Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi 98-101
ตอนที่ 98
“ครั้งนี้ก็โชคไม่ช่วย”
“งั้นหรอ……”
“ขอประทานโทษด้วยครับ”
ซิกกับเซบาสรายงานหลังจากที่พวกเขากลับมาในตอนรุ่งสาง
มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขา เมื่อคืนที่ผ่านมาพวกเขาได้ออกค้นหาตามสถานที่ที่ฉันชี้แนะ ฉันเจอพื้นที่ช่องโหว่วหลังจากที่คำนวณข้อมูลย้อนกลับแล้วสั่งให้พวกเขาออกค้นหาแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังนำหน้าพวกเราอยู่ก้าวนึง
“แสดงว่าพวกเราด้อยกว่าในการต่อสู้ด้วยสมองสินะ”
“ตราบใดที่พวกเราเป็นฝ่ายที่ต้องเคลื่อนไหวก่อน, พวกเราก็จะเสียเปรียบครับ”
เซบาสพูดแบบนั้นเพื่อปลอบโยนฉันแต่ฉันก็อดรู้สึกผิดหวังกับความล้มเหลวนี้ไม่ได้
ถ้าพวกเราไม่เจอเธอก็หมายความว่าศัตรูของเรายังไม่เจอเธอเหมือนกัน นี่เป็นความโชคดีแต่ก็เป็นความโชคร้ายในเวลาเดียวกัน
แม้ว่าเมืองหลวงจักรวรรดิจะกว้างขวาง, แต่มันก็ยังมีขีดจำกัด, ไม่ว่าเธอจะหนีได้เก่งแค่ไหน, สุดท้ายแล้วเธอก็จะถูกต้อนจนมุม ซึ่งก่อนที่เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้น, มันคงจะดีกว่าถ้ารีเบคก้าเลือกติดต่อลีโอแต่การขาดการติดต่อมาจนถึงตอนนี้ก็แสดงว่าเธอไม่สามารถเข้าหาเขาได้
“ฮื่มม……ข้าควรล้มเลิกการสอดส่องรอบตัวลีโอดีไหมนะ?”
“ทำจริงคงไม่ได้หรอก เธอไปหลบอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้และถ้ามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นน้องชายของเจ้าหนูก็จะโดนจำกัดการเคลื่อนไหวเอาไม่ใช่หรอ?
“ถูกต้องครับ ตราบใดที่พวกเรามีปัญหาในการกำจัดการตรวจสอบของฝ่ายอื่น, การถอดออกก็ไม่ใช่แผนที่ดี”
ฉันพยักหน้าให้กับความคิดเห็นของพวกเรา
ถ้าเขาไปเจอเรื่องวุ่นวายในเมือง, แล้วจัดการได้ไม่ดี, ท่านพ่อก็คงจะเข้ามาจัดการ
ช่วงนี้ในจักรวรรดิมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายและลีโอก็ได้รับการคาดหวังอย่างสูงในฐานะเจ้าชายผู้กล้า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาจักรวรรดิก็จะสั่นคลอนอย่างแน่นอน
“ช่วยไม่ได้หล่ะนะ พวกเราต้องดำเนินต่อไปเหมือนเดิม”
“ดูเหมือนจะมีแค่วิธีนี้นั่นแหล่ะครับ”
“….เซบาส ข้าจะไปข้างนอกนะ ฝากเรื่องวิเคราะห์ข้อมูลกับเจ้าด้วย”
“ต้องการผู้ติดตามไหมครับ?”
“ไม่ ข้าอยากออกไปทำหัวให้โล่งซักหน่อย”
“เจ้าทำหัวให้โล่งด้วยการไปเดินเล่นในเมืองเนี่ยนะ? ช่างเป็นเจ้าชายที่แปลกจริงๆ”
พอได้ยินซิก, เซบาสก็ยิ้มออกมา
นี่คือสิ่งที่เหมือนกับงานอดิเรกสำหรับฉัน การเดินเล่นในเมืองเหมือนสามัญชนนั้นทำให้ฉันได้เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาและเป็นอิสระจากบรรยากาศที่ตึงเครียดทั้งหลาย
“แต่ออกไปโดยไม่มีผู้ติดตามมันจะเป็นปัญหาเอาได้นะครับ”
“จะไม่เป็นอะไรจริงๆหรอ? ตอนนี้น้องชายของเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์ไม่ใช่รึไง?”
“ไม่มีใครสนใจเพ่งเล็งเจ้าชายไร้ค่าหรอกหน่า แถมยิ่งตอนนี้, คงไม่มีใครโง่พอที่จะพุ่งเป้ามาที่ข้าด้วย ลีโอยังสืบสวนขุนนางทางใต้อยู่ ถ้ามีคนเพ่งเล็งข้ามันก็เหมือนเป็นอุปสรรคในงานของเจ้านั่น และถ้าเป็นแบบนั้นท่านพ่อก็จะยิ่งอยากสืบสวนเรื่องทางใต้หนักขึ้นและพวกที่เพ่งเล็งข้าก็จะเป็นฝ่ายที่เจอปัญหาแทน”
“แบบนั้นคงไม่เป็นไรหล่ะนะ แต่ระวังตัวด้วยเข้าใจไหม?”
ซิกไม่รู้ว่าฉันเป็นซิลเวอร์
แม้ว่าเขาอาจจะรับรู้ได้ถึงพลังการต่อสู้ของฉัน, แต่เขาก็ยังมองว่าฉันไร้พลังดังนั้นความเป็นห่วงของเขาจึงมาจากใจจริง
จริงๆแล้ว, ซิกเองก็เป็นคนใจดีสินะ
“ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้แล้วกัน”
พอพูดจบ, ฉันก็บอกลาพวกเขาแล้วออกไป
….
“คุณป้า, อันนี้เท่าไหร่?”
“อันนี้หรอ? สองเหรียญนากจักรวรรดิ”
“สองเหรียญนากหรอ? ไม่แพงไปหน่อยหรอ?”
ฉันชี้ไปยังผลไม้สีแดงแล้วถาม ฉันจำได้ว่าปกติมันราคาแค่เหรียญเดียว
เหรียญจักรวรรดิคือสกุลเงินที่ใช้กันทั่วจักรวรรดิและเป็นสกุลเงินที่มีอัตราหมุนเวียนมากที่สุดจากทั่วทั้งทวีป
มูลค่าที่ตำที่สุดก็คือเหรียญทองแดงจักรวรรดิ ส่วนเหรียญนากนั้นมีค่ามากกว่าทองแดงสิบเท่าและเหรียญเงินกก็มากกว่าเหรียญนากสิบเท่าโดยเป็นลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ
จากมูลค่าต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุดก็คือเหรียญทองแดง, เหรียญนาก, เหรียญเงิน, เหรียญเงินขาว, เหรียญทอง, เหรียญทองคำขาว, และเหรียญรุ้ง
มีเหรียญทองคำขาวกับเหรียญรุ้งหมุนเวียนอยู่ในระบบไม่มากนัก ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่ามันสามารถใช้ได้แค่สำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างพ่อค้าด้วยกันหรือไม่ก็ประเทศ
โดยปกติแล้ว, รายได้ต่อเดือนของประชาชนในเมืองหลวงจักรวรรดิจะอยู่ที่ประมาณ 7 ถึง 8 เหรียญเงิน อย่างมากที่สุด, ค่าเงินหลักที่หมุนเวียนในกลุ่มประชาชนทั่วไปก็คือเหรียญทอง
“ขอโทษนะจ้ะ ช่วงนี้มีปัญหาเกิดขึ้นไปทั่วเลยใช่ไหมหล่ะ? เพราะอย่างนั้นการหมุนเวียนสินค้าก็เลยติดขัดไปหมดเลย”
“อย่างนี้นี่เอง เข้าใจหล่ะ ถ้างั้นข้าขอสองลูกนี้แล้วกัน”
“ได้จ้ะ รวมทั้งหมดก็สี่เหรียญนะ”
ฉันเอาเหรียญนากสี่เหรียญออกมาจากถุงเงินที่ห้อยเอาไว้ที่เอวของฉันแล้วส่งให้เธอ
จากนั้นฉันก็รับผลไม้มาจากเธอสองลูกแล้วเดินเล่นในเมืองต่อในขณะที่กินพวกมัน
เมืองมีชีวิตชีวาดี อย่างไรก็ตาม, ราคาสินค้ากำลังเพิ่มขึ้นเพราะเหตุการณ์ใหญ่ๆอย่างวิกฤติมอนส์เตอร์หรือเหตุการณ์ทางใต้
“ต้นเหตุก็คือสงครามผู้สืบทอดสินะ”
ฉันถอนหายใจแล้วพึมพำออกมา
มันไม่ใช่สิ่งที่คนซึ่งเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดอย่างจริงจังแบบฉันจะบ่นได้ ยิ่งไปกว่านั้น, ฉันไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเงินเอาชีวิตรอด นี่มันช่างน่าขำจริงๆ
รายได้ต่อเดือนของประชาชนอยู่ที่ประมาณ 7 ถึง 8 เหรียญเงินแต่ราชวงศ์ได้รับเงินเดือนละอย่างน้อย 3 เหรียญทองเป็นเงินสนับสนุนอยู่แล้ว คนทั่วไปคงไม่มีเงินถึงขนาดนั้นต่อให้รวมเงินเดือนสำหรับทั้งสามเดือนแล้วก็ตาม
สำหรับเจ้าชาย, ยิ่งมีผลงาน, ก็ยิ่งได้มากและถ้าเอาตัวเองไปรับตำแหน่ง, ก็จะได้เงินเดือนมากขึ้นไปอีก
เหรียญทองที่ฉันให้ลินเฟียไปนั้นคือเงินสนับสนุนในส่วนของสิบปี จำนวนทั้งหมดของมันน่าจะอยู่ที่ประมาณสามเหรียญรุ้ง ซึ่งเงินขนาดนี้จำเป็นสำหรับการออกเรดเควส มันคือราคาที่เทียบเท่ากับจำนวนเงินในการเสนอชื่อนักผจญภัยแรงค์ SS ทำการกิจ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ลินเฟียรู้สึกปลาบปลื้ม
ส่วนซิลเวอร์นั้นในหมู่นักผจญภัยแรงค์ SS ถือว่าค่อนข้างให้ความร่วมมือกับกิลด์ ด้วยการที่ฉันยอมรับคำขอโดยตรงจากกิลด์, จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการเสนอชื่อ
เหตุผลที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะฉันรู้สึกไม่ดีที่ต้องรับค่าธรรมเนียมการเสนอชื่อแม้ว่าฉันจะได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากในฐานะเจ้าชายอยู่แล้ว
“แต่ถ้าทำโดยไม่รับเงินเลยก็คงจะดูเสแสร้งไปหล่ะนะ…..”
ในขณะที่พึมพำออกมา, ฉันก็เห็นเด็กสาวคนนึงกำลังทำสีหน้าลำบากใจอยู่ตรงแผงขายของที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ผมสีม่วงอ่อนของเธอเป็นที่น่าจับตามองแต่สิ่งที่ดูสะดุดตามากกว่าสำหรับฉันก็คือลักษณะเฉพาะของเธอ
หูของเด็กสาวยาวออกมาเล็กน้อย, มันคือลักษณะของครึ่งเอลฟ์ เสื้อผ้าของเธอมีฮู้ดคลุมอยู่ด้วย, เธอน่าจะใช้ซ่อนหูเอาไว้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม, ดูเหมือนว่าพ่อค้าจะรู้เข้าและเธอก็กำลังต่อล้อต่อเถียงกับเขาอยู่
“ก่อนหน้านี้บอกว่าสองเหรียญเงินไม่ใช่หรอ!”
“หนวกหู! สำหรับครึ่งเอลฟ์มันคนละเรื่องกัน! ถ้าเจ้าอยากได้ก็จ่ายมาสองเหรียญเงินขาวซะ!”
ถุงของเด็กสาวเต็มไปด้วยอาหารดังนั้นวันนี้เธอน่าจะออกมาจ่ายตลาด
ดูเหมือนว่าฮู้ดคลุมของเธอจะตกลงมาในตอนที่กำลังจ่ายเงิน
จักรวรรดิเป็นประเทศที่ยอมรับกึ่งมนุษย์ต่างๆนาๆ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการเลือกปฏิบัติที่นี่ ฉันได้ยินมาว่าการที่ได้เจอพ่อค้าที่เต็มใจขายสินค้าให้พวกเขาก็ถือว่าเป็นโชคดีสำหรับผู้อพยพแล้ว ในกลุ่มพวกเขา, ดูเหมือนว่าครึ่งเอลฟ์จะไม่สามารถทำแบบนั้นได้ด้วยซ้ำ พวกเขาถูกเกลียดถึงขนาดนั้น
ไม่ใช่แค่มนุษย์พวกเอลฟ์เองก็ไม่ต่างกัน, เอลฟ์ไม่ชอบมนุษย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว, แต่พวกเขาเกลียดครึ่งเอลฟ์ยิ่งกว่าเพราะมีสายเลือดของพวกเขาผสมอยู่ด้วย
มนุษย์มีอคติกับครึ่งเอลฟ์เพราะแตกต่างจากพวกเขาและพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงครึ่งเอลฟ์ที่มลักษณะคล้ายกับเอลฟ์มาก
การที่ทำให้เรื่องมันเป็นปัญหามากขึ้นแบบนี้, ดูเหมือนว่าพ่อค้าคนนี้แต่เดิมแล้วคงไม่ใช่คนของจักรวรรดิ เขาน่าจะมาจากที่อื่น
ฉันเข้าใจเรื่องนั้นจากเสียงกระซิบของผู้คนที่อยู่รอบๆ
“อุตส่าห์ออกมาเดินเล่นเพื่อทำหัวให้โล่งหน่อยแท้ๆ……”
มีหลายคนที่รู้สึกสงสารเธอแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
มันเป็นเรื่องยุ่งยากดังนั้นพวกเขาจึงแค่ทำเป็นมองไม่เห็นเธอสินะ
หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย, เด็กสาวก็ตัดใจแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นเธอก็ส่งถุงอาหารกลับไปให้พ่อค้า
“เดี๋ยวก่อนสิ”
นี่มันก็แค่การทำไปตามอำเภอใจ
ฉันไม่ชอบสิ่งที่เห็นและมันคงจะรู้สึกไม่ดีถ้าปล่อยเธอไปแบบนี้
แถมฉันนอนไม่พอด้วยดังนั้นจึงหลุดทำแบบนี้ไปได้ง่ายๆ
ฉันเรียกพ่อค้ากับเด็กสาว
จากนั้น, ฉันก็คว้าถุงมาจากพ่อค้าแล้วเอาเงินสองเหรียญเงินขาวยัดใส่มือเขา
“พอรึยัง?”
“เอ๊ะ? อา, เอ่อ…..”
“ต้องการเท่าไหร่? เจ้าอยากได้อย่างน้อยหนึ่งเหรียญทองเลยไหมถึงจะทำตัวเป็นมิตรกว่านี้?”
“อ, อะไรของเจ้าเนี่ย! เจ้ามาจากไหนกัน! นี่มันเป็นปัญหาของข้าเข้าใจไหม!”
“ที่นี่คือจักรวรรดิ พวกเราเปิดรับกึ่งมนุษย์ทุกคน”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย! ถึงยังไงครึ่งเอลฟ์ก็ไม่ใช่ทั้งมนุษย์หรือกึ่งมนุษย์อยู่แล้ว!”
“พอแค่นั้นเถอะ ข้าจ่ายให้แล้ว ตอนนี้พวกเราจะไปกันแล้วโอเคไหม?”
“ไม่! ถ้าเจ้าอยากได้จริงๆก็จ่ายมาหนึ่งเหรียญทอง!”
พ่อค้าเผยรอยยิ้มน่ารังเกียจออกมา
เขาน่าจะอยากหาประโยชน์จากฉันเพราะคิดว่าฉันเป็นคนดีสินะ
ช่างโง่จริงๆ
คนอ่อนแอเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่ง, มันคงจะชัดเจนสำหรับผู้คนที่มีความยุติธรรมว่าเขาพยายามจะหาประโยชน์จากฉัน
ด้วยการแสดงอำนาจข่มขู่ที่ชัดเจนแบบนี้, เสียงนินทารอบตัวพวกเราจึงดังขึ้นแต่พ่อข้าก็ยังคงแหกปากพูดต่อ
“พวกเจ้าทุกคนเงียบไปเลย! ช่วงนี้การหมุนเวียนอาหารในจักรวรรดิของเจ้ากำลังติดขัด! ข้าอุตส่าห์ดั้งด้นเอาอาหารมาให้ถึงที่นี่ไม่เห็นรึไง!? มันคงจะไม่คุ้มกับความลำบากของข้าเลยถ้าข้ายังเลือกลูกค้าที่อยากขายให้ไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
พอพูดจบพ่อค้าก็ยื่นมือมาที่ถุงอาหารของเด็กสาว
ฉันคว้ามือของเขาแล้วจ้องพ่อค้าตาเขม็ง
แค่นอนไม่พอมันก็ทำให้ฉันหงุดหงิดอยู่แล้วแต่นี่มันยิ่งทำให้หงุดหงิดขึ้นไปอีก
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าพล่ามไปมากกว่านี้อีกแล้วนะ”
พอพูดจบ, ฉันก็ใช้มือที่ว่างอยู่หยิบเหรียญทองออกมา
พ่อค้ายิ้มแล้วยื่นมือมาที่เหรียญทอง
ในตอนนั้นเอง, ก็มีเสียงดังมาจากนอกวง
“นี่!? เกิดอะไรขึ้นที่นี่เนี่ย!?”
เจ้าหน้าที่จากการ์ดเมืองพูดในขณะที่เขาฝ่าฝูงชนเข้ามาที่นี่
เขาน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน
“ไม่มีอะไรหรอกครับ, คุณเจ้าหน้าที่ ข้าพึ่งจะปิดการซื้อขายกับเขาเสร็จ ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ”
“ปิดการซื้อขายหรอ….?”
จากนั้นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนก็มองมาที่ฉัน
ดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่ทำความเคารพด้วยความตื่นตระหนก
“อ, องค์ชายอาร์โนลด์!?”
“รู้จักข้าด้วยหรอ?”
“ค, ครับ, องค์ชาย! ข้า, ข้าอยู่ฝ่ายสนับสนุนองค์ชายลีโอนาร์ดครับ”
พอพูดจบ, เขาก็ปรับท่ายืนให้ถูกต้อง
จากวิธีที่เขาพูด, ดูเหมือนว่าเขาจะมาจากขุมอำนาจของลีโอหรือไม่ก็มีความเกี่ยวข้องบางอย่าง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะเนียนเป็นลีโอที่นี่
แถมตอนนี้ลีโอออกไปนอกเมืองด้วย, จะให้เนียนก็คงไม่ไหวหล่ะนะ
“เจ้ามาได้เวลาพอดี ขอถามหน่อยสิ, การขึ้นราคาสินค้าแค่เพราะลูกค้าเป็นครึ่งเอลฟ์นี่มันไม่เป็นอะไรหรอ?”
“บ, แบบนี้มันยกโทษให้ไม่ได้แล้ว! จักรวรรดิของเราเปิดรับทุกเผ่าพันธ์และพ่อค้าก็ต้องรับปากว่าจะทำการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมเพื่อให้ได้รับการอนุญาติในการทำธุรกิจในเมืองหลวงจักรวรรดิครับ, องค์ชาย!”
“ถ้างั้นก็ริบใบอนุญาตของไอ้หมอนี่ซะ เมื่อสักครู่นี้เขาขึ้นราคาไปตั้งสองเท่า ถ้าเจ้าไม่จับเขา, ลีโอจะโกรธเอาได้นะรู้ไหม?”
“ค, ครับ! ทราบแล้วครับ!”
“ด, เดี๋ยวก่อนสิ! ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าชาย! อ, องค์ชาย! โปรดอภัยให้ข้าด้วย!”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้ซักหน่อย เจ้าไม่ได้ถูกจับเพราะทำตัวไม่ดีกับข้า มันเป็นเพราะเจ้าทำผิดกฏต่างหากหล่ะ ที่นี่คือจักรวรรดิ เก็บเหรียญทองเอาไว้เถอะ ถือซะว่าเป็นค่าเรียนก็แล้วกัน”
พอพูดจบ, ฉันก็คว้ามือเด็กสาวแล้วออกไป
ฉันอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
หลังจากเดินไปได้ซักพัก, เสียงก็ดังมาจากข้างหลังฉัน
“เอ่อ, คือว่า…มือหน่ะ….”
“หืม? อ้ะ, ขอโทษที”
พอพูดจบ, ฉันก็ปล่อยมือเธอ
ถึงยังไงการจับมือสาวที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อก็ถือว่าเสียมารยาทแหล่ะนะ
ในตอนที่ฉันขอโทษ, เด็กสาวก็ส่ายศรีษะแล้วเผยรอยยิ้มสดใสให้กับฉัน
“ไม่หรอกค่ะ, ขอบคุณที่ช่วยข้าเอาไว้ อ้ะ, ไม่ใช่สิ เป็นพระคุณมากเลยค่ะ, องค์ชาย”
“ตอนนี้ข้ามาเดินเล่นแบบไม่เปิดเผยตัวตน มันจะดีกว่านะถ้าเจ้าพักเรื่องพวกนั้นเอาไว้ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรหล่ะ?”
บางทีฉันน่าจะพูดตรงเกินไปดวงตาของเด็กสาวจึงเบิกกว้าง
จากนั้นเธอก็ยิ้มแล้วยื่นมือขวาออกมา
“ก็ได้ค่ะ ข้ามีชื่อว่าโซเนีย โซเนีย ลาสเปด อย่างที่ท่านเห็น, ข้าเป็นครึ่งเอลฟ์ค่ะ”
“ข้าไม่ถือเรื่องนั้นหรอก ข้าอาร์โนลด์ จะเรียกว่าอัลก็ได้”
“อื้ม! ถ้างั้นจะเรียกว่าอัลคุงนะ!”
และนี่ก็คือการพบกันของฉันกับโซเนีย
ตอนที่ 99
“อัลคุงออกมาเดินลาดตระเวนหรอ?”
“ก็นะ, ประมาณนั้นแหล่ะ”
หลังจากออกมาจากร้านนั้น, ฉันก็เดินไปตามถนนด้วยกันกับโซเนีย
ซึ่งนี่เป็นเพราะโซเนียยังต้องเดินจ่ายตลาดต่อ
นอกจากนี้, เพื่อไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับปัญหามากกว่านี้, ฉันจึงขอให้โซเนียสวมฮู้ดเอาไว้และให้ฉันเป็นคนซื้อของที่จำเป็นให้เธอ
“ประมาณนั้นหรอ?”
“ข้าแค่มาพักหายใจแถวนี้หน่ะ ช่วงนี้หัวข้าตันๆคิดอะไรไม่ค่อยออก”
“เพราะงั้นขอบตาก็เลยดำแบบนั้นสินะ?”
“อืม, ก็นะ”
ฉันเอามือไปจับที่ใต้ตาของฉัน
ฉันไม่ทันรู้ตัวเลยเพราะไม่ได้ดูกระจกแต่หน้าของฉันคงจะซีดด้วย ถึงยังไงช่วงนี้ฉันก็อยู่ตลอดทั้งคืนเลย
“เจ้ากำลังจัดการงานที่ยุ่งยากอยู่สินะ?”
“ข้าดูเหมือนคนแบบนั้นหรอ? ผู้คนที่นี่เรียกข้าว่าเจ้าชายไร้ค่านะรู้รึเปล่า?”
“เจ้าชายไร้ค่าหรอ?”
“เจ้าไม่รู้หรอ? ข้าเป็นเจ้าชายที่ถูกน้องชายฝาแฝดดูดด้านดีๆไปหมด, เจ้าชายไร้ค่าที่เป็นตัวตลกแห่งเมืองหลวงจักรวรรดิยังไงหล่ะ”
ไม่มีใครในเมืองหลวงจักรวรรดิที่ไม่รู้จักชื่อเสียงของฉัน
การที่พูดแบบนี้ก็หมายความว่าเธอมาจากข้างนอก
เอาเถอะ, เธอก็ดูไม่เหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อยู่แล้วแถมเหมือนนักเดินทางมากกว่าด้วย
“ก็อย่างที่เห็นข้าไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวงจักรวรรดิ แต่ว่าอัลคุงถูกคนพูดแบบนั้นจริงๆหรอ? เจ้าหน้าที่เมื่อสักครู่นี้ก็ดูเคารพเจ้าดีไม่ใช่รึไง?”
“มันเป็นเพราะน้องชายของข้าคือหนึ่งในผู้มีสิทธิได้ครองบัลลังก์หน่ะ เจ้าหน้าที่คนนั้นมาจากขุมอำนาจของน้องชายข้าเขาก็เลยทำแบบนั้นเพื่อภาพลักษณ์ มันไม่มีทางที่เขาจะเคารพข้าจากใจจริงหรอก”
ฉันมองท้องฟ้าในขณะที่พูดออกมาแบบนั้น
ยกเว้นเหล่าคนที่ฉันสามารถเรียกได้ว่าสนิท, นี่มันถือเป็นเรื่องปกติ ก่อนหน้านี้ฉันได้ทำสิ่งที่สมกับเป็นราชวงศ์ไปแต่เรื่องแบบนั้นก็ถูกมองแค่เป็นเรื่องธรรมดา และถ้าเกิดการที่ฉันขอยืมความช่วยเหลือจากการ์ดเมืองถูกมองในแง่ลบมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย
ผู้คนคงจะบอกว่าถ้าฉันเป็นราชวงศ์ก็ควรทำตัวให้เหมาะสมตั้งแต่แรกแล้วสิ, ชื่อเสียงในแง่ไม่ดีของฉันมันใหญ่เกินไปแล้ว ผู้คนจะไม่เปลี่ยนเจตคติที่มีต่อฉันแค่เพราะฉันทำเรื่องดีๆในช่วงนี้
ต่อให้ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้จะมองฉันในด้านดี, แต่มันก็อยู่แค่ชั่วคราว มันไม่ส่งผลกับเจตคติโดยรวมของผู้คนที่มีต่อฉัน
เจตคติเช่นนี้และฉายาเจ้าชายไร้ค่าจะไม่จางหายไปเว้นเสียแต่ว่าฉันได้สร้างความสำเร็จครั้งใหญ่
ฉันไม่ได้สนใจหรอกว่ามันจะหายไปรึเปล่าและฉันก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำให้มันหายไปด้วย ในอดีตมันอาจจะสะสางไปได้ง่ายๆแต่ตอนนี้มันทับถมมามากเกินไปแล้ว
“ถูกทำแบบนี้นี่ เจ้าไม่รู้สึกแย่หรอ?”
“ข้าไม่รู้สิ พูดตามตรง, ข้าชินไปแล้วหล่ะ”
“งั้นหรอ…..แสดงว่าพวกเราคล้ายกันสินะ”
โซเนียพูดแบบนั้นออกมาในขณะที่สัมผัสหูของเธอ
หูที่ยาวครึ่งๆกลางๆ, คือสัญลักษณ์ของครึ่งเอลฟ์
โซเนียต้องถูกกดขี่มาเยอะเพราะมันแน่ๆ ไม่มีทางที่สภาพแวดล้อมรอบตัวเธอจะเหมือนกับฉัน
ของฉันมันเป็นเพราะผลลัพธ์จากการกระทำของฉันในขณะที่ของโซเนียมันเป็นเพราะชาติกำเนิด
“พวกเราไม่เหมือนกันซักหน่อย ถ้าเจ้าชินกับมันแล้วก็แสดงว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าจริงๆ เป็นข้าคงทนไม่ไหวหรอก ไม่ว่าจะยังไง, ข้าก็ยังเป็นเจ้าชายอยู่ดี…..ข้าถูกสายเลือดของตัวเองคอยปกป้องตั้งแต่ตอนที่ข้าเกิดแล้ว”
“งั้นหรอ…..แต่พอได้ยินแบบนี้มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าเจ้าเกลียดการเป็นเจ้าชายยังไงไม่รู้สิ?”
“ใช่ข้าเกลียด ทั้งฐานะนี้และตัวข้าเองที่ยอมรับมัน ถ้าข้าทิ้งมันไปได้ข้าก็คงจะยินดีมากเลย ข้ารู้ว่ามันดูเอาแต่ใจที่คิดแบบนี้ ซึ่งมันก็คือสาเหตุที่ข้าเกลียดตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ความปราถนาที่อยากจะใช้ชีวิตตามความต้องการนั้นมาจากเรื่องนี้
เหมือนกับคนปกติที่ชื่นชมในบางสิ่งพิเศษ ฉันโหยหาความรู้สึกเช่นนั้น
มันจะดีแค่ไหนกันนะถ้าฉันเริ่มต้นชีวิตกับครอบครัวธรรมดาในบ้านธรรมดาแทนที่จะเป็นปราสาท
ฉันอยากใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนคนปกติที่นี่ แต่ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ทำแบบนั้น ต่อให้ฉันทิ้งตำแหน่งในฐานะเจ้าชายไป, สายเลือดก็จะไม่มีทางปล่อยฉันไป ท่านพ่อของฉันน่าจะให้ฉันแต่งงานเข้าบ้านขุนนางซักที่โดยไม่ปราณีแน่ๆ
สายเลือดราชวงศ์นั้นทรงอำนาจ มีคนเก่งๆมากมายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก มันให้กำเนิดคนที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่งอย่างฉันหรือซานดร้า, คนที่มีพรสวรรค์ในด้านทักษะดาบและศิลปะการต่อสู้เหมือนท่านพี่ลีเซหรือกอร์ดอน, และยังรวมถึงคนที่เก่งหลายอย่างเหมือนลีโอ
มันคือผลลัพธ์จากการที่พวกเราสืบทอดสายเลือดอันยอดเยี่ยมมายุคต่อยุค ตอนนี้, สายเลือดของราชวงศ์จักรวรรดินั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะปล่อยไปง่ายๆแล้ว
“งั้นหรอ ถ้างั้นพวกเราก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ ข้าเองก็เกลียดชาติกำเนิดของตัวเองเหมือนกัน ข้าไม่ต้องการสายเลือดเอลฟ์ในตัวข้า ข้าแค่อยากใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่อนุญาตให้ข้าทำได้”
“…….ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีจุดที่คล้ายกันแปลกๆยังไงไม่รู้นะ”
“นั่นสินะ เอาเถอะ, ยังไงข้าก็ได้รับสิ่งที่พวกเขาให้มาแล้ว มันอาจจะลำบากในตอนที่ข้ายังเด็กแต่ข้าก็สามารถผ่านมันมาได้เพราะผู้คนใจดีที่อยู่รอบตัวข้า พวกเขาเป็นคนใจดีเหมือนกับอัลคุงนั่นแหล่ะ…….แต่ในตอนที่ข้าออกมาข้าก็ยังถูกกดขี่อยู่ดีหล่ะนะ”
พอพูดจบ, โซเนียก็ยิ้มออกมา
มันคือรอยยิ้มที่ทั้งสดใสและน่ารัก อาการนอนไม่พอและความคิดในแง่ลบของฉันสดใสขึ้นแค่เพราะได้เห็นมัน
นึกไม่ถึงเลยว่าฉันจะสดชื่นขึ้นแค่เพราะได้เห็นรอยยิ้มของเด็กสาวที่พึ่งได้เจอกันวันนี้
“ขอบใจนะ ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้วหล่ะ”
“แต่ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ?”
“รอยยิ้มของเจ้าสวยมากเลย”
ในตอนที่ฉันบอกความรู้สึกจริงๆออกไป, โซเนียก็น่าแดงขึ้นมา
พอเห็นเธอเป็นแบบนี้ฉันก็หัวเราะเธอแล้วโซเนียก็ขมวดคิ้วใส่ฉัน
“จ, เจ้าแกล้งข้านี่……”
“เปล่าซะหน่อย เจ้าทำให้ข้ารู้สึกสดชื่นขึ้นมาอีกครั้งจริงๆ”
“ให้ตายเถอะ…..นี่เจ้าพูดแบบนี้กับผู้หญิงตลอดเลยใช่ไหมหล่ะ?”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้าหล่ะนะ”
“อัลคุงนี่มีพรสวรรค์ในด้านการจีบผู้หญิงจังเลยนะ……”
“ก็นะ, ขอบใจ”
ฉันเดินต่อพลางหัวเราะไปด้วย
การคุยกับโซเนียนี่สนุกจริงๆ ส่วนนึงคงเป็นเพราะว่าโซเนียค่อนข้างมีสัมผัสที่ไวต่อความรู้สึกในด้านการรักษาระยะระหว่างผู้คน
เธอมักจะสังเกตคู่สนทนาอยู่บ่อยๆและตอนนี้เธอก็รู้ว่าฉันกำลังอารมณ์ดี บางทีเธอน่าจะทำไปโดยไม่รู้ตัว
มันเป็นความคิดอันน่าเศร้าที่สภาพแวดล้อมที่เธอใช้ชีวิตอยู่นั้นหล่อหลอมให้เธอทำมันแต่ตอนนี้ฉันก็รู้สึกยินดีกับมันจริงๆ
การสนทนาที่รักษาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ให้โกรธได้ตลอดเวลานั้นถือว่ายอดเยี่ยมมาก
“ว่าแต่, ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลยว่าทำไมถึงนอนไม่พอ เจ้าเล่นอะไรถึงนอนจนดึกดื่นขนาดนั้นหรอ?”
“เล่นหรอ?”
“ข้าพูดผิดหรอ? มันไม่ใช่แบบนั้นสินะ?”
“อ่า, ก็นะ มันคือการเล่นรูปแบบนึงนั่นแหล่ะ ข้าทำสิ่งที่เหมือนกับการเล่นคลายปริศนา แต่ข้าไม่สามารถแก้มันได้ช่วงนี้ข้าก็เลยนอนไม่พอ”
“เพราะงั้นเจ้าก็เลยอารมณ์ไม่ดีสินะ?”
“ข้าดูอารมณ์ไม่ดีหรอ?”
“ตอนนี้ไม่ใช่หรอกแต่ตอนแรกที่เจอเจ้าที่ร้านเจ้าดูหงุดหงิดมากๆเลยหล่ะ”
“ก็นะ, แต่ส่วนนึงก็เพราะพ่อค้าคนนั้นแหล่ะ”
แต่มันไม่ใช่แค่เพราะเรื่องนั้น
ฉันอารมณ์ไม่ดีอยู่จริงๆ
หงุดหงิดเพราะตัวเองไม่สามารถหาคำตอบในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อได้
“คนที่ให้ปริศนาเจ้าต้องเป็นตัวปัญหาไม่เบาแน่ๆเลย ถึงทำให้อัลคุงลำบากแบบนี้ได้”
“ไม่, ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก ข้าแค่หงุดหงิดตัวเองนะ ก็นะ, ข้าไม่รู้จริงๆแต่…..ข้าคิดว่าคำตอบอยู่ใกล้ๆนี้แหล่ะแต่ข้าไม่สามารถเอื้อมไปหามันได้เลย ข้าคิดว่าข้าต้องพลาดอะไรบางอย่างไปและถ้าข้าสามารถหามันเจอได้ข้าก็จะสามารถไขคำตอบได้แต่ข้ายังไม่มีโอกาสที่จะทำแบบนั้นหน่ะสิ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ข้ายิ่งหงุดหงิดที่ไม่สามารถคิดเรื่องนั้นได้”
“แล้วผู้คนรอบตัวเจ้ารู้รึเปล่าหล่ะ?”
“น่าจะไม่นะ คนที่ให้ปริศนาข้าเก่งมาก พูดตามตรง, ข้าค่อนข้างมั่นใจในสติปัญญาของตัวเองแต่ตอนนี้ความมั่นใจนั้นพังไม่เหลือแล้วหล่ะ คำตอบดูเหมือนจะอยู่ใกล้แต่จริงๆแล้วมันยังอยู่ห่างออกไป นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าอยากออกมาทำหัวให้โล่งแล้วตัดสินใจออกมาที่นี่”
“เข้าใจหล่ะ อัลคุงนี่เป็นคนขยันจังเลยนะ ถ้าเป็นข้า, ถ้าเกิดรู้ว่าทำไม่ได้ข้าก็คงจะตัดใจไปแล้ว
โซเนียพูดด้วยรอยยิ้มสดใส
ก็นะ, เธอดูเหมือนคนที่น่าจะพูดแบบนั้นแหล่ะ
แต่เรื่องนี้มันต่างออกไป
รีเบคก้ากับจดหมายที่เธอมีนั้นส่งผลกระทบกับการพัฒนาในอนาคตอย่างมาก คนที่ได้รับมันเป็นคนแรกจะสามารถตัดสินใจกระแสของสถานการณ์ในอนาคตนับจากนี้ได้
ไม่ว่ายังไง, ศึกนี้จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น, โซเนียก็ชี้ไปที่แผงขายของ
เธอน่าจะอยากให้ฉันไปซื้ออะไรบางอย่างจากแผงนั้น
พวกเราจ่ายตลาดกันต่อในขณะที่พูดคุยกันตามปกติโดยมีโซเนียชี้นิ้วไปยังสิ่งที่เธอต้องการด้วยนิ้วของเธอ
“ไงพี่ชาย, วันนี้มาเดทหรอ?”
“พวกเราดูเหมือนแบบนั้นหรอ?”
“อา ถือซะว่าเป็นบริการพิเศษจากลุงคนนี้แล้วกัน รับไปสิ”
หลังจากการแลกเปลี่ยน, พ่อค้าก็ส่งน้ำผลไม้มาให้ฉันขวดนึงเป็นของแถม
โซเนีย, ที่นึกไม่ถึงว่าถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนรักของฉัน, ตื่นตระหนกและพยายามโบกมือปฏิเสธแต่พ่อค้าก็แค่โบกมือกลับ
“เอ่อ, พ่อค้าคนนั้นเขายัดเยียดมาหน่ะ…..ข้าก็บอกไปแล้วนะว่าพวกเราไม่ใช่คนรักกัน”
“เอาเถอะหน่า, มันเป็นบริการพิเศษนี่รับๆไปละกัน”
“มันเป็นเพราะอัลคุงไม่ยอมปฏิเสธเขาตั้งแต่แรกต่างหากหล่ะ! มันก็เหมือนกับพวกเรากำลังหลอกเขาไม่ใช่รึไง!”
“อย่าอารมณ์เสียสิ อร่อยนะ”
“โถ่…….”
น้ำผลไม้นี้เจือจางกว่าที่ฉันดื่มในปราสาท
แต่, รสชาติของมันดีกว่าหลายเท่า บางทีที่รสชาตมันดีกว่าน่าจะเป็นเพราะฉันออกมาซื้อด้วยตัวเองแทนที่จะเป็นสิ่งที่นำมาเสิร์ฟให้ฉัน
“ก็นะ อร่อยจริงๆนั่นแหล่ะ”
โซเนียที่ก่อนหน้านี้เอาแต่บ่นเองก็กำลังดื่มน้ำผลไม้ด้วยอารมณ์ดี
วันหลังฉันต้องไปขอบคุณพ่อค้าคนนี้สินะ
“ว่าแต่, อัลคุงคิดว่าน้องชายเป็นคนยังไงหรอ?”
“น้องชายของข้าหรอ? เจ้าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเขาหล่ะ?”
“เจ้าบอกว่าเจ้าถูกเขาแย่งส่วนดีๆไปหมดก็แสดงว่าเขาต้องเป็นคนที่เก่งมากๆเลยไม่ใช่หรอ?”
“ก็นะ, เขาคลี่คลายปัญหาทางใต้ได้และตอนนี้เขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังที่นี่ในฐานะเจ้าชายผู้กล้า”
“…..แค่นี้แหล่ะ แค่จากสีหน้าของเจ้าข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าคิดยังไง
“หืม? เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“ข้ากำลังคิดจะถามเจ้าว่าเจ้าชอบเขารึเปล่าแต่คำตอบมันแสดงอยู่บนหน้าเจ้าแล้ว ในตอนที่ข้าพูดถึงน้องชายของเจ้า, เจ้าดูภูมิใจมากเลยนะรู้ตัวรึเปล่า”
พอได้ยินโซเนียพูดอย่างนั้น, ฉันก็ก้มหน้าลง
นี่สีหน้าฉันออกขนาดนั้นเลยหรอ? ฉันไม่เคยรู้ตัวเลย
แน่นอนว่า, ฉันภูมิใจที่มีลีโอเป็นน้องชาย แต่ฉันไม่เคยได้ยินใครพูดแบบนี้กับฉันมาก่อนเลย
ถึงยังไง, มันก็ต้องเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทางใต้หล่ะนะ คดีนั้นเป็นคดีใหญ่จริงๆ แถมยังเป็นตอนที่ลีโอประกาศออกมากับฉันด้วยตัวเองว่าจะเป็นจักรพรรดิคนต่อไปด้วย
เห้อ, ฉันนี่ภูมิใจในตัวเจ้านั่นจังเลยนะ
“นั่นสินะ ข้ายอมรับ ข้าไม่รู้ว่าจะมีใครที่ทั้งใจดีและแข็งแกร่งแบบเขารึเปล่า”
“งั้นหรอ….ถ้างั้นเขาก็น่าจะเป็นคนที่ไว้ใจได้สินะ”
โซเนียพึมพำแล้วคว้าถุงที่ฉันกำลังถือจากด้านข้าง แล้วหันหลังกลับมุ่งหน้าเข้าไปในตรอกที่อยู่ข้างหลัง
พอเห็นเธอทำแบบนั้นฉันก็รีบตามไปด้วยความรีบร้อนแต่โซเนียก็วางถุงลงที่พื้นอย่างกระทันหัน
แล้วจู่ๆก็พุ่งเข้ามากอดฉัน
“เห้ย!? ทำอะไรของเจ้าเนี่ย!?”
“วันนี้เวลาเที่ยงคืน ข้าจะพารีเบคก้าไปที่หอนาฬิกาที่สามารถมองเห็นได้จากประตูฝั่งใต้ พาองค์ชายลีโอนาร์ดไปที่นั่นซะ”
“!?”
ฉันประหลาดใจและดวงตาก็เบิกกว้าง
ฉันเคยรู้สึกประหลาดใจแบบนี้ล่าสุดตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
หลังจากที่โซเนียกระซิบประโยคนั้นเข้ามาในหูของฉัน, เธอก็แยกจากฉันอย่างอ่อนโยนแล้วหยิบถุงของเธอขึ้นมา
“โซ, โซเนีย! นี่เจ้าคือ!?”
“เข้าเชื่อในตัวเจ้านะอัลคุง ข้าจะให้เวลาเจ้า 5 นาที แค่ห้านาทีจากเวลาเที่ยงคืนโอเคไหม? ถ้าเจ้าไม่สามารถมาได้ทันเวลาข้าก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ไพ่ตายของข้า…..ได้โปรดอย่าทำให้ข้าต้องใช้มันเลยนะโอเคไหม”
หลังจากที่เธอพูดแบบนั้น, โซเนียก็วิ่งหนีไป
ฉันยื่นมือออกไปหาเธอแต่ก็มีแค่อากาศที่ผ่านเข้ามา
มือของฉันไม่สามารถคว้าตัวโซเนียได้
จากนั้นฉันก็ค่อยๆสงบจิตใจของตัวเอง มีแค่คนเดียวที่จะพูดถึงรีเบคก้าแบบนั้น
“โซเนียเป็นนักกลยุทธ์ของรีเบคก้าหรอเนี่ย…..?”
ฉันจ้องไปยังทิศทางที่โซเนียจากไป
ฉันคาดหวังให้โซเนียเดินกลับมาหาฉันด้วยท่าทีสบายๆแต่นั่นคงจะไม่เกิดขึ้น
มันไม่ใช่คำพูดล้อเล่นของเด็กสาวร่าเริง
ฉันควรจะใช้กำลังหยุดเธอแต่ฉันกลับรู้สึกอึ้งจนไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้น
“….ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปตามนั้นสินะ”
แถมยังไม่มีร่องรอยให้สาวไปหาเธอด้วย
ฉันทำได้แค่เชื่อใจโซเนียแล้วไปตามนัด
ฉันตัดสินใจแบบนั้นแล้วรีบกลับไปที่ปราสาท
ตอนที่ 100
“มีความเป็นไปได้สูงแค่ไหนว่านี่จะเป็นกับดัก?”
“ก็พอมีความเป็นไปได้อยู่”
ฉันตอบคำถามของซิก
พอได้ฟังคำตอบของฉัน, ซิกกับเซบาสก็ขมวดคิ้วแต่ลีโอที่ถูกฉันเรียกมาที่นี่ไม่ได้ทำแบบนั้น
“เด็กสาวคนนั้น……ท่านพี่คิดว่าพวกเราไว้ใจเธอได้ไหม?”
“ถ้าในแง่บุคคลก็เชื่อใจได้อยู่”
ไม่ว่าจะไว้ใจคนๆนึงมากแค่ไหน, เราก็อาจจะกลายเป็นศัตรูหรือเป็นพันธมิตรกับคนๆนั้นได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของตัวเราและตำแหน่งของอีกฝ่าย
ยกตัวอย่างเช่นเยอร์เกน, แม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์เชิงร่วมมือกับเอริคจนถึงช่วงนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีแค่ไหน, ถ้าเขาอยู่คนละขุมอำนาจ, เขาก็จะกลายเป็นศัตรูของเอริค
อย่างไรก็ตาม, โซเนียเป็นพรรคพวกของรีเบคก้า ฉันไม่รู้สึกถึงคำโกหกจากเธอเลยและการที่เธอมาโกหกฉันก็ไม่มีประโยชน์อะไร แถมการล่อฉันกับลีโอออกไปนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์กับขุมอำนาจไหนด้วย พวกเขาไม่สามารถโจมตีพวกเราได้และถึงแม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำอะไรกับลีโอในตอนนี้, พวกเขาก็จะได้รับโทสะจากท่านพ่ออย่างแน่นอน
ด้วยการเชื่อมความคิดพวกนี้, ฉันก็เชื่อว่าโซเนียเป็นพรรคพวกของรีเบคก้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“เธอเป็นพรรคพวกของรีเบคก้าไม่ผิดแน่ เพราะฉะนั้นการที่เธอคิดฝากฝังรีเบคก้าไว้กับพวกเราก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร ถึงยังไงการที่พวกเธอจะหนีไปเรื่อยๆมันก็มีขีดจำกัดอยู่และฝ่ายที่จะต้อนรับเธออย่างอบอุ่นก็มีแค่พวกเราเท่านั้น”
“หรือว่าเธอตั้งใจเข้าหาท่านพี่?”
“น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่านะ และบางทีการที่เธอไว้ใจข้าก็น่าจะเป็นเพราะความบังเอิญเหมือนกัน
แต่ว่า, ฉันก็ยังเข้าใจเจตนาของโซเนียได้ไม่ทั้งหมด
การที่จะทำความเข้าใจเธอนั้น, พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากไปพบเธอที่จุดนัดหมาย
“ในเมื่อพวกเราไม่สามารถระบุตำแหน่งของพวกเธอได้จากข้อมูลที่พบในวันนี้, พวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปตามนัด”
ฉันมองแผนที่บนโต๊ะ
การพบเห็นในช่วงวันที่ผ่านมานี้ได้ถูกทำเครื่องหมายเอาไว้ ถ้ามองผ่านๆมันดูสะเปะสะปะไปหมดแต่พอฉันตั้งใจดูดีๆฉันก็รู้สึกว่ามันมีคำใบ้หรือกฏบางอย่างอยู่
แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร เงื่อนงำที่ชัดเจนที่สุดที่พวกเรามีในตอนนี้มีแค่คำพูดของโซเนียดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงทำได้แค่เชื่อใจเธอ
“เอาหล่ะ, ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
“ในเมื่อตัดสินใจแล้วพวกเราจะเคลื่อนไหวกันเลยไหมครับ”
“พี่น้องคู่นี้นี่ไม่รู้จักความกลัวเลยรึไงนะ? พวกเจ้าทั้งสองคนถูกจับตามองอยู่นะ ถ้าพวกเจ้าสองคนออกไปด้วยกันฝ่ายอื่นจะต้องพยายามเข้ามาขัดขวางแน่ๆไม่ใช่รึไง?”
“ข้ารู้แต่ถ้าพวกเราไม่ไปพวกเราก็จะไม่คืบหน้าไปไหนซักที”
ซานดร้ากับนักล่าจากองค์กรกำลังออกตามหารีเบคก้าอย่างไม่ลดละ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขากำลังสอดส่องการเคลื่อนไหวของพวกเราด้วย ถ้าพวกเราไป, พวกเขาก็จะพยายามเข้ามาหยุดพวกเราไม่ผิดแน่
ตอนนี้, มีแค่ซิกกับเซบาสที่สามารถต่อสู้กับนักฆ่าในศึกราตรีได้ ต่อให้พวกเราเอาทหารไปด้วย, มันก็มีแต่จะเพิ่มจำนวนศพเท่านั้น
งานนี้อันตรายอย่างไม่ต้องสงสัยแต่นี่คือช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ระหว่างการได้ตัวรีเบคก้าที่นี่กับปล่อยให้เธอหลุดมือไปนั้นมันแตกต่างกันมาก
โซเนียบอกว่าเธอจะถูกบังคับให้ใช้แผนการลับถ้าพวกเราไม่ไป ฉันไม่รู้ว่าเป็นแผนการอะไรแต่ฉันไม่อยากให้เธอใช้มันเลย นอกจากนี้ถ้าพวกเราไม่ไป, ความเชื่อใจที่ในที่สุดพวกเราก็ได้รับมาจากโซเนียก็จะสูญเปล่าไปด้วย
“จะต้องไม่มีการลอบโจมตี พวกเรารู้ตำแหน่งแล้วและพวกเราก็ตื่นตัวกันเต็มที่ด้วย พวกเราต้องมุ่งหน้าออกไปในช่วงจังหวะสุดท้ายที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้น นี่คือวิธีที่จะทำให้ฝ่ายอื่นไม่สามารถอ่านทิศทางของเราได้และทำให้ไม่สามารถดักรอพวกเราข้างนอกได้ตลอดเวลาด้วย”
“แบบนั้นมันมีความเป็นไปได้ที่พวกเราจะไปไม่ทันเวลาอยู่ไม่ใช่หรอครับ? พวกเรารีบออกไปแต่เนิ่นๆเผื่อเอาไว้ไม่ดีกว่าหรอ?”
“มันก็เป็นความคิดที่ดีอยู่หรอกถ้าพิจารณาว่ามันจะมีแค่พวกเรา แต่ถ้าพวกเราออกไปเร็ว, ศัตรูก็อาจจะอ่านการเคลื่อนไหวของพวกเราออก ถึงยังไงพวกเราก็เป็นเป้าสังเกตใหญ่สำหรับฝ่ายอื่น กลับกันถ้าพวกเราไปช้า, อย่างเลวร้ายที่สุด, รีเบคก้าก็จะเข้าไปซ่อนอีกครั้ง, ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่ยอมรับได้มากกว่า แต่ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องเดินทางไปที่หอนาฬิกาให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เข้าใจแล้วครับ ถ้างั้นก็เตรียมตัวกันเลยเถอะ”
“อา, ทั้งสองคนช่วยเป็นคนคุ้มกันให้พวกเราได้ใช่ไหมไหม?”
ในขณะที่พูด, ฉันกับลีโอก็เริ่มเคลื่อนไหว
ซิกกับเซบาสถอนหายใจออกมาพร้อมกันแล้วตามพวกเรามา
…
“ชิ!”
ฉันเดาะลิ้นในขณะที่วิ่ง
พวกเราเกือบจะไปถึงหอนาฬิกาแล้วแต่มีศัตรูมากกว่าที่คาดเอาไว้ ทำไมถึงมากันเยอะขนาดนี้นะ?
ซิกกับเซบาสกำลังกำจัดศัตรูในขณะที่ลีโอกำลังปกป้องฉันแต่พวกเราไม่ได้มีเวลาเหลือมากขนาดนั้น
มันเลยเที่ยงคืนมาแล้ว พวกเราเหลือเวลาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
พวกเราทำได้แค่วิ่งและหวังว่าจะไปถึงได้ทันเวลา
แต่ว่า, ศัตรูก็ยังคงโผล่ออกมาเรื่อยๆ กำลังเสริมของพวกเขาเข้ามาหาพวกเราอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้พวกเราต้องคอยจัดการอยู่ตลอด
“ท่านพี่! นำหน้าไปก่อนเลยครับ!”
“ข้าถูกบอกให้พาเจ้าไปที่นั่นด้วยนะ!”
“ช่วยยื้อพวกเธอเอาไว้ให้ข้าหน่อยนะครับ!”
พอพูดจบ, ลีโอก็ผลักหลังของฉัน ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, นักฆ่าก็โจมตีลีโอแต่เขาก็สามารถยกดาบขึ้นมาป้องกันตัวเองได้
ในเมื่อมีเซบาสกับซิกอยู่, เขาก็น่าจะไม่เป็นอะไร
ฉันค่อนข้างเป็นห่วงอยู่แต่ฉันก็ทิ้งพวกเขาแล้วมุ่งหน้าตรงไปที่หอนาฬิกา
ในตอนที่ฉันไปถึงใกล้กับหอคอย, เวลาเที่ยงคืนห้านาทีก็ได้ผ่านไปเลย
“แฮ่ก แฮ่ก……”
ในขณะที่กำลังหอบ, ฉันก็มองไปรอบๆ
ไม่ใช่ว่า, พวกเธอไปรอที่ยอดหอนาฬิกานะ?
ในขณะที่คิดเช่นนั้น, โซเนียก็ปรากฎตัวขึ้นจากเงามืด
“โซเนีย…..!”
“มาได้ซักทีนะ”
พอพูดจบ, เด็กสาวที่มีผมสีน้ำตาลส้มก็ปรากฎตัวขึ้นจากข้างหลังเธอ
เธอดูคล้ายกับภาพหน้าตรงที่พวกเราได้มาดังนั้นเธอน่าจะเป็นรีเบคก้า
ในขณะที่มองฉันอย่างสงสัย, รีเบคก้าก็ถามโซเนีย
“คนๆนี้คือองค์ชายอาร์โนลด์หรอ?”
“อื้ม เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียวใช่ไหม?”
“ลีโอกำลังติดพันกับพวกนักล่าอยู่ เขาน่าจะมาถึงที่นี่ในเร็วๆนี้ช่วยรออีกหน่อยเถอะนะ”
“ข้าก็อยากอยู่หรอกแต่พวกเราไม่มีเวลาแล้ว”
พอพูดจบ, โซเนียก็เข้ามาหาฉัน
จากนั้นเธอก็มองเข้ามาในดวงตาของฉัน
ดวงตาสีม่วงแดงจ้องมาที่ฉันตาไม่กระพริบราวกับว่าเธออยากมองเข้ามาในจิตใจของฉัน
ในท้ายที่สุด, โซเนียก็ยิ้มแล้วหันหน้าหนี
“ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การซุ่มโจมตีสินะ อัลคุงนี่ใจดีจริงๆ”
“ถ้าข้าส่งทหารล่วงหน้ามาก่อน, ตำแหน่งของเจ้าก็อาจจะถูกเปิดเผยกับขุมอำนาจอื่นได้ ข้าจะให้เจ้าแบกรับความเสี่ยงนั้นไม่ได้หรอก”
พอได้ฟังการคาดการณ์ของฉัน, โซเนียก็พยักหน้าซ้ำๆ
ดูเหมือนว่ารีเบคก้าจะระวังตัวอยู่แต่ถ้าลีโอมาถึงแล้วก็น่าจะไม่เป็นอะไร ถึงยังไงการซื้อใจคนก็เป็นความสามารถพิเศษของลีโออยู่แล้ว
ถ้าพวกเราสามารถซื้อใจรีเบคก้าได้ที่นี่, มันก็จะถือเป็นชัยชนะของพวกเรา
ฉันคิดแบบนั้น
แต่ในตอนนั้นเอง, โซเนียก็ได้พูดในสิ่งที่ทำให้ฉันตัวแข็งทื่อ
“เจ้ายังไม่ชนะหรอก…….คิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือแล้วมันไม่ดีเลยนะ อัลคุง”
“หมายความว่ายังไง…..?”
พอพูดจบ, โซเนียก็ผลักหลังของรีเบคก้าและร่างของเธอก็โน้มมาหาฉัน
ฉันรีบเข้าไปรับตัวรีเบคก้า ดูเหมือนว่ารีเบคก้าเองก็รู้สึกประหลาดใจกับการกระทำอย่างกระทันหันของโซเนีย
“โซเนีย!? ทำอะไรของเจ้าเนี่ย!?”
“ขอโทษทีนะ เพื่อความปลอดภัยของรีเบคก้า, นี่เป็นวิธีเดียว อัลคุง…..เจ้ามาไม่ทันเวลา ตอนนี้ข้าต้องใช้ไพ่ตายแล้วหล่ะ”
ในตอนที่เธอพูดออกมาเช่นนั้น, ชายที่สวมเครื่องแบบสีดำก็ปรากฎตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
และยังเพิ่มความน่าประหลาดใจเข้าไปอีก, พวกเขาทุกคนมีหน้าไม้รุ่นใหม่ที่พึ่งนำเข้ามาใช้ในกองทัพไม่นานนี้
คนพวกนี้คือ……
“หน่วยลอบเร้นของกอร์ดอนสินะ……”
“อื้ม, ใช่แล้วหล่ะ ท่านพันตรี, อย่าพึ่งสั่งคนเคลื่อนไหวนะ ข้าจะทำการต่อรองเอง”
“…..รับทราบ”
คนที่เหมือนหัวหน้าซึ่งโซเนียเรียกว่าพันตรียกมือขึ้นแล้วคนชุดดำคนอื่นๆก็ถอยห่างจากฉันและรีเบคก้า
จากนั้นโซเนียก็เอาจดหมายออกมา
เมื่อเห็นแบบนี้, รีเบคก้าก็รีบเอาจดหมายออกมาจากกระเป๋าของเธอ
พวกมันดูเหมือนกันจริงๆ
“อันนั้นเป็นของปลอมหน่ะ, รีเบคก้า”
“ไม่มีทาง…..เจ้าทรยศข้าหรอ!?”
“ไม่ใช่การทรยศหรอก ข้าอยู่ฝ่ายนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว อันที่จริงข้าก็อยากจะส่งเจ้าให้องค์ชายลีโอนาร์ดก่อนที่ท่านพันตรีจะมาถึงนะ, แน่นอนว่า, พร้อมกับจดหมายด้วย แต่ในเมื่อเขามาแล้ว, พวกเราก็จำเป็นต้องให้อะไรกับเขา น่าเสียดายจริงๆ……”
พอพูดจบ, โซเนียก็ก้มหน้าลง
สีหน้าของเธอดูผิดหวังจริงๆ นี่น่าจะไม่ใช่การแสดง
บางทีโซเนียคงพยายามเติมเต็มความต้องการของรีเบคก้าอย่างถึงที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้แล้ว เธอให้เวลาพวกเราห้านาทีและพวกเราก็มาไม่ทันเวลา
เรื่องมันเป็นแบบนี้เอง
หลังจากนั้นซักพัก, เซบาส, ซิก, รวมทั้งลีโอก็มาถึง
ทั้งสามที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์กำลังเตรียมตัวต่อสู้แต่ฉันก็ใช้มือส่งสัญญาณให้พวกเขาหยุด
อีกฝ่ายไม่ได้คิดที่จะโจมตีพวกเรา ตั้งแต่แรกแล้ว, โซเนียคงไม่โง่พอที่จะต่อสู้กับพวกเราที่นี่
ซึ่งนั่นมันก็เรื่องนึง, แนวทางการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือพยายามเอาข้อมูลมาให้ได้มากที่สุด
“โซเนีย…..เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“…..ข้าชื่อโซเนีย ลาสเปด ลูกครึ่งเอลฟ์ที่องค์ชายกอร์ดอนเกณฑ์เข้ามาเป็นนักกลยุทธ”
“นักกลยุทธของกอร์ดอนหรอ….?”
“อื้ม, ข้าไม่ได้มีพันธะกับตำแหน่งนั้นจนถึงเมื่อซักครู่นี้ดังนั้นข้าก็เลยเคลื่อนไหวในฝ่ายของรีเบคก้า แต่ตอนนี้, ในเมื่อท่านพันตรีมาแล้ว, เรื่องมันก็ต่างออกไป ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกเจ้าแล้วใช่ไหม? แค่ห้านาทีเท่านั้น เวลาก่อนที่ท่านพันตรีจะมาถึงคือโอกาสสุดท้ายที่ข้ามอบให้อัลคุงยังไงหล่ะ”
โซเนียมองฉันด้วยสีหน้าเศร้าสลด
ฉันเองก็ผิดหวังในสิ่งที่ตัดสินใจไป ถ้าเลือกแบบนั้นตั้งแต่แรกก็คงจะดี, ถ้าทำแบบนั้นน่าจะดีกว่า
อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่กำลังครอบงำฉันอยู่ก็คือความรู้สึกผิด
โซเนียคงไม่อยากส่งตัวรีเบคก้าให้กอร์ดอนในทันทีเพราะเธอรู้ว่าเขาจะไม่มีวันดูแลเธอให้ดี
โซเนียร่วมมือกับเธอและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของรีเบคก้าเป็นอันดับแรก ถ้ามันไม่ใช่แบบนั้นเธอก็คงจะไม่ทำเรื่องแบบนี้
คนที่เรียกหน่วยลอบเร้นของกอร์ดอนมาที่นี่ก็คือเธอ เนื่องจากเธอไม่สามารถช่วยรีเบคก้าหนีไปได้ตลอดไป, การขอความช่วยเหลือจึงดีกว่า และในตอนนั้นเองเธอก็บังเอิญได้พบกับฉันดังนั้นเธอจึงใช้ฉันติดต่อกับลีโอ, เหตุผลของเธอก็คือว่าอย่างน้อยที่สุดเธอก็อยากส่งตัวรีเบคก้าให้พวกเรา
ฉันควรใช้เวทย์เคลื่อนย้ายหรือฉันควรใช้เวทมนตร์เป่าพวกเขาทิ้งไปรึเปล่านะ? ฉันไม่สามารถคิดหาคำตอบได้
สิ่งเดียวที่ฉันสามารถพูดได้ก็คือที่นี่ไม่มีอะไรที่ฉันทำได้แล้ว
“ส่วนตัวแล้ว, ข้าสามารถส่งจดหมายให้เจ้าได้เหมือนกันแต่ว่า…..องค์ชายกอร์ดอนคงจะยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้และองค์หญิงซานดร้าก็กำลังเพ่งเล็งเจ้าอยู่ด้วย จดหมายกับรีเบคก้า, ถ้าเจ้าพิจารณาถึงตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด, ก็คงจะเป็นการแยกทั้งสองออกจากกันใช่ไหมหล่ะ?
คิดจะใช้กำลังก็ได้นะ, แต่มันไม่คุ้มหรอก
นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เธอพยายามจะสื่อ และฉันก็เห็นด้วยกับเธอ
ตอนนี้ค่ำคืนของเมืองหลวงจักรวรรดิเต็มไปด้วยนักฆ่าของซานดร้าและนักล่าจากองค์กร ถ้าพวกเขาโจมตีพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังต่อสู้อยู่ที่นี่, พวกเราก็เสี่ยงที่จะพังด้วยกันทั้งคู่
ในแง่นี้, การแยกเป้าหมายเป็นสองส่วนและยอมกลับไปดีๆจะดีกว่า
ถ้าพวกเราตกลงกันได้แล้วยอมถอนตัวโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น, พวกเขาก็จะส่งนักล่าไปหาโซเนียและหน่วยของเธอ ตอนนี้มันชัดเจนสำหรับศัตรูของพวกเราว่ามีการต่อรองบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่
“…..แล้วข้อเรียกร้องของเจ้าหล่ะ?”
“พวกเราค่อยคุยเรื่องนั้นกันในอนาคต ฝั่งเราน่าจะเป็นคนเข้าหาเจ้าก่อน วางใจได้เลย, ข้าไม่ทำอะไรแย่ๆหรอก”
คำพูดของเธอมันไม่ชวนให้รู้สึกสบายใจเลยซักนิด
ต่อให้มันไม่ได้ทำร้ายพวกเราโดยตรง, แต่มันก็ชัดเจนว่าผลลัพธ์จะไม่ออกมาดีแน่ตราบใดที่กอร์ดอนเป็นคนตัดสินใจกระแสการพัฒนาในอนาคต
อย่างไรก็ตาม, พวกเขาได้กุญแจสำคัญไปแล้ว แค่รีเบคก้าไม่พอที่จะใช้เป็นหลักฐาน
ตอนนี้พวกเราถูกบังคับให้เจรจากับกอร์ดอน
โซเนียได้แสดงความสามารถของเธอออกมาแล้วและได้รับผลลัพธ์ตามที่เธอปราถนา เธอสามารถฝากรีเบคก้าเอาไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้และสร้างผลงานให้กับขุมอำนาจของกอร์ดอน
“ข้าเต้นอยู่บนฝ่ามือของเจ้ามาโดยตลอดเลยสินะ…..”
“ขอโทษนะ ข้าคิดว่าแบบนี้มันดีที่สุดแล้ว…..ลาก่อน อัลคุง ดูแลรีเบคก้าให้ดีๆหล่ะ…..นับจากนี้ไปข้าจะเป็นศัตรูของเจ้า”
พอพูดจบ, โซเนียก็หันหลังให้
จากนั้นเธอก็หายไปในความมืดด้วยกันกับหน่วยลอบเร้น
แผ่นหลังของเธอดูเศร้าสร้อย แต่ว่า, มันไม่มีอะไรที่ฉันทำได้ เพราะถ้าฉันลงมือทำอะไรความพยายามทั้งหมดของเธอก็จะไร้ความหมาย
“ท่านอาร์โนลด์…..พวกเราเองก็ควรถอนตัวได้แล้วนะครับ”
“……นั่นสินะ”
ในขณะที่ตอบรับเซบาส, พวกเราเองก็ออกจากที่แห่งนี้
วันนี้คือความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับเป็นครั้งแรกหลังจากที่พวกเราเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอด
และนักกลยุทธที่สร้างความพ่ายแพ้นี้ก็มาจากฝั่งกอร์ดอน ด้วยจดหมายในมือของกอร์ดอน, เขาจะเป็นคนที่ตัดสินใจว่าเหตุการณ์นับจากนี้จะพัฒนาไปทางไหน
ด้วยประการฉะนี้เอง, โครงสร้างอำนาจในสงครามผู้สืบทอดก็ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ตอนที่ 101
ช่วงเช้า
ฉันกำลังรอให้เซบาสกลับมาโดยไม่ได้นอนเลย
ฉันมีเรื่องที่จำเป็นต้องสืบไม่ว่ายังไงก็ตาม
“นี่ท่านตื่นตลอดคืนเลยหรอครับ”
“อา, ข้านอนไม่ได้หน่ะ”
หลังจากพูดคุยกันสั้นๆ, เซบาสก็ส่งเอกสารกองนึงให้ฉัน
พวกมันคือข้อมูลลับทางการทหาร
จากเรื่องราวของรีเบคก้า, โซเนียนั้นแทบจะไม่ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวเลย มันเป็นเรื่องยากที่จะคิดว่าเธอติดต่อกับคนอื่น
ยกเว้นแค่วันที่เธอเจอกับฉัน เธอบอกว่าเธออาจจะบังเอิญเจอพวกเราในตอนที่เธอออกไปจ่ายตลาดแต่พิจารณาจากช่วงเวลาที่ฉันอยู่กับเธอ, มันก็ไม่มีที่ท่าว่าเธอจะติดต่อกับคนอื่นเลย เธอกับฉันอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา
“ถ้าเธอไม่ได้ติดต่อกับใคร, แล้วเธอสื่อสารกับหน่วยของเธอได้ยังไง”
“มันน่าจะมีวิธีการพิเศษที่ใช้กันในกองทัพครับ”
“นั่นสินะ”
ในขณะที่พูดคุยกัน, ฉันก็ไล่ดูเอกสาร โซเนียเกี่ยวข้องกับกอร์ดอน เธอต้องมีบันทึกบางอย่างในกองทัพแน่ๆ เบาะแสจะต้องซ่อนอยู่ในนี้
หลังจากไล่ดูพวกมันอยู่พักนึง, ฉันก็สังเกตเห็นเอกสารบางอย่าง
“นี่สินะ……”
“ขอดูหน่อยได้ไหมครับ แผนการฉุกเฉินในกรณีที่เมืองหลวงจักรวรรดิตกอยู่ในกำมือของศัตรูสินะครับ”
“มันคือข้อมูลที่มีพวกระดับสูงในกองทัพเพียงบางส่วนที่รู้ และสถานที่นั้นก็คือจุดนัดพบในกรณีที่เมืองหลวงจักรวรรดิถูกรุกราน”
สิ่งที่เขียนในหน้าถัดไปก็คือแผนที่ พื้นที่ที่ถูกวงเอาไว้นั้นตรงกับจุดที่พบเห็นรีเบคก้า
มันไม่ใช่แค่จุดสองจุด, พวกมันทั้งหมดสอดคล้องกับแผนยกเว้นอันสุดท้าย มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ
จุดที่พบเห็นซ้อนทับกับแผนที่นี้ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ทันสังเกตแต่จุดร่วมของสถานที่ทั้งหมดนี้ก็คือว่าพวกมันเหมาะที่จะเป็นจุดรวมพล ความจริงที่ว่ารีเบคก้าได้เห็นสถานที่เหล่านี้ชวนให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ
“มีแค่รายงานการพบเห็นครั้งสุดท้ายที่ไม่เป็นไปตามแผนงั้นหรอ”
“นั่นสินะครับ, จุดที่สมควรจะเป็นจุดนัดพบก็คือ…..หอนาฬิกาที่มองเห็นได้จากประตูฝั่งใต้ ในกรณีที่ข้อมูลการพบเห็นไม่ตรงกับแผนจุดรวมพล, ผู้คนในพื้นที่ที่รู้เรื่องนี้ก็จะไปรวมตัวกันในสถานที่ที่สมควรไป”
“เข้าใจหล่ะ นี่คือเหตุผลที่มีนักล่าตามมาเยอะขนาดนี้สินะ”
เซบาสพยักหน้าอย่างคล้อยตาม
โดยปกติแล้ว, เซบาสกับซิกน่าจะสามารถฝ่าการสอดส่องของศัตรูได้ ฉันคิดเอาไว้แบบนั้นแต่ศัตรูกลับมีมากกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้มาก
ซึ่งมันก็เข้าใจได้ ฝ่ายอื่นได้รวบรวมกำลังทั้งหมดและมุ่งหน้าไปที่นั่น
“กอร์ดอนคงรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่ซานดร้าก็ด้วยหรอเนี่ย……”
“ขุมอำนาจขององค์หญิงซานดร้าเองก็มีพวกระดับสูงของกองทัพอยู่ เธอต้องได้ข้อมูลมาจากตรงนั้นแน่นอนครับ”
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะแต่นี่เป็นข้อมูลที่ปกติแล้วคงไม่พูดออกมาเว้นเสียแต่ว่าเธอจะเป็นคนถาม พูดอีกนัยนึงก็คือ, เธอสนใจเรื่องการปิดล้อมเมืองหลวงจักรวรรดิ หรืออย่างเลวร้ายที่สุด, เธอก็อาจจะวางแผนโจมตีเมืองหลวงด้วยตัวเอง”
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วเอนพิงพนักเก้าอี้
ตอนนี้ฉันพอมองเห็นภาพกว้างๆแล้ว
“ขุมอำนาจของลีโอไม่มีคนที่นั่งเก้าอี้ระดับสูงของกองทัพ กองทหารรักษาการณ์จักรวรรดิเป็นของก็ทัพก็จริงอยู่แต่พวกเขาขาดผู้บังคับบัญชาที่ทำหน้าที่บัญชาการพวกเขา ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่ข้อมูลพวกนี้มาไม่ถึงพวกเราสินะ”
“พวกเขาคงไม่แบ่งปันข้อมูลแบบนี้ให้กับคนที่อาจจะกลายเป็นศัตรูในภายหลังหรอกครับ ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าจำนวนของศัตรูสูงกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้ แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจความหมายของขีดจำกัดเวลาที่ผู้หญิงคนนั้นให้อยู่ดีครับ”
ขีดจำกัดเวลา 5 นาทีนั่น
ตอนแรก, ฉันคิดว่าที่เธอไม่สามารถอยู่นานได้ก็เพราะคนของซานดร้าอาจจะเจอตัวพวกเธอ
เพราะฉะนั้นฉันถึงล่วงหน้าไปที่จุดนัดพบก่อน ในกรณีที่ฉุกเฉินจริงๆ, ฉันคิดว่าจะใช้เวทมนตร์เพื่อหลบหนีนักล่า
แต่ว่าเหตุการณ์มันไม่ใช่แบบนั้น
“มันเขียนเอาไว้ตรงนี้, ในกรณีที่มีการโจมตีในช่วงเวลากลางคืนจากกองกำลังผู้บุกรุก, ให้ตัดสินใจว่าเวลาเที่ยงคืนจะเป็นเวลาที่พวกเขาทำตามแผน โซเนียอ่านออกว่าหน่วยลอบเร้นจะเคลื่อนไหวเวลาเที่ยงคืนตรงและน่าจะคาดเอาไว้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาอย่างน้อยห้านาทีในการมาถึง”
“เธอมองค่อนข้างขาดเลยนะครับ เธอใช้พวกเราซื้อเวลาให้เธอด้วยการปล่อยให้พวกเราคอยดึงดูดความสนใจนักล่า แต่เธอจะตัดสินใจยังไงกันครับถ้าพวกเราเลือกที่จะไม่ไปที่นั่น”
ฉันถอนหายใจอีกครั้งให้กับคำพูดของเซบาส
โซเนียเองก็คงพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ว่าซานดร้าอาจจะรู้แผนการลับ พูดอีกนัยนึงก็คือ, เธอรู้ว่าสถานที่นัดพบน่าจะถูกฝั่งนั้นอ่านออก
ในแง่นี้, เธอต้องเสริมกำลังป้องกันให้สถานที่นัดพบ
นั่นคือสาเหตุที่เธอเรียกพวกเรามาเพื่อใช้เป็นตัวล่อ
“…..เธอน่าจะพิจารณาเอาไว้แล้วว่าพวกเราอาจจะไม่มาแต่เธอก็ยังเดิมพันกับพวกเรา เธอล้วงข้อมูลจากข้าแล้วก็ได้สิ่งที่เธอต้องการไปจริงๆ”
“ดูเหมือนว่าท่านจะถูกใช้งานซะเต็มที่เลยนะครับ”
ฉันพยักหน้าให้เซบาส เหตุผลที่โซเนียออกมาน่าจะไม่ใช่เพื่อติดต่อหน่วยลอบเร้นแต่เป็นการมองหาเหยื่อล่อ
บางทีเธอน่าจะติดต่อกับลีโอถ้าเธอไม่ได้พบกับฉัน
“นั่นสินะ แต่ว่า……การให้เวลาห้านาทีในการไปหาพวกเธอก็ถือว่าเสี่ยงสำหรับเธอเหมือนกัน”
“ครับ, ถ้าหน่วยลอบเร้นไปถึงช้ากว่าพวกเราพวกเขาก็จะเสียทั้งรีเบคก้าและจดหมายไป”
มันคือเหยื่อล่อที่ดีที่สุดแต่โซเนียคงคิดที่จะส่งตัวเธอให้กับพวกเราพร้อมกับจดหมายด้วย
มันคงจะดีถ้าพวกเราสามารถไปได้ทันเวลาแต่ถ้าพวกเราทำไม่ได้เธอก็แค่ทำตามแผนการของเธอ
โซเนียเคลื่อนไหวด้วยวิธีที่เธอสามารถปรับตัวได้ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงก็ตาม แต่, ในกรณีที่พวกเราไปถึงทันเวลานั้น, ตัวโซเนียก็จะตกอยู่ในจุดที่อันตราย
แม้ว่าจะรู้ถึงเรื่องนั้น, เธอก็ยังเรียกพวกเราออกมา พวกเราเป็นตัวล่อก็จริงแต่พวกเรายังเป็นหลักประกันในการคุ้มครองรีเบคก้าด้วย
“แสดงว่าเธอทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อรีเบคก้าสินะ…..”
“ในส่วนของเธอนั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยครับ ถึงยังไงทหารของกอร์ดอนก็คงจะไม่สนใจความปลอดภัยของท่านรีเบคก้าอยู่แล้ว พวกเขาคงไม่ฆ่าเธอแต่พวกเขาก็จะไม่ทำอะไรเพื่อปกป้องเธอเหมือนกัน ในแง่นี้, เธอจำเป็นต้องฝากฝังท่านรีเบคก้าเอาไว้กับคนที่จะปกป้องเธอ นักฆ่าขององค์หญิงซานดร้ากับองค์กรจะไม่มีวันไว้ชีวิตเธอแน่ ต่อให้พวกเราไปแล้วไม่เจอพวกเธอ, เธอก็น่าจะโน้มน้าวให้พวกเขาปกป้องรีเบคก้าอยู่ดี”
“……ครั้งนี้พวกเราโดนจัดการซะอยู่หมัดเลยนะ”
“อย่ากังวลไปเลยครับ ความได้เปรียบของเราเป็นรองมาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าท่านไม่ได้คิดจะวางแผนโจมตีเมืองหลวง, ท่านก็คงไม่รู้ข้อมูลพวกนี้หรอก พวกเราไม่มีโอกาสชนะในครั้งนี้ครับ”
“พวกเราแพ้เพราะมีข้อมูลไม่เพียงพอ สำหรับเรื่องครั้งนี้คงแก้ตัวอะไรไม่ได้เลย……ยิงไปกว่านั้น, ข้าไม่ได้ใช้ไพ่ตายของข้าด้วยซ้ำ”
ฉันไม่ได้ใช้พลังของซิลเวอร์ในครั้งนี้
เหตุผลก็เพราะว่าถ้าฉันใช้พลังพวกนั้นในสถานการณ์ที่มีนักฆ่ากระจายอยู่ทั่วทุกที่, มันก็จะนำไปสู่การเปิดเผยความลับของฉัน ภายในระยะบาเรียของฉันก็อีกเรื่องนึงแต่ฉันไม่มีทางรับรู้ถึงสายตาที่อยู่ไกลกว่านั้นได้เลย
นี่คือสาเหตุที่ฉันวิ่งโดยไม่ใช้เวทมนตร์ช่วยเหลือ
หลังจากนั้น, ฉันยังสามารถขโมยจดหมายมาจากโซเนียได้แต่ฉันก็ไม่ทำ ฉันไม่อยากเปิดเผยความลับของฉัน
แต่ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องรึเปล่านะ?
“เป้าหมายของกอร์ดอนคือสงครามอย่างแน่นอน ในทันทีที่เขาได้จดหมาย, เขาก็เข้าใกล้มันไปอีกก้าวนึงแล้ว สงครามกับทางใต้, พูดอีกนัยนึงก็คือ, เขาอยากเริ่มสงครามกลางเมือง พอมาคิดถึงเรื่องนี้……..ตอนนั้นถ้าข้าใช้เวทมนตร์ไปจะดีกว่ารึเปล่านะ?”
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกท่านไปแล้วนี่ครับ มันมีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างเปิดเผยตัวกับถูกเปิดโปง องค์จักรพรรดิ, ขุนนาง, รัฐมนตรี, และผู้คนที่พอมีอายุเคยเห็นจักรพรรดิผู้บ้าคลั่งที่เคยสร้างความเสียหายให้เมืองหลวงในวัยเด็ก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาค่อนข้างรู้สึกไม่ดีกับเวทมนตร์โบราณ แต่ว่า, ที่ซิลเวอร์ได้รับอนุญาตให้ใช้มันก็เพราะเขาเป็นพันธมิตรของจักรวรรดิ แต่เรื่องราวจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงถ้าท่านเพิ่มการเป็นราชวงศ์เข้าไปด้วย ทุกคนจะคิดว่าจักรพรรดิคลั่งกลับมาแล้ว นี่คือสาเหตุที่ทำไมข้อมูลนี้ถึงต้องเปิดเผยในสถานที่และจังหวะเวลาที่เหมาะสมครับ การเปิดเผยมันสุ่มสี่สุ่มห้าถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีเลย ถ้าท่านถูกเปิดโปง, มันก็จะชักจูงความคิดของผู้คนไปสู่ความสับสนและอย่างเลวร้ายที่สุดท่านก็อาจจะถูกจับกุมโดยไม่ให้โอกาสแก้ตัวเลย”
“ข้าก็รู้อยู่หรอก…..”
“ถ้าเช่นนั้นคำตอบก็ชัดเจนแล้วครับ ต่อให้โอกาสถูกเปิดโปงจะน้อย, แต่การที่ท่านไม่ได้ใช้เวทมนตร์ในตอนนั้นถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว และการเอาตัวเองไปยุ่งกับสงครามกลางเมืองก็ไม่มีความหมายอะไรด้วย ต่อให้พวกเราได้รับจดหมายมา, ความเป็นไปได้ที่สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นก็ยังคงมีอยู่ แต่ถ้าท่านยืนกรานว่าจะใช้มันก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่ด้วยการที่ท่านบอกทุกอย่างกับองค์ชายลีโอนาร์ดและใช้เวทมนตร์เพื่อเคลื่อนย้ายไปด้วยกันกับเขา”
“ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก มันไม่ใช่ความลับที่จะปกปิดเอาไว้ได้ตลอดไป สุดท้ายแล้ว, ตัวตนของข้าก็จะถูกเปิดเผยหรือไม่ข้าก็จะเปิดเผยสู่สาธารณะเอง ในตอนนั้น, ผลลัพธ์จะแตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับว่าลีโอรู้เรื่องรึเปล่า ซึ่งลีโอยังไม่ควรที่จะรู้เรื่องนี้ มันต้องเป็นแบบนั้นเท่านั้น”
มันคงจะไม่เป็นอะไรถ้าเขาเนียนเก่งแต่ถ้าท่านพ่อถามเขา, ลีโอคงไม่สามารถโกหกเขาได้แน่ และนั่นก็จะนำไปสู่เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดซึ่งนั่นก็คือการที่พวกเราทั้งคู่ถูกลงโทษ
อย่างไรก็ตาม, ถ้าเขาไม่รู้เรื่องมันก็จะไม่มีเหตุให้ลงโทษเขา ถ้าพวกเขาจะลงโทษเขาแค่เพราะเป็นน้องชายของข้า, ทั้งราชวงศ์ก็ต้องถูกลงโทษด้วย ท่านพ่อคงไม่ทำเรื่องไร้เหตุผลแบบนั้นหรอก
“ถ้างั้นก็ช่วยถือซะว่าไม่มีทางเลือกแล้วกันครับ จดหมายไม่ได้ไปอยู่ในมือองค์หญิงซานดร้า นี่ถือว่าไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด พวกเราควรมองไปข้างหน้ามากกว่าการมานึกเสียใจกับเรื่องในอดีตครับ”
“ข้ารู้ ครั้งนี้จดหมายหลุดมือพวกเราไปแต่ครั้งหน้าจะไม่ใช่แบบนี้แน่ ข้าจะต้องชิงไหวพริบกับโซเนียให้ได้”
“ต้องมั่นใจแบบนี้แหล่ะครับ ถ้างั้น, ก่อนอื่นก็ช่วยกรุณาไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ สิ่งที่องค์ชายกอร์ดอนมุ่งหมายก็คือสงคราม เขาน่าจะเก็บจดหมายเอาไว้กับตัวเพื่อให้เวลาทางใต้เตรียมตัวทำสงคราม สำหรับตอนนี้, พวกเรายังมีเวลาอยู่”
ฉันพยักหน้าให้เซบาส
กอร์ดอนได้จดหมายไปแต่การสืบสวนทางใต้ยังคงเป็นงานของลีโอ การให้ลีโอยื่นจดหมายนั้นคือวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเริ่มสงคราม
ถ้าเขายื่นจดหมายในทันทีทางใต้ก็จะไม่มีเวลาเตรียมตัว ที่ฉันหมดความอดทนก็เพราะจดหมายถูกชิงไปแต่มันน่าจะอีกสักพักก่อนที่ทางใต้จะเตรียมการเสร็จ กอร์ดอนจะต้องรอให้พวกเขาพร้อมแล้วค่อยส่งจดหมายมาให้พวกเราแน่ๆ จากนั้นเขาก็จะได้รับบทบาทหลักในสงครามกับทางใต้
นี่คงจะเป็นแผนการของกอร์ดอน
แต่มันก็แค่นั้น
พวกเรายังมีโอกาสฟื้นฟูอยู่ ถ้าสงครามปะทุขึ้น, ลีโอเองก็สร้างความสำเร็จได้และถ้าเขาทำได้ดี, เขาก็จะสามารถยับยั้งการเคลื่อนไหวของกอร์ดอนได้
ปัญหาก็คือโซเนีย…..
“ศัตรูงั้นหรอ…..”
ฉันนึกถึงใบหน้าที่เศร้าสร้อยของโซเนีย
ฉันคิดว่าที่เธอรับใช้กอร์ดอนนั้นไม่ได้มาจากใจจริง
ในตอนที่พวกเราเจอคนของกอร์ดอน, เธอบอกว่าเธอเป็นหนึ่งในคนของเขาแต่เธอก็ยังพูดด้วยว่าก่อนหน้านั้นเธอไม่ได้มองว่าตัวเองเป็น
เธอน่าจะมีเหตุผลที่ต้องร่วมมือกับกอร์ดอนสินะ
มีเรื่องมากมายที่ต้องกังวล
อย่างไรก็ตาม, อย่างที่เซบาสพูด, ตอนนี้มันคือเวลาพักผ่อน
ฉันคิดเช่นนั้นแล้วไปนอนที่เตียง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น