Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi 107-109

ตอนที่ 107

 

“ขออภัยสำหรับความหยาบคายของลูกน้องข้าด้วย ช่วยรับคำขอโทษของข้าเอาไว้เถอะครับ”


 


“ช่างมันเถอะ, ข้าไม่ถือสาหรอก”ห


 


“เกี่ยวกับเรื่องนั้น ดูเหมือนว่าท่านเอลน่าจะดูอารมณ์เสียกว่าท่านอีกนะครับ”


 


“…..ข้าคิดว่าพวกเจ้าดูสุภาพกว่านี้ในตอนที่ข้ามาเยี่ยมเจ้าครั้งก่อนไม่ใช่หรอ?”


 


พอได้ฟังเอลน่า, ลาสก็ยิ้มออกมาในขณะที่พวกเราเดินกันอยู่ห


 


จากนั้นเขาก็ได้ทิ้งระเบิด


 


“มันเป็นเพราะลูกน้องของข้าเกลียดคนแบบองค์ชายอาร์โนลด์ครับ”


 


“เกลียดหรอ…..?”


 


เอลน่ายักคิ้ว


 


ลาสพยักหน้าเหมือนเป็นเรื่องปกติห


 


ซึ่งนั่นทำให้ฉันหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาเป็นคนที่ตรงจริงๆห


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า, งั้นหรอ, มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วหล่ะนะ เมื่อพิจารณาจากอดีตของพวกเขา, ข้าคงจะเป็นคนประเภทที่พวกเขาเกลียดที่สุดนั่นแหล่ะ”


 


“ครับ, พวกเราไม่ชอบพวกที่เอาแต่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง แน่นอนว่า, นั่นก็รวมทั้งข้าด้วย”


 


ลาสจ้องตรงมาที่ฉันห


 


ถ้าเป็นผู้หญิงมาจ้องฉันแบบนี้ฉันก็คงจะหวั่นไหวแล้วแต่น่าเสียดาย, เขาเป็นผู้ชาย ดูเหมือนว่าเจ้าลาสคนนี้ยังคิดจะลองทดสอบฉันอยู่สินะ


 


ในตอนที่ฉันยักไหล่ลาสก็หัวเราะออกมาเบาๆเป็นการตอบสนองในขณะที่พวกเราเดินหน้ากันต่อ


 


ลาสนำทางพวกเรามายังห้องๆนึงในป้อมปราการ


 


ห้องนี้ถูกตกแต่งด้วยโล่ที่มีลายกากบาท, ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนาร์เบ ริทเทอร์


 


“เชิญนั่งครับ”


 


“ถ้างั้นก็ขอนั่งหล่ะนะ”


 


ฉันพูดเช่นนั้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ห


 


เอลน่าเองก็นั่งถัดจากฉันแต่สายตาของเธอยังคมกริบ


 


ไม่ว่าจะมองยังไง, นาร์เบ ริทเทอร์ก็ไม่ได้ต้อนรับการมาถึงของฉัน


 


“เอาหล่ะ, ครั้งนี้งานที่องค์ชายอยากให้พวกเราช่วยเป็นงานแบบไหนหรอครับ?”


 


“พวกเรามีคำขอให้เจ้าแต่ว่า……ข้าคิดว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้หล่ะนะ”


 


ฉันยิ้มแห้งๆให้กับทหารที่ยืนอยู่ข้างลาส


 


สายตาที่เขามองฉันนั้นแตกต่างจากสายตาที่เขาใช้มองเอลน่าอย่างเห็นได้ชัด


 


เขาให้ความเคารพเธอแต่สำหรับฉันมันไม่มีเลยซักนิด เอาจริงๆฉันก็ชินกับมันแล้วแต่ฉันรู้สึกได้ว่ามันแตกต่างจากปกติ


 


ฉันรู้สึกได้ว่ามันมีรอยแยกลึกระหว่างเขากับฉันห


 


“พวกเราไม่รู้หรอกครับว่าเป็นไปได้รึเปล่าถ้าท่านไม่บอกพวกเรา หรือว่าจะให้ข้าสั่งให้ลูกน้องออกไปก่อนสักพักนึงดี?”


 


“ไม่หรอก, ไม่เป็นไร ที่สำคัญกว่านั้น, ข้าอยากฟังเรื่องเกี่ยวกับพวกเจ้ามากกว่า”


 


“เกี่ยวกับพวกเราหรอครับ?”


 


“อา, พวกเจ้าเป็นอดีตอัศวินที่เลือกความยุติธรรมมากกว่าความภัคดีถูกไหม ข้าได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับพวกเจ้ามาก่อนแต่ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะแตกต่างจากที่ข้าได้ยินมานะ”


 


พอได้ฟังฉัน, ลาสก็ยิ้มออกมา


 


มันไม่ใช่แค่เจตคติเล็กๆ ฉันบอกได้เลยว่าภาพลักษณ์ของพวกเขานั้นตรงข้ามกับชื่อเสียงของพวกเขาที่รู้จักกันโดยทั่วไปเลย


 


 


พวกเขาดิบเถื่อนจนฉันสงสัยว่าพวกเขาเป็นอัศวินจริงรึเปล่า


 


มันต้องมีเหตุผลของเรื่องนี้แน่ๆ ถ้าฉันไม่ได้คำตอบจากพวกเขา, ฉันก็คงจะขอความช่วยเหลือพวกเขาไม่ได้


 


“ความยุติธรรมสินะ…..”


 


ลาสพึมพำ


 


จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้แล้วจ้องตรงมาที่ฉัน


 


สายตาของเขานั้นถ้าเอาไปใช้กับคนที่มีจิตใจอ่อนแอ, พวกเขาก็คงจะเริ่มตัวสั่นแล้ว มันคือสายตาของคนที่เคยผ่านอันตรายมามากมายในช่วงชีวิตของเขา


 


ในขณะที่กำลังจ้องฉันด้วยสายตาเช่นนั้น, เขาก็เริ่มพูด


 


“พวกเราไม่ได้เหมือนกับคำพูดที่ผู้คนส่วนใหญ่คิดกันหรอก”


 


“หืม”


 


ฉันหันไปมองเอลน่า


 


จากนั้นฉันก็ถามเธอเบาๆ


 


“นี่คือสาเหตุที่เจ้าไม่อยากแนะนำพวกเขากับข้าสินะ?”


 


“ใช่, แต่นี่น่าจะร้ายแรงกว่าที่ข้าคิดนะ”


 


สาเหตุที่เอลน่าพูดว่าฉันเหมาะกับงานนี้มากกว่าลีโอน่าจะเป็นเพราะว่าพวกเขามีด้านมืดหอยู่ซักเรื่องสองเรื่องสินะห


 


ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นผู้พยุงความยุติธรรมในอุดมคติก็แสดงว่าฉันต่อรองกับพวกเขาได้ดีกว่าลีโออย่างแน่นอน…..


 


“องค์ชาย พวกเราทุกคนเป็นพวกที่เคยแสดงความไม่ภัคดีครับ เรื่องที่พวกเราเคยทรยศเจ้านายของตัวเองนั้นคงจะปฏิเสธไม่ได้”


 


“แต่คนที่ทำผิดจริงๆก็คือเจ้านายของพวกเจ้าไม่ใช่หรอ”


 


“แน่นอนครับ นี่คือสาเหตุที่พวกเรายืนหยัดทำลายคำสาบานและทรยศเจ้านายของเรา พวกเราคิดว่าสิ่งที่พวกเราทำนั้นเพื่อประเทศและผู้คน แต่ว่า, สิ่งที่รอพวกเราอยู่ก็คือนรกจากการที่ไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเอง ทุกคนขับร้องสรรเสริญพวกเราแต่ไม่มีใครกล้าเข้าหา นี่คือสิ่งที่พวกเราได้กลับมา”


 


“พวกเจ้าสูญเสียที่อยู่ของตัวเองเพื่อความยุติธรรม นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาดูดิบขึ้นสินะ?”ห


 


“นั่นสินะ, สรุปแล้วก็คงจะใช่ครับ สำหรับฝ่าบาท, เขารู้สึกว่ามันน่าเสียดายที่จะต้องสูญเสียคนอย่างพวกเราไปแต่พวกเราเคยทรยศเจ้านายของตัวเอง, พวกเราก็เลยไม่ได้รับความเชื่อใจอีกต่อไป ในอีกด้านนึง, ถ้าเรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไป, พวกเราก็คงจะหายไปจริงๆ นี่คือสาเหตุที่หน่วยนี้ถูกก่อต้องขึ้นมา พวกเราถูกสร้างขึ้นเพราะความยุติธรรมแต่พวกเราก็ถูกทำเหมือนตัวน่ารำคาญแม้ว่าในความเป็นจริงพวกเราจะทำเพื่อประเทศและประชาชนก็ตาม


 


สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง


 


ถ้ามีผู้คนอย่างนาร์เบ ริทเทอร์อยู่, มันก็จะทำให้พวกขุนนางเป็นระเบียบมากขึ้น เอาเถอะ, ประสิทธิภาพของมันไม่ได้มีนัยสำคัญเท่าไหร่นักแต่มีพวกเขาเอาไว้ก็ดีกว่าไม่มี


 


อย่างไรก็ตาม, พวกเขาคงคาดหวังการต้อนรับไม่ได้ ซึ่งนี่เป็นเพราะผู้คนที่ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมของตัวเองนั้นจัดการได้ยากในองค์กร


 


ต่อให้ทำไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศหรือประชาชนก็ตาม, แต่คนที่เลือกจะเคลื่อนไหวก็คือตัวพวกเขาเองในฐานะบุคคล พวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิ


 


“ว่าแต่นาร์เบ ริทเทอร์นั้นแข็งแกร่งถึงขนาดที่แม้แต่เอลน่าก็ยังยอมรับ เหตุผลอะไรที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขนาดนี้หล่ะ?”ห


 


“การที่พวกเขาจะดิบเถื่อนขึ้นหรือเสื่อมทรามลงตามที่พวกเขาต้องการมันก็ช่วยไม่ได้ใช่ไหมหล่ะ? คุณค่าของพวกเขาคือสิ่งที่พวกเขาสร้างให้ตัวเอง ความแข็งแกร่งก็ถือเป็นตัวอย่างนึง ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่, มันก็ยิ่งยืนยันคุณค่าของพวกเขามากเท่านั้น”


 


เข้าใจหล่ะ


 


ตอนนี้ฉันเข้าใจพวกเขามากขึ้นแล้ว พวกเขาเป็นทั้งอดีตอัศวินและอดีตผู้ผดุงความยุติธรรมสินะ


 


พวกเขาเคยยึดถืออุดมคติและความยุติธรรมเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และผลลัพธ์ของการตัดสินใจของพวกเขา, ก็ทำให้พวกเขากลายเป็นพวกยึดหลักความเป็นจริงและนิสัยของพวกเขาก็เปลี่ยนจากอัศวินเป็นทหารแบบนี้


 


แต่ธาตุแท้ของคนคงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้ง่ายขนาดนั้น


 


“ผู้คนพูดกันว่าพวกเจ้าทรยศเจ้านายของตัวเองแต่จากมุมมองของข้า, คงต้องบอกว่าพวกเจ้าถูกประเทศและประชาชนทรยศคงจะถูกกว่าสินะ? แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, พวกเจ้าก็ยังคงฝึกฝนตัวเองอยู่ นี่ก็แสดงว่าพวกเจ้ายังภัคดีต่อประเทศและประชาชนไม่ใช่หรอ?”


 


“พวกเราเป็นทหาร พวกเรามีหน้าที่รับใช้ประเทศและประชาชนที่อาศัยอยู่ มันไม่มีพื้นที่ให้ความรู้สึกส่วนตัวหรอกครับ”


 


“อย่าหลีกเลี่ยงคำถามสิ, ท่านพันเอก พูดกับข้ามาตรงๆเลยไม่ดีกว่าหหรอ? พวกเจ้ายังอยากได้สถานที่ที่พวกเจ้าสามารถแสดงความสามารถของตัวเองได้ พวกเจ้ายังอยากเป็นที่ต้องการ ข้าพูดถูกไหม?”


 


“แล้วถ้าใช่หล่ะครับ?”ห


 


ลาสตอบคำถามด้วยคำถามเหมือนกับว่าจะทดสอบฉันห


 


ตอนนี้ฉันเข้าใจพวกเขาแล้ว


 


ทั้งหมดที่เหลือก็คือโน้มน้าวพวกเขาห


 


พวกเราไม่สามารถเรียกระดมพลพวกเขาได้ด้วยการออกคำสั่ง สิ่งที่พวกเราต้องการก็คือให้พวกเขาเสนอความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ


 


“ข้าจะเตรียมสถานที่นั้นเอาไว้ให้พวกเจ้า สถานที่ที่พวกเจ้าต้องการ”


 


“ถ้างั้นข้าขอถามหน่อย สถานที่ที่ท่านว่ามันอยู่ที่ไหนหล่ะครับ?”


 


“รู้เรื่องสถานการณ์ทางใต้ใช่ไหม?”ห


 


“ก็ระดับนึงครับ ข้าคิดว่าน่าจะมีสงครามกลางเมืองในเร็วๆนี้”


 


“ข้าอยากหยุดเหตุการณ์นั้น พวกเราจะโจมตีฐานของพวกนั้นด้วยการโจมตีทีเผลอโดยใช้หน่วยระดับสูงและโค่นล้มดยุคครูเกอร์ พวกเราจะจบสงครามก่อนที่มันจะเริ่มต้นขึ้น”


 


“…..ข้าคิดว่าแผนแบบนี้คงจะไม่สำเร็จหรอก”


 


“ลีโอนาร์ดจะเป็นคนนำปฏิบัติการนี้โดยปลอมตัวเป็นคณะผู้ส่งสารของจักรพรรดิ พวกเราต้องการหน่วยระดับสูงสำหรับคุ้มกันเขา ถ้าพวกเราใช้การ์ดหลวงอีกฝ่ายก็จะระแวงพวกเราดังนั้นพวกเราจะต้องใช้หน่วยที่เทียบเคียงกับการ์ดหลวงในเรื่องของความแข็งแกร่ง นี่คือสาเหตุที่ข้ามาที่นี่เพื่อขอให้พวกเจ้ารับบทบาทนั้น”


 


ลูกน้องของลาสขมวดคิ้วให้กับแผนการของฉัน


 


เขารู้ตัวในทันทีว่าแผนการมันอันตรายเกินไป


 


ซึ่งนี่ก็เป็นเช่นเดียวกันกับลาส


 


“แสดงว่าพวกเราต้องทำหน้าที่เป็นโล่คอยปกป้องน้องชายของท่านสินะ?”ห


 


“ใช่ จะมองแบบนั้นก็ได้”


 


“…..พวกเราจะรับหน้าที่ถ้าได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าไม่มีคำสั่งลงมา, ข้าก็คงจะต้องขอบอกปัดหล่ะนะ”


 


“แบบนั้นไม่ดีหรอก ข้าไม่ต้องการพวกที่ต้องถูกบังคับให้เข้าร่วมปฏิบัติการนี้ ขอโทษนะแต่ข้าต้องการคนที่ยินดีสละชีวิตของตัวเองเพื่อภารกิจนี้”


 


ฉันทำให้มันเป็นเหมือนการอาสา


 


คนพวกนี้ถูกประเทศและประชาชนทำให้ผิดหวัง แต่ฉันก็ยังบอกให้พวกเขาสละชีวิตห


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น, คำพูดพวกนี้ยังมาจากฉันที่ไม่ได้เข้าไปในสนามรบด้วยซ้ำ


 


“แบบนี้ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ถึงยังไงพวกเราก็ไม่มีใครที่เป็นเบี้ย”ห


 


“ข้ารู้ ข้ามาขอร้องเจ้าทั้งๆที่รู้เรื่องนั้นดี”


 


“เพื่อประชาชนหรอ? ถ้าสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น, หลายคนจะต้องเจ็บปวด เจ้าอยากให้พวกเราเดินไปหาความตายเพื่ออุดมคติอันล้ำค่าของเจ้าหรอ?”


 


“ผิดแล้ว นั่นมันอุดมคติของลีโอ, ไม่ใช่ของข้า ความรู้สึกที่ข้าใช้ในการขอให้เจ้าทำแบบนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวมากกว่า”


 


“แล้วส่วนตัวที่ว่ามันส่วนตัวยังไงหล่ะ?”ห


 


“น้องชายเป็นคนสำคัญสำหรับข้า ข้าไม่อยากให้เขาตาย เพราะฉะนั้นช่วยปกป้องเขาเพื่อข้าด้วย”


 


 


ลาสถลึงตาด้วยความประหลาดใจห


 


เขาคงไม่ได้คิดเลยว่าคำพูดแบบนี้จะถูกนำขึ้นมาใช้ที่นี่


 


ฉันแสยะยิ้มแล้วมองตรงกลับเข้าไปในดวงตาของลาส


 


“ข้าไม่สนหรอกว่ามันทำไปเพื่อสงครามผู้สืบทอด, เพื่อประเทศ, หรือเพื่อประชาชน ถ้าน้องชายของข้ากำลังเดินเข้าไปหาความตายแน่ๆ, ข้าก็อยากจะหาพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดให้เขา นี่คือความปราถนาของข้า พวกเจ้าแข็งแกร่ง ถ้าพวกเจ้ายอมปกป้องลีโอข้าก็จะสามารถวางใจได้”


 


“…..นี่มันเป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจริงๆ แต่ว่า, โดยส่วนตัวแล้ว, คำตอบแบบนี้ถือว่าถูกใจข้านะ”


 


ลาสพูดแบบนั้นด้วยรอยยิ้มแล้วลุกขึ้นมา


 


จากนั้นเขาก็ค่อยๆก้มศรีษะลง


 


“สำหรับข้านั้น, ข้ายินดีทิ้งชีวิตเพื่อท่าน แต่ว่า, ลูกน้องของข้าอาจจะแตกต่างออกไป เป้าหมายของท่านคงจะอยากให้พวกเราทุกคนให้ความร่วมมือถูกไหม? ท่านจะสามารถโน้มน้าวพวกเขาได้รึเปล่า?”


 


“ช่วยจัดสถานที่ให้ข้าทำแบบนั้นได้ไหมหล่ะ?”ห


 


“ไม่มีปัญหา แต่ว่า, ถ้าท่านไม่เสี่ยงเลย, ข้าก็สงสัยเหมือนกันว่าลูกน้องของข้าจะยอมทิ้งชีวิตเพื่อท่านรึเปล่า ท่านมีความมั่นใจไหมหล่ะ?”


 


สำหรับคำถามของลาส, ฉันหส่ายหัว


 


เมื่อเห็นเช่นนี้, รอยยิ้มของลาสก็กว้างขึ้นห


 


จากนั้น, เขาก็เปิดประตูแล้วพูดแบบนี้


 


“ข้าจะเรียกรวมลูกน้องของข้าให้ ได้เห็นท่านโน้มน้าวพวกเขาก็ถือเป็นภาพที่น่าสนใจเหมือนกัน”


 


“อย่าคาดหวังมากละกัน ถึงยังไงข้าก็เป็นเจ้าชายไร้ค่า ข้าไม่ใช่คนที่ยอดเยี่ยมอะไรหรอก”


 


“ข้าคิดว่ามีคนอยู่สองประเทศที่ผู้คนจะยอมทิ้งชีวิตให้ ประเภทแรกคือคนที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง, คนที่มีเสน่ห์มากๆจนผู้อื่นอยากติดตามโดยธรรมชาติ ส่วนอีกประเภทก็คือคนที่ขาดหลายสิ่งหลายอย่าง, คนที่ผู้คนอยากจะยื่นมือเข้าช่วย ด้วยเหมือนว่าท่านจะเป็นอย่างหลังนะ แต่น่าแปลก, สำหรับข้า, ท่านเองก็มีลักษณะของแบบแรกด้วย”


 


“นั่นชมสินะ?”


 


“ก็แค่การประเมินตามจริงหน่ะ”


 


หลังจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนเช่นนี้, ฉันก็มายืนอยูหน้านาร์เบ ริทเทอร์ห

 

 

 


ตอนที่ 108

 

นาร์เบ ริทเทอร์มีคนอยู่ประมาณหนึ่งพันคน พวกเขาเป็นเหมือนกับกองทัพอิสระ


 


ตอนนี้, คนเหล่านี้ได้มารวมกันเบื้องหน้าฉันภายใต้คำสั่งของลาส


 


“องค์ชายมีเรื่องอยากจะคุยกับพวกเจ้าทุกคน”


 


ลาสพูดแบบนั้นออกมาแล้วเดินลงมาจากแท่นยืนเพื่อมอบจุดนั้นให้กับฉัน


 


ฉันเดินขึ้นไปแล้วเผชิญหน้ากับสมาชิกนับพันคนของนาร์เบ ริทเทอร์


 


พวกเขาทุกคนกำลังมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่คมกริบ


 


โดยไม่พูดอะไรให้มากพิธี, ฉันได้ตัดตรงเข้าประเด็นเลย


 


“มีวี่แววว่าจะเกิดความขัดแย้งทางตอนใต้ ถ้าสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น, มันก็จะเป็นสงครามใหญ่ ข้ากับน้องชายของข้า, ลีโอนาร์ด, ได้คิดแผนโจมตีพวกเขาที่เผลอเพื่อหยุดไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น เพื่อการนั้นเอง, พวกเราจึงต้องการหน่วยระดับสูง ที่ข้ามายืนต่อหน้าพวกเจ้าในวันนี้ก็เพื่อจะพูดเรื่องนั้น”


 


หลังจากอธิบายสถานการณ์อย่างรวบๆ, ฉันก็เงียบลง


 


สีหน้าของพวกเขาส่วนใหญ่บ่งบอกว่าพวกเขาคิดเอาไว้แล้วว่ามันจะพัฒนาไปทางนั้น แบบนี้ก็แสดงว่าทางใต้เอาจริงเอาจังขนาดนั้นเลยสินะ


 


อาวุธกับอาหาร, ถ้าตามย้อนเส้นทางของพวกมันดู, ก็จะสังเกตเห็นว่าพวกมันเริ่มหมุนเวียนอย่างผิดปกติที่ไหนและเมื่อไหร่ สำหรับทหาร, เจตนาของขุนนางทางใต้นั้นชัดเจนอยู่แล้ว


 


“แผนการก็คือให้ลีโอแทรกแซงฐานที่มั่นของศัตรูในฐานะคณะผู้ส่งสารและกำจัดหัวหน้าของศัตรู, ดยุคครูเกอร์ ถ้าข้ามอบคำสั่งให้ภารกิจของพวกเจ้าก็คงจะเป็นการปกป้องลีโอ แต่ว่า, ภารกิจนี้เป็นงานที่ทั้งยากและอันตราย ข้าไม่อยากให้ชีวิตของน้องชายข้าอยู่ในมือของคนที่แค่ทำตามคำสั่งอย่างเดียว ข้าอยากให้พวกเจ้าอาสาทำด้วยใจ”


 


หลังจากที่ฉันพูดแบบนั้น, ความเงียบก็ปกคลุมอยู่พักนึง


 


มีทั้งพวกที่ประหลาดใจกับคำขอไร้สาระของฉันอย่างจริงจังและพวกที่แสดงความดูถูกออกมาอย่างเห็นได้ชัด


 


มีหลากหลายสีหน้าแต่ไม่มีใครที่แสดงสีหน้าไปในทางบวกเลย


 


เอาเถอะ, มันก็แน่หล่ะนะ ขนาดฉันเป็นคนพูดเองยังอดรู้สึกว่ามันไร้สาระไม่ได้เลย


 


“ผู้คนมากมายจะต้องเจ็บปวดถ้ามีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นทางใต้ แล้วจักรวรรดิก็จะอ่อนแอลงด้วย นี่คือสาเหตุที่ลีโอตัดสินใจจะมุ่งหน้าลงใต้ทั้งๆที่รู้ถึงอันตรายดี ต่อให้ข้าไม่ใช่น้องชายของเขา, ข้าก็ยังคิดว่าความมุ่งมั่นของเขายิ่งใหญ่ และอุดมคติของเขาก็ยอดเยี่ยมด้วย แต่ว่า, ตัวข้านั้นแตกต่างจากลีโอ ไม่ว่าจะมองว่ามันงดงามแค่ไหน, หัวใจของข้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ข้าไม่อยากให้น้องชายต้องตาย นี่คือสาเหตุที่ข้าอยากให้พวกเจ้ารักษาชีวิตของเขาไว้ มันก็ดูน่าสมเพชอย่างที่เห็นเนี่ยแหล่ะ, นี่คือคำขอส่วนตัวของข้า”


 


ขุนนางนั้นเห็นแก่ตัวแต่คนที่เห็นแก่ตัวยิ่งกว่าพวกเขาก็คือราชวงศ์


 


เรื่องส่วนใหญ่จะได้รับการยกโทษให้ตราบใดที่เป็นราชวงศ์และคุณค่าชีวิตก็เทียบกับคนอื่นไม่ได้


 


มันคอยปกป้องฉันมาตั้งแต่ตอนที่ฉันเกิดและยังคงปกป้องฉันเรื่อยมาจนถึงตอนนี้


 


มันจะไม่หยุดปกป้องแม้ว่าจะใช้ชีวิตเหมือนฉันหรือว่าท่านพี่เทราก็ตาม ราชวงศ์จะไม่อดอยากต่อให้ไม่ทำงาน, อย่างเลวร้ายที่สุด, ผู้คนก็แค่หัวเราะเยาะหรือตำหนิต่อหน้าเท่านั้นเอง


 


คำพูดพวกนี้จากราชวงศ์อย่างฉันคงเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายสำหรับสมาชิกนาร์เบ ริทเทอร์


 


“องค์ชาย ข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”


 


“ว่ามาได้เลย”


 


ทหารหนุ่มคนนึงยกมือขึ้นแล้วถามคำถามฉัน


 


สายตาของเขานั้นตรงมาก เขาน่าจะตำหนิเจ้านายของเขาด้วยสายตาแบบเดียวกัน


 


ในขณะที่กำลังคิดเช่นนี้, ทหารคนนั้นก็เริ่มถามคำถาม


 


“องค์ชายจะเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ด้วยรึเปล่าครับ?”


 


“ข้าไม่ได้เข้าร่วม”


 


“เข้าใจหล่ะ แสดงว่าท่านกำลังขอให้พวกเราเอาชีวิตไปทิ้งโดยไม่คิดจะเสียอะไรเลยสินะ”


 


ความดูถูกปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเหล่าสมาชิกหน่วย


 


ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ฉันพูดจากหอคอยงาช้าง, มันจะเข้าไม่ถึงคนพวกนี้


 


การไม่ยอมรับความเสี่ยงหรือความรับผิดชอบอะไรเลย, คงจะไม่มีใครเลือกติดตามบุคคลเหล่านั้นหรอก


 


การจะเข้าถึงจิตใจของผู้คนได้นั้นมันจำเป็นต้องมีความหนักแน่น


 


“ไม่ใช่, ข้าเองก็จะนำสิ่งที่เหมาะสมมาเดิมพันด้วยเหมือนกัน”


 


“สิ่งที่ว่านั่นมันคืออะไรหล่ะครับ? เงินหรอ? หรือว่าตำแหน่งของท่าน?”


 


“ข้าว่าอย่างนาร์เบ ริทเทอร์คงไม่ยอมเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งที่ไม่สำคัญแบบนั้นหรอก สิ่งที่ข้าจะเดิมพันก็คือชีวิตของข้า”


 


เป็นเวลาพักนึง, ที่สีหน้าของทุกคนว่างเปล่า


 


จากนั้นมันก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังสนั่น


 


เจ้าชายคนนี้พูดบ้าอะไรเนี่ย? มันคือเสียงหัวเราะที่บ่งบอกเช่นนี้


 


ความไร้สาระจากเจ้าชายหนุ่มที่ไม่รู้ถึงน้ำหนักของชีวิตหรือความหมายของความหนักแน่น


 


พวกเขาน่าจะคิดว่าที่ฉันพูดออกมาว่าจะเดิมพันชีวิตนั้นก็แค่เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แค่มองดูพวกเขาฉันก็เข้าใจความรู้สึกนั้นได้แล้ว


 


ด้วยเหตุนี้เองฉันจึงดึงมีดออกมา, ต่อหน้าพวกเขา


 


“ทุกคนเรียกข้าว่าเจ้าชายไร้ค่า ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรผิดหรอก ข้าอาจจะถูกลีโอแย่งส่วนดีหลายๆอย่างไปตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว, แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย”


 


ในขณะที่พูด, ฉันก็เล็งมีดที่อยู่ในมือขวาไปที่มือข้างซ้ายของฉัน


 


มันมีพิธีกรรมที่เรียกว่า ‘ปฏิญาณเลือด’ อยู่ในราชวงศ์ของจักรวรรดิ มันคือพิธีกรรมที่สมาชิกของราชวงศ์ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีวันต้องหลั่งเลือด, จะสร้างบาดแผลให้ตัวเองและให้คำปฏิญาณด้วยเลือดที่หลั่งไหลออกมาและความเจ็บปวด


 


มันเป็นพิธีกรรมที่ล้าสมัย แค่ศึกษาดูจากบันทึกก็รู้แล้วว่ามันไม่ได้มีคนทำพิธีกรรมนี้มาเป็นร้อยปีแล้ว เหตุผลก็เพราะว่ามันไม่มีความหมายอะไร


 


มันไม่ใช่พิธีกรรมที่มีการบังคับใช้เวทมนตร์อะไรทั้งนั้น, มันก็แค่การกระทำที่ทำตามความพึงพอใจของตัวเอง มันคือคำปฏิญาณที่จะใช้ได้แค่กับอีกฝ่ายที่เชื่อในความมุ่งมั่นของคำปฏิญาณเท่านั้น


 


เมื่อนานมาแล้ว, มีจักรพรรดิคนนึงเคยประกาศสันติภาพสำเร็จผ่านการใช้พิธีกรรมนี้แต่ที่มันสำเร็จก็แค่เพราะพระราชาของประเทศอื่นเองก็เป็นพระราชาที่ฉลาด มันคงจะไร้ความหมายถ้าฝ่ายอื่นแค่ดูถูกและหัวเราะเยาะจักรพรรดิคนนั้น


 


และสิ่งที่จะเหลืออยู่ก็คงมีแค่ความเจ็บปวดและแผลเป็น


 


แต่ว่า, สำหรับสมาชิกราชวงศ์นั้น, ความจริงที่ว่าพิธีกรรมนี้เป็นพิธีกรรมที่เด็ดขาดก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง


 


“ไม่ว่าผู้คนจะบอกข้าให้ใช้ชีวิตให้เหมาะสมกว่านี้มากแค่ไหน, ข้าก็แค่หัวเราะตอบพวกเขา แต่ว่า, ครั้งนี้ข้ามีความรับผิดชอบที่ต้องเติมเต็ม นี่คือความรับผิดชอบของข้าที่มีให้กับน้องชาย ข้าเกิดก่อนเขาดังนั้นข้าก็เลยแก่กว่า และตั้งแต่ช่วงเวลานั้น, ข้าก็มีความรับผิดชอบในฐานะพี่ชาย สำหรับคนไร้ค่าอย่างตัวข้านั้น, นี่คือความรับผิดชอบสำคัญที่ข้ายังหลงเหลืออยู่”


 


ฉันจ้องไปที่เอลน่า


 


เอลน่าส่ายศรีษะในขณะที่ใบหน้าของเธอค่อยๆซีดขึ้นแต่ฉันบอกสิ่งที่ฉันต้องการโดยไม่ได้หลบตาหนีเลย


 


“เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก เจ้าจะเป็นพยานให้กับคำปฏิญาณของข้า”


 


“…..อัล”


 


“ได้ใช่ไหม?”


 


พอได้ฟังคำถามของฉัน, เอลน่าก็คุกเข่าลงอย่างเงียบๆ


 


จากนั้น


 


“…..ข้าน้อมรับหน้าที่นั้นค่ะ”


 


“ดี ถ้างั้นฟังให้ดี นี่คือคำปฏิญาณของเจ้าชายไร้ค่า คำปฏิญาณจากคนที่เป็นตัวตลกของทั้งจักรวรรดิ จงตั้งใจดูและฟังให้ดีหล่ะ”


 


จากนั้นฉันก็ใช้มีดแทงมือซ้ายของฉัน


 


มีดเจาะทะลุเนื้อของฉันลึกเข้าไปในฝ่ามือ


 


“!!??”


 


ความเจ็บปวดและความร้อนอย่างรุนแรงแล่นไปทั่วร่างกายของฉัน ฉันอยากจะลงไปกลิ้งและร้องโอดครวญให้กับความเจ็บปวดในตอนนี้


 


อย่างไรก็ตาม, ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันต้องให้ปฏิญาณโดยไม่พ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวด


 


“ข้า, เจ้าชายลำดับเจ็ด……อาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์ ขอให้คำสัตย์ปฏิญาณ ถ้าปฏิบัติการทางใต้ล้มเหลว…..ข้าขอสาบานว่าจะรับผิดชอบด้วยชีวิต…..ข้าขอสาบานด้วยเลือดและความเจ็บปวดนี้ว่าคำปฏิญาณนี้ถือเป็นคำขาด เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก…..ในฐานะพยาน, ถ้ารายละเอียดของคำสาบานนี้ไม่ได้รับการเติมเต็ม…..เจ้าจะต้องสังหารข้า”


 


“…..ข้าน้อมรับ”


 


เอลน่าพยักหน้าด้วยสีหน้าเหมือนกับจะร้องไห้


 


เมื่อเห็นแบบนี้, ฉันจึงดึงมีดออกมาจากมือซ้ายของฉัน


 


มีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมากและบาดแผลสีคล้ำเลือดก็ปรากฎขึ้นในสายตาของฉัน นอกจากความเจ็บปวด, ความร้อนที่ฉันรู้สึกได้ครอบงำฉัน


 


สติของฉันเริ่มเลือนลางและฉันก็อดกลั้นมันไว้แล้วแสดงบาดแผลนี้ให้กับนาร์เบ ริทเทอร์ทุกคน


 


“จงดูบาดแผลนี้ซะ…..! นี่คือหลักฐานว่าข้ายอมเดิมพันทุกสิ่งเพื่อชีวิตของน้องชายข้า…..! ต่อให้พวกเจ้าไม่ตอบสนองต่อความมุ่งมั่นของข้า, สิ่งนี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป! บาดแผลนี้คือสิ่งที่ข้ารู้สึกภาคภูมิใจ! และนี่ก็คงเป็นเช่นเดียวกันสำหรับพวกเจ้า! ในตอนที่พวกเจ้าสร้างความด่างพร้อยให้กับเจ้านายของพวกเจ้า, พวกเจ้าไม่ได้รับรางวัลอะไรทั้งนั้น! พวกเจ้าไม่ได้ทำลงไปเพราะอยากกลายเป็นอัศวินหลวง! พวกเจ้าไม่ได้ทำลงไปเพราะอยากได้ตำแหน่งใหญ่โต! แต่พวกเจ้าทำลงไปเพราะพวกเจ้าคิดว่าไม่สามารถปล่อยให้มันเป็นแบบเดิมได้และตัดสินใจทำลงไปด้วยความตั้งใจของตัวเอง!”


 


ฉันไม่ได้พูดว่าพวกเขาทำลงไปโดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน


 


ฉันแค่บอกว่าต่อให้พวกเขาไม่ได้รับอะไรกลับมา, สิ่งที่พวกเขาตัดสินใจทำไปแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง


 


“ความมุ่งมั่นของพวกเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไป…..พวกเจ้ายืนหยัดเพื่อประเทศและประชาชนของเรา ถ้าพวกเจ้าเชื่อว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นถูกต้องดีแล้วก็อย่าได้สนว่าคนอื่นจะมองพวกเจ้ายังไง! แค่เพราะไม่ได้รับรางวัลก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่พวกเจ้าทำลงไปนั้นไม่มีความหมาย! บาดแผลที่พวกเจ้าแบกรับเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของพวกเจ้า! ต่อให้ผู้คนบอกว่ามันคือสัญลักษณ์แห่งการทรยศหักหลังแต่ถ้าความตั้งใจของพวกเจ้ายังไม่สั่นคลอนก็จงยืดอกภูมิใจซะ! แผลเป็นที่พวกเจ้าสลักเอาไว้นั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากของข้า……หยุดดูถูกตัวเองแค่เพราะพวกเจ้าเลือกที่จะสร้างแผลเป็นนั้นเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น!”


 


ความชอบธรรมนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำลายไม่ได้ มันคือสิ่งที่ไม่แน่นอนซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ณ ตอนนั้นและมุมมองของแต่ละคน


 


แต่ว่า, ในตอนที่พวกเขาทำลงไปนั้น, พวกเขาเชื่อว่าพวกเขากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง และความจริงที่เจ้านายของพวกเขาได้รับโทษก็ยังไม่แปรเปลี่ยน


 


หลังจากนั้น, พวกเขาอาจจะไม่ได้รับการยอมรับ, พวกเขาอาจจะไม่ได้รับการต้อนรับ


 


แต่ว่านั่นมันไม่สำคัญ


 


“ต่อให้พวกเจ้ากลัว, พวกเจ้าก็ต้องรักษาความภาคภูมิใจของตัวเองเอาไว้ พวกเจ้าต้องรักษาความเชื่อของตัวเองเอาไว้ เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญ พวกเจ้าไม่ต้องสนหรอกว่าคนอื่นจะพูดยังไง ตราบใดที่พวกเจ้าศรัทธา, เสียงพวกนั้นก็จะไม่มีความสำคัญอะไร พวกเจ้าคือคนที่ตัดสินความสำคัญของแผลเป็นของตัวเอง! ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย! อัศวินแผลเป็นทั้งหลาย! ศัตรูของพวกเราคือดยุคครูเกอร์! หัวหน้าของขุนนางทางใต้! มันคือภารกิจอันตรายที่พวกเราต้องแทรกแซงเข้าไปในถิ่นของศัตรู! แต่ถึงอย่างนั้นมีใครที่อยากเสนอตัวเข้าร่วมกับน้องชายของข้าในภารกิจนี้รึเปล่า!? พวกเจ้าอาจจะตายในภารกิจนี้ก็ได้ ดังนั้นข้าจึงอยากได้แค่คนที่สามารถก้าวต่อไปได้ด้วยความภาคภูมิใจและความเชื่อของตัวเอง!”


 


ความเจ็บปวดและความร้อนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


 


แต่ถึงอย่างนั้น, ฉันก็ยังไม่ลดมือซ้ายของตัวเองลง


 


เลือดยังคงหยดลงมาตามแขนของฉันเรื่อยๆ


 


ถ้ามันอยากจะไหลก็เชิญไหลไปเลย ถ้าเลือดพวกนี้สามารถซื้อพันธมิตรให้ลีโอได้นี่ก็ถือเป็นราคาที่ถูกมาก


 


ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่


 


ในความเงียบนั้น, ทหารหนุ่มที่ถามคำถามฉันเป็นคนแรกได้เปิดดูจี้ของเขาด้วยเสียงกริ้กที่สามารถได้ยินได้


 


ข้างในนั้นคือตราประจำตระกูลเก่า มันคือตราที่เขาเป็นคนทำลายด้วยตัวเอง


 


จากนั้น, ทหารหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วทำความเคารพด้วยมือขวาของเขา


 


“ข้า, ร้อยตรีแบรนด์ เลอเนอร์ ขอเสนอตัวเข้าร่วมภารกิจนี้”


 


การเสนอตัวของเขานั้นแน่นอนว่ามันต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก


 


แต่ว่า, สีหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความสดใส


 


“ข้าขอฝากน้องชายเอาไว้กับเจ้านะ ร้อยตีเลอร์เนอร์”


 


“ครับท่าน! ข้าจะทำให้เต็มที่เพื่อไม่ให้แผลเป็นของท่านต้องด่างพร้อย, องค์ชายอาร์โนลด์!”


 


ด้วยการเริ่มต้นนี้เอง, อีกหลายคนก็เริ่มทำความเคารพและเสนอตัว


 


ในชั่วพริบตา, ทุกคนก็ยืนตัวตรงและทำความเคารพ


 


จากนั้น, ลาส, ที่ยืนอยู่ข้างหลังฉัน, ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าและทำความเคารพ


 


“นาร์เบ ริทเทอร์ขอเสนอตัวรับภารกิจของท่านครับ, องค์ชายอาร์โนลด์”


 


“ขอบใจมาก ท่านพันเอก”


 


“พวกเราต่างหากหล่ะครับที่ควรจะขอบคุณ ท่านเข้าใจคุณค่าของแผลเป็นของพวกเรา แค่เพียงเท่านี้, พวกเราก็เข้าใจถึงคุณค่าของท่านแล้ว พวกเราขอสาบานต่อแผลเป็นของท่าน พวกเราจะปกป้ององค์ชายลีโอนาร์ดโดยไม่ให้ล้มเหลวและพวกเราจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องตาย”


 


“ข้าซาบซึ้งมาก ถ้างั้นข้าคงต้องขอให้เจ้าเริ่มเตรียมการในทันที ถึงยังไงน้องชายของข้าก็กำลังรออยู่หล่ะนะ”


 


“รับทราบครับ ทุกคน, เตรียมลุยได้! พวกเราจะมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงจักรวรรดิ!”


 


พอรับคำสั่งจากลาส, ทุกคนก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว


 


ในขณะที่มองพวกเขา, ทัศนวิสัยของฉันก็เริ่มเลือนลางแต่ฉันไม่ได้ล้ม


 


ถึงยังไงฉันก็มีอัศวินคนนึงที่คอยสนับสนุนอยู่ข้างฉันมาโดยตลอด


 


“เจ้านี่มันโง่เง่าจริงๆนะ…..”


 


“โทษที…..ข้ากลัวว่าถ้าไม่มีพยานพวกเขาจะไม่เห็นถึงความจริงจังของข้า……”


 


เอลน่าประคองฉันให้นั่งลงตรงนั้นเลยและใช้ผ้าทำแผลให้ฉัน


 


ฉันแทงลงไปค่อนข้างลึกดังนั้นมันน่าจะเหลือแผลเป็นเอาไว้


 


“ถ้าเจ้ามีหมอเก่งๆที่เมืองหลวงคอยดูแผลให้มันก็น่าจะปิดสนิทในทันทีนะ ถ้าเกิดเจ้าต้องการหน่ะ”


 


“ไม่เป็นไร เหลือแผลเป็นเอาไว้ก็ไม่ได้แย่นะ มันเหมือนกับเป็นเหรียญตราสำหรับข้า”


 


“โง่จริงๆ…..ข้าขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะ, ข้าเป็นผู้หญิงที่สามารถทิ้งศักดิ์ศรีกับเกียรติยศเพื่อทำลายสัญญาได้รู้ใช่ไหม? ข้าไม่มีวันฆ่าอัลหรอก”


 


นี่คือสิ่งที่เธอพูดหลังจากที่ฉันลงทุนปฏิญาณไปถึงขนาดนั้นอย่างงั้นหรอ?


 


อย่างไรก็ตาม, ฉันไม่สามารถพูดอะไรกับเธอได้ เพราะเป็นฉันเองที่ทำเรื่องห่ามๆตั้งแต่แรก


 


“ตอนนี้ยิ่งมีเหตุผลที่พวกเราจะแพ้ไม่ได้มากขึ้นไปอีกแล้วสินะ”


 


“ไม่เป็นไรหรอกหน่า ครั้งนี้พวกเขาน่าจะใส่ความพยายามลงไปมากกว่าปกติอยู่แล้ว เพราะเจ้าชายไร้ค่าที่พวกเขาหัวเราะเยาะแสดงความมุ่งมั่นออกมาตั้งขนาดนั้น ข้ามั่นใจเลยว่าพวกเขาทุ่มสุดตัวแน่”


 


“ถ้างั้นก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดีสินะ เห้อ…..ข้าบอกขอโทษไปแล้วไม่ใช่หรอ เลิกทำหน้าแบบนั้นซักทีเถอะหน่า”


 


บางทีเธอคงไม่ชอบรอยยิ้มของฉันในตอนนี้เพราะเธอใส่แรงลงไปมากขึ้นในตอนที่พันแผล


 


“โอ๊ย!?”


 


“อย่าให้มีครั้งหน้านะตกลงไหม! ถ้าครั้งหน้าเจ้าพยายามทำเรื่องห่ามๆและทำให้ข้าเป็นห่วงอีกหล่ะก็ข้าจะไล่ฟันทุกอย่างจนเรียบแน่! เลิกทำให้ข้าเป็นห่วงไปมากกว่านี้ซักทีเถอะ”


 


ในขณะที่พูด, เอลน่าก็เบือนหน้าหนีเพื่อปกปิดสีหน้าจากฉัน


 


เป็นคำแนะนำที่สมกับเป็นเอลน่าจริงๆ


 


เอลน่าคงจะทำลายทั้งจักรวรรดิจริงๆหล่ะนะถ้าฉันทำให้เธอเป็นห่วงอีก


 


ฉันคงต้องระวังให้มากกว่านี้เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น


 


แต่ฉันคิดว่าคงไม่ต้องกังวลถึงขนาดนั้นหรอก


 


การเตรียมการของพวกเราสำเร็จลุล่วงแล้ว ที่เหลือก็คือแทรกแซงพวกเขาโดยไม่ให้พวกเขาได้ตั้งตัว


 


เพียงเท่านี้, ซานดร้าก็จะถูกปัดตกและความทะเยอทะยานของกอร์ดอนก็จะถูกทำลาย


 


นับจากนี้ไปถึงเวลาโต้คืนแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 109

 

ในช่วงที่อัลกับคนอื่นๆกำลังมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง


 


รัฐมนตรี, เจ้าชาย, และขุนนางที่มีอิทธิพลได้ถูกองค์จักรพรรดิเรียกพบ


 


“ทางใต้ปฏิเสธการสืบสวนของข้า”


 


จักรพรรดิโยฮันเนสประกาศสั้นๆต่อหน้าผู้คนที่มารวมตัว


 


จักรพรรดิถือครองอำนาจเบ็ดเสร็จในจักรวรรดิ  การปฏิเสธคำขอสืบสวนของเขานั้นไม่ต่างอะไรไปจากการก่อกบฏ


 


สิ่งที่อยู่ในหัวของทุกคนในตอนนี้ก็คือว่าในที่สุดมันก็เกิดขึ้นแล้วสินะ


 


“ขุนนางทางใต้ส่วนใหญ่และเมืองของพวกเขาได้ไปรวมกันภายใต้ดยุคครูเกอร์และก่อตั้งสหพันธ์ทางใต้ขึ้นมา พวกเขาปิดประตูแล้วเริ่มเตรียมการป้องกันแล้วครับ”


 


ทุกคนรู้สึกโกรธเมื่อได้ฟังรายงานของฟรานซ์


 


การทำตามใจชอบแบบนี้, พวกเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่เคารพรัฐบาลกลาง


 


มันคือการแสดงความไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง


 


“พวกเราควรส่งกองทัพออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”


 


เสียงคนส่วนใหญ่ที่มารวมตัวกันที่นี่เสนอให้ส่งกองทัพออกไป


 


ฟรานซ์, ในอีกด้านนึง, ได้แสดงความคิดเห็นอย่างใจเย็น


 


“เป้าหมายของสหพันธ์น่าจะเป็นการขอให้ฝ่าบาทยอมลดโทษ ถ้าพวกเราให้สิ่งนั้นกับพวกเขา, สถานการณ์ก็น่าจะไม่พัฒนาไปถึงขั้นสงครามกลางเมือง”


 


“ถ้าพวกเรายอมยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษแบบนั้นมันก็มีแต่จะทำให้เกิดการกบฎตามมามากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้นแหล่ะ!”


 


“ใช่แล้ว! พวกเราต้องหนักแน่นในการกระทำของพวกเรา!”


 


ฟรานซ์ถูกกล่าวหาว่าทำตัวอ่อนปวกเปียกเกินไปแต่เขาแค่พูดออกไปเพื่อสังเกตดูท่าทีของผู้เข้าร่วมการประชุมสำหรับความคิดเห็นของพวกเขา


 


เหตุผลที่จัดการประชุมนี้ขึ้นมาก็เพื่อคิดหาการตอบโต้ที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ฟรานซ์ไม่ได้มองหาคำตอบง่ายๆอย่างการส่งกองทัพออกไป ซึ่งนี่ก็เป็นเช่นเดียวกันสำหรับจักรพรรดิ


 


“เมื่อเวลามาถึงจริงๆสุดท้ายแล้วพวกเราก็อาจจะต้องส่งกองทัพออกไปแต่พวกเราไม่สามารถทำอะไรก่อนหน้านั้นได้เลยหรอ? นี่คือคำถามที่ข้าอยากถามทุกคนที่นี่”


 


“ฝ่าบาท! โปรดอภัยให้กับความไร้มารยาทของข้าด้วยแต่ช่วงเวลานั้นได้ผ่านไปแล้วครับ! พวกนั้นกำลังตุนอาวุธเพื่อต่อกรกับพวกเรา! พวกเราต้องตอบสนองกลับไปแบบเดียวกันครับ!”


 


ใช่แล้ว ใช่แล้ว


 


เสียงพวกนี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อยืนยันความคิดเห็นนี้


 


จักรพรรดิถอนหายใจออกมาเบาๆ เอริค, ที่มีอิทธิพลเหนือขุนนางกับรัฐมนตรี, ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมนี้ ซึ่งมันมีเหตุผลอยู่, เขาต้องยับยั้งการเคลื่อนไหวของประเทศอื่นในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ บางที, ด้วยเหตุผลนี้เองความเห็นของขุนนางกับรัฐมนตรีจึงรวมเป็นด้านเดียว


 


“ฝ่าบาท”


 


ในหมู่พวกขุนนางที่ส่งเสียงออกมาอย่างเดือดพล่าน, กอร์ดอนเองก็ได้ส่งเสียงขึ้นมา


 


จากนั้นเขาก็ก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้าโยฮันเนส, แล้วมองตรงไปที่เขาด้วยสีหน้าฮึกเหิม


 


“มีอะไร? กอร์ดอน”


 


“ได้โปรดให้ข้าได้ควบคุมกองทัพหลักด้วยเถอะครับ ข้าจะทำการกำจัดกบฏทางใต้เพื่อท่านในทันที


 


ขุนนางกับรัฐมนตรีรู้สึกดีใจกับคำพูดของเขา


 


แม้ว่าฝีมือจะไม่ได้เท่าลีเซ, แต่กอร์ดอนก็เป็นแม่ทัพที่แสดงความสามารถทางการทหารอันแข็งแกร่งบนสนามรบมาอย่างไม่ขาดสาย เขาเกลียดงานป้องกันพรมแดนและไม่มีโอกาสได้เคลื่อนไหวในช่วงนี้แต่ว่าเขาก็ยังเป็นหนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญของเมืองหลวงจักรวรรดิ


 


ซึ่งกอร์ดอนคนนี้กำลังขอเป็นคนนำทัพแล้วเขายังพูดด้วยว่า, เขาจะกำจัดกบฏทางใต้ในเร็วๆนี้


 


แต่ก็แน่นอนว่า, ยังมีบางส่วนที่ขัดแย้งกับข้อเสนอนี้


 


“โปรดช้าก่อนครับ องค์ชายกอร์ดอน ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง, ข้าไม่สามารถยอมรับข้อเสนอนี้ได้”


ชายชราที่รับใช้จักรวรรดิมาเป็นเวลานานในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการคลังพูดขึ้นมา


 


กอร์ดอนเหลือบมองรัฐมนตรีเฒ่า


 


“เจ้าว่ายังไงนะ?”


 


“ในตอนนี้, สภาวะทางการเงินของจักรวรรดินั้นคงไม่สามารถพูดได้ว่าอยู่ในสภาพที่ดี เริ่มตั้งแต่วิกฤตการณ์มอนส์เตอร์ขนาดใหญ่และเหตุการณ์ทางใต้ที่พึ่งผ่านมาไม่นานนี้, ห่วงโซ่อุปทานก็ถูกชะลอลงและผู้คนก็กำลังยากลำบากเพราะมัน ถ้าพวกเราเริ่มสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ในตอนนี้มันจะส่งผลเสียใหญ่กับเศรษฐกิจของจักรวรรดิครับ”


 


“ข้าจะรีบจบมันในทันที สงครามนี้อยู่ได้ไม่นานหรอก”


 


“ข้ายังคงเห็นด้วยไม่ได้อยู่ดี นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องจบสงครามตั้งแต่เนิ่นๆครับ, องค์ชาย”


 


พอได้ฟังคำพูดของรัฐมนตรีเฒ่า, กอร์เดินก็เดินไปข้างหน้าอย่างไม่พอใจแต่ในตอนนั้นเอง, ลีโอที่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็พูดขึ้นมา


 


“ฝ่าบาทครับ”


 


ความสนใจของทุกคนมุ่งไปที่ลีโอ


 


ลีโอก้าวขึ้นมายืนถัดจากกอร์ดอน, พร้อมกับคุกเข่าลง, แล้วเริ่มยื่นข้อเสนอ


 


“กบฏทางใต้เป็นความรับผิดชอบของข้า ฝ่าบาทโปรดมอบโอกาสให้ข้าแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองได้ไหมครับ?”


 


“แก้ไขความผิดพลาด? นี่เจ้าอยากจะให้ข้าส่งเจ้าออกไปในฐานะแม่ทัพหรอ?”


 


รัฐมนตรีที่ฝากความหวังเอาไว้กับลีโอมีสีหน้าผิดหวังไปครู่นึง


 


อย่างไรก็ตาม, ลีโอส่ายศรีษะ


 


“ไม่ใช่ครับ, ข้ามีแผน”


 


“หืม? นี่เจ้าวางแผนจัดการสถานการณ์นี้เอาไว้แล้วหรอ?”


 


“ครับ, ข้าวางเอาไว้แล้ว”


 


“ไหนลองว่ามาซิ”


 


“ครับ ได้โปรดแต่งตั้งให้ข้าเป็นคณะไปเจรจากับดยุคครูเกอร์ด้วย ข้าจะเข้าฐานของเขาในฐานะผู้ส่งสารของฝ่าบาทและทำการลอบโจมตีจากข้างในครับ ถ้าข้าสามารถจับตัวหรือจัดการเขาได้ก่อนที่สงครามจะเริ่ม, สหพันธ์ก็จะล่มสลาย”


 


โยฮันเนสค่อนข้างเอนเอียงไปทางแผนนี้


 


ในบรรดาข้อเสนอทั้งหมดในการส่งกองทัพไปนั้น, ข้อเสนอของลีโอถือว่าน่าดึงดูดมาก


 


“การที่เจ้าเสนอแผนนี้ขึ้นมาแสดงว่าเจ้ารู้ถึงอันตรายที่มากับแผนนี้ดี, ถูกไหม?”


 


“ครับ, ความผิดพลาดที่ข้าก่อขึ้นก็ต้องให้ข้าเป็นคนแก้ไขด้วยมือของตัวเอง”


 


ในขณะที่พูด, ลีโอก็เหลือบมองกอร์ดอนที่อยู่ข้างๆเขา


 


เขาได้สบตากับกอร์ดอนที่กำลังจ้องมาที่เขาอย่างคมกริบแต่เขาแค่ยิ้มกลับไปเล็กน้อย


 


สัญญาที่ทำเอาไว้กับกอร์ดอนคือจะไม่แทรกแซงเขาในช่วงสงคราม ตราบใดที่จักรพรรดิยังไม่ได้ตัดสินใจเริ่มสงคราม, มันก็คงพูดไม่ได้ว่าสงครามกำลังดำเนินอยู่ แถมความจริงที่ว่าจักรพรรดิส่งคณะผู้ส่งสารออกไปนั้นก็หมายความว่าสงครามยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ


 


ในเมื่อเขาดำเนินการในฐานะคณะผู้ส่งสารของจักรวรรดิ, มันก็ถือว่าเขาไม่ได้ทำลายสัญญาอะไรที่ให้ไว้กับกอร์ดอน


 


กอร์ดอนเองก็น่าจะรู้ถึงเรื่องนั้นดีเพราะเขาจ้องลีโอด้วยสีหน้าหงุดหงิดแต่ลีโอก็แค่ทำเป็นเฉยเหมือนกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย


 


อย่างไรก็ตาม, ความเหนือกว่าที่ลีโออุตส่าห์ได้มานั้นกลับถูกคนที่คาดไม่ถึงขัดขวาง


 


“ข้าคิดว่ามันเป็นแผนที่ค่อนข้างใช้ได้เลยนะ คิดว่าไงหล่ะ? ฟรานซ์”


 


“แผนนี้น่าสนใจริงๆครับแต่ว่า……ข้าขอคัดค้าน”


 


“ท่านประธานาธิบดี? ทำไมหล่ะ?”


 


“องค์ชายลีโอนาร์ดเก่งทั้งด้านทหารและด้านงานพลเรือนแถมยังมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่ประชาชนด้วย ถึงแม้ว่าข้าจะคิดว่าเขาถือเป็นคณะผู้ส่งสารที่ยอดเยี่ยม…..แต่เขาก็ยังเป็นผู้กล้าที่คลี่คลายปัญหาทางใต้ด้วย ดยุคครูเกอร์คงไม่ลดความระแวงลงกับเขาหรอกครับ”


 


“แล้วถ้าพวกเราส่งคนอื่นไปแทนหล่ะ?”


 


“องค์ชายกอร์ดอนประสบความสำเร็จทางการทหารมากเกินไป คนที่ดยุคครูเกอร์จะลดการป้องกันลงมากที่สุดก็คงจะเป็นองค์ชายอาร์โนลด์แต่ว่ามันคงจะยากเกินไปสำหรับเขาถ้าจะให้นำหน่วยลอบโจมตีหลังจากที่เข้าไปในปราสาทของดยุค และนี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องการที่ฝากงานสำคัญแบบนี้เอาไว้กับเขาจะกระตุ้นความระมัดระวังของดยุคเลย”


 


โยฮันเนสนำคำพูดของฟรานซ์มาไตร่ตรอง


 


ตัวแผนการนี้ดีแล้วแต่ว่ามันมีปัญหาเรื่องคนที่จะดำเนินการตามแผน


 


ด้วยความรู้สึกที่ว่ามันจำเป็นต้องมีการปรับแต่งเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย, โยฮันเนสก็ขอคำแนะนำจากฟรานซ์


 


“พวกเรามีคนที่เหมาะกับงานนี้ไหม?”


 


“ผู้นำคณะผู้ส่งสารจำเป็นต้องมีฐานะสูงอยู่ระดับนึง พวกเราต้องการคนที่มีฐานะซึ่งสามารถพูดแทนฝ่าบาทได้ สมาชิกราชวงศ์ถือว่าเหมาะสมที่สุดแต่คนที่มีฐานะเทียบกันได้ก็คงจะไม่เป็นอะไรเหมือนกัน”


 


“ถ้างั้นคือใครหล่ะ?”


 


“ข้าไม่อยากพูดจริงๆครับ”


 


ฟรานซ์พึมพำ


 


โยฮันเนสขมวดคิ้วให้เขาแต่ฟรานซ์ก็ไม่สนใจแล้วปิดปากเงียบต่อไป


 


ในตอนนั้นเอง, คนๆนึงก็เข้ามาในห้องบัลลังก์


 


สายตาของทุกคนไปรวมกันที่แขกผู้มาเยือนนี้


 


“ขออภัยที่เสียมารยาทค่ะ ฝ่าบาท”


 


“ฟีเน่…..มีอะไรรึ? เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”


 


“ข้ามาที่นี่เพราะคิดว่าน่าจะมีอะไรที่ข้าสามารถทำได้บ้างแต่ดูเหมือนว่าข้าจะคิดไม่ผิดสินะคะ”


 


ในตอนที่พูดออกมาเช่นนั้น, ฟีเน่ก็ยิ้มให้แล้วมองไปที่ฟรานซ์


 


ฟรานซ์หลบตาเธอเล็กน้อย


 


ด้วยเหตุนี้เอง, โยฮันเนสจึงเข้าใจสิ่งฟรานซ์ต้องการจะสื่อแล้ว


 


“ฟรานซ์……อย่าบอกนะว่า, เจ้ากำลังเสนอให้ฟีเน่เป็นหัวหน้าคณะผู้ส่งสาร!?”


 


“เธอเหมาะสมครับ ถ้าพวกเราให้องค์ชายลีโอนาร์ดไปด้วยในฐานะที่ปรึกษา, แผนการน่าจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า ดยุคครูเกอร์คงคิดไม่ถึงหรอกว่าฝ่าบาทจะส่งเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินไปเจออันตราย”


 


“ก็แน่หล่ะสิ! ฟีเน่ไม่ใช่ทั้งทหารหรืออัศวิน! เธอไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในจักรวรรดิด้วย! ถ้ามันเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับดยุคไคลเนลต์มันก็อีกเรื่องนึงแต่นี่เจ้าจะให้เธอเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความขัดแย้งทางใต้หรอ!?”


 


“ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทมอบเครื่องประดับผมให้กับเธอ, ในแง่นึง, เธอก็เหมือนมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วครับ”


 


“ไม่ต้องมาอ้างเหตุผลผิดๆแบบนั้น! ส่งเด็กผู้หญิงที่ไม่มีแม้แต่ความสามารถในการต่อสู้เข้าไปในฐานของศัตรูเนี่ยนะ!? ถ้าเกิดพวกเขาล้มเหลวจะเกิดอะไรขึ้นหล่ะ!?”


 


“ในกรณีที่ล้มเหลวนั้น, องค์ชายลีโอนาร์ดเองก็แบกรับความเสี่ยงเช่นเดียวกันอยู่ครับ, ฝ่าบาท”


 


“ลีโอนาร์ดเป็นเจ้าชาย! เขาเกี่ยวข้องกับมันมาตั้งแต่แรกแล้วเพราะเป็นผู้ตรวจสอบ! ความรับผิดชอบที่เขาแบกรับอยู่มันเทียบกับฟีเน่ไม่ได้หรอกนะ!”


 


โยฮันเนสจ้องฟรานซ์อย่างรุนแรงแล้วหันไปหาฟีเน่


 


จากนั้น


 


“ถอยไปเถอะ, ฟีเน่ พวกเราจะคิดหาแผนอื่นกัน”


 


“ไม่ค่ะ, ฝ่าบาท ได้โปรดมอบหมายบทบาทนั้นให้ข้าเถอะค่ะ”


 


“ไม่ได้!”


 


“…..ฝ่าบาท ผู้คนกำลังทุกข์ทรมานเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นจากขุนนาง ต่อให้อยู่คนละดินแดน, แต่ภาระหน้าที่ของขุนนางก็ยังคงเหมือนเดิม บทบาทของขุนนางจักรวรรดิก็คือการปกป้องประชาชนของจักรวรรดิ การหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองนี้จะช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย ผู้คนทางใต้จะไม่ต้องเสียสละและประชาชนของพวกเราก็จะไม่ทุกข์ทรมานจากความหิวโหย ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ เป็นลูกสาวของดยุค นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ข้าจะต้องเสี่ยงชีวิต ถ้าข้าไม่สามารถลุกขึ้นมาเผชิฐหน้ากับความทุกข์ทรมานของประชาชนได้ข้าก็หมดคุณค่าของขุนนางไปแล้วค่ะ”


 


ฟีเน่เข้ามาที่นี่โดยพกมาทั้งความมั่นใจและความเด็ดเดี่ยว


 


ในตอนที่ทุกคนกำลังออกเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่, เธอสามารถทำอะไรได้บ้าง? ด้วยการไตร่ตรองคำถามนี้มาอย่างยาวนานและจริงจัง, ฟีเน่ก็ตัดสินใจเข้ามาในที่แห่งนี้


 


ทั้งอัลและลีโอไม่ได้บอกให้เธอทำอะไรเลย พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้นับรวมฟีเน่ไปด้วยตั้งแต่แรกแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่เข้าใจความแข็งแกร่งของตัวเองดี


 


ความจริงที่ว่าจักรพรรดิประทานเครื่องประดับผมให้เธอและความสำคัญที่จักรพรรดิมีให้กับเธอ


 


สองจุดนี้จะเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะทำให้ศัตรูไม่ทันระวังตัว


 


ฟีเน่เข้าใจมันดีกว่าใคร


 


“ฟีเน่…..”


 


“ได้โปรดอนุญาตให้ข้าไปเถอะนะคะ, ฝ่าบาท ขุนนางทางใต้ที่มารวมตัวกันนั้นไม่ได้เป็นปึกแผ่นขนาดนั้น ข้ามั่นใจว่ามีหลายคนที่จำใจสนับสนุนเพราะไม่มีทางเลือก, และไม่ต้องพูดถึงอัศวินและทหารที่อยู่ภายใต้พวกเขาเลย แต่ว่า, เมื่อท่านปะดาบกับพวกเขาแล้ว, ความเกลียดชังก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสุดท้ายมันก็จะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตสำหรับจักรวรรดิ ข้าอยากหยุดไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นค่ะ”


 


“……”


 


“ฝ่าบาท นี่ก็เพื่อจักรวรรดิค่ะ”


 


 


“…..ให้อัศวินหลวงไปกับเจ้าแล้วกัน”


 


โยฮันเนสพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน


 


อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่ปฏิเสธ


 


“อัศวินหลวงจะทำให้ศัตรูระแวงพวกเรามากขึ้นค่ะ การให้พวกเขาเข้าร่วมปฏิบัติการนี้มันจะดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ฟีเน่ก็ยิ้มออกมา


 


ในตอนที่อัลกับเอลน่าออกไปโน้มน้าวนาร์เบ ริทเทอร์นั้น, ไม่มีร่องรอยความกังวลอยู่ในจิตใจของเธอเลย


 


ความจริงที่ว่าเธอเสนอตัวโดยไม่หวั่นกลัวนั้นยังเป็นเพราะเธอไว้ใจอัลจนหมดใจด้วย


 


ถ้าเธอได้เดินทางกับกองทหารที่อัลลงทุนออกเดินทางไปโน้มน้าวมา, มันก็ไม่มีปัญหา


 


สิ่งเดียวที่เธอกังวลก็คือว่าอัลจะโกรธรึเปล่าที่เธอทำตามอำเภอใจอีกแล้ว


 


มีแค่ความกังวลเล็กๆนี้ที่อยู่ในใจของฟีเน่


 


เธอมีทัศนคติง่ายๆเช่นนี้กับคนที่แบกรับความรับผิดชอบในการไปพากลุ่มทหารมาแล้วอยู่ข้างหลังแนวต่อสู้ของศัตรู


 


“ข้าให้คนอื่นนอกจากอัศวินหลวงคุ้มครองเจ้าไม่ได้หรอก!”


 


“แต่ฝ่าบาท อัศวินหลวงจะทำให้อีกฝ่ายระแวงจริงๆนะคะ”


 


“แล้วพวกเราจะทำยังไง!?”


 


ความโกรธของจักรพรรดิดังก้องไปทั่วห้องบัลลังก์


 


สิ่งที่หลงเหลืออยู่นั้นมีแค่ความเงียบสงัด


 


ทุกคนพูดอะไรไม่ออก


 


แล้วในตอนนั้นเอง, ในที่สุดเจ้าชายองค์นึงก็ตัดสินใจโผล่หน้ามา


 


“เอ่อ….ท่านพ่อครับ”


 


“….อาร์โนลด์…..ทั้งๆที่พวกเรามีประชุมที่สำคัญขนาดนี้อยู่แล้วเจ้าไปอยู่ไหนมา!?”


 


“คือว่า, ข้ามีงานนิดหน่อยหน่ะครับ”


 


อัลที่ถูกดุขมวดคิ้วในขณะที่เขาเข้ามาในห้องบัลลังก์


 


เป็นเวลาพักนึงที่, เขาหันไปสบตากับฟีเน่ เมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของเธอ, อัลก็ยิ้มออกมา


 


จากนั้น, เขาก็ตัดสินใจเข้าเรื่องอย่างรวดเร็วก่อนที่จะถูกดุอีกระลอก


 


“เกี่ยวกับเรื่องหน่วยคุ้มกัน, มีหน่วยนึงที่ข้าอยากจะแนะนำครับ”


 


“ว่าไงนะ?”


 


“เข้ามาสิ”


 


ในตอนที่อัลพูดแบบนั้นลาสก็เข้ามาในห้องบัลลังก์ด้วยชุดเครื่องแบบทหารของเขา


 


ที่หน้าอกของเขานั้นมีตราของนาร์เบ ริทเทอร์อยู่


 


“ลาส ไวเกิล…..เจ้ามาที่นี่ทำไม?”


 


“องค์ชายอาร์โนลด์ได้อธิบายรายละเอียดให้พวกเราฟังแล้วครับ พวกเรานาร์เบ ริทเทอร์ขอเสนอตัวรับภารกิจนี้”


 


ในตอนที่พูดออกมาแบบนั้น, ลาสก็ทำความเคารพ


 


มันเป็นภาพที่ค่อนข้างหายาก


 


ในอดีตนาร์เบ ริทเทอร์ถูกเรียกรวมพลมาหลายครั้งแล้วแต่ทุกครั้งพวกเขาได้รับคำสั่ง ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พวกเขาเสนอตัว


 


แต่เมื่อสักครู่นี้, นาร์เบ ริทเทอร์พึ่งจะบอกว่าพวกเขาขอเสนอตัวรับภารกิจ


 


เสียงของขุนนางดังเซ็งแซ่ให้กับสถานการณ์ที่ผิดปกตินี้


 


“ด, เดี๋ยวก่อนนะ! เจ้าบอกว่าอยากให้พวกเราฝากองค์ชายลีโอนาร์ดกับท่านฟีเน่เอาไว้กับเจ้าเนี่ยนะ!?”


 


“โปรดวางใจได้ครับ พวกเราจะปกป้องพวกเขาโดยไม่ให้ล้มเหลว”


 


“อย่าตลกไปหน่อยเลย! ใครจะกล้าฝากพวกเข้าเอาไว้กับคนทรยศอย่างเจ้า!”


 


“…..พวกเราเคยทรยศเจ้านายของตัวเองจริงๆ ตอนนั้นพวกเราไม่สามารถมองข้ามความผิดของเจ้านายเราได้ แต่ว่า, ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เพราะเรื่องนั้นนี่เองพวกเราถึงไม่มีวันย้ายไปอยู่ฝั่งขุนนางทางใต้อย่างแน่นอน พวกเราคืออัศวินแผลเป็น ความอยุตธิรรมนั้นคือศัตรูของพวกเราอยู่แล้ว”


 


ขุนนางทุกคนพากันเงียบเมื่อได้ฟังคำพูดของลาส


 


ซึ่งนี่เป็นเพราะถ้าพูดกันตามสถานการณ์, ลาสนั้นพูดถูกต้องแล้ว


 


สีหน้าของทุกคนไม่ได้ไปในด้านที่ดีจริงๆ


 


อย่างไรก็ตาม, บนบัลลังก์นั้น, โยฮันเนสได้ถามคำถามนึงกับลาส


 


“มีโอกาสแบบนี้ตั้งหลายครั้งแต่เจ้าไม่เคยเคลื่อนไหว แล้วทำไมตอนนี้ถึงตัดสินใจเสนอตัวหล่ะ?”


 


“…..พวกเราได้รับคำขอร้องอย่างแรงกล้าให้ปกป้องน้องชายของเขาครับ, ฝ่าบาท การไม่ตอบสนองต่อสิ่งนั้น…..ความภาคภูมิใจในฐานะอัศวินที่เหลืออยู่น้อยนิดของพวกเราคงไม่ยอมแน่”


 


จากนั้นลาสก็มองไปที่อัล


 


โยฮันเนสเองก็มองไปที่เขาและสังเกตเห็นผ้าพันแผลที่พันเอาไว้ที่มือของเขา


 


เขาพอเข้าใจสิ่งที่อัลทำลงไปคร่าวๆแล้ว, เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วออกคำสั่ง


 


“นาร์เบ ริทเทอร์จะทำหน้าที่คุ้มกันลีโอนาร์ดกับฟีเน่ ข้าจะฝากให้ลีโอนาร์ดเป็นหัวหน้าปฏิบัติการนี้ ส่วนรายละเอียดของปฏิบัติการให้เจ้าตัดสินใจเอาได้เลย”


 


“ฝ่าบาท แทนที่จะใช้แผนที่ไม่แน่นอนแบบนั้น, เลือกไว้ใจกองทัพของข้าไม่ดีกว่าหรอครับ!”


 


“มันเป็นแผนการที่ไม่แน่นอนก็จริงแต่มันก็ยังคุ้มที่จะลอง แต่เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกรวมกองทัพได้แต่ยังไม่อนุญาตให้เดินทัพ”


 


“……เข้าใจแล้วครับ”


 


กอร์ดอนถอดใจแล้วพูดออกมาเช่นนั้น


 


มีความมืดอ่อนๆกำลังครุกรุ่นอยู่ในดวงตาของเขา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม