Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi 102-106

ตอนที่ 102

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้จดหมายมาสินะ ทำได้ดี”


 


กอร์ดอนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างไม่เกรงกลัวพูด


 


เบื้องหน้าเขาก็คือโซเนีย สายตาที่เธอจ้องมองกอร์ดอนนั้นไม่ได้มีความภัคดีอยู่เลย


 


“ก็มันเป็นสัญญานี่คะ”


 


โซเนียพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


 


กอร์ดอนหัวเราะโซเนียอย่างเย้ยหยัน


 


“เจ้านี่เป็นลูกน้องที่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย แต่ก็ถือว่าทำได้เยี่ยมที่ชิงจดหมายมาได้ สมกับที่เป็นลูกเลี้ยงของนักกลยุทธอัจฉริยะคนนั้นจริงๆ แต่ข้าก็อยากได้ตัวพ่อของเจ้ามาอยู่ฝั่งข้ามากกว่าหล่ะนะ มันช่างน่าเสียดายจริงๆที่เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เพราะบาดแผลเก่านั่น”


 


“!? ท่านว่ายังไงนะคะ!?”


 


ความเกลียดชังฉายออกมาผ่านดวงตาของโซเนีย


 


เมื่อสิบปีก่อน โซเนียถูกไล่ออกจากหมู่บ้านด้วยกันกับแม่ของเธอเพราะว่าเธอเป็นครึ่งเอลฟ์และต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบๆที่หมู่บ้านห่างไกลแถวชายแดนระหว่างจักรวรรดิเพเลอรินกับอาเดรเซีย


 


อย่างไรก็ตาม, หมู่บ้านนั้นก็ถูกทำลายเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างกองทัพของอาเดรเซียกับเพเลอริน, ทำให้โซเนียต้องสูญเสียแม่ และถูกพ่อเลี้ยงของเธอช่วยเอาไว้ได้ในตอนที่ซากทัพของเพเลอรินเข้ามาปล้นแล้วเผาหมู่บ้านของเธอ


 


แต่ว่า, ในตอนนั้นเอง, พ่อเลี้ยงของเธอก็ได้รับบาดเจ็บหนักทำให้ร่างกายของเขาไม่สามารถทำหน้าที่ในกองทัพต่อไปได้ แต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ยังรับเลี้ยงโซเนียแล้วดูแลเธอเหมือนลูกของตัวเอง


 


เขาคือผู้มีพระคุณสำหรับโซเนีย เป็นทั้งพ่อที่ไม่มีใครแทนได้, และอาจารย์ที่เธอเคารพรัก


 


แล้วสงครามที่ทำร้ายชีวิตประชาชนแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงในเมื่อมีคนแบบนี้อยู่ในกองทัพ?


 


ต้นเหตุก็คือชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ, กอร์ดอน


 


ในตอนนั้น, มันเป็นศึกแรกของกอร์ดอนดังนั้นเขาจึงบุงเข้าหาศัตรู, ด้วยความกระหายความสำเร็จทางการทหาร แนวหน้าสงครามถูกขยายไปอย่างไร้จุดหมายและทำให้ไฟสงครามกระจายไปถึงหมู่บ้านของเธอ, ส่งผลให้โซเนียกลายเป็นเด็กกำพร้าและทำให้พ่อของเธอได้รับบาดเจ็บหนัก


 


กอร์ดอนได้รับการสรรเสริญจากผู้คนมากมายเพราะการจู่โจมของเขานั้นได้จัดการศัตรูไปมากมายแต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, เลือดจำนวนมากก็ได้หลั่งไหลเพราะความสะเพร่าของกอร์ดอน


 


ซึ่งการที่กอร์ดอนคนนี้พูดออกมาอย่างไม่แยแสว่า [น่าเสียดาย] จึงเป็นสิ่งที่ยกโทษให้ไม่ได้สำหรับโซเนีย


 


อย่างไรก็ตาม,


 


“จากสายตาของเจ้า, ดูเหมือนว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้าสินะ? แต่ลืมไปซะเถอะ พ่อและเหล่าพี่น้องบุญธรรมของเจ้าอยู่ภายใต้การสอดส่องของข้า”


 


“……ข้าเข้าใจดีค่ะ”


 


โซเนียกัดริมฝีปากเล็กน้อยด้วยความผิดหวังแล้วฝืนพูดออกมา


 


เจ้าหน้าที่ของกองทัพหลายคนมีมุมมองตรงข้ามกับกอร์ดอน พวกเขาไม่ได้ต้องการสงคราม


 


นี่คือสาเหตุที่ไม่มีนักกลยุทธซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้สงครามการเมืองอยู่ในฝั่งของกอร์ดอน ดังนั้นกอร์ตอนจึงหมายตาพ่อเลี้ยงของโซเนียที่เกษียณไปแล้วและขู่ให้เขายอมร่วมมือด้วย


 


อย่างไรก็ตาม, สภาพร่างกายของพ่อเลี้ยงโซเนียไม่ได้แข็งแรงพอที่จะเดินทางมายังเมืองหลวงจักรวรรดิดังนั้นโซเนียจึงเสนอตัวมาแทนเขา เธออยากตอบแทนเขาที่เลี้ยงเธอมา ในขณะเดียวกันนั้นเอง, กอร์ดอนก็เป็นคนที่จะใช้วิธีจับตัวประกันถ้าเขาจำเป็นต้องทำ, โซเนียจึงคิดที่จะการเป็นตัวเบรคกอร์ดอนที่ไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของคนอื่น


 


ถ้าเธอปล่อยให้คนแบบนี้อาละวาดตามใจชอบ, จำนวนคนที่จะต้องประสบชะตากรรมเดียวกับเธอและพ่อของเธอก็จะเพิ่มขึ้น


 


การรับใช้กอร์ดอนซึ่งพูดได้เลยว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตนั้นถือเป็นเรื่องที่แสนเจ็บปวดสำหรับโซเนีย, แต่ความรู้สึกสำนึกในบุญคุณที่มีต่อพ่อของเธอบังคับให้เธอต้องตัดสินใจแบบนี้


 


“ไม่, เจ้ายังไม่เข้าใจจริงหรอก ข้าได้ยินมาว่าที่เจ้าอยากมอบให้ลีโอนาร์ดนั้นไม่ได้มีแค่อัศวินคนนั้นแต่รวมถึงจดหมายด้วยไม่ใช่รึไง? ถ้าเจ้าเป็นนักกลยุทธของข้าก็จงเคลื่อนไหวด้วยวิธีที่ทำประโยชน์ให้ข้าเท่านั้น”


 


“สัญญาของข้าคือจะกลายเป็นนักกลยุทธให้ท่านในตอนที่ข้ามาถึงตัวท่านแล้ว ข้ายังคงเป็นอิสระอยู่ในตอนที่มาถึงเมืองหลวง ตอนนั้นมันเป็นอิสระของข้าที่จะทำตามความต้องการของตัวเอง”


 


“นี่เจ้าลืมเรื่องตัวประกันไปแล้วรึไง? รู้ใช่ไหมว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อฟังข้า?”


 


“และท่านก็ยังไม่ลืมตัวใช่ไหมคะ? ท่านไม่สามารถเอาชนะองค์ชายเอริคได้ถ้าไม่มีนักกลยุทธ ท่านรู้เรื่องนั้น, ก็เลยเรียกข้ามาที่นี่, ถูกต้องไหมคะ?”


 


โซเนียไม่ได้หลบเลี่ยงสายตาที่คมกริบของกอร์ดอนเลย


 


ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกอร์ดอนก็คือเอริคและถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะเอริคได้, เขาก็จะหมดโอกาสขึ้นบัลลังก์


 


อย่างไรก็ตาม, ผู้ติดตามของเอริคมีผู้มีพรสวรรค์มากมาย, ทำให้ขุมอำนาจของเขาใหญ่ที่สุด และเหนือสิ่งอื่นใด, ขุมอำนาจของเอริคนั้นจัดการความขัดแย้งทางการเมืองได้ดีกว่าของกอร์ดอนที่มีฐานสนับสนุนเป็นกองทัพ


 


นี่คือสาเหตุที่กอร์ดอนเรียกตัวโซเนียให้มารับมือกับสถานการณ์


 


“เหอะ….ช่างมันเถอะ ตอนนี้, ขอข้าดูผลลัพธ์ของเจ้าหน่อย”


 


กอร์ดอนกระตุ้นให้โซเนียส่งจดหมายให้กับเขา


 


โซเนียเอาจดหมายออกมาจากกระเป๋าของเธอแต่เธอไม่ได้ส่งมันให้กอร์ดอนในทันที


 


โซเนียจ้องกอร์ดอนแล้วเก็บจดหมายให้พ้นจากเขา


 


“ข้าสามารถเผาสิ่งนี้ได้ถ้าข้าต้องการ”


 


“…..เจ้าไม่สนใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวประกันแล้วรึไง?”


 


โซเนียค่อยๆหันหน้าหนีให้กับคำพูดของกอร์ดอน


 


ถ้าเธอไม่ห่วงพวกเขาเธอก็คงจะไม่เอาจดหมายติดตัวมาด้วยหรอกแต่ถึงแม้ว่าเธอจะเอาจดหมายมาให้เขา, มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ


 


“ข้าแค่อยากฟังจากท่านก่อน”


 


“หืม? ไหนว่ามาซิ”


 


“…..องค์ชายจะไม่ยอมส่งจดหมายให้องค์ชายลีโอนาร์ดในทันทีเพื่อยื้อเวลาให้ทางใต้เตรียมตัวก่อกบฏถูกไหมคะ?”


 


“แน่นอนสิ”


 


โซเนียขมวดคิ้วให้กับคำตอบที่ชัดเจนของกอร์ดอน


 


มันเป็นไปตามที่เธอคาดเอาไว้


 


เธอคิดว่าถ้าเป็นกอร์ดอนเขาจะต้องทำแบบนี้แน่ๆ


 


นี่คือสาเหตุที่เธอต้องเปลี่ยนใจเขาให้ได้


 


“การทำแบบนี้จะมีความเสี่ยงพ่วงมาด้วยสองข้อค่ะ หนึ่งก็คือองค์ชายลีโอนาร์ดอาจจะไปร้องเรียนกับองค์จักรพรรดิ แต่เดิมนั้นการสืบสวนทางใต้เป็นความรับผิดชอบของเขาดังนั้นการที่ท่านขัดขวางด้วยการชิงจดหมายนี้จึงถือเป็นอุปสรรคในการทำงานของเขาค่ะ”


 


“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ตอนนี้, พวกเราอยู่ในระหว่างสงครามผู้สืบทอด ถ้าเจ้านั่นซมซานไปหาท่านพ่อแค่เพราะถูกฝ่ายอื่นแย่งจดหมายท่านพ่อก็จะไม่มีวันยอมให้ลีโอนาร์ดได้เป็นมงกุฎราชกุมาร ถึงยังไงบัลลังก์มันก็ไม่มีพื้นที่ให้คนอ่อนแอหรอกนะ”


 


ถ้าฟ้องพ่อทุกครั้งที่มีปัญหา, แล้วจะทำยังไงถ้าไม่มีพ่ออยู่หล่ะ?


 


โซเนียเข้าใจเหตุผลของเขา แน่นอนว่าสิ่งที่สมควรทำคือนำเรื่องนี้ไปรายงานจักรพรรดิแต่ว่ามันก็ถือเป็นการสูญเสียอย่างหนักสำหรับเขาเหมือนกัน


 


ต่อให้ลีโอต้องการทำ, ทุกคนที่อยู่รอบตัวก็จะหยุดเขา


 


“ในส่วนของข้อที่สอง, การทำแบบนี้เป็นอันตรายกับจักรวรรดิมากเกินไปค่ะ สุดท้ายแล้วเรื่องพวกนี้ก็จะทำให้จักรพรรดิไม่ไว้ใจท่าน, องค์ชาย ข้าคิดว่าการก่อกบฏทางใต้ควรตัดไฟซะตั้งแต่ต้นลมค่ะ”


 


“สิ่งที่ข้าต้องการก็คือสงคราม ข้าจะให้เวลาพวกทางใต้และให้พวกนั้นเริ่มก่อกบฏเพื่อข้า ยิ่งความขัดแย้งใหญ่แค่ไหน, ข้าก็จะยิ่งสร้างผลงานทางการทหารได้มากเท่านั้น”


 


“ผลลัพธ์ของการทำเช่นนั้น, จะส่งผลให้จักรวรรดิอ่อนแอลงและพวกเราก็จะเปิดช่องว่างให้ประเทศอื่นรุกรานได้นะคะ”


 


“แบบนั้นข้าก็จะยิ่งมีโอกาสมากขึ้นไปอีก ยิ่งสงครามใหญ่ขึ้น, อำนาจของข้าก็จะยิ่งเติบโตขึ้น ถ้ามีคนคิดจะรุกรานพวกเราก็คงจะเป็นพวกเพเลอริน, ข้าก็แค่ไล่เตะพวกมันออกจากดินแดนของจักรวรรดิและบางทีข้าอาจจะสามารถใช้โอกาสนี้นำทัพไปบดขยี้เอริคได้ด้วย”


 


ในขณะที่พูดเช่นนี้, กอร์ดอนก็ยิ้มให้กับอนาคตในอุดมคติของเขา


 


โซเนียรู้สึกรังเกียจรอยยิ้มของเขา มันคือรอยยิ้มของคนที่ไม่เคยสนใจว่าจะต้องสูญเสียชีวิตไปมากแค่ไหนให้กับแผนการของเขา


 


แต่ว่า, โซเนียก็ยังคงพูดกับเขาต่อ


 


“อนาคตแบบนั้นคงจะไม่มาถึงหรอกค่ะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าองค์ชายเอริคจะพยายามขัดขวางวิธีการของท่าน สิ่งที่ท่านปราถนาไม่ควรจะเป็นสงครามแต่เป็นบัลลังก์ สงครามก็แค่เครื่องมือไปสู่บัลลังก์ ท่านต้องไม่สับสนระหว่างเครื่องมือกับผลลัพธ์ที่ท่านหวัง ถ้าองค์ชายอยากกลายเป็นจักรพรรดิ, ท่านก็ต้องมองตัวเลือกอื่นนอกจากสงครามด้วย”


 


“…..แล้วข้าควรจะทำยังไง?”


 


“ก่อนอื่น, ท่านต้องรีบคุยกับองค์ชายลีโอนาร์ดในทันทีและส่งจดหมายให้เขา ในตอนนั้น, ท่านต้องให้เขาสัญญาว่าจะไม่ทำการแทรกแซงแผนการของท่าน ถ้าจดหมายไปถึงมือจักรพรรดิ, องค์หญิงซานดร้าก็จะสูญเสียฐานสนับสนุนทางใต้ไป และเมื่อไม่มีผู้สนับสนุนหลัก, พวกที่สนับสนุนองค์หญิงซานดร้าก็จะกระจายกันไปเข้าร่วมกับขุมอำนาจอื่น พวกเราสามารถดึงพวกเขาเข้ามาแล้วปิดช่องหว่างเรื่องบุคลากรระหว่างขุมอำนาจของท่านกับขององค์ชายเอริคได้ค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น, ด้วยสัญญาก่อนหน้านี้, ต่อให้องค์ชายลีโอนาร์ดอยากแทรกแซง, เขาก็จะไม่สามารถทำได้ นี่คือเส้นทางที่ใกล้ที่สุดที่จะพาองค์ชายไปหาบัลลังก์ค่ะ”


 


“แล้วถ้าลีโอนาร์ดผิดสัญญาหล่ะ?”


 


“พวกเราก็จะเริ่มกระจายข่าวลือว่าองค์ชายลีโอนาร์ดทรยศท่านแม้ว่าท่านจะช่วยเขาชิงจดหมายมาก็ตาม จุดแข็งขององค์ชายลีโอนาร์ดก็คือความจริงใจ ถ้าพวกเราสร้างภาพลักษณ์ในแง่ลบนี้ให้เขา, เขาก็จะสูญเสียสิ่งที่เขาสร้างมาจนถึงตอนนี้ค่ะ ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้พวกเราจะใช้ได้ถ้าส่งจดหมายให้เขาในทันที”


 


ถ้าหวังที่จะครองบัลลังก์, การเก็บจดหมายเอาไว้กับตัวและให้เวลาทางใต้ได้เตรียมตัวนั้นถือว่าเป็นความคิดที่โง่เง่า


 


ถ้ากอร์ดอนแค่อยากเริ่มสงครามมันก็อีกเรื่องนึง, แต่ในความเป็นจริงนั้น, เขาคือเจ้าชายที่กำลังต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ เป้าหมายสุดท้ายของเขาควรจะเป็นตำแหน่งจักรพรรดิ


 


โซเนียไม่อยากสนับสนุนให้กอร์ดอนกลายเป็นจักรพรรดิแต่เธอก็ต้องทำมันเพราะเขาใช้ครอบครัวเธอเป็นตัวประกัน


 


แต่ว่าสุดท้ายแล้ว, กอร์ดอนก็จะต้องคลายการสอดส่องและเธอก็จะสามารถหนีไปจากเขาได้


 


จนกว่าจะถึงตอนนั้น, เธอต้องกันกอร์ดอนไม่ให้เขาอาละวาดตามใจชอบด้วยการทำให้ขุมอำนาจของเขาใหญ่ขึ้น ในตอนที่ขุมอำนาจเติบโตขึ้นจนถึงจุดที่กอร์ดอนไม่สามารถควบคุมด้วยตัวคนเดียวได้อีก, ถ้าเธอหายไปตอนช่วงนั้น, กอร์ดอนก็จะเหมือนทำลายตัวเองไปในที่สุด


 


ตำแหน่งจักรพรรดิควรเป็นของเอริคหรือไม่ก็ลีโอ นี่คือสิ่งที่โซเนียคิด


 


“…..ด้วยวิธีนี้, ข้าจะกลายเป็นจักรพรรดิได้หรอ?”


 


“ค่ะ, ถ้าท่านทำตามที่ข้าพูด”


 


“…..ก็ได้ ข้าจะส่งจดหมายให้ลีโอนาร์ดในทันที ในอนาคตเจ้าเองก็ใช้ทักษะของเจ้าเพื่อผลประโยชน์ของข้าด้วยหล่ะ”


 


“ท่านสัญญาได้ใช่ไหมคะว่าจะใช้แผนการของข้า?”


 


“อา, ข้าสัญญา ข้าไม่ทรยศนักกลยุทธเก่งๆอย่างเจ้าหรอก”


 


พอพูดจบ, กอร์ดอนก็ยื่นมือออกมา


 


แล้วโซเนียก็ส่งจดหมายให้อย่างไม่ค่อยไว้ใจ


 


กอร์ดอนส่งเสียงฮึดฮัดในขณะที่เขาเปิดจดหมายแล้วเริ่มอ่านเนื้อหาในนั้น


 


ฉันสามารถโน้มน้าวเขาได้


 


ด้วยความคิดนี้, โซเนียก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


แต่นี่ก็คือสาเหตุที่เธอพลาดไป, ความบิดเบี้ยวที่กอร์ดอนแสดงออกมาทางสีหน้า


 


….


 


“นี่ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่คะ!?”


 


เวลาได้ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว


 


ในช่วงเวลากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานี้, กอร์ดอนไม่มีทีท่าว่าจะติดต่อกับขุมอำนาจของลีโอเลย เขาไม่พยายามเข้าพบโซเนียในระหว่างนั้นด้วยซ้ำ


 


และในท้ายที่สุดนั้นโซเนียก็ได้พบกับกอร์ดอนจนได้แต่เธอก็รู้สึกผิดหวังกับท่าทีที่ชัดเจนของเขา


 


“ข้าก็อธิบายไปแล้วนี่คะ! ถ้าองค์ชายต้องการบัลลังก์, ท่านก็ต้องส่งจดหมายให้กับองค์ชายลีโอนาร์ดในทันที!”


 


“อา, ข้าฟังอยู่ แต่ข้อเสนอของเจ้าถูกปัดตกไปแล้ว”


 


กอร์ดอนพูดออกมาเช่นนี้แล้วทำลายสัญญาทิ้งไปง่ายๆ


 


ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อของเธอ, โซเนียก็จ้องกอร์ดอนตาเขม็ง


 


ความจริงที่ว่าเขาจะทำลายสัญญานั้นเข้าใจได้อยู่ ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่ใช้วิธีการจับตัวประกัน การทำลายสัญญาเรื่องสองเรื่องไม่ได้มีความหมายกับเขาหรอก


 


อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่โซเนียบอกเขาไม่ใช่เรื่องโกหก ถ้ากอร์ดอนอยากได้บัลลังก์, การเดิมพันที่ดีที่สุดก็คงเป็นการทำตามแผนการของเธอซึ่งการที่ไม่ยอมใช้มันนั้นก็หมายความว่าเป้าหมายสุดท้ายของเขาไม่ใช่บัลลังก์


 


“ท่านไม่อยากได้บัลลังก์หรอคะ!?”


 


“อยากสิ แต่ข้าไม่อยากได้มันโดยไม่มีสงครามอะไรเลย ข้าอยากกระตุ้นให้การก่อกบฏทางใต้เติบโตและนำทัพไปกำราบพวกนั้น จากนั้นข้าก็จะควบคุมกองทัพกลางและขับไล่เอริคออกไป นี่คือรูปแบบการพัฒนาที่ข้าต้องการ”


 


“แบบนั้น…..จักรวรรดิอาจจะถูกประเทศอื่นรุกรานก็ได้นะคะ ท่านไม่เข้าใจหรอว่ามันอันตรายแค่ไหน!?”


 


“ข้าเข้าใจดี ทหารชายแดนน่าจะสามารถยื้อพวกมันเอาไว้ได้พักนึง ในระหว่างนั้น, ข้าจะขึ้นเป็นมงกุฎราชกุมารและทำการตอบโต้กลับ ไม่มีความจำเป็นต้องไปหวาดกลัวประเทศอื่น จักรวรรดิเป็นประเทศที่แข็งแกร่งและเมื่ออยู่ใต้การปกครองของข้า, มันก็จะเกิดใหม่เป็นเจ้ามหาอำนาจ”


 


ในขณะที่พูดนั้น, กอร์ดอนก็สะบัดมือเบาๆ


 


จากนั้น, โซเนียก็ถูกการ์ดสองคนจับตัวเอาไว้


 


“อะไรกัน!? ถ้าไม่มีข้า, ท่านก็เอาชนะองค์ชายเอริคไม่ได้หรอก!?”


 


“ข้าไม่อยากเอาชนะเจ้านั่นด้วยความขัดแย้งทางการเมือง ข้าจะขยี้มันด้วยกองทัพของข้า ข้าต้องขอบคุณเจ้านะที่จัดเวทีที่สมบูรณ์แบบนี้ให้ ข้าจะเรียกตัวเจ้าอีกครั้งในตอนที่ข้ามีธุระกับเจ้า จนกว่าจะถึงตอนนี้ก็ไปอยู่เงียบๆในห้องของเจ้าซะเถอะ และอย่าคิดทำอะไรแปลกๆหล่ะ ชีวิตของตัวประกันยังอยู่ในมือของข้า”


 


ด้วยคำขู่เช่นนี้จากกอร์ดอน, โซเนียก็ถูกพาตัวออกไปจากห้อง


 


เธอถูกการ์ดสองคนลากออกไป, ในขณะนั้นโซเนียก็จ้องมองกอร์ดอนอย่างไม่เชื่อสายตา


 


มันเหมือนกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด


 


เข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดพร้อมกับมุ่งหวังที่จะเริ่มสงครามจริงๆ


 


โซเนียเข้าใจเขาผิด กอร์ดอนอยากได้บัลลังก์จริงๆแต่สิ่งที่เขาต้องการยิ่งกว่าก็คือสงคราม เขาคือจอมกระหายสงครามโดยแท้จริง


 


สำหรับกอร์ดอน, สงครามไม่ใช่เครื่องมือแต่เป็นจุดจบ บัลลังก์ก็มีไว้แค่อำนวยความสะดวกให้สิ่งนั้น


 


โซเนียที่ในที่สุดก็รู้สึกตัวได้ถูกลากไปแล้ว, แต่ก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี…

 

 

 


ตอนที่ 103

 

“วันนี้ก็ไม่ใช่สินะ…..”


 


เวลาผ่านไปประมาณสิบวันแล้วตั้งแต่ที่จดหมายถูกชิงไป


 


วันนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อจากฝั่งของกอร์ดอนเลย


 


ดังนั้นนี่ก็หมายความว่าเรื่องเป็นไปตามที่ฉันคาดเอาไว้สินะ


 


ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ


 


“สถานการณ์ไม่ค่อยดีหรอคะ?”


 


ฟีเน่ถามอย่างเป็นห่วงในขณะที่เสิร์ฟน้ำชาให้ฉัน


 


ฉันพยายามจะยิ้มเพื่อบ่งบอกให้เธอมั่นใจแต่สีหน้าของฟีเน่ก็มีแต่จะเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ


 


“ก็นะ, นิดหน่อยหน่ะ”


 


“โกหกสินะคะ….จริงๆแล้วมันไม่ดีเลยใช่ไหมหล่ะ?”


 


“เจ้าเองก็มองออกสินะ”


 


ฉันเอามือเกาศรีษะแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


 


ตั้งแต่แรกแล้ว, พวกเราสมควรที่จะได้รับจดหมายนั่นแล้วเปิดโปงการกระทำผิดของขุนนางทางใต้ ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าทางใต้จะก่อกบฏขึ้นมา, พวกเราก็วางแผนที่จะใช้วิธีการรุนแรงด้วยการนำกองทัพไปปปราบปรามพวกเขา


 


อย่างไรก็ตาม, กอร์ดอนเก็บจดหมายเอาไว้กับตัวเองเพื่อที่การต่อสู้จะได้ไม่จบแค่เรื่องเล็กๆ  นี่เป็นวิธีการที่สมกับเป็นกอร์ดอนจริงๆ


 


และก็ด้วยเหตุนี้เอง, พวกเราจึงไม่สามารถใช้แผนการเดิมได้อีกต่อไป ถ้าสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง, จักรวรรดิก็จะอ่อนแอลงอย่างแน่นอน


 


กอร์ดอนน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี


 


อย่างเลวร้ายที่สุด, แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องนั้น, โซเนียก็น่าจะเข้าใจ


 


ถ้าพวกเขายืนกรานจะทำแบบนี้ก็หมายความว่าพวกเขามีแผนการบางอย่างเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า


 


“ถ้ามีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น, วิธีเดียวที่พวกเราเหลืออยู่ก็คงเป็นการใช้มันเพื่อสร้างความสำเร็จให้ลีโอ นี่เป็นแค่ตัวเลือกเดียว แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นพวกเรายังพอมีเวลาอยู่ ข้าอยากป้องกันไม่ให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นแต่ข้าไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันยังไงดี”


 


“พวกเรารายงานเรื่องนี้กับจักรพรรดิไม่ได้หรอคะ?”


 


“ลีโอพยายามทำแบบนั้นแล้วและข้าก็ได้ห้ามไปแล้ว ข้าเข้าใจความรู้สึกของเขาแต่….สงครามผู้สืบทอดไม่ได้จบลงแค่เรื่องนี้ ถ้าลีโอรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านพ่อ, เขาก็จะเข้ามาลุยเองอย่างแน่นอนแต่ในทางกลับกัน, มันก็จะทำลายอนาคตของลีโอ ยิ่งไปกว่านั้น, แม้ว่ามันอาจจะไม่เพียงพอที่จะคลี่คลายเรื่องนี้ พวกเราก็จำเป็นต้องคิดหาทางอื่นในการทำอะไรซักอย่างกับมัน”


 


“แล้วพวกเราให้รีเบคก้าเป็นคนไปเรียกร้องไม่ได้หรอคะ?”


 


“มันไม่มีวิธียืนยันว่าเธอเป็นอัศวินที่เอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์ฝากฝังจดหมายของเขาเอาไว้ให้หน่ะสิ พวกเราถูกขโมยหลักฐานสนับสนุนไปแล้ว ถึงยังไง, ต่อให้รีเบคก้าไปเรียกร้องกอร์ดอนก็แค่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก็นะ, ต่อให้ลีโอเป็นคนไปเรียกร้องเองก็คงจะออกมาเหมือนกัน, และพวกเขาก็คงไม่ซ่อนจดหมายเอาไว้ในที่ที่พวกเราหาได้ง่ายๆด้วยดังนั้นการประเมินของท่านพ่อที่มีกับลีโอก็จะไปในทางแง่ลบ อย่างเลวร้ายที่สุด, เขาอาจจะถูกยึดหน้าที่การสอบสวนทางใต้ไปพร้อมกันเลยด้วย และถ้าเป็นแบบนั้น, ฝ่ายนั้นก็จะไม่จำเป็นต้องส่งจดหมายมาให้ลีโออีก, พวกเราจะกลายเป็นคนนอกอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าพวกเราจะเคลื่อนไหวยังไง, กอร์ดอนก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ”


 


ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงจะสงสัยว่ากอร์ดอนสามารถเคลื่อนไหวอย่างเจ้าเล่ห์แบบนี้ได้ยังไงแต่ตอนนี้เขามีนักกลยุทธที่ชื่อว่าโซเนียอยู่ฝั่งเขา


 


ถ้าพวกเราเคลื่อนไหวไม่ระวัง, พวกเราก็จะโดนสวนกลับอย่างแน่นอน


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าพวกเราถอดใจเรื่องการหยุดยั้งสงครามกลางเมือง, กอร์ดอนก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบ


 


เซบาสพูดเอาไว้ว่าฉันไม่ควรกังวลเกี่ยวกับมันมากนักเนื่องจากสงครามกลางเมืองน่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้วไม่ว่าพวกเราจะได้จดหมายหรือไม่ก็ตาม, แต่การถอดใจโดยไม่ลองทำอะไรเลยนั้นมันชวนให้รู้สึกไม่ดีเอาซะเลย


 


ที่พวกเราไม่สามารถจัดการกับมันได้ก็แค่เพราะพวกเราไม่มีอำนาจพอที่จะหยุดมัน


 


ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือพวกเราสามารถหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองได้


 


ต่อให้ฉันจะปล่อยวางความรู้สึกของตัวเอง, แต่ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ขึ้น, การประเมินตัวลีโอก็จะยังคงแย่ลงเพราะเขาจะถูกกล่าวโทษสำหรับความจริงที่ว่าเขาพบจดหมายช้าเกินไป


 


จักรวรรดิ, ผู้คน, และความคืบหน้าในสงครามผู้สืบทอด การหยุดสงครามกลางเมืองจะเป็นประโยชน์ต่อเรื่องทั้งหมดนี้


 


“ฮืออ…..แบบนี้ก็แย่แล้วสิคะ……”


 


“ข้าได้สั่งให้เซบาสออกไปตามหาจดหมายแล้วแต่ข้าคิดว่าเซบาสคงไม่ไหวหรอก หรือว่าข้าควรจะเริ่มเตรียมการแล้วร่วมมือกับลีโอในฐานะซิลเวอร์ดี…..?”


 


ฉันอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เวลานั้นไม่มีวันหวนคืนกลับมา


 


ถ้าตอนนั้นฉันทำอะไรให้มากกว่านี้ก็คงจะดี ฉันยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับตอนนั้นอยู่


 


ความพ่ายแพ้จากการขาดข้อมูลและความเข้าใจในสถานการณ์ ถ้าพวกเราไม่มีสิ่งนี้พวกเราก็จะไม่สามารถเตรียมการได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างนั้น, ตอนนั้นฉันก็น่าจะพอเคลื่อนไหวในฐานะซิลเวอร์อย่างระมัดระวังได้อยู่


 


ถ้าฉันเริ่มเคลื่อนไหวในฐานะซิลเวอร์ตั้งแต่แรกฉันก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องที่ความลับของฉันจะถูกเปิดเผย


 


แต่ว่า, นั่นก็มีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่


 


“ถ้าทำแบบนั้น, มันก็จะเป็นการเปิดเผยว่าซิลเวอร์ร่วมมือกับท่านลีโอเป็นการส่วนตัวนะคะ ถึงยังไงจนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังมีข้ออ้างว่าทำไปเพื่อยับยั้งมอนส์เตอร์อยู่……”


 


“นั่นสินะ, ผู้ใช้เวทมนตร์โบราณเอาตัวเข้ามายุ่งกับสงครามผู้สืบทอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องมีผลกระทบจากเรื่องนั้นแน่”


 


ถ้าฉันช่วยเหลือลีโอด้วยการใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายในตอนนั้น, แนวทางที่ฉันวางเอาไว้จนถึงตอนนี้ก็จะพังไม่เป็นท่า


 


ซิลเวอร์ได้รับอนุญาตให้ใช้เวทมนตร์เพราะเขาคือผู้พิทักษ์เมืองหลวงจักรวรรดิและประชาชน ถ้าซิลเวอร์เคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือคนๆเดียวในความขัดแย้งทางการเมืองแทนที่จะเป็นวิกฤตการณ์มอนส์เตอร์หรือภัยของจักรวรรดิ, ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวลือจะแพร่กระจายไปแบบไหน ด้วยโซเนียที่อยู่ฝั่งนั้น, เธอจะต้องใช้มันเพื่อทำให้พวกเราเสียเปรียบอย่างแน่นอน ต่อให้พวกเขาส่งจดหมายให้พวกเรา, ความจริงที่ว่าโซเนียยังอยู่ฝั่งกอร์ดอนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งไปกว่านั้น, พวกที่สนับสนุนซานดร้าจะต้องใช้มันเพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้พวกเขาด้วยแน่ๆ”


 


อย่างเลวร้ายที่สุด, ซิลเวอร์อาจจะถูกตีตราว่าเป็นภัยคุกคามและฉันก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวในฐานะซิลเวอร์ได้อีก จักรวรรดิบอบช้ำจากเวทมนตร์โบราณกับราชวงศ์มามากถึงขนาดนั้น


 


ถ้าทำแบบนี้, มันก็จะเป็นการที่พวกเราใช้ไพ่ตายเพื่อแลกกับจัดหมายนั่น ซึ่งมันเป็นความเสี่ยงที่ฉันยอบรับไม่ได้


 


“เห้อ…..คิดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรสินะ ในตอนนั้น, การเคลื่อนไหวของข้าถูกจำกัดมากเกินไปจริงๆ”


 


แถมก็นะ, ตอนนั้นมันก็ไม่ได้ถือว่าจวนตัวจริงๆด้วย


 


การเคลื่อนไหวในเมืองหลวงจักรวรรดิในฐานะซิลเวอร์นั้นมาพร้อมกับข้อจำกัดหลายอย่าง


 


นี่คือสาเหตุที่ช่วงเวลาที่ฉันจะทำได้นั้นจึงมีจำกัดมากๆ


 


“ถ้าข้าไม่สามารถหาวิธีคลี่คลายปัญหานี้ได้ในเร็วๆนี้, ข้าก็อาจจะบอกให้ลีโอไปรายงานกับท่านพ่อ……”


 


“พวกเราเจรจากับขุนนางทางใต้ไม่ได้หรอคะ?”


 


“รู้ใช่ไหมว่าพวกนั้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางใต้แน่ๆ? จะให้ไปเจรจากับพวกนั้นมันก็คงจะ…..”


 


ฉันหยุดคำพูดเอาไว้ตรงนั้น


 


แน่นอนว่าพวกเขาปฏิเสธการเจรจากับพวกเรามาจนถึงตอนนี้


 


อย่างไรก็ตาม, นับจากนี้ไป, จะต้องมีช่วงที่พวกเขาอยากทำแบบนั้นอย่างน้อยก็สักครั้งนึงอย่างแน่นอน


 


“ฟีเน่….เจ้านี่อัจฉริยะจริงๆ”


 


“คะ?”


 


“โทษทีนะ, แต่ช่วยไปเรียกลีโอมาหาข้าหน่อยได้ไหม? ข้าคิดแผนดีๆออกแล้วหล่ะ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็เริ่มเขียนแผนการที่คิดขึ้นมาได้ลงกระดาษ


 


เมื่อเห็นแบบนี้, ฟีเน่ก็รู้สึกงุนงงแต่เธอก็ออกไปเรียกลีโอในทันที


 



 


“ท่านพี่, คิดแผนดีๆออกแล้วหรอครับ?”


 


“เดี๋ยวนะ อืมม, คิดว่านี่คงเป็นปัญหาทั้งหมดหล่ะมั้ง? ที่เหลือก็คือคนติตตาม พวกเราจะติดอยู่ตรงนี้จนกว่าจะหาได้สินะ”


 


ฉันพึมพำในขณะที่กำลังครุ่นคิด


 


ในขณะที่มองมาที่ฉัน, ลีโอก็หยิบกระดาษที่ฉันเขียนแผนเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบขึ้นมาแล้วดูเนื้อหาของมัน


 


“….ท่านพี่, นี่ท่านพี่เสียสติไปแล้วหรอ?”


 


 


“แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็ไม่ใช่คนที่จะออกโรงหรอกนะ”


 


แก้มของลีโอกระตุกให้กับคำตอบสั้นๆของฉัน


 


คนที่จะใช้แผนนี้ที่ฉันคิดเอาไว้ก็คงจะเป็นลีโอ


 


“แผนแบบไหนหรอคะ?”


 


“ถ้าให้พูดง่ายๆก็,  แสร้งทำเป็นเจรจาแล้วก็กำราบซะ”


 


“เอ๋…..?”


 


“พวกเราจะเข้าไปในฐานของศัตรูแล้วรีบยึดการควบคุมมาให้ได้ ขุนนางส่วนใหญ่แค่ตกกระไดพลอยโจนเพราะพวกเขากลัวดยุคครูเกอร์ ถ้าพวกเราจัดการดยุคได้, พวกเขาก็จะยอมแพ้ในทันที”


 


พวกเขาไม่มีรองผู้บัญชาการที่สามารถมาแทนที่ดยุคครูเกอร์ได้และด้วยเหตุนี้เองการดำเนินสงครามกลางเมืองต่อจึงไร้ความหมายสำหรับพวกเขา


 


เหตุผลที่พวกเขาเริ่มสงครามกลางเมืองในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อยึดจักรวรรดิ พวกเขาแค่อยากบังคับให้จักรพรรดิยอมอะลุ่มอะล่วยเพื่อรับรองความปลอดภัยของพวกเขา


 


ถ้าพวกเราสามารถจับตัวดยุคครูเกอร์ได้, พวกเขาก็จะสูญเสียผู้นำที่สามารถเจรจากับจักรพรรดิได้อย่างสูสี, และองค์กรของพวกเขาก็จะถูกยกเลิก


 


ถ้าสงครามกลางเมืองมีขนาดเล็กเกินไปมันก็จะไร้ประโยชน์ในทันที จักรพรรดิจะไม่ยอมอะลุ่มอะล่วยเพราะแค่เรื่องเล็กๆ หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, มันคือแผนที่จะไร้ประโยชน์ถ้าไม่ทำให้มันใหญ่จริงๆ


 


“ข้าคิดว่ามันคงจะดีนะถ้าพวกเราสามารถเจรจากับพวกเขาได้จริงๆ…….”


 


“นี่แหล่ะคือความแยบยลของแผนนี้ ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะไม่ยอมเจรจามากแค่ไหน, อย่างน้อยมันก็จะมีโอกาสให้พวกเขาได้ทำอย่างนั้น”


 


“ก่อนที่สงครามกลางเมืองจะเริ่มขึ้น พวกเขาจะยอมรับการเจรจาอย่างแน่นอนถ้าจักรพรรดิส่งผู้สงสารไปหา ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านพี่อยากจะสื่อนะแต่ว่า…….”


 


“เจ้าอยู่ในตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบในเรื่องกบฎทางใต้โดยตรง เจ้าสามารถขอทำหน้าที่เป็นผู้เจรจาได้ด้วยการไปเรียกร้องกับท่านพ่อว่าเจ้าอยากกอบกู้เกียรติยศของตัวเอง แต่ก็แน่นอนว่า, ถ้าเจ้ามีแรงจูงใจนั่นแหล่ะนะ”


 


“นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าหรอกครับ ตัวข้าเองก็เห็นด้วยกับแผนนี้ มันสามารถลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากสงครามกลางเมืองได้ มันคงจะดีที่สุดถ้าแผนการนี้ได้ผล”


 


ใช่แล้ว


 


การบุกฐานบัญชาการของศัตรูอย่างเฉียบพลัน ถ้าพวกเราสามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาดด้วยแผนนี้, มันก็จะหยุดยั้งแผนของกอร์ดอนได้อย่างสมบูรณ์และประชาชนทางใต้ก็จะไม่ต้องเสียสละอย่างสูญเปล่า


 


อย่างไรก็ตาม, มันมีการท้าทายมากมาย


 


ขั้นแรกก็คือหน่วยแทรกซึม


 


“หน่วยที่สามารถพาไปด้วยได้คงจะเป็นผู้ติดตามกลุ่มเล็กๆ ถ้าเกิดพวกเขาไม่ได้เป็นกองกำลังระดับสูง, แผนนี้ไม่เวิร์คแน่ ต่อให้เอาเซบาสกับซิกไปด้วย, เจ้าก็ยังต้องการหน่วยที่มีพลังต่อสู้สูง”


 


“แต่พวกเราใช้การ์ดหลวงไม่ได้, เจตนาของพวกเราจะชัดเจนเกินไปและถ้าทำแบบนั้นพวกเขาก็จะระแวงพวกเราด้วย”


 


“ใช่แล้ว นั่นคือสาเหตุที่พวกเราต้องตามหาหน่วยแบบนั้น”


 


สำหรับประเด็นที่สอง


 


การเจรจากับกอร์ดอน


 


“การท้าทายอีกอย่างก็คือการเจรจาระหว่างพวกเรากับกอร์ดอนในตอนที่เขาส่งจดหมายนั้นให้กับพวกเรา พวกเราไม่สามารถทำสัญญากับเขาอย่างสะเพร่าได้”


 


“มันจะเป็นปัญหาเอาได้หล่ะนะถ้าเขาห้ามไม่ให้พวกเราเคลื่อนไหวเลย”


 


“นั่นสินะ ต่อไปก็เรื่องสุดท้าย”


 


ความท้าทายที่สาม


 


การเพิ่มโอกาสสำเร็จของพวกเรา, พวกเราจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากจักรพรรดิ


 


“ข้าว่าท่านพ่อไม่อนุมัติแผนการของพวกเราแน่เลย”


 


“แผนการนี้อันตรายจริงๆ, และถ้าเจ้าถูกจับเป็นตัวประกัน, มันก็จะส่งผลกระทบกับอนาคตของเจ้า เมื่อเทียบกับการส่งกองทัพ, มันมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาเป็นจำนวนมาก นี่คือสาเหตุที่พวกเราจำเป็นต้องหาข้อมูลให้มากกว่านี้เพื่อโน้มน้าวเขา”


 


“แล้วพวกเราจะเพิ่มโอกาสสำเร็จของเรายังไงดี?”


 


“สำหรับตอนนี้, ข้าจะรวบรวมหน่วยระดับสูงที่จะไม่ทำให้ศัตรูตื่นตัว”


 


แม้ในความเป็นจริงนั้นลีโอจะออกเดินทางไปในฐานะทูตพวกเราก็จะไม่ใช้การ์ดหลวง


 


ศัตรูของพวกเราจะลดการป้องกันลงอย่างแน่นอนแต่นั่นก็ยังไม่พอ


 


พวกเราจำเป็นต้องหาวิธีที่ทำให้ศัตรูลดการป้องกันอยู่ตลอดและหาหน่วยระดับสูงอื่นนอกจากการ์ดหลวง”


 


“งานนี้ยากอยู่นะครับ”


 


“ก็นะ, แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีแผนเลย พวกเราสามารถลดความเสียหายและหยุดสงครามกลางเมืองได้ด้วยวิธีนี้ อุปสรรคสูงก็จริงอยู่แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลอง”


 


ด้วยประการฉะนี้เองการประชุมกลยุทธของพวกเราก็เริ่มต้นขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 104

 

วันต่อมา


 


ฉันตัดสินใจถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้


 


“เป็นกลยุทธที่สมกับอัลดีนะ”


 


“คิดงั้นหรอ? ข้าว่าเป็นแผนการที่ดีใช้ได้เลยใช่ไหมหล่ะ?”


 


“ก็นะ, ดูเหมือนว่างานหลอกลวงนี่จะเป็นของถนัดของเจ้าจริงๆ”


 


ฉันทำหน้าบึ้งให้กับความคิดเห็นตามตรงของเอลน่า


 


แน่นอนว่า, ฉันเป็นคนที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณความเป็นอัศวิน


 


ตามหลักแล้ว, การส่งหน่วยพิเศษที่จะทำการโจมตีทีเผลอไปเป็นผู้ส่งสารนั้นคงจะเป็นแผนการที่ขี้ขลาดมากๆ


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าแผนการนี้สามารถลดจำนวนผู้เสียสละได้มันก็จำเป็นต้องทำ


 


“แล้วคิดว่ามันจะได้ผลไหม?”


 


“นั่นสินะ  ข้าคิดว่ามันคงจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิดหรอก”


 


เอลน่าพูดออกมาเช่นนั้น


 


เอลน่าเคยเดินทางไปหลายที่ในฐานะอัศวินหลวง ในหน้าที่ของเธอ, เธอน่าจะเคยไปวุมเม่, เมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้, และเป็นบ้านของดยุคครูเกอร์


 


ความจริงที่เอลน่าบอกว่าแผนการจะไม่สำเร็จก็หมายความว่าการป้องกันของวุมเม่นั้นแน่นหนา


 


“วุมเม่แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ?”


 


“เจ้าสามารถฝ่ากำแพงชั้นนอกได้อย่างสบายๆในฐานะผู้ส่งสารแต่ปัญหาก็คือข้างใน ปราสาทที่ดยุคครูเกอร์อาศัยอยู่นั้นมีขนาดกว้างขวางและเส้นทางข้างในก็ซับซ้อนมาก ด้วยความที่โครงสร้างมันซับซ้อนเนี่ยแหล่ะมันจึงทำให้เจ้าไปถึงส่วนบนได้ยาก……”


 


“แสดงว่าพวกเราจำเป็นต้องมีแผนที่ข้างในสินะ…..”


 


“คงจะต้องอย่างนั้น ถ้าเจ้าไม่มีก็อย่าหวังว่าจะสำเร็จเลย ซึ่ง, ในเรื่องของแผนที่นั้น…..”


 


เอลน่าหยุดพูดแล้วมองมาที่ฉัน


 


ดวงตาสีเขียวของเธอเปล่งประกายราวกับว่าเธออยากจะเปรยอะไรบางอย่างออกมา, จากนั้นเธอก็ชี้ที่ตัวเองแล้วยิ้ม


 


“ถ้าให้ข้าไปข้าสามารถนำทางให้เจ้าได้นะสนไหม?”


 


“ถ้ารู้ว่าเจ้าไปกับทีมเจรจาคงไม่มีประสาทหลังไหนหรอกที่จะยอมเปิดประตูต้อนรับ…….”


 


“ก็ลองหาทางดูสิ อย่างเช่นปลอมตัวไง”


 


“เจ้าคิดว่าแค่ปลอมตัวจะหลอกฝ่ายนั้นได้หรอ? แต่มันก็อาจจะคุ้มเสี่ยงหล่ะนะถ้าพวกเราใช้น้ำยาเวทมนตร์…..เอาเป็นว่าตอนนี้, มาลองคิดแผนที่จะไม่ใช้พลังของเจ้าก่อนดีกว่า”


 


“แล้วข้าก็สามารถลบปราสาททิ้งไปด้วยการโจมตีเดียวจากการใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยนะ”


 


“แต่แบบนั้นคงเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแน่ถ้าผู้คนรู้ว่าคนจากบ้านผู้กล้าหาญปลอมตัวไปเป็นผู้ส่งสารแล้วหลอกลวงคู่เจรจาหน่ะ…..”


 


พลังของบ้านผู้กล้าหาญควรจะใช้นอกจักรวรรดิ ถ้าพวกเราใช้พลังระดับนั้นในจักรวรรดิ, มันก็จะแพร่กระจายความหวาดกลัวที่อาจจะนำไปสู่ต้นตอของการต่อต้านครั้งใหญ่ได้


 


บ้านผู้กล้าหาญไม่ควรถูกนำมาใช้งานเว้นเสียแต่ว่าจะไม่มีทางเลือกจริงๆ


 


“แถม, การลงใต้นั้นก็จะทำให้ส่งเจ้าไปที่ชายแดนไม่ได้ในกรณีที่มีเรื่องฉุกเฉินด้วย”


 


“แสดงว่าข้าต้องคอยอยู่แนวหลังในกรณีที่พวกเราต้องหยุดยั้งการบุกรุกจากประเทศอื่นหรอ?”


 


“ก็นะ, มันน่าจะมีบางประเทศที่พยายามใช้ประโยชน์จากสงครามกลางเมืองแล้วรุกรานพวกเรา”


 


“เอาเถอะ, ถ้าอัลพูดขนาดนั้นข้าจะคิดแผนอื่นก็ได้”


 


เอลน่าพูดออกมาเช่นนั้นแล้วเอามือเท้าคางในขณะที่เริ่มใช้ความคิด


 


จากนั้นเธอก็พยักหน้าอยู่หลายครั้งแล้วชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว


 


“มีแค่สองหน่วยที่จะทำให้แผนการนี้สำเร็จได้”


 


“ข้าพอจะเดาหน่วยแรกได้อยู่”


 


“ก็คงจะอย่างนั้นแหล่ะ อย่างที่รู้, ภาคีอัศวินหลวงมีพลังที่จะทำแบบนั้นแต่ข้อเสนอนั้นคงจะถูกปัดตกสินะ?”


 


“ดยุคครูเกอร์เป็นพี่ชายของสนมลำดับห้า เขาเคยมาเยี่ยมเมืองหลวงหลายครั้งแล้วดังนั้นเขาเองก็น่าจะต้องคุ้นหน้าอัศวินหลวงอยู่บ้าง ข้าคงไม่อยากเสี่ยงใช้คนที่เขาอาจจะจำหน้าได้ในปฏิบัติการนี้หรอก”


 


“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน นี่คือสาเหตุที่เราเหลืออยู่แค่หน่วยเดียว…..”


 


สีหน้าของเอลน่าดูซับซ้อนขึ้น


 


หน่วยไหนกันนะ สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าเธอไม่อยากจะพูดถึงมันถ้าเป็นไปได้ นี่คือสีหน้าที่หาดูได้ยากของเธอ


 


“มีอะไรหรอ?”


 


“ข้าไม่อยากแนะนำพวกเขาเลยจริงๆ”


 


“บอกมาเถอะ”


 


“เห้อ…..มันเป็นความผิดของอัลแท้ๆที่ปล่อยให้องค์ชายกอร์ดอนได้จดหมายไป, ทำไมตอนนี้ข้าต้องมาห่วงเจ้าด้วยนะ…..”


 


เอลน่ามองฉันอย่างไม่พอใจ


 


ฉันกระพริบตาอยู่หลายครั้งจากการโดนบ่นอย่างกระทันหันนี้


 


จู่ๆก็เป็นอะไรของเธอเนี่ย


 


“โกรธหรอ?”


 


“เปล่าหรอก ข้าแค่ทึ่งหน่ะ ถ้าเจ้าเรียกข้าตั้งแต่แรก, ทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นอะไรแท้ๆ….”


 


“ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก…..”


 


“อย่างน้อยข้าก็อยากให้เจ้าบอกให้ข้ารู้ก็ยังดี ในตอนที่ข้าได้ยินว่าอัลกับลีโอออกไปในที่ที่เต็มไปด้วยนักฆ่า, ข้าแทบจะเป็นลมเลยนะรู้ไหม ยิ่งไปกว่านั้น, คนที่เจ้าพาไปคุ้มกันก็มีแค่เจ้าหมีนั่นกับเซบาสเท่านั้น, นี่เจ้าคิดอะไรอยู่เนี่ย”


 


“ถ้าข้าบอกเจ้า, เจ้าก็จะรีบมาหาพวกเราถูกไหมหล่ะ?”


 


“แน่นอนสิ”


 


“เพราะแบบนั้นแหล่ะข้าก็เลยเลือกที่จะไม่บอก”


 


ในตอนที่ฉันพูดกับเธอไปแบบนั้น, เอลน่าก็ส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเบือนหน้าหนี


 


ฉันไม่คิดว่าเธอจะอารมณ์ไม่ดีด้วยเรื่องนี้


 


แน่นอน, ฉันคิดว่าฉันทำอะไรผิดพลาดไปแต่ถ้าฉันเรียกเธอ, ก็จะมีอีกปัญหาตามมาอย่างแน่นอน


 


“ข้าผิดเอง…..ครั้งหน้าจะระวังให้มากกว่านี้นะ ที่ข้าล้มเหลวก็เพราะข้าประเมินสถานการณ์ไม่ขาด พราะฉะนั้นขอยืมสติปัญญาของเจ้าหน่อยเถอะ”


 


“……นับจากนี้ไปถือว่าเข้ากำลังร่วมมือกับเจ้า เข้าใจนะ”


 


“ร่วมมือ, นี่เจ้าหมายถึง……”


 


“แน่นอนว่าร่วมมือในขอบเขตที่จะไม่เกิดผลกระทบ ว่าแล้วเชียว, การให้นั่งอยู่เฉยๆแล้วรอฟังข่าวที่บ้านหน่ะข้าทำไม่ได้หรอก”


 


เอลน่าพูดแบบนั้นกับฉันแล้วมองตรงเข้ามาในดวงตาของฉัน


 


เอลน่าแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม, เหมือนกับซิลเวอร์, เธอเองก็มีข้อจำกัดมากมาย


 


เอาเถอะ, ฉันคิดว่าเจ้าตัวคงรู้อยู่แล้วฉันจึงแค่พยักหน้าตอบเฉยๆ


 


“แค่ขอบเขตที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาเท่านั้นโอเคไหม?”


 


“แน่นอน ถือว่าตกลงแล้วนะ”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ยิ้มอย่างมีความสุข


 


ความจริงที่ว่าเธอยื่นข้อเสนอแบบนี้ออกมาก็หมายความว่ามีบางอย่างที่เอลน่าคิดว่าเธอสามารถช่วยได้ หรือบางที, เธอน่าจะรู้จักคนที่สามารถช่วยพวกเราได้


 


อย่างไรก็ตาม, พวกเราไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับหน่วยอื่นนอกจากอัศวินหลวงที่สามารถใช้ได้ในปฏิบัติการของพวกเราเลย พวกเราต้องการหน่วยที่ไม่สะดุดตา ถ้าแค่นี้มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรแต่พวกเราต้องการหน่วยที่ทั้งไม่สะดุดตาและฝีมือดีด้วย


 


“หน่วยนี้ด้อยกว่าภาคีอัศวินหลวงในแง่ของพลังแต่ข้าคิดว่าพวกเขาเหมาะกับภารกิจแทรกแซงมากกว่าอัศวินหลวงซะอีก บางทีเจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่ออยู่นะ, อัล? ภาคีอัศวินเพียงหนึ่งเดียวในกองทัพจักรวรรดิ, ‘นาร์เบ ริทเทอร์’”


 


(นาร์เบ ริทเทอร์(Narbe Ritter) แปลว่าอัศวินแผลเป็นในภาษาเยอรมัน)


 


“อัศวินแผลเป็นหรอ……!?”


 


แน่นอน, ฉันรู้ชื่อของพวกเขา


 


นาร์เบ ริทเทอร์ หน่วยอิสระของกองทัพหลวงเพียงหน่วยเดียวที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นภาคีอัศวิน


 


หน่วยนี้ประกอบด้วยอดีตอัศวิน


 


ซึ่งสาเหตุที่อดีตอัศวินมารวมตัวกันในกองทัพจักรวรรดิก็เพราะอดีตของพวกเขา


 


“พวกเขาคืออัศวินที่พุ่งเป้าหรือชักดาบขึ้นเพื่อต่อกรกับเจ้านายของพวกเขาเนื่องจากการกระทำผิดของพวกเจ้านาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม, พวกเขาเลือกที่จะยึดถือความยุติธรรมมากกว่าความภัคดีของพวกเขา, ซึ่งนี่ก็ทำให้พวกเขาสูญเสียตำแหน่งของตัวเองไป พวกเขาคืออัศวินที่แบกรับแผลเป็นจากเจ้านายของตัวเองดังนั้นพวกเขาจึงถูกเรียกว่าอัศวินแผลเป็น”


 


“พวกเขาคืออัศวินแห่งความยุติธรรมซึ่งได้เปิดเผยการกระทำผิดของนายตัวเองแต่ก็มีขุนนางอยู่แค่ไม่กี่คนที่จะเข้าหาอัศวินที่เคยทรยศเจ้านายของตัวเองมาแล้ว ข้าได้ยินมาว่าหน่วยนี้ถูกสร้างขึ้นก็เพื่อรวบรวมอัศวินพวกนี้สินะ”


 


แม้ว่าพวกเขาจะถูกสรรเสริญว่าเป็นอัศวินแห่งความยุติธรรม, แต่ก็ไม่มีใครพยายามจะดึงพวกเขาเข้าพวก อันที่จริง, คงมีขุนนางไม่กี่คนหรอกที่มั่นใจพอที่จะทำแบบนั้น เพราะขุนนางที่ซื่อตรงนั้นมีอยู่ไม่มากและแม้กระทั่งขุนนางดีๆเองก็ต้องทำเรื่องที่น่ากังขาบ้างเหมือนกัน


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้ายอมรับพวกเขาเข้ามา, ในตอนที่ทำเรื่องขัดกฏของพวกเขาก็อาจจะถูกฟันทิ้งได้ แต่นี่มันก็แค่ความเป็นไปได้ มันไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักยืดหยุ่นขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม, ถ้ามันมีความเป็นไปได้เช่นนี้อยู่, ก็คงไม่มีใครกล้าเรียกเกณฑ์พวกเขาหรอก


 


“ใช่, ภาพลักษณ์ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพวกเขาไม่ผิดหรอก ข้าเคยประลองกับพวกเขามาแล้วครั้งนึงแต่การฝึกของพวกเขาต้องบอกเลยว่าน่าทึ่ง เกณฑ์ที่พวกเขาตั้งเอาไว้นั้นสูงจริงๆและพวกเขาก็มีพวกมือดีเพียบเลยแหล่ะ บางทีพวกเขาน่าจะเป็นหน่วยที่มีพวกมากฝีมือเยอะที่สุดในกองทัพจักรวรรดิก็ว่าได้ ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเขายังไม่ได้เป็นของขุมอำนาจไหนเลยด้วย”


 


ประเด็นที่เอลน่าเสนอนั้นแทบจะสมบูรณ์แบบ


 


อย่างไรก็ตาม, มันน่าจะเป็นเพราะอดีตของพวกเขาเอลน่าถึงไม่อยากแนะนำพวกเขากับฉัน


 


“ภารกิจแทรกแซงฐานของศัตรู ผนวกกับการคุ้มกันเจ้าชาย, เจ้ากำลังจะบอกว่ามันอันตรายเกินกว่าที่จะฝากฝังเอาไว้กับพวกเขาสินะ?”


 


“ก็ใช่, นั่นก็มีส่วน….แต่มันจะยากลำบากมากๆถ้าเจ้าไม่สามารถไว้ใจพรรคพวกได้อย่างเต็มที่ในถิ่นของศัตรู พวกเขาแต่ละคนมีความเป็นอิสระที่ไม่ธรรมดาเลยหล่ะ ถ้าพวกเราซื้อใจพวกเขาไม่ได้พวกเขาก็จะทำภารกิจให้สำเร็จในแบบของพวกเขา”


 


“ปัญหาเรื่องความร่วมมือสินะ”


 


“แน่นอนว่า, ถ้าพวกเราออกคำสั่งพวกเขาก็จะเคลื่อนไหวในฐานะคนคุ้มกันแต่ข้าคิดว่าถ้าพวกเขาไม่เต็มใจทำภารกิจแผนนี้ก็ไม่ได้ผลหรอก”


 


การให้พวกเขาเข้าร่วมภารกิจอย่างเต็มใจมันเหมาะกว่าการออกคำสั่งพวกเขาหล่ะนะ


 


งานนี้ค่อนข้างยากแล้วสิ ถึงยังไงภารกิจมันก็อันตรายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว


 


สิ่งสำคัญในที่นี้ก็คือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ


 


“ข้าคงต้องฝากหน้าที่การโน้มน้าวพวกเขาเอาไว้กับลีโอสินะ…..”


 


“อืมม, ข้าว่ามันซับซ้อนกว่านั้นนะ ข้าคิดว่าลีโอดูน่าหลงไหลมากๆสำหรับพวกอัศวินแท้ๆแต่ข้าคิดว่าเสน่ห์ของลีโอคงใช้กับพวกเขาไม่ได้ผลหรอก”


 


“ถ้างั้นพวกเราควรทำยังไงดี?”


 


“ถ้าลีโอทำไม่ได้มันก็ต้องเป็นเจ้าไม่ใช่รึไง, อัล?”


 


เอลน่าพูดเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาในโลกนี้


 


นี่ นี่, ล้อเล่นกันรึไง ให้ฉันไปโน้มน้าวพวกเขาหรอ? พวกอดีตอัศวินที่ดูจะรับมือด้วยยากแน่ๆเนี่ยนะ?


 


“ไม่, มันเป็นอุปสรรคที่สาหัสเกินไปสำหรับข้า……”


 


“ไม่เป็นไรหรอกหน่า ข้าจะไปกับเจ้าด้วยแล้วก็ถึงจะเป็นแค่ลางสังหรณ์แต่ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะยอมใจอ่อนกับอัลมากกว่านะ ถ้าอัลพูดอย่างมั่นใจว่าเจ้าอยากขอความช่วยเหลือของพวกเขาเพื่อปกป้องน้องชาย, ข้าคิดว่าพวกเขาจะต้องยอมให้ความร่วมมือด้วยแน่ๆ”


 


เอลน่าพูดแบบนั้นออกมาง่ายๆด้วยรอยยิ้ม


 


“เจ้าเอาหลักอะไรมาคิดเนี่ย?”


 


ฉันถามเธอกลับด้วยใบหน้าแหยๆ


 


“อะไรกัน? เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรอ? ข้าเองก็เป็นอดีตอัศวินนะ และในฐานะอดีตอัศวิน, ข้าคิดว่าอัลเหมาะกับงานแบบนี้มากกว่า นี่แหล่ะหลักของข้า”


 


ในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงหลักการอันยอดเยี่ยมที่เธอนำมาใช้, ฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 105

 

 


มันผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่กอร์ดอนได้จดหมายนั้นไป


 


ในที่สุด, กอร์ดอนก็ติดต่อพวกเรา


 


“กว่าจะมาได้นะ”


 


“ต้องขอบคุณเรื่องนั้นนะครับ, การเตรียมการของพวกเราใกล้จะเรียบร้อยแล้ว”


 


“ก็ยังดี, แต่งานก็ยังเหลืออีกเยอะหล่ะนะ”


 


การเตรียมการของพวกเราใกล้จะพร้อมแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม, การเจรจากับนาร์เบ ริทเทอร์ยังไม่สำเร็จ พวกเขาออกไปทำการฝึกฝนลับดังนั้นพวกเราจึงเข้าถึงพวกเขาไม่ได้


 


หลังจากนี้, ฉันจะขอความช่วยเหลือจากเอลน่าเพื่อให้จัดการประชุมกับพวกเขา แต่ก่อนหน้านั้น, พวกเราต้องเจรจากับกอร์ดอนก่อน


 


“ฝากเรื่องนั้นด้วยนะครับ, ท่านพี่”


 


“ข้าคิดว่าลีโอเหมาะกับเรื่องแบบนี้มากกว่านะ…..ลองคิดดูสิ, ใครจะไปติดตามคนอย่างข้าหล่ะ?”


 


“เอลน่าคิดว่าท่านพี่เหมาะกว่าข้าใช่ไหมหล่ะครับ? ข้ามั่นใจว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ”


 


บางครั้งฉันก็ไม่เข้าใจความคิดของเอลน่าเลย


 


อย่างไรก็ตาม, สันชาตญาณของเอลน่านั้นเชื่อถือได้


 


“ข้าจะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน……แต่อยากคาดหวังนักหล่ะโอเคไหม?”


 


“ไม่ ไม่ได้ครับ, ข้าคาดหวังจากท่านพี่เยอะเลย”


 


“ทั้งๆที่ข้าบอกว่าอย่าคาดหวังเนี่ยนะ”


 


ด้วยการพูดคุยกันเช่นนี้, พวกเราก็มาถึงห้องของกอร์ดอน


 


เขากำลังรอพวกเราอยู่ข้างใน


 


สำหรับเจ้านั่น, คงไม่มีการพูดไร้สาระหรอก


 


“จากข้อมูลของเซบาส, ดูเหมือนว่านักกลยุทธที่ชื่อว่าโซเนียจะถูกคุมตัวอยู่”


 


“ขอความช่วยเหลือเสร็จแล้วก็คุมตัวคนๆนั้นงั้นหรอ, ช่างสมกับเป็นท่านพี่กอร์ดอนจริงๆนะครับ”


 


“ก็นะ, เขาน่าจะไม่ถูกใจข้อเสนอของเธอ”


 


ในบรรดาเอริค, กอร์ดอน, และซานดร้า, คนที่ฟังคำแนะนำจากคนรอบข้างน้อยที่สุดก็คือกอร์ดอน


 


มันไม่ใช่ว่ากอร์ดอนโง่ เขาแค่เป็นคนที่มีอุดมคติมากที่สุดในบรรดาทั้งสามคน


 


ซึ่งปัญหาก็คือความจริงที่ว่าอุดมคติของเขานั้นหลุดจากคนอื่นไปมาก ถ้าอยากจะสนับสนุนกอร์ดอนก็ต้องทำความเข้าใจอุดมคติของเขาก่อน


 


ไม่ว่าจะเป็นคนที่เก่งแค่ไหน, มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านเจตนาของกอร์ดอนตั้งแต่ที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก ถึงยังไง, แม้แต่พวกเราที่เป็นพี่น้องของเขาเองก็ยังไม่เข้าใจความคิดของเขาเลย


 


“เอาหล่ะ, ลุยกันเลยไหม”


 


“นั่นสินะครับ”


 


ลีโอเคาะประตูแล้วเข้าไปในห้อง


 


ข้างใน, กอร์ดอนกำลังนั่งรออยู่บนเก้าอี้ของเขา


 


บนโต๊ะเบื่องหน้าเขานั้นมีจดหมายอยู่ฉบับนึง


 


“ในที่สุดก็มาสินะ”


 


“….ขอตรงเข้าประเด็นเลยนะครับ พวกเราขอจดหมายนั้นคืนได้ไหมครับ?”


 


กอร์ดอนพยักหน้าให้กับคำถามของลีโออย่างเงียบๆ


 


จากนั้นเขาก็ยื่นข้อเสนอ


 


“จะเอาคืนไปข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกแต่มีเงื่อนไขอยู่อย่างนึง อย่ามาแทรกแซงเรื่องของข้าก็แล้วกัน”


 


“พวกเราคงยอมรับเงื่อนไขที่คลุมเคลือแบบนั้นไม่ได้หรอกมั้งครับ, ท่านพี่”


 


กอร์ดอนจ้องฉันในตอนที่เปิดปากพูด


 


ซึ่งฉันเองก็จ้องกลับไปด้วยความมั่นใจ


 


พวกเราจำเป็นต้องเจาะจงให้มากกว่านี้ ถ้าพวกเราทำสัญญาแบบปลายเปิดอย่างการไม่แทรกแซงเรื่องของเขานั้น, เขาก็จะเอามันมาใช้เป็นข้ออ้างได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


“ถ้างั้นข้อเสนอแบบไหนเจ้าถึงจะพอใจหล่ะ?”


 


“นั่นสินะครับ ถ้างั้นช่วยระบุระยะเวลาหน่อยได้ไหมครับ”


 


“หืม”


 


กอร์ดอนแสยะยิ้ม


 


บางทีเขาน่าจะรู้สึกว่าข้อเสนอของฉันนั้นเอื้ออำนวยกับเขา


 


ในตอนที่พวกเราพูดถึงระยะเวลา, ผู้คนก็จะคิดถึงวันหรือเดือนแต่สิ่งที่อยู่ในหัวของกอร์ดอนในตอนนี้น่าจะต่างออกไป


 


“ถ้างั้น ‘อย่าแทรกแซงข้าในระหว่างที่อยู่ในช่วงสงคราม’ ว่าไงหล่ะ?”


 


“…..ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมประณีประนอมไปมากกว่านี้แล้วสินะครับ”


 


“อา, ตามนั้นแหล่ะ”


 


กอร์ดอนพยักหน้าให้กับคำพูดของลีโอ


 


จากน้ำเสียงของกอร์ดอน, เขาคิดว่าสงครามจะเกิดขึ้นแน่นอน ผลลัพธ์ได้ถูกตัดสินเอาไว้แล้ว


 


เขาน่าจะประเมินว่ามันคงไม่เป็นอะไรตราบใดที่พวกเราไม่แทรกแซงเขาในช่วงนั้น


 


“ไม่มีทางเลือกสินะครับ พวกเราจะทำตามข้อเสนอนั้นก็แล้วกัน”


 


“ถ้างั้นก็เอาจดหมายไปได้ ถ้าเจ้าผิดสัญญา, จะไม่มีใครเจรจากับเจ้าอีกแน่ อย่าคิดทำอะไรโง่ๆหล่ะ”


 


“เข้าใจแล้วครับ”


 


“ถ้างั้นก็บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเลยก็แล้วกัน”


 


กอร์ดอนรีบเขียนเงื่อนไขแล้วเซ็นลงบนกระดาษแผ่นนึง จากนั้นเขาก็เร่งเร้าให้ลีโอเซ็นลงไปด้วย


 


ซึ่งลีโอก็ได้เซ็นลงไปในกระดาษแผ่นนั้นแล้วเขาก็หยิบจดหมายที่อยู่บนโต๊ะ


 


เมื่อเห็นแบบนี้, กอร์ดอนก็มองมาที่ฉัน


 


“อาร์โนลด์ เจ้าก็ต้องเซ็นด้วย”


“ข้าด้วยหรอ?”


 


“แน่นอนสิ ถ้าเซ็นแค่คนเดียวมันจะมีประโยชน์อะไรหล่ะ พวกเจ้าสองคนก็เหมือนคนๆเดียวกันนั่นแหล่ะ”


 


“ข้าไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์อะไรหรอกครับ”


 


พอพูดจบ, ฉันก็คว้าปากกาแล้วรีบเซ็น


 


ด้วยลายเซ็นของพวกเราทั้งคู่, พวกเราก็จะไม่สามารถแทรกแซงกอร์ดอนในช่วงสงครามได้อีกต่อไป


 


แล้วจู่ๆคำถามก็ผุดขึ้นมาในหัวฉันดังนั้นฉันจึงถามกอร์ดอน


 


“ท่านพี่ครับ สงครามที่ว่านี่หมายถึงสงครามครั้งต่อไปหรอครับ?”


 


“แน่นอนสิ”


 


“ถ้างั้น ข้าขอระบุลงไปด้วยนะ”


 


“เหอะ, ทำตามใจเจ้าเถอะ”


 


ฉันเพิ่มเงื่อนไขลงไปว่าแค่สงครามครั้งต่อไปเท่านั้น


 


เป็นไปตามที่ฉันวางแผนเอาไว้


 


พวกเราออกมาจากห้องของกอร์ดอนโดยไม่พูดอะไรเลยซักครับ


 


“ดูเหมือนจะไปได้ดีนะ”


 


“เขาดูไม่สงสัยอะไรเลย”


 


กอร์ดอนแค่ไม่สนใจเพราะเขาคิดว่ามันเปล่าประโยชน์ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม


 


เขาคิดว่าทุกอย่างจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่สงครามเกิดขึ้นหรือบางทีเขาคงมั่นใจว่าเขาสามารถขยี้ลูกไม้ต่างๆที่พวกเราจะใช้กับเขาได้สินะ?


 


เอาเถอะ, ไม่ว่าจะแบบไหนก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น


 


“ตอนนี้เงื่อนไขก็ลงตัวแล้วหล่ะนะ”


 


ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของข้า


 



 


“ขอประทานอภัยที่ล่าช้าครับ”


 


“ให้ตายเถอะนะ”


 


ลีโอก้มศรีษะลงเป็นการแสดงความขอโทษ


 


ท่านพ่อรับจดหมายด้วยท่าทีไม่พอใจ


 


ในฐานะจักรพรรดิ, ท่านพ่อมีงานมากมายต้องทำ นี่คือสาเหตุที่เขาไม่เคยแทรกแซงงานที่เขามอบหมายให้ลีโอ


 


เขาไม่มีเวลาทำเรื่องแบบนั้น วิกฤตการณ์มอนส์เตอร์ฝูงใหญ่ได้ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งจักรวรรดิและทางตะวันออกก็ยังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม และยังยิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีก, เมื่อมีปีศาจปรากฎตัวขึ้นทางใต้และบ้านเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์ก็หายไป


 


มีหลายเรื่องที่จักรพรรดิต้องจัดการดังนั้นท่านพ่อจึงฝากฝังงานเช่นนี้ให้ลีโอ และผลลัพธ์ของงานที่ว่าก็ล่าช้า


 


“……หนอยแก, ดยุคครูเกอร์”


 


หลังจากอ่านจดหมาย, ท่านพ่อก็ส่งต่อให้ฟรานซ์ด้วยท่าทีเหมือนกับว่าเขาอยากขยำมันทิ้งซะตรงนั้นเลย


 


พอรับมันมา, ฟรานซ์เองก็ตรวจดูเนื้อหาของมัน


 


จดหมายนี้เป็นข้อกล่าวหาจากเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์ ศูนย์กลางนั้นอยู่รอบตัวดยุคครูคครูเกอร์, ขุนนางที่มีอำนาจมากที่สุดทางใต้, ขุนนางทางใต้นั้นเชื่อมต่อกับองค์กรลักพาตัวและก่ออาชญากรรมมากมาย ซึ่งก็รวมทั้งเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์ด้วย


 


ต่อให้เขาถูกข่มขู่, มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขาทำได้


 


แต่ว่า, เขาพยายามชดเชยความผิดของเขา ความกล้าหาญของเขานั้นเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง


 


“เกี่ยวกับเรื่องเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์พวกเราควรยึดฐานันดรของเขาเพราะเขาไม่สามารถรักษาคำกล่าวขององค์จักรพรรดิที่ให้ปกป้องผู้อพยพได้……”


 


“นั่นสินะ ความจริงที่ว่าเขาไปยุ่งเกี่ยวกับอาชญากรรมเช่นนี้จะไม่หายไป ข้าจะถอดถอนฐานันดรของเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์”


 


เอาเถอะ, ฉันก็คิดเอาไว้อยู่แล้ว


 


ความกล้าหาญควรได้รับการเฉลิมฉลองแต่บาปที่เขากระทำไว้จะไม่หายไปไหน


 


จากนั้นฉันก็เหลือบมองข้างหลัง


 


แล้วก็ได้เห็นรีเบคก้าที่คุกเข่าอยู่ข้างหลังพวกเรามีสีหน้าซีดเผือด


 


บางทีเธอน่าจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว, เอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์ได้ทอดทิ้งเกียรติยศของเขาเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งการมาทำเอาป่านนี้มันก็สายเกินไปแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม, รีเบคก้าในสภาพนี้ก็ยังดูน่าสงสารอยู่ดี


 


ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น, ลีโอก็เริ่มเสนอองค์จักรพรรดิ


 


“ฝ่าบาท ข้าขออะไรบางอย่างได้ไหมครับ?”


 


“ว่ามาสิ?”


 


“ข้าอยากจะให้รางวัลกับท่านรีเบคก้า สำหรับความสำเร็จของเธอที่สามารถนำจดหมายมาส่งถึงมือฝ่าบาทได้”


 


“อืม, นั่นสินะ”


 


ท่านพ่อพูดพลางพยักหน้า


 


ดูเหมือนว่าลีโอจะเคยให้สัญญากับหนึ่งในอัศวินของเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์เอาไว้ว่าจะกอบกู้เกียรติของเขาให้แต่การทำแบบนั้นคงจะยากแล้ว


 


แต่มันก็ยังคงมีวิธีอยู่


 


“ถ้างั้นข้า, องค์ชายลำดับแปด, ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์, ขอเสนอชื่อท่านรีเบคก้าให้ได้รับยศขุนนาง โปรดประทานตำแหน่งให้เธอด้วยเถอะครับ”


 


“…..เอาสิ”


 


ฉันคิดไว้แล้วว่าลีโอจะพูดแบบนี้


 


“รีเบคก้า เจ้าอยากได้ยศอะไรหล่ะ?”


 


“ฝ, ฝ่าบาท…..ข, ข้าไม่ต้องการยศใดๆทั้งนั้นค่ะ….พ, เพราะฉะนั้นได้โปรดเถอะค่ะ….”


 


“อย่าพูดอะไรไปมากกว่านี้ เดนนิสเป็นผู้กระทำผิด ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลอะไร, ก็ต้องได้รับโทษ”


 


“ข, เขาไม่ใช่อาชญากรแบบนั้นนะคะฝ่าบาท! เขาเป็นขุนนางที่น่าภาคภูมิใจ! การถอดถอนฐานันดรของเขามันมากเกินไปค่ะ!”


 


“ข้าสรรเสริญคนผิดที่ทำเรื่องดีๆในบั้นปลายชีวิตไม่ได้หรอก เพราะเขาได้ก่ออาชญากรรมไปแล้ว”


 


พอถูกท่านพ่อพูดแบบนั้น, น้ำตาก็หลั่งไหลออกมาจากดวงตาของรีเบคก้า


 


เมื่อเห็นรีเบคก้าในสภาพนี้, ท่านพ่อก็พูดต่อ


 


“รีเบคก้า ข้าจะแต่งตั้งยศให้เจ้า”


 


“…..ค่ะ”


 


“—รีเบคก้าเจ้าจะได้รับยศเป็นไวส์เคานท์ซิทเทอร์ไฮม์ แล้วไวส์เคานท์ซิทเทอร์ไฮม์ก็จะได้รับเหรียญตราสัมฤทธิ์จักรวรรดิสำหรับความสำเร็จนี้ [เจ้าทำได้ดีมาก]”


 


เหรียญตราสัมฤทธิจักรวรรดินั้นจะมอบให้แค่กับคนที่สร้างคุณประโยชน์อย่างมากต่อจักรวรรดิ


 


แม้ว่าจะมีเหรียญตราเงินกับเหรียญตราทองคำอยู่ด้วย, มันก็ยังหายากที่จะมีการมอบเหรียญตราสัมฤทธิ


 


นี่คือการบอกขอบคุณเป็นนัยๆของท่านพ่อ


 


เขาไม่สามารถสรรเสริญเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์ที่กระทำความผิดได้โดยตรงดังนั้นเขาจึงส่งต่อชื่อของเขาให้รีเบคก้าแล้วชื่นชมเธอ


 


นี่คือสาเหตุที่ลีโอเสนอชื่อเธอให้รับยศขุนนาง มีตัวอย่างแบบนี้เกิดขึ้นในอดีตหลายครั้งแล้ว


 


ถ้าจักรพรรดิไม่สามารถให้ความชื่นชมได้จากใจจริง, มันก็ยังทำได้ด้วยการใช้วิธีการอ้อมๆแบบนี้


 


“ไวส์เคานท์รีเบคก้า ฟ็อน ซิทเทอร์ไฮม์ จงแสดงความขอบคุณต่อองค์จักรพรรดิซะ”


 


“…., ขอบพระคุณสำหรับความเมตตาของท่านค่ะ…. ฝ่าบาท”


 


ความหมายของน้ำตาที่เธอหลั่งออกมาได้เปลี่ยนไปแล้ว


 


คำพูดของท่านพ่อในตอนสุดท้ายนั้นไม่ใช่แค่การชื่นชมความสำเร็จของรีเบคก้าแต่ยังรวมถึงเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์ด้วย


 


รีเบคก้าเข้าใจตรงจุดนั้น


 


เธอยังคงร้องไห้ต่อไปอีกซักพัก


 


“….ปัญหาทางใต้ช่างหยั่งรากลึกจริงๆ ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าพวกนั้นแน่ ฟรานซ์, เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”


 


“ถ้าพวกเราแสดงความแข็งกร้าวกับพวกเขา, พวกเขาก็น่าจะตอบสนองมาแบบเดียวกันไม่ใช่หรอครับ?”


 


“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมทนให้ข้าราชบริพารของตัวเองดูถูกหรอ? ข้าเป็นถึงจักรพรรดิของประเทศนี้เชียวนะ ประชาชนและขุนนางของประเทศนี้คือส่วนหนึ่งของข้า ข้าเป็นคนเดียวที่สามารถทำตามใจชอบกับพวกเขาได้ ข้าจะทำการสืบสวนทางใต้ด้วยตัวเอง ไปพูดแบบนั้นกับขุนนางทางใต้ทุกคนซะ”


 


ด้วยการพูดเช่นนี้, ท่านพ่อได้แสดงจุดยืนของเขาแล้ว


 


มันหมายความว่าต่อให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นเขาก็จะไม่ยอมอ่อนข้อ ต่อให้ประเทศนี้จะอ่อนแอลงเพราะเรื่องนั้น, ข้าราชบริพารที่กระทำผิดก็จะไม่ถูกมองข้าม เขาตั้งใจจะแสดงสิ่งนี้ให้เบี้ยล่างทุกคนได้เห็น


 


สถานการณ์ดำเนินไปตามการคาดการณ์ของกอร์ดอน แต่ว่า, ฉันจะไม่ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบหรอก

 

 

 


ตอนที่ 106

 

“จดหมายไปถึงมือของท่านพ่อแล้วและเขาก็ได้สั่งกักบริเวณทั้งซานดร้าและสนมลำดับห้าเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอจะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร”


 


ฉันได้อธิบายสถานการณ์กับเอลน่าบนรถม้าในขณะที่พวกเราเดินทางไปยังป้อมปราการของนาร์เบ ริทเทอร์


 


เอลน่าไม่ค่อยถูกกับซานดร้าและสนมลำดับห้าเท่าไหร่ดังนั้นฉันเลยคิดว่ามันน่าจะทำให้เธอสดชื่นขึ้นมาบ้างแต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีปฏิกิริยาจากเธอซักเท่าไหร่นัก


 


“นั่นสินะ ถ้าเป็นสองคนนั้นหล่ะก็จะต้องพูดแบบนั้นแน่ๆ”


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับข่าวเลยนะ?”


 


“ข้าไม่สนใจพวกเธอหรอก มันก็แค่…..ทั้งๆที่พี่ชายกับลุงของพวกเธอตกเป็นที่ต้องสงสัยของฝ่าบาทสิ่งแรกที่พวกเธอทำกลับเป็นการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องด้วยเนี่ยนะ? ข้าคิดว่ามันสมกับเป็นพวกเธอมากเลย ข้าเชื่อว่าจะต้องเป็นแบบนี้แน่ๆแต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจพวกเธออยู่ดี”


 


พวกเธอไม่เข้าใจคำว่าครอบครัวบ้างเลยหรอ?


 


คำว่าครอบครัวสำหรับสองคนนั้นจะต้องต่างจากพวกเราแน่ๆ ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน


 


“ทางใต้เป็นฐานสนับสนุนที่สำคัญของซานดร้า ถ้าสูญเสียมันไป, ซานดร้าก็จะหลุดจากสงครามผู้สืบทอดอย่างแน่นอน นี่คือสาเหตุที่ท่านพ่อสั่งกักบริเวณเธอในทันที เพราะมันจะเป็นปัญหาเอาได้ถ้าจู่ๆซานดร้าอ้างเรื่องบัลลังก์ขึ้นมาโดยใช้การกบฏทางใต้เป็นโอกาส”


 


“ดูเหมือนว่าจักรพรรดิเองก็ลำบากเหมือนกันสินะ พระองค์ต้องคอยตามติดสงครามผู้สืบทอดอย่างต่อเนื่องในขณะที่ดูแลจักรวรรดิไปด้วย”


 


“สงครามผู้สืบทอดมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่จะควบคุมง่ายๆมาตั้งแต่แรกแล้ว”


 


“…..ช่วงนี้, ท่านพ่อ, พูดเรื่องแปลกๆออกมาด้วย”


 


เอลน่าพึมพำในขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า


 


การที่เอลน่าพูดถึงผู้กล้าหาญนั้นถือเป็นเรื่องหายาก เขาเป็นคนที่มักจะออกเดินทางไปทั่ว โอกาสที่พวกเขาจะได้เจอกันมันไม่ค่อยมีตั้งแต่แรกแล้ว


 


“ผู้กล้าหาญพูดว่ายังไงหรอ?”


 


“ท่านบอกว่าสงครามผู้สืบทอดในครั้งนี้มันดูแปลกๆ”


 


“แปลกหรอ?”


 


“พูดให้เจาะจงก็คือ, ท่านหมายถึงการพัฒนาในช่วงนี้ จากมุมมองของท่านพ่อ, ครั้งนี้มันดูเลยเถิดเกินไป”


 


“เลยเถิดเกินไปหรอ?”


 


เขาหมายความว่ายังไงนะ?


 


ดูเหมือนว่าเอลน่าเองก็เข้าใจไม่หมดเหมือนกัน


 


เธอส่ายศรีษะในขณะที่ตอบคำถามของฉัน


 


“เขาบอกว่าองค์หญิงซานดร้ากับองค์ชายกอร์ดอนเปลี่ยนไปเยอะเลย”


 


“การที่พวกเขาปกปิดเอาไว้จนถึงตอนนี้มันไม่ใช่แค่เพราะในที่สุดธาตุแท้ของพวกเขาก็เผยออกมาแล้วหรอกหรอ?”


 


“ข้าเองก็บอกท่านไปแบบนั้นแต่ท่านพ่อบอกว่าเขาไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ต่อให้มันเป็นธาตุแท้ของพวกเขา, เขาบอกว่าทั้งคู่ก็น่าจะมีความสามารถในการอดกลั้นมันได้ดีกว่านี้”


 


“ผู้กล้าหาญรู้จักพวกเขามาตั้งแต่ยังเด็กนี่นะ บางทีเขาน่าจะรู้สึกว่ามันทำใจเชื่อได้ยากกับธาตุแท้จริงๆของพวกเขารึเปล่า?”


 


มันเป็นเรื่องทั่วไป ซึ่งสามารถเข้าใจได้ที่จะรู้สึกไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นเด็กดีๆกลายเป็นคนไม่ดี


 


แต่ว่า, ฉันคิดว่าผู้กล้าหาญน่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้มากกว่าฉันซะอีก


 


ถ้าเขาพูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรที่กระตุ้นความสงสัยของเขาแน่ๆ


 


“ข้าเองก็คิดแบบนั้น….แต่ท่านบอกว่าช่วงนี้, พวกเขาเลิกสนใจผลประโยชน์ของจักรวรรดิแล้ว ข้าเชื่อมั่นจนถึงตอนนี้ว่าผู้เข้าชิงทุกคนจะไม่มีวันทำแบบนั้น มันคงจะเป็นภัยพิบัติแน่ๆถ้าผู้สืบทอดมาทำลายจักรวรรดิซะเอง”


 


“นั่นสินะ ถ้าเจ้ามองแบบนั้นมันก็แปลกจริงๆนั่นแหล่ะ”


 


จะให้ตัดสินว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากพิษตามธรรมชาติของสงครามผู้สืบทอดมันก็ได้อยู่แต่ว่า…..


 


เอาไว้ถามท่านทวดคราวหลังแล้วกัน


 


เขาเป็นคนที่รู้ซึ้งถึงสงครามผู้สืบทอดมากที่สุดในหมู่พวกเรา เขาน่าจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็เอาเถอะ, ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะตอบฉันอย่างจริงจังรึเปล่า


 


“สำหรับตอนนี้ปล่อยไว้ก่อนแล้วกัน พวกเราไม่มีเวลามาคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาหรอก”


 


“นั่นก็จริง…..พวกเขาจับตามองพวกเราแล้ว”


 


พอพูดจบ, สายตาของเอลน่าก็เฉียบคมขึ้น


 


ตอนนี้พวกเรากำลังเดินทางตรงเข้าไปในป่า


 


แสดงว่าพวกเขาเริ่มสังเกตดูพวกเราตั้งแต่ป่าเลยสินะ พวกเขาค่อนข้างละเอียดจริงๆ


 


“เจ้าคิดว่าข้าจะโน้มน้าวพวกเขาได้หรอ?”


 


“มีความมั่นใจหน่อยสิ ถ้าเป็นเจ้าหล่ะก็ไม่เป็นไรแน่, อัล”


 


“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ….แต่พวกเขาเป็นอดีตอัศวินแห่งความยุติธรรมเลยไม่ใช่รึไง?”


 


“เพราะแบบนั้นยังไงหล่ะถึงไม่เป็นอะไร แถมข้าก็อยู่กับเจ้าด้วย ถ้าจนมุมเข้าจริงๆข้าจะล้มพวกเขาทุกคนเอง”


 


“แบบนั้นการเจรจาก็พังหมดหน่ะสิแล้วการที่ข้าดั้งด้นมาถึงที่นี่ก็จะไม่มีความหมายด้วย…..”


 


ในขณะที่กำลังถอนหายใจให้กับคำพูดของเอลน่า, รถม้าก็หยุดลง


 


ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาถึงแล้ว


 


ภาคีอัศวินเพียงหนึ่งเดียวในกองทัพจักรวรรดิ


 


ป้อมปราการนาร์เบ ริทเทอร์


 



 


มันคือปล้อมที่ให้ความรู้สึกเหมือนฐานทหาร


 


ฉันก้าวเท้าเข้าไปข้างใน


 


“พวกเขาน่าจะได้รับแจ้งการมาของพวกเราแล้วไม่ใช่หรอ……”


 


“ดูเหมือนว่าน่าจะยังแจ้งไปไม่ถึงพวกเขามั้ง”


 


นาร์เบ ริทเทอร์ที่อยู่ข้างในป้อมปราการนั้นแค่สังเกตดูพวกเราอย่างเดียวโดยไม่เข้ามาหา พวกเขาดูไม่เหมือนกับตั้งใจจะมาคุยกับพวกเราเลย


 


การถูกทหารจำนวนมากจ้องแบบนี้มันชวนให้รู้สึกไม่สบายใจเลยจริงๆ


 


“รู้สึกแย่ชะมัด”


 


“ไปเถอะหน่า”


 


“พวกเขายังไม่ส่งคนนำทางมาให้พวกเราเลยไม่ใช่หรอ?”


 


“พวกเขาน่าจะไม่มีตั้งแต่แรกแล้วหล่ะ”


 


ถ้าอยากดูก็ดูไป, ถ้าอยากตามหาใครซักคนก็จัดการด้วยตัวเอง


 


ด้วยเจตคติที่ได้มาจากพวกเขานี้, ฉันก็เริ่มเดินเข้าไปในป้อมปราการ


 


สิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างดี เนื่องจากพวกเขาเป็นหน่วยพิเศษที่จักรพรรดิสร้างขึ้น, แสดงว่าพวกเขาต้องได้รับงบประมาณเยอะแน่ๆ


 


ในตอนที่ฉันกำลังคิดเช่นนั้น, ฉันก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง


 


“ดูสิ, นี่มันเจ้าชายผู้โด่งดังนี่หน่า”


 


“นี่เขามาเที่ยมชมหรืออะไรประมาณนั้นหรอ?”


 


“นี่ถ้าไม่มีคนจากบ้านผู้กล้าหาญมาคอยคุ้มกันเขาก็มาเที่ยมชมคนเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำเนี่ยนะ ช่างน่าสมเพศจริงๆ”


 


ทหารสองคนชี้มาที่ฉันแล้วยิ้มเยาะ


 


ในตอนนั้นเอง, ฉันก็คว้าแขนของเอลน่าในทันที


 


มือขวาของเอลน่าได้ยื่นไปจับด้ามดาบแล้ว


 


“ปล่อยนะ”


 


“ข้าไม่สนหรอกเพราะฉะนั้นใจเย็นหน่อย”


 


“แต่ข้าสน…..เพราะฉะนั้นปล่อยได้แล้ว”


 


“ถ้าไม่ว่ายังไงก็อยากชักออกมาจริงๆก็ปล่อยวางซะไม่ดีกว่าหรอ?”


 


พอได้ฟังแบบนั้น, เอลน่าก็ปล่อยมือออกจากดาบด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเศร้าผสมโกรธ


 


ถ้าเธอดึงดาบออกมาที่นี่ก็จะทำให้เกิดความวุ่นวายและพวกเราก็ลืมเรื่องการเจรจาไปได้เลย


 


แต่พวกเขานี่ค่อนข้างไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงยังไงพวกเขาก็สามารถใจเย็นได้ในขณะที่มองเอลน่าตอนหงุดหงิด พวกเขาน่าจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเธอดีแต่ความกล้าหาญของพวกเขาที่กล้าเผชิญหน้าอย่างใจเย็นนั้นช่างน่าประทับใจจริงๆ


 


สมกับเป็นอดีตอัศวินที่แก้ไขการกระทำผิดของเจ้านายตัวเองสินะ


 


“อะไรกัน? องค์ชาย? ไม่มีคุณหนูจากบ้านผู้กล้าหาญคอยปกป้องจะไม่เป็นอะไรหรอครับ?”


 


“อัศวินของข้าหยาบคายเอง เธอเป็นอัศวินขนานแท้นี่นะ มันก็เป็นเรื่องปกติที่เธอจะโกรธถ้าเจ้านายถูกเยาะเย้ย เธอแตกต่างจากพวกที่ไม่ได้มีสำนึกความภัคดีพวกเจ้าไม่คิดแบบนั้นหรอ”


 


ในตอนที่ฉันยั่วยุด้วยน้ำเสียงที่ดังลั่น, บรรยากาศในป้อมปราการก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


 


ก่อนหน้านี้มันเป็นแค่การเยาะเย้ยเบาสมองแต่ตอนนี้ทั้งสถานที่เต็มด้วยความตึงเครียด


 


ไม่ว่าฉันจะคิดยังไง, คำที่ฉันพูดไปนั้นก็ล้ำเส้นมากไปหน่อย เอาเถอะ, ฝ่ายนั้นเป็นคนเริ่มก่อนนี่นะ


 


“นี่ท่านพยายามจะยั่วยุพวกเราหรอ?”


 


“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นฝ่ายที่พยายามจะทดสอบข้าไม่ใช่หรอ?”


 


“ถ้าแบบนั้นจะห้ามข้าทำไมตั้งแต่แรก?”


 


“ก็คนที่ถูกทดสอบคือข้านี่”


 


ในขณะที่พูดออกมาแบบนั้น, ทหารก็มาล้อมรอบพวกเรามาขึ้นเรื่อยๆ


 


พวกเขาทุกคนเป็นชายร่างกำยำ ซึ่งบ่งบอกได้ว่าพวกเขาฝึกฝนมาดีแค่ไหน, พวกเขาน่าจะสามารถฆ่าฉันได้โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์หรืออาวุธด้วยซ้ำ


 


“อะไรกัน? ตอนนี้โกรธกันแล้วหรอ?”


 


“ข้าว่าท่านถอนคำพูดเถอะ องค์ชาย”


 


“เรื่องความภัคดีอะหรอ? อัศวินแผลเป็นที่ทำให้ตราตระกูลของเจ้านายตัวเองมีบาดแผล ไม่คิดว่ามันเป็นคำที่ค่อนข้างเหมาะกับพวกเจ้าหรอ?”


 


พวกทหารที่ทนฟังคำเยาะเย้ยเช่นนี้ไม่ได้เข้ามาใกล้ขึ้น


 


ฉันถูกล้อมจนไม่มีทางออกแล้ว ความจริงที่ว่าพวกเขาแสดงท่าทีแบบนี้กับคนในราชวงศ์อย่างฉันได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีจิตใจที่แข็งแกร่งแค่ไหน


 


พวกเขาจะไม่มีวันก้มหัวให้คนที่พวกเขาไม่ยอมรับ นี่คือรูปแบบจิตใจที่พวกเขามี


 


เป็นพวกที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยนะเนี่ย


 


“องค์ชาย…..นี่ถือเป็นคำแนะนำสุดท้ายของพวกเรา ถอนคำพูดเถอะครับ”


 


“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าถอนคำพูดก็ใช้การกระทำแสดงให้ข้าดูซักหน่อยสิ พวกเจ้าเป็นคนที่เริ่มก่อนเองนะ อย่าบอกนะว่านาร์เบ ริทเทอร์ที่น่ายกย่องจะไม่มีปัญญาตอบโต้กลับทั้งๆที่เป็นคนเริ่มล้อเลียนคนอื่นหน้าตาเฉย?”


 


ฉันได้ยินเสียงกัดฟันของพวกเขา


 


ในตอนที่อัศวินหนุ่มคนนึงก้าวมาข้างหน้า, เสียงนึงก็ดังมาหาพวกเรา


 


“ผู้บัญชาการอัศวินอยู่ที่นี่แล้ว! หลีกทางซะ!”


 


ในตอนที่พวกเขาได้ยินเช่นนั้นทหารทุกคนก็หลบออกด้านข้างแล้วยืนตัวตรงในทันที


 


เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล่นใหญ่น่าดูเลยนะเนี่ย


 


อย่างไรก็ตาม, ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการอัศวินจะควบคุมพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์เลยสินะ


 


พวกทหารที่ดูกระฉับกระเฉงจนถึงตอนนี้เริ่มกระสับกระส่าย


 


จากนั้น, ชายคนนึงก็เดินมาหาพวกเราโดยใช้เส้นทางที่พวกทหารเปิดให้


 


เขาน่าจะอยู่วัยช่วงสามสิบกลางๆสินะ เขาเป็นชายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของผู้ใหญ่ ใบหน้าของเขานั้นงดงามเหมือนกับรูปปั้นหินที่สลักโดยศิลปิน


 


ชายคนนั้นมองฉันด้วยรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว


 


รอยยิ้มของเขานั้นเหมือนกับพึ่งเจอสิ่งที่น่าสนใจ


 


“ที่ข้าไม่ได้หยุดพวกเขาก็เพราะข้าคิดว่าเจ้าเป็นแค่เจ้าชายที่มาเยี่ยมแค่เดี๋ยวเดียวข้าก็เลยคิดว่าจะให้ลูกน้องไล่เจ้าออกไปซะ โปรดอภัยให้ข้าด้วย”


 


ในขณะที่พูด, ชายคนนั้นก็ทำความเคารพ


 


จากนั้นทหารทุกคนก็เคารพฉันตามเขา


 


“ข้าคือพันเอกลาส ไวเกิล, ผู้บัญชาการแห่งนาร์เบ ริทเทอร์ โปรดอภัยให้ความหยาบคายของลูกน้องข้าด้วย, องค์ชายอาร์โนลด์”


 


“ไม่หรอก, ถือว่าเป็นศักยภาพที่น่าสนใจใช้ได้เลยครับ, ท่านพันเอก ถ้าเอลน่าไม่ได้อยู่กับข้า, ข้าคงจะหนีไปแล้ว”


 


“ได้โปรด, อย่าล้อเล่นเลยครับ คนขี้ขลาดหน่ะข้ามองแค่ปาดเดียวก็รู้แล้ว, องค์ชาย มาเถอะ, เชิญทางนี้ครับ พวกเราชักสนใจสิ่งที่ท่านอยากจะพูดแล้วสิ”


 


นี่คือการพบกันของฉันกับอัศวินแผลเป็น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม