี่ยงดาบศักดิ์สิทธิ์ของเธอใส่ศรีษะของลิเวียธาน


 


พอเห็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเจิดจ้า, ลิเวียธานก็ตัดสินว่ามันคือภัยคุกคาม


 


ลิเวียธานบิดร่างของมันเพื่อหลบคมดาบที่กำลังเข้ามา อย่างไรก็ตาม, ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของลิเวียธาน, มันจึงไม่สามารถหลบได้ทั้งหมด


 


ร่างกายส่วนนึงของมันถูกเฉือนออกอย่างรุนแรงพร้อมกับปีกซ้ายของมัน


 


[กรี๊ซซซ!!??]


 


ด้วยความเจ็บปวดและความประหลาดใจ, ลิเวียธานก็ดำลงไปในทะเล


 


ตอนนี้ได้จังหวะแล้ว, เธอน่าจะไล่ตามมันไปได้ในทันทีเพื่อปลิดชีวิตมันแต่ว่า….


 


“ยัยนั่น….”


 


เอลน่าดิ่งลงไปพยายามที่จะปิดฉากแต่ก็ตามที่ฉันคิดเอาไว้, เธอยังกลัวน้ำอยู่เพราะฉะนั้นเธอจึงหักเลี้ยวด้วยมุมแปลกแล้วลอยกลับขึ้นไปบนฟ้า


 


ฉันมุ่งหน้าไปหาเอลน่า


 


“พอเจอทะเลแล้วเจ้านี่ไร้ประโยชน์ไปเลยนะ”


 


“หุปปากซะ! อะไรที่มันกลัวมันก็กลัวอยู่ดีไม่ใช่รึไง!?”


 


ร่างกายส่วนใหญ่ของลิเวียธานจมลงไปในทะเลแล้ว การจะปิดฉากมันนั้นทำได้แค่จากระยะประชิดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม, เอลน่าทำแบบนั้นไม่ได้


 


นี่เธอเพ่งสมาธิตั้งนานเพื่อให้เป็นแบบนี้เนี่ยนะ? เอาเถอะ, ถ้าเธอไม่สามารถจัดการมันได้ด้วยการโจมตีเดียว, เธอก็ต้องเข้าใกล้ทะเลเพื่อปิดฉากมันอยู่แล้ว


 


จริงๆเลย, ยัยนี่…..


 


“ช่วยไม่ได้หล่ะนะ มาสลับหน้าที่กันเถอะ”


 


“อ, อย่ามาทำเป็นล้อเลียนข้านะ! เจ้าทำหน้าที่เป็นตัวล่อเหมือนเดิมนั่นแหล่ะข้าจะจัดการปิดฉากเอง, ไม่ยอมสลับหน้าที่หรอก!”


 


ในขณะที่พูดนั้น, เอลน่าไม่แม้แต่จะพยายามเข้าใกล้ลิเวียธานเลย


 


ในขณะที่ฉันถอนหายใจอย่างเอือมระอา, เอลน่าก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกระทันหัน


 


นั่นก็คือ,


 


“ซิลเวอร์…..เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าไม่ค่อยถูกกับน้ำ?”


 


อา………


 


ฉันเผลอพูดกับเธอเหมือนปกติไปซะแล้ว


 


ในประวัติศาสตร์การเป็นซิลเวอร์ของฉัน, นี่คือคำพูดที่เลินเล่อที่สุดที่หลุดออกมาจากปาก

 

 

 


ตอนที่ 49

 

ซวยแล้วไง, ซวยสุดๆ ก่อนที่คำพูดพวกนี้จะผุดขึ้นมาเต็มหัวฉัน, ฉันก็บอกตัวเองให้ใจเย็นลง


 


ใจเย็นๆนะ ตราบใดที่เราใจเย็นมันก็จะผ่านพ้นไปได้


 


 


ในขณะที่ฉันบอกตัวเองให้ค่อยๆใจเย็นลง, ฉันก็สามารถเรียกสติกลับมาได้ในระดับนึง


 


ตอนนี้ฉันคือซิลเวอร์ ไม่ใช่อาร์โนลด์


 


เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องแก้ตัว


 


ไม่แก้ตัวมันจะดีกว่า, ถึงยังไงซิลเวอร์ก็ไม่มีอะไรต้องปกปิดอยู่แล้ว


 


“เจ้าอยากรู้หรอ?”


 


“มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่รึไง!? เจ้าไปได้ยินเรื่องนั้นมาจากไหน!?”


 


“ข้าไม่มีหน้าที่หรือเหตุผลอะไรที่ต้องบอกเจ้านี่”


 


ในขณะที่พยายามทำตัวไม่สนโลกกับเธอ, ฉันก็เตือนตัวเองให้ทำตัวเหมือนซิลเวอร์ เอลน่าในโหมดต่อสู้นั้นอันตราย แม้กระทั่งจุดผิดพลาดเล็กๆเธอก็สังเกตได้ มันคงจะจบสิ้นแน่ถ้าเธอรู้สึกว่าฉันทำอะไรบางอย่างที่ดูผิดธรรมชาติ


 


ด้วยนิสัยส่วนตัวของเอลน่านั้น, ตอนนี้ฉันยังให้เธอรู้ไม่ได้ว่าฉันคือซิลเวอร์


 


“เจ้าว่ายังไงนะ!?”


 


“นี่, เห็นไหมว่ามันเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้ว? เรื่องนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนได้ไหม?”


 


“หนอย! หลังจากนี้เรามีเรื่องสำคัญต้องคุยกันนะ!”


 


“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้าในตอนนั้นนะ”


 


ด้วยความที่หลีกเลี่ยงวิกฤตินี้ไปได้แล้ว, ฉันก็กลับมาทุ่มสมาธิให้กับลิเวียธาน


 


ฉันลงไปที่ทะเลแทนเอลน่าแล้วยืนอยู่เบื้องหน้าลิเวียธานที่กำลังโผล่ขึ้นมา


 


ฉันถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วใช้มือขวาจับตรงหัวใจที่กำลังเต้นรัวของฉัน


 


ด้วยการควบคุมลมหายใจ, ฉันก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้


 


จริงๆเลย, ไม่น่าเชื่อเลยว่าการเกือบถูกเธอรู้ความจริงมันน่ากลัวกว่าการต่อสู้กับมังกรซะอีก สมกับที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่แข็งแกร่งที่สุดของฉัน


 


เอาเถอะ, มันเป็นเพราะฉันไม่ระวังเองหล่ะ


 


หลังจากนี้คงไม่เป็นไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่เพื่อตอบคำถามของเธอซักหน่อย, ฉันแค่ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายหนีไปหรือสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาก็ได้เหมือนกัน


 


ด้วยความที่วิกฤติส่วนตัวผ่านพ้นไปแล้ว, สิ่งที่เหลือก็คือการจัดการกับมังกรทะเลที่อยู่ตรงหน้า


 


[หนอยย….นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้….แถมยังเป็นฝีมือของมนุษย์อีก]


 


“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าดูถูกมนุษย์”


 


[เข้าเข้าใจตั้งแต่การโจมตีนั้นแล้ว เด็กสาวคนนั้น, เธอเป็นลูกหลานของคนที่จัดการราชาปีศาจสินะ? นึกไม่ถึงเลยว่าเธอสามารถใช้ดาบที่น่ารังเกียจนั่นได้ด้วย……..]


 


“แล้วจะเอายังไงต่อ? เจ้าอยากยอมแพ้เลยไหม?”


 


[อย่าทำให้ข้าหัวเราะไปหน่อยเลยหน่า…..ไม่มีมังกรตัวไหนหนีจากมนุษย์หรอก!!]


 


พอพูดจบ, ลิเวียธานก็อ้าปากแล้วคำราม


 


มังกรคำราม มันคือสิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตหวาดกลัวได้ มันคือสิ่งที่สามารถทำลายขวัญกำลังใจของศัตรูได้


 


คนที่จิตอ่อนจะสลบ อันที่จริง, กองเรือที่อยู่รอบลิเวียธานเองก็กำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนก


 


ปล่อยไว้แบบนี้ก็คงไม่ดีสินะ ฉันอยากให้พวกเขารีบอพยพไปเร็วๆแต่ยังมีเรืออีกหลายลำที่ยังอยู่ในพื้นที่นี้


 


[ข้าจะให้เจ้าชดใช้ที่มาทำให้ร่างกายของข้าได้รับบาดเจ็บแบบนี้!]


 


“เป็นการตัดสินที่ดูเห็นแก่ตัวจังเลยนะ สมกับที่เป็นมังกรจริงๆ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็ค่อยๆลอยขึ้นไปบนฟ้า


 


ฉันจำเป็นต้องซื้อเวลาให้มากกว่านี้


 


“ผู้กล้าหญิง ฟังข้าให้ดีๆ”


 


“อะไรนะ…..?”


 


“ทำไมเจ้าถึงทิ้งระยะไปไกลขนาดนั้น?”


 


“เจ้าอาจจะจับข้าโยนลงไปในทะเลก็ได้นี่…….!”


 


เหมือนกับแมวที่กำลังระวังตัวอยู่, เอลน่าตัวสั่นในขณะที่เพิ่มระยะห่างระหว่างพวกเรา


 


นี่มันเรื่องจริงจังเธอจะมาทำตัวเหมือนแมวกลัวการอาบน้ำแบบนี้ไม่ได้นะ


 


จริงๆเลย


 


“ไม่ทำหรอกหน่า, ถึงยังไงข้าก็ไม่มั่นใจอยู่แล้วว่าจะจัดการกับมังกรทะเลและผู้กล้าพร้อมกันได้”


 


“เจ้าว่ายังไงนะ!”


 


ในขณะที่เธอกำลังพูดกับฉันนั้น, เอลน่าไม่ได้ลดการป้องกันที่มีต่อลิเวียธานลงเลย


 


ลิเวียธานอ้าปากแล้วปล่อยปราณวารีของมันออกมา


 


ในขณะที่ปล่อยเวทย์ป้องกันเพื่อชะลอมัน, พวกเราก็หนีออกจากตำแหน่งนั้น


 


ปราณวารีของลิเวียธานทะยานขึ้นไปบนฟ้าและทะลวงผ่านเมฆ ถ้ามันโจมตีโดนพวกเราโดยตรง, พวกเราก็คงจะไม่เหลือซากแน่ๆ


 


ถ้าสิ่งนี้พุ่งเข้าใส่เขตที่อยู่อาศัยหล่ะก็ทุกอย่างคงจะจบสิ้น


 


“เจ้ามีแผนใช่ไหม!?”


 


“ช่วยผ่ามันอีกซักรอบได้รึเปล่า?”


 


“ไม่ไหวหรอก มันระวังข้าแล้ว ข้าไม่สามารถใช้การเคลื่อนไหวแบบเดิมซ้ำสองได้ ถ้ามันไม่ได้อยู่ในทะเลข้าก็คงพอจะทำอะไรได้บ้างอยู่หรอก……”


 


เอลน่าเรียกแรงฮึดกลับมาได้บ้างแล้วแต่ในตอนที่เธอหันไปมองทะเลมันก็หดหายไปและไหล่ของเธอก็ตกลงในทันที


 


ในขณะนั้นเอง, ลิเวียธานก็ปล่อยกระสุนน้ำจำนวนมหาศาลใส่พวกเรา ในขณะที่ป้องกันพวกมันอยู่, ฉันก็พูดกับเอลน่า


 


“งั้นก็แสดงว่าถ้ามันไม่ได้อยู่ในทะเลเจ้าก็จะสามารถจัดการได้ใช่ไหม?”


 


“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”


 


“แยกทะเล”


 


“หา!?”


 


เอลน่าพูดโพล่งออกมาด้วยความไม่เชื่อแต่ก็นะ, ฉันตั้งใจจะทำแบบนั้นจริงๆ


 


ฉันคิดว่าจะจับมันเอาไว้ด้วยบาเรียแล้วลากมันขึ้นไปบนฟ้าอยู่หรอก แต่มันคงจะเป็นปัญหาเอาได้ถ้าฉันต้องหนีจากมัน


 


“ข้าจะแยกทะเลส่วนนึงด้วยบาเรีย ถ้าข้าทำแบบนั้นได้เจ้าก็จะสู้กับมันได้โดยไม่มีปัญหาอะไรอีกใช่ไหม?”


 


“นี่เจ้าวางแผนจะสร้างพื้นที่ว่างที่กลางทะเลอย่างงั้นหรอ?”


 


“ก็อะไรประมาณนั้น”


 


“แล้วถ้าบาเรียพังลงมาหล่ะ?”


 


“น้ำทะเลก็จะซัดใส่เจ้า”


 


ด้วยคำตอบที่ชัดเจน, สีหน้าของเอลน่าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวในทันที


 


เธอเผลอนึกภาพมันออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจสินะ


 


“ไม่มีทางซะหรอก! เจ้าอาจจะทำลายบาเรียทิ้งหลังจากที่การต่อสู้จบลงแล้วก็ได้!”


 


“ข้าไม่คิดจะทำเรื่องที่ส่งผลให้จักรวรรดิกลายมาเป็นศัตรูหรอกหน่า ยิ่งไปกว่านั้น, ข้าคิดว่าอัศวินหลวงอย่างเจ้าน่าจะเข้าใจดีไม่ใช่หรอว่านี่มันไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนี้?”


 


“อึก….นั่นมัน…..”


 


“ข้าเผด็จศึกมันไม่ได้ มันจะพยายามขัดขวางข้าในตอนที่ข้าพยายามร่ายเวทย์ ถ้าพวกเรายิ่งใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้นเท่านั้น ข้าคิดว่าแผนนี้มันมีประโยชน์กับพวกเราทั้งสองฝ่ายไม่ใช่รึไง?”


 


“….นี่เจ้ากำลังขอให้ข้าเชื่อใจเจ้าหรอ?”


 


“ใช่แล้ว จงเชื่อใจข้าซะ”


 


“จะให้ข้าเชื่อใจคนที่ไม่แม้แต่จะแสดงใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองเนี่ยนะ……”


 


เอลน่าจ้องฉันอย่างเจ็บแสบ


 


หยุดทำแบบนั้นเถอะ มันเป็นความผิดของฉันเอง


 


ฉันก็ไม่อยากส่งผู้หญิงที่เป็นโรคกลัวน้ำไปอยู่กลางทะเลหรอกแต่มันไม่มีวิธีเอาชนะมังกรที่ง่ายไปกว่านี้แล้ว


 


เอลน่าที่เงียบไปซักพักเปิดปากพูดออกมา


 


“—บอกข้ามาซิ ใครเป็นคนที่บอกเจ้าเรื่องที่ข้ากลัวน้ำ?”


 


“….เขาบอกให้ฉันเก็บเอาไว้เป็นความลับ”


 


“พูดมาเถอะหน่า!”


 


“เห้อ….เจ้าชายอาร์โนลด์เป็นคนบอก ข้าแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเขาที่รอนดิเน่ นั่นคือตอนที่เขาบอกข้า”


 


“อัลหรอ? เขาบอกเจ้าแบบนั้นใช่ไหม? ข้าขอพูดเอาไว้ก่อนเลยนะว่า, อัลไม่ใช่คนที่จะไว้ใจคนอื่นง่ายๆหรอก เขาจะไม่มีวันบอกข้อมูลที่สำคัญออกไปเว้นเสียแต่ว่าเขาไว้ใจคนๆนั้นจริงๆ เจ้าคงรู้ใช่ไหมถ้าเจ้าโกหกข้า, ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้าแน่?!”


 


เป็นข้อแก้ตัวที่เจ็บปวดจังเลยนะ


 


เอาเถอะ, มันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก


 


“ข้าไม่ได้โกหก ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะเชื่อเนี่ย?”


 


“….อัลพูดว่ายังไงบ้าง? ในตอนที่เขาบอกเจ้าเกี่ยวกับจุดอ่อนของข้า”


 


ฉันเงียบไปพักนึง


 


สิ่งที่ฉันจะพูดในตอนที่บอกคนอื่นเกี่ยวกับจุดอ่อนของเอลน่าหรอ?


 


ต้องมีเหตุผลแบบไหนฉันถึงจะยอมเปิดเผยจุดอ่อนของเธอให้คนอื่นนะ?


 


ในตอนที่คิดเรื่องพวกนี้, คำพูดก็พลั่งพลูออกมาจากปากของฉันอย่างกระทันหัน


 


“เธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่น่ารำคาญแต่ช่วยดูแลเธอแทนข้าด้วย, เขาพูดประมาณนี้แหล่ะ บางทีเขาอาจจะห่วงเรื่องโรคกลัวน้ำของเจ้าในแบบของเขาก็ได้”


 


“!?”


 


หลังจากนั้นไม่นาน, เอลน่าก็ละสายตาออกไปในขณะที่ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง


 


จากนั้น


 


“ขี้เป็นห่วงจังเลยนะ….ให้ตายเถอะ….ตาโง่อัล…..”


 


หลังจากที่พูดจบ, เอลน่าก็ถอนหายใจแล้วเริ่มลดความสูงลงมา


 


“แสดงว่าเจ้ายอมทำตามแผนของข้าแล้วสินะ?”


 


“ใช่, แต่ข้ายังไม่ไว้ใจเจ้า ที่ข้ายอมเอาด้วยก็แค่เพราะอัลไว้ใจเจ้า ถ้าอัลประเมินแล้วว่าเขาสามารถบอกจุดอ่อนของข้ากับเจ้าได้ก็แสดงว่า……ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าข้าไม่ชอบใจแต่เพราะเห็นแก่อัลข้าจะยอมยกโทษให้เจ้าซักครั้งนึงก็ได้”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ค่อยๆลดระดับลงไปหาลิเวียธาน


 


ต่อให้มันไม่ได้โผล่มาเต็มตัว, มันก็ยังใหญ่อยู่ดี แม้ว่าเธอจะเข้ามาถึงตรงศรีษะของมันแล้ว, มันก็ยังพอมีระยะห่างระหว่างเธอกับทะเล อย่างไรก็ตาม, สำหรับเอลน่า, นี่มันต้องดูเหมือนกับดินแดนแห่งความตายแน่ๆ


 


ถ้างั้นพวกเรามาเริ่มกันเลยดีไหม?”


 


ฉันสร้างบาเรียสี่เหลี่ยมโดยมีลิเวียธานกับเอลน่าเป็นศูนย์กลางและขยายมันออกอย่างมั่นคง


 


ทะเลกำลังถูกบาเรียผลักออกในขณะที่เรือที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเองก็ถูกย้ายออกไปจากพื้นที่


 


ในตอนที่บาเรียขยายไปถึงก้นทะเลแล้ว, พื้นมหาสมุทรก็เผยออกมาอย่างชัดเจน


 


[เหอะ! สร้างบาเรียขึ้นมาเพื่อดวลตัวต่อตัวกับเข้า, พวกเจ้านี่ใจกล้าไม่เบานะ นี่เจ้ามั่นในตัวเองขนาดนั้นเลยหรอ, สาวน้อย?]


 


“ไม่มั่นใจหรอก….แต่ข้าพูดได้เลยว่า นี่มันคือสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เท้าของข้าเคยเหยียบมาแล้ว…….”


 


มันไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เอลน่าพูด


 


ถึงแม้ว่าน้ำจะทะลุผ่านบาเรียไม่ได้, แต่เธอก็ยังถูกน้ำล้อมรอบจากทุกด้าน


 


จากมุมมองของเอลน่านั้น, มันก็คงไม่ต่างอะไรจากนรกหล่ะนะ


 


อย่างไรก็ตาม, เอลน่ายังจับดาบศักดิ์สิทธิ์ของเธออยู่


 


“แต่ไม่ว่ายังไง….ข้าก็จะสู้! ข้ายอมให้เพื่อนสมัยเด็กของข้าต้องเป็นห่วงมากกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว!”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ใส่พลังเวทย์เข้าไปในดาบศักดิ์สิทธิ์


 


จากนั้นดาบศักดิ์สิทธิ์ก็เปลี่ยนพลังเวทย์เป็นอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งประกายในขณะที่มันค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆ


 


[หืม!? นี่มัน!?]


 


“ดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาวเอ๋ย…..จงสำแดงพลังออกมา….จงกำจัดศัตรูที่อยู่ตรงหน้าข้าให้พินาศ!!”


 


ในตอนที่เธอพูดออกมาแบบนั้น, แสงก็ปกคลุมทั้งใบดาบของดาบศักดิ์สิทธิ์


 


แสงจำนวนมหาศาลได้มารวมกันที่คมดาบของดาบศักดิ์สิทธ์ ทำให้คมดาบสว่างจ้าเหมือนกับดวงอาทิตย์


 


ด้วยดาบในมือของเธอ, เอลน่าก็พุ่งตรงไปหาลิเวียธาน


 


[อย่ามาดูถูกข้านะ!!]


 


ลิเวียธานพยายามจะสกัดกั้นเธอด้วยปราณวารีของมัน


 


ปราณวารีที่สามารถทะลวงทุกอย่างได้พุ่งเข้าใส่เอลน่าแต่เธอก็แค่รับมันเอาไว้ด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์ของเธอแล้วลุยเข้าไปต่อ


 


[อะไรกัน!?]


 


“ย้ากกก!!”


 


ดาบศักดิ์สิทธิ์ฉีกทะลวงได้แม้กระทั่งปราณวารีของลิเวียธาน


 


จากนั้น, เอลน่าก็เร่งความเร็ว


 


“ผ่าแสงสวรรค์!!”


 


การเคลื่อนไหวที่ฆ่าได้แน่นอนของเอลน่าผ่าลิเวียธานที่ตัวยาวกว่า 50 เมตรเป็นสองส่วน


 


อย่างไรก็ตาม, นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด


 


มันผ่าบาเรียที่ฉันสร้างเอาไว้ได้อย่างง่ายดายด้วย


 


“ชิ!”


 


ในตอนที่น้ำเริ่มไหลทะลักเข้ามาในบาเรีย, ฉันก็ลงไปรับตัวเอลน่าออกมาจากที่นั่น


 


“เหวอ!? ปล่อยข้านะ!”


 


“ขนาดกำลังตื่นตกใจจากน้ำที่อยู่ตรงหน้าก็ยังพูดเรื่องที่น่าสนใจออกมาได้นะ หัดขอบคุณซะบ้างไม่เป็นรึไง?”


 


“การช่วยข้าออกจากสถานการณ์แบบนี้มันเป็นหน้าที่ของเจ้านี่! อย่ามาทำเหมือนกับว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้านะ! แล้วเจ้าก็ไม่ควรสร้างบาเรียที่เปราะบางแบบนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย”


 


ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าในทวีปนี้จะมีซักกี่คนที่พูดออกมาได้อย่างมั่นใจว่าบาเรียของฉันเปราะบาง อย่างน้อยที่สุด, นี่ก็เป็นคนแรกที่มีคนมาพูดกับฉันแบบนี้


 


ฉันเกือบจะเถียงเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ, แต่ฉันก็สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้


 


ยิ่งไปกว่านั้น, นี่มันยังไม่จบดี


 


“ขอโทษที่มันเปราะเกินไปก็แล้วกันนะ แล้วก็ขอบคุณผลจากการทำลายของเจ้าข้าก็เลยต้องมาเหนื่อยเพิ่ม”


 


พอพูดจบ, ฉันก็ปิดรูที่เกิดขึ้น จากนั้นก็สร้างแนวกั้นทะเลแล้วเปิดรูเล็กๆข้างในเพื่อระบายน้ำออก


 


เอลน่าจ้องมาที่ฉันอย่างสงสัย


 


“นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”


 


“ศพของมังกรสามารถขายได้ในราคาสูง ยิ่งไปกว่านั้น, มันคือมังกรที่ถูกกำหนดเอาไว้ที่คลาส S เงินจากเจ้าตัวนี้น่าจะมากพอที่จะซ่อมแซมเมืองนี้ได้”


 


“อุ๊ย? ข้านึกว่าเจ้าจะเก็บเงินไว้ใช้เองเพราะเจ้าเอาชนะมันได้นะเนี่ย, ดูเหมือนว่าข้าจะคิดผิดสินะ”


 


“ปกติแล้ว, ศพของมอนส์เตอร์จะเป็นของคนที่เอาชนะมันได้แต่ครั้งนี้มันกรณีพิเศษ มันควรเอาไปใช้สำหรับซ่อมแซมเมืองที่ประสบภัยมากกว่า”


 


“อืมม…..ดูเหมือนภาพลักษณ์ของเจ้าในมุมมองของข้าจะดีขึ้นมานิดนึงนะ เจ้าเองก็คิดเรื่องแบบนั้นเป็นเหมือนกันนะเนี่ย”


 


“ข้าไม่เหมือนกับผู้กล้าบางคนที่รู้จักแค่วิธีเหวี่ยงดาบหรอก”


 


“ว่าไงนะ!?”


 


ไหล่ของเอลน่าสั่นด้วยความโกรธ


 


ในขณะนั้นเอง, ฉันก็ค่อยๆยกศพของลิเวียธานไปไว้ที่ซากท่าเรืออย่างนุ่มนวล


 


หลังจากนี้ถ้าฉันให้เอลน่าอธิบายความตั้งใจของฉันกับพวกเขาก็คงไม่เป็นไรแล้วหล่ะ


 


ตอนนี้, ฉันว่าคงถึงเวลากลับแล้วสินะ


 


“เอาหล่ะ, ถ้างั้นข้าขอตัวก่อนนะ”


 


“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ! เจ้ามีความสัมพันธ์ยังไงกับอัล!?”


 


“ความสัมพันธ์ยังไงหรอ?…. พวกเราก็เป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิดกัน พวกเราช่วยกันวางแผนแล้วก็เคลื่อนไหว นอกเหนือจากนี้, เจ้าต้องไปถามเขาด้วยตัวเอง ส่วนเขาจะยอมตอบรึเปล่านั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วหล่ะ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็บินไปทางปราสาทอัลบราโทรซึ่งอยู่ห่างออกไป


 


ฉันแค่นึกขึ้นมาได้ว่าฉันไม่สามารถกลับไปโดยทิ้งท่านพี่เทราเอาไว้ที่นั่นเพียงลำพังได้……


 


“ค, คุณเอวา….คุณช่วยมาเป็นแบบคนใหม่ของข้าให้หน่อยได้ไหมครับ!? และถ้าเป็นไปได้ช่วยปฏิบัติกับข้าเหมือนเป็นพี่ชายแล้วเรียกข้าว่าท่านพี่ทีนะครับ, ถ้าท่านยอมทำแบบนั้นผลงานของข้าจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน……!”


 


“อ…เอ่อ, คือว่า…..”


 


ช่างมันเถอะ, กลับเลยดีกว่า


 


ฉันยกเลิกความคิดที่จะพาท่านพี่เทรากลับแล้วเคลื่อนย้ายกลับไปที่ห้องของฉันในรอนดิเน่


 


ด้วยการเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว, ฉันก็ร่ายเวทย์ลวงตาใส่ชุดของซิลเวอร์แล้วเก็บใส่กระเป๋าสัมภาระของฉัน


 


หลังจากทำลายร่องรอยที่เชื่อมโยงฉันไปหาซิลเวอร์จนหมดแล้ว, ฉันก็ทิ้งตัวลงบนเตียง


 


“เห้อออ….ครั้งนี้เหนื่อยชะมัด….”


 


ฉันผลอยหลับไปในขณะที่พึมพำออกมาแบบนั้น


 


ฉันคิดว่าฉันลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไปแต่ฉันไม่มีกำลังหรือเรี่ยวแรงมากพอที่จะคิดอะไรอีกแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 50

 

“แบบนี้ไม่ได้แล้ว, ไม่ดีสุดๆ……..!”


 


มันผ่านมาได้สองสามวันแล้วหลังจากที่พวกเราเอาชนะมังกรทะเล


 


หลังจากที่พวกเขาติดต่อมาหาฉัน, ฉันก็ล่องเรือจากรอนดิเน่ไปที่ท่าของอัลบราโทร


 


อย่างไรก็ตาม, ฉันมีเรื่องบางอย่างที่รู้สึกกังวลใจสุดๆ


 


“เราลืมบอกเรื่องสำคัญแบบนี้กับหมอนั่นได้ยังไงกันนะ…….!”


 


ใช่แล้ว, ฉันลืมบอกเรื่องบางอย่างกับลีโอ


 


มันคือเรื่องที่ว่าเอวาตกหลุมรักเขา


 


ตอนนั้นมันมีปัญหาที่ต้องจัดการเยอะเกินไปฉันก็เลยลืมเรื่องส่วนตัวแบบนี้ไปซะสนิท


 


ถึงอย่างนั้นก็เถอะเขาคือลีโอนะเพราะฉะนั้นเขาน่าจะพอจัดการอะไรได้บ้างแต่นี่เป็นเรื่องของความรักระหว่างชายกับหญิง นี่อาจจะเป็นปัญหามากกว่าที่ฉันคิดก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น, เอวาก็เป็นเจ้าหญิงด้วย


 


เห็นได้ชัดว่าลิเวียธานปรากฎตัวขึ้นหลังจากที่กองเรือของรอนดิเน่มาถึงท่าได้ไม่นาน ซึ่งนี่ก็หมายความว่าลีโอกับเอวาไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกันในตอนนั้น อย่างไรก็ตาม, จนถึงตอนนี้มันผ่านมาได้สองสามวันแล้ว


 


จากนิสัยส่วนตัวของเอวานั้น, มันไม่มีทางหรอกที่เธอจะยังไม่รุก


 


“หวังว่าหมอนั่นจะหาวิธีรับมือได้นะ……..”


 


ด้วยความคิดนี้, ฉันก็ลงมาที่ท่าของราชรัฐอัลบราโทร  และเนื่องจากกำหนดเอาไว้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่, ฉันก็เลยแกล้งแสดงเหมือนกับว่าฉันกำลังสนใจไปทั่ว


 


หลังจากนั้น, ลีโอก็เดินเข้ามาให้การต้อนรับเขา


 


และข้างๆเขา,


 


“เอิ่มม?”


 


เอวากำลังพูดคุยกับลีโออย่างสนุกสนาน


 


อะไรเนี่ย? เกิดอะไรขึ้นที่นี่?


 


ทำไมสองคนนี้ถึงดูเข้ากันได้ดีแบบนี้หล่ะ? ได้ยังไงกัน?


 


หรือว่าจะเป็นไอ้นั่น? ลีโอคิดว่าผู้หญิงมักจะชอบตามติดเขาเป็นปกติอยู่แล้วรึเปล่า?


 


ถ้าฉันตีความว่าลีโอสามารถตอบรับการรุกของเอวาได้อย่างเป็นธรรมชาติคงไม่ผิดใช่ไหม? เจ้าหมอนี่คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติแค่เพราะตัวเองหล่อใช่ไหม?


 


ในขณะที่ฉันกำลังสั่นสะพรึงกับไหวพริบของน้องชาย, เอวาก็เข้ามาทักทายฉัน


 


“เป็นเกียรติที่ได้พบค่ะ, องค์ชายอาร์โนลด์ ข้าคือเจ้าหญิงลำดับหนึ่งของอัลบราโทร, เอวาเจริน่า เดอ อัลบราโทรค่ะ พ่อของข้ากำลังยุ่งอยู่ข้าก็เลยมาให้การต้อนรับท่านแทนเขา ถ้าไม่สะดวกจะเรียกข้าว่าเอวาเฉยๆก็ได้ค่ะ”


 


“อ้ะ, อ่า, ยินดีที่ได้รู้จักนะ……”


 


“ข้าเองก็ดีใจที่ท่านพี่มาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่เยอะเลยแหล่ะแต่ว่าท่านพี่อยากจะพักผ่อนก่อนรึเปล่า?”


 


“ก็ดีเหมือนกัน…..ข้ากำลังรู้สึกตกใจนิดหน่อย…..”


 


พอพูดจบ, ฉันก็มุ่งหน้าไปยังรถม้าที่พวกเขาเตรียมเอาไว้ให้


 


เห็นได้ชัดเลยว่า, เอวากับลีโอนั้นมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำหลังจากนี้และออกไปที่ไหนซักแห่ง


 


อา, น่าเศร้าชะมัด


 


“น้องชายของเราเสียความบริสุทธิซะแล้ว……”


 


“องค์ชายกำลังพูดเรื่องอะไรหรอครับ?”


 


“อ้าว, มาร์คเองหรอ ได้ยินข้าด้วยหรอเนี่ย……ลีโอกลายเป็นเสือผู้หญิงซะแล้วสิ…..”


 


“ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าท่านสรุปไปแบบนั้นได้ยังไงแต่ถ้าข้าจำไม่ผิด, องค์ชายเองไม่ใช่หรอครับที่เป็นคนทำให้องค์หญิงเอวาตกหลุมรักเขา?”


 


“หืมม? เจ้าสังเกตเห็นด้วยหรอ?”


 


“ไม่ว่าใครก็มองออกทั้งนั้นแหล่ะครับ เธอมาถามพวกอัศวินเกี่ยวกับเรื่องของท่านและสีหน้าของเธอก็แสดงอาการของเด็กสาวที่กำลังตกหลุมรักซะขนาดนั้น”


 


“เข้าใจหล่ะ มันคงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายจริงๆแหล่ะนะ”


 


แบบนี้ก็แสดงว่า,


 


ฉันจ้องไปที่มาร์คด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“ครับ ข้าเป็นคนบอกองค์ชายลีโอนาร์ดเอง”


 


“โอ้, เจ้าก็มีความสามารถไม่เบาเลยนะเนี่ย?”


 


“นี่ท่านคิดว่าข้าเป็นคนไร้ความสามารถหรอครับ?”


 


“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก งั้นหรอ, เข้าใจหล่ะ, เข้าใจหล่ะ เจ้าช่วยข้าเอาไว้จริงๆ…..นี่มันช่วยทำให้ข้าโล่งใจสุดๆ”


 


“ข้าเองก็ดีใจที่สามารถช่วยท่านได้ครับ แต่เรื่องถัดจากนี้เป็นเรื่องที่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้เพราะฉะนั้นข้าจึงรู้สึกดีใจที่สามารถช่วยผ่อนคลายความเครียดขององค์ชายได้ด้วยเรื่องนี้”


 


พอพูดจบ, มาร์คก็เปิดประตูรถม้า


 


ข้างในนั้นมีเอลน่าที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดอยู่


 


เป็นเวลาพักนึง, ที่ฉันเริ่มคิดอยากจะหนีแต่เนื่องจากไม่มีโอกาสที่ฉันจะหนีจากเธอได้ถ้าไม่ใช่เวทย์เคลื่อนย้ายฉันจึงยอมถอดใจ


 


“….มาร์ค ตอนนี้ข้ามีเรื่องให้กังวลกว่าเดิมแล้วหล่ะ”


 


“เรื่องอะไรหรอครับ?”


 


“ฟังข้าให้ดีๆแล้วจงตกใจซะ ตอนนี้ชีวิตของข้ากำลังตกอยู่ในอันตราย”


 


“ก็ปกตินี่ครับ ถ้าชีวิตขององค์ชายตกอยู่ในอันตรายข้าก็จะช่วยเหลือท่านอีกครั้งเพราะฉะนั้นวางใจได้ครับ”


 


“มันแปลกไม่ใช่รึไงที่เจ้ามองว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ!? ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าเกิดข้าถูกฆ่าตายในทันทีเจ้าก็คงช่วยไม่ได้ไม่ใช่หรอ!?”


 


“ไม่เป็นไรหรอกครับ เธอจะค่อยเป็นค่อยไปกับท่าน”


 


พอพูดจบ, มาร์คก็ผลักหลังของฉัน


 


และโดยที่ไม่สามารถต่อต้านได้, ฉันก็ถูกผลักเข้ามาข้างในรถม้าและถูกทิ้งเอาไว้ให้อยู่กับเอลน่า


 


“……ง, ไง……..”


 


“………”


 


เอลน่ายังคงเงียบอยู่


 


ดูเหมือนว่าเธอจะโกรธจริงๆสินะ


 


ฉันรู้ว่าทำไม มันน่าจะเป็นเพราะฉันไปบอกซิลเวอร์เกี่ยวกับจุดอ่อนของเธอ


 


ในขณะที่ถูกจ้องเงียบๆแบบนี้, ฉันก็นั่งลงข้างหน้าเธอด้วยความรู้สึกอึดอัด


 


จากสิ่งที่ฉันเห็น, ดูเหมือนว่าจะมีบาเรียป้องกันเสียงอยู่รอบตัวพวกเราด้วย บาเรียนี้มักจะถูกนำมาใช้ในตอนที่ต้องการพูดคุยเรื่องส่วนตัว


 


ในขณะที่ฉันกำลังคิดว่านี่ต้องเป็นการพูดคุยที่ยาวนานแน่ๆ, เอลน่าก็ปริปากพูด


 


“มีอะไรจะพูดรึเปล่า?”


 


“อ่า เอ่ออ, เจ้าได้รับบาดเจ็บรึเปล่า?”


 


“!? มะ, ไม่มีทางที่ข้าจะได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว! นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน!?”


 


เอลน่าตะโกนด้วยสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย, และดูเหมือน่วาเธอจะคิดไม่ถึงว่าฉันจะตอบแบบนี้เธอจึงพึมพำออกมา


 


“อยากจะบ้าตายจริงๆ…..”


 


“แม้แต่เจ้าก็บาดเจ็บได้เหมือนกันไม่ใช่รึไง? แน่นอนว่า, โอกาสมันน้อยมากๆถ้าเจ้าต่อสู้กับคนธรรมดาแต่ครั้งนี้สนามต่อสู้หลักมันอยู่ในทะเลไม่ใช่หรอ? เพราะแบบนี้แหล่ะข้าถึงเป็นห่วง ข้าอาจจะยุ่มย่ามไปหน่อยแต่ข้าก็ขอให้ซิลเวอร์ช่วยดูแลเจ้า ถ้าเจ้าไม่ชอบแบบนั้นข้าก็ขอโทษด้วยแล้วกัน ขอโทษนะ, แต่คนๆเดียวที่จะเป็นห่วงเจ้าก็มีแค่ข้าเท่านั้น, ถูกไหม? เจ้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กคนสำคัญเพราะฉะนั้นอย่างน้อยก็ขอให้ข้าได้เป็นห่วงเจ้าเถอะ”


 


“….อะไรกันเล่า…..แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย…..ถ้าตอนนี้ข้าโกรธเจ้า, มันก็ดูเหมือนข้าทำตัวขี้โมโหไม่ใช่หรอ”


 


“ไม่หรอก, เจ้าก็ขี้โมโหอยู่แล้วไม่ใช่หรอ หลังจากที่ผ่านมาถึงขนาดนี้เจ้าจะมาพูดอะไรอีก”


 


“อัล~? ถ้าเจ้าพูดอะไรไม่เข้าเรื่องเจ้าจะโดนตัดลิ้นนะรู้ไหม~?”


 


“ครับคุณผู้หญิง…..ข้าจะไม่พูดอะไรไม่เข้าเรื่องอีกแล้วครับ……”


 


เอลน่าดึงดาบออกมาเล็กน้อยแล้วขู่ฉันด้วยรอยยิ้ม


 


อำนาจการขู่ของเธอนั้นเหมือนกับมังกรคำรามเลย, ใครก็ตามที่จิตอ่อนคงจะหมดสติไปอย่างแน่นอนถ้าพวกเขาต้องมาเผชิญหน้ากับเอลน่าในสภาพนี้


 


อย่างไรก็ตาม, ตรงข้ามกับฉันที่กำลังหวาดกลัวอยู่, เอลน่ากลับมีรอยยิ้มที่สดใสอยู่บนหน้า นี่มันอะไรกันเธอหน้าบึ้งมาตลอดตั้งแต่ตอนที่ฉันขึ้นรถม้ามาแท้ๆ


 


ตอนนี้เธอดูเหมือนกำลังอารมณ์ดีอยู่เลย


 


“เอาเถอะช่างมันแล้วกัน ข้าจะปล่อยวางเรื่องที่เจ้าบอกนักผจญภัยสวมหน้ากากนั่นเกี่ยวกับจุดอ่อนของข้า แต่รู้รึเปล่าว่าข้าไม่ได้หงุดหงิดเรื่องนั้นหรอก? เจ้ารู้ไหมว่าข้าอยากจะพูดอะไร?”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็จ้องตรงมาที่ฉัน


 


เธออาจจะขู่ฉันมาจนถึงตอนนี้แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังขุ่นเคืองอยู่ อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว


 


ด้วยการรับความหงุดหงิดและสายตาที่ไม่ค่อยพอใจของเธอ, ฉันก็ถอนหายใจออกมา


 


“ซิลเวอร์บอกเจ้าไปแค่ไหน?”


 


“เขาบอกว่าเจ้ากับเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกัน และเนื่องจากเจ้ายอมบอกเขาเกี่ยวกับจุดอ่อนของข้า, ก็แสดงว่าเจ้าต้องไว้ใจเขาในระดับนึงใช่ไหม? นี่พวกเจ้ากำลังวางแผนทำอะไรกันอยู่?”


 


“…..ข้าต้องพูดจริงๆหรอ?”


 


“ใช่, ต้องพูด ถ้าเจ้าไม่ยอมพูดข้าจะโยนเจ้าออกจากรถม้าคันนี้”


 


“งั้นหรอ……แบบนั้นก็คงช่วยไม่ได้หล่ะนะ……ข้ากับซิลเวอร์มีเป้าหมายเดียวกันนั่นก็คือการทำให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิและพวกเราก็กำลังเคลื่อนไหวอยู่หลังฉากเพื่อเป้าหมายนี้”


 


“หลังฉากหรอ…….?”


 


“ใช่, มันก็เหมือนการเคลื่อนไหวอย่างหลบๆซ่อนๆที่เจ้าเกลียดนั่นแหล่ะ ข้าใช้สถานะของตัวเองในฐานะราชวงศ์ในขณะที่เขาใช้สถานะของตัวเองในฐานะนักผจญภัยแรงค์ SS ในบางโอกาสพวกเราจะใช้มันเพื่อเพิ่มพันธมิตรของพวกเราโดยทำให้เหมือนกับว่าการเจอพวกเรานั้นเป็นเรื่องบังเอิญ พวกเราได้ตัวดยุคไคลเนลต์มาก็ด้วยวิธีนี้เหมือนกัน”


 


เอลน่ารู้ว่าฉันพยายามทำให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิอยู่


 


แน่นอน, เธอรู้ว่าพวกเรากำลังต่อสู้กับขุมอำนาจอีกสามกลุ่มที่เหลือด้วย


 


อย่างไรก็ตาม, เธอคิดว่าฉันแค่ทำหน้าที่เหมือนผู้ช่วยของลีโอ


 


นอกจากเรื่องนั้น, เอลน่าคงไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าฉันกำลังเคลื่อนไหวอยู่หลังฉากด้วยความช่วยเหลือของนักผจญแรงค์ SS ตอนนี้, เอลน่าถึงกับพูดไม่ออก


 


“ข้าได้ติดต่อกับซิลเวอร์ในตอนที่แวมไพร์โจมตีพวกเราที่ฝั่งตะวันออกด้วย ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขากำลังเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนลีโออยู่ แต่ถ้าลีโอติดต่อกับซิลเวอร์โดยตรงมันจะดูเด่นเกินไปหน่อย ดังนั้นบทบาทของข้าก็คือการปกปิดความสัมพันธ์นี้”


 


“…..ลีโอรู้เรื่องนี้รึเปล่า?”


 


“ข้าบอกเขาไปแล้วแต่เขาไม่ได้รู้เรื่องการเคลื่อนไหวหลังฉากที่พวกเราทำ อันที่จริงครั้งนี้ซิลเวอร์อยู่ทางใต้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็ขอให้เขากลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิเพื่อใช้เรื่องนี้เป็นข้อได้เปรียบของพวกเราในสงครามผู้สืบทอด เขาทำการติดต่อกับฟีเน่และหยุดอีกสามคนที่เหลือไม่ให้เอากองทัพจักรวรรดิเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, ข้าให้ความสำคัญกับสงครามผู้สืบทอดมาก่อนประชาชนมากมายที่ต้องเสียสละชีวิตของตัวเองในครั้งนี้”


 


“…..เจ้าทำแบบนี้ก็เพื่อเอาชีวิตรอดใช่ไหม? นี่เจ้า…..คิดจริงๆหรอว่าพวกพี่ๆของเจ้าจะฆ่าเจ้ากับลีโอจริงๆ?”


 


นี่คือการยืนยันครั้งสุดท้ายของเอลน่า


 


ฉันเคยบอกเรื่องนี้กับเอลน่าไปแล้วแต่มันก็ยังมีความสงสัยอยู่ในใจเธอ เกี่ยวกับความจริงที่ว่าฉันเกือบถูกลอบสังหารนั้น, มันยังมีความสงสัยอยู่ในใจเธอที่ทำให้เธอคิดว่ามันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเอาชีวิตของฉัน เธอคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่การทำเพื่อขู่ฉันก็ได้


 


อย่างน้อยที่สุดนี่ก็คือความคิดของเธอในตอนที่เธออยู่กับพวกเรา หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, มันไม่มีเรื่องแบบนั้นในตอนที่มงกุฎราชกุมารยังมีชีวิตอยู่


 


เอริคตั้งใจทำงานเคียงคู่กับมงกุฎราชกุมาร, เขาไม่ได้เป็นพี่ชายที่จะพิจารณาเรื่องการฆ่าใครได้ กอร์ดอนเป็นคนที่ซื่อสัตย์, นักรบที่ซื่อตรง และซานดร้าเองก็พยายามอย่างหนักในฐานะนักเวทย์


 


ใช่แล้ว ตอนนั้นมีแต่ความสงบสุข


 


อย่างไรก็ตาม, บัลลังก์ก็ว่างลงในตอนที่มงกุฎราชกุมารตาย ความทะเยอทะยานของทั้งสามคนที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยฝาครอบขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่ามงกุฎราชกุมารได้เอ่อล้นออกมา


 


หลังจากหลายปีของการต่อสู้กันเอง, พวกเขาทุกคนก็สูญเสียความใจดีของตัวเองไป


 


ฉันสามารถยืนยันได้เลย


 


“พวกเขาจะฆ่าทั้งข้าแล้วก็ลีโออย่างแน่นอน รวมถึงทุกคนที่อยู่รอบตัวพวกเราด้วย….นี่คือสาเหตุที่ไม่ว่าจะต้องทำอะไร, ข้าก็จะทำให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิ ข้าบอกเจ้าไปตั้งแต่ตอนงานเทศกาลแล้วไม่ใช่หรอ? อย่าเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เจ้าเกือบจะข้ามเส้นกั้นที่อันตรายมาแล้วนะ ถ้าเจ้าช่วยพวกเรามากไปกว่านี้อีกบ้านแอมส์เบิร์กก็จะถูกพวกเขามองเป็นศัตรูด้วย เจ้าจะโอเคกับเรื่องนั้นจริงๆหรอ?”


 


“…..บ้านแอมส์เบิร์กจะไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้……ข้าถูกสอนมาตั้งแต่ยังเด็กว่าพวกเรามีชีวิตอยู่ในฐานะดาบเท่านั้น”


 


“ใช่แล้ว คิดแบบนั้นฉลาดที่สุด ไม่ว่ายังไง, บ้านผู้กล้าหาญก็แข็งแกร่งเกินไป”


 


“แต่…..ข้าตัดสินใจแล้วแหล่ะ, อัล นี่คือสิ่งที่ข้าตัดสินใจว่าจะไม่ยอมละทิ้งมาตั้งนานแล้ว”


 


“ตัดสินใจอะไร?”


 


เอลน่าสูดหายใจเข้าลึกๆ


 


ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังจะพูดเรื่องที่ฟังดูอุกอาจออกมา


 


แต่ฉันไม่สามารถห้ามเธอได้


 


ฉันไม่เคยห้ามเธอได้มาตั้งนานแล้ว


 


“ข้าจะไม่ทิ้งอัล ข้าสาบานในเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ข้าจะไม่มีวันทำลายคำมั่นนี้ต่อให้ข้าต้องเป็นปฏิปักษ์กับองค์จักรพรรดิก็ตาม ถ้าเจ้าอยากให้ลีโอนั่งบนบัลลังก์จริงๆข้าก็จะขอร่วมมือกับเจ้าด้วย ถ้าเจ้ายอมทำทุกอย่างข้าเองก็จะยอมเหมือนกัน ถ้าตระกูลของข้าเข้ามาขัดขวาง, ข้าก็ไม่หวั่นที่จะต้องทิ้งนามสกุลของตัวเองไป สำหรับข้าแล้วคำมั่นสัญญานี้สำคัญเกินกว่าสิ่งอื่นใดทั้งนั้น”


 


“….เจ้าหมดคุณสมบัติในฐานะอัศวินหลวงแล้วนะรู้รึเปล่า ต่อให้เจ้าไม่ได้เป็นนายหญิงแห่งบ้านผู้กล้าหาญแล้วเจ้าก็จะไม่เป็นไรจริงๆหน่ะหรอ?”


 


“ข้าค่อนข้างดื้อนะ เจ้าก็น่าจะรู้นี่?”


 


“ก็รู้อยู่หรอก…..เอาจริงๆ, ข้าก็รู้สึกขอบคุณอยู่ที่เจ้ายอมร่วมมือกับพวกเราถึงขนาดนี้แต่ข้าอยากให้เจ้าอยู่สงบๆต่อไปอีกสักพัก ถ้าบ้านผู้กล้าหาญแสดงตัวว่าอยู่ฝั่งเราอย่างเปิดเผย, ขุมอำนาจของเราก็จะจบลงที่การกลายเป็นขุมอำนาจที่โดดเด่นที่สุด และถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆอีกสามฝ่ายที่เหลือจะต้องโจมตีพวกเราจนสุดตัวอย่างแน่นอน”


 


“ไอ้นั่นข้าก็พอเข้าใจอยู่หรอก ข้าจะร่วมมือกับเจ้าในขณะที่คอยระวังไม่ให้ถูกจับได้ก็แล้วกัน”


 


“สำหรับเจ้าคงไม่ไหวหรอกมั้ง”


 


“อย่าทำเหมือนกับข้าเป็นคนโง่นะ! ข้าสามารถทำได้ดีเลยหล่ะรู้เอาไว้ด้วย!”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ยืดอกขึ้น


 


ไม่ว่าฉันจะมองยังไง, มันก็ดูไม่น่าเชื่อเลย


 


แต่ช่างมันเถอะ


 


เอลน่าคือดาบ, มันขึ้นอยู่กับว่าคนที่ถือครองเธอนั้นใช้งานเธอได้ดีแค่ไหน


 


“เอาหล่ะ! ในที่สุดก็รู้สึกโล่งซักที! ถ้าในเมื่อตัดสินใจแล้วก็มาพยายามให้เต็มที่แล้วกันนะ”


 


“ข้าพึ่งบอกให้เจ้าอยู่สงบๆเองนะ…….”


 


“กระตือรือร้นซักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกหน่า อ้ะ, ใช่แล้ว ในเมื่อข้าร่วมมือกับเจ้าแล้วเจ้าก็ห้ามมีความลับกับข้านะโอเคไหม เจ้าไม่มีอะไรปกปิดข้าแล้วใช่รึเปล่า? ถ้ามีก็พูดออกมาให้หมดซะตั้งแต่ตอนนี้แล้วข้าจะยอมยกโทษให้”


 


“อืมม….อ้ะจริงด้วย ข้าเคยเอาไข่มุกให้เจ้าในตอนที่ได้เป็นอัศวินหลวงใช่ไหม?”


 


“ก็ใช่อยู่หรอก, เจ้าตามหาไปทั่วทุกที่เพื่อซื้อมันมาให้ข้าใช่ไหม?”


 


“อันที่จริง, เพราะมันดูวุ่นวายข้าก็เลยให้ลีโอไปซื้อมันให้ข้—ห เหวอออ!?”


 


“เลวที่สุด!”


 


พอถูกต่อยเข้าที่ท้อง, ฉันนอนหมดสภาพอยู่ข้างในรถม้า


 


ไหนบอกว่าจะยกโทษให้ไง………


 


ฉันพูดคำพวกนั้นออกมาไม่ได้


 


ในขณะที่กำลังแสดงใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด, ฉันก็รู้สึกโล่งอกที่สามารถปกปิดส่วนที่สำคัญจากเธอได้


 


ฉันสามารถปกปิดความจริงที่ว่าซิลเวอร์กับฉันเป็นคนๆเดียวกันเอาไว้ได้และได้เธอมาร่วมมือด้วยอย่างเต็มตัว

 

 

 


ตอนที่ 51

 

เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน


 


ในตอนนั้น, จักรวรรดิกำลังทำสงครามกับจักรวรรดิเพเลอริน


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, จักรวรรด์โซคัลทางตะวันออกก็ได้บุกรุกและทำลายประเทศของคนแคระที่ตั้งอยู่ติดกับจักรวรรดิอาเดรเซีย


 


คนแคระหลายคนได้หนีเข้ามาอยู่ในจักรวรรดิและราชวงศ์บางส่วนของพวกเขาก็อยู่ภายใต้การคุ้มครองของจักรวรรดิ อย่างไรก็ตาม, จุดมุ่งหมายของจักรวรรดิโซคัลนั้นไม่ใช่เงินทองที่พวกคนแคระสั่งสมเอาไว้แต่เป็นทักษะการตีเหล็กของพวกเขาดังนั้นจักรวรรดิโซคัลจึงออกคำเตือนมาให้จักรวรรดิอยู่หลายครั้ง


 


ซึ่งการตอบสนองของจักรวรรดิก็คือ [มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะกีดกั้นการอพยพอย่างเด็ดขาด] แต่ถึงกระนั้นจักรพรรดิของจักรวรรดิโซคัลก็หมดความอดทนและส่งลูกชายของเขามาที่จักรวรรดิในฐานะทูต


 


“นี่มันค่อนข้างจะเป็นปัญหานะครับเนี่ย”


 


“สุดๆเลยหล่ะ”


 


จักรพรรดิโยฮันเนสพยักหน้าให้กับคำพูดของฟรานซ์, นายกรัฐมนตรีของเขา


 


สามประเทศที่เป็นมหาอำนาจของทวีปนี้มีจักรวรรดิอาเดรเซีย, จักรวรรดิเพเลอริน, และจักรวรรดิโซคัล ในด้านภูมิศาสตร์นั้นอาเดรเซียถูกประกบอยู่ตรงกลางของทั้งสองประเทศนี้


 


การไปมีเรื่องขัดแย้งกับจักรวรรดิโซคัลในขณะที่พวกเขาทำสงครามกับเพเลอรินอยู่นั้นเป็นสิ่งที่จักรวรรดิอยากจะหลีกเลี่ยงมากที่สุด


 


“ถ้าพวกเรายกเลิกการคุ้มครองพวกคนแคระ, กึ่งมนุษย์ที่อยู่ทั่วทวีปก็จะกลายเป็นศัตรูของพวกเรา แน่นอนว่า, นี่รวมถึงกึ่งมนุษย์ที่อาศัยอนู่ในจักรวรรดิของเราด้วย และถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราก็จะไม่สามารถทำสงครามกับประเทศอื่นได้อีกต่อไป”


 


“แสดงว่าพวกเราต้องเลือกสินะว่าจะเป็นศัตรูกับจักรวรรดิโซคัลหรือพวกกึ่งมนุษย์”


 


“มันก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอกครับ ถ้าพวกเราส่งเทคนิคของคนแคระไปให้สถานการณ์น่าจะสงบลงซักพักนึง”


 


“แล้วพวกเราควรส่งอะไรให้หล่ะ?”


 


“จักรวรรดิโซคัลมีจุดเด่นอยู่ที่พลังเวทย์ แต่ว่า, พวกเขามีปัญหาในการผลิตอัญมณีที่ไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนาอุปกรณ์เวทมนตร์ของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกอัญมณีขนาดใหญ่ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาอาวุธเวทมนตร์, พวกเขากำลังขาดแคลนอย่างรุนแรง”


 


คำจำกัดความโดยทั่วไปสำหรับอัญมณีก็คือแร่ที่มีความสามารถในการกักเก็บพลังเวทย์ ด้วยคุณสมบัติในการกักเก็บพลังเวทย์นี้เอง, มันคือวัตถุดิบอันล้ำค่าที่สามารถใช้ซ้ำได้ต่อให้ใช้พลังเวทย์ที่อยู่ข้างในไปจนหมดแล้วก็ตาม


 


โดยปริมาณของพลังเวทย์ที่สามารถกักเก็บได้นั้นแตกต่างกันไปตามขนาดของอัญมณี ยิ่งอัญมณีชิ้นใหญ่เท่าไหร่, ก็ยิ่งมีพื้นที่กักเก็บมากเท่านั้น


 


“เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าควรส่งมันให้กับพวกนั้นสินะ? ไม่ชอบใจเอาซะเลย นี่พวกเราต้องแสดงท่าที่อ่อนแอแบบนี้กับพวกนั้นจริงๆหน่ะหรอ? พวกเราทำได้แค่ให้ที่หลบภัยกับพวกที่หนีมาจากเจ้าพวกนั้นใช่ไหม?”


 


“ครับ พวกเราต้องหลีกเลี่ยงการปะทะจากศัตรูทั้งสองด้าน แต่ก็ถือว่ายังโชคดีนะครับ, ที่ประเทศของเราไม่ได้มีปัญหาในเรื่องการผลิตอัญมณี ด้วยเหตุนี้เอง, การให้สิ่งที่พวกนั้นต้องการเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามนั้นจึงถือเป็นราคาที่ถูกมาก มันไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังจะส่งเหมืองของเราให้กับพวกนั้นเพราะฉะนั้นมันจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับประเทศของเราครับ”


 


เป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว, ที่จักรวรรดิโซคัลขุดเหมืองอัญมณีข้างในดินแดนของพวกเขาเพื่อนำมาพัฒนาอุปกรณ์เวทมนตร์ซึ่งนี่ก็ส่งผลให้, ปริมาณอัญมณีที่ขุดได้ลดลงปีต่อปี


 


ในอีกด้านนึง, จักรวรรดินั้นไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การทำเหมืองอัญมณีและยังมีเหมืองแร่ชั้นยอดอยู่ในการครอบครอง ด้วยสองปัจจัยนี้เองจักรวรรดิจึงไม่มีปัญหากับการจัดหาอัญมณี


 


“ป้อนข้าวให้สัตว์มันกินจะได้เงียบๆไปสินะ ก็ได้, ข้าเองก็ไม่อยากจะผลักภาระให้กับกองทัพของเราอีกแล้ว”


 


“ใช่แล้วครับ ตอนนี้ส่งอัญมณีขนาดใหญ่ให้พวกนั้นเพื่อทำให้สงบลงก่อนจะดีกว่า แนวหน้าทางฝั่งตะวันตกเองก็มีแนวโน้มว่าจะรุกเข้าไปต่อไม่ได้แล้วด้วย, บางทีการพักรบในช่วงนี้ก็ถือเป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะครับ”


 


“เอาแบบนั้นก็ได้ ถึงยังไงพวกเราก็เป็นฝ่ายเหนือกว่าอยู่แล้ว ทางฝั่งนั้นเองก็คงจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของเรา”


 


จากนั้น, โยฮันเนสกับฟรานซ์ก็จบการสนทนา


 


….


 


วันนี้คือวันส่งมอบ, ฟรานซ์ได้เตรียมอัญมณีชิ้นใหญ่รอเอาไว้และมุ่งหน้าไปให้การต้อนรับทูต


 


และในวันนี้เองก็มีเด็กสาวคนนึงมาเยี่ยมที่ปราสาทด้วย


 


เด็กสาวคนนี้มีผมสีซากุระ, ซึ่งเธอก็คือเอลน่าในวัยหกขวบนั่นเอง


 


ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่เต็มเปี่ยม, ผนวกกับเวลาว่างที่มากเกินไปเนื่องจากพ่อของเธอกำลังพูดคุยกับคนอื่นอยู่, เอลน่าจึงเดินเล่นไปตามเส้นทางของตัวเอง


 


“อ้าว?”


 


ในตอนที่เธอรู้สึกตัว, เอลน่าก็มาอยู่ในที่ที่ไม่รู้จักเข้าซะแล้ว


 


เธอลองมองไปรอบๆแต่ก็ไม่มีอะไรที่เธอจำได้เลย


 


เอาเถอะ, ถึงยังไงก็ยังอยู่ในปราสาทหล่ะนะ, ด้วยความคิดเช่นนี้, เอลน่าก็เดินต่อเพื่อมองหาใครซักคนที่เธอสามารถถามทางได้


 


ในตอนนั้นเอง, เธอก็เจอช่องเล็กๆข้างในกำแพงปราสาท มันมีขนาดใหญ่พอที่จะให้เด็กตัวเล็กๆลอดผ่านได้


 


ด้วยความที่มันถูกซ่อนอยู่ข้างหลังพุ่มไม้, มันจึงดูเหมือนกับทางระบายอากาศแต่ว่ามันกลับมีการบำรุงรักษาที่ดีราวกับว่ามันเป็นทางเข้าฐานลับ


 


ความสงสัยของเธอผุดขึ้นมา, เอลน่าคลานลงไปแล้วมุดเข้าไปในช่องนั้น


 


หลังจากผ่านช่องมืดๆไปได้ซักพัก, เธอก็มาถึงห้องมืดๆแห่งนึง


 


มันคือห้องปิดตายที่ได้รับความสว่างจากแสงสลัวๆซึ่งเอลน่าก็รู้สึกตัวได้ในเวลาไม่นานว่าเธอกำลังยืนอยู่ในคลังสมบัติ


 


“เหวออ……”


 


สถานที่แห่งนี้ใหญ่กว่าคลังสมบัติที่บ้านผู้กล้าหาญซะอีกแถมยังมีสมบัติอยู่เต็มเลยด้วย


 


จากนั้นเอลน่าก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง


 


“ดาบเวทมนตร์นี่หน่า!”


 


ดาบเวทมนตร์เป็นอาวุธที่สามารถปล่อยพลังเวทย์อย่างไฟหรือลมออกมาได้


 


นอกจากนี้, สิ่งที่วางอยู่ข้างในกล่องสมบัตินั้นไม่ใช่ดาบเวทมนตร์ที่ดูทันสมัยแต่เป็นดาบโบราณ


 


เอลน่าหยิบมันขึ้นมาด้วยมือข้างนึงแล้วชักมันออกจากฝัก


 


จากนั้นเอลน่าก็หลงไหลในประกายและความคมของมันแล้วเธอก็ลองเหวี่ยงมันไปรอบๆอยู่หลายครั้ง


 


“อื้มม! เป็นดาบที่ดีใช้ได้เลยนะเนี่ย!”


 


ดาบเล่มนี้ยาวเกินกว่าที่เด็กตัวเล็กๆอย่างเอลน่าจะถือไหวแต่ว่าเธอนั้นเป็นสมาชิกของบ้านผู้กล้าหาญ เธอสามารถควบคุมมันได้อย่างง่ายดายด้วยสมรรถภาพร่างกายของตัวเอง


 


ด้วยความรู้สึกถูกใจในความยอดเยี่ยมของดาบ, เอลน่าก็เริ่มทดสอบมันด้วยการลองกระบวนดาบของเธอ


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ามันจะเป็นคลังสมบัติที่ใหญ่โต, แต่จะเกิดอะไรขึ้นหล่ะถ้ามีคนทำอะไรรุนแรงข้างในสถานที่ที่มีสมบัติล้ำค่ามากมายขนาดนี้?


 


เอลน่าที่เพลิดเพลินกับการทดสอบดาบใหม่นั้นไม่ได้คิดถึงจุดนั้นเลย


 


“อ้ะ…..”


 


ดาบเหวี่ยงไปด้านข้างแล้วฟันเข้ากับกล่องใบนึงที่ถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้า


 


กล่องใบนั้นถูกผ่าครึ่งด้วยการฟันที่คมกริบของเอลน่า ยิ่งไปกว่านั้น, พลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาจากกล่องยังทำลายอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ช่วยให้ความสว่างกับคลังสมบัติและแสงก็หายไป


 


ในความมืดมิด, เอลน่าได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้นและหัวใจของเธอก็เริ่มเย็นวาบ หลังจากนั้นซักพัก, สายตาของเอลน่าก็เริ่มปรับเข้ากับความมืด


 


ด้วยการจ้องเข้าไปในกล่อง, เธอก็เห็นอัญมณีชิ้นใหญ่ถูกผ่าเป็นสองส่วน, ขนาดของมันนั้นใหญ่กว่าศรีษะของมนุษย์ซะอีก


 


นี่เราฟันโดนอะไรบางอย่างในคลังสมบัติอย่างนั้นหรอ


 


ในตอนที่เอลน่ารู้สึกตัวเธอก็เริ่มหวั่นวิตก, เธอพยายามจะประกอบมันกลับเข้าด้วยกันแต่ว่ามันก็ถูกตัดอย่างดีและไม่มีทางซ่อมได้แล้วด้วย


 


หลังจากนั้นซักพัก, เอลน่าก็เริ่มร้องไห้เพราะความรู้สึกสิ้นหวังและกังวล


 


“ฮ…ฮืออ…..ฮือออ……ท่านพ่อคะ—……”


 


“หืม? มีใครอยู่ข้างในนั้นด้วยหรอ? เหวอ, ทำไมถึงมืดขนาดนี้เนี่ย”


 


ในตอนนั้นเอง, ก็มีเด็กชายคนนึงมุดผ่านช่องที่เธอเข้ามา


 


ผมสีดำและดวงตาสีดำ เขาคืออาร์โนลด์ตอนอายุเจ็ดขวบ


 


อัลรู้สึกประหลาดใจเพราะมีแขกอยู่ในสถานที่ที่เขามักจะใช้เป็นที่ซ่อนส่วนตัวและข้างในที่มืดสนิทกว่าที่ควรจะเป็น แต่ว่าในเวลาไม่นานเขาก็สังเกตเห็นเด็กสาวกำลังร้องไห้อยู่


 


“นี่เจ้ากำลังร้องไห้อยู่หรอ?”


 


“ฮือ…กระซิกๆ……”


 


อัลที่มองไม่เห็นเพราะความมืดไม่รู้ว่าเด็กสาวที่กำลังร้องไห้อยู่ข้างในคลังนั้นเป็นใคร


 


เขารู้แค่ว่าเป็นเด็กสาวที่มีอายุพอๆกับเขา


 


อัลคลำไปรอบๆเพื่อเดินไปข้างหน้าแต่ไม่นานนักเขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างเสียหาย


 


“ค่อนข้างมีประกายงั้นหรือ….หรือว่านี่จะเป็นอัญมณีที่เราได้ยินมา”


 


“อ, อัญมณีหรอ…..?”


 


“ใช่ ดูเหมือนว่ามันจะถูกเตรียมไว้เป็นของขวัญให้กับทูตที่จะมาในวันนี้”


 


“ท…ทูตหรอ…..? ฮึ, ฮืออ…!”


 


“โถ่! อย่าร้องไห้สิ! เดี๋ยวข้าหาทางทำอะไรซักอย่างเอง”


 


ที่เขาพูดออกมาแบบนี้ก็เพื่อทำให้เด็กสาวใจเย็นลง


 


อันที่จริงแล้วเขาคิดแค่ว่ามันจะเป็นปัญหาเอาได้ถ้าเด็กสาวร้องไห้ไปมากกว่านี้


 


อย่างไรก็ตาม, สถานการณ์มันได้ถึงจุดที่เลวร้ายที่สุดแล้ว


 


“ทางนี้ครับ, ท่านทูต”


 


มันคือเสียงของจักรพรรดิ


 


อัลหวั่นวิตกไปพักนึงแต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ในทันทีแล้วส่งเอลน่าไปที่ช่อง


 


“เร็วเข้ารีบเข้าไปข้างในแล้วหนีไปซะ!”


 


“แต่ว่า……”


 


“เร็วๆเถอะหน่า!”


 


แม้ว่าเขาจะยังเด็ก, แต่อัลก็รู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์นี้ดี


 


จักรพรรดิมาแสดงอัญมณีให้ทูตดูด้วยตัวเอง ถ้าเขารู้ว่ามันพังไปแล้ว, เขาจะต้องโกรธอย่างแน่นอน


 


ถ้าเป็นเจ้าชายจักรพรรดิอาจจะพอมีการลดโทษให้อยู่บ้างแต่ถ้าเกิดเขารู้ว่าคนร้ายเป็นเด็กที่ไหนก็ไม่รู้นั้นอัลไม่รู้เลยว่าจักรพรรดิจะลงโทษยังไง


 


เมื่อพิจารณาได้ถึงบทสรุปที่เลวร้ายที่สุด, อัลจึงรีบให้เอลน่าหนีไปผ่านช่องระบาย


 


ในตอนที่เอลน่ามุดเข้าไปได้นั้นเอง, ประตูคลังสมบัติก็เปิดออก


 


อัลถอนหายใจให้กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้และสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับมัน


 


“นี่คือคลังสมบัติของจักรวรรดิเรา อัญมณีอยู่ที่…..หืม?”


 


“ข้าขอโทษจริงๆครับท่านพ่อ! ข้าเป็นคนทำมันพังเอง!”


 


อัลรีบคุกเข่าขอขมาในทันทีและขอโทษองค์จักรพรรดิที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


จักรพรรดิ, ทูตพร้อมกับผู้คนที่อยู่รอบๆงุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้าไปพักนึง


 


มีเจ้าชายอยู่ในคลังสมบัติที่สมควรจะได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาพร้อมกับมีอัญมณีที่ถูกผ่าครึ่งอยู่ข้างๆเขา


 


ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยปากพูดต่อหน้าจักรพรรดิ


 


และมันก็ไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้ไม่มีใครกล้ามองดูสีหน้าของจักรพรรดิเลยด้วยซ้ำ


 


จักรพรรดิเดินไปหาอัลอย่างช้าๆ


 


“เป็นฝีมือของเจ้าจริงๆหรอ? อาร์โนลด์


 


“ครับ……”


 


“ไม่ผิดแน่ใช่ไหม?”


 


“ครับ, ข้าเป็นคนทำเอง”


 


อัลเงยหน้าขึ้นแล้วตอบคำถาม


 


และในตอนนี้เองก็เป็นตอนที่อัลเห็นว่าสีหน้าขององค์จักรพรรดินั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อน


 


จักรพรรดิหลับตาลงและค่อยๆสูดหายใจเข้าลึกๆ


 


จากนั้น


 


เพี้ยะ! เสียงแห้งๆจากการที่อะไรบางอย่างถูกฟาดดังก้องไปทั่วคลังสมบัติ


 


“หนอย! เจ้าโง่! รู้รึเปล่าว่าอัญมณีชิ้นนี้คือสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างอาเดรเซียกับโซคัลเลยนะ!? เจ้าทำลายมันทำไม!? นี่เจ้ามีสำนึกในฐานะเจ้าชายบ้างรึเปล่า!”


 


“…..ข้าขอโทษครับ…..”


 


ด้วยการอดกลั้นความเจ็บปวดที่แก้มของเขา, น้ำตาก็เริ่มคลออยู่ในดวงตาของอัล


 


อย่างไรก็ตาม, เขาไม่ได้ปล่อยโฮออกมา


 


เขาคิดว่าเขาจะร้องไห้ออกมาไม่ได้


 


เพราะเขารู้ว่า


 


เอลน่ายังไม่ได้ออกไป


 


นี่คือสาเหตุที่อัลไม่ยอมร้องไห้ เขาคิดว่าเธออาจจะย้อนกลับมาได้ถ้าเขาเริ่มร้อง


 


ในอีกด้านนึง, ในตอนที่เอลน่าเห็นอัลถูกตบ, เธอก็ร้องไห้หนักขึ้น


 


ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี, อันที่จริงเธอกำลังคิดที่จะออกไปยอมรับความผิดด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม, ความโกรธของจักรพรรดิทำให้เธอกลัวจนขยับตัวไม่ได้


 


“ใครก็ได้! พาเจ้าลูกโง่คนนี้ไปขังในคุกซะ! อย่าให้มันออกมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์! ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันแล้ว!”


 


“….ข้าขอโทษด้วยครับ…..”


 


อัลพูดแค่คำขอโทษและไม่พูดอะไรที่เป็นการแก้ตัวเลย


 


เอลน่าที่กำลังมองดูอัลถูกพาตัวไปนั้นรู้สึกตัวว่าเธอทำอะไรไม่ได้เลยและหนีออกไปทางช่องระบาย


 


ในขณะที่ร้องไห้, เธอก็วิ่งผ่านปราสาทและเจอพ่อของเธอในที่สุด


 


“เอลน่า นี่เจ้าไปอยู่ไหนมา?”


 


“ท่านพ่อคะ! ท่านพ่อ! เจ้าชายหน่ะ! เจ้าชาย!”


 


“เดี๋ยว ใจเย็นก่อน สงบสติลงแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟังซิ”


 


พอถูกพ่อของเธอพูดแบบนั้น, เอลน่าก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่ร้องไห้ไปด้วย


 


และเมื่อเห็นสีหน้าของพ่อค่อยๆเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ, หัวใจของเอลน่าก็เต็มไปด้วยความกังวล

 

 

 


ตอนที่ 52

 

 


“นี่คือความจริงครับ, องค์จักรพรรดิ เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของลูกสาวข้าเอง, และมันก็ถือเป็นความผิดของข้าด้วยที่ไม่จับตาดูเธอให้ดี”


 


ในตอนที่ผู้กล้าหาญไปประชุมเรื่องแนวทางการเคลื่อนไหวในอนาคตกับคณะรัฐมนตรี, เขาก็คุกเข่าขอขมาและพูดแบบนั้นกับองค์จักรพรรดิ


 


เอลน่าเองก็กำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆเขา


 


ซึ่งพวกรัฐมนตรีก็เอาแต่บ่นอัลเป็นการตอบสนอง


 


“ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ควรจะพูดออกมาตั้งแต่แรกสิ……”


 


“เกียรติของบ้านผู้กล้าหาญสำคัญอยู่ก็จริงแต่เกียรติของราชวงศ์นั้นสำคัญกว่า! แต่ในเมื่อพวกเราประกาศต่อหน้าทูตไปแล้วว่ามันเป็นความผิดของเขา, ตอนนี้พวกเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว!”


 


“เรื่องมันซับซ้อนขึ้นกว่าเดิมแล้วสิ…..พวกเขาจะต้องใช้ข้อได้เปรียบจากเรื่องนี้เพื่อสร้างความอับอายให้กับราชวงศ์ของเราแน่ๆ ถ้าความผิดของลูกสาวเป็นความผิดของผู้กล้าหาญ, ความผิดของเจ้าชายก็ถือเป็นความผิดของจักรพรรดิเช่นกัน ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจตรงจุดนี้นะ!?”


 


“มันเป็นความผิดของเจ้าชายอาร์โนลด์มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไงเพราะเขาเป็นคนที่คลานเข้าไปในท่อระบายนั่น แค่ตรงนั้นมันก็ถือเป็นปัญหาแล้ว! นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่กันนะ! ให้ตายสิ!”


 


“นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องอัญมณีถูกทำลายอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันมีประเด็นที่ว่าสมาชิกของราชวงศ์เป็นคนทำมันพังด้วย พวกเราไม่สามารถแย้งอะไรกลับไปได้แล้วต่อให้พวกเขาไม่อยากจะเป็นพันธมิตรกับพวกเราอีกแล้วก็ตาม!”


 


พวกเขาทุกคนกำลังตำหนิอัล


 


เอลน่าอยากจะพูดว่ามันไม่ใช่แบบนั้นและทั้งหมดมันเป็นความผิดของเธอแต่เธอก็รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ในจุดที่จะพูดแบบนั้นได้


 


และนี่ก็คือสาเหตุที่เอลน่าทนฟังด้วยน้ำตาที่คลอเต็มเบ้าตาของเธอ


 


เมื่อเห็นเอลน่าในสภาพนี้, จักรพรรดิก็ถอนหายใจ


 


“ข้ารู้ว่าอาร์โนลด์พยายามจะปกป้องใครซักคนอยู่แต่ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นลูกสาวของผู้กล้าหาญ”


 


“ท่านรู้หรอครับ? องค์จักรพรรดิ?”


 


จักรพรรดิพยักหน้าให้กับคำถามของผู้กล้าหาญ


 


“นี่คือกล่องอัญมณีที่มีการติดตั้งเวทมนตร์ป้องกันเอาไว้ ไม่ว่าจะใช้ดาบที่เยี่ยมยอดขนาดไหน, อาร์โนลด์ก็คงจะผ่ามันจนแหกออกมาแบบนี้ไม่ได้หรอก นี่คือสาเหตุที่ข้าพยายามจะยืนยันกับเขา แต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ยังยืนกรานว่าเป็นฝีมือของเขา และถึงยังไง, ข้าก็ไม่สามารถให้เขาพูดออกมาต่อหน้าทูตได้ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่ามันเป็นความผิดของเขา”


 


จักรพรรดิถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเอนตัวพิงบัลลังก์ของเขา


 


แผนแรกพังซะแล้ว ต่อให้เตรียมอัญมณีอีกชิ้น, โซคัลก็อาจจะไม่ยอมรับมัน เจ้าชายคนนั้นจะต้องใช้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรองเพื่อขอเหมืองจากพวกเราแน่ๆ


 


นี่คือเหตุผลที่ทำไมทูตถึงบอกปัดข้อเสนอที่จะขอสืบสวนเรื่องนี้ตรงจุดที่เกิดเหตุเลย เขาจะไม่ยอมเชื่อผลลัพธ์ต่อให้พวกเราบอกความจริงไปว่าเป็นฝีมือของเอลน่าก็ตาม ฉันมองสิ่งที่เขากำลังคิดออก


 


ตราบใดที่ยังมีความจริงที่ว่าอัลอยู่ตรงนั้น, ก็ไม่มีลูกไม้อื่นให้เล่นแล้ว เพราะเขารู้ว่า, จักรพรรดิจับอัลขังคุก


 


“ก็ประมาณนี้แหล่ะนะ ข้าขอโทษด้วยแต่มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกต่อให้เอลน่ายอมรับผิดด้วยตัวเองก็ตาม ตอนนี้, พวกเราไม่สามารถปล่อยอัลให้เป็นอิสระได้”


 


“แบบนั้นไม่ได้นะคะ………!”


 


เอลน่าพูดโพล่งออกมาอย่างกระทันหัน


 


สายตาของทุกคนหันไปมองเอลน่า


 


ในการเผชิญกับสายตาที่เย็นชาของผู้ใหญ่นั้น, เอลน่ารู้สึกกลัวแต่เธอก็ไม่ได้หลบตาเลย


 


และในขณะนั้นเอง, ผู้หญิงคนนึงก็เข้ามาในห้อง


 


“มองเด็กด้วยสายตาแบบนั้นมันไม่ดีนะคะรู้ตัวรึเปล่า?”


 


คนที่พูดก็คือผู้หญิงผมสีดำในชุดเดรสสีดำ


 


เธอคือภรรยาลำดับหกของจักรพรรดิเช่นเดียวกับแม่ของอัล, มิทสึบะ


 


วังก็มีที่ตั้งเยอะแยะ, ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?


 


นี่คือสิ่งที่บ่งบอกจากสีหน้าของรัฐมนตรี


 


ถ้าลูกชายของเธอถูกจับเข้าคุก, มันก็แน่อยู่แล้วที่เธอจะเคลื่อนไหว


 


อย่างไรก็ตาม, มันกลับไม่ใช่อย่างที่คิด, มิทสึบะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยและตรงไปหาเอลน่าเป็นคนแรก


 


“เจ้าคือลูกสาวของผู้กล้าหาญสินะ?”


 


“ค, ค่ะ…..”


 


“เด็กดี, เจ้าถือว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์นะ ข้าคิดว่าอัลคงจะพอใจแล้วหล่ะที่ได้รู้ว่าเขาจะต้องติดคุกแทนเจ้า”


 


ในขณะที่พูด, มิทสึบะก็ยิ้มแล้วลูบศรีษะของเอลน่า


 


สายตาของพวกรัฐมนตรีเบิกกว้างกับฉากที่เห็นในขณะที่จักรพรรดิทำได้แค่ยิ้มอย่างยอมใจ


 


“ท, ท่านมิทสึบะ…..ท่านไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดเรื่องของเจ้าชายอาร์โนลด์หรอครับ?”


 


“ข้าแค่มาที่นี่เพราะถูกเรียกมา ข้าไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องของอัลหรอก เด็กคนนั้นทำไปด้วยการตัดสินใจของตัวเองเพื่อเด็กคนนี้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่ที่เขาจะต้องได้รับโทษแทนเด็กคนนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าถ้าเกิดเขาทำแบบนั้นมันก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องผ่านพ้นมันไปด้วยตัวเอง”


 


“ง, งั้นหรอครับ…..”


 


“อีกอย่าง, ถ้าข้าขอให้ฝ่าบาทยกโทษให้แล้วฝ่าบาทจะยอมปล่อยตัวอัลหรอคะ? ถึงแม้ว่าเขาจะตัดสินใจปกป้องเด็กสาวด้วยตัวเอง, แต่ถ้ามันจบลงที่การถูกแม่ช่วยเอาไว้, ศักดิ์ศรีของเด็กคนนั้นคงจะเสียหายแย่เลยไม่ใช่หรอ? มันคือการตัดสินใจของเขาว่าจะช่วยเด็กสาวคนนี้ ความดีความชอบนี้เป็นของเขาเพียงผู้เดียว ข้าไม่คิดที่จะไปแย่งชิงความสำเร็จของเด็กคนนั้นหรอก ยิ่งไปกว่านั้น, ต่อให้อัลรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองอยู่ข้างในคุกข้าก็คิดว่ามันจะเป็นผลดีกับตัวเขาเอง เขาต้องรู้ว่าการช่วยเหลือผู้คนไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำแบบครึ่งๆกลางๆได้และด้วยเหตุการณ์ในครั้งนี้, เขาก็น่าจะตระหนักได้ด้วยว่าสภาพแวดล้อมที่เขาใช้ชีวิตอยู่นั้นมีความพิเศษขนาดไหน”


 


เหล่าคณะรัฐมนตรีปิดปากเงียบหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของมิทสึบะที่บอกได้เลยว่าสั่นสะท้าน


 


การที่สามารถรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ขนาดนี้ทั้งๆที่ลูกชายของเธอ, แถมยังเป็นเจ้าชาย, ถูกจับเข้าคุกนั้น, ทำให้พวกเขาทุกคนคิดว่ามิทสึบะผิดปกติ


 


ภรรยาส่วนใหญ่ที่รัฐมนตรีรู้จักนั้นล้วนรักลูกจนเกินเหตุ, พวกเธอคิดแค่ว่าลูกของพวกเธอน่ารักที่สุด


 


“ข้าเป็นคนเรียกมิทสึบะมาที่นี่เอง เอาจริงๆข้าคิดว่าจะปล่อยตัวอาร์โนลด์ออกจากคุกนะถ้าเจ้าขอร้อง””


 


“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ข้าปล่อยให้เด็กคนนั้นใช้ชีวิตตามใจชอบมาโดยตลอด เขามักจะพูดว่าทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง เขามักจะละเลยเรื่องการเรียนและออกไปเที่ยวเล่นด้วยความตั้งใจของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คือทางเลือกของเด็กคนนั้นที่จะไม่รับความรู้เพิ่มเติม มันคือผลที่ตามมาจากการกระทำของเขาที่จะต้องถูกคนอื่นตำหนิและดูถูกดูแคลน เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เขาเคลื่อนไหวด้วยการตัดสินใจของตัวเองและผลลัพธ์ก็คือ, เขาสามารถปกป้องเด็กคนนี้เอาไว้ได้แล้วถูกจับเข้าคุก ทุกความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้มันคือสิ่งที่เขาต้องแบกรับ”


 


“เห้อ….นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าไม่ควรปล่อยตัวเขาสินะ”


 


จักรพรรดิเกาศรีษะด้วยความรู้สึกลำบากใจ


 


ในฐานะจักรพรรดิ, เขาไม่สามารถยอมผ่อนปรนให้ลูกของตัวเองได้ นี่คือสาเหตุที่เขาเรียกแม่ของลูก, เรียกมิทสึบะมาที่นี่ ด้วยการขอร้องโดยตรงจากมิทสึบะ, เขาก็จะสามารถทำเป็นว่าการที่ต้องปล่อยตัวเขานั้นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้


 


อย่างไรก็ตาม, ความจริงในตอนนี้ก็คือจักรพรรดิอยากจะยกโทษให้ลูกของเขาในขณะที่มิทสึบะบอกเขาว่าห้ามทำแบบนั้น


 


นี่คือสิ่งที่จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับภรรยาคนอื่นๆ


 


“ท่านมิทสึบะ, โปรดอภัยให้ข้าด้วยแต่มันเป็นเพราะแนวทางการสั่งสอนของท่านที่พาเรามาเจอกับสถานการณ์นี้, ข้าเข้าใจดีว่าอิสระนั้นเป็นสิ่งสำคัญแต่ในอนาคตข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยลดอิสระขององค์ชายลงหน่อย”


 


“มีปัญหาอะไรหรอคะ? พวกเราก็แค่เตรียมอัญมณีอีกชิ้นให้ทูตของโซคัลไม่ได้หรอ? เมื่อเทียบกับเจ้าชายและเจ้าหญิงคนอื่นๆแล้ว, อัลไม่ได้ใช้เงินส่วนตัวเยอะขนาดนั้น ตอนนี้กับแค่อัญมณีชิ้นเดียวคงไม่แพงขนาดนั้นหรอกมั้งคะ”


 


รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศที่พูดแสดงความคิดเห็นออกมามีสีหน้าไม่พอใจ


 


มีรัฐมนตรีและขุนนางหลายคนที่เหยียดว่ามิทสึบะเป็นแค่นักเต้น พวกเขาอาจจะทำตัวสุภาพที่ภายนอกแต่ในใจลึกๆนั้น, พวกเขาคิดว่าเธอก็แค่ตกถังข้าวสาร


 


ถ้ามิทสึบะหัดเจียมเนื้อเจียมตัวมากกว่านี้, รัฐมนตรีก็คงจะสามารถตอบสนองกับเธอได้ด้วยรอยยิ้ม แต่มิทสึบะไม่ใช่ผู้หญิงที่จะพึ่งพาการประจบ”


 


“นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินนะครับ ปัญหาในตอนนี้ก็คือว่าทูตของทางนั้นจะไม่พอใจกับแค่อัญมณีอีกแล้ว”


 


“ถ้างั้นก็ให้เขากลับไปเถอะค่ะ”


 


“เห้อ….ให้ตายเถอะ มันเป็นความผิดของข้าเองที่เอาเรื่องการเมืองมาพูดกับท่านมิทสึบะ”


 


คำพูดพวกนี้ใกล้เคียงกับการสบประมาทภรรยาต่อหน้าองค์จักรพรรดิ


 


ฟรานซ์กำลังจะเตือนสติรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศที่พูดเกินไปแต่จักรพรรดิก็ยกมือขึ้นเพื่อห้ามเขา


 


จากนั้นเขาก็มองมิทสึบะราวกับกำลังเพลิดเพลินกับการแสดงนี้


 


“การเมืองหรอคะ แน่นอนค่ะว่าตัวข้านั้นไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองซักเท่าไหร่ แต่ถ้าข้าเป็นท่านข้าก็คงจะไม่เข้าร่วมสงครามด้วยมุมมองที่ห่วยแตกแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ราชรัฐอัลบราโทรจะสนับสนุนจักรวรรดิเพเลอรินจากทางทะเลอย่างแน่นอนถ้าพวกเราเลือกทำสงครามกับพวกเขา พวกเราอาจจะสามารถตัดเส้นทางเสบียงของพวกเขาได้หลายครั้งแต่ถ้าพวกเขาเติมเสบียงใหม่ผ่านทางทะเลหล่ะก็มันก็จะทำให้ความพยายามของพวกเราสูญเปล่า แต่เดิมนั้น, พวกเราควรจะทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกับจักรวรรดิโซคัลก่อนเพื่อที่พวกเราจะได้ตรวจสอบอัลบราโทรให้ละเอียดผ่านทางการทูต ในมุมมองของข้าถ้าไม่เตรียมตัวให้ได้ขนาดนั้นข้าก็คงไม่กล้าประกาศสงครามกับเพเลอรินหรอกค่ะ”


 


“หน่ะ, นั่นมัน……”


 


“แน่นอนค่ะว่า, นี่คือสิ่งที่คนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเมืองอย่างข้าสามารถเข้าใจได้ และแน่นอนว่ารัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศที่ฉลาดหลักแหลมของพวกเราจะต้องรู้ความจริงพวกนี้อยู่แล้ว มันคงเป็นเรื่องปกติ, ที่สถานการณ์แบบนี้น่าจะอยู่ในการคาดการณ์ของท่าน มันไม่มีทางที่รัฐมนตรีที่ฉลาดหลักแหลมอย่างท่านจะบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแสดงท่าทีที่อ่อนแอกับจักรวรรดิโซคัลหรอกค่ะ จะว่าไป, ท่านช่วยสอนคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเมืองอย่างข้าถึงวิธีที่พวกเราจะสามารถกู้สถานการณ์นี้ให้หน่อยได้ไหมคะ?”


 


“…….ข, ข้าก้าวล่วงเกินไปแล้ว ได้โปรดอภัยให้ด้วยครับ…….”


 


พอพูดจบรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศก็ก้มหน้า


 


รัฐมนตรีที่อยู่รอบๆนั้นครึ่งนึงรู้สึกสงสารเขาในขณะที่อีกครึ่งดูถูกเขาสำหรับพฤติกรรมโง่ๆนี้


 


มันเป็นธรรมดาที่มิทสึบะซึ่งเคยเดินทางมาหลายประเทศจะมีความรู้ที่พิเศษกว่าภรรยาคนอื่นๆ เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องให้ใครมาคอยปกป้อง ถ้าเกิดคิดว่าเธอเหมือนกับภรรยาคนอื่นๆก็เตรียมรอรับการตอบโต้แบบนี้ได้เลย


 


จักรพรรดิพยักหน้าอย่างมีความสุขให้กับการตอบโต้ที่คมกริบของมิทสึบะ


 


อย่างไรก็ตาม, ครั้งนี้ฝีปากของมิทสึบะได้เปลี่ยนไปหาจักรพรรดิแทน


 


“ฝ่าบาท, นี่ถือว่าเป็นโอกาสดีเพราะฉะนั้นข้าขอพูดเลยนะคะ”


 


“อ, อืม…..อะไรหรอ?”


 


“ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นจักรพรรดิหน่อยเถอะค่ะ ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าข้ากลายเป็นภรรยาของคนที่ต้องมาลำบากใจกับปัญหาของประเทศอื่นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


จักรพรรดิขมวดคิ้วให้กับคำพูดที่รุนแรงของเธอในขณะที่ฟรานซ์เอามือก่ายหน้าผากอยู่ข้างๆเขา


 


เพื่อพวกเขาทั้งสองคน, มิทสึบะจึงพูดต่อ


 


“การส่งอัญมณีให้จักรวรรดิโซคัลเป็นแค่มาตรการซื้อเวลามาตั้งแต่แรกแล้วถูกไหมคะ?”


 


“ใช่แล้วครับ, ท่านมิทสึบะ”


 


“มันก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีสำหรับสภาวะของจักรวรรดิแต่การทูตที่อ่อนแอสามารถทำให้ศัตรูของเราเหลิงได้นะคะ ในยุคของฝ่าบาทจักรวรรดิของเราไม่เคยทำลายจุดยืนที่แสดงถึงความเหนือกว่า ข้าเกรงว่าการแสดงท่าทีที่อ่อนแอแบบที่ทำอยู่ในตอนนี้จะสร้างความเข้าใจผิดที่ว่าพวกเราอ่อนแอลงไม่ใช่หรอคะ?”


 


“มันก็ใช่อยู่หรอกแต่จนกว่ากว่าพวกเราจะสามารถทำข้อตกลงพักรบกับเพเลอรินได้, พวกเราก็ทำอะไรกับโซคัลได้ไม่มากนัก”


 


“ถ้างั้นพวกเราก็ควรรีบส่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศออกไปทำข้อตกลงพักรบให้เสร็จสิ้นเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”


 


รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศที่กำลังหงอยอยู่สะดุ้งด้วยความตกใจ


 


‘อย่าบอกข้านะว่าเจ้าทำไม่ได้’ คำขู่นี้สามารถรู้สึกได้จากคำพูดของมิทสึบะ มันคือหน้าที่ของรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศในการรักษาความปลอดภัยของสายการทูตกับประเทศศัตรูแม้ว่าสงครามจะปะทุขึ้นแล้วก็ตาม


 


“ถ้าทำแบบนั้นมันมีความเป็นไปได้ที่เพเลอรินจะใช้ประโยชน์จากเรานะครับ”


 


“มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้สถานการณ์มันเละเทะแบบตอนนี้ การทำลายสายเสบียงทางทะเลของเพเลอรินเป็นงานที่ยากลำบาก ยิ่งไปกว่านั้น, เพเลอรินคงไม่พยายามใช้ประโยชน์จากพวกเราหรอก ถ้าพวกเราแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเรายึดมั่นในจุดยืนของพวกเรา, พวกเขาก็คงไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของพวกเราเหมือนกัน”


 


“จุดยืนหรอ?”


 


“สิ่งที่ข้าพยายามจะสื่อก็คือจุดยืนของพวกเราในการคุ้มครองกึ่งมนุษย์ พวกเราประกาศจุดยืนนี้ออกไปแล้วในตอนที่ฝ่าบาทยอมรับคนแคระเข้ามาในจักรวรรดิ เหตุผลที่จักรวรรดิอยากจะพักรบเป็นการด่วนก็เพื่อปกป้องกึ่งมนุษย์ ถ้าพวกเขาอยากใช้ประโยชน์จากพวกเราทั้งๆที่รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว, ความไม่พอใจก็จะเพิ่มขึ้นจากทั้งข้างในและข้างนอกจักรวรรดิเพเลอริน”


 


นี่คือสิ่งที่มิทสึบะซึ่งเคยเดินทางมาหลายประเทศสามารถยืนยันได้


 


จักรวรรดิโซคัลนั้นมีกึ่งมนุษย์อยู่ไม่มากในขณะที่ประชากรกลุ่มใหญ่ของจักรวรรดิอาเดรเซียกับจักรวรรดิเพเลอรินเป็นกึ่งมนุษย์ ตราบใดที่ยังเป็นเช่นนี้, ก็มีแค่เส้นทางเดียวที่ทั้งสองประเทศสามารถเลือกได้ในตอนที่การตัดสินใจของพวกเขาคาบเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของกึ่งมนุษย์


 


“ฝ่าบาทตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่หรอว่าจะปกป้องกึ่งมนุษย์ ทำไมตอนนี้ท่านถึงอยากจะเปลี่ยนใจซะหล่ะ?”


 


“นั่นก็เพื่อจักรวรรดิของเรา”


 


“ถ้าท่านคิดถึงจักรวรรดิจริงๆท่านก็ควรทำตัวให้เป็นจักรพรรดิที่แข็งแกร่งค่ะ ฝ่าบาท, บางทีพวกเด็กๆก็ฉลาดกว่าผู้ใหญ่นะคะ อัลคงจะคิดอะไรเยอะแยะก่อนที่เขาจะตัดสินใจช่วยเด็กคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจักรวรรดิ, เรื่องของฝ่าบาท, และเรื่องของเด็กสาวที่กำลังร้องไห้อยู่ในขณะนั้น เขาตัดสินใจว่าจะรับคำตำหนิทุกอย่างหลังจากที่เขาพิจารณาทั้งหมดนี้ แผนการของฝ่าบาท, และความเสียหายที่เขาจะสร้างให้กับศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ทั้งสองสิ่งนี้คือสิ่งที่เจ้าชายต้องคำนึงถึง แต่ว่า, ในฐานะเจ้าชาย, และในฐานะผู้ชายคนนึง, เขาก็ได้ตั้งปณิธานมั่นและเลือกที่จะฝ่าฟันมัน แม้ว่าผู้คนจะตำหนิเขา, แต่ข้าอยากจะสรรเสริญเขาค่ะ เพราะเขาได้แสดงให้ข้าเห็นถึงศักยภาพในฐานะเจ้าชาย เขายอมรับผลในสิ่งที่เขาตัดสินใจ นี่คือสิ่งที่สำคัญสำหรับเจ้าชาย และมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับจักรพรรดิ ไม่มีอะไรที่ลูกชายของท่านทำได้แล้วท่านจะทำไม่ได้หรอกนะคะ, ฝ่าบาท”


 


ในการตอบสนองต่อคำพูดของมิทสึบะ, จักรพรรดิได้เงยหน้ามองเพดานอยู่พักนึง


 


จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา


 


ริ้วรอยที่อยู่บนหน้าของเขาตั้งแต่ตอนที่ประเทศของคนแคระถูกบุกรุกได้หายไปจากใบหน้าของเขาในที่สุด


 


ตอนนี้เขาถูกปลดปล่อยออกจากโซ่ที่พันธนาการเขาแล้ว


 


ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะคำพูดของภรรยาและการกระทำของลูกชายของเขา


 


“ฟรานซ์ มีอะไรจะคัดค้านรึเปล่า?”


 


“ข้ายังแนะนำว่าควรเลือกตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า…..แต่ข้าก็เข้าใจดีว่านี่มันขัดต่อหลักการของท่านครับ, ฝ่าบาท”


 


“อืม เหมือนกับที่มิทสึบะพูดนั่นแหล่ะ, อัลตั้งปณิธานมั่นและเลือกที่จะฝ่าฟันมัน ข้าอยากจะยอมรับและตระหนักถึงปณิธานของเขา ถ้าไม่ใช่ข้ากับมิทสึบะแล้วจะเป็นใครได้หล่ะ? จะมีใครอีกที่จะตระหนักถึงปณิธานนั้นของเขาได้? พวกเราเป็นพ่อแม่ของเขา ดังนั้นพวกเราก็ต้องทำให้เป็นตัวอย่าง ไม่มีลูกคนไหนที่จะจดจำพ่อที่ไล่ตามลูกชายของตัวเองไม่ทันหรอก ทั้งในฐานะพ่อและในฐานะจักรพรรดิ, ข้าจะแสดงให้เขาเห็นถึงตัวตนที่เขาสามารถภาคภูมิใจได้เอง”


 


จักรพรรดิพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เปล่งปลั่ง


 


ถัดจากเขา, ฟรานซ์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมมาตรการระมัดระวังล่วงหน้าเอาไว้มากมาย, แต่มันก็ยังจบลงแบบนี้


 


ฟรานซ์มองมิทสึบะด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูกแต่ในตอนนั้นมิทสึบะก็ได้หันกลับไปแล้ว


 


พอเห็นตัวตนแบบนั้น, ฟรานซ์ก็พึมพำออกมา


 


“ฝ่าบาท ข้ารับมือกับท่านมิทสึบะไม่ไหวจริงๆครับ……”


 


“บังเอิญจังเลยนะ, ข้าเองก็เหมือนกัน……..”


 


“แล้วทำไมท่านถึงยังรับเธอมาเป็นภรรยาอีกหล่ะครับ…..?”


 


“ข้าคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดี…..และดูเหมือนว่าข้าจะมองไม่ผิดนะ”


 


ด้วยการพยักหน้าอย่างพึงพอใจ, จักรพรรดิก็ลุกขึ้น


 


จากนั้น, เขาก็เริ่มออกคำสั่ง


 


“เรียกรวมหัวหน้าอัศวินหลวงทุกคน ผู้กล้าหาญตอนนี้กลับไปได้แล้วหล่ะ ถ้าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น, ข้าจะเรียกตัวเจ้าในทันที”


 


“ครับ, ฝ่าบาท”


 


“อ้อ, แล้วก็พาตัวอัลมาที่นี่ด้วย ข้าต้องแสดงให้เขาเห็นว่าตัวตนของจักรพรรดินั้นเป็นยังไง”


 


จักรพรรดิแสยะยิ้ม


 


ด้วยความตกใจกับท่าทีที่เหมือนกับเด็กของจักรพรรดิ, ฟรานซ์ก็เริ่มเคลื่อนไหวตามคำสั่งของเขา


 



 


จักรพรรดิและเหล่ารัฐมนตรีของเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าหัวหน้าอัศวินที่จัดแถวอยู่ในห้องบัลลังก์


 


เมื่อถูกล้อมด้วยอัศวินที่น่าภาคภูมิใจของจักรวรรดิ, ทูตจึงถามขึ้นมาอย่างกังวล


 


“ฝ, ฝ่าบาท…..นี่ท่านอยากจะปรึกษาเรื่องอะไรกันแน่ครับ……?”


 


“อืมม ก่อนหน้านี้ลูกของข้าได้ทำเรื่องเสียมารยาทกับเจ้าไป และเพื่อเป็นการขอโทษสำหรับเรื่องนั้น, พวกเราก็เลยเตรียมอัญมณีอีกชิ้นนึงให้เจ้า ข้าอยากให้เจ้ารับมันแล้วนำกลับไปที่ประเทศของเจ้า”


 


“เรื่องนี้เองสินะครับ…..ฝ่าบาท, ก็จริงอยู่ที่ประเทศของข้าต้องการอัญมณี แต่ว่า, พวกเราได้มาจำนวนนึงแล้วจากประเทศของคนแคระ สิ่งที่พวกเราต้องการในตอนนี้ก็คือทักษะและเทคนิคในการสร้างของพวกเขา ช่วยส่งตัวคนแคระมาให้ข้าซักคนเถอะครับ หรือถ้าเป็นไปไม่ได้พวกเราก็อยากจะขอสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกัน ไม่อย่างนั้น, ข้าเองก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากกลับไปบอกประเทศของข้าว่าจักรวรรดิไม่คิดญาติดีกับโซคัล”


 


“อืมม….ถ้างั้นก็กลับไปบอกได้เลย”


 


“……ครับ?”


 


ทูตที่มีความมั่นใจในตัวเองจนเกินไปไม่สามารถทำความเข้าใจกับคำพูดของจักรพรรดิได้อยู่พักนึง


 


อย่างไรก็ตาม, หลังจากได้รับสายตาที่คมกริบจากจักรพรรดิ, เขาก็เข้าใจเจตจำนงของจักรพรรดิในทันที


 


“…..ท่านกำลังจะบอกว่าท่านยอมที่จะเป็นศัตรูกับจักรวรรดิของเราหรอครับ?”


 


“ใช่แล้ว จักรวรรดิไม่ได้มีนิสัยชอบเตะคนที่อยู่ในประเทศออกไปในตอนที่พวกเขาได้รับการยอมรับแล้ว ถ้าเจ้าไม่พอใจกับอัญมณีจะต่อรองอะไรอีกก็คงไม่มีความหมาย”


 


“…..ข้ารู้ว่าตอนนี้จักรวรรดิกำลังอยู่ในระหว่างการทำสงครามกับเพเลอรินอยู่ ข้าว่าการเลือกเป็นปฏิปักษ์กับพวกเราแบบนี้เป็นความคิดที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นะครับ”


 


นี่คือการบลัฟ


 


และทูตก็กำลังชี้ให้เห็น


 


พวกเขาแข็งแกร่งก็จริงอยู่แต่ตอนนี้พวกเขาไม่น่าจะสามารถเริ่มสงครามกับอีกประเทศนึงได้หรอก


 


นี่คือสิ่งที่ทูตคิดดังนั้นเขาจึงยังมีสีหน้าสบายใจอยู่


 


อย่างไรก็ตาม,


 


“ข้าได้ให้คนส่งสารไปทำข้อตกลงสงบศึกกับทางนั้นแล้ว มันเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องกึ่งมนุษย์ ซึ่งทางนั้นก็น่าจะเข้าใจเจตจำนงของเรา”


 


“ไม่มีทางหน่า…..”


 


“ถ้าข้าไม่พูดตรงๆเจ้าคงจะไม่เข้าใจสินะ? ก็ได้ คนที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศของข้าถือว่าเป็นประชาชนของข้า คนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตของจักรวรรดิของข้าในตอนนี้ก็คือเหล่าคนที่ข้าต้องปกป้อง ข้าจะไม่ส่งพวกเขาคนไหนออกไป ถ้าเจ้าอยากได้ตัวพวกเขาก็เชิญลองเข้ามาชิงตัวได้เลย แต่ถ้าเจ้าทำแบบนั้นเมื่อไหร่ข้าก็จะถือว่าเจ้าได้ทำการตัดสินใจมาดีแล้ว และข้าก็จะเป็นคนนำทัพอัศวินหลวงที่อยู่ที่นี่เพื่อต่อสู้กับเจ้าด้วยตัวเอง”


 


เหงื่อหยดลงมาอาบแก้มของทูต


 


อัศวินหลวงของจักรวรรดิ ถ้าจักรพรรดิบอกว่าเขาจะนำทัพนักรบที่ไร้คู่ต่อสู้นี้ด้วยตัวเองมันก็หมายความว่าจักรวรรดิเอาจริง


 


ไม่ว่าจะส่งผู้ส่งสารไปหาเพเลอรินมากแค่ไหน, มันก็คงไม่มีผลในทันที ในระหว่างนั้น, ถ้าจักรวรรดิโซคัลคิดจะโจมตี, พวกเขาก็จะถูกบังคับให้รับสงครามจากสองด้าน


 


อย่างไรก็ตาม ,จักรพรรดิบอกว่าเขาเต็มใจที่จะทำแบบนั้น


 


“…..นี่ท่านจะส่งบ้านผู้กล้าหาญมาด้วยรึเปล่า?”


 


“แน่นอน”


 


“…..ข้าไม่รู้หรอกนะว่าประเทศอื่นจะว่ายังไงบ้างถ้าท่านใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ตามอำเภอใจแบบนี้”


 


“มันเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องกึ่งมนุษย์ แค่นี้ก็มีเหตุผลอยู่ในตัวแล้ว ต่อให้พวกเราใช้สมบัติของมนุษย์ชาติอย่างดาบศักดิ์สิทธิ์ที่นี่, ประเทศอื่นก็คงไม่บ่นอะไรหรอก, ต่อให้พวกเราใช้มันเพื่อนำความวิบัติไปสู่จักรวรรดิโซคัลก็ตาม”


 


ถ้าพวกเขาคิดจะทำมันพวกเขาก็จะทุ่มสุดตัว จักรพรรดิกำลังพูดกับทูตด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำลายจักรวรรดิโซคัล


 


ในขณะที่ถูกจักรพรรดิกดดัน, ทูตก็เริ่มพูดอย่างเจ็บแสบ


 


“ท่านได้เสียใจกับเรื่องนี้แน่…..!!”


 


“อย่ามาดูถูกจักรวรรดิให้มากนัก ประเทศของข้าไม่สนใจสิ่งที่ประเทศของเจ้าคิด, และเราก็จะไม่อ้างเหตุผลข้างๆคูๆอย่างไร้จุดหมายด้วย พวกเราไม่กลัวสงครามและพวกเราก็จะไม่ทนกับการถูกทำเหมือนเป็นของเล่น! พวกเราคือประเทศมหาอำนาจและข้าก็คือจักรพรรดิที่แข็งแกร่ง! จงกลับไปบอกประเทศของเจ้าซะว่าการเจรจาในครั้งนี้ล้มเหลวแล้ว”


 


พอถูกจักรพรรดิตะคอกใส่, ทูตก็ออกจากห้องบัลลังก์ไปด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว


 


จากนั้นจักรพรรดิก็ให้หัวหน้าอัศวินที่มารวมตัวกันกลับไปและเรียกอาร์โนลด์ที่คอยสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องบัลลังก์ออกมา


 


“อาร์โนลด์”


 


“ครับ, ท่านพ่อ…..”


 


จักรพรรดิยื่นมือไปที่ศรีษะของอาร์โนลด์


 


จากนั้น, เขาก็ลูบมันอย่างนุ่มนวล


 


“นี่คืองานของพ่อเจ้า การตัดสินใจ, คือหน้าที่ของจักรพรรดิ ไม่ว่ามันจะดีหรือแย่, การตัดสินใจก็ยังคงเป็นหน้าที่ของจักรพรรดิ และการรับรู้ถึงการตัดสินใจพวกนี้ก็คือหน้าที่ของประชาชน”


 


“มันดูค่อนข้างลำบากจังเลยนะครับ”


 


“ยกโทษให้ข้าด้วยนะ……ข้าคิดว่าข้าต้องแสดงสิ่งนี้ให้อาร์โนลด์เห็น นี่คือลักษณะของจักรพรรดิที่ชอบธรรม ฟังให้ดีหล่ะอาร์โนลด์ ในอนาคต, เมื่อเจ้ามุ่งหมายจะนั่งบัลลังก์หรือเมื่อเจ้าอยากให้ใครซักคนขึ้นมานั่ง, จงจดจำตัวตนของข้าในวันนี้เอาไว้ให้ดี ถ้าเจ้าอยากกลายเป็นจักรพรรดิก็จงมุ่งเป้าที่จะเป็นเหมือนข้า แต่ถ้าเจ้าอยากให้คนอื่นกลายเป็นจักรพรรดิก็จงสนับสนุนเขาให้กลายเป็นคนคล้ายกับข้า ตัวตนนี้ของข้าคือรางวัลของเจ้า เอาหล่ะตอนนี้เป็นเด็กดีแล้วกลับเข้าไปที่คุกได้แล้ว เข้าใจไหม?”


 


“ครับ!”


 


พอเห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนหน้าของจักรพรรดิ, อัลก็เผยลรอยยิ้มคล้ายๆกันออกมา


 


เมื่อเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน, ฟรานซ์ก็คิดในทันทีว่าพวกเขาคล้ายกันมาก, และเขาก็รู้สึกเสียใจกับปริมาณงานที่รอเขาอยู่


 


….


 


กลับมาที่ช่วงเวลาปัจจุบัน


 


“ท่านแม่ ทำไมอัญมณีแค่ครึ่งเดียวถึงถูกนำมาตั้งโชว์ที่นี่หรอคะ…..?”


 


“มันคืออัญมณีนำโชคจ้ะ”


 


“นำโชคหรอคะ? แค่ครึ่งเดียวเนี่ยนะคะ?”


 


“ใช่แล้วจ้ะ, ต้องขอบคุณอัญมณีชิ้นนี้, อัลถึงได้สมบัติมาชิ้นนึง”


 


มิทสึบะอุ้มคริสต้ามานั่งตักของเธอและนึกย้อนถึงวันนั้น


 


หลังจากที่จักรพรรดิตัดสินใจที่จะเล่นไม้แข็ง, เอลน่าก็ไล่ตามมิทสึบะมา


 


เธอมาขอโทษด้วยกันกับผู้กล้าหาญ


 


ในทางกลับกัน, มิทสึบะก็บอกเธอไปว่า ‘ถ้าเด็กคนนั้นเอาตัวไปเจอกับปัญหาอีก, ก็คอยช่วยเหลือเขาด้วยนะ’


 


และเพื่อตอบสนองต่อคำพูดนี้, เอลน่าจึงยืมดาบของพ่อมาและทำการสาบานต่อหน้ามิทสึบะ


 


‘ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าชายอาร์โนลด์อีกต่อไป’


 


ในวันนั้นเอง, อัลก็ได้รับดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโดยไม่รู้ตัว


 


มิทสึบะไม่ได้บอกเขาว่าเด็กสาวในวันนั้นก็คือเอลน่า ซึ่งมันเป็นเพราะเธอคิดว่าเอลน่าจะบอกเขาด้วยตัวเองในซักวันนึง


 


“สมบัติแบบไหนหรอคะ?”


 


“ดาบจ้ะ ดาบที่ดีมากๆเลย มันอาจจะมีค่าเกินไปสำหรับอัลด้วยซ้ำ”


 


“หรอคะ แต่ข้าว่าดาบดูไม่ค่อยเหมาะกับท่านพี่อัลเลย”


 


พอพูดจบ, คริสต้ากับมิทสึบะก็พากันหัวเราะออกมา


 


แต่ถึงแม้จะอย่างนั้น, มิทสึบะก็ยังคงนึกถึงอัล


 


อัลเคยเห็นลักษณะในอุดมคติของจักรพรรดิแล้ว นี่คือสาเหตุที่เขาอยากทำให้ลีโอเป็นแบบนั้น


 


สำหรับอัล, จักรพรรดิไม่ใช่สิ่งที่จะกลายเป็นแต่เป็นสิ่งที่ถูกมองว่าเป็น ดังนั้น, อัลจึงไม่อยากกลายเป็นจักรพรรดิด้วยตัวเอง


 


มันไม่ได้เกินจริงเลยถ้าจะบอกว่าการได้เห็นลีโอกลายเป็นจักรพรรดิที่ยอดเยี่ยมคือความฝันของอัล นี่คือสาเหตุที่มิทสึบะค่อนข้างเป็นห่วงเขา


 


เพราะเธอรู้สึกว่าอนาคตที่อัลวาดเอาไว้ในหัวนั้นไม่ได้มีตัวเขารวมอยู่ด้วย


 


“รายงานครับ, พวกเราพึ่งได้รับรายงานจากผู้ส่งสารของเราว่าเจ้าชายลีโอนาร์ดกับเจ้าชายอาร์โนลด์กำลังจะถึงในเร็วๆนี้”


 


“จริงหรอ!?”


 


“อุ๊ยตาย, ถ้างั้นพวกเราออกไปต้อนรับสองคนนั้นกันเถอะ”


 


มิทสึบะเก็บความเป็นห่วงเล็กๆนี้เอาไว้ในใจเธอ


 


มันยังไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้


 


“แค่ก, แค่ก…….หนาวๆยังไงไม่รู้เนอะ พวกเราสวมเสื้อคลุมออกไปดีกว่า…….”


 


“ไม่สบายอีกแล้วหรอคะ?”


 


“จ้ะ, แต่เดี๋ยวก็หายแหล่ะ”


 


พอพูดจบ, มิทสึบะก็จับมือคริสต้าแล้วมุ่งหน้าออกไปพบเจ้าชายทั้งสองที่กำลังกลับมา

 

 

 


ตอนที่ 53

 

 


ในห้องบัลลังก์, จักรพรรดิและลูกๆของเขาได้มารวมตัวกัน


 


ที่นั่น, ลีโอได้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และในขณะนี้, ฉันก็กำลังคุกเข่าอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆเผื่อในกรณีที่มีคำถามอะไร


 


“หลังจากเอาชนะมังกรทะเลได้, ราชรัฐอัลบราโทรกับราชรัฐรอนดิเน่ก็กลับมาทำสัญญาเป็นพันธมิตรกันใหม่ ความขัดแย้งทางใต้น่าจะทุเลาลงไปซักพักนึงครับ”


 


“อืม, ทำได้ดีมาก ดูเหมือนว่าข้าจะให้งานกับเจ้าหนักกว่าที่คิดเอาไว้นะ แต่ถึงอย่างนั้น, เจ้าก็ยังแสดงให้เห็นถึงทักษะในการกอบกู้สถานการณ์ของเจ้า”


 


“ขอบใจมากจริงๆ”


 


ท่านพ่อดูพึงพอใจในขณะที่เขาชื่นชมลีโอ


 


เอาเถอะ, มันก็แน่แหล่ะนะ


 


พวกเราไม่ต้องจัดการกับความขัดแย้งทางใต้อีกแล้วและชื่อเสียงของจักรวรรดิก็เติบโตขึ้นจากการเอาชนะมังกรทะเล


 


แถมราชรัฐอัลบราโทรยังประกาศอย่างเป็นทางการด้วยว่าพวกเขาอยากจะสานสัมพันธ์ทางการทูตกับจักรวรรดิ หลังจากจบเหตุการณ์นี้ก็มีแต่เรื่องดีๆเข้ามา


 


และเครดิตทั้งหมดก็ต้องยกให้ลีโอ


 


 


“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องมอบรางวัลให้เจ้าด้วยแล้วหล่ะ ลีโอนาร์ด, เจ้าอยากได้อะไรรึเปล่า? สำหรับความสำเร็จระดับนี้, เจ้าจะขอตำแหน่งรัฐมนตรีก็ยังได้เลยนะรู้ไหม?”


 


ในตอนนั้นเอง, ใบหน้าของรัฐมันตรีพร้อมกับพวกพี่ๆของเราต่างก็ตัวแข็งทื่อ


 


เอริคเป็นราชวงศ์คนเดียวที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีและท่านพ่อก็พึ่งพูดออกมาว่าเขาจะมอบตำแหน่งที่มีอำนาจเทียบเท่ากันนี้ให้กับลีโอ


 


แน่นอนว่าการพัฒนานี้สร้างความไม่พอใจให้กับกอร์ดอนและซานดร้าซึ่งเป็นขุมอำนาจที่อยากจะเอาคนของตัวเองเข้าไปนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรี


 


ส่วนเอริค, สีหน้าของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแต่สายตาที่อยู่ข้างหลังแว่นนั้นเย็นชากว่าปกติ


 


อย่างไรก็ตาม, การได้รับอำนาจครึ่งๆกลางๆแบบนี้จะก่อให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น, พวกเราอาจจะตกเป็นเป้าโจมตีจากทุกด้านก็ได้


 


รัฐมนตรีกระทรวงวิศวะกรรมเป็นของเราแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาคนไปลงตำแหน่งนี้เพิ่มอีก ฉันได้คุยกับลีโอเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว


 


“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับข้อเสนอนี้จากท่านนะครับแต่ตัวข้าในตอนนี้ยังไม่เหมาะสมกับหน้าที่ระดับนั้น”


 


“เข้าใจหล่ะ ถ้างั้นมีอยากอื่นที่เจ้าต้องการไหม?”


 


ท่านพ่อเองก็ไม่สามารถปล่อยผ่านไปโดยไม่ให้รางวัลได้


 


ถ้าเขาไม่ทำ, เขาก็จะไม่สามารถให้รางวัลกับความสำเร็จที่รองลงมาจากลีโอได้ ในบรรดาผู้คนที่ถูกเสนอให้รับรางวัลคงทำได้แค่ปฏิเสธเพราะเจ้าชายลีโอนาร์ดเองก็ปฏิเสธ


 


“ครับ ก่อนที่ข้าจะออกไปทำภารกิจ, ข้าได้ถูกเด็กสาวจากเขตใต้คนนึงขอร้องให้ช่วยตรวจสอบเหตุการณ์ที่หมู่บ้านของเธอ ข้าบอกเธอไปว่าข้าไม่สามารถทำได้เพราะข้าต้องออกนอกประเทศในฐานะทูตแต่เนื่องจากข้าสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย, ข้าก็เลยอยากจะช่วยเธอครับ”


 


“หืม? นี่เจ้าจะของานเพิ่มเป็นรางวัลหรอเนี่ย เจ้านี่ขยันจริงๆนะ เจ้าเองก็คิดเหมือนกันรึเปล่า? อาร์โนลด์


 


“ครับ, ข้าเลียนแบบเขาไม่ได้เลย”


 


“หึ, ก็คงจะจริงนะ แล้ว? เหตุการณ์อะไรที่เธออยากให้เจ้าช่วย?”


 


“ดูเหมือนว่าผู้คนในหมู่บ้านของเธอจะถูกลักพาตัวครับ”


 


“ทำไมเธอไม่ไปหาลอร์ดท้องถิ่นหล่ะ, ทำไมเธอถึงเข้าหาเจ้าโดยตรง?”


 


“…..เธอบอกว่าลอร์ดไม่ยอมเคลื่อนไหวแม้ว่าเธอจะรายงานสถานการณ์ไปแล้วก็ตาม”


 


“อะไรนะ?”


 


สีหน้าของจักรพรรดิที่เต็มไปด้วยความสุขจนถึงตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นความขุ่นเคืองในทันที


 


เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน


 


ท่านพ่อได้รับผู้ลี้ภัยทุกคนมาเป็นประชากรของจักรวรรดิเพื่อต่อต้านข้อเรียกร้องจากจักรวรรดิโซคัล หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, หมู่บ้านทั้งหลายของทุกเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในจักรวรรดินั้นได้ถูกยอมรับว่าเป็นหมู่บ้านของจักรวรรดิมาตั้งแต่ตอนนั้น


 


“หมู่บ้านนั่นสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”


 


“เนื่องจากเด็กสาวบอกว่าเธอเกิดในหมู่บ้านนั้น, หมู่บ้านก็น่าจะมีอยู่มานานกว่าสิบเอ็ดปีแล้วครับ”


 


“เจ้าพวกชั่ว! พวกมันกล้าละเลยประกาศิตของข้าอย่างนั้นหรอ!?”


 


จักรพรรดิที่เดือดดาลลุกขึ้นมาจากบัลลังก์


 


ทุกคนที่อยู่ในห้องบัลลังก์คุกเข่าลงและขอขมาองค์จักรพรรดิ


 


นายกรัฐมนตรีฟรานซ์พยายามจะสงบสติอารมณ์ของเขา


 


“โปรดระงับความโกรธลงก่อนเถอะครับ, ฝ่าบาท”


 


“จะให้ข้าใจเย็นกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนข้าได้มอบประกาศิตให้กับลอร์ดทุกคน! ข้าบอกไปว่าผู้ลี้ภัยทุกคนถือเป็นประชากรของจักรวรรดิ! และตอนนี้พวกมันก็มาขัดคำสั่งของข้าอย่างโจ่งแจ้ง! การขัดประกาษิตของข้ามันก็เหมือนกับการดูถูกข้านั่นแหล่ะ!”


 


“พวกเรายังไม่แน่ใจนะครับ นี่คือสาเหตุที่ทำไมองค์ชายลีโอนาร์ดถึงบอกว่าเขาอยากจะตรวจสอบเรื่องนี้”


 


“ไม่! ข้าจะเป็นหัวหน้าการตรวจสอบนี้เองและถ้ามันเป็นเรื่องจริงข้าจะตัดหัวลอร์ดพวกนั้นซะ!”


 


“ประเทศจะเดินหน้าด้วยตัวเองไม่ได้นะครับถ้าจักรพรรดิลงไปแทรกแซงปัญหาที่ชายแดนด้วยตัวเองแบบนั้น ได้โปรดฝากเรื่องนี้เอาไว้กับองค์ชายลีโอนาร์ดเถอะครับ, ฝ่าบาท”


 


คำแนะนำของฟรานซ์สามารถทำให้ความพิโรธของจักรพรรดิสงบลงได้


 


ฉันคิดว่านี่คงจะจบลงด้วยการที่ลีโอถูกสั่งให้ไปตรวจสอบเขตใต้แต่ถึงอย่างนั้น, กลับมีสองคนที่เสนอตัวรับหน้าที่นี้


 


“ฝ่าบาท ลีโอนาร์ดพึ่งจะทำภารกิจเสร็จ ให้ข้าจัดการเรื่องนี้เองเถอะค่ะ”


 


“ไม่ครับ, ฝ่าบาท ลีโอนาร์ดพึ่งจะกลับมาและซานดร้าก็เป็นผู้หญิง, เดี๋ยวข้าจัดการให้เองครับ, ข้าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ข้าไม่ได้ออกแรงซะนานจนร่างกายเริ่มหย่อนยานแล้ว ข้าจะแสดงให้พวกเขาได้เห็นถึงความสำคัญของกฏหมายจักรวรรดิเองครับ”


 


คนแรกที่เสนอตัวก็คือซานดร้า แน่นอนว่า, เขตใต้คือสถานที่ที่ครอบครัวฝั่งแม่ของซานดร้ามีอิทธิพลอยู่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นทางใต้, ขุมอำนาจของซานดร้าก็จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก


 


ส่วนทางด้านของกอร์ดอนนั้น, เขาแค่อยากรีบสร้างความสำเร็จให้ตัวเอง กอร์ดอนเป็นแม่ทัพแต่ถ้าเกิดไม่มีสงคราม, มันก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะได้แสดงพรสวรรค์ทางการทหารของเขา


 


อย่างไรก็ตาม, พวกเขาทั้งคู่ควรจะดูอารมณ์ของท่านพ่อให้ดีก่อน


 


“พวกเจ้าทั้งสองคน! นี่พวกเจ้าคิดใจเอาเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ในสงครามผู้สืบทอดอย่างนั้นหรอ!?”


 


พอพูดจบ, ความโกรธของท่านพ่อก็ถูกจุดอีกครั้ง


 


พวกเขารีบร้อนจะสร้างความสำเร็จจนทำตัวสะเพร่าเกินไป ปัญหาผู้อพยพคือเรื่องที่ท่านพ่อกังวลมาโดยตลอด


 


แค่เพราะจักรพรรดิประกาศออกมาแบบนั้น, มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมองผู้อพยพเป็นประชาชนของจักรวรรดิ นอกจากเมืองหลวงของจักรวรรดิและเขตปริมณฑล, การเลือกปฏิบัติกับผู้อพยพพวกนี้ยังมีอยู่, โดยเฉพาะที่ชายแดน เรื่องราวของหมู่บ้านที่ลินเฟียอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย


 


แต่สิ่งที่ผิดปกติในครั้งนี้ก็คือการที่ลินเฟียมาถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิด้วยตัวเองด้วยความคิดที่ว่าเรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขถ้ามันไปถึงหูของคนในราชวงศ์


 


และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่คือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของท่านพ่อโดยตรง ใครก็ตามที่คลี่คลายปัญหานี้ได้จะต้องเพิ่มความประทับใจของท่านพ่อได้อย่างแน่นอน


 


“นี่ไม่ใช่ปัญหาของพวกเจ้า, แต่มันเป็นปัญหาของข้า! ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าใช้มันเพื่อสงครามผู้สืบทอดหรอก! โง่จริงๆ! แล้วก็ซานดร้า! แม่ของเจ้ามาจากทางใต้ไม่ใช่รึไง! เจ้าอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยก็ได้! ส่วนกอร์ดอน! เจ้ามักจะใช้กำลังในการแก้ไขปัญหาดังนั้นไม่มีทางที่ข้าจะฝากฝังเรื่องที่ละเอียดอ่อนแบบนี้เอาไว้กับเจ้าหรอก! หัดใช้หัวซะบ้าง, พวกเจ้าทั้งคู่เลย!”


 


““ป, โปรดอภัยให้พวกเราด้วยครับ/ค่ะ…..””


 


ทั้งสองคนถอยลงไปด้วยการตำหนิของท่านพ่อ


 


เพราะท่านพ่อค่อนข้างโกรธพวกเขา, เขาจึงถอนหายใจออกมาเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองก่อนที่เขาจะหันไปมองลีโอ


 


“ลีโอนาร์ด ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้ตรวจสอบ จงไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียดหล่ะ”


 


“ครับ, ฝ่าบาท!”


 


“ห้ามให้มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น จงลากคอพวกคนบาปออกมา การลักพาตัวถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงในจักรวรรดิ และการละเลยพวกมันก็ถือเป็นอาชญากรรมเหมือนกัน ห้ามแสดงความเห็นใจกับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หล่ะ”


 


ท่านพ่อสั่งลีโอด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว


 


ด้วยการเหลือบมองซานดร้า, ฉันก็เห็นสีหน้ากังวลของเธอ


 


อาการแบบนี้ก็หมายความว่าครอบครัวฝั่งแม่ของเธอน่าจะมีส่วนเอี่ยวด้วย ถ้าสิ่งที่ลินเฟียพูดเป็นความจริงและลอร์ดท้องถิ่นเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวพวกนี้มันก็แสดงว่าครอบครัวฝั่งแม่ของซานดร้าน่าจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง


 


นี่เป็นคดีที่ถือได้ว่าหินมากแต่ถ้าพวกเราคลี่คลายได้มันก็จะเป็นการโจมตีขุมอำนาจของซานดร้าอย่างรุนแรง


 


ตอนนี้เธอเตรียมเสียใจได้เลยที่ไม่สามารถขยี้ขุมอำนาจของลีโอได้ในช่วงที่พวกเราไม่อยู่


 


ด้วยคดีนี้, ลีโอก็จะกลายเป็นตัวเต็งจักรพรรดิทั้งในนามและในความเป็นจริง ผู้คนจะเข้ามาอยู่ฝั่งเขามากขึ้นและขุมอำนาจของพวกเราก็จะไม่มีทางถูกขยี้ได้ง่ายๆ


 


ขุมอำนาจของพวกเราจะมั่นคงและนับจากนี้ไปมันคือการต่อสู้ของจริง


 


“การประชุมจบลงเพียงเท่านี้ ทุกคนแยกย้ายได้”


 


ในตอนที่ท่านพ่อพูดออกมาแบบนั้น, ฉันก็เตรียมตัวออกไป


 


แต่ว่า


 


“อาร์โนลด์ ช่วยอยู่ต่ออีกสักแปบนึงได้ไหม”


 


“ครับ?”


 


“อยู่เถอะหน่า”


 


“ครับ……”


 


ไหงเป็นเราคนเดียวหล่ะ……


 


ด้วยความคิดนี้, ฉันก็อยู่ในห้องบัลลังก์ต่อ


 


จากนั้น, ก็เหลือแค่ฉัน, ท่านพ่อและนายกรัฐมนตรีฟรานซ์ที่ยังอยู่ในห้องบัลลังก์


 


ในขณะที่ฉันกำลังสงสัยอยู่ว่าเขาจะพูดอะไร, ท่านพ่อก็ขยับปากเหมือนจะพูดอะไรอยู่สองสามครั้งแต่เขาก็ถอดใจแล้วโยนเรื่องนี้ให้ฟรานซ์เป็นคนจัดการ


 


“ฝากเจ้าอธิบายแล้วกันนะ! ฟรานซ์!”


 


“ท่านบอกจะพูดเองไม่ใช่หรอครับ”


 


“ช่างมันเถอะหน่า, เจ้านั่นแหล่ะอธิบายซะ!”


 


“เห้อ……องค์ชายอาร์โนลด์ เหตุผลที่พวกเราอยากให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อคนเดียวก็คือว่ามันมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงลำดับหนึ่งที่ตอนนี้อยู่ที่ชายแดนตะวันออกครับ”


 


“มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรอ?”


 


“อันที่จริงคือ….พวกเรารับคำขอแต่งงานมาให้เธอ”


 


“ข้าขอปฏิเสธ”


 


พอได้ยินการปฏิเสธอย่างทันควันของฉัน, ท่านพ่อกับฟรานซ์ก็มีสีหน้าทุกข์ใจ


 


จริงๆเล้ย, คงไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าสีหน้าแบบนี้จะแสดงออกมาจากจักรพรรดิกับนายกรัฐมนตรีของจักรวรรดิ


 


“ช, ช่วยอย่าพูดแบบนั้นเลยนะครับ…..ฝ่าบาทมีลูกสาวแค่สามคน องค์หญิงคริสต้ายังเด็กเกินไปส่วนองค์หญิงซานดร้าก็เอาแต่พูดว่าจะไม่ยอมแต่งงานลูกเดียว”


 


“นี่แหล่ะครับคือสาเหตุที่ทำไมการให้เธอแต่งงานถึงเป็นเรื่องไร้สาระ ท่านก็รู้ไม่ใชหรอว่าเธอเป็นจอมพลที่มีหน้าที่ดูแลแนวหน้าทางฝั่งตะวันออกทั้งหมด? จักรวรรดิของเรามีจอมพลอยู่แค่สามคนเท่านั้นเองไม่ใช่หรอครับ? และคนๆเดียวที่สามารถให้คำสั่งเธอได้ก็คือท่านพ่อไม่ใช่หรอ?”


 


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, แต่ถ้าปล่อยไปแบบนี้เธอจะไม่มีวันได้เป็นเจ้าสาวนะ! เธอก็อายุตั้งยี่สิบห้าแล้วเจ้าก็รู้นี่!?”


 


“ถ้าท่านคิดแบบนั้นทำไมไม่ไปบอกเธอด้วยตัวเองหล่ะครับ?”


 


“ข้าส่งจดหมายไปเยอะแล้ว! แต่เธอก็ปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง! ยัยลูกสาวเนรคุณนั่น! เธอบอกว่าเธอจะเลิกเป็นราชวงศ์ถ้าพวกเราบังคับให้เธอแต่งงาน!”


 


“ในเมื่อเธอไม่อยากแต่งงานก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ครับ……..”


 


“ข้าเป็นพ่อของเธอนะ! ข้ามีหน้าที่ต้องเป็นห่วงอนาคตของลูกสาว! ฟังให้ดีๆหล่ะ, อาร์โนลด์! เจ้าสนิทกับคริสต้าและพี่สาวคนโตของเจ้า เขียนจดหมายไปหาเธอและโน้มน้าวให้เธอกลับมาที่จักรวรรดิซะ หรือถ้าเจ้าโน้มน้าวเธอไม่ได้เจ้าก็ต้องไปที่ชายแดนตะวันออกด้วยตัวเอง!”


 


นี่มันเป็นคำสั่งที่ไร้เหตุผลชะมัด


 


ถ้าจะทำถึงขนาดนั้นแค่สั่งให้เธอมาที่นี่ในฐานะจักรพรรดิก็ได้ไม่ใช่หรอ?


 


แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เข้าใจเหตุผลของเขา เขาไม่อยากถูกเกลียด


 


พี่สาวคนโตของฉันกับคริสต้าเป็นลูกสาวของภรรยาลำดับสองที่ท่านพ่อรักมากเป็นพิเศษ และด้วยความพิเศษนี้เอง, ท่านพ่อถึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับลูกสาวคนโตที่มีใบหน้าแทบจะเหมือนกับภรรยาลำดับสอง


 


ฉันถอนหายใจและพยักหน้าให้เขาเหมือนกับไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แย่ชะมัด, มันไม่มีอะไรที่ฉันทำได้ที่นี่นอกจากพยักหน้ารับคำ


 


เห้ออ, รู้สึกว่าจะเจอปัญหาอีกแล้วสิ

 

 

 


ตอนที่ 54

 

“คำขอแต่งงานขององค์หญิงลำดับหนึ่งหรอคะ?”


 


“ใช่, เป็นปัญหาสุดๆเลยหล่ะ”


 


ในตอนที่ฉันกลับมาถึงห้อง, ฟีเน่ก็ทักทายฉันด้วยขนมและน้ำชา


 


ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในขณะที่ฉันหยิบขนมขึ้นมาชิ้นนึง


 


“ข้าไม่เคยเจอเธอมาก่อนแต่ก็พอได้ยินข่าวลือมาอยู่บ้าง องค์หญิงเป็นนายพลที่ประสบความสำเร็จทางการทหารมามากมายในหลากหลายสนามรบ ชื่อเสียงของเธอไปไกลถึงประเทศอื่นๆ, บางคนถึงกับบอกว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ”


 


“ก็ไม่ถือว่าผิดหรอก อันที่จริง, เมื่อห้าปีก่อน, ที่การบุกรุกของโซคัลยุติลงก็เพราะเธอเป็นคนคอยปกป้องชายแดนทางตะวันออกเมื่อตอนนั้น เธอปฏิรูปการป้องกันชายแดนใหม่และทำให้มันแข็งแกร่งกว่าเคย”


 


“เธอดูเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจังเลยนะคะ แล้วตัวจริงเป็นคนยังไงหรอคะ?”


 


ฟีเน่ถามในขณะที่รินชาใส่แก้วเปล่า


 


ในขณะที่กำลังนึกภาพเธอ, ฉันก็จิบชาและคิดถึงลักษณะนิสัยของพี่สาวคนโตของฉัน


 


อืมมมมม……


 


“ถ้าให้ใช้คำๆเดียวอธิบายตัวตนของเธอก็คงจะเป็น ‘ทหาร’ หล่ะมั้ง?”


 


“ท, ทหารหรอคะ…..?”


 


“อ่า, ทหาร ไม่ใช่อัศวินนะแต่เป็นทหาร เธอคือตัวแทนของคำๆนี้”


 


“ข้านึกภาพของเธอไม่ออกเลยค่ะ…..”


 


“ถ้าเจ้าได้เจอเธอก็คงจะเข้าใจเองแหล่ะ เธอไม่ใช่อัศวินเหมือนกับเอลน่า เธอเป็นทหาร สิ่งที่เธอชอบก็คือสนามรบ เธอไม่ได้มีอุดมคติที่สวยงามอย่างการสู้กันซึ่งๆหน้าในสนามรบ เธอยินดีที่จะใช้ทุกวิธีการตราบใดที่มันทำให้เธอชนะ เธอเป็นคนที่เปิดกว้างมากในเรื่องนี้ ในตอนที่พี่ชายคนโตของพวกเรา, มงกุฎราชกุมารเสียชีวิต, เธอถึงกับออกปากประกาศเองเลยว่าเธอจะไม่เข้าร่วมสงครามผู้สืบทอด เธอบอกว่าเธอจะทำหน้าที่เป็นจอมพลให้กับใครก็ตามที่ได้กลายเป็นจักรพรรดิ


 


และก็ต้องขอบคุณเรื่องนี้ที่ทำให้เจ้าหน้าทหารหลายคนหันไปสนับสนุนกอร์ดอนแทน


 


สำหรับเจ้าหน้าที่ทหารที่อยากประสบความสำเร็จทางการทหาร, พวกเขาก็คงอยากให้จักรพรรดิเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นตัวเลือกของพวกเขาจึงมีแค่เธอหรือไม่ก็กอร์ดอน


 


ถ้าเธอเข้าร่วมในสงครามผู้สืบทอดตอนนี้กอร์ดอนก็คงจะเข้าร่วมกับฝั่งเธอไปแล้ว


 


“กองทัพไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง พวกเขาควรจะให้ความสำคัญแค่การคุ้มกันประเทศก็พอแล้ว เธอคิดว่านี่คือแนวคิดที่ถูกต้องสำหรับทหารและนำมาปฏิบัติจริงด้วย”


 


“ข้าคิดว่าเธอดูแตกต่างจากข่าวลือที่ได้ยินมายังไงไม่รู้สิ……ในข่าวลือ, เธอดูเป็นคนที่สง่างามกว่านี้……..”


 


“เธอก็สง่างามอยู่แล้วนะ เธอมีผมบลอนด์สวย, ตัวสูง แค่ยืนอยู่เฉยๆก็มีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้คนหันมามองแล้ว ถึงบรรยากาศรอบตัวจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ว่าเธอก็พอจะคล้ายกับเจ้าอยู่นะ”


 


“เอ่อ……ขอบคุณมากค่ะ”


 


จู่ๆฟีเน่ก็หน้าแดงขึ้นมาแล้วเธอก็ก้มหน้าลง


 


ในตอนที่ฉันกำลังสงสัยอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น, เซบาสก็โผล่เข้ามาอย่างกระทันหัน


 


“ที่ท่านฟีเน่เขินก็เพราะท่านบอกว่าพี่สาวของท่านงดงามและบอกว่าท่านฟีเน่ว่าคล้ายกับเธอครับ แบบนี้มันก็เหมือนกับบอกว่าท่านฟีเน่สวยนั่นแหล่ะครับ”


 


“ก็น่าจะชินกับคำพูดพวกนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ? เป็นพวกขี้อายรึไง?”


 


“ค, ค่ะ! แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนพูดด้วย……”


 


“งั้นหรอ ข้าไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกพวกนี้ซักเท่าไหร่”


 


ในขณะที่ฟีเน่ยังคงเขินกับเรื่องนี้, เซบาสก็ส่งเอกสารมาให้ฉัน


 


เซบาสตรวจสอบข้อมูลคนที่มาขอหมั้นพี่สาวของฉันเอาไว้ให้ล่วงหน้า และก็เป็นดังคาด, พ่อของฉันคงไม่รับคำขอแบบนี้จากคนแปลกๆหรอก แต่ถึงอย่างนั้น, ถ้าเป็นคนประเภทที่พี่สาวของฉันเกลียดเธอก็อาจจะพลอยเกลียดฉันไปด้วยเหมือนกัน


 


อย่างไรก็ตาม, เท่าที่ฉันดูก็ไม่มีจุดที่ผิดแปลกอะไร


 


เอาเถอะ, มันก็แน่หล่ะนะ, เพราะนี้ป็นคำขอสำหรับพี่สาวของฉันนี่หน่า


 


“ในเมื่อเขามาขอพี่สาวของฉันแต่งงาน, ก็แสดงว่าคนๆนี้ต้องเป็นคนกล้าหาญอยู่พอสมควรเลยนะ”


 


“ก็จริงนะครับ เธอมีชื่อเสียงในฐานะเจ้าหญิงแม่ทัพผู้ไร้พ่ายซึ่งดูคล้ายกับภรรยาลำดับสองมากๆ ดูเหมือนว่าจักรพรรดิเองก็ดูจะถูกใจเขาเหมือนกัน”


 


“ภรรยาลำดับสอง นั่นก็แม่ขององค์หญิงคริสต้าไม่ใช่หรอคะ”


 


“พวกเธอมีแม่คนเดียวกัน ภรรยาลำดับสองเป็นคนสวยที่มีผมสีทองเหมือนกัน ข้าจำได้ว่าเธอเป็นคนอ่อนโยนที่ใจดีกับทุกคน”


 


“ข้าพอเดาสาเหตุที่ท่านพ่อถูกใจเจ้าได้อยู่นะ, ฟีเน่ เนื่องจากพี่สาวของข้าโตมามีนิสัยคนละขั้วกับภรรยาลำดับสอง, ส่วนเจ้าก็คือสิ่งที่ท่านพ่ออยากให้เธอเป็นจริงๆ ถ้าเจ้าทั้งคู่มายืนคู่กันแล้วถามใครซักคนว่า, ใครเป็นลูกสาวของภรรยาลำดับสอง, ไม่ว่าใครก็คงจะเลือกฟีเน่อย่างแน่นอน”


 


“งั้นหรอคะ? ข้ารู้สึกเป็นเกียรติจังเลยค่ะ”


 


เอาจริงดิ?


 


ฟีเน่ยิ้มกว้างใส่ฉัน


 


ฉันคิดว่าตรงส่วนที่เชื่อฟังของเธอนี้คงเรียกคะแนนจากท่านพ่อได้สูงจริงๆ


 


“เอาเถอะ, แต่เนื่องจากเธอเป็นแบบนี้ท่านพ่อก็เลยห่วงอยู่ว่าเธอจะกลายเป็นเจ้าสาวไม่ได้ เธอเป็นพี่สาวคนโตสุดดังนั้นในตอนที่เขาเอาคำขอแต่งงานไปให้ซานดร้า, เธอก็สามารถอ้างได้ว่าพี่สาวคนโตสุดของพวกเรายังไม่ได้แต่งงานเหมือนกัน”


 


“แต่ว่าจักรพรรดิไม่ค่อยชอบใจภรรยาลำดับห้ามาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอครับ, เพราะฉะนั้นพระองค์คงไม่สนเรื่องการแต่งงานของท่านซานดร้าหรอกครับ”


 


“ฝ่าบาทไม่ชอบเธอหรอคะ? ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิรักภรรยาทุกคนเท่าๆกันไม่ใช่หรอ?”


 


ฟีเน่ขมวดคิ้วให้กับคำพูดของเซบาส


 


อืมม, พูดเรื่องพวกนี้กับฟีเน่จะดีไหมนะ


 


ในขณะที่ฉันกำลังลังเลอยู่, สายตาของฉันก็มองไปที่เซบาสแล้วเขาก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


เข้าใจหล่ะ เขากำลังจะบอกให้ฉันเล่าทุกอย่างให้เธอฟังสินะ


 


เอาเถอะ, ถ้านี่คือสิ่งที่เขาคิดฉันก็ไม่มีอะไรจะคัดค้านหรอก


 


“ถ้ามองจากภายนอก, พวกเขาก็ดูสนิทกันดีอยู่หรอก และเขาก็ไม่ได้รักลูกแต่ละคนไม่เท่ากันด้วย แต่ว่ามันมีข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับภรรยาลำดับห้าอยู่”


 


“ข่าวลือหรอคะ?”


 


“มันมีข่าวลือว่าภรรยาลำดับห้าเป็นคนลอบสังหารภรรยาลำดับสอง”


 


“มีการลอบสังหารกันเองในตำหนักในด้วยหรอคะ…..?”


 


“มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกสำหรับตำหนักในหรอก โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญอย่างสงครามผู้สืบทอดหรือตอนที่พวกเธอให้กำเนิดลูก ในตอนนั้นมุงกุฎราชกุมารยังมีชีวิตอยู่, และคริสต้าก็พึ่งจะเกิด แม้ว่าเธอจะเป็นที่ถูกใจขององค์จักรพรรดิ, แต่ภรรยาลำดับสองมีแค่ลูกสาวดังนั้นเธอจึงไม่ได้มีตำแหน่งที่สำคัญอะไร และเธอก็ไม่ใช่คนที่จะตกเป็นเป้าในการลอบสังหารด้วย”


 


“แล้วทำไมถึงมีข่าวลือแบบนั้นหล่ะคะ?


 


อืม, นั่นแหล่ะคือประเด็น


 


ภรรยาที่ไม่น่าจะตกเป็นเป้าลอบสังหารจู่ๆก็จากโลกนี้ไปอย่างกระทันหัน


 


ทีมสืบสวนถูกจัดตั้งขึ้นในทันทีแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจทราบสาเหตุการตายได้


 


เพราะเหตุนี้เอง, คนที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือภรรยาลำดับห้า


 


“เนื่องจากภรรยาลำดับสองกับลำดับห้านั้นยังสาวแถมยังเป็นบุตรีของดยุคกันทั้งคู่ก็เลยมักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกันอยู่บ่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้น, ไม่เหมือนกับภรรยาลำดับสองที่ท่านพ่อแต่งงานด้วยความรัก, ภรรยาลำดับห้านั้นเป็นคนที่เขาแต่งงานผ่านการแต่งงานทางการเมือง ทั้งคู่ต่างก็ให้กำเนิดลูกสาว, แต่ว่าภรรยาลำดับสองนั้นเป็นคนที่ให้กำเนิดก่อน เมื่อเปรียบเทียบชื่อเสียงของลูกสาวของพวกเธอ, ลูกสาวของภรรยาลำดับสองนั้นยังมีศักดิ์ศรีดีกว่า ซานดร้าเป็นคนที่เก่งมาตั้งแต่เด็กแล้วแต่ว่านิสัยของเธอก็ยังคงเป็นปัญหา และเพราะเจตนาที่ไม่ดีกับการแข่งขันอย่างเงียบๆระหว่างพวกเธอนี้เอง, ข่าวลือแบบนี้จึงเริ่มกระจายไปทั่ว”


 


“นี่คือต้นตอของข่าวลือหรอคะ? เธอถูกลอบสังหารเพราะความอิจฉาหรอ?”


 


“ความจริงเป็นยังไงข้าเองก็ไม่รู้หรอก แต่ในตอนนั้นภรรยาลำดับห้ามีข้อแก้ต่างที่ชัดเจน ในตอนที่ภรรยาลำดับสองจากไปภรรยาลำดับห้าอยู่ด้วยกันกับองค์ราชินี เธอไม่สามารถฆ่าภรรยาลำดับห้าได้, อย่างน้อยก็ในทางตรงหล่ะนะ ยิ่งไปกว่านั้น, การสืบสวนก็ไม่ได้พบอะไรที่นำไปสู่การฆาตรกรรมเลยด้วย แต่ว่า, ภรรยาลำดับห้าก็ยังคงถูกต้องสงสัยอยู่เพราะเธอเป็นคนที่สอนเวทมนตร์ให้ซานดร้า”


 


“เธอเป็นอาจารย์ขององค์หญิงซานดร้าหรอคะ?”


 


“เวทมนตร์ที่ข้าใช้คือเวทย์โบราณ หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, มันเป็นเวทย์ที่ไม่สามารถส่งต่อให้คนอื่นได้ ในทางกลับกัน, เวทมนตร์สมัยใหม่นั้น, คือเวทมนตร์ที่ใช้กันโดยทั่วไปในโลกนี้ ในบรรดาเวทมนตร์สมัยใหม่, ซานดร้านั้นเชี่ยวชาญเวทมนตร์ต้องห้าม, ซึ่งเป็นเวทมนตร์ที่บรรพบุรุษของพวกเราที่เป็นคนเผยแพร่เวทมนตร์สมัยใหม่ให้กับโลกนี้ได้ห้ามเอาไว้”


 


แต่ก็นะ, เวทย์ต้องห้ามมันก็มีอยู่ทุกรูปแบบนั่นแหล่ะ


 


ในขณะที่บางคนสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงต้องห้ามใช้เวทมนตร์พวกนั้น, มันก็มีอีกส่วนนึงที่บอกว่าเวทมนตร์พวกนี้ไม่ควรถูกนำมาใช้


 


ซานดร้าได้ศึกษาเวทมนตร์ต้องห้ามพวกนี้ การมีส่วนร่วมในการวิจัยเวทมนตร์ต้องห้ามของเธอนั้นเป็นที่รู้จักกันดีจากนักเวทย์ทั่วจักรวรรดิ


 


จากมุมมองของนักเวทย์, ซานดร้าเป็นคนที่พวกเขาชื่นชมอย่างมากเพราะเธอได้ไขความลึกลับมากมายที่เกี่ยวกับเวทมนตร์ต้องห้าม มีเวทมนตร์ที่สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นและมีเวทมนตร์ต้องห้ามทุกรูปแบบที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น, เวทมนตร์พวกนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นเวทย์ที่ทรงพลังทั้งนั้น”


 


และคนแรกที่เริ่มเดินบนเส้นทางนี้ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่ของซานดร้า, ภรรยาลำดับห้า


 


“ซานดร้าอ้างว่าเวทมนตร์ต้องห้ามนั้นสามารถนำมาใช้ในเรื่องดีๆได้แต่ไม่ว่าใครจะคิดยังไง, มันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระบวนการที่เธอใช้ในการเรียนรู้เวทมนตร์ต้องห้ามพวกนี้เป็นอันตราย แน่นอนว่า, แม่ของซานดร้า, ภรรยาลำดับห้าเองก็เหมือนกัน ข่าวลือเริ่มต้นขึ้นก็เพราะผู้คนสงสัยว่าอาจจะมีเวทมนตร์ต้องห้ามบางอย่างที่สามารถใช้สาปแช่งคนให้ตายได้”


 


“มีเวทมนตร์แบบนั้นอยู่จริงๆหรอคะ?”


 


“ไม่รู้สิ แต่ข้าไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้แม้ว่าจะเป็นเวทมนตร์โบราณก็ตาม เอาเถอะ, ถ้าพวกเราตั้งใจสืบพวกเราก็อาจจะเจอจริงๆก็ได้ คำสาปที่แม้แต่การสืบสวนขององค์จักรพรรดิก็ยังไม่พบร่องรอยอะไร มันไม่แปลกหรอกที่ของแบบนั้นจะมีอยู่ในบรรดาเวทมนตร์ต้องห้ามและคนที่จะค้นพบเวทมนตร์แบบนั้นได้ก็มีแค่ภรรยาลำดับห้าหรือซานดร้าที่ได้รวบรวมหนังสือและคำภีร์เวทมนตร์ต้องห้ามจากทั่วทั้งทวีป”


 


“แต่ถ้าเกิด…..มีเวทมนตร์แบบนั้นจริงๆหล่ะก็……..”


 


“ก็นะ, ไม่ว่าใครก็คงจะถูกลอบสังหารได้ นี่คือสาเหตุที่เธอตกเป็นผู้ต้องสงสัย เมื่อสามปีก่อน, มุงกุฎราชกุมารก็ตายไปเหมือนกัน มีการจัดตั้งทีมสืบสวนและก็ไม่พบหลักฐานการลอบสังหาร มันดูคล้ายกับคดีของภรรยาลำดับสอง…..ตั้งแต่นั้นมา, ท่านพ่อจึงสงสัยภรรยาลำดับห้ามาโดยตลอด แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐานอย่างเป็นทางการ, เขาจึงไม่สามารถห้ามซานดร้าไม่ให้ศึกษาเวทมนตร์ต้องห้ามได้เช่นกัน”


 


และอีกเหตุผลที่การวิจัยของซานดร้ายังไม่ถูกแบนคงเป็นเพราะมันประสบความสำเร็จด้วยหล่ะนะ


 


มีเวทมนตร์มากมายที่ซานดร้าเผยแพร่จากการศึกษาเวทมนตร์ต้องห้ามถูกนำไปเสนอต่อกองทัพในฐานะเวทมนตร์ทางการทหารและส่วนช่วยในการพัฒนาอาวุธเวทมนตร์ใหม่ๆ


 


ตราบใดที่ยังมีขุมอำนาจทางเวทมนตร์อย่างจักรวรรดิโซคัล, พวกเราก็ไม่สามารถหยุดการวิจัยในเรื่องนี้ได้ไม่อย่างนั้นนักเวทย์เก่งๆจะย้ายไปอยู่โซคัลกันหมด


 


ท่านพ่ออาจจะไม่ค่อยชอบใจกับเรื่องนี้ โดยส่วนตัวแล้ว, เขาคงอยากจะหยุดมันในทันที แต่ก็นะ, ที่เขาเป็นจักรพรรดิที่ยอดเยี่ยมก็เพราะเขาไม่ปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาแทรกแซงการตัดสินใจของเขา


 


“คนที่มีความไม่พอใจในตัวภรรยาลำดับสองซึ่งเป็นคนที่ไม่น่าจะตกเป็นเป้าลอบสังหารและสามารถทำการลอบสังหารได้โดยไม่ทิ้งหลักฐานอะไรเลย นี่คือเหตุผลที่เธอถูกสงสัยสินะคะ?”


 


“ใช่แล้วแหล่ะ แต่มันก็ยังเป็นแค่การคาดเดา มันไม่มีหลักฐานอะไรเลย ในตอนที่มงกุฎราชกุมารตาย, ทั้งภรรยาลำดับห้าและซานดร้าอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิในขณะที่มงกุฎราชกุมารอยู่ที่แนวหน้า ไม่ว่ายังไง, มันก็ยังห่างกันเกินไป แม้กระทั่งในบรรดาเวทมนตร์ต้องห้ามเอง, มันก็อาจจะไม่มีคำสาปที่ใช้ได้จากระยะไกลขนาดนั้นหรอก แต่ไม่ว่ายังไง, มันก็มีมูลเหตุมากพอที่จะทำให้ผู้คนเริ่มสงสัยในตัวพวกเธอหล่ะนะ”


 


บ้านแม่ของซานดร้าอยู่ทางใต้


 


มันคือสถานที่ที่ลีโอดำเนินการสืบสวน


 


ตำแหน่งอย่างผู้ตรวจสอบนั้นถือว่าเข้ากับลีโอ เขาเป็นคนจริงจังและใส่ใจดังนั้นเขาจะพยายามสืบหาหลักฐานอย่างเต็มที่โดยไม่ปล่อยให้พลาดไปไม่ว่ามันจะเป็นจุดที่เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม


 


แต่เขตใต้เป็นสถานที่ที่อิทธิพลของคนๆนั้นครอบคลุมอยู่


 


มันคงจะดีอยู่หรอกถ้าเธอไม่คิดจะทำอะไร


 


ฉันไม่สามารถช่วยเขาอย่างเปิดเผยได้ด้วย


 


เหตุผลที่พวกเราได้รับงานแยกกันในเวลาเดียวกันนั้นน่าจะเป็นเพราะว่าท่านพ่ออยากทดสอบความสามารถส่วนตัวของพวกเราด้วย


 


“ข้าคงทำได้แค่คอยสนับสนุนจากในเงามืดสินะ”


 


“แบบนั้นก็ไม่เห็นไปไรเลยนี่คะ ถึงยังไงนั่นก็คือสิ่งที่พวกเราทำมาโดยตลอดอยู่แล้ว”


 


“นั่นสินะ”


 


ในขณะที่บทสนทนาดำเนินต่อไปเช่นนี้, ฉันก็ยิ้มออกมาในขณะที่กินขนมที่ฟีเน่เตรียมเอาไว้ให้ฉัน

 

 

 


ตอนที่ 55

 

แม้ว่าฉันกับลีโอจะถูกมอบหมายงานให้ทำ, แต่พวกเราก็ไม่ได้รีบออกจากเมืองหลวงในทันที


 


แน่นอนว่า, มีสิ่งที่ต้องเตรียมการเอาไว้ก่อนแต่ในกรณีของฉัน, มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านพี่ด้วย


 


ดังนั้นในตอนนี้, พวกเราจึงทำทุกสิ่งที่ทำได้ในช่วงระยะเวลาที่พวกเรามีอยู่


 


ลีโอออกไปเจรจากับผู้มีอิทธิพลและเชื้อเชิญพวกเขามาเป็นผู้สนับสนุนของเรา


 


ในขณะเดียวกัน, ฉันก็ออกไปเจรจากับตัวแทนของบริษัทอะจิน


 


“เธอเป็นคนแบบไหนหรอ?”


 


“เธอเป็นคนดีค่ะ”


 


“ข้าไว้วางใจกับคำว่าคนดีของฟีเน่ไม่ได้นะ”


 


“ไว้วางใจไม่ได้หรอคะ!?”


 


เหมือนกับตกใจในสิ่งที่ฉันพูด, ฟีเน่พูดโพล่งออกมา


 


แต่นี่เป็นความจริง สำหรับฟีเน่กับลีโอ, ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ถือว่าเป็นคนดีกันทั้งนั้น


 


พวกเขามองข้อดีในตัวของผู้คนมากกว่าข้อเสีย


 


พวกเขาคือขั้วตรงข้ามของฉัน ยกตัวอย่างเช่นท่านพี่เทรา, ถ้าเป็นสองคนนี้คงจะมองส่วนดีๆของเขาก่อนในขณะที่สิ่งแรกที่ฉันจะสังเกตก็คือความอ้วนของเขา นี่อาจจะเป็นข้อแตกต่างกันไปตามแต่ละคน


 


แต่ก็น่าเศร้าที่, มุมมองแบบของฉันนั้นจะช่วยให้ใช้ชีวิตในโลกนี้ได้ง่ายกว่า


 


นี่คือสาเหตุที่ฉันรู้สึกกังวลเกี่ยวกับคนที่พวกเขาพาเข้ามาเป็นพวกด้วย


 


“ยินดีต้อนรับค่ะ องค์ชาย, ท่านพี่เน่ ตัวแทนของเรากำลังรออยู่ด้านในค่ะ”


 


“ข้าได้ฟังมาก่อนหน้านี้แล้วแต่เลขาเป็นเอลฟ์จริงๆสินะ นี่เจ้าเป็นไงมาไงถึงมาทำงานกับบริษัทอะจินได้?”


 


เลขาเอลฟ์เป็นคนที่ทักทายพวกเราที่หน้าห้อง


 


ฉันได้ยินมาจากฟีเน่แล้วแต่นี่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องแปลกอยู่ดี


 


โดยปกตินั้น, เอลฟ์จะอาศัยอยู่หมู่บ้านลับที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศ


 


หมู่บ้านของพวกเขาถูกปิดผนึกด้วยบาเรียล้อมรอบหมู่บ้านดังนั้นพวกเอลฟ์จึงไม่ค่อยออกจากหมู่บ้านของพวกเขา มีหลายคนที่เคยได้ยินเกี่ยวกับพวกเขาแต่มีอยู่น้อยคนนักที่เคยได้เจอเอลฟ์ตัวเป็นๆ


 


อายุยืนและมีหน้าตาดี, ฉันเคยได้ยินมาว่าผู้อาวุโสของพวกเขานั้นมีอายุเกินพันปีแล้ว


 


แค่การที่เอลฟ์คนนึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับคนนอกหมู่บ้านมากมายขนาดนี้ก็มากพอที่จะสร้างความประหลาดใจได้แล้ว นอกจากนี้, มันยิ่งอยากที่จะเชื่อว่าเอลฟ์แบบเธอกำลังทำงานเป็นเลขาให้บริษัทของแวมไพร์


 


“พวกเราชาวเอลฟ์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสันโดษจริงๆค่ะ มันคือลักษณะทางเผ่าพันธุ์ของเรา แต่ว่า, ข้าอยากจะเห็นผู้คนจากภายนอก ข้านั้นเป็นเอลฟ์ที่ผิดแปลกจากคนอื่น นี่คือสาเหตุที่ข้าถูกหมู่บ้านของตัวเองทอดทิ้งและออกเดินทางสู่โลกภายนอก แต่ว่าโลกภายนอกนั้นโหดร้ายกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก ในตอนนั้นเอง, ตัวแทนของเราก็ได้จ้างข้าเข้ามาในบริษัทนี้ บริษัทนี้คือสถานที่ที่รวบรวมกึ่งมนุษย์อย่างตัวข้าค่ะ”


 


“ฟังดูเป็นเรื่องราวที่ดีไม่ใช่หรอคะ ท่านอัล”


 


“ถ้าไม่ใช่เรื่องแต่งหล่ะก็นะ”


 


ฟีเน่มองฉันด้วยสายตาประมาณว่า, ท่านพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง, แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ


 


หลังจากได้ฟังคำพูดของฉัน, เลขาเอลฟ์ก็เหลือบมองฉันเล็กน้อย ด้วยทัศนคติที่ดูไม่ค่อยพอใจนี้, มันเหมือนกับเอลฟ์กำลังบอกว่า, ‘ข้าจะปล่อยให้เป็นไปตามดุลยพินิจของท่านแล้วกันนะคะ, ไม่ว่าองค์ชายจะเชื่อหรือไม่, ข้าก็ขอถอยค่ะ’


 


ดูเหมือนว่าเธอจะพูดความจริงสินะ


 


“ข้าขอโทษด้วยนะ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็เดินเข้าไปในห้องของตัวแทน


 


และนี่เองก็เป็นตอนที่เกิดเรื่องบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่ฉันได้ยินมา


 


“เป็นเกียรติที่ได้พบค่ะ, องค์ชายอาร์โนลด์ ข้าชื่อยูริยะ, ตัวแทนของบริษัทอะจิน”


 


ผมหยักศกสีเงินที่ปล่อยเอาไว้ปะบ่าอย่างลวกๆ


 


ดวงตาสีแดงที่เหมือนอัญมณีของเธอกำลังมองมาที่ฉันด้วยความสนใจ


 


ความสวยของเธอนั้นสมกับเป็นแวมไพร์จริงๆ ผิวหนังสีขาวของเธอทำให้ฉันหวนนึกถึงพวกแวมไพร์ที่ฉันเจอทางตะวันออก ในตอนที่ฉันนึกถึงเจ้าพวกนั้น, ฉันก็พลอยนึกถึงร่างของฟีเน่ที่ร่วงลงมาจากหอนาฬิกา


 


ตอนนี้สีหน้าของฉันอาจจะดูค่อนข้างไม่พอใจอยู่ดังนั้นยูริยะจึงยิ้มออกมาอย่างเจื่อนๆแล้วก้มศรีษะของเธอ


 


“ข้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยซักนิดค่ะแต่ได้โปรดขอให้ข้าได้ขอโทษแทนสำหรับสิ่งที่พี่น้องคู่นั้นทำด้วยนะคะ ข้าขอโทษด้วยจริงๆ”


 


“……ข้าทำตัวเสียมารยาทเองหล่ะ ข้าคือเจ้าชายลำดับเจ็ด, อาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์”


 


ฉันไม่สามารถทำลายเส้นสายที่ฟีเน่ออกไปหามาเพื่อฉันได้


 


ฉันรีบขอโทษและนั่งลงด้วยกันกับฟีเน่ในทันที


 


“องค์ชาย ครั้งนี้ท่านมีธุระอะไรกับพวกเราหรอคะ?”


 


“ข้าขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ เจ้าวางแผนจะใช้งานฟีเน่ยังไงบ้าง?”


 


‘ข้าอยากขอยืมชื่อของท่านฟีเน่’


 


นี่คือข้อเสนอของเธอในการร่วมมือกับพวกเรา


 


ถ้าความคิดของฉันถูกต้องขั้นแรกเธอน่าจะเริ่มด้วยการขายสินค้าของตัวเองในเมืองหลวงของจักรวรรดิในเร็วๆนี้


 


“เริ่มด้วยการถามว่าพวกเราวางแผนจะใช้งานเธอยังไงแบบนี้มันค่อนข้างหยาบคายไม่ใช่หรอคะ, องค์ชาย”


 


“ไม่ต้องพูดแบบเป็นทางการหรอก พูดธรรมดาก็ได้ ฟังเจ้าพูดแบบนั้นทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดนะ”


 


“อุ๊ย, จะดีหรอคะ? ข้าอุตส่าห์เข้าโหมดจัดการกับลูกค้าเชื้อพระวงศ์เลยนะเนี่ย”


 


“ข้าไม่ใช่ลูกค้าของเจ้า พวกเราเป็นคู่หูทางธุรกิจเพราะฉะนั้นหยุดใช้เสียงสองได้แล้ว”


 


“โอเคค่ะ, ถ้างั้นข้าหยุดก็ได้ แบบนี้มันง่ายกว่าสำหรับข้าเหมือนกัน”


 


พอพูดจบ, ยูริยะก็เผยรอยยิ้มมีเสน่ห์


 


นี่คือรอยยิ้มจากคนค้าคนขายส่วนใหญ่แต่รอยยิ้มนี้ไม่ได้มาจากใจจริงๆ


 


ด้วยการค่อยๆตะล่อมอีกฝ่ายทีละน้อย, ก่อนที่จะรู้ตัวพวกเขาก็ล้วงจนหมดกระเป๋าแล้ว


 


ยูริยะเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


“พวกเรากำลังพูดถึงวิธีการใช้งานฟีเน่อยู่สินะคะว่าแต่…..ท่านคิดเห็นยังไงหรอคะ?”


 


“อย่าตอบคำถามด้วยคำถามสิ”


 


“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่คะ ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเจ้าชายไร้ค่าจะไปได้ไกลแค่ไหน”


 


“ถ้าเจ้ารู้ฉายาของข้าก็น่าจะพอเข้าใจอยู่แล้วนี่ มันเป็นแบบนั้นจริงๆเพราะข้าไร้ความสามารถจนพวกเขาเรียกข้าว่าเจ้าชายไร้ค่าไม่ใช่รึไง”


 


หลังจากการโต้ตอบอย่างจริงจัง, ยูริยะก็เหลือบมองฟีเน่


 


ซวยหล่ะ


 


ในตอนที่ฉันคิดแบบนั้น, มันก็สายเกินไปแล้ว


 


ยูริยะแสยะยิ้ม


 


“ถึงแม้ว่าท่านจะบอกว่าตัวเองไร้ความสามารถ, แต่ดูเหมือนฟีเน่จะไม่ได้มีอาการตื่นตระหนกเลยนะคะ เอาจริงๆ, ข้ากลับรู้สึกว่าเธอเชื่อใจท่านอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำไม่ใช่หรอ?


 


“เอ๋? ค, คือว่า……”


 


“เจ้าน่าจะวางแผนโฆษณาสิ้นค้าโดยให้ฟีเน่เป็นคนใช้และถ้าเป็นไปได้ก็จะเอาภาพของเธอไปตั้งที่ร้านของเจ้าด้วยใช่ไหม”


 


เนื่องจากเธอสังเกตุเห็นปฏิกิริยาของฟีเน่แล้ว, การหลอกลวงเธอก็ไม่ได้ผลอีกต่อไป


 


เพื่อให้การสนทนาเดินหน้าไปได้, ฉันก็เลยบอกแผนธุรกิจที่ฉันคิดขึ้นมาให้เธอฟัง


 


พอได้ยินแผนนั้น, ยูริยะก็ดูค่อนข้างประหลาดใจ


 


“นี่มันน่าประหลาดใจอยู่นะคะ….ข้าคิดว่าท่านแกล้งทำตัวให้ดูไร้ค่าแต่ว่าท่านกลับฉลาดกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ซะอีก เขาว่ากันว่าเหยี่ยวที่ฉลาดจะซ่อนขาของมันเอาไว้, ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆสินะ”


 


“มันก็ไม่ใช่ว่าข้าแกล้งทำหรือปกปิดอะไรหรอก ก็แค่ข้าแสดงให้ผู้คนเห็นว่าข้าไม่มีความมุ่งมั่นในเรื่องอะไรเลย, ผู้คนก็เลยเริ่มพูดกันไปเองว่าข้าเป็นแบบนั้น”


 


“แล้วตอนนี้มันแตกต่างกันยังไงหรอคะ?”


 


“ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้น้องชายของข้าได้เป็นจักรพรรดิ น้องชายของข้าเป็นคนคล้ายๆฟีเน่, พวกเขาซื่อเกินกว่าที่จะอาศัยอยู่ในโลกแบบนี้ นี่คือสาเหตุที่ข้าต้องปกป้องพวกเขา ข้ามีหน้าที่วางแผนและเจรจา ใครก็ตามที่คิดจะมาหลอกใช้ลีโอหรือฟีเน่, ข้าจะขยี้คนๆนั้นซะ”


 


“……ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้ค่ะ”


 


ฉันจ้องยูริยะด้วยความตั้งใจที่จะตรวจสอบเธอ


 


เธอคงจะรู้สึกหวั่นไหวกับตัวแปรที่ไม่รู้จักนี้อยู่พอสมควรเนื่องจากท่าทีของเธอเริ่มดูกังวลเล็กน้อย


 


เมื่อเห็นแบบนี้, ฉันจึงคลายความตึงเครียดและถามเธอด้วยน้ำเสียงปกติ


 


“สรุปแล้ว? เจ้าวางแผนจะใช้งานฟีเน่ยังไงบ้าง?”


 


“…..ส่วนใหญ่ก็เหมือนกับที่ท่านว่ามาค่ะ พวกเราวางแผนจะใช้เธอขายเครื่องสำอางของเราก่อน เครื่องสำอางที่เจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินใช้ด้วยตัวเองจะต้องขายหมดหน้าร้านได้อย่างแน่นอน”


 


“เข้าใจหล่ะ ภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของบริษัทอะจินจะถูกลบล้างด้วยเรื่องนั้นเหมือนกันสินะ แล้วมีความเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าจะมาตั้งร้านข้างในเมืองหลวงของจักรวรรดิอย่างเป็นทางการด้วยเรื่องนี้?”


 


“ช่วยหยุดพูดเหมือนกับว่าพวกเราได้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้อยู่ฝ่ายเดียวได้ไหมคะ ทางเราเองก็ทำในส่วนของเราอย่างเหมาะสมค่ะ”


 


“ก็ได้, ถ้างั้นมาพูดเรื่องอนาคตกันดีกว่า ก่อนอื่น, ช่วยทำลายธุรกิจที่ทำงานให้กับศัตรูของพวกเราให้หน่อย ถ้าพวกเราสามารถตัดท่อน้ำเลี้ยงของพวกเขาได้การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็จะถูกจำกัด”


 


พอได้ยินฉันพูดเหมือนกับว่ามันเป็นงานง่ายๆ, ยูริยะก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย


 


ก็นะ, มันเป็นปฏิกิริยาที่ถูกต้องแล้วหล่ะ


 


ทุกธุรกิจที่ร่วมมือกับขุมอำนาจอื่นนั้นล้วนเป็นธุรกิจใหญ่ที่ฝังรากลึกอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิกันทั้งนั้น การขยี้พวกเขาแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


 


“เอาเป็นว่าโจมตีพวกเขาให้หนักๆจนไม่สามารถร่วมมือกับขุมอำนาจของศัตรูได้อีกจะดีกว่านะคะ…..พวกเราทำให้เขาตายไปครึ่งนึงแทนจะได้ไหมคะ?”


 


“ไม่, เจ้าต้องไปไกลกว่านั้นหน่อย อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาตายไปซักสามส่วนสี่”


 


“นั่นแทบจะเรียกว่าเอาให้ตายสนิทเลยไม่ใช่หรอคะ…..เอาเถอะ, พวกเราจะทำเท่าที่ทำได้แล้วกันค่ะ แล้วเรื่องเงินทุน, ท่านต้องการเท่าไหร่คะ?”


 


“ตอนนี้พวกเรายังไม่ต้องการ แต่ถ้าเวลามาถึง, แค่เตรียมจำนวนเท่าที่จำเป็นสำหรับพวกเราก็พอ”


 


“ท่านคิดว่าเงินมันงอกขึ้นมาเองได้หรอคะ? ถ้าจู่ๆท่านต้องการเงินจำนวนมหาศาลขึ้นมา, มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะหามาให้ท่านได้ในทันทีนะคะ”


 


“ข้ารู้ แต่ข้าก็ยังจะบอกให้เจ้าทำ”


 


ยูริยะส่ายหัวให้กับคำขอที่โหดร้ายสุดๆของฉัน


 


แต่ในท้ายที่สุดแล้ว, เธอก็พยักหน้า


 


ถ้าเธอไม่สามารถรับคำขอแบบนั้นได้, เธอก็จะไม่สามารถยืมตัวฟีเน่ได้


 


“ให้ตายเถอะ…..ดูเหมือนว่าข้าจะไปยืมมือขุมอำนาจที่บ้าสุดโต่งเข้าแล้วสินะคะ”


 


“ถ้าเจ้าเคืองก็ไปลงที่ฟีเน่ได้เลยนะ”


 


“ไม่มีทางหรอกค่ะ ข้าจะไปเกลียดสาวน้อยน่ารักแบบนี้ลงได้ยังไงกัน ถ้าข้าจะเคืองข้าจะเอามันไปลงที่ท่านค่ะ”


 


“ตามใจเจ้าแล้วกัน เอาหล่ะ, ไปกันเถอะฟีเน่”


 


“อ้ะ, ด, ได้ค่ะ!”


 


ฟีเน่ที่กำลังเพลิดเพลินกับน้ำชากับขนมรีบกินพวกมันอย่างลุกลี้ลุกลนและเริ่มเตรียมตัวกลับ


 


พอเห็นท่าทีแบบนั้น, ยูริยะก็รู้สึกเปรี้ยวปาก


 


“ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลยนี่คะ”


 


“น่าเสียดายที่พวกเรามีหลายเรื่องต้องทำ เตรียมสินค้าของเจ้าให้พร้อมก็พอ พวกเราจะติดต่อเจ้าไปเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”


 


“หึ นี่, อาร์โนลด์ ถ้าเจ้าบอกว่าอยากได้ความช่วยเหลือของข้าจริงๆข้าก็สามารถให้ได้หมดเลยนะรู้ไหม? ถ้าข้าเป็นคนพูด, กึ่งมนุษย์แทบทุกคนจะอยู่ฝั่งเดียวกับเจ้านะ”


 


“ข้าอาจจะขอให้เจ้าทำแบบนั้นในตอนที่เวลามาถึง แต่นี่ยังไม่ใช่เวลานั้นเพราะข้าไม่รู้ราคาที่ต้องจ่ายเพราะฉะนั้นตอนนี้ข้าขอปฏิเสธไปก่อนนะ”


 


ในขณะที่ถูกจ้องด้วยสายตายั่วยวนของยูริยะ, ฉันก็บอกปักคำเชิญของเธอ


 


ด้วยเหตุผลบางประการ, ฉันสัมผัสถึงความชั่วร้ายได้จากผู้หญิงคนนี้


 


เธอไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดีแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเหมือนกัน


 


เธอให้ความรู้สึกเหมือนแมวขี้สงสัยอย่างบอกไม่ถูก


 


มันรู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะพาฉันไปยังสถานที่ที่ฉันไม่อยากไป


 


มันไม่มีปัญหาอะไรหรอกถ้าฉันไม่มีอะไรให้ปกปิดแต่น่าเสียดายที่ฉันมีเต็มเลยหล่ะ


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอเป็นแม่ค้าที่เก่งแต่ฉันต้องพูดเลยว่าสำหรับตอนนี้ขออยู่ห่างจากเธอให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้จะดีกว่า


 


ด้วยความมุ่งมั่นนี้, ฉันก็แยกกับยูริยะ

 

 

 


ตอนที่ 56

 

หลังจากออกมาจากบริษัทอะจิน, ฉันก็ขึ้นรถม้าไปด้วยกันกับฟีเน่


 


ฟีเน่นั้นสวมชุดคลุมเพื่อปิดบังตัวเองมาตั้งแต่แรกแล้ว


 


เมื่อมองไปที่เธอ, ฉันก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา


 


“มีอะไรรึเปล่าคะ?”


 


“ฟีเน่….เจ้าคิดยังไงกับเด็กเล็กหรอ?”


 


“เอ่อ….ท, ท่านหมายถึงลูกของข้าเองหรอคะ!?”


 


ฟีเน่ถามฉันกลับอย่างเก้ๆกังๆ


 


ครั้งนี้เธอเข้าใจอะไรผิดไปอีกเนี่ย


 


“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น ที่ข้าตั้งใจจะถามก็คือเจ้าโอเคกับการเล่นด้วยกันกับเด็กเล็กรึเปล่า”


 


“อ๋อ, เข้าใจแล้วค่ะ…..ไม่มีปัญหาเลยค่ะ! ล, แล้วข้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีปัญหาถ้าเป็นลูกของตัวเองนะคะ!”


 


“รู้แล้ว ถ้างั้นพวกเราเดินทางอ้อมกันซักหน่อยดีไหม?”


 


“เอ๊ะ….อ้อมหรอคะ?”


 


“ใช่, ข้าคิดว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าซักหน่อย”


 


พอพูดจบฉันก็บอกคนขับให้ไปยังจุดหมายของเรา


 


เมืองหลวงของจักรวรรดินั้นมีเขตย่อยที่กว้างขวางห้อมล้อมอยู่โดยมีปราสาทดาบหลวงตั้งเป็นศูนย์กลาง


 


เขตย่อยนั้นถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้นและยิ่งยากจนเท่าไหร่, ที่พักอาศัยก็จะยิ่งห่างจากใจกลางเมืองมากเท่านั้น


 


พวกเรามุ่งหน้าไปที่กำแพงชั้นนอกสุดของเขตย่อย


 


มีโรงฝึกดาบเล็กๆอยู่ที่นั่น


 


“ที่นี่คือ?”


 


“เป็นโรงฝึกของนักผจญภัยที่เป็นคนรู้จักของข้าเปิดอยู่ เขาสอนทักษะดาบให้กับเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่ในเขตชั้นนอกสุดของเมืองหลวงจักรวรรดิโดยไม่คิดเงิน”


 


“ไม่คิดเงินหรอคะ?”


 


“คนส่วนใหญ่ที่อยู่เมืองชั้นนอกสุดต้องดินรนเพื่อหาเงินประทังชีวิตไปวันๆ หนทางที่จะออกจากวงจรนี้ได้ก็คือรีบแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่เนื่องจากพวกเขาไม่มีเงินในการเรียนทักษะดาบอย่างเหมาะสม, เขาจึงสอนวิธีจับดาบให้พวกเด็กๆโดยไม่คิดเงิน”


 


ในขณะที่อธิบาย, ฉันก็มองเข้าไปข้างในโรงฝึกจากหน้าต่าง


 


ฟีเน่เองก็แอบดูด้วยกันกับฉัน


 


ในตอนนั้นเอง


 


“ย้ากกกกกก!!”


 


“อ้ากกก!!”


 


“โอ้วววว!!”


 


“ย้าาาา!!”


 


“เจ้าพวกโง่! นี่! พอได้แล้วหน่า! เห็นกิ่งไม้มันอ่อนก็อย่าได้ใจนักสิ!”


 


“….โดนรังแกหรอคะ?”


 


“ไม่หรอก, เขาก็แค่กำลังเล่นกับพวกเด็กๆหน่ะ….”


 


ข้างในโรงฝึก, มีชายคนนึงกำลังถูกเด็กหลายคนรุมฟาดอยู่


 


ผมและดวงตาสีน้ำตาลอ่อน, มีแผลเป็นยาวตั้งแต่แก้มลงไปถึงคอ, เขาดูให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแต่ว่าพอมาเห็นเขาถูกพวกเด็กๆรุมฟาดแบบนี้มันก็ทำให้ภาพลักษณ์นั้นหายไปเลย


 


ชื่อของเขาคือไก ในตอนที่พวกเรายังเด็กพวกเรามักจะเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ


 


ตอนนี้เขาทำงานเป็นนักผจญภัยในขณะที่คอยดูแลเด็กๆที่นี่ไปด้วย


 


“อาจารย์ มีคนอยู่ข้างนอกครับ”


 


“หา! ใครมันจะมาที่โกโรโกโสแบบนี้! ข้าไม่เห็นใครเลย!”


 


“อ้ะ, เขาทำสายตาเอือมระอาใส่อาจารย์ด้วยหล่ะ เขาต้องเป็นคนรู้จักของอาจารย์แน่ๆเลย”


 


“เขามองอาจารย์เหมือนกับว่าอาจารย์เป็นไอ้โง่เลย!”


 


“ข้าไม่ได้โง่ซักหน่อย!”


 


“ถ้างั้นก็หันกลับไปดูเองสิครับ”


 


“ไอ้เด็กพวกนี้นี่…..เออ! ก็ได้! เดี๋ยวข้าดูเอง!”


 


พอพูดจบ, ไกก็หันมาสบตากับฉัน


 


สายตาของไกเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจแต่พวกเด็กๆที่อยู่ข้างหลังเขากำลังยิ้มแป้น


 


ในตอนที่ฉันมองเขา, เด็กทุกคนก็เข้ามาโจมตีเขาพร้อมกัน


 


“ตอนนี้ได้โอกาสหล่ะ! ลุยกันเลย!”


 


“เห็นไหมใช่จริงๆด้วย!”


 


“ว่าแล้วเชียวโง่จริงๆด้วย!”


 


“เหวอ! เจ้าพวกเด็กบ้า! นั่นแขกนะ! รอเดี๋ยวสิ! หยุดก่อน! สงบสติอารมณ์หน่อย!”


 


“ฮิฮิ…..พวกเขาดูสนุกกันจังเลยนะคะ”


 


“สนุกหรอนั่น……”


 


เอาเถอะ, หมอนั่นก็ดูไม่ได้เกลียดอะไรนี่นะ, ไอ้คำว่าสนุกมันคงมีอยู่หลายแบบ แต่ถ้าฉันต้องรับมือกับพวกเด็กที่มีพลังงานเต็มเปี่ยมแบบนี้ทุกวันกระดูกของฉันคงหักตายแน่


 


ท้ายที่สุดแล้ว, พวกเด็กๆก็ไม่ได้ฟังเขาดังนั้นไกเลยใช้กำปั้นเขกหัวพวกเขาและเดินออกมา


 


“โย่! ไม่เจอกันนานเลยนะ! อัล!”


 


“ก็นะ, เจ้าดูสบายดีนี่ไก ว่าแต่….พวกเด็กไม่เป็นไรหรอ? ดูเหมือนเจ้าพวกนั้นจะสลบไปหมดแล้วไม่ใช่รึไง?”


 


“ไม่เป็นไรหรอกหน่า อย่าดูถูกพวกเด็กๆที่อยู่เขตนอกสุดนะ!”


 


“เอาเถอะ, ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก…..”


 


พวกเด็กที่อยู่ที่นี่อาจจะเด็กกว่าคริสต้าด้วยว้ำ


 


มันคือช่วงวัยที่เด็กๆจะซุกซนมากที่สุด


 


ที่โรงฝึกนี้มีแต่เด็กผู้ชาย บางทีพวกเด็กผู้หญิงน่าจะไปเรียนกันที่อื่น


 


“ว่าแต่ลมอะไรหอบเจ้ามาหล่ะ?”


 


“หืม, ข้าก็แค่อยากรู้ว่าเจ้าเป็นยังไงบ้าง พอดีช่วงนี้ข้าไม่ค่อยเห็นเจ้าก็เลยรู้สึกเป็นห่วงนิดหน่อย”


 


“ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ! พวกข้านะอึดผิดกับพวกเจ้า! ข้าคงไม่ตายในเร็วๆนี้หรอก!”


 


พอพูดจบ, ไกก็ยืดกล้ามเนื้อแขน


 


แขนของคนที่จับดาบ แม้ว่ามันจะผอม, แต่กล้ามเนื้อที่จำเป็นสำหรับการทำแบบนั้นก็อยู่รวมกันแน่นในนั้น


 


แผลเป็นของเขาเองก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ไกเป็นนักผจญภัยแรงค์ B เขาเกือบจะอยู่แรงค์ A แล้วแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแข็งแกร่งเหนือมนุษย์หรืออะไรแบบนั้น


 


“ดูท่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ข้าโล่งใจหล่ะ แต่ถึงงั้นก็เถอะ, ที่นี่เป็นโรงฝึกดาบไม่ใช่หรอ? ที่ข้าเห็นเจ้าก็แค่อยู่เล่นกับพวกเด็กๆไม่ใช่รึไง?”


 


“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่! เริ่มแบบนี้ก็ดีแล้ว ถ้าพวกเขาทำร้ายใครซักคน, มันก็จะต้องเจ็บปวดในตอนที่ถูกคนๆนั้นทำร้ายกลับ ถ้าพวกเขาเรียนรู้เรื่องนี้ได้มากพอมันก็โอเคแล้วนี่ มันไม่ใช่ว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะกลายเป็นนักผจญภัยซักหน่อย ถ้าพวกเขามีพรสวรรค์หรือความฝัน, สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะคิดถึงเส้นทางของตัวเอง และถ้าเป็นแบบนั้นข้าก็แค่สอนพวกเขาในตอนที่เวลามาถึงก็พอแล้ว”


 


“เหมือนอย่างเจ้าเนี่ยนะ?”


 


“ก็ต้องใช่หน่ะสิ! ข้าบอกเจ้าแล้วนี่ว่าอย่าดูถูกเด็กที่อยู่เขตชั้นนอกสุด พวกเราไม่จำเป็นต้องฝึกฝนตามแบบพวกขุนนาง ทั้งหมดที่พวกเราต้องสอนเด็กของเราก็คือพวกเขาจะโดนสวนกลับได้ถ้าพวกเขาทำร้ายใครซักคน ถ้าพวกเขาตระหนักได้ถึงจุดนี้พวกเขาก็จะไม่ไปทำล้ายใครมั่วซั่ว พวกเขาควรได้เรียนรู้ถึงความเจ็บปวดนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ถ้าพวกเขาไม่รู้ถึงมัน, พวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนไอ้ขุนนางที่มีดีแค่ภายนอกที่เคยรังแกเจ้าเมื่อตอนเด็ก”


 


“หมายถึงกีโด้สินะ……ก็คงจะจริงแหล่ะ, ไอ้หมอนั่นเป็นตัวอย่างของพวกที่โตมาโดยไม่รู้จักความเจ็บปวด”


 


ในขณะที่ฉันกำลังยิ้มเจื่อนๆ, ไกก็กระตุ้นให้ฉันแนะนำฟีเน่ด้วยสายตาของเขา


 


ฉันพึมพำว่า ‘อ้ะ’ แล้วเอามือปิดปากของไก


 


จากนั้นฉันก็ส่งสัญญาณให้ฟีเน่เผยใบหน้าของเธอ


 


“ค่ะ”


 


“อื้อออ, อื้ออออออออออออ!!??”


 


“ครับ ครับ ช่วยสงบสติอารมณ์หน่อย ถ้าเจ้าแหกปากตอนนี้ที่พวกเราแอบมาเยี่ยมเจ้ามันก็ไม่มีความหมายหน่ะสิ”


 


ตามที่คาดเอาไว้, ไกตกตะลึงและเกือบจะส่งเสียงร้องออกมา


 


บางทีเขาน่าจะพยายามตะโกนว่าเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน


 


“!?, ร, รอบนี้เจ้าเอาปัญหาอะไรมาให้ข้าอีกเนี่ย……!?”


 


“ข้าไม่ได้เอาปัญหามาให้ซักหน่อย, ข้ากับฟีเน่พึ่งไปทำธุระกันเสร็จก็เลยแวะมาหา”


 


“ธุระหรอ? กับเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินเนี่ยนะ!? อย่าทำขิงไปหน่อยเลยอัล! ข้าไม่ยกโทษให้เจ้าแน่!!”


 


“เดี๋ย….ค, คอข้า, คอข้า…..”


 


“หุบปากไปเลย! จงรับความแค้นของผู้ชายทุกคนในเมืองหลวงของจักรวรรดิไปซะ!!”


 


“ย, ยอมแล้…..”


 


“เอ่อ, คือว่า……ท่านอัลกำลังจะสลบเหมือดแล้วนะคะ…….”


 


“อ้ะ, ครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก ไอ้หมอนี่มันชอบเล่นกับความตายเพราะฉะนั้นมันอึดจนคาดไม่ถึงเลยหล่ะครับ”


 


ด้วยการปล่อยมือออกจากคอของฉัน, สีหน้าของไกก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มในขณะที่เขาหันไปหาฟีเน่


 


ไอ้เจ้าบ้านี่…….


 


ในขณะที่ฉันสบถออกมาแบบนี้, เด็กคนนึงก็ออกมาจากโรงฝึก


 


จากนั้นด้วยความคิดอะไรก็ไม่รู้, เด็กคนนั้นก็วิ่งเข้าไปหาฟีเน่แล้วกอดเธอ


 


ก็นะ, จากสายตาของเด็กๆ, คงจะรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่เข้าหาง่าย


 


“ผู้หญิงสวยหล่ะ!”


 


“หนอย! เจ้านี่! ทำแบบนี้ข้าอิจฉานะ!”


 


“ฮี่ฮี่! ตัวหอมจังเลย นี่ นี่, พี่สาวเป็นแฟนของอาจารย์หรอครับ?”


 


“ฮุฮุ, ยังไงดีนะ?”


 


ฟีเน่พูดในขณะที่ลูบผมของเด็กคนนั้นโดยไม่แสดงความรังเกียจจากการถูกเด็กกอดเลย


 


บางทีเขาคงดีใจที่เธอยิ้มให้เขา, เด็กคนนั้นกอดเธอแน่นกว่าเดิมเหมือนกับว่าเขาอยากให้เธอเอาใจ


 


ในขณะนั้นเอง, ไกก็กัดฟันมองเขา


 


“เอาจริงดิ? อิจฉาแม้กระทั่งเด็กเลยหรอเนี่ย……”


 


“เจ้าหน่ะเงียบไปเลย! เจ้าไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของข้าหรอก!”


 


“ทางนี้ครับ!”


 


“อุ๊ย! คือว่า……”


 


“ไม่เป็นไร ไปเล่นกับพวกเด็กๆเถอะ”


 


“ค, ค่ะ!”


 


เห็นได้ชัดว่า, ฟีเน่เองก็ยังอยากเล่นกับพวกเด็กๆมากกว่านี้


 


เธอเข้าไปในโรงฝึกและเริ่มเล่นกับพวกเด็กๆในทันที


 


พอเห็นฟีเน่กำลังเล่นกับเด็กๆ, ไกก็เริ่มตัวสั่นด้วยความอิจฉา


 


“อ้ากกกก….ข้าควรทำยังไงดีเนี่ย…..ถ้าเจ้าพวกนั้นไม่รีบหยุดในเร็วๆข้าคงอยากตัดหัวตัวเองทิ้งแน่ๆ……แต่รอยยิ้มของท่านฟีเน่ในตอนที่กำลังมองพวกเด็กๆนี่ช่าง…..โถ่เอายังไงดีเนี่ย…..อิจฉาชะมัด”


 


“จะอิจฉาหรือห่วงตัวเอง, ก็เลือกเอาซักอย่างเถอะ”


 


“ถ้าให้เลือกก็คงห่วงตัวเองก่อนหล่ะนะ, จะให้ตัดหัวตัวเองนี่มันก็ค่อนข้างจะ……”


 


“แต่เมื่อสักครู่เจ้าพึ่งจะบีบคอเจ้าชายมาเองนะ, รู้ตัวบ้างรึเปล่าเนี่ย?”


 


“ไม่เห็นไปไรเลยนี่ ถ้าเจ้าเป็นประเภทที่สนใจเรื่องแบบนี้, เอลน่าก็คงจะโดนเล่นงานก่อนข้าไม่ใช่หรอ? เพราะฉะนั้นไม่เป็นอะไรหรอกหน่า”


 


“เหตุผลบ้าบออะไรกัน…..”


 


เอาเถอะ, ก็เพราะแบบนี้แหล่ะนะพวกเราถึงยังพูดคุยกันแบบนี้ได้


 


เก็บเรื่องสมัยเด็กเอาไว้ก่อน, ในตอนที่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่นั้น, จะทำให้คนเราตระหนักถึงตำแหน่งของตัวเองมากขึ้น


 


เจ้าชายก็ยังคงเป็นเจ้าชายอยู่วันยังค่ำต่อให้เคยเล่นหัวกันมาก่อนก็ตาม มีหลายคนที่คิดแบบนี้แล้วเลือกที่จะตีตัวออกห่าง


 


ซึ่งในบรรดาผู้คนเหล่านั้น, ไกถือว่าเป็นตัวตนพิเศษ


 


“น่าคิดถึงจังเลยนะ เอลน่าเป็นคู่แข่งที่ดีเลยหล่ะ”


 


“คำว่าคู่แข่งคงไม่เหมาะหรอกมั้งในเมื่อเจ้าแพ้เธอไปตั้ง 200 ครั้งแล้ว”


 


“197 ครั้งต่างหากหล่ะ อย่านับผิดสิ”


 


“ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน…..”


 


ในสมัยเด็ก, ไกนั้นเหมือนกับเด็กเกเรทั่วๆไปที่อยู่เขตชั้นนอกสุด


 


มันเป็นหน้าที่ประจำวันสำหรับเขาที่จะต้องขึ้นไปที่เขตกลางและเที่ยวแกล้งคนอื่น และนี่ก็คือตอนที่ฉันกับเอลน่าได้พบกับเขา


 


ถ้าฉันจำไม่ผิด, ตอนแรก, ไกขโมยขนมปังจากร้านขนมปังแล้วกำลังซ่อนตัวจากคนที่ไล่ตาม ในตอนนั้นเอลน่าเป็นคนเจอตัวเขาแล้วก็เอาชนะเขาได้


 


ตั้งแต่นั้นมา, ไกก็มองเธอเป็นคู่แข่งและขอท้าสู้กับเธออยู่หลายครั้ง, ซึ่งก็แน่นอนว่าเขาแพ้


 


แต่ประสบการณ์ทำให้ไกแข็งแกร่งขึ้น มันเป็นความจริงที่ชาวเมืองชั้นนอกสุดนั้นอึดมาก คนพวกนี้ไม่รู้จักยอมแพ้จริงๆ


 


“สรุปแล้ว? เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรกันแน่? เจ้าคงไม่ได้มาที่นี่แค่เพราะอยากเจอข้าถูกไหม?”


 


“บางครั้งเจ้าก็ฉลาดจนน่าแปลกใจนะเนี่ย อันที่จริง, ลีโอถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจสอบเหตุการณ์ผู้อพยพทางใต้หน่ะ ข้าอยากมาถามเจ้าเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติที่ชายแดนใต้เพราะแต่เดิมแล้วเจ้าเคยอยู่ที่นั่น, เจ้าคิดว่าไงหล่ะ?”


 


ไกเป็นผู้อพยพ


 


พ่อแม่ของเขาเป็นผู้อพยพและเขาก็โตมาพร้อมกับการถูกเลือกปฏิบัติ


 


บางทีนี่อาจจะเป็นต้นตอของความดื้อรั้นของเขา


 


นี่คือสาเหตุที่ไกพุ่งเป้าที่จะกลายเป็นนักผจญภัยเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องมาจัดการกับเรื่องผู้อพยพอีก แม้ว่าท่านพ่อจะยอมรับผู้อพยพเป็นประชากรของจักรวรรดิ, แต่การเลือกปฏิบัติในเมืองหลวงของจักรวรรดิก็ยังคงมีต่อไปอีกเป็นเวลาหลายปี


 


“ก็นะ, ไม่ต้องสงสัยเลย มันผ่านมาตั้ง 11 ปีแล้วไม่ใช่หรอตั้งแต่ตอนที่จักรพรรดิประกาศว่าผู้อพยพอย่างพวกเราเป็นประชาชนของจักรวรรดิ? สำหรับข้า, มันก็ยังแค่ 11 ปีหล่ะนะ การเลือกปฏิบัติคงไม่หมดไปง่ายๆหรอก โดยเฉพาะแนวคิดของพวกขุนนาง ถึงยังไงพวกนั้นก็ถูกปลูกฝังมาแบบนั้น”


 


“….เข้าใจหล่ะ ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งอกหน่อย”


 


“โล่งอกหรอ?”


 


“สิ่งที่เกิดขึ้นที่ชายแดนใต้ก็คือคดีลักพาตัวที่หมู่บ้านผู้อพยพ ถ้าไม่มีขุนนางเกี่ยวข้องด้วยมันก็คงไม่ทำให้เกิดปัญหาจนถึงขั้นที่จักรพรรดิต้องส่งลีโอออกไป แต่ถึงยังไงคดีนี้ก็คุ้มค่าแก่การส่งลีโอออกไปเพราะที่นั่นยังมีการเลือกปฏิบัติกระจายอยู่ในพื้นที่โดยมีขุนนางท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในทางปฏิบัติ ลีโอมีความสามารถในการไขคดีนี้, นี่คือเหตุผลที่จักรพรรดิตัดสินใจส่งเขาไปที่นั่น”


 


“เจ้ายังอวยน้องชายของตัวเองไม่เปลี่ยนเลยนะ เขาอาจจะคล้ายมงกุฎราชกุมารแต่คนแบบนั้นไม่ได้หากันได้ง่ายๆหรอก ต้องขอบคุณเขานั่นแหล่ะการเลือกปฏิบัติในเมืองหลวงจึงลดลงมาถึงขนาดนี้ คนแบบนั้นนี่พิเศษจริงๆ….เขาเป็นคนที่พิเศษมากเลยหล่ะ”


 


“ก็คงจะใช่แหล่ะ….แต่ถึงอย่างนั้น, ลีโอก็มีเลือดครึ่งนึงของชายคนนั้นไหลเวียนอยู่ในตัวนะ”


 


“เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่รึไง?”


 


“ช่างข้าเถอะหน่า”


 


ฉันพูดในขณะที่ยิ้มเจื่อนๆ


 


ข้างในโรงฝึก, ฟีเน่กำลังเล่นกับพวกเด็กๆอย่างมีความสุข


 


ฉันพาฟีเน่มาที่นี่ก็เพื่อให้เธอได้ผ่อนคลายบ้างและดูเหมือนว่าจะคิดถูกหล่ะนะ


 


“อ้ะ, ใช่แล้ว ตอนนี้ลูกศิษย์ของข้าคนนึงอยู่ที่ปราสาทด้วย ถ้าเจ้าเจอ, ก็ฝากดูแลแทนข้าหน่อยนะ”


 


“ลูกศิษย์หรอ?”


 


“ใช่, เป็นเด็กที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์เลยหล่ะ ข้าแนะนำให้เพื่อนของข้าพาไปฝึกเป็นอัศวินที่ปราสาท ตอนนี้น่าจะใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทนั่นแหล่ะ”


 


“โฮ่, แล้วเขาหน้าตาเป็นยังไงหล่ะ?”


 


“ผู้หญิงต่างหากหล่ะแต่เธอค่อนข้างขี้โวยวาย ก็นะ, เพราะเธอชอบส่งเสียงดังนี่แหล่ะเจ้าก็น่าจะรู้ได้เองในตอนที่เจอเธอ เธอชอบโวยวายสุดๆเลยหล่ะ”


 


สีหน้าของไกเต็มไปด้วยรอยยิ้มในตอนที่เขาพูดออกมาแบบนั้น


 


ฉันคิดว่าเขาคงจะชอบเด็กจริงๆหล่ะนะ


 


ท้ายที่สุดแล้ว, หลังจากที่ปล่อยให้ฟีเน่เล่นกับเด็กอยู่พักนึง, ฉันกับฟีเน่ก็เดินทางกลับ

 

 

 


ตอนที่ 57

 

ปราสาทดาบหลวงคือสถานที่ที่ใหญ่มาก


 


เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นราชวงศ์ที่อาศัยอยู่ในปราสาทหลังนี้, มันก็ไม่ใช่ที่ที่จะจำทางได้ง่ายๆเลย แม้กระทั่งตัวจักรพรรดิเองก็ไม่ได้รู้จักห้องลับและทางเดินลับทั้งหมดเพราะในแต่ละยุคนั้นจักรพรรดิจะสร้างขึ้นใหม่เป็นของตัวเองตลอด


 


ที่ชั้นกลางของปราสาทที่ว่านี้


 


มีเด็กสาวคนนึงกำลังหลงทางอยู่


 


“อืมมม….ดูเหมือนข้าจะหลงทางนะเนี่ย!”


 


ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ, เด็กสาวก็ตะโกนออกมา


 


พื้นที่ชั้นบนของปราสาทนั้นคือสถานที่ที่จักรพรรดิอาศัยอยู่ในขณะที่พื้นที่ชั้นกลางจะมีไว้สำหรับราชวงศ์และขุนนาง รายงานที่ไม่จำเป็นต้องส่งไปให้จักรพรรดิจะถูกตรวจสอบที่นี่ด้วย


 


ห้องของอัลกับลีโอเองก็อยู่ในพื้นที่นี้ อย่างไรก็ตาม, มันอันตรายเกินไปสำหรับเด็กสาวตัวคนเดียวจากที่ไหนก็ไม่รู้ที่มาหลงทางอยู่ที่นี่


 


ถ้าเธอโดนจับได้, เธอก็จะถูกคุมตัวเอาไว้จนกว่าตัวตนของเธอจะได้รับการยืนยัน


 


อย่างไรก็ตาม, เด็กสาวคนนี้ยังมีท่าทีไม่ทุกข์ร้อนอยู่


 


เธอคือเด็กสาวผมบลอนด์ที่มัดผมทรงหางม้าซึ่งอายุน่าจะไม่เกินสิบเอ็ดถึงสิบสองปี


 


ด้วยดาบไม้ที่เอวของเธอ, ไม่ว่าใครในปราสาทก็สามารถรู้ได้ว่าเธอเป็นอัศวินฝึกหัดหรืออะไรที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้น


 


อย่างไรก็ตาม, อัศวินฝึกหัดส่วนใหญ่จะไม่อยู่ในสถานที่แบบนี้


 


“ทำยังไงดีนะ, ทำยังไงดี…….ถ้ามีคนกินข้าวเที่ยงของข้าไปหมดข้าจะทำยังไงหล่ะเนี่ย……”


 


ถ้าอัลเห็นเธอเขาอาจจะมองด้วยสีหน้าผิดหวังพร้อมกับพูดว่า [นี่ยังมีอารมณ์มาห่วงเรื่องกินอีกหรอ!?]


 


เด็กสาวเงยหน้าขึ้นแล้วเริ่มเดินต่อ


 


เธอยึดติดกับความคิดที่ว่าเธอจะเจอสถานที่ที่เธอรู้จักในอีกไม่นานนี้ถ้าเธอเดินต่อไปเรื่อยๆ


 


“บันไดหรอ, ข้าควรเดินขึ้นหรือเดินลงหล่ะเนี่ย? ครูฝึกบอกว่าอย่าขึ้นไปข้างบน, เอ๊ะ, หรือว่าข้างล่างนะ, อืมมม”


 


“นี่! เจ้าหนูตรงนั้นหน่ะ!”


 


ในตอนที่เธอได้ยินเสียงนั้น, เธอก็ยืดหลังตรงในทันที


 


จากนั้นเธอก็ค่อยๆหันกลับไปยังต้นเสียงอย่างช้าๆเหมือนกับตุ๊กตาที่พังแล้ว


 


ตรงนั้นมีการ์ดอยู่สองคนที่ถือหอกอยู่ พวกเขาทั้งคู่มองเธอด้วยความสงสัย


 


“เจ้าเป็นใคร? เข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”


 


“เธอเป็นอัศวินฝึกหัดไม่ใช่หรอ? ข้าว่าเธอคงจะฝ่าฝืนกฏแล้วขึ้นมาที่นี่หล่ะมั้ง พวกที่ไม่สามารถปฏิบัติตามกฏได้จะไม่สามารถเป็นอัศวินได้นะรู้รึเปล่า”


 


“เอ่ออ, คือว่านะคะ…..”


 


“ก็คงต้องปลดออกหล่ะนะ มากับพวกเราซะ! พวกเราจะพาเจ้าไปหาครูฝึกของเจ้า”


 


พอพูดจบ, การ์ดก็ยื่นมือมาหาเด็กสาว


 


อย่างไรก็ตาม, เหมือนกับตั้งใจจะหยุดพวกเขา, ชายที่มีผมสีดำได้ส่งเสียงเรียกเด็กสาวคนนั้น


 


“อ้าว, มาอยู่ที่นี่เอง ไม่ดีเลยนะ ออกห่างจากตัวข้าแบบนี้เนี่ย”


 


“อ, องค์ชายลีโอนาร์ด!?”


 


“อืม, ขอโทษนะ ข้าเป็นคนเรียกเด็กสาวคนนี้ขึ้นมาที่นี่เองแหล่ะ พอดีเห็นเธอดูเหมือนจะว่างอยู่ข้าก็เลยให้เธอมาช่วยยกสัมภาระของข้า พวกเจ้าเองก็จะมาช่วยด้วยหรอ?”


 


“ม, ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ! พวกเรามีหน้าที่ที่สำคัญกว่า!”


 


“พวกเราขอโทษด้วยครับ, พอดีพวกเราไม่รู้ว่าองค์ชายลีโอนาร์ดเป็นคนเรียกเด็กคนนี้ขึ้นมา! เดี๋ยวพวกเราขอตัวกลับไปประจำตำแหน่งก่อนนะครับ!”


 


“เข้าใจหล่ะ ขอบใจที่ตั้งใจทำงานหนักนะ”


 


ด้วยการยิ้มและโบกมือให้การ์ดที่กำลังเดินจากไป, ลีโอนาร์ดก็เหลือบไปมองดูรอบๆเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ หลังจากที่ยืนยันได้แล้วว่าพวกเขาเดินจากไปไกลแล้ว, เขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดกับเด็กสาว”


 


“ทำแบบนี้มันอันตรายนะ”


 


“…..ข, ข้า”


 


“!?”


 


“คนหล่อนี่หน่า! พี่ชาย! พี่ชายเหมือนกับคนหล่อที่ท่านอาจารย์เคยบอกข้าเลย! ขอบคุณที่ช่วยข้าเอาไว้นะคะ!”


 


เด็กสาวยิ้มอย่างเริงร่า


 


ลีโอรู้สึกสับสนเล็กน้อยเพราะท่าทีเป็นกันเองจนเข้าขั้นผิดปกติของเธอแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยิ้มให้และกวักมือเรียกเธอในทันที


 


“เป็นเด็กที่ร่าเริงจังเลยนะ หรือว่าเจ้าจะเป็นอัศวินฝึกหัด?”


 


“อื้ม!”


 


“อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นข้าจะพาเจ้าไปส่งครูฝึกของเจ้าทีหลังนะ ถ้าข้าไปกับเจ้าด้วย, เจ้าก็ไม่น่าจะโดนดุ แต่ว่าเจ้าต้องมาช่วยงานข้าก่อนตกลงไหม?”


 


“โอ้! นี่สินะที่เรียกว่าข้อตกลง! โอเคค่ะ! ข้ายอมรับ!”


 


“โอเค ข้าชื่อลีโอนาร์ด คนที่สนิทกับข้าจะเรียกว่าลีโอ แล้วเจ้าหล่ะ?”


 


 


“ชื่อของริต้าก็คือ—”


 


“อืม, ชื่อของเจ้าคือริต้าสินะ”


 


“รู้ได้ยังไงกัน!?”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า, เจ้าเป็นเด็กที่น่าสนใจใช้ได้เลยนะเนี่ย”


 


พอพูดจบ, ลีโอก็พาริต้าไปที่ห้องของเขา


 


“เอาหล่ะ, ริต้า นี่คืองานที่สำคัญมาก ข้าจะวางใจให้ริต้าทำได้ไหม?”


 


“อ, อื้ม! ข้าจะพยายามเต็มที่ค่ะ!”


 


ลีโอเอาขนมจำนวนมากมาวางตรงหน้าริต้า


 


ขนมพวกนี้คือของขวัญจากขุนนางหญิงและพวกผู้หญิงจากเขตย่อย การทดสอบพิษได้ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้วแต่ว่าจำนวนทั้งหมดก็ยังมากเกินไปอยู่ดี


 


หลังจากกลับมาจากทางใต้, ชื่อเสียงของลีโอก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด, โดยเฉพาะในหมู่พวกผู้หญิง สำหรับลีโอแล้ว, เขาคิดว่าส่วนใหญ่มันคือความผิดของพี่ชายของเขา


 


วีรกรรมทั้งหมดที่เขาได้ทำไปเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเรือของราชรัฐที่โดนจมได้แพร่หลายมาถึงเมืองหลวงจักรวรรดิ, โดยเฉพาะเรื่องที่เขากระโดดลงไปในทะเลเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตคนนึง, นอกจากนี้เหตุการณ์ที่เขายกธงขาวขึ้นเพื่อที่จะช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่อยู่บนเรือของเขาเองก็กลายเป็นเรื่องเล่าที่เป็นที่นิยมที่สุดในเมืองหลวงของจักรวรรดิด้วย


 


ด้วยความที่ทั้งสองเรื่องนี้เป็นฝีมือของอัล, แม้ว่าลีโอจะอยากบอกทุกคนว่าควรไปขอบคุณท่านพี่, แต่เขาก็ทำไม่ได้และต้องกินขนมทั้งหมดที่ถูกส่งมาให้เขาทุกวัน


 


อย่างไรก็ตาม, ไม่ว่าท้องของลีโอจะรับได้มากแค่ไหน, มันก็ยังมีขีดจำกัดอยู่


 


“ข, ข้ากินได้หมดเลยหรอ!?”


 


“ใช่แล้ว, เชิญตามสบายเลย ถึงยังไงการกินทั้งหมดนี่ก็คืองานของริต้าอยู่แล้ว”


 


“รับทราบค่ะ! ริต้าจะพยายามเต็มที่!”


 


ริต้าเริ่มเปิดถุงที่เต็มไปด้วยขนมหวานด้วยสายตาที่เป็นประกาย


 


สีหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่มีให้กับขนมหวานจำนวนมากที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน


 


พอเห็นริต้าเป็นแบบนี้, ลีโอก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา การล่อลวงเด็กสาวตัวน้อยๆมาที่ห้องและให้เธอทำสิ่งที่เขาไม่อยากทำแบบนี้ มันชวนให้รู้สึกเหมือนพวกขี้ขลาดยังไงไม่รู้สิ


 


อย่างไรก็ตาม, ลีโอกินต่อไม่ไหวแล้วและอัลก็คงไม่คิดจะมาช่วยกินด้วย มันคงจะน่าเสียดายแย่ถ้าให้โยนขนมที่เหลือทิ้งดังนั้นการให้คนอื่นมาช่วยกินคงจะดีกว่า


 


ลีโอโน้มน้าวตัวเองแล้วเริ่มรินชาให้ริต้า


 


“อร่อยจังเลย! อร่อยสุดๆไปเลย!”


 


“งั้นหรอ, ถ้าเจ้าชอบข้าก็ดีใจ เอานี่, ดื่มชาด้วยสิ มันค่อนข้างร้อนเพราะฉะนั้นระวังด้วยนะ”


 


“ขอบคุณค่ะ! พี่ลีโอ”


 


“พี่ลีโอหรอ?”


 


“อื้ม! พี่ชายลีโอนาร์ด เรียกสั้นๆก็พี่ลีโอ! ข้าเรียกแบบนั้นไม่ได้หรอคะ?”


 


“ไม่หรอก, ข้าไม่ถือ อยากเรียกแบบไหนก็เชิญเลย เดี๋ยวข้าขอไปสะสางงานเอกสารซักพักนึงนะแล้วพอข้าทำเสร็จเมื่อไหร่, เราค่อยไปหาครูฝึกของเจ้าด้วยกันโอเคไหม?”


 


“รับทราบค่ะ!”


 


รอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติเบ่งบานบนใบหน้าของเขาในขณะที่ลีโอมองริต้าที่เปี่ยมไปด้วยความร่าเริง


 


บรรยากาศที่สดใสและตรงไปตรงมาของริต้านั้นทำให้ลีโอรู้สึกผ่อนคลาย เพราะข้างในปราสาท, ทุกคนมักจะวางตัวอย่างระมัดระวัง


 


รอยยิ้มของพวกเขาไม่ได้มาจากใจจริง, และมีหลายจังหวะที่มันชวนให้รู้สึกอึดอัด และมันก็ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นเนื่องจากพวกเขารู้ถึงความสำเร็จของเขาที่ทางใต้


 


ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้, ความบริสุทธิ์และความร่าเริงของริต้าจึงเหมือนกับยาชูกำลังที่ช่วยฮีลหัวใจของลีโอ


 


“นี่, พี่ลีโอ พี่ลีโอเป็นพวกคนใหญ่คนโตของที่นี่หรอ?”


 


“ทำไมจู่ๆถึงถามแบบนี้หล่ะ?”


 


“อื้ม, ก็เพราะว่าคนก่อนหน้านี้ใช้คำว่าท่านนำหน้าในตอนที่เรียกพี่ลีโอใช่ไหมหล่ะ อาจารย์บอกว่าคนที่มีคำว่าท่านนำหน้าก็คือพวกคนใหญ่คนโต”


 


“แบบนี้นี่เอง, ก็นะพ่อของข้าเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆนั่นแหล่ะ ที่ผู้คนใช้คำว่าท่านในตอนที่คุยกับข้าก็เพราะสาเหตุนี้ จริงๆแล้วข้าไม่ได้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่อะไรหรอก ว่าแต่, อาจารย์ที่ว่านี้คือคนที่แนะนำเจ้ากับครูฝึกของเจ้าใช่ไหม?”


 


“อื้ม อาจารย์เป็นพี่ชายนักผจญภัยที่สอนริต้าจับดาบ อาจารย์น่าจะมีอายุพอๆกับพี่ลีโอ แต่ว่าพี่ลีโอเท่กว่าเยอะเลย! อาจารย์ชอบโดนเด็กๆรังแกอยู่บ่อยๆที่โรงฝึกแล้วเขาก็ชอบโดนผู้หญิงทิ้งด้วย


 


“ฟังดูเป็นคนที่น่าสนใจจังเลยนะ ริต้าเองก็ดูค่อนข้างจะชอบอาจารย์อยู่ด้วย, ข้าควรหาเวลาไปพบเขาบ้างดีไหมน้า?”


 


“อื้ม! ริต้ารักอาจารย์มากๆเลย! ต้องขอบคุณอาจารย์ริต้าถึงได้เข้ามาฝึกในปราสาทแบบนี้! ในอนาคตริต้าจะกลายเป็นอัศวินที่ยิ่งใหญ่หรือไม่ก็นักผจญภัยที่เหมือนกับอาจารย์หล่ะ”


 


ริต้ากัดผลไม้ที่วางอยู่บนสุดของพาย


 


“เจ้าไม่ต้องฝืนตัวเองขนาดนั้นก็ได้นะ?”


 


“ม, ไม่หรอกค่ะ…….ริต้าเป็นผู้หญิงที่รักษาสัญญา….ริต้าต้องกินให้หมด……”


 


“ฮ่าฮ่า, เด็กดี ถ้างั้นเจ้ากินทั้งหมดที่อยู่ในมือก็พอแล้ว, เดี๋ยวข้ากินที่เหลือเอง”


 


“ร, รับทราบค่ะ…..งานง่ายๆ…..”


 


ในตอนที่พูดจบ, ริต้าก็เอาช็อคโกแลตชิ้นสุดท้ายเข้าปาก


 


ในระหว่างนั้นเอง, ลีโอก็กินขนมที่เหลืออยู่ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม, ด้วยความที่มันเหลืออยู่แค่หยิบมือ, ลีโอจึงไม่ได้รีบกิน เขาค่อยๆใช้เวลากินอย่างช้าๆในขณะที่มองริต้า


 


จากนั้น


 


“ร, เรียบร้อย!!”


 


“ทำได้ดีมาก”


 


“ฮี่ฮี่!”


 


ลีโอลูบศรีษะของริต้าและริต้าก็เผยรอยยิ้มกว้างในขณะที่ปล่อยให้เขาลูบ


 


หลังจากนั้น, ลีโอก็พาริต้าเดินกลับลงไปที่ชั้นล่าง


 


“นี่, พี่ลีโอ เราจะได้เจอกันอีกไหมคะ?”


 


“แน่นอนสิ เจ้ามาหาข้าได้ทุกเมื่อเลย”


 


“อื้ม! เดี๋ยวข้าจะไปหาอีกนะ!”


 


พอพูดจบ, ริต้าก็แยกทางกับลีโอ


 


เขาได้อธิบายรายละเอียดให้ฟังแล้วดังนั้นครูฝึกคงจะไม่โกรธเธอและเขายังบอกการ์ดเอาไว้ด้วยว่าให้ปล่อยให้เธอผ่านเข้ามาได้ในตอนที่พวกเขาเห็นเธอ


 


จากนั้นลีโอก็กลับมาที่ห้องของเขา, ทำการเก็บขยะที่ถูกทิ้งเอาไว้และกำลังคิดอยู่ว่าเธอน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีให้กับคริสต้าได้

 

 

 


ตอนที่ 58

 

“ฟังดูเป็นเด็กที่ร่าเริงจังเลยนะ? ข้าชักอยากเจอเธอแล้วสิ”


 


“ครับ, ข้าคิดว่าท่านแม่จะต้องชอบเธอแน่”


 


พอพูดจบ, ลีโอก็เริ่มดื่มชาของเขา


 


วันต่อมา, ลีโอได้มาเยี่ยมมิทสึบะเพื่อบอกเธอว่าเขาต้องเดินทางลงใต้ในเร็วๆนี้


 


มิทสึบะไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษกับลูกชายจอมขยันของเธอ ถ้าเธอบอกเขาให้ทำเต็มที่เขาก็จะพยายามหนักขึ้นจนเกินจำเป็นและต่อให้เธอบอกเขาให้ควบคุมตัวเองบ้างเขาก็เป็นเด็กที่จะบอกกับเธอแค่ว่าเขาจะพยายามเต็มที่


 


ด้วยเหตุนี้เอง, มิทสึบะจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับภารกิจของเขาและถามเรื่องอื่นกับเขาแทน ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของริต้า


 


“ข้าคิดว่าถ้าริต้าเป็นเพื่อนกับคริสต้าได้ก็คงจะเยี่ยมไปเลยนะครับ”


 


มันไม่มีความเป็นไปได้ที่ว่าแม่ของเขาจะปฏิเสธความคิดของเขาเลย


 


โดยปกตินั้นคงจะมีคำถามประมาณว่า, เธอมาจากบ้านไหนแต่ว่าหัวข้อพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่มิทสึบะสนใจ ไม่ว่าสถานะจะเป็นยังไง, ขอแค่คบหากับคนดีไม่ใช่คนเลวก็พอ นี่คือสิ่งที่มิทสึบะมักจะบอกกับพวกเขา


 


“เนื่องจากคริสต้าเป็นเด็กผู้หญิง, ก็เลยไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่ พวกขุนนางที่มาตีสนิทด้วยก็สนิทแค่ผิวเผินแต่มันคงจะน่าไว้วางใจขึ้นหล่ะนะถ้าเธอมีเพื่ออายุไล่เลี่ยกันที่สามารถไว้ใจได้”


 


“นั่นสินะครับ ถ้ามีโอกาสข้าจะพาเธอมาด้วยครั้งหน้า”


 


“ตายจริง, ที่เจ้าสนับสนุนเด็กคนนั้นขนาดนี้, ก็แสดงว่าเจ้าถูกใจเธอมากเลยสินะ”


 


“ข้าชอบเด็กนิสัยแบบนั้นครับ คริสต้าเป็นเด็กเงียบๆดังนั้นข้าคิดว่าเธอน่าจะเข้ากันได้ดีกับคริสต้า”


 


“จริงหรอ? แบบนี้ก็แสดงว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า, เจ้าก็จะรับเธอมาเป็นเจ้าสาวสินะ?”


 


ลีโอยิ้มให้กับคำพูดหยอกล้อของแม่


 


เขาไม่ได้มองริต้าแบบนั้นเนื่องจากเธอยังเด็กอยู่


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าเขาจะหาเจ้าสาวเขาก็คิดว่าถ้าเป็นผู้หญิงร่าเริงเหมือนเธอก็คงจะดีเหมือนกัน


 


แต่เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไงถ้าเกิดพูดออกไปแบบนั้น, เขาจึงเลือกที่จะตอบคำถามอย่างคลุมเครือ


 


“ในสถานการณ์แบบนี้ข้ายังไม่คิดเรื่องที่จะมีภรรยาหรอกครับ ถ้าสถานการณ์สงบลงเมื่อไหร่ข้าอาจจะหันมาพิจารณาดูถ้าเกิดข้าได้พบกับผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมเหมือนริต้า”


 


“เจ้าเป็นลูกที่น่าเบื่อจังเลยนะ ถ้าเจ้ายังเป็นแบบนี้อยู่เธอออาจจะถูกอัลแย่งไปก็ได้นะรู้รึเปล่า?”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า, ก็คงจะจริงแหล่ะครับ, ท่านพี่มีแต่ผู้หญิงดีๆรายล้อม”


 


“มันไม่ใช่เวลามามัวหัวเราะซักหน่อย ฟังแม่นะ, ลีโอ! ผู้หญิงดีๆจะไม่ตกหลุมรักผู้ชายที่สมบูรณ์แบบหรอก”


 


“ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าเองก็มีส่วนที่น่าผิดหวังเหมือนกัน”


 


“มันอาจจะจริงจากมุมมองของเจ้าแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงคนอื่นมองเจ้าไม่ใช่หรอ? หัดแสดงส่วนที่น่าผิดหวังของตัวเองออกมาให้เห็นมากกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง? เจ้าควรจะรู้จักเห็นแก่ตัวขึ้นอีกซักหน่อยนะ ไม่ว่าใครก็ควรจะมีส่วนที่แตกต่างจากคนอื่นบ้าง”


 


“ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้ครับ


 


พอพูดจบ, ลีโอก็ดื่มชาจนหมดแก้วแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้


 


ถ้าอยู่ต่อแม่ของเขาอาจจะเริ่มสั่งสอนเขาเกี่ยวกับวิธีทำตัวให้ผู้หญิงดีๆมาตกหลุมรักก็ได้


 


“ถ้างั้นข้าขอตัวลานะครับ”


 


“จริงๆเลย….โอเคดูแลตัวเองดีๆหล่ะ”


 


“ครับ”


 


พอพูดจบ, ลีโอก็แยกจากมิทสึบะ


 


ในระหว่างทางกลับ


 


ลีโอตั้งใจจะแวะที่จตุรัสของปราสาท


 


ตามความหมายของชื่อ, ปราสาทดาบหลวงนั้นมีรูปร่างคล้ายกับดาบโดยที่มีส่วนยื่นออกไปสองด้านเหมือนกับโกร่งดาบ (สไตล์แบบดาบตะวันตก) ซึ่งส่วนนี้ได้กลายเป็นพื้นที่เปิดที่เอาไว้สำหรับฝึกฝนคนที่มีสิทธิได้เป็นอัศวิน


 


แต่เดิม, สิ่งที่ทำอยู่ที่ปราสาทนั้นไม่ใช่การฝึกผู้มีสิทธิเป็นอัศวินทั่วๆไป


 


ผู้มีสิทธิเป็นอัศวินทั่วๆไปจะเข้าฝึกที่โรงเรียนตามความเหมาะสมในขณะที่พวกที่ฝึกที่จตุรัสของปราสาทจะเป็นพวกที่มีพรสวรรค์แต่ยากจนและไม่สามารถจ่ายเงินเข้าโรงเรียนเตรียมอัศวินได้ แม้จะเป็นผู้อพยพหรือคนจนก็ควรจะได้รับโอกาสกลายเป็นอัศวินถ้าพวกเขามีศักยภาพ, นี่คือข้อเสนอของมงกุฎราชกุมาร


 


ไม่เคยมีพวกเขาคนไหนที่ได้เขาภาคีอัศวินหลวงแต่หลังจากที่พวกเขาเรียนจบพวกเขาก็จะกลายเป็นอัศวินที่คอยรับใช้ลอร์ดท้องถิ่น, นักผจญภัยหรือไม่ก็เข้าร่วมกับกองทัพ ซึ่งพวกเขาแต่ละคนจะพยายามทุ่มเทตามเส้นทางของตัวเอง


 


ที่จตุรัส, ดูเหมือนว่าการฝึกของวันนี้จะจบลงแล้ว


 


อัศวินฝึกหัดไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว, ลีโอรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูกแต่ว่า


 


“คูจังงง!!”


 


เขาสะดุ้งในทันที


 


ลีโอยิ้มให้กับเสียงดังโหวกเหวกของเด็กคนนึง


 


อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่เขาหันไปเห็นเจ้าของเสียง, เขาก็หลบไปซ่อนอยู่ข้างหลังเสาต้นนึง


 


ซึ่งเหตุผลก็เพราะ


 


“ริ, ริต้า…..เจ้าส่งเสียงดังเกินไปแล้วนะ…….”


 


คูจังที่ริต้ากำลังโบกมือให้นั้นจริงๆแล้วก็คือคริสต้า


 


(ภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า คุ-ริ-ทสึ-ต้า, ซึ่งริต้าเรียกย่อๆแค่พยางค์แรก ‘คุ’ ก็เลยออกมาเป็น ‘คูจัง’)


 


เธอกำลังคุยกับริต้าอย่างเขินๆในขณะที่ถือตุ๊กตากระต่ายตามปกติ


 


ลีโอรู้สึกประทับใจกับภาพที่คาดไม่ถึงนี้


 


“เข้าใจหล่ะ….สองคนนั้นเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่เอง……ดูเหมือนว่าความช่วยเหลือของเราจะไม่จำเป็นแล้วหล่ะนะ”


 


“ความช่วยเหลืออะไรหรอ?”


 


“!?”


 


“อย่าส่งเสียงดังสิ”


 


มีนิ้วนึงเข้ามาปิดปากของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เขาตะโกน


 


คนที่โผล่มานั้นก็คือเอลน่า


 


เอลน่ามองคริสต้าด้วยสายตาที่อ่อนโยนจากเงามือของเสาที่ลีโอกำลังซ่อนตัวอยู่


 


จากนั้น,


 


“อย่างที่คิดเลย, เลือดข้นกว่าน้ำจริงๆสินะ…….”


 


“นั่นสินะครับ ถึงยังไงคริสต้าก็เป็นน้องสาวของพวกเรา ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถหาเพื่อนดีๆได้ด้วยตัวเองแล้วนะครับ”


 


“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นซักหน่อย, ข้ากำลังพูดถึงเจ้ากับองค์ชายเทราก็อตต่างหากหล่ะ แอบดูคริสต้าจากในเงามืดแบบนี้เหมือนกับที่องค์ชายเทราก็อตทำเลย และถ้าเจ้ากำลังแอบดูเด็กสาวอีกคนอยู่หล่ะก็ในฐานะเพื่อนสมัยเด็กของเจ้า, ข้าก็ขอตีตัวออกห่างจากเจ้าเดี๋ยวนี้เลย”


 


“…..หืม?”


 


“อย่าบอกข้านะว่า, จะเอาทั้งคู่เลย……?”


 


“ม, ม, มันไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย! เข้าใจผิดแล้วครับ…….!”


 


พอเห็นเอลน่าตีตัวออกห่างจากเขาอย่างจริงจัง, ลีโอก็เข้าใจแล้วว่ามันต้องมีการเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นดังนั้นเขาจึงพยายามจะแก้ไขแต่พอได้ยินเสียงดังของเขา, ริต้าก็เข้ามาดูด้วยความสงสัย


 


“อ้าว! พี่ลีโอนี่หน่า!”


 


พอพูดจบ, ริต้าก็เข้ามากอดลีโออย่างมีความสุข


 


หลังจากที่เห็นภาพนี้, สีหน้าของเอลน่าก็ยิ่งจริงจังขึ้นอีก


 


ลีโอที่คิดว่าสถานการณ์เข้าขั้นอันตรายแล้วพยายามจะพูดอะไรซักอย่างเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์นี้


 


“น, นี่มันเป็นการเข้าใจผิดนะครับ! มันไม่ใช่แบบนั้น, พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นซักหน่อย, เอ่อ, คือว่ามัน”


 


“…………”


 


ด้วยท่าทีน่าสงสัยของเขา, ความสงสัยของเธอจึงมีแต่จะเพิ่มขึ้น


 


ในตอนนั้นเอง, คริสต้าก็เข้ามา


 


“ท่านพี่ลีโอ? เอลน่าด้วยหรอคะ…….”


 


“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ, องค์หญิง”


 


“นั่นสินะคะ…..ริต้ารู้จักท่านพี่ลีโอด้วยหรอ…..?”


 


“อื้ม! พี่ชายเคยพาข้าไปที่ห้องเมื่อวันก่อน!”


 


เป็นเวลาพักนึงที่สติของลีโอกับเอลน่าถูกปิดลง


 


คริสต้าพูด, อ๋อเป็นแบบนี้นี่เอง, แต่เอลน่าในตอนนี้กำลังนึกถึงความเป็นไปได้ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น


 


“ม, ม, ม, ไม่จริงหน่า……..นี่เรื่องจริงหรอ…….”


 


“ข้า, มันไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อยเจ้าก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรอ? เอลน่า, นี่เป็นการเข้าใจผิดนะ……….”


 


ลีโอกำลังคิดอยู่ว่าจะแก้ตัวยังไงดีกับสภาพของริต้าที่ทำได้ถูกเวลาจริงๆ


 


ในระหว่างนี้เอง, ริต้าก็ทำตามใจชอบด้วยการกอดลีโอบ้างและเกาะแขนเขาบ้าง


 


อย่างไรก็ตาม, สถานการณ์ในตอนนี้มันล่อแหลมจริงๆ


 


พอรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมา, ลีโอก็มองไปที่ทางเข้าจตุรัส


 


ที่นั่น, ฟีเน่กำลังยืนอึ้งในขณะที่เอาสองมือของเธอขึ้นมาปิดปาก


 


พอตระหนักได้ว่าสถานการณ์มันกำลังจะซับซ้อนยิ่งขึ้น, ลีโอก็พยายามจะอธิบายเธอแต่ก่อนที่เขาจะได้ทำแบบนั้นฟีเน่ก็เริ่มกระวนกระวาย


 


“ท, ท่านอัลคะ! ท, ท่านลีโอกลายเป็นพวกนิยมเด็กแล้วค่ะ! ข, ข้าจะทำยังไงดี? ข้าควรวางตัวยังไงถึงจะทำให้ท่านลีโอไม่รู้สึกเจ็บปวด!?”


 


ถึงจะไม่ทำอะไรตอนนี้เขาก็เจ็บปวดแล้ว, ลีโอไหล่ตก


 


ในขณะที่กำลังเตรียมใจถูกล้ออยู่นั้นเอง, อัลก็โผล่มา


 


จากนั้น,


 


“พูดเรื่องอะไรของเจ้า?”


 


“อ, อัล! ลีโอหลงไปเดินบนเส้นทางเดียวกับองค์ชายเทราก็อตแล้ว!!”


 


“พ, พวกเราจะทำยังไงดีคะ!?”


 


“เส้นทางเดียวกับท่านพี่เทราก็อตหรอ ระดับความเสื่อมของคนๆนั้นสูงเกินกว่าที่ลีโอจะเป็นได้ในทันทีนะ เขายังไม่หลงผิดหรอกใจเย็นๆหน่า”


 


“นั่นมันคำอธิบายอะไรกันครับ!? ไม่ได้ช่วยให้สบายใจขึ้นเลยซักนิด! ช่วยแก้ความเข้าใจผิดให้ข้าดีๆหน่อยเถอะท่านพี่”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า, รู้แล้วหน่าใจเย็นสิ”


 


พอพูดจบ, อัลก็เข้าไปหาริต้าที่กำลังเกาะแขนของลีโออยู่


 


ริต่าสังเกตเห็นอัลแล้วอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ


 


“เหวอ, อะไรกัน!!?? คนสองคนมีใบหน้าเหมือนกันหรอ!?”


 


“ไม่ต้องสงสัยเลย เจ้าคือเด็กสาวที่ไกพูดถึงสินะ”


 


“ร, รู้จักชื่อของอาจารย์ได้ยังไง!? แถมยังมีใบหน้าเหมือนพี่ลีโอด้วย…..เจ้าต้องเป็นนักเวทย์ที่แข็งแกร่งปลอมตัวมาแน่ๆเลย! เอาใบหน้าของพี่ลีโอคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!!”


 


พอพูดจบ, ริต้าก็แทงอัล


 


อย่างไรก็ตาม, อัลใช้ความแตกต่างของความยาวแขนและจับศรีษะของริต้าเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้


 


“เจ้าขี้ขลาด!”


 


“สมกับเป็นลูกศิษย์ของไก เจ้านี่บ้าใช้ได้เลย เอาหล่ะ, ฟังให้ดีๆนะ ข้าชื่ออาร์โนลด์ ข้าเป็นพี่ชายฝาแฝดของลีโอ”


 


“ฝ, ฝาแฝด…..?”


 


“อื้ม….ท่านพี่อัล…..ทั้งสองคนเป็นพี่ชายของคริสต้า”


 


บางทีกำลังประมวลผลของเธอน่าจะค่อนข้างช้า, ริต้ากำลังครุ่นคิดอยู่พักนึงแล้วเอากำปั้นทุบฝ่ามือของตัวเองเป็นการบอกว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่ฉันบอกแล้ว


 


จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่อัล


 


“ลักษณะเด่นของพี่อัลก็คือผมยุ่ง!”


 


แล้ว, เธอก็ชี้ไปที่ลีโอ


 


“ส่วนของพี่ลีโอก็คือหล่อ!”


 


“ตรรกะอะไรเนี่ย พวกเราก็มีหน้าตาเหมือนกันไม่ใช่รึไง?”


 


“โถ่ โถ่ โถ่! อย่ามาดูถูกริต้านะ! ริต้ารู้ว่าคนหล่อเป็นยังไง! นี่ไงหล่ะ! พี่ลีโอ!”


 


“นี่คนพี่ต่างหากหล่ะ”


 


ริต้าเข้าไปกอดยังจุดที่ลีโอยืนอยู่ก่อนหน้านี้แล้วมองไปที่ต้นเสียง


 


มีชายแต่งตัวดีและจัดผมเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น


 


พอหันกลับไป, เธอก็พบว่าชายที่อยู่ตรงข้ามก็มีใบหน้า, เสื้อผ้า, และทรงผมเหมือนกัน


 


“ว, เหวอออออ!!?? พี่ลีโอมีร่างโคลนด้วยหรอ!!?? น, น่ากลัวจังเลย! นี่คือพลังของฝาแฝดสินะ!”


 


“ท่านพี่อัล…..อย่าแกล้งริต้าเยอะนักสิ……”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า โทษทีโทษที”


 


อัลปล่อยผมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วปลดกระดุมเสื้อออก


 


จากนั้นเขาก็ขยี้ผมของริต้าแล้วหันกลับไป


 


“ไว้เจอกันนะ ข้ามีงานบางอย่างต้องไปทำทั้งสามคนเล่นกันไปเถอะ”


 


“ท่านพี่มีงานอะไรหรอครับ?”


 


“ข้าจะทำงานแทนเจ้าให้ เดี๋ยวเจ้าก็ต้องลงใต้แล้วใช่ไหมหล่ะ? เล่นกับคริสต้ากับเด็กสาวคนนั้นให้เต็มที่เถอะ คริสต้าเองก็อยากเล่นกับลีโอเหมือนกันใช่ไหม?”


 


“อื้ม…..”


 


“ริต้าก็อยากเล่นด้วย!”


 


“เอาสิ, ดูแลน้องชายกับน้องสาวของข้าด้วยนะ”


 


“เอ๋!? ท่านพี่!?”


 


“ห้ามพาเธอเข้าห้องของเจ้าหล่ะ”


 


“เดี๋ยวนะครับ! มันไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย!! อย่าพูดอะไรแปลกๆแบบนั้นสิ! มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ!”


 


ด้วยการพาฟีเน่และเอลน่าไปกับเขา, อัลก็ทิ้งลีโอที่กำลังกวักมือเรียกเขาด้วยความตื่นตระหนก


 


“ทำไมวันนี้ถึงอารมณ์ดีนักหล่ะ?”


 


“นั่นสิคะ, ท่านอัลดูมีความสุขยังไงไม่รู้สิ”


 


“งั้นหรอ? คงจะจริงมั้ง, อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ข้าไม่ได้เห็นลีโอเป็นตัวของตัวเองนานแล้ว มันค่อนข้างนานจริงๆแหล่ะนะที่หมอนั่นผ่อนคลายไหล่ของตัวเองแบบนั้น ข้าคิดว่าหมอนั่นต้องขอบคุณริต้าสำหรับเรื่องนั้นแล้วหล่ะ”


 


พอพูดจบ, อัลก็แก้ไขภาพลักษณ์ของเขาและเซ็ทผม


 


จากนั้นเขาก็ยืดหลังตรงและเคลื่อนไหวแบบที่ปกติไม่ได้ทำ


 


“เอาหล่ะ, ดูเหมือนว่าข้าคงต้องพยายามให้หนักขึ้นหน่อยเพื่อลีโอ”


 


“เห้อ…..เจ้าจะจริงจังก็แค่ตอนที่เกี่ยวกับลีโอสินะ, อัล”


 


“ถึงยังไงหมอนั่นก็เป็นน้องชายของข้านี่หน่า”


 


“ช่างเป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆ!”


 


ในขณะที่บทสนทนาดำเนินไปเช่นนี้, พวกเขาก็เดินขึ้นบันไดไป


 


ท้ายที่สุดแล้ว, อัลไม่ได้รู้เลยว่าลีโอถูกเด็กสาวสองคนรุมรังแกจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตก


 


“หนอยย…..นี่คือแผนของท่านพี่สินะ…….”

 

 

 


ตอนที่ 59

 

“ลีโอนาร์ด ข้าขอฝากเรื่องนี้เอาไว้กับเจ้านะ”


 


“ครับ ข้าจะทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาขององค์จักรพรรดิเอง ถ้ามีความอยุติธรรมเกิดขึ้นที่ทางใต้จริงๆ, ข้าก็จะนำมันออกมาอยู่ในที่สว่างเอง”


 


“อืม”


 


ลีโอรับผ้าคลุมสีม่วงจากท่านพ่อ


 


มันคือหลักฐานที่บ่งบอกว่าเป็นผู้ตรวจสอบของจักรวรรดิ


 


ตราบใดที่เขามีผ้าคลุมนี้อยู่, ก็จะไม่มีใครขวางทางลีโอได้


 


“ห้ามปราณีหล่ะ ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียดจนเจ้าพอใจเลย”


 


“ครับ”


 


ลีโอสวมผ้าคลุมแล้วออกไปจากห้องบัลลังก์


 


คนอื่นๆเองก็เริ่มออกไปเหมือนกันแต่ฉันยังคงอยู่ในห้อง


 


ซึ่งเหตุผลก็คือว่าดูเหมือนท่านพ่อจะอยากให้ฉันอยู่ต่อ


 


“เจ้าเป็นห่วงหรอ?”


 


“ไม่จำเป็นหรอกครับ ลีโอเป็นคนเก่งอยู่แล้ว”


 


“เขาเป็นคนที่ขาดความยืดหยุ่น ซึ่งเจ้าก็คือคนที่เข้ามาช่วยชดเชยตรงส่วนนั้น แต่ครั้งนี้เจ้าไม่ได้อยู่กับเขานะ”


 


“ฝ่าบาทกำลังคิดว่าลีโอจะจัดการด้วยตัวเองไปได้ไกลแค่ไหนสินะครับ? ข้าขอบอกเลยว่ามันไม่ได้ผลหรอก”


 


“โฮ่? ทำไมถึงคิดอย่างนั้นหล่ะ?”


 


“หมอนั่นเก่งเรื่องช่วยเหลือคนอื่น เขาคือคนที่สามารถเคลื่อนไหวผู้คนได้ นี่คือเหตุผลที่ต่อให้ไม่มีข้าอยู่ที่นั่น, ก็จะมีคนอื่นอยู่ที่นั่นเพื่อเขา”


 


“เข้าใจหล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี แต่ว่าตัวเจ้าหล่ะ?”


 


ฉันขมวดคิ้วให้กับคำพูดของท่านพ่อ


 


เหมือนกับลีโอ, ฉันเองก็มีงานของตัวเอง งานที่เบาเกินกว่าจะเรียกว่าภารกิจ


 


“ก็ไม่รู้สินะครับ เอาเป็นว่าข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถแต่ช่วยอย่าคาดหวังในตัวข้ามากเกินไปหล่ะ”


 


“แบบนั้นไม่ได้หน่า การแต่งงานของพี่สาวเจ้าขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ถ้าเธอไม่ได้แต่งงาน, ซานดร้าก็คงจะแต่งงานไม่ได้เหมือนกัน”


 


“แบบนั้นมันดูเป็นความรับผิดชอบที่ค่อนข้างหนักอยู่ไม่ใช่หรอครับ ถ้าเกิดข้าล้มเหลวก็ช่วยอย่าโกรธข้าแล้วกันนะครับ ถึงยังไงสิ่งที่ข้าจะทำนั้นมันก็คือการขัดใจเธอ”


 


“ก็ได้, ข้าเข้าใจอยู่ แต่ว่านะอาร์โนลด์ ข้าเองก็อายุห้าสิบแล้ว คงเหลือเวลาใช้ชีวิตอยู่ไม่มาก นี่คือเหตุผลที่ข้าอยากจะเห็นลูกสาวแต่งงาน”


 


“แต่ข้าจำไม่เห็นได้เลยนะครับว่าท่านป่วย?”


 


“ข้าไม่ได้ป่วยหรอกแต่ข้ากำลังแก่ขึ้นเรื่อยๆ ข้าคงแข็งแรงแบบนี้ต่อไปได้อีกไม่นาน สุดท้ายแล้วข้าก็จะต้องร่วงโรยซักวันนึง ใครจะได้เป็นจักรพรรดิคนต่อไป, นั่นคือทั้งหมดที่ข้ากำลังคิดอยู่”


 


ด้วยสายตาที่ค่อนข้างเหม่อลอย, ท่านพ่อก็ทอดสายตาออกยังเขตย่อยต่างๆที่อยู่รอบปราสาท


 


ข้าจะได้เพลิดเพลินทัศนียภาพนี้ไปอีกนานแค่ไหนนะ? บางทีนี่คงเป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในตอนนี้


 


ลูกๆของเขากำลังทำสงครามตีกันเองอยู่และเป้าหมายของพวกเขาก็คือบัลลังก์ที่เขานั่งอยู่ในตอนนี้


 


แน่นอนว่า, ผู้ชนะก็จะถูกย้ายตำแหน่งมาแทนที่พ่อ และด้วยเหตุนี้เอง, เขาถึงบอกว่าไม่มีเวลาก็เลยอยากเห็นลูกสาวกลายเป็นเจ้าสาวก่อน


 


“วันนี้ฝ่าบาทดูนอยๆผิดปกตินะครับ”


 


“วันนี้, ข้าฝันถึงภรรยาลำดับสองกับมงกุฎราชกุมาร มันทำให้ข้านึกถึงความหลัง….ข้ากำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะต้องมีอีกซักกี่คนที่ข้าต้องมาหวนคิดถึงแบบนี้”


 


“ถ้าฝ่าบาทไม่ชอบฝ่าบาทก็ยกเลิกสงครามผู้สืบทอดไปเลยก็ได้นี่ครับ แต่งตั้งมงกุฎราชกุมารคนใหม่และในขณะที่ฝ่าบาทยังมีอำนาจอยู่ก็ส่งลูกๆไปอยู่บ้านนอกซะ, ฝ่าบาทจะสามารถรักษาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ได้ด้วยวิธีนี้”


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก คุ่นค่าของผู้ชนะกับคุณค่าของคนที่ได้รับสืบทอดมานั้นไม่เหมือนกัน บัลลังก์คือสิ่งต้องชนะได้มา เพราะวิธีนี้ถึงจะได้จักรพรรดิที่มากความสามารถ และเพราะวิธีนี้จักรวรรดิถึงจะอยู่รอดปลอดภัย”


 


“ถ้างั้นก็ช่วยหยุดนอยเถอะครับ ฝ่าบาทมีอำนาจที่จะใช้หยุดเรื่องทั้งหมดนี้แต่ฝ่าบาทกลับเลือกที่จะไม่ทำ เพราะเหตุนี้เอง, น้องของข้าถึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งโง่ๆนี่ มีคนอีกมากมายที่คิดเหมือนกับฝ่าบาทแต่เหตุผลที่ไม่มีใครออกมาคัดค้านก็เพราะตัวฝ่าบาทเองยังเห็นชอบอยู่ พวกเขาโน้มน้าวตัวเองว่านี่คือสิ่งสำคัญและทนอยู่กับมัน อาการนอยของฝ่าบาทในตอนนี้ก็คือการดูถูกทุกคนที่เข้าร่วมในสงครามผู้สืบทอด ถ้าฝ่าบาทล้มเลิกหลังจากที่ผ่านมาขนาดนี้, ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้ฝ่าบาทแน่…….”


 


ความขัดแย้งเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นถ้าจักรพรรดิแต่งตั้งผู้สืบทอดบัลลังก์


 


อย่างไรก็ตาม, จักรพรรดิที่ผ่านพ้นความขัดแย้งมาได้จะแข็งแกร่งกว่าคนที่ถูกแต่งตั้ง ฉันเข้าใจเหตุผลตรงจุดนี้ ผู้ชนะจะไม่ยอมให้สิ่งที่ชนะได้มาถูกพรากไป แต่พวกที่ได้รับส่งต่อมานั้นจะตระหนักถึงเรื่องนี้น้อยมาก และตรงนี้เองก็ทำให้เกิดความแตกต่างในการรับรู้


 


ถ้าอยากสร้างจักรพรรดิที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องจักรวรรดิได้, สงครามผู้สืบทอดก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเหตุนี้เอง, ความขัดแย้งโง่ๆนี่จึงเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาในทุกยุคทุกสมัย


 


“……ไม่นึกเลยว่าข้าจะต้องมาถูกลูกของตัวเองสั่งสอน แถมลูกคนนั้นยังเป็นอาร์โนลด์ด้วย”


 


“โปรดอภัยให้กับความไร้มารยาทของข้าด้วย”


 


“ไม่เป็นไรหรอก พอดีฟรานซ์ไม่ได้อยู่ที่นี่ข้าก็เลยเผลอแสดงด้านที่อ่อนแอแบบนี้ให้เจ้าได้เห็น ข้าขอโทษนะ ลืมสิ่งที่ข้าพูดไปเถอะ”


 


“ครับ”


 


“…..อาร์โนลด์ เจ้ายังจำสิ่งที่ข้าเคยแสดงให้ดูได้อยู่รึเปล่า?”


 


“วางใจได้ครับ ข้าไม่มีวันลืมหรอก ข้ายังจำคำพูดที่ท่านบอกข้าเมื่อตอนนั้นได้เหมือนกับพึ่งผ่านมาเมื่อวาน”


 


“เข้าใจหล่ะ….แบบนั้นค่อยโล่งใจหน่อย”


 


พอพูดจบ, ท่านพ่อก็ให้ฉันกลับไปได้


 


เนื่องจากสงครามผู้สืบทอดรุนแรงขึ้น, ท่านพ่อถึงมีเรื่องหลายอย่างที่ต้องคิด


 


ถ้าลีโอกลายเป็นจักรพรรดิ, ท่านพ่อก็จะปลอดภัยแต่เขาคงไม่มีวันแต่งตั้งลีโอเป็นมงกุฎราชกุมารเพราะเรื่องนั้นแน่ๆ


 


ต่อให้เขาจะแสดงด้านที่อ่อนแอให้ฉันเห็น, แต่เขาก็ยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบในฐานะจักรพรรดิมาก่อนตัวเองเสมอ


 


“ว่าแล้วเชียว, มีแต่ต้องชนะให้ได้สินะ”


 


ฉันพึมพำออกมาแบบนั้นแล้วออกไปส่งลีโอ


 


“ดูแลตัวเองให้ดีๆหล่ะ”


 


“ครับ, ข้าจะพยายามให้เต็มที่ครับ, ท่านพี่”


 


“เอาแค่พอประมาณก็พอ”


 


หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จ, พวกเราก็บอกลากัน


 


พวกเราไม่จำเป็นต้องคุยกันยืดยาว มันไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังจะบอกลาเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต


 


“องค์ชายอาร์โนลด์คะ”


 


“ยังใช้วิธีเรียกน่าเบื่อเหมือนเดิมเลยนะ, ลินเฟีย”


 


“ข้าไม่ได้มีสถานะที่สูงพอจะเรียกองค์ชายอย่างสนิทชิดเชื้อเหมือนกับคนอื่นๆได้หรอกค่ะ”


 


“ข้าไม่ได้สนเรื่องสถานะซักหน่อย แต่ก็เอาเถอะ, ถ้าเจ้าสบายใจก็เอาตามที่เจ้าชอบเถอะ ถึงยังไงเจ้าก็อุตส่าห์ดั้งด้นมาถึงที่นี่, ข้าขอโทษด้วยนะที่ต้องให้เจ้ารอซะนานเลย”


 


“ไม่หรอกค่ะ, ข้าต่างหากหล่ะที่ต้องขอบคุณท่านสำหรับเรื่องทุกอย่าง”


 


“มันคือสิ่งตอบแทนจากการที่เจ้าช่วยชีวิตของข้าและคอยปกป้องฟีเน่ในระหว่างที่พวกเราไม่อยู่ สิ่งที่ข้าทำให้นั้นมันยังไม่พอที่จะชดเชยด้วยซ้ำ”


 


“ข้าเองก็ไม่ได้มีประโยชน์ขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น, องค์ชายก็ยังคงดีกับข้ามาก พูดตามตรง, ข้ารู้สึกผิดกับตัวเองจริงๆ”


 


พอพูดจบ, ลินเฟียก็ดูสลด


 


อย่างไรก็ตาม, นี่มันก็แค่การถ่อมตัวของเธอ


 


เธอปกป้องฟีเน่แทนฉันได้เป็นอย่างดี นี่มันก็เหมือนว่าเธอช่วยพวกเรากอบกู้วิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมา


 


แค่การที่พวกเราส่งนักผจญภัยไม่กี่คนไปคอยปกป้องหมู่บ้านของเธอและตรวจสอบคดีของเธอนั้นมันยังไม่เพียงพอที่จะชดใช้หนี้ในครั้งนี้หรอก


 


“เอาเถอะ, เจ้าอาจจะคิดอย่างนั้น, แต่ว่านะลินเฟียพวกเรารู้สึกขอบคุณเจ้าจริงๆ นี่คือเหตุผลที่พวกเราจะช่วยหมู่บ้านของเจ้าให้ได้อย่างแน่นอน”


 


ฉันเอาถุงเงินที่ใหญ่กว่ากำปั้นของฉันเล็กน้อยให้ลินเฟีย


 


ด้วยความที่มันค่อนข้างหนัก, ลินเฟียจึงแอบดูข้างใน


 


มีเหรียญทองอยู่ข้างในนั้น


 


นอกจากนี้, ข้างในถุงเงินยังใหญ่กว่าหน้าตาของมันด้วย


 


“น, นี่คือ…..!?”


 


“มันคือถุงเงินเสริมเวทมนตร์ ข้างในจะกว้างกว่าหน้าตาของมันถึงสิบเท่า และเหรียญทองที่อยู่ข้างในก็เป็นของข้าเอง ข้าไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้เงินนักหรอกแต่ประเทศก็ยังคงจัดสรรให้ข้าอยู่ดี ข้าคิดว่าข้าจะใช้มันเพื่อเป็นเงินทุนในสงครามผู้สืบทอดแต่พอผ่านมาถึงตอนนี้, ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้วหล่ะ, ถึงยังไงเจ้าก็ลงทุนสร้างเส้นสายกับบริษัทนั้นเพื่อพวกเรานี่นะ ข้าขอยกมันให้เจ้าก็แล้วกัน”


 


“ม, ไม่เอาหรอกค่ะ! ข้าจะใช้เงินทั้งหมดนี้หมดได้ยังไงกัน!?”


 


“ต่อให้ข้ายกมันให้ลีโอ, เจ้านั่นก็คงใช้มันไม่ค่อยคุ้มหรอก แต่ถ้ามันอยู่กับเจ้าข้ามั่นใจว่าเจ้าจะสามารถใช้มันได้เป็นอย่างดี ลีโอเป็นคนซื่อๆ ข้าอยากให้เจ้าคอยช่วยเหลือเขา ข้าคิดว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นตัวช่วยในการกอบกู้หมู่บ้านของเจ้า เจ้าไม่ต้องงกในตอนที่อยากจะใช้มัน และเจ้าก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเอามาคืนข้า, ใช้มันเพื่อช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านของเจ้าเถอะ, เข้าใจไหม?”


 


“องค์ชาย…..”


 


“ข้าเองก็อยากจะไปกับเจ้านะแต่ครั้งนี้คงทำไม่ได้ ข้าขอโทษด้วยที่ข้าไม่สามารถช่วยเหลือได้ยันจบแต่อย่างน้อยก็ขอให้ข้ายกสิ่งนี้ให้เจ้าเถอะ”


 


“…..ขอบคุณมากค่ะ ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณนี้ ข้าจะทำตัวให้มีประโยชน์กับองค์ชายลีโอนาร์ดเพื่อท่านค่ะ”


 


พอพูดจบ, ลินเฟียก็ก้มศรีษะให้


 


มันก็แน่หล่ะนะ ข้างในถุงเงินนั่นมีเหรียญทองที่มีค่าเท่ากับเงินสิบปีสำหรับเจ้าชายอยู่


 


แน่นอนว่า, การส่งให้ง่ายๆแบบนี้อาจจะเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่แต่ฉันก็ยังมีเงินที่ฉันได้รับในฐานะซิลเวอร์อยู่ เงินส่วนนั้นมีเซบาสเป็นคนบริหารและมูลค่าของมันก็มากกว่าเงินเดือนเจ้าชายซะอีก


 


แต่ถึงอย่างนั้น, มันก็ไม่ได้หมายความว่านี่จะเป็นจำนวนเงินที่จะเอาไปมอบให้คนอื่นได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม, ด้วยเงินก้อนนี้, พวกเขาจะสามารถผลักดันขุนนางทางใต้ให้เคลื่อนไหวได้ ถ้าเป็นลินเฟียหล่ะก็เธอจะสามารถใช้มันด้วยวิธีที่ลีโอคิดไม่ถึงได้อย่างแน่นอน


 


“เจ้าก็ถ่อมตัวเกินไป พวกเราเป็นหนี้เจ้าอยู่นะ ถือซะว่าเป็นคำขอบคุณของพวกเราแล้วกัน เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก”


 


“….มันอาจจะดูไม่ดีที่ข้าจะพูดแบบนี้แต่ข้ารู้สึกดีใจที่ท่านถูกโจมตีในตอนนั้นนะคะ เพราะเหตุการณ์นั้น, พวกเราถึงได้มาเจอกันแบบนี้ ความโล่งอกและความสุขที่ข้ารู้สึกในตอนที่ท่านเสนอความช่วยเหลือให้ข้าในตอนนั้นคือสิ่งที่มีแต่ข้าเท่านั้นที่เข้าใจได้ ตอนนี้ข้ารู้แล้วหล่ะค่ะว่าทำไมท่านฟีเน่ถึงเชื่อใจท่านถึงขนาดนี้ หลังจากที่หมู่บ้านปลอดภัยแล้ว, ข้าจะกลับมาเข้าร่วมกับท่านอย่างแน่นอน โปรดฝากองค์ชายลีโอนาร์ดเอาไว้กับข้าได้เลยค่ะ”


 


“เห้อ, เป็นทางการจังเลยนะ แต่ในเมื่อเจ้าต้องการแบบนั้น, ข้าก็ขอฝากเจ้าหมอนั่นด้วย ลินเฟีย, ดูแลน้องชายของข้าให้ดีหล่ะ”


 


“ค่ะ ไว้ใจข้าได้เลย”


 


ลินเฟียโค้งคำนับจนสุดตัวและขึ้นรถม้าที่ลีโอพึ่งขึ้นไป


 


มีอัศวินหลวงคอยคุ้มกันลีโออยู่แต่ผู้คุ้มกันส่วนตัวของลีโอนั้นถูกฝากฝั้งเอาไว้กับลินเฟีย ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นว่าลีโอเองก็ไว้ใจเธอมากเหมือนกัน


 


“เอาหล่ะ, ข้าไปแล้วนะครับ!”


 


“อา ถ้าเกิดมันยากเกินไปก็ไม่ต้องฝืนหล่ะ, ยอมแพ้แล้วกลับมาที่นี่ให้ได้ก็พอ”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า, ท่านพี่เองก็เหมือนกันครับ, ถ้างานฝั่งพี่ยากเกินไปพี่เองก็ยอมแพ้ได้นะครับ ถึงยังไงขุนนางทางใต้ก็คงจะใจดีกว่าพี่สาวของพวกเราเยอะ”


 


“นั่นสินะ”


 


ในขณะที่กำลังพูดคุยกับลีโอที่โผล่ศรีษะออกมาจากรถม้า, ฉันก็มองดูรถม้าที่กำลังขับออกไปอย่างช้าๆ


 


เอาเถอะ, คงไม่จำเป็นต้องห่วงหมอนั่นแล้วหล่ะ


 


“ข้าเองก็ควรเริ่มทำงานของตัวเองได้แล้วสินะ”


 


ก่อนอื่น, ลองไปพบคนที่มาขอพี่สาวของเราก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นข้าจะให้เขาเขียนจดหมายไปให้เธอ, แบบนี้น่าจะสามารถพอโน้มน้าวใจเธอได้บ้าง


 


เอาเหล่ะ, ถึงเวลายุ่งแล้วสิ

 

 

 


ตอนที่ 60

 

เยอร์เกน ฟ็อน ไรน์เฟลด์ อายุ 26 ปี


 


หัวหน้าหนุ่มคนปัจจุบันของดยุคบ้านไรน์เฟลด์ที่ตั้งอยู่ระหว่างส่วนตะวันออกและส่วนใต้ของจักรวรรดิ พูดอีกนัยนึงก็คือ, เขาเป็นดยุค


 


อาณาเขตของบ้านไรน์เฟลด์นั้นไม่ได้ใหญ่มาก แต่เดิมนั้นเมื่อเทียบกับตระกูลดยุคที่มีอยู่ก็ถือว่าเป็นตระกูลที่ค่อนข้างใหม่


 


แต่ไม่ว่ายังไง, มันก็เป็นตระกูลที่รุ่งเรืองในด้านการค้าขายผลิตภัณฑ์พิเศษและแร่หินต่างๆ ซึ่งในแง่นี้, เขาก็ถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอแล้วที่จะแต่งงานกับพี่สาวของฉัน


 


“แต่ถึงพูดไปก็เท่านั้น, สถานะของเขาไม่ได้เป็นปัญหามาตั้งแต่แรกแล้ว”


 


ฉันพึมพำในขณะที่ไล่อ่านชีวประวัติของเขา


 


คอขวดมันอยู่ตรงที่มีคำว่า [ไม่เก่งด้านศิลปะการต่อสู้] ถูกเขียนเอาไว้ในเอกสารที่เซบาสรวบรวมมาให้ฉัน


 


พี่สาวของฉันเป็นทหารที่ผ่านอะไรมามาก, เธอตัดสินเรื่องต่างๆด้วยความมุ่งมั่นว่ามันจะเป็นประโยชน์กับสนามรบหรือไม่ ถ้าอยากให้เธอมีสามี, เธอก็น่าจะอยากได้ผู้ชายที่แข็งแกร่ง จะเชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้หรือเป็นผู้บัญชาการที่ดีก็ได้ ดังนั้นในตอนนี้, ฉันจำเป็นต้องหาอะไรซักอย่างที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อโน้มน้าวใจพี่สาวของฉัน


 


“ตอนนี้จะเอายังไงดีนะ”


 


“ท่านอาร์โนลด์ครับ ข้ามีเรื่องจะมารายงาน”


 


“มีอะไรหรอ? เซบาส”


 


“ดูเหมือนว่าดยุคไรน์เฟลด์ที่ขอองค์หญิงจะแอบเข้ามาในเมืองหลวงของจักรวรรดิครับ”


 


“หา!? แอบเข้ามาหรอ!? เขาเป็นดยุคไม่ใช่รึไง!?”


 


“ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นพวกที่ค่อนข้างคิดเร็วทำเร็วครับ เขาแอบเข้ามาอย่างไม่เป็นทางการเพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อองค์จักรพรรดิ”


 


“ขอบคุณ? เรื่องที่ยอมรับคำขอแต่งงานของเขาหน่ะหรอ?”


 


“ดูเหมือนจะใช่ครับ….., ดยุคไรน์เฟลด์ส่งคำขอแต่งงานมาให้องค์จักรพรรดิหลายครั้งมากตั้งแต่เมื่อกว่าสิบปีก่อนแล้วครับ”


 


….มากกว่าสิบปีเลยหรอ?


 


นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย


 


เขาถูกปฏิเสธมาเรื่อยๆแล้วก็ส่งซ้ำไปซ้ำมาตลอดจนถึงตอนนี้อย่างนั้นหรอ?


 


ความจริงที่เรื่องแบบนี้ไม่ได้ถูกเผยแพร่ก็แสดงว่าเขาถูกปฏิเสธทุกครั้ง และถึงยังไงนั่นก็คือพ่อของฉันด้วย, มันไม่มีทางที่เขาจะเอาเรื่องนี้ไปพูดกับพี่สาวของฉันแน่ เพราะฉะนั้นพูดอีกนัยนึงก็คือ


 


“นี่พี่สาวของข้าปฏิเสธคำขอของดยุคด้วยตัวเองมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วอย่างนั้นหรอ!?”


 


“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นครับ”


 


“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นหรอ!?…..แบบนี้ดยุคคนนั้นก็เหมือนหมดโอกาสไปแล้วไม่ใช่รึไง!?”


 


“บางทีอาจจะเพราะมีดยุคอยู่ไม่กี่บ้านที่เข้ามาขอองค์หญิงแต่งงาน ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงประทับใจในความมุ่งมั่นของเขาและตัดสินใจเคลื่อนไหวเพื่อเขาครับ”


 


“เขาก็แค่โยนงานมาให้ข้าเพราะเขาต้องปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่าทำให้เรื่องนี้เหมือนกับว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพราะประทับใจเลย”


 


ดูเหมือนงานนี้จะยากจนคาดไม่ถึงซะแล้วสิ


 


เป็นคนแบบไหนกันนะ? ดยุคไรน์เฟลด์คนนี้เนี่ย


 


เขาน่าจะห่างไกลจากสเป็คของท่านพี่แน่ๆ


 


“ไม่มีทางอื่นแล้วสินะ เดี๋ยวข้าจะไปพบเขาเอง”


 


“ดูเหมือนจะมีแค่วิธีนี้แหล่ะครับ บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่องค์จักรพรรดิกำลังคิดอยู่เหมือนกัน”


 


หลังจากที่ฉันพูดจบ, ประตูห้องของฉันก็ถูกเคาะ


 


บางที, ท่านพ่อน่าจะส่งคนมาเรียกฉัน


 


เอาหล่ะ, ดูเหมือนจะถึงเวลาที่ฉันต้องไปเจอว่าที่พี่เขยของฉันแล้วสินะ


 


….


 


เหวอ, แน่นจังเลยนะ


 


นี่คือความประทับใจแรกของฉันที่มีต่อเยอร์เกน ฟ็อน ไรน์เฟลด์


 


หลังจากที่เขาแอบมาเข้าพบท่านพ่อ, ฉันก็มาเยี่ยมห้องที่เยอร์เกนอยู่


 


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ, องค์ชายอาร์โนลด์ ข้าเยอร์เกน ฟ็อน ไรน์เฟลด์ ข้าพึ่งรับตำแหน่งดยุคต่อจากท่านพ่อของข้าเมื่อไม่นานนี้”


 


พอพูดจบ, เยอร์เกนก็เผยรอยยิ้มให้ฉันอย่างเป็นธรรมชาติ ความสูงของเขาน้อยกว่าฉันเล็กน้อย


 


เนื่องจากเขาสูงพอๆกับฉัน, ก็คงพิจารณาได้ว่าเขาตัวเตี้ยกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ชายวัยผู้ใหญ่


 


อย่างไรก็ตามปัญหามันอยู่ตรงที่ความกว้าง จากที่ดูแล้วเขาหนักกว่าฉันแน่ๆ


 


ความประทับใจที่เขาสร้างให้ฉันก็คือลูกหมีตัวอวบอ้วน เมื่อผนวกกับรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติของเขา, ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนแต่น่าเสียดาย, มันตรงข้ามกับสเป็คพี่สาวของฉันเลย


 


หน้าตาของเขาไม่ได้ถือว่าน่าเกลียดหรอกแต่จะบอกว่าหล่อก็คงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น, ลักษณะโดยรวมของเขาค่อนข้างไม่ผ่านเกณฑ์


 


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ, ข้าอาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์, เจ้าชายลำดับเจ็ด เป็นเกียรติที่ได้พบครับ”


 


ความรู้สึกที่ดูอ่อนโยนตามธรรมชาติของเยอร์เกนทำให้ฉันทำตัวสุภาพกว่าปกติ


 


 


จะให้ฉันทำตัวหยาบกระด้างกับคนแบบนี้ก็คงไม่ไหวหล่ะนะ


 


เขาน่าจะเป็นคนนิสัยดีมากๆเหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขา


 


แต่ว่า


 


“ข้าได้ยินมาจากฝ่าบาทว่าองค์ชายอาร์โนลด์จะรับบทเป็นคนเชื่อมสะพานระหว่างข้ากับองค์หญิงลีเซล็อตต์, เป็นความจริงใช่ไหมครับ?”


 


หนอยเจ้าพ่อบ้า, พูดเรื่องไม่จำเป็นอีกแล้วนะ…….


 


ลีเซล็อตต์ เลคส์ แอดเลอร์


 


องค์หญิงลำดับหนึ่งของจักรวรรดิและจอมพล


 


แถมด้วยแม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของราชวงศ์


 


การทำหน้าที่เป็นคนเชื่อมสะพานให้กับคนแบบนี้ถือว่าเป็นงานที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน, นี่เขาเข้าใจตรงจุดนี้ไหมนะ?


 


“ก็ใช่อยู่หรอกครับ…..ฝ่าบาทพูดแบบนั้นก็จริงแต่ว่า……..”


 


“ถ้างั้นข้าก็วางใจได้แล้วหล่ะครับ ข้าได้ยินมาว่าในบรรดาราชวงศ์, องค์หญิงลีเซล็อตต์จะเปิดใจแค่กับองค์หญิงคริสต้าและองค์ชายเท่านั้น”


 


“………ขอโทษที่หยาบคายนะแต่ท่านไปได้ยินมาจากไหนหรอ?”


 


“ข้าได้ยินจากปากของเธอเองครับ?”


 


“…..ท่านเคยติดต่อกับท่านพี่ลีเซด้วยหรอ?”


 


ฉันรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้อย่างบอกไม่ถูก


 


มันเป็นความจริงที่ในบรรดาสมาชิกราชวงศ์นั้น, ท่านพี่ลีเซจะเปิดใจแค่กับฉันและคริสต้า


 


มันเป็นเรื่องหายากที่ท่านพี่ลีเซจะอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิเนื่องจากเธอมักจะอยู่ที่แนวหน้า ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่เธอมักจะเขียนจดหมายมาหาพวกเรา


 


เธอเคยส่งให้ฉัน, คริสต้าและลีโอคนละฉบับ, แต่เมื่อประมาณสามปีก่อนลีโอไม่ได้รับจากเธอเลย


 


ฉันเคยถามลีโอไปว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็ไม่เคยตอบคำถามฉัน ท่านพี่เองก็ไม่ได้อธิบายเหมือนกัน


 


มีแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้


 


เขาบอกว่าเขาได้ยินมาจากท่านพี่โดยตรง, นี่พวกเขามีความสัมพันธ์แบบไหนกันนะ?


 


“ครับ เมื่อก่อนข้าส่งจดหมายไปหาองค์หญิงหลายฉบับ ตอนแรก, ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะกลายเป็นเพื่อนทางปากกาได้แต่มันก็ไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าข้าส่งจดหมายไปสามฉบับ, ข้าจะได้รับการตอบกลับมาแค่ประมาณฉบับเดียว, ท่านพอจะเข้าใจใช่ไหมครับ”


 


“ก, ก็นะ…….”


 


น, นี่มันน่าประหลาดใจจริงๆ


 


การที่สามารถรุกพี่สาวของฉันได้ถึงขนาดนี้, ในบางมุม, คนๆนี้ก็ถือว่าค่อนข้างใจถึงใช้ได้เลย


 


ฉันเลียนแบบเขาไม่ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น, เขาได้รับจดหมายฉบับนึงจากทุกสามฉบับที่ส่งไปหรอ? แบบนี้ก็แสดงว่าเธอไม่ได้สนใจฉบับที่หนึ่งกับสองไม่ใช่รึไง? เป็นฉันคงทนไม่ได้หรอก


 


“องค์ชายเคยฟังเรื่องราวการพบกันครั้งแรกของข้ากับองค์หญิงลีเซล็อตต์จากองค์จักรพรรดิรึยังครับ?”


 


“ยังครับ, ท่านพ่อไม่ได้เล่าอะไรเลย…..”


 


“มันเป็นเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อน”


 


“ยี่สิบปีเลยหรอ!?”


 


นี่พวกเขารู้จักกันมายี่สิบปีแล้วหรอเนี่ย…….


 


คนๆนี้รู้จักท่านพี่มาตั้งแต่ตอนที่เธอหกขวบแล้วสินะ!?


 


“ครับ ในตอนที่ข้ามาที่เมืองหลวงของจักรวรรดิเป็นครั้งแรกมีงานประลองดาบสำหรับลูกขุนนางจัดขึ้นอยู่แต่ศัตรูของข้าทั้งตัวใหญ่กว่าและแก่กว่าข้า ในตอนที่ข้าร้องไห้เพราะความไม่ยุติธรรมนี้, ก็มีเด็กสาวคนนี้แหล่ะที่เข้ามาหาข้าแล้วบอกข้าแบบนี้, [คิดจะคว้าชัยชนะโดยไม่ใช้ความพยายามเลยมันไม่ดีหรอกนะ อายุกับขนาดตัวมันไม่สำคัญหรอก ศัตรูของเจ้าก็แค่พวกที่ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อมัน] ในตอนนั้นเองเด็กสาวตัวเล็กๆก็กระโดดเข้าไปร่วมงานประลอง เธอคว้าชัยชนะไปได้อย่างงดงาม และนั่นก็คือตอนที่ข้าได้รู้ว่าเด็กสาวคนนั้นจริงๆแล้วก็คือองค์หญิงลีเซล็อตต์ที่มีอายุห้าขวบ ข้ารู้สึกละอายอยู่ฝ่ายเดียวและร้องไห้ให้กับความไม่สมชายของตัวเอง, ซึ่งข้าก็ได้ตกหลุมรักท่านลีเซล็อตต์มาตั้งแต่ตอนนั้น ข้ายังจำภาพของเธอได้เป็นอย่างดี เธองดงามมาก แม้กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังคิดว่าเธอคือคนที่งดงามที่สุดในโลก”


 


“…..เจ้าจะบอกว่าเป็นรักแรกพบสินะ?”


 


“ครับ ใช่แล้ว ข้าตกหลุมรักเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นเธอ”


 


เยอร์เกนพูดออกมาโดยไม่รู้สึกอายอะไรเลย


 


คนๆนี้…..รุกแรงจนน่าประหลาดใจเลยไม่ใช่หรอ?


 


“แล้วหลังจากจบงานประลอง, ข้าก็ขอหมั้นเธอในทันที”


 


“ห้ะ? เอะ? เอ๋? ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเนี่ยนะ?”


 


“ครับ, ข้าคิดว่าเธอเป็นคนเดียวที่ใช่สำหรับข้าเพราะฉะนั้นข้าก็เลยขอไปอย่างเขินๆ ในตอนนั้นข้าถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย จากนั้นเธอก็บอกข้าแบบนี้, [ถ้าเจ้ากลายเป็นคนที่คู่ควรกับข้าเมื่อไหร่ข้าจะพิจารณาอีกทีนะ] นี่คือเหตุผลที่ข้าตัดสินใจว่าจะกลายเป็นชายที่เหมาะสมกับเธอ ข้าเริ่มต้นด้วยการขยายบ้านของข้า ข้าไม่เก่งเรื่องศิลปะการต่อสู้เลยเพราะฉะนั้นข้าก็เลยเรียนรู้วิธีการทำธุรกิจและสร้างความเจริญให้กับดินแดนของข้า น่าจะเป็นตอนที่ข้าอายุประมาณสิบห้าปีที่ข้าเริ่มแสดงผลลัพธ์ออกมาได้ดังนั้นข้าก็เลยขอเธออีกครั้ง ครั้งนี้ข้าทำเรื่องผ่านองค์จักรพรรดิแต่คำตอบของเธอก็ยังคือ ‘ไม่’ หลังจากนั้น, ข้าก็ทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆจนถึงตอนนี้”


 


เยอร์เกนทำให้ฉันยิ้มเจื่อนๆแต่ว่าฉันคงทำแบบเดียวกันไม่ได้จริงๆ


 


แสดงว่าเขาปราถนาอยากได้ตัวพี่สาวของฉันมาเป็นเวลายี่สิบปีแล้วสินะ


 


ฉันประทับใจกับความพยายามของเขาจริงๆ คนที่มีความยอดเยี่ยมในเรื่องแบบนี้ก็มีเหมือนกันนะเนี่ย


 


แต่น่าเสียดาย, ถ้าเขาทุ่มเทถึงขนาดนี้แล้วยังไม่พออีกฉันก็คิดว่าไม่มีโอกาสเหลืออยู่แล้วหล่ะ ถึงยังไงพี่สาวของฉันก็เป็นคนที่ใจแข็งมาก


 


“ข้าได้ส่งจดหมายส่วนตัวไปให้เธอและมอบดาบล้ำค่าให้ด้วยแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลเลย ข้าพยายามเข้าร่วมกองทัพแต่ก็ถูกเตะออกมาในทันทีเหมือนกัน ดูเหมือนว่าเรื่องมันจะไปถึงหูของท่านลีเซล็อตต์ด้วยสาเหตุบางอย่าง ตั้งแต่นั้นมา, ข้าก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขตกองทัพได้อีกเลย”


 


“…..ทำไมท่านถึงลงทุนขนาดนั้น? แค่เพราะพี่สาวของข้าเป็นผู้หญิงที่น่าดึงดูดหรอ?”


 


“ครับ, นั่นน่าจะเป็นประเด็นแรก ถึงยังไงคนๆนั้นก็งดงามมาก และข้าก็คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงในอุดมคติของข้าด้วยข้าก็เลยชอบเธอ แต่ว่า, ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว, ข้าแค่ทำมันเพียงเพราะข้าชอบท่านลีเซล็อตต์ ข้ารักเธอ ได้โปรดช่วยข้าด้วยนะครับ, องค์ชาย ข้าหันไปรักผู้หญิงคนอื่นนอกจากคนๆนี้ไม่ได้อีกแล้ว”


 


ร, ร้อนแรงจังเลยนะ……


 


นี่เขาร้อนแรงขนาดไหนเนี่ย


 


ถ้ามีความรักที่ไม่สมหวังมาเป็นเวลาถึงยี่สิบปีตามปกติก็คงจะตัดใจไปแล้วไม่ใช่หรอ


 


พี่สาวของฉันที่ปฏิเสธเขามาตลอดก็อีกเรื่องนึงแต่คนๆนี้เองก็ต้องมีอะไรผิดปกติด้วยเหมือนกัน


 


ดยุคที่อยากจะแต่งงานกับพี่สาวของฉันน่าจะมีแค่คนๆนี้ ถ้าเขาถอดใจ, การแต่งงานของท่านพี่ก็คงจะยากจนน่าตกใจเลยหล่ะ นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ท่านพ่อรีบเอาเรื่องนี้มาให้ฉันก็ได้เพื่อที่ฉันจะได้ช่วยให้การแต่งงานนี้เกิดขึ้นมาจริงๆ


 


เขาเป็นคนดี


 


ฉันเข้าใจตรงจุดนี้ ฉันมีความสุขที่เขามีความรู้สึกแบบนี้กับพี่สาวของฉันมาเป็นเวลาถึงยี่สิบปีและสิ่งที่เขาทำเพื่อกลายเป็นคนที่เหมาะสมกับเธอก็วิเศษมากจริงๆ


 


ถ้าเขาหันไปมองผู้หญิงคนอื่นแทนที่จะเป็นพี่สาวของฉันภรรยาของเขาก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องต่างๆในชีวิตเลย


 


แต่ถึงอย่างนั้น, คนๆนี้ก็ยังไม่สนใจใครนอกจากพี่สาวของฉัน


 


เพราะในตอนที่เขาบอกว่า, ข้ารักท่านลีเซล็อตต์, เขาพูดมันออกมาจากใจของเขาจริงๆ


 


เห้อ……แบบนี้ก็ยากแล้วสิ


 


ฉันไม่สามารถทิ้งคนที่ทุ่มเทถึงขนาดนี้เอาไว้คนเดียวได้


 


บางทีความจริงใจอาจจะเป็นธาตุแท้ของเขา


 


“เข้าใจหล่ะ ข้าจะทำเท่าที่ทำได้ แต่อย่าหวังสูงเกินไปนะครับ”


 


“ไม่หรอกครับ! ท่านทำให้ข้ารู้สึกมีกำลังใจมากจริงๆ! โดยปกตินั้น, จดหมายที่ข้าได้รับตอบกลับจากเธอก็คือฉบับที่ข้าเขียนว่าจะไปเยี่ยมเมืองหลวงของจักรวรรดิ เธอบอกว่าข้าไม่ต้องไปด้วยตัวเองก็ได้แต่เธออยากให้ข้าไปดูว่าองค์ชายกับองค์หญิงคริสต้าเป็นยังไงบ้างแทนเธอ ข้ารู้จากสิ่งที่เธอเขียน เธอห่วงองค์หญิงคริสต้ากับท่านมากจริงๆนะครับ, องค์ชาย”


 


“ง…..งั้นหรอ…..พี่สาวคนนั้นอะนะ”


 


ในอดีต, จะมีลีโอรวมอยู่ด้วย


 


ถ้าฉันช่วยเขาในเรื่องนี้อย่างเต็มที่, ฉันอาจจะให้เธออธิบายเรื่องนั้นกับฉันได้ก็ได้นะ


 


ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆและทำการตัดสินใจ


 


ต่อให้ฉันล้มเหลว, ท่านพ่อก็คงไม่โกรธแต่เนื่องจากเขาบอกว่าอยากเห็นลูกสาวแต่งงาน, ฉันก็อยากทำงานนี้เพื่อเขา


 


ฉันอยากช่วยดยุคผู้จริงใจคนนี้ด้วย


 


“ดยุคไรน์เฟลด์ ข้าจะใช้ทุกอย่างที่ใช้ได้เพื่อช่วยท่านจีบพี่สาวของฉัน และในทางกลับกัน,”


 


“ความร่วมมือของข้าในสงครามผู้สืบทอดสินะครับ ข้าเข้าใจแล้ว ในตอนแรก, ตั้งแต่ที่ข้าได้ยินว่าองค์ชายลีโอนาร์ดเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดนั้น, ข้าก็คิดแล้วว่าท่านอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย, ข้าตั้งใจจะช่วยท่านมาตั้งแต่แรกแล้วครับ แม้ว่าความช่วยเหลือของข้าจะมีจำกัด, แต่บ้านไรน์เฟลด์จะสนับสนุนท่านเอง เรื่องนี้จะไม่เปลี่ยนไปต่อให้ท่านช่วยข้าไม่สำเร็จก็ตาม”


 


“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ขอตรงเข้าประเด็นเลยนะครับ เรามาเริ่มด้วยการประชุมวางแผนกันเถอะ ท่านพี่ของข้าถือเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งไม่ใช่เล่นเลยหล่ะ”


 


พอพูดออกมาเช่นนี้, ฉันก็ยิ้มให้และเริ่มประชุมวางแผนกับเยอร์เกน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม