Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi 76-90
ตอนที่ 76
“เยอร์เกนอยู่ไหน!?”
พอกลับมาถึงคฤหาสน์, นี่คือสิ่งแรกที่ท่านพี่ลีเซถาม
เยอร์เกน, ที่น่าจะอยู่ที่คฤหาสน์นั้นไม่อยู่แล้ว
“ดยุคพาทหารออกไปเพื่อตอบสนองต่อภัยเร่งด่วนแล้วครับ”
“เขาออกไปแล้วหรอ!?”
สมกับเป็นเขา, การตอบสนองช่างรวดเร็วจริงๆ
แต่ว่ามันเร็วเกินไป
มันหมายความว่าเขาออกไปพร้อมกับพวกอัศวินแค่ที่เตรียมพร้อมออกเดินทาง
“เรียกเขากลับมาเดี๋ยวนี้เลย! พวกเรายังไม่รู้เลยไม่ใช่รึไงว่าเกิดอะไรขึ้นทางใต้? ทำไมเขาถึงออกไปโดยไม่ยืนยันให้แน่ใจก่อนหล่ะ!?”
“พวกเราพยายามห้ามเขาแล้วครับแต่….ดยุคบอกว่าเขาจะไปกรุยทางให้ท่านครับ, องค์หญิง…..”
“กรุยทางหรอ!? นี่เขาคิดจะทำอะไรกัน!?”
“ดยุคบอกว่าเขาจะกำจัดมอนส์เตอร์ที่ขวางทางท่านครับ…..”
แบบนี้เองสินะ
ถ้างั้นมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้แล้วว่าทำไมเขาถึงออกไปแค่กับอัศวินที่ประจำการอยู่
แต่มันก็ยังคงอันตรายอยู่ดี เส้นทางจากที่นี่ไปทางใต้นั้นค่อนข้างเดินทางยาก
ไม่ต้องพูดถึงระยะทางที่ค่อนข้างไกล, ทางใต้นั้นเป็นป่าหนาทึบ และเนื่องจากไม่ได้มีการทำเส้นทางปูเอาไว้, มอนส์เตอร์จึงมักจะปรากฎตัวจากป่า
“ท่านพี่ แล้วพวกทหารที่ทำการฝึกอยู่หล่ะครับ?”
“พวกเราใช้ทหารเกณฑ์ไม่ได้ พวกที่ข้าใช้ได้ที่นี่น่าจะมีแค่กองทหารม้าที่ข้าพามาด้วยเพื่อให้มาเป็นคู่ฝึกซ้อม”
ทหารเกณฑ์นั้นมีอยู่ทั้งหมดห้ากอง โดยหนึ่งกองจะมีประมาณสองร้อยคน, ดังนั้นกองทหารม้าก็น่าจะมีทหารม้าประมาณพันคน เอาเถอะ, มันอาจจะไม่ใช่จำนวนที่แน่นอนเพราะพวกเราต้องนับคนเจ็บและตำแหน่งที่ว่างด้วยแต่จำนวนก็น่าจะเกือบๆพันคน
“แค่หนึ่งกองเองหรอครับ?…..น้อยจังเลยนะครับ”
“ถ้ารีบไปที่จุดเกิดเหตุมันก็ถือว่าพอไหวอยู่หรอกแต่ว่า….พอไปถึงแล้วก็คงจะมีเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างน้อยอยู่”
สัญญาณไฟสีม่วงคือเรื่องใหญ่ในประเทศนี้
คนที่ออกคำสั่งในจุดนั้นน่าจะเป็นลีโอ ในตอนนี้, มีแค่แม่ทัพที่ชายแดนใต้หรือไม่ก็ลีโอซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบของจักรวรรดิที่มีอำนาจระดับนี้
สัญญาณไฟนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่
ฉันไม่รู้ว่าจะมั่นใจได้รึเปล่าแต่นี่คือสัญญาณไฟที่อาจจะถูกจุดในกรณีที่ลีโอตายก็ได้
หรือถ้ามีเหตุการณ์ที่เร่งด่วนกว่านั้นเกิดขึ้นทางใต้สถานการณ์ที่นั่นก็คงอันตรายกว่ามาก
“อย่างดีที่สุดพวกเราก็มีคนพอแค่สำหรับการลาดตระเวณสินะครับ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, การตรวจสอบสถานการณ์ให้แน่ชัดก็ยังถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับพวกเรา ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่น, พวกเราอาจจะต้องเคลื่อนไหวกองทัพทางใต้ก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไง, พวกเราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากไปที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง”
ท่านพี่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในตอนที่เธอพูดออกมาแบบนั้น
นี่คือพี่สาวของฉัน, จอมพลแห่งจักรวรรดิ
ตอนนี้, ฉันควรจะเอายังไงดีนะ?
มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับฉันในการเดินทางลงใต้ด้วยเวทย์เคลื่อนย้าย จะให้ฉันพาท่านพี่ไปด้วยก็ยังได้ อย่างไรก็ตาม, มันเป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนดจุดเคลื่อนย้านที่แม่นยำ ฉันไม่รู้ว่าเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ว่านี้เป็นยังไงหรือเกิดขึ้นที่ไหน มันมีต้นกำเนิดมาจากหมู่บ้านของลินเฟียหรือว่าเป็นที่อื่น? สถานที่นั้นอาจจะไม่มีจุดสังเกตุที่สำคัญด้วยซ้ำ
อย่างเลวร้ายที่สุด, ฉันอาจต้องพิจารณาเรื่องการเปิดเผยตัวตนในฐานะซิลเวอร์และพาท่านพี่กับกองทหารม้าทั้งหมดไปทางใต้ นี่คือลักษณะของสถานการณ์ที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม, ถ้าฉันพาทหารพันคนไปทางใต้, มันก็จะใช้พลังเวทย์อย่างมาก มันแตกต่างจากการไปคนเดียวคนละเรื่อง
แต่ถึงกระนั้น, ถ้าฉันต้องสร้างประตูเคลื่อนย้าย, ฉันก็อยากได้จุดหมายปลายทางที่แน่นอนก่อน
“ไม่ว่ายังไง, พวกเราก็ต้องรอให้กองทหารมาถึงก่อนถูกไหมครับ”
“นั่นสินะ…..”
ในขณะที่เธอตอบกลับ, สีหน้าของท่านพี่ก็เต็มไปด้วยความกังวล
“ท่านจอมพล, กองทหารม้าหน่วยที่เจ็ดมาถึงแล้วครับ”
“ดีมาก, หัวหน้าหน่วย”
พอได้ฟังแบบนั้นหัวหน้าหน่วยก็ทำท่าวันยาหัตถ์, เพื่อแสดงความเคารพ และเมื่อเห็นแบบนั้นท่านพี่เองก็วันยาหัตถ์กลับ
การได้เห็นเธอในสภาพนี้, มันทำให้ฉันคิดว่าเธอเป็นทหารจริงๆ
“แล้วพวกทหารเกณฑ์หล่ะ?”
“พวกเขาเตรียมพร้อมรออยู่ที่สนามฝึกครับ ข้าได้ส่งผู้ส่งสารไปที่ชายแดนตะวันออกแล้วแต่ก่อนที่ผู้ส่งสารจะไปถึงพวกเขาน่าจะส่งกำลังเสริมออกมาแล้วครับ ข้าว่าพวกเรารีบเร่งไปที่เกิดเหตุตอนนี้เลยน่าจะดีกว่า”
กองทัพของจักรวรรดินั้นมักจะกระจุกกำลังไปที่ชายแดน
แน่นอนว่า, พวกเขามีคนประจำการอยู่ที่ส่วนกลางของประเทศด้วยแต่ลอร์ดแต่ละคนก็มีอัศวินของตัวเองอยู่ในดินแดนในขณะที่เมืองหลวงของจักรวรรดิเองก็ได้รับการคุ้มครองจากภาคีอัศวินหลวง
ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่กองทัพของจักรวรรดินั้นโดยหลักแล้วจะมีไว้เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจากต่างแดน
ชายแดนตะวันออกกับตะวันตกจะมีทหารระดับสูงประจำการอยู่ซึ่งจอมพลจะมีอำนาจควบคุมอย่างเต็มที่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่ชายแดนอื่น, พวกเขาก็มีความสามารถพอที่จะส่งกำลังเสริม พวกเขาน่าจะมีการฝึกนับไม่ถ้วนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์แบบนี้
ในอดีต, ขณะที่ไปเยี่ยมแนวหน้าทางทิศเหนือ, เจ้าชายก็บังเอิญเจอกับการต่อสู้และได้ตายไปในขณะที่คอยบัญชาการ ท่านพี่รู้สึกเสียใจที่เธอไม่สามารถอยู่เคียงข้างเขาได้ในตอนนั้น
มันเป็นเพราะเหตุผลนี้เองความเร็วในการพัฒนาชายแดนตะวันออกถึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม
“ถ้าดูจากเวลาแล้ว, ข้าคิดว่าพวกเราคงออกเดินทางด้วยความเร็วเต็มที่ไม่ได้หรอก”
“ไม่มีทางอื่นแล้วสินะ เอาเป็นว่าพวกเราต้องรีบไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกัน”
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว
และมันจะมืดขึ้นเรื่อยๆนับจากนี้เป็นต้นไป
การออกเดินทางในตอนกลางคืนนั้นอันตราย พวกเขาสามารถใช้ทางลัดผ่านป่าได้แต่มีมอนส์เตอร์มากมายที่ออกล่าในตอนกลางคืน
ส่วนการเดินอ้อมจะสามารถหลีกเลี่ยงได้แต่มันก็ต้องใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้น
ฉันกำลังพิจารณาตัวเลือกของฉัน
ฉันควรเปิดเผยว่าตัวเองเป็นซิลเวอร์ซะตอนนี้เลยแล้วพาพวกเขาเคลื่อนย้ายไปรึเปล่านะ
แต่ถ้าพวกเราเคลื่อนย้ายไปที่เมืองทางใต้เลยก็อาจจะเป็นปัญหากับลอร์ดท้องถิ่นและถ้าพวกเราไปในที่ที่ห่างไกลจากจุดเกิดเหตุพวกเราก็ยังต้องเดินทัพตอนกลางคืนอยู่ดี
ในขณะที่ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงดี, พ่อบ้านของดยุคก็วิ่งมาหาพวกเราด้วยสภาพหืดหอบ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เห้อ…..แฮ่ก, แฮ่ก…การเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วครับข้าก็เลยมาแจ้งพวกท่าน……”
“เตรียมการหรอ? เตรียมการอะไร?”
“พวกท่านไม่รู้เรื่องกันหรอครับ…..?”
พ่อบ้านแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อในขณะที่จ้องมองท่านพี่
ซึ่งท่านพี่เองก็ทำหน้าสงสัยแต่พ่อบ้านก็กลับเป็นปกติในทันที
“สมกับเป็นท่านดยุคจริงๆ…..โปรดเชิญทางนี้ครับ”
พอพูดจบ, พ่อบ้านก็นำทางพวกเราไปที่ชั้นบน
ที่นั่น, พวกเราเห็นฉากที่ไม่น่าเชื่ออยู่
“นี่คือ….ถนนหรอ?”
มีถนนกำลังเปล่งประกายอยู่ซึ่งมันมุ่งหน้าไปทางใต้
มันทอดยาวออกไปเรื่อยๆ
“เมื่อสามปีก่อน, ท่านดยุคได้ร่วมมือกับลอร์ดในพื้นที่ใกล้เคียงและสร้างเส้นทางแห่งแสงนี้ขึ้นมา มันยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างแต่มันก็ขยายออกไปทั้งทางเหนือและทางใต้ เมื่อไหร่ที่มันสร้างเสร็จมันก็จะเป็นถนนที่เชื่อมต่อทั้งสองพรมแดนเข้าด้วยกันโดยตรงครับ”
“ทำไมเขาถึงได้…..?”
“เหตุผลของเขาก็คือเพื่อสร้างเส้นทางขนส่งที่ปลอดภัยสำหรับพ่อค้าครับแต่ว่า…..”
“เป้าหมายจริงๆของเขาก็คือเพื่อให้ท่านพี่สามารถมุ่งหน้าไปที่ชายแดนเหนือกับใต้ได้ในทันทีสินะ…..”
พ่อบ้านพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ในวันนี้เมื่อสามปีก่อน
ความคิดที่ว่า, ถ้ามีเส้นทางแบบนี้มันก็คงจะดี ต้องผุดขึ้นมาในหัวของเยอร์เกนแน่ๆ
เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบวั้นนั้นเกิดขึ้นอีก, และเพื่อป้องกันไม่ให้ท่านพี่ต้องเสียใจไปมากกว่านี้
“คนๆนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ…..”
“ท่านจอมพล! ถ้าพวกเราใช้เส้นทางนี้พวกเราจะเดินทางลงใต้ด้วยความเร็วเต็มที่ได้นะครับ!”
“น, นั่นสินะ…..ถ้างั้นเริ่มเตรียมการเดี๋ยวนี้เลย”
ท่านพี่ออกคำสั่งและหัวหน้าหน่วยก็เริ่มเคลื่อนไหว เมื่อเห็นแบบนี้, พ่อบ้านก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ
เป็นเวลาพักนึงที่ท่านพี่ได้มองเส้นทางแห่งแสงนี้แล้วพึมพำออกมา
“เขานี่โง่จริงๆ….คิดเหมือนกันใช่ไหม? อัล”
“นั่นสินะครับ ดยุคไรน์เฟลด์ค่อนข้างรวยอยู่แล้ว ถึงยังไงถ้าเส้นทางนี้สร้างเสร็จหล่ะก็, คนที่จะได้ประโยชน์จากมันเพิ่มขึ้นก็คงจะเป็นลอร์ดที่อยู่บริเวณใกล้เคียง”
แน่นอนว่า, ดยุคไรน์เฟลด์จะได้ประโยชน์จากมันด้วยแต่พิจารณาจากสเกลการก่อสร้างนั้น, มันค่อนข้างจะเป็นผลลบกับเขาซะมากกว่า
สิ่งนี้จะต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อชดเชยกับที่เขาเสียไปอย่างแน่นอน
ลอร์ดที่อยู่บริเวณนี้ไม่ค่อยจะมีอิทธิพลอะไรนัก ดังนั้นค่าใช้จ่วยส่วนใหญ่น่าจะมาจากกระเป๋าของเยอร์เกน
“ทำไมกัน….ทำไมเขาถึงลงทุนขนาดนี้?”
“นั่นสินะครับ แม้แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านพี่ลองไปถามเขาด้วยตัวเองดีไหมครับ?”
นี่เป็นเรื่องโกหก
คำตอบนั้นเห็นได้ชัดอยู่แล้ว
ข้ารักท่าน เขายังคงยึดมั่นกับคำพวกนี้ เพื่อให้คนที่เขารักไม่ต้องมาเสียใจอีก
เมื่อสามปีก่อน, เยอร์เกนอาจจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวท่านพี่ ไม่สิ, มันน่าจะเป็นเขานั่นแหล่ะที่รู้สึกถึงมันมากที่สุด
“……อัล”
“ว่าไงครับ?”
“ข้าควรทำยังไงดี……?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ข้าคิดว่าท่านพี่น่าจะเป็นตัวของตัวเองให้มากกว่านี้ ถ้าท่านพี่ยอมรับคำขอแต่งงานของเขาเพียงเพราะรู้สึกผิดกับเขา, ดยุคก็อาจจะรู้สึกค่อนข้างผิดหวังก็ได้นะครับ เขาคงจะบอกว่า, ข้าไม่ได้ตกหลุมรักกับคนแบบนี้หรืออะไรเทือกๆนั้น”
“เป็นคนที่น่ารำคาญจังเลยนะ…..”
“นั่นสินะครับ ข้าคิดว่าเขาคือหนึ่งในสามคนที่น่ารำคาญที่สุดในจักรวรรดิ เขาทำทั้งหมดนี้และไม่เคยบอกท่านพี่เลยซักคำเดียว คนส่วนใหญ่คงจะบอกว่าพวกเขาทำถึงขนาดนี้แล้วนะเพราะฉะนั้นท่านพี่ต้องแต่งงานกับพวกเขา”
ข้าทำแบบนี้เพื่อเจ้าเพราะฉะนั้นจงมาแต่งงานกับข้า นี่ไม่ใช่แนวคิดของเขาเลย เขาไม่ได้ทำมันเพื่อหวังผลตอบแทนบางอย่าง
ไม่ใช่สำหรับเขาเอง, แต่สำหรับคนที่เขารักต่างหากหล่ะ
ในตอนที่เขาบอกว่าเขาอยากเป็นคนที่จริงใจกับความรัก, ฉันคิดว่าความรู้สึกของเขามันหนักหน่วงสุดๆแต่ตอนนี้ฉันพอเข้าใจแล้ว
ในเมื่อเขาลงทุนทำเพื่อเธอถึงขนาดนี้, ฉันก็รู้สึกอยากจะสรรเสริญเขาแทน
เขาเป็นคนที่ซื่อตรงจนเข้าขั้นน่ากลัว
“ข้าว่าอย่ารู้สึกผิดกับเขาแล้วเริ่มคิดว่าแต่งงานกับคนแบบนี้ก็ดีเหมือนกันน่าจะดีกว่านะครับ, แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีหรอ?”
“ไม่หรอก ไม่ว่าเขาจะลงทุนทำถึงขนาดไหน, เยอร์เกนก็ยังคงเป็นแค่เพื่อนที่ดีของข้า
“งั้นหรอครับ เอาเถอะ, มันเป็นปัญหาของท่านพี่เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าท่านพี่ควรจะเป็นคนที่ตัดสินใจว่าอยากให้เรื่องนี้ออกมาเป็นยังไงแต่ว่า”
“แต่อะไร?”
ฉันหันหลังกลับแล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ
ถึงยังไงมันก็จะได้เวลาที่กองทหารม้าเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว
ในขณะที่ฉันกำลังมองพวกเขา, ท่านพี่ก็ตามฉันมา
“แต่อะไร?”
“คาใจหรอครับ?”
“ก็แน่หล่ะสิ, พูดมาเถอะหน่า”
“นั่นสินะครับ….ข้าก็แค่คิดว่าถ้าได้เรียกเขาว่าพี่เขยก็คงจะดี ในเมื่อเขาลงทุนทำถึงขนาดนี้ข้าก็คงจะยอมรับคนอื่นมาเป็นพี่เขยของข้าไม่ได้แล้ว”
“เห้ออ….อย่างงั้นหรอกหรอ”
ท่านพี่เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยให้กับคำพูดของฉัน ผ้าคลุมสีน้ำเงินของเธอพริ้วไหวในขณะที่เธอเร่งฝีเท้า
ท่าทีของเธอนั้นงดงามและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
นี่คือตัวตนของพี่สาวที่ฉันคุ้นเคยดี
“ไปกันเถอะ, ลีโอกำลังรออยู่”
“ครับ”
ด้วยประการฉะนี้เอง, ท่านพี่ลีเซกับฉันก็ตรงไปทางใต้
ตอนที่ 77
ฉันกับท่านพี่ลีเซกำลังเดินทางลงใต้พร้อมกับกองทหารม้าด้วยความเร็วสูงสุด พวกเราออกเดินทางตลอดทั้งคืนแต่พวกเราก็ยังไล่ตามเยอร์เกนไม่ทันห
เส้นทางแห่งแสงสว่างถูกสร้างขึ้นโดยการติดตั้งหินที่ส่องแสงพิเศษบนเสาที่อยู่ตามถนน พวกมันจะดูเหมือนกับหินทั่วๆไปในเวลากลางวันและเริ่มเปล่งแสงในเวลากลางคืน หินพวกนี้ไม่ได้ราคาแพงอะไรนัก แม้แต่เด็กก็ยังสามารถหาได้บนภูเขา
อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่สุดยอดในตอนนี้ก็คือจำนวนที่สุดโต่งของมัน
ฉันได้ยินมาว่ามันยังไม่เสร็จแต่ว่าถนนสายนี้มันจะไปได้ยาวแค่ไหนกันนะ
“ไม่นึกเลยนะครับว่าเขาจะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้โดยไม่พึ่งพาความช่วยเหลือจากจักรวรรดิเลย”
“เยอร์เกนมีเส้นสายกับพ่อค้าอยู่มากมาย แล้วเขาก็ยังมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันกับเอริคจนถึงช่วงนี้ด้วย แค่นี้ก็น่าจะช่วยเขาได้เยอะแล้ว”
“ช่างเป็นคนที่น่ากลัวจังเลยนะครับ”
เขาถึงกับใช้ประโยชน์จากเอริคเลยหรอ?
แต่ในฐานะดยุค, เขายังไม่ถูกพิจารณาว่าเกี่ยวข้องกับสงครามผู้สืบทอด
ช่วงนี้, เขามีเส้นสายกับพ่อค้าที่อยู่ฝั่งเอริค ที่เขาเลือกขุมอำนาจของเอริคต้องเป็นเพราะมันคือขุมอำนาจที่โดดเด่นที่สุดแน่ๆ อย่างไรก็ตาม, นี่อาจจะไม่ใช่เหตุผลหลักของเขาก็ได้
“จนถึงตอนนี้กอร์ดอนยังไม่ใช่ศัตรูสำหรับข้าแต่ถ้าข้าแสดงท่าทีที่ดูเหมือนว่าข้าอยากกลายเป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งจักรพรรดิด้วยตัวเอง, เขาก็จะสร้างความขัดแย้งกับข้าอย่างแน่นอน ส่วนซานดร้าข้าคงไม่ต้องพูดถึง นั่นคือสาเหตุที่เยอร์เกนเลือกติดต่อกับเอริค เจ้าตัวเองก็บอกเรื่องนี้กับข้าดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลย”
“เขามักจะให้ความสำคัญกับท่านพี่อยู่ตลอดเลยนะครับ”
“ข้าแค่บอกเขาว่าให้ทำตามใจชอบ มันไม่ใช่ว่าข้าขอให้เขาทำอะไรให้ซักหน่อย”
ท่านพี่พึมพำในขณะที่นั่งอยู่บนหลังม้า
สีหน้าของเธอดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบให้เขาทำตัวให้เธอเป็นห่วง
“ท่านพี่เอริคเองก็น่าจะเข้าใจเป้าหมายของเขาและเลือกที่จะร่วมด้วย ในตอนที่ถนนเส้นนี้สร้างเสร็จมันจะทำประโยชน์ให้จักรวรรดิอย่างมหาศาลแน่ๆ”
“เยอร์เกนเป็นคนละเอียด เขาน่าจะขายมันให้กับประเทศเพื่อสร้างกำไรในภายหลัง”
“ก็ฟังดูสมกับเป็นเขาดีนะครับ”
ต่อให้จุดยืนของเขาคือการให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของท่านพี่เป็นอันดับหนึ่ง, แต่เขาก็ยังเก็บฉวยทุกอย่างที่เก็บได้ เขาต้องมีแผนการที่ดำเนินไปแล้วอีกเยอะเลยแน่ๆ
ว่าแล้วเชียว, เขาเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ
“พวกเราถูกช่วยเอาไว้เพราะเขาตกหลุมรักท่านพี่สินะครับ”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“ถ้าเขาไม่ตกหลุมรักท่านพี่, เขาก็คงจะมองสถานการณ์อย่างเป็นกลางและเข้าร่วมกับสงครามผู้สืบทอดด้วยสิ่งนี้ เขาจะกลายเป็นศัตรูที่น่ารำคาญไม่ใช่น้อยเลยหล่ะ เขามีทั้งเงินและเส้นสายอยู่ทุกที่ มันคงจะน่าปวดหัวอย่างแน่นอนถ้าพวกเรามีเขาเป็นศัตรู”
“นั่นสินะ, เยอร์เกนเป็นคนมีความสามารถจริงๆนั่นแหล่ะ ถ้าเกิดเขากลายเป็นศัตรูก็ถือว่าเป็นตัวปัญหาใช้ได้เลย”
“มันคงจะหายนะแน่นอนครับถ้าเขาไปตกหลุมรักท่านพี่ซานดร้าไม่ใช่ท่านพี่”
“อย่าดูถูกเยอร์เกนนะ ต่อให้เขาเป็นแบบนั้น, เขาก็ยังเป็นถึงคนที่ตกหลุมรักข้าถูกไหม? มันไม่มีทางที่เขาจะถูกคนอย่างซานดร้าล่อลวงได้หรอก”
“……..”
น้ำเสียงของเธอดูค่อนข้างไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก
ด้วยดวงตาที่กลมโต, ฉันก็หันไปหาหัวหน้าหน่วยที่กำลังวิ่งตามหลังพวกเราเล็กน้อย
ซึ่งเขาก็ยิ้มให้ฉันแล้วพยักหน้าให้เบาๆ
เป็นแบบนี้นี่เองสินะ
“ท่านพี่……”
“อะไร?”
“เอ่อ, ไม่มีอะไรครับ ถึงพูดออกไปก็คงจะไม่มีประโยชน์อยู่ดี”
ท่านพี่เผลอไปหลงรักเขาโดยไม่รู้ตัวรึเปล่า? ฉันกำลังจะพูดแบบนั้นแต่ก็กลืนมันกลับเข้าไป
ถึงยังไงเธอก็คงจะปฏิเสธอยู่แล้ว
เอาเถอะ, ภายนอกเธออาจจะทำเป็นไม่ชอบ,
แต่ความจริงก็คือว่าท่านพี่ยอมรับเยอร์เกน
ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่, ก็มีแสงส่องประกายขึ้นเบื้องหน้าพวกเรา
“ท่านทหารกลุ่มนั้น! พวกเราเตรียมอาหารมาให้พวกท่าน! เชิญรับไปเถอะครับ”
พอพูดจบชาวบ้านก็ส่งถุงอาหารขนาดพอดีมือให้กับทหาร
ท่านพี่กับฉันหยุดอยู่ตรงนั้นแต่หัวหน้าหน่วยรับมาถุงนึงแล้วก็ออกเดินทางในทันที
“ขอโทษนะ! ว่าแต่ใครเป็นคนบอกเรื่องนี้หรอ!?”
“หืม? อะไรนะ? พี่ชายไม่รู้หรอกหรอ?”
“N? What? Nii-san, haven’t you heard?”
หญิงวัยทองพูดในขณะที่ส่งน้ำกับถุงอาหารให้ฉัน
จากนั้น
“ก็ต้องเป็นท่านดยุคหน่ะสิ เขาบอกว่าเดี๋ยวจะมีทหารตามเขามาเพราะฉะนั้นเขาเลยขอให้พวกเราเตรียมอาหารเอาไว้ให้ในตอนที่ทหารมาถึง ในตอนที่เขาสร้างถนนนี้ขึ้นมานั้นเขาทุ่มสุดตัวและสร้างพื้นที่นี้ขึ้นมาเพื่อพวกเรา เขาขอให้พวกเราทำสิ่งที่ทหารสามารถกินได้ในขณะที่พวกเขาเดินทัพ”
“เข้าใจหล่ะ”
“นี่! แม่นางสุดสวยคนนั้นหน่ะ, มาเอาไปบ้างสิ!”
พอพูดจบหญิงชราก็ยื่นถุงอาหารให้ท่านพี่
ซึ่งท่านพี่เองก็รับมาอย่างว่าง่ายแล้วหันไปมองรอบๆ
กองทหารเดินทัพมาตลอดทั้งคืนดังนั้นพวกเขาจึงเหนื่อยเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาดูดีขึ้นแล้วเนื่องจากได้รับอาหารและคำพูดอันแสนอบอุ่นจากชาวบ้าน
มันเป็นเพราะการพิจารณาของเยอร์เกน
“…..ขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ พวกข้าเป็นหนี้ท่านแล้วสิ”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก! ท่านดยุคส่งเงินมาให้หมู่บ้านทุกเดือน ขนาดพวกเราบอกว่าพวกเราไม่ต้องการเงินมากขนาดนั้นเขาก็ไม่ยอมฟัง เขาแค่บอกให้พวกเราดูแลผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนให้ดีๆ แต่ถึงอย่างนั้น, พวกท่านก็คือคนกลุ่มแรกที่พวกเราเห็น พวกท่านกำลังไล่ตามท่านดยุคอยู่ใช่ไหม? ถ้าตามเขาทันช่วยฝากขอบคุณเขาแทนพวกเราด้วยนะ”
“งั้นหรอ…..เข้าใจหล่ะ ไว้ข้าจะบอกเขาให้นะ”
พอพูดจบ, ท่านพี่ก็ขึ้นหลังมาแล้วออกเดินทางต่อ
ในขณะที่ฉันตามเธอ, ฉันก็เปิดถุงเก็บอาหาร
มีคุกกี้อยู่ข้างในด้วยชิ้นนึง
“ท่านพี่ชอบขนมนี้นะ”
“เงียบไปเลย ทหารทุกคนชอบขนมไม่มากก็น้อยแหล่ะ ถึงยังไงมันก็เป็นของที่หาที่แนวหน้าไม่ได้ นี่น่าจะช่วยเพิ่มเรี่ยวแรงให้พวกเขาได้ดีทีเดียว”
“แล้วท่านพี่หล่ะ”
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย ข้าไม่เหนื่อยมาตั้งแต่แรกแล้ว”
พอพูดจบ, ท่านพี่ก็ค่อยๆเร่งความเร็วม้าของเธอ
ที่พวกเรากำลังพูดถึงคือเยอร์เกน, เขาต้องสร้างสถานที่สำหรับให้ม้าพักผ่อนเอาไว้ในระหว่างทางด้วยแน่ๆ
เข้าใจหล่ะ, เข้าใจหล่ะ
“เขานี่รักพี่สาวของเราจังเลยนะ”
พอพูดจบ, ฉันก็ตามเธอไปต่อ
ช่วงเที่ยงของวันต่อมา
ความเหนื่อยล้าของทหารใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว
เส้นทางแห่งแสงสว่างสิ้นสุดลงแล้วและเมื่อสักครู่นี้เองพวกเขาพึ่งเจอซากของมอนส์เตอร์ที่ถูกกำจัดไปได้ไม่นาน
“ตัวนี้ยังใหม่อยู่”
“พวกเราใกล้แล้วสินะ”
ยิ่งพวกเราเข้าใกล้เยอร์เกนก็ยิ่งมีมอนส์เตอร์เยอะขึ้น
ในตอนที่สร้างถนนนี้เขาต้องให้คนกำจัดมอนส์เตอร์ที่อยู่ตามทางไปแล้ว และตั้งแต่แรกนั้น, มอนส์เตอร์จะไม่เข้าหาแหล่งแสงแปลกๆเหมือนกับถนนนี้เนื่องจากพวกมันขี้ระแวงมากๆ และเขาก็น่าจะมีมาตรการรับมืออื่นๆเตรียมเอาไว้แล้วด้วย
อย่างไรก็ตาม, เส้นทางที่สมบูรณ์นั้นสิ้นสุดลงแล้ว
แต่, พวกเราก็มาถึงทางใต้แล้วเช่นกัน พวกเราไม่รู้ว่าลีโออยู่ไหนกันแน่แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกเราจะเจอเขา
ฉันกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในตอนที่ได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาจากข้างหน้าไม่ไกลนัก
“ดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่มของดยุคไรน์เฟลด์นะครับ”
“คงงั้นแหล่ะ”
เย็นชาจริงๆ
สีหน้าของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปแต่ความเร็วของเท้าที่ตบม้าเพื่อเร่งความเร็วนั้นเพิ่มขึ้น
เธอคงจะเป็นห่วงอยู่พอสมควร
“นายท่าน….! พวกเรายื้อเอาไว้ไม่ไหวแล้วครับ!”
“พวกที่ได้รับบาดเจ็บให้ถอยไปก่อน!”
เสียงที่คุ้นเคยดังก้องขึ้นมา
พอมองไปที่ต้นตอของเสียงนั้น, เยอร์เกนกับคนของเขาก็กำลังเผชิญหน้ากับมอนส์เตอร์ที่มีหน้าตาเหมือนหมีตัวใหญ่อยู่ที่ระยะห่างออกไปจากถนน
หมีสองหัว มอนส์เตอร์คลาส A อย่างไรก็ตาม, หนึ่งในลักษณะเฉพาะของมันที่มีสองหัวนั้นได้ถูกทำลายจนเหลือแค่หัวเดียวแล้ว
แต่ว่า, ดูเหมือนมันกำลังคลั่งอยู่ มีมอนส์เตอร์ตัวเล็กๆอยู่รอบมันด้วย
เยอร์เกนกับอัศวินของเขาที่เอาชนะมอนส์เตอร์มาตลอดทางจนถึงที่นี่กำลังดิ้นรนกับมอนส์เตอร์กลุ่มนี้อยู่ในขณะที่การเคลื่อนไหวของพวกเขาเองก็เฉื่อยชาจากความเหนื่อยล้า
หมีสองหัวใช้กรงเล็บของมันโจมตีเยอร์เกน
เยอร์เกนป้องกันเอาไว้ได้ด้วยง้าวของเขาแต่เขาก็ถูกซัดกระเด็น
“เยอร์เกน!”
โดยไม่ทันรู้ตัว, ท่านพี่ก็เรียกชื่อของเขา
จากนั้นเธอก็พยายามตรงไปหาเขาแต่พอเยอร์เกนลุกขึ้นมาแล้วเห็นเธอเขาก็ตะโกนกลับไป
“ไม่จำเป็นต้องช่วยข้า! มุ่งหน้าไปต่อเถอะครับ!”
“อย่ามางี่เง่าหน่า! ปล่อยที่เหลือไว้ให้ลูกน้องของข้าจัดการเอง”
“ถ้าท่านยังมีแรงเหลืออยู่ก็ช่วยเก็บเอาไว้ใช้ที่ทางใต้เถอะครับ! โปรดฝากที่แห่งนี้เอาไว้ที่พวกเราได้เลย!”
ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ, มีอัศวินอยู่รอบตัวเยอร์เกนแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
บางทีเขาน่าจะอยากลดภาระของพวกเราก็เลยกระจายกลุ่มของเขาให้ครอบคลุมพื้นที่ได้ดีขึ้น
ท่านพี่ไม่สนใจคำพูดของเยอร์เกนและพยายามสั่งลูกน้องของเธอให้กำจัดหมีเพื่อเขาแต่เยอร์เกนก็หยุดเธอเอาไว้ด้วยสายตาที่เหมือนกับอสูร
“ช่วยอย่าดูถูกพวกเราด้วยครับ! อย่างน้อยข้ากับอัศวินของข้าก็เก่งพอที่จะกรุยทางเพื่อท่าน!”
“พอได้แล้ว! เจ้าทำมามากเกินพอแล้ว!”
“ไม่ต้องห่วงพวกเราแล้วมุ่งหน้าต่อเถอะครับ! ทำไมท่านถึงดั้งด้นมาตลอดทางหล่ะ!? ท่านมาที่นี่เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นทางใต้ไม่ใช่หรอ!? มีผู้คนกำลังรอท่านอยู่ที่นั่นนะ! ช่วยรีบไปเถอะครับ!!”
พอพูดจบ, เยอร์เกนก็พุ่งเข้าใส่หมีสองหัวแล้วปิดการเคลื่อนไหวของมัน
เมื่อเห็นแบบนี้, หัวหน้าหน่วยก็ออกคำสั่งให้คนของเขาเดินหน้าต่อ
“หัวหน้าหน่วย!”
“โปรดอภัยให้ข้าด้วย อย่างที่ท่านดยุคพูดนั่นแหล่ะครับ พวกเราต้องรีบแล้ว”
พอพูดจบ, หัวหน้าหน่วยก็ขอตัวแล้วรีบเดินหน้าต่อ
แต่ว่า, ท่านพี่ยังไม่ยอมขยับไปไหน
“เยอร์เกน….ทำไมเจ้าต้องทำถึงขนาดนี้? เจ้าทำมาพอแล้ว, เจ้าทำสิ่งต่างๆเพื่อคอยสนับสนุนข้ามามากพอแล้ว เจ้าไม่ต้องทำมากกว่านั้นแล้วก็ได้……เจ้าไม่ใช่คนประเภทที่จะมาต่อสู้แบบนี้นะ……”
นี่ต้องเป็นคำถามที่เธอเก็บเอาไว้นานแล้วแน่ๆ
และเพื่อเป็นการตอบกลับ, เยอร์เกนก็เข้าไปแข่งพละกำลังกับหมี
“ง่ายๆครับ…..! ข้าก็แค่อยากดูดี……!”
มันคือคำตอบแบบห้วนๆ
แต่ว่ามันก็อาจจะสมกับที่เป็นเยอร์เกนก็ได้นะ
เยอร์เกนเป็นคนประเภทแบบพ่อค้าจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องออกมาแนวหน้าและต่อสู้กับมอนส์เตอร์ด้วยตัวเอง นี่อาจจะเป็นความเอาแต่ใจของเขา
แต่ว่า
“ข้าก็แค่อยากดูเท่ต่อหน้าคนที่ข้ารัก…..! ข้าอยากดูเป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้ต่อหน้าท่าน…..! มันจะมีเหตุผลอะไรอีกที่ผู้ชายจะยอมฝึกฝนร่างกายของตัวเองหล่ะครับ……!?”
“แบบนั้นมัน……”
“ผู้ชายก็เป็นสิ่งมีชีวิตแบบนี้แหล่ะครับ! มันไม่สำคัญว่าจะเป็นเรื่องที่งี่เง่ารึเปล่า! ข้าก็แค่ฝึกฝนตัวเองเพื่อให้ดูเท่ต่อหน้าท่าน!!”
เยอร์เกนตะโกนแล้วดันหมีสองหัวถอยหลังไป
หมีกำลังกลัวแรงที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกระทันหันของเยอร์เกน
เยอร์เกนไม่ปล่อยให้พลาดโอกาสแล้วใช้ง้าวส่งศรีษะของหมีที่ยังเหลืออยู่ลอยขึ้นฟ้า
“เฮ!!!!”
“ท่านดยุคทำสำเร็จแล้ว! ลุยกันเลย!”
“ย้ากกก!!”
“โอ้วววว!!”
อัศวินได้กำลังใจกลับมาในขณะที่เยอร์เกนยกง้าวขึ้นแล้วตะโกนเสียงดังลั่น
ฉันเหลือบมองพี่สาวของฉันแล้วเห็นว่าเธอยังเป็นห่วงอยู่
รอดไป, ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ทันสังเกตสินะ
มันอาจจะไม่จำเป็นแต่ฉันก็ช่วยเขาไปเล็กน้อย
ฉันร่ายบาเรียฟื้นฟูความเหนื่อยล้าให้พวกเขาแต่มันก็แค่นั้น
มันยังมีปริศนาอยู่ที่ว่าเยอร์เกนดันหมีตัวนั้นกลับไปได้ยังไงเพราะบาเรียไม่ได้ช่วยเสริมพละกำลังเลย
อย่างดีที่สุดเขาก็จะได้รับเรี่ยวแรงที่เขามีในสภาพที่เพียบพร้อมกลับมา ตอนนี้, ถ้ามีคนบอกว่ามันคือพลังแห่งความรัก, ฉันก็คงจะเชื่อแน่ๆ
“เขาดูเป็นยังไงครับ?”
“…..”
“เห้อ….ถ้างั้นข้าจะอยู่กับเขาให้เอง ถ้าข้าอยู่กับเขา, เขาก็จะไม่สามารถทำอะไรห่ามๆได้อีกเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเขานะครับ”
“เจ้าแน่ใจนะ?”
“ข้าเหนื่อยแล้วและถ้าคิดดูดีๆข้าก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้ต่อให้ข้าไปกับท่านพี่ก็ตาม ฝากดูแลลีโอแทนข้าด้วยนะครับ”
“งั้นหรอ….เข้าใจหล่ะ ฝากลีโอเอาไว้กับข้าได้เลย แล้วเจ้าเองก็อย่าฝืนนักหล่ะ เจ้าสามารถตามการเดินทัพของข้ามาได้ตั้งขนาดนี้…..เจ้าเองก็โตขึ้นนะ ทั้งร่างกายและจิตใจเลย ข้าขอฝากเยอร์เกนเอาไว้กับเจ้าได้ใช่ไหม?”
“ไว้ใจได้ลยครับ ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่เขยในอนาคตของข้า”
“ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจซักหน่อย”
“จริงหรอครับ? แต่ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเขาดูเท่มากเลยนะ”
“อย่าดูถูกเขานักสิ ถ้าเป็นเยอร์เกนหล่ะก็เขาน่าจะทำได้ถึงขนาดนั้นอยู่แล้ว”
พอพูดจบ, ท่านพี่ก็ควบม้าออกไป
ในตอนที่ร่างของเธอหายไปแล้ว, เยอร์เกนกับอัศวินของเขาเองก็จัดการมอนส์เตอร์เสร็จแล้วเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม, บางทีมันอาจเป็นเพราะฉันคลายบาเรียออก, ทุกคนก็เลยพากันเข่าทรุด
ตอนนี้, พาพวกเขากลับไปที่ปลอดภัยก่อนละกัน
“คนพวกนี้นี่ดูแลยากจริงๆนะ”
ในขณะที่พึมพำออกมาแบบนั้น, ฉันก็ขี่ม้าไปหาเยอร์เกน
ตอนที่ 78
“ปกป้องประชาชนที่กำลังหนี! อย่าปล่อยให้พวกมันไล่ตามประชาชนได้!”
ลีโอใช้พลังเสียงทั้งหมดออกคำสั่ง
ลีโอกำลังมุ่งหน้าไปบัสเซาในตอนที่เขาสังเกตเห็นว่ามีลูกบอลยักษ์สีดำลอยขึ้นมาเหนือเมือง
หลังจากที่เห็นความผิดปกตินี้, ลีโอก็เริ่มเตรียมรับการต่อสู้และรีบออกคำสั่งให้จุดสัญญาณไฟสีม่วง เขาเข้าใจในทันทีว่าลูกบอลนี้คือความผิดปกติและรู้ได้ตามสัญชาตญาณว่ามันอันตราย
มันคือสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ในทำนองเดียวกันนั้นเอง, การปรากฎตัวขึ้นของมันยังเหนือความเข้าใจของเขาด้วย
ทางรอดเดียวในที่นี้ก็คงจะเป็นการป้องกันไม่ให้อัศวินหลวงของเขาทำเรื่องห่ามๆ, และออกคำสั่งให้จุดสัญญาณไฟสีม่วงในทันที
“ชิ!”
ลีโอเหวี่ยงดาบของเขาในขณะที่นั่งอยู่บนหลังม้า
สิ่งที่เขาฟาดฟันใส่ก็คือมอนส์เตอร์ที่ร่างกายมีแต่กระดูก
มันคือมอนส์เตอร์ระดับต่ำที่มีชื่อว่าโครงกระดูก, มอนส์เตอร์ชนิดหายากที่เรียกว่าอันเดดซึ่งจะไม่ปรากฎตัวขึ้นภายใต้สถานการณ์ปกติ
ลีโอขยี้จุดอ่อนของมันที่บริเวณหน้าอกแต่มันก็เหมือนเอาน้ำหยดลงหิน
โครงกระดูกกำลังแห่ออกมาจากบัสเซาเหมือนกับน้ำที่ล้นออกมาจากแก้ว
จากสิ่งที่เขาเห็น, จำนวนของพวกมันนั้นไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อย
ตอนนี้ผู้คนของบัสเซากำลังหนีจากกองทัพโครงกระดูก
“องค์ชายลีโอนาร์ด! โปรดถอยกลับไปก่อนเถอะครับ!”
พอพูดจบ, อัศวินหลวงก็ฟันโครงกระดูกที่อยู่รอบตัวลีโอ
อย่างไรก็ตาม, ไม่ว่าพวกเขาจะฟันไปมากแค่ไหน, มันก็ยังมาหาพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“พวกมันออกมาเรื่อยๆเลย! ตอนนี้รีบถอยกันก่อนเถอะครับ!”
“ไม่, พวกเราต้องหยุดพวกมันเอาไว้ที่นี่”
“เอาจริงหรอครับ, องค์ชาย!?”
อัศวินอุทานให้กับการตัดสินใจของลีโอ
มีแค่ลีโอกับอัศวินหลวงเท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็นการ์ดให้ที่นี่ นอกเหนือจากนั้นก็มีแค่ลินเฟีย, อาเบลและสมาชิกปาร์ตี้ของเขา หากนับทุกคนรวมกันจำนวนของพวกเขาถึงยี่สิบคนรึเปล่ายังไม่รู้เลย
การหยุดโครงกระดูกนับร้อยนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม
“ถ้าพวกเราทิ้งที่นี่ไป, ประชาชนที่กำลังหนีคงไม่รอดแน่ พวกเราหนีไม่ได้ แนวหน้าต้องถูกสร้างขึ้นที่นี่”
“ถ้างั้นอย่างน้อยก็ขอแค่ตัวท่านช่วยถอยกลับไปเถอะครับองค์ชาย!”
“ข้าไม่ถอย มีอะไรจะพูดอีกไหม?”
ลีโอถามในขณะที่ฟันโครงกระดูกอีกตัว
การถอยนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การทำแบบนั้นจะส่งผลให้ประชาชนที่เขาอยากปกป้องตกอยู่ในความเสี่ยง
เขาไม่สามารถทำให้ประชาชนตกอยู่ในอันตรายเพียงเพื่อช่วยตัวเองได้
ตอนนี้ลีโอไม่ใช่จักรพรรดิ เขาอาจจะตัดสินใจถอยถ้าเขาต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่เขาจะทำให้กับจักรวรรดิ อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้ลีโอเป็นแค่ผู้มีสิทธิได้เป็นจักรพรรดิ
ชีวิตของเขาไม่ได้มีน้ำหนักเท่าจักรพรรดิ
“ข้าลงใต้มาพร้อมกับเป้าหมาย ข้ามาที่นี่เพราะข้าอยากช่วยให้ประชาชนหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน แล้วพวกเจ้าหล่ะ? ในตอนที่พวกเจ้าได้รับดาบของตัวเองในฐานะอัศวินหลวง, พวกเจ้ายังจำคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับองค์จักรพรรดิได้รึเปล่า?”
อัศวินที่เรียกร้องให้หนีจากฝูงโครงกระดูกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆพากันเงียบกริบ
อัศวินหลวงสาบานว่าจะเป็นดาบของจักรพรรดิ พวกเขาสาบานกับดาบและเกียรติของพวกเขา
“ข้าสาบานว่าจะพลีกายให้จักรวรรดิและประชาชน คำสาบานนี้จะไม่มีวันเลือนหายไปจากใจของข้าครับ”
“ดี ถ้างั้นก็จงสู้ซะ เวลาที่พวกเรายื้อเอาไว้ที่นี่จะต้องมีความหมายอย่างแน่นอน!”
“ครับ, องค์ชาย!”
ไม่มีใครเรียกร้องให้ลีโอถอยอีกแล้ว
ที่ลีโอตัดสินใจทำแบบนี้ไม่ได้มาจากความรู้สึกของเขาเพียงอย่างเดียว
โครงกระดูกที่หลั่งไหลออกมาจากเมืองนั้นไม่ได้มีพฤติกรรมแบบสุ่ม พวกมันจะมารวมตัวกันตรงจุดที่ศัตรูที่อยู่ใกล้กับพวกมันมากที่สุด
หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, ลีโอกับคนของเขากำลังดึงดูดความสนใจของโครงกระดูก
ถ้าเขาถอยที่นี่, โครงกระดูกที่สูญเสียเป้าหมายก็จะกระจัดกระจายไปทั่วแดนใต้
ซึ่งในกรณีนั้น, ลอร์ดทางใต้ก็จะถูกบังคับให้ปกป้องดินแดนของพวกเขาด้วยตัวเองและมันก็จะใช้เวลาในการกำจัดนานขึ้น
เขาตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ในฐานะ ‘ตัวล่อ’ เพราะเขาพิจารณาแล้วว่าการทำแบบนี้จะส่งผลดีกับจักรวรรดิมากกว่า
“องค์ชายลีโอนาร์ด ข้าขออะไรซักอย่างจะได้ไหมคะ?”
“ว่ามาสิ, ลินเฟีย เจ้าไม่ได้มาขอให้ข้าถอยเหมือนกันใช่ไหม?”
“หมู่บ้านของข้าอยู่ข้างหลังพวกเรา, ข้าขอโทษด้วยแต่มันคงเป็นปัญหาสำหรับข้าได้ถ้าองค์ชายตัดสินใจละทิ้งที่นี่”
“ว่าแล้วเชียว, เจ้าเองก็เข้าใจดีสินะ”
พอรู้ว่าลินเฟียเองก็มีความคิดคล้ายกัน, ลีโอจึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ในบรรดาขุนนางทางใต้ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยนั้น, ถ้าทางใต้ต้องรับภัยจากโครงกระดูก, คนที่จะได้รับความเสียหายหนักสุดก็คงจะเป็นหมู่บ้านผู้อพยพ ที่นี่คงมีลอร์ดอยู่ไม่กี่คนที่อยากปกป้องพวกเขา, ส่วนพวกที่มีความมุ่งมั่นระดับนั้นและมีอำนาจมากพอที่จะปกป้องตัวพวกเขาเองด้วยและหมู่บ้านด้วยคงจะมีน้อยยิ่งกว่า
“แล้วเจ้ามีแผนยังไงบ้าง?”
“เรียกกำลังเสริมค่ะ”
ลินเฟียเก็บกวาดโครงกระดูกที่อยู่รอบตัวพวกเขาในขณะที่พูดกับลีโอ
แค่ช่วงสั้นๆก็ยังดี, เธออยากได้เวลาที่เธอสามารถคุยกับเขาได้อย่างเหมาะสม
“กำลังเสริมหรอ? จากที่ไหน?”
“จากทางใต้ทั้งหมด ตอนนี้พวกเราสามารถส่งผู้ส่งสารไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ค่ะ”
“เจ้าตั้งใจจะเคลื่อนไหวลอร์ดหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ, พวกเราคงนับพวกเขาไม่ได้หรอก พวกเราจะพึ่งพานักผจญภัยแทน ถ้าพวกเราจ่ายรางวัล, พวกเขาก็จะไม่ทรยศเราและจะทำงานเพื่อท่านเท่านั้นค่ะ, องค์ชาย เหมือนกับคุณอาเบลและปาร์ตี้ของเขาที่อยู่ที่นี่ยังไงหล่ะคะ”
“อา, นั่นสินะ! พวกเราได้รับรางวัลมาตั้งเยอะนี่หน่า มันไม่มีทางที่พวกเราจะหนีไปเฉยๆได้อยู่แล้ว! ถึงตอนนี้ข้าจะอยากหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็เถอะ!”
อาเบลที่กำลังต่อสู้อยู่ใกล้ๆฟันโครงกระดูกในขณะที่พูดออกมาแบบนั้น สมาชิกปาร์ตี้ของเขาเองก็เริ่มบ่นอุบอิบแล้ว
“หัวหน้าของพวกเรานี่ถูกรางวัลล่อลวงง่ายจังเลยนะ……”
“มันเป็นความผิดของข้าหรอ!? พวกเราคุยกันก่อนที่จะรับภารกิจนี้แล้วไม่ใช่รึไง!?”
“ไม่ ไม่, ทุกคนคัดค้านต่างหากหล่ะ ที่พวกเรารับภารกิจนี้ก็เพราะจู่ๆเจ้ารู้สึกรักความถูกต้องขึ้นมาแล้วบอกว่าเจ้าไม่สามารถมองข้ามปัญหาในหมู่บ้านนี้ได้ไม่ใช่หรอ?”
“เห้ย เห้ย!? พวกเราดั้งด้นมาถึงที่นี่เพื่อมาโทษข้ารึไง!? พวกเราเป็นพวกพ้องกันไม่ใช่หรอ!?”
สมาชิกปาร์ตี้ของอาเบลยังคงดำเนินบทสนทนาที่สนุกสนานนี้ต่อไปในขณะที่รักษาตำแหน่งของพวกเขาแล้วคอยระวังให้กัน
นักผจญภัยคือมืออาชีพในการจัดการมอนส์เตอร์
แน่นอนว่า, ถ้าพวกเขามีนักผจญภัยเป็นกำลังเสริมพวกเขาก็จะได้พันธมิตรที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม,
“ทางใต้มีแต่กิลด์นักผจญภัยสาขาเล็กๆ, ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะช่วยพวกเราได้นักหรอกนะ”
“ข้าเข้าใจดีค่ะ และมันก็เป็นเหตุผลที่พวกเราจะส่งคำขอไปให้ทุกสาขา”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“พวกเราจะออกเรดเควส(Raid Quest)ค่ะ”
เรดเควส ลีโอค้นคำๆนี้จากในความทรงจำของเขา
เขาเคยได้ยินมาก่อน
ที่ส่วนลึกของความทรงจำของเขา, คำๆนี้ออกมาจากเรื่องราวที่แม่ของเขาเคยเล่าในตอนที่เขายังเด็ก
“มันคือเควสใหญ่ที่นักผจญภัยหลายคนสามารถรับได้ใช่ไหม?”
“ค่ะ สมัยนี้คงจะเป็นเควสที่ไม่ค่อยออกมาแล้วแต่นี่แหล่ะค่ะคือช่วงเวลาที่เหมาะสม”
“ว่าแต่, ทำไมสมัยนี้ถึงไม่ค่อยออกกันหล่ะ?”
“ถ้าให้พูดง่ายๆก็เพราะมันเป็นภารกิจที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมากค่ะ”
จากนั้นลีโอก็เข้าใจสิ่งที่ลินเฟียพยายามจะสื่อ
การส่งนักผจัญภัยระดับสูงมาคนนึงนั้นดีกว่าการส่งระดับต่ำมาหลายคน ยกตัวอย่างในกรณีง่ายๆก็นักผจญภัยแรงค์ SS
การขอความช่วยเหลือจากนักผจญภัยแรงค์ SS นั้นถูกกว่าการออกเรดเควสมาก เรดเควสคือคำขอที่ต้องใช้เงินถึงขนาดนั้น
“เจ้ามีเงินทุนพอหรอ? ข้าไม่ได้พกเงินมามากขนาดนั้นนะ”
“องค์ชายอาร์โนลด์ให้ข้ามาเยอะเลยค่ะ เราใช้มันกันเถอะ”
“จริงหรอเนี่ย……เขาไม่เคยใช้จ่ายเงินให้ตัวเองเลยแล้วตอนนี้เขากลับส่งมันให้คนอื่นง่ายๆเนี่ยนะ”
“ก็สมกับเป็นองค์ชายอาร์โนลด์ไม่ใช่หรอคะ เขาเป็นคนใจดีไม่ใช่หรอ”
ลินเฟียยิ้มแล้วส่งถุงเงินที่เธอรับมาจากอัลให้ลีโอ
ลีโอ, ที่คิดว่าลินเฟียจะไปด้วยตัวเอง, ขมวดคิ้ว
“ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไปแทนข้ามันจะทำเรื่องไวกว่ารึเปล่า?”
“ข้ารับปากไม่ได้นะคะว่าข้าจะไม่ทรยศท่านเพราะฉะนั้นฝากเรื่องแบบนี้เอาไว้กับอัศวินหลวงน่าจะทำให้องค์ชายสบายใจกว่านะคะ”
ลีโอขมวดคิ้วให้กับคำพูดของลินเฟีย
ลีโอไว้ใจลินเฟียแล้ว เขาคิดว่าตอนนี้ไม่มีทางที่เธอจะทรยศเขา อย่างไรก็ตาม, นี่มันคือความไว้ใจส่วนตัวของลีโอ
ในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้, เขาไม่สามารถฝากงานที่สำคัญนี้ให้กับนักผจญภัยที่ไหนไม่รู้ได้
ข้อเสนอของลินเฟียนั้นอิงจากจุดยืนของลีโอ
“ข้าจะอยู่ต่อสู้เคียงข้างองค์ชายลีโอค่ะ ถึงยังไงข้าก็ให้สัญญากับองค์ชายอาร์โนลด์เอาไว้แล้วด้วยว่าข้าจะกลายเป็นพลังให้ท่านจริงๆ”
“เอาจริงๆเจ้าก็ช่วยข้ามาพอแล้วหล่ะนะ มีใครทำหน้าที่เป็นคนส่งสารได้บ้าง!? ใครก็ได้ที่มั่นใจว่าจะไม่หนีไปคนเดียว!?”
ลีโอถามอัศวินหลวง
อัศวินหลวงไม่ได้ตอบสนองในตอนที่เขาถามหาคนส่งสาร ถึงยังไงมันก็เหมือนกับการวิ่งหนีจากศัตรู ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสถานการณ์ซึ่งเจ้าชายที่พวกเขาต้องปกป้องกำลังต่อสู้อยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม, ลีโอได้เพิ่มคำว่าเขาอยากได้คนที่จะไม่ทิ้งงานหนีไปคนเดียว
ถ้าพวกเขาไม่เสนอตัวตรงนี้, มันก็เหมือนกับว่าพวกเขาไม่มีความมั่นใจในเรื่องนั้น
ด้วยเหตุนี้เองอัศวินหลวงทุกคนจึงเสนอตัว ลีโอส่งถุงเงินให้กับอัศวินที่ควบคุมม้าได้ดีที่สุดแล้วให้คำแนะนำ
“มุ่งหน้าไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดแล้วขอให้กิลด์นักผจญภัยออกเรดเควส! กิลด์สามารถติดต่อกับสาขาทั้งหมดที่อยู่ทั่วทวีปได้! จงทำให้มั่นใจว่าพวกเขาจะกระจายภารกิจนี้ไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิด้วย!”
“ครับ, องค์ชาย! ข้าจะรีบกลับมาที่นี่ให้เร็วที่สุดครับ! ขอให้โชคแห่งสงครามสถิตอยู่กับท่าน!”
“เจ้าก็ด้วย, ตอนนี้ไปได้แล้ว!”
พอพูดจบ, อัศวินก็เริ่มวิ่ง
เมื่อส่งเขาออกไปแล้ว, ลีโอก็หันไปมองเมืองบัสเซา
ลูกบอลสีดำแผ่ความมุ่งร้ายออกมาหนักขึ้นแล้วเขาก็นับจำนวนโครงกระดูกไม่ได้แล้ว
มันเหมือนกับว่าตัวเมืองได้กลายเป็นประตูนรกไปแล้ว
ในขณะที่กำลังรู้สึกเช่นนี้, ลีโอก็เพ่งสมาธิไปที่การเหวี่ยงดาบของเขา
ตอนที่ 79
“เอาหล่ะ, ตอนนี้พักก่อนเถอะดยุค”
ตอนนี้ฉันอยู่ที่จุดพักใกล้ๆด้วยกันกับเยอร์เกน
แต่เดิมนั้นที่แห่งนี้ถูกออกแบบให้เป็นหนึ่งในจุดพักชั่วคราวระหว่างทาง แต่ตอนนี้มันทำหน้าที่เป็นจุดพยาบาล
อัศวินที่สภาพเละเทะเข้าออกที่แห่งนี้ในขณะที่รับการรักษาที่จำเป็นสำหรับพวกเขา
“ขอโทษนะครับ…..องค์ชาย…..”
“ท่านขอโทษเรื่องอะไร?”
“องค์ชายคงจะอยากไปอยู่เคียงข้างน้องชายแน่ๆ…..ทั้งหมดมันเป็นเพราะตัวข้านั้นอ่อนแอเกินไป”
“อ่อนแอหรอ? ท่านเนี่ยนะ?”
เยอร์เกนที่นอนอยู่ในกระท่อมพร้อมกับถูกถอดชุดเกราะออกแล้วทำสีหน้าเจ็บปวด
ฉันทำได้แค่ยิ้มให้กับคำพูดของเขา
คงจะไม่มีใครพูดออกมาได้หรอกว่าเยอร์เกนอ่อนแอ
“ท่านก็ถ่อมตัวเกินไปครับ ถ้ามีใครกล้าหัวเราะเยาะท่านคงจะถูกท่านพี่ฆ่าตายแน่ๆ”
“แต่ว่า…..องค์ชายครับ….”
“ข้าไม่เป็นไรหรอก ถ้ามันทำให้ท่านพี่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ข้าก็คิดว่าหน้าที่ของข้าได้สำเร็จลุล่วงแล้วด้วยการอยู่ที่นี่”
ในตอนที่ฉันพูดออกไปแบบนั้นเยอร์เกนก็ตอบกลับมาว่า ‘งั้นหรอครับ’ แล้วก็ค่อยๆหลับตาลง
บางทีเขาคงจะถึงขีดจำกัดแล้วเพราะเขาลุยมาตลอดทั้งคืนโดยไม่ได้นอนเลย
“ขอบใจนะ, ท่านดยุค คงจะอีกไม่นานหรอกที่ข้าจะได้เรียกท่านว่าพี่เขย”
ฉันพูดแบบนั้นกับเยอร์เกนที่กำลังหลับอยู่แล้วลุกขึ้นยืน
โชคดีที่, อัศวินของเยอร์เกนที่กระจัดกระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆได้มารวมตัวกันที่นี่แล้ว
ฝากที่เหลือเอาไว้กับพวกเขาก็แล้วกัน
ฉันออกมาจากกระท่อมที่เยอร์เกนพักอยู่แล้วมุ่งหน้าไปยังกระท่อมที่จัดเตรียมไว้ให้ฉัน
ที่นั่น, ฉันได้ร่ายบาเรียที่ทำให้ผู้คนไม่สนใจและสร้างภาพลวงตาของตัวเองกำลังนอนอยู่เอาไว้ข้างใน
บาเรียกันคนนั้นไม่ค่อยได้ผลในตอนที่รักษาสภาพของมันจากระยะไกลแต่มันก็น่าจะได้ผลดีพอกับคนที่เหนื่อยล้าเหล่านี้ และเหนือสิ่งอื่นใด, ที่นี่ไม่น่าจะมีใครที่เข้ามาในห้องของเจ้าชายโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่เนื่องจากเยอร์เกนอาจจะเข้ามาในตอนที่เขาตื่น, ฉันก็เลยสร้างภาพลวงตาเผื่อเอาไว้ก่อน ตอนนั้นฟีเน่เองก็เคยเข้ามาในห้องของฉันดังนั้นฉันจะต้องระวังคนบ้านดยุคให้มากกว่านี้
ด้วยความคิดนี้เอง, ฉันก็เคลื่อนย้ายจากกระท่อมไปยังห้องลับที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ
ที่นั่น, พ่อบ้านของฉันกำลังรออยู่ราวกับคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าฉันจะมา
“ยินดีต้อนรับกลับครับ, ท่านอาร์โนลด์”
“การเตรียมการเรียบร้อยแล้วสินะ?”
“แน่นอนครับ”
“ดีเลย ไปกันเถอะ, ถึงเวลาเคลื่อนไหวในเงามืดแล้ว”
พอพูดจบ, ฉันก็สวมเสื้อคลุมและหน้ากากเงินตามปกติของฉัน, แล้วเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์
….
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
“ดูเหมือนว่าจะมีลูกบอลสีดำปริศนาปรากฎขึ้นทางใต้และมีมอนส์เตอร์ประเภทอันเดดจำนวนมากแห่กันออกมาครับ”
“แล้วลีโอเป็นยังไงบ้าง?”
“ตามข้อมูลที่ได้มาจากกิลด์นักผจญภัย, เขายังปลอดภัยดีอยู่ และองค์ชายลีโอนาร์ดก็ได้ขอให้ทางกิลด์ออกเรดเควสเพื่อต่อกรกับภัยคุกคามมอนส์เตอร์ด้วยครับ”
“เรดเควสหรอ? เข้าใจหล่ะ ต้องเป็นความคิดของลินเฟียแน่ๆ”
ดูเหมือนว่าเธอจะอยากใช้เงินที่ฉันให้ไปแล้วสินะ
ฉันคิดถูกจริงๆที่ให้เงินนั้นกับเธอ
ความรู้นักผจญภัยของเธอนี่มีประโยชน์จริงๆนะ
“แล้วท่านพี่ตอบสนองยังไงบ้าง?”
“คือว่า….เรื่องนั้นมีปัญหาอยู่ครับ จักรพรรดิออกคำสั่งให้กองทัพและลอร์ดที่อยู่ในระแวกส่งกำลังเสริมไปให้องค์ชายลีโอนาร์ดแต่ว่าจักรพรรดิไม่ได้เรียกระดมพลอัศวินหลวงเลย”
“มีอะไรเกิดขึ้นในตอนที่พวกเขาช่วยคริสต้ากับริต้าใช่ไหม?”
“…..ทำไมท่านถึงคิดว่าทั้งสองคนได้รับการช่วยเหลือหล่ะครับ?”
“เอลน่าไม่ทำให้ข้าผิดหวังหรอก ในตอนที่คริสต้าเห็นความตายของคนแบบเฉพาะเจาะจง, อนาคตนั้นจะแทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อนานมาแล้ว, ในตอนที่คริสต้าเห็นความตายของคนใช้, ข้าก็ดูแลความปลอดภัยของเธอด้วยการให้เข้าไปอยู่ในบ้านพร้อมกับร่ายบาเรียคุ้มกันให้เธอด้วย แต่ในท้ายที่สุดนั้น, ฉากที่คริสต้าเห็นก็กลายเป็นความจริง การที่ข้าปกป้องคนใช้นั้นได้รวมอยู่ในภาพนิมิตของเธอด้วย ไม่ว่าข้าจะเคลื่อนไหวยังไง, ฉากที่เธอเห็นก็จะกลายเป็นจริง นี่คือสาเหตุที่ข้าทิ้งคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าคิดได้ให้อยู่กับเธอ เอลน่าน่าจะสามารถทำอะไรซักอย่างได้ด้วยพลังของเธอ”
“แบบนี้เองสินะครับ ท่านคิดถูกแล้วหล่ะ ทั้งองค์หญิงคริสต้าและริต้าปลอดภัยดี”
ฉันพยักหน้าให้กับคำพูดของเซบาสอย่างเงียบๆ
มันเป็นเรื่องดีที่ฉันไม่ได้บอกเธอว่าอนาคตจะกลายเป็นจริงทุกครั้ง
ไม่ว่าเธอจะเคลื่อนไหวยังไง, ถ้าเธอรู้ล่วงหน้าว่าอนาคตจะกลายเป็นจริง, เธอก็จะไม่สามารถทำอะไรห่ามๆได้ เหตุผลก็คือว่าเธอจะจบลงด้วยการกังวลว่าการกระทำของเธอนั้นจะนำไปสู่ความตายของริต้ารึเปล่า และถ้าเป็นแบบนั้นเธอก็คงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้
นี่คือเหตุผลที่ฉันเดิมพันกับเอลน่า
ถ้าเป็นเอลน่าหล่ะก็, ฉันคิดว่าเธอจะสามารถทำอะไรซักอย่างได้
“แต่ว่า, ท่านเอลน่าถูกปลดออกจากภาคีอัศวินหลวงเพราะเธอถูกตั้งข้อหาว่าเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยขององค์หญิงคริสต้า เธอถูกสั่งให้กักตัวอยู่ในคฤหาสน์ด้วย นี่คือสาเหตุที่จักรพรรดิเรียกรวมพลอัศวินหลวงไม่ได้ครับ”
“เข้าใจหล่ะ…..เอลน่าโดนแบบนั้นสินะ….ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ข้าคงต้องไปชดเชยให้เธอแล้วหล่ะ แต่ท่านพ่อเลือกให้ความสำคัญกับการป้องกันปราสาทหรอเนี่ย เอาเถอะ, ช่วยไม่ได้เจ้าหญิงพึ่งจะถูกลักพาตัวไปนี่นะ”
“ว่าแล้วเชียว, สถานที่ที่ท่านอาร์โนลด์ฝากความหวังเอาไว้มากที่สุดก็คือกิลด์นักผจญภัยสินะครับ”
“ว่าแล้วเชียว?”
เซบาสพยักหน้าอย่างเงียบๆในขณะที่ฉันทวนคำพูดของเขา
ดูเหมือนว่าเขาจะมองสิ่งที่ฉันคิดออกสินะ
แน่นอนว่า, ฉันไม่ได้ตั้งใจจะยืมพลังของจักรวรรดิ
ถึงยังไงจักรวรรดิก็ใหญ่โต ฉันไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่ามันจะสามารถตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว ในฐานะสมาชิกราชวงศ์, ฉันรู้เรื่องนี้ดี แค่เพราะมีเหตุผิดปกเกิดขึ้นทางใต้มันก็ไม่ได้หมายความว่ากองทัพจะพร้อมลุยในทันที
ในกรณีของการแทรกแซงจากต่างประเทศกองทัพคงจะถูกส่งไปที่ชายแดนในทันทีแต่ว่าการตอบสนองของพวกเขาต่อเหตุฉุกเฉินภายในนั้นเชื่องช้า
คนที่ควรตอบสนองต้องเป็นรัฐบาลกลางหรือกองทัพเขตใต้ดีหล่ะ เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ยากต่อการตัดสินใจ
เนื่องจากคำสั่งของจักรพรรดินั้นไม่สามารถถ่ายทอดได้ในทันที, ดังนั้นช่วงเวลาที่คำสั่งล่าช้าก็ถือว่าเป็นปัญหาแล้ว แถมระยะทางระหว่างเมืองหลวงจักรวรรดิกับชายแดนใต้ก็ไกลมาก
สำหรับแง่นี้, นักผจญภัยจะยืดหยุ่นกว่า ในกรณีแบบนี้, พวกเขาดูน่าเชื่อถือกว่ากองทัพหรืออัศวินของลอร์ดท้องถิ่น
“ก็นะ, ข้าฝากความหวังเอาไว้กับนักผจญภัยจริงๆนั่นแหล่ะแต่เจ้ารู้ได้ยังไง?”
“ท่านฟีเน่บอกว่าท่านอาร์โนลด์จะทำแบบนี้อย่างแน่นอนเธอก็เลยชิงเคลื่อนไหวไปก่อนแล้วครับ ตอนนี้เธอกำลังเรียกร้องให้นักผจญภัยในเมืองหลวงและที่อยู่ในระแวกเข้าร่วมเรดเควสเพื่อองค์ชายลีโอนาร์ด”
“ฟีเน่เนี่ยนะ?”
“แต่เธอไม่ได้มีหลักเหตุผลในตอนที่เธอพูดออกมานะครับ……”
“ก็สมกับเป็นเธอหล่ะนะ ข้าสามารถคาดหวังนักผจญภัยในกิลด์ได้รึเปล่า?”
เซบาสพยักหน้า
ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะไวขึ้น
มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางใต้แต่ถ้าฉันสามารถพานักผจญภัยจากสาขาเมืองหลวงจักรวรรดิไปด้วยได้มันก็จะช่วยได้อย่างมาก
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”
“ได้ครับ เรื่องการคุ้มกันท่านฟีเน่ไว้ใจข้าได้เลย”
ฉันบอกกับเซบาสว่าฉันขอฝากเธอเอาไว้กับเขาแล้วเคลื่อนย้ายไปที่ทางเข้ากิลด์
คนที่อยู่ในระแวกนั้นพากันตกใจเนื่องจากจู่ๆฉันก็ปรากฎตัวขึ้นแต่ฉันไม่สนใจพวกเขาแล้วเข้าไปในกิลด์
อย่างไรก็ตาม, ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ก็มีเสียงนึงดังมาจากข้างในกิลด์ มันคือเสียงที่ตอนนี้กำลังเผยแพร่ทั่วทั้งเมืองหลวง
[ถึงทุกท่านที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงจักรวรรดิ ชื่อของข้าคือฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ ตอนนี้, กิลด์นักผจญภัยกำลังมองหานักผจญภัยที่เต็มใจเข้าร่วมเรดเควสเพื่อตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินทางใต้ ได้โปรดเถอะค่ะ, ข้าอยากให้นักผจญภัยทุกท่านที่ได้ยินเสียงนี้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ มีผู้คนกำลังทุกข์ทรมานอยู่ทางใต้ พวกเราต้องการความช่วยเหลือของท่านเพื่อช่วยพวกเขา]
สุนทรพจน์ของฟีเน่ดังก้องไปทั่วเมืองหลวง
ในตอนที่ได้ฟังนั้น, ฉันก็ยิ้มออกมา
สมกับเป็นเธอจริงๆ ไม่ใช่คำสั่ง, แค่ความปราถนาจากใจจริงก็สามารถเคลื่อนไหวผู้คนได้แล้ว
“นี่คือประกาศจากกิลด์ ตอนนี้, สถานการณ์เป็นอย่างที่ท่านฟีเน่อธิบายไป, ตอนนี้กิลด์กำลังออกเรดเควส เควสนี้มีชื่อว่า ‘ความช่วยเหลือของนกนางนวลสีน้ำเงิน’ นักผจญภัยแรงค์ B ขึ้นไปสามารถเข้าร่วมภารกิจนี้ได้! นี่คือเรดเควสครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้ออกมานาน! มันถึงเวลาสร้างโชคให้ตัวเองแล้ว! เชิญมาเข้าร่วมได้เลยค่ะ!”
นี่ต้องมาจากพนักงานต้อนรับกิลด์แน่ๆ
และนี่ก็เป็นประชาสัมพันธ์ที่ดีสำหรับพวกเขาด้วย
แต่ว่า, ความช่วยเหลือของนกนางนวลสีน้ำเงินเนี่ยนะ? กิลด์เป็นคนที่ตัดสินใจตั้งชื่อภารกิจก็จริงอยู่แต่นี่มันไม่ง่ายไปหน่อยหรอ
เอาเถอะมันอาจจะฟังดูดีสำหรับนักผจญภัยที่ชอบเกาะกระแสก็ได้
พวกเขาน่าจะมีความสุขที่จะได้มีโอกาสต่อสู้เพื่อเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินด้วย
“เหวอ? แม้แต่ซิลเวอร์ก็มาอยู่ที่นี่ด้วยหรอ? งานนี้ต้องสำคัญมากแน่ๆ”
คนที่พูดออกมาก็คือไก
เขาต้องรีบมาที่นี่แน่ๆ เขายังผมพะรุงพะรังอยู่เลยแถมเสื้อผ้าก็ไม่เรียบร้อยอีก
“เจ้าจะเข้าร่วมด้วยหรอ?”
“ไม่ได้รึไง? ถ้ามันเป็นคำขอของเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน, คงไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกที่จะปฏิเสธ!”
พอพูดจบ, ไกก็ยิ้มอย่างเริงร่า
ฉันถอนหายใจให้เขาตามปกติ
แต่ว่า
“แถมตอนนี้น้องชายของเพื่อนข้ายังอยู่ทางใต้ด้วย ไม่มีทางที่ข้าจะไม่ไปช่วยพวกเขาหรอกถูกไหมหล่ะ?”
“งั้นหรอ…..”
ไกยิ้มร่าแล้วเดินเข้าไปในกิลด์
มีนักผจญภัยมารวมตัวกันที่กิลด์มากขึ้นเรื่อยๆ
มันไม่ได้มีแค่พวกที่จะมาเข้าร่วมภารกิจ, แต่ยังมีพวกที่มาเพื่อให้กำลังใจพวกเขาด้วย
ฉันเดินเข้าไปในกิลด์ที่เต็มไปด้วยนักผจญภัยนี้
และในตอนที่พวกเขาเห็นฉัน, เสียงโหวกเหวกในกิลด์ก็เงียบลงในทันที
ในกลุ่มพวกเขา, คนที่พูดกับฉันมีแค่พนักงานต้อนรับที่กำลังเขียนชื่อคนเข้าร่วมอยู่
“ข, ขอชื่อกับแรงค์ด้วยค่ะ”
“นักผจญภัยแรงค์ SS, ซิลเวอร์ ข้ามาลงทะเบียนเข้าร่วมเรดเควสหน่ะ”
พนักงานต้อนรับเขียนชื่อของฉันลงไปอย่างเกรงๆ
ไม่ว่าจะเป็นกิลด์นักผจญภัยที่มืออาชีพแค่ไหน, มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะเคลื่อนย้ายนักผจญภัยลงใต้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่ายังไง, เหตุผลที่กิลด์เรียกรวมนักผจญภัยมาที่สาขานี้ก็เพราะฉัน
พวกนักผจญภัยเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดี
ฉันคือคนที่พวกเขากำลังรอให้มาอยู่
เมื่อเห็นแบบนี้, นักผจญภัยก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน
“ในที่สุดก็มาสินะ! ซิลเวอร์!”
“ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่พวกเราก็เหมือนมีกำลังคนเป็นพันคนนั่นแหล่ะ!”
“ลุยเลยเราจะไปช่วยพวกเขากัน, เย้!”
ท่ามกลางนักผจญภัยที่ส่งเสียงโหวกเหวกนี้
ฉันก็เจอฟีเน่ที่อยู่ด้วยกันกับพนักงานกิลด์
ในตอนที่เธอเห็นฉัน, ฟีเน่ก็โค้งให้เล็กน้อยแล้วยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน
พวกเราไม่ได้แลกเปลี่ยนคำพูดกันแต่พวกเราก็ถ่ายทอดความคิดกันได้
ฉันพยักหน้าให้เธอแล้วพูดกับทุกคนที่อยู่ในกิลด์
“โดยปกติแล้ว, คนที่มีแรงค์สูงสุดจะได้เป็นหัวหน้าเรดเควส สำหรับครั้งนี้, มันก็คงจะเป็นข้าแต่ว่ามีใครจะคัดค้านรึเปล่า?”
ไม่มีใครตอบสนองอะไร
นี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเนื่องจากแรงค์ที่สูงที่สุดของสาขานี้คือแรงค์ SS และคนที่อยู่หลังจากนั้นก็คงจะตกลงไปที่แรงค์ AA
อย่างไรก็ตาม, มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะดูไม่น่าเชื่อถือ
พวกเขาคือนักผจญภัยมากประสบการณ์ที่คอยปกป้องจักรวรรดิด้วยวิธีของตัวเอง
“ถ้าไม่มีใครคัดค้านข้าก็ขอรับหน้าที่เป็นหัวหน้าของพวกเจ้าเลยก็แล้วกัน ชีวิตของพวกเจ้า, ข้ายินดีที่จะรับฝากมันเอาไว้เอง”
ไม่มีการตอบกลับ
แต่มันมีเสียงเชียร์ดังลั่นไปทั่วกิลด์แทน
ขวัญกำลังใจเป็นสิ่งที่ดี พวกเราสามารถต่อสู้ได้ด้วยสิ่งนี้
ตอนที่ 80
ไม่กี่วันหลังจากที่ลูกบอลสีดำปรากฎขึ้นเหนือบัสเซา
มีอัศวินและนักผจญภัยกว่าสองพันคนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของลีโอ, เพื่อป้องกันฝูงโครงกระดูกที่กำลังหลั่งไหลออกมาจากบัสเซา
“สับเปลี่ยนแนวหน้า! คนที่ถูกสับเปลี่ยนให้รีบพักผ่อนในทันที!”
ลีโอออกคำสั่งแนวหน้าที่กำลังต่อสู้กับโครงกระดูกให้ถอยกลับและส่งกลุ่มใหม่เข้าไปแทนที่พวกเขา
เพื่อที่จะซื้อเวลา, เขาได้แบ่งแนวป้องกันออกเป็นสามกะ
อย่างไรก็ตาม, จำนวนโครงกระดูกที่หลั่งไหลออกมาจากบัสเซานั้นยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาสามารถปิดล้อมได้ครึ่งเมืองแต่พวกเขาไม่สามารถไปต่อได้มากกว่านั้น
“องค์ชายลีโอนาร์ด ท่านเองก็ต้องพักผ่อนเหมือนกันนะคะ”
“ข้ายังพักไม่ได้หรอก นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ”
ลินเฟียกระตุ้นลีโอที่ออกคำสั่งโดยไม่รู้จักหยุดหรือพักผ่อนแต่เขาก็ปฏิเสธ
ด้วยความที่เป็นคนซึ่งคุ้นเคยกับกลยุทธสงครามมากที่สุดในบรรดากลุ่มคนที่อยู่ที่นี่, ลีโอจึงเข้าใจว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์อันตราย
ในตอนที่อัศวินของลอร์ดในระแวกและพวกนักผจญภัยที่อยู่ใกล้ๆมาถึง, พวกเขาก็สามารถล้อมได้ครึ่งเมืองแต่หลังจากนั้น, จำนวนโครงกระดูกก็เพิ่มขึ้นเป็นการโต้ตอบและมีมอนส์เตอร์อันเดดที่แข็งแกร่งกว่าโครงกระปรากฎขึ้นในฝูงพวกมันด้วย
มอนส์เตอร์ที่หลั่งไหลออกมาจากบัสเซานั้นไม่ได้เพิ่มจำนวนแบบสุ่ม, ดูเหมือนว่าพวกมันจะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของพวกเขา
ลีโอมั่นใจตรงจุดนี้ ถ้าพวกเขาเผยช่องว่างมันก็มีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะทะลวงแนวป้องกันของพวกเขา
ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้เล็กๆนี้, ลีโอก็ไม่สามารถลดการป้องกันลงได้
ถ้าพวกมันสามารถฝ่าลีโอกับคนของเขาไปได้, โครงกระดูกฝูงใหญ่ก็จะกระจัดกระจายไปทั่วเขตใต้ และเนื่องจากลอร์ดในพื้นที่ได้ส่งอัศวินมาช่วยเขา, พวกเขาจึงไม่สามารถป้องกันตัวเองได้
ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมา, เขตใต้ก็จะตกอยู่ในความโกลาหลแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน, การตอบสนองของกองทัพทางใต้จะรวนไปทั้งระบบ จากนั้น, การป้องกันแนวชายแดนก็จะอ่อนแอลง
หลายประเทศที่เฝ้ารอให้พวกเราเผยช่องโหว่วในการป้องกันแบบนี้คงจะไม่ปล่อยให้พลาดโอกาสไปแน่
“แต่ถ้าองค์ชายทรุดไปซะก่อน, แนวหน้าก็จะพังทลายไปเลยนะคะ”
“ข้ายังไหว ถ้าข้าไม่ไหวแล้วจริงๆข้าจะบอกเจ้านะ”
“หรอคะ…..ถ้างั้นข้าขอเวลาท่านซักพักนึงได้ไหม? ถ้ามันเป็นแค่ช่วงสั้นๆองค์ชายก็น่าจะฝากการสั่งการให้กับอัศวินหลวงที่อยู่ที่นี่ได้ใช่ไหมคะ?”
“ก็ได้อยู่หรอกแต่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอ?”
“มีอัศวินที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ในกลุ่มคนที่หนีจากบัสเซาค่ะ หนึ่งในพวกเขาฟื้นแล้วและขอคุยกับท่านค่ะ, องค์ชาย”
“เข้าใจหล่ะ….ถ้างั้นก็ไปกันเลย เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ก็ได้”
ลีโอพูดออกมาเช่นนั้นแล้วฝากฝังการบัญชาการเอาไว้กับอัศวินหลวงที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังค่ายที่สร้างเอาไว้ข้างหลังแนวหน้า
ข้างในนั้นมีอัศวินกับนักผจญภัยที่กำลังพักผ่อนอยู่รวมถึงคนเจ็บที่ไม่สามารถขยับตัวได้ด้วย
ลีโอเข้าไปในเต้นท์ที่อยู่นอกสุดของค่าย
“องค์ชาย”
“ไม่ต้องหรอก, ทำการรักษาต่อไปเถอะ”
ลีโอใช้มือหยุดชายแก่ที่พยายามจะเข้ามาทำความเคารพเขา
ชายแก่คนนี้เป็นหมอ, ซึ่งเป็นหนึ่งในคนหายากที่หนีออกมาจากเมืองและเลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อรักษาคนเจ็บ
อัศวินที่เสียมือขวาและมีบาดแผลลึกที่ท้องสามารถฟื้นสติกลับมาได้หลังจากที่ได้รับการรักษาจากหมอคนนี้
“ข้าลีโอนาร์ด, เจ้าชายลำดับแปด อัศวินคนไหนที่อยากคุยกับ้าหรอ?”
“อ, องค์ชาย…..ได้โปรดช่วยเจ้านายของข้าด้วย…..”
“เจ้ากำลังพูดถึงลอร์ดของบัสเซาหรอ?”
“ครับ…, ท่านเดนนิสถูกคุกคามมาหลายปีแล้ว…..เพราะเหตุนี้เอง, บัสเซาก็เลยถูกองค์กรลักพาตัวใช้ประโยชน์….มีคุกอยู่ในชั้นใต้ดินของคฤหาสน์….เอาไว้ขังเด็กที่พวกมันจับมาได้……”
มันคือคำสารภาพที่น่าตกใจ
อย่างไรก็ตาม, ลีโอแค่ยักคิ้วและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่าเขาเข้าใจดีว่าชายคนนี้กำลังจะพูดเรื่องสำคัญดังนั้นเขาเลยไม่อยากขัด
“ท่านเดนนิสหน่ะ…..เขาตัดสินใจช่วยเด็กๆแล้วมุ่งหน้าไปที่ชั้นใต้ดิน…..ข้าตามเขาไปด้วยได้ครึ่งทางแต่ว่า…..ข้าได้รับบาดเจ็บและถูกเพื่อนของข้าหามออกมาข้างนอก….หลังจากนั้น, ลูกบอลสีดำก็ปรากฎขึ้นมาจากคฤหา-…แค่ก แค่ก”
อัศวินไอแล้วอ้วกออกมาเป็นเลือด
หมอรีบเช็ดเลือดออกแต่อัศวินก็ยังคงกระออกเลือกออกมาไม่หยุด
แต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ยื่นมือซ้ายออกไปหาลีโอ
ลีโอกุมมือของเขาเอาไว้แน่น
“ได้โปรดเถอะครับ…..นายท่านหน่ะ….ถ้า….นายท่านจากไปแล้ว…..รีเบคก้า…..”
“รีเบคก้า?”
“เธอมะ…..เธอมีจดหมายของนายท่าน……ได้โปรดเถอะครับ, เพื่อเกียรติของเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์…..พวกเราไม่ได้เต็มใจร่วมมือกับพวกเขานะครับ…….”
“ถ้าเรื่องที่เล่ามาเป็นความจริง, ข้าก็ขอสาบานด้วยชื่อของข้าว่าข้าจะกอบกู้เกียรติของเขากลับมา ส่วนตอนนี้เจ้าต้องพักก่อนนะ”
“ขอบคุณครับ….ขอบคุณมากเลยจริงๆ….ขอบ-คุ…..”
แสงหายไปจากดวงตาของอัศวินและมือของเขาก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
หมอส่ายศรีษะ เขาน่าจะใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดเพื่อถ่ายทอดความปราถนานี้ออกมา
ลีโอยังคงกุมมือเขาเอาไว้ต่ออีกซักพัก
“องค์ชาย….”
“ลอร์ดเข้าไปที่ชั้นใต้ดินของคฤหาสน์และลูกบอลสีดำก็ปรากฎขึ้นจากที่นั่น ถ้าให้สรุปก็คือ, ลูกบอลสีดำที่ว่านี้มีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับสิ่งที่อยู่ข้างในชั้นใต้ดินนั่น”
“ความเป็นไปได้ที่สูงที่สุดก็คงจะเป็นเด็กที่ถูกกักตัวอยู่ที่นั่นสินะคะ…..”
“ดูเหมือนจะใช่นะ พวกมันรวบรวมเด็กที่มีพลังเวทย์สูงและมีความสามารถพิเศษ บางอย่างอาจจะไปกระตุ้นพวกเด็กๆแล้วทำให้เกิดภัยพิบัตินี้ขึ้นมา”
“ถ้าเป็นแบบนั้นขืนพวกเราไม่ทำอะไรซักอย่างกับลูกบอลสีดำนั่นพวกเราก็จะไม่สามารถจบเหตุการณ์นี้ได้สินะคะ”
“คงจะใช่”
ลีโอกำมือของอัศวินแน่นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเอามือนั้นวางเอาไว้ที่อกของอัศวิน
จากนั้นเขาก็ออกจากเต้นท์ไป, แล้วฝากที่เหลือเอาไว้กับหมอ
ในขณะที่เงยหน้าขึ้นไปนั้น, ลูกบอลสีดำกำลังลอยอยู่เหนือบัสเซาเล็กน้อย
“ถ้าลูกบอลนี้ออกมาจากคฤหาสน์มันก็คงจะไม่แปลกใช่ไหมถ้ามีคนอยู่ในลูกบอลนั้น?
“มีความเป็นไปได้ค่ะว่าแต่……ท่านวางแผนจะตามสืบมันจริงๆหรอคะ?”
“แน่นอนสิ ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยคนที่ถูกลักพาตัว พวกเขาเป็นเหยื่อ ข้าอยากช่วยพวกเขา”
“ข้าดีใจที่ท่านรู้สึกแบบนั้นค่ะ ในตอนที่ข้าคิดว่าพี่น้องของข้าอาจจะอยู่ในนั้นข้าก็ห้ามตัวเองเอาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน แต่ว่า, ตอนนี้พวกเราจำเป็นต้องจัดการอย่างระมัดระวัง ถึงยังไงท่านก็เป็นคนสำคัญที่มุ่งหวังจะได้บัลลังก์”
“มันเป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหล่ะเพราะข้าหวังบัลลังก์ข้าก็เลยอยากช่วยพวกเขา ข้าอยากกลายเป็นจักรพรรดิที่สามารถช่วยเหลือผู้คนที่ข้าอยากช่วยได้ แต่, ถ้าข้ากลายเป็นจักรพรรดิด้วยการละทิ้งใครสักคนหล่ะก็ข้าคงไม่สามารถกลายเป็นจักรพรรดิแบบนั้นได้อย่างแน่นอน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้เก่ง ถ้าข้าเคยละทิ้งใครไปแล้วซักครั้งนึงข้าก็อาจจะทำมันอีกในภายหลัง นี่คือสาเหตุที่ข้าจะไม่ยอมละทิ้งพวกเขา”
พอพูดจบ, ลีโอก็ยิ้มให้ลินเฟีย
จากนั้น, ภาพของลีโอก็ซ้อนทับกับอัลในสายตาของลินเฟีย
ในวันที่พวกเขาออกเดินทางนั้น ภาพของอัลที่ส่งถุงเงินให้เธอซ้อนทับกับภาพของลีโอที่ประกาศความตั้งใจของเขา
ไม่มีความแตกต่างกันในภาพพวกนี้เลย
หน้าตาของพวกเขาดูคล้ายกันอยู่แล้วแต่ไม่ใช่แค่นั้น, มันยังมีบางสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาที่ทับซ้อนกันอยู่
จนกระทั่งตอนนี้เองลินเฟียถึงจะพึ่งรู้ตัว ความจริงที่ว่าหลักการที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขาทั้งคู่นั้นคือสิ่งเดียวกัน
“สมกับที่เป็นฝาแฝดกันจริงๆค่ะ…..”
“หืม? ข้าดูคล้ายกับท่านพี่หรอ?”
“ใช่ค่ะ, คล้ายมาก ทั้งองค์ชายอาร์โนลด์และองค์ชายลีโอนาร์ดมักจะเคลื่อนไหวเพื่อคนอื่นยังไงหล่ะคะ”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก ในกรณีของข้ามันก็นะ ส่วนท่านพี่ข้าไม่รู้แต่ข้าเข้าใจจุดอ่อนของตัวเองดี ข้ารู้ว่าข้าชินกับมันแล้วจริงๆ นี่คือสาเหตุที่ข้าทุ่มเทอย่างหนัก”
ลีโอพูดแบบนั้นออกมาแล้วยิ้มเจื่อนๆ
มันจะดีแค่ไหนนะถ้าเขาสามารถรีเซ็ตความคิดของเขาและทำตัวให้แน่วแน่ได้ทุกๆครั้ง
เขาคิดว่าตัวเขาค่อนข้างอ่อนหัด นี่คือสาเหตุที่เขาไม่เคยโดดเรียนเลย เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาผ่อนคลายและเที่ยวเล่นเหมือนกับอัลแม้แต่ครั้งเดียวเขาก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นแบบเดิมได้
ในทางกลับกัน, เมื่อเขาคิดว่ามันเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับเขา, อัลก็จะกลับมาเรียนด้วยตัวเอง
ในแง่นี้, นี่อาจจะเป็นพรสวรรค์ของเขาก็ได้
และเป็นสาเหตุที่ลีโออิจฉาอัลด้วย
อย่างไรก็ตาม, เขาหยุดอิจฉาพี่ชายของเขาแล้ว ช่วงเวลาที่เขารู้สึกเสียใจในสิ่งที่เขาไม่มีมันจบไปแล้ว
“ข้าไม่ใช่ท่านพี่ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ข้าจะยืดหยุ่นกับหลายๆเรื่องได้ ข้ารู้ซึ้งถึงเรื่องนั้นในตอนที่ข้าทำภารกิจในฐานะทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ นี่คือสาเหตุที่ข้ารับภารกิจมาที่นี่ข้าตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อ เถรตรงและไม่โอนอ่อน ข้าจะไล่ตามอุดมคติของข้า”
“….เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นขอข้าติดตามท่านไปด้วยนะคะ ข้าคิดว่าหนทางข้างหน้ายังต้องมีโอกาสรออยู่แน่ๆค่ะ”
“นั่นสินะ”
ในขณะที่มองไปยังแนวหน้า, พวกเขาก็เริ่มรุกกลับไป
ไม่ได้มีแค่โครงกระดูก, แต่มอนส์เตอร์ใหม่เองก็เริ่มเพิ่มขึ้นด้วย
และไม่ใช่แค่จำนวน, แต่พลังของแต่ละตัวก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน
ถ้าเขาบุกเข้าไปตรงนี้, เขาก็มีแต่จะเอาชีวิตของตัวเองไปทิ้ง ลีโอไม่ได้โง่ขนาดนั้น
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยพวกเขาและเขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยโอกาสนั้น อย่างไรก็ตาม, ถ้าโอกาสแบบนั้นไม่เกิดขึ้น, เขาก็ไม่คิดที่จะใช้กำลังบุกเข้าไปเหมือนกัน
ตอนนี้มันคือเวลาแห่งการอดทนรอ
โอกาสจะมาหาในเร็วๆนี้
ด้วยความเชื่อที่ว่าเวลานั้นจะมาถึง, ลีโอก็ขึ้นขี่ม้าของเขา, พร้อมกับออกคำสั่งแล้วมุ่งหน้าไปสู้ที่แนวหน้าด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม, นอกจากลีโอที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
คนอื่นนั้นไม่เหมือนกัน
“หนอย!”
“เหวออ!!”
ผู้คนที่สูญเสียกำลังใจและเหนื่อยล้าจากการต่อสู้มาเป็นเวลายาวนานเริ่มถอยกลับ
ลีโอตรงเข้าไปช่วยพวกเขาแต่เรื่องแบบนี้ก็ยังคงกระจายไปทั่วทั้งแนวหน้า
หลังจากนั้นไม่นานลีโอก็ได้รับรายงานร้ายแรง
“รายงานครับ! ปีกซ้ายแตกแล้ว!!”
“!?, ส่งเข้าไปอยู่กองสำรอง!”
“พวกเราทำไมได้ครับ! ได้โปรดหนีไปเถอะองค์ชาย!”
“หนีไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ทุกอย่างจะสูญสิ้น”
ลีโอพูดแบบนั้นออกมาแล้วคว้าแตรจากอัศวินจากนั้นก็เป่ามันซ้ำไปซ้ำมา
จากนั้น
[มีใครที่ยินดีจะกลายเป็นผู้กล้าพร้อมกับลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์รึเปล่า!? มีใครที่ยังเหวี่ยงดาบได้บ้าง!? มีใครที่ยังวิ่งไหวอยู่บ้าง!? มีใครที่ยังคงมองไปข้างหน้าอยู่บ้าง!? ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นอัศวิน, นักผจญภัยหรือพลเรือน! คนที่ยังไม่สูญเสียแรงใจในการต่อสู้จงมารวมตัวกันที่ข้า, ที่นี่, เดี๋ยวนี้เลย!]
ลีโอยกดาบขึ้นสูง
จากนั้นเขาก็เป่าแตรอีกครั้ง
เสียงแตรดังก้องไปไกล
เมื่อได้ยินเสียงแตรเบาๆนั้น, ลีเซก็ยิ้มออกมา
“ทุกคน, เร่งความเร็ว! สนามรบอยู่ใกล้ๆแล้ว!”
คนที่กำลังนำกองทหารม้านับพันสู่แนวหน้าก็คือลีเซที่สวมผ้าคลุมสีน้ำเงิน
ตอนนี้คนที่ยังมีใจสู้อยู่ทางใต้ได้ไปรวมกันที่นั่นแล้ว
ตอนที่ 81
“คุณอาเบล! ไหวไหมคะ!?”
“ก็นะ, พอได้อยู่!!”
อาเบลเตะโครงกระดูกในขณะที่ตอบลินเฟีย
การปิดล้อมครึ่งวงกลมพร้อมกับแนวหน้าที่ยื้อหยุดอันเดดเอาไว้ได้พังทลายลงแล้ว
ลีโอ, ในอีกด้านนึง, ปฏิเสธที่จะถอยและสร้างกระบวนป้องกันขึ้นมารอบตัวเขา
ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้, พวกเขาแทบจะถูกศัตรูล้อมทุกด้านแล้วแต่เขาก็ยังสามารถรักษาพื้นที่ป้องกันที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม, เวลาไม่มีเหลือแล้วเพราะพวกเขาถูกโจมตีจากทุกด้าน ตั้งแต่ก่อนหน้านี้, นักผจญภัยระดับสูงอย่างอาเบลและลินเฟียพร้อมกับอัศวินฝีมือดีต้องต่อสู้เพื่อรักษาการปิดล้อม
“ลินเฟีย, พวกเราจะต้องทนแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?”
“ข้าคิดว่าอีกไม่นานพวกเราก็น่าจะเคลื่อนไหวได้แล้วแต่ว่า…..”
“แม้แต่เจ้าก็ไม่รู้สินะ”
อาเบลมองไปรอบๆในขณะที่พูดออกมาแบบนั้น
พรรคพวกของพวกเขาเริ่มเสียท่าไปทีละนิด พวกเขาสามารถดันพวกมันกลับเข้าไปในวงล้อมได้ดังนั้นก็เลยไม่มีความสูญเสียแต่ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปก็จะไม่เหลือใครที่สู้ไหว
“ถ้าพวกที่หนีไปตัดสินใจกลับมาก็คงจะเยี่ยมไปเลยนะ……”
“นับพวกขี้ขลาดแบบนั้นไปก็คงไม่ช่วยอะไรหรอก”
มีแค่ประมาณพันคนที่มารวมกันภายใต้ลีโอ ส่วนอีกพันนั้นหนีไปหลังจากที่แนวหน้าพังทลาย
พวกที่หนีไปส่วนใหญ่นั้นเป็นอัศวินและพวกที่ยังอยู่ข้างลีโอส่วนใหญ่เป็นนักผจญภัย ความแตกต่างทางความคิดระหว่างนักผจญภัยที่ยอมรับเรดเควสด้วยความตั้งใจของตัวเองกับอัศวินที่ถูกลอร์ดของพวกเขาสั่งให้มาที่นี่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
แน่นอนว่า, มีอัศวินหลายคนที่ตัดสินใจจะอยู่ต่อแต่เธอก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าพวกที่หนีไปตัดสินใจอยู่ต่อนั้นสถานการณ์จะต่างกันออกไปยังไง
สิ่งที่อาเบลรู้สึกขัดใจเป็นพิเศษก็คือการหายไปของอัศวินหลวงบางส่วนที่สมควรจะทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันให้ลีโอ
“ชิ! ว่าแล้วเชียว, ข้าไม่น่ารับคำขอนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว! ตั้งแต่มาที่นี่ข้าไม่ได้อะไรเลยนอกจากความรู้สึกแย่ๆเนี่ย!”
“แล้วทำไมเจ้าไม่หนีซะละ?”
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย พวกเราเป็นนักผจญภัย ไม่มีทางที่พวกเราจะทิ้งภารกิจที่รับมาแล้วหรอกนะ!”
“แต่นี่มันอยู่นอกเหนือรายละเอียดภารกิจของเจ้าไม่ใช่หรอ?”
“ภารกิจที่พวกเราได้รับมาคือการปกป้องหมู่บ้าน การจัดการมอนส์เตอร์ที่นี่และปกป้องเจ้าชายตรงนั้นคือโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกเรามีถูกไหม?”
สมาชิกปาร์ตี้ของอาเบลเองก็เห็นด้วยกับเขา
ไม่เหมือนกับอาเบลที่ถูกมองว่าเป็นคนมีประสบการณ์ในบรรดากลุ่มนักผจญภัย, สมาชิกปาร์ตี้ของเขานั้นเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล แต่พวกเขาก็ยังยิ้มได้
พวกเขารู้ดีว่าการทำสีหน้าหม่นหมองนั้นไม่มีประโยชน์อะไรในสถานการณ์ที่เป็นตายเท่ากันแบบนี้
“หัวหน้า! ถ้าจบงานนี้ต้องไปขอให้องค์ชายลีโอนาร์ดเพิ่มเงินด้วยนะครับ!”
“ได้ ได้! ในเมื่อพวกเราทำงานหนักก็ต้องจ่ายหนักๆนี่นะ!”
“จริงๆเลย, มาลุยกันให้ตายไปข้างเถอะ”
ในช่วงที่อาเบลกับปาร์ตี้ของเขากำลังมีบทสนทนาที่ดูผ่อนคลายนี้อยู่
ลีโอที่อยู่ตรงกลางของกระบวนป้องกันก็พึมพำออกมา
“พวกเขากลับมาแล้วสินะ”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ทหารม้าก็กำลังเข้ามาหาพวกเขาจากทางเหนือ
พวกเขาคือทหารที่หนีไปในตอนที่แนวหน้าแตกก่อนหน้านี้
“เปิดวงล้อม! พวกเราจะบุกบัสเซา! ทุกคนตามข้ามา!!!”
ลีโอชักนำอัศวินที่เหลืออยู่กับเขาบุกเข้าไปทางบัสเซา
ในขณะเดียวกันนั้นเอง, ทหารม้าที่มาจากทางเหนือก็มุ่งหน้าฝ่าฝูงโครงกระดูกมาเข้าร่วมกับลีโอ
“เห้ย เห้ย!? เกิดบ้าอะไรเนี่ย!? จู่ๆพวกนั้นคิดเปลี่ยนใจขึ้นมารึไง!?”
“มันเป็นแผนขององค์ชายลีโอนาร์ด”
“แผนหรอ?”
“เขาตั้งใจสั่งให้อัศวินหลวงบางส่วนถอนตัวจากการต่อสู้และนำอัศวินที่หนีไปกลับมาหาเขา ถึงยังไงมันก็มีพวกที่แค่ตามกระแสและถอยไปพร้อมกับพวกที่อยากหนีจริงๆ”
“เขาทำแบบนั้นในสถานการณ์ที่วุ่นวายแบบนี้เนี่ยนะ…..?”
“โดยปกติแล้ว, ในสถานการณ์แบบนี้ความคิดแรกของคนส่วนใหญ่คงจะเป็นการถอย แต่องค์ชายลีโอนาร์ดไม่ได้พิจารณาทางเลือกนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาวางแผนจะเคลื่อนไหวขั้นต่อไปจากตรงนั้น
“แต่ถ้าเขาตัดสินใจถอยมันคงจะง่ายกว่าสำหรับพวกเราหล่ะนะ”
“นั่นสินะ, สมกับเป็นคนที่มุ่งหวังชิงบัลลังก์ใช่ไหมหล่ะ”
ลินเฟียแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับลีโอแล้วไล่ตามเขาไป
ด้วยลีโอกับอัศวินที่กรุยทางให้พวกเขา, นักผจญภัยก็ตามหลังพวกเขาไป
เป้าหมายของพวกเขาคือบัสเซาซึ่งเป็นจุดที่ลูกบอลสีดำอยู่
“องค์ชาย! ได้โปรดถอยไปเถอะครับ! ท่านทำมามากพอแล้ว!”
“นี่มันยังไม่ใกล้กับคำว่าพอเลยซักนิด!”
อัศวินหลวงแนะนำให้ลีโอถอยกลับแต่ลีโอก็ยังคงดื้อดึงไม่ยอมแพ้
เขากรุยทางฝ่าฝูงโครงกระดูกอย่างต่อเนื่อง, และสร้างเส้นทางเอาไว้ข้างหลังพวกเขา
ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นมาพอแล้ว ทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็คือส่งไม้ต่อไปให้อัศวินหลวงที่อยู่ข้างหน้า
อีกหน่วยเองก็เข้ามาใกล้แล้ว ถ้าพวกเขาสามารถมาเจอกันได้พลังการรุดหน้าของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น
ดูเหมือนว่าจะไม่มีเหตุผลให้ลีโอต้องฝืนทำงานหนักแล้ว
“อย่างน้อยก็ช่วยถอยไปอยู่แนวที่สองหรือสามเถอะครับ!”
“อย่าไร้สาระหน่า! ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอัศวินหรือนักผจญภัย, คนที่พาพวกเขามาเจออันตรายก็คือข้า! แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น, พวกเขาก็ยังเลือกที่จะลุยพร้อมไปกับข้า! ซึ่งมันเป็นเพราะข้ากำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา! ใครจะไปติดตามคนที่เอาแต่ออกคำสั่งจากสถานที่ที่ปลอดภัยหล่ะ!?”
พวกอัศวินถึงกับพูดไม่ออก
ลีโอพึ่งจะแสดงให้พวกเขาเห็นด้านที่แตกต่างออกไปจากด้านที่พวกเขารู้จักโดยสิ้นเชิง
ถึงแม้ว่าจะเก่งศิลปะการต่อสู้, แต่ลีโอก็ไม่ใช่คนโหดร้าย เขามีภาพลักษณ์ของเจ้าชายที่ใจดีและมีอัธยาศัยดี
อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้, เจ้าชายที่กำลังชี้นำพวกเขาบนสนามรบนั้นเหมือนกับนายพลเลย
“องค์ชาย….”
“เงียบแล้วตามข้ามา! พวกเราจะฝ่าฟันเรื่องนี้ไปได้อย่างแน่นอน!”
พอพูดจบ, ลีโอก็เร่งม้าของเขาให้เร็วขึ้นอีก
หลังจากนั้น, พวกเขาก็ไปเจอกับอีกหน่วยและความสามารถในการเคลื่อนพลของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นไปอีก
บัสเซาที่เคยอยู่ไกลๆตอนนี้อยู่ในระยะสายตาของพวกเขาแล้ว
“บัสเซาอยู่ใกล้แล้ว! ใช้พลังที่มีทั้งหมดฝ่าเข้าไปเลย!”
ในตอนที่ลีโอออกคำสั่งแบบนั้น, ก็มีคนเหวี่ยงดาบใส่ลีโอ
ลีโอสามารถรับมันเอาไว้ได้แต่ฝีเท้าของม้าก็หยุดลง
ในตอนที่ลีโอหยุด, มันก็หมายความว่าทุกคนต้องหยุดและตอนนี้พวกเขาก็อยู่ท่ามกลางทะเลมอนส์เตอร์
การหยุดที่นี่มีแต่ตายกับตายเท่านั้น
ลีโอพยายามจะวิ่งไปข้างหน้าแต่ก็มีคนๆนึงเข้ามาขวางทางเขาเอาไว้
“เจ้าเป็นใคร!?”
“อืมม…ก็ไม่รู้สินะ?”
คนที่พูดนั้นคือชายชุดดำ
เขาคือครูฝึกที่ฆ่าเดนนิสในชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้ดวงตาของเขาถูกย้อมด้วยสีดำ
แม้กระทั่งส่วนที่ไม่สมควรจะเป็นสีดำก็ยังเป็นสีดำสนิท
รูปลักษณ์ของชายคนนี้ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดแต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดสำหรับลีโอก็คือความสามารถของเขา
พละกำลังของเขานั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแค่คำว่าแข็งแกร่ง
อัศวินหลวงที่เห็นว่าลีโอกำลังสู้อยู่ก็เข้ามาช่วยเขาเหมือนกันแต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถผลักเขาถอยกลับไปได้
“หนอย!? ไอ้เจ้านี่มันอะไรกันเนี่ย!?”
“ทำไมคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้!?”
นอกจากลีโอ, แม้กระทั่งพวกระดับสูงของจักรวรรดิอย่างอัศวินหลวงก็ยังบอกว่าเขาผิดปกติ
ชายที่พวกเขาไม่สามารถแตะต้องได้แม้ว่าพวกเขาจะโจมตีใส่พร้อมกันอย่างต่อเนื่องก็ตาม
คนที่มีความสามารถระดับนี้ควรจะเป็นที่รู้จักกันทั้งโลกแล้ว
“เจ้าเป็นใคร?”
ลีโอถามอีกครั้ง
เขาถามกลับไปด้วยคำถามเพราะโครงกระดูกที่อยู่รอบๆนั้นไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีชายคนนี้เลย
“ถ้าเจ้าจะถามชื่อข้าเจ้าก็ควรบอกชื่อของตัวเองมาก่อนไหม?”
“…..ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ เจ้าชายลำดับแปดของจักรวรรดิ”
“อย่างนี้นี่เอง ราชวงศ์สินะ ถ้างั้นข้าก็คงรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้บอกชื่อของข้า ข้ามีชื่อว่าบาลัม สำหรับมนุษย์ชั้นต่ำอย่างเจ้ามันอาจจะง่ายกว่าถ้าเรียกข้าว่าปีศาจ”
“ปีศาจหรอ!?”
นี่คือคำกล่าวที่น่าตกใจจริงๆ
ปีศาจถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างออกไปจากโลกใบนี้, โลกปีศาจ ในหลายๆแง่, พวกมันคือตัวตนที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก
เคยมีกรณีที่พวกมันถูกนักเวทย์อัญเชิญออกมาและนำพาภัยพิบัติมาสู่ทั่วทั้งทวีป จะบอกว่าราชาปีศาจที่ผู้กล้าเคยกำราบไปในอดีตนั้นก็ถือว่าเป็นปีศาจเหมือนกัน
และตอนนี้ปีศาจที่ว่าก็มาปรากฎตัวเบื้องหน้าพวกเขา
ได้ยังไงกัน?
“อย่าบอกนะว่า…..มอนส์เตอร์พวกนี้มาจากโลกปีศาจ……?”
“ถูกต้อง พวกนี้ก็แค่ทัพหน้า มีประตูอัญเชิญที่เชื่อมต่อโลกปีศาจกับโลกนี้เข้าด้วยกันอยู่ที่ใจกลางของเมืองนี้ ในท้ายที่สุดนั้น, ปีศาจจำนวนมหาศาลจะหลั่งไหลเข้ามาในดินแดนนี้ มันไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับพวกเจ้าหรอก”
“ถ้างั้นพวกเราก็จะปิดประตูนั่นซะ!”
จากนั้นลีโอก็ฟันบาลัมแต่เขาก็รับมันเอาไว้ได้อย่างสบายๆ
“ถอดใจซะเถอะ ไม่มีทางปิดผนึกประตูนั่นได้หรอก”
“เสียใจด้วย, ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีวันถอดใจ!”
“เห้อ, โง่จริงๆ แต่ถึงยังไงพวกเจ้ามาช้าเกินไปแล้ว”
“—–มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกนะ”
มีเสียงที่สดใสดังขึ้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, มือซ้ายของบาลัมก็ถูกซัดลอยขึ้นฟ้า
บาลัมทิ้งระยะออกมาในทันทีและหันไปมองฝ่ายตรงข้ามที่จัดการมือซ้ายของเขา
“ผู้หญิง…..เจ้าเป็นใคร?”
“จอมพลแห่งกองทัพจักรวรรดิ, ลีเซล็อตต์ เลคส์ แอดเลอร์ พี่สาวของลีโอยังไงหล่ะ”
“ท่านพี่….!?”
ดวงตาของลีโอเบิกกว้างในขณะที่เข้าจ้องมองพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันมานาน
เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น, และผ้าคลุมของเธอก็พริ้วไหวไปตามลม
ลีเซยังคงเหมือนกับที่ลีโอจำความได้
ตอนที่ 82
ย้อนเวลากลับไปเล็กน้อย
ประมาณช่วงที่ลีโอเข้าร่วมกับทหารกลุ่มที่สองซึ่งถูกแยกออกไปในตอนที่แนวหน้าแตกและฝ่ากองทัพโครงกระดูกมุ่งหน้าไปยังบัสเซา
ในที่สุดลีเซก็มองเห็นบัสเซาจากระยะไกลๆแล้ว
“มีมอนส์เตอร์อยู่ทุกที่เลย”
“แต่ในนั้น, มีบางอย่างพยายามทะลวงมันอยู่นะ”
เธอไม่มั่นใจเนื่องจากพวกเขายังอยู่ในระยะที่ค่อนข้างไกล
แต่ถึงอย่างนั้น, ลีเซก็มั่นใจว่าลีโออยู่ตรงนั้น
ในขณะที่เธอเร่งความเร็วม้า, ลีเซก็หลับตา
น้องชายที่กัดฟันดิ้นรนห้ามเธอเอาไว้ น้องชายที่ยึดถือในสิ่งที่เขาเชื่อ แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็น่าจะยังคงพยายามอย่างหนักเพื่อทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง
ด้วยเหตุนี้เองจึงมีแค่สิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ในฐานะพี่สาวของเขา
“พวกเราบุกเข้าไปเลย!”
“ครับ, ท่านจอมพล!”
ในตอนที่ลีเซบุกเข้าไป, ทหารม้าพันคนก็ตามหลังเธอไป
พวกเขาไม่ใช่ทั้งนักผจญภัยหรืออัศวิน พวกเขาคือหน่วยทหารม้าระดับสูงที่ต่อสู้ภายใต้คำสั่งของลีเซมานานแล้ว
เธอไม่จำเป็นต้องกล่าวสุนทรพจน์ยืดยาวเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้พวกเขา
พวกเขาทุกคนคือทหารที่ยอมถวายชีวิตเพื่อเธอ ต่อให้เธอบอกให้พวกเขาไปตาย, พวกเขาก็ยินดีที่จะทำตาม
“หัวหน้าหน่วย! พวกเราจะใช้ไอ้นั่นกัน!”
“รับทราบครับ!”
พอได้รับคำสั่ง, หัวหน้าหน่วยก็ยกมือขวาขึ้น
เมื่อเห็นสัญญาณ, ทหารม้าร้อยคนที่อยู่แนวหลังก็ขึ้นมาข้างหน้า
พวกเขาแต่ละคนถือหน้าไม้เอาไว้ อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่พวกเขาถืออยู่ในตอนนี้ไม่ใช่แค่หน้าไม้ทั่วๆไป
มีท่อทรงกลมติดเอาไว้ที่ส่วนล่างของหน้าไม้และมีอัญมณีเล็กๆฝั่งเอาไว้ที่ใจกลางของมัน
“ ‘หน้าไม้หมุนเวียนเวทย์รุ่นต้นแบบ’ เตรียมพร้อมแล้วครับนายหญิง!”
“ดี กำจัดทุกอย่างที่เข้ามาขวางทางของข้า”
“รับทราบครับ! เล็งมอนส์เตอร์ที่อยู่ข้างหน้า! ไม่จำเป็นต้องตั้งใจเล็งเป็นพิเศษ! ข้างหน้าพวกเรามีแค่ศัตรูเท่านั้น! ลั่นไกแล้วกระหน่ำลูกศรใส่เป้าหมาย!—เตรียมพร้อม! ยิงได้!!”
เพื่อตอบสนองคำสั่งของหัวหน้าหน่วย, ทหารร้อยคนก็ลั่นไกในเวลาเดียวกัน
ด้วยการกดไกลงไป, ลูกศรก็ยิงออกมาจากหน้าไม้อย่างต่อเนื่องพร้อมกับใช้พลังเวทย์ที่เก็บอยู่ข้างในอัญมณี
ท่อทรงกลมที่เก็บธนูเอาไว้ซึ่งติดอยู่ที่ส่วนล่างของหน้าไม้นั้นจะทำการหมุนเวียนลูกศรไปที่ส่วนบนโดยอัตโนมัติ, ทำให้เกิดฟังก์ชันยิงรัวขึ้นมา
การยินลูกศรด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อนี้ยินโดนโครงกระดูกไปตัวแล้วตัวเล่า, และขยี้ร่างกายของพวกมัน
ด้วยการเปิดฉากรบเช่นนี้เอง, ลีเซก็พุ่งเข้าไป
“มันเป็นอาวุธที่ดีแต่ปัญหาคือตอนที่พวกเรายิงเสร็จแล้ว”
“นั่นเป็นปัญหาของผู้พัฒนา ทั้งหมดที่พวกเราทำได้มีแค่สั่งมันมาทดสอบ”
ข้อเสียของหน้าไม้หมุนเวียนเวทย์คือเมื่อพลังเวทย์ที่เก็บเอาไว้ข้างในอัญมณีหมดมันจะไม่สามารถยิงออกไปได้ด้วยเรี่ยวแรงของมนุษย์และหลังจากนั้นก็จะใช้ได้แค่ในฐานะอาวุธทื่อๆ
ลีเซกำลังทดสอบอาวุธชิ้นนี้ในกองหลังด้วยกันกับการฝึกฝนทหารใหม่
แต่เธอก็ได้โอกาสทดสอบภาคสนามอย่างคาดไม่ถึงโดยการใช้มันในสนามรบจริงที่นี่
“ในตอนที่เขียนรายงานสำหรับเหตุการณ์นี้, บอกให้พวกเขาทำที่บรรจุด้านล่างแบบเปลี่ยนได้ด้วยเถอะครับ ถ้ามันเป็นอาวุธที่ใช้งานได้แค่ครั้งเดียวประโยชน์ของมันจะมีจำกัดมากๆ”
“นั่นสินะ, ทำให้มันเป็นอาวุธต่อต้านมอนส์เตอร์ด้วยก็คงจะดี”
“เป็นความคิดที่ดีครับ”
ในขณะที่กำลังพูดคุยกันเช่นนี้, ลีเซกับหัวหน้าหน่วยก็ยกอาวุธของพวกเขาขึ้นและกรุยทางให้คนของพวกเขา
เนื่องจากหน้าไม้หมุนเวียนถูกสร้างขึ้นมาให้ใช้กับมนุษย์ดังนั้นประสิทธิภาพของมันกับโครงกระดูกจึงยังต้องพัฒนาอีกมาก และเนื่องจากโครงกระดูกยังคงดาหน้าเข้ามาอย่างไม่รู้จักเจ็บปวด, กว่าที่กองหลักของพวกมันจะถูกทำลาย, หน้าไม้หมุนเวียนก็ถือว่าไม่เหมาะกับการใช้ต่อกรพวกมันเลยจริงๆ
“เห้อ…..ข้าไม่ได้ทำแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ”
ชักนำลูกน้องกลุ่มเล็กๆและบุกเข้าไปในดงศัตรู
ในอดีตเธอมักจะทำแบบนี้อยู่บ่อยๆแต่สำหรับตอนนี้มันมีโอกาสอยู่แค่ไม่กี่ครั้งที่เธอจะทำได้ ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าไม่มีศัตรูที่เธอต้องทำถึงขั้นนั้น, แค่ตำแหน่งของเธอก็ไม่ยอมให้เธอทำแล้ว
ด้วยการสัมผัสความมุ่งร้ายของศัตรูจากระยะประชิด, เธอก็มุ่งหน้าต่อไป และโดยไม่ปล่อยให้ศัตรูได้พักเลยสักนิด, เธอก็ก้าวย่ำบนเส้นทางที่เปราะบางสู่ชัยชนะ
ใช่แล้ว
“ที่นี่คือสนามรบ……..!”
ในตอนที่พูดออกมา, ลีเซก็เผยรอยยิ้มอันดุร้ายในขณะที่ฟาดฟันกองทัพของศัตรู
เมื่อเห็นแบบนี้, หัวหน้าหน่วยที่รับใช้ลีเซมานานก็นึกถึงภาพของเจ้าหญิงแม่ทัพที่โรมรันทั่วสนามรบซึ่งเป็นที่เกรงกลัวของนานาประเทศ
ในตอนที่มงกุฎราชกุมารจากไป, เธอได้สูญเสียความดุร้ายนี้และให้ความสำคัญแค่กับการปกป้องชายแดน
นี่คือภาพของลีเซที่เคยเฉิดฉายอยู่บนสนามรบ
“หัวหน้าหน่วย! มีอะไรรึเปล่า! เจ้าดูช้าๆลงนะ”
“เปล่าครับ! ข้ากำลังตามไปแล้ว!”
พอถูกรีเซเรียก, หัวหน้าหน่วยก็รีบตามเธอไปในทันที
และนี่เองก็คือตอนที่ร่างของลีโอเข้ามาในระยะสายตาของเธอในที่สุด
“ท่านพี่…..!?”
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของลีโอ, ลีเซก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
ในตอนที่เธอเห็นอัล ,เธอคิดว่าในที่สุดเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
อย่างไรก็ตาม, ความประทับใจนี้รุนแรงยิ่งกว่าสำหรับลีโอ
ตัวตนของเขาที่ต่อสู้อยู่แนวหน้าของกองทัพนั้นคือตัวตนของแม่ทัพจริงๆแล้วเขาก็ปล่อยกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวอยากต่อสู้เพื่อเขาด้วย
ตัวเขาในตอนนี้คล้ายกับมงกุฎราชกุมารที่เธอเคยสาบานว่าจะสนับสนุนเขาในฐานะแม่ทัพ
“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ดีแต่ปากสินะ…….”
พวกเราสองคนสามารถก้าวข้ามพี่ชายของพวกเราได้แน่
อัลพูดแบบนั้นออกมาอย่างมั่นใจ เมื่อเห็นลีโอในสภาพนี้, เธอมองเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นไม่ใช่แค่การบลัฟ
ภาพลักษณ์ของเขาทำให้เธอนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าอัลที่เป็นคนเถรตรงได้รับการสนับสนุนจากอัลที่เป็นคนยืดหยุ่น
“เจ้าโตขึ้นรึเปล่า?”
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ลีเซพูดแบบนี้ออกมาด้วยความสุขแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่ก็ตาม
“อ้ะ, เอ่อ…..ครับ, ก็นิดหน่อย”
“งั้นหรอ ดีแล้วหล่ะ เจ้าต้องโตขึ้นกว่านี้อีกสินะ”
จนกว่าจะถึงตอนนั้น, ข้าจะปกป้องเจ้าเอง
จากนั้นลีเซก็มองบาลัมซึ่งถูกตัดแขนซ้ายไปแล้ว
บาลัมพยายามจะโจมตีอยู่หลายครั้งในขณะที่ลีโอกับลีเซกำลังพูดคุยกัน, ซึ่งแขนขวาของลีเซก็จะคอยตอบโต้การโจมตีของเขา
“ถึงแม้เจ้าจะบอกว่าตัวเองเป็นปีศาจ, แต่เจ้าดูเหมือนกับมนุษย์เลยนะ”
ลีเซมองเลือดสีแดงที่กำลังหลั่งไหลออกมาจากแขนซ้านของบาลัมที่ไม่ได้งอกกลับมา
แม้ว่ามันจะเป็นบาดแผลแบบนี้มันก็คงจะไม่แปลกที่มอนส์เตอร์ระดับสูงจะสามารถฟื้นฟูได้, แต่ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าของเธอนั้นไม่มีร่องรอยของการฟื้นฟูเลย
ซึ่งลีเซก็ได้คำตอบจากเรื่องนี้
“เจ้ายึดร่างมนุษย์มาสินะ?”
“ช่างสังเกตดีนี่….แต่รู้ไปแล้วเจ้าจะทำอะไรได้หล่ะ?”
“มันก็หมายความว่านี่ยังไม่สายเกินไปยังไงหล่ะ”
“ก็ไม่รู้สินะ? แต่ถ้าคนอย่างเจ้ามาถึงที่นี่ในฐานะกำลังเสริมมันก็หมายความว่าหมดเวลาเล่นแล้วสินะ”
พอพูดจบ, บาลัมก็ชูแขนขวาที่ยังเหลืออยู่ขึ้นฟ้า
จากนั้น, ลูกบอลสีดำก็เริ่มเปล่งแสงออกมาที่ปลายมือของเขา
จากเมืองของบัสเซา, มอนส์เตอร์อันเดธระดับสูงจำพวกโครงกระดูกยักษ์สามเมตร, และมังกรผีดิบที่มีร่างกายเน่าเปื่อยก็ปรากฎตัวขึ้น
“ตอนนี้รีบหนีไปน่าจะฉลาดกว่านะ, ว่าไหม?”
พอพูดจบ, ตัวของบาลัมก็อยู่ในสภาพโปร่งแสงและหายไปจากตรงนั้น
ลีเซกับลีโอที่ถูกทิ้งเอาไว้ถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจ
“ว่าแล้วเชียว, ความแตกต่างระหว่างขุมกำลังมีมากเกินไปสินะ”
“แต่ถ้าพวกเราถอยกลับไปตอนนี้, ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะมีโอกาสบุกเข้าบัสเซาอีกรึเปล่านะครับ”
“…..ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีคำตอบอยู่แล้วสินะ?”
“ข้าไม่มีความคิดจะถอยมาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าปีศาจตัวนั้นไปเรียกกำลังเสริมมาหล่ะก็ตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องสู้แล้ว ถ้าพวกเราปล่อยมันไป, มันจะแฝงตัวเข้ามาในสังคมของเราอย่างแน่นอน”
“เจ้ารับประกันได้รึเปล่าว่าจะชนะ?”
“ไม่ได้ครับ แต่ว่า, มันก็ยังคงเป็นความจริงต่อให้พวกเราถอยไปตรงนี้ก็ตาม ไม่ว่าพวกเราจะนำกองทัพมาเยอะแค่ไหน, ปีศาจก็แค่อัญเชิญมอนส์เตอร์ที่มีจำนวนสูสีกับของพวกเรา นี่อาจจะเป็นวิกฤตแต่มันก็ยังเป็นโอกาสของพวกเราด้วยเหมือนกันครับ”
ในตอนที่ลีโอพูดแบบนั้นออกมาด้วยความมุ่งมั่น, ลีเซก็ยิ้มอีกครั้ง
จากนั้นเธอก็ผ่าครึ่งโครงกระดูกยักษ์ที่วิ่งเข้ามาหาพวกเขา
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ อย่าช้าหล่ะเข้าใจไหม?”
“แน่นอนครับ”
“พวกเราจะโจมตีแล้ว! เป้าหมายของเราคือบัสเซา!”
“บุก!!”
ด้วยเหตุนี้เองลีโอกับลีเซก็บุกบัสเซาด้วยกัน
สักพักนึงหลังจากที่ลีโอกับลีเซเริ่มบุกบัสเซา
กลุ่มของลินเฟียกับอาเบลก็มาเข้าร่วมกับกลุ่มนำได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม, ยิ่งเข้าใกล้บัสเซาเท่าไหร่ศัตรูก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
“หนอย!?”
จำนวนศัตรูที่อยู่รอบอาเบลกับลินเฟียเริ่มเพิ่มขึ้นและแน่นอนว่าความเร็วในการรุดหน้าของพวกเขาเริ่มช้าลง
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปหล่ะก็….
ความกังวลนี้เริ่มเติบโตขึ้นในใจของลินเฟีย
จากนั้น, บอลเพลิงจากมังกรผีดิบก็ตกลงมาใกล้ๆลินเฟีย
เธอถูกซัดกระเด็นด้วยแรงกระแทกและถูกแยกจากกลุ่มนำ
“อึ้ก…..”
ด้วยการอดทนต่อความเจ็บปวด, ลินเฟียก็ใช้ดาบพยุงตัวเองขึ้นมา
พอหันไปมองรอบๆ, เธอก็รู้ตัวว่าถูกซัดเข้ามาในกองทัพโครงกระดูก
โครงกระดูกรอบตัวเธอนั้นกำลังเข้ามาใกล้ทีละน้อย
ในตอนที่เธอพยายามจะเคลื่อนไหว, เธอก็สังเกตเห็นว่าเธอไม่สามารถขยับร่างกายได้ตามที่ต้องการ
ในตอนนั้นเอง, นกหวีดก็ถูกเป่าจากกระเป๋าของเธอ
มันคือนกหวีดที่ทำมาจากภูติป่าซึ่งคนแคระเฒ่าเป็นคนให้เธอ
การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องแย่ นี่คือคำพูดที่คนแคระเฒ่าบอกเธอในตอนนั้น แต่เธอคิดว่าเธอไม่สามารถเรียกพวกมาในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความตายแบบนี้ได้
อย่างไรก็ตาม, ความคิดที่ว่าเธอจะตายก่อนที่เธอจะเจอน้องสาวของเธอไม่ได้ก็เข้ามา
“ข้าขอยืมสิ่งนี้หน่อยนะคะ…..!”
ลินเฟียหยิบนกหวีดออกมาแล้วเป่า
อย่างไรก็ตาม, ไม่มีเสียงดังออกมา
มันไม่มีเสียงเลยไม่ว่าเธอจะเป่าออกไปกี่ครั้ง
บางทีมันอาจจะเป็นของใช้งานไม่ได้
พอนึกถึงความเป็นไปได้นี้, เธอก็ถอนหายใจแล้วเก็บนกหวีดกลับเข้ากระเป๋าอย่างนิ่มนวล
อย่างไรก็ตาม, ในตอนนั้นเองนกหวีดก็ได้ส่งเสียงออกมา
มันดังก้องไปไกล
ไกลจนถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิ
ด้วยการรักษาความเยือกเย็นเอาไว้, ลินเฟียก็กำดาบเวทมนตร์แน่นแล้วเผชิญหน้ากับโครงกระดูกที่กำลังใกล้เข้ามา
ในตอนนั้นเอง,
โครงกระดูกทุกตัวที่อยู่ใกล้กับลินเฟียก็ถูกเป่าทิ้งในทันที
“!?อะไรกัน….?”
เธอคิดว่ามังกรผีดิบปล่อยบอลเพลิงมาใส่เธออีกครั้งแต่ในที่สุดเธอก็โล่งอกหลังจากที่ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลังเธอ
“เป็นอะไรรึเปล่า? นักผจญภัยหญิง”
“…..ม มาที่นี่ได้ยังไงกัน……?”
“ข้าได้ยินว่ามีเรดเควส ข้าก็เลยพาคนอื่นมาด้วย”
ในตอนนั้นเอง
นักผจญภัยจากเมืองหลวงของจักรวรรดิก็วิ่งเข้าใส่กองทัพโครงกระดูกจากประตูเคลื่อนย้ายที่เปิดอยู่ข้างหลังลินเฟีย
นักผจญภัยนับร้อยค่อยๆปรากฎตัวขึ้นและกำจัดโครงกระดูกที่อยู่รอบตัวพวกเขา
ที่ใจกลางของนักผจญภัยพวกนี้
ผู้กอบกู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอกำลังยืนอยู่
“ถ้ายังไหวอยู่หล่ะก็ตามไปด้วยกันสิ มันถึงเวลาหาเงินแล้ว”
“ค่ะ….! ซิลเวอร์….!”
พอพูดจบ, ลินเฟียก็ตามนักผจญภัยสวมหน้ากากไป
ตอนที่ 83
ประมาณช่วงที่นักผจญมารวมตัวกันที่กิลด์เมืองหลวงจักรวรรดิและซิลเวอร์กำลังจะเปิดประตูเคลื่อนย้าย
ทันใดนั้นเอง, ผู้ส่งสารจากปราสาทก็เข้ามาในกิลด์
“อะไรกันอะไรกัน, นั่นมันองค์ชายลำดับสองนี่หน่า วันนี้มีอะไรให้พวกเราช่วยหรอครับ?”
“พวกเรากำลังประชุมเรื่องเหตุการณ์ทางใต้ที่ปราสาท เวทย์เคลื่อนย้ายของเจ้าเป็นทรัพย์สินที่มีค่าสำหรับพวกเราเพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยอยากให้เจ้ารออีกซักหน่อย”
ในตอนที่เขาพูดออกมาแบบนั้น, เอริคก็ก้มศรีษะลงอย่างคาดไม่ถึง
ไม่เหมือนกับฉัน, โดยปกติแล้วราชวงศ์จะไม่ก้มหัวให้กับใคร นี่คือจุดยืนที่พวกเรามี
“เวลาผ่านมาค่อนข้างนานแล้ว ถ้าเจ้ายังกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวไม่ได้, แล้วจะรับประกันได้ยังไงว่าครั้งนี้เจ้าจะตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว?”
“ข้าได้ส่งคำขอเรียกรวมกำลังพลทั้งหมดที่อยู่ใกล้เมืองหลวงจักรวรรดิให้มาคุ้มกันปราสาทแล้วเพราะฉะนั้นพวกเราเลยสามารถส่งอัศวินหลวงออกไปได้ คำขอน่าจะผ่านการพิจารณาในเร็วๆนี้”
“โฮ่? การต่อสู้แย่งผลงานเริ่มขึ้นจากตรงนี้รึเปล่าเนี่ย?”
ด้วยการพูดออกมาเช่นนั้น, ฉันก็คิดว่าแนวทางการแก้ปัญหาของเขานั้นค่อนข้างใช้ได้จริง
ถ้าไม่สามารถส่งอัศวินหลวงออกไปได้เนื่องจากติดเรื่องการคุ้มกันปราสาทพวกเขาก็แค่เรียกกองทัพมาทดแทนอัศวินหลวงก็พอแล้ว
ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าอัศวินหลวง, แต่กองทัพก็ช่วยรับรองความปลอดภัยของปราสาทได้อย่างเพียงพอ
“ข้าได้แนะนำให้กอร์ดอนเป็นคนนำทัพอัศวินหลวงเพราะฉะนั้นกระบวการไม่น่าจะนานขนาดนั้น”
“แปลกจังนะ ในตอนที่ปัญหาเกิดขึ้นกับประเทศอื่นพวกเจ้าอยากแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงผลงานแต่พอมันเกิดขึ้นกับประเทศของตัวเองเจ้ากลับเต็มใจที่จะส่งผลงานให้กับน้องชายของตัวเองหรอเนี่ย?”
“ข้าเป็นราชวงศ์และรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ข้าอาจจะสามารถมองข้ามปัญหาของประเทศอื่นได้แต่ถ้าปัญหามันอยู่ในประเทศเกิด, การแย่งชิงอำนาจนั้นก็ถือเป็นเรื่องรองสำหรับข้า สิ่งที่ข้าให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือจักรวรรดิมาโดยตลอด”
พอพูดจบ, เอริคก็จ้องตรงมาที่ฉัน
มันไม่ใช่ความคิดเห็นที่เลวร้ายอะไร
มันคงจะเพิ่มขวัญกำลังใจได้ถ้าอัศวินหลวงเข้าร่วมกับพวกเราด้วย
บางทีการรอพวกเขาอาจจะเป็นความคิดที่ดี ถ้าฉันเองก็มองว่าการแย่งชิงผลงานนั้นเป็นเรื่องรอง
ถ้าฉันทำตัวดื้อดึงและปฏิเสธเขาที่นี่, เหตุการณ์นี้ก็อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกระดับสูงของจักรวรรดิและนักผจญภัยอยู่ในสภาพตึงเครียดด้วย
ในตอนที่ฉันกำลังชั่งใจอยู่นั้นเอง, ฉันก็ได้ยินเสียงที่ชัดเจนดังมาจากที่ไกลๆ
ฉันไม่รู้ว่ามันมาจากที่ไหนแต่น่าแปลกที่ฉันรู้สึกว่าลินเฟียคือคนที่ทำให้เกิดเสียงนั้นและเธอก็กำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงด้วย
ลินเฟียกำลังของความช่วยเหลือ ฉันไม่มีหลักฐานก็จริงแต่ฉันเชื่อแบบนั้น เสียงที่ชัดเจนนี้คือสิ่งที่ส่งมาหาฉัน
“แต่…..อาจจะมีบางคนที่ต้องสละชีวิตในระหว่างที่พวกเรารอก็ได้ ในขณะที่จักรวรรดิกำลังเตรียมการให้เรียบร้อย, ก็จะมีคนที่ต้องสละชีวิตเพื่อซื้อเวลาให้เจ้า เจ้าจะทำยังไงกับคนพวกนั้นหล่ะ?”
“ข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้”
“ถ้างั้นข้าก็คงยอมรับข้อเสนอของเจ้าไม่ได้ นักผจญภัยไม่ใช่อัศวินหรือทหาร พวกเราอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่รัฐบาลไม่ได้เล็งเห็นและพวกที่ถูกทอดทิ้ง กลับไปเถอะ พวกเราคือนักผจญภัย พวกเราจะไม่รับคำสั่งจากใครทั้งนั้น พวกเราจะทำในสิ่งที่พวกเราทำมาโดยตลอด”
“รู้ใช่ไหมว่ามันมีชะตากรรมของประเทศนี้มาเกี่ยวด้วย การเลือกหนทางที่มีโอกาสสำเร็จสูงที่สุดมันจะไม่ดีกว่าหรอ?”
“พวกเราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศ สิ่งที่พวกเราให้ความสำคัญมากที่สุดมาโดยตลอดก็คือผู้คน กลับไปบอกจักรพรรดิเถอะว่า, ซิลเวอร์จะคลี่คลายเหตุการณ์นี้ให้เอง”
“คิดว่าความเห็นแก่ตัวแบบนั้นจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้รึไง?”
“นักผจญภัยแรงค์ SS คือพวกที่ได้รับอนุญาตให้ทำตัวเห็นแก่ตัวแบบนั้นได้ และอย่ามาดูถูกพวกเราให้มากนัก มีหลายครั้งที่นักผจญภัยของจักรวรรดิแข็งแกร่งกว่าที่พวกราชวงศ์อย่างเจ้าคิด”
พอพูดจบ, ฉันก็หันหลังให้แล้วสร้างประตูเคลื่อนย้ายขนาดยักษ์ข้างในกิลด์นักผจญภัย
“เอาหล่ะ ถึงเวลาหาเงินแล้ว ตามข้ามาเลย”
ฉันก้าวเข้าไปข้างในแล้วพูดออกมาแบบนั้น
ด้วยประโยคจากลานั้น, ฉันก็เคลื่อนย้ายไป
และในตอนที่ฉันก้าวออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย
ทั้งพื้นที่ก็เต็มไปด้วยมอนส์เตอร์
อย่างไรก็ตาม, ฉันเห็นผู้หญิงคนนึงกำลังยืนอยู่ท่ามกลางมอนส์เตอร์ทั้งหมดนี้
ไม่ว่าจะมองยังไง, สถานการณ์ก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม, เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งสงบ, ไม่มีความหวั่นไหวเลย
เธอน่าจะคิดถึงการกระทำต่อไปของตัวเองเอาไว้แล้วสินะ เหมือนกับที่เธอทำมาโดยตลอด
ในขณะที่ยิ้มให้ลินเฟีย, ฉันก็เป่ามอนส์เตอร์ทั้งหมดที่อยู่ใกล้เธอทิ้งไป
นี่น่าจะทำให้มันง่ายขึ้นสำหรับนักผจญภัยที่จะเข้ามาในประตูเคลื่อนย้าย
“เป็นอะไรรึเปล่า? นักผจญภัยหญิง”
ในตอนที่ฉันเข้าไปใกล้เธอ, ลินเฟียก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“…..ม มาที่นี่ได้ยังไงกัน……?”
“ข้าได้ยินว่ามีเรดเควส ข้าก็เลยพาคนอื่นมาด้วย”
หลังจากที่ฉันพูดแบบนั้น
นักผจญภัยจากเมืองหลวงก็วิ่งออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายที่เปิดเอาไว้ข้างหลังฉัน
พวกเขาค่อนข้างมีชีวิตชีวา จากที่ฉันเห็น, กำลังหลักของศัตรูก็คือมอนส์เตอร์โครงกระดูก
ถ้าเป็นแบบนี้จะฝากมันไว้กับพวกเขาก็คงไม่เป็นอะไร
“ถ้ายังไหวอยู่หล่ะก็ตามไปด้วยกันสิ มันถึงเวลาหาเงินแล้ว”
“ค่ะ….! ซิลเวอร์….!”
พอพูดจบ, ลินเฟียก็ลุกขึ้น
หลังจากที่ใช้เวทย์รักษากับเธอ, ฉันกับลินเฟียก็มองไปที่แนวหน้า
สิ่งที่พวกเรากำลังมองอยู่ก็คือลีโอและท่านพี่ท่านกำลังต่อสู้ฝ่าฝูงมอนส์เตอร์
“ซิลเวอร์! นั่นมันมังกรผีดิบ!”
พอได้ฟังลินเฟีย, ฉันก็มองขึ้นไปบนฟ้า
มังกรร่างกายเน่าเปื่อยที่มีขนาดตัวกว่าสิบเมตรกำลังพุ่งมาหาพวกเราด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่น
ให้ตายเถอะ
มอนส์เตอร์ตัวนั้นคือสิ่งที่จะพบเจอแค่ในหนังสือเท่านั้น
“พวกมันคงไม่ยอมปล่อยให้พวกเราผ่านไปง่ายๆสินะ”
ฉันบินขึ้นไปบนฟ้าแล้วปะทะกับมังกรผีดิบ
ในระหว่างนั้น, ลินเฟียกับนักผจญภัยจากเมืองหลวงกำลังกรุยทางไปหาลีโอ
พวกเรายังคงด้อยกว่าด้านจำนวนแต่พวกเรามีแรงผลักดันอยู่ด้วย
ถ้าฉันสามารถสกัดมอนส์เตอร์ระดับสูงเอาไว้ได้, พวกเขาก็น่าจะไปถึงเมืองได้
“ปัญหาก็คือลูกบอลสีดำนั่นสินะ”
ในขณะที่ป้องกันมังกรผีดิบที่พุ่งเข้ามากัดฉัน, ฉันก็มองลูกบอลสีดำที่กำลังลอยอยู่เหนือเมือง
มีพลังเวทย์อันน่าเหลือเชื่อแผ่ออกมาจากลูกบอลสีดำนั้น อย่างไรก็ตาม, มันดูไม่เหมือนกับถูกใช้เพื่อส่งการโจมตีออกมาเลย
“มันใช้ทำอะไรกันนะ”
“กรี๊ซซซซ!!”
“น่ารำคาญชะมัด”
มังกรผีดิบที่พุ่งเข้ามาหาฉันถูกขังเอาไว้เข้าในบาเรียแล้วถูกส่งลอยไปกระแทกพื้น
เนื่องจากฉันทิ้งมันในฝูงโครงกระดูก, พวกโครงกระดูกก็เลยกระเด็นไปด้วยแรงกระแทก
จากนั้น, ฉันก็ยื่นมือขวาไปทางมังกรผีดิบที่ล่วงลงไปที่พื้น
[หอก・ทะลวง—เลือด]
เวทมนตร์ถูกร่ายออกมาในทันทีเนื่องจากมันมีคำร่ายที่สั้น
หอกยักษ์ที่สร้างขึ้นจากเลือดถูกปล่อยออกมาจากวงเวทย์และพุ่งตรงไปหามังกรผีดิบที่ยังถูกขังเอาไว้ข้างในบาเรีย
ในตอนที่มันปะทะกัน, บาเรียก็พังลงและหอกเลือดก็ทะลวงมังกรผีดิบ
“กร๊าซซซซ…..!!”
หอกเลือดนี้ปล่อยความร้อนสูงออกมาแล้วละลายร่างที่เน่าเปื่อยของมังกร
โครงกระดูกที่อยู่ใกล้ๆมันเองก็ถูกละลายไปด้วยความร้อนด้วย
อย่างไรก็ตาม, จำนวนการสูญเสียของพวกมันก็ยังคงน้อยมากอยู่ดี
ในการกำจัดโครงกระดูกจำนวนมากแบบนี้, ฉันคงไม่มีทางเลือกนอกจ่ายร่ายเวทย์ลูกใหญ่ใส่มันซักดอกสินะ
ในตอนที่ฉันกำลังคิดแบบนั้นอยู่, ฉันก็รู้สึกได้ถึงพลังเวทย์มหาศาลที่พุ่งพล่านขึ้นมาดังนั้นฉันก็เลยมองไปทางต้นกำเนิดของมัน
มันคือลูกบอลสีดำ
มีชายคนนึงกำลังลอยอยู่ข้างหน้ามัน
อย่างไรก็ตาม, ชายคนนั้นถือศรีษะของตัวเองเอาไว้ข้างๆ
“ดูลาฮานหรอ…..?”
ดูลาฮานคือมอนส์เตอร์อันเดดคลาส AAA แต่พลังเวทย์ที่ชายคนนี้ปล่อยออกมานั้นมันคนละระดับกันเลย
เขาอาจจะดูเหมือนมนุษย์ไร้หัวแต่ถึงแม้จะมีลักษณะที่คล้ายกัน, เขาก็ไม่ใช่ดูลาฮาน
พอเข้าใจได้แบบนั้น, ฉันก็ลองโจมตีใส่เขาก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหวแต่ทันใดนั้นเองเขาก็เคลื่อนไหวไปอยู่ข้างหน้าลีโอกับคนอื่นๆ
“ชิ!”
ด้วยการเดาะลิ้น, ฉันก็เคลื่อนย้ายไปอยู่ข้างหน้าลีโอกับท่านพี่และปกป้องพวกเขาจากดาบที่ชายไร้หัวคนนั้นกวัดแกว่งเข้ามา
“หนอย!!”
บาเรียหลายชั้นที่ฉันปล่อยถูกทำลายหมด
พลังจากการโจมตีนี้บ่งบอกได้เลยว่าเขาไม่ใช่ดูลาฮานแน่ๆ
“ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าไปขอให้เจ้าช่วยตั้งแต่เมื่อไหร่? นักผจญภัยสวมหน้ากาก”
“ข้าจะปล่อยให้ศัตรูเอาหัวของแม่ทัพฝั่งเราไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นช่วยทนหน่อยเถอะนะครับ, ท่านจอมพล”
พอถูกพี่สาวของฉันจ้อง, ใต้หน้ากากของฉันก็เริ่มมีเหงื่อไหลออกมา
มันคงไม่เป็นไรหรอกหน่า
หน้ากากนี้คือหนึ่งในอุปกรณ์เวทมนตร์ที่มีค่าของท่านทวด
เสียงและกลิ่นไม่ต้องพูดถึงแต่หน้ากากนี้ยังสามารถเปลี่ยนเจตคติที่คนอื่นคิดกับฉันได้ด้วย ต่อให้เป็นคนในครอบครัวอย่างเธอก็ไม่น่าจะรู้สึกตัวว่าเป็นฉัน
แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะไม่พอใจ, แต่ท่านพี่รู้ว่าอีกฝ่ายที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นอันตรายดังนั้นเธอก็เลยทิ้งระยะห่างจากฉันในทันทีแล้วเริ่มโจมตีมอนส์เตอร์ตัวอื่น
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้ตัวสินะ
ในอีกด้านนึง, ลีโอยังคงอยู่กับฉัน
“ซิลเวอร์หรอ….ไม่ได้เจอกันมาพักนึงแล้วนะ”
“เจ้าดูสบายดีนะ องค์ชายลีโอนาร์ด”
“อืม, ข้าดีใจที่เจ้ามานะ ถ้าพวกเราไม่ได้อยู่บนสนามรบข้าก็คงอยากจะนั่งคุยเล่นกับเจ้าบ้างเหมือนกัน”
“น่าเสียดายนะ เอาเถอะไว้ถ้ามีโอกาสค่อยว่ากันอีกที”
ลีโอพยักหน้าแล้วจากไป
ในตอนที่ฉันยืนยันได้ว่าลีโอออกไปไกลแล้ว, ฉันก็มองชายที่อยู่ตรงหน้าฉัน
เขาแค่ยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆแต่มีบางสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาแปลกประหลาด มันไม่ใช่ว่าศรีษะของเขาไม่ได้ติดอยู่กับคอ บางสิ่งที่ฉันรู้สึกจากเจ้านี่ก็คือรากฐานของมันนั้นไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ
ชายที่มีดวงตาสีดำสนิทมองตรงมาที่ฉันแล้วยิ้ม
“ไม่นึกเลยนะว่าจะมีมนุษย์ที่สามารถรับการโจมตีของข้าได้ด้วย นี่มันทำให้ข้าตกใจเลยหล่ะ”
“การเจอคนที่สามารถโจมตีได้ถึงขนาดนี้ก็ทำให้ข้าประหลาดใจเหมือนกันนั่นแหล่ะ”
“อวดดีจังเลยนะ เอาเถอะ, ข้าไม่ถือสาหรอก ข้าก็ไม่ได้ขึ้นมาบนพื้นผิวโลกตั้งพักนึงแล้ว มันคงจะหมดสนุกกันพอดีถ้าเจ้าทำถึงขนาดนั้นไม่ได้”
“ซักพักนึงงั้นหรอ?”
“อ้ะ, ข้ายังไม่ได้บอกชื่อเลยนี่นะ ชื่อของข้าคือฟูรแคส ตอนนี้ข้ากำลังยืมใช้ร่างนี้อยู่แต่จริงๆแล้วข้าเป็นปีศาจ”
พอพูดจบ, ฟูรแคสก็ยิ้มออกมา
รอยยิ้มของเขานั้นอาจจะดูโหดร้ายสำหรับมนุษย์แต่สำหรับตัวเองนั้น, เขาน่าจะตั้งใจยิ้มออกมาตามปกติ
เมื่อได้ยินคำว่าปีศาจ, สิ่งนึงก็เข้ามาในหัวของฉัน
สิ่งที่แย่งชิงร่างกายท่านทวดของฉันไปก็เป็นปีศาจเหมือนกัน
ในตอนนั้น, ดูเหมือนว่าอัศวินหลวงกับบ้านผู้กล้าหาญจะถูกเรียกรวมพลมาเพื่อปราบมัน
“ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่าจะได้เจอกับผู้อาศัยในโลกของปีศาจตัวเป็นๆ ข้าเห็นว่าเจ้ามีภาชณะแล้วแต่มันก็น่าจะมีผู้อัญเชิญด้วยถูกไหม?”
ในทางเทคนิคนั้น, ปีศาจไม่สามารถอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ได้ แต่มันมีข้อยกเว้นอยู่ว่าปีศาจต้องมีภาชณะที่ผู้อัญเชิญเป็นคนเตรียมเอาไว้ให้
ดูเหมือนว่าจะเคยมีนักเวทย์ที่ใช้วิธีนี้เพื่อควบคุมปีศาจแต่ตอนนี้ไม่น่าจะเหลือคนที่อัญเชิญพวกมันได้แล้ว
การผูกมัดปีศาจเข้ากับตัวนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากและการรักษาพวกมันเอาไว้ก็กินพลังเวทย์เยอะด้วย
ถ้าทำมันอย่างลวกๆ, ก็จะไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างเหมาะสมและคนที่จะถูกฆ่าก็คงไม่พ้นตัวคนอัญเชิญ หนึ่งในเวทมนตร์ที่ถูกยกเลิกในยุคเวทมนตร์สมัยใหม่ก็คือเวทย์อัญเชิญปีศาจนี้เอง
ไม่นึกเลยว่าจะยังมีคนที่ทำแบบนี้ได้อยู่
“ข้าไม่มีผู้อัญเชิญหรอก….”
“โกหก”
ฉันจ้องตรงไปที่ลูกบอลสีดำ
ผู้อัญเชิญน่าจะอยู่ในนั้น
“เดาเก่งนี่ แต่เด็กนั่นไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะออกคำสั่งข้าได้หรอก สรุปก็คือ, มันก็เหมือนกับไม่มีนั่นแหล่ะ”
“แต่ถ้าเธอหายไปเจ้าก็จะมีปัญหาเอาได้ถูกไหม? ถึงยังไงผู้อัญเชิญคนนั้นก็คือคนที่รักษาตัวตนของเจ้าให้ยังคงอยู่ที่นี่”
“แล้วยังไงหล่ะ?”
“ข้าก็แค่ไปช่วยผู้อัญเชิญจากลูกบอลสีดำนั่น ถ้าข้าทำแบบนั้นฝูงมอนส์เตอร์จำนวนมากนี้ก็จะหายไปพร้อมกับเจ้าด้วยถูกไหม?”
“เก่งนี่ คำตอบของเจ้าแทบจะสมบูรณ์แบบเลยหล่ะ ใช่แล้ว, มันมีรูอยู่อยู่ที่ใจกลางของที่นี่ซึ่งเชื่อมต่อโลกนี้กับลูกปีศาจอยู่และทั้งมอนส์เตอร์กับข้าก็ถูกอัญเชิญมาผ่านมัน ถ้าปล่อยเอาไว้, รูก็จะยิ่งขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆและมอนส์เตอร์ก็จะยิ่งหลั่งไหลจากโลกปีศาจเข้ามาที่นี่ ทั้งหมดมันเป็นไปตามที่เจ้าพูดเลย ยกเว้นเรื่องเดียว”
“อะไร?”
“มันไม่ใช่ข้าที่ถูกอัญเชิญแต่เป็น ‘พวกเรา’ ต่างหากหล่ะ”
ในตอนนั้นเอง, เจ้าของพลังเวทย์อันน่าขนลุกก็ปรากฎตัวขึ้นมา
ในตอนที่ฉันหันกลับไปก็มีชายดำทะมึนคนนึงกำลังพุ่งไปหาลีโอ
ไอ้เจ้านั่นก็เป็นปีศาจเหมือนกันหรอ!?”
หมอนั่นมันตัวอะไรกัน!
เขารอดพ้นบาเรียตรวจจับของฉันไปได้!
ฉันพยายามสร้างบาเรียป้องกันให้ลีโอแต่ก่อนที่ฉันจะทำได้, ดาบที่ชายคนนั้นเหวี่ยงก็ถูกลินเฟียที่พึ่งตามมาทันรับเอาไว้ได้
“ลินเฟีย!?”
“ปลอดภัยใช่ไหมคะ, องค์ชายลีโอนาร์ด”
“หนอย!”
ด้วยความหงุดหงิดจากการที่ถูกรับการโจมตีเอาไว้ได้, ชายคนนั้นก็หายไป
ความเร็วโจมตีของเขาไม่ได้สูงดังนั้นเขาน่าจะเป็นสายลอบโจมตี อย่างไรก็ตาม, ในสนามรบที่มิตรกับศัตรูปนกันมั่วแบบนี้, เขาคือศัตรูที่เป็นตัวปัญหามากๆ
ฉันลองพยายามเข้าไปหาลินเฟียแต่ฟูรแคสก็เข้ามาขวางทางฉันเอาไว้
“อย่ามาขวางข้า!”
“ปั่นหัวมนุษย์คืองานของปีศาจ, เจ้าไม่รู้รึไง”
ในขณะที่พูดออกมาแบบนั้น, ชายสีดำทะมึนก็ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งข้างหลังลินเฟียและเหวี่ยงดาบใส่เธอ
บ้าจริง
ในตอนนั้นเองเสียงนึงก็ดังก้องในหัวของฉันขึ้นมาอย่างกระทันหัน
[[อย่านะ!]]
เสียงนั้นแฝงไปด้วยพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งและทำให้ฟูรแคสกับชายสีดำทะมึนหยุดเคลื่อนไหว
นี่มัน…..?
“ชิ…..ข้าถอยก่อนนะ, บาลัม”
“เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าจะจัดการผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สินะ”
ฟูรแคสถอยกลับไปที่เมืองและชายสีดำทะมึนที่ถูกเรียกว่าบาลัมก็หายไปด้วย
ไม่จริงหน่า, นั่นเสียงของผู้อัญเชิญหรอ?
ไม่ว่าจะฟังยังไง, นั่นมันก็คือเสียงของเด็กชัดๆ
“ชินฮวา….?”
“อะไรนะ?”
“เสียงเมื่อกี้นี่มัน…..ชินฮวา!?”
ฉันมองไปที่เมืองตามสายตาที่ผิดปกติของลินเฟีย
ฟูรแคสถอยกลับไปในลูกบอลสีดำแล้ว
ถ้าเจ้าของเสียงนั้นคือผู้อัญเชิญหล่ะก็,
“เจ้ารู้จักเสียงนั้นด้วยหรอ?”
“นั่นมันเสียงของชินฮวา….น้องสาวของข้าที่ถูกลักพาตัวไป!”
“….เข้าใจหล่ะ ตอนนี้เหตุการณ์มันค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแล้วสินะ”
ทุกคนที่ถูกลักพาตัวไปมีตาสองสี มันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าพวกเขามีเวทมนตร์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ถ้าเธอมีเวทย์อัญเชิญเป็นเวทย์โดยกำเนิดของเธอหล่ะก็มันก็คงจะอธิบายสถานการณ์ได้ว่าต้นตอของเหตุการณ์นี้คือเวทมนตร์ของเธอเกิดคุ้มคลั่งขึ้นมา
แต่ว่า, ขนาดของเวทย์มันก็ยังใหญ่เกินไปอยู่ดี
“น้องสาวของเจ้าน่าจะอยู่ข้างในลูกบอลสีดำนั่น จากสิ่งที่ข้าเห็นก่อนหน้านี้, เธอน่าจะห้ามพวกมันไม่ให้โจมตีเจ้า ถ้าพวกเราสามารถใช้ข้อได้เปรียบนี้ได้หล่ะก็พวกเราก็น่าจะทำอะไรซักอย่างกับเรื่องนี้ได้”
“ท่านจะไปช่วยพวกเขาหรอ…..?”
“มันขึ้นอยู่กับเจ้าต่างหากหล่ะ แต่ไม่ว่ายังไง, ข้าก็อยากให้เจ้าเข้าไปในเมือง ด้วยการใช้เวทย์เคลื่อนย้าย……ไม่สิ, มันอันตรายเกินไป พวกนั้นอาจจะดักซุ่มอยู่ที่นั่นก็ได้ คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินเท้าพาเจ้าเข้าไปในหล่ะนะ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะเปิดทางให้เจ้าเอง ถึงยังไงพวกเราก็อยากจัดการลูกบอลสีดำนั่นมาตั้งแต่แรกแล้ว”
ตอนนี้เองลีโอก็ตรงเข้ามาช่วย
แล้วอัศวินคนนึงก็ลงจากหลังม้าและกระตุ้นให้ลินเฟียขึ้นไปแทน
พอได้รับม้ามาแล้ว, ลินเฟียก็กระโดดขึ้นหลังมัน
จากนั้น,
“ถ้าชินฮวาอยู่ที่นั่น…..ข้าก็ต้องไป เพราะข้าเป็นพี่สาวของเธอ”
“เจ้ามีเหตุผลที่ดีนี่ ข้าจะนำทางเจ้าไปส่งที่กลางทางเอง ตามข้ามา”
บางทีอาจเป็นเพราะคำว่า ‘พี่สาว’, ท่านพี่ลีเซยิ้มออกมาแล้ววิ่งนำหน้าในทันที
ด้วยลีโอที่ตามหลังเธอ, อัศวินกับทหารอีกหลายคนก็ตามๆกันไป
พวกเขาเคยมีเป้าหมายที่คลุมเครือในการเข้าไปในเมืองแต่ตอนนี้ทุกคนมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนแล้ว, นั่นก็คือการพาตัวลินเฟียไปที่ลูกบอลสีดำ
“ซิลเวอร์….ชื่อของข้าคือลินเฟีย ข้าเป็นแค่นักผจญภัยจากหมู่บ้านที่ห่างไกล เป็นแค่นักผจญภัยธรรมดาคนนึง ส่วนชินฮวาเป็นน้องสาวของข้าและเธอเป็นเด็กจากหมู่บ้านผู้ลี้ภัย แต่ถึงอย่างนั้น….ท่านก็ยังเต็มใจที่จะช่วยเหลือเธอด้วยพลังทั้งหมดของท่านหรอ?”
“แน่นอนสิ เลิกถามคำถามน่าเบื่อๆแบบนั้นกับข้าเถอะ”
ลินเฟียเผยยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเร่งความเร็วม้าของเธอ
ตอนที่ 84
“ไม่ต้องไปสนใจพวกแมลงวัน!”
ลิเซ, ที่นำหน้าทุกคน, ให้คำแนะนำ
ในตอนที่เธอแนะนำ, ลีเซก็ให้ความสำคัญกับการบุกเข้าไปข้างหน้าแทนการจัดการศัตรูที่อยู่รอบๆ
พวกเขามีเป้าหมายแค่อย่างเดียว
พาลินเฟียไปที่ลูกบอลสีดำ
“พอมีนักผจญแรงค์ SS อยู่ด้วยนี่ช่วยลดงานของพวกเราไปได้เยอะเลยนะ”
อาเบลที่อยู่ใกล้กับลินเฟียพึมพำในขณะที่เขามองขึ้นฟ้า
“นั่นสินะ พวกเราโชคดีจริงๆที่เขามาด้วย”
ในขณะที่พาเธอไปที่เมืองเขาก็ได้จัดการศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างมังกรผีดิบและโครงกระดูกยักษ์ที่อยู่รอบลินเฟียให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาคือกำลังเสริมที่เก่งที่สุดเท่าที่เธอจะหวังได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม, ทำไมซิลเวอร์ถึงปรากฎตัวขึ้นในตอนที่เธอเป่านกหวีดหล่ะ?
ความสงสัยนี้ยังคงอยู่ในใจเธอแต่เธอก็สลัดมันออกไปในทันที
ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้
ลินเฟียเหวี่ยงดาบของเธอซึ่งตอนนี้มีรูปร่างเป็นหอกและจัดการโครงกระดูกที่เข้ามาขวางเธอ
“ข้าจะขึ้นไปแนวหน้าค่ะ”
“ห, เห้ย!? ทุกคนมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อปกป้องเจ้านะ, รู้รึเปล่า!?”
“จะให้ข้าไปถึงเมืองโดยไม่ทำอะไรเลยข้าทำไม่ได้ค่ะ”
“หืม…..ข้าถูกใจเจ้าแฮะ, นักผจญภัย เจ้าชื่ออะไร”
“เรียกข้าว่าลินเฟียแล้วกันค่ะ”
“ข้าลีเซล็อตต์ เคยได้ยินชื่อของข้ามาก่อนรึเปล่า?”
“ค่ะ ท่านคือจอมพลที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งราชวงศ์และเป็นพี่สาวขององค์ชายลีโอนาร์ดกับองค์ชายอาร์โนลด์, ถูกไหมคะ?”
“เจ้ารู้จักอัลด้วยหรอ?”
ลีโอเคยชินกับการถูกเรียกว่าเป็นพี่สาวของลีโอแต่มันหายากที่จะมีคนเรียกเธอว่าพี่สาวของอัล
อัลคือเจ้าชายที่มักจะไม่ถูกนำขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนา ในขณะเดียวกัน, เขาก็ยังเป็นเจ้าชายที่ไม่เคยขาดเรื่องให้นินทาเลย
อย่างไรก็ตาม, ลินเฟียยิ้มอย่างเริงร่าในตอนที่พูดถึงเขา
“ค่ะ คนแรกที่ยื่นมือเข้ามาช่วยข้าจริงๆแล้วก็คือองค์ชายอาร์โนลด์ค่ะ”
“ฝีมืออัลหรอ? คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ย”
“ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกันค่ะ แต่เขาไม่เหมือนกับที่ผู้คนเขาพูดกันเลย ทั้งองค์ชายลีโอนาร์ดและองค์ชายอาร์โนลด์คือคนที่สามารถเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นได้ พวกเขายอมให้ยืมพลังแม้กระทั่งคนแบบข้าก็ตาม”
“อย่างลีโอก็เข้าใจอยู่หรอก, แต่เจ้ามองอัลไว้สูงจริงๆนะเนี่ย ว่างั้นไหม? ลีโอ”
ลีเซพูดกับลีโอที่กำลังจัดการกับโครงกระดูกยักษ์
“อ้ะ? เมื่อกี้ว่ายังไงนะครับ!?”
ลีโอได้ยินเธอไม่ค่อยชัดดังนั้นเขาจึงตะโกนถามเธอ
“หัดตั้งใจฟังพี่สาวของตัวเองพูดหน่อยสิ”
“ถ้ามีเรื่องสำคัญจะพูดก็ช่วยเลือกเวลากับสถานที่ที่เหมาะสมกว่านี้หน่อยเถอะครับ! ข้าจะรับมือกับมอนส์เตอร์ตัวนี้เองนำหน้าไปก่อนเถอะ! แล้วก็ช่วยดูแลลินเฟียด้วยนะครับ!”
“โอเค, ฝากเธอไว้กับข้าได้เลย เจ้าเองก็ระวังตัวด้วยหล่ะ”
“ท่านพี่ก็เหมือนกันครับ”
หลังจากพูดคุยกันเสร็จ, ลีโอกับอัศวินจำนวนนึงก็แยกออกมาจากกลุ่มเล็กน้อยและเริ่มจัดการกับโครงกระดูกยักษ์
ในระหว่างนั้น, ซิลเวอร์กำลังเผชิญหน้ากับมังกรผีดิบจำนวนมากอยู่บนฟ้า
พวกเขาเกือบจะถึงเมืองแล้ว
“จะไม่เป็นอะไรหรอคะ? ปล่อยองค์ชายลีโอนาร์ดเอาไว้แบบนั้น”
“เขาเป็นน้องชายของข้า ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ?”
“ถึงตอนที่ข้ามององค์ชายอาร์โนลด์เอาไว้สูงค่ะ”
“อ้ะ, นั่นสินะ ลีโออาจจะช่วยเหลือผู้คนด้วยความหวังดีล้วนๆแต่อัลนั้นแตกต่างออกไป เขาจะไม่ช่วยคนที่ไม่ควรค่าแก่การช่วย”
“งั้นหรอคะ?”
“ใช่ เจ้านั่นจะช่วยใครสักคนก็ต่อเมื่อเขาประเมินแล้วว่าคนๆนี้ควรค่าแก่การช่วยเหลือ จากมุมมองของคนส่วนใหญ่, เขาอาจจะดูค่อนข้างแปลกแต่อัลมีมาตรฐานของตัวเอง เขามีพลังที่จะช่วยรึเปล่า, เขามีเหตุผลที่ต้องช่วยรึเปล่า, เขามั่นใจพอที่จะช่วยรึเปล่า, สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้านั่นชอบถามตัวเองก่อนที่จะช่วยเหลือใครซักคน เพราะฉะนั้นเจ้าจงภูมิใจเถอะ ความจริงที่ว่าอัลช่วยเจ้าก็หมายความว่าเขายอมรับเจ้านั่นแหล่ะ”
ในขณะที่พูด, ลีเซก็ฟันโครงกระดูกที่อยู่ตรงหน้าเธอ
เธอหยุดม้าเอาไว้ตรงนั้นแล้วเริ่มไล่ฟังโครงกระดูก
“อัลยื่นมือช่วยเหลือเจ้าและลีโอก็ต่อสู้เคียงข้างเจ้า นับจากตรงนี้ไปข้าจะกรุยทางให้เจ้าเอง ข้าจะไม่ปล่อยให้ความพยายามของน้องชายทั้งสองของข้าต้องสูญเปล่า เจ้าช่วยน้องสาวของตัวเองให้ได้ก็แล้วกัน ห้ามยอมแพ้ซะหล่ะ”
“ค่ะ”
พอตอบรับคำกับลีเซ, ลินเฟียก็เดินหน้าต่อ
หลังจากนั้นไม่นาน, ลินเฟียกับลีเซก็เข้ามาในเมืองบัสเซา
“ตอนนี้แหล่ะ! โจมตีขาของมันเลย!”
ลีโอชี้นำอัศวินในการต่อสู้กับโครงกระดูกยักษ์
อัศวินโจมตีขาของโครงกระดูกยักษ์พร้อมกันและโครงกระดูกก็ล้มลงมา โดยไม่ปล่อยให้พลาดโอกาส, พวกอัศวินก็เข้าไปเผด็จศึกมัน
“มีอีกตัวกำลังเข้ามาครับ!”
“ตั้งแนวโจมตี! อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้จุดที่ท่านพี่กับคนอื่นอยู่!”
ด้วยการรวบรวมอัศวินทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขา, ลีโอก็ชี้นำพวกเขาเพื่อเอาชนะโครงกระดูกยักษ์
อย่างไรก็ตาม, จู่ๆลีโอก็รู้สึกถึงตัวตนบางอย่างข้างหลังเขา
ลีโอกระโดดลงจากหลังม้าแล้วหนีจากมันไปได้
“อึ้ก…”
พอตกลงมาที่พื้น, เขาก็รู้สึกว่าสีข้างของเขาร้อนแปลกๆ
ในตอนที่เขาจับมันเบาๆ, ที่ตรงนั้นก็ให้ความรู้สึกชุ่มโชกและมีเลือดอยู่
“สัญชาตญาณดีนี่, เจ้าชาย”
“บาลัมหรอ…..”
มันคือปีศาจที่มีความสามารถในการหายตัว, บาลัม
ดาบที่บาลัมถืออยู่นั้นมีเลือดสีแดงหยดลงมา
นั่นคือเลือดของลีโอ ถ้าเกิดเข้ากระโดดออกมาไม่ทันเขาก็คงจะตายไปแล้ว
พอคิดได้แบบนั้น, ลีโอก็ลุกขึ้นมา
เลือดไหลออกมาค่อนข้างเยอะแต่บาดแผลไม่ได้ลึกมาก มันไม่ได้ขัดขวางเขาจากการต่อสู้
“องค์ชาย! พวกเรามาช่วยแล้วครับ!”
“แบ่งกำลังคนครึ่งนึงไปหยุดโครงกระดูกยักษ์! ส่วนอีกครึ่งที่เหลือคอยจัดการมอนส์เตอร์ที่อยู่รอบตัวข้า…..เดี๋ยวข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้บาลัมเอง”
“แต่ว่า, บาดแผลของท่าน!”
“เป้าหมายของบาลัมคือข้า ในเมื่อเขาสามารถล่องหนได้, ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผชิญหน้ากันตรงๆ”
ลีโอจับดาบของเขา
ด้วยความคิดที่ว่าจะโจมตีลีโอจากข้างหลังอีกครั้งในตอนที่เขาหนี, บาลัมก็เดาะลิ้น
มีปีศาจอยู่สองประเภท, พวกที่เหมาะสำหรับการต่อสู้และพวกที่ไม่เหมาะ ซึ่งบาลัมนั้นคืออย่างหลังและร่างมนุษย์ที่เขาสิงอยู่ก็ไม่ได้เป็นร่างที่เหมาะสมด้วย
ฟูรแคสสิงร่างมนุษย์ที่ตายแล้วแต่ร่างที่บาลัมสิงอยู่นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ดังนั้น, ภาชนะของเขาในตอนนี้จึงไม่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงของปีศาจออกมาได้
การปล่อยให้ลีโอหนีนั้นจะง่ายกว่าสำหรับบาลัมแต่ลีโอมองจุดนั้นออกและเลือกที่จะท้าทายเขาโดยตรง
“เป็นเจ้าชายที่เจ้าเล่ห์ชะมัด”
“ข้าถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกัน
ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างทั้งสอง
ในขณะเดียวกันนั้นเอง, ซิลเวอร์ก็ลงมาจากท้องฟ้า
“ข้าจะช่วยด้วย”
บาลัมขมวดคิ้วให้กับการมาถึงของศัตรูที่แข็งแกร่ง
บาลัมไม่มีทางเลือกนอกจากเอาชนะคนที่สามารถป้องกันการโจมตีจากฟูรแคสได้
อย่างไรก็ตาม, ความจริงที่ว่าชายสวมหน้ากากคนนี้อยู่ที่นี่ก็แสดงว่าจะไม่มีใครที่สามารถต่อกรกับฟูรแคสที่ส่วนอื่นได้
บาลัมอยากทำลายขวัญกำลังใจของศัตรูด้วยการกำจัดหัวหน้าทิ้งแต่เนื่องจากการกระทำของเขาในตอนนี้ก่อให้เกิดผลกระทบที่น่าพึงพอใจขึ้นมา, เขาจึงแสยะยิ้ม
อย่างไรก็ตาม
“ไม่จำเป็นหรอก ช่วยไปอยู่ข้างๆลินเฟียเถอะ”
“แต่เจ้าดูเหมือนคนที่ต้องการความช่วยเหลือไม่ใช่หรอ?”
“เธอต้องมีเจ้า ช่วยไปให้หน่อยเถอะนะ”
ลีโอก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดแบบนั้นกับซิลเวอร์
อย่างไรก็ตาม, ซิลเวอร์ยังไม่ยอมถอดใจ
“ข้าคงยอมทำตามไม่ได้หรอก มันจะเป็นปัญหาสำหรับข้าเอาได้ถ้าเกิดเจ้ามาตายที่นี่”
จากนั้นซิลเวอร์ก็รักษาบาดแผลที่สีข้างของลีโอด้วยเวทมนตร์รักษา
อย่างไรก็ตาม, ลีโอไม่ได้แสดงท่าทีขอบคุณหรือหันไปหาซิลเวอร์เลยห
“อย่ามายุ่งกับข้า….! แล้วก็ไม่ต้องมาห่วงชีวิตของข้าด้วย, สิ่งที่จะควรจะเป็นห่วงมากกว่าก็คือชีวิตของพวกเด็กๆต่างหากหล่ะ! เจ้ามาที่นี่เพราะเรื่องนั้นไม่ใช่รึไง!?”
“หลังจากที่ข้าจัดการไอ้หมอนี่ข้าจะตามเธอไป ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ไม่ต้องห่วงข้า…..ไปเถอะหน่า”
“แต่…..”
“แต่อะไรอีกหล่ะ! ถ้าเจ้ารู้จักข้าดีก็รีบไปซะ!”
ลีโอหันไปสบตากับซิลเวอร์
ความแข็งแกร่งที่แฝงอยู่ในสายตาของลีโอในตอนนี้คือสิ่งที่ซิลเวอร์, ไม่สิ, อัลไม่เคยเห็นมาก่อน
“สิ่งที่ข้ามุ่งหวังจะเป็นคือจักรพรรดิในอุดมคติของข้า…..ซึ่งก้าวแรกในการไปถึงจุดนั้นก็คือการช่วยเหลือเด็กพวกนี้ ข้าเรียกรวมอัศวินและนักผจญภัยมามากมายเพื่อไล่ตามอุดมคตินั้น ถ้าข้ายังไม่สามารถช่วยพวกเด็กๆได้แม้ว่าจะลงทุนทำไปทั้งหมดนี่…..ข้าก็จะไม่มีวันยอมรับมันได้! ข้าจะช่วยเด็กพวกนี้และคลี่คลายเหตุการณ์นี้ให้ได้อย่างแน่นอน! ไปซะ! ซิลเวอร์! ถ้าเจ้าเรียกตัวเองว่านักผจญภัยแรงค์ SS ก็ช่วยแสดงพลังของเจ้าให้ข้าได้เห็นหน่อยเถอะ!!!!!”
มันคงเรียกได้เลยว่าเป็นการเรียกร้องที่ดูเกรี้ยวกราด
นี่เป็นครั้งแรกที่อัลเห็นลีโอในลักษณะนี้
และเป็นสาเหตุที่อัลถีบพื้นอย่างนุ่มนวลและลอยขึ้นไปบนฟ้า
“ถ้างั้นก็จงดูข้าให้ดีๆ อย่าพึ่งรีบตายก่อนที่ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นหล่ะ องค์ชายลีโอนาร์ด”
“แน่อยู่แล้ว…..ข้าคือคนที่ซักวันนึงจะกลายเป็นจักรพรรดิ ข้าไม่ยอมมาตายที่นี่หรอก”
“นั่นสินะ……”
พอพูดจบ, อัลก็มุ่งหน้าตรงไปที่เมือง
จากนั้นลีโอก็จ้องบาลัมด้วยสายตาที่แรงกล้า
“เข้ามาสิ….บาลัม ด้วยชื่อของเจ้าชายแห่งจักรวรรดิ, ข้าจะฟันเจ้าทิ้งสำหรับภัยพิบัติที่เกิดกับจักรวรรดินี้!”
“ถ้าคิดว่าทำได้ก็เข้ามา!”
พอพูดจบ, การต่อสู้ระหว่างบาลัมกับลีโอก็เริ่มขึ้น
ดาบของพวกเขาปะทะกัน ลีโอในยามปกตินั้นคงจะต่อสู้ในขณะที่ประเมินฝ่ายตรงข้ามอย่างใจเย็น
อย่างไรก็ตาม, ลีโอในตอนนี้ต่างกันออกไป
“ย้ากกกก!!!”
“หนอย”
เนื่องจากการกระหน่ำโจมตีที่รุนแรง, บาลัมที่มีแขนแค่ข้างเดียวจึงถูกดันถอยกลับไป
จากนั้นลีโอก็โจมตีดาบของบาลัมด้วยการฟาดที่รุนแรง
“โอ้!!!”
“ชิ!!”
ลีโอบิดเอวแล้วเล็งไปที่แขนข้างที่เหลืออยู่ของบาลัม
ในตอนนี้เอง, บาลัมก็หายตัวแล้วหนีไป
“เขาหายไปแล้ว…..”
ลีโอทุ่มสมาธิไปที่การฟังเสียงและสัมผัสถึงตัวตนที่อยู่รอบตัวเขา
ถ้าบาลัมถอยจากการโจมตีแค่ระดับนี้เขาก็คงจะไม่เข้ามาหาเขาตั้งแต่แรกแล้ว
เขาจะต้องเข้ามาโจมตีอย่างแน่นอน
ลีโอมั่นใจในเรื่องนั้น
และเขาก็คิดถูก
“ย้ะ!”
“อึ้ก….”
บาลัมที่ปรากฎตัวขึ้นข้างหลังลีโออย่างกระทันหันได้ทิ้งบาดแผลตื้นๆเอาไว้ที่หลังของลีโอ
ในมือของเขาคือมีด
ลีโอหันกลับไปพร้อมกับเหวี่ยงดาบแต่บาลัมก็หายตัวไปแล้ว
ด้วยการเดาะลิ้น, ลีโอก็มองดูรอบๆอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม, เขาไม่สามารถสัมผัสถึงร่องรอยของบาลัมได้เลยและครั้งนี้บาลัมก็ปรากฎตัวขึ้นจากด้านข้างและแทงขาซ้ายของเขา
“อั้ก…..”
“เปล่าประโยชน์หน่า, เจ้าชาย”
“บ้าจริง!”
ลีโอเหวี่ยงดาบใส่บาลัมแต่ตัวเขาก็ค่อยๆเลือนลางและหายไปอีกครั้ง
พอรับรู้ว่าเลือดแล่นไปถึงหัวของเขาแล้ว, ลีโอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ต่อไปเขาจะโจมตีตรงไหน? แล้วควรจะตอบโต้กลับไปยังไงดี?
ในตอนที่เขากำลังคิดถึงเรื่องนี้, ใบหน้าของอัลก็ลอยเข้ามาในหัวของลีโอ
การล่อลวงคืองานถนัดของอัล เขาคือผู้เชี่ยวชาญในการทำให้ศัตรูประหลาดใจ
“ถ้าเป็นท่านพี่หล่ะก็…..”
ลีโอคิดอยู่พักนึงแล้วเก็บดาบกลับเข้าฝัก จากนั้นเขาก็เพ่งสมาธิไปที่การตรวจจับตัวตนที่อยู่รอบๆเขา
อาวุธของศัตรูคือมีด บาลัมไม่มีทางเลือกนอกจากเล็งมาที่จุดสำคัญเพื่อทำให้บาดเจ็บร้ายแรง การโจมตีที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือการแทง แถมตัวบาลัมเองยังมีช่องว่างอยู่, เขาคงไม่บุ่มบ่ามเข้ามาโจมตีโดยไม่ยั้งคิดแน่ๆ
ถ้างั้นจุดที่เขาจะเล็งก็คงเป็นหัวใจ
ด้วยการเอามือทาบตรงหัวใจ, พอลีโอสัมผัสถึงตัวตนข้างหลังของเขาได้, เขาก็เบี่ยงตัวไปทางขวา
อย่างไรก็ตาม, ความร้อนแล่นผ่านไหล่ซ้ายของเขาทำให้รู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมา
พอหันไปดู, เขาก็เห็นมีดฝังอยู่ที่ไหล่ซ้ายของเขา
“คิดว่าทิ้งการโจมตีสวนแล้วจะหลบการโจมตีของข้าได้รึไง?”
“ไม่หรอก….ข้าไม่ได้ทิ้งอะไรเลย……”
ลีโอกัดฟัน, แล้วหมุนร่างกายของเขาพร้อมกับใช้มือขวาคว้าคอของบาลัมเอาไว้
จากนั้นเขาก็เพ่งสมาธิแล้วเริ่มท่องคำร่าย
[เปลวเพลิงจุติจากสวรรค์・พิทักษ์คุณธรรม・โอม..เปลวเพลิงสูงสุด・เปลวเพลิงอันสง่างาม・จงทำลายความชั่วร้ายเบื้องหน้าข้า—เพลิงผลาญศักดิ์สิทธิ์]
เวทมนตร์สมัยใหม่ห้าคำร่าย
มันคือเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งผลกับมอนส์เตอร์อันเดดอย่างรุนแรง แม้ว่ามันจะเป็นเวทย์ขั้นสูงที่มีผู้ใช้อยู่เพียงน้อยนิดในบรรดาเวทมนตร์สมัยใหม่ที่มีอยู่อย่างแพร่หลาย, แต่ลีโอที่ร่ำเรียนโรงเรียนเวทมนตร์มาหลายโรงเรียนอย่างเท่าๆกันเพื่อไม่ให้การมีความรู้ไม่พอมาสร้างปัญหาให้เขาในซักวันนึงก็เชี่ยวชาญเวทย์นี้ด้วยเหมือนกัน
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ปรากฎขึ้นที่มือขวาของลีโอ, และกำลังเผาบาลัม
แม้ว่ามือของลีโอจะติดไฟอยู่, แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับลีโอเลย
“อ้ากกกกก!!??”
“ครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่…..”
บาลัม, ที่พยายามจะหนี, บีบแขนขวาของลีโออย่างรุนแรงแต่ลีโอก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป, และเขาก็เพิ่มพลังให้กับเพลิงศักดิ์สิทธิ์
ในที่สุด, บาลัมก็หยุดขัดขืนแต่ลีโอยังคงเผาเขาต่อไปจนกระทั่งร่างของบาลัมกลายเป็นขี้เถ้าอย่างสมบูรณ์
“แฮ่ก, แฮ่ก……”
พอถูกแปรสภาพเป็นขี้เถ้าแล้ว, สายลมก็พัดมาและสเก็ดร่างของบาลัมก็ล่องลอยไปตามลม
จากนั้นลีโอก็ดึงดาบของเขาออกมาจากฝักแล้วชูขึ้นฟ้า
“เจ้าชายลำดับแปดของจักรวรรดิ, ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ ได้โค่นล้มปีศาจลงแล้ว!!!!”
ในตอนนั้นเอง, อัศวินที่อยู่รอบตัวเขาก็ส่งเสียงดีใจกับชัยชนะ
ในขณะเดียวกันนั้นเอง, ลีโอก็มองไปที่เมือง
“ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ, ลินเฟีย…..”
ในตอนนี้, ลูกบอลสีดำได้เปล่งแสงออกมาอย่างรุนแรง
ตอนที่ 85
พอเข้ามาในเมืองบัสเซา, ลินเฟียกับคนอื่นๆก็มองไปที่ลูกบอลสีดำที่ลอยอยู่เหนือเมืองและหลุมสีดำขนาดยักษ์ที่อยู่ข้างใต้มัน
“ไม่จำเป็นต้องอธิบายเลย นี่คือหลุมที่เชื่อมต่อกับโลกปีศาจแน่ๆ”
เนื่องจากบาลัมเรียกมอนส์เตอร์ออกไปพร้อมกัน, จึงไม่ค่อยมีมอนส์เตอร์อยู่ที่นี่แต่โครงกระดูกก็ยังคงออกมาจากหลุมเรื่อยๆ
ถ้าพวกเขาปล่อยมันเอาไว้เฉยๆ, ก็จะยิ่งมีมอนส์เตอร์ออกมาเรื่อยๆ
“พวกเราต้องทำอะไรซักอย่างกับลูกบอลสีดำนี่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้น….”
“ถ้าน้องสาวของข้าอยู่ข้างในนั้นมันก็น่าจะมีปฏิกิริยาอะไรบางอย่างถ้าข้าเรียกเธอ”
“แสดงว่าพวกเราต้องหาทางขึ้นไปบนนั้นสินะ”
ลีเซเงยหน้ามองลูกบอลที่กำลังลอยอยู่
ลูกบอลนั้นไม่ได้ลอยอยู่ในระดับที่จะสามารถกระโดดไปหาได้
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง, ลีเซก็ถูกโจมตีจากด้านข้างอย่างกระทันหัน
เธอถูกซัดกระเด็นแต่ก็สามารถกลับตัวกลางอากาศและลงพื้นได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม, ดาบที่ลีเซถืออยู่นั้นหักไปครึ่งนึง
“หืม, มันรับความเสียหายขนาดนี้จากการโจมตีแค่ครั้งเดียวนี่นะ”
“แต่นั่นมันการโจมตีกะให้ตายเลยนะ”
ฟูรแคสควงดาบอย่างนุ่มนววแล้วพูดออกมา
เขาไม่สามารถเก็บความประหลาดใจที่มีคนสองคนสามารถรับการโจมตีจากปีศาจสายต่อสู้อย่างเขาได้
อย่างไรก็ตาม, มันมีความแตกต่างระหว่างป้องกันการโจมตีและต่อสู้เผชิญหน้ากัน
ฟูรแคสค่อยๆเข้าไปหาลีเซแต่ลินเฟียกับพวกทหารก็เข้ามาขวางเอาไว้
“ถอยกลับไปจะดูฉลาดกว่านะ ไม่คิดอย่างนั้นหรอ?”
“แล้วเจ้าหล่ะ? ถ้าเข้ามาโจมตีข้าจะซวยเอานะไม่คิดอย่างนั้นหรอ?”
“ไม่มีความจำเป็นต้องห่วงเรื่องนั้นอีกแล้ว ข้าได้ทำให้ผู้อัญเชิญหลับไหลไปแล้ว ในลูกบอลสีดำนั่น”
“เจ้าทำอะไรกับน้องสาวของข้า…..!”
“ความโกรธของเจ้าช่างไร้เหตุผลเสียจริง เด็กคนนั้นคือคนที่เรียกพวกเรามา ในความสิ้นหวัง, เธอกำลังมองหาใครซักคนให้มาปกป้องเธอ, เธอคิดว่าจะเป็นใครก็ได้ เธอแค่ต้องการอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย, เพราะฉะนั้นข้าก็เลยปกป้องเธอเอาไว้ในลูกบอลนั่น”
“ปกป้องหรอ…..!?”
ปีศาจไม่สามารถต่อต้านผู้อัญเชิญได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม, การเติมเต็มความต้องการของผู้อัญเชิญนั้นขึ้นอยู่กับการตีความของปีศาจ
ถ้าขอให้มันช่วย, มันก็จะช่วย อย่างไรก็ตาม, ด้วยคำสั่งที่คลุมเครือเช่นนี้, การเลือกวิธีก็จะเป็นอิสระสำหรับปีศาจ
เพราะความเสี่ยงนี้เอง, เทคนิคการอัญเชิญปีศาจจึงถูกยกเลิก ในกรณีส่วนใหญ่, ปีศาจนั้นฉลาดและเจ้าเล่ห์กว่ามนุษย์ดังนั้นผู้อัญเชิญจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบเนื่องจากอิสระในการตีความของปีศาจ
ลินเฟียอาจจะดูโกรธเพราะสิ่งที่ฟูรแคสพูดแต่เธอก็ไม่ได้รีบร้อนโจมตีเขา
ฟูรแคสก้าวไปหาลินเฟียหนึ่งก้าวแต่ในตอนนั้นเอง, ซิลเวอร์ก็เคลื่อนย้ายมาอยู่เบื้องหน้าเธอ
“ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเอง”
“หืม? เจ้าตัดสินใจปล่อยให้บาลัมอยู่กับเจ้านั่นหรอเนี่ย?”
“เจ้าชายไม่ใช่คนที่จะถูกคู่ต่อสู้ระดับนั้นจัดการได้หรอก”
“อย่าดูถูกปีศาจจะดีกว่านะ”
“ขอคืนคำพูดนั้นให้ละกัน อย่ามาดูถูกมนุษย์”
พลังเวทย์ของทั้งคู่เพิ่มขึ้นมาอย่างพรวดพราด
ในระหว่างนั้น, ลินเฟียกับคนอื่นๆก็ทิ้งระยะจากพวกเขา พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะเป็นตัวถ่วงเอาได้ถ้าอยู่ใกล้เกินไป
“องค์หญิง, บาดเจ็บรึเปล่าคะ?”
“ข้าไม่เป็นไร, ที่สำคัญกว่านั้น, พวกเราจำเป็นต้องหาวิธีขึ้นไปที่นั่น”
ในตอนที่ลีเซพูดออกมานั้นเอง, บาเรียที่มีรูปร่างเหมือนบันไดก็ถูกสร้างขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
มันทอดยาวขึ้นไปถึงลูกบอล
“รู้ใจจังเลยนะ, นักผจญภัยสวมหน้ากาก”
“ข้ารู้สึกเป็นเกรียติจริงๆที่ได้รับคำชมจากท่าน ลินเฟีย, ไปเถอะ, นี่เองก็เป็นบาเรียประเภทหนึ่ง ถ้าเจ้าปลุกผู้อัญเชิญที่อยู่ข้างในให้ตื่นได้พวกเราก็น่าจะสามารถทำอะไรซักอย่างกับสถานการณ์นี้ได้”
“ค่ะ! ขอบคุณค่ะ! ซิลเวอร์”
เพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาปีนขึ้นไป, โครงกระดูกจึงมารวมกันแล้วล้อมพวกเขาเอาไว้แต่คนของลินเฟียก็ตั้งแนวป้องกันขึ้นมาเป็นวงกลมรอบตัวเธอ
“พวกเราจะปกป้องที่แห่งนี้เอาไว้ตราบจนชีวิตหาไม่!”
ภายใต้คำสั่งของลีเซ, โครงกระดูกถูกกันเอาไว้ได้อยู่ซักพักแต่ในที่สุดพวกเขาก็พ่ายแพ้เพราะศัตรูมีจำนวนไม่จำกัดและยังเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วอีก
เมื่อคิดว่าเธอต้องรีบแล้ว, ลินเฟียก็วิ่งสุดกำลัง
ข้างหน้าเธอ, ฟูรแคสปรากฎตัวขึ้นมาขวางเอาไว้
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปหรอ?”
“แน่นอนสิ, ข้าจะทำให้เจ้าปล่อยเอง”
ลินเฟียยังคงวิ่งต่อไปอย่างสุดกำลัง
และเพื่อเป็นการสนับสนุนเธอ, มีเวทมนตร์มากมายพุ่งไปหาฟูรแคส
ฟูรแคสปัดพวกมันออกไปโดยใช้แค่ดาบแต่เหมือนกับว่ารอบตัวเขา, มีเวทมนตร์ยิงมาใส่จากรอบด้าน, เขาจึงถูกกันออกจากเส้นทางของลินเฟีย
“หนอย!”
“ข้าบอกว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเองไม่ใช่รึไง?”
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องจัดการกับแกก่อนเป็นคนแรกสินะ!”
ด้วยประการฉะนี้เอง, ทั้งสองก็เริ่มสู้กัน
ในขณะนั้น, ลินเฟียก็ถือโอกาสมุ่งหน้าไปหาลูกบอลสีดำ
“ชินฮวา! ชินฮวา!!”
โดยไม่ได้ใช้ความคิดเลยว่าจะทำยังไงดี, เธอก็เรียกชื่อน้องสาวของเธอ
อย่างไรก็ตาม, ไม่มีปฏิกิริยาจากลูกบอลสีดำเลย
ลินเฟียทำการตัดสินใจแล้วสอดมือขวาเข้าไปในลูกบอลสีดำ
“อึ้กกก!!”
สายฟ้าไหลแปล๊บไปตามแขนขวาของเธอ
อย่างไรก็ตาม, ลินเฟียไม่ได้ยอมแพ้แล้วดันแขนขวาเข้าไปในลูกบอลสีดำ
“ชินฮวา….! นี่ข้าเอง….! ลินเฟีย!!”
เธอค่อยๆเสียความรู้สึกที่แขนขวา แต่, เธอเธอก็ยังคงดันแขนขวาลึกเข้าไปทีละน้อย
ซึ่งผลก็คือ, แขนขวาของลินเฟียเริ่มจมเข้าไปในลูกบอลสีดำ
อย่างไรก็ตาม, กระแสไฟฟ้าก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆราวกับว่าลูกบอลสีดำพยายามจะกำจัดวัตถุแปลกปลอม
“อึ้กก!! อ้ากกก!!”
ลินเฟียกัดฟัน, กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เธอเฝ้าบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามันไม่เจ็บ
“ข้าขอโทษนะ…..ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้….ชินฮวา…ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะ….พี่มาช่วยเจ้าแล้ว…..”
แขนขวาของลินเฟียจมลึกเข้าไปในลูกบอล
จากนั้น,ในตอนที่ไหล่ของเธอเริ่มจมไปด้วย
เสียงนึงก็ดังก้องในศรีษะของเธอ
[[พี่……ลิน……?]]
“ชินฮวา!? ชินฮวา!! อยู่ในนั้นใช่ไหม!?”
[[ข้ากลัวจังเลย….พี่ลิน….]]
“ไม่เป็นไรนะ….ข้าอยู่ที่นี่แล้ว…..”
อย่างไรก็ตาม, ลินเฟียไม่ได้รู้สึกอะไรเลยที่ปลายมือขวาของเธอ
ในขณะที่สอดมือเข้าไปต่อ, ลินเฟียก็พูดกับพี่สาว
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะ….กลับบ้านกันเถอะ……”
[[แต่ว่า…..]]
“ไม่ต้องกลัว…..ข้าจะปกป้องเจ้าเอง…..”
[[คนที่พยายามจะช่วยข้าตายไปแล้ว…..พี่ลินก็จะตายด้วย……]]
“พูดอะไรกัน….ข้าไม่ตายหรอก….เพราะข้ามีเพื่อนเยอะเลย”
[[เพื่อนหรอคะ…..? ผู้ใหญ่พวกนั้นเป็นเพื่อนของพี่หรอ…..?]]
“ใช่จ้ะ…..พวกเขามาที่นี่เพื่อช่วยชินฮวานะ…..”
[[….ผู้ใหญ่น่ากลัว….]]
พอได้ฟังคำพูดที่ดูไม่มั่นใจของน้องสาว, ลินเฟียก็กัดฟัน
ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นชินฮวาเป็นเด็กที่เข้ากับคนได้ง่าย
การที่เด็กแบบเธอพูดออกมาเช่นนี้ เธอเคยเจอประสบการณ์แบบไหนมากันนะ? เธอต้องเผชิญหน้ากับสายตาแบบไหนมา?
“…..ข้าขอโทษ…..ข้าขอโทษนะ….ชินฮวา…..”
[[พี่ลิน, พี่ร้องไห้อยู่หรอ……?]]
“เปล่า….ข้าไม่เป็นไร…..ข้าแค่ดีใจที่ชินฮวาปลอดภัย….เจ้าไม่ต้องกลัวแล้วนะ…..ข้าจะปกป้องเจ้าจากทุกอย่างเอง…..ต่อให้มีพวกผู้ใหญ่น่ากลัวอยู่ข้าก็จะปกป้องเจ้าเอง…..”
[[จริงหรอ….? มันไม่น่ากลัวจริงๆนะ….? ไม่ใช่แค่ข้า….จะปกป้องทุกคนด้วยใช่ไหม?]]
“ทุกคนหรอ…..? ยังมีเด็กคนอื่นนอกจากเจ้าด้วยหรอ? พวกเขาปลอดภัยรึเปล่า?”
“อื้ม…..”
“เจ้าปกป้องพวกเขาอยู่ไม่ใช่หรอ….เด็กดี….ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะ…..ข้าจะปกป้องพวกเจ้าทุกคนเอง”
กระแสไฟฟ้ายังไม่หยุด
อย่างไรก็ตาม, ลินเฟียไม่ได้แสดงท่าทีเจ็บปวดแล้ว
เธอไม่อยากทำให้พวกเขาเป็นห่วงเธอ
ถ้าตอนนี้เธอกลัวชินฮวาทุกอย่างที่ทำมาก็จะพังหมด
มีผู้คนมากมายสนับสนุนเธอ เธอไม่ได้อยู่คนเดียว
ถ้าเธอล้มเหลวเพราะกระแสไฟฟ้านี่เธอก็คงจะสู้หน้าทุกคนไม่ไหว
“จับมือข้าเอาไว้นะ! ชินฮวา!”
[[อื้ม….ว่าแต่พี่ลิน, พี่อยู่ที่ไหนหรอ?]]
“แค่ยื่นมือออกมาก็พอ! ข้าเองก็จะยื่นไปหานะ!”
พอพูดจบ, ลินเฟียก็ยื่นมือเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้
จากนั้น, ก็มีบางอย่างมาสัมผัสที่ปลายมือของเธอ
ด้วยความมั่นใจว่ามันคือมือของน้องสาว, ลินเฟียก็ตัดสินใจเอาร่างกายท่อนบนของเธอมุดเข้าไปในลูกบอลสีดำ
กระแสไฟฟ้าแล่นผ่านร่างกายของเธอและเธอก็หายใจไม่ออก
แต่ถึงอย่างนั้น, ลินเฟียก็ยังคงเข้าไปต่อโดยไม่สนใจเรื่องนั้นเลย
มีสิ่งที่สำคัญอยู่ตรงหน้าเธอ
ลีโอบอกว่าเขาจะทำตามอุดมคติของเขาไม่ว่าจะยังไงก็ตามและเธอก็ตัดสินใจที่จะทำเหมือนกัน
นั่นก็คือการไม่ยอมแพ้
ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่, ลินเฟียก็ยื่นมือขวาเข้าไปอีก
จากนั้น, บางสิ่งก็สัมผัสมือขวาของเธออีกครั้ง ซึ่งลินเฟียก็ไม่ปล่อยให้พลาด, เธอจับมันเอาไว้อย่างมั่นใจแล้วดึงมันออกมาพรวดเดียว
สิ่งที่เธอดึงออกมาจากลูกบอลสีดำก็คือเด็กสาวที่มีผมสีน้ำตาลแดง
สีของดวงตาเธอมีแดงกับฟ้า
“โถ่….ชินฮวา….”
“พี่ลิน…..”
เด็กที่เธอดึงออกมานั้นคือน้องสาวของเธอจริงๆ, ชินฮวา
น้องสาวที่เธอสาบานว่าจะปกป้อง น้องสาวที่เธอไม่สามารถปกป้องได้
พอตัดสินใจได้ว่าเธอจะไม่มีวันปล่อยน้องสาวไปอีก, ลินเฟียก็กอดเธอแน่น
อย่างไรก็ตาม, ช่วงเวลานี้ก็อยู่ได้ไม่นาน
เนื่องจากชินฮวา, ที่เป็นแก่นของมัน, ได้ออกมาข้างนอกแล้ว, ลูกบอลสีดำก็เริ่มพังทลาย
จากนั้น, ลูกบอลก็เปล่งแสงออกมาแล้วหายไป ด้วยความที่ไม่มีลูกบอลแล้ว, เด็กๆที่อยู่ข้างในจึงเริ่มตกลงมา
“!?”
ลินเฟียกระโดดออกไปแล้วตะโกนสุดเสียง
“ซิลเวอร์!!!!!”
ลินเฟียตะโกนแล้วคว้าเด็กเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม, เธอไม่สามารถรับพวกเขาได้ทุกคน
พอสังเกตเห็น, ลีเซที่อยู่ใต้พวกเด็กๆก็เริ่มเคลื่อนไหวแต่ดูยังไงเธอก็ไม่น่าจะมาทันเลย ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป, พวกเขาจะตกเข้าไปในหลุมที่เชื่อมต่อกับโลกปีศาจ
และในตอนนั้นเอง, อินทรียักษ์สีเงินก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าลินเฟียกับพวกเด็กๆ
อินทรีรับพวกเขาเอาไว้บนหลังแล้วกระพือปีกอย่างทรงพลัง
“ว้าว….เป็นคุณนกที่งดงามมากเลย….”
“นั่นสินะ…..”
“มันคือนกอินทรีที่จำลองขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ เอาจริงๆข้าก็อยากลองอัญเชิญมันออกมาเหมือนกันนะ”
พอพูดจบ, ซิลเวอร์ก็ปรากฎตัวขึ้นข้างๆอินทรีเงิน
ในตอนที่ซิลเวอร์เห็นชินฮวาและพวกเด็กๆที่หมดสติในอ้อมแขนของลินเฟีย, เขาก็ยิ้มออกมา
“เจ้าทำได้เยี่ยมมาก ที่เหลือไว้ใจข้าได้เลย”
“ค่ะ…..ฝากด้วยนะคะ”
“พี่จ๋า พี่จ๋า, คุณนกมีชื่อไหม?”
“ชื่อหรอ? นั่นสินะ ข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อเลย ทำไมเจ้าไม่ลองตั้งให้ซักชื่อหล่ะ”
“ได้หรอคะ!? อืมม, ชื่ออะไรดีน้า”
หลังจากยิ้มให้กับชินฮวาที่ดูมีความสุข, ซิลเวอร์ก็รับเวทมนตร์ที่กำลังเข้ามาด้วยบาเรียของเขา
ข้างหลังเขาคือฟูรแคสที่กำลังดูโกรธสุดๆ
“ยกโทษให้ไม่ได้…..เจ้ากล้ามาทำลายแผนการของข้าได้ยังไง…..!”
“ยกโทษให้ไม่ได้หรอ? นั่นมันเป็นประโยคของข้าต่างหากหล่ะ อย่าคิดหล่ะว่าข้าจะให้เจ้าได้ตายสบายๆ”
“บลัฟไปก็เท่านั้นแหล่ะ ข้าเข้าใจพลังของเจ้าแล้ว พลังของเจ้ามันไม่ได้ใกล้เคียงกับข้าเลยซักนิด”
“หรอ….ถ้างั้นก็มาลองดูสิ”
ในตอนที่เขาพูดออกมาแบบนั้น, พลังเวทย์ที่แผ่ออกมาจากซิลเวอร์ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและรุนแรงขึ้นกว่าตอนแรก
เมื่อเห็นแบบนี้, ลินเฟียก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
เขาต้องคอยคำนึงถึงสิ่งรอบข้างดังนั้นเขาเลยยังไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดออกมา
แต่นับจากนี้ไป, ซิลเวอร์จะเอาจริงแล้ว
ตอนที่ 86
“ตอนนี้เริ่มบลัฟไปก็ไม่ทันแล้ว ข้าเข้าใจพลังของเจ้าแล้ว พลังของเจ้าไม่ได้ใกล้เคียงกับข้าเลย”
ฟูรแคสจ้องมาที่ฉันอย่างดูแคลน
พิจารณาจากการต่อสู้จนถึงตอนนี้, เขาต้องคิดว่าตัวเองไม่มีวันแพ้แน่ๆ
แน่นอนว่า, จนถึงตอนนี้ฉันยังสร้างความเสียหายที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญกับฟูรแคสไม่ได้เลยและมันก็เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่เอาจริงด้วย เขาน่าจะเก็บแรงเอาไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินเผื่อว่าเขาต้องขัดขืนคำสั่งผู้อัญเชิญของเขา
อย่างไรก็ตาม, คนที่ยังไม่เอาจริงนั้นไม่ใช่แค่เขา
“หรอ….ถ้างั้นก็เข้ามาลองสิ”
ฉันปล่อยพลังเวทย์ที่เก็บเอาไว้ออกมา
ฉันกักเก็บมันเอาไว้เพื่อไม่ให้น้องสาวของลินเฟียกลัวแต่เนื่องจากลินเฟียช่วยเธอได้แล้ว, จึงไม่มีความจำเป็นต้องยั้งมืออีก
“ข้าต้องบอกเจ้าอีกกี่ครั้งว่า, พลังของเจ้าไม่ได้ใกล้เคียง…..กับ…….ข้า…..”
“อะไรกัน? ถ้ามั่นใจนักก็เข้ามาสิ”
ดูเหมือนว่าฟูรแคสเองก็ปล่อยพลังที่เขาเก็บเอาไว้แต่ตอนนี้พลังส่วนใหญ่ของเขาเพิ่มมากกว่าตอนแรกแค่ประมาณสองเท่าเท่านั้น
ในอีกด้านนึง, พลังของฉันนั้นเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึงสิบเท่า
ปริมาณอันมากมายและพลังเวทย์ที่รวมกันอย่างแน่นหนานี้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มันถือว่าเป็นโอกาสหายากที่ฉันจะเอาจริงและปล่อยพลังออกมามากขนาดนี้ ถึงยังไง, การต่อสู้ทั้งแบบนี้ในขณะที่หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเสียหายบริเวณข้างเคียงก็ถือเป็นเรื่องยาก
“มีแค่ไม่กี่คนที่ต้องห่วงในครั้งนี้…..ตอนนี้ข้าเอาจริงซักหน่อยคงไม่เป็นไรสินะ”
“ไม่กี่คนหรอ!? มีเป็นพันคนอยู่ข้างล่างนั่นนะ!?”
“เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่ข้าต้องสู้ในช่วงนี้, นี่ถือว่าน้อยแล้ว”
พันคนมันเทียบกับจำนวนประชาชนในเคียร์หรืออัลบราโทรไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม, เผื่อเอาไว้ก่อนฉันได้ร่ายบาเรียฟื้นฟูเหมือนกับที่ฉันเคยใช้ในเคียร์เอาไว้ด้วยแต่เนื่องจากพวกเขาอยู่ในพื้นที่ที่เล็ก, อันที่ฉันปล่อยในครั้งนี้จึงมีสเกลเล็กกว่า
เรื่องความเสียหายกับอาคารเองก็ไม่ต้องห่วงเหมือนกันเพราะที่นี่ค่อนข้างเหมาะสมที่จะเป็นสนามรบ
ฟูรแคสกัดฟันแล้วจับดาบของเขา
“ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน, แต่ถ้าเจ้าใช้ไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก!”
พอพูดจบ, ฟูรแคสก็เข้ามาหาฉันด้วยความเร็วสูง
นักเวทย์อ่อนแอในการต่อสู้ระยะประชิด เขาต้องใช้กลยุทธนี้เพราะรู้เรื่องนั้นแน่ๆ
แน่นอนว่า, ฉันคงหมดหวังถ้ามันเป็นการใช้อาวุธ ความสามารถทางกายภาพของฉันต่ำกว่ามาตรฐาน ความจริงนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าฉันจะกลายเป็นซิลเวอร์แล้วก็ตาม
ไม่ว่าฉันจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายได้มากแค่ไหน, เซ้นส์ทางร่างกายของฉันก็คงไม่พัฒนาตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม, ถ้ามันเป็นกรณีที่ทั้งหมดที่ฉันต้องทำก็คือการต่อสู้ด้วยวิธีที่ฉันไม่ต้องพึ่งพาเรื่องนั้นหล่ะก็
“เสร็จหล่ะ!!”
ฟูรแคสเข้ามาหาฉันจากทางซ้าย
ฉันก้มตัวลงแล้วเคลื่อนย้ายออกไปในทันที
สถานที่ที่ฉันเคลื่อนย้ายไปก็คือท้องฟ้าเหนือเมือง, ห่างออกมาจากฟูรแคส
จากนั้น, ฉันก็ยื่นมือขวาออกไปทางเขาแล้วร่ายมนตร์
[จงโหมกระหน่ำ, สายฟ้าเลือด]
สายฟ้าสีแดงเข้มขนาดมหึมาพุ่งตรงไปหาฟูรแคส
ฟูรแคสใช้ดาบรับมันเอาไว้แต่เขาก็ไม่สามารถทนมันได้และถูกซัดกระเด็นไปค่อนข้างไกล
“อ้ากกกก!!”
ฟูรแคสสามารถหลบไม่ให้โดนตรงๆได้ด้วยการปัดสายฟ้าเลือดขึ้นบนแต่ร่างกายของเขาก็เหลือรอยไหม้สาหัสทิ้งเอาไว้ อย่างไรก็ตาม, รอยไหม้ที่ทำให้มนุษย์ธรรมดาเคลื่อนไหวไม่ได้นี้ก็ถูกรักษาในทันที
บางทีน่าจะเป็นเพราะเขาสิงร่างที่ตายแล้วไม่เหมือนกับบาลัม, เขาจึงสามารถแสดงพลังปีศาจออกมาได้มากกว่า
“เป็นไง? เข้าใจพลังของข้ารึยังหล่ะ?”
“อย่าได้ใจไปหน่อยเลย!!!”
จากนั้นฟูรแคสก็สร้างดาบยักษ์ขึ้นมาห้าเล่ม, แต่ละเล่มยาวหลายเมตร, และส่งพวกมันพุ่งมาหาฉัน
เหมือนกับฝูงนกที่เกรี้ยวกราด, ดาบยักษ์พุ่งตรงมาหาฉันด้วยความเร็วสูง
พวกมันไล่ตามฉันโดยเคลื่อนไหวอย่างประสานงานกัน
ฉันลอยขึ้นไปเพื่อหลบมันแต่ดาบยักษ์อีกเล่มก็เข้ามาหาฉันจากจุดบอด
จากนั้นในขณะที่ฉันกำลังเล่นวิ่งไล่จับกับดาบพวกนี้, ฟูรแคสก็เข้ามาหาฉันจากด้านใต้
“ตอนนี้เจ้าเคลื่อนย้ายหนีไม่ได้แล้ว!!”
“อย่าดูถูกข้าสิ”
ฉันหยุดการเคลื่อนไหวของดาบยักษ์ด้วยบาเรียของฉันแล้วต่อยหมัดตรงเข้าไปเพื่อตอบโต้ฟูรแคสที่กำลังเข้ามาหาฉันจากด้านใต้
หมัดตรงของฉันนั้นมีรูปร่างเป็นหมัดยักษ์โปร่งแสงแล้วซัดฟูรแคสที่ยังอยู่ไกล, กระเด็นกลับไปที่พื้น
“อึ้ก!!??”
เทคนิคที่เรียกว่ามือเวทมนตร์คือเวทมนตร์ที่สร้างมือและเท้าจำลองขึ้นมา
ฟูรแคส, ที่รับหมัดเวทมนตร์ของฉันไป, กระแทกกับพื้นเข้าอย่างจัง
ในขณะที่เขากระแทกพื้นอย่างรุนแรงฉันก็ทำท่ารัวเตะ ถ้าเอลน่ามาเห็นฉันเธออาจจะบอกว่ามันเป็นการเตะห่วยๆแต่ฉันแค่อยากซัดเจ้าหมอนี่ให้กระเด็นออกไปดังนั้นแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ขายักษ์ถูกสร้างขึ้นมาแล้วซัดฟูรแคสออกไปในแนวนอน
“อั้ก! อึ้ก! โอ้กกก!!!!!”
ในขณะที่กระดอนบนพื้นอยู่หลายครั้ง, ฟูรแคสก็ปักดาบลงพื้นแล้วสามารถหยุดการกระดอนเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม, ผลลัพธ์ของการหยุดนั้นก็ทำให้ฟูรแคสตกเป็นเป้าโจมตีอีกครั้ง
[[โอมราชาแห่งปฐพี, จงมอบความตายให้กับคนอวดดีผู้นี้ด้วยเถิด—แผ่นดินไหว]]
พื้นดินที่ฟูรแคสอยู่นั้นยกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและในที่สุดก็กลายเป็นหอกยักษ์ที่ทำขึ้นจากดินแล้วโจมตีเขา
ฟูรแคสพยายามหนีขึ้นฟ้าแต่หอกก็ยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ, มันจะไม่หยุดจนกว่าจะสามารถไปถึงตัวฟูรแคสได้
“หนอย! ปล่อยเวทย์ที่น่ารำคาญออกมาเรื่อยๆเลยนะ!!”
เมื่อรู้ตัวแล้วว่ามันจะไม่ยอมปล่อยเขาไป, ฟูรแคสก็ห่อหุ้มดาบด้วยความมืดแล้วฟันมันด้วยพลังทั้งหมด
ด้วยการเคลื่อนไหวนี้, หอกดินก็สลายและกลับเป็นดินปกติ
“แฮ่ก แฮ่ก…..”
“เจ้าดูเหนื่อยๆนะ, สนใจพักก่อนไหม?”
“ชิ…ทำไมกัน? ทำไมเจ้าถึงไม่เอาจริงตั้งแต่แรกหล่ะ?”
“ถ้าเขาเอาจริงตั้งแต่แรกเธอก็จะกลัวหน่ะสิ ผู้อัญเชิญของเจ้าหน่ะ”
“แค่นั้นอะนะ….? เจ้าออมมือแค่เพราะเรื่องนั้นเนี่ยนะ!?”
ฟูรแคสถลึงตากว้างราวกับว่าเขาไม่อยากจะเชื่อ
เอาเถอะ, มันก็เป็นปฏิกิริยาที่เข้าใจได้หล่ะนะ
ฉันแค่เคลื่อนไหวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด บางคนติติงฉันเพราะจุดนี้ การต่อสู้ในสถานที่ที่เสียเปรียบเพียงเพื่อปกป้องชาวบ้านคนนึง ยื้อเวลาต่อสู้ให้นานขึ้นเพื่อคนๆเดียว
หลายๆคนคงบอกว่าบางคนต้องทำการเสียสละ, มันคือการเสียสละที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อให้อีกหลายคนไม่ต้องเสียสละตามไปด้วย
นี่เป็นข้อโต้แย้งที่ฟังขึ้น
อย่างไรก็ตาม, ฉันไม่ได้มีหน้าที่หรือภาระอะไรที่ต้องไปฟังพวกเขา
“แค่นั้นแหล่ะ มีคนเคยพูดเอาไว้มันเป็นความรับผิดชอบของคนที่มีพลัง ก็คิดว่ามันเป็นวิธีพูดที่ดูมักง่ายอยู่หรอก, แต่มันก็มีความจริงอยู่ในนั้นด้วย ถ้าพวกเขาอยู่ในจุดที่เอื้อมมือไปถึงก็ควรจะช่วยพวกเขาแต่มันก็น่าเจ็บปวดที่ข้าเองก็เป็นมนุษย์ ข้าไม่สามารถช่วยเหลือใครก็ตามที่ข้าเอื้อมไม่ถึงได้ นี่คือสาเหตุที่ข้าตัดสินใจจะช่วยพวกที่ข้าเอื้อมไปถึงด้วยพลังทั้งหมดของข้า ต่อให้มันจะดูไร้เหตุผล, ต่อให้คนอื่นจะบอกว่าข้าโง่, นี่ก็ยังคงเป็นความเชื่อของข้าในฐานะนักผจญภัย”
“ข้าไม่เข้าใจเลย…..ความแข็งแกร่งคือความชอบธรรม! นี่คือกฏของโลกปีศาจ!”
“นั่นอาจจะเป็นความจริงในโลกปีศาจ แต่ว่า, ที่นี่คือโลกเบื้องบน โลกนี้ก็มีกฏของมันเอง”
“พวกชนชั้นปกครองเองก็ถูกตัดสินจากความแข็งแกร่งไม่ใช่รึไง!!??”
“อา, นั่นสินะ และคนที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้ก็คือข้า หรือให้พูดง่ายๆก็คือ—ที่นี่ข้าคุม”
“อย่ามาทำเป็นเล่นกับข้านะ!!!!!!”
ฟูรแคสหงุดหงิดกับคำพูดของฉันแล้วเริ่มห่อหุ้มดาบด้วยความมืดอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็เหวี่ยงพวกมันใส่ฉัน
ในฐานะปีศาจ, ดูเหมือนว่าเขาจะรับไม่ได้กับการที่โดนฉันดูถูก ศักดิ์ศรีของเขาในฐานะปีศาจไม่สามารถยอมให้โดนพวกมนุษย์ดูถูกได้
อย่างไรก็ตาม, นี่มันประจวบเหมาะไปเลย
การฟันสีดำสนิทที่ฟูรแคสปล่อยออกมาใส่ฉันถูกหยุดเอาไว้ด้วยบาเรียที่ฉันร่าย มันคือบาเรียที่ดูดซับพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
“เจ้าควรจะเริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่ตอนที่ถูกอัญเชิญออกมาแล้ว มันเป็นความหยิ่งยโสของเจ้าเองที่เลือกสร้างฐานของตัวเองขึ้นที่นี่แล้วอัญเชิญปีศาจตัวอื่นออกมา”
“คนที่เย่อหยิ่งที่สุดในที่นี้ก็คือเจ้าต่างหากหล่ะ!!!!”
“ไม่ปฏิเสธ”
ฟูรแคสเพิ่มพลังเข้าไปในการฟันของเขาเพื่อพยายามทำลายบาเรียให้แตกแต่บาเรียนี้ไม่สามารถทำลายได้ด้วยวิธีการปกติ
เขาควรจะยอมตัดใจจากแนวหน้าตั้งแต่ตอนที่ฉันเตรียมการเสร็จแล้ว
ฟูรแคสจ้องมาที่ฉันแต่ฉันก็ไม่สนใจ
คนที่กำลังมองมาทางฉันนั้นไม่ได้มีแค่ฟูรแคส ตอนนี้, มีอีกหลายคนกำลังมองมาที่ฉัน
มองมาที่นักผจญภัยแรงค์ SS ซิลเวอร์คนนี้
“นักผจญภัยแรงค์ SS นั้นแตกต่างจากนักผจญภัยคนอื่น ทุกคนต่างก็คิดว่า ‘ถ้าเป็นซิลเวอร์หล่ะก็ต้องทำได้แน่’ ดังนั้น, ข้าต้องกลายเป็นตัวตนที่จุดแรงบัลดาลใจให้กับคนที่คิดแบบนั้น และวันนี้ข้าก็บอกกับจักรพรรดิในอนาคตไปแล้วด้วยว่าข้าจะแสดงพลังให้ดูเอง เขาพูดจาเอาแต่ใจว่าจะทำตามอุดมคติของตัวเองให้ได้, และขอยืมพลังของข้า ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่ข้าต้องตอบกลับความมุ่งมั่นนี้, ข้าต้องแสดงพลังให้เขาได้เห็น”
พอพูดจบ, ฉันก็แปลงพลังที่ดูดซับมาจากการโจมตีของฟูรแคสเป็นพลังเวทย์และเริ่มเตรียมเวทมนตร์ใหญ่
ในตอนที่รู้ตัว, ฟูรแคสก็พยายามจะเข้ามาหยุดฉันแต่เขาก็ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยโซ่ที่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้
“นี่มัน….!!??”
“อยู่เฉยๆแล้วคอยดูให้ดีเถอะหน่า เวทย์นี้มันต้องใช้เวลาเตรียมตัวนะ”
จะว่าไปฉันใช้เวทย์นี้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่กันนะ
ตั้งแต่ที่สงครามผู้สืบทอดเริ่มต้นขึ้นฉันก็หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าจะช่วยลีโอจากเงามืดยังไงดี
สิ่งที่ฉันต้องปกป้องเองก็เพิ่มขึ้นด้วยและมีหลายสิ่งที่ฉันต้องทำดังนั้นฉันจึงไม่ได้เอาตัวจดจ่ออยู่แต่กับการต่อสู้เหมือนเมื่อก่อน
เมื่อก่อนมันสบายจริงๆ
ต่อสู้คนเดียวและเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่ง, นั่นคือทั้งหมดที่ฉันต้องการ ง่ายๆและชัดเจน ต่อสู้ในฐานะซิลเวอร์นั้นเป็นเรื่องง่ายๆ
แม้จะเป็นเช่นนั้น, ฉันก็โยนทุกอย่างทิ้งไปและตัดสินใจช่วยเหลือลีโอ
วันนี้เขาได้พิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่ตัวเลือกที่ผิด เขาเติบโตขึ้นและกำลังเข้าใกล้ตัวตนของจักรพรรดิในอุดมคติที่ฉันเคยเห็นขึ้นเรื่อยๆ ซักวันนึงลีโอจะกลายเป็นจักรพรรดิที่ทุกคนชื่นชม วันนี้เขาได้แสดงความเป็นไปได้นั้นให้ฉันได้เห็นแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง, ฉันจะมัวทำตัวชิวๆไม่ได้อีกแล้ว
ในที่แห่งนี้, ฉันจำเป็นต้องทำให้มนุษย์ทุกคนได้จดจำ
จดจำว่าซิลเวอร์คือตัวตนที่ควรจะเคารพยำเกรง
[[ข้าคือคนที่รู้หลักการของเงิน・ข้าคือคนที่ถูกเงินที่แท้จริงเลือก]]
เพราะสวมหน้ากากเงินก็เลยเป็นซิลเวอร์
ฉันไม่ได้เรียกตัวเองแบบนี้เพราะเหตุผลง่ายๆเช่นนั้นหรอก
[[ดาวเงินแห่งมหาสมุทรดวงดาว・ส่องสว่างมายังโลกและคุกคามสวรรค์]]
ในบรรดาเวทย์โบราณเองก็มีอยู่หลายแขนง
หนึ่งในนั้น, มีเวทย์นึงที่ทรงพลังกว่าเวทย์อื่นๆ
และเวทย์นั้นก็เป็นแขนงที่ฉันเชี่ยวชาญที่สุดด้วย
ชื่อของมันคือเวทย์เงินทำลายล้าง
มันคือเวทมนตร์ที่ฉันเคยใช้กำจัดมังกรโบราณ, และเป็นเวทย์แรกที่ฉันใช้ในฐานะนักผจญภัย สัญลักษณ์ของซิลเวอร์
[[ประกายแสงเงินคือสัจธรรมของเทพ・ประกายแสงเงินคือการป้องกันศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์]]
ในตอนที่ฉันตัดสินใจกลายเป็นนักผจญภัย, สิ่งแรกที่ฉันทำก็คือการเอาชนะมังกรโบราณที่เคยอยู่ในช่วงก่อความวุ่นวายใกล้กับจักรวรรดิและเอามันไปหย่อนที่สำนักงานใหญ่ของกิลด์นักผจญภัยในฐานะของฝาก
ตอนนั้นฉันยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นนักผจญภัยแต่นักผจญภัยที่ถูกส่งไปในฐานะทีมกำจัดนั้นได้รายงานสิ่งที่ฉันทำให้กับกิลด์และฉันก็ถูกแต่งตั้งเป็นนักผจญภัยแรงค์ SS เป็นกรณีพิเศษ
[[แสงวาบสีเงิน・ประกายเงินคือนิรันดร์]]
ชื่อของซิลเวอร์ได้รับมาตั้งแต่ตอนนั้น ในบางแง่, มันคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับชื่อที่สองของฉัน
มันบ่งบอกว่าชื่อซิลเวอร์นั้นไม่ได้มีเอาไว้แค่โชว์เท่
[[โอมแสงสีเงิน, จงมาสถิตในมือของข้า・และทำลายคนอวดดีให้สิ้นซาก—]]
ที่ระหว่างมือของฉันมีลูกบอลสีเงินปรากฎขึ้น, มันเปล่งแสงจ้าออกมา
พอสัมผัสได้ถึงพลังเข้มขึ้นที่แผ่ออกมาจากมัน, ฟูรแคสก็บีบอัดพลังทั้งหมดของเขาเพื่อสลัดโซ่คำสาปดูดพลังให้หลุดและเตรียมตัวป้องกัน
ไอ้หมอนี่ฝีมือใช่ย่อย การที่สามารถหนีจากโซ่พวกนี้ได้ก็หมายความว่าเขาแข็งแกร่งกว่าคู่หูแวมไพร์ที่ถูกกำหนดให้เป็นมอนส์เตอร์คลาส S จริงๆ แต่ว่า, มันก็สายเกินไปแล้ว
แสงสีเงินอยู่ในมือของฉันแล้ว
[[ลำแสงเงิน]]
ด้วยการขยี้ลูกบอลเงิน, ลูกบอลแสงขนาดยักษ์ก็ปรากฎขึ้นข้างหลังฉัน
มันเล็งไปที่ฟูรแคสและยิงลำแสงสีเงินออกมา
“อ้ากกกก!!!!”
ในการพยายามหักล้างแสงสีเงินที่กำลังพุ่งเข้ามา, ฟูรแคสได้ปล่อยพลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
หลังจากสูสีกันอยู่พักใหญ่ๆ, ฟูรแคสก็สามารถหักล้างมันได้
“เห็นไหมหล่ะ! เวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้า………”
ชัยชนะของฟูรแคสถูกขัดจังหวะ
ข้างหลังฉันมีลูกบอลแสงเจ็ดลูก, และแต่ละลูกก็กำลังยิงลำแสงเงินแบบเดียวกันใส่มอนส์เตอร์ที่อยู่ข้างใต้ฉัน ภาพนี้ไม่ต่างอะไรจากการลงโทษของพระเจ้า
ลำแสงเงินคือเวทย์ทำลายที่มีระยะกว้างสุดๆ มันคือเวทย์ที่จะสร้างลูกบอลแสงขึ้นมา, ซึ่งมันสามารถยิงลำแสงใส่ใครก็ได้ที่ฉันมองว่าเป็นศัตรู
เป็นโชคร้ายสำหรับเขาจริงๆ, ฟูรแคสสามารถหักล้างหนึ่งในนั้นได้
“บ้าหน่า…..”
มอนส์เตอร์ทุกตัวที่อยู่ข้างใต้ฉันถูกกวาดล้าง
ที่เหลืออยู่นั้นมีแค่ฟูรแคสเพียงคนเดียว
ซึ่งฉันก็ได้ใช้โซ่คำสาปพันธนาการเขาอีกครั้งและลากเขาไปที่ด้านบนของหลุมที่อยู่กลางเมือง ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ลูกบอลแสงทั้งเจ็ดก็เล็งไปที่ฟูรแคส
“ไอ้เวร…..เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่…..?”
“นักผจญภัยแรงค์ SS ซิลเวอร์ ถ้าเจ้าสามารถรอดกลับไปที่โลกปีศาจได้ก็อย่าลืมเอาชื่อนี้ไปป่าวประกาศด้วยหล่ะ บอกพวกมันว่ามีคนอันตรายอยู่ที่นี่ที่โลกเบื้องบนนี้”
“หนอยแหน่ะแก…….!”
“นี่เป็นของขวัญจากข้า อุตส่าห์ถ่อกันมาขนาดนี้ ถ้าไม่ได้เห็นแสงสว่างก็คงจะน่าเสียดายใช่ไหมหล่ะ?”
พอพูดจบฉันก็ยกมือขวาขึ้น
ถ้าฉันเหวี่ยงมันลงมา, ลูกบอลแสงทั้งเจ็ดก็จะยิงแสงสีเงินใส่ฟูรแคสพร้อมกัน
พอรู้สึกตัว, เขาก็เปล่งเสียงออกมาเพื่อหยุดฉัน
“ด, เดี๋ยวก่อน!?”
“ไม่”
ในขณะที่พูด, ฉันก็เหวี่ยงมือลงมา
บอลแสงได้เปล่งแสงรุนแรงและปล่อยลำแสงเข้มข้นสีเงินใส่ฟูรแคส
เหมือนกับแสงของดวงดาว, มันเปล่งประกายระยิบระยับ
และทันใดนั้นเอง, แสงสีเงินก็กลืนกินฟูรแคสและกำจัดมอนส์เตอร์กับปีศาจทั้งหมดที่พยายามเข้าไปในหลุมและมุ่งหน้ามายังโลกนี้
ในขณะที่หลุมค่อยๆหดลง, แสงสีเงินก็ค่อยๆบางลงเช่นกัน
ในตอนที่หลุมปิดสนิทแล้ว, ฉันก็ค่อยๆกำหมัดแล้วหยุดแสงสีเงิน
มอนส์เตอร์ทุกตัวถูกลำแสงเงินทำลายล้างไปแล้ว
ปีศาจเองก็หายไปด้วย
เด็กที่ติดอยู่ข้างในลูกบอลสีดำถูกช่วยแล้ว
ฉันเองก็พยายามช่วยอัศวินและนักผจญภัยในการต่อสู้ของพวกเขาเท่าที่จะทำได้
ฉันบอกได้เลยว่าผลลัพธ์การต่อสู้นี้ค่อนข้างน่าพึงพอใจ
ดังนั้นฉันก็เลยประกาศมันกับนักผจญภัยทุกคน
“การกำจัดมอนส์เตอร์เป้าหมายได้รับการยืนยัน! สัญญาณนี้คือจุดจบของเหตุการณ์ทางใต้! ดังนั้น! ข้าขอประกาศจบภารกิจ ‘ความช่วยเหลือของนกนางนวลสีน้ำเงิน’ เอาไว้นะที่นี้!! มันคือชัยชนะของพวกเรา!!”
ราวกับว่านักผจญภัยกำลังรอช่วงเวลานี้อยู่, พวกเขาต่างก็พากันส่งเสียงเฮลั่น
เมื่อเห็นแบบนี้, อัศวินเองก็ยกดาบของพวกเขาขึ้นสูงและตะโกนเสียงแห่งชัยชนะ
เหตุการณ์ทางใต้ที่เกือบจะสั่นคลอนจักรวรรดิได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก การเก็บกวาดทั้งหมดนี่คงจะใช้เวลาไม่ใช่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น, พวกเราก็ขอดื่มด่ำกับชัยชนะนี้ให้เต็มที่ก่อน
อย่างไรก็ตาม, มีบางสิ่งที่สำคัญกว่าชัยชนะนี้
นั่นก็คือพวกเราได้รับกำไรเต็มๆ
ตอนนี้ลีโอคือผู้กล้า, และเนื่องจากเขาลงใต้มาในฐานะผู้ตรวจสอบของจักรวรรดิตั้งแต่แรกแล้ว
“มันอาจจะถึงเวลาสู้กลับแล้วสินะ”
ในขณะที่พึมพำออกมาเช่นนั้น, ฉันก็เริ่มสร้างประตูเคลื่อนย้ายเพื่อส่งนักผจญภัยกลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ
ตอนที่ 87
เหตุการณ์ทางใต้คลี่คลายแล้ว
เนื่องจากสถานการณ์ลุกลามเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ในตอนแรก, ลีโอจึงกลับไปที่เมืองหลวงจักรวรรดิ
เพื่อสอบถามสถานการณ์กับพวกเขาโดยละเอียด, ท่านพี่กับเยอร์เกนจึงถูกเรียกกลับไปที่เมืองหลวงจักรวรรดิด้วยโดยใช้เรื่องมอบรางวัลให้พวกเขาสำหรับการตอบสนองที่รวดเร็วเป็นข้ออ้าง
กลุ่มคนที่ถูกเรียกตัวนั้นรวมฉันด้วยแต่ว่า……
“อา, แบบนี้แย่แล้วสิ…..”
เบื้องหน้าสายตาของฉันคือกลุ่มคนที่มาออกันหน้าประตูเมืองหลวงจักรวรรดิ
ลีโอกับอัศวินหลวงพร้อมกับอัศวินจากขุนนางทางใต้ที่ร่วมกันต่อสู้กำลังเดินทัพเข้ามาในเมืองหลวง ลีโอเป็นคนนำพวกเขาเข้ามาในประตูแต่มีการต้อนรับอย่างเร่าร้อนกำลังรอพวกเขาอยู่ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเดินหน้าตามปกติได้
“องค์ชายลีโอนาร์ด—!!!!”
“มันคือชัยชนะของเจ้าชายผู้กล้า!!”
“ท่านลีโอนาร์ดคะ!!!”
“โปรดมองมาทางนี้หน่อยสิคะ!!!!”
ทุกคนรู้ว่าสัญญาณไฟสีม่วงได้ถูกจุดจากทางใต้
ครั้งสุดท้ายที่มันถูกจุด, คือข่าวการตายของมงกุฎราชกุมาร
ทุกคนเตรียมใจรับฟังข่าวแบบเดียวกันในครั้งนี้แต่สิ่งที่ถูกส่งมานั้นคือข่าวร้ายเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเมืองบัสเซาและมันก็เป็นสเกลความเสียหายอันน้อยนิดสำหรับเหตุการณ์ระดับประเทศ
จากนั้นข่าวดีที่องค์ชายของพวกเขานำอัศวินและนักผจญภัยต่อสู้จนได้รับชัยชนะต่อฝูงมอนส์เตอร์จำนวนมหาศาลและปีศาจที่แข็งแกร่งก็เข้ามา
ความสุขของผู้คนนั้นมากพอๆกับความเศร้าที่พวกเขาเตรียมใจจะเผชิญ
เสียงเฮลั่นดังมาจากฝูงชนถึงลีโอและคนอื่นๆราวกับกำลังจัดงานเทศกาลอยู่
“นั่นมันท่านลีเซล็อตต์นี่!”
“ท่านจอมพล!!”
“ทรงพระเจริญองค์หญิงแม่ทัพ!!”
ในตอนที่ลีโอกับกลุ่มของเขาผ่านไป, ครั้งนี้มันก็ถึงคราของท่านพี่กับทหารของเธอจากหน่วยทหารม้า
เธอยอมยกตำแหน่งคนนำให้ลีโอเนื่องจากเขาเป็นพระเอกของเหตุการณ์นี้แต่เธอก็ยังคงได้รับเสียงเชียร์พอๆกับลีโอ
เธอคือเจ้าหญิงผู้งดงามที่คอยคุ้มกันชายแดนและสร้างความสำเร็จทางการทหารมากที่สุดในบรรดาราชวงศ์ของจักรวรรดิ หลังจากที่พวกเขาได้เห็นรูปโฉมของเธอหลังจากที่ไม่ได้เห็นมานาน, ผู้คนก็ดูเหมือนจะพากันรู้สึกตื่นเต้น
ถัดจากเธอ, ก็ถึงตาของฉันกับเยอร์เกน
คนแรกที่ผู้คนเริ่มส่งเสียงเชียร์ก็คือเยอร์เกน
“นั่นดยุคไรน์เฟลด์นี่!”
“ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่กรุยทางให้ท่านลีเซล็อตต์นะ!”
“ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นเพราะความพยายามของท่านดยุค, ท่านลีเซล็อตต์ถึงสามารถไปถึงทางใต้ได้ทันเวลา!”
“ท่านดยุค!!”
มีผู้คนค่อนข้างเยอะที่ส่งเสียงเชียร์เขา
ดูเหมือนว่าผู้คนที่นี่จะมีเครือข่ายข้อมูลที่ค่อนข้างรวดเร็วอย่างบอกไม่ถูก
“นั่นเขาไง, เจ้าชายไร้ค่า”
“ข้าได้ยินมาว่าเขาพยายามจะไปช่วยน้องชายในตอนแรกแต่ไปได้ครึ่งทางก็เหนื่อยซะก่อนเลยล้มเลิกไปทั้งแบบนั้น”
“ต่อให้เขาไปถึงที่นั่นก็คงทำได้แค่ถ่วงแข้งถ่วงขาคนอื่นเท่านั้นแหล่ะ”
“เจ้าชายองค์นี้ไร้ประโยชน์จริงๆเลย ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขากับองค์ชายลีโอนาร์ดเป็นฝาแฝดกัน”
“ทำไมเขาถึงได้มาร่วมเดินทัพกับคนอื่นๆนะ? เขาน่าจะหัดรู้สึกละอายซะบ้างสิ”
“นั่นสิ นั่นสิ! ไอ้ปลิงดูดชาวบ้าน!”
“เขานำความเสื่อมเสียมาให้กับราชวงศ์จริงๆ!”
เสียงเยาะเย้ยและคำดูถูกดังขึ้นประปรายจากฝูงชน
เรื่องแบบนี้มันไม่จบจริงๆนะ
พวกเขากำลังล้อเลียนฉันด้วยปากเดียวกับที่พวกเขาเคยสรรเสริญลีโอ
ฉันเข้าใจดีว่านี่คือสัจธรรมของผู้คน ดังนั้นฉันจึงยืดอกรับมัน ถ้าฉันหลบตา, คำเยาะเย้ยก็จะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงยังไง, ก็คงไม่มีใครอยากรับรู้ถึงราชวงศ์ที่น่าสมเพศ
อันที่จริง, คนที่จะมีปัญหาถ้าไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้ก็คือพวกเขา
พวกเขาทำตัวไม่เคารพมากพอแล้วแต่ฉันเป็นคนเดียวในราชวงศ์ที่มีมุมมองเรื่องความไม่เคารพเช่นนี้ต่างออกไป พวกเขาน่าจะไม่ถูกจับเว้นเสียแต่ว่าพวกเขาโยนบางอย่างใส่ฉัน อย่างไรก็ตาม, ถ้าพวกเขาเริ่มทำแบบนั้นการ์ดประจำเมืองจากกองทหารรักษาการณ์ของเมืองหลวงที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยก็จะเคลื่อนไหว
มันคงจะดูน่าสงสารสำหรับพวกเขาถ้าถูกจับเพียงเพราะโยนบางอย่างใส่ฉัน
ถึงยังไงประชาชนอย่างเขาก็ทำได้แค่พูดความไม่พอใจออกมาเท่านั้น
“องค์ชาย….ถ้าท่านต้องการ, ข้าสามารถทำให้พวกเขาเงียบได้นะครับ”
เยอร์เกนเสนออย่างเป็นห่วง
ถ้าฉันต้องการสินะ, ก็สมกับเป็นเขานั่นแหล่ะ
ฉันส่ายศรีษะเบาๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้, เยอร์เกนก็ยิ้มแล้วกลับไปมองข้างหน้า
จากนั้น,
“วางใจเถอะครับ, ความใจดีและความแข็งแกร่งของท่าน, อัศวินของข้าและตัวข้า, เยอร์เกน ฟ็อน ไรน์เฟลด์รู้ถึงมันดี โปรดภูมิใจในตัวเองเถอะครับ องค์ชายสมควรได้รับแล้ว”
“เจ้าประเมินข้าไว้สูงเกินไปนะ”
“ในโลกใบนี้, สิ่งที่ทำง่ายที่สุดคือไม่ทำอะไรเลย จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าท่านไม่สามารถไปอยู่ข้างองค์ชายลีโอนาร์ดได้ แต่ว่า, ท่านเลือกที่จะหยุด ข้าคิดว่าสิ่งทีท่านเลือกนั้นต้องใช้ความกล้าหาญ อย่างน้อยที่สุด, ข้าและอัศวินของข้าก็ถูกท่านช่วยเอาไว้ แม้กระทั่งตัวองค์ชายเอง, ข้าก็จะไม่ยอมให้ใครก็ตามปฏิเสธความจริงนี้”
“การหยุดก็ต้องใช้ความกล้าสินะ…..ท่านนี่แปลกคนจริงๆ, ท่านดยุค”
“ใช่ไหมหล่ะครับ? แต่มันก็ฟังดูเหมือนกับสิ่งที่ข้าพูดเป็นปกตินะครับ”
ในขณะที่บทสนทนาดำเนินไปเช่นนี้, ฉันก็ไม่ได้ยินเสียงของผู้คนอีกต่อไป
ด้วยความรู้สึกขอบคุณในมุมมองของเขา, ฉันก็มุ่งหน้าไปที่ปราสาทกับเยอร์เกน
“ยินดีต้อนรับกลับ! ลูกๆของข้า! เหล่าบริวาณของข้า! ข้ารู้สึกยินดีจริงๆที่ทุกคนกลับมาได้อย่างปลอดภัย!”
พวกเราได้รับการต้อนรับจากท่านพ่อในห้องบัลลังก์
ทุกคนคุกเข่าและก้มศรีษะลงให้กับท่านพ่อที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์
“นักผจญภัยที่กลับมาได้บอกกับพวกเราเกี่ยวกับการต่อสู้ของพวกเจ้าแล้ว การคลี่คลายเหตุการณ์ใหญ่แบบนี้, พวกเจ้าทุกคนถือว่าเป็นผู้กล้าได้เลย! คืนนี้ข้าได้เตรียมงานเลี้ยงเล็กๆเอาไว้ให้ ข้าอยากให้ทุกคนได้ฟื้นฟูความเหนื่อยล้าอย่างเต็มที่”
หลังจากที่พูดออกมาแบบนั้น, ท่านพ่อก็ส่งเสียงกระแอมแล้วมองไปที่ฟรานซ์, นายกรัฐมนตรี
เมื่อรู้ถึงสิ่งที่เขาอยากจะพูด, ฟรานซ์ก็พยักหน้าแล้วเริ่มพูด
“ในวาระโอกาสนี้, ทุกคนที่เข้าร่วมในการกอบกู้เหตุการณ์ทางใต้จะได้รับรางวัล และในกลุ่มพวกเจ้า, คนที่ทำคุณประโยชน์โดดเด่นเป็นพิเศษจะได้รับรางวัลจากองค์จักรพรรดิโดยตรงที่นี่เลย คนที่ถูกข้าเรียกชื่อกรุณาก้าวออกมาข้างหน้า”
พอพูดจบ, คนใช้ก็เอารางวัลมาถือรอไว้ใกล้ๆกับท่านพ่อ
เมื่อเห็นว่าเตรียมการเรียบร้อยแล้ว, ฟรานซ์ก็เริ่มประกาศชื่อผู้ที่ได้รับด้วยน้ำเสียงที่ดังชัด
“รางวัลแรก! เจ้าชายลำดับแปด, องค์ชายลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์, โปรดก้าวออกมาข้างหน้า!”
“ครับ!”
หลังจากขานรับ, ลีโอนาร์ดก็ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วคุกเข่าเบื้องหน้าท่านพ่อ
เมื่อเห็นเช่นนี้, ท่านพ่อก็รับดาบมาจากหนึ่งในคนใช้
มันเป็นดาบยาวที่มีสัญลักษณ์เหยี่ยวสีทองสลักเอาไว้ที่ปลอก
มันคือดาบพิธีการที่ใช้ในการแต่งตั้งตำแหน่งที่สำคัญๆทางการทหาร
“เจ้าชายลำดับแปดลีโอนาร์ดได้ทำการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดด้วยการจุดสัญญาณไฟขึ้นและชี้นำอัศวินมากมายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้นในระหว่างวิกฤติทางใต้ หลังจากนั้น, เพื่อถอนรากถอนโคนปัญหาให้หมดไป, เขาได้บุกเข้าไปที่แนวหน้าและเอาชนะปีศาจมาได้ สำหรับคุณงามความดีที่น่ายกย่องของเขานั้น, เขาจะได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งนายพลกิตติมศักดิ์แห่งกองทหารรักษาการณ์ของจักรวรรดิที่ยังว่างอยู่ควบคู่ไปกับสิทธิในการเข้าร่วมสภาองคมนตรี”
“ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ”
ลีโอนาร์ดรับดาบด้วยความเคารพ
เมื่อได้ยินเช่นนี้, ก็มีเสียงอึกทึกจากในกลุ่มผู้ที่เข้าร่วมพิธี
“ไม่ใช่แค่นายพลกิตติมศักดิ์แต่ยังได้รับสิทธิในการเข้าร่วมสภาองคมนตรีด้วย…..!?”
“นี่มันไม่มากไปหน่อยหรอ…..?”
“ก็ความสำเร็จของเขามันยอดเยี่ยมขนาดนั้นนี่นะ
“แบบนี้ก็เริ่มเดาทางไม่ถูกแล้วสิ……”
ถึงจะเป็นนายพลกิตติมศักดิ์ก็ยังคงเป็นนายพล นี่หมายความว่าเขาพึ่งได้รับตำแหน่งที่เทียบเท่ากับกอร์ดอนซึ่งเป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งจักรพรรดิเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น, ตอนนี้เขายังมีอิทธิพลเหนือกองทหารรักษาการณ์แห่งเมืองหลวงจักรวรรดิ นายพลกิตติมศักดิ์คือตำแหน่งกิตติมศักดิ์แต่เนื่องจากอิทธิพลของเจ้าของตำแหน่งคนก่อน, นายพลโดมินิคที่จากไป, ลีโอจึงสามารถเคลื่อนไหวขุมกำลังจำนวนมากในเมืองหลวงจักรวรรดิได้ถ้าเขาต้องการ
นอกจากนี้, เขายังได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมสภาองคมนตรีซึ่งแต่เดิมนั้นในบรรดาผู้ชิงตำแหน่งจักรพรรดิมีแค่เอริคที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม ด้วยเหตุนี้เอง, ตอนนี้เขาจึงสามารถถ่ายทอดความคิดเห็นของเขากับท่านพ่อได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านรัฐมนตรีแล้ว และด้วยเอิร์ลเบลส์ที่กลายเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวิศวกรรม, ตอนนี้พวกเราจึงมีเสียงโหวตในสภาถึงสองเสียง
พูดอีกนัยนึงก็คือ, นี่หมายความว่าเขามีฐานเสียงที่มั่นคงและอิทธิพลเหนือการเมืองของประเทศ
และด้วยเหตุนี้, โครงสร้างอำนาจในสงครามผู้สืบทอดจึงเปลี่ยนไป
ต้องขอบคุณเหตุการณ์นี้, ลีโอจึงไม่ใช่แค่ผู้เข้าชิงคนที่สี่ที่พึ่งเข้ามาใหม่แต่เป็นหนึ่งในตัวเต็งผู้เข้าชิงที่สามารถคุกคามได้แม้กระทั่งเอริค
“ต่อไป, รางวัลที่สอง! จอมพลลีเซล็อตต์ เลคส์ แอดเลอร์ โปรดก้าวมาข้างหน้า!”
“ค่ะ!”
ครั้งนี้, ท่านพี่ลีเซก้าวออกมาข้างหน้า
สำหรับท่านพี่ลีเซนั้น, ท่านพ่อได้ส่งคทาให้
“จอมพลลีเซล็อตต์ได้ตอบสนองต่อสัญญาณไฟของลีโอนาร์ดอย่างฉับไวและออกเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว, ด้วยการนำพลทหารระดับสูงของกองทัพชายแดนตะวันออกไปยังที่เกิดเหตุ หลังจากนั้น, ด้วยกันกับลีโอนาร์ด, เธอได้กรุยทางเข้าไปในเมือง สำหรับความดีที่น่ายกย่องนี้, กองทัพชายแดนตะวันออกจะได้รับพลทหารและงบประมาณเพิ่ม”
“ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ”
สมกับเป็นท่านพ่อ
เขาเข้าใจดีว่าท่านพี่ไม่ได้ต้องการของอย่างพวกเหรียญตรา
ท่านพี่ที่ได้รับคทาดูค่อนข้างดีใจ
“สุดท้าย, รางวัลที่สาม! เยอร์เกน ฟ็อน ไรน์เฟลด์ โปรดก้าวมาข้างหน้า!”
“ครับ!”
คนสุดท้ายที่ถูกเรียกก็คือเยอร์เกน
ท่านพ่อได้เตรียมอัญมณีชิ้นใหญ่ให้กับเยอร์เกน
“ดยุคเยอร์เกน, ด้วยกันกับอัศวินของเขา, ได้ทำการกำจัดมอนส์เตอร์และกรุยทางให้ท่านลีเซล็อตต์รุดหน้าไปได้ง่ายขึ้นด้วยกันกับการมองการไกลของเขาในการสร้างเส้นทางที่มีประสิทธิภาพเผื่อในกรณีฉุกฉัน, ด้วยประการฉะนี้เองเขาจะได้รับทรัพย์สมบัติและได้รับการขยายดินแดนของเขา”
“ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ”
เยอร์เกนที่ได้รับกล่องซึ่งเต็มไปด้วยอัญมณีถอยกลับมา
ตอนนี้พิธีมอบรางวัลพิเศษได้จบลงแล้ว
หลังจากนั้น, ท่านพ่อก็จบการทักทายตามพิธีการและก้าวลงมา
ตอนนี้, ที่เหลืออยู่ก็มีแค่งานเลี้ยงคืนนี้
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่, ฉันก็ได้ยินบทสนทนาของรัฐมนตรีที่เข้าร่วมกับขุนนางที่มีอิทธิพล
“เริ่มเข้าหาองค์ชายลีโอนาร์ดน่าจะดีกว่านะ…..”
“แต่เข้าหาตอนนี้มันก็คงสายไปแล้ว…..”
“ทัศนคติคือสิ่งสำคัญนะ, ทัศนคติหน่ะ ทำตัวดีๆกับผู้เข้าชิงบัลลังก์ถือเป็นสิ่งที่ควรทำ ถึงยังไงตอนนี้ใครจะเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปก็คาดเดาไม่ได้แล้ว…..”
“แต่ไม่ว่าองค์ชายลีโอนาร์ดจะเติบโตเร็วแค่ไหน, ขุมอำนาจขององค์ชายเอริคก็ยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องกำลังคน อย่างน้อย, องค์ชายลีโอนาร์ดก็ยังต้องใช้เจ้าชายไร้ค่าด้วยซ้ำ ความแตกต่างด้านบุคลากรของพวกเขามันชัดเจนมากเลยไม่ใช่รึไง……?”
“แต่มันก็คิดแบบนี้ได้ไม่ใช่หรอ? ถ้าเขาถึงกับต้องใช้เจ้าชายไร้ค่าก็แสดงว่าตอนนี้เขากำลังหาทรัพยากรบุคคลที่มีความสามารถ ข้าคิดว่าตอนนี้มันเป็นโอกาสของพวกเรานะ…..”
ดูเหมือนว่าพวกเขาเริ่มคิดทฤษฎีต่างๆออกมากันแล้ว
การทำตัวเป็นคนไร้ค่านี่มันคุ้มจริงๆ
ถ้าลีโอต้องใช้คนที่ไร้ค่าอย่างฉัน, มันก็หมายความว่าเขามีปัญหาเรื่องกำลังคน ด้วยแนวคิดนี้เอง, ฉันคิดว่าน่าจะมีคนตัดสินใจมาเป็นพันธมิตรของลีโอเพิ่ม
ต่อให้พวกเราเป็นพี่น้องกัน, แต่เขาก็ยังใช้คนไร้ค่าอย่างฉัน พวกที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองและพวกที่รู้สึกไม่พอใจตำแหน่งของตัวเองในปัจจุบันน่าจะตัดสินใจมารวมกันภายใต้อำนาจของลีโอเพราะเรื่องนี้
นี่คือสาเหตุที่ฉันยังต้องทำตัวไร้ค่าต่อไป
ด้วยการเห็นพ้องกับความเชื่อของฉันอีกครั้ง, ฉันก็ออกจากสถานที่ไป
ตอนที่ 88
“ท่านพี่อัล!”
ที่งานเลี้ยงในปราสาท
ฉันกำลังยืนรออยู่ที่ทางเข้า
ที่นั่น, คริสต้าตรงมาหาฉันด้วยก้าวน้อยๆของเธอ
“คริสต้า”
ฉันปล่อยให้คริสต้ากอดอยู่พักนึง
เธอต้องรู้สึกค่อนข้างกังวลในช่วงที่ฉันไม่อยู่แน่ๆ
ในตอนที่ฉันลูบศรีษะของเธอ, คริสต้าก็กอดฉันแน่นขึ้นอีก
“กลัวรึเปล่า?”
“อื้ม….แต่ว่า….เอลน่าปกป้องข้า….”
“เห็นไหมหล่ะ…..”
“ท, ท่านพี่อัล……เอลน่าหน่ะ……”
“ไม่เป็นไร, ข้ารู้เรื่องแล้วหล่ะ ไม่ต้องห่วงนะ, ข้าจะหาทางทำอะไรซักอย่างเอง เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องของเธอหรอก สนุกกับงานเลี้ยงคืนนี้เถอะ”
พอได้ยินเช่นนั้น, สีหน้าของคริสต้าก็สดใสขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเห็นแบบนี้, ฉันก็เริ่มพูดเรื่องอื่นกับคริสต้า
“แล้วได้เจอลีโอกับท่านพี่ลีเซรึยัง?”
“อื้ม! ท่านพี่ลีเซเป็นคนเลือกชุดให้ข้า!”
คริสต้าหมุนตัวเพื่อโชว์ชุดเดรสสีม่วงตัวใหม่ของเธอ
ดูเหมือนเธอจะมีความสุขมากที่ท่านพี่ลีเซเลือกให้เธอ
แม้ว่าพวกเราจะเป็นราชวงศ์เหมือนกัน, แต่ดาวเด่นของงานเลี้ยงวันนี้ก็คือลีโอกับท่านพี่ลีเซดังนั้นฉันจะมุ่งหน้าเข้าไปในงานด้วยกันกับคริสต้าก่อน
“งั้นหรอ ถ้างั้นเจ้าก็ควรเอาไปอวดทุกคนนะ ริต้าเองก็น่าจะอยู่ข้างในงานแล้วเหมือนกัน”
“อื้ม!”
พอพูดจบ, ฉันก็เดินเข้าไปในงานเลี้ยงกับคริสต้า
ในตอนที่อัศวินที่ประตูประกาศการมาถึงของฉันกับคริสต้า, เสียงตบมือและสายตาก็ตรงมาที่พวกเรา อย่างไรก็ตาม, มันคือคริสต้าที่เป็นศูนย์กลางความสนใจของพวกเขา
องค์หญิงที่ถูกลักพาตัว, และน้องสาวของท่านพี่ลีเซ
ไม่เหมือนกับองค์หญิงคนอื่นๆที่มีปัญหาต่างๆติดมากับพวกเธอ, มีขุนนางหลายคนที่อยากให้ลูกชายของพวกเขาได้แต่งงานกับคริสต้าในอนาคต
ในขณะที่คอยกันขุนนางพวกนั้น, ฉันก็มุ่งหน้าไปหาริต้าด้วยกันกับคริสต้า
“อ้ะ, พี่อัล! คูจัง!”
ริต้ากำลังโบกมือให้พวกเราอย่างเริงร่าแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ทันสังเกตเห็นครูฝึกของเธอที่กำลังจ้องเธออย่างเหนื่อยใจ
สมกับเป็นริต้าจริงๆ
“ริต้า…..ชุดพวกนี้, ดูเหมาะกับเธอดีนะ”
ริต้ากำลังสวมชุดพิธีการสำหรับอัศวินฝึกหัดพร้อมกับดาบที่เหน็บอยู่ตรงเอวของเธอ
เสื้อผ้าของเธอเนี้ยบมากจนดูไม่เหมือนกับริต้าในตอนแรกแต่ดูเหมือนว่าเธอจะชอบมันมากๆ
“หรอ!? จริงนะ!?”
“อื้ม”
“ขอบใจนะ! คูจัง! ชุดของคูจังก็ดูสวยมากๆเหมือนกัน!”
“ท่านพี่ลีเซเป็นคนเลือกให้ข้า”
“องค์หญิงแม่ทัพคนนั้นหน่ะหรอ!? ข้าจะได้เจอรึเปล่านะ!?”
“อื้ม, เจ้าจะได้เจอแน่ๆ”
“เย้!”
ในขณะที่กำลังเฝ้ามองทั้งสองคนคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน, ฝูงชนก็เริ่มส่งเสียงที่ทางเข้าของงาน
ในตอนนั้นเอง, ชื่อของลีโอกับท่านพี่ลีเซก็ถูกประกาศ
งานเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงตบมือที่เทียบกับของฉันและคริสต้าไม่ได้เลย
“องค์ชายลีโอนาร์ด! ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จครั้งใหญ่ของท่านด้วยครับ!”
“จอมพลลีเซล็อตต์! การต่อสู้ของท่านโดดเด่นเสมอเลยนะครับ! ดูเหมือนท่านจะไม่เคยมือตกเลยนะครับ”
ทั้งสองถูกคนห้อมล้อมในทันที
ตอนนี้น่าจะมีพวกที่ถูกผู้ใหญ่ในตระกูลบอกมาว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าหาพวกเขาด้วย
มีเด็กที่อายุพอๆกับคริสต้าอยู่รอบๆเธอด้วยแต่พอมีริต้าอยู่ที่นี่, เด็กพวกนี้ก็เลยเข้ามาหาเธอซี้ซั้วไม่ได้
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอนี่ดีจังเลยนะ
ในขณะที่กำลังคิดเช่นนี้, ฉันก็ออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างเงียบๆแล้วมายืนพิงกำแพง
ในทิศตรงข้าม, ลีโอ, ท่านพี่ลีเซ, แล้วก็ฟีเน่ถูกพวกขุนนางห้อมล้อมอีกครั้ง
เครื่องประดับนกนางนวลสีน้ำเงินนั้นน่าจะมีความพิเศษบางอย่างแต่เธอดูดีมากๆในชุดเดรสสีน้ำเงินในวันนี้, ดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันคงเรียกเธอไม่ได้สินะ
ฉันมองเห็นเยอร์เกนจากตรงนี้ด้วยแต่เนื่องจากเส้นสายทางสังคมของเขา, เขาจึงถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าคนรู้จักในเมืองหลวงจักรวรรดิ
ถ้าฉันไปหาเขาตอนนี้, คนที่อยู่รอบตัวเขาก็จะตีตัวออกห่างอย่างแน่นอน
“นี่มันเป็นปัญหาจังเลยนะ…..”
งานเลี้ยงที่ไม่มีใครคุยด้วยก็คืองานเลี้ยงที่น่าเบื่อดีๆนี่เอง
เพราะทำได้แค่ดูคนอื่นกำลังสนุกมันก็เป็นธรรมดาหล่ะนะ
หลังจากนั้นซักพัก, ท่านพ่อก็มาถึงและงานเลี้ยงก็เริ่มจริงจัง
หลายคนเริ่มเต้นรำไปตามเสียงเพลงพร้อมกับเสียงหัวเราะแห่งความสุขที่ดังก้องไปทั่วงาน
ทุกครั้งที่มีคนพยายามจะมาชวนท่านพี่ลีเซเต้นเธอก็จะแกว่งดาบที่ห้อยตรงเอวของเครื่องแบบทหาร ถ้ามีคนเข้ามาพูดชวนเธอจริงๆเธอก็น่าจะบอกว่า ‘ถ้าเจ้าอยากเต้นกับข้าก็ประลองกับข้าให้ชนะก่อนสิ’
ในอีกด้านนึง, ฟีเน่กับลีโอกำลังยิ้มแย้มในขณะที่คอยรับกับขุนนางทั้งหลาย ถึงยังไงนี่ก็เป็นงานของพวกเขา ตอนนี้คือโอกาสดีที่พวกเราจะได้พันธมิตรเพิ่ม
ส่วนเยอร์เกนนั้น, เขาเองก็ปฏิเสธคำเชิญของผู้หญิงทุกคนอย่างสุภาพ เหมือนเช่นเคย, เขาเป็นคนที่สุภาพจริงๆ
ทางด้านของคริสต้ากับริต้าเองก็ยังคงถูกเด็กๆห้อมล้อม
ที่นี่ไม่มีที่อยู่สำหรับฉัน
ด้วยความรู้สึกเช่นนี้, ฉันก็หัวเราะเยาะตัวเอง
คนที่ต้องการจุดยืนแบบนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากฉัน แต่ว่า, ฉันเองก็อยากใช้ช่วงเวลาที่สนุกสนานกับใครซักคนเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม, การอิจฉาพวกเขาเพราะเรื่องนี้มันคงจะเกินไปหน่อย
มันยังมีหนทางที่ฉันสามารถเดินบนเส้นทางเหมือนกับลีโอได้แต่ฉันไม่เลือกมัน
ถ้าเส้นทางของลีโอเต็มไปด้วยแสงสว่างของฉันก็คงเต็มไปด้วยเงามืด
มันไม่มีความจำเป็นที่ฉันจะต้องมาถูกคนอื่นสรรเสริญ มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีคนมาสังเกตเห็นฉัน
ฉันเลือกเส้นทางนี้ด้วยความรู้สึกแบบนั้น
ฉันคิดว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุด
“ไง, อาร์โนลด์”
มีคนน่ารำคาญคนนึงโผล่มาขัดความคิดของฉัน
ซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากกีโด้และผู้ติดตามของเขา
แม้ว่าเขาจะสวมชุดพิธีการ, แต่มันก็ไม่ได้ดูเป็นพิธีการเลยเพราะดูเหมือนว่าเขาจะจัดมันตามเซ้นส์แฟชันของตัวเอง
เขาชอบแต่งตัวแบบนี้จริงๆสินะ ว่าแล้วเชียว, ไอ้หมอนี้เซ้นส์ห่วยชะมัด
“กีโด้หรอ”
“หืม? อะไรกัน? ข้าอุตส่าห์ออกมาคุยกับเจ้าชายไร้ค่าอย่างเจ้าแต่นี้คือสิ่งที่เจ้าพูดกับข้าหรอ? ตอนนี้เจ้าควรจะร้องไห้ดีใจซักหน่อยไม่ใช่รึไง?”
“เห้อ….ก็ได้, ก็ได้, ขอบใจมากนะ”
“ข้าไม่ชอบน้ำเสียงของเจ้าเลย, ช่วงนี้ชอบทำตัวหยิ่งหรอ? ความสำเร็จของลีโอนาร์ดมันไม่ใช่ของเจ้าเลยซักนิด ยิ่งลีโอนาร์ดเติบโตมากเท่าไหร่, เจ้าก็ยิ่งดูไร้ค่าขึ้นเท่านั้น มันมีข่าวลือด้วยนะว่าซักวันนึงเจ้าจะถูกเขี่ยออกจากขุมอำนาจของลีโอนาร์ด”
“ก็ไม่รู้สินะ….”
ฉันไม่ชอบคนที่คิดได้แค่แบบนี้
ฉันอยากได้ใครสักคนที่มีความรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเข้าร่วมกับขุมอำนาจของเรา
ลีโอต้องการพันธมิตรแบบนั้น
สงครามผู้สืบทอดไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างผู้เข้าชิงแต่ยังรวมถึงขุมอำนาจของพวกเขาด้วย ไม่ว่าลีโอจะสามารถแข่งกับอีกสามคนที่เหลือได้ดีแค่ไหน, แต่ถ้าขุมอำนาจของเขาด้อยกว่าเขาก็จะไม่มีวันกลายเป็นจักรพรรดิได้
“อะไร? ตอนนี้รู้สึกเสียใจขึ้นมารึไง? แม้แต่เจ้าก็อยากยืนอยู่กลางแสงไฟเหมือนกันใช่ไหมหล่ะ? แต่คงรู้ตัวสินะ, คนไร้ค่าอย่างเจ้ามันเป็นไปไม่ได้หรอก
พอพูดจบ, กีโด้กับคนติดตามของเขาก็หัวเราะลั่น
ให้ตายเถอะ, คนพวกนี้นี่ว่างกันจังเลยนะ อยากรู้จังว่าท่านพ่อใกล้จะกลับที่พำนักรึยัง ฉันไม่สามารถออกจากที่นี่ก่อนเขาได้ แถมฉันมีที่ต้องไปหลังจากนี้ด้วย
ในขณะที่สีหน้าของฉันเริ่มดูเหนื่อยใจ, กีโด้ก็แสยะยิ้ม
“ข้ามีข่าวดีมาให้เจ้าอาร์โนลด์ พาข้าเข้าขุมอำนาจของลีโอนาร์ดสิ ข้าจะยอมเข้าร่วมฝั่งเดียวกับเจ้าเอง”
“……ว่าไงนะ?”
“ไม่ได้ยินหรอ? เอาเถอะ, ก็เข้าใจได้อยู่ ข้าเป็นถึงลูกชายคนโตของดยุคฮอร์วาธที่ยิ่งใหญ่นี่นะ คงไม่มีคนอื่นที่เจ้าอยากให้มาเป็นพวกแล้วใช่ไหมหล่ะ”
กีโด้เสยผมขึ้นอย่างเริงร่า
แต่ฉันไม่สนใจเรื่องนั้น
คนอย่างกีโด้จะวิ่งโด่งเข้ามาในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจเนี่ยนะ? นี่เป็นคำสั่งของพ่อเขา, ดยุคฮอร์วาธอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่า, ตัวดยุคฮอร์วาธเองนั้นกำลังเข้าหากอร์ดอนในขณะที่ลูกชายคนที่สองของเขาถูกส่งไปฝั่งเอริค และถ้ากีโด้เข้าใกล้ลีโอนาร์ดได้ที่นี้เขาก็จะสามารถสร้างความดีความชอบได้ไม่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะชนะก็ตาม
ส่วนเหตุผลที่ดยุคฮอร์วาธไม่เข้าหาซานดร้าก็เพราะว่าเขาไม่ถูกกับขุนนางทางใต้มาตั้งนานแล้ว
ตัดสิดจากจุดนี้, ดูเหมือนว่าดยุคจะยอมรับลีโอแล้วสินะ
การพลาดโอกาสนี้ไปคงจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดแต่ว่า….พูดตามตรง, ฉันไม่อยากได้กีโด้ กีโด้เป็นลูกชายคนโตของดยุคฮอร์วาธจริงๆแต่ลูกชายลำดับสองของเขานั้นเป็นที่ยอมรับและเก่งกว่า หลักฐานที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนก็คือความจริงที่ว่าดยุคส่งเขาไปเข้าร่วมกับเอริค, ผู้เข้าชิงที่มีโอกาสชนะสูงที่สุด
ถ้าพวกเราดึงกีโด้มาเข้าพวกตอนนี้, ขุมอำนาจของพวกเราอาจจะล่มสลายได้
“อ้อแล้วก็, เจ้าจะได้สร้างผลงานจากการเชิญข้าเข้าพวกได้ด้วยนะ สนไหมหล่ะ? อาร์โนลด์”
“ขอโทษนะ, แต่ข้าขอผ่านละกัน ถ้าเจ้าอยากเข้าร่วมกับเขาก็ไปถามลีโอเองเถอะ”
“หา?”
ฉันคิดว่าเขาคงนึกไม่ถึงว่าฉันจะปฏิเสธ แก้มของเขากระตุก
กีโด้ไม่สามารถไปขอลีโอโดยตรงได้ จนถึงตอนนี้, กีโด้แสร้งทำดีต่อหน้าลีโอก็จริงอยู่แต่ในตอนที่ฟีเน่กับฉันออกไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน, กีโด้ได้อัดฉันและตอนนั้นฉันก็แกล้งทำตัวเป็นลีโอ
พูดอีกนัยนึงก็คือ, จากมุมมองของกีโด้, เขาคิดว่าลีโอรู้ถึงเรื่องไม่ดีของเขาแล้ว เอาเถอะ, จริงๆแล้วเรื่องแบบนี้, ลีโอน่าจะรู้ตั้งนานแล้วแหล่ะ
นี่ต้องเป็นสาเหตุที่เขาเลือกเข้าหาฉันแน่ๆ
ช่างโง่จริงๆ
“อย่ามาทำตัวอวดดีกับข้า คงรู้สินะว่านี่ไม่ใช่คำขอ”
“ไม่ว่าเจ้าจะพูดยังไง, ข้าก็จะไม่แนะนำเจ้ากับขุมอำนาจของลีโอ”
“ไอ้หมอนี่! กล้าดียังไง! ในเมื่อยัยล้มเหลวเอลน่าถูกกักบริเวณในบ้าน, เธอก็คงไม่สามารถปกป้องเจ้าได้แล้ว! ไม่มีใครมาช่วยเจ้าหรอกนะ, รู้ไหม!”
เขาพึ่งพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาซะแล้ว
ฉันรู้ว่าฉันควรจะปล่อยผ่านมันไป ตัวฉันที่อยู่ข้างในกำลังพร่ำบอกกับตัวเองให้ใจเย็นลง
อย่างไรก็ตาม, สุดท้ายแล้วฉันก็ได้สลัดการควบคุมตัวเองทิ้งไป
“เมื่อกี้….พูดว่ายังไงนะ?”
“อะไร? ไม่มีใครช่วยเจ้ายังไงหล่ะ”
“ก่อนหน้านั้น….ที่เจ้าบอกว่าล้มเหลว?”
“หืม? ใช่ไง, ข้าพูด! เอลน่าหน่ะล้มเหล—!!????”
ฉันจ้องกีโด้ตาเขม็ง
ตอนนี้ฉันอยากจะเป่าเขาทิ้งไปด้วยลำแสงเงิน มันจะสดชื่นแค่ไหนกันนะถ้าฉันสามารถลบคนแบบนี้ออกไปจากโลกได้
พอถูกจ้องด้วยสายตาที่รุนแรงเช่นนี้, กีโด้ก็ถูกครอบงำด้วยความกลัวและหายใจไม่ออก เขาถอยไปสองสามก้าวแล้วล้มก้นจ้ำเบ้า
“อ, โอ้ย……”
“ถอนคำพูดซะ….กีโด้”
ด้วยน้ำเสียงนิ่งๆฉันก็ได้ถ่ายทอดความรู้สึกของฉันออกไป
อย่างไรก็ตาม, กีโด้ไม่ได้แสดงท่าที่ว่าเขาจะตอบรับเลย
คนติดตามของเขาเองก็ตัวแข็งทื่อไม่มีใครพยายามเข้ามาขัดฉันกับกีโด้เลย ความสัมพันธ์ของพวกเขานี่มันราคาถูกจังเลยนะ
“เอลน่าช่วยชีวิตของคริสต้า ความจริงนี้ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ การดูถูกเอลน่าต่อหน้าฉันทั้งๆที่รู้เรื่องนั้นดี, กีโด้, ฟ็อน ฮอร์วาธ, เจ้าอยากตายรึไง?”
“อา, นั่นมัน, นั่นมัน, ข้าไม่ได้….”
“พูดมาสิ”
“ข้า, ข้า, ข้าถอนคำพูด….”
“มีอะไรจะพูดอีกไหม?”
“ขอ, ขอโท….”
“ขอโทษหรอ?”
“ข, ข้า, ข้าขอโทษ……!”
หลังจากที่ฉันให้กีโด้ถอนคำดูถูกของเขาและขอโทษ, ฉันก็ออกจากงานในทันที
ท่านพ่อยังไม่ออกจากงานแต่ฉันรู้สึกขยะแขยงที่ต้องมาหายใจด้วยอากาศเดียวกับกีโด้และเนื่องจากพวกเราเริ่มตกเป็นที่สนใจแล้ว, ฉันก็เลยตัดสินใจออกไปจากที่แห่งนี้
ตอนนี้มันคงจะเป็นเรื่องได้ถ้าฉันเอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหา
ตัวฉันในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพใจเย็นแล้ว
ในขณะที่คิดเช่นนั้น, ฉันก็คว้าสุราขวดนึงที่อยู่บนโต๊ะแล้วออกจากงานไป
“….เห้อ”
“ถ้ามันมาทำให้เหนื่อยใจแบบนี้, สู้อดทนไว้ไม่ดีกว่ารึไงนะ?”
ในขณะที่นึกถึงความโง่ของตัวเอง, ฉันก็ถอนหายใจอีกครั้งแล้วออกไปจากงาน แม้ว่าฉันพึ่งตัดสินใจว่าจะทำตัวไร้ค่าต่อ, แต่มันก็จบลงที่ฉันทำเรื่องที่มันทรยศสิ่งที่ทำมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ ไม่มีอะไรที่น่าสมเพชไปมากกว่านี้แล้ว
ในขณะที่ฉันกำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องทั้งหมดนี้, เซบาสก็เรียกฉันจากข้างหลังราวกับจะมาเทศน์ฉัน
กรอดดดด ตอนนี้ฉันไม่อยากโดนเทศน์นะ
ถึงยังไง, คนที่เข้าใจดีที่สุดว่าสิ่งที่ฉันทำมันโง่แค่ไหนก็คือฉัน
“ข้าทำไปเพราะอดไม่ได้ ตอนนี้ข้าใจเย็นลงแล้ว และกำลังคิดว่าตัวเองทำตัวโง่ๆอยู่โอเคไหม ข้าพึ่งจะเผยไต๋ตัวเองไปทั้งๆที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย”
“ทำให้คนเงียบด้วยการจ้องมองเฉยๆ, ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันง่ายๆครับ จากมุมมองของคนที่อยู่รอบๆท่าน, พวกเขาต้องคิดแน่ๆว่าเขาพึ่งจะทำอะไรที่เป็นการเหยียบกับระเบิดท่านไป”
“อา, อา ข้าบอกแล้วไงว่าเข้าใจแล้ว”
“ถ้าแบบนั้นก็ไม่เป็นไรครับ ถึงยังไงท่านเอลน่าก็เป็นคนสำคัญสำหรับท่านอาร์โนลด์, มันคงช่วยไม่ได้นั่นแหล่ะครับ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ดูแล้ว, คนที่ไม่ค่อยโกรธนั้นเวลาโกรธมักจะโกรธแรง, เพราะงั้นไม่ต้องกังวลหรอกครับ”
พอพูดจบ, เซบาสก็เดินตามหลังฉัน
ฉันโกรธเพราะเธอเป็นคนสำคัญ ด้วยเหตุนี้เอง, มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าช่วยไม่ได้แต่ถ้าฉันโกรธเพราะเรื่องนี้จริงๆ, จากนี้ไปฉันก็ต้องโกรธบ่อยขึ้นไม่ใช่รึไง?”
“วันนี้เป็นวันที่ข้ารู้สึกอนาถใจที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมาเลย…..”
“วันแบบนี้มันต้องมีกันบ้างแหล่ะครับ ถึงยังไงมันก็ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่าง ไม่มีใครที่เก็บอารมณ์เอาไว้ได้ตลอดทุกครั้งหรอกครับ เอาเป็นว่า, ปล่อยวางเรื่องนั้นเถอะนะครับ, ข้าได้เตรียมรถม้าให้ท่านแล้ว”
“….เจ้านั่นแหล่ะที่สมบูรณ์แบบตลอดเวลา ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยไม่ใช่รึไง?”
“ก็ข้าเป็นพ่อบ้านนี่ครับ”
“งั้นหรอ….ถ้างั้นพวกเราไปกันเลยไหม”
พอพูดจบ, ฉันก็เข้าไปในรถม้า
ตอนที่ 89
“ยินดีต้อนรับกลับครับ ท่านอาร์โนลด์”
“อา, อา, กลับมาแล้ว”
ด้วยการพูดคุยกันเช่นนี้กับอัศวินที่ทำหน้าที่คุ้มกัน, ฉันก็เข้าไปในคฤหาสน์แอมส์เบิร์ก
พอเข้ามาข้างในแล้ว, พ่อบ้านที่รู้จักที่นั่นก็เข้ามาทักทายฉัน เขาบอกฉันว่าเอลน่ากับคุณแอนนากำลังรับประทานอาหารเย็นอยู่และเริ่มพาฉันไปหาพวกเขาโดยไม่ไปขออนุญาตเจ้าบ้านทั้งสองก่อน
นี่ถือเป็นเรื่องปกติในตอนที่ฉันมาเยี่ยมพวกเขา
นี่พวกเขาเปิดรับกันขนาดนี้เลยสินะ?
ในขณะที่กำลังคิดเช่นนี้, ฉันก็มาอยู่ต่อหน้าพวกเธอทั้งสอง
“อ้าว? อัลนี่ ยินดีต้อนรับจ้ะ”
“ขอโทษที่บุกเข้ามานะครับคุณแอนนา
คุณแอนนาไม่ได้ประหลาดใจเลยและต้อนรับฉันด้วยรอยยิ้มตามปกติ
จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นแล้วพาเซบาสออกไปที่ไหนซักแห่ง เธอน่าจะออกไปเตรียมอาหารให้ฉัน
ฉันรับความปราถนาดีของเธอแล้วไปนั่งลงตรงข้ามเอลน่า
“อัล? เกิดอะไรขึ้น? วันนี้เจ้าควรจะอยู่ที่งานเลี้ยงไม่ใช่หรอ?”
“มันน่าเบื่อหน่ะก็เลยชิ่งมา”
ฉันพูดออกไปแบบนั้นแล้วเอาสุราที่ฉันหยิบมาจากบนโต๊ะ
ไวน์จากปราสาทนั้นเป็นของค่อนข้างดี รสชาติของมันเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
“มันยังเร็วเกินไปนะ…..นี่เจ้าออกมาก่อนองค์จักรพรรดิหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า ถึงยังไงก็ไม่มีใครสนใจข้าอยู่แล้ว ดาวเด่นของคืนนี้คือลีโอกับท่านพี่ลีเซต่างหากหล่ะ”
“เจ้าพูดแบบนั้นออกมาอีกแล้วนะ…..”
เอลน่าพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
เธอยังคงเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกเศร้าเลยซักนิด
แต่ถึงอย่างนั้น, คนที่ทำตัวผิดปกติที่นี่อาจจะเป็นฉันก็ได้
ในตอนที่ฉันหยิบแก้วสองใบจากบนโต๊ะ, เอลน่าก็ห้ามฉัน
“เจ้าก็รู้ไม่ใช่รึไงว่าข้าไม่ดื่ม?”
“ตอนกินกับเพื่อนก็ด้วยหรอ?”
“เห้อ…..แค่นิดเดียวนะโอเคไหม?”
เนื่องจากเอลน่ายอมหยวนๆให้, ฉันจึงรินไวน์ในแก้วใบแรกเพียงเล็กน้อยและอีกแก้วฉันได้รินจนปริ่ม
จากนั้น, ฉันก็ส่งแก้วที่รินน้อยกว่าให้เอลน่า
ความเงียบปกคลุมพวกเราในระยะเวลาสั้นๆ
เอลน่าไม่ได้พูดอะไรเลย บางทีเธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉันอยากจะพูดแต่เธอก็ไม่อยากเร่งฉัน
ด้วยความรู้สึกขอบคุณเธอ, ฉันก็ก้มศรีษะลง
“ขอโทษนะ…..”
“ขอโทษเรื่องอะไรกัน”
“……ภาพจากนิมิตของคริสต้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวยังไง, อนาคตก็ได้ถูกติดสินไว้แล้วว่าคริสต้าจะถูกลักพาตัว แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็ยังขอให้เจ้าช่วยคุ้มกันเธอ…….”
“งั้นหรอ? แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ช่วยริต้าเอาไว้ได้ไม่ใช่รึไง?”
“ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะทำอะไรซักอย่างได้ด้วยพลังของเจ้า แต่ว่า…..ที่ข้าไม่ได้บอกว่าอนาคตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็เพราะข้าไม่อยากทำให้เจ้ารู้สึกไม่มั่นใจตัวเอง นี่คือสาเหตุที่ข้าปิดเรื่องนี้เอาไว้ ข้า….หลอกให้เจ้าทำ……”
“….คิดจะดูถูกกันรึไง”
เอลน่าพึมพำ
อย่างไรก็ตาม, น้ำเสียงของเธอไม่ได้โกรธ
ในตอนที่ฉันเงยหน้าขึ้น, เอลน่าก็จ้องตรงมาที่ฉัน
“การที่เจ้ามาขอโทษคือการดูถูกข้านะ, อัล”
“….แต่ว่า…..สำหรับเจ้าแล้วภาคีเป็น……”
“ใช่, มันเป็นความฝันของข้า ข้าพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้เข้าภาคี ข้าได้รับการเลี้ยงดูพร้อมกับถูกบอกมาว่าการเข้าร่วมกับภาคีอัศวินหลวงและปกป้องราชวงศ์คือหน้าที่ความรับผิดชอบของแอมส์เบิร์ก นี่คือสาเหตุที่ข้ารู้สึกมีความสุขจริงๆในตอนที่ข้าสามารถเข้าร่วมภาคีได้ ข้าถึงกับเล็งตำแหน่งหัวหน้าผู้บัญชาการเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่, ข้าก็ยังยอมสละทั้งหมดให้ ดูเหมือนว่าเพราะเหตุการณ์นี้, ตอนนี้จึงดูเหมือนว่าความฝันของข้ากำลังถอยห่างออกไปแต่มันก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
พอพูดจบ, เอลน่าก็ยิ้มออกมา
รอยยิ้มของเธอแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องนี้จริงๆ
แต่ฉันรู้ ฉันรู้ว่าเธอพยายามมากแค่ไหนเพื่อให้กลายเป็นอัศวินหลวงโดยไม่พึ่งพาชื่อของแอมส์เบิร์ก
แม้ว่าฉันจะทำให้ความพยายามทั้งหมดของเธอสูญเปล่า, แต่เอลน่าก็ยังไม่โกรธและยิ้มให้ฉันเฉยๆ
มันเจ็บปวดจริงๆ
ถ้าเธอโกรธฉันคงจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้มาก
“…….”
“ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว ข้าบอกแล้วไง คำสาบานของข้าสำคัญกว่าเกียรติยศของข้า เพราะฉะนั้นไม่ต้องใส่ใจหรอก อัล, ข้าจะไม่มีวันโทษเจ้า ข้าก็แค่ทำตามคำสาบานของข้า มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก ข้ารับผิดชอบเอง ยิ่งไปกว่านั้น, ข้ามีประโยชน์ใช่ไหมหล่ะ?”
“…..อา, แน่นอนสิ, มีประโยชน์มากเลยหล่ะ”
“ข้าดีใจนะ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้วหล่ะ คริสต้ากับริต้าปลอดภัยดีและข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้ ข้าคิดว่านี่แหล่ะคือชัยชนะของข้าแล้ว แต่พูดตามตรง, มันคงจะดีกว่านี้ถ้าข้าสามารถช่วยเจ้าได้มากกว่านี้”
เอลน่าพูดออกมาในขณะที่ยิ้มให้แก้วไวน์ที่เธอกำลังถืออยู่อย่างเริงร่า
จากนั้น
“ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วก็หยุดทำหน้าสลดได้แล้ว เจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่? ถ้าแค่มาขอโทษข้าก็ถือว่าเรียบร้อยแล้วไม่ใช่รึไง? เอาเถอะ, มาฉลองกันดีกว่า แด่ชัยชนะเล็กๆของข้า”
เอลน่ายกแก้วขึ้นในขณะที่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้, ฉันก็คงมานั่งเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว
พอสลัดความลังเลและความเสียใจทิ้งไป, ฉันก็ยกแก้วขึ้น เอลน่าเรียกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ว่าชัยชนะ คนส่วนใหญ่คงจะบอกว่ามันเป็นความพ่ายแพ้ของเธอ, แต่ฉันมั่นใจว่านี่คือชัยชนะของเธอ
ฉันต้องฉลองกับเธอ
ถึงยังไง, มันก็คือชัยชนะของดาบของฉัน
“แด่ชัยชนะเล็กๆของเจ้า”
“ใช่แล้ว, แด่ชัยชนะเล็กๆของข้า”
พอพูดจบพวกเราก็ชนแก้วกันแล้วดื่มอวยพร
เอลน่าค่อยๆเอียงแก้วของเธออย่างนุ่มนวลแต่ฉันดื่มที่อยู่ในแก้วเข้าไปพรวดเดียวแล้วรินเพิ่ม
“รู้ใช่ไหมว่าถ้าดื่มแบบนั้นหลังจากนี้เจ้าจะได้เสียใจแน่?”
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า ในเมื่อเรากำลังฉลองกันดื่มแบบนี้มันดีกว่านะ”
“เจ้าพูดเหมือนกับตัวเองเป็นนักผจญภัยเลยนะ เอาเถอะ, ข้าก็ไม่รังเกียจหรอก”
ในตอนที่เอลน่าพูดออกมาแบบนั้นฉันก็หยุดมือ
ความรู้สึกผิดทำให้ฉันรู้สึกอยากจะสารภาพทุกอย่างกับเธอ
อย่างไรก็ตาม, ฉันหยุดตัวเองเอาไว้ก่อนที่ฉันจะทำแบบนั้นไปและกลืนมันทั้งหมดลงไปกับไวน์
ตอนนี้, เปิดเผยความลับนี้กับเธอไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าฉันบอกไปตอนนี้, ฉันก็มีแต่จะเอาความลับที่ไม่จำเป็นไปให้เธอต้องแบกรับ
ฉันจะต้องบอกเธอซักวันนึงแต่มันไม่ใช่วันนี้
มันมีแต่จะสร้างปัญหาให้เธอ การทำตัวตามใจที่นี่เลยมันเป็นเรื่องง่ายๆแต่ฉันจะทำตามใจกับเธอไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
แม้กระทั่งฉันเองก็มีทิฐิเหมือนกัน
“เอลน่า…..ข้าจะทำให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิอย่างแน่นอน”
“อะไรหล่ะเนี่ยจู่ๆก็?”
“ดูเหมือนข้าจะเริ่มเมาแล้วหล่ะมั้ง…..”
“หึหึ, เจ้าไม่ได้คออ่อนขนาดนั้นไม่ใช่รึไง?”
“บางครั้งข้าก็คออ่อนเหมือนกันนะ…..ถ้าลีโอได้กลายเป็นจักรพรรดิ, เขาจะต้องทำลายธรรมเนียมไร้สาระนี้ทิ้งไปแน่ๆ สงครามผู้สืบทอดได้ผลในเรื่องการเพาะเลี้ยงจักรพรรดิที่มีความสามารถจริงๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น, ประเทศของเรามีจำนวนผู้นำโง่น้อยจนน่าเหลือเชื่อ แต่การเสียเลือดเสียเนื้อมากขนาดนี้มันไร้สาระเกินไป…..ถ้าเป็นเขา, เขาจะต้องหาวิธีอื่นได้แน่ๆ, นี่คือสิ่งที่ข้าคิด”
ฉันไม่ได้มีความคิดที่จะตาย
ฉันอยากมีชีวิตอยู่ตามความต้องการของตัวเอง, เป็นนักผจญภัยตามความต้องการของตัวเอง, และตายตามความต้องการของตัวเอง นี่คือแผนการใช้ชีวิตของฉัน
และเป็นเหตุผลที่ทำไมวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นก็คือการทำให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิ มันคือหนึ่งในเหตุผลที่ฉันผลักดันให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิ
อย่างไรก็ตาม, ตราบใดที่ธรรมเนียมไร้สาระนี้ยังดำเนินต่อไป, ฉันก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จในเรื่องนั้น
ต่อให้พวกเรารอดไปได้, ลูกๆของพวกเราก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามผู้สืบทอดในรุ่นถัดไป
ในตอนที่ฉันจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามผู้สืบทอดนั้น, ฉันลังเลแต่ว่าฉันก็ยังมีพลังที่จะเข้าร่วมมัน แต่นี่ไม่ใช่สำหรับคริสต้า และมันก็อาจไม่ใช่สำหรับราชวงศ์ส่วนใหญ่ที่จะถือกำเนิดในอนาคตด้วย
การที่ต้องมาพัวพันกับมันทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้อยากได้บัลลังก์เลยนั้นมันไร้เหตุผลเกินไป
“ข้าสงสัยเรื่องนี้อยู่นะ สงครามผู้สืบทอดมันมีมานานแล้วไม่ใช่หรอ? มันคือหน้าที่ของราชวงศ์ที่จะต้องผลิตผู้นำที่ดีออกมา ถ้ามีจักรพรรดิไม่ได้ความที่ควบคุมจักรวรรดิที่กว้างใหญ่นี้ไม่ได้หล่ะก็เลือดจะหลั่งไหลมากกว่าสงครามผู้สืบทอดด้วยซ้ำ แถมนั่นจะเป็นเลือดของประชาชนด้วยนะ”
“ข้ารู้ ข้าเองก็คิดว่าสิ่งที่ข้าต้องการนั้นมันคือความเห็นแก่ตัว ตราบใดที่เกิดเป็นราชวงศ์, ก็จะไม่สามารถหนีจากหน้าที่ของมันได้ ข้ารู้ถึงราคาที่พวกเราต้องจ่ายดี…..แต่ถ้าข้าพอใจกับเรื่องนั้น, ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก ในครอบครัวของข้าน่าจะมีคนอื่นที่คิดเหมือนข้าอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีใครทำอะไร และถ้าพวกเราฝากเอาไว้กับอนาคตมันก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย”
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่กลายเป็นจักรพรรดิซะเองหล่ะ?”
“อย่าโง่ไปหน่อยเลยหน่า…..ต่อให้ข้าคิดว่ามันคือธรรมเนียมที่ไร้เหตุผล, แต่มันก็ยังมีข้อดีในตัวมันเอง ถ้าข้าต้องทำการตัดสินตามความเป็นจริงข้าก็มั่นใจเลยว่าข้าคงไม่ทำลายมันทิ้งหรอก นี่คือสาเหตุที่ข้าเลือกสนับสนุนให้ลีโอได้เป็นจักรพรรดิ”
“แล้วถ้าลีโอได้ข้อสรุปเดียวกันกับเจ้าหล่ะ?”
“ไม่หรอก เขาไม่เหมือนข้า แทนที่จะเลือกวิธีการตามหลักความเป็นจริงและมีประสิทธิภาพ, เขาจะหาวิธีอื่นที่เข้ากับอุดมคติของเขา”
พอได้ฟังคำพูดของฉัน, เอลน่าก็ยิ้มออกมา
จากนั้นเธอก็ยกแก้วขึ้นมาทางฉัน
“นั่นสินะ ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ลีโอมีบางอย่างที่ทำให้ผู้คนอยากฝากความหวังเอาไว้กับเขา นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนสนับสนุนเขาใช่ไหมหล่ะ”
“เจ้าก็เข้าใจสินะ?”
“ที่ตอนนี้เจ้ามีความสุขก็เพราะข้าพึ่งชมน้องชายของเจ้าหรอ?”
“อา, ก็นะ”
ในขณะที่บทสนทนาดำเนินไปเช่นนี้, ฉันกับเอลน่าก็ดื่มจนหมดขวด
และพอกำลังจะเปิดขวดใหม่นั้นเอง, คุณแอนนากับเซบาสก็กลับมา
พร้อมกับพาแขกมาด้วยอีกหลายคน
“เอลน่า……!”
“พี่เอล!”
คริสต้ากับริต้าที่ถูกคุณแอนนานำทางมาที่นี่วิ่งเข้าไปกอดเอลน่า
“องค์หญิงคริสต้า, ริต้าด้วย…..มาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย?”
“ข้าพาเธอมาเองแหล่ะ”
พอพูดจบ, ท่านพี่ลีเซก็เข้ามาหาเอลน่า
ซึ่งเอลน่าที่รู้สึกประหลาดใจกับการปรากฎตัวของท่านพี่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“องค์หญิงลีเซล็อตต์!? ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ!”
“อา, ไม่ได้เจอกันนานเลย ไม่ต้องทำตัวจริงจังหรอก วันนี้ข้ามาขอบคุณเจ้า ขอบคุณจริงๆนะที่ช่วยปกป้องคริสต้ากับเพื่อนของเธอเอาไว้”
“ไม่หรอกค่ะ, ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก…..”
“อย่าถ่อมตัวนักซิ ดูเหมือนว่าเจ้าจะดูแลอัลกับลีโอเป็นอย่างดีเลยไม่ใช่หรอ แค่นี้ข้าก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว”
“ท่านพี่, ข้าไม่ได้รบกวนเอลน่าขนาดนั้นซักหน่อย”
ในขณะที่ฉันพูดออกมาแบบนั้น, ลีโอก็โผล่มาพร้อมกับไวน์และขนมอีกเพียบในมือทั้งสองข้างของเขา
นี่เจ้าจำเป็นต้องแบกทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวไม่ใช่หรอ? เขาสมควรจะเป็นดาวเด่นของคื่นนี้ไม่ใช่รึไงแบบนี้มันไม่ดูน่าสงสารเกินไปหรอ?
“ฮึ้บ…..เอามาเท่านี้พอรึเปล่านะ?”
“ทั้งสองคนเป็นตัวหลักของคืนนี้ไม่ใช่หรอ?…..เดี๋ยวหลังจากนี้โดนท่านพ่อดุเอาไม่รู้ด้วยนะ?”
“ท่านพ่อกลับไปแล้วและคนที่อยากทำแบบนี้ก็คือท่านพี่ลีเซต่างหากหล่ะครับ ข้าขัดเธอไม่ได้ก็รู้อยู่นี่”
“ท่านพี่นี่ก็นะ……..”
“ข้าสังเกตเห็นว่าเจ้าไม่อยู่แล้ว งานเลี้ยงควรจัดกับคนที่ทำอะไรซักอย่างที่สมควรได้รับมัน, เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรอ?”
“เพื่อเหตุผลแบบนี้เนี่ยนะ?…..แต่เจ้าก็รู้ดีจังเลยนะว่าข้าอยู่ที่นี่”
ฉันถามลีโอเนื่องจากฉันคิดว่าลีโอเป็นคนที่พามาแน่ๆแต่เขาก็ส่ายศรีษะ
แล้วลีโอก็หันไปมองข้างหลัง
ที่นั่นฟีเน่กำลังยืนอยู่ในชุดเดรสสีน้ำเงินของเธอ
“คุณฟีเน่บอกว่าเธอมั่นใจว่าท่านพี่จะต้องอยู่บ้านของเอลน่าแน่ๆดังนั้นพวกเราก็เลยตัดสินใจพากันมาที่นี่ แล้วท่านพี่ลีเซเองก็บอกว่าอยากจะมาขอบคุณเอลน่าด้วยเพราะฉะนั้นข้าก็เลยคิดว่าถือเป็นโอกาสที่ดี”
“ฝีมือฟีเน่หรอ?”
“ค่ะ, ข้าคิดว่าท่านอัลจะต้องมาที่บ้านของท่านเอลน่าแน่ๆ”
ไม่นึกเลยว่าจะมีคนอื่นนอกจากเซบาสที่อ่านทางฉันออก
แม้แต่ลีโอก็ไม่รู้ว่าฉันไปที่ไหน จะบอกว่าสมกับเป็นฟีเน่ก็คงได้หล่ะมั้ง หรือบางที, ตัวฉันในวันนี้จะอ่านง่ายเป็นพิเศษรึเปล่า?
ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น, ทุกคนก็นั่งลง
ฟีเน่นั่งถัดจากฉันในขณะที่ลีโอนั่งถัดจากคริสต้าและริต้า
บางทีเขาน่าจะอยากดูแลพวกเธอ
ส่วนท่านพี่ลีเซก็นั่งข้างเอลน่าและเริ่มพูดคุยเรื่องเทคนิคดาบกันอย่างเร่าร้อน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ, คุณนายแอมส์เบิร์ก ข้ามีชื่อว่าเยอร์เกน ฟ็อน ไรน์เฟลด์ครับ”
“อ๊ะ, ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ข้าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับท่านมาแล้วหล่ะดยุคไรน์เฟลด์ ทำผลงานใหญ่ไม่เบาเลยนะคะเนี่ย?”
“ชมแบบนั้นข้าก็เขินแย่สิครับ อันที่จริง, มีแร่ดีๆพึ่งถูกขุดพบในดินแดนของข้าด้วยและมันก็เป็นแร่ที่เหมาะกับการทำชุดเกราะมากเลยหล่ะครับ”
“อ๊ะ, ฟังดูน่าสนใจดีนะคะ ช่วงนี้สามีของข้าไม่อยู่เพราะฉะนั้นให้ข้าเป็นคนคุยแทนเขาจะได้ไหมคะ?”
“แน่นอนครับ”
เยอร์เกนที่เข้ามาด้วยตอนนี้กำลังเจรจาธุรกิจกับคุณแอนนา
คนๆนี้เหมาะที่จะเป็นพ่อค้าจริงๆ ถึงยังไงนิสัยที่ไม่ยอมทิ้งโอกาสของเขานั้นจะสูญเปล่าเอาได้ถ้าเขาเลือกเป็นนักรบ
“เอ่อ, ท่านอัล……บางทีพวกเราน่าจะมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่าคะ?”
“…..ไม่หรอก, ข้าดีใจที่ทุกคนมานะ”
“หรอคะ! ข้าเองก็ดีใจค่ะ!”
พอพูดจบ, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มกว้าง
ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะไวน์หรือความเหงาที่แอบซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่งในใจฉันแต่ว่า
ตอนนี้เธอดูมีเสน่ห์มาก
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ฉันตัดสินใจว่าจะพูดทุกคำที่อยู่ในหัวของฉันกับเธอจริงๆ
“ข้าพูดแบบนี้ที่งานเลี้ยงไม่ได้แต่ว่า…..ชุดนั่นดูเข้ากับเจ้ามากเลยนะ สวยมากเลยหล่ะ”
“จ, จริงหรอคะ!? ขอบคุณมากเลยค่ะ!”
พอพูดจบ, ฟีเน่ก็ยิ้มอย่างมีความสุขในขณะที่แก้มของเธอถูกย้อมด้วยสีแดง
หลังจากนั้น, ช่วงเวลาแห่งความสนุกก็ดำเนินต่อไปอีกซักพัก
ฉันคิดว่างานเลี้ยงโดยทั่วๆไปนั้นน่าเบื่อแต่งานเลี้ยงเล็กๆที่จัดขึ้นที่นี่สนุกมากเลยหล่ะ
ตอนที่ 90
มีคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่ที่ทำเลทองของเมืองหลวงจักรวรรดิ
ข้างในห้องๆหนึ่งของคฤหาสน์ที่ว่านี้, กีโด้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด
“กีโด้….ข้าบอกเจ้าว่ายังไง?”
“ท, ท่านพ่อ….เอ่อ, คือว่า…..”
“ตอบคำถามของข้ามา ข้าบอกเจ้าว่ายังไง?”
คฤหาสน์หลังนี้เป็นของตระกูลดยุคที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของจักรวรรดิ
และคนที่กำลังลงโทษกีโด้อยู่ก็คือรอล์ฟ ฟ็อน ฮอร์วาธ, หัวหน้าดยุคบ้านฮอร์วาธคนปัจจุบัน
เขามีรูปร่างสูงบวกกับผมยาวสีน้ำตาลที่ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศที่ดูเป็นผู้ใหญ่และใจเย็น
อย่างไรก็ตาม, สายตาที่เขากำลังจ้องกีโด้อยู่นั้นมันเย็นชาจนน่ากลัว
“ห, ให้เข้าไปอยู่ในขุมอำนาจของลีโอนาร์ด…..”
“องค์ชาย…..”
“ห, ให้เข้าไปอยู่ในขุมอำนาจขององค์ชายลีโอนาร์ดครับ…..”
“ใช่ ข้าบอกให้เจ้าไปเข้าร่วมกับขุมอำนาจขององค์ชายลีโอนาร์ดที่ตอนนี้กำลังแข็งแกร่งขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของบ้านฮอร์วาธ และเพื่อที่ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง, บ้านฮอร์วาธของเราก็จะได้รักษาอิทธิพลเอาไว้ได้ แต่ดูสิเจ้าทำอะไรลงไป?”
รอล์ฟใช้สายตากระตุ้นให้กีโด้พูดอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นแบบนี้, กีโด้ก็ส่ายศรีษะด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“ต, แต่มันช่วยไม่ได้นี่ครับ! จู่ๆอาร์โนลด์ก็โมโหขึ้นมาแล้วไม่ยอมฟังที่ข้าพูดเลย! ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเขาครับ!”
“กีโด้…..ช่วยอย่าทำให้ข้าผิดหวังไปมากกว่านี้จะได้ไหม แค่ตอบคำถามของข้ามาก็พอ เจ้าทำอะไรลงไป?”
เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆและนุ่มนวล
อย่างไรก็ตาม, มันมีแรงกดดันอย่างมหาศาลแฝงอยู่ในนั้น
กีโด้ตื่นกลัวและตอบคำถามกลับไปในขณะที่หลบตา
“ข้า, ข้าทำให้อาร์โนลด์โกรธ…..”
“องค์ชายหล่ะ ทำไมถึงไม่หัดจำเรื่องนี้สักทีนะ?”
“เจ้านั่นก็แค่เจ้าชายไร้ค่า! เขาไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้วเอาแต่ทำตัวว่างไปวันๆ! เขาด้อยกว่าข้ามาตั้งแต่ตอนที่พวกเรายังเด็กแล้ว! ข้าไม่สามารถพูดยกย่องคนที่น่าสมเพชอย่างเขาได้ครับ!”
“แล้วยังไง? แค่ถูกคนขี้เกียจน่าสมเพชจ้องเอา…..ก็ทำให้เจ้าล้มไม่เป็นท่าเลยหรอ?”
“น, นั่นมัน…..ข, ข้าก็แค่ประหลาดใจเพราะข้าไม่เคยคิดว่าเขาจะโกรธ, มันก็แค่นั่นแหล่ะครับ!”
“การโจมตีคนอื่นเป็นเรื่องอันตราย เพราะเจ้าจะทำให้ตัวเองเสี่ยงที่จะโดนตอบโต้กลับ และนั่นก็คือสาเหตุที่เจ้าต้องคิดเสมอว่าเจ้าจะโดนตอบโต้กลับในตอนที่เจ้าตัดสินใจโจมตีใครซักคน ซึ่งเจ้าไม่เพียงแค่เลือกโจมตีเจ้าชายที่มีศักดิ์สูงกว่าเจ้าเท่านั้นแต่เจ้ายังไม่เคยคิดว่าเขาจะทำอะไรซักอย่างเพื่อเป็นการตอบโต้เจ้ากลับด้วยเนี่ยนะ? คงไม่มีคำไหนที่จะเหมาะกับเจ้าไปมากกว่าคำว่าเจ้าโง่แล้วหล่ะ”
“จ, เจ้าโง่หรอครับ!? ข้าเนี่ยนะ!?”
ด้วยความประหลาดใจ, สีหน้าของกีโด้ก็บูดบึ้งขึ้นมาเพราะศักดิ์ศรีของเขาถูกทำร้ายแล้วเขาก็จ้องรอล์ฟกับไปด้วยสายตาที่รุนแรงกว่าตอนแรก แต่ว่าเขาก็ต้องหลบตาหนีในทันทีเพราะรอล์ฟเขม่นตามองเขา
พอไม่รู้ว่าจะเอาความโกรธไปลงที่ไหน, เขาจึงเอาไปลงกับพื้นด้วยการกระทืบมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบรังแกองค์ชายอาร์โนลด์ ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดเขาที่เอาแต่ทำตามใจชอบไปวันๆ บางทีมันอาจเป็นเพราะเจ้าได้รับการฝึกอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่ยังเด็กเจ้าถึงรู้สึกเกลียดเขามากขนาดนั้น ซึ่งการรังแกก็ถือเป็นหนึ่งในวิธีระบายอารมณ์ประเภทหนึ่ง, ข้าเองก็เข้าใจดี แต่เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงไม่เคยพยายามจะหยุดเจ้า?”
“น, นั่นก็เพราะว่า……เขาเป็นแค่เจ้าชายที่ไม่สำคัญใช่ไหมครับ……?”
“เจ้านี่ทำตัวโง่ขึ้นเรื่อยๆเลยนะ ฟังให้ดี ข้าอยากให้เจ้าได้เรียนรู้ ข้าอยากให้เจ้าได้รับบทเรียนดีๆจากมัน ข้าอยากให้เจ้ารู้ด้วยตัวเองว่าในตอนที่เจ้าโจมตีคนอื่นโดยไม่ยั้งคิด, เจ้าก็จะได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด แต่ว่าเจ้าก็ไม่เคยมีโอกาสได้เรียนรู้บทเรียนนั้นซักที เพราะถึงยังไงองค์ชายอาร์โนลด์ก็ไม่เคยตอบโต้เจ้ากลับเลย ซึ่งข้าก็รู้สึกผิดหวังจริงๆ หลังจากนั้น, พวกเจ้าทั้งสองก็โตขึ้นแล้วเจ้าก็เริ่มสั่งสมผู้ติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้าคิดว่าสุดท้ายแล้วเจ้าอาจจะโตขึ้นด้วยวิธีการของตัวเอง แต่เจ้ากลับไม่เคยโตขึ้นเลย เจ้าทำตัวไม่ประสีประสาและโง่เง่ากว่าที่ข้าจะจินตนาการเอาไว้อีก”
“ข, ข้าโตเป็นผู้ใหญ่ที่เพียบพร้อมแล้วนะ!”
“ถ้าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ที่เพียบพร้อมอย่างน้อยภายนอกเจ้าก็ควรจะหัดสร้างภาพกับเขาบ้าง อีกฝ่ายเป็นถึงลูกชายขององค์จักรพรรดิ มันควรจะเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่เจ้าจะต้องพูดกับเขาอย่างสุภาพให้เหมือนผู้ใหญ่, เพราะมันไม่ใช่การหยอกล้อกันระหว่างพวกเด็กๆ แต่เจ้าไม่เคยทำแบบนั้นเลย และตอนนี้เจ้าก็ถูกองค์ชายตอบโต้กลับแล้ว เจ้าทำให้เขาโกรธในช่วงเวลาที่สำคัญและร้ายแรงมากๆ มันอาจจะเป็นความจริงในตอนที่เจ้าบอกว่าทั้งหมดเป็นความผิดขององค์ชายถ้าพวกเจ้าทั้งสองยังเด็กอยู่ ถ้าเจ้าเคยได้รับบทเรียนหนักๆกลับมาบ้างเรื่องก็คงจะไม่ออกมาเป็นแบบนี้ องค์ชายอาร์โนลด์มีความเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็กแล้วดังนั้นเขาก็เลยทนโดนเจ้ารังแกและตอนนี้เจ้าก็มีแต่จะโตขึ้นเป็นคนที่อวดดีและไม่ประสีประสา นี่มันเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังสุดๆเลยหล่ะ”
พอได้ยินพ่อของเขาพูดเหมือนกับกำลังสรรเสริญอัล, กีโด้ก็กัดริมฝีปากของเขา
ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่าในใจของกีโด้นั้น, เขาไม่เคยนึกถึงสถานการณ์ที่มีคนพูดยกย่องอัลในขณะที่เขาถูกตำหนิมาก่อนเลย
“เจ้านั่นเนี่ยนะเป็นผู้ใหญ่!? ส่วนไหนกันหรอครับ!? จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยด้วยซ้ำ!”
“ใช่ และเจ้าก็ได้ทำทุกอย่างแล้ว”
“ใช่ครับ! ข้าใช้ความพยายามในขณะที่หมอนั่นไม่ได้ทำอะไรเลย!”
“และนี่ก็คือผลลัพธ์ยังไงหล่ะ ด้วยผลพวงจากความพยายามของเจ้า, เจ้าจึงทำหน้าที่ที่ข้าฝากฝังเอาไว้ล้มเหลวแถมเจ้ายังเผยด้านที่ไม่น่ามองให้ขุนนางคนอื่นๆเห็นด้วยในขณะที่องค์ชายอาร์โนลด์สามารถสร้างผลลัพธ์นี้ขึ้นมาได้โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย ข้าหน่ะมีความเชื่ออยู่ว่าคนฉลาดที่ขี้เกียจดีกว่าคนโง่ที่ขยัน…..แล้วเจ้าเป็นแบบไหนหล่ะ?”
ด้วยความที่ทนกับการถูกเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้ว, กีโด้จึงเริ่มกำหมัด
อย่างไรก็ตาม, ในตอนนั้นเอง
น้ำเสียงที่คมกริบก็ดังก้องขึ้นมา
“ห้ามขยับ!”
“!! ???”
พอได้ยินเสียงของรอล์ฟ, อารมณ์ฉุนเฉียวของกีโด้ก็ถูกสกัดเอาไว้
จากนั้น, รอล์ฟก็พูดแบบนี้กับกีโด้ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่โหดร้าย
“ข้าฝากฝังเรื่องการอบรมเจ้าเอาไว้กับภรรยาของข้าเนื่องจากเธอรักเจ้ามาก นั่นคือสาเหตุที่ข้าไม่เคยแทรกแซงเลยเว้นเสียแต่ว่ามันจำเป็นจริงๆ แต่ว่า, ดูเหมือนมันจะเป็นความผิดพลาดสินะ กลับไปที่ห้องของตัวเองซะ เจ้าต้องทำหัวของตัวเองให้เย็นลงซักหน่อย”
“ท, ท่านพ่อ!!!!”
“ข้าไม่ชอบพูดซ้ำหลายรอบนะ”
พอไม่มีที่ระบายความโกรธ, กีโด้ก็เดินกระทืบเท้าออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้น, เสียงที่เหมือนกับมีอะไรบางอย่างพังก็ดังมาจากที่ไกลๆ
เมื่อได้ยินแบบนั้น, รอล์ฟก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ขออนุญาตครับ ท่านพ่อ, ข้าเข้าไปได้ไหม?”
“เข้ามาสิ, ไรเนอร์”
หลังจากที่อนุญาต, ชายหนุ่มที่เด็กกว่ากีโด้ก็เข้ามาในห้อง
เขาสูงพอๆกับกีโด้แต่ร่างกายของเขานั้นกำยำกว่าและเสื้อผ้าของเขาก็ไม่ได้มีกลิ่นอายของเซ้นส์การแต่งตัวที่ห่วยแตก รอยยิ้มอ่อนๆที่แสดงอยู่บนใบหน้าของนั้นทำให้ผู้คนเชื่อว่าเขาเป็นลูกชายของรอล์ฟจริงๆ
ชื่อของชายหนุ่มคนนี้ก็คือเรเนอร์ ฟ็อน ฮอร์วาธ เขาเป็นลูกชายคนที่สองของดยุคฮอร์วาธที่ปีนี้มีอายุได้ 16 ปีแล้ว เขาคือคนที่น่าจะได้สืบทอดตำแหน่งของพ่อในฐานะหัวหน้าตระกูลและเป็นดยุคฮอร์วาธคนถัดไป
เนื่องจากเรเนอร์ไม่ได้คล้ายกับแม่ของเขาเท่ากับกีโด้, แม่ของเขาก็เลยไม่ได้หลงไหลในตัวเขามากเท่า และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้รอล์ฟมีโอกาสได้อบรมเลี้ยงดูเขา
ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ, พวกเขามีนิสัยต่างกันคนละขั้วจนผู้คนเริ่มสงสัยว่ากีโด้กับเรเนอร์นั้นเป็นพี่น้องกันจริงๆหรอ
“ดูเหมือนเมื่อสักครู่นี้ท่านพี่จะอารมณ์ไม่ค่อยดีใช่ไหมครับ?”
“ก็เหมือนปกตินั่นแหล่ะ”
“มันแย่กว่าตอนปกติอีกนะครับ ดูเหมือนท่านพี่จะหงุดหงิดมากมาตั้งแต่ตอนที่ถูกองค์ชายอาร์โนลด์จ้องแล้ว”
“ปล่อยไปเถอะ ทั้งหมดเป็นเพราะการกระทำของเขาเอง แต่มันก็ยังถือเป็นความรับผิดชอบของข้าที่ขอให้เขาทำแบบนั้นและตอนนี้พวกเราก็ต้องตามล้างตามเช็ดให้เขา”
ขุมอำนาจของลีโอได้ถลำลึกเข้าไปในสงครามผู้สืบทอดอย่างเต็มตัวแล้ว
รอล์ฟพยายามจะส่งกีโด้ไปอยู่ฝั่งของลีโอเพื่อที่เขาจะได้ซื้อใจขุมอำนาจของลีโอได้แต่กีโด้กลับทำให้พวกเขาโกรธแทน
แค่มองผ่านๆ, ไม่ว่าใครก็รู้ว่าลีโอนั้นไว้ใจอัลเป็นอย่างมาก การทำให้อัลโกรธก็เหมือนกับทำให้ลีโอมองไม่ดี
“พูดตามตรงนะครับ, ข้าคิดว่าตราบใดที่ท่านพี่ยังอยู่กับพวกเรา, พวกเราก็คงจะไม่สามารถเข้าร่วมกับองค์ชายลีโอนาร์ดได้”
“ข้าเห็นด้วย หลังจากที่เฝ้าสังเกตเขามานาน, องค์ชายอาร์โนลด์นั้นไม่ใช่ประเภทที่ชอบเก็บความแค้นเอาไว้แต่กีโด้บอกว่าองค์ชายโกรธเขา องค์ชายคนเดียวกับที่ทนโดนเขารังแกมาตั้งนาน ดูเหมือนว่าพวกเราจะคาดหวังความสัมพันธ์ดีๆจากพวกเขาไม่ได้อีกแล้ว”
“ข้าเองก็ไม่สามารถสอดมือไปยุ่งกับพวกเขาด้วยตัวเองได้เหมือนกัน พวกเราจะเอายังไงกันดีครับ?”
“ถ้าจนมุมเข้าจริงๆพวกเราก็ต้องกำจัดพวกเขา ถ้าองค์ชายลีโอนาร์ดกลายเป็นจักรพรรดิขึ้นมาพวกเราก็จะไม่สามารถแสดงอิทธิพลที่พวกเราสั่งสมมาจนถึงตอนนี้ได้ แม้ว่าพวกเราจะได้รับความเคารพในฐานะบ้านดยุคที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน, แต่พวกเราก็จะถูกกันให้ห่างจากอำนาจ แถมมาตรการป้องกันที่จะช่วยหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นั้นก็ล้มเหลวไปแล้วด้วย”
“นั่นมันก็จริงอยู่หรอกครับแต่ข้าคิดว่าการกำจัดพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆหรอกนะครับ”
รอล์ฟพยักหน้าให้กับคำพูดของเรเนอร์
ทั้งสองคนนั้นกำลังตั้งใจดูอยู่ในตอนที่อัลจ้องกีโด้
หลายคนอาจจะคิดว่ากีโด้ประหลาดใจเพราะจู่ๆอัลก็โกรธเขาขึ้นมาแต่พวกเขามีความคิดเห็นแตกต่างออกไป
สายตาที่พวกเขาเห็นในวันนั้นคือสายตาของคนที่แข็งแกร่งถอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าทฤษฎีของพวกเขาถูกต้องก็แสดงว่าศัตรูของพวกเขาคือเจ้าชายผู้กล้าที่ตอนนี้กำลังมาแรงและเจ้าชายผู้ฉลาดหลักแหลมที่ซ่อนเขี้ยวเล็บมาอย่างยาวนาน
ถ้าเป็นไปได้, พวกเขาก็ไม่อยากเป็นศัตรูด้วยเลย
อย่างไรก็ตาม, ลูกชายจอมงี่เง่าของเขาได้ก้าวเป็นปฏิปักษ์ไปก้าวนึงแล้ว
“ข้าน่าจะแทรกแซงการอบรมสั่งสอนกีโด้ให้เร็วกว่านี้นะ…..”
“ต่อให้ท่านพ่อพูดอะไรไป, ท่านพี่ก็คงจะแค่หาคำตอบที่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนั้นมาตอบท่านเฉยๆแหล่ะครับ ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะไปที่นั่นเพื่อซื้อใจองค์ชาย, แต่เขากลับเข้าไปคุยด้วยท่าทีที่ดูสูงส่งแบบนั้น ข้าคิดว่ามันคงฝังลึกอยู่ในนิสัยของท่านพี่แล้วหล่ะเพราะฉะนั้นมันคงไม่มีวิธีซ่อมแซมมันได้อีกแล้ว”
“เจ้าคิดว่าถ้ากีโด้ยังอยู่กับเราพวกเราจะชนะได้ไหม?”
“พวกเราควรใช้ทุกอย่างที่มีครับ แต่ถ้าจนมุมเข้าจริงๆพวกเราค่อยทิ้งเขาในภายหลังก็ยังได้ และถ้าท่านแม่คัดค้านแล้วขู่ว่าจะหย่ากับท่านก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน ถึงยังไง, ท่านพ่อก็น่าจะหาผู้หญิงคนอื่นมาแต่งงานด้วยได้อยู่แล้ว”
“ก็นะ, มันก็ใช่อยู่หรอก เป็นตัวเลือกที่มีเหตุผลมากเลยหล่ะ ถ้าพวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากนิสัยชอบสร้างปัญหาของกีโด้ได้พวกเราก็น่าจะสามารถได้อะไรมาบ้าง ถึงยังไงลองดูซักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร”
ในขณะที่คิดเรื่องพวกนี้, รอล์ฟกับเรเนอร์ก็ยิ้มออกมา
รอยยิ้มชั่วร้ายของพวกเขานั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาทั้งคู่มีจิตใจที่ร้ายกาจพอๆกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น