Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi 110-114

ตอนที่ 110

 

 


“ให้ตายเถอะ, เจ้าทำเรื่องห่ามๆอีกแล้วนะ”


 


“ขอโทษค่ะ…..”


 


หลังจากการประชุมจบลง, ฉันกับฟีเน่ก็กลับมาที่ห้องของฉัน


 


ดูเหมือนว่าฟีเน่จะรู้สึกผิดแล้ว


 


ถ้าเป็นไปได้, ฉันก็ไม่อยากส่งเธอไปเจออันตราย


 


“เอาเถอะ, ในเมื่อเจ้าออกปากเสนอตัวแล้ว, ก็คงจะทำอะไรไม่ได้แล้วหล่ะ แล้วก็เหมือนอย่างที่รัฐมนตรีพูด, เจ้าเหมาะสมกับปฏิบัติการนี้มากที่สุดจริงๆ เอาเป็นว่ามาทำให้ปฏิบัติการนี้ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้ละกัน”


 


“ขอโทษนะคะที่สร้างปัญหาให้ท่านอีกแล้ว….”


 


“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงทำแบบนั้น”


 


การที่อยากทำอะไรซักอย่างในสถานการณ์แบบนี้นั้นสมกับเป็นฟีเน่จริงๆ


 


และครั้งนี้ความรู้สึกของฟีเน่ก็สัมพันธ์กับผลประโยชน์หลายอย่าง


 


มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรตำหนิเธอเลย


 


“ท่านอาร์โนลด์ครับ”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, เซบาสก็ปรากฎตัวขึ้นมาโดยไม่ส่งเสียง


 


ฉันขอให้เซบาสคอยรวบรวมข้อมูลจากเมืองหลวงในช่วงที่ฉันไม่อยู่แต่จุดประสงค์ในการปรากฎตัวของเขาในครั้งนี้น่าจะแตกต่างออกไป


 


“ว่าไง? เซบาส”


 


“มีแขกที่น่ายินดีมาถึงได้ถูกเวลาเลยครับ, ท่าน”


 


ในตอนที่พูด, เซบาสก็เปิดประตู


 


คนที่ปรากฎตัวขึ้นจากอีกด้านนึงของประตูนั้นเป็นคนหน้าตาคุ้นเคยสองคน


 


“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ, องค์ชายอาร์โนลด์”


 


“ดยุคไรน์เฟลด์! แล้วก็…..”


 


เยอร์เกนเข้ามาในห้อง


 


เหมือนเช่นเคย, รอยยิ้มของเขานั้นสามารถทำให้ผู้คนรอบข้างผ่อนคลายได้อย่างง่ายดาย


 


ข้างหลังเขา, มีผู้หญิงผมสีน้ำตาลที่ดูคล้ายผู้ชายเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ


 


“ลินเฟีย”


 


“ท่านลีเซล็อตต์บอกข้าว่าข้าสามารถฝากน้องสาวเอาไว้กับเธอได้เพราะฉะนั้น, เพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านข้าก็เลยกลับมาเหวี่ยงดาบเพื่อองค์ชายทั้งสองอีกครั้งค่ะ”


 


“เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยนะ แต่ก็ขอบใจที่กลับมาหาพวกเรา ข้าพึ่งจะมีงานให้เจ้าพอดี”


 


“ข้าได้ฟังรายละเอียดมาจากคุณเซบาสแล้วค่ะ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ท่านฟีเน่ก็จะไปด้วยถูกไหมคะ?”


 


“ใช่ค่ะ ข้าคิดว่าข้าสามารถทำอะไรซักอย่างในสถานการณ์นี้ได้ข้าก็เลยเสนอตัวเอง”


 


ลินเฟียมองฟีเน่ด้วยสายตาที่อ่อนโยนแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย


 


จากนั้นเธอก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


 


“ข้าคิดว่าสมกับเป็นท่านมากเลยค่ะ, ท่านฟีเน่ แล้วก็วางใจได้เลยนะคะ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือท่านเอง”


 


“ค่ะ!”


 


“ดูเหมือนว่ากองกำลังส่วนใหญ่ของเราจะพร้อมแล้วสินะ”


 


เซบาส, ซิก, แล้วก็ลินเฟียผนวกกับลาสและหน่วยนาร์เบ ริทเทอร์ของเขา


 


ด้วยลีโอที่คอยชี้นำพวกเขา, ถ้าพวกเขาสามารถลอบเข้าไปในฐานของศัตรูได้อย่างปลอดภัย, โอกาสสำเร็จก็จะสูงมาก


 


“แต่ว่า, แผนปลอมตัวโดยใช้ผู้สงสารเป็นฉากบังหน้าแบบนี้ไม่มีทางเป็นความคิดขององค์ชายลีโอนาร์ดแน่นอนค่ะ นี่เป็นแผนขององค์ชายอาร์โนลด์สินะคะ?”


 


“อา, ก่อนหน้านี้เอลน่าก็บอกว่าข้านิสัยไม่ดีจริงๆ”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า, สำหรับอัศวินก็คงจะมองแบบนั้นอยู่แล้วหล่ะค่ะ แต่นี่จะไม่เป็นปัญหากับภาพลักษณ์ขององค์ชายลีโอนาร์ดหรอคะ?”


 


“พวกเราคิดเรื่องนั้นเอาไว้แล้ว”


 


ฟีเน่จะไปในฐานะหัวหน้าคณะผู้ส่งสารโดยมีลีโอเป็นหัวหน้าทีมคุ้มกันของเธอ


 


ทางใต้น่าจะยอมรับขบวนผู้ส่งสารนี้


 


ถึงยังไง, มันก็เป็นขบวนผู้ส่งสารของจักรพรรดิ ถ้าพวกเขาปฏิเสธ, ในอนาคตก็จะไม่มีการเจรจาอะไรอีก ซึ่งนี่คงจะเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้สำหรับขุนนางทางใต้


 


ต่อให้ทางใต้ทั้งหมดจะผนึกกำลังกัน, แต่จักรวรรดิก็ยังเป็นฝ่ายที่มีความได้เปรียบอย่างท่วมท้น ถ้าพวกเขาอยากได้ประโยชน์, พวกเขาก็ต้องรับโอกาสนี้


 


“แผนการเป็นแบบนี้, องค์จักรพรรดิจะส่งคณะผู้ส่งสารไปยังสหพันธ์ทางใต้แต่เจตนาจริงๆก็คือการเตือนดยุคครูเกอร์เป็นครั้งสุดท้าย มันคือสารสุดท้ายที่จะส่งให้ดยุคซึ่งถ้าเขาไม่ยอมจำนน, เขาก็จะต้องเผชิญกับผลที่ตามมา ฟีเน่จะเป็นคนถ่ายทอดข้อความนี้ มันจะแสดงให้เห็นว่าพวกเราเสนอโอกาสให้เขากลับตัวแต่ถ้าอีกฝ่ายยังยืนกรานที่จะโจมตีพวกเรา, ความผิดมันก็จะไปตกอยู่กับพวกเขา”


 


“แต่ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะยืนยันจุดประสงค์ของการเจรจาก่อนที่จะปล่อยพวกเราเข้าไปไม่ใช่หรอคะ?”


 


“พวกเราจะเตรียมจดหมายไปสองฉบับและจะทำการสับเปลี่ยนในทันทีก่อนที่พวกเราจะเริ่มการเจรจา ถ้าพวกเขาปฏิเสธจดหมายพวกเขาก็จะมีเรื่องให้ถูกทำโทษ เรื่องราวจะเปลี่ยนจากการที่พวกเราใช้คณะผู้สงสารจักรวรรดิเป็นอุบายในการจับตัวพวกเขาเป็นการดำเนินการลงโทษอย่างชอบธรรม ซึ่งการทำแบบนี้จะไม่เป็นมูลเหตุให้ประเทศอื่นวิพากษ์วิจารณ์พวกเราและมันก็จะไม่ส่งผลกับความเชื่อใจของพวกเขาที่มีให้จักรวรรดิกับลีโอด้วย”


 


ความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิกับขุนนางทางใต้นั้นมันเป็นรูปแบบเจ้านายกับลูกน้องมาตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถต่อรองได้อย่างเท่าเทียม นี่มันก็แค่คำสั่งจากฝ่ายเดียวเท่านั้น


 


ขุนนางทางใต้จะรู้สึกดีใจเพราะพวกเขาคิดผิดว่าจักรพรรดิยอมต่อรองกับพวกเขาแต่ในความเป็นจริงนั้น, จักรพรรดิไม่ได้ยอมผ่อนปรนให้เลยและส่งฟีเน่มาเพื่อถ่ายทอดการเตือนครั้งสุดท้ายกับดยุคครูเกอร์


 


นี่คือเรื่องราวที่จะเกิดขึ้น แผนนี้มีให้สำหรับพวกเราเพราะมันชัดเจนว่าฝ่ายไหนมีจุดยืนที่สูงกว่าเนื่องจากนี่ไม่ใช่การเจรจาระหว่างสองประเทศที่เท่าเทียมกัน


 


เอาเถอะ, บางกลุ่มในต่างประเทศอาจจะไม่ไว้วางใจพวกเราแต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่ามันเป็นเอกฉันท์ในหมู่พวกเขาทุกคน


 


“เข้าใจแล้วค่ะ สมกับเป็นองค์ชายอาร์โนลด์จริงๆ”


 


“ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากจะจัดการเรื่องนี้ตรงๆแต่มันไม่มีทางอื่นแล้ว”


 


“มันไม่มีทางเพราะท่านเคลื่อนไหวเป็นฝ่ายตั้งรับมาตั้งแต่แรกแล้วครับ แต่ว่า, ครั้งนี้ท่านเป็นฝ่ายเริ่ม ไม่สิ, ต้องบอกว่าท่านเป็นฝ่ายเอาคืนน่าจะถูกกว่า นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่จะทำให้แผนสำเร็จ แต่ว่า, การเริ่มต้นแบบนี้สามารถถูกคนอื่นทำลายได้อย่างง่ายดาย การควบคุมข้อมูลไปได้ด้วยดีรึเปล่าครับ?”


 


เป็นคำถามที่สมกับเยอร์เกนจริงๆ


 


ในการตอบคำถามนี้, ฉันได้พยักหน้าให้เขาอย่างมั่นใจ


 


“กองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงจักรวรรดิได้ตรวจสอบทุกคนที่เข้าออกเมืองหลวงแล้ว”


 


“แค่นั้นหรอครับ?”


 


“ยังหรอก, ข้าได้ขอให้บ้านผู้กล้าหาญขวางเส้นทางที่มุ่งหน้าลงใต้ทั้งหมดเอาไว้แล้ว ด้วยอัศวินจากบ้านผู้กล้าหาญที่ประจำอยู่ทุกเส้นทาง, มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะผ่านการตรวจจับมาได้ต่อให้เป็นหน่วยลอบเร้นที่คุ้นเคยเส้นทางดีก็ตาม”


 


ตราบเท่าที่สงครามกลางเมืองทางใต้เป็นเรื่องที่น่ากังวล, มันก็ไม่ได้มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับสงครามผู้สืบทอดมากขนาดนั้น


 


เนื่องจากจักรพรรดิได้ยอมรับแผนการของพวกเราแล้ว, การที่บ้านผู้กล้าหาญจะช่วยเรื่องการรักษาข้อมูลเพื่อภารกิจของพวกเราจึงไม่มีปัญหาอะไร


 


และด้วยเหตุนี้เอง, เรื่องข้อมูลรั่วไหลจึงไม่น่าจะเกิดขึ้น


 


อย่างไรก็ตามยังมีเรื่องที่น่ากังวลอยู่เล็กน้อยแต่ฉันไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันยังไง


 


“ดูเหมือนว่าการเตรียมการจะค่อนข้างทั่วถึงเลยนะครับ ข้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วหล่ะ แล้วท่านมีอะไรที่ข้าสามารถช่วยได้รึเปล่า?”


 


“นั่นสินะ เจ้าจะอยู่ในเมืองหลวงจักรวรรดิซักพักนึงใช่ไหม?”


 


“ครับ, ข้าก็ตั้งใจว่าจะอย่างนั้น”


 


“ถ้างั้นช่วยใช้เส้นสายดยุคของเจ้าแล้วเคลื่อนไหวพ่อค้าให้พวกเราหน่อยได้ไหม?”


 


“ข้าก็ไม่ติดขัดอะไรหรอกครับแต่ว่าท่านอยากให้ข้าเคลื่อนไหวพวกเขายังไง?”


 


“ต่อให้เป็นแค่ช่วงสั้นๆ, แต่ทางใต้ก็กำลังเป็นศัตรูกับจักรวรรดิ มันมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับความปลอดภัยที่ลดลงซึ่งคงทำให้ประชาชนต้องเผชิญกับการขาดแคลนอาหาร ข้าอยากให้ช่วยเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ให้หน่อย”


 


 


“เข้าใจแล้วครับ แบบนั้นก็เข้าทางข้า เดี๋ยวจะจัดการให้ครับ”


 


ในตอนที่พูดนั้น, เยอร์เกนก็ยิ้มให้ฉันอย่างสดใส


 


ถ้าเยอร์เกนกับบริษัทอะจินเคลื่อนไหว, มันก็น่าจะช่วยเรื่องกำลังคนของพวกเราได้มากขึ้น


 


และถ้าพวกเราจ้างนักผจญภัยและใช้พวกเขาเป็นคนคุ้มกัน, พวกเราก็จะสามารถหมุนเวียนเงินได้ด้วยไม่มากก็น้อย


 


ในกรณีฉุกเฉิน, การใช้เงินที่ฉันได้รับในฐานะซิลเวอร์เองก็ถือเป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผลเหมือนกัน


 


ปัญหาคงไม่จบลงง่ายๆด้วยแค่การจัดการดยุคครูเกอร์ นอกจากนี้, ส่วนที่ยากจะตามมาหลังจากนั้น


 


“อ้ะ ใช่แล้ว, ท่านฟีเน่คะ โปรดรับนี้ไปด้วยค่ะ”


 


ราวกับเธอพึ่งนึกขึ้นได้, ลินเฟียได้ส่งขลุ่ยให้กับฟีเน่


 


แค่เห็นมันก็ชัดเจนแล้วว่านี่คืออุปกรณ์เวทมนตร์ขั้นสูงพอตัว


 


“นี่คืออะไรหรอคะ?”


 


“ข้าได้รับมาจากคนแคระเฒ่าที่เดินหลงอยู่ในเมือง ดูเหมือนว่าถ้าเป่ามัน, มันจะส่งเสียงที่จะได้ยินไปถึงคนที่เป็นมิตรกับเราค่ะ”


 


“แสดงว่านี่เป็นของที่สุดยอดไปเลยไม่ใช่หรอคะ?”


 


“ข้าคิดว่าท่านฟีเน่น่าจะต้องการมันมากกว่าข้าค่ะ”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ลินเฟียก็ส่งขลุ่ยให้ฟีเน่


 


ฟีเน่มองมาที่ฉันราวกับว่าเธอกำลังลำบากใจแต่ฉันก็พยักหน้าให้เธออย่างเงียบๆ


 


สถานการณ์ที่ฟีเน่จะใช้มันนั้นจะต้องเป็นอันตรายอย่างแน่นอน ในกรณีนี้, ถ้าฉันไปช่วยเธอในฐานะซิลเวอร์ก็คงไม่เป็นอะไรต่อให้มันจะเป็นปัญหามากขึ้นในภายหลังก็ตาม, นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะยอมเสี่ยงปล่อยผ่านไป


 


ฉันอาจจะทิ้งขว้างทุกสิ่งและไปอยู่เคียงข้างเธอในตอนที่เวลาแบบนั้นมาถึง


 


“ถ้าฟีเน่พกไว้มันก็จะช่วยให้ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นด้วย”


 


“…..เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นครั้งนี้ข้าขอยืมหน่อยนะคะ”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ฟีเน่ก็รับขลุ่ยมาจากลินเฟียอย่างสุภาพ


 


แต่ว่าคนแคระหลงทางงั้นหรอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนแคระเฒ่าด้วยเนี่ยนะ


 


ฉันนึกถึงคนๆนึงขึ้นมาได้แวบนึงแต่ก็ปัดตกไปในทันที


 


ฉันไม่ได้ข่าวคราวว่าเขาอยู่ในจักรวรรดิ มันไม่มีทางที่จะเป็นเขาได้


 


เอาเถอะ, ต่อให้มีโอกาสที่เขาจะอยู่ที่นี่จริงๆ, เขาก็คงไม่มีวันร่วมมือกับขุนนางทางใต้แน่นอนดังนั้นครั้งนี้เขาคงไม่โผลหน้ามาหรอก


 


“ถ้างั้นข้าขอตัวไปทำงานก่อนเลยแล้วกันนะครับ”


 


“ข้าเองก็จะไปหาท่านลีโอเหมือนกันค่ะ”


 


เยอร์เกนเริ่มเคลื่อนไหวในทันทีในขณะที่ฟีเน่กับคนอื่นๆไปเข้าร่วมกับลีโอ


 


เหลือแค่ฉันกับเซบาสที่ยังอยู่ในห้อง


 


“มีอะไรจะรายงานรึเปล่า?”


 


“ครับ, ดูเหมือนว่าท่านโซเนียจะถูกบังคับให้รับใช้องค์ชายกอร์ดอนเพราะเขาจับตัวประกันมาบีบบังคับเธอครับ นี่คือสิ่งที่ข้าได้ยินมาแต่ดูเหมือนว่าพ่อเลี้ยงของเธอจะเป็นนักกลยุทธอัจฉริยะมาตั้งแต่แรกแล้ว”


 


“แบบนี้นี่เอง ถ้างั้นก็พอจะเข้าใจการเคลื่อนไหวของเธอได้แล้ว”


 


ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน, ก็จะได้รับความสำเร็จกลับมาบ้างในระดับนึง


 


นี่คือการเคลื่อนไหวที่คนมีสติปัญญาทำจริงๆ


 


แต่ดูเหมือนว่าเธอจะอ่านกอร์ดอนไม่ขาดสินะ


 


เจ้านั้นไม่สามารถเอามาตรฐานปกติมาใช้ได้ ครั้งนี้เขาน่าจะเอาวิธีการนอกรีดมาใช้ด้วย


 


“พวกเราจะพักเรื่องโซเนียเอาไว้ก่อน ตอนนี้พวกเราจะมาห่วงเรื่องของเธอไม่ได้”


 


“เข้าใจแล้วครับ ถ้างั้นข้าจะไปคอยอยู่ข้างองค์ชายลีโอนาร์ดแล้ว หลังจากนี้ท่านตั้งใจจะเคลื่อนไหวยังไงครับ, ท่านอาร์โนลด์?”


 


“กระแสข้อมูลแทบจะถูกตัดขาดจนหมดแล้วแต่น่าจะยังมีคนๆนึงที่จะแพร่งพรายข้อมูลของพวกเราออกไปข้างนอก”


 


“แบบนี้นี่เอง……องค์ชายกอร์ดอนสินะครับ?”


 


“อา, ข้าจะคอยจับตาดูเขาเอง พวกเราไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ ขอโทษด้วย, แต่ข้าขอฝากลีโอไว้กับเจ้าแล้วกัน ถ้ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นข้าจะบินไปหาเจ้าเอง ถึงแม้ว่าปัญหาน่าจะเกิดจากฝั่งข้ามากกว่าหล่ะนะ”


 


ในขณะที่กำลังคิดเช่นนี้, ฉันก็เริ่มคาดการณ์การเคลื่อนไหวต่อไปของกอร์ดอน

 

 

 


ตอนที่ 111

 

วันออกเดินทาง


 


มีแค่ฉันกับฟีเน่ที่อยู่ในห้อง


 


“ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะคะ”


 


“นั่นสินะ เอาเถอะ, การเตรียมการสมบูรณ์แล้ว ถ้าไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น, ทุกอย่างก็น่าจะไม่เป็นอะไรหล่ะนะ”


 


“ค่ะ, ไม่มีอะไรต้องกังวล”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ฟีเน่ก็ยิ้มเรียกความมั่นใจให้ฉัน


 


เมื่อเห็นที่เป็นแบบนี้, ฉันก็เงียบไปพักนึง


 


จนถึงตอนนี้มีหลายครั้งที่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ฉันคงพูดไม่ได้ว่าครั้งนี้มันจะไม่เกิดขึ้น


 


ฟีเน่จะไปยืนอยู่ที่ศูนย์กลางของมัน ตอนนี้เธอตกอยู่ในอันตรายมากกว่าที่เคยผ่านมา


 


“…..พูดตรงๆนะ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าไปเลย”


 


“ข้าขอโทษจริงๆค่ะ”


 


“เจ้านี่…..เข้มแข็งจังเลยนะ”


 


ฟีเน่ก้มศรีษะลงอย่างเงียบๆแล้วเงยหน้าขึ้น ไม่มีร่องรอยความกังวลแสดงอยู่บนใบหน้าของเธอเลย


 


สิ่งที่ทำให้มันเป็นไปได้ก็คือความไว้ใจของเธอที่มีให้คนอื่น เธอเข้มแข็งจริงๆที่สามารถไว้ใจคนอื่นได้มากถึงขนาดนั้น


 


“ข้าไม่ได้เข้มแข็งเลยค่ะ ข้านึกถึงความไร้ประโยชน์ของตัวเองอยู่ทุกวัน”


 


“เจ้าเนี่ยนะ?”


 


“น่าประหลาดใจหรอคะ? ข้าหน่ะอยากช่วยท่านอัลตลอดเวลาเลยนะคะรู้ไหม?”


 


“ข้าก็รู้สึกขอบคุณนะแต่ว่าเจ้าช่วยข้ามาพอแล้วหล่ะ”


 


“ไม่หรอก, ไม่ใช่เลยค่ะ ข้าเป็นคนที่ล่วงรู้ความลับของท่าน ข้าควรจะช่วยแบ่งเบาภาระของท่าน แต่ว่า….ทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือการมองดูท่านไปทำเรื่องเจ็บตัวโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”


 


สายตาของฟีเน่จ้องลงมาที่มือซ้ายของฉัน


 


มือซ้ายที่พันแผลเอาไว้นั้นดูค่อนข้างเจ็บเพราะมันยังไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่


 


อย่างไรก็ตาม, ต้องขอบคุณแผลนี้, นาร์เบ ริทเทอร์จึงตัดสินใจปกป้องพวกเขาอย่างเต็มความสามารถ


 


“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”


 


“….ต่อให้เป็นรอยแผลเล็กๆมันก็กลายเป็นแผลเป็นใหญ่ได้นะคะ หน้าที่ของข้าคือการป้องกันไม่ให้ท่านได้รับบาดเจ็บรุนแรง ซึ่งข้าภาคภูมิใจกับเรื่องนั้นมากๆ”


 


ในตอนที่ฟีเน่มองตรงมาที่ฉัน, ฉันก็ยิ้มเจื่อนๆ


 


จากนั้น, แก้มของฟีเน่ก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย


 


“ข, ข้ากำลังจริงจังอยู่นะคะ!”


 


“อา, ข้ารู้แล้ว ข้าแค่คิดว่าหน้าตาจริงจังของเขามันค่อนข้างๆจะเหนือคาดไปหน่อย”


 


“น, นี่ท่านเห็นข้าเป็นตัวตลกหรอคะ!?”


 


“เปล่าซักหน่อย ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นห่วงข้าจริงๆ เพราะฉะนั้นข้าจะบอกให้นะว่าข้าเองก็เป็นห่วงเจ้าเหมือนกัน เจ้าอ่อนโยนและมักจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ สำหรับข้า, เจ้าเป็นสัญญาณนำทางที่สำคัญ ถ้าเกิดเจ้าจากไปแล้วข้าคงจะเป็นปัญหาเอาได้”


 


ตั้งแต่ตอนที่สงครามผู้สืบทอดเริ่มต้นขึ้น, พี่ๆทั้งสามของฉันก็เปลี่ยนไป


 


เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับฉันด้วย, ฉันจำเป็นต้องมีฟีเน่อยู่ข้างกาย


 


และเพื่อไม่ให้ฉันกลายเป็นปีศาจร้าย, แม้ว่าจะต้องใช้แผนการที่โหดร้ายแค่ไหน ฉันจะไม่มีวันใช้แผนการที่ฟีเน่แสดงความไม่เห็นด้วยออกมาอย่างชัดเจน


 


เพราะถ้าฉันทำแบบนั้น, ฉันเองก็จะจมลงไปในความมืดของสงครามผู้สืบทอดเช่นกัน


 


ลีโอเองก็คงไม่มีวันทำเรื่องที่ฟีเน่แสดงความไม่เห็นด้วยออกมาอย่างชัดเจน


 


เพื่อไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น, ฉันอยากให้ฟีเน่อยู่เพื่อรักษาแสงสว่างของพวกเรา


 


“เพราะฉะนั้น….ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเจ้าต้องเป่าขลุ่ยทันทีเลยนะ ข้าจะไปช่วยเจ้าอย่างแน่นอน ไม่ว่าข้าจะทำอะไรอยู่, ไม่ว่าข้าจะอยู่กับใคร, ข้าก็จะให้ความสำคัญกับเจ้ามากที่สุด”


 


“ถ้าท่านพูดถึงขนาดนี้ข้าก็ลำบากใจแย่เลยสิคะ…..มันต้องมีเรื่องสำคัญกว่าที่ท่านอัลต้องทำด้วยถูกไหมคะ”


 


“ไม่หรอก, เจ้าถือเป็นความสำคัญลำดับหนึ่ง แต่ก็แน่นอนว่า, ข้าจะทำงานอื่นๆให้เสร็จให้มากที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้ด้วย”


 


“งั้นหรอคะ…..ถ้างั้นเมื่อเวลามาถึงก็ขอฝากด้วยนะคะ”


 


“อา, ไว้ใจได้เลย”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ฉันก็ยิ้มออกมาอย่างไม่หวั่นกลัว


 


ฉันต้องทำให้ฟีเน่สบายใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉัน


 


“ใกล้จะได้เวลาแล้วค่ะ”


 


“ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ…..”


 


ในตอนที่มองไปทางนาฬิกา, ฉันก็ลุกขึ้น


 


หลังจากนี้, ฟีเน่จะเข้าร่วมกับลีโอและคนอื่นๆเพื่อเตรียมออกเดินทาง ส่วนฉันเองก็จะคอยจับตาดูกอร์ดอน


 


ด้วยเหตุการณ์ที่ดำเนินไปเช่นนั้น, คงไม่ค่อยมีโอกาสที่พวกเราจะได้เจอกัน แต่ถึงยังไงพวกเราก็ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องแบบนั้นอยู่แล้วหล่ะนะ


 


เพราะอย่างนั้นฉันจึงคิดว่าตัวเองยังคุยกับเธอไม่พอ


 


แต่ว่า, ในหัวของฉันกลับคิดอะไรไม่ออก


 


ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง, ฟีเน่ก็เปิดประตู


 


“ไปกันเถอะค่ะ”


 


“อ, อ่า”


 


ฉันเกาศรีษะด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน


 


ในขณะที่กำลังทำแบบนั้น, ฟีเน่ก็ยิ้มออกมา


 


จากนั้น


 


“ท่านอัลคะ ท่านอัลหน่ะคอยช่วยเหลือข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเราได้เจอกันแล้ว ข้าเชื่อในตัวท่านเสมอ ดังนั้นข้าไม่กังวลหรอกค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็จะไม่กลัว เพราะฉะนั้นช่วยส่งข้าออกไปโดยไม่ต้องห่วงข้านะคะ”


 


“…..ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยช่วยเจ้าไปขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


“ต่อให้ทำไปโดยไม่รู้ตัว, แต่ท่านอัลก็คอยช่วยเหลือผู้คนเสมอค่ะ ข้าคือหลักฐานของสิ่งนั้น”


 


“เรื่องของดยุคไคลเนลต์เป็นแค่การเคลื่อนไหวที่ข้าคำนวณเอาไว้นะรู้รึเปล่า?”


 


ในตอนที่ฉันพูดแบบนี้, ฟีเน่ก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส


 


โดยไม่สามารถอ่านความหมายที่แท้จริงของรอยยิ้มเธอได้, ฟีเน่ก็เดินนำหน้าไป, ปล่อยให้ฉันสับสนอยู่คนเดียว


 


รอยยิ้มนั้นหมายความว่ายังไงกัน?


 


ในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงปริศนาใหม่นี้, ฉันก็เดินตามฟีเน่ไป


 


“อยู่ข้างนอกก็ระวังตัวให้ดีหล่ะ”


 


“แน่นอนครับ”


 


ในตอนที่พูดออกไปแบบนั้น, ฉันกับลีโอก็บอกลากัน


 


มันอันตรายกับฟีเน่อย่างเห็นได้ชัดแต่มันก็เป็นเหมือนกันกับลีโอ


 


แต่ว่าลีโอเองก็ดูเหมือนจะกระตือรือร้นกับเรื่องนี้เหมือนกัน ฉันหมายถึง, เขาดูไม่กลัวเลย


 


สถานที่ที่เขากำลังมุ่งหน้าไปก็คือทางใต้, สถานที่ที่ดยุคครูเกอร์ถือครองอำนาจเอาไว้มากที่สุด


 


“ดูเหมือนว่าท่านพี่จะมีเรื่องกังวลอยู่สินะครับ”


 


“แน่นอน”


 


“วางใจเถอะครับ ถึงยังไงข้าก็มีพวกคนคุ้มกันเก่งๆที่ท่านพี่อุตส่าห์ไปหามาให้อยู่ด้วย”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ลีโอก็มองไปทางนาร์เบ ริทเทอร์ที่ยืนเรียงแถวกันเบื้องหน้าพวกเรา


 


ด้วยลาสที่เป็นคนนำพวกเขา, พวกเขาก็ทำความเคารพพวกเราพร้อมกันในตอนที่รับรู้ถึงสายตาของพวกเรา


 


“องค์ชายอาร์โนลด์ ในเมื่อท่านจะส่งพวกเราออกไปทั้งทีก็ช่วยยืดอกให้สง่าผ่าเผยกว่านี้หน่อยสิครับ มันส่งผลกับขวัญกำลังใจของพวกเรานะ”


 


“อย่าไร้เหตุผลไปหน่อยเลยหน่า…..”


 


“นี่พวกเราไม่ควรค่าให้ท่านไว้ใจหรอครับ?”


 


นาร์เบ ริทเทอร์ที่เก่งที่สุด 300 คนแรกจะทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันให้ขบวนผู้ส่งสารเองครับ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆตอนนี้กำลังทำหน้าที่ปิดกั้นข้อมูลรอบๆเมืองหลวงจักรวรรดิอยู่


 


นี่ก็หมายความว่าลีโอจะต้องถล่มปราสาทด้วยคนแค่ 300 คนสินะ


 


ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน, ฉันก็อดห่วงพวกเขาไม่ได้


 


“ถ้าข้าไม่เชื่อใจพวกเจ้าข้าก็คงไม่ฝากน้องชายข้าให้เจ้าดูแลหรอก”


 


“ถ้างั้นก็ช่วยยืดอกให้เต็มที่ได้เลยครับ สิ่งที่พวกเราอยากเห็นก็คือความมั่นใจของท่าน ได้โปรดให้พวกเราเห็นความไว้ใจที่ท่านมีให้พวกเราเถอะครับ”


 


ในตอนที่เขาบอกฉันแบบนั้น, ฉันก็เงยหน้าขึ้นแล้วยืนผายออกอย่างเต็มที่


 


จากนั้นฉันก็พูดกับนาร์เบ ริทเทอร์ทั้ง 300 คน


 


“ขอฝากพวกเขาเอาไว้ในการดูแลของพวกเจ้านะ”


 


แทนที่จะตอบคำถาม, พวกเขากลับทำความเคารพฉันแทน


 


จากนั้นลาสก็จัดแถวลูกน้องของเขา


 


มันใกล้จะถึงเวลาสำหรับพวกเขาแล้วสินะ


 


“เจ้าหนู, ทำให้พวกคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้เชื่อฟังได้ไม่ธรรมดาเลยนี่”


 


คนที่จู่ๆก็เรียกฉันนั้นก็คือซิกที่ตอนนี้นั่งอยู่บนไหล่ของเซบาส


 


ลินเฟียเองก็อยู่ถัดจากพวกเขา


 


ขุมพลังทั้งหมดที่ขุมอำนาจของพวกเรามีได้มารวมตัวกันเพื่อปกป้องลีโอ


 


“พวกเราจะไปแล้วนะคะ องค์ชายอาร์โนลด์”


 


“อา, ฝากดูแลพวกเขาด้วยหล่ะ แต่ว่า, ช่วยเรียกข้าแบบอื่นได้ไหม, ลินเฟีย?”


 


“ท่านไม่ชอบหรอคะ?”


 


“มันดูห่างเหินหน่ะ”


 


“งั้นหรอคะ………ถ้างั้นกลับมาข้าค่อยเปลี่ยนแล้วกันค่ะ”


 


“เอาสิ ข้าจะรอ”


 


“ได้เลยค่ะ”


 


ลินเฟียพูดแบบนั้นในตอนที่เธอโค้งคำนับอย่างสุภาพแล้วจากไป


 


สถานที่ที่เธอมุ่งหน้าไปก็คือรถม้าที่ฟีเน่ขึ้นไปรอแล้ว นอกจากคุ้มกันเธอ, ครั้งนี้ลินเฟียยังทำหน้าที่สนับสนุนเรื่องต่างๆให้ฟีเน่ด้วย


 


เป็นเวลาพักนึง, ฉันได้สบตากับฟีเน่ในขณะที่เธอยิ้มแล้วโบกมือให้ฉัน


 


“ดูไม่กังวลอะไรเลยนะ”


 


“ข้าคิดว่าแบบนี้ดีกว่ามัวมานั่งกังวลนะคะ”


 


“นั่นสินะ ถ้าแม่หนูผ่อนคลายขนาดนี้อีกฝ่ายก็คงจะไม่ระแวงเหมือนกัน เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเก่งเลยนี่ ทั้งสวย, มีสไตล์, ไม่มีจุดไหนให้ติเลย”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ซิกก็ยิ้มกะล่อนซึ่งดูไม่เข้ากับรูปลักษณ์ของเขาเลย


 


ไอ้หมอนี่ทำตัวสบายจังนะ


 


“ข้าขอหล่ะ, อย่าเริ่มหม้อเธอในระหว่างเดินทางนะ….”


 


“ข้าสัญญาแบบนั้นไม่ได้หรอก การจีบหญิงงามเป็นธรรมชาติของข้าอยู่แล้ว”


 


“แล้วเอลน่าหล่ะ?”


 


“หืม, เจ้าคิดว่าเธอสวยหรอ?”


 


ฉันขมวดคิ้วให้กับคำตอบนี้


 


พอเห็นฉันเป็นแบบนี้, ซิกก็แสยะยิ้ม


 


“น่าเสียดายมันขัดกับหลักการของข้าหน่ะ ข้าเห็นผู้หญิงที่จับหอกจับดาบเป็นนักรบมาก่อนเป็นผู้หญิง มันน่าเสียดายใช่ไหมหล่ะ? แถมเธอยังสามารถเสนอการต่อสู้ดีๆให้ข้าได้ด้วย”


 


ในตอนที่พูด, ซิกก็ยิ้มออกมา


 


ดูเหมือนว่าซิกจะมีหลักที่มั่นคงจังเลยนะ


 


“นี่คือสาเหตุที่ต่อให้หน้าตาของเธอจะสมบูรณ์แบบ, แต่เธอก็อยู่นอกเป้าหมายการเพ่งเล็งของข้า ถึงยังไงเธอก็เป็นนักรบนี่นะ”


 


“ในทางตรงกันข้าม, ถ้าเธอตามท่าหอกของเจ้าไม่ได้เจ้าก็จะปฏิบัติกับเธอเหมือนผู้หญิงใช่ไหม?”


 


“แน่นอนสิ ไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยคนสวยแบบนั้นไปอยู่แล้ว”


 


“นี่ นี่….ข้าขอหล่ะโอเคไหม?”


 


“ไม่ต้องห่วง เชื่อข้าเถอะ”


 


ซิกตอบกลับฉันในขณะที่เขาเกาะไหล่ของเซบาส


 


นี่มันดูไม่น่าเชื่อถือเลยซักนิด


 


หลังจากการสนทนาเช่นนี้, เซบาสก็โค้งคำนับแล้วจากไป


 


จากนั้นก็เหลือแค่ฉันกับลีโอ


 


“พวกเขาดูไว้ใจได้จริงๆครับ”


 


“เจ้าคิดงั้นหรอ?”


 


“พวกเขาคือคนที่ท่านพี่รวบรวมมาให้นี่หน่า ไม่มีใครที่ไม่น่าเชื่อถือหรอกครับ”


 


ลีโอพูดเช่นนั้นในขณะที่ยื่นกำปั้นขวามาให้ฉัน


 


พอเห็นแบบนั้นฉันก็ยืนกำปั้นออกไปเหมือนกัน


 


ในตอนที่กำปั้นของพวกเราสัมผัสกัน, ลีโอก็ทำสีหน้าจริงจัง


 


“ข้าจะจบมันเองครับ สงครามนี้”


 


“อา, ฝากด้วยหล่ะ”


 


หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน, ลีโอก็ขึ้นรถม้าของเขา


 


ด้วยเหตุนี้เองขบวนผู้ส่งสารก็ออกเดินทาง


 


หลังจากนั้นฉันก็ปีนขึ้นไปบนป้อมสังเกตุการณ์, แล้วมองพวกเขาออกเดินทางจนพ้นเมืองหลวงจักรวรรดิ


 


“พวกเขาออกไปกันแล้วสินะ”


 


“ครับ, พวกเขาไปกันแล้ว”


 


เยอร์เกนพึมพำเรื่องเดียวกับฉัน


 


จากนั้น, ฉันก็หันหลังกลับ


 


“ท่านจะไปไหนหรอครับ?”


 


“ข้ามีเรื่องต้องทำเพราะฉะนั้นข้าจะออกไปนอกจักรวรรดิซักพักนึง ถ้ามีคนถามว่าข้าอยู่ไหนก็อ้างไปตามสมควรนะ”


 


“ข้าไม่มีปัญหาหรอกครับแต่ว่า……ท่านจะไปจับตาดูนักกลยุทธที่เลื่องลือคนนั้นหรอครับ?”


 


“แสดงว่าเจ้ารู้อยู่แล้วสินะ”


 


“แน่นอนครับ แต่ช่วยอย่าทำอะไรห่ามๆนะครับ ข้าคงสู้หน้าท่านลีเซล็อตต์ไม่ได้แน่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน”


 


“งั้นหรอ ถ้างั้นข้าจะระวังนะ ไม่ต้องห่วง ข้าจะสังเกตจากที่ไกลๆเท่านั้น”


 


“ถ้างั้นก็ไม่เป็นอะไรครับแต่ว่า…..แล้วคนติดตามของท่านหล่ะ?”


 


“ข้ามีอยู่แล้วคนนึง”


 


เยอร์เกนพยักหน้าอยู่หลายครั้งแล้วส่งฉันออกไปด้วยรอยยิ้มในขณะที่บอกให้ฉันระวังตัว


 


เพียงเท่านี้, มันก็คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าฉันจะออกนอกเมืองหลวงซักพักนึง


 


ฉันไม่ได้ให้เซบาสคอยปิดบังให้ฉันในคราวนี้ดังนั้นฉันจึงขอให้เยอร์เกนทำหน้าที่นั้นแทน


 


มันเป็นเรื่องปกติสำหรับฉันที่จู่ๆจะออกไปที่ไหนซักแห่งดังนั้นจึงไม่น่าจะมีใครสงสัยอะไร


 


“อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าได้ทำอะไรตามใจชอบหล่ะ, กอร์ดอน”


 


ในขณะที่พึมพำด้วยเสียงเบาๆ, ฉันก็เร่งฝีเท้า


 


พอออกจากเมืองหลวงแล้วฉันคงจะเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น


 


ตอนนี้, ถึงเวลาเคลื่อนไหวในเงามืดแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 112

 

กอร์ดอนได้ออกจากเมืองหลวงจักรวรรดิแล้วเรียกรวมกองทัพทางฝั่งใต้ของเมืองหลวงรอเอาไว้


 


จำนวนทั้งหมดคือ 30,000 นาย


 


ถ้าทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบลื่น, จำนวนก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า


 


“องค์ชายกอร์ดอน! พวกเราจะเอาแต่รอโดยไม่ทำอะไรเลยหรอครับ!?”


 


ที่เต้นท์ของกอร์ดอนซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการ, ชายวัยกลางคืนไว้หนวดได้เรียกร้องกับเขา


 


ร่างกายของเขานั้นกำยำแต่ที่ส่วนท้องของเขายังมีพุงยื่นออกมาด้วย ชื่อของชายคนนี้ซึ่งมีร่างกายป้อมๆทำให้คนชอบนำไปเปรียบกับถังเหล้าก็คืออดัม กูลเวอร์


 


เขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ประจำการอยู่ในเมืองหลวงจักรวรรดิซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้มีอำนาจสั่งการลำดับสองในปฏิบัติการนี้ แล้วเขาก็เป็นผู้สนับสนุนตัวยงของกอร์ดอนด้วย


 


“ฝ่าบาทสั่งให้พวกเราเรียกรวมพลแต่ยังไม่อนุญาตให้เดินทัพ”


 


“แต่ว่า!”


 


กูลเวอร์เร่งเร้ากอร์ดอน


 


มันคือขุมอำนาจของกอร์ดอนที่จงใจชะลอสถานการณ์ให้กลายเป็นสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม, แผนการทั้งหมดของพวกเขากำลังจะสูญเปล่าเพราะลีโอ


 


พอรู้แบบนี้, กอร์ดอนก็อยู่ไม่สุขถ้าให้ต้องรอฟังรายงานจากลีโอเพียงอย่างเดียว


 


“เอาเถอะหน่า, ใจเย็นหน่อย, กูลเวอร์ จนกว่ากองทัพจะเรียบร้อยดีข้าจะคอยอยู่ที่นี่เอง แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้น, ข้าอยากให้เจ้า ออกไปทำภารกิจสอดแนม”


 


“พวกเราไม่จำเป็นต้องทำการสอดแนมอะไรแล้วนะครับ, องค์ชาย! ศัตรูของพวกเราก็คือพวกม็อบที่ไม่เชื่อฟังนั่น! ถ้าพวกเราออกโจมตีพวกนั้น, พวกเราก็จะสามารถสร้างช่องโหว่วที่แนวหน้าของพวกนั้นแล้วรุดหน้าเข้าไปในแดนของศัตรูได้โดยไม่ทันให้ตั้งตัว”


 


นี่ไม่ใช่แค่ความเห็นจากกูลเวอร์คนเดียว มันคือมติเอกฉันท์จากเจ้าหน้าที่กองทัพทั้งหลายของกอร์ดอน


 


เมืองทางใต้โดยเฉพาะพวกที่อยู่แนวหน้านั้นมีขวัญกำลังใจต่ำและไม่ได้มีกำลังมากนักมาตั้งแต่แรกแล้ว มันคงเป็นงานที่น่าเจ็บใจสำหรับกูลเวอร์ที่ต้องเป็นหัวหน้าภารกิจสอดแนมแม้ว่าเมืองต่างๆที่อยู่เบื้องหน้าเขาจะยอมจำนนกับพวกเขาในทันทีด้วยการโจมตีง่ายๆก็ตาม


 


อย่างไรก็ตาม,


 


“อย่าพูดแบบนั้นสิ กูลเวอร์, ข้าจะให้คนไป 10,000 คน ภารกิจของเจ้าคือการสอดแนมเมืองเกลเลสที่เป็นแนวหน้าของพวกมัน”


 


คำสั่งของเขานั้นเหนือความคาดหมาย


 


มันไม่เคยมีครั้งไหนที่แม่ทัพจะส่งทหารไปถึงหนึ่งส่วนสามของกองทัพในภารกิจสอดแนม


 


เป็นเวลาพักนึงที่กูลเวอร์รู้สึกสงสัยกับคำสั่งที่เขาได้รับแต่ไม่นานนักเขาก็ตระหนักได้ว่ากอร์ดอนกำลังเผยรอยยิ้มอยู่บนหน้าของเขา


 


“องค์ชายมีแผนอยู่สินะครับ!?”


 


กูลเวอร์ถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง


 


กอร์ดอนแค่พยักหน้าตอบเขาโดยไม่พูดอะไร


 


สำหรับการตอบสนองเช่นนี้ของกอร์ดอน, กูลเวอร์ได้ขานรับซ้ำไปซ้ำมา


 


“เข้าใจแล้วครับ! ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะนำทหาร 10,000 นายออกไปทำภารกิจสอดแนม!”


 


“ฝากด้วยหล่ะ แล้วข้าจะส่งสองคนนี้ไปเป็นผู้ช่วยของเจ้าด้วย”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, กอร์ดอนก็เรียกคนสองคนเข้ามาในเต้นท์


 


หนึ่งในนั้นก็คือโซเนีย, นักกลยุทธของกอร์ดอน


 


ส่วนอีกคนนึงเป็นทหารตัวสูงผมสีเทา พอเห็นเขา, กูลเวอร์ก็แสยะยิ้มออกมา


 


“นี่พันเอกเลทส์ไม่ใช่หรอ ได้เจ้ามาช่วยเหลือแบบนี้รู้สึกใจชื้นขึ้นเยอะเลย”


 


“เป็นเกียรติที่ได้รับใช้ครับ, แม่ทัพกูลเวอร์”


 


เลทส์ทำความเคารพอย่างไร้อารมณ์


 


เลทส์เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของกอร์ดอนและเป็นผู้บัญชาการกองทหารม้าของเขา


 


ด้วยความสามารถของเขาที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว, เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทของกอร์ดอนแม้ว่าจะมียศแค่พันเอกก็ตาม


 


จากมุมมองของกูลเวอร์เขาเป็นคนที่ค่อนข้างมีอารมณ์ฉุนเฉียว, แต่มันก็ค่อนข้างรู้สึกใจชื้นที่เขาได้เลทส์มาเป็นผู้ช่วย


 


เมื่อเห็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างทั้งสอง, โซเนียก็มองตรงไปที่กอร์ดอน


 


“ส่งทหารตั้งหมื่นนายออกทำภารกิจสอดแนมแบบนี้คนอื่นจะว่ายังไงข้าไม่รู้ด้วยนะคะ”


 


“มันก็แค่การสอดแนม มันไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดต้องระวังตัวหรอก”


 


“….สำหรับสิ่งที่ท่านคิดจะทำนั้นข้าแนะนำให้หยุดซะจะดีกว่า นี่เป็นคำแนะนำของข้าในฐานะนักกลยุทธค่ะ ฝ่าบาทได้เห็นด้วยกับแผนการขององค์ชายลีโอนาร์ดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะมีบทลงโทษแบบไหนสำหรับคนที่คิดจะขัดขวางนะคะ, เข้าใจใช่ไหม?”


 


“เหมือนที่ข้าพึ่งพูดไป, นี่มันก็แค่การสอดแนม”


 


กอร์ดอนตอบปัดคำแนะนำของโซเนียโดยไม่แยแส


 


โซเนียเข้าใจดีว่าเขาจะไม่ยอมฟังเธอแต่เธอก็อดพูดออกมาไม่ได้


 


แม้ว่าเขาจะเริ่มสงครามได้สำเร็จ, แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรได้รับคำสรรเสริญเลย


 


โซเนียมองออกว่ากอร์ดอนกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่การทำลายตัวเอง ถ้าสิ่งที่เขาจะทำลายนั้นมีแค่ตัวเองก็คงไม่มีปัญหาแต่การทำลายตัวเองของเขานั้นจะแพร่กระจายความเสียหายเป็นวงกว้าง


 


โซเนียอยากจะหยุดเขาแต่เธอไม่มีอำนาจพอที่จะทำแบบนั้น


 


“เจ้าจะต้องไปช่วยกูลเวอร์ นี่ก็เพื่อพ่อเจ้าและตัวเจ้าเอง”


 


“….ท่านบ้าไปแล้วสินะคะ”


 


“น่าเสียดายนะ, แต่ข้าเนี่ยแหล่ะบ้าขนานแท้”


 


ในตอนที่พูดจบ, กอร์ดอนก็ให้โซเนียกับกูลเวอร์ออกไป


 


มีแค่เลทส์ที่ยังอยู่กับเขาในเต้นท์


 


จากนั้นก็ดอนก็ถามคำถามเลทส์ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา


 


“ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการใช่ไหม?”


 


“ครับ, องค์ชาย! ข้าได้จัดการทุกอย่างตามคำแนะนำของท่านแล้วครับ!”


 


เลทส์ทำความเคารพแล้วตอบกลับ


 


กอร์ดอนพยักหน้าอย่างพึงพอใจให้กับผลงานของลูกน้องที่เขาไว้ใจ


 


จากนั้นเขาก็มองไปทางใต้แล้วแสยะยิ้ม


 


“เท่านี้ลีโอนาร์ดก็จบสิ้นแล้ว”


 


“แต่ถ้าแผนการนี้สำเร็จ, แผนการต่อไปมันก็จะหมดความหมายไม่ใช่หรอครับ?”


 


“มันยังพอมีทางอยู่ ครั้งนี้ฝั่งนั้นมีบ้านผู้กล้าหาญมาเกี่ยวข้องด้วยนั่นแหล่ะนะ ถึงพวกเราจะไม่สามารถถ่ายทอดแผนให้กับดยุคครูเกอร์ได้, แต่พวกเราก็ยังพอทำการคุ้มกัน, และดำเนินแผนต่อไปได้อยู่”


 


“รับทราบครับ ข้าจะทุ่มสุดตัวเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของท่านครับ”


 


“อา พอเกลเลสล่ม, เจ้าก็แค่รุดหน้าเข้าไปเรื่อยๆ ทะลวงไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเดี๋ยวข้าจะตามหลังเจ้าไปเอง”


 


“ครับท่าน! ข้าจะกรุยทางให้ท่านเองครับ!”


 


เลทส์ประกาศออกมาอย่างมั่นใจ


 


เมื่อเห็นความมั่นใจเช่นนี้, กอร์ดอนก็ยิ้มออกมา


 


ผู้บัญชาการส่วนใหญ่ที่มารวมตัวกันที่นี่นั้นเป็นคนจากขุมอำนาจของกอร์ดอน


 


ไม่ว่าคำสั่งจะเป็นยังไง, พวกเขาก็จะทำตามกอร์ดอน


 


“สงครามจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและทางใต้ก็จะถูกบดขยี้….และต่อไปก็จะเป็นตาของเมืองหลวงจักรวรรดิ”


 


“มันใกล้จะถึงเวลาแล้วสินะครับ”


 


“อา, นี่คือจุดจบของการแย่งชิงอำนาจที่ทั้งน่าสมเพชและน่ารำคาญนี้ ข้าจะขึ้นเป็นจักรพรรดิ…..ทั้งทวีปจะเป็นปึกแผ่น หลังจากที่ข้าพิชิตทวีปได้, ต่อไปพวกเราก็จะข้ามมหาสมุทร ทุกอย่างในโลกนี้จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้ชื่อของจักรวรรดิ”


 


“ให้ข้าติดตามไปด้วยนะครับ, องค์ชาย!”


 


กอร์ดอนกับเลทส์กำลังวาดฝันอนาคตในอุดมคติของพวกเขา


 


อย่างไรก็ตาม, อนาคตที่ทั้งสองคนวาดเอาไว้นั้นเริ่มเข้าขั้นบ้าไปแล้ว


 



 


ทางด้านหน่วยลอบเร้นที่กอร์ดอนเรียกมาที่เมืองหลวง


 


เนื่องจากพวกเขาเป็นหน่วยที่ไม่เป็นทางการซึ่งคนที่รู้ตัวตนของพวกเขามีอยู่เพียงหยิบมือ, จำนวนของพวกเขาจึงมีน้อย แต่ถึงอย่างนั้น, ความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคนก็ถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดในกองทัพจักรวรรดิ


 


ทหารฝีมือดีได้ถูกจัดมารวมกันและเข้ารับการฝึกที่หนักหน่วง


 


ที่พวกเขาร่วมมือกับกอร์ดอนก็เพราะพวกเขาอยากได้จักรพรรดิที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพเพื่อที่พวกเขาจะได้แสดงความสามารถของตัวเองให้เฉิดฉายยิ่งกว่านี้


 


อย่างไรก็ตาม, หน่วยที่ว่านี้กำลังจนตรอกอยู่ทางใต้


 


“บ้าชะมัด! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!?”


 


ผู้บัญชาการหน่วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกเขา


 


กอร์ดอนได้ส่งหน่วยนี้ลงใต้เพื่อที่จะส่งข้อมูลให้ดยุคครูเกอร์


 


ซึ่งข้อมูลที่ว่านั้นก็แน่นอนว่ามันคือกลยุทธของลีโอ


 


สมาชิกหน่วย 100 นายกำลังเคลื่อนไหวเพื่อทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ


 


อย่างไรก็ตาม, หน่วยนี้ไม่ได้ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกันอีกต่อไปแล้ว


 


“ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่ามีไอ้หมอกเวรนี่ด้วย!?”


 


ต้นเหตุที่รบกวนพวกเขาก็คือหมอกที่จู่ๆก็โผล่ขึ้นมาปกคลุมพื้นที่


 


หมอกนี้ทำให้พวกเขาแยกแยะคนที่อยู่ใกล้ตัวไม่ได้และเริ่มกระจัดกระจายกันไปคนละที่


 


แม้ว่าพวกเขาจะเป็นหน่วยระดับสูง, แต่พวกเขาก็ต้องมองหาเบาะแสที่เล็กที่สุดในบริเวณรอบๆเพื่อเดินต่อไปข้างหน้า


 


“หมอกนี้มันไม่ใช่หมอกตามธรรมชาติแน่ๆ……”


 


เมื่อเห็นแบบนี้, พันตรีก็ลบตัวตนของเขาแล้วเดินหน้าต่อไปอย่างระมัดระวัง


 


ถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติความเป็นไปได้แรกก็คือฝีมือของมอนส์เตอร์


 


มอนส์เตอร์ที่ปล่อยหมอกออกมาแล้วทำการล่าเหยื่อที่อยู่ข้างใน เขาไม่เคยได้ยินเรื่องของมอนส์เตอร์แบบนั้นมาก่อนแต่เขาก็ไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่จะมีตัวแบบนั้นอยู่ออกไปได้


 


พันตรีเดินหน้าต่อไปอย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่ส่งเสียงเลย


 


ไม่ว่าหมอกจะหนาแค่ไหน, มันก็ไม่ได้มีปัญหาถึงขนาดที่หน่วยลอบเร้นจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ พวกที่กระจัดกระจายไปเพราะหมอกเองก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่มีปัญหาแม้ว่าจะช้าลงก็ตาม


 


หลังจากตัดสินใจได้เช่นนี้, พันตรีก็เดินหน้าต่อไป


 


การตัดสินใจของเขานั้นมีทั้งถูกและผิด


 


ถ้ามันเป็นหมอกธรรมดา, ก็ไม่มีความจำเป็นต้องลังเลในขณะที่มุ่งหน้าต่อไปอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม, หมอกที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่หมอกธรรมดา


 


“เจอหมอกลวงตาเข้าไปเป็นยังไงบ้างหล่ะ? พันตรี?”


 


ที่ลอยอยู่บนฟ้าก็คือนักเวทย์ที่สวมหน้ากากเงินและเสื้อคลุมสีดำ, ซิลเวอร์


 


ตอนนี้สายตาของเขากำลังจ้องมาที่พันตรีและคนของเขาที่กำลังเดินเข้าไปในภูเขาราวกับว่ากำลังเดินละเมอ


 


พวกเขาโดนหมอกลวงตาที่ว่านี้ปิดสัมผัสด้านการรับรู้ทิศทาง


 


ไม่ว่าพวกเขาจะฝึกมาหนักแค่ไหน, พวกเขาก็ไม่สามารถไปไหนได้ถ้าการรับรู้ถูกปิดกั้น


 


เสียงกรีดร้องดังมาจากทั่วทุกที่


 


พวกเขากำลังถูกพวกมอนส์เตอร์โจมตี, แล้วกำลังหนีออกจากหน้าภา


 


สมาชิกทุกคนของหน่วยลอบเล้นได้มาติดกับเข้าที่นี่อย่างสมบูรณ์แบบ


 


“น่าเสียดายจังนะกอร์ดอน ดูเหมือนว่าหน่วยลับของเจ้าจะถูกกำจัดลงที่นี่แล้วหล่ะ”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ซิลเวอร์ก็หายไปจากพื้นที่


 


หน่วยลอบเล้นติดอยู่ในหมอกลวงตามาหลายวันแล้ว หลังจากนี้, ในตอนที่พวกเขาเริ่มฟื้นสัมผัสกลับคืนมา, พวกเขาก็คงไปถึงตัวดยุคครูเกอร์ไม่ทันเวลาแล้ว


 


ถึงยังไง, ไม่ว่าพวกเขาจะรวดเร็วแค่ไหน, ตอนนั้นลีโอกับคนอื่นๆก็คงไปถึงปราสาทของดยุคครูเกอร์แล้ว


 


พวกเขาไม่สามารถไล่ตามทันได้เนื่องจากเสียเวลาไปหลายวัน


 


และด้วยประการฉะนี้เอง, ซิลเวอร์จึงทำลายแผนการแรกของกอร์ดอนได้โดยแทบไม่ต้องพยายามอะไรเลย

 

 

 


ตอนที่ 113

 

เกลเลสเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแนวหน้าทางใต้


 


อย่างไรก็ตาม, ในจักรวรรดินั้น, มันก็เป็นแค่เมืองระดับกลางที่มีอัศวินประมาณ 500 คน ต่อให้เพิ่มคนที่สามารถต่อสู้ได้เข้าไปทั้งหมด, ก็มีแค่ประมาณ 1,000 คนเท่านั้น


 


และตอนนี้, กูลเวอร์ก็กำลังคุกคามเมืองที่ว่าอยู่ด้วยทหารระดับสูง 10,000 นายของเขา


 


“วะฮ่าฮ่าฮ่า!! ตอนนี้พวกอัศวินกระจอกทางใต้คงกำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ!”


 


ในตอนที่พูดนั้น, กูลเวอร์กำลังมองเกลเลสด้วยอารมณ์เริงร่า


 


เมืองนี้มีประตูสูงอย่างพอเหมาะและมีกำแพงชั้นนอกที่สูงใช้ได้ มันค่อนข้างหน้าเกรงขามในฐานะเมืองหน้าด่านถ้ามีกำลังคนที่เหมาะสมแต่กูลเวอร์รู้ว่าเกลเลสนั้นมีคนคอยปกป้องอยู่แค่ประมาณพันคนเท่านั้น


 


พอกอร์ดอนเริ่มแผนของเขาและพวกเขาได้รับอนุญาตให้บุก, เมืองก็จะล่มสลายในทันทีอย่างแน่นอน


 


“พันเอกเลทส์ ได้ข่าวคราวจากองค์ชายกอร์ดอนรึยัง?”


 


“ยังเลย, ข้ายังไม่ได้ข่าวอะไรเลย เขาแค่บอกว่าพวกเราควรพยายามสอดแนมพื้นที่นี้อย่างเต็มที่”


 


“เข้าใจหล่ะ เขาคงจัดการเรื่องบางอย่างอยู่ที่อื่นสินะ


 


“บางที สำหรับตอนนี้, ทำตามคำแนะนำของเขาไปก่อนเถอะครับ มีหน้าผาอยู่ห่างออกไปข้างหน้า พวกเราน่าจะหามุมดีๆสอดส่องสนามรบได้จากตรงนั้น”


 


“ดี ถ้างั้นช่วยนำทางข้าไปที”


 


ในตอนที่กอร์ดอนขึ้นเป็นจักรพรรดิ, คนที่สนับสนุนเขาจะได้รับการเลื่อนขั้น  ในส่วนของเรื่องนี้, จะมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับการเลือดขั้นเป็นยศขั้นจอมทัพ สำหรับกูลเวอร์, เลทส์ก็คือคู่แข่งของเขา


 


อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้เลทส์คนนั้นกำลังอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาอยู่, ซึ่งนี่ก็หมายความว่ากอร์ดอนนั้นยอมรับอย่างชัดเจนว่ากูลเวอร์มีตำแหน่งที่สูงกว่า


 


ตอนนี้, กูลเวอร์มองตัวเองเหมือนเป็นจอมทัพจักรวรรดิ


 


ในตอนที่เขาหมกมุ่นอยู่กับภาพลักษณ์ในอนาคตของเขานี้, โซเนียก็พูดขัดขึ้นมา


 


“ท่านแม่ทัพ หน้าผานั้นมันใกล้กับเกลเลสเกินไปนะคะ พวกเราใช้จุดสังเกตการที่ห่างออกมาอีกซักนิดไม่ดีกว่าหรอ?”


 


“เหอะ! พูดอะไรของเจ้า? เจ้าคิดว่าพวกนั้นจะเริ่มโจมตีพวกเราก่อนรึไง? ไร้สาระจริงๆ”


 


“การที่ฝ่ายนั้นจะมีพลซุ่มยิงอยู่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะคะ ในฐานะผู้บัญชาการ, ท่านควรระวังตัวให้มากกว่านี้ค่ะ”


 


“ต่อให้มันอยู่ใกล้, มันก็ยังห่างออกมาจากเมืองอยู่ดี ถ้ามีคนสามารถซุ่มยิงพวกเราจากเกลเลสได้ข้าก็น่าจะต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของคนแบบนั้นมาบ้างแล้วหล่ะ”


 


“ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนแบบนั้นอาจจะมีตัวตนอยู่ก็ได้ยังไงหล่ะคะ, ท่านแม่ทัพ”


 


“สมกับเป็นลูกครึ่งเอลฟ์อย่างเจ้าจริงๆ…..เจ้าหน่ะมันขี้ขลาดเกินไป”


 


ในขณะที่กำลังปฏิเสธคำเตือนของโซเนีย, กลูเวอร์ก็ขึ้นหน้าผาไปอย่างมั่นคง


 


เลทส์เดินตามหลังเขาออกมาเล็กน้อยอย่างเงียบๆ


 


โซเนียเองก็ถอนหายใจแล้วตามหลังเขาไป


 


อย่างไรก็ตาม, เป็นเวลาพักนึง, เลทส์ที่นำหน้าเธออยู่ก็ชะลอฝีเท้าลง คนคุ้มกันที่อยู่รอบตัวพวกเขาเองก็ชะลอฝีเท้าให้เข้ากับเขาเหมือนกัน


 


ด้วยเหตุนี้เอง, กูลเวอร์จึงไปถึงยอดหน้าผาตัวคนเดียว


 


จากนั้นเสียงลมที่เป็นเอกลักษณ์ก็ดังเข้ามาในหูของโซเนีย


 


จากนั้นมันก็กลายเป็นเสียงบางสิ่งถูกเจาะทะลวง


 


“อา…..”


 


ที่ยอดหน้าผา


 


มีศรดอกนึงได้ปักอยู่ระหว่างคิ้วของกูลเวอร์


 


กูลเวอร์ค่อยๆล้มลงไปอย่างช้าๆแล้วกลิ้งตกหน้าผาไป


 


เลทส์ได้ทำการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อยืนยันความปลอดภัยของกลูเวอร์


 


“ท่านแม่ทัพ!? ท่านแม่ทัพกูลเวอร์!?”


 


กูลเวอร์ที่โดนธนูยิงเจาะนั้นได้ตายไปในทันที


 


จากนั้นเลทส์ก็ยืนยันสภาพการแล้วออกคำสั่ง


 


“ทุกคนตื่นตัวไว้! ท่านแม่ทัพถูกลอบสังหาร! เกลเลสจงใจเปิดโจมตีพวกเราก่อน!”


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้, โซเนียก็ตรวจสอบสีหน้าของเลทส์ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


 


มีรอยยิ้มอยู่บนหน้าของเขา, มันคือรอยยิ้มที่เฉลิมฉลองความสำเร็จของปฏิบัติการ


 


“ท่านให้คนซุ่มยิงพรรคพวกของตัวเองหรอคะ…..?”


 


“มันเป็นฝีมือของศัตรูต่างหากหล่ะ”


 


ในขณะที่พูดเช่นนั้น, เลทส์ก็จัดการศพของกูลเวอร์


 


จากนั้นเขาก็ประกาศ


 


“นับจากนี้ไปข้าจะเป็นคนบัญชาการเอง โซเนีย, ในฐานะนักกลยุทธ, เจ้าต้องคิดแผนยึดครองเกลเลส”


 


“ให้ทำถึงขนาดนั้น…..นี่ท่านอยากเริ่มสงครามหรอคะ!?”


 


“ข้าไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้หรอก คนที่ปราถนาสิ่งนั้นก็คือฝ่ายนั้น พวกนั้นลอบสังหารแม่ทัพของพวกเรา ในเมื่อเราอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ผิดปกติ, พวกเราก็จะเคลื่อนไหวตามดุลยพินิจของข้า”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, เลทส์ก็เดินจากไปโดยไม่มีร่องรอยของความเศร้าเลยซักนิด


 


เรื่องราวดำเนินไปตามกำหนดการของกอร์ดอน, โซเนียเชื่อมั่นแบบนั้นอย่างแรงกล้า


 


จากนั้นเธอก็จ้องไปทางเกลเลส


 


“พวกเขาทำอะไรลงไปเนี่ย…..”


 


พวกเขาส่งพลซุ่มยิงไปที่เกลเลสหรือให้ใครซักคนจากเกลเลสเป็นคนซุ่มยิงกันนะ?


 


ไม่ว่ากรณีไหน, ถ้าเกลเลส, เมืองด่านหน้าที่ใหญ่ที่สุดล่มสลาย, เมืองอื่นๆก็จะยอมจำนนในอีกไม่นานนี้ และถ้าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น, ก็คงจะหลีกเลี่ยงสงครามไม่ได้แล้ว


 


ความปลอดภัยของลีโอกับคนอื่นๆที่อยู่ที่ศูนย์บัญชาการของศัตรูจะไม่สามารถรับรองได้


 


ถ้าเกลเลสล่มสลายสงครามนี้ก็จะยิ่งนองเลือด ปัญหาก็คือว่าโซเนียนั้นมีพลังพอที่จะทำลายเกลเลสได้อย่างง่ายดาย


 


“ข้าควรจะทำยังไงดีนะ….”


 


โซเนียมีข้อได้เปรียบมากมายในตอนที่จัดการกับอัลในเมืองหลวง เธอมีทั้งจดหมาย, รีเบคก้า, และสิทธิในการเคลื่อนไหวก่อน


 


อย่างไรก็ตาม, ครั้งนี้มันต่างออกไป


 


คนที่มีสิทธิเริ่มเคลื่อนไหวก่อนก็คือกอร์ดอนและโซเนียก็แทบจะไม่มีจุดที่ตัวเองได้เปรียบเลย


 


แต่ถึงอย่างนั้น


 


“ข้าต้องทำให้ได้”


 


ด้วยความคิดที่ว่ามันต้องมีสิ่งที่เธอสามารถทำได้, โซเนียก็เรียกกำลังใจให้ตัวเอง


 


….


 


สภาพความวุ่นวายเองก็เกิดขึ้นกับทางฝั่งที่ซุ่มยิง


 


“ทำอะไรลงไปครับ!? ท่านลุง!!”


 


ผู้ปกครองเกลเลส, เอิร์ลอลัวส์ ฟ็อน ซิมเมลยังคงเป็นเด็กชายอายุสิบสอง ผมของเขามีสีน้ำตาล, พร้อมกับดวงตาที่เป็นสีเดียวกัน เขาเป็นแค่เด็กชายธรรมดาคนนึงที่สนใจเรื่องเล็กๆในชีวิตของเขาเหมือนกับเด็กที่อยู่ในวัยนี้ตามปกติ


 


เขาสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองตั้งแต่ตอนที่พ่อของเขาจากไปเมื่อปีก่อนในขณะที่มีแม่กับลุงของเขาคอยช่วยเหลือเรื่องต่างๆ


 


เบื้องหน้าของอลัวส์คนนี้ก็คือลุงของเขาที่อยู่ด้วยกันกับพวกการ์ด


 


“พูดอะไรของเจ้ากัน?”


 


“ได้โปรดหยุดทำเป็นไม่รู้เรื่องเถอะครับ! พลซุ่มยิงนั่นเคลื่อนไหวตามคำสั่งของท่านแน่ๆ!”


 


“ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยซักนิด”


 


“ท่านลุง! ช่วยอธิบายมาตามตรงเถอะครับ!”


 


“อธิบายหรอ? นี่เจ้าโง่เกินกว่าที่จะทำความเข้าใจได้รึไง, อลัวส์ ข้าได้เข้าร่วมกับกองทัพจักรวรรดิแล้ว”


 


“กองทัพจักรวรรดิหรอครับ…..? แล้วท่านใช้พลซุ่มยิงทำไม!?”


 


อลัวส์ไม่สามารถทำความเข้าใจในสิ่งที่ลุงของเขาพูดได้เลย


 


ขุนนางทางใต้ส่วนใหญ่ถูกดยุคครูเกอร์จับญาติเป็นตัวประกัน แม่ของอลัวส์เองก็ถูกเขาจับไปเหมือนกัน


 


นี่คือสาเหตุที่เขายอมจำนนไม่ได้ แต่ว่า, เขาก็ไม่อยากให้เกิดสงครามเหมือนกัน ซึ่งนี่ก็เพราะเขารู้ว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน


 


มันอาจจะมีโอกาสชนะนะถ้าดยุคครูเกอร์ชี้นำกองทัพทางใต้ทั้งหมดแต่ถ้าเป็นเมืองเดียวนั้นโอกาสของพวกเขาคงไม่มีอยู่


 


แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้, ลุงของเขากลับพึ่งสั่งให้ซุ่มยิงแม่ทัพของกองทัพจักรวรรดิในขณะที่บอกว่าเขาพึ่งเข้าร่วมกับพวกเขา


 


ตอนนี้อลัวส์เริ่มคิดอย่างจริงจังแล้วว่าลุงของเขาอาจจะเสียสติไปแล้ว


 


“เหตุผลก็คือสงคราม องค์ชายกอร์ดอนอยากเริ่มสงคราม การซุ่มยิงแม่ทัพคนนั้นจะเป็นชนวนเหตุให้เกิดสงครามขึ้นมาได้ พวกเขาจะถูกกระตุ้นด้วยการตายของเขาและสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ก็จะเกิดขึ้น”


 


“ท่านบ้าไปแล้วหรอครับ…..แล้วองค์ชายจะได้อะไรจากการทำทั้งหมดนี่!?”


 


“องค์ชายกอร์ดอนจะได้ควบคุมกองทัพและใช้มันเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ หลังจากนั้น, ข้าก็จะถูกแต่งตั้งเป็นลอร์ด นี่มันเป็นสถานการณ์ที่ดีกว่าที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้ซะอีก


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ลุงของอลัวส์ก็ยิ้มออกมา


 


เมื่อเห็นลอยยิ้มทะเยอทะยานของเขา, อลัวส์ก็รู้สึกตัวแล้วว่าพูดอะไรกับเขาไปก็คงจะไม่มีประโยชน์


 


ตอนนี้สถานการณ์มันอยู่ในจุดที่แก้ไขไม่ได้แล้ว


 


“กองทัพจักรวรรดิจะบุกโจมตีเข้ามาในเร็วๆนี้ จนกว่าจะถึงตอนนั้นเจ้าห้ามทำอะไรหล่ะ, อลัวส์”


 


“ห้ามทำอะไรงั้นหรอ…..? แต่ดินแดนนี้เป็นมรดกของตระกูลเรามาหลายยุคแล้ว, พวกเราต้องปกป้องผู้คนของเรานะครับ!”


 


“พวกเขาไม่ใช่คนของข้า”


 


พอได้ฟังท่านลุงพูดแบบนี้, อลัวส์ก็ไหล่ตกอย่างไร้พลัง


 


มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขัดขืน


 


เด็กอย่างเขาจะไปทำอะไรได้หล่ะ?


 


ในขณะที่อลัวส์กำลังสมเพชตัวเองอยู่นั้นเอง, สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นดาบที่วางอยู่บนเก้าอี้ของลอร์ด


 


มันคือดาบที่พ่อมอบให้เขาในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต มันยังใหญ่เกินไปสำหรับอลัวส์และเขาก็ไม่เคยชักมันออกมาเลยซักครั้ง


 


สายตาของเขายังคงจดจ่ออยู่, ตอนนี้อลัวส์มีสีหน้าที่มุ่งมั่น


 


เขาชักดาบออกมา


 


“เจ้าจะทำอะไรหน่ะ?”


 


“ข้าคือเอิร์ลซิมเมล ผู้ปกครองของดินแดนนี้….ข้าจะปกป้องผู้คนของข้า!”


 


“เจ้าพูดออกมาทั้งๆที่กำลังเป็นกบฎต่อจักรพรรดิเนี่ยนะ? ความรับผิดชอบที่มีต่อพวกเขามันหมดไปตั้งนานแล้ว!”


 


“ถึงอย่างนั้น….นี่ก็เป็นความภาคภูมิใจที่ข้าได้รับสืบทอดมา! อย่าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านคิดนะ!”


 


อลัวส์จ้องลุงของเขาในขณะที่จับดาบที่ยังคงใหญ่เกินตัว


 


ลุงของเขาตกตะลึงกับความมุ่งมั่นของเด็กน้อยแล้วออกคำสั่งกับการ์ด


 


“จะ,…..จับตัวเขาซะ!”


 


อย่างไรก็ตาม, ไม่มีปฏิกิริยาจากการ์ด


 


ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น, ลุงของเขาก็หันไปมองดูข้างหลัง


 


การ์ดของเขากำลังหลับอยู่ในจุดที่ตัวเองอยู่


 


ในขณะที่กำลังคิดถึงสถานการณ์ที่น่าขบขันนี้, หนังตาของเขาก็เริ่มหนักขึ้นแล้วเขาก็ค่อยๆผลอยหลับไป


 


“นี่มัน….เวทมนตร์หรอ…..?”


 


“ใช่แล้ว ข้าทำให้พวกเขาหลับไปพักนึงนะ พอดีข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับผู้ปกครองตัวน้อยซักหน่อย”


 


ในตอนที่เขาได้ยินเสียงนั้น, ลุงของเขาก็ฟุบหลับไปกับพื้นแล้ว


 


มีแค่คนๆเดียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอลัวส์


 


“ท่านคือ…..?”


 


“นักผจญภัยแรงค์ SS, ซิลเวอร์ ถ้าเจ้าอยากทำอะไรซักอย่างในสถานการณ์นี้, ข้าจะให้ความช่วยเหลือเจ้าเอง”


 


“ซิลเวอร์หรอครับ!? ทำไมผู้พิทักษ์ของเมืองหลวงถึงมาอยู่ที่นี่ได้……”


 


“ในฐานะนักผจญภัย, ข้าไม่อยากให้สงครามเกิดขึ้นและไปกระตุ้นพวกมอนส์เตอร์ มันจะส่งผลกระทบกับความปลอดภัยโดยรวม คนบางกลุ่มจะมีงานเพิ่มก็จริงอยู่แต่ความเสียหายที่ต้องจ่ายนั้นมันเกินกว่าคำว่าคุ้มเยอะ ก็เหมือนที่เขาว่า, สงบสุขไว้จะดีที่สุดใช่ไหมหล่ะ”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ซิลเวอร์ก็ค่อยๆเข้ามาหาอลัวส์


 


จากนั้น, รูปลักษณ์ของซิลเวอร์ก็เปลี่ยนไปในทันที


 


เขากลายเป็นบุคคลลึกลับที่สวมเสื้อคลุมสีเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยฮู้ดคลุมศรีษะที่ปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้, ไม่ว่าจะมองยังไง, เขาก็ดูน่าสงสัยมากๆ


 


“แต่จะว่าไป, ในฐานะนักผจญภัยนั้น, มันคงจะเป็นปัญหากับข้าได้ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาใหญ่ของจักรวรรดิ ดังนั้น, ข้าจะปลอมตัวแบบนี้และถ้าเจ้าไม่มีปัญหาอะไรกับข้อเสนอนี้, ข้าก็จะคอยรับใช้เจ้าจนกว่าเรื่องจะจบ”


 


“….เอาจริงหรอครับ? ทำไมคนที่ยิ่งใหญ่อย่างท่านถึงลงทุนทำเพื่อพวกเราขนาดนี้หล่ะ?”


 


“ช่วงนี้, ขบวนผู้ส่งสารของจักรวรรดิกำลังมุ่งหน้าไปหาดยุคครูเกอร์ เจตนาของพวกเขาก็คือการจับตัวดยุคและจบความขัดแย้งนี้ด้วยความเสียหายที่น้อยที่สุด เหตุผลที่กองทัพทำถึงขนาดนี้ก็เพื่อทำให้สงครามเกิดขึ้นและทำให้แผนขบวนผู้ส่งสารล้มเหลว แต่ในเมื่อมีคนอยากทำลายแผน, ก็ต้องมีคนที่อยากปกป้องมันเหมือนกันใช่ไหมหล่ะ”


 


“ท่านมาที่นี่ก็เพราะคนที่อยากปกป้องแผนการนี้ขอร้องท่านหรอ…..?”


 


“จะคิดแบบนั้นข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก เอาแบบนี้เป็นไง? เจ้าอยากได้ความช่วยเหลือจากข้ารึเปล่า? หรือว่าไม่จำเป็น?”


 


อลัวส์ที่ต้องเผชิญกับตัวเลือกสั้นๆนี้สับสนไปเล็กน้อย


 


อย่างไรก็ตาม, เขาก็ทำการตัดสินใจในทันที


 


“ให้ข้าได้ยืมพลังของท่านเถอะนะครับ”


 


“ดี, ถ้างั้นมาเริ่มประชุมวางแผนของพวกเรากัน เอาเป็นว่า….ในตอนที่ข้าออกมา, เจ้าก็แนะนำว่าข้าเป็นนักกลยุทธ์พเนจรเป็นไง? ต่อไปก็ชื่อสินะ…..เจ้าเรียกข้าว่า ‘เกราว์’ ก็แล้วกัน”


 


(เกราว์ แปลว่าสีเทาในภาษาเยอรมัน)


 


“สีเทาหรอครับ……เรียกตามรูปลักษณ์ของท่านสินะ”


 


“ชื่อเรียกง่ายๆแบบนี้แหล่ะดีแล้ว”


 


ด้วยการสนทนานี้เอง, ซิลเวอร์ก็กรายเป็นเกราว์, คนรับใช้ของอลัวส์

 

 

 


ตอนที่ 114

 

ฉัน, ที่เข้ามาในเกลเลสในฐานะนักวางกลยุทธ์, ได้ขอให้เจ้าของดินแดนตัวน้อยอลัวส์อธิบายสถานการณ์


 


“เจ้ารู้รึเปล่าว่าทำไมช่วงนี้แถวนี้ถึงวุ่นวายขนาดนี้?”


 


“ท่านไม่รู้หรอครับ?”


 


“ข้าพึ่งขัดขวางหน่วยลอบเร้นที่กองทัพส่งมาเสร็จ ข้าบินมาที่นี่หลังจากนั้นแต่กองทัพดูวุ่นวายผิดปกติข้าก็เลยมาที่นี่เพื่อถามสถานการณ์ ซึ่งนั่นก็คือช่วงที่ข้าเจอเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้”


 


“แบบนี้นี่เอง….ถ้าให้สรุปสั้นๆก็คือ, มีคนจากฝั่งเราซุ่มโจมตีแล้วทำการลอบสังหารแม่ทัพของกองทัพจักรวรรดิครับ”


 


แสดงว่าเขามีแผนสำรองสินะ แผนการแบบนี้มันดูหนักเกินไปสำหรับกอร์ดอนและสำหรับโซเนีย, มันดูหยาบเกินไปหน่อย นี่จะต้องเป็นคำแนะนำจากผู้ช่วยคนอื่นๆของเขาแน่ๆ


 


อย่างไรก็ตาม, ฝืนดึงดันให้เกิดสงครามแบบนี้คงจะไม่มีทางได้รับคำชมจากท่านพ่อหรอก


 


เจตนาของเขาหลังจากสงครามจบมันดูชัดเจนขึ้นจากสิ่งที่เห็นในตอนนี้


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสนใจเข้าแล้วหล่ะ ส่วนคนที่เตรียมมือซุ่มยิงก็คือลุงของเจ้าสินะ?”


 


“น่าจะใช่ครับ”


 


ถ้าเป็นแบบนั้น, ความผิดก็จะมาอยู่ฝั่งนี้


 


ในเมื่อแม่ทัพของพวกเขาถูกลอบสังหาร, พวกเขาก็ต้องตอบโต้ เอาเถอะ, มันค่อนข้างบังคับกันไปหน่อยแต่มันก็ทำให้พวกเขาได้เคลื่อนไหวตามดุลยพินิจในภาคสนามของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น, เมื่อพวกเขาถล่มเมืองนี้ได้, มันก็จะกลายเป็นสงครามกับทางใต้อย่างเต็มรูปแบบ


 


ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น, มันก็จะไม่มีทางให้ถอยแล้ว ตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่ก็คือบดขยี้ทางใต้อย่างจริงจัง


 


ซึ่งนั่นคงจะเป็นฉากที่ดีที่สุดสำหรับกอร์ดอน


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าเมืองนี้ไม่โดนทำลาย, มันก็จะเป็นเรื่องที่ต่างออกไป พวกเราต้องจำกัดความขัดแย้งให้อยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้คงจะไปถึงดยุคครูเกอร์ในอีกไม่นาน เมื่อถึงตอนนั้นลีโอกับคนอื่นๆก็น่าจะไปถึงแล้วและจัดการเรื่องของทางนั้นเรียบร้อยแล้ว


 


ถ้าพวกเราสามารถยื้อเอาไว้ไซักสองสามวันและจำกัดการต่อสู้เอาไว้ที่นี่ได้มันก็น่าจะพอควบคุมได้อยู่


 


ถ้าข้อมูลนี้ไปถึงเมืองหลวงมันก็คงไม่ต้องสงสัยเลยว่ากอร์ดอนจะถูกสั่งให้หยุดในทันทีดังนั้นเขาคงจะไม่รายงานเรื่องนี้ เหมือนกับพวกเราที่ต้องดูแลความปลอดภัยของข้อมูล, ตอนนี้เขาเองก็อยู่ในสถานการณ์คล้ายๆกัน


 


“การเคลื่อนไหวของกองทัพดูเป็นระเบียบเกินไปหน่อย นี่น่าจะเป็นเพราะพวกเขาคาดเอาไว้แล้ว ตอนนี้การต่อสู้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้ามีคนอยู่ที่นี่กี่คนหล่ะ?”


 


“อัศวิน 500 คนกับทหารอีก 500 คนครับ, พวกเรามีกำลังคนทั้งหมดหนึ่งพันคนแต่ว่า…..ทหารของพวกเราไม่ได้ผ่านการฝึกมาอย่างเหมาะสม……”


 


“ทหารเกณฑ์สินะ, เอาเถอะ, ก็ยังดีกว่าไม่มี…..แต่ว่า, ศัตรูมีทหารระดับสูงของกองทัพ 10,000 คนในขณะที่พวกเรามีกันแค่พันคนที่ระดมมาเป็นการเร่งด่วน พวกเขามีจำนวนมากกว่าเราถึงสิบเท่าและความแข็งแกร่งรายบุคคลก็น่าจะอยู่คนละโลกกับพวกเราด้วย”


 


ต่อให้เงื่อนไขการชนะของพวกเราจะเป็นการยื้อเอาไว้ให้ได้ซักสองสามวัน, แต่ข้อเสียเปรียบที่พวกเรามีมันก็สูงจนน่าสิ้นหวัง


 


ถ้าพวกเขาเอาจริง, พวกเขาก็น่าจะสามารถยึดเมืองนี้ได้ในเวลาไม่กี่วัน


 


“พวกเราจะชนะได้จริงๆหรอครับ…..?”


 


อลัวส์ถามอย่างกังวล


 


ซึ่งฉันก็ได้ลูบศรีษะของเขาเบาๆเพื่อสร้างความมั่นใจ


 


“ยังพอมีโอกาสอยู่ แต่ก็แน่นอนว่า, เจ้าจำเป็นต้องจัดการหลายๆอย่างด้วย เจ้าไหวไหมหล่ะ?”


 


“ม, ไม่เป็นไรครับ! ข้าจะแสดงให้ท่านได้เห็นเอง!”


 


“ดี ขั้นแรก, พาข้าไปแนะนำกับคนของเจ้าที สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำก็คือการโน้มน้าวพวกเขา”


 


“ครับ!”


 


ด้วยการตอบกลับอย่างมีชีวิตชีวา, อลัวส์กับฉันก็เริ่มออกเดินทาง


 



 


“ตอนนี้ข้าพอเข้าใจสถานการณ์แล้วครับ”


 


อัศวินเฒ่าคนนึงพูด


 


อย่างไรก็ตาม, สำหรับอัศวินเฒ่านั้น, สายตาของเขาเฉียบคมและการเคลื่อนไหวก็ไม่เหมือนคนแก่เลย


 


ชายแก่ที่มีบรรยากาศของพวกเจนศึกคนนี้ก็คือผู้บัญชาการอัศวินของเอิร์ลซิมเมล, โฟ้กท์


 


“ถ้าพลซุ่มยิงเป็นคนของบ้านซิมเมลจริงๆการขอโทษก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่ว่าท่านอลัวส์จะแสดงความสำนึกผิดมากแค่ไหน, กองทัพจักรวรรดิก็จะไม่มีวันยอมอ่อนข้อ ความมุ่งมั่นของท่านที่อยากต่อสู้เพื่อแม่ที่นับถือและผู้คนทางใต้นั้นถือว่าน่ายกย่องจริงๆ ว่าแต่, คนน่าสงสัยข้างหลังท่านเป็นใครกัน?”


 


โฟ้กท์จ้องมาที่ฉันในขณะที่พูดออกมาแบบนั้น


 


ซึ่งมันก็เป็นเช่นเดียวกันสำหรับคนอื่นๆ พวกเขาคือลูกน้องที่ซื่อสัตย์ซึ่งรับใช้ตระกูลนี้มาเป็นเวลานานแล้ว


 


พวกเขาไม่คล้อยตามการกระทำของลุงของอลัวส์และเลือกที่จะยืนหยัดปกป้องกำแพงเมือง


 


มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะต่อสู้เพื่ออลัวส์แต่ว่าพวกเขาคงยอมรับสถานการณ์ที่มีคนหน้าสงสัยอย่างฉันคอยยืนอยู่ข้างหลังเขาไม่ได้หรอก


 


“เกราว์เป็นคนช่วยข้าเอาไว้ เจ้าไว้ใจเขาได้”


 


“ต่อให้เขาช่วยท่านเอาไว้ก็เถอะ, แต่จะให้ไว้ใจมันคนละเรื่องกันนะครับ, นายท่าน”


 


อืมม, พวกเราจะเริ่มกันแบบนี้สินะ


 


ในสถานการณ์ที่พวกเราต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้น, มันไม่มีเวลาสำหรับการต่อสู้ภายใน


 


“ผู้บัญชาการอัศวินโฟ้กท์ ขอข้าพูดอะไรซักหน่อยได้ไหม?”


 


“อะไรหล่ะ? นักกลยุทธเร่ร่อน”


 


“จากมุมมองของเจ้า, เจ้าคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นยังไง?”


 


“มันคือจุดจบของบ้านซิมเมล”


 


“เห้อ….ไร้เดียงสาชะมัด มุมมองของเจ้าที่มีต่อสถานการณ์นี้มันไร้เดียงสาเกินไปแล้ว, คุณผู้บัญชาการอัศวิน”


 


“ว่าไงนะ?”


 


ในตอนที่โฟ้กท์พูดแบบนั้น, ฉันก็ชี้ไปยังแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะสำหรับการประชุมวางแผนของพวกเรา


 


เกลเลสคือเมืองหน้าด่านของทางใต้ การปล่อยให้กองทัพผ่านที่นี่ไปได้ก็หมายความว่าสงครามจะกระจายไปยังทุกส่วนของเขตใต้


 


“ถ้าพวกเราปล่อยให้พวกนั้นผ่านที่นี่ไปได้, กองทัพจักรวรรดิก็จะถลำลึกเข้าไปในเขตใต้ในทันที สงครามแนวหน้าจะกระจายออกไปอย่างแน่นอนและมันก็จะทำให้จักรวรรดิอ่อนแอลงอย่างมาก แล้วอะไรคือชนวนสำหรับเหตุการณ์นั้นหล่ะ? ใช่แล้ว, มันเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากบ้านซิมเมล ต่อให้เจ้ารอดจากการต่อสู้มาได้, จักรพรรดิก็จะประหารทั้งตระกูลเพื่อให้ชดใช้สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ดี”


 


“หน่ะ, นั่นมัน……”


 


“แต่ว่า, การยอมจำนนไม่ใช่ทางเลือกที่ดีหรอกนะ เจ้าจะต้องแบกรับข้อหาลอบสังหารแม่ทัพและถูกสำเร็จโทษ ตอนนี้บ้านซิมเมลจะล่มแหล่ไม่ล่มแหล่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น, ทหารของพวกเจ้าคงจะมีข้อกังขาอยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงต้องสู้กับกองทัพของจักรวรรดิด้วย ต่อให้แม่ของเจ้าของดินแดนจะถูกจับเป็นตัวประกัน, แต่นั่นมันก็เป็นปัญหาของผู้ปกครองคนเดียว การจะโน้มน้าวให้พวกเขาต่อสู้เพื่อเจ้านั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆแน่, เข้าใจใช่ไหม? ขุมพลังของพวกเราอ่อนแอในขณะที่ศัตรูแข็งแกร่ง ปัญหามีแต่จะสุมขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถึงยังไง, นี่ก็คือความจริงที่พวกเราเผชิญอยู่ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องให้ความสำคัญกับคนที่เสนอความช่วยเหลือให้เจ้าในสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่หรอ?”


 


“….ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, แต่จะให้ไว้ใจเจ้าในทันทีมันก็…..”


 


“ถ้างั้นเจ้าคอยจับตาดูข้าก็ได้ กองทัพจักรวรรดิคงจะเริ่มโจมตีในเร็วๆนี้แหล่ะ”


 


“……ก็ได้ ถ้าเจ้าเสนอความช่วยเหลือให้พวกเราทั้งๆที่รู้ดีว่าสถานการณ์มันสิ้นหวังขนาดไหนก็แสดงว่ามันยังมีโอกาสที่พวกเราจะชนะถูกไหม?”


 


ฉันพยักหน้าให้กับคำถามของโฟ้กท์


 


จากนั้นฉันก็กวาดตามองทุกคนที่อยู่ที่นี่


 


“ไม่มีสถานการณ์ไหนที่เหมาะสมกับคำว่าสิ้นหวังสุดๆไปมากกว่าสถานการณ์นี้แล้ว แต่ว่า, พวกเรายังพอมีแสงแห่งความหวังอยู่นิดหน่อย กองทัพจักรวรรดิกำลังอยู่ในระหว่างการวางแผน ในอีกไม่กี่วันนี้, ดยุคครูเกอร์จะถูกลอบโจมตี พูดอีกนัยนึงก็คือ, พวกเราจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่ยื้อเอาไว้ได้จนถึงตอนนั้น”


 


“แต่ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาก่อนเลยนะ?”


 


“ก็เพราะมันเป็นความลับหน่ะสิ กลับเข้าเรื่องนะ สถานการณ์ของบ้านซิมเมลอาจจะเข้าขั้นสิ้นหวังสุดๆแต่ถ้าพวกเรายื้อเอาไว้ได้ซักสองสามวัน, สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง การยื้อทหาร 10,000 คนเอาไว้ด้วยคน 1,000 คนเพื่อป้องกันไม่ให้สงครามรุนแรงขึ้นนั้นเป็นการกระทำที่แม้แต่จักรพรรดิก็คงจะมองข้ามไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น, ด้วยเรื่องที่แม่ของเจ้าถูกดยุคครูเกอร์จับเป็นตัวประกันผนวกกับความจริงที่ว่าสงครามนี้มีความเกี่ยวข้องกับสงครามผู้สืบทอดที่กำลังเกิดขึ้นในเมืองหลวงอย่างมาก, สถานการณ์ของเจ้าจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอนถ้าสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้”


 


“….พูดตามตรงนะครับ, ความอยู่รอดของบ้านซิมเมลถือเป็นเรื่องรองสำหรับข้า สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการป้องกันไม่ให้สงครามนี้ทวีความรุนแรงขึ้น นี่คือสิ่งที่ข้าคิด ข้าเข้าใจดีว่าทุกคนไม่สามารถไว้ใจเกราท์ได้ในทันทีและเขาก็ไม่มีอะไรมาสนับสนุนความน่าเชื่อถือด้วยแต่พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไว้ใจเขาและให้ความร่วมมือ ถึงยังไงถ้าพวกเราสู้ด้วยตัวเอง, พวกเราก็คงจะแพ้เอาง่ายๆ”


 


ลูกน้องของเขาแสดงความลังเลออกมาอยู่พักนึงแต่สุดท้ายพวกเขาทุกคนก็พากันคอตกราวกับว่าพวกเขายอมแพ้และตัดสินใจเข้าร่วมด้วย


 


เมื่อเห็นแบบนี้, อลัวส์ก็หันมามองฉัน


 


“ตอนนี้, เชิญอธิบายแผนของท่านมาได้เลยครับ”


 


“เข้าใจแล้ว ในตอนที่กองทัพจักรวรรดิโจมตีป้อมปราการของเมือง, มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะรวบรวมกำลังส่วนใหญ่เอาไว้ที่ประตูหลักแล่วส่งกลุ่มอื่นๆออกไปโจมตีประตูอื่นที่มีป้อมปราการน้อยกว่า ถ้าฝ่ายนั้นเคลื่อนไหวตามการคาดการณ์ของข้า, พวกนั้นก็น่าจะใช้วิธีการตามตำรานี้เพื่อโจมตีพวกเราอย่างแน่นอน”


 


“ถ้างั้นพวกเราแบ่งกำลังออกไปป้องกันทั้งสี่ประตูจะดีไหม?”


 


“ไม่, ความแตกต่างระหว่างฝ่ายเรากับฝ่ายนั้นคือสิบเท่า ถ้าเจ้าอยากยื้อการโจมตีที่ประตูหลักเอาไว้, เจ้าก็ต้องจัดสรรกองกำลังให้เหมาะสมเพื่อป้องกันมัน”


 


การโจมตีที่ประตูหลักนั้นน่าจะเป็นตัวล่อแต่อัตราส่วนของกองกำลังทั้งสองฝ่ายมันแตกต่างอย่างสุดกู่มาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นตัวล่ออาจจะกลายเป็นการโจมตีของจริงจากฝั่งนั้นก็ได้ดังนั้นการเคลื่อนย้ายกำลังพลออกไปจากประตูหลักจึงไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ฉลาดเลย


 


โฟ้กท์หยีตามองฉันในตอนที่พูดเช่นนั้น


 


“แสดงว่าเจ้ามีแผนที่จะเอาชนะหน่วยที่โจมตีขนาบสินะ?”


 


“ใช่แล้ว ศัตรูของพวกเราเป็นกองทัพใหญ่ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ในอีกด้านนึง, ส่วนของเรานั้นมีแค่จำนวนเล็กๆและไม่ได้รับการฝึกมาอย่างเหมาะสมด้วย ฝ่ายนั้นคงจะไม่ทันระวังพวกเราอย่างแน่นอน ต่อให้พวกนั้นเป็นมืออาชัพ, นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่หลักเลี่ยงได้ และนี่ก็คือสาเหตุที่พวกนั้นจะโดนกับดักของพวกเราได้ง่ายๆ”


 


ไม่ว่าจะมื่ออาชีพแค่ไหน, อีกฝ่ายก็มองพวกเราเป็นแค่เมืองบ้านนอก


 


ด้วยความแตกต่างด้านจำนวนที่ชัดเจนขนาดนี้, พวกเขาคงไม่เสียเวลาระแวงพวกเราหรอก


 


เป้าหมายของพวกเขาคือบุกทะลวงเมืองนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อยึดครองแนวหน้าทางใต้


 


เพราะถ้าเรื่องมันเลยเถิดไปถึงขั้นนั้น, จักรพรรดิก็จะหยุดยั้งพวกเขาไม่ได้อีก


 


กองทัพจะมาหาพวกเราด้วยกำลังทั้งหมดและใช้แผนตามตำราอย่างแน่นอน


 


“ท่านอลัวส์ ข้าขอยืมทหารซักร้อยคนจะได้ไหม?”


 


“ร้อยคนหรอครับ?…..ท่านจะเอาชนะหน่วยขนาบข้างด้วยคนแค่นั้นหรอ?”


 


“กองทัพจะเล็งมาที่ประตูที่มีการป้องกันน้อยกว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องป้องกันทั้งสามประตูเสมอไปดังนั้น 100 คนน่าจะพอแล้ว และก็อีกเรื่องนึง”


 


“มีอะไรก็ขอมาได้เลยครับ ข้าจะจัดเตรียมให้ในทันที”


 


“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกแต่น่าจะมีน้ำมันที่เตรียมไว้สำหรับการต่อสู้ตั้งรับอยู่ใช่ไหม ข้าขอยืมหน่อยจะได้รึเปล่า?”


 


“จะโจมตีด้วยไฟสินะ แต่ว่า, ข้าไม่คิดว่าการโจมตีด้วยไฟง่ายๆแบบนั้นจะเอาชนะหน่วยขนาบข้างได้หรอก”


 


“ข้ามีแผนสำหรับเรื่องนั้นแล้ว ไม่ต้องห่วง”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้นฉันก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย


 


พวกเขามองไม่เห็นใบหน้าของฉันแต่พวกเขาน่าจะบอกได้จากบรรยากาศ


 


พอสัมผัสได้ถึงความหนาวสะท้าน, โฟ้กท์ก็ก้าวถอยไปโดยไม่รู้ตัว


 


และด้วยเหตุนี้เองฉันก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้ปะทะกองทัพจักรวรรดิ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม