Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi 1-15

 ตอนที่ 1 : เริ่มเคลื่อนไหว


 


“เรามาเริ่มที่การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนักผจญภัยแรงค์ SS ซิลเวอร์จะดีไหมครับ?”


 


“ไม่ดี”


 


ในตอนที่อาร์โนลด์กลับมาถึงห้อง, เขาก็ปรึกษากับเซบาสเกี่ยวกับแผนการในอนาคต


 


คนๆเดียวที่รู้ว่าเขาคือซิลเวอร์นั้นก็คือเซบาส แน่นอนว่า, การเปิดเผยตัวตนของเขานั้นมีข้อดีอยู่ อย่างไรก็ตาม, มันก็มีข้อเสียพ่วงมาด้วย


 


“ท่านปู่ของข้าเคยทุ่มเทให้กับเวทมนตร์โบราณและมันก็ทำลายเขา ตั้งแต่นั้นมา, เวทย์โบราณก็เลยกลายมาเป็นข้อห้ามของราชวงศ์ไปเลย ซึ่งเวทมนตร์ที่ข้าใช้เองก็เป็นเวทย์โบราณด้วย ดังนั้นการเปิดเผยตัวว่าข้าใช้เวทมนตร์แบบนั้นในขณะที่น้องชายฝาแฝดของข้ากำลังอยู่ในศึกชิงบัลลังก์ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่”


 


“แต่ถึงอย่างนั้น, ซิลเวอร์ก็สร้างชื่อให้ตัวเองและมีผลงานที่รู้จักโดยทั่วกันนะครับ จะบอกว่าเขาเป็นนักผจญภัยที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรก็ยังได้ ถ้ามองในแง่นี้มันก็เป็นประโยชน์กับเจ้าชายลีโอนาร์ดไม่ใช่หรอครับ?”


 


“มันยังเร็วเกินไป ถ้ามันจนปัญญาแล้วจริงๆพวกเราค่อยใช้มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายก็แล้วกัน ตราบใดที่ลีโอยังอยู่ในศึกชิงบัลลังก์, การที่ข้าเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าชายไร้ค่ามันจะทำให้ข้าทำงานได้สะดวกกว่า”


 


“แต่ว่า……”


 


“เถอะหน่าลุง, แบบนี้มันง่ายสำหรับข้ามากกว่านะ”


 


“…..ถ้าท่านตัดสินใจแล้วข้าขอไม่พูดอะไรอีกก็แล้วกันครับ แต่ว่า, ท่านวางแผนจะทำอะไรต่อหรอ? ถ้าท่านไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนของท่าน, ท่านก็เคลื่อนไหวอะไรได้ไม่ค่อยมาก, ถูกไหมครับ?”


 


“เซบาส มีดยุคบ้านไหนที่ยังไม่เข้าร่วมในศึกนี้เหลืออยู่ไหม?”


 


“มีอยู่บ้านนึงครับ มีแค่ดยุคบ้านนั้นที่ยังไม่เข้าร่วมในการต่อสู้นี้เลย”


 


“บ้านไหน?”


 


“บ้านไคลเนลต์ครับ”


 


บ้านใหญ่ซะด้วยนะเนี่ย


 


บ้านดยุคนั้นมีสายเลือดเกี่ยวพันธ์กับราชวงศ์ มันคือยศที่มอบให้กับพี่น้องของจักพรรดิที่ถูกมองว่ายอดเยี่ยมแต่ไม่ได้กลายเป็นจักพรรดิ มีพวกที่ยอมทิ้งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เพื่อให้ได้รับยศนี้แต่เพื่อการนั้นพวกเขาก็จะได้รับสมาชิกของราชวงศ์มาเป็นคู่ครองดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเพราะพวกเขาคิดว่าได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์อยู่ดี


 


สำหรับบ้านดยุคนั้น, การต่อสู้ชิงบัลลังก์นี้คือเหตุการณ์สำคัญ


 


ถ้าบ้านไหนเลือกสนับสนุนถูกคนและคนๆนั้นได้เป็นจักพรรดิ, บ้านนั้นก็จะได้รับรางวัลอย่างมหาศาล ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมบ้านดยุคทุกบ้านจึงเลือกที่จะผูกสัมพันธ์กับผู้สืบทอดที่เข้าแข่งขันไม่ทางใดก็ทางนึง อย่างไรก็ตาม, ถ้าเกิดพวกเขาไม่ได้ทำแบบนั้นมันก็อาจจะตีความได้ว่าพวกเขามีปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าอยู่ในมือ


 


“ความจริงที่ว่าพวกเขายังไม่ได้เข้าร่วมกับฝ่ายไหนเลยจนถึงตอนนี้ก็หมายความว่าพวกเขามีเรื่องบางอย่างที่กังวลอยู่สินะ?”


 


“ถูกต้องตามที่ท่านคิดเลยครับ ดูเหมือนว่าจะมีมอนส์เตอร์ที่ดุร้ายตัวนึงกำลังสร้างความวุ่นวายอยู่ในดินแดนของพวกเขา, พวกเขาได้ขอความช่วยเหลือจากนักผจญภัยแล้วแต่ดูเหมือนว่าทางนั้นยังไม่มีวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้เลยครับ”


 


กิลด์นักผจญภัยนั้นมีสาขาอยู่ทั่วทั้งทวีป


 


ที่จักรวรรดินี้เองก็มีสาขาแยกย่อยมากมาย, แต่ความสามารถของนักผจัญภัยในแต่ละสาขานั้นแตกต่างกัน


 


สำหรับกิลด์นักผจญภัยในจักวรรดินี้, นอกจากสาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิ, เลเวลของสาขาอื่นๆนั้นไม่ได้สูงเลย และถึงแม้จะเป็นที่สาขาเมืองหลวงของจักวรรดิเอง, ถ้าเกิดไม่รวมเขาไปด้วย, เลเวลของมันก็สูงกว่าสาขาอื่นแค่เล็กน้อย


 


ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่ค่อยมีมอนส์เตอร์ปรากฎตัวขึ้นในจักรวรรดิ การที่จักรวรรดิสงบสุขนั้นมันถือเป็นเรื่องที่ดีแต่การที่ไม่ค่อยมีมอนส์เตอร์แบบนี้มันก็หมายความว่าขาดความต้องการด้วย และนี่ก็ทำให้นักผจญภัยที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่ย้ายไปยังสถานที่ที่มีมอนส์เตอร์ให้ล่ามากกว่า


 


ดังนั้น, เมื่อมีปัญหาที่มีมอนส์เตอร์มาเกี่ยวข้องจักรวรรดิก็จะต้องใช้เวลาสักพักในการแก้ไขปัญหา ถึงยังการพานักผจญภัยจากภายนอกเข้ามานั้นมันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว


 


“ข้าควรช่วยพวกเขาไหม?”


 


“เป็นความคิดที่ดีครับแต่ท่านจะสร้างความเชื่อมโยงระหว่างซิลเวอร์กับเจ้าชายลีโอนาร์ดยังไงหรอครับ?”


 


“ง่ายๆข้าก็แค่บอกว่ามาตามคำขอของลีโอก็พอแล้ว เดี๋ยวข้าจะอธิบายรายละเอียดให้ลีโออีกทีเพราะฉะนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก”


 


“ถ้าเกิดพวกเขารู้ว่าเจ้าชายลีโอสามารถเคลื่อนไหวนักผจญภัยแรงค์ SS ที่ไม่เคยเคลื่อนไหวตามคำขอของอาณาจักรอย่างซิลเวอร์ได้มันจะทำให้พวกเขาเพ่งเล็งเจ้าชายลีโอนาร์ดมากขึ้นนะครับ และถ้ามันเป็นแบบนั้นพวกเขาก็อาจจะสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายอาร์โนลด์กับซิลเวอร์ได้ด้วยไม่ใช่หรอครับ?”


 


“ถึงพวกนั้นจะเริ่มระวังเขาก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าพวกนั้นรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับซิลเวอร์, พวกนั้นก็จะไม่สามารถเล่นงานเขาได้ง่ายๆ ตัวตนของซิลเวอร์ไม่ใช่ปัญหาหรอก มันจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่ข้าระวังตัว”


 


“ถ้าท่านยืนกรานเช่นนั้นข้าก็จะไม่ห้ามอะไรท่าน แต่, โปรดรู้ไว้ด้วยนะครับว่าการถูกจับได้มันแตกต่างกับการเปิดเผยตัวเองคนละเรื่องเลยนะครับ”


 


“รู้แล้วหน่า เอาเป็นว่า, ตอนนี้ข้าขอมุ่งหน้าไปบ้านดยุคไคลเนลต์ก่อนแล้วกันนะ”


 


พอพูดจบ, เขาก็เปลี่ยนไปใส่ชุดของซิลเวอร์ที่เขาคุ้นเคยดีและขอให้เซบาสจัดการเรื่องที่นี่ในขณะที่เตรียมใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้าย


 


มันคือเวทมนตร์ที่ถูกทิ้งเอาไว้จากอารยธรรมโบราณ สิ่งที่ถูกเรียกว่าเวทมนตร์โบราณนั้นคือเวทมนตร์ที่ควบคุมได้ยากกว่าและมีลักษณะที่เฉพาะกว่าเวทมนตร์ในสมัยนี้มาก อย่างไรก็ตาม, ผลของมันก็รุนแรงเช่นกัน


 


เวทมนตร์เคลื่อนย้ายของเขานั้นสามารถเดินทางได้เกือบจะทั่วทั้งจักรวรรดิ ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว, จักรวรรดินี้ก็เหมือนสวนหลังบ้านของเขา เขาสามารถไปได้ทุกที่ที่ต้องการ, ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน, มันก็ต้องใช้พลังเวทย์ปริมาณมหาศาลจากตัวผู้ใช้, ซึ่งเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากปิดหูปิดตาให้กับข้อเสียเช่นนี้


 


ในระหว่างที่เขากำลังเตรียมเวทมนตร์อันยิ่งใหญ่, เซบาสก็ให้คำแนะนำเขาอีกเล็กน้อย


 


“จะว่าไปแล้ว, ลูกสาวของดยุคไคลเนลต์ก็คือเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินคนนั้น ความสวยของเธอไร้ที่ติ โปรดระวังอย่าให้ความสวยของเธอมาล่อลวงท่านและลืมวัตถุประสงค์ของตัวเองนะครับ”


 


“เซบาส, ข้าคิดเรื่องนี้มาตั้งนานแล้วนะ, จิตใจของท่านจะไม่สงบใช่ไหมถ้าไม่ได้บ่นข้าก่อน?”


 


“ก็มันเป็นงานของข้านี่ครับ”


 


“หึ…เอาเถอะข้าขอฝากเรื่องที่เหลือให้ท่านจัดการก็แล้วกันนะ”


 


“ตามประสงค์ครับ”


 


หลังจากที่เขาร่ายเวทมนตร์เคลื่อนย้ายสำเร็จ, เขาก็ถูกย้ายจากเมืองหลวงของจักวรรดิไปยังบ้านของดยุคไคลเนลต์ซึ่งปกติต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยห้าวันในทันทที


 


——————–


 


บ้านของดยุคไคลเนลต์นั้นคือดินแดนกว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของจักวรรดิ เขาเคลื่อนย้ายมายังเมืองหลวงของดยุคผู้นี่ที่ซึ่งอยู่ส่วนกลางของดินแดนและเข้าไปเยี่ยมคฤหาสน์ของดยุคในทันที


 


“ข้าคือนักผจญภัยแรงค์ SS, ซิลเวอร์ ข้ามาขอพบท่านดยุค”


 


“เจ้านะรึ ซิลเวอร์? อย่ามาตลกหน่อยเลย ถ้าคนระดับนั้นจะมาเยี่ยมพวกเรากิลด์นักผจญภัยก็น่าจะติดต่อมาก่อนหนี้สิ เลิกเล่นลูกไม้แล้วกลับไปยังที่ของเจ้าซะ”


 


นี่คือสิ่งที่ผู้เฝ้าประตูหนุ่มผมบลอนด์บอกกับเขา


 


ความคิดที่จะย่างสดเขาผุดขึ้นมาในหัวอยู่พักนึงแต่ว่านั่นจะเป็นการทำลายจุดประสงค์ในการมาเยี่ยมของเขา


 


ด้วยการเก็บความหงุดหงิดเอาไว้, เขาก็เอาบัตรนักผจญภัยที่สามารถยืนยันตัวตนของเขาได้ออกมา


 


สิ่งนี้จะมีชื่อของนักผจญภัย, แรงค์และข้อมูลอื่นๆอยู่ บัตรพวกนี้สร้างขึ้นโดยใช้เทคนิคลับของกิลด์ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปลอมขึ้นมา


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าเข้าได้แสดงให้ดูหล่ะก็นะ


 


“เจ้าไม่ต้องเอาบัตรของเจ้ามาให้ข้าดูหรอก กลับไปซะ! ตอนนี้ข้ากำลังยุ่งอยู่!”


 


“หา!?”


 


โดยไม่แม้แต่จะดูบัตร, คนเฝ้าประตูก็หันหลังเดินจากเขาไป


 


ทัศนคติของคนเฝ้าประตูนั้นกวนโทสะของเขาจริงๆแต่ว่านี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีเหมือนกัน


 


ตอนแรก, เขาวางแผนจะช่วยพวกเขาและสร้างบุญคุณกับพวกเขาแต่ถ้าเรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ก็มีอยู่วิธีเดียวที่จะสามารถทำให้พวกเขาเป็นหนี้บุญคุณได้


 


“ที่ข้าดั้งด้นมาถึงที่นี่ก็เพราะเป็นคำขอพิเศษของเจ้าชายลีโอนาร์ด….แต่ดูเหมือนว่าเจ้าชายจะใจดีกับพวกเจ้ามากเกินไปสินะ เอาสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ฝากไปบอกท่านดยุคด้วยหล่ะ….เจ้าได้ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของข้าและเจ้าชายเข้าซะแล้ว”


 


“ข้าจะเอาไปบอกทำไมหล่ะ! รีบๆไสหัวไปได้แล้ว!”


 


ผู้เฝ้าประตูคนนี้ยังคงรักษาความเย่อหยิ่งเอาไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ ดยุคไคลเนลต์นั้นเป็นคนที่มีเกียรติอย่างแท้จริงแม้พวกเขาจะมีประวัติศาสตร์ไม่นานนักเมื่อเทียบกับขุนนางคนอื่นก็ตาม


 


พอมาคิดว่ามีคนที่หยาบคายเช่นนี้กำลังปกป้องคฤหาสน์อันทรงเกียรติของพวกเขาอยู่มันก็ชวนให้โมโหจริงๆ ต่อให้นี้อาจจะเป็นเพราะมีวิกฤตการณ์มอนส์เตอร์ทำให้พวกเขาขาดกำลังคนก็ตาม


 


เห้อ, ส่วนใหญ่มันเป็นความผิดของไอ้เจ้านี่ก็จริงแต่ความผิดของลูกน้องก็ถือเป็นความผิดของเจ้านายเหมือนกันหล่ะนะ ก็รู้สึกผิดกับท่านดยุคอยู่หรอกแต่ขอทำให้ตื่นตระหนกซักหน่อยก็แล้วกัน


 


ในตอนที่รอยยิ้มเจ้าแผนการปรากฎขึ้นเบื้องหลังหน้ากากของเขา, เขาก็เหลือบเป็นเห็นเด็กสาวคนนึงกำลังจ้องมาทางเขาจากหน้าต่างชั้นสองของคฤหาสน์


 


เด็กสาวคนนั้นมีผมสีทองและดวงตาสีฟ้า, เธอดูงดงามมากแม้จะเห็นจากระยะไกลก็ตาม ซึ่งเขานั้นก็จำใบหน้าของเธอได้ด้วย


 


เมื่อสองปีก่อน, จักพรรดิได้สั่งให้ช่างฝีมือของจักรวรรดิทำเครื่องประดับผมที่มีรูปร่างเหมือนนกขึ้นมา จากนั้นในตอนที่ทำเสร็จแล้ว, เครื่องประดับผมสีน้ำเงินอันแสนวิเศษที่ทำขึ้นมาให้มีรูปร่างเหมือนนกนางนวลก็ได้ดึงดูดสายตาของจักรพรรดิเข้า


 


จักรพรรดิที่รู้สึกชื่นชอบมันในทันทีที่เห็นก็พูดขึ้นมาว่ามีแค่ผู้หญิงที่สวยที่สุดในอาณาจักรเท่านั้นที่เหมาะกับเครื่องประดับชิ้นนี้และรวบรวมสาวงามจากทั่วทั้งจักวรรดิมาที่เมืองหลวงของจักวรรดิ ในตอนนั้นแม้ว่าเธอจะมีอายุแค่สิบสี่ปี, แต่ลูกสาวของดยุคไคลเนลต์, ฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ก็ได้ถูกเลือกเป็นสาวงามที่เหมาะสมกับเครื่องประดับชิ้นนี้มากที่สุด


 


เธอได้รับเครื่องประดับผมนกนางนวลสีน้ำเงินและได้รับฉายาว่าเจ้าหญิงนกนางสีน้ำเงินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก นอกจากนี้เธอก็ได้กลายเป็นที่หมายปองของชายทั่วทั้งจักวรรดิ


 


หลังจากผ่านมาสองปี, ดูเหมือนเธอจะสวยขึ้นมากกว่าที่เราคิดอีกนะเนี่ย


 


แต่ว่า


 


“เธอสวยก็จริงแต่ไม่เห็นน่าดึงดูดเหมือนที่เซบาสพูดเลย”


 


พอนึกถึงคำพูดของเซบาส, เขาก็ออกมาจากบ้านดยุคอย่างหงอยๆแล้วกลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


“……กลับมาเร็วจัเลยนะครับ”


 


“ข้าได้ทำในสิ่งที่ข้าทำได้แล้ว! หลังจากนี้พวกเราจะไปที่บ้านดยุคไคลเนลต์ ไปเตรียมตัวซะ”


 


“…..แต่ท่านพึ่งกลับมาไม่ใช่หรอครับ?”


 


“คนที่พึ่งกลับมาคือซิลเวอร์, ส่วนคนที่กำลังจะไปคือเจ้าชายอาร์โนลด์ต่างหากหล่ะ หึหึ, ตอนนี้ดยุคคงทำได้แค่มาร้องห่มร้องไห้เบื้องหน้าลีโอเท่านั้นแหล่ะ ตอนนี้ดยุคเป็นพันธมิตรของเราแน่นอนแล้ว”


 


“ท่านกำลังทำรอยยิ้มชั่วร้ายอยู่ท่านรู้ตัวรึเปล่าครับ?”


 


เขาไม่สนใจคำพูดของเซบาสแล้วไปเตรียมตัวสำหรับการออกเดินทางของเขา


 


พอเห็นว่าเขากำลังฮัมเพลงในระหว่างที่เตรียมสัมภาระ, เซบาสก็ถอนหายใจแล้วเริ่มจัดของของตัวเอง


 


จากนั้นพวกเขาก็เดินทางด้วยม้าและไปถึงบ้านดยุคไคลเนลต์ในอีกห้าวันต่อมา


 


——————


 


หลังจากที่พวกเขาเข้าไปที่เมืองหลวงของดยุค, พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของดยุคในทันที, ครั้งนี้ดยุคไคลเนลต์ได้ออกมาให้การต้อนรับด้วยตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว, เพราะพวกเขาตั้งใจบอกให้เขารู้ล่วงหน้าว่าจะมาเยี่ยม อย่างไรก็ตาม, เหตุผลที่ดยุคออกมาให้การต้อนรับด้วยตัวเองนั้นก็เพราะเขาเป็นคนในราชวงศ์


 


แต่ถึงกระนั้นสำหรับดยุคคนอื่นๆคงจะไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองแบบนี้


 


ถึงยังไง, เขาก็เป็นเจ้าชายที่มีชื่อเสียงไม่ดีที่ไม่ได้สนใจจะชิงบัลลังก์ด้วยซ้ำ เขาคือเจ้าชายที่เที่ยวเล่นไปวันๆและโยนภาระทุกอย่างให้กับน้องชายของตัวเอง, เจ้าชายไร้ค่า


 


อยากรู้จังว่าทำไมดยุคไคลเนลต์ถึงออกมาต้อนรับเราด้วยความเคารพและนอบน้อมขนาดนี้


 


“เจ้าชาย ไม่ได้เจอกันมาซักพักนึงแล้วนะครับ”


 


“นั่นสินะ, ดยุคไคลเนล์ ว่าแต่เราเจอกันครั้งล่าสุดเมื่อไหร่นะ?”


 


“ตั้งแต่ตอนงานฉลองวันเกิดอายุครบสิบปีของท่านครับ, เจ้าชาย”


 


ชายวัยกลางคนที่มีผมบลอนด์จัดอย่างเป็นระเบียบและมีกล้ามคนนี้ก็คือดยุคเอลม่า ฟอนต์ ไคลเนลต์


 


เขาคือขุนนางผู้ปกครองดินแดนนี้มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วตั้งแต่ที่เขาได้รับสืบทอดมาจากดยุคคนก่อนตั้งแต่ยังเด็ก, การแสดงออกที่สุภาพอ่อนน้อมของเขานั้นเป็นเรื่องที่รู้กันดีในกลุ่มคนของเขาและขุนนางคนอื่นๆ นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในดยุคที่จักพรรดิไว้ใจด้วย


 


“นานจังเลยนะ แต่มันก็เป็นเพราะข้าไม่ค่อยออกมาจากเมืองหลวงด้วยแหล่ะ ดูเหมือนว่าข้าจะทำตัวเหินห่างจากขุนนางศักดินาเข้าแล้วสิ ยกโทษให้ข้าด้วยนะ”


 


“ไม่ต้องถือสาหรอกครับ มันเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่สามารถออกไปจากดินแดนและไปแสดงตัวที่เมืองหลวงได้”


 


จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์ในขณะที่บทสนทนาอย่างเป็นพิธีการนี้ยังคงดำเนินต่อไป


 


มีข้ารับใช้มากมายเดินตามหลังพวกเขาไปจนถึงตอนที่ดยุค, เขาและเซบาสเข้าไปในห้องรับแขก


 


“เอาหล่ะท่านดยุค ข้าเองก็ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่เพราะฉะนั้นจะขอเข้าเรื่องเลยนะ”


 


“เชิญครับเจ้าชาย ที่ท่านมาเยี่ยมเยือนพวกข้าในครั้งนี้มีจุดประสงค์อะไรหรอครับ?”


 


“ท่านเองก็ค่อนข้างใจร้ายเหมือนกันนะครับที่ถามจุดประสงค์ของพวกข้าด้วย มันก็แน่นอนอยู่แล้ว, พวกข้ามาที่นี่ก็เพื่อคุยเรื่องค่าตอบแทน”


 


“ค่าตอบแทนหรอครับ?”


 


“เอาจริงๆน้องชายของข้าไม่ได้อยากได้สิ่งตอบแทนหรอกแต่ในเมื่อเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับศึกชิงบัลลังก์แล้ว, ตอนนี้พวกข้าก็ไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่เพื่อเตือนท่าน ดยุคไคลเนลต์, ถ้าท่านมีความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของลีโออยู่บ้างทั้งหมดที่ข้าต้องการก็คือให้ท่านสนับสนุนเขาก็พอ”


 


“ดะ, เดี๋ยวก่อนนะครับ ข้าควรซาบซึ้งเรื่องอะไรหรอครับ?”


 


“…..ท่านดยุค, นี่ท่านแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องหรอ?”


 


ดยุคไคลเนลต์ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์มีสีหน้าสับสน


 


มันไม่มีทางหรอกที่บทสนทนาของพวกเขาจะคืบหน้าไปได้ ระหว่างฝ่ายพวกเขาที่ส่งซิลเวอร์มาช่วยกับฝ่ายดยุคที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซิลเวอร์มาเยี่ยม เขารู้เรื่องนี้ดี และเขาก็รู้ดีว่าถ้าพวกเขาเริ่มบทสนทนาบนความเข้าใจเดียวกันการพูดคุยก็คงจะนุ่มนวลกว่านี้


 


“ท่านคือดยุคที่ได้รับความไว้ใจจากองค์จักรพรรดิรวมถึงคนของท่านด้วย ลีโอเล็งเห็นถึงจุดนี้และวางแผนช่วยเหลือท่านด้วยความหวังดีตามแบบฉบับของเขาแต่เขาจะคิดยังไงกันนะถ้าเขารู้ว่าท่านจะตอบแทนเขาแบบนี้?”


 


“เจ้าชายอาร์โนลด์ ข้าไม่เข้าใจครับว่าท่านต้องการจะสื่ออะไร ข้าต้องขอประทานโทษจริงๆแต่ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าชายลีโอนาร์ดได้ทำอะไรเพื่อตระกูลของเรา”


 


“อะไรนะ?”


 


เขาก้าวเท้าออกมาหนึ่งข้างราวกับจะบอกว่าทนฟังไม่ไหวแล้ว


 


เซบาสที่รอช่วงเวลานี้อยู่ก็เข้ามาหยุดเขาอย่างทันท่วงที


 


“เจ้าชาย ดูเหมือนท่านดยุคจะไม่รู้เรื่องจริงๆนะครับ”


 


“มีอะไรที่สามารถสรุปได้หรอว่าเขาไม่รู้จริงๆ? ลีโออุตส่าสังให้นักผจญภัยแรงค์ SS มาช่วยเขาเลยนะเจ้าก็รู้นี่!? ยิ่งไปกว่านั้น, เขายังตัดสินใจทำแบบนี้ทั้งที่ตัวเองอยู่ในจุดขับขันจากศึกชิงบัลลังก์ด้วยเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรอ!? เขาคือเหตุผลที่ทำให้ซิลเวอร์เคลื่อนไหวไม่ใช่รึไง!?”


 


“ซะ, ซิลเวอร์หรอครับ? ท่านหมายถึงซิลเวอร์คนนั้นหรอ?”


 


“ใช่, คนนั้นแหล่ะ! ลีโอได้ยินมาว่าเจ้าเจอปัญหาจากการที่มอนส์เตอร์เข้ามาบุกรุกดินแดนของเจ้าก็เลยเขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากซิลเวอร์ ซึ่งซิลเวอร์ก็ตอบกลับมาว่าเขาจะจัดการมันให้ในเร็วๆนี้ เขาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์โบราณ, ข้าได้ยินมาว่าเขาสามารถใช้เวทย์เคลื่อนย้ายได้ด้วย, เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางหรอกที่เขาจะยังมาไม่ถึงหน่ะ!”


 


“เป็นความจริงหรอครับ!?”


 


“เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นคนขี้โกหกรึยังไง!?”


 


ในขณะที่เขาแสดงออกอย่างเกรี้ยวกราด, เขาก็เหลียวมองเซบาส


 


เซบาสที่รู้สึกได้ถึงสายตาของเขาก็กระโจนเข้ามาช่วยดยุค


 


“เจ้าชาย, ใจเย็นหน่อยสิครับ ตัดสินจากท่าทีของเขาแล้ว, ดูเหมือนว่าท่านดยุคจะไม่ได้โกหกจริงๆนะครับ เขาอาจจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆก็ได้ ข้าว่าให้ท่านดยุคได้มีเวลาสืบสวนเรื่องนี้สักพักจะดีกว่าไหมครับ?”


 


“สืบสวนหรอ? ถ้าผลลัพธ์ออกมา, แล้วยังไม่รู้เรื่องจะทำยังไง?”


 


“เมื่อถึงตอนนั้น, พวกเราก็ถามซิลเวอร์โดยตรงก็ได้นี่ครับ ถ้าเจ้าชายลีโอนาร์ดเป็นคนเรียกเขา, ซิลเวอร์ก็น่าจะยอมโผล่มานะครับ”


 


“เฮอะ! ถ้าเซบาสพูดถึงขนาดนี้ข้าจะให้เวลาซักพักก็ได้ แต่เจ้าคงรู้สินะว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าปกปิดอะไรจากพวกข้า? ถึงยังไงพวกข้าก็จะถามรายละเอียดจากซิลเวอร์โดยตรงอยู่แล้ว ถ้าพวกข้ารู้ว่าความผิดอยู่ทางฝั่งเจ้า, พวกข้าจะทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีนักผจญภัยคนไหนเข้ามาในดินแดนของเจ้าอีก”


 


“…..ขะ เข้าใจแล้วครับ พวกข้าจะรีบรวบรวมข้อมูลจากในตระกูลให้เร็วที่สุด ช่วยรออยู่ที่นี่สักพักนะครับ”


 


จากนั้นดยุคไคลเนลต์ก็รีบออกจากห้องไปอย่างลุกลี้ลุกลน


 


ถ้านี่เป็นคำพูดที่เกี่ยวข้องกับคนที่มีได้แข่งชิงบัลลังก์โดยตรงอย่างเขาเพียงอย่างเดียวดยุคก็คงจะไม่ลุกลี้ลุกลนขนาดนี้ แต่ปัญหาในครั้งนี้มันมีซิลเวอร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย


 


ในทวีปนี้มีนักผจญภัยแรงค์ SS อยู่แค่ห้าคนเท่านั้น พวกเขาคือผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในการกำจัดมอนส์เตอร์ พวกเขาไม่ใช่คนที่จะเคลื่อนไหวเพราะเงินเพียงอย่างเดียว, มันไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงเลยหากจะบอกว่าพวกเขาคือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของนักผจญภัย ถ้ามีคนสาดโคลนใส่หน้าของซิลเวอร์, นักผจญภัยคนอื่นๆก็จะไม่ไปเหยียบดินแดนของคนๆนั้น เพราะถ้าขนาดนักผจญภัยที่เป็นที่ชื่นชอบอย่างซิลเวอร์ยังได้รับการปฏิบัติที่เลวร้าย, มันก็ไม่มีทางเลยที่นักผจญภัยคนอื่นจะได้รับการปฏิบัติที่ดี


 


“ดูเหมือนจะไปได้ดีนะ”


 


“แผนนี้มันค่อนข้างใจร้ายอยู่นะครับ มันแทบไม่ต่างกับการเล่นทายปัญหากับตัวเองเลยไม่ใช่หรอครับ?”


 


“ลุงเองก็ค่อนข้างใจร้ายนะที่มองว่ามันเป็นการเล่นทายปัญหา นี่คือตระกูลที่ไล่ซิลเวอร์คนนั้นเชียวนะ ข้าก็แค่เปิดปากแผลเท่านั้นเอง, ข้าไม่ใช่คนที่ลงโทษซะหน่อย”


 


“ถ้าท่านถูกไล่ออกมาท่านก็แค่แอบเข้าไปก็พอแล้วนี่ครับ ท่านแค่เห็นโอกาสแล้วเลือกที่จะไหลไปตามมันเท่านั้นเองไม่ใช่หรอ? ยิ่งไปกว่านั้น, ท่านยังเน้นย้ำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้าชายลีโอนาร์ดด้วยการเล่นละครวางท่านั่นอีก ครั้งนี้ข้าขอชื่นชมกับความเจ้าแผนการของท่านจริงๆ”


 


“มันคือบทบาทของข้า ลีโอใจดีเกินไป ถ้าเปรียบเขาเป็นน้ำ, เขาก็คือน้ำที่ใสเกินกว่าที่ปลาจะเอาตัวรอดได้ เขาจะต้องมีคนที่ทำให้น้ำขุ่นซะบ้าง


 


“ถ้าท่านตัดสินใจแล้วว่าท่านจะเล่นบทบาทนี้ข้าก็จะไม่ห้าม, แต่ท่านรู้ใช่ไหมครับว่าทำแบบนี้ตัวท่านมีแต่เสียกับเสีย?”


 


“ไม่เป็นไรหรอก สิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเราในตอนนี้ก็คือชื่อเสียงของลีโอ ข้าไม่สนใจหรอกว่าชื่อเสียงของข้าจะเลวร้ายลงไปอีกแค่ไหน”


 


“แต่ข้าสนนะครับ แล้วข้าก็คิดว่าท่านแม่ที่ท่านเคารพรักและเจ้าชายลีโอนาร์ดก็คงจะสนเหมือนกัน”


 


“มีคนห่วงใหญ่ข้าตั้งสามคนมันก็มากพอแล้วหล่ะ”


 


ในตอนที่บทสนทนานี้จบลง, เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนของดยุคดังมาจากข้างนอก


 


“ไอ้ลูกชายโง่เง่า!! นี่เจ้าคิดจะทำลายตระกูลของเรารึยังไง!?”


 


ดูเหมือนว่าดยุคจะรวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว


 


เอาเข้าแล้วไง, ข้าหล่ะอยากรู้จริงๆว่าเรื่องนี้ผลจะออกมาเป็นยังไง


ตอนที่ 2 : สองบทบาท


 


“ทางเราขอประทานโทษเป็นอย่างยิ่งครับ!”


 


ดยุคไคลเนลต์พูดพร้อมกับก้มศรีษะ ที่ข้างๆเขา, คนเฝ้าประตูหนุ่มผมบลอนด์เองก็กำลังทำแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม, มันดูเหมือนกับว่าดยุคบังคับพาเขามาที่นี่, เขาดูไม่พอใจเพราะเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ซักเท่าไหร่


 


ซึ่งการที่เขาไม่พอใจกับสถานการณ์นี้นั้นคงจะมาจากการที่เขามีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป


 


“ท่านดยุค เรื่องขอโทษหน่ะช่างมันเถอะ, บอกข้ามาเกิดอะไรขึ้น”


 


“คะ, ครับ…..ดูเหมือนว่าเมื่อห้าวันก่อนซิลเวอร์จะมาเยี่ยมพวกข้าจริงๆแต่ไอ้เจ้าลูกชายโง่เง่าของข้ามันไล่เขากลับไปโดยไม่ได้ตรวจสอบตัวตนของเขาให้ดีก่อน……”


 


“เจ้าไล่เขากลับไปหรอ…….?”


 


“แต่ท่านพ่อ! มันแปลกไม่ใช่หรอครับที่จู่ๆจะมีนักผจญภัยแรงค์ SS มาโผล่ที่ประตูหน้าบ้านเราแบบนี้? ถ้าคิดตามหลักแล้วท่านเองก็คงจะคิดว่าเขาเป็นตัวปลอมไม่ใช่หรอ?”


 


“หุบปากไปเลยไอ้ลูกโง่! เพราะเจ้ามันทำอะไรไม่ค่อยได้ข้าก็เลยฝากให้เจ้าดูแลคฤหาสน์ในขณะที่ข้าออกไปจัดการมอนส์เตอร์! แต่ดูสิแม้แต่เรื่องง่ายๆแค่นี้เจ้าก็ยังทำไม่ได้เลย!”


 


“ตะ, แต่ว่าท่านพ่อพูดเองไม่ใช่หรอครับ….? ท่านบอกให้ข้าไล่ชายทุกคนที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับฟีเน่…….”


 


“แต่ข้าไม่เคยบอกให้เจ้าไล่นักผจญภัยแรงค์ SS! ถ้าเจ้าเสียเวลายืนยันบัตรนักผจญภัยของซิลเวอร์ซักหน่อยมันก็คงจะไม่หนักหนาสาหัสอะไรหรอก ถูกไหม? แล้วทำไมเรื่องแค่นี้เจ้าถึงยังทำไม่ได้!?”


 


“คะ, คือว่านั่น……..”


 


ดวงตาของลูกชายเริ่มสั่นเครือ นี่คือดวงตาของคนที่กำลังหาทางโกหกเพื่อเอาตัวรอดอยู่


 


การที่คนโง่จะโกหกนั้นมันเป็นเรื่องที่มองออกได้ในทันที ต่อให้เขาโกหกว่าซิลเวอร์ไม่ได้แสดงบัตรให้ดู, พวกเขาก็สามารถตรวจสอบได้ด้วยการไปถามซิลเวอร์โดยตรง ดังนั้นในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้วการกระทำที่ดีที่สุดก็คือการขอโทษและก้มหัวอย่างจริงใจเพื่อลดความเสียหายให้น้อยลง


 


“ท่านดยุค ท่านค่อยไปสะสางกับลูกชายของท่านในภายหลังเถอะ ข้าก็รู้สึกผิดที่ต้องพูดอยู่หรอกนะแต่ท่านเองก็ต้องแบกรับความผิดของเขาด้วย”


 


“คะ, ครับ, ข้าเข้าใจดี! พวกเราจะจัดทำจดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการส่งให้เจ้าชายอาร์โนลด์กับเจ้าชายลีโอนาร์ดเองครับ………”


 


“จดหมายขอโทษหรอ? เขียนจดหมายขอโทษจากการที่ไล่นักผจญภัยแรงค์ SS ที่เจ้าชายตั้งใจส่งมาให้เจ้าเนี่ยนะ!? ขอฟังหน่อยซิ! เจ้าจะเขียนคำขอโทษยังไงกัน? เจ้าสาดโคลนใส่หน้าซิลเวอร์, เขาอาจจะไม่ให้ความร่วมมือกับพวกข้าแล้วก็ได้! เจ้าจะชดเชยกับเรื่องนี้ยังไงห้ะ!?”


 


“ถะ ถ้างั้น…..โปรดรับศรีษะของชายแก่คนนี้แทนคำขอโทษของพวกเราเถอะครับ!”


 


“จะโง่ไปถึงไหนกัน, ข้าไม่อยากได้หัวของเจ้า! หัวของลูกชายไม่ได้ความของเจ้าเองข้าก็ไม่อยากได้”


 


ดยุคไคลเนลต์รู้สึกสิ้นหวังกับคำพูดของเขา, แต่ทางด้านลูกชายนั้นกลับรู้สึกโล่งอก พอมาคิดว่าตระกูลที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มีลูกชายแบบนี้มันก็ดูน่าสงสารจริงๆ


 


ตราบใดที่เขาไม่สามารถชดเชยมันด้วยชีวิตได้, ดยุคไคลเนลต์ก็ต้องเสนอสิ่งอื่นที่สามารถชดเชยให้พวกเขาได้


 


และสิ่งนั้นก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับตระกูลดยุคและต้องเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขาและลีโอด้วย


 


กล่าวคือ


 


“—ถ้างั้นขอเสนอตัวข้าเองค่ะ แบบนี้พอจะช่วยยกโทษให้ท่านพ่อกับท่านพี่ได้ไหมคะ, องค์ชาย”


 


ฟีเน่ที่สวมชุดสีฟ้าเดินเข้ามาในห้อง


 


พอได้เห็นใกล้ๆแล้ว, เขาก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้เชยชมความงดงามของเธอได้ แม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้, แต่เขาก็ไม่สามารถละสายตาจากฟิเน่ได้เลย


 



 


ผมยาวสีบลอนด์ของเธอปลิวไสวเล็กน้อยและส่องสว่างจากแสงที่สะท้อนกับมัน ดวงตาสีฟ้าของเธอดูนุ่มลึกราวกับมหาสมุทรซึ่งปล่อยแสงสว่างที่จะปกคลุมคุณทั้งตัวด้วยจิตใจที่ดีงามของเธอ แม้ว่าร่างกายของเธอจะเล็ก, แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงเสน่ห์จากตัวเธอ


 


สีหน้าของเธอนั้นค่อนข้างจริงจังแต่มันก็ไม่ได้พรากความงามของเธอไปเลย พูดตามตรง, ตั้งแต่ตอนที่เธออยากจะเสนอตัวเองให้กับพวกเขา, เขาก็อยากจะอ้าแขนตอบรับเธอแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร, แต่ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณก็คงอยากจะทำเหมือนกัน, เขาเกือบจะตอบรับเธอไปตามสัญชาตญาณแล้ว อย่างไรก็ตาม, นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะปล่อยตัวไปตามสัญชาตญาณเช่นนี้ได้


 


การปรากฎตัวของฟีเน่นั้นอยู่เหนือการคาดการณ์ของเขา เขาวางแผนจะกดดันดยุคต่ออีกซักเล็กน้อยแล้วค่อยให้เขาเข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์เพื่อสนับสนุนพวกเขา


 


“—! ฟีเน่!? โปรดอภัยให้พวกเราเถอะครับองค์ชาย! ลูกสาวของข้ายังเด็กอยู่!”


 


ดยุคก้มตัวลงกราบอย่างเต็มที่เบื้องหน้าเขาซึ่งมันบ่งบอกถึงความรักที่เขามีให้ลูกสาว ตอนแรกเขายอมเสนอศรีษะของตัวเองเพื่อชดเชยความผิดให้กับลูกชายและมาครานี้เขาก็ยอมหมอกกราบเพื่อช่วยลูกสาว, เขาช่างเป็นคุณพ่อที่ดีจริงๆ


 


“โปรดไว้ชีวิตท่านพ่อกับท่านพี่ด้วยเถอะค่ะ! ข้าเองก็เห็นท่านซิลเวอร์ในตอนที่เขามาเยี่ยมพวกเรา! ถ้านี่คือความผิดของตระกูลเราข้าเองก็พร้อมที่จะแบกรับด้วย!”


 


“นะ, น้องพี่ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย! ทั้งหมดมันเป็นความผิดของข้าเอง! โปรดยกโทษให้ข้าเถอะครับ!”


 


ครั้งนี้ฝั่งลูกชายเองก็ลดตัวลงหมอบเช่นกัน


 


นี่มันคือไอ้นั่นใช่ไหม? ฉากบทนึงที่เขารับบทเป็นตัวร้ายเข้าเต็มๆ


 


เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้วเขาก็คิดว่าเขาจะเล่นสงครามจิตวิทยากับดยุคต่อไปอีกซักเล็กน้อย


 


เขามองเซบาสเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งเซบาสก็ถอนหายใจออกมาแล้วเปิดปากพูด


 


“องค์ชาย ในเมื่อทุกคนจากตระกูลดยุคลงทุนทำถึงขั้นนี้แล้ว ท่านเองก็ลดโทสะลงหน่อยจะไม่ดีกว่าหรอครับ?”


 


“เจ้าอยากให้ข้ายกโทษให้พวกเขาหรอ? พวกเขาดูหมิ่นข้ากับน้องนะเจ้าก็รู้นี่!? ถ้าข้าให้อภัยกับเรื่องในครั้งนี้แล้วใครจะมายำเกรงพวกข้าอีก!”


 


“ตราบใดที่เราเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับมันก็จะไม่เป็นปัญหาครับ เรามาทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเถอะครับ”


 


“แล้วจะเอายังไงกับซิลเวอร์!?”


 


“เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เขาคงไม่ทิ้งงานเพียงเพราะถูกไล่แค่ครั้งเดียวหรอกครับ, และตอนนี้เขาก็น่าจะยังอยู่แถวนี้ด้วยเช่นกัน ลองส่งคนไปตามหาเขาดีไหมครับ ถ้าพวกเราขอโทษเขาอย่างจริงใจ, เขาก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์ของพวกเราเหมือนกันนะครับ”


 


“ที่เจ้าต้องการจะสื่อก็คือ, ถ้าซิลเวอร์ยอมแก้ปัญหาในดินแดนนี้, เจ้าก็จะบอกให้ข้ามองข้ามเรื่องที่ดยุคไคลเนลต์มาหยามศักดิ์ศรีของพวกข้าสินะ?”


 


เขาคิดว่าในที่สุดพวกเขาก็หาทางจบเรื่องนี้ได้ด้วยดีแล้ว


 


หลังจากนี้, ถ้าเซบาสชี้ให้เห็นว่าเขาทำการตัดสินใจโดยพลการเขาก็จะสามารถถอนตัวออกมาจากเรื่องนี้ได้ด้วย


 


เอาเถอะ, ถึงการทำแบบนี้จะทำให้เขาดูเหมือนคนที่ยืมอำนาจจากน้องชายมารังแกตระกูลดยุคก็ตาม, แต่นี่แหล่ะคือสิ่งที่เขาต้องการแล้ว


 


ณ จุดนี้คนที่กำลังแข่งชิงบัลลังก์นั้นมีแค่ลีโอเท่านั้น, ไม่ใช่เขา


 


“มันจะไม่เป็นไรแน่นอนครับเพราะข้าจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับองค์ชายลีโอนาร์ดในภายหลัง”


 


“ถึงปรึกษาเขาไปก็ไม่ได้อะไรหรอก! ไอ้หมอนั่นยอมยกโทษให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้วไม่ใช่รึไง!?”


 


“เพราะองค์ชายลีโอนาร์ดเป็นคนเช่นนั้นยังไงหล่ะครับผู้คนถึงชอบมารายล้อมรอบตัวเขา ยิ่งไปกว่านั้น, เจ้าชายอาร์โนลด์ ท่านเป็นพี่ชายของเจ้าชายลีโอนาร์ดก็จริงแต่ที่ที่ผู้คนถูกดึงดูดไปนั้นก็ยังคงเป็นที่ของเจ้าชายลีโอนาร์ด ดังนั้นต่อให้ท่านจะเป็นพี่แท้ๆแต่ถ้าท่านยังดึงดันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายลีโอนาร์ดกับดยุคเลวร้ายไปกว่านี้โดยไม่บอกเขา, มันจะทำให้จุดยืนของท่านเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมนะครับ”


 


“เหอะ…ก็ได้ เอาตามที่เจ้าว่านั่นแหล่ะ ดยุค, ส่งคนของเจ้าไปตามหาซิลเวอร์ซะ ถ้าเจอเขาเมื่อไหร่ข้าจะไปพูดกับเขาให้เจ้าเอง เซบาส, เจ้าเองก็ต้องไปช่วยตามหาด้วย”


 


เขาสรุปเรื่องทุกอย่างเข้าด้วยกันในขณะที่ทำทีเป็นไม่เต็มใจ


 


ตอนนี้งานที่เหลือก็คือเล่นบทเป็นซิลเวอร์และช่วยแก้วิกฤติให้ดินแดนแห่งนี้ และพอเขาทำสำเร็จดยุคไคลเนลต์ก็จะกลายมาเป็นพัธมิตรของลีโอ


 


นี่คงพูดได้เลยว่ามันถือเป็นก้าวแรกสุดในศึกชิงบัลลังก์


 


ด้วยความคิดนี้ในหัว, เขาก็เริ่มวางแผนการเล่นสองบทบาท


 


 


———————-


 


“ท่านยังอยู่ในดินแดนของดยุคจริงๆด้วยสินะ คิดไม่ถึงเลย”


 


“ข้าคิดว่าเจ้าจะส่งใครสักคนมาตามข้าในไม่ช้าก็เร็ว แต่ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกันนะที่เจ้าชายไร้ค่ายอมลงทุนมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง”


 


ซิลเวอร์อยู่ในโรงเตี๊ยมธรรมดาแห่งนึง พูดให้ถูกต้องกว่านี้ก็คือ, มันถูกจัดฉากให้ออกมาเป็นแบบนี้


 


เขาใช้เวทย์โบราณใส่เจ้าของโรงเตี๊ยมเพื่อทำให้เขาคิดว่ามีลูกค้าแปลกๆมาพักอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เมื่อห้าวันก่อนและจัดแจงให้เซบาสมาเจอสถานที่แห่งนี้แล้วจากนั้นเขาก็มาพบซิลเวอร์ด้วยตัวเอง


 


“แล้วสตรีนางนี้คือผู้ใดกัน?”


 


“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะท่านซิลเวอร์ ข้ามีชื่อว่าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์”


 


“นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรกของเราหรอกนะ เราได้สบตากันเมื่อห้าวันก่อน”


 


พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด, ฟีเน่ก็สะดุ้งเล็กน้อย


 


ด้วยความที่เธอยังมีอายุแค่สิบหกปี, การพูดกับนักผจญภัยแรงค์ SS นั้นจึงไม่ใช่งานที่ง่ายเลย แถมมันยังยากขึ้นไปอีกเพราะต้องพยายามพูดให้เขายกโทษให้สำหรับเรื่องหยาบคายที่ตระกูลของเธอได้ทำไป


 


ดยุคไคลเนลต์ต้องจัดการกับมอนส์เตอร์ในดินแดนดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมาด้วยตัวเองได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้บอกกับดยุคไปว่าเขาจะมาคุยกับซิลเวอร์เพียงลำพังก็ได้ อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่บอกว่าตัวแทนของตระกูลดยุคควรจะต้องมาด้วยเหมือนกัน


 


และก็ต้องขอบคุณความจริงใจที่ไม่จำเป็นนี้, เขาถึงต้องสร้างซิลเวอร์ขึ้นมาด้วยเวทย์ลวงตาและแสดงสองบทบาทเบื้องหน้าฟีเน่ ส่วนเหตุผลที่ทำไมเขาถึงเลือกสร้างภาพลวงตาของซิลเวอร์นั้นก็เพราะต่อให้เธอรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาว่าซิลเวอร์ที่อยู่เบื้องหน้าเป็นภาพลวงตา, เขาก็ยังอ้างได้ว่าซิลเวอร์ระวังพวกเขาอยู่ แต่ในทางตรงกันข้าม, ถ้าเขาเลือกสร้างภาพลวงตาของตัวเองในฐานะเจ้าชายเขาก็จะต้องสร้างภาพลวงตาด้วยเวทมนตร์ที่ล้ำขึ้นไปอีกเพื่อให้สามารถสร้างออกมาได้ทั้งรูปร่างภายนอกรวมทั้งเสียงด้วย


 


อย่างไรก็ตามด้วยวิธีที่ใช้อยู่นี้, มันเป็นไปไม่ได้ที่ต้นตอเสียงของซิลเวอร์จะถูกเปิดเผย แถมหน้ากากที่ซิลเวอร์กำลังสวมอยู่นั้นคืออุปกรณ์เวทมนตร์ที่ทรงพลังมาก มันสามารถใช้เปลี่ยนเสียงของเขาได้ตามต้องการ, นอกจากนี้มันยังสามารถปรับเปลี่ยนอากัปกิริยาและการแสดงออกของซิลเวอร์ได้ยังแม่นยำด้วย ดังนั้นต่อให้พวกเขาจะอยู่ในสถานที่เดียวกันเวลาเดียวกัน, มันก็ไม่มีทางเลยที่ผู้คนจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนๆเดียวกัน


 


“….ตระกูลของข้าได้กระทำสิ่งที่หยาบคายกับท่าน…ข้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งสำหรับความหยาบคายของพวกเราค่ะ…..”


 


“เรื่องขอโทษหน่ะช่างมันเถอะ ตอนนี้ข้าประเมินตระกูลของเจ้าเอาไว้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแล้ว ข้าเคยได้ยินมาว่าตระกูลของเจ้านั้นเป็นตระกูลของผู้รอบรู้ที่ดูแลผู้คนเป็นอย่างดีแต่ดูเหมือนว่ามันก็คงเป็นแค่กิตติศัพท์ที่ได้ยินมาหล่ะนะ”


 


“คือว่านั่น…..”


 


“มันเป็นเรื่องปกติสำหรับนักผจญภัยที่จะมาเยี่ยมเยือนดินแดนที่มีมอนส์เตอร์กำลังอาละวาดอยู่ ถ้าตระกูลของเจ้าคิดถึงผู้คนจริงๆก็คงจะเตรียมตัวเองเพื่อต้อนรับนักผจญภัยทั้งหลายแหล่ที่จะแวะมาแล้ว แต่ว่าความจริงที่พี่ชายของเจ้าทำกับข้านั้นมันก็เพียงพอแล้วหล่ะที่จะพิสูจน์ว่าดยุคไม่เคยเตรียมตัวเองเลย”


 


นี่คือประเด็นสำคัญ


 


นี่มันไม่ใช่แค่ความผิดของลูกชายเขาแต่มันคือความรับผิดชอบของทั้งบ้านดยุค ด้วยเหตุนี้เอง, แค่การทำโทษลูกชายคงจะไม่พอ แต่เอาเถอะ, ถ้าเป็นดยุคคนนั้นคงจะไม่ทำแค่นั้นหรอก”


 


“ข้ายอมรับความผิดค่ะ….มันถือเป็นการละเลยจากบ้านไคลเนลต์ของเราเอง……”


 


พอเห็นสีหน้าเศร้าสลดของฟีเน่, เขาก็รู้สึกว่านี่มันถึงเวลาที่เขาจะเริ่มเจรจากับซิลเวอร์แล้ว


 


ถ้าเขาแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถโน้มน้าวซิลเวอร์ได้เป้าหมายของเขาก็จะสำเร็จ


 


เหตุผลที่เขาไม่ได้พาเซบาสเข้ามาข้างในด้วยนั้นก็เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเซบาสจะพูดอะไรกับเขาบ้างถ้าได้มาเห็นการแสดงชั้นสามแบบนี้ แต่ก็เอาเถอะ, ตอนนี้เขาต้องโน้มน้าวตัวเองแล้ว


 


“ซิลเวอร์, ท่านยังเต็มใจที่จะทำภารกิจของเราต่อรึเปล่าครับ?”


 


“ถ้าไม่, ข้าก็คงจะไม่อยู่ที่นี่แล้วหล่ะ แต่ว่า, มีสิ่งนึงที่ข้าต้องยืนยันให้ได้ก่อน”


 


“อะไรหรอครับ?”


 


“เจ้าดึงดยุคบ้านนี้มาเป็นพันธมิตรได้รึยัง? เจ้าชายไร้ค่า”


 


“….พวกเขายังไม่รับปากกับข้าเลย”


 


“ตามที่ข้าคาดเอาไว้เลยนะเจ้าชายไร้ค่า เจ้ายังห่างไกลจากน้องชายของเจ้านัก”


 


ซิลเวอร์ทำทีเป็นถอนหายใจ


 


มันชวนให้รู้สึกแปลกและขัดใจอยู่บ้างที่เขาต้องพูดในแง่ลบกับตัวเองแต่ถ้าตัวซิลเวอร์เป็นคนที่พูดออกมาแบบนี้พวกเขาก็จะได้รับความร่วมมือจากดยุคค่อนข้างแน่นอนกว่า


 


“ข้าจะทำให้พวกเขายอมร่วมมือกับพวกเราอย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วง”


 


“เจ้าจะทำให้พวกเขายอมร่วมมืออย่างเต็มที่สินะ ถ้าเจ้าทำได้ข้าก็จะเติมเต็มคำขอของเจ้า ไม่ว่ายังไงข้าก็มีเหตุผลที่ต้องทำให้น้องชายของเจ้าได้กลายเป็นจักพรรดิอยู่แล้ว และถึงยังไงเหตุผลที่ข้าทำเรื่องขัดหลักของตัวเองและออกจากเมืองหลวงของจักวรรดิจนมาถึงที่นี่ก็เพื่อดึงดยุคมาเป็นพวกของลีโอนาร์ด ถ้าเขาเป็นเหมือนดั่งที่ข่าวลือว่าเอาไว้จริงๆเขาก็คงจะยินดีให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนลีโอนาร์ดอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นไปตามข่าวหล่ะนะ ดังนั้นถ้าเจ้าไม่ให้เขาเขียนคำสาบานเอาไว้ก่อนในอนาคตเขาก็อาจจะทรยศเจ้าได้นะเจ้ารู้รึเปล่า?”


 


“พ่อของข้าไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ!”


 


“คุณหนูฟีเน่ ตอนนี้คำพูดของท่านไม่มีความหมายสำหรับข้าหรอกนะ ข้าเสียความไว้ใจในตระกูลท่านไปแล้ว”


 


ซิลเวอร์พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


 


มันมีเหตุผลที่เขาต้องพูดออกมาแบบนี้


 


เขาต้องการจะโน้มน้าวให้เธอคิดว่าซิลเวอร์ไม่อยากรับงานนี้ ซึ่งนี่จะไปถึงหูของดยุคอย่างแน่นอนผ่านคำพูดของฟีเน่ และแน่นอนว่า, เขากำลังพูดถึงเป้าหมายของซิลเวอร์ด้วย


 


ในเมื่อพวกเขาลงทุนถ่อมาไกลถึงขนาดนี้ดยุคก็จะต้องมาอยู่ฝั่งของลีโออย่างแน่นอน นี่อาจจะเป็นวิธีการที่อ้อมค้อมแต่การร่วมมือของดยุคไคลเนลต์นั้นคือปัจจัยสำคัญสำหรับพวกเขาในการต่อสู้ชิงบัลลังก์


 


“ซิลเวอร์ ท่านกำลังจะบอกว่าท่านไม่คิดจะช่วยเขาเว้นเสียแต่ว่าเขาจะให้สัญญาว่าจะยอมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่สินะครับ?”


 


“ตามนั้น”


 


“…..ข้าอยากให้ท่านยอมอะลุ่มอล่วยและช่วยเขาจัดการมอนส์เตอร์ ส่วนตัวข้านั้นจะดึงเขามาเป็นพวกให้ได้อย่างแน่นอนครับ”


 


“…….นี่เจ้ากำลังขอให้ข้าไว้ใจในตัวเจ้าชายไร้ค่าอย่างงั้นรึ? เจ้ารู้รึเปล่าว่าเจ้ากำลังขออะไรที่มันฟังดูไร้เหตุผลกับข้าอยู่?”


 


“รู้ครับ แต่ถือว่าข้าขอแล้วกันนะ ช่วยเข้าใจด้วยเถอะ”


 


เขาพูดในขณะที่โค้งศรีษะลงเล็กน้อย


 


เขาสามารถคำนับใครก็ได้เพราะเขาไม่ถืออะไรอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น, การที่โค้งคำนับให้กับภาพลวงตาที่ตัวเองสร้างขึ้นมันก็ไม่มีอะไรเสียอยู่แล้ว


 


“การที่เจ้ายอมคำนับในทันทีเช่นนี้, ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มีศักดิ์ศรีของการเป็นราชวงศ์เลยนะ”


 


“ถ้าลีโออยู่ที่นี่เขาก็คงจะทำเหมือนกัน…. ข้ารู้ว่าท่านไม่ไว้ใจข้า แต่ถึงแม้ข้าจะเป็นแบบนี้ข้าก็ยังคงเป็นพี่ชายของลีโออยู่ดี อย่างน้อยก็ขอให้ข้าได้แสดงให้ท่านเห็นเถอะว่าข้าสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ ซึ่งนี่เองก็เป็นเหตุผลที่ข้าอยากให้ท่านจัดการกับมอนส์เตอร์พวกนั้น ข้าไม่อยากให้ปัญหานี้มันลากยาวไปมากกว่านี้”


 


“….ก็ได้ ในฐานะนักผจญภัย, ข้าเองก็ไม่สามารถปล่อยให้มอนส์เตอร์สร้างความวุ่นวายแบบนี้ได้เหมือนกัน ข้าจะรับคำขอของเจ้า แต่ว่านะ, คุณหนูฟีเน่ ข้ากำลังคาดหวังในตัวดยุคอยู่ อย่าลืมเรื่องความร่วมมือของเราหล่ะ”


 


“ขะ, ขอบคุณมากเลยค่ะ! ข้าจะทำให้มั่นใจว่าพวกเราสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของท่านได้!”


 


พอพวกเขาโน้มน้าวซิลเวอร์ได้สำเร็จก็ออกมาจากโรงเตี๊ยม


 


จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปในรถม้าที่เซบาสเตรียมเอาไว้ให้ด้านนอกแล้วเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ


 


พอเห็นเขาทำแบบนี้, ฟีเน่ก็ก้มหัวให้อย่างรู้สึกผิด


 


“ขอบคุณมากเลยค่ะ……”


 


“หืม..? เจ้ากำลังขอบคุณเรื่องอะไร?”


 


“ก็องค์ชายยอมก้มหัวเพื่อพวกเรานี่คะ…..ต่อให้ความผิดจะมาจากทางฝั่งเรา, ท่านก็ยังสามารถโน้มน้าวท่านซิลเวอร์ให้ยอมช่วยคนของเราได้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งค่ะ”


 


ดูเหมือนว่าจะมีความเข้าใจผิดครั้งใหญ่เกิดขึ้นแล้วสินะ


 


เด็กคนนี้คงจะเป็นคนประเภทเดียวกับลีโอที่มองทุกคนเป็นคนดีงั้นสิ?


 


ดูเหมือนว่าเราคงต้องแก้ความเข้าใจผิดหน่อยแล้ว ถ้าเธอเข้าใจผิดว่าเราเป็นคนดีมันจะทำให้เราเดินหน้ายากกว่าเดิม


 


“ข้าก้มหัวเพื่อตัวเองต่างหากหล่ะ มันไม่ใช่เหตุผลแบบที่เจ้าคิดหรอก เจ้าแค่เข้าใจผิด”


 


“งั้นหรอคะ…. ถ้างั้นข้าจะขอเข้าใจผิดต่อไปแล้วกันค่ะ อ้อแล้วก็มีอีกเรื่องที่ข้าเข้าใจผิดไปเล็กน้อย, องค์ชาย, ตอนแรกข้าคิดว่าท่านเป็นคนน่ากลัวแต่จริงๆแล้วดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นนะคะ”


 


“ไม่ใช่, ก็บอกแล้วไงว่า….”


 


“รู้แล้วค่ะ มันเป็นความเข้าใจผิดของข้า องค์ชายก้มหัวเพื่อตัวเองถูกไหมคะ? ท่านไม่ได้ก้มหัวเพื่อคนของเรา, หรือพวกเราแต่ถึงอย่างนั้น….ท่านช่วยอนุญาตให้ข้าเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปได้ไหมคะ?”


 


พอพูดจบ, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มอันนุ่มนวลออกมา


 


รอยยิ้มนี้งดงามกว่ารอยยิ้มครั้งที่ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงหลงไหลในตอนที่จักพรรดิมอบเครื่องประดับนกนางนวลสีน้ำเงินให้เธอซะอีก


 


หรือจะบอกว่าเขาหวั่นไหวดีหล่ะ? รอยยิ้มของเธอนั้นสั่นคลอนเขาเหมือนกับตอนที่แม่ของเขาพาไปดูดาวตกที่จะเกิดขึ้นแค่สิบปีครั้ง ดาวตกที่อยู่บนท้องฟ้าเปิด, ฉากนั้นมันช่างงดงามจริงๆ และความสุขในตอนที่ได้เห็นพวกมันนั้นก็คือความรู้สึกเช่นเดียวกับตอนที่เขาได้เห็นรอยยิ้มของฟีเน่ ณ ตอนนี้


 


รอยยิ้มของเธอน่าหลงไหลจนเกินความคาดหมาย, เขาเบือนหน้ามองออกไปข้างนอกเพื่อปกปิดสีแดงระเรื่อที่เผยออกมาบนใบหน้าของเขา


 


ต้องขอบคุณรอยยิ้มที่ไม่จำเป็นนี้จริงๆ, เขาหมดโอกาสในการแก้ความเข้าใจผิดของเธอแล้ว


 


สุดท้ายแล้วเขาก็คิดว่าการถูกฟีเน่เข้าใจผิดว่าเป็นคนดีนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็ได้


 


เพราะถึงยังไง, ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถแก้ความเข้าใจผิดของเธอได้อยู่ดี



ตอนที่ 3 : นักผจญภัยแรงค์ SS 


 


“สถานการณ์เลวร้ายชะมัด ให้ตายเถอะ”


 


ด้วยการสวมรูปลักษณ์ของซิลเวอร์, เขากับเซบาสก็มองเข้าไปในรังมอนส์เตอร์ที่เป็นปัญหาจากระยะไกลๆ


 


แรงค์ของมอนส์เตอร์ที่มาเพ่นพ่านอยู่ในดินแดนของดยุคไคลเนลต์นั้นอยู่ที่คลาส AA


 


มันคือคลาสที่สูงที่สุดเป็นลำดับสี่จากระบบคลาสมอนส์เตอร์ที่มีตั้งแต่ F ถึง SS พวกมันคือมอนส์เตอร์ที่ต้องใช้ปาร์ตี้นักผจยภัยแรงค์ A ห้าคนขึ้นไปในการจัดการ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็มีอยู่ไม่ค่อยมากนักสำหรับกิลด์นักผจญภัยในอาณาจักร


 


อันที่จริง, ดยุคไคลเนลต์ได้ส่งคำขอไปยังกิลด์แล้ว และพวกเขาก็ส่งปาร์ตี้นักผจญภัยที่ประกอบไปด้วยแรงค์ B สี่คนและแรงค์ A สองคนมาที่นี่ อย่างไรก็ตาม, พวกเขายังไม่สามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้


 


“ในเมื่อพวกเขาต้องจัดการกับมาเธอร์สไลม์ก็คงช่วยไม่ได้หล่ะนะ เห้อ”


 


ที่ภูเขาห่างออกไปไม่ไกลจากเมืองหลวงของดยุคซักเท่าไหร่


 


มีสไลม์จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ที่นั่น ถ้าสไลม์มีอยู่แค่ไม่กี่ตัวมันก็เป็นแค่มอนส์เตอร์ขยะแต่นี่มันมีจำนวนมากเกินไป ไอ้พวกนี้พลุกพล่านอยู่ตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมดและไล่กินพืชผลในดินแดนดังนั้นดยุคก็เลยต้องส่งอัศวินไปไล่พวกมันออกไป


 


ถ้าถามเหตุผลว่าทำไมสไลม์ถึงมารวมกันเยอะขนาดนี้หล่ะก็, คำตอบก็คงจะเป็นเพราะการมีตัวตนอยู่ของมอนส์เตอร์หายากที่มีชื่อว่ามาเธอร์สไลม์กำลังซุ่มซ่อนอยู่ในภูเขาแห่งนี้


 


ตามชื่อของมัน, มาเธอร์สไลม์ก็คือแม่ของสไลม์พวกนี้, มันคือมอนส์เตอร์ที่มีความสามารถในการผลิตลูก มันดูดกลืนทุกอย่าง, และเปลี่ยนให้เป็นสารอาหารเพื่อที่จะผลิตสไลม์เพิ่มขึ้นมาอีก มันคือมอนส์เตอร์ตัวปัญหาที่สามารถทำลายประเทศๆหนึ่งได้เลย


 


ซึ่งมาตรการรับมือกับมันนั้นก็คือการหารังของมาเธอร์สไลม์ให้เจอก่อนที่มันจะเริ่มขยายพันธุ์และกำจัดมันซะ อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่ดยุคส่งคำขอไปยังกิลด์นักผจญภัย, มันก็สายเกินไปซะแล้ว


 


จากรายงานที่ดูมา, จำนวนของสไลม์ที่มาเธอร์สไลม์ผลิตออกมานั้นมันไปถึงระดับจำนวนของกองทัพแล้ว


 


“สำหรับตอนนี้พวกเราคงต้องกำจัดมาเธอร์สไลม์ให้ได้ก่อนหล่ะนะไม่อย่างนั้นไอ้เจ้าพวกนี้คงไม่มีวันหมดแน่”


 


“ก็คงเป็นไปตามที่ท่านว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ, แล้วท่านจะอธิบายกับพวกนักผจญภัยที่รับภารกิจนี้มาแล้วยังไงดีหล่ะ?”


 


“นั่นแหล่ะที่เป็นปัญหา”


 


โดยพื้นฐานแล้วพวกนักผจญภัยนั้นไม่ได้มีกฎอะไรนัก


 


ไม่เหมือนกับสังคมขุนนาง, มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปยอมจำนนต่อผู้อื่นถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในจุดที่สูงกว่าก็ตาม พวกเขานั้นมีสิทธิในภารกิจที่ได้รับมาอย่างเต็มที่สำหรับตัวพวกเขาเองในการปกป้องความไว้ใจที่พวกเขาได้รับการฝากฝังเอาไว้


 


พวกนักผจญภัยจะไม่ยกโทษให้แน่นอนต่อให้คนที่ไปแทรกแซงภารกิจของพวกเขาจะเป็นนักผจญภัยแรงค์ SS ก็ตาม มันคงจะเป็นสถานการณ์ที่ต่างออกไปถ้ามีจดหมายจากกิลด์อย่างเป็นทางการแต่ตอนนี้เขากำลังแทรกแซงภารกิจของพวกเขาอย่างชัดเจน


 


“เอาจริงๆนี่คือส่วนที่ข้าชอบเกี่ยวกับการเป็นนักผจญภัยแต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นต้นตอปัญหาของพวกเราเข้าแล้วสินะ”


 


“ก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติของพวกเขาแล้วหล่ะครับ, ข้าว่าเรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลาซักพัก”


 


“พูดตามตรง, พวกเราไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้หรอก ข้าคงทำได้แค่ขอให้พวกนักผจญภัยที่เป็นเจ้าของภารกิจเข้าใจ เจ้ามุ่งหน้ากลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะหาทางจัดการเรื่องนี้เอง”


 


“ขอให้โชคดีในศึกครั้งนี้ครับ”


 


จากนั้นเขาก็แยกทางกับเซบาสและมุ่งหน้าลงไปหานักผจญภัยที่ตั้งค่ายอยู่ใกล้กับภูเขา


 


ถึงยังไง, ถ้าเซบาสมากับเขาด้วยพวกนักผจญภัยก็อาจจะสงสัยและพวกเขาก็อาจจะสามารถเชื่อมโยงไปถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้


 


“นี่ทุกคน, ดูเหมือนท่านนักผจญภัยแรงค์ SS จะเดินทางมาพบพวกเราหล่ะ”


 


พอได้ยินคำพูดของชายหนุ่มผมแดงที่ทำหน้าที่เฝ้าระวัง, พวกนักผจญภัยก็ออกมาจากเต็นท์ของพวกเขา


 


ที่นี่มีผู้ชายห้าคนกับผู้หญิงหนึ่งคน


 


สายตาของพวกเขานั้นเคร่งเครียด


 


“ข้าชื่ออาเบล, เป็นหัวหน้าของปาร์ตี้นี้ อยู่แรงค์ A ข้าคงจะดูเหมือนกับแมลงตัวเล็กๆจากมุมมองของท่านสินะ?”


 


“ข้าคือนักผจญภัยแรงค์ SS, ซิลเวอร์”


 


เขาจับมือที่อาเบลยื่นออกมาให้


 


เขาจับมืออีกฝ่ายเบาๆแต่อาเบลนั้นบีบมือของเขาแน่นราวกับพยายามจะบดมือเขาให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ…


 


ตามที่คาดเอาไว้เลยสินะ, เขาหงุดหงิดเราจริงๆด้วย


 


“ข้าได้ยินมาจากดยุคว่าจะมีกำลังเสริมมาช่วยแต่ถ้าข้าพูดแค่ว่า ‘ครับ, เข้าใจแล้วครับ’ ข้าก็คงจะไม่ใช่นักผจญภัยอีกต่อไปแล้ว เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”


 


“อืม, ข้ารู้”


 


“การแทรกแซงภารกิจของนักผจญภัยคนอื่นถือเป็นการฝ่าฝืนธรรมเนียมของพวกเรา เจ้าเองก็คงรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”


 


“อืม, แน่นอนอยู่แล้ว”


 


ในตอนที่ซิลเวอร์ลดมือลง, เขาก็หันไปมองนักผจญภัยคนอื่นอีกห้าคน


 


เมื่อสังเกตจากลักษณะการยืนของพวกเขาแล้ว, แรงค์ A อีกคนดูเหมือนจะเป็นผู้หญิง


 


เธอมีผมสีน้ำตาลและไว้ทรงหางม้าสั้น, ใบหน้าของเธอนั้นถูกหมวกบดบังเอาไว้แต่เขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน


 


เสื้อผ้าของเธอเองก็เหมือนกับผู้ชายอย่างสมบูรณ์, เขาคิดว่าคงจะมีคนเข้าใจผิดว่าเธอเป็นผู้ชายอยู่ไม่น้อย


 


เธอน่าจะทำหน้าที่เป็นคนสนับสนุนปาร์ตี้ของอาเบลในเมื่อเธอยังเงียบอยู่มันก็หมายความว่าเธอไม่มีความตั้งใจที่จะขัดอาเบลสินะ


 


ถ้าเป็นแบบนี้เราก็แค่ต้องโน้มน้าวอาเบลให้ได้ก็พอ


 


“ท่านบอกว่ารู้สินะ? ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้วเหตุใดท่านถึงมาพยายามแทรกแซงงานของพวกข้า!? แถมท่านยังลงทุนถึงขั้นใช้เส้นสายขุนนางอีก! นักผจญภัยอย่างท่านไม่น่าจะมีปัญหากับการจัดการภารกิจของตัวเองไม่ใช่รึไง!?”


 


“สิ่งที่เจ้าอยากจะพูดนั้นมีเหตุผลอยู่ ข้าเองก็เข้าใจความไม่พอใจของเจ้า ดังนั้นถ้าเจ้าอยากจะด่าข้าหรืออัดข้า, ข้าก็จะไม่ถือสาอะไร”


 


“ว่าไงนะ?”


 


“แต่ว่า…. ข้าอยากจะถามเจ้าในฐานะนักผจญภัยถามนักผจญภัยอยู่เรื่องนึง เจ้าสามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้ไหม?”


 


“……..”


 


อาเบลชะงัก


 


ซึ่งนี่ก็เป็นเหมือนกันกับนักผจญภัยคนอื่นๆ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าพวกเขาควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม, สำหรับนักผจญภัยนั้น, ความเชื่อใจเปรียบเสมือนชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าพวกเขาเอาอยู่ในเมื่อภารกิจที่อยู่ในมือนั้นคือภารกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ


 


นักผจญภัยทั้งหกคนที่อยู่ที่นี่คือนักผจญภัยระดับสูงสุดในภูมิภาคนี้ บางทีพวกเขาน่าจะไม่ได้รับภารกิจนี้ด้วยความตั้งใจของตัวเองแต่ถูกพนักงานในกิลด์โน้มน้าว


 


อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่พวกเขาพบนั้นก็คือสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่ได้ฟังมา มาเธอร์สไลม์คือมอนส์เตอร์ที่มีความแข็งแกร่งไม่แน่นอน ถ้ามันยังได้รับสารอาหารอยู่ในรังอย่างต่อเนื่องมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นมันก็จะให้กำเนิดสไลม์อย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งการให้กำเนิดสไลม์ในแต่ละครั้งนั้น, จะทำให้มันยิ่งอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม, ลูกๆสไลม์ก็จะหาสารอาหารมาให้แม่ของมันได้มากขึ้นจนในที่สุดมาเธอร์สไลม์ก็จะไปถึงจุดที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้


 


ถ้าสถานการณ์ยังคงเลวร้ายแบบนี้, ทั้งภูมิภาคก็จะถูกคุกคามถ้าไม่รีบกำจัดมาเธอร์สไลม์โดยเร็ว


 


“—มาเธอร์สไลม์ตัวนี้แข็งแกร่งกว่าที่พวกเราได้ยินมา พวกเราลองเข้าต่อสู้กับมันอยู่หลายครั้งแต่พวกเราก็ไม่สามารถทำให้มันเจ็บหนักถึงตายได้และนั่นก็ทำให้พวกเราต้องถอนตัวกลับมา เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเรามีพลังไม่พอ”


 


นักผจญภัยหญิงที่เงียบมาจนถึงตอนนี้เปิดปากพูด


 


พอได้ยินคำพูดของเธอ, อาเบลก็เดาะลิ้น ดูเหมือนว่าอาเบลเองก็รู้เรื่องนี้ดี


 


“ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าแทรกแซงภารกิจของเจ้าข้าก็จะไม่ทำ แต่ว่า, เพื่อความปลอดภัยของพื้นที่นี้, ข้าจะต้องรายงานสถานการณ์ ณ ปัจจุบันไปยังศูนใหญ่ของกิลด์โดยตรงและให้พวกเขาออกเป็นภารกิจเร่งด่วนมา ซึ่งข้าก็จะรับภารกิจนั้นและมาที่นี่อีกครั้ง แต่ว่า, นั่นจะต้องใช้เวลาประมาณสองสามวันแน่ๆ ซึ่งถ้าเจ้าสามารถกำจัดมันได้ในขอบเขตเวลานั้น, ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า แต่ว่า…..ในอีกสองสามวันถัดจากนี้, พื้นที่แห่งนี้จะต้องตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงอย่างแน่นอน”


 


“….ข้ารู้ นักผจญภัยระดับเจ้าคงมาถ่อมาถึงที่นี่เพียงเพราะเงินหรอก……”


 


“พวกเจ้ารับรางวัลทั้งหมดไปได้เลย แต่ช่วยยกหน้าที่การกำจัดมาเธอร์สไลม์ให้ข้าเถอะ ในฐานะนักผจญภัย, ข้าไม่สามารถปล่อยให้ภัยคุกคามระดับนี้ลุกลามต่อไปได้”


 


“…ก็ได้ พวกเรายอมรับว่ามีพลังไม่พอที่จะรับมือกับเรื่องนี้… เชิญทำตามที่ต้องการเถอะ


 


อาเบลคอตกและนั่งลงตรงจุดที่เขาอยู่


 


นักผจญภัยที่สร้างตัวขึ้นมาด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองนั้น มันไม่มีอะไรที่เสียเกียรติไปมากกว่าการที่ไม่สามารถทำภารกิจที่ได้รับมาให้สำเร็จได้


 


มันมีแม้กระทั่งนักผจญภัยที่ไม่ยอมแพ้และดึงดันทำภารกิจของตัวเองต่อจนตัวตายก็มี ซึ่งในแง่นี้, อาเบลถือเป็นนักผจญภัยที่ฉลาดที่สามารถที่รับรู้ได้จากสภาพแวดล้อมรอบตัวเขา


 


“ขอโทษนะ, ทุกคน……”


 


อาเบลขอโทษสมาชิกในปาร์ตี้ทุกคน ถ้าเขาตัวคนเดียวเขาอาจจะดึงดันทำต่อไปแต่ครั้งนี้เขาได้คำนึงถึงสมาชิกในปาร์ตี้ของเขาด้วย เขานั้นถือเป็นหัวหน้าปาร์ตี้ที่ดี


 


“ต้องขอบคุณที่พวกเจ้าคอยโจมตีมาเธอร์สไลม์นะสถานการณ์ถึงคืบหน้ามาได้ขนาดนี้ ถ้าพวกเจ้าไม่อยู่ที่นี่, พื้นที่แห่งนี้ก็คงจะเต็มไปด้วยสไลม์แล้วหล่ะ แต่เดิมภารกิจนี้ก็ต้องใช้ปาร์ตี้ที่เป็นนักผจญภัยแรงค์ A หรือสูงกว่าอยู่แล้ว จากที่ดูข้ายอมรับเลยว่าพวกเจ้าทำได้ดีมาก กิลด์เองก็คงจะรู้สึกยินดีกับงานของพวกเจ้าเหมือนกัน”


 


“เหอะ…..ไม่นึกเลยนะว่าจะมีวันที่นักผจญภัยแรงค์ SS ชื่นชมข้าด้วย”


 


“เพลาๆกับการถากถางหน่อยเถอะ ข้ารู้สึกชื่นชมพวกเจ้าจริงๆนะ, ครั้งนี้ข้าถือว่าติดหนี้พวกเจ้าแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น, ก็มาที่สาขาเมืองหลวงจักวรรดิได้เลย ข้าจะช่วยเจ้าเอง”


 


พอพูดจบ, เขาก็ยื่นมือไปทางภูเขา


 


เขาไม่สนใจสายตาที่สับสนของนักผจญภัยทั้งหกและเริ่มร่ายมนตร์


 


[[ข้าคือตัวแทนแห่งความศักดิ์สิทธิ์・ ข้ากระทำในนามของสวรรค์และปฐพี・เวลาแห่งการพิพากษามาถึงแล้ว・ คนบาปจะสั่นกลัว-ผู้บริสุทธิจะปลื้มปิติ・วจีของข้าคือวจีแห่งเทพ・การปัดเป่าของข้าคือการปัดเป่าจากทวยเทพ・ในมือของข้าคือเพลิงที่สามารถจุดไฟให้โลกใบนี้ได้・จงมาเถิดเพลิงแห่งสวรรค์จงแผดเผาคนบาปให้ไหม้เป็นธุลี— บทประหารเปลวสุริยะ (Execution Prominence)]]


 


คำร่ายยาวทั้งแปดนี้ ส่งผลให้มีวงเวทย์ขนาดมหึมาถูกปล่อยออกมาจากมือข้างที่ยื่นออกไปของเขา


 


เวทมนตร์ที่ถูกส่งต่อมาจนถึงทุกวันนี้ไม่มีเวทย์บทไหนเลยที่มีคำร่ายยาวขนาดนี้ อย่างยาวที่สุดก็มีแค่เจ็ดคำร่ายเท่านั้น ดังนั้นการใช้เวทมนตร์ที่มีถึงแปดคำร่ายก็แสดงว่ามันคือเวทย์ที่ไม่ได้ใช้กันในทุกวันนี้


 


เวทมนตร์ที่ถูกคิดค้นขึ้นในสมัยที่เวทมนตร์เคยเฟื่องฟู เวทมนตร์โบราณ


 


ด้วยความที่มันจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้ต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น, ผลก็คือ, มันถูกลืมเลือนและหายไปกับอดีตกาล


 


วิธีเดียวที่จะได้รับเวทย์พวกนี้มาก็คือการอ่านจากหนังสือล้ำค่าที่ถูกทิ้งเอาไว้ ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมถึงมีผู้ฝึกฝนเวทมนตร์โบราณเพียงไม่กี่คนในทวีปนี้


 


และแน่นอนว่า, มีส่วนหน่อยยิ่งกว่าที่ผู้คนรู้จัก


 


ดังนั้นในแง่นี้, จึงสามารถพูดได้เลยว่าทั้งหกนี้ได้รับประสบการณ์ในสิ่งที่มีค่ามากจริงๆ


 


พลังเวทย์ปริมาณมหาศาลพุ่งออกมาจากวงเวทย์ขนาดยักษ์ จากนั้นวงเวทย์เล็กๆหกวงก็ปรากฎขึ้นรอบวงเวทย์แรก


 


วงเวทย์เล็กพวกนี้กำลังหมุนรอบวงเวทย์ยักษ์อยู่


 


จากนั้นในขณะที่พลังเวทย์พุ่งสูงขึ้นจนถึงจุดที่มันปะทุ


 


เปลวเพลิงสว่างจ้าก็ถูกปล่อยออกมาจากวงเวทย์


 


มันเผาภูเขาทั้งลูกในชั่วพริบตาพร้อมกับสไลม์ที่เปลี่ยนภูเขาให้เป็นรังของมัน ไม่เพียงแค่นั้น, ตัวภูเขาเองก็ถูกเผาจนหายไปทั้งลูก


 


สิ่งเดียวที่ถูกทิ้งเอาไว้ก็คือพื้นดินสีดำสนิท


 


“ด้วยวิธีนี้, จำนวนของสไลม์ก็จะไม่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว”


 


“เอาจริงดิ…..”


 


“….นี่คือเวทมนตร์โบราณของนักเวทย์แรงค์ SS หรอ……?”


 


อาเบลกับนักผจญภัยหญิงกระซิบหากัน


 


ส่วนคนอื่นๆนั้นต่างก็เงียบสนิท, พยายามที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา


 


เวทมนตร์ที่สามารถเป่าภูเขาทั้งลูกได้ มันคือสิ่งที่อยู่ใกล้กับตำนานแล้ว


 


มันเป็นเรื่องปกติที่คุณจะไม่สามารถทำความใจได้ในตอนที่มันเกิดขึ้นเบื้องหน้าคุณอย่างกระทันหัน


 


“ข้าฝากให้พวกเจ้ารายงานแทนข้าได้ไหม?”


 


“…เจ้าควรไปเองนะ พวกข้าไม่ได้ทำอะไรเลย เจ้าเป็นฮีโร่ที่ช่วยเหลือท่านดยุคไม่ใช่หรอ?”


 


“ขอโทษนะแต่ข้าไม่สนใจหรอก แถมข้ามีธุระอื่นด้วย ข้าขอกฝากพวกเจ้าก็แล้วกัน”


 


พอพูดจบเขาก็จากไปด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้าย


 


จุดหมายของเขาก็คือห้องข้างในคฤหาสถ์ของดยุคไคลเนลต์ มันคือห้องที่ถูกจัดเอาไว้ให้เขา


 


เจ้าชายอาร์โนลด์นั้นสมควรจะอยู่ในบ้านดยุค เขาจะรับรายงานจากซิลเวอร์เกี่ยวกับการกำจับมาเธอร์สไลม์ด้วยกันกับดยุคและปิดการสนทนาเกี่ยวกับการร่วมมือของเขา หลังจากนั้น, งานของเขาก็จะจบลง


 


จนกว่าจะถึงตอนนั้นเขาจะลดการป้องกันลงไม่ได้


 


พอคิดได้เขาก็ถอดหน้ากากออก


 


“อ้ะ…..?”


 


หลังจากที่เสียงดังขึ้นเขาก็พึ่งตระหนักได้ถึงความไม่ระวังตัวของเขา


 


สถานการณ์ที่ไม่เคยไม่ใครคาดคิดได้เกิดขึ้นแล้ว


 


เสียงนี้มัน


 


ในตอนที่ได้ยินเสียง, สิ่งแรกที่เขารู้สึกก็คือเสียใจ


 


เขาคิดว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง มันคือห้องที่ถูกจัดมาให้เจ้าชายดังนั้นเขาก็เลยคิดว่าจะไม่มีใครเข้ามาเว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะได้รับการอนุญาต


 


เขาหันไปหาต้นเสียง ในตอนที่เขามองใบหน้าที่เขาเห็นนั้น, ความเสียใจก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง


 


“…….ฟะ ฟีเน่”


 


“……เจ้าชายอาร์โนลด์…..ชะ ใช่ไหมคะ?”


 


ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือลูกสาวของดยุคผู้มีความงดงามอันไร้ที่ติด


 


เด็กสาวที่เขาไม่สามารถปิดปากเธอได้ง่ายๆ, ฟีเน่คือคนที่อยู่ตรงนั้น


ตอนที่ 4 : แบ่งปันความลับ


 


มีถาดขนมอยู่ในมือของฟีเน่ เธอน่าจะตั้งใจนำมาให้เขาและเข้ามาในห้องในตอนที่เขาไม่ได้เรียก


 


เขาบอกว่าไม่ต้องการอาหารอะไรดังนั้นเขาก็เลยคิดว่าจะไม่มีใครเข้ามาในห้อง พอมาคิดว่าเกิดการคำนวณผิดพลาดแบบนี้แล้วนั้น…


 


“จะ, เจ้าชายอาร์โนลด์ใช่ไหมคะ….? คนที่พึ่งจะเคลื่อนย้ายเข้ามา, และรูปร่างนั้นมัน……..ท่านซิลเวอร์ไม่ใช่หรอคะ?…….”


 


“…………”


 


จะหลอกเธอว่าเราชอบแต่งตัวแบบนี้ได้ไหมนะ? ไม่สิ, แบบนั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้


 


หรือว่าจะฆ่าเธอดี? นั่นก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ฟีเน่เป็นที่โปรดปรานของจักพรรดิ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอจักพรรดิจะต้องทำการสืบสวนด้วยตัวเองแน่ๆและผู้ต้องสงสัยหลักก็คงจะต้องเป็นเราอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าเราตกเป็นผู้ต้องสังสัยหล่ะก็การชิงบัลลังก์ของลีโอก็คงจะจบสิ้นไปได้เลย


 


เขาไม่สามารถหลอกเธอและไม่สามารถฆ่าปิดปากเธอได้ด้วย


 


เขาไม่เห็นทางออกจากสถานการณ์นี้เลย


 


“……เข้ามาในห้องของข้าทำไม?”


 


“เอ่อ, คือว่า….ข้าพึ่งอบขนมเสร็จก็เลยคิดว่าควรนำมาให้องค์ชายด้วยค่ะ….และเนื่องจากเคาะเรียกแล้วองค์ชายไม่ตอบ, ข้าก็เลยคิดว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นก็เลย……”


 


“เห้ออ….”


 


พอเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของฟีเน่ในขณะที่ร่างกายของเธอดูเหมือนกำลังหดเล็กลงเรื่อยๆแล้วความเป็นปฏิปักษ์ของเขาก็เลยหายไป


 


และความตั้งใจของเขาในการใช้มาตรการรุนแรงกับเธอก็หายไปด้วยเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม, เขาไม่สามารถปล่อยเธอไปทั้งแบบนี้ได้


 


“เจ้ารู้ความลับของข้าแล้ว ถ้าขืนเป็นแบบนี้, ข้าก็คงไม่สามารถปล่อยเจ้าไปโดยไม่ทำอะไรได้”


 


“ขะ, ข้าจะไม่บอกใครแน่นอนค่ะว่าตัวตนที่แท้จริงของซิลเวอร์คือเจ้าชาย!”


 


“แต่เจ้ากำลังพูดด้วยเสียงที่ดังมากเลยนะ”


 


“คือว่า….”


 


“ใจเย็นก่อน ข้าได้ร่ายบาเรียป้องกันเสียงเอาไว้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร, มันก็ไม่รั่วไหลออกไปสู่ภายนอกหรอก”


 


“งะ, งั้นหรอคะ…..ขอบคุณมากเลยค่ะ…..”


 


แก้มของฟีเน่กลายเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย


 


ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดไหน ถ้าคนนอกไม่สามารถได้ยินอะไรจากห้องนี้, มันก็หมายความว่าตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรกับฟีเน่เธอก็ไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้……


 


“เจ้าไม่คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้ารึไง?”


 


“อย่างเช่นอะไรหรอคะ?”


 


“ยกตัวอย่างเช่น, ข้าอาจจะฆ่าปิดปากเจ้าก็ได้นะ”


 


“องค์ชายหน่ะหรอคะ? เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่องค์ชายจำเป็นต้องทำจริงๆข้าก็จะยอมรับมันค่ะ”


 


“…..ข้าไม่เห็นจำได้เลยนะว่าไปได้รับความไว้ใจจากเจ้ามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


 


“ถ้าท่านคือซิลเวอร์ก็หมายความว่าท่านได้กำจัดมอนส์เตอร์เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ? ถ้างั้นตอนนี้ท่านก็เหมือนกับฮีโร่ที่ช่วยเหลือพวกเรา และความจริงที่ว่าท่านมาที่นี่ในฐานะเจ้าชายและแสดงศักยภาพต่างๆอย่างรอบคอบก็เพื่อน้องชายของท่านถูกไหมคะ? นี่แหล่ะค่ะคือเหตุผลที่ข้าไว้ใจท่าน คนที่สามารถเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของคนอื่นได้แบบท่านจะต้องเป็นคนดีแน่นอนค่ะ”


 


พอพูดจบ, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา


 


เธอเป็นคนดีจริงๆเพราะเธอยอมเชื่อใจคนอื่นมากถึงขนาดนี้


 


ในเมื่อเธอรู้แล้วว่าเขาคือซิลเวอร์, ก็เป็นธรรมดาที่เธอจะต้องรู้ว่าการกระทำทุกอย่างของเขานั้นก็เพื่อทำให้ดยุคตกต่ำและให้เขามาสนับสนุนด้วยการสร้างหนี้บุญคุณ แต่ถึงอย่างนั้น, ฟีเน่ก็ยังคงเชื่อในตัวเขา


 


ความเชื่อใจแบบนี้มันทำให้ทรยศไม่ลงเลย


 


“คนเดียวที่รู้ความลับของข้าก็คือเซบาส และเซบาสก็ไม่มีวันหักหลังข้า ถ้าความลับนี้รั่วไหลออกไป, ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้า ดังนั้นห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใครหล่ะ”


 


“ค่ะ! เข้าใจแล้วค่ะ”


 


พอได้ยินเสียงขานตอบด้วยความดีใจของเธอ, เขาก็ถอนหายใจ


 


เขาคิดว่าจะใช้เวทย์ลวงตาทำให้เธอคิดว่าเรื่องทุกอย่างเป็นความฝันแต่เห็นได้ชัดเลยว่าสุดท้ายแล้วมันก็จะถูกจับได้


 


และหลังจากที่ถูกจับได้, มันก็จะกลายเป็นปัญหาร้ายแรงกับพวกเขา ดังนั้นการให้ฟีเน่เชื่อในตัวเขาแบบนี้จะเป็นการดีกว่า


 


จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน, เขาก็สามารถทำความเข้าใจนิสัยส่วนใหญ่ของฟีเน่ได้แล้ว ถ้าความลับรั่วไหลออกไป, มันก็คงจะมาจากคนที่ใกล้ชิดกับเธอ ซึ่งมันก็ไม่น่าจะสายเกินไปต่อให้เขาใช้มาตรการรุนแรงในเวลานั้น


 


“แต่พอมาคิดว่าความลับที่เขาปกปิดมาตั้งนานถูกเปิดโปงแบบนี้แล้วมันก็……”


 


“ร่าเริงหน่อยสิคะ มาลองชิมขนมของข้ากันเถอะ อ้อ, เดี๋ยวข้าจะรินชาให้ท่านด้วยนะ”


 


ในขณะที่กำลังมองฟีเน่ที่กำลังจัดขนมลงบนโต๊ะและเริ่มเตรียมน้ำชานั้น, เขาก็เถียงกลับไปอยู่ในใจ


 


ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเธอไม่ใช่รึไง………


 


——————


 


“นี่คือรายงานสรุปสำหรับเหตุการณ์นี้ครับ”


 


อาเบลที่พึ่งกลับมากำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าดยุคและส่งรายงานให้เขา


 


ในขณะที่กำลังฟังเรื่องราวทั้งหมด, ดยุคก็พยักหน้าเป็นพักๆและแสดงความขอบคุณกับอาเบล


 


“ยอดเยี่ยมจริงๆ และข้าก็ต้องขอโทษด้วยที่มันกลายเป็นคำขอที่รุนแรงแบบนี้ นี่คือรางวังแยกต่างหากจากภารกิจแต่ข้าอยากให้พวกเจ้ารับมันเอาไว้ด้วยนะ”


 


พอพูดจบเขาก็วางถุงเล็กๆเบื้องหน้าอาเบล


 


ข้างในนั้นมีเงินอยู่


 


อย่างไรก็ตาม, อาเบลส่ายหัวและปฏิเสธ


 


“ขอแค่รางวัลจากภารกิจก็พอแล้วครับ ตามที่ข้าได้สรุปเอาไว้ในรายงานก่อนหน้านี้, ซิลเวอร์ต่างหากหล่ะครับที่เป็นคนทำให้พวกเราแก้ไขสถานการณ์ได้ โปรดยกโทษให้พวกเราด้วยนะครับ”


 


“งั้นหรอ…อืมม, เข้าใจหล่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีกข้าจะขอความช่วยเหลือจากเจ้านะ เมื่อถึงตอนนั้นข้าขอฝากพวกเจ้าด้วยหล่ะ”


 


“ครับท่าน, พวกเราจะตอบรับความคาดหวังของท่านและทำภารกิจให้สำเร็จด้วยฝีมือของพวกเราเองครับ”


 


พอพูดจบอาเบลก็จากไป


 


ตอนนี้คนที่เหลืออยู่ข้างในนั้นมีแค่เจ้าชายอาร์โนลด์กับดยุค


 


“เท่านี้, ก็เสร็จไปอีกหนึ่งเรื่องแล้วสินะ”


 


“ใช่ครับ ข้าไม่รู้จะขอบคุณองค์ชายยังไงดีถึงจะพอ แต่ข้าก็ขอขอบคุณมากๆเลยครับ”


 


“นำคำขอบคุณนั้นไปให้ลีโอเถอะ ถึงยังไงทั้งข้าและซิลเวอร์ก็มาที่นี่เพื่อลีโอ”


 


“ครับ…องค์ชาย, ดยุคบ้านไคลเนลต์จะให้ความร่วมมือและคอยสนับสนุนเจ้าชายลีโอนาร์ดอย่างเต็มที่ครับ พวกข้าจะตอบแทนความเมตตานี้ให้ได้อย่างแน่นอน”


 


หลังจากที่ได้ฟังประโยคนี้ในที่สุดเขาก็วางใจได้สักที จากนั้นเขาก็ยื่นมือขวาไปให้ดยุค พอเห็นแบบนั้น, ดยุคก็ยื่นมือมาจับมือของเขา


 


“พวกข้าอยู่ในการดูแลของเจ้าแล้วนะ”


 


“พวกข้าจะทำให้เจ้าชายลีโอนาร์ดได้ขึ้นครองบัลลังก์ให้จงได้ครับ”


 


“อืมม”


 


ด้วยสิ่งนี้, ลีโอก็จะสามารถตั้งตัวเป็นขั้วอำนาจที่สี่ในศึกชิงบัลลังก์ที่ตอนนี้มีอยู่สามขั้วอำนาจได้แล้ว


 


ด้วยความที่ดยุคที่ยิ่งใหญ่อย่างดยุคไคลเนลต์อยู่ฝ่ายพวกเขา, พวกที่กำลังรอดูทิศทางลมอยู่ก็จะมีส่วนที่ถูกพัดมาทางฝั่งลีโอด้วย


 


นอกจากนี้ท่านพ่อของพวกเขาก็รับรู้ว่าลีโอเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์แล้วด้วย, ในที่สุดพวกเขาก็มาอยู่ที่เส้นเริ่มต้นแล้ว


 


ถึงแม้ว่าเขาจะยังลดการป้องกันลงไม่ได้แต่เขาก็ยังอารมณ์ดีหลังจากที่ทำงานเสร็จไปแล้วหนึ่งงาน


 


อย่างไรก็ตาม, ดยุคก็ได้เริ่มพูดกับเขาต่อด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ


 


“องค์ชาย…..ตอนนี้ฝั่งท่านมีกำลังคนมากพอรึยังครับ?”


 


“กำลังคนหรอ…อืมจะว่ามีมันก็มีอยู่หรอกแต่มันยังไม่พอเลย ยังมีขุนนางบางส่วนที่ตัดสินใจอยู่เป็นกลางด้วย การจะเริ่มเจรจากับขุนนางพวกนี้พวกเราจำเป็นต้องมีคนที่ไว้ใจได้มากกว่านี้”


 


“เข้าใจแล้วครับ, ค่อยโล่งอกหน่อย”


 


“เจ้าจะให้ข้ายืมคนหรอ?”


 


“ใช่ครับ, ข้ากำลังคิดว่าจะให้ลูกสาวไปกับท่านด้วย”


 


“วะ—ว่าไงนะ?”


 


เขาตอบกลับไปโดยไม่ได้คิด


 


ดยุคเองก็ตอบสนองกลับไปด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


 


“องค์ชายจะรู้สึกประหลาดใจก็ไม่แปลกหรอกครับ ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกันในตอนที่ฟีเน่มาขอร้องข้าเมื่อวาน เห็นได้ชัดเลยว่าเธออยากจะตอบแทนองค์ชายที่ช่วยเหลือดินแดนของพวกเราเอาไว้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม….และในเมื่อลูกสาวคนนี้ไม่เคยขออะไรจากข้ามาก่อน…ข้าก็เลยรู้สึกหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่งที่เธอพูดออกมาแบบนั้นครับ”


 


“ไม่, เดี๋ยวก่อนสิ…ถ้าเจ้าจะเอาแบบนี้ข้าเองก็ลำบากใจนะ….”


 


“อย่าพูดแบบนั้นสิครับองค์ชาย ลูกสาวคนนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของจักวรรดิจริงๆนะครับ แถมองค์จักพรรดิก็ชื่นชอบเธอด้วย เธอจะต้องมีประโยชน์กับท่านอย่างแน่นอนครับ”


 


“ตรงจุดนั้นข้าก็ยอมรับอยู่หรอก…แต่เจ้าจะโอแคแน่นะ, ท่านดยุค?”


 


มันมีข้อดีมากมายเกินกว่าที่จะนับถ้าพวกเขามีเธออยู่ฝั่งเดียวกัน ฟีเน่เป็นคนที่มีประโยชน์จริงๆ


 


อย่างไรก็ตาม, เหตุผลที่จู่ๆเธออยากจะไปเมืองหลวงนั้นต้องเป็นเพราะความจริงที่ว่าเธอได้รู้ถึงตัวตนของเขาเมื่อวานนี้แน่ๆ พูดตามตรง, ถ้าเธอยังเก็บตัวเงียบอยู่ในดินแดนของเธอมันจะทำให้เขาสงบใจได้มากกว่า


 


ในเมืองหลวงของจักวรรดิ, เธอจะมีโอกาสติดต่อกับผู้คนมากมายและเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะมั่นใจได้ไหมว่าถ้าเกิดข้อมูลรั่วไหลแล้วจะหาแหล่งที่มาได้


 


ดังนั้นเขาจึงพยายามใช้ความเป็นพ่อของดยุคมาเปลี่ยนใจแต่ว่า


 


“มันคือสิ่งที่เด็กคนนั้นต้องการ ช่วยนำเธอไปใช้งานด้วยเถอะครับ”


 


“……”


 


เขาอยากจะเปลี่ยนใจเขาด้วยความน่ารักของลูกสาวของเขาแต่มันกลับไปกระตุ้นเขายิ่งกว่าเดิม เป็นพ่อยังไงกันนะ, คนๆนี้?


 


ตอนนี้เขาหมดข้ออ้างที่จะใช้ปฏิเสธแล้ว


 


สุดท้าย, เขาก็ต้องยอมอนุญาตให้ฟีเน่ตามมาด้วย


 



 


“ถ้างั้นข้าขอลานะคะ ท่านพ่อ, ท่านพี่”


 


“อืม, ไปนู่นก็ทำตัวให้มีประโยชน์หล่ะเข้าใจไหม?”


 


“อย่าลืมระวังสุขภาพร่างกายด้วยนะ”


 


พอบอกลาพ่อกับพี่ชายของเธอเสร็จ, ฟีเน่ก็ขึ้นรถม้า


 


เธอโบกมือให้พวกเขาจากหน้าต่างรถม้าจนกระทั่งร่างของพวกเขาหายไปจากนั้นเธอก็กลับมานั่งและจ้องเขาที่นั่งหลับตาอยู่ตรงข้าม


 


“เจ้าชายอาร์โนลด์ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นคนที่มีพรสวรรค์อะไรนักแต่ได้โปรดช่วยดูแลข้าด้วยนะคะ”


 


“เห้ออ…..”


 


“นี่ท่านโกรธอยู่หรอ……?”


 


“ข้าแค่ประหลาดใจหน่ะ นับจากนี้ไป, พวกเราจะต่อสู้ชิงบัลลังก์ มันเป็นการต่อสู้ที่มืดมนและเต็มไปด้วยคาวเลือด ถ้าเจ้าอยากจะถอนตัวก็ทำได้แค่ตอนนี้เท่านั้นนะ รู้รึเปล่า?”


 


“ข้าเข้าใจดีค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็อยากจะทำตัวให้มีประโยชน์ แล้วก็, ถ้าข้าอยู่ใกล้ตัวองค์ชาย, มันจะทำให้ท่านจับตาดูข้าได้ง่ายกว่าไม่ใช่หรอคะ?”


 


“ไม่, ถ้าเจ้าอยู่ในดินแดนของตัวเองมันจะทำให้ข้าวางใจได้มากกว่านี้เยอะเลย”


 


“เอ๋!!!?”


 


พอเห็นฟินี่ที่กำลังโบกมือไปมาด้วยความตื่นตระหนก, เขาก็ถอนหายใจ


 


การถูกเด็กผู้หญิงแบบนี้เปิดโปงความลับของข้า, ก็คงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง…… เขาคิด


ตอนที่ 5 : พาชมเมืองหลวงจักวรรดิ


 


ในทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวงพวกเขาก็มุ่งหน้าไปหาลีโอ


 


ลีโอรู้ว่าเขากำลังเคลื่อนไหวอยู่แต่เขาไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับซิลเวอร์ ดังนั้นมันจึงมีความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามในเรื่องนี้ก่อน


 


“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะครับว่าท่านพี่มีเส้นสายกับซิลเวอร์ด้วย….. ข้ารู้ว่าท่านรู้จักคนมากมายแต่ไม่รู้เลยว่าจะรู้จักคนสำคัญระดับนั้นด้วย”


 


“เขาไม่ใช่คนรู้จักของข้าหรอก เขาเป็นคนที่ติดต่อข้ามา และบอกว่าเพื่อเป็นหลักฐานความเชื่อใจ, เขาจะช่วยดึงดยุคไคลเนลต์ให้มาอยู่ฝั่งเรา และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำไมข้าถึงสร้างเรื่องขึ้นมาว่าซิลเวอร์เคลื่อนไหวเพราะเจ้าขอให้ช่วย แล้วก็ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้มาปรึกษาก่อนหลังจากที่เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว”


 


หลังจากที่เขารายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องของลีโอเขาก็อธิบายเรื่องเกี่ยวกับซิลเวอร์ให้เขาด้วย


 


ถ้าเขาไม่ทำให้เหมือนกับว่าซิลเวอร์เป็นคนริเริ่มมันจะทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยากขึ้นในอนาคต


 


และสุดท้ายแล้ว, ความสัมพันธ์ของเขากับซิลเวอร์ก็คงจะถูกเปิดเผย ซึ่งเขาก็ต้องเตรียมตัวสำหรับเรื่องนั้นเอาไว้ด้วย


 


“ไม่เป็นไรหรอกครับ, ท่านพี่เองก็มีความคิดของตัวเองในเรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหมหล่ะครับ?”


 


“ก็ใช่อยู่หรอก, ที่ข้าไม่ได้รีบบอกเจ้าในทันทีก็เพราะข้ายังไม่เชื่อใจซิลเวอร์ แต่ว่าเขาก็ได้ทำในสิ่งที่เขาว่าเอาไว้สำเร็จดังนั้นข้าจึงนำมาบอกเจ้า ข้าคิดว่าสำหรับตอนนี้การเชื่อใจเขาคงจะไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถึงอย่างนั้น, ชายคนนี้ก็ยังคงเป็นคนที่มีปริศนามากมาย และพวกเราก็ไม่รู้เหตุผลที่เขาให้ความร่วมมือกับเราด้วย ดังนั้นสำหรับตอนนี้อย่าพึ่งเชื่อใจเขาอย่างเต็มที่จะดูฉลาดกว่า”


 


“เข้าใจแล้วครับ….ข้าเองก็อยากเจอเขาเหมือนกัน”


 


“ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกเขาให้แต่ในเมื่อเขาเลือกที่จะเข้าหาข้า, ก็แสดงว่าตอนนี้เขายังไม่มีแผนที่จะมาพบเจ้าโดยตรง ข้ารู้วิธีติดต่อเขาแต่มันก็ยังขึ้นอยู่กับตัวเขาด้วยว่าจะตอบสนองหรือเปล่า และในเมื่อเขาไม่ได้ทำตามคำสั่งของเราโดยตรง, ข้าก็เลยคิดว่าเขาเหมือนกับตัวโจ๊กเกอร์ที่เคลื่อนไหวตามความพึงพอใจของตัวเองดังนั้นอย่าหวังพึ่งเขามากเกินไปจะดีกว่านะ”


 


“เข้าใจแล้วครับ แต่ก็ต้องขอบคุณเขานะ, ดยุคไคลเนลต์ถึงได้ปลอดภัยและยังมาสนับสนุนพวกเราด้วยไม่ใช่หรอครับ? ข้าคิดว่าเขาต้องเป็นคนดีแน่ๆเลย”


 


“สำหรับเจ้าไม่ว่าใครก็เป็นคนดีทั้งนั้นแหล่ะ……..”


 


เพลียใจจริงๆ เห้อ, เขาถอนหายใจ


 


เขารู้สึกว่าช่วงนี้เขาถอนหายใจแบบนี้บ่อยมาก ซึ่งเหตุผลก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากมีอีกคนนึงที่มีนิสัยคล้ายกับลีโอ


 


“ว่าแต่, ข้าได้ยินมาว่าท่านดยุคได้ส่งคนมาช่วยพวกเราด้วย, เขาส่งใครมาหรอครับ? ถึงยังไงดยุคก็คงจะมาที่นี่ด้วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว…….”


 


“อืมม, นั่นสินะ เซบาส, ช่วยเรียกเธอมาหน่อยได้ไหม?”


 


“ครับท่าน”


 


เขาบอกเซบาสที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องให้พาตัวฟีเน่ที่อยู่ห้องใกล้ๆมาที่นี่


 


“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะองค์ชายลีโอนาร์ด ข้าคือลูกสาวคนโตของดยุคไคลเนลต์, ฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ค่ะ ขอฝากตัวด้วยนะคะ”


 


ฟีเน่จับจีบกระโปรงอย่างงดงามและทำการถอนสายบัว


 


โดยไร้ซึ่งความประหลาดใจ, ลีโอเองก็ตอบรับเธอด้วยมารยาทอันสมบูรณ์แบบ


 


“ข้าคือองค์ชายลำดับแปด, ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้มาเจอกับเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินที่เลื่องชื่อคนนั้น พอได้มาเจอกับตัวข้ารู้สึกว่างดงามมากจริงๆ ข้ารู้สึกเป็นเกีรยติจริงๆที่ได้พบท่าน”


 


“ท่านเองก็เป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมเหมือนกันค่ะ มันถือเป็นเกียรติของข้าที่ได้พบกับน้องชายของท่านอาร์โนลด์ ข้ารู้สึกโล่งใจยิ่งนักที่ได้พบว่าองค์ชายเป็นคนอ่อนโยนเหมือนดั่งที่เจ้าชายอาร์โนลด์พูดเอาไว้เลย”


 


“ท่านพี่พูดถึงข้าด้วยหรอ? ชักน่าสนใจแล้วสิ ช่วยเล่าให้ข้าฟังบ้างได้ไหม?”


 


“ยินดีค่ะ อ้ะ, เดี๋ยวข้าเตรียมชาให้นะคะ”


 


“ขอบใจนะ”


 


เขาใช้เวลาไม่ถึงนาทีในการเข้าถึงหัวใจคนอื่น น้องชายของเขาช่างน่ากลัวจริงๆ ความสามารถในการถลำเข้าไปในด้านดีของอีกฝ่ายนั้นถือเป็นพรสวรรค์ติดตัวเขาอยู่แล้ว


 


ระหว่างคนสองคนที่พึ่งรู้จักกันมันมีหัวข้อให้คุยกันเพียงน้อยนิด ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ในเมื่อพวกเขาไม่ค่อยมีประเด็นให้พูดคุยกัน, ก็ต้องเพิ่มหัวข้อเกี่ยวกับเขาเข้าไปด้วย


 


เขาได้แต่ทำหน้านิ่วในตอนที่พวกเขากำลังพูดเกี่ยวกับเขา ซึ่งลีโอก็คงจะสังเกตเห็นก็เลยส่งบทสนทนาตรงมาทางเขา


 


“จะว่าไปท่านพี่ครับ, พี่คิดจะให้คุณฟีเน่ร่วมมือกับเรายังไงหรอ?”


 


“หลักๆเลยก็คือข้าจะให้เธอเป็นนักเจรจาของพวกเรา และหลังจากนั้น, ข้าก็จะให้เธอเดินทางจากคฤหาสน์ในเมืองหลวงมาหาพวกเราบ่อยๆ การทำเช่นนี้จะแสดงให้เห็นว่าดยุคไคลเนลต์อยู่ฝั่งพวกเรา นี่คือทั้งหมดสำหรับตอนนี้ แล้วก็, ข้าได้บอกเธอเรื่องซิลเวอร์ไปแล้วนะ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เธอรู้ว่าข้าหลอกตระกูลของเธอแต่ก็ยังร่วมมือกับพวกเรา”


 


“ท่านพูดให้ตัวเองดูเป็นคนเลวอีกแล้วนะคะ…….เรื่องที่ตระกูลของเราทำให้ท่านซิลเวอร์โกรธนั้นยังคงเป็นความจริงอยู่ดี, และมันก็เป็นเรื่องจริงที่ท่านอาร์โนลด์เป็นคนช่วยซ่อมความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา ถ้าเราปล่อยวางเรื่องนี้ไว้เพียงเท่านั้นก็คงจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”


 


“นั่นสินะ, ข้าเองก็เห็นด้วย ข้อเสียของท่านพี่ก็คือการชอบทำให้ตัวเองดูแย่เนี่ยแหล่ะ”


 


“เห้ออ……”


 


นี่มันเหมือนกับเจอลีโอพร้อมกันสองคนเลย


 


เอาเถอะ, ถ้าพวกเราจะหาพันธมิตรเพิ่มการรวบรวมคนแบบนี้เอาไว้ก็ถือเป็นเรื่องดีเหมือนกัน แต่ปัญหาของเราก็คือว่าจะเพิ่มยังไงเนี่ยแหล่ะนะ


 


“นี่มันนิสัยของข้าไม่ต้องห่วงหรอกหน่า ที่สำคัญกว่านั้น, ลีโอ, เจ้าได้พันธมิตรจากในเมืองหลวงบ้างรึเปล่า?”


 


“อืมม, พูดยากครับ ถึงยังไงผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงก็เข้าพวกกับพี่ๆสามคนนั้นหมดแล้วครับ”


 


เขาลองเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการถามว่าทางฝั่งของลีโอเป็นยังไงแต่มันก็เป็นไปตามคาด


 


ต่อให้พวกเขาจะรู้ว่าดยุคไคลเนลต์คอยหนุนหลังลีโออยู่, แต่พวกที่จะเคลื่อนไหวได้นั้นก็มีแต่กลุ่มอิทธิพลที่เป็นกลางเท่านั้น ส่วนพวกที่อยู่ฝ่ายของคู่แข่งทั้งสามคนแล้วนั้นเคลื่อนไหวไม่ได้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ก็คือพวกขุนนางยังไม่รู้ว่าดยุคสนับสนุนพวกเขาหล่ะนะ


 


“เอ่ออ…คือว่าข้ายังไม่ค่อยรู้สถานการณ์ในเมืองหลวงซักเท่าไหร่เลยค่ะเพราะฉะนั้น….ช่วยเล่าเรื่องคู่แข่งทั้งสามคนที่ท่านพูดถึงให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ?”


 


“ท่านพี่ยังไม่บอกคุณฟีเน่หรอ?”


 


“เธอเอาแต่ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องในระหว่างทางมาที่นี่ข้าก็เลยไม่เหลือแรงอธิบายเรื่องนี้”


 


“ขอโทษค่ะ”


 


“ไม่เป็นไรหรอก, ท่านพี่เป็นคนขี้รำคาญมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วท่านพี่ก็เลยมักจะชอบหลีกเลี่ยงผู้คนอยู่ตลอด”


 


“จริงหรอคะ!?”


 


“แต่บางครั้งมันก็ยุ่งยากเกินกว่าที่จะหลีกเลี่ยงได้หล่ะนะ”


 


“ฮืออ…..”


 


เจ้าชายอาร์โนลด์เหลือบมองใบหน้าที่เศร้าสลดของฟีเน่แล้วคว้าอัญมณีทั้งสามที่อยู่ในห้องมาจัดเรียงบนโต๊ะเพื่อใช้ในการช่วยอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น


 


“สมมุติว่านี่คือคู่แข่งสามคนของพวกเรา คนแรกก็คืออัญมณีสีฟ้าชิ้นนี้ เจ้าชายลำดับสอง, เอริค เลคส์ แอดเลอร์, อายุ 28 ปี, เขามีคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่อยู่ฝั่งเขาและเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าชายมากปัญญา ส่วนคนที่สองก็คืออัญมณีสีแดงชิ้นนี้ เจ้าชายลำดับสาม, กอร์ดอน เลคส์ แอดเลอร์, อายุ 26 ปี เขามุ่งหน้าสู่สนามรบในฐานะขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพเรา, เขาได้ครอบครองอิทธิพลทางการทหาร และคนที่สามก็คืออัญมณีสีเขียว เจ้าหญิงลำดับสอง, ซานดร้า เลคส์ แอดเลอร์, อายุ 22 ปี เธอเก่งด้านเวทมนตร์และได้รับการสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากนักเวทย์ทั่วจักวรรดิ ทั้งสามคนนี้ต่างก็มุ่งหวังที่จะครองบัลลังก์ในขณะที่ขยายขอบเขตอำนาจของพวกเขา อันที่จริงก็ยังมีสมาชิกคนอื่นที่เล็งบังลังก์อยู่แต่เจ้าไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับทั้งสามคนนี้ได้เลย”


 


“คณะรัฐมนตรี, ทหารและนักเวทย์ พวกเขาแต่ละคนนั้นต่างก็มีฐานสนับสนุนที่มั่นคง มันคือการต่อสู้ชิงบังลังก์ที่พวกขุนนางกำลังหาประโยชน์เพื่อตัวเอง, นี่แหล่ะคือสงครามผู้สืบทอดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้ ซึ่งมันได้เริ่มขึ้นเมื่อสามปีก่อน….ในตอนที่พี่ชายคนโตของเรา, มงกุฎราชกุมารจากไปในสนามรบ”


 


“ข้าเองก็ได้ยินมาค่ะ…..ท่านพ่อเคยบอกว่าถ้าเจ้าชายองค์แรกยังมีชีวิตอยู่, เรื่องอย่างสงครามผู้สืบทอดก็คงจะไม่มีวันเกิดขึ้น”


 


“ข้าเองก็เห็นด้วยครับ ถ้าคนๆนั้นยังมีชีวิตอยู่เรื่องยุ่งยากแบบนี้ก็คงจะไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้วหล่ะครับ”


 


ในทางกลับกัน, มันก็เป็นเพราะคนๆนั้นตายไปจริงๆคนอื่นถึงได้มีโอกาส


 


แม้กระทั่งเจ้าชายอาร์โนลด์เองก็รู้สึกเสียใจกับการตายนี้ เขาทั้งมีเกียรติและกล้าหาญ ลักษณะนิสัยและการวางตัวของเขาเหมือนกับลีโอเวอร์ชันอัพเกรดแล้ว, คนแบบนี้จะไปตายในสนามรบได้ยังไงกัน?


 


อันที่จริงมีการจัดตั้งทีมสืบสวนขึ้นมาและจักรพรรดิก็ลงมาคุมงานนี้ด้วยตัวเอง หลังจากที่สืบดูแล้วมันก็ได้ข้อพิสูจน์ว่าไม่มีใครวางแผนฆ่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถสลัดความความรู้สึกที่ว่ามีกลิ่นคาวบ่างอย่างซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ออกไปได้


 


อย่างไรก็ตาม, การนำคนตายขึ้นมาพูดนั้นก็คงจะไม่ได้ช่วยอะไรพวกเขา


 


“คนๆนั้นไม่อยู่แล้วและพี่ทั้งสามคนของพวกเราก็เป็นคนที่ไม่ปราณีกับศัตรูด้วย ลีโอ, ถ้าเจ้าไม่ชิงตำแหน่งมาจากพวกพี่ๆแล้วกลายเป็นจักรพรรดิ, อนาคตข้างหน้าของพวกเราดับสนิทแน่”


 


“ข้ารู้ครับ, แต่ข้าจะทำได้จริงๆหรอ……”


 


“สบายใจได้ ข้าจะช่วยให้มันเป็นไปได้เอง”


 


ในตอนที่พูดจบ, เขาก็ตบหลังของลีโอ


 


พอเห็นว่าลีโอสำลักออกมา, เขากับฟีเน่ก็หัวเราะ


 


————————-


 


ฟีเน่มาอยู่เมืองหลวงได้สามวันแล้ว


 


หลังจากไปทักทายจักรพรรดิฟีเน่ก็มักจะมาเยี่ยมพวกเขาต่ออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนมากมายเห็นเธอ, และข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง


 


ซึ่งข่าวลือที่ว่านั้นก็คือ ‘เพื่อที่จะสนับสนุนเจ้าชายลีโอนาร์ดดยุคไคลเนลต์ก็เลยส่งเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินมาอยู่เคียงข้าง’


 


ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปตามนี้ ซึ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงนั้นก็เริ่มพัฒนาข่าวลือจนถึงขั้นกลายเป็นเรื่องราวความรักระหว่างฟีเน่กับลีโอ, ซึ่งนี่ก็ถือว่าไม่เลวนะ แต่ไม่ว่ายังไง, ตอนนี้ข่าวคราวมันก็กระจายออกไปแล้วว่าดยุคไคลเนลต์สนับสนุนลีโอ


 


“ช่วยพาไปชมเมืองหลวงหน่อยได้ไหมคะ?”


 


ฟีเน่ขอร้องเจ้าชายอาร์โนลด์


 


เหตุผลที่มาขอร้องเขานั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะเขานั้นคุ้ยเคยกับเมืองหลวงมากกว่าลีโอ


 


อย่างไรก็ตามมันมีปัญหาอยู่


 


“ถ้าเจ้าไปเดินเล่นเมืองหลวงหล่ะก็จะตกเป็นเป้าสายตาเอานะ…….”


 


“ข้าจะปลอมตัวค่ะ!”


 


พอพูดจบฟีเน่ก็หยิบแว่นออกมาสวมด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม


 


เจ้าตัวอาจจะคิดว่ามันแนบเนียนแล้ว, แต่นี่มันไม่ได้แนบเนียนอะไรเลย ถึงแม้ว่ามันอาจจะมีคนรู้ตัวว่าเป็นฟีเน่น้อยลงไปบ้าง, แต่ความงามของเธอนั้นก็ไม่ได้ถูกปกปิดเอาไว้


 


การสวมแว่นนั้นทำให้รู้สึกว่าดูสวยฉลาดขึ้น ซึ่งคนที่ชอบแนวนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจะพูดว่ามันเป็นการปลอมตัวที่ฉลาดก็คงจะไม่ได้


 


“ไม่ไป”


 


“เอ๋, ทำไมหล่ะคะ!?”


 


ถึงอย่างนั้นพอเห็นฟีเน่ที่เกาะติดไม่ปล่อยเขาก็ถอนหายใจออกมา ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้เลยรึไงว่าความสวยของตัวเองนั้นดึงดูดความสนใจได้มากขนาดไหน


 


การที่เธอได้รับเครื่องประดับนกนางนวลสีน้ำเงิน, มันก็เป็นเครื่องบ่งบอกแล้วว่าเธอสวยที่สุดในจักรวรรดิ


 


 


“ข้าไม่อยากเด่น ถ้าไปคิดวิธีทำตัวให้เด่นน้อยลงกว่านี้ได้ข้าจะคิดดูอีกที”


 


ถึงนั่นจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะนะ เขาพึมพำในใจในขณะที่ปฏเสธคำขอร้องของฟีเน่


 


นอกจากนี้การออกไปกับเขาในเวลานี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะถึงยังไงตอนนี้ข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของฟีเน่กับลีโอก็กำลังไปได้ดี ถ้าจู่ๆมีเจ้าชายไร้ค่าเข้ามาแทรกมันก็คงจะไม่โอเคซักเท่าไหร่


 


ถึงจะคิดไปแบบนั้น, แต่ตอนช่วงบ่ายฟีเน่ก็เข้ามาหาเขาในห้องด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเหมือนกับตอนช้า


 


“ช่วยพาไปชมเมืองหลวงด้วยค่ะ!”


 


“ข้าไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตา”


 


“ข้าจะปลอมตัวค่ะ”


 


ด้วยคำพูดที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ฟีเน่ก็หยิบเสื้อผ้าชุดนึงออกมาด้วยความมั่นใจ


 


มันคือเสื้อคลุมฮู้ดสีแดงเพลิงที่ยาวไปถึงเท้าสำหรับนักเดินทาง


 


ฟีเน่ได้ดึงฮู้ดลงมาปิดด้วย และด้วยความที่มันบดบังใบหน้าของเธอจนแทบมิดจึงไม่น่าจะมีใครจำได้ว่าเป็นเธอ


 


“ความคิดใครหล่ะ?”


 


“ท่านเซบาสเป็นคนช่วยชี้แนะค่ะ!”


 


“หนอยตาแก่เซบาส……แต่ว่ามันยังติดเรื่องคนคุ้มกันด้วยเอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะ”


 


“ท่านเซบาสบอกว่าถ้าท่านอาร์โนลด์อยู่ด้วยก็ไม่จำเป็นต้องมีคนคุ้มกันหรอกค่ะ!”


 


“…..”


 


ตาพ่อบ้านนั่นคิดจะหาเรื่องรบกวนเราใช่ไหม?


 


วันนี้ดูเหมือนว่าพวกขุนนางที่เป็นกลางจะอยู่ที่นี่ด้วยอุตส่าคิดว่าจะหาทางรวบรวมพวกเขาอยู่นะเนี่ย…..


 


อย่างไรก็ตาม, พอเห็นสายตาที่เป็นประกายของเธอเขาก็ถอนหายใจแล้วยอมใจอ่อน


 


“ก็ได้ ก็ได้, ออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน”


 


“ค่ะ!”


 


“ไปได้ไม่นานนะโอเคไหม? แล้วก็เธอเองก็เถอะ, น่าจะมีคำร้องขอพบปะจากผู้คนเข้ามาเยอะเลยไม่ใช่หรอ?”


 


“ก็ไม่นะคะ, ช่วงนี้ไม่เห็นจะมีคำร้องเข้ามาเลย”


 


“……..คงเป็นเพราะเธอเป็นที่ถูกใจของท่านพ่อหล่ะนะ ก็เลยแตะต้องไม่ได้ง่ายๆ”


 


จักรพรรดินั้นไม่ได้คิดจะให้ฟีเน่มาเป็นสนม แต่ว่าเขารักฟีเน่เหมือนกับเป็นลูกสาวของเขา ซึ่งนี่แหล่ะที่ทำให้มันยุ่งยากยิ่งกว่า จักรพรรดิอาจจะไม่พอใจได้ถ้าเข้ามาหาเธอด้วยเจตนาไม่ดีเหมือนกับการที่พ่อหวงลูกสาว


 


นอกจากนี้ยังมีเรื่องความสัมพันธ์กับลีโออีก ซึ่งมันก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ขุนนางคนอื่นๆตัดใจ เพราะการเข้าหาฟีเน่นั้น, จะทำให้พวกเขาต้องใกล้ชิดกับลีโอมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และดูเหมือนว่าจะยังไม่มีขุนนางคนไหนที่ตัดสินใจได้ถึงขนาดนั้น


 


“ช่างเถอะ ไปกันได้แล้ว เกือบลืมอีกเรื่องนึง, ถ้าข้าบอกให้กลับเมื่อไหร่ก็ต้องกลับนะเข้าใจไหม?”


 


“ได้ค่ะ! ขอฝากตัวด้วยนะคะ!”


 


ฟีเน่ตอบรับอย่างดีใจด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


————————-


 


ถนนของเมืองหลวงนั้นพลุกพล่านอยู่เสมอ


 


ฟีเน่มองถนนของที่นี่แล้วหันกลับมามองเขา


 


“ท่านอาร์โนลด์ นั่นอะไรหรอคะ?”


 


“นั่นคือร้านประเมินราคา ที่นั่นมีการออกใบรับรองให้ด้วยดังนั้นค่าธรรมเนียมก็เลยค่อนข้างสูง แล้วก็นะเจ้าจะเรียกข้าว่าอัลก็ได้”


 


“จะไม่เป็นหรอหรอค่ะให้เรียกชื่อเล่นแบบนี้?”


 


“ข้าจะมีปัญหาเอาได้ถ้ามีคนรู้ตัวตนของข้าเพราะฉะนั้นเรียกว่าอัลเฉยๆก็พอ”


 


“….หลังจากนี้ไปข้าก็สามารถเรียกแบบนั้นได้เหมือนกันใช่ไหมคะ?”


 


ฟีเน่มองเขาอย่างคาดหวัง


 


มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียกเขาว่าอัล อย่างไรก็ตาม, ถ้าเธออยากเรียกแบบนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้หยุดเธอ


 


“ตามใจเถอะ”


 


“ค่ะ! ท่านอัล!”


 


อะไรทำให้เธอดูมีความสุขขนาดนี้นะ?


 


ในขณะที่เขากำลังประทับใจที่เรื่องเล็กๆแบบนี้สามารถทำให้เธอมีความสุขได้, เขาก็คอยพาเธอเดินชมเมืองหลวง


 


ในระหว่างทาง, พวกเขาก็ได้แวะร้านอาหารพื้นเมืองแห่งนึง หลังจากนั้น, เขาก็พาเธอไปดูสถานที่สำคัญต่างๆของเมืองหลวง


 


พวกเขามีเวลาไม่มากนักดังนั้นแค่การชมรอบๆเมืองก็ใช้เวลาไปซักพักแล้ว


 


ในตอนที่เขาคิดว่ามันได้เวลาที่ควรจะเตรียมตัวกลับแล้ว, ฟีเน่ก็เจอร้านเครื่องประดับร้านนึงเข้า


 


“เห้อออ….อย่านานนักหล่ะเข้าใจไหม?”


 


“ค่ะ!”


 


เนื่องจากเธอมองเขาเหมือนกับกำลังขอร้องว่าอยากจะไปดูข้างใน, เขาจึงอนุญาตเธอ


 


ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดออกมาเอง แต่ว่าดวงตาของคนเรานั้นสามารถสื่อความรู้สึกได้มากกว่าปาก, ซึ่งพลังจากสิ่งที่เธอกำลังสื่อออกมาทางดวงตานั้นก็ไม่ได้อยู่ในระดับแค่ครึ่งๆกลางๆเลย


 


เวลาผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ?


 


ด้วยความที่เขาเหนื่อยเขาจึงไม่ได้เข้าไปในร้าน เขายืนพิงรอเธออยู่ที่เสาข้างหน้าร้านแทน


 


อย่างไรก็ตาม, มีลูกค้าคนนึงที่ไม่ให้เวลาเขาได้พักเลย


 


“หืม, หน้าตาคุ้นๆนะ นี่มันท่านเจ้าชายไร้ค่าไม่ใช่หรอครับ?”


 


พอได้ยินเสียงอันไม่น่าอภิรมย์ที่แฝงมาด้วยการถากถาง, เขาก็ขมวดคิ้ว


 


พูดตามตรง, เขาได้บังเอิญมาเจอกับคนที่เขาไม่อยากเจอเข้าซะแล้ว


 


คนที่ปรากฎตัวขึ้นนั้นเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทำเป็นทรงบ๊อบที่ถูกห้อมล้อมด้วยคณะผู้ติดตามของเขา


 


เสื้อผ้าที่ดูเทอะทะและเซ้นส์ในการทำผมของเขานั้นบอกได้เลยว่าเข้าขั้นเลวร้าย อย่างไรก็ตาม, ดูเหมือนว่าเขาจะคิดว่าตัวเองดูเท่ดังนั้นก็เลยกล้าแต่งออกมาเดินได้ด้วยความภาคภูมิใจ


 


ชื่อของเขาคือกีโด้ ฟ็อน ฮอร์วาธ เขาคือผู้สืบสายเลือดจากบ้านฮอร์วาร์ธซึ่งเป็นตระกูลขุนนางที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจักวรรดิ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ, แต่นี่ก็คือเพื่อนสมัยเด็กของเขา


 


บ้านฮอร์วาธนั้นปกครองดินแดนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงของจักรวรรดิ ดังนั้น, เขาจึงอาศัยอยู่ในเมืองหลวงและมักจะไปที่ปราสาทอยู่บ่อยๆ และเนื่องจากเขามีอายุเท่ากับพวกเขา, ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบตัวจึงชอบพาเขามาหาพวกเขา เขานั้นมักจะเข้าร่วมการเรียนและการฝึกฝนด้วยกันกับพวกเขาอยู่บ่อยๆ นี่แหล่ะคือความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อกัน


 


อย่างไรก็ตาม, เขาจะทำตัวดีก็แค่ตอนที่มีลีโออยู่ด้วยเท่านั้นและชอบหาเรื่องแกล้งเขาลับหลัง ซึ่งคณะติดตามของเขาเองก็เป็นกลุ่มที่รังแกเขามาตั้งแต่เด็กด้วย เขาไม่เคยตอบโต้หรือเอาไปฟ้องใครเลย และยิ่งไปกว่านั้น, ผู้ใหญ่ที่สังเกตเห็นก็มองข้ามเขาด้วย ซึ่งนี่ค่อนข้างจะเป็นที่ประจักษ์สำหรับพวกเขา


 


ถึงยังไง, การได้เห็นเจ้าชายที่มีสถานะสูงกว่าตัวเองถูกพวกเขารังแกแบบนี้ก็อาจจะทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองพิเศษก็ว่าได้


 


ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาโตขึ้น, กีโด้จึงมักจะเข้ามาวุ่นวายกับเขาด้วยเรื่องแบบนี้


 


“กีโด้….หายากนะที่จะได้มาเจอเจ้าในสถานที่แบบนี้”


 


“ข้าบังเอิญเห็นหน้าซึมกระทื่อที่ไม่ควรจะถูกมองว่าเป็นเจ้าชายในตอนที่กำลังนั่งอยู่บนรถม้าหน่ะ ข้าก็เลยคิดว่าข้าต้องทักเจ้าในฐานะที่เป็นหนึ่งในขุนนางของจักรวรรดิ”


 


“หรอ, ขอบใจนะ”


 


“ทัศนคติเช่นนี้มันอะไรกัน?”


 


กีโด้เอาไม้เท้าในมือของเขากดเท้าเขาและทำสีหน้าไม่พอใจ


 


“เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้เพราะพวกเราอยู่ในที่สาธารณะใช่ไหม? ดูเหมือนเจ้าจะคิดผิดแล้วแหล่ะเพราะถึงข้าจะอัดเจ้าเละที่นี่ก็คงไม่มีคงส่งเสียงอะไรหรอกเจ้าก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรอ? ถึงยังไงก็ไม่มีใครรู้จักหน้าเจ้าอยู่แล้ว”


 


“ข้าคิดว่า, ช่วงนี่ลีโอมีชื่อเสียงขึ้นมา, ผู้คนอาจจะรู้จักหน้าข้าแล้วก็ได้นะ”


 


ประชาชนนั้นไม่ได้จดจำใบหน้าของสมาชิกในราชวงศ์ได้ทุกคน ถึงแม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงอื้อฉาว, แต่พวกเขาก็รู้แค่ว่าเขามีผมสีดำและดวงตาสีดำ เขาเคยปรากฎตัวเบื้องหน้าผู้คนในงานเฉลิมฉลองเป็นบางครั้งแต่เนื่องจากเขาอยู่ห่างจากประชาชนมากๆ, ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเขา


 


อย่างไรก็ตาม, ช่วงนี้ลีโอกลายเป็นคนมีชื่อเสียงขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ถ้าเขาที่มีใบหน้าเหมือนกันถูกทำร้าย


 


“เจ้าไม่ใช่ลีโอนาร์ด แค่มองเจ้าผู้คนเขาก็ดูออกแล้ว เจ้าชอบสวมเสื้อผ้าหลุดรุ่ยและทำหน้าหม่นหมองอยู่ตลอด มันคือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความไม่มั่นใจในตัวเองของเจ้า ใครจะไปคิดกันหล่ะว่าเจ้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์? แค่นิสัยและการแสดงออกของเจ้าก็ไม่ใกล้เคียงกับมันแล้ว!”


 


พอพูดจบ, กีโด้ก็เอาไม้ฟาดเข้าที่คางของเขา ใบหน้าของเขาบูดบึ้งด้วยความเจ็บปวดแต่เขาก็ไม่ได้ล้มลง


 


เขาไม่สามารถทำตัวเด่นในสถานการณ์แบบนี้ได้ ตอนนี้ผู้คนยังคิดว่าเขาเป็นชนชั้นสูงซักคนอยู่แต่ถ้าผู้คนจำหน้าของเขาได้ว่าเป็นสมาชิกของราชวงศ์หล่ะก็มันจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมา และถ้ากลายเป็นแบบนั้น, มันก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากได้ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมายังไงก็ตาม


 


ตอนนี้เราจะเอายังไงดีนะ?


 


“เกิดอะไรขึ้นหรอคะ?”


 


พอคิดว่าเธอโผล่มาในเวลานี้ เขาก็แทบจะกัดลิ้นของตัวเอง


 


ขอร้องหล่ะช่วยอย่าทำให้สถานการณ์มันวุ่นวายไปกว่าเดิมจะได้ไหม?


 


ฟีเน่มองไม้เท้าที่กีโด้ใช้ฟาดเขาและแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเปิดเผย


 


“อวดดียิ่งนัก!”


 


“หืม? ใครกัน? คนรับใช้ของเจ้าหรอ?”


 


“ข้าเข้าใจแล้วหล่ะว่าท่านเป็นคนที่หยาบคายขนาดไหน”


 


พอพูดจบฟีเน่ก็ถอดฮู้ดออก


 


เป็นเวลาครู่นึงที่กีโด้เผลอชื่นชมความงามของเธอโดยไม่รู้ตัว, แต่ในตอนที่เขารู้ว่ากำลังพูดกับใครเขาก็สะดุ้ง


 


“ทะ, ท่านคือ..ท่านหญิงฟะ, ฟีเน่ใช่ไหมครับ!?”


 


“ใช่ค่ะ, ข้าคือฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ แล้วท่านเป็นใคร?”


 


“ข้า, ข้าชื่อกีโด้ ฟ็อน ฮอร์วาธ ลูกชายคนโตของดยุคฮอร์วาธครับ”


 


“ลูกชายของท่านดยุคฮอร์วาธที่น่าเคารพคนนั้นหรอคะ? ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้าคิดว่าท่านน่าจะเป็นคนที่มีเกียรติมากกว่านี้”


 


กีโด้เริ่มแก้ตัวในตอนที่เห็นฟีเน่ทำหน้าผิดหวัง


 


เขาดูไม่สบายใจมากๆ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะแสดงออกมาจากกีโด้ที่มักจะเชิดชูเรื่องศักดิ์ศรีของตัวเอง การถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าฝูงชนแบบนี้, มันคงเป็นสิ่งที่ศักดิ์ศรีของเขาไม่อาจยอมรับได้ก็ว่าได้


 


“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ! ไอ้หมอนี่คือ..”


 


“เจ้าชายอาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์ สินะคะ ท่านเห็นว่าเป็นเจ้าชายไร้ค่าก็เลยคิดว่าจะทำอะไรก็ได้หรอคะ? นี่ท่านไม่มีความเคารพภัคดีต่อราชวงศ์เลยหรอ?”


 


“มะ, ไม่, มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ……”


 


เขามองฟีเน่


 


มันคงจะไม่ดีแน่ถ้าฟีเน่มาหักหน้ากีโด้ที่นี่ ฟีเน่คือเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน จากความจริงที่ว่าเธอมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอย่างมาก, แถมยังเป็นที่ชื่นชอบของจักรพรรดิด้วย ดังนั้นมันคงจะเป็นเรื่องง่ายถ้าให้เธอช่วยเขาที่นี่แต่ว่าเขาไม่สามารถยอมให้เธอมาสร้างศัตรูกับกีโด้ได้


 


การสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นนั้นมันไม่มีผลดีอะไร ถ้าเขาปล่อยให้กีโด้ทำตามอำเภอใจและทำร้ายเขาฝ่ายเดียวมันก็จะมีแค่ชื่อเสียงของเขาที่แย่ลง


 


เขาพยายามห้ามเธอด้วยสายตาแต่ดูเหมือนว่าฟีเน่จะไม่ได้สนใจเลย


 


จากนั้นเธอก็พูดอะไรที่อุกอาจออกมา


 


“เอาจริงๆตั้งแต่แรกแล้ว…..นี่ท่านคิดว่าข้าจะมากับเจ้าชายอาร์โนลด์หรอคะ?”


 


“เอ้ะ…..?”


 


ฟีเน่มองตรงมาที่เขา


 


พอรู้ถึงสิ่งที่เธอตั้งใจจะทำ, เขาก็ถอนหายใจออกมา


 


ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้วก็คงทำได้แค่เล่นตามแผนของฟีเน่


 


“แบบนี้มันจะเป็นปัญหาเอานะครับ, คุณฟีเน่ เห็นท่านบอกว่าไม่อยากให้กลายเป็นข่าวลือ, ก็เลยให้ข้าปลอมตัวเป็นท่านพี่ไม่ใช่หรอ…..”


 


“ขอประทานโทษด้วยนะคะ ท่านลีโอ”


 


“เอ้ะ, เอ, นี่ลีโอนาร์ดหรอ…..?”


 


“ใช่แล้วครับคุณกีโด้”


 


เขาจัดผมและยืดตัวตรง จากนั้นเขาก็ดัดเสียงให้เหมือนลีโอแล้วเปลี่ยนสีหน้าให้ดูอ่อนโยน


 


พอเห็นเขาทำแบบนี้, ใบหน้าของกีโด้ก็ซีดเผือดในทันทีหลังจากที่เขานึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้


 


“ละ, ลีโอนาร์ด….มันไม่ใช่แบบนั้นนะ นี่มันคือ…..”


 


“ไม่เป็นไรหรอกคุณกีโด้ ข้ารู้ว่าท่านทำเรื่องแบบนี้กับท่านพี่, ตราบใดที่ท่านพี่ไม่พูดอะไรข้าเองก็ไม่คิดจะเคลื่อนไหวเหมือนกัน และที่ทำกับข้าในครั้งนี้ข้าก็จะยกโทษให้ เพราะข้าอยู่ในระหว่างการพาท่านฟีเน่ชมเมืองอยู่”


 


“ขะ, เข้าใจแล้วหล่ะ…..”


 


กีโด้เดินหนีไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดี


 


ถ้าเป็นเขา, ในกรณีที่เกิดเรื่องแบบนี้กับลีโอเขาเองก็อาจจะนำเรื่องความเคารพภัคดีต่อราชวงศ์มาพูดเหมือนกับฟีเน่ ถึงยังไง, ตอนนี้ลีโอก็คือขั้วอำนาจที่สี่ในสงครามผู้สืบทอด ไม่เหมือนกับเขา, ลีโอคือเจ้าชายที่อาจจะกลายเป็นจักรพรรดิ


 


กีโด้เองก็ต้องเข้าใจแน่ๆว่ามันคงจะเลวร้ายขึ้นไปอีกถ้าเขาปล่อยให้สถานการณ์มันแย่ลงกว่านี้ ในตอนที่กีโด้จากไปเขาก็รีบเปลี่ยนรูปลักษณ์กลับเป็นปกติ


 


จากนั้น…


 


“นี่เจ้าต้องทำแบบนี้จริงๆหรอ?”


 


“ข้าขอโทษค่ะ….”


 


“เห้อ…ช่างเถอะไปกันได้แล้ว”


 


ก่อนอื่น, พวกเขาต้องรีบออกไปจากที่นี่ พวกเขาดึงดูดความสนใจมามากเกินไปแล้ว


 


พวกเขารีบเร่งฝีเท้าไปทางปราสาท แล้วเขาก็หยุดลงในตอนที่ใกล้จะถึงปราสาทและมองตรงไปที่ฟีเน่


 


ฟีเน่เองก็มองเขากลับด้วยใบหน้าที่เหมือนกับอยากจะร้องไห้


 


“…เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำอะไรตามอำเภอใจ?”


 


“ข้าขอโทษจริงๆค่ะ….”


 


“ถ้าเจ้าปล่อยเอาไว้มันก็มีแต่จะลดชื่อเสียงของเจ้านั่น แต่การทำแบบนี้, สุดท้ายแล้วเจ้านั่นก็จะกลายมาเป็นศัตรูกับเจ้าและลีโอ ยิ่งไปกว่านั้น, เพราะพวกนั้นมีข้อมูลว่าลีโออาจจะออกมาข้างนอกในขณะที่ปลอมตัวเป็นข้า, ข้อมูลนั้นก็จะทำให้ข้าเคลื่อนไหวได้ยากขึ้นด้วย”


 


“……….”


 


ถ้าเขายังพูดต่อไปในลักษณะนี้เธออาจจะร้องไห้จริงๆก็ได้เพราะน้ำตาได้มารวมตัวกันในดวงตาของฟีเน่แล้ว


 


พอเห็นแบบนี้เข้า, เขาก็เบือนหน้านี้


 


ไม่ว่าตอนนี้เขาจะพูดอะไรกับฟีเน่, มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว เขาไม่สามารถโทษเธอสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้


 


“ถ้าเข้าใจแล้วครั้งหน้าก็อย่าทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองอีก แถมมันยังอันตรายกับเจ้าด้วย ,เพราะฉะนั้นห้ามทำเด็ดขาด”


 


“ค่ะ”


 


เธอยังดูเหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่


 


พอเห็นฟีเน่คอตก, เขาก็ยอมใจอ่อน สุดท้ายแล้ว, ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้อีกเขาจึงพูดออกมา


 


“แต่ว่า….ข้าเองก็เข้าใจว่าเจ้าตั้งใจทำแบบนั้นเพื่อข้า ขอบใจนะ”


 


“…..ท่านอัล……”


 


“ขอโทษด้วยนะที่ต้องจบลงเศร้าๆแบบนี้ทั้งที่เจ้ากำลังสนุกอยู่”


 


“มะ, ไม่หรอกค่ะ! มันไม่ใช่ความผิดของท่านอัลเลยนะคะ! ทั้งหมดมันเป็นเพราะข้าคิดน้อยไปต่างหาก! ครั้งหน้าข้าจะระวังตัวให้มากกว่านี้ค่ะ! เพราะฉะนั้น….ท่านช่วยพามาเดินเล่นอีกจะได้ไหมคะ?”


 


“อืม, ครั้งหน้าข้าเองก็จะปลอมตัวด้วยแล้วกัน”


 


พอได้ยินแบบนี้, อารมณ์ของฟีเน่ก็ดีขึ้นในทันทีและเธอก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส


 


การได้เห็นรอยยิ้มนี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วหล่ะนะที่พาเธอออกมาเดินชมเมือง ด้วยความคิดนี้, เขาก็พาฟีเน่กลับเข้าปราสาท


ตอนที่ 6 : พวกคู่แข่ง


 


ถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรของจักรพรรดิ, แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เจอเขาทุกวัน ซึ่งเหตุผลนั้นก็ง่ายมาก, มันเป็นเพราะจักรพรรดิที่ปกครองจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มักจะยุ่งอยู่เสมอ


 


แทบจะทุกวันจักรพรรดิจะต้องเข้าประชุมกับคณะราชบริพารของเขาและคนที่จะได้เข้าร่วมนั้นก็มีแค่พวกที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญเท่านั้น ซึ่งการประชุมนี้ก็คือ ‘การประชุมสภาองคมนตรี’, และในบรรดาลูกๆทั้งหลายของเขาก็มีเพียงคนเดียวที่ได้เข้าร่วมในการประชุมที่สำคัญของจักรวรรดินี้และคนๆนั้นก็คือเจ้าชายลำดับสอง


 


อย่างไรก็ตาม, ในวันนี้, เจ้าชายกับเจ้าหญิงในเมืองหลวงของจักรวรรดิถูกสั่งให้เข้าร่วมในการประชุมองคมนตรีด้วย


 


“นี่มันแปลกๆนะครับ สงสัยจังว่าเกิดอะไรขึ้น?”


 


“มันไม่ได้มีเรื่องแบบนี้กันทุกปี, นี่แสดงว่าต้องมีประกาศอะไรซักอย่างแน่ๆ”


 


เขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าจักรพรรดิจะหยุดสงครามผู้สืบทอดที่เต็มไปด้วยการนองเลือดนี้ จักรพรรดินั้นคิดแค่ว่ามีแค่คนที่ชนะสงครามผู้สืบทอดนี้ได้เท่านั้นถึงจะเป็นคนที่คู่ควรแก่การเป็นจักรพรรดิคนต่อไป


 


เขาเป็นจักรพรรดิมากกว่าเป็นพ่อคน หรือบางทีก็คงจะพูดได้ว่าหน้าที่ของจักรพรรดินั้นก็คือการเตรียมผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สามารถปกป้องและพัฒนาจักรวรรดิที่กว้างใหญ่นี้ได้ เพื่อสิ่งนี้, เขาจำเป็นต้องทำเป็นมองไม่เห็นสำหรับการเสียสละที่จะเกิดขึ้น


 


“ประกาศสินะครับ….ข้าหวังว่ามันจะเป็นข่าวดีนะ”


 


“90%, มันต้องเป็นข่าวร้ายแน่ๆ”


 


ในขณะที่บทสนทนารูปแบบนี้ดำเนินอยู่, พวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่ห้องบัลลังก์


 



 


“พวกเจ้าทุกคน, ขอบใจที่มานะ”


 


“พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติที่องค์จักรพรรดิเรียกตัวมาครับ”


 


ทุกคนโค้งคำนับชายผมบลอนด์ที่อยู่บนบัลลังก์


 


จักรพรรดิองค์ที่ 31 ของจักรวรรดิอาเดรเซีย, โยฮันเนส เลคส์ แอดเลอร์ แม้ว่าเขาจะมีอายุ 51 ปีแล้วแต่เขาก็ยังดูเหมือนอายุ 40 ต้นๆอยู่เลย


 


เขาคือจักรพรรดิผู้มีอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิที่มีอายุกว่า 600 ปีนี้และในขณะเดียวกันก็เป็นพ่อของพวกเขาด้วย


 


ผู้คนที่อยู่รอบตัวเขานั้นมีแต่ข้าราชการและทหารชั้นสูงทั้งนั้น


 


สายตาของทุกคนต่างก็มองตรงมาที่พวกเขา, บุตรของจักรพรรดิ ซึ่งวันนี้มีกันทั้งหมดสิบเอ็ดคน


 


“เจ้าชาย 9 องค์กับเจ้าหญิงอีก 2 องค์ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครขาดนะ แต่ก็น่าเสียดายใจริงๆที่ลูกสาวคนโตของข้ายังอยู่ที่พรมแดน เอาเถอะ, ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกดีใจนะที่ได้เจอพวกเจ้า, ลูกๆของข้า”


 


ถ้ารวมพี่ชายคนโตที่จากไป, พ่อของเขานั้นมีบุตรทั้งหมด 13 คน


 


เขามองทุกคนด้วยสายตาพึงพอใจ


 


คนที่อายุเยอะที่สุดนั้นมีอายุ 28 ปีในขณะที่เด็กที่สุดมีอายุ 10 ปี มันเป็นโอกาสหายากที่ทุกคนได้มารวมตัวกันแบบนี้


 


ในหมู่พวกเขา, ชายคนนึงที่มีร่างกายใหญ่โตพูดขึ้นมา


 


“องค์จักรพรรดิ ที่เรียกมาวันนี้มีเหตุอันใดหรอครับ? ถ้ามันเกี่ยวข้องกับสงครามหล่ะก็เชิญส่งข้าไปได้เลย ข้าจะแสดงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิเราให้ได้เห็น, และจะกำราบศัตรูเพื่อท่านเอง”


 


เขาคือชายผมสีแดงที่สวมชุดเกราะหนา เจ้าชายลำดับสาม, กอร์ดอน เลคส์ แอดเลอร์ เขาคือนายพลของจักรวรรดิและในหมู่ ‘เจ้าชาย’, เขาก็เป็นคนที่ครอบครองอำนาจทางการทหารมากที่สุด


 


บางคนบอกว่าเขาเป็นคนน่ากลัวแต่สำหรับอาร์โนลด์, คำที่เขาจะใช้ก็คงเป็นหยิ่งผยอง เขาเป็นคนที่สำคัญตัวเองมากเกินไป


 


ฝ่ายผู้เจนศึกและเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงคือพันธมิตรของกอร์ดอน ถ้าเขากลายเป็นจักรพรรดิ, จักวรรดิก็คงจะดำเนินนโยบายขยายอาณานิคมต่อไป เขาอาจจะนำพาอาณาจักรไปสู้กับประเทศมหาอำนาจอื่นๆและอาจจะรวมทั้งทวีปให้อยู่ภายใต้การปกครองของเขาก็ได้ เขานั้นถือเป็นจักรพรรดิผู้ซึ่งกระหายในสงครามซึ่งมันก็ไม่ได้แย่อะไร


 


อย่างไรก็ตาม, สำหรับพวกที่ไม่ชอบสงครามนั้น, เขาคงจะเป็นจักรพรรดิที่ใกล้เคียงกับคำว่าเลวร้ายที่สุด


 


“กอร์ดอน เจ้านี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”


 


“เจ้าหน่ะเอาแต่พูดเรื่องสงคราม นี่ในสมองของเจ้ายังมีเรื่องอื่นเหลืออยู่บ้างรึเปล่า? จักรพรรดิเองก็ลำบากใจกับเจ้าเหมือนกันเจ้าก็คงจะสังเกตเห็นไม่ใช่หรอ?”


 


ในตอนที่เห็นรอยยิ้มเจื่อนๆของผู้เป็นพ่อ, ผู้หญิงผมยาวสีเขียวก็พูดออกมา


 


ร่างกายของเธอนั้นถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำ, เธอคือเจ้าหญิงลำดับสอง, ซานดร้า เลคส์ แอดเลอร์ เธอนั้นมีหน้าตาดีแต่สายตาของเธอมักจะส่งบรรยากาศที่ไม่ดีออกมา และก็ต้องขอบคุณตรงจุดนี้, จึงทำให้รู้สึกได้ถึงภาพรวมที่รุนแรงทั้งหมดของเธอ บางทีนิสัยแย่ๆของเธอนั้นก็แย่พอๆกับบรรยากาศที่ออกมาจากสายตาของเธอ อันที่จริง, ความรู้สึกที่ได้จากมันนั้นไม่ได้ผิดไปจากตัวตนของเธอเลย


 


ในบรรดาพี่สาวของพวกเขา, คนที่มีนิสัยโหดร้ายที่สุดก็คือซานดร้าอย่างไม่ต้องสงสัย บางทีมันอาจจะเป็นเพราะนิสัยเช่นนี้, เธอจึงชอบขลุกอยู่กับเทคนิคเวทมนตร์ต้องห้ามและนำมันกลับมาใช้ทีละบท และนี่เองก็เป็นเหตุผลที่เธอเป็นที่นิยมในกลุ่มนักเวทย์


 


ถ้าเธอกลายเป็นจักรพรรดินีหล่ะจักรวรรดิจะรุ่งเรืองทางด้านเวทมนตร์อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม, มันก็อาจจะกลายเป็นประเทศบ้าคลั่งที่การทดลองผิดหลักมนุษยธรรมต่างๆเป็นเรื่องที่ยอมรับได้


 


“เฮอะ, นักเวทย์อ่อนแออย่างเจ้าคงจะไม่เข้าใจหรอก มันคือเกียรติของนักรบในการต่อสู้และตายไปในสนามรบ ถ้าเจ้าคิดจะลบหลู่เรื่องนี้ข้าจะขยี้เจ้าซะ”


 


“อุ้ยตาย? พูดอะไรรุนแรงจังเลยนะ ถ้าเจ้าอยากได้เกียรติมากขนาดนั้นให้ข้าเป็นคนมอบให้เจ้าดีไหม?”


 


บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาในทันที


 


ไม่ว่าคนไหนก็อันตรายทั้งนั้น เอาแต่พูดว่าจะฆ่าจะแกงกันอยู่นั่นแหล่ะ


 


เห้อ, นี่จะทะเลาะต่อหน้าองค์จักรพรรดิไปถึงขั้นไหนกันเนี่ย ประสาทของพวกพี่ยังปกติดีอยู่รึเปล่า


 


ในขณะที่อาร์โนลด์กำลังคิดเช่นนี้อยู่, ชายผมสีน้ำเงินก็กระแอมออกมา


 


“โปรดอภัยให้กับความไร้มารยาทของน้อยชายกับน้องสาวของข้าด้วยนะครับ, องค์จักรพรรดิ”


 


พอพูดจบ, เขาก็ก้มหัวลง


 


ในบรรดาพวกลูกๆ, เขาคือคนที่ใกล้ชิดกับจักรพรรดิมากที่สุด เขานั้นคือชายตัวสูงใส่แว่นที่มีสายตาอันคมกริบ


 


เจ้าชายลำดับสอง, เอริค เลคส์ แอดเลอร์


 


คนๆเดียวในกลุ่มพวกลูกๆที่มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมสภาองคมนตรี, และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ, เขาคืออัจฉริยะที่ดูแลเรื่องการทูตของจักรวรรดิ และด้วยความฉลาดนี้เอง, เขาจึงถูกพิจารณาว่าเก่งกว่ามงกุฎราชกุมารที่ตายไปและตอนนี้ก็เป็นชายที่อยู่ใกล้กับบัลลังก์มากที่สุด


 


ถ้าเขาได้เป็นจักรพรรดิ, จักวรรดิจะปลอดภัยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม, ผู้คนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาจะต้องรู้สึกอึดอัดอย่างไม่ต้องสงสัย และสำหรับนายสมบูรณ์แบบคนนี้, เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เมล็ดพันธ์แห่งกบฎในอนาคตเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าชายคนนี้ได้เป็นจักรพรรดิ, พวกเขาจะต้องถูกฆ่าแน่ๆ


 


และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมพวกเขาถึงไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดนี้


 


เอริคที่ขอโทษแทนกอร์ดอนกับซานดร้าถูกพวกเขามองใส่ แต่ถึงอย่างนั้นเอริคก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลย


 


“เถอะหน่า การแข่งขันเป็นสิ่งที่ดี ข้าเองก็เข้าแข่งเพื่อให้ได้กลายเป็นจักพรรดิเหมือนกันหล่ะนะ”


 


การแข่งขันนี้สุดท้ายแล้วก็จะจบลงที่การสังหารหมู่


 


ทุกคนที่นี่รู้เรื่องนั้นดี และถึงแม้จะต้องจบเช่นนั้น, จักรพรรดิเองก็ยังยอมให้มันเกิดขึ้น ซึ่งนี่เป็นเพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นผลดีต่อจักรวรรดิ


 


“ตอนนี้ข้าคิดการแข่งขันอย่างนึงให้กับพวกเจ้าทุกคนขึ้นมาได้ ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนให้มารวมตัวกันในวันนี้ด้วย”


 


“ถ้ามันเป็นการแข่งพละกำลังหล่ะก็มันคงเป็นสิ่งที่ข้าต้องการพอดีเลย”


 


“ใจเย็นหน่อยเถอะกอร์ดอน อย่าคิดอะไรง่ายๆแบบนั้นสิ เจ้าจะทำยังไงกันถ้าต้องแข่งกับน้องชายอายุสิบขวบของเจ้า? เอาหล่ะข้าจะสรุปง่ายๆครั้งนี้ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะจัดเทศกาลที่ถูกทิ้งไปแล้วเป็นสิบๆปีกลับมาใหม่”


 


“เทศกาลหรอครับองค์จักรพรรดิ?”


 


พอได้ยินคำถามของเอริค, จักรพรรดิก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน


 


ในสมัยยังหนุ่ม, เขาเคยเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงทั่วทุกสมรภูมิ กองทัพที่เขาเป็นแม่ทัพนั้นมีชื่อเสียงจนถูกขนานนามว่าไร้พ่าย ซึ่งตัวเขาในด้านนั้นมักจะมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว


 


“เทศกาลล่าของอัศวิน มันคือเทศกาลที่ภาคีอัศวินหลวงแข่งขันกันด้วยความหายากและขนาดของมอนส์เตอร์ที่ล่าได้ มันคือเทศกาลที่มักจะถูกจัดขึ้นบ่อยๆในสมัยก่อนในตอนที่ยังมีมอนส์เตอร์พลุกพล่านอยู่ในเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก ซึ่งทุกวันนี้พวกเราก็ไม่ได้จัดเทศกาลอีกเลยเพราะนักผจญภัยต่างก็มีฝีมือกันจริงๆ ข้านั้นรู้สึกว่าอยากจะจัดเทศกาลนี้ขึ้นมาใหม่”


 


ภาคีอัศวินหลวงคืออัศวินชั้นสูงสุดของจักรวรรดิ แตกต่างจากอัศวินที่รับใช้ขุนนางศักดินาต่างๆ, พวกเขาคืออัศวินที่ขึ้นตรงกับจักรพรรดิ


 


พวกเขามีตัวตนเหมือนกับไพ่ตายของจักรวรรดิ ในตอนที่กองทัพกำลังลำบาก, พวกเขาคือกลุ่มคนที่จะถูกส่งออกไปเพื่อรับรองชัยชนะของจักรวรรดิ, พวกเขาคือดาบของจักรพรรดิที่ภัคดีต่อองค์จักรพรรดิเพียงผู้เดียว


 


ถ้ามันคือเทศกาลที่เรียกรวมพลภาคีอัศวินนี้ได้มันก็ต้องเป็นเทศกาลที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว


 


“เข้าใจแล้วหล่ะครับ, ถึงยังไงช่วงนี้พวกมอนส์เตอร์ก็ดูคึกคักผิดปกติ ว่าแต่, ทางกิลด์นักผจญภัยจะยอมให้จัดเทศกาลนี้หรอครับ?”


 


งานของนักผจญภัยก็คือการปกป้องผู้คนของทวีปนี้จากพวกมอนส์เตอร์ พูดอีกนัยนึงก็คือ, การล่ามอนส์เตอร์เป็นงานของพวกเขา แน่นอนว่า, มันมีคำขออื่นๆอยู่ด้วยแต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นงานที่เกี่ยวกับมอนส์เตอร์อยู่ดี


 


สำหรับพวกนักผจญภัย, พวกเขาคงไม่รู้สึกว่าเทศกาลที่แย่งงานของพวกเขาไปนั้นจะเป็นเทศกาลที่น่ารื่นรมย์หรอก


 


“ไม่ต้องห่วง ข้าได้ขออนุญาตจากทางศูนย์ใหญ่ของกิลด์แล้ว ในเมื่อสำนักงานสาขารอบจักรวรรดิของพวกเขาไม่สามารถจัดการกับมอนส์เตอร์หายากที่ปรากฎตัวขึ้นในช่วงนี้ได้, มันก็ดูเหมือนว่าพวกเขาอยากจะยืมมือพวกเรานั่นหล่ะนะ ข้าได้ยินมาว่าดยุคไคลเนลต์เองก็มีปัญหากับมอนส์เตอร์แบบนั้นเหมือนกัน ข้าจึงพิจารณาว่ามันเหมือนกับการร่วมมือระหว่างพวกเรากับกิลด์”


 


สิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับกิลด์นั้น, มันไม่ใช่สิ่งที่อาร์โนลด์จะยอมรับได้ง่ายๆ


 


สาเหตุที่ทำไมสำนักงานสาขาของกิลด์ถึงตั้งอยู่ในตำแหน่งที่มีมอนส์เตอร์น้อยก็คือว่าจักวรรดิจะต้องจ่ายค่าบำรุงรักษามัน มันเหมือนกับสมมุติว่าพอมอนส์เตอร์ปรากฎตัวขึ้น, จักวรรดิก็จะบอกว่า: เอ้ามีมอนส์เตอร์นี่ ไปจัดการมันซิ อย่างไรก็ตาม, สำนักงานสาขาในดินแดนของดยุคไคลเนลต์นั้นไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับค่าจ้างให้ทำ ในเมื่อซิลเวอร์ไม่ได้แก้ปัญหานี้ในนามของกิลด์เพราะเขาใช้ลู่ทางอื่นในการทำงาน, มันก็ไม่สามารถพูดได้ว่ากิลด์เป็นคนจัดการ


 


เมื่อพิจารณาจากเรื่องทั้งหมดนี้, การแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่ถูกต้องระหว่างพวกเขาก็คงจะเป็นแบบนี้


 


‘หมายความว่ายังไงกันที่ไม่สามารถจัดการมอนสเตอร์ตัวเดียวได้แม้ว่าพวกเราจะจ่ายเงินให้เจ้ามากขนาดนี้?’


 


‘พวกเราขอโทษค่ะ…..’


 


‘ข้าอยากจะจัดเทศกาลล่ามอนส์เตอร์ขึ้น, เจ้าคงจะเห็นด้วยใช่ไหม?’


 


‘ไม่นะ, เอ่อ.อ…..คือว่า….การจะให้เห็นด้วยมันค่อนข้างจะ……’


 


‘หา? ถ้างั้นก็หานักผจญภัยเก่งๆมาให้พวกเราสิ’


 


‘บะ, แบบนั้นมัน…….’


 


‘มันอะไร?’


 


‘…..พะ, พวกเราเห็นด้วยที่จะให้มีการจัดเทศกาลนี้ค่ะ…..’


 


คงจะอะไรประมาณนี้หล่ะนะ, เขาคิด


 


ถึยังไงเขาก็เป็นพ่อของวายร้ายพวกนี้ มันไม่มีทางหรอกที่เขาจะไม่ใช้สิ่งที่เกิดขึ้นกับดยุคไคลเนลต์เป็นข้อต่อรอง


 


ศูนย์ใหญ่กิลด์เองก็น่าจะอยู่จุดที่น่าอึดอัดระหว่างนักผจญภัยท้องที่และจักรวรรดิ


 


เอาเถอะ, มันก็เป็นเรื่องจริงหล่ะนะที่ช่วงนี้มีมอนส์เตอร์ปรากฎตัวขึ้นในดินแดนจักรวรรดิแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น, พวกมันก็เป็นมอนส์เตอร์คลาสสูงด้วย


 


ถ้าไม่มีมาตรการรองรับหล่ะก็, มันจะเริ่มลุกลามไปจนเป็นปัญหากับผู้คนส่วนใหญ่แน่ๆ, ไม่ว่าจะเป็นพืชผลของพวกเขาหรือแม้กระทั่งนักผจญภัยเอง ในแง่นี้, มันก็ฟังดูเหมาะสมที่จะให้ภาคีอัศวินหลวงทำการล่ามอนส์เตอร์หายากพวกนี้ ถ้าพวกเขาจัดเทศกาลพวกเขาก็จะสามารถทำเงินได้, แถมยังเพิ่มขวัญกำลังใจและผู้คนก็จะรู้สึกวางใจได้ด้วย


 


สมกับที่เป็นจักรพรรดิ เขาคิดแผนได้ดีจริงๆ


 


อย่างไรก็ตาม, ปัญหาก็คือว่าเขากำลังวางแผนจะใช้พวกลูกๆในเทศกาลนี้ด้วย


 


“เข้าใจแล้วครับ พูดอีกนัยนึงก็คือ, ท่านอยากให้พวกข้านำภาคีอัศวินออกล่ามอนส์เตอร์ใช่ไหมครับ?”


 


“ตามที่เจ้าคิดนั่นแหล่ะ, เอริค เจ้าเดาเก่งนะ ข้าจะจัดสรรอัศวินให้พวกเจ้าแต่ละคนเอง พวกเจ้าจะออกล่าพร้อมกันกับพวกเขาก็ได้, หรือพวกเจ้าจะนั่งรอฟังผลเฉยๆข้าเองก็จะไม่ถือสา แต่ไม่ว่ายังไง, ข้าอยากทำให้เทศกาลครั้งนี้มันดูน่าตื่นเต้น”


 


พอพูดจบ, จักรพรรดิก็จบการสนทนา เหตุผลที่เขาบอกว่าจะจัดสรรอัศวินด้วยตัวเองนั้นต้องเป็นเพราะเขาอยากป้องกันไม่ให้พวกลูกๆเกณฑ์อัศวินที่เก่งๆเข้าฝั่งตัวเองอย่างแน่นอน


 


ยิ่งกว่านั้น, สิ่งที่เขาพูดว่าจะออกล่าด้วยกันกับอัศวินหรือทำตัวผ่อนคลายและรอฟังผลลัพธ์ก็ได้นั้น, ตอนแรก, มันอาจดูเหมือนเขากำลังพิจารณาพวกที่ไม่เก่งด้านการนำทหาร อย่างไรก็ตาม, อัศวินจะไม่มีวันสวามิภักดิ์ให้พวกที่ไม่สามารถออกไปแนวหน้ากับพวกเขาได้ ซึ่งมันคือจุดอ่อนร้ายแรงสำหรับพวกที่หวังครองบัลลังก์


 


จักรพรรดิคงอยากจะสื่อว่าต่อให้เจ้าสู้ไม่ได้, อย่างน้อยเจ้าก็ต้องแน่วแน่พอที่จะยืนบนสมรภูมิเดียวกับพวกเขา ถ้าไม่สามารถแสดงให้เขาเห็นถึงสิ่งนี้ได้ก็คงจะหมดสิทธิเรื่องบัลลังก์ไปเลยสินะ


 


“องค์จักรพรรดิ ตอนนี้ข้าเข้าใจเรื่องเทศกาลแล้วแต่ข้ามีคำถามนึงขออนุญาตถามได้ไหมครับ”


 


“ว่าไงหล่ะ? กอร์ดอน”


 


“รางวัลของผู้ชนะคืออะไรหรอครับ? ถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่ามันก็อาจจะทำให้ขาดสิ่งกระตุ้นก็ได้นะครับ”


 


“หึหึ, นั่นสินะ แล้วเจ้าอยากได้อะไรหล่ะ?”


 


“แน่นอนว่า, ข้าอยากได้ตำแหน่งมงกุฎราชกุมารครับ”


 


กอร์ดอนพูดอย่างไม่หวั่นเกรง


 


ซานดร้าจ้องเขาตาเขม็ง ถ้าการมองสามารถฆ่าคนได้ตอนนี้เขาก็คงจะตายไปแล้ว ทางด้านของเอริคเอง, ที่ภายนอกเขานั้นอาจจะยังดูสงบนิ่งแต่ภายในเขาต้องรู้สึกเคืองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว


 


“เจ้านี่ซื่อตรงจังเลยนะ เอาเถอะ, ข้าเองก็จะตอบตามตรงเหมือนกัน, เพื่อเป็นการเคารพเจ้าด้วย ข้าจะไม่ตัดสินใจเลือกมงกุฎราชกุมารคนใหม่กับเทศกาลแบบนี้หรอก”


 


“นั่นสินะคะ, ถ้ามงกุฎราชกุมารถูกตัดสินใจด้วยเทศกาลแบบนี้พวกเราก็คงจะกลายเป็นตัวตลกของประเทศอื่นแน่เลยค่ะ”


 


“ใช่แล้วหล่ะ, ซานดร้า แต่ว่ามันก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่ให้รางวัลอะไรเลยหรอกนะ ในส่วนของรางวัลนั้น, ข้าจะแต่งตั้งให้ผู้ชนะเป็นเอกอัคราชทูตที่มีอำนาจเต็มแทนตัวข้า (ทูต, ที่มีอำนาจเต็มในการกระทำใดๆก็ตามในต่างประเทศอย่างเป็นอิสระแทนองค์จักรพรรดิ) สำหรับประเทศที่ผู้ชนะจะถูกส่งไปนั้นจะถูกตัดสินใจหลังจากที่พิจารณาถึงการเคลื่อนไหวในอนาคตของประเทศอื่นๆ”


 


ทุกคนถึงกับลืมหายใจ


 


ถ้าเจ้าชายหรือเจ้าหญิงคนไหนถูกแต่งตั้งให้เป็นเอกอัคราชทูตที่มีอำนาจเต็ม, อย่างน้อยๆพวกเขาก็จะได้รับการปฏิบัติในฐานะผู้สืบทอดอันดับต้นๆในประเทศที่พวกเขาถูกส่งไป และนอกจากนี้คนที่ไปนั้นยังสามารถเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิกับประเทศนั้นได้ด้วย


 


สำหรับพวกที่เข้าร่วมในศึกผู้สืบทอด, มันก็ถือเป็นรางวัลที่ยากจะห้ามใจอยู่


 


ในฐานะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศนั้น, มันคงจะไม่ได้มีประโยชน์กับเอริคนักแต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ยังอยากได้ตำแหน่งนี้อยู่ดี เหนือสิ่งอื่นใด, มันคงจะสร้างความด่างพร้อยให้กับศักดิ์ศรีของเขาในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศถ้ามีผู้สมัครคนอื่นมากีดกันอำนาจทางการทูตที่เขาผูกขาดอยู่


 


ตราบใดที่เขามีสิ่งที่ต้องเสีย, เอริคก็น่าจะจริงจังกับมัน


 


ภาคีอัศวินคืออัศวินชั้นสูงของจักรวรรดิ อัศวินพวกนี้น่าจะทุ่มสุดตัวไม่ว่าพวกเขาจะถูกมอบหมายให้อยู่กับใครก็ตาม, ดังนั้นในท้ายที่สุด, มันก็ขึ้นอยู่กับการจัดการของตัวเจ้าชายและเจ้าหญิงเอง


 


ดูเหมือนว่านี่มันจะเป็นปัญหาแล้วสิ


 


ในขณะที่คิดเช่นนั้น, เขาก็เริ่มวางแผนที่จะทำให้ลีโอชนะในการแข่งครั้งนี้


ตอนที่ 8 อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดกับนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุด


 


ไม่กี่วันหลังจากที่เขากลับมาถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิ


 


วันแห่งโชคชะตาก็มาถึงในขณะที่หลายๆคนกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมเทศกาล


 


“คิดว่าใครจะมา?”


 


“ต้องเป็นหน่วยระดับสูงแน่นอนครับ”


 


เขากำลังรอตัวแทนในห้องของเขาที่ปราสาท


 


วันนี้คือวันที่ลูกของจักรพรรดิจะได้รู้ว่าอัศวินหน่วยไหนที่จะเข้าร่วมเทศกาลกับพวกเขา ซึ่งพิธีการก็ง่ายๆ หัวหน้าอัศวินของแต่ละหน่วยจะไปเยี่ยมที่ห้องของเจ้าชายกับเจ้าหญิง


 


ภาคีอัศวินหลวงแต่ละหน่วยนั้นจะมีตัวเลขของตัวเอง ยิ่งตัวเล็กน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงความเก่งกาจของหน่วยนั้น โดยเฉพาะหัวหน้าของสามหน่วยแรก, พวกเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแง่ของความสามารถที่แท้จริง ดังนั้นเพื่อให้ศักยภาพของกองทัพมีความสมดุลย์, พวกเขาจึงถูกจัดสรรให้มีทหารปลายแถวอยู่ในหน่วยของพวกเขาด้วย


 


“เอาจริงๆข้าขอใครก็ได้ที่ไม่ใช่เอลน่า……”


 


“พูดแบบนี้อีกแล้วนะครับ…..เธอเป็นถึงเด็กอัจฉริยะจากบ้านผู้กล้าหาญแอมส์เบิร์กที่ได้เข้าร่วมภาคีอัศวินตั้งแต่อายุ 11 และกลายเป็นหัวหน้าตอนอายุเพียง 14 ปี ท่านเองก็รู้นี่ครับ? ถ้าพวกเราได้เธอมาอยู่ฝ่ายเดียวกันมันน่าจะยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่หรอครับ?”


 


“เธอก็มีดีแค่ความสามารถนั่นแหล่ะ ข้ารับมือกับคนอย่างเธอไม่ไหวหรอกนะ”


 


“เธอขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่งแถมยังลือกันว่าเธอคือว่าที่หัวหน้าภาคีอัศวินหลวงคนต่อไปเลยนะครับ”


 


“นั่นก็แค่ภายนอกเท่านั้นแหล่ะ ทั้งประชาชนทั้งอัศวินไม่ได้รู้ถึงธาตุแท้ของเธอเลย ข้าจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่ข้าได้พบกับเธอโดยเด็ดขาด มันคือตอนที่ข้าอายุ 7 ขวบ เจ้ารู้ไหมเธอพูดกับข้าว่าอะไรหลังจากที่เธอช่วยข้าจากการโดนรังแก?”


 


“นั่นสินะครับ เธอพูดว่าอะไรกันนะ”


 


“เธอเรียกข้าว่า ‘ไอ้อ่อน’ ใช่ไหมหล่ะ? มันคือคำที่เด็กขี้รังแกชอบใช้ไม่ใช่รึไง? แล้วหลังจากนั้นนะ, เธอยังส่งดาบไม้มาให้ข้าแล้วเริ่ม ‘ทำการฝึก’ กับข้าอีก ตอนนั้นข้าถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียวและหลังจากวันนั้นข้าก็เริ่มเล่นโดยไม่ให้เอลน่าเห็น เหตุการณ์ครั้งนั้นมันปลูกฝังความอ่อนแอในใจข้า ไม่ว่าใครได้ยินก็คงจะรู้สึกว่าโหดร้ายใช่ไหม? ยัยผู้หญิงนั่นคือปีศาจชัดๆ”


 


เขากำลังอธิบายเรื่องเกี่ยวกับเธอให้เซบาสฟังอย่างเอาเป็นเอาตายแต่เซบาสก็แค่ยักไหล่เหมือนกับเอือมระอา


 


หนอย! ทำไมถึงไม่เข้าใจกันเลยนะ!


 


ในตอนที่เขาเริ่มหงุดหงิดนั้นเอง, ประตูก็เปิดออกอย่างกระทันหัน


 


จากนั้น


 


“ยัยปีศาจที่ว่านั่นใครกันหรอ?”


 


เอลน่าถามด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายของเธอ


 


ในตอนที่เขาเห็นเธอ, ใบหน้าของเขาก็บูดเบี้ยวในทันที จากนั้น


 


“เซบาส! เรียกอัศวินมาเร็วเข้า! มีปีศาจอยู่ที่นี่!!”


 


“โชคร้ายหน่อยนะครับองค์ชาย, ข้าคิดว่าคงไม่มีใครมาหรอก เพราะถึงยังไงอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่ที่นี่แล้ว”


 


“เซบาสนี่รู้ดีจังเลยนะ แล้วก็เจ้าชายอาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์ ข้า, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก, หัวหน้าหน่วยสามของภาคีอัศวินหลวง, มาขอเข้าพบค่ะ พวกเราไม่ได้เจอกันมาสองสามปีแล้วแต่ดูเหมือนองค์ชายยังเหมือนเดิมเลยนะคะ”


 


“ชิ….! ประชดหรอ?”


 


“อืม ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าค่อนข้างจะโด่งดังในเมืองหลวงใช้ได้เลย ข้าได้ยินมาดูเหมือนพวกเขาจะเรียกเจ้าว่าเจ้าชายไร้ค่าสินะ ก็ฟังดูเหมาะใช้ได้เลยนี่หน่า”


 


“เออ, ขอบใจที่ชม รู้สึกดีชะมัดเลย”


 


จากนั้นพวกเขาก็ยิ้มให้กันแล้วหัวเราะออกมา


 


ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ๆแล้ว, แต่เพื่อนสมัยเด็กก็ยังคงเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าชายและเธอเป็นลูกสาวของตระกูลผู้กล้าหาญ, พวกเขาก็ยังคงรู้จักกันดี


 


พวกเขากำลังจ้องหน้ากันด้วยรอยยิ้มแต่มันก็เป็นเขาเองที่เบือนหน้าหนีก่อน


 


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ข้าจำไม่เห็นได้เลยนะว่าเรียกเจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”


 


“ที่ข้ามาก็เพราะเรื่องนั้นไง เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ?”


 


“ข้าไม่เชื่อหรอก…..”


 


“หยาบคายจังเลยนะ รู้ไหมว่าข้าต้องผ่านความยากลำบากมาขนาดไหน? นี่ข้าลงทุนขอให้องค์จักรพรรดิจัดสรรให้ข้าได้มาอยู่กับเจ้าเลยนะ”


 


“อย่าทำเรื่องไม่จำเป็นจะได้ไหม!? นี่เจ้ากำลังทำให้ข้าถูกพวกพี่ๆเพ่งเล็งอยู่นะรู้ตัวบ้างรึเปล่า!?”


 


“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นนะ แต่เจ้าไม่ได้เล็งบัลลังก์มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอ, อัล?”


 


“ปัญหามันไม่ใช่ตรงนั้นซะหน่อย! โถ่, ให้ตายเถอะ! ตั้งแต่เด็กแล้วทำไมเจ้าถึงชอบเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยเลย!?”


 


เขารู้ว่าที่เธอทำแบบนี้ก็เพราะนึกถึงเขาแต่มันไม่ได้ช่วยให้เป้าหมายของเขาสำเร็จเลย


 


ในช่วงเวลาแบบนี้, เขาอยากให้เธอขอให้พ่อจัดสรรเธอไปอยู่กับลีโอมากกว่า แต่ก็เอาเถอะ, เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะยอมทำตามหรือเปล่าถ้าเขาบอกให้เธอไปอยู่ฝั่งลีโอ


 


และท้ายที่สุดเพราะตอนนี้เอลน่ามาอยู่ฝั่งเขา, สถานะของเขาจึงเปลี่ยนจากตัวละครจืดจางไปเป็นตัวเต็งในการแข่งขัน ซึ่งนี่มันทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยากขึ้นไปอีก เอลน่าเป็นคนที่ดึงดูดความสนใจคนอื่นได้เองตามธรรมชาติ มันคงพูดได้เลยว่าตอนนี้การจะให้เขาออกปฏิบัติการอย่างลับๆคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว


 


ถ้าเธอไปอยู่ฝั่งผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆเขาก็คงจะมีปัญหาเหมือนกันแต่การที่เธอมาเข้าร่วมกับเขานั้นจะทำให้มีปัญหามากกว่า เธอคือเอลน่าคนนั้นเลยนะ มันไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ของพวกเขา, แต่เขาไม่อยากมีเธออยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย


 


“ข้าจะทำให้เจ้าชนะในการแข่งครั้งนี้เอง มาทำให้ทุกคนที่เรียกเจ้าว่าเจ้าชายไร้ค่าต้องตกใจจนพูดไม่ออกกันเถอะ!”


 


“ข้าไม่อยากชนะซักหน่อย…..”


 


“อย่าคิดแบบนั้นสิ ข้าได้พูดแบบนั้นกับองค์จักพรรดิไปแล้วนะเพราะฉะนั้นพวกเราต้องทำการฝึกพิเศษ! สำหรับตอนนี้, ไปที่สนามฝึกกันเถอะ, ก่อนอื่นข้าขอดูหน่อยว่าทักษะการขี่ม้าของเจ้าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”


 


“….เซบาส ข้าปวดหัว ข้าคิดว่าอาการเข้าขั้นรุนแรงเลบหล่ะ……..”


 


“ฟังดูแย่เลยนะครับ มันต้องเป็นอาการป่วยทางสภาพจิตใจแน่ๆ ถ้าท่านฝึกจิตกับร่างกายควบคู่กันมันน่าจะรักษาให้หายได้นะครับ, องค์ชาย”


 


เขาถลึงตามองเซบาสแต่เซบาสก็เมินเขา


 


อีกไม่นานก็จะถึงวันจัดเทศกาลล่าของอัศวินแล้ว ต่อให้เริ่มฝึกฝนในช่วงไม่กี่วันนี้มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอกหน่า


 


ด้วยความคิดนี้ในหัว, เขาก็ถูกลากไปที่สนามฝึก


 


———


 


วันต่อมา


 


“โอ้ย!!?? เจ็บนะ…..”


 


“ขะ, ขอโทษด้วยค่ะ! ข้าจะทำให้เบากว่านี้นะคะ”


 


เขาไม่สามารถขยับตัวออกจากเตียงได้เพราะปวดกล้ามเนื้อดังนั้นฟีเน่จึงมาทายาให้เขา แต่ไม่ว่ายังไง, หลังของเขาก็หมดสภาพอย่างสมบูรณ์แล้ว มันเจ็บมากจนเขาไม่อยากขยับเลย


 


ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเอลน่าคอยฟาดเขาเพื่อจัดท่าให้ถูกต้องตลอดคาบเรียนขี่ม้าของเธอ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาถูกฟาดดาบหรือหอกใส่ตอนอยู่บนหลังม้า มันเป็นการฝึกที่สาหัสมาก เขาตกม้าจนหลังกระแทกอยู่หลายครั้ง


 


ถ้าการฝึกเช่นนี้มีทุกวันหล่ะก็เขาจะต้องตายแน่ๆ


 


“ท่านอาร์โนลด์คะ ท่านเอลน่าบอกข้าว่าเธอเตรียมการฝึกอื่นให้ท่านตอนบ่ายนี้ด้วย”


 


“พจนานุกรมของยัยนี่ไม่มีคำว่าพักผ่อนบ้างเลยรึไงนะ……?”


 


“สมแล้วหล่ะค่ะที่ผู้คนบอกกันว่าเธอคือผู้กล้าคนที่สอง แต่, ท่านอาร์โนลด์, ในฐานะท่านซิลเวอร์, ท่านเองก็น่าจะมีความสามารถพอๆกับเธอไม่ใช่หรอคะ? ท่านตั้งใจทำเป็นขี่ม้าไม่เป็นใช่ไหมคะ?”


 


“ท่านอาร์โนลด์เป็นผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์โบราณครับ ความแข็งแกร่งทางด้านกายภาพของเขาน้อยกว่าคนธรรมดาซะอีก ไม่ว่าจะเป็นขี่ม้า, ทักษะดาบ, เวทมนตร์สมัยใหม่ เขาแอบโดดวิชาพวกนี้ทั้งหมดดังนั้นความสามารถในเรื่องพวกนี้ของเขาจึงไม่มีความพิเศษเลยครับ ท่านฟีเน่”


 


“งั้นหรอคะ? ข้านึกว่านักผจญภัยจะมีร่างกายแข็งแรงกันทุกคนนะเนี่ย”


 


“ส่วนใหญ่ก็ใช่แหล่ะ….. แต่ข้าใช้เวทมนตร์โบราณเพื่อชดเชยความสามารถทางกายภาพที่อ่อนแอและข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะฝึกความสามารถทางกายภาพของตัวเองมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย”


 


“เจ้าชายมักใจใช้เวทย์เคลื่อนย้ายเพื่อย่นระยะการเดินทางในตอนที่เดินทางไกลๆครับ ช่วงเวลาที่องค์ชายออกไปข้างนอกโดยไม่ใช่เวทย์เคลื่อนย้ายเหมือนกับตอนที่ไปเยี่ยมบ้านดยุคไคลเนลต์นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ และถึงแม้เขาจะออกไปแบบนั้น, เขาก็ยังใช้เวทย์โบราณเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายของตัวเองนะครับ ดังนั้นถ้าไม่มีเวทมนตร์โบราณ, เขาก็คือ ‘ไอ้อ่อน’ เหมือนที่ท่านเอลน่าพูดนั่นแหล่ะครับ”


 


เขาไม่เหลือแรงไปเถียงกับปากสุนัขไม่รับประทานของเซบาสแล้ว


 


เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในขณะที่นอนอยู่บนเตียง


 


อย่างไรก็ตาม, จู่ๆเซบาสก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงสดใส


 


“แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะมองยังไงนะครับ, ต่อให้มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับองค์ชาย, แต่มันก็ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับท่านลีโอนะครับ”


 


“นั่นสินะ….”


 


“เอ๋? หมายความว่ายังไงหรอคะ?”


 


เขาตัดสินใจที่จะอธิบายให้ฟีเน่ฟังเพราะดูเหมือนว่าเธอจะไม่เข้าใจสถานการณ์เลย


 


แต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด


 


“เอลน่านั้นพูดได้เลยว่าเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้น, ต่อให้ข้าชนะก็คงไม่มีใครคิดหรอกว่าเป็นความสำเร็จของข้า”


 


“ใช่แล้วครับ เหมือนกับที่ท่านฟีเน่เคยพูดเอาไว้, ถ้าพวกเราทำให้ท่านลีโอเป็นผู้ชนะไม่ได้, วิธีที่แน่นอนที่สุดก็คือการทำให้ท่านอาร์โนลด์คือผู้ชนะครับ แต่ว่า, มันคงจะไม่เป็นธรรมชาติถ้าจู่ๆท่านอาร์โนลด์ชนะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย….แต่สำหรับในตอนนี้พวกเรามีไพ่ใบที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในมือแล้วครับ”


 


“เข้าใจแล้วหล่ะค่ะ! ท่านอาร์โนลด์จะเอาจริงแล้วสินะคะ!”


 


“เอาเถอะ, ต่อให้ข้าไม่ทำอะไร, เอลน่าก็คงจะทำด้วยตัวเองอยู่ดี ไม่ว่ายังไง, ข้าคิดว่าพวกเราก็คงจะชนะหล่ะนะ เอลน่ามีทักษะสูงมาก ถ้าข้าไม่ขวางทางเธอชัยชนะก็เป็นของเราค่อนข้างจะแน่นอนแล้วหล่ะ”


 


“นี่ต้องเป็นสาเหตุที่องค์จักรพรรดิจับคู่ท่านอาร์โนลด์กับท่านเอลน่าแน่ๆเลยค่ะ ฝ่าบาทคงจะมองว่าท่านอาร์โนลด์จะถ่วงแข้งถ่วงขาของท่านเอลน่าในการแข่งขันครั้งนี้”


 


“แต่องค์จักพรรดิไม่รู้ซะแล้วว่าเขาพึ่งสร้างคู่หูระหว่างอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดกับนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ!”


 


ในขณะที่ทึ่งกับหน้าตาที่ดูมีความสุขของฟีเน่, เขาก็เอาเสื้อแจ็คเก็ตมาสวม


 


เหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงวันจัดเทศกาลล่าของอัศวินแล้ว เขาต้องทำสิ่งที่ตัวเองทำได้ก่อนที่จะถึงตอนนั้น


 


“กรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คงจะต้องให้ข้าชนะแล้วชิงตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จจากคนอื่นๆนั่นแหล่นะ แต่ถ้าให้ดีที่สุดก็คงต้องให้ลีโอเป็นผู้ชนะ”


 


“ทำไมหล่ะคะ? ต่อให้ท่านอัลกลายเป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จและสร้างเส้นสายกับประเทศอื่น, สุดท้ายแล้วมันก็จะกลายเป็นของท่านลีโออยู่ดีไม่ใช่หรอคะ?”


 


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, ถ้าให้ลีโอชนะมันก็ดีกว่าอยู่ดี ถึงยังไงก็คงจะมีผู้มีอิทธิพลมากมายเข้ามาดูเทศกาลนี้อยู่แล้ว”


 


“ถึงท่านจะพูดเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่, แต่ที่จริงท่านก็แค่คิดว่าการเป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จมันเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับท่านไม่ใช่หรอครับ?”


 


ไหล่ของเขากระตุก


 


พอเห็นการตอบสนองตามที่คาดเอาไว้เซบาสก็ถอนหายใจออกมา, ฟีเน่เองก็ทำตามแล้วพูดออกมา


 


“ท่านอัล….ไม่เห็นต้องยกให้ท่านลีโอมากขนาดนี้ก็ได้นี่คะ?”


 


“หืม? ยกให้หรอ?”


 


“ข้ารู้ค่ะ ท่านอัลคงจะบอกว่าเพื่อทานลีโอก็เลยจะยกให้สินะคะ”


 


“เห้ออ…ท่านฟีเน่ครับ ดูเหมือนว่าท่านจะเข้าใจเจ้าชายผิดแล้วหล่ะครับ, เจ้าชายที่อยู่เบื้องหน้าท่านคนนี้คือจอมขี้เกียจโดยแท้จริง, ท่านรู้รึเปล่าครับ?”


 


“ข้าไม่สามารถปิดบังฟีเน่ได้สินะเห้อ….เจ้าก็น่าจะเห็นมันเป็นนิสัยของข้ามาตั้งนานแล้ว ข้าอยากจะยกทุกอย่างให้ลีโอจริงๆ เอาเรื่องบัลลังก์เป็นตัวอย่างก็ได้”


 


“ว่าแล้วเชียวค่ะ! ในฐานะพี่ชาย, มันก็ถือเป็นเรื่องดีนะคะแต่มันจะไม่ดีถ้าให้มากเกินไป ข้าคิดว่าท่านลีโอเองก็คงจะเสียใจเหมือนกัน”


 


เขาสามารถใช้ความเข้าใจผิดของฟีเน่เพื่อหลักเลี่ยงการเทศน์ของเซบาสได้


 


พอเห็นเขาหลอกฟีเน่ได้อย่างแยบยล, เซบาสก็ขมวดคิ้ว


 


“การหลอกผู้หญิงเป็นสิ่งที่ข้ายอมรับไม่ได้จริงๆนะครับ”


 


“ข้าไม่ได้หลอกเธอซะหน่อย ก็แค่ทำให้เธอเข้าใจผิดนิดหน่อยเอง”


 


“ถ้าพูดแบบนั้นอีก ท่านเอลน่าจะโกรธเอานะครับ, รู้รึเปล่า?”


 


“เห็นเธอเป็นแม่ข้ารึไง…..”


 


“ข้าหล่ะอิจฉาท่านจริงๆที่มีเพื่อนสมัยเด็กที่ห่วงใยท่านถึงขนาดนี้ ตอนข้าเด็กๆข้าไม่มีเพื่อนแบบนั้นเลยซักคนนะครับ”


 


“ก็แค่ตัวน่ารำคาญเท่านั้นแหล่ะ, โดยเฉพาะตอนที่ยัยนั่นยัดเยียดเรื่องไร้สาระให้ข้าทำเต็มไปหมด”


 


“อะไรกัน? นี่เจ้าบอกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระหรอ?”


 


มีเสียงลอยเข้ามาในห้อง


 


ในตอนที่เขาหันไปดูเขาก็เห็นเอลน่ายืนอยู่ที่ประตู


 


เธอกำลังยิ้มให้แต่เขารู้สึกเหมือนกับว่าสามารถมองเห็นความโกรธที่แผ่ออกมาจากตัวเธอได้เลย


 


เป็นเวลาพักนึง, ที่ความกลัวที่เธอปลูกฝังเอาไว้ในตัวเขาทำให้เขาพยายามจะมองหาทางหนีแต่เนื่องจากมันไม่น่าจะหนีไปไหนได้, เขาจึงเปิดปากพูดอย่างไม่เต็มใจ


 


“เจ้ามาทั้งๆที่ข้ายังไม่ได้เรียกเลยเนี่ยนะ, เจ้าเป็นคนที่มีงานยุ่งอยู่ตลอดไม่ใช่รึไง….?”


 


“หยาบคายจริงๆ รู้ไหมเพราะมั่นใจว่ามีคนเจ็บกล้ามเนื้อจนขยับตัวไม่ได้แน่ๆข้าก็เลยแวะไปหายาทามาให้เลยนะ?”


 


“ข้าไม่เป็นไร ข้ามีคนที่ใจดีกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่าทายาให้แล้ว”


 


“อุ้ย? นี่เจ้ากำลังพูดถึงเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินที่นั่งอยู่ตรงนั้นสินะ?”


 


“อ้ะ, ใช่ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ค่ะ”


 


“ข้าเอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก ห้องของลีโอก็ว่าไปอย่างแต่ข้าไม่นึกเลยนะว่าจะได้มาเจอท่านที่ห้องของเจ้าชายไม่ได้ความนี่”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ยิ้มให้ฟีเน่อย่างอ่อนโยน


 


แน่นอนว่ารอยยิ้มนี้แตกต่างจากรอยยิ้มที่เธอให้เขาโดยสิ้นเชิง มันคือรอยยิ้มที่สร้างความประทับใจให้อีกฝ่าย


 


“อัล, ข้ารู้สึกว่าเมื่อสักครู่นี้เจ้ากำลังนินทาข้าอยู่ใช่รึเปล่า?”


 


“คิดไปเองมั้ง”


 


“ก็ดี ถ้างั้นก็ไปต่อกันเลย”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ลากคาเขาออกจากเตียง


 


ในตอนที่เห็นเขาตื่นตระหนก, เอลน่าก็อธิบายให้เขาฟังด้วยรอยยิ้มตามปกติของเธอ


 


“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าไม่เป็นไรใช่ไหม? ถ้างั้นตอนนี้ก็ไปที่สนามฝึกกันเถอะ”


 


“หา!? ข้าไม่ได้จะสื่อแบบนั้นซะหน่อย! โอ้ย! มันเจ็บไม่ใช่รึไง!? หยุด!! นี่ข้าเป็นคนเจ็บนะไม่เห็นหรอ!?”


 


“เจ็บกล้ามเนื้อไม่นับว่าเป็นคนเจ็บหรอกนะ พอได้ขยับร่างกายเดี๋ยวมันก็หายเองหล่ะ”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ลากเขาไปสนามฝึกและเริ่มฝึกเหมือนกับเมื่อวาน


ตอนที่ 9 พวกที่อยู่เบื้องหลัง


 


ตอนกลางคืน


 


เจ้าชายอาร์โนลด์ได้มุ่งหน้าไปยังห้องใต้ดินของปราสาท, ที่นั่นเขาเอามือสัมผัสกับกำแพงที่ดูไม่ได้โดดเด่นอะไร ในตอนที่ทำแบบนั้น, ก็มีเส้นแสงวิ่งไปตามกำแพงและกำแพงก็เลื่อนออก


 


โดยไร้ซึ่งความประหลาดใจกับปรากฎการณ์นี้, เขาก็เดินเข้าไปตามทางเดินที่เผยออกมา


 


ข้างในนั้นมีบันไดที่นำลงไปข้างล่างอยู่ เขาเดินต่อไปจนกระทั่งไปเจอกับประตูไม้บานนึง


 


สิ่งที่รออยู่หลังประตูนั้นก็คือห้องเรียนที่ดูสวยงาม


 


มีหนังสือเก่านับไม่ถ้วนอยู่ในห้องและมีเทียนที่สว่างอยู่เสมอแม้ว่าจะไม่มีใครคอยจุดก็ตาม


 


ด้วยความที่คนที่ใช้ห้องนี้เป็นคนขี้เกียจ, เขาจึงใช้เวทมนตร์ทำให้เทียนสว่างอยู่ตลอดเวลา


 


“งานวิจัยเวทมนตร์ของท่านนี่น่าประหลาดใจตลอดเลยนะท่านทวด”


 


“แก่นแท้ของเวทมนตร์นั้นไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่สามารถบรรลุได้หรอก”


 


คนที่ตอบเขาเป็นชายแก่ตัวเล็กคนนึง ยิ่งไปกว่านั้น, ตัวเขายังอยู่ในสภาพโปร่งแสงด้วย


 


เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะที่อ่านหนังสืออย่างมีความสุข ในตอนที่เขาต้องเปลี่ยนหน้ากระดาษนั้น, เขาก็จะใช้เวทมนตร์ในการเปลี่ยนหน้าอย่างเชี่ยวชาญ


 


มันอาจจะไม่สามารถตัดสินได้จากการลักษณะการแสดงออกของเขาแต่ถึงจะเป็นเช่นนี้, เขาก็เคยเป็นจักรพรรดิมาก่อน


 


“ขนาดถูกผนึกอยู่ในหนังสือเพราะการวิจัยเวทมนตร์ของตัวเองท่านก็ยังไม่รู้จักเข็ดหลาบบ้างเลยนะ ท่านรู้รึเปล่าว่าคนนอกเขาเรียกท่านว่าจักรพรรดิผู้เสียสติ?”


 


“นั่นมันก็แค่ความผิดพลาด พอมาคิดว่าร่างกายของเขาถูกชิงไปแล้ว มันช่างเป็นความผิดพลาดที่โง่เง่าเสียจริงๆ”


 


ชายแก่ที่กำลังพูดอยู่นี้มีนามว่า, กุสทัฟ เลคส์ แอดเลอร์


 


เขาคือปู่ทวดของอาร์โนลด์เช่นเดียวกับจักรพรรดิเมื่อสองสมัยก่อน


 


อย่างที่เห็น, เขาเป็นคนที่คลั่งไคล้เวทมนตร์อย่างรุนแรงที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากเวทมนตร์ เขาถึงกับสร้างห้องลับนี้ขึ้นมาเพื่อการวิจัยเวทมนตร์ของตัวเองด้วย


 


และก็ต้องขอบคุณมัน, ร่างกายของเขาได้ถูกปีศาจที่ผนึกอยู่ในหนังสือขโมยไป ซึ่งปีศาจตัวนั้นก็ได้ใช้ร่างกายของเขาสร้างความเสียหายให้กับเมืองหลวงของจักรวรรดิ โดยสุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์ก็บันทึกเอาไว้ว่าเขาเสียสติจากการวิจัยเวทมนตร์โบราณ


 


นับจากนั้นมาเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เวทมนตร์โบราณกลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับตระกูลราชวงศ์


 


อย่างไรก็ตาม, พอเวลาผ่านพ้นไป หลังจากที่ท่านทวดได้เจอกับเขา, ท่านทวดก็สอนวิธีใช้เวทมนตร์โบราณให้กับเขาและตอนนี้ก็ถือเป็นอาจารย์ของเขา


 


ตอนนี้, มีแค่วิญญาณของเขาเท่านั้นที่ยังอยู่ในหนังสือ, เขาไม่มีร่างกาย สิ่งที่กำลังเห็นอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงร่างความคิดของเขา


 


เจ้าชายอาร์โนลด์เป็นคนปลดปล่อยเขาจากผนึกที่อยู่ในหนังสือในตอนที่เขาเปิดมันแต่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะได้ร่างกายใหม่ เขาดูมีความสุขที่สามารถทำการวิจัยเวทมนตร์ได้เรื่อยๆโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น


 


“ท่านคงไม่รู้จักเข็ดจริงๆ, พูดตามตรง, มันเป็นความผิดของท่านนั่นแหล่ะที่ข้าต้องปกปิดความจริงที่ว่าสามารถใช้เวทย์โบราณได้”


 


“ลองคิดอีกแง่นึงสิ ที่เจ้าสามารถเรียนเวทมนตร์โบราณได้ก็เพราะข้าถูกผนึกที่นี่ใช่ไหม? แถมหน้ากากเงินที่เป็นสมบัติของข้าเองก็มีประโยชน์ดีนี่ถูกไหมหล่ะ?”


 


“ก็นะ, มันก็ใช่อยู่หรอก”


 


“เจ้านี่มันเป็นเหลนที่ไม่น่ารักเอาซะเลย”


 


แม้ว่าเขากำลังโต้ตอบการสนทนาอยู่แต่สายตาของเขาก็ไม่ได้ผละออกมาจากหนังสือเลย


 


เขาอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์และในตอนที่เขาคิดต้นแบบของเวทมนตร์หรือทฤษฎีใหม่ๆได้เขาก็จะเขียนลงไป เขามักจะทำแบบนี้อยู่ตลอดเวลา


 


อันที่จริง, ท่านทวดนั้นหมกมุ่นกับมันมากจนเขาไม่อยากมากวนเลย


 


แต่ถึงอย่างนั้น, ครั้งนี้มันมีเหตุผลที่เขามาที่นี่


 


และดูเหมือนว่าท่านทวดเองก็สังเกตได้เหมือนกัน


 


“เจ้ามีเรื่องจะมาปรึกษาข้าใช่ไหม? ว่ามาสิ ไม่ต้องเก็บเอาไว้หรอก”


 


“…..น้องชายของข้าถูกดึงไปข้องเกี่ยวกับสงครามผู้สืบทอด”


 


“ถ้าเขาเป็นคนเก่ง, สุดท้ายแล้วเขาก็จะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ดีหล่ะนะ สงครามผู้สืบทอดมันก็แบบนี้แหล่ะ”


 


“กะแล้วเชียว…..ควรมองว่าจงใจทำให้ติดร่างแหสินะ เห้ออ”


 


“ถ้าเป็นข้าก็คงจะทำแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าเปลี่ยนให้กลายเป็นศัตรูหล่ะก็จะได้จัดการได้อย่างเปิดเผย”


 


มันคือเรื่องที่เขาคิดมาโดยตลอด


 


การฆ่าตาแก่นายนั่น, ทำให้พวกเราเหลือทางเลือกแค่สองทาง แต่ไม่ว่าตาแก่นายพลจะถูกใจลีโอมากขนาดไหน, เขาก็คงจะไม่สร้างความคุกคามให้ผู้เข้าแข่งสามอันดับแรกหรอก แต่ถึงอย่างนั้น, ก็ยังมีคนเลือกที่จะลอบสังหารเขาตั้งแต่เนิ่นๆอยู่ดี


 


พวกนั้นอาจจะระวังลีโออยู่แต่เจตนาที่แท้จริงก็คือการสร้างข้ออ้างในการจัดการลีโอโดยบอกว่าเป็นศัตรูกับพวกนั้นสินะ เห้อ


 


“ข้ามีอีกคำถามนึง”


 


ที่นี่มีอดีดจักรพรรดิอยู่


 


พูดอีกนัยนึงก็คือ, เขาเคยเป็นผู้ชนะในสงครามผู้สืบทอด ถ้าเขาเป็นบรรพบุรุษที่เคยเอาชนะอุบายและแผนการทั้งหมดมาได้ในยุคของเขา, เขาก็น่าจะตอบคำถามให้ได้ ในตอนที่เจ้าชายอาร์โนลด์กำลังจะเปิดปากพูดนั้นเอง, ท่านทวดก็ตอบเร็วกว่าที่เขาจะได้ถามซะอีก


 


“ถ้าข้าเป็นลูกชายคนที่สองหรือสามหล่ะก็ข้าจะทำการลอบสังหารมงกุฎราชกุมาร นี่คือคำตอบของข้า”


 


“…..ข้ายังไม่ทันจะถามอะไรเลยไม่ใช่รึไง?”


 


“ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะถามข้าอยู่ดีถ้าเจ้ากำลังพูดถึงสงครามผู้สืบทอด ข้าเป็นลูกคนโตสุดดังนั้นก็เลยเสี่ยงต่อการถูกลอบสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าจะให้ข้าพูดหล่ะก็มงกุฎราชกุมารที่โดนลอบสังหารไปนั้นไม่ดีเอง สิ่งที่รอเจ้าอยู่หลังจากที่คนที่มีโอกาสได้เป็นจักรพรรดิองต่อไปมากที่สุดถูกสังหารไปนั้นก็คงจะมีเพียงบ่อโคลนแห่งการแย่งชิงเท่านั้น”


 


“แต่ท่านรู้ไหมผลลัพธ์จากการสืบสวนของพ่อข้านั้นบ่งบอกได้แค่ว่าตายในสงครามเท่านั้น?”


 


“บางทีมันอาจจะถูกปกปิดเอาไว้อย่างแยบยลหรือไม่ก็คนสนิทของจักรพรรดิอาจจะเกี่ยวข้องด้วย หรือ….บางทีองค์จักรพรรดิเองนั่นแหล่ะที่เข้ามาเกี่ยวข้องซะเอง แต่ไม่ว่ายังไง, มันก็เป็นเรื่องแปลกที่มงกุฎราชกุมารที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งผู้ชนะมากที่สุดในสงครามผู้สืบทอดจากมาตายในสนามรบ ถ้าน้องชายของเจ้าจำเป็นต้องเข้าไปในสมรภูมิหล่ะก็เจ้าเองก็คงจะพยายามปกป้องเขาสุดชีวิตใช่ไหมหล่ะ?”


 


“ก็คงจะอย่างนั้น”


 


“นั่นแหล่ะคำตอบ น่าจะต้องมีอีกหลายคนที่คิดแบบนี้ แล้วก็การที่ปกป้องมงกุฎราชกุมารไม่ได้นั้นมันก็ส่อให้เห็นถึงเค้าลางของแผนการร้ายแล้ว ถ้าพิจารณาจากประวัติศาสตร์ของสงครามผู้สืบทอดที่มีมาจนถึงตอนนี้ดูหล่ะก็, มันก็ไม่ใช่เรื่องหายากอะไรหรอก”


 


ท่าวทวดพูดเรื่องที่น่าสลดพวกนี้ออกมา


 


อย่างไรก็ตาม, มันก็ยังคงฟังดูน่าเชื่อถือ


 


และถ้าที่เขาคาดเดาเอาไว้ถูกต้องทั้งหมดหล่ะก็, ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็คงจะเป็นแผนการร้ายของใครซักคน


 


พูดอีกนัยนึงก็คือ, มีบางสิ่งอยู่เบื้องหลังเทศกาลล่าของอัศวินนี้ด้วย


 


“ท่านทวด, ท่านมีเวทมนตร์ที่ทำให้ควบคุมมอนส์เตอร์ได้บ้างไหม?”


 


“พวกเรากำลังจะพูดเรื่องเวทมนตร์กันสินะ! ดีเลย! ขอข้าฟังรายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยซิ!”


 


พอเห็นท่านทวดเงยที่จู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมามองเขานั้น, เขาก็ถอนหายใจออกมา


 


นี่เขาไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากเวทมนตร์จริงๆสินะ? ถึงยังไงเขาก็จะแสดงความสนใจออกมาขนาดนั้นก็ต่อเมื่อตอนที่ชวนคุยเรื่องเวทมนตร์เท่านั้น


 


ถึงแม้ว่าเขาที่เป็นทั้งศิษย์และเหลนจะมาปรึกษาเรื่องร้ายแรงแต่เขาก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องเวทมนตร์มากกว่า คนๆนี้อาจจะเสียสติเหมือนที่เขาว่ากันจริงๆก็ได้


 


“ช่วงนี้ปริมาณมอนส์เตอร์ในจักรวรรดิเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในหมู่พวกมัน, มีบางตัวเป็นมอนส์เตอร์หายากที่แข็งแกร่งด้วย ข้ากำลังคิดอยู่ว่ามีใครบางคนกำลังควบคุมพวกมันอยู่เบื้องหลังรึเปล่า”


 


“อืม อืม….ถ้ามันเป็นแค่มอนส์เตอร์ไม่กี่ตัวก็พอจะมีเวทมนตร์ที่สามารถใช้ควบคุมพวกมันได้อยู่หรอก แต่เวทย์ที่สามารถใช้ควบคุมมอนส์เตอร์จำนวนขนาดนั้นได้ไม่มีอยู่หรอกนะ”


 


“งั้นหรอ….แสดงว่าข้าแค่คิดมากไปเองสินะ เห้อ”


 


เขาคิดว่าถ้ามันมีเวทมนตร์มาเกี่ยวข้องมันก็อาจเป็นฝีมือของเจ้าหญิงลำดับสองซานดร้า, แต่ถ้าท่านทวดบอกว่าเวทมนตร์แบบนั้นไม่มีอยู่มันก็น่าจะมาจากสาเหตุอื่น


 


ถ้าเป็นแบบนี้ก็แสดงว่าการปรากฎตัวของมอนส์เตอร์คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญสินะ


 


“แต่ก็นะ, ถึงจะไม่มีเวทมนตร์แบบนั้นแต่ถ้าเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์หล่ะก็มีอยู่ชิ้นนึง”


 


“อุปกรณ์เวทมนตร์หรอ?”


 


“มันเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์โบราณ มันจะปล่อยเสียงที่มอนส์เตอร์ชอบและสามารถใช้เพื่อล่อมอนส์เตอร์ออกมาได้ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับพลังเวทย์ของผู้ใช้, ถ้าเป็นเจ้าหล่ะก็คงล่อมาได้ไม่ใช่น้อยๆเลยหล่ะ”


 


“มีของแบบนั้นอยู่จริงๆหรอ?”


 


“จากหนังสือที่เคยอ่านมา ข้าคิดว่ามันคืออุปกรณ์ที่มีชื่อว่า ‘ขลุ่ยแห่งฮาเมรุน’ ถ้าคนที่มีพลังเวทย์เยอะใช้มัน, คนๆนั้นก็จะสามารถทำให้มอนส์เตอร์ปรากฎตัวขึ้นทั่วจักรวรรดิได้เลย”


 


คนสมัยก่อนนี่ชอบสร้างทั้งสิ่งที่มีประโยชน์และสิ่งที่สร้างปัญหาขึ้นมาจังเลยนะ เห้อ


 


ในยุคนั้นเวทมนตร์ถูกพัฒนามากกว่ายุคนี้, ดังนั้นอุปกรณ์เวทมนตร์เองก็คงจะมีระดับสูงกว่ายุคของพวกเขาเหมือนกัน อุปกรณ์เวทมนตร์พวกนี้ถูกขุดขึ้นมาจากซากปรักหักพังและถูกทำให้เป็นสมบัติประจำชาติของหลายๆประเทศ อย่างไรก็ตามมันก็มีบางชิ้นที่ปรากฎขึ้นมาอย่างกระทันหันด้วย


 


“แสดงว่ามีของแบบนั้นอยู่จริงๆสินะ…..อันที่จริง, เทศกาลล่าของอัศวินจะถูกจัดขึ้นในเร็วๆนี้ มันเป็นเทศกาลที่สมาชิกในราชวงศ์แต่ละคนจะต้องเป็นผู้นำอัศวิน”


 


“หืม? จักรพรรดิในยุคนี้ชอบทำเรื่องที่น่าสนใจจังเลยนะ แล้วรางวัลคืออะไรหล่ะ?”


 


“ตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และเนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้, พวกเราไม่สามารถแพ้ได้ด้วย แต่ถ้าอีกฝ่ายมีขลุ่ยแห่งฮาเมรุนจริงๆก็คงจะหมดโอกาสที่พวกเราจะชนะ….”


 


“ก็คงใช่แหล่ะ ถึงยังไงผู้ใช้ก็สามารถเรียกปีศาจไปที่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการ ถ้าผู้ใช้ไม่ได้ใช้มันอย่างสะเพร่าชัยชนะก็คงจะเป็นเรื่องที่แน่นอน แต่ถ้าเป็นข้า, ข้าคงจะไม่มีวันเลือกวิธีการโง่ๆแบบนั้นหรอก”


 


ท่านทวดพูดออกมาเช่นนี้


 


เขาเองก็เห็นด้วย, ถ้าเป็นเขาก็คงใจไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นเหมือนกัน


 


ในตอนแรก, มันอาจจะดูเหมือนเป็นความคิดที่ดีแต่ในความเป็นจริงนั้น, มันก็สร้างประโยชน์ให้เพียงแค่เดี๋ยวเดียว


 


ถ้าในบรรดาพวกพี่ๆทั้งสามคนนั้นมีคนใช้อุปกรณ์เวทมนตร์นี้จริงๆ, แน่นอนว่าเขากับอีกสองคนที่เหลือก็คงจะทำการสืบอย่างถึงที่สุด แม้ว่ามันจะอยู่ในช่วงสงครามผู้สืบทอดแต่ถ้าทำเรื่องที่ขัดกับผลประโยชน์ของจักรวรรดิก็คงจะไม่สามารถหลุดพ้นจากบาปที่ก่อได้ ถ้ามีคนดึงดันจะใช้สิ่งนี้จริงๆ, มันก็จะส่งผลกระทบกับฐานอำนาจของคนๆนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย


 


เขาไม่คิดว่าพวกพี่สามคนนั้นจะเสี่ยงทำเรื่องแบบนี้หรอก พูดอีกนัยนึงก็คือ


 


“คนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่หลังฉากคงไม่ใช่ผู้เล่นหลักในสงครามผู้สืบทอดนี้สินะ”


 


“ก็คงจะใช่ แต่ไม่ว่าคนๆนั้นจะเกี่ยวข้องกับผู้เล่นหลักหรือเปล่า, สำหรับคนที่กล้าล่อมอนส์เตอร์เข้ามาในจักรวรรดิและทำให้ประเทศตกอยู่ในอันตรายแบบนี้, ก็คงจะไม่พอใจกับแค่ตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จหรอก”


 


“…ดูเหมือนจะมีตัวปัญหาโผล่มาเพิ่มอีกแล้วสิ เห้อ”


 


เขาไม่สามารถมองเรื่องนี้แค่ผ่านๆได้, เขาต้องมองเข้าไปให้ลึกที่สุด


 


ตอนนี้มันไม่ใช่ปัญหาง่ายๆอย่างการแพ้ชนะในเทศกาลอีกแล้ว ถ้าหาคนที่อยู่เบื้องหลังมอนส์เตอร์พวกนี้ไม่ได้, เทศกาลล่าของอัศวินก็จะไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเพียงอย่างเดียว


 


“มีวิธีขัดขวางผลของฮาเมรุนนั่นรึเปล่า?”


 


“เจ้าคงทำได้แค่ทำลายมันซะ ตราบใดที่เสียงนั้นมีแค่มอน์สเตอร์ที่ได้ยิน, การขัดขวางผลของมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆหรอก”


 


“แสดงว่าข้าคงทำได้แค่ตั้งใจกับเทศกาลล่าของอัศวินเท่านั้นสินะ เห้อ”


 


“ใช่แล้ว แต่ฝ่ายนั้นก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ อีกฝ่ายเองก็คงจะรู้ว่าไม่สามารถใช้ขลุ่ยในงานเทศกาลได้, พูดอีกนัยนึงก็คือ, ฝ่ายนั้นจะต้องใช้มันก่อนที่เทศกาลจะเริ่ม มันจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นเบื้องหลังเทศกาลนี้อย่างแน่นอน ระวังตัวให้ดีหล่ะ”


 


เขารับคำแนะนำแล้วออกมาจากห้อง


 


———–


 


ในระหว่างทางกลับนั้นเอง


 


เขาก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหลังเขา เขากำลังจะหันไปเผชิญหน้ากับตัวตนที่ไม่รู้จักนี้ในตอนที่คนๆนั้นตะโกนใส่เขา


 


“นิ่งไว้”


 


“….เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าข้าคืออาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์?”


 


“แน่นอน”


 


พอพูดจบชายคนนั้นก็ควักมีดออกมา


 


ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าจะเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนี้


 


“ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก, ก็แค่อยากให้หลับไปซักพักเท่านั้นเอง”


 


“จะให้ข้าบอกว่า ‘ได้สิ เชิญเลย’ ก็คงจะไม่ได้หรอกมั้ง”


 


เขาค่อยๆหันไปอย่างช้าๆ


 


อย่างไรก็ตามในช่วงที่เขาเปิดช่องว่างนี้, ชายคนนั้นไม่ได้ขยับเลย


 


หลังจากที่หันมาแล้ว, สิ่งที่เขาเห็นก็คือชายคนนึงที่สวมชุดสีดำ ลักษณะดูเหมือนกับนักฆ่า แต่เขาบอกว่าไม่ได้มาฆ่านี่หน่า,


 


“นะ, นี่เจ้าทำอะไรหน่ะ…..!?”


 


“ข้าใช้บาเรียหยุดการเคลื่อนไหวของเจ้า ไม่ได้คิดจะฆ่าข้าแถมยังส่งเสียงเรียกข้าอีกมันก็เลยทำให้เจ้าถูกเล่นงานกลับแบบนี้หล่ะนะ”


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นนักฆ่าที่มีฝีมือ


 


ถึงยังไง, เขาก็สามารถแทรกซึมเข้ามาในปราสาทที่มีความปลอดภัยสูงมากได้ แต่ถึงแม้จะเป็นนักฆ่าที่มีฝีมือมันก็ไม่ได้รับประกันว่าเขาจะสามารถสร้างบาดแผลที่ทำให้เป้าหมายหมดสติโดยไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตของเป้าหมายได้


 


และนี่เองก็เป็นสาเหตุที่นักฆ่าสั่งให้เขาหยุด เช่นเดียวกับสาเหตุที่ทำให้เขามีเวลาในการสร้างบาเรียด้วย


 


เอาจริงๆ, ต่อให้นักฆ่าไม่ได้ทำแบบนี้, เขาก็มีบาเรียตรวจจับรอบตัวอยู่ดี ดังนั้นไม่มีใครหรอกที่สามารถเข้าหาเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวได้


 


ถึงยังไงการออกไปข้างนอกกลางดึกโดยไม่ระวังตัวให้ดีนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย


 


“ชิ….! ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นแค่เจ้าชายไร้ค่าอย่างที่เขาว่ากันสินะ!?”


 


“ก็นะ, เอาหล่ะที่นี้ทำใจให้ร่มๆแล้วตอบคำถามของข้ามาซะ ในตอนที่เจ้าแทรกซึมเข้ามาในปราสาทเจ้าคงจะมีคนคอยชี้แนะให้ถูกไหม? คนๆนั้นเป็นใคร?”


 


“หึ! ข้าไม่พูดหรอก! ถ้าข้าบอกชื่อลูกค้าฆ่าคงไม่ตายดีแน่!”


 


“แสดงว่าเจ้าไม่คิดจะปฏิเสธสินะ โอเค, แบบนี้ก็ช่วยบีบเรื่องให้แคบลงมาหน่อย”


 


“! ?”


 


พวกที่สามารถแทรกแซงความปลอดภัยของปราสาทได้นั้นมีแค่พวกพี่สามคนเท่านั้น


 


ถ้ามีคนอื่นนอกจากสามคนนี้อยากจะพานักฆ่าเข้ามาในปราสาทมันก็จะต้องใช้การเตรียมตัวอย่างมาก ส่วนเหตุผลที่มีคนจ้องทำร้ายเขานั้นไม่ต้องคิดเลย, มันเป็นเพราะเอลน่า


 


“ที่ส่งนักฆ่ามาเล่นงานข้าก็คงเพื่อป้องกันไม่ให้เอลน่ามีส่วนร่วมในเทศกาลล่าของอัศวินสินะ, ไม่คิดว่าเล่นง่ายไปหน่อยรึไง มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่ข้าจะเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้เอาไว้”


 


“เหอะ….ฝั่งเราก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ! จัดการซะ!”


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ก็มีคนๆนึงปรากฎตัวขึ้นข้างหลังเจ้าชายอาร์โนลด์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


 


คนๆนั้นก็คือเซบาส


 


“ท่านอาร์โนลด์, ดูเหมือนว่าพวกมันจะทำงานเป็นกลุ่มสี่คนนะครับ ข้าได้ทำให้สามคนที่เหลือหมดสติไปแล้วครับ”


 


“ดีมาก, เซบาส”


 


“อะ, อะไรกัน….?”


 


“เจ้าคิดจริงๆหรอว่าข้าจะปล่อยให้ท่านอาร์โนลด์ออกมาเดินกลางดึกคนเดียว? ดูเหมือนว่าเจ้าจะดูถูกพวกเราจังเลยนะ”


 


“หนอย……!”


 


“เอาหล่ะ….ตอนนี้พูดออกมาซะ เจ้าทำงานให้ใคร?”


 


เขาเปิดบาเรียป้องกันเสียงและเริ่มร่ายเวทย์ลวงตา, มันคือเวทย์ที่แสดงสิ่งที่อีกฝ่ายกลัวที่สุด เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นอะไรแต่ภาพนั้นจะชัดเจนสำหรับเขา


 


ซึ่งเขาก็ต้องประหลาดใจ, เขารู้ชื่อของคนอยู่เบื้องหลังด้วยการทำเพียงแค่นี้


 


“หึ้ยย!!?? ยะ, ยกโทษให้ข้าด้วย! ยกโทษให้ข้าเถอะนะครับ!!! ท่านซานดร้า!!!!!, ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย!! ไม่ได้พูดเลยซักนิด!!”


 


“เหอะ……แสดงว่าเป็นนักฆ่าที่ซานดร้าเลี้ยงดูมาสินะ ดูเหมือนจะผ่านการฝึกมาไม่ใช่น้อยเลย”


 


“การปลูกฝังความกลัวเข้าไปในจิตใจของลูกน้อง, ก็ดูสมกับเป็นเธอดีนะครับ แล้วพวกเราจะเอายังไงดีครับ?”


 


“ถึงจะเปิดโปงไอ้พวกนี้ไป, ก็สร้างความเสียหายให้ซานดร้าไม่ได้อยู่ดี แต่ถ้าเราฆ่าพวกมันการเก็บกวาดก็คงจะยุ่งยากอยู่ เอาเป็นว่าหาที่ดีๆซักที่ขังพวกมันเอาไว้แล้วกัน, ถึงยังไงหลังจากนี้พวกเราอาจจะได้ใช้ประโยชน์จากพวกมันก็ได้”


 


“ตามประสงค์ครับ”


 


เขาเหลือบมองชายที่ยังเห็นภาพลวงตาของซานดร้าอยู่ครู่นึงแล้วเดินจากไป


 


การที่เธอส่งนักฆ่ามาในช่วงเวลาแบบนี้, ก็หมายความว่าซานดร้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปรากฎตัวของมอนส์เตอร์ ที่เธอพยายามกำจัดเราก็เพราะเธอกำลังเล็งตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ, ซึ่งเป็นรางวัลจากเทศกาลล่าของอัศวินอยู่ ถ้าเธอยอมทำถึงขนาดนี้, เธอก็ไม่น่าจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการปรากฎตัวของมอนส์เตอร์นะ


 


“ตอนนี้, ชักเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วสิว่าเป็นฝีมือใคร”


 


ในตอนที่พูดคำนี้ออกมา, เขาก็กลับถึงห้องพอดี


ตอนที่ 10 เปิดงาน


 


เมืองที่ใหญ่ที่สุดทางฝั่งตะวันออกของจักรวรรดิ, เคียร์


 


เมืองนี้คือจุดศูนย์กลางของเทศกาลล่าของอัศวิน ซึ่งตอนนี้มันพลุกพล่านไปด้วยผู้คน


 


พ่อค้าต่างก็ระดมสติปัญญาของพวกเขาและคิดแผงขายของออกมามากมายตามถนนของเคียร์ เพียงแค่เดินดูรอบๆก็จะเจอของแปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อนขายอยู่ตามท้องถนน


 


หลังจากที่เดินซื้อของไปกินไป, ตอนนี้เขากับลีโอก็มาเจอกันที่กำแพงคฤหาสน์ของเคียร์


 


“คนเยอะจังเลยนะ”


 


“นั่นสินะครับ แต่ก็ดีแล้วหล่ะ, ถึงยังไงชาวเมืองฝั่งตะวันออกก็ตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามของมอนส์เตอร์มาได้พักใหญ่ๆแล้ว, ข้าคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเขานะครับ”


 


“ก็คงจะใช่หล่ะ ดูเหมือนพวกเขาจะคิดว่ามันเป็นความผิดของท่านพ่อที่ไม่รีบคลี่คลายปัญหาโดยเร็ว มันก็เหมือนกับว่าเขาพยามจะใช้เงินปลอบพวกเขาหล่ะนะ คงจะเหมือนประมาณว่า: เชิญเพลิดเพลินกับงานเทศกาลได้เลย, อะไรประมาณนี้”


 


เขาคงจะกะเอาไว้อยู่แล้วว่าความไม่พอใจของผู้คนคงไม่หายไปกับการแค่จัดเทศกาลเฉยๆ


 


ถึงยังไง, ถ้าผู้คนไม่ได้เสียเงินในกระเป๋าเลยการจัดเทศกาลก็คงไม่มีความหมายอะไร เขาแค่ใช้เงินของเขาเพื่อกระตุ้นประชาชนให้ใช้จ่ายเท่านั้นเอง


 


ผู้คนชาวตะวันออกที่ได้รับปัญหาจากมอนส์เตอร์นั้นระวังตัวสูงมาก พวกเขาคงจะไม่ใช้เงินเว้นเสียแต่ว่าพวกราชวงศ์จะใช้ก่อน


 


ถ้ามองในแง่นี้, ก็ถือว่าเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมใช้ได้เลย


 


“อยู่นี่เองสินะ?”


 


ในตอนที่พวกเขาได้ยินเสียงจากข้างหลัง, พวกเขาก็หันกลับไปดูพร้อมกัน


 


จากนั้น, พวกเขาก็เห็นเอลน่ากำลังยืนอยู่ตรงนั้น


 


“อ้าว, เอลน่า เป็นยังไงบ้าง?”


 


“อืม, ก็ปกติดี, แล้วเจ้าหล่ะ?”


 


“ข้าเองก็ปกติดีหล่ะนะ และตอนนี้ก็กำลังรู้สึกอิ่มเอมใจอยู่”


 


“งั้นหรอ? ทำไมหล่ะ?”


 


การที่ลีโอพูดออกมาแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องหายาก


 


ตามนิสัยแล้วถ้าอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ปกติเขามักจะพูดแต่เรื่องความปลอดภัย


 


เขารู้สึกได้ว่ามันกำลังจะมีเรื่องยุ่งยากน่ารำคาญเข้ามาหาเขาอีกแล้ว


 


“ในระหว่าทางมาที่นี่, ข้าได้ไปดูรอบๆหมู่บ้านที่ได้รับความเสียหายจากมอนส์เตอร์มา ข้าคิดว่ามันคือหน้าที่ของพวกเราในฐานคนของราชวงศ์ที่จะต้องช่วงเหลือพวกเขา ถ้าชนะการแข่งในงานเทศกาลนี้ก็จะได้รางวัลด้วยใช่ไหม, ข้าคิดว่าข้าต้องเอาเงินตรงนั้นมาบริจากให้พวกคนที่ประสบปัญหา”


 


“…นี่นายคิดจะทำเรื่องแบบนั้นหรอ…..?”


 


“เห้อ…แล้วระหว่างนั้นเจ้าทำอะไรอยู่หล่ะ, อัล?”


 


“เดินซื้อของตามแผง”


 


ในตอนที่เขาเอาสินสงครามของเขา, จิ้งเหลนพสุธาย่างให้เธอดู, เธอก็เอามือกุมขมับแล้วถอนหายใจออกมา


 


ไม่เห็นต้องถอนหายใจแรงขนาดนั้นก็ได้นี่หน่า


 


“ถ้าอัลได้ส่วนดีๆของลีโอมาอย่างน้อยซักหนึ่งอย่างหล่ะก็นะข้าคงจะรู้สึกสบายใจกว่านี้ที่มีเจ้าเป็นเพื่อนสมัยเด็ก……”


 


“ท่านพี่เองก็มีข้อดีเหมือนกันนะครับไม่รู้หรอ? คนอื่นแค่ไม่ทันสังเกตเห็นเท่านั้นเอง”


 


“พูดได้ดี สมกับเป็นน้องชายข้าจริงๆ, ลีโอ เอานี่รางวัล, ข้าจะให้เจ้ากินซักคำนึง”


 


“ขอบคุณครับ หืม? อร่อยเกินคาดนะครับเนี่ย”


 


“ใช่ไหมหล่ะ? ข้านะมีพรสวรรค์ในเรื่องการหาของดีๆจากแผงขายของอยู่แล้ว”


 


“พรสวรรค์แบบนั้น, ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเจ้าชายหรอกนะ….เอาเถอะ, ไปกันได้แล้ว ลีโอก็ด้วย, เทศกาลจะเริ่มอยู่แล้วเจ้าเองก็ควรจะรีบกลับเหมือนกันนะ”


 


พอถูกเอลน่าเร่ง, เขาก็รีบยัดจิ้งเหลนพสุธาย่างเข้าปาก


 


เทศกาลล่าของอัศวินจะเริ่มต้นขึ้นในเร็วๆนี้


 


———–


 


“จักรวรรดิของเราคือประเทศที่ไม่ค่อยประสบกับความเสียหายจากมอนส์เตอร์ ด้วยเหตุนี้เอง, การตอบสนองของเราจึงค่อนข้างล่าช้า ครั้งนี้ผู้คนชาวตะวันออกต้องทุกทรมานเพราะข้านั้นบกพร่องเอง ข้าขอโทษจริงๆ ข้าอยากให้พวกเจ้ายกโทษให้จักพรรดิผู้โง่เขลาคนนี้ด้วยเถอะ”


 


พ่อของเขากำลังพูดสุนทรพจน์อยู่เบื้องหน้าฝูงชน


 


ถัดจากนั้นมันก็จะถึงตาที่พวกเขาได้ออกโรง


 


ตอนนี้อาร์โนลด์กำลังใช้ห้องๆนึงในคฤหาสน์ของลอร์ดเป็นห้องพัก, ในตอนนั้นเองก็มีแขกคนนึงมาหา


 


เขาคิดว่ามันคงเป็นเอลน่าหรือฟีเน่แต่คนที่ปรากฎตัวนั้นทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย


 


“คริสต้า…? มีอะไรหรอ?”


 


“ท่านพี่…..”


 


เธอคนนี้มีนามว่าคริสต้า เลคส์ แอดเลอร์, เธอมีอายุ 12 ปีและเป็นเจ้าหญิงลำดับสามของจักรวรรดิ


 


น้องสาวคนนี้ของเขานั้นมีผมสีบลอนด์เป็นเงาวาวและมีดวงตาสีม่วง ในอนาคต, ความสวยงามของเธอน่าจะแข่งกับฟีเน่ได้เลย ผู้คนมักจะพูดกันว่าเธอสวยเหมือนกับตุ๊กตา ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะคริสต้านั้นเป็นเด็กที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า


 


ในขณะที่ถือตุ๊กตากระต่ายตัวโปรด, เธอก็จ้องมาที่เขาอย่างเฉยเมย ถ้าสังเกตจากลักษณะของเธอแล้ว, เธอเหมือนกับตุ๊กตาจริงๆ อย่างไรก็ตาม, ดวงตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธอกำลังรู้สึกไม่สบายใจ


 


“เข้ามาสิ เกิดอะไรขึ้น? มีอะไรสร้างปัญหาให้เจ้ารึเปล่า?”


 


“ไม่ใช่ค่ะ…คริสต้าไม่มีปัญหาอะไรหรอก….คนที่นี่ต่างหากที่มีปัญหา”


 


ช่างเป็นคำตอบที่ชวนสับสนจริงๆ


 


ผู้คนส่วนใหญ่คงจะแค่ทำเป็นไม่สนใจเธอแต่สำหรับเขานั้น, เขาทำแบบนั้นกับคริสต้าไม่ได้


 


เขาพาคริสต้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวนึงแล้วย่อตัวลงมาให้อยู่ในระดับสายตาของเธอ


 


เด็กคนนี้คือตัวตนพิเศษในราชวงศ์


 


ไม่มีใครสังเกตเห็นมัน ไม่สิ, พวกเขาน่าจะทำเป็นไม่รู้เรื่องมากกว่า แต่ว่าเด็กคนนี้เกิดมาโดยมีเวทมนตร์ติดตัวมาด้วย


 


โดยปกตินั้น, เวทมนตร์คือสิ่งที่ต้องฝึกฝนถึงจะใช้ได้แต่ในโลกนี้ก็มีคนบางจำพวกที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งพวกที่ใช้เวทมนตร์ได้เองนั้นจะถือเป็นคนที่ทรงคุณค่าและแข็งแกร่งอย่างมาก เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนๆนั้นจะมีเวทมนตร์ประเภทที่ตัวเองใช้ได้แค่คนเดียว มันคือสิ่งที่คนอื่นไม่มีวันจะทำได้


 


คริสต้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


บางทีความสามารถของเธอคงจะเป็นการทำนายอนาคตหรืออะไรเทือกๆนั้น ในวันที่มงกุฎราชกุมารตาย, เธอเองก็มาร้องไห้ต่อหน้าเขาแล้วบอกว่าพี่ชายของพวกเราตายแล้ว


 


ถ้าความจริงที่ว่าเธอสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้หลุดออกไป, คนอย่างซานดร้าจะต้องหาเรื่องใช้ประโยชน์จากเธอแน่ ดังนั้นเขาจึงบอกเธอว่าอย่าพูดเรื่องนี้กับใครและถ้าเห็นอะไร, ให้เธอมาหาเขา ความจริงที่ว่าเธอมาที่นี่ก็หมายความว่ามันจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ


 


“ครั้งนี้เห็นอะไรหล่ะ?”


 


“…เมืองนี้ถูกห้อมล้อมด้วยพวกปีศาจค่ะ……”


 


ความสามารถของคริสต้ายังไม่เสถียร


 


บางครั้งเธอจะมองเห็นภาพอนาคตแต่สำหรับคริสต้านั้น, ภาพพวกนี้เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับฝันร้ายมากกว่า


 


ยิ่งไปกว่านั้น, มันไม่ได้หมายความว่านิมิตของเธอจะเป็นจริงทุกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น, มันก็มีตอนที่นิมิตของเธอตรงด้วย


 


ซึ่งนี่เองก็คือสาเหตุที่เขาไม่สามารถมองข้ามได้


 


“เจ้าไม่ได้เห็นภาพใครตายใช่ไหม?”


 


“ค่ะ…..”


 


“เข้าใจหล่ะ ขอบใจที่มาบอกนะ มันทำให้ข้าเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นเยอะเลย”


 


“…..ท่านพี่เองก็จะออกไปด้วยหรอคะ?”


 


“ใช่ ครั้งนี้ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้”


 


“……….”


 


คริสต้าทำสีหน้าไม่พอใจ


 


เธอคงไม่ชอบถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในตอนที่รู้สึกกังวล แต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ต้องไปอยู่ดี


 


ถึงยังไง, ถ้าเมืองถูกห้อมล้อมด้วยมอนส์เตอร์จริงๆ, มันก็จะจัดการได้ง่ายกว่าถ้าเขาอยู่ข้างนอก


 


“ขออนุญาตค่ะ, ฟีเน่เองค่ะ”


 


ฟีเน่เข้ามาในห้องได้ถูกจังหวะเวลาพอดี


 


เธอมีขนมอยู่ในมือด้วย


 


เยี่ยมเลย


 


“คริสต้า, ข้าจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่เพื่อนของข้า, ฟีเน่”


 


“ยะ, ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ, องค์หญิงคริสต้า ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ค่ะ”


 


“ข้ารู้จักท่านค่ะ เจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน คนที่สวยที่สุดในจักรวรรดินี้”


 


“รู้ดีจังเลยนะคะ”


 


เขากำลังลูบหัวของเธออยู่แต่สีหน้าของคริสต้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รังเกียจ


 


คริสต้านั้นเชื่อฟังแค่กับเขา, ลีโอและพี่สาวคนโตที่อยู่ชายแดนเท่านั้น เธอไม่เคยลดการ์ดลงเลยแม้ว่าจะกับพ่อแท้ๆของตัวเองก็ตามดังนั้นคนรอบตัวเธอจึงไม่รู้วิธีปฏิบัติกับเธอ


 


แน่นอนว่า, ครั้งนี้เธอต้องอยู่ที่นี่, แต่เขาไม่สามารถทิ้งเธอไว้คนเดียวแบบนี้ได้


 


“ฟีเน่ ขอโทษนะ, แต่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนคริสต้าแทนข้าหน่อยได้ไหม?”


 


“อยากให้ท่านพี่อยู่ด้วยมากกว่า…….”


 


“ฟีเน่เป็นคนที่ไว้ใจได้ เอาจริงๆ, ไว้ใจได้มากกว่าข้าอีก ยิ่งไปกว่านั้น, รู้รึเปล่าว่าขนมของเธออร่อยมากเลยนะ? เจ้าชอบกินขนมไม่ใช่หรอ?”


 


พอพูดจบเขาก็เอาขนมออกมาจากถุงลูกกวาดที่ฟีเน่ถืออยู่แล้วเอาให้คริสต้าดู


 


มันคือคุกกี้รูปกระต่าย


 


คริสต้าที่ตอนนี้กำลังปากสั่นอย่างกล้าๆกลัวๆ, จ้องตรงไปที่ฟีเน่ในทันที


 


พอเห็นแบบนี้, เขาก็ยิ้มเจื่อนๆ


 


“ยินดีด้วยนะ ดูเหมือนว่าเธอจะถูกใจเจ้า”


 


“เอ๋? จริงหรอคะ….?”


 


“ถ้าเด็กคนนี้ไม่ได้ถูกใจใคร, เธอจะไม่จ้องแบบนี้หรอก ปกติเธอจะไม่สนใจคนอื่นเลย คริสต้า จนกว่าข้ากับลีโอจะกลับมา, เจ้าต้องอยู่กับฟีเน่นะเข้าใจไหม?”


 


“ค่ะ…..”


 


“จะว่าไงดี เอาเป็นว่าขอโทษจริงๆนะ, แต่ช่วยอยู่กับคริสต้าให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้จะได้ไหม?”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้ามันคือความต้องการของท่านอัลข้าเองก็ยินดีค่ะ”


 


พอพูดจบ, ฟีเน่ก็ยิ้มแล้วเริ่มส่งขนมให้คริสต้าเพิ่มอีก


 


มีอยู่แวบนึง, ที่คำว่า ‘เขมือบ’ ผุดขึ้นมาในหัวของเขาแต่เนื่องจากมันเป็นความไม่สุภาพของเขาเองเขาจึงกลืนคำพูดนั้นกลับไป


 


จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเชียร์ดังมาจากข้างนอก


 


บางทีสุนทรพจน์ของท่านพ่อคงจะจบแล้ว


 


ต่อจากนี้ไป, พวกเราก็ต้องเล่นเป็นตัวเอกแล้วสินะ


 


“เอาหล่ะ, ไปกันเลยดีไหม คริสต้า พวกเราต้องไปโชว์ตัวให้ประชาชนเห็นก่อนนะ”


 


“……..”


 


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ มันช่วยไม่ได้นี่หน่า ถึงยังไงพวกเราก็เป็นราชวงศ์นะ”


 


“……ท่านพี่นั่นแหล่ะที่ชอบโดดตลอด”


 


“ครั้งนี้ข้าไม่โดดนี่, ไม่เห็นหรอ? เถอะหน่า, ไปกันได้แล้ว”


 


เขาจับมือคริสต้าแล้วจูงมือเธอเดินออกจากห้อง ฟีเน่เองก็เดินตามหลังพวกเขามา


 


จากนั้นในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ตัวปัญหาคนนึงก็โผล่ออกมาจากห้องของเธอ


 


“อุ้ย? มีเวลาว่างเลี้ยงเด็กด้วยหรออาร์โนลด์ คงเป็นเพราะเจ้าได้จับคู่กับบ้านแอมส์เบิร์กสินะ?”


 


เจ้าหญิงลำดับสองซานดร้า


 


คริสต้าเข้ามาซ่อนข้างหลังเขาในทันที ในตอนที่เห็นแบบนี้, สีหน้าของซานดร้าก็บิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ


 


“ท่านพี่, บอกว่าเลี้ยงเด็กมันก็แรงไปหน่อยนะ การที่พี่ชายดูแลน้องสาวมันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอครับ?”


 


“เชอะ, ดูเหมือนว่าเจ้าคงมีเรี่ยวแรงเหลือน่าดูนะถึงกล้าตอบแบบนี้”


 


“ท่านพี่ดูหงุดหงิดน้องสาวของเราน่าดูเลยนะครับ เกิดอะไรขึ้นหรอ? มีบางอย่างไม่เป็นไปตามแผนการของท่านพี่รึเปล่า?”


 


พอได้ยินเขาสวนมาแบบนี้, สีหน้าของซานดร้าก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธอยู่แวบนึงแต่มันก็กลับมาเป็นปกติในทันที เธอคงจะรู้สึกตัวว่าการทำอะไรรุนแรงที่นี่นั้นก็เป็นแค่การแสดงความอ่อนแอของเธอออกมาโดยไม่จำเป็น


 


เอาเถอะ, ต่อให้เธอไม่โกรธ, เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังพวกนักฆ่าที่ถูกส่งมา แต่เขาเองก็ต้องไม่พูดเรื่องนั้นเหมือนกัน


 


“ระวังตัวให้ดีเถอะ ข้าจะสอนให้เจ้าได้รู้เองว่าต่อให้มีดาบที่ทรงพลังแค่ไหนมันก็ไร้ความหมายถ้าเจ้าใช้มันไม่ได้”


 


“ฮ่าฮ่า! คนอย่างเจ้าสอนอะไรใครได้ด้วยหรอ?”


 


ในตอนที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา, กอร์ดอนก็ปรากฎตัวขึ้น


 


เอาจริงๆ, สองคนนี้คงจะนอนไม่หลับถ้าพวกเขาไม่ได้กัดกัน


 


อย่างไรก็ตาม, หลังจากนั้นเองสายตาที่คมกริบของกอร์ดันก็หันมาที่เขา เป็นเวลาครู่นึง, ที่เขารู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจกำลังถูกบีบ


 


สมแล้วหล่ะที่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในสนามรบ ความกระหายเลือดของเขาไม่ธรรมดาเลย ถ้าเราใช้เวทมนตร์ไม่ได้หล่ะก็เขาคงจะฆ่าเราได้ในทันที


 


“เอางี้เป็นไง? อาร์โนลด์, เจ้าอยากส่งดาบของเจ้ามาให้ข้ารึเปล่า? มันน่าจะยังทันเวลาอยู่นะ ลองไปขอท่านพ่อ, คุกเข่าร้องไห้บอกเขาว่าเจ้าไม่คู่ควรกับเธอและบอกเขาว่าคนที่คู่ควรคือข้าดูสิ”


 


“น่าเสียดายนะครับท่านพี่ที่ข้าคงทำให้ไม่ได้หรอก ทำแบบนั้นมันก็เหมือนกับว่าข้ามีข้อกังขากับการตัดสินใจของท่านพ่อหน่ะสิ ท่านพี่ก็รู้ดีไม่ใช่หรอว่าท่านพ่อน่ากลัวขนาดไหน”


 


“เฮอะ, แสดงว่าเจ้าไม่อยากแบ่งสมบัติของตัวเองกับคนอื่นสินะ สุดท้ายแล้วสมบัตินั้นก็จะต้องเน่าเสีย เอาเถอะ, ข้าจะขยี้เจ้าไปพร้อมกับยัยผู้หญิงตรงนั้นด้วย”


 


“ล้ำเส้นแล้วนะ”


 


ซานดร้าจ้องกอร์ดอนอย่างคุกคาม


 


ในตอนนั้นเองพวกเขาก็ใช้โอกาสนั้นหนีมา


 


ถึงยังไง, การเอาตัวไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้แบบนี้มันก็ไม่มีผลดีอะไร


 


“ท่านพี่….ข้ากลัว…..”


 


“ไม่เป็นไรแล้วนะ ฟีเน่เองก็อยู่กับเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ, ข้าจะรีบกลับมาช่วยเจ้าเอง ข้าสัญญา”


 


“จริงนะคะ…..?”


 


“อืม, จริงสิ”


 


พอพูดจบเขาก็บีบมือเล็กๆของคริสต้า


 


บางทีการทำแบบนี้น่าจะช่วยให้เธอสบายใจขึ้น, เธอเผยรอยยิ้มเล็กๆให้เขา


 


จากนั้นหลังจากที่บุตรทุกคนของจักรพรรดิมารวมตัวกันบนระเบียง, จักรพรรดิก็ประกาศออกมาเสียงดังลั่น


 


“สำหรับเทศกาลนี้! อัศวินของภาคีอัศวินหลวงได้สาบานตัวรับใช้ลูกๆของข้า! ลูกๆของข้าจะเคารพอัศวินและอัศวินก็จะให้เกียรติลูกๆของข้า, พวกเขาจะร่วมมือกันและเผชิญหน้ากับพวกมอนส์เตอร์ที่แข็งแกร่ง! พวกเราคือราชวงศ์! ถ้ามีศัตรูของจักรวรรดิอยู่, หน้าที่ของพวกเราก็คือการกำจัดพวกมันซะ! จงไปเถิด! ลูกๆของข้า! เหล่าอัศวินของข้า! นับจากช่วงเวลานี้ไป, ข้าขอประกาศเริ่มเทศกาลล่าของอัศวินอย่างเป็นทางการ!!!”


 


“โอ้ววว!!!!!”


 


“พยายามเข้านะครับ, เจ้าชายเอริค!!”


 


“ไม่หรอก, ครั้งนี้มันถึงเวลาที่เจ้าชายกอร์ดอนจะได้เจิดจรัสแล้วใช่ไหม?”


 


“เจ้าหญิงซานดร้าจะต้องแสดงเทคนิคที่น่าอัศจรรย์ให้พวกเราดูอย่างแน่นอน!”


 


“ข้าจะสนับสนุนเจ้าชายลีโอนาร์ด! มันเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เจอกับคนที่ใจดีขนาดนี้!”


 


อัศวินที่ถูกนำโดยลูกๆแต่ละคนออกจากคฤหาสน์และไปที่แนวหน้า


 


ครั้งนี้, มีแค่คริสต้าเท่านั้นที่ยังอยู่ในคฤหาสน์ในขณะที่คนอื่นๆออกไปกับอัศวินของตัวเองเพื่อล่ามอนส์เตอร์


 


พวกลูกๆแต่ละคนนั้นต่างก็ออกไปพร้อมกับตราประจำตัวของตัวเองที่สร้างขึ้นมาเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ


 


ตราของอาร์โนลด์นั้นคือสีขาวไขว้กันบนพื้นหลังสีดำ ส่วนของลีโอก็ตรงข้าม, มันคือสีดำตัดกันบนพื้นหลังสีขาว พวกมันค่อนข้างจะเข้าใจง่าย ถึงยังไงรูปแบบก็ตรงข้ามกันเลย, มันง่ายที่จะบอกว่าเป็นตราประจำตัวใคร


 


อย่างไรก็ตาม, เขาก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดดีไซน์ของมัน


 


“พร้อมนะ?”


 


“แน่นอน, ไปกันเถอะ”


 


พอพูดจบ, เขาก็ควบม้าไปข้างหน้า


 


ข้างหลังเขาคือภาคีอัศวินหน่วยสามที่นำโดยเอลน่า


 


คนๆเดียวที่ได้รับเสียงเชียร์นั้นมีแค่เอลน่าแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกติดใจอะไร


 


ถึงยังไงเขาก็คือเงาที่คอยทำงานอยู่เบื้องหลังอยู่แล้ว


 


ถ้ามีคนกำลังวางแผนร้ายบางอย่างจากเงามืดเขาก็จะไปซ่อนอยู่ข้างหลังไอ้พวกนั้นแล้วจัดการซะ


ตอนที่ 11 การเริ่มต้นที่ดี


 


“ย้ากกก!!!”


 


“เออ เออ…..เอาที่สบายใจเลย ยัยนี่….”


 


พอได้เห็นการต่อสู้ของเอลน่าเขาก็ทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย


 


เอลน่ากำลังสู้อยู่กับฝูงมอนส์เตอร์หมาป่าสีแดงที่มีชื่อว่าหมาล่าเนื้อ(บลัดฮาวด์) จำนวนของพวกมันนั้นมีมากกว่า 30 ตัว, พวกมันเป็นมอนส์เตอร์ที่ออกล่าเป็นฝูงและแต่ละตัวก็อยู่ในคลาส A ด้วยฝูงหมาล่าเนื้อกว่า 30 ตัวนี้, พวกมันจึงเป็นมอนส์เตอร์ตัวปัญหาที่มีความยากเทียบเท่ากับคลาส AAA ได้เลย


 


อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้เอลน่ากำลังไล่เตะก้นพวกมันโดยไม่สนใจเรื่องจำนวนเลยซักนิด ต่อให้เป็นนักผจญภัยแรงค์สูงก็คงจะประหลาดใจกับภาพที่เห็นนี้


 


เอลน่ากำจัดหมาล่าเนื้อทุกตัวได้ในเวลาไม่กี่นาที จากนั้นเธอก็เอาอุปกรณ์เวทมนตร์ที่มีลักษณะเป็นผลึกแก้วชนิดพิเศษออกมาเพื่อทำการบันทึกผลการต่อสู้ของเธอ


 


จากนั้นผลการต่อสู้ก็ถูกส่งไปยังศูนย์ใหญ่ในเคียร์และประกาศให้คนที่นั่นได้ทราบในทันที ตอนนี้กลุ่มของเขาขึ้นนำด้วยการเอาชนะฝูงมอนส์เตอร์ที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับคลาส AAA


 


อย่างไรก็ตาม, เนื่องจากนี่เป็นเทศกาล, ถ้ากลุ่มอื่นเอาชนะตัวเบ้งๆได้ซักตัว, อันดับก็จะต้องตกไปอย่างแน่นอน


 


“อัล! ข้าเห็นมอนส์เตอร์ตรงนั้น! พวกเราจะไล่ตามมันไปนะ!”


 


“ไม่ไป, วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เราไปหาเมืองแถวนี้พักซักหน่อยไม่ได้รึไง?”


 


“ทำไมเจ้าถึงทำตัวเฉื่อยชาแบบนี้นะ? พวกเราจะเอาชนะในเทศกาลนี้ไม่ใช่หรอ?”


 


“ข้าเคยบอกว่าอยากชนะด้วยหรอจำไม่เห็นได้เลย…..”


 


เขาไม่สามารถยอมให้เอลน่ากับอัศวินของเธอรุดหน้าต่อไปทั้งแบบนี้ได้


 


ลูกๆของจักรพรรดิที่ออกมากับอัศวินนั้นสวมอุปกรณ์เวทมนตร์ที่มีรูปร่างเหมือนกำไลเอาไว้อยู่ และหัวหน้าของอัศวินแต่ละหน่วยเองก็สวมสิ่งนี้เป็นคู่กัน, ซึ่งกำไลพวกนี้ถูกออกแบบมาให้ทำลายตัวเองถ้าพวกเขาอยู่ห่างกันในระยะนึง ประมาณ 1 กิโลเมตร ดังนั้นด้วยสิ่งนี้, มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่อัศวินจะทำงานคนเดียว


 


“เจ้าอาจจะไม่เป็นไรแต่คนอื่นเหนื่อยกันแล้วนะ แถมนี่มันแค่วันแรกเองคะแนนคงไม่ต่างกันมากหรอก ถึงยังไงเทศกาลก็จัดตั้งสามวัน, ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้นี่หน่า”


 


“เจ้านี่มันจริงๆเลย….”


 


“อะไร? ตอนนี้ข้าถือว่าเป็นหัวหน้าของเจ้าไม่ใช่หรอ? นี่เจ้าคิดจะขัดขืนคำสั่งของข้ารึไง?”


 


“ชิ….ก็ได้ๆ ข้าจะทำตามคำสั่งของเจ้า…..”


 


“ดี ถ้างั้น, มุ่งหน้าไปที่เมืองใกล้ๆกันเถอะ”


 


พอพูดจบ, พวกเขาก็ออกเดินทางไปที่เมือง


 


เมืองนี้เองก็กำลังอยู่ในบรรยากาศงานเทศกาล พวกเขามุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่จักรพรรดิจองเอาไว้ให้ล่วงหน้า


 


ณ ตอนนี้ทั่วทั้งฝั่งตะวันออกกำลังอยู่ในอารมณ์เทศกาล ถ้าเป็นช่วงเวลาปกตินั้น, เมืองแบบนี้คงจะไม่ได้เห็นราชวงศ์หรืออัศวินที่มีชื่อเสียงอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เอง, พวกเขาจึงรู้สึกตื่นเต้น แม้ว่าพวกเขาจะตื่นเต้นแค่กับเอลน่าคนเดียวก็เถอะ แต่มันก็ยังดีที่พวกเขามีเหตุผลให้รู้สึกตื่นเต้น


 


“พวกเขาดูตื่นเต้นกันจังเลยนะ”


 


“นี่เป็นเป้าหมายขององค์จักรพรรดิ ถึงยังไงเทศกาลนี้ก็จัดขึ้นเพื่อลดความไม่พอใจของชาวตะวันออกหล่ะนะ”


 


เอลน่าเข้ามาในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อเขา


 


ช่างเป็นเพื่อนที่ไร้มารยาทจริงๆ, เธอไม่ได้เคาะประตูด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่เปิดประตูทิ้งไว้ก็เถอะ


 


“อย่างน้อยก็ช่วยเคาะประตูหน่อยได้ไหม”


 


“อ้าว? จำเป็นด้วยหรอ?”


 


“ถ้างั้นข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้าจะทำยังไงถ้าข้าเดินดุ่มๆเข้าไปในห้องของเจ้าโดยที่ไม่เคาะประตู?”


 


“ก็คงฟันเลยหล่ะมั้ง”


 


“มันจะไม่ดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อยรึไง!?”


 


เขาเถียงโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย


 


และก็ด้วยเหตุนี้เอง, เขาก็เลยทำไวน์หกใส่มือนิดหน่อย โถ่, เสียดายชะมัด


 


 


“เจ้านี่มันทำตัวไม่สมกับเป็นราชวงศ์เลย….ก็แค่ทำเครื่องดื่มหกนิดหน่อยอย่าทำหน้าเหมือนกับโลกจะถึงจุดจบได้ไหม”


 


“เป็นอัศวินแท้ๆ แต่ไม่รู้จักคุณค่าของเครื่องดื่มนี่นะ ว่าแล้วเชียวเจ้านี่สมกับเป็นเจ้าหญิงของพวกอัศวินจริงๆ ช่างไม่เข้าใจอะไรเลย”


 


“ข้าไม่อยากได้ยินเรื่องแบบนั้นจากนายน้อยที่ไม่เคยออกจากเมืองหลวงของจักรวรรดิหรอกนะ…..แล้วก็, เริ่มดื่มตอนนี้คิดว่าโอเคแล้วรึไง? ถ้าพรุ่งนี้เจ้าเมาค้างขึ้นมาข้าไม่ช่วยหรอกนะรู้ไหม?”


 


เอลน่าพูดอย่างเหนื่อยหน่ายในขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามเขา


 


พอไม่มีชุดเกราะแล้ว, ร่างกายเพียวๆของเอลน่าก็ดูไร้การป้องกันลงมาก เธอสวมเสื้อสีขาวกับกระโปรงสั้นสีแดงที่ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่อนตัว แน่นอนว่าสายตาของเขานั้นมองไปยังเรียวขาอันงดงามของเธอที่เผยออกมา จากนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง


 


ใช่ มันผ่านมาหลายปีแล้วตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็ก เขาเองก็เป็นผู้ชายสุขภาพดีที่มีความหื่นนิดๆ ถ้ามีสาวงามมาอยู่ตรงหน้าหล่ะก็, เขาจะทำการตรวจสอบอย่างแน่นอน หรือจะให้พูดก็คือ, เขารู้สึกเหมือนกับว่าหน้าอกของเอลน่าไม่ได้ใหญ่ขึ้นเลยทั้งๆที่ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว


 


“อัล? นี่เจ้ากำลังมองอะไรอยู่?”


 


“หน้าอกของเจ้า”


 


“อย่างน้อยก็ช่วยโกหกข้าซักหน่อยเถอะ! โถ่ว….!”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็ซ่อนหน้าอกที่กระทัดรัดของเธอ


 


อย่างไรก็ตาม, เขาไม่สนใจ, และมองหน้าอกของเธอต่อ เอลน่ามีอายุ 17 ปี, แก่กว่าเขาหนึ่งปี แต่ถ้าพิจารณาจากขนาดหน้าอกของเธอแล้ว, คือว่ามัน, เขาจะว่ายังไงดี, น่าเสียดายหล่ะมั้ง ไม่สิบางทีคำว่าน่าเศร้าอาจจะตรงกว่า


 


ฟีเน่, ในอีกด้านนึง, เธอมีหน้าอกใหญ่มาก ถึงแม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าหลวมๆ, ก็ยังใหญ่อยู่ดี ว่าแล้วเชียว, สงสัยคงเพราะเอาแต่ฝึกสินะ, ก็เลยไม่มีสารอาหารไปเลี้ยงที่หน้าอกเลย


 


“เข้มแข็งไว้นะ”


 


“อย่าพูดเรื่องแบบนั้นด้วยสีหน้าจริงจังแบบนี้สิ! อะไรกัน! ทั้งๆที่จ้องมาตั้งนานแต่นี่คือคำๆเดียวที่ออกมาจากปากของเจ้าเนี่ยนะ!?”


 


“ข้าก็แค่คิดว่ามันไม่โตขึ้นเลย มันไม่โตขึ้นจริงๆนะ…..”


 


“มันกำลังโตอยู่! ก็แค่โตช้ากว่าคนอื่นเท่านั้น! มันไม่ได้เล็กซะหน่อยเข้าใจไหม!!”


 


“………อย่างนี้นี่เอง”


 


มันคือทฤษฎีที่ฟังดูน่าเจ็บปวดแต่เขาก็ยอมรับมัน นี่ก็เพื่อเอลน่า


 


ในขณะที่เขากำลังคิดแบบนี้อยู่นั้นเอง, ไหล่ของเอลน่าก็เริ่มสั่นด้วยความโกรธ เวรหล่ะ, นี่มันไม่ดีแล้ว


 


“ข้า, ข้าคิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้วหล่ะ! มันยังมีใครซักคนที่อยู่ที่ไหนซักแห่งที่ชื่นชอบความแบนนะ!”


 


“อย่าพูดว่าแบนนะ! มันก็แค่โตช้ากว่าคนอื่นเฉยๆ! อีกไม่กี่ปีมันก็จะใหญ่บึ้มเลยหล่ะ!”


 


“แบบนั้นคงไม่ไหวมั้ง…..อย่างเก่งก็คงจะได้แค่ขนาดธรรมดาไม่ใช่รึไง?”


 


“อัล…, ข้าว่า, มาออกกำลังกายหลังอาหารซักหน่อยไหม……?”


 


“มันจะใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นแน่ๆ! มันจะใหญ่บึ้มเลยหล่ะเพราะฉะนั้นทำใจร่มๆเข้าไว้นะ!”


 


พอพูดจบ, เขาก็ถ่อยห่างจากเอลน่าที่เริ่มสูดหายใจเข้าลึกๆเหมือนกับที่เธอชอบทำในการต่อสู้


 


ในตอนที่เห็นเขาตัวสั่นอยู่ตรงมุมห้อง, เอลน่าก็กลับไปนั่งเก้าอี้ของเธอราวกับว่าเธอหมดอารมณ์จะสู้แล้ว


 


“จริงๆเลย….เจ้านี่มันไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ, อัล”


 


“คนเรามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันง่ายๆในเวลาแค่ไม่กี่ปีหรอกนะ นี่เจ้าคิดภาพข้าเป็นคนยังไงกันเนี่ย?”


 


“เจ้าชายธรรมดาคนนึง, คนธรรมดาๆ และอย่างน้อยที่สุด, ข้าก็ไม่อยากให้คนอื่นมาล้อเลียนเจ้าหรอกนะ……”


 


“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้าไม่ใช่รึไง? ถึงยังไงข้าก็ชอบทำเรื่องโง่ๆอยู่แล้ว ไร้พรสวรรค์และเอาแต่เที่ยวเล่นไม่ยอมทำงาน, เจ้าชายไร้ค่าที่โยนทุกอย่างให้ลีโอ เห้อรู้สึกแปลกเหมือนกันนะที่ข้าพูดออกมาด้วยตัวเองเนี่ย”


 


“ข้าทั้งหดหู่และเสียใจแทนเจ้าจริงๆ…..”


 


“เอาเถอะ, ขอบใจนะ”


 


ในตอนที่เขาขอบคุณเธอ, เธอก็จ้องมาที่เขา


 


เอลน่าไหล่ตกแล้วถอนหายใจออกมา เธอกังวลมากเกินไป แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่มีเวลาว่างพอจะมาห่วงเรื่องของเขา


 


“เจ้าเข้าใจจริงรึเปล่า? มันเป็นเพราะเจ้านั่นแหล่ะที่ไม่เคยพูดหรือทำอะไรซักอย่างจนมีพวกที่ทำกับราชวงศ์เหมือนกับของเล่น รู้ไหมมีขุนนางบางคนล้อเลียนเจ้าอย่างเปิดเผยเลยนะ? ข้าเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่พอใจเจ้า, เจ้าไม่เคยทำอะไรที่สมกับเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์เลย แต่ถึงอย่างนั้น, ขุนนางก็ยังคงเป็นลูกน้องของเจ้าอยู่ดี, พวกเขามีหน้าที่ต้องเคารพเจ้า, ต่อให้มันจะเป็นแค่การแสดงออกภายนอกก็ตาม”


 


“ถึงแม้พวกขุนนางจะล้อเลียนข้า แต่มันก็ปกติไม่ใช่หรอที่จะบอกคนไม่ดีว่าเขาเป็นคนไม่ดี? ข้าคิดว่าแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนะ”


 


“เจ้าพูดแบบนี้อีกแล้วนะ! ก็เห็นอยู่ไม่ใช่หรอว่าพวกเขาไม่ได้ลองแนะนำเจ้าเลย? พวกเขาแค่ดูถูกเจ้าเพื่อความสนุก! นี่มันแตกต่างจากเด็กแกล้งกันเหมือนตอนที่เรายังเด็กนะ!”


 


การที่เธออารมณ์เดือดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ


 


นี่กีโด้หลุดพูดอะไรต่อหน้าเธอรึเปล่านะ? หรือว่าจะเป็นพวกรัฐมนตรี? แต่ไม่ว่ายังไง, ข้ามั่นใจเลยว่ามันทำให้เอลน่าหงุดหงิด


 


และมันก็คงเป็นเหตุที่เอลน่าดึงดันจะมาหาเขาให้ได้


 


“แบบนี้เองสินะ? เจ้าคงคิดว่าถ้าทำให้ข้าชนะการแข่งได้มันจะช่วยลบชื่อเสียงไม่ดีของข้าสินะ? แล้วเจ้าอยากให้ข้าเป็นคนแบบไหนหล่ะ?”


 


“ตราบเท่าที่ลีโอนาร์ดกำลังพุ่งเป้าที่จะกลายเป็นจักรพรรดิ, ข้าเองก็อยากจะให้เจ้าจริงจังขึ้นเหมือนกัน อัล, ข้าเชื่อในตัวเจ้านะ เจ้าก็แค่ไม่ชอบจริงจังกับเรื่องต่างๆเท่านั้นเอง เจ้าเป็นแบบนี้ตลอด พยายามหลีกเลี่ยงทุกอย่าง ยิ่งชื่อเสียงของเจ้าต่ำเท่าไหร่, ชื่อเสียงของลีโอก็จะสูงเท่านั้น นี่คงเป็นสาเหตุที่เจ้าไม่เคยทำอะไรจริงจังใช่ไหม”


 


เธอเป็นคนที่รู้ทันเขาจริงๆ


 


สมแล้วที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าเธอเข้าใจจุดนี้เธอก็น่าจะรู้คำตอบของเขาอยู่แล้วด้วย


 


“สำหรับข้าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว หลังจากจบเทศกาลเจ้าเองก็ควรเลิกยุ่งกับข้าได้แล้วนะ”


 


“แต่ข้า!”


 


“ข้าพึ่งจะเกือบถูกลอบสังหารมา”


 


“…….หา?”


 


ด้วยประโยคที่พูดโพล่งออกมาอย่างกระทันหันนี้, เอลน่าก็ตัวแข็งทื่อ


 


จากหน้าต่าง, เขามองเห็นชาวเมืองกำลังเฉลิมฉลองกันอยู่


 


เขาเริ่มอธิบายในขณะที่มองทัศนียภาพนี้


 


“มีคืนนึง, ข้าถูกโจมตีในตอนที่เดินเล่นอยู่ในปราสาท ถ้าตอนนั้นเซบาสไม่อยู่ด้วย, ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนเหตุผลที่ข้าโดนแบบนี้คงไม่ต้องบอกเจ้าใช่ไหม?”


 


“…มันเป็น….ความผิดของข้าสินะ…..?”


 


“เทศกาลนี้มีความสำคัญต่อศึกผู้สืบทอด ถึงยังไงมันก็มีรางวัลเป็นถึงตำแหน่งทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จหล่ะนะ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกพี่ๆของข้าไม่อยากจะเสียตำแหน่งนี้ให้ใครไป และแน่นอนว่าพวกเขาจะจัดการผู้เข้าแข่งขันทุกคน แม้กระทั่งข้าด้วย”


 


“แบบนั้นมัน…..”


 


“ในเมื่อเจ้าต้องออกไปทำภารกิจอยู่ตลอดเจ้าก็คงจะไม่รู้เรื่องแต่ว่าช่วงนี้, พวกพี่ๆค่อนข้างจะไร้ความปราณี พวกเขายอมใช้แผนการทุกรูปแบบเพื่อให้ได้บัลลังก์ ถึงยังไงพวกเขาก็คงรู้ตัวดีว่าถ้าตัวเองแพ้ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่ พวกเขาจะไม่ยอมแพ้หรือแสดงความอ่อนแอออกมา แม้กระทั่งข้า, ถ้าลีโอไม่ได้กลายเป็นจักรพรรดิก็คงจะถูกฆ่าเหมือนกัน และเนื่องจากการที่คนไร้พลังอำนาจอย่างข้าจู่ๆก็มีอำนาจขึ้นมานั้น, พวกเขาก็เลยหันมาทำเรื่องแบบนั้น ดังนั้นอย่ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย เจ้าแข็งแกร่งเกินไป”


 


พอพูดจบ, เขาก็ทำตัวเย็นชากับเอลน่า


 


ที่ทำแบบนี้มันก็เพื่อเอลน่าด้วย มันคงไม่ใช่เรื่องดีถ้าอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงของบ้านแอมส์เบิร์กอย่างเอลน่ามาสนับสนุนใครซักคน


 


ในอนาคต, พวกพี่ๆของเขาจะต้องหาทางจัดการเอลน่าอย่างแน่นอน คำว่าจัดการที่ว่านี้ไม่ได้จัดการความสามารถของเธอแต่เป็นอำนาจทางการเมืองของเธอ


 


ในอดีตเองก็มีคนบ้านแอมส์เบิร์กถูกจัดการเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่ก้าวเข้ามายุ่งเรื่องการเมือง


 


และมันก็คือเหตุผลที่เอลน่าไม่ควรมาเข้าร่วมในสงครามผู้สืบทอด, ซึ่งเป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิด้วย


 


การได้เธอมานั้นจะทำให้มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน แต่ในทำนองเดียวกันมันก็จะสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งพอๆกันด้วย ดังนั้นการให้เอลน่าอยู่ห่างจากเรื่องนี้จะดีที่สุด, ทั้งในแง่ของอารมณ์และสถานการณ์


 


“……..ข้าขอโทษ”


 


“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่เต็มที่กับเทศกาลก็พอ”


 


“…..อืม”


 


พอพูดจบ, เอลน่าก็เดินคอตกออกจากห้องไป


 


แผ่นหลังของเธอดูโดดเดี่ยวอย่างน่าเหลือเชื่อแต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้


 


นับจากวันนั้น, ประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว


ตอนที่ 12 อุบัติการณ์สึนามิ


 


“เห้อ….! มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย!!”


 


เช้าวันที่สาม แม้ว่าเอลน่าจะรู้สึกเจ็บใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา, แต่เขาคิดว่าแบบนี้แหล่ะดีแล้ว


 


เพราะเรื่องที่คริสต้าพูด, เขาถึงพยายามอยู่ใกล้เคียร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และตอนนี้ก็กำลังมุ่งหน้าลงใต้อยู่ ตั้งแต่ผ่านคืนแรกมานั้น, เอลน่าก็หดหู่อยู่ตลอด เธอไม่คัดค้านการตัดสินใจของเขาเลย และมันก็ไม่มีความรู้สึกเลยว่าเขาจะชนะในการแข่งขันนี้


 


ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ, อัตราการเผชิญหน้ากับมอนส์เตอร์ของพวกเขาในวันที่สองนั้นลดลงอย่างฮวบฮาบ แต่ถ้าพิจารณาจากนิสัยของมอนส์เตอร์แล้ว, นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาหล่ะนะ


 


สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมอนส์เตอร์แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกมันไม่อยากข้องเกี่ยวกับพวกที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง


 


“อัล, พวกเราจะหยุดกันที่นี่หรอ….?”


 


“รอแปบนึงนะ, กำลังคิดอยู่”


 


พอพูดจบ, เขาก็มีความรู้สึกไม่สบายใจที่ว่าเหตุการณ์มันเป็นไปตามที่คำนวณเอาไว้มากเกินไป


 


เนื่องจากการล่าของเอลน่าในวันแรก, มอนส์เตอร์ที่อยู่ระแวกใกล้เคียงจึงมองว่าเธออันตรายและตัดสินใจว่าจะไม่เข้าใกล้เธอ


 


นี่อาจจะเป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไปในหมู่นักผจญภัยแต่สำหรับอัศวินอย่างเอลน่านั้น, มันเป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอ พวกอัศวินอาจจะสามารถกำจัดพวกมอนส์เตอร์ได้แต่ความรู้เกี่ยวกับมอนส์เตอร์ของพวกเขาไม่สามารถเทียบกับนักผจญภัยได้เลย ถ้าเขาอยู่กับกลุ่มนักผจญภัยก็คงจะทำการล่าอย่างระมัดระวังในช่วงแรกและทำให้มั่นใจว่าการล่าวันที่สามนั้นจะเล่นใหญ่ที่สุด


 


เหตุผลที่เขาไม่หยุดพวกอัศวินแม้จะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วก็เพราะเขาหวังให้มันพัฒนาในรูปแบบนี้


 


ตอนนี้, พวกที่เอาชนะมอนส์เตอร์แรงค์ AAA ได้นั้นมีแค่กลุ่มของกอร์ดอน, ลีโอ, แล้วก็กลุ่มของเขา ตั้งแต่เริ่มการแข่งมา, ทั้งสามกลุ่มนี้ก็นำอยู่รวมทั้งกลุ่มของอาร์โนลด์ที่เอาชนะหมาล่าเนื้อมาได้แต่ว่านั่นคงจะเปลี่ยนไปในเร็วๆนี้


 


แม้จะเป็นเช่นนั้น, แต่เขาก็ยังคงมุ่งหน้าลงใต้ต่อ ซึ่งเหตุผลก็เพราะลีโอกับอัศวินของเขาอยู่ทางใต้ ถ้ามอนส์เตอร์กำลังหนีจากเอลน่า, พวกมันก็จะต้องหนีลงใต้อย่างแน่นอน หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, พวกมอนส์เตอร์กำลังถูกต้อนไปหาลีโอ


 


ในตอนที่เขาวางแผนนี้ขึ้นมา, ตอนแรกเขาคิดว่าจะต้อนมอนส์เตอร์ไปหาลีโอในฐานซิลเวอร์แต่ตอนนี้เขาลองเอามาใช้กับเอลน่าดู และก็ต้องขอบคุณแผนนี้, ลีโอถึงสามารถจัดการมอนส์เตอร์แรงค์ AAA ได้


 


วิธีการที่แน่นอนที่สุดสำหรับกลุ่มพวกเขาก็คือการเอาชนะด้วยตัวเองแต่ถึงอย่างนั้นการให้ลีโอเป็นผู้ชนะจะดีที่สุด เพราะผลการแข่งวันแรก, เขาก็เลยช่วยลีโอแบบนี้เพราะมันมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะชนะในการแข่งเนื่องจากความสำเร็จในการจัดการหมาล่าเนื้อ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไปได้ดีเกินไป


 


ถ้าลีโอจัดการมอนส์เตอร์คลาส AAA ได้อีกมันก็คงจะสมบูรณ์แบบแต่เขาคิดว่ามันคงจะเป็นการหวังมากเกินไปหล่ะมั้ง?


 


ภาคีอัศวินหลวงระดับหัวหน้านั้นสามารถเอาชนะมอนส์เตอร์คลาส AAA ได้ อย่างไรก็ตาม, คนที่จะจัดการมันได้อย่างสบายๆนั้นก็คงจะมีแค่หัวหน้าระดับสูงเท่านั้น ถ้าลีโอไม่สามารถจัดการพวกมันได้การต้อนมอนส์เตอร์ไปหาเขาก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร


 


ยิ่งไปกว่านั้น,


 


“ใกล้ถึงเวลาที่จะเคลื่อนไหวกันแล้วสินะ…..”


 


“อัล…….?”


 


“อ้ะ? ขอโทษที ข้ากำลังคิดว่าพี่เอริคกับพีซานดร้ากำลังวางแผนทำอะไรแปลกๆอยู่รึเปล่า…….”


 


“รู้สึกเราจะไม่เจอมอนส์เตอร์แรงค์ AAA อีกเลย, ถึงแม้จะอยู่ฝั่งตะวันออกแต่มีคนเจอแค่สามกลุ่มแบบนี้ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน”


 


“ก็จริงนะ……”


 


“หะ, หัวหน้าครับ! องค์ชาย! ชะ, ช่วยดูนี่หน่อยครับ!”


 


ในตอนที่เขากำลังพูดกับเอลน่า, อัศวินคนนึงก็เข้ามาขัดแล้วเอาผลึกแก้วให้ดูอยากลุกลี้ลุกลน


 


สิ่งที่สะท้อนอยู่ในนั้นก็คืออันดับ ณ ปัจจุบัน


 


พวกเขาตกไปอยู่ที่สอง ส่วนคนที่ไต่ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งก็คือเจ้าชายลำดับห้า, คาร์ลอส เลคส์ แอดเลอร์


 


“นี่มันหมายความว่ายังไง?”


 


“จะ, จู่ๆอันดับมันก็เปลี่ยนครับนายหญิง…..บางทีเขาคงเอาชนะมอนส์เตอร์คลาส AAA ได้สองตัวในเวลาเดียวกัน…….”


 


“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทางทำได้หรอกเว้นเสียแต่ว่าจะเป็นนักผจญภัยแรงค์ SS หรือหัวหน้าระดับสูง! หัวหน้าที่ถูกส่งไปให้องค์ชายคาร์ลอสคือหัวหน้าหน่วยเจ็ดนี่ ข้าไม่ได้จะว่าเขาอ่อนแอนะแต่ระดับเขาทำแบบนั้นไม่ไหวหรอก”


 


“อาจจะไม่ใช่การต่อสู้ตรงๆก็ได้ พวกนั้นอาจจะจัดการมอนส์เตอร์ตอนที่พวกมันกำลังหลับหรือสู้กันเองอยู่ มันมีความเป็นไปได้ตั้งหลายอย่าง”


 


“มันจะบังเอิญได้ขนาดนั้นเลยหรอ!?”


 


เอาเถอะ, มันก็ธรรมดาหล่ะที่จะคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นไปแล้ว


 


อย่างนี้เองสินะ สุดท้ายเจ้าคงทนไม่ไหวและในที่สุดก็โผล่หางออกมา ตอนแรกข้าก็กังวลอยู่ว่าจะมีเรื่องใหญ่กว่านี้แต่ถ้าเป็นคาร์ลอสข้าก็เชื่อแหล่ะ เจ้านั่นมันโง่ดังนั้นต้องมีคนหลอกใช้เขาแน่ๆ


 


เจ้าชายลำดับห้าคาร์ลอสมีอายุ 23 ปี เขาเป็นคนที่ไม่มีลักษณะเด่นอะไรเลย เขาไม่เคยถูกพูดถึงในเรื่องที่ดีหรือเรื่องที่แย่ อย่างไรก็ตาม, เขามักจะพูดถึงความฝันของเขาในการได้เป็นผู้กล้า


 


การควบคุมเขาไม่ใช่เรื่องยากถ้าสามารถกระตุ้นความปราถนานี้ของเขาได้


 


“ถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหล่ะ? หรือว่าจะมีการเล่นสกปรก?”


 


“นั่นมัน….”


 


“ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เส้นตายคือจนกว่าจะหมดคืนของวันที่สาม พวกเราจะทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน”


 


พอพูดจบ, เขาก็แทบจะตัดใจเรื่องการหามอนส์เตอร์แล้ว


 


ขอโทษด้วยนะแต่ไม่มีมอนส์เตอร์ที่เอลน่าเข้าใกล้แล้วจะไม่วิ่งหนีหรอก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะกลับไปอยู่จุดเดิม


 


อย่างไรก็ตาม, เขาไม่ได้สนใจคาร์ลอสมาตั้งแต่แรกแล้ว


 


ท่านทวดบอกว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่การชนะในเทศกาลนี้ ซึ่งนี่เป็นความเห็นจากคนที่เคยเอาชนะในสงครามผู้สืบทอดที่เต็มไปด้วยกลอุบายต่างๆนาๆและกลายเป็นจักรพรรดิได้ เขามีเครดิตมากพอที่จะทำให้ควรเชื่อในความคิดเห็นของเขา


 


แถมยังมีฝันร้ายที่คริสต้าเห็นอีก


 


ถ้าเชื่อในฝันร้ายของเธอว่าเคียร์จะถูกมอนส์เตอร์ล้อม, เขาก็คงคิดได้แค่กรณีที่เลวร้ายที่สุด


 


แน่นอนว่า, เคียร์นั้นมีกองอัศวินรักษาการณ์คอยคุ้มกันอยู่แต่ตอนนี้อัศวินหลวงที่มีหน้าที่คุ้มกันจักรพรรดิถูกส่งมาอยู่กับพวกลูกๆของเขา ตอนนี้เขาอยู่ในจุดที่โดนโจมตีง่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


คนที่อยู่ใกล้เคียร์นั้นมีแค่เขา, ลีโอแล้วก็คาร์ลอส ส่วนคนอื่นๆกำลังออกห่างจากเคียร์ไปเรื่อยๆในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นี้


 


 เขาคงวางแผนว่าจะช่วยจักรพรรดิก็เลยตั้งใจอยู่ให้ใกล้เมืองหลวงสินะ เจ้าคาร์ลอสนั่น


 


เขาเป็นคนโง่แต่เขาก็ไม่ควรคิดว่าแผนมันจะดำเนินไปได้โดยไม่ติดขัดอะไร


 


“ขอร้องนะ, ช่วยทำตัวให้ฉลาดกว่านี้หน่อยเถอะ…….”


 


ด้วยการพึมพำเบาๆ, เขาก็ภาวนาต่อสวรรค์ขอให้พี่ชายของเขาฉลาดกว่านี้


 


ในตอนนั้นเองพื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมา


 


คนแรกที่รู้สึกตัวก็คือเอลน่า


 


“อย่าบอกนะว่า….นี่คือ”


 


“เอลน่า! เกิดอะไรขึ้น!?”


 


เขาลงจากม้าที่ตื่นตระหนกแล้วถามเอลน่า


 


มีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆแต่เขาไม่พบอะไรจากจุดที่เขาอยู่เลย แถมเขายังใช้เวทมนตร์ต่อหน้าเอลน่าไม่ได้อีก


 


ที่นี่เขาคงทำได้แค่พึ่งพาเธอ


 


เอลน่าลงจากม้าแล้วเอาหูแนบกับพื้นดิน


 


จากนั้นเธอก็ค่อยๆลุกขึ้นมา


 


“…มีฝูงมอนส์เตอร์จำนวนมากกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ….มันคือ ‘สึนามิ’”


 


“ ‘สึนามิ’ หรอ….?”


 


“ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมอนส์เตอร์นั้น, จะมีบางครั้งที่การเคลื่อนย้ายของมอนส์เตอร์ทับซ้อนกันจนกลายเป็นการเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ขึ้นมา……เพราะพวกเราต้อนมอนส์เตอร์ทางฝั่งตะวันออกมาเกินไปตอนนี้พวกมันก็เลยกำลังหนีไปรวบกัน, ไม่ผิดแน่….!”


 


แบบนี้นี่เอง พอจะเข้าใจแผนแล้วหล่ะ


 


การอ้างแบบนี้คงฟังดูมีเหตุผลที่สุดแล้ว, และมันก็ง่ายที่จะอธิบายที่มาของปรากฎการณ์แบบนี้ด้วย


 


แถมมันยังก็ดีกว่าการเอาเรื่องขลุ่ยที่สามารถควบคุมมอนส์เตอร์ได้ขึ้นมาพูดอย่างแน่นอน บางทีคาร์ลอสก็น่าจะใช้คำอธิบายนี้เหมือนกัน


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าให้นักผจญภัยอย่างเขาออกความเห็น, มันถือเป็นเรื่องแปลกที่มอนส์เตอร์กำลังหนีไปยังทิศทางเดียวกันในเวลาพร้อมกันแบบนี้ คำว่า ‘สึนามิ’ นั้นเกี่ยวข้องกับการปะทุของภูเขาไฟ, พายุขนาดยักษ์, และภัยธรรมชาติต่างๆ ในจุดนี้, คนๆเดียวที่สามารถเปรียบเทียบกับสิ่งแบบนั้นได้ก็คือเอลน่า มันคงจะเป็นอีกเรื่องนึงถ้าพวกมันกำลังหนีจากเธอแต่เสียงเท้านั้นใกล้มาก มันดูผิดธรรมชาติเกินไปที่พวกมันมองข้ามเธอแบบนี้


 


“พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน?”


 


“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป….ข้าคิดว่ามันคงจะไปถึงเคียร์ในเร็วๆนี้…..”


 


“คิดว่าอัศวินที่คอยรักษาการณ์อยู่ในเคียร์จะรับมือกับพวกมันไหวไหม?”


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก…..ผู้บัญชาการอัศวินกำลังออกไปรับเหล่าสนมจากเมืองหลวงของจักรวรรดิเพื่องานประกาศผลในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่คอยคุ้มกันองค์จักรพรรดิ….พวกเขาไม่น่าจะรับมือไหวหรอก…..”


 


ถ้าจะให้หนีกลับไปเมืองหลวงก็คงจะได้


 


ด้วยกำลังทหารที่มีอยู่นั้นคงจะทำการหลบหนีได้สำเร็จ แต่ว่า, การทำแบบนั้นมันไม่มีความหมายอะไร


 


เทศกาลนี้มีจุดมุ่งหมายคือการลดความไม่พอใจของฝั่งตะวันออก, ถ้าตัวจักรพรรดิหนีไปแล้วทิ้งให้เคียร์เจอกับสึนามิมอนส์เตอร์, ผู้คนก็จะรู้สึกไม่พอใจยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน


 


อย่างเลวร้ายที่สุด, มันอาจจะทำให้เกิดการก่อกบฎได้เลย และถ้าเรื่องมันไปไกลถึงขั้นนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังคาร์ลอสก็จะเป็นผู้ชนะ


 


ถ้ามีสงครามขึ้นมามันก็จะสามารถสร้างความสำเร็จให้ตัวเองได้ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นฝีมือของเอริคหรือกอร์ดอน, มันก็คือแผนการที่ไม่ห่วงความปลอดภัยของผู้คนเลย


 


ถ้าชนะสงครามผู้สืบทอดแล้วได้เป็นจักรพรรดิ, เจ้าพวกนั้นจะต้องมีหน้าที่คอยปกป้องประชาชนนะ….


 


“ว่าแล้วเชียวจะยอมให้เจ้าพวกนั้นเป็นจักรพรรดิไม่ได้จริงๆด้วย…”


 


“อัล?”


 


“….เอลน่า ถ้าข้าบอกให้เจ้าไปช่วยเคียร์จะทำได้ไหม?”


 


“….แน่นอน, ถึงยังไงการปกป้ององค์จักรพรรดิและประชาชนก็เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”


 


“ทั้งๆที่เจ้าไม่รู้จำนวนมอนส์เตอร์เนี่ยนะ เจ้าอาจจะตายก็ได้รู้ไหม?”


 


“ข้าไม่กลัวความตายหรอก”


 


“…..นั่นรวมถึงคนที่เหลือด้วยรึเปล่า?”


 


“ครับ, องค์ชาย! พวกข้าจะปกป้องให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม!”


 


“พวกเราจะช่วยเคียร์ให้ได้อย่างแน่นอนครับ!”


 


ลูกน้องของเอลน่านั้นมีแต่คนที่กล้าหาญ


 


ไม่กลัวความตาย, เอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยง คำพวกนี้ล้วนเป็นคำที่เขาเกลียดทั้งนั้น


 


เขาไม่อยากได้ยินคำพูดเห็นแก่ตัวพวกนี้


 


“…สาบานมาอย่างนึง เอลน่า จงสาบานกับดาบของตัวเองซะ”


 


“เอ๋…..? สาบานอะไรหรอ?”


 


“จงมีชีวิตอยู่ คนที่เหลือก็ด้วย ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมสาบานแบบนี้ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าเคลื่อนไหวโดยเด็ดขาด”


 


“อัล…..”


 


เอลน่าพึมพำชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเธอก็คุกเข่าลงพร้อมกับปักดาบบนพื้น, และเอาหน้าผากจรดฝักดาบ ลูกน้องของเธอเองก็ทำตามเหมือนกัน


 


“ข้า, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก แห่งภาคีอัศวินหลวงขอสาบานกับดาบของข้า, ข้าจะไม่เอาชีวิตไปทิ้งโดยเด็ดขาด”


 


คนที่เหลือเองก็สาบานเหมือนกัน


 


ด้วยสิ่งนี้, ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว


 


“เอาหล่ะ, ไปกันเถอะ! อัล! แต่ว่าจำนวนของมอนส์เตอร์ไม่ใช่น้อยๆพวกเราอาจจะพลิกสถานการณ์ไม่ไหวก็ได้นะ……..”


 


“ไม่…ข้าไปด้วยก็เป็นแค่ตัวภาระ พวกเจ้าไปกันเองเลย”


 


ในตอนที่พูดจบเขาก็ฝืนถอดกำไลออกมา กำไลนี้มีกฏอยู่ว่าห้ามถอดออก, แต่ในเมื่อเขาถอดออกแล้วก็ถือว่าทำผิดกฏและต้องถูกตัดสิทธิไป


 


“อะ, อัล….?”


 


“แย่จัง, ข้าทำกำไลหลุดซะแล้ว ถ้างั้นก็คงทำไรไม่ได้แล้วหล่ะ, ข้านี่มันซุ่มซ่ามจริงๆ ในเมื่อมันหลุดออกมาแล้ว, ข้าก็คงต้องไปหาอะไรดื่มที่เมืองใกล้ๆสินะ”


 


“ทำไมกัน….พวกเรายังมีโอกาสตีโต้กลับมาได้นะ!? ทำไมถึงทำแบบนี้!?”


 


“ข้าหมดคุณสมบัติแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ ข้าไม่ได้หมดคุณสมบัติเพราะพวกเจ้าเดินออกห่างจากข้า ข้าทำให้ตัวเองหมดคุณสมบัติเอง ดังนั้นไม่ต้องกังวลหรอก”


 


ถ้าเขาสั่งให้พวกอัศวินแยกจากเขาที่นี่อย่างเดียวพวกเขาก็จะลังเล ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะกำจัดเมล็ดพันธุ์แห่งความลังเลทิ้งซะ


 


เมื่อเทียบกับชีวิตของจักรพรรดิและประชาชนของเคียร์แล้ว, อันดับในงานเทศกาลก็เป็นแค่ความสำคัญที่รองลงมา


 


“อัล….เจ้านี่มัน…..”


 


“บอกท่านพ่อของข้าไปแบบนี้นะ, ข้าเป็นคนทำกำไลพังเอง”


 


เนื่องจากให้คำสาบานกับองค์จักรพรรดิไปแล้วว่า, อัศวินจะไม่ทิ้งเจ้าชาย, แม้ว่านั่นจะเป็นคำสั่งของเจ้าชายก็ตาม


 


ดังนั้นถ้าเขาถอดกำไลออกเองมันก็จะถือเป็นความรับผิดชอบของเขา


 


การทำแบบนี้จะทำให้คนอื่นไม่สามารถโทษอัศวินได้ เอาเถอะ, ถ้าพวกเขาสามารถช่วยเคียร์ได้มันก็คงจะไม่มีปัญหาแบบนั้นหรอก แต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ต้องคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่พวกอัศวินล้มเหลวด้วย ถ้าพวกเขาล้มเหลวการกล่าวโทษก็จะเริ่มขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่ๆ


 


บางทีเธอน่าจะเดาเจตนาของเขาออก, เอลน่าทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้


 


อัศวินคนอื่นๆเองก็คอตกไปตามๆกัน


 


ด้วยเหตุนี้เอง, เขาจึงพูดกับพวกอัศวิน


 


“อัศวินทุกคน, จงฝั่งคำสั่งของข้า”


 


“…..”


 


“จงไปช่วยองค์จักรพรรดิและประชาชนของเคียร์ ข้าไม่สนใจว่าเมืองจะเสียหายหนักแค่ไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิตของประชาชนที่นั่น”


 


“พวกเรายินดี….น้อมรับคำสั่งขององค์ชายครับ/ค่ะ”


 


“อ้อแล้วก็, คริสต้ากับฟีเน่ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน, ตอนนี้สองคนนั้นคงกำลังหวาดกลัวอยู่ช่วยทำอะไรซักอย่างให้หน่อยนะ”


 


“ค่ะองค์ชาย ข้าจะ…ข้าจะนำลูกน้องบางส่วนไปช่วยพวกเธอด้วยตัวเองค่ะ”


 


เอลน่าตอบกลับด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งสิ้นหวัง, ไร้หนทาง, และเศร้าโศก


 


พวกอัศวินคนอื่นๆเองก็เหมือนกัน


 


ในระหว่างนั้น, เซบาสก็ปรากฎตัวขึ้นข้างหลังเขาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง


 


“เรื่องพาองค์ชายกลับนั้นไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง ทุกท่านไม่ต้องห่วงนะครับ”


 


“เซบาส…ทำไมถึงได้…..”


 


“ข้าก็แค่ห่วงชีวิตของเจ้านายครับ เพราะฉะนั้นช่วยฝากองค์ชายไว้กับข้าเถอะนะครับ, ท่านเอลน่า”


 


เอลน่าที่ถูกบอกว่าไม่มีความจำเป็นต้องมาคอยเป็นผู้คุ้มกันดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อย เธออาจจะเก็บไปคิดก็ได้ว่าตัวเองไม่ได้รับอนุญาตให้ปกป้องเขาด้วยซ้ำ แต่ถึงมันจะไม่ใช่แบบนั้นเขาก็ไม่มีเวลามาแก้ความเข้าใจผิดของเธออยู่ดี


 


อย่างไรก็ตาม, สมกับที่เป็นถึงอัศวิน พวกเขาทุกคนเริ่มเตรียมม้าของตัวเองแล้ว


 


จากนั้นในตอนที่พวกเขากำลังออกเดินทาง, เขาก็พูดบอกลาพวกเขา


 


“อัศวิน ‘ของข้า’ ข้าขอฝากทุกอย่างเอาไว้กับพวกเจ้านะ มีแค่พวกเจ้าเท่านั้นที่ทำได้”


 


ในตอนที่เธอได้ยินคำนี้ดวงตาของเอลน่าก็เริ่มมีน้ำตาคลอ


 


อย่างไรก็ตาม, เธอชักดาบออกมาแล้วสะบัดมันออก


 


“ข้าอัศวินหลวง, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก จะตอบสนองความปราถนาขององค์ชายให้สำเร็จให้จงได้! ข้าขอสาบานต่อดาบและชื่อของข้า, ข้าจะกำจัดศัตรูทั้งหมดและช่วยเหลือเคียร์!”


 


“ดีมาก, ขอฝากเจ้าด้วยนะ”


 


หลังจากนั้น, เอลน่ากับอัศวินของเธอก็ออกเดินทางด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ


 


ในตอนที่เขาขี่ม้าร่วมเดินทางกับพวกอัศวินก็รู้สึกว่าพวกเขาเร็วแล้วแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะออมความเร็วเอาไว้เยอะเลย


 


พอพวกเขาหายไป


 


เขาก็พูดกับพ่อบ้านเพียงหนึ่งเดียวของเขา


 


“เซบาส”


 


“ครับองค์ชาย”


 


“เตรียมตัวซะ นับจากนี้ไป มันถึงเวลาที่จะต้องเคลื่อนไหวอย่างลับๆแล้ว”


 


“รับทราบครับ”


 


ด้วยการสวมเสื้อคลุมสีดำและหน้ากากเงินตามปกติ, เขาก็เทเลพอร์ทไปในฐานะซิลเวอร์


ตอนที่ 13 : ค่าหัวคลาส S


 


“ฝ่าบาท! หนีไปเถอะครับ!”


 


“ข้าจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น เตรียมตัวป้องกันซะ”


 


ในตอนที่จักรพรรดิโยฮันเนส เลคส์ แอดเลอร์ได้รับแจ้งว่ากำลังมีสึนามิมอนส์เตอร์พุ่งเข้ามา, เขาก็เลือกที่จะอยู่


 


เขาห่วงประชาชนของเขาหรอ……แน่นอนว่าไม่ใช่แบบนั้น อารมณ์ส่วนตัวพวกนั้นถูกปิดผนึกไปตั้งแต่ตอนที่เขาได้เป็นจักรพรรดิแล้ว เขาก็แค่ประเมินแล้วว่าถ้าเขาหนีจากเหตุการณ์นี้จะนำไปสู่การจราจลหรืออาจถึงขั้นก่อกบฎในฝั่งตะวันออกเท่านั้นเอง


 


เพื่อการนี้เอง, โยฮันเนสจึงสั่งอัศวินหลวงที่อยู่กับเขาเพียงน้อยนิดไปประจำการที่กำแพงเมืองของเคียร์และแต่งตั้งผู้บัญชาการขึ้นมาคนนึง จากนั้นเขาก็สวมชุดเกราะ, และหยิบดาบมุ่งไปที่แนวหน้าด้วยตัวเอง


 


“พวกเจ้าทุกคน! เราจะไม่ปล่อยให้ชาวตะวันออกต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป! พวกเราจะช่วยทุกคนต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของเราก็ตาม!!”


 


ด้วยความที่จักรพรรดิออกมายืนแนวหน้าด้วยตัวเอง, ขวัญกำลังใจจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก


 


อย่างไรก็ตาม, มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับฝูงมอนส์เตอร์ที่ถาโถมเข้ามาเป็นระลอก


 


ฝูงมอนส์เตอร์นั้นเข้ามาจากทางฝั่งตะวันออกของเคียร์อย่างต่อเนื่อง, และพื้นที่นอกกำแพงเมืองก็เต็มไปด้วยมอนส์เตอร์อย่างรวดเร็ว กองกำลังรักษาการณ์ที่เหลืออยู่ต้องต่อสู้กับมอนส์เตอร์ที่กำลังเดือดพล่าน, และไร้สติที่กำลังเคลื่อนมาทางเคียร์อย่างไม่หยุดหย่อน


 


ตัวโยฮันเนสเองก็ใช้ดาบจัดการมอนส์ไปได้หลายตัวแต่อีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่า


 


มีอัศวินสามพันคนอยู่ในกองกำลังป้องกันอย่างไรก็ตามจำนวนของมอนส์เตอร์นั้นเยอะกว่าเกือบสามเท่า


 


พอเห็นเหล่าอัศวินของเขาต้องตายไปที่ละคนสองคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้, โยฮันเนสก็เดาะลิ้น พวกเขาเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เขาควรจะหนีแต่ถ้าเขาหนีศัตรูก็จะไม่ได้มีแค่มอนส์เตอร์


 


ในขณะที่โยฮันเนสพยายามหาทางทำอะไรซักอย่าง


 


เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากบนฟ้า


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!! ดูสิ ดูนั่นสิ! ท่านพี่! จักรพรรดิกำลังทำหน้ากระอักกระอ่วนหล่ะ!”


 


“นั่นสินะ, น้องชาย นี่เป็นภาพที่น่าขบขันจริงๆ”


 


พอได้ยินเสียงหัวเราะอย่างกระทันหัน, โยฮันเนสก็จ้องไปที่ท้องฟ้า


 


ที่นั่นเขาเห็นคนอยู่สองคน


 


คนนึงเป็นผู้ชายผมสีเงิน เขามีลักษณะตัวที่เล็กและกำลังหัวเราะอย่างใสซื่อเหมือนกับเด็กๆ


 


ส่วนอีกคนนึงมีผมบลอนด์ยาว ผู้ชายรูปร่างดีคนนี้กำลังยิ้มออกมาเล็กน้อยในขณะที่เหลือบมองจักรพรรดิ


 


ลักษณะที่พวกเขาทั้งคู่มีเหมือนกันก็คือผิวที่ซีดจนผิดปกติและความงดงาม


 


“พวกเจ้าเป็นใคร?”


 


“ข้าแซม”


 


“ส่วนข้าดีน”


 


จักพรรดิคุ้นเคยกับชื่อของพวกเขาดี


 


จากนั้น, ในตอนที่จักรพรรดิเห็นเขี้ยวที่เป็นลักษณะเฉพาะในปากของพวกเขา, เขาก็หัวเราะออกมา


 


พวกนี้คือหนึ่งในเผ่าครึ่งมนุษย์ที่มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ในทวีปนี้ มันคือลักษณะเฉพาะของแวมไพร์


 


มีอายุยืนและแข็งแกร่ง, พวกแวมไพร์นั้นปกครองส่วนนึงของทวีปโดยใช้กลุ่มแวมไพร์ไม่กี่กลุ่มในการสร้างประเทศของพวกเขาขึ้นมา


 


พวกเขาเคยถูกพิจารณาว่าเป็นมอนส์เตอร์, และในอดีตก็เคยมีเรื่องขัดแย้งกับมนุษย์ แต่ตอนนี้, พวกเขามีข้อตกลงไม่แทรกแซงและแทบจะไม่ปรากฎตัวต่อหน้ามนุษย์เลย


 


อย่างไรก็ตาม, ในขณะเดียวกันนั้นก็มีคู่หูคู่หนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในกลุ่มมนุษย์


 


“มันเป็นเรื่องเล่าที่ข้าได้ฟังมาจากบรรพบุรุษ….มันเคยมีคู่หูแวมไพร์ที่ทำเรื่องชั่วร้ายและถูกขับไล่ออกมาจากกลุ่มของตัวเอง กิลด์นักผจญภัยได้ตั้งค่าหัวแวมไพร์คู่นี้ด้วย ถ้าข้าจำไม่ผิด, ชื่อของคู่หูนั้นก็คือแซมกับดีน กลุ่มสองคนที่ถูกกำหนดให้เป็นมอนส์เตอร์คลาส S มันเป็นพวกเจ้าเองสินะ?”


 


“ใช่,  พวกข้าเองแหล่ะ!”


 


“การที่กิลด์นักผจญภัยเอาพวกข้าไปรวมกับพวกมอนส์เตอร์ชั้นต่ำคือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ พวกข้าจะไม่มีวันยกโทษให้กับการดูหมิ่นเช่นนี้ และแน่นอนว่า, รวมถึงพวกที่ให้การสนับสนุนด้วย”


 


“หืม? เป็นความแค้นที่ไม่เคยจางหายสินะ บรรพบุรุษของข้าไม่อยู่ในโลกนี้ตั้งนานแล้ว พวกเจ้าก็เลยวางแผนมาแก้แค้นข้าแทนงั้นสิ?”


 


“ใช่แล้ว! ถึงยังไงมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบางและตายง่ายจนเกินไป!”


 


“พวกข้าตัดใจเรื่องการแก้แค้นกับตัวการจริงๆไปตั้งนานแล้ว ถึงยังไงช่วงชีวิตของพวกเรามันก็แตกต่างกันเกินไป และนี่ก็เป็นสาเหตุที่พวกข้าตัดสินใจมาล้างแค้นลูกหลานและผู้สืบทอดของเจ้าพวกนั้นแทน”


 


พอได้ยินพวกเขาบอกว่าจะล้างแค้นจักรวรรดิทั้งหมด, โยฮันเนสก็เดาะลิ้น โดยปกติเขาคงจะพูดตอบโต้กลับไปแต่สถานการณ์ในตอนนี้บ่งบอกว่าสาเหตุของสึนามินั้นก็คือสองคนนี้


 


เขากำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกับสึนามิ, และตอนนี้ก็มีศัตรูเป็นแวมไพร์คลาส S ปรากฎตัวมาเพิ่มอีก, ถ้าเป็นแบบนี้โยฮันเนสคงรับมือด้วยตัวเองไม่ไหวแน่


 


ขอแค่มีอัศวินหลวงที่เขาภาคภูมิใจอยู่ใกล้ๆหล่ะก็นะ


 


เขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่แต่เขาได้ส่งพวกอัศวินที่เขาภาคภูมิใจไปให้กับลูกๆแล้ว


 


พวกเขาอยู่ห่างจากเคียร์และต่อให้พวกเขาตอบสนองในทันที, พวกที่จะกลับมาหาเขาได้ก็คงจะมีอยู่แค่ส่วนนี้


 


“เอาหล่ะตอนนี้, ถ้าเจ้าอยากจะพูดอะไรที่ดูยิ่งใหญ่เหมือนที่จักรพรรดิเขาทำกัน, ก็เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว ถึงยังไงข้าก็ตั้งใจจะดูดเลือดของเจ้าให้แห้งเป็นมัมมี่แล้วเอาศพไปโยนที่เมืองหลวงของจักรวรรดิอยู่ดี!”


 


“เหอะ! ถ้าเจ้ากล้าก็ลองดู! ต่อให้ข้าตาย, จักรวรรดินี้ก็ยังไม่จบสิ้นหรอก! พวกระดับสูงของจักรวรรดิของข้าจะตามล่าพวกเจ้า! ถ้าเจ้าไม่กลัวเรื่องนั้นก็เข้ามาจัดการข้าได้เลย!”


 


“ข้ารับรู้ถึงความมุ่งมั่นของเจ้าแล้ว แต่ไม่ว่าเจ้าจะเห่าหอนอะไรออกมามันก็เปลี่ยนความจริงที่ตอนนี้เจ้ากำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไม่ได้หรอกนะ”


 


ดีนยกมือขวาขึ้นมา


 


พลังเวทย์ได้มารวมกันในมือของเขาและลูกบอลสีดำก็ปรากฎขึ้น มันแตกต่างจากเวทมนตร์ที่มนุษย์ใช้ มันคือการโจมตีด้วยเวทมนตร์ที่มีแค่แวมไพร์ที่ครอบครองพลังเวทย์อันมหาศาลเท่านั้นที่จะใช้ได้”


 


“จงเสียใจที่มาเป็นศัตรูกับพวกข้าแล้วตายไปซะ!!”


 


ก้อนพลังเวทย์ถูกโยนใส่โยฮันเนส


 


จากนั้นดีนก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาเพราะเขามั่นใจในชัยชนะของเขา แต่ว่ารอยยิ้มนั้นก็เปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บในทันที


 


ก่อนที่ก้อนพลังเวทย์จะโดนโยฮันเนส, มันก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน


 


“—ปลอดภัยใช่ไหมคะ? ฝ่าบาท”


 


“อ้าว…เอลน่า, ข้าดีใจที่เจ้ามานะ แต่เจ้าไม่ได้ปกป้องอาร์โนลด์อยู่หรอ?”


 


“…ขออภัยด้วยค่ะ ข้าไม่สามารถขัดคำสั่งของท่านโดยตรงได้เพราะงั้น…..”


 


ในตอนที่เห็นสีหน้าหดหู่ของเอลน่า, โยฮันเนสก็พอจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น


 


ถ้าเธอขี่ม้ามาพร้อมกับอาร์โนลด์, เธอคงจะมาไม่ทันเวลาแน่ๆ


 


อย่างไรก็ตาม, พอเห็นเอลน่าเป็นแบบนี้, โยฮันเนสก็เผยรอยยิ้มออกมา


 


“ข้ารู้สึกดีใจนะที่ได้เห็นลูกชายของข้าโตขึ้นมาเป็นแบบนี้ ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ, เอลน่า”


 


“ฝ่าบาท….ขะ..ข้า……”


 


“อาร์โนลด์เป็นคนส่งเจ้ามา และเจ้าก็ตอบสนองต่อความรู้สึกของเขาและสามารถมาได้ทันเวลา นี่มันทำให้ข้ามีความสุขจริงๆ เรื่องพูดคุยเอาไว้แค่นี้เถอะ, เจ้าช่วยแสดงให้ข้าเห็นหน่อยได้ไหมว่าเจ้าเติบโตขึ้นแค่ไหนแล้ว?”


 


เอลน่าพยักหน้าให้กับคำขอของโยฮันเนส


 


จากนั้นเธอก็มองตรงไปที่ศัตรูทั้งสองแล้วตั้งท่าเตรียมจู่โจม


 


“ตามประสงค์ค่ะ, ฝ่าบาท ข้าจะแสดงดาบของบ้านแอมส์เบิร์กให้ท่านได้เห็นเอง!”


 


“หึ! มนุษย์คนเดียวจะไปทำอะไรได้! ข้ารู้จักเจ้า, เจ้าคืออัศวินที่จับคู่กับเจ้าชายไร้ค่า! คงเป็นเพราะเจ้าชายของเจ้าไร้ความสามารถ, มันก็เลยไปได้ไม่ไกลสินะ พอมาคิดว่าถูกพวกไร้ความสามารถแบบนี้มาขัดขวางแผนการของท่านพี่ มันช่างชวนให้รู้สึกเศร้าจริงๆ”


 


“แซม, ห้ามลดการป้องกันลงนะ บ้านแอมส์เบิร์กคือตระกูลของผู้กล้า เราจะเอามาตรฐานของมนุษย์ทั่วไปมาใช้วัดไม่ได้ เจ้าห้ามคิดว่ายัยนั่นเป็นมนุษย์ธรรมดาเชียวหล่ะ”


 


ดีนเตือน, แต่ดูเหมือนว่าแซมจะไม่ใส่ใจกับคำเตือนนี้เลย


 


อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่เขาเห็นสายตาของเอลน่า, แซมก็เข้าสู่โหมดระวังตัวอย่างเต็มที่


 


“!!???”


 


ร่างกายของแซมชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


เขายืนอยู่บนเคียวที่สร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์ของเขาแล้วถอยห่างจากเอลน่าเล็กน้อย นี่มันคือการพยายามหนีอย่างเห็นได้ชัดแต่แซมไม่ได้รู้สึกตัวเลย


 


ในอีกด้านนึง, เอลน่าได้โจมตีแซมด้วยจิตสังหารแล้วค่อยๆลอยขึ้นไปบนฟ้า


 


สำหรับนักเวทย์ที่มีฝีมือ, เวทมนตร์ที่ทำให้ลอยขึ้นไปบนฟ้านั้นไม่ได้ยากเลย อย่างไรก็ตาม, เวทมนตร์ที่ทำให้เคลื่อนไหวบนฟ้าได้อย่างอิสระนั้นหายาก แต่เอลน่านั้นแม้เธอจะไม่ใช่นักเวทย์เธอก็ไปถึงขั้นนั้นแล้ว


 


บ้านแอมส์เบิร์กไม่เคยขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับการต่อสู้เลย


 


และในจุดนี้เอง แซมก็ได้ไปเหยียบโดนกับระเบิดของอัจฉริยะจากบ้านแอมส์เบิร์กเข้าให้แล้ว


 


“เจ้าพึ่งจะพูดเรื่องที่ข้าเกลียดที่สุดออกมา…..เจ้ากล้าพูดแบบนั้นต่อหน้าข้าได้ยังไง! ข้าจะพิพากษาเจ้า เตรียมรับมือให้ดี!”


 


“! อย่ามาดูถูกข้านะมนุษย์!!!!”


 


หลังจากนั้นในทันที, แซมก็โจมตีเอลน่าด้วยเคียวของเขา


 


อย่างไรก็ตาม, เอลน่าหลบเคียวของเขาได้และสวนกลับในทันที


 


แซมสามารถรับการโจมตีได้ด้วยเคียวของเขาแต่การโจมตีมันรุนแรงกว่าที่คิดเขาก็เลยหันไปมองพี่ชาย


 


“สมกับเป็นอัจฉริยะจากบ้านแอมส์เบิร์ก ข้าเข้าใจแล้วหล่ะว่าทำไมผู้คนถึงเรียกเจ้าว่าผู้กล้าของยุคนี้ แต่ว่า, พวกข้าจะทำให้เจ้าเสียใจเองที่วันนี้เจ้าเลือกมาเป็นศัตรูกับแวมไพร์อย่างพวกเรา!”


 


ดีนเข้าร่วมการต่อสู้


 


ทั้งสามคนปะทะกันเหนือน่านฟ้าของเมืองเคียรือย่างรุนแรง


 


ข้างใต้นั้น, จักรพรรดิกำลังตะโกนเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับกองกำลังของเขา กำลังเสริมจากอัศวินหน่วยที่สามของเอลน่านั้นช่วยดันมอนส์เตอร์กลับไปได้เล็กน้อยแต่ดูเหมือนว่ามอนส์เตอร์ที่โจมตีเข้ามานั้นจะไม่มีวันหมดเลย


 


ในสถานการณ์ที่เขาต้องยื้อจนกว่ากำลังเสริมจะมาเพิ่มนี้, มีเจ้าชายองค์นึงปรากฎตัวขึ้น


 


“ท่านพ่อ! คาร์ลอสมาแล้วครับ!! คาร์ลอสผู้นี้กลับมาแล้วครับ, ท่านพ่อ!!”


 


เจ้าชายลำดับห้า, คาร์ลอสอายุ 23 ปี


 


เจ้าชายคนนี้มีผมสีน้ำตาลและมีนิสัยอ่อนโยน, เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องความอ่อนโยนนี้ อย่างไรก็ตาม, เขามีความเป็นคนช่างฝันและต้องการที่จะแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ที่หลักแหลมของเขาเหมือนกับนิทานผู้กล้าสมัยก่อน


 


สำหรับคาร์ลอสนั้น, การรีบมาช่วยพ่อของเขาและได้ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนในช่วงวิกฤติเช่นนี้ถือเป็นการพัฒนาในอุดมคติของเขาเลย


 


มีหลายคนมองมาที่เขาและรู้สึกดีใจกับกำลังเสริม ท่ามกลางความดีใจนี้, คาร์ลอสก็นำทหารของเขาเข้ามาช่วยอย่างเริ่งร่า


 


“ฝ่าบาท! ถอยไปเถอะครับ! มันอันตราย!”


 


“ไม่ต้องห่วงนะครับ! เพราะตอนนี้ข้านี่แหล่ะคือผู้กล้า!”


 


มันเป็นคำพูดที่มาจากความอินในสถานการณ์ แต่มันมีมูลเหตุอยู่


 


ก่อนหน้านี้ไม่นาน, คาร์ลอสได้เจอกับแซมและดีนผ่านชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง แผนของพวกเขาก็คือให้แซมกับดีนสร้างเรื่องขึ้นมาและให้คาร์ลอสเป็นคนเข้ามากอบกู้สถานการณ์ และเพื่อเป็นการตอบแทน, หลังจากที่คาร์ลอสได้เป็นจักรพรรดิ, เขาก็จะส่งคำร้องให้กิลด์นักผจญภัยเพื่อลบค่าหัวของแซมกับดีนออก


 


คาร์ลอสถูกโน้มน้าวให้เชื่อว่าแซมกับดีนมีเหตุผลให้ร่วมมือกับเขา การที่กิลด์ลบค่าหัวออกนั้นมีเกิดขึ้นน้อยมาก อย่างไรก็ตาม, มันก็ยังอยู่ในขอบเขตอำนาจของจักรพรรดิ แม้กระทั่งกิลด์ก็ไม่สามารถมองข้ามความต้องการของจักรพรรดิของจักรวรรดิที่ใหญ่ระดับนี้ได้


 


และนี่ก็เป็นเหตุผลที่คาร์ลอสเชื่อแซมกับดีน ว่าพวกเขาจะถอยในทันทีที่คาร์ลอสปรากฎตัว


 


หลังจากที่เขากำจัดมอนส์เตอร์ที่เหลืออยู่ได้เขาก็จะกลายเป็นมงกุฎราชกุมารและใช้ชีวิตตามความฝันที่จะได้เป็นผู้กล้าของเขา


 


แต่ในตอนนั้นเองคาร์ลอสก็ถูกกระสุนเวทมนตร์ของแซมซัดปลิวไปไกล


 


“ไอ้หมอนั่นมาจริงๆหรอเนี่ย เป็นเจ้าชายที่โง่ชะมัด”


 


“ไม่ต้องไปสนใจแมลงวันตัวเล็กๆแบบนั้นหรอก มีสมาธิกับศัตรูหน่อย! ยัยนั่นกำลังเข้ามาแล้วนะ!”


 


พวกเขาไม่เคยสนใจคาร์ลอสอยู่แล้ว


 


ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มองเขาว่าเป็นคู่หูธุรกิจที่เท่าเทียมกันมาตั้งแต่แรกแล้ว


 


พวกเขาหลอกใช้คาร์ลอส ในทำนองเดียวกันนั้น, ถ้าคาร์ลอสวางแผนใช้งานพวกเขาเขาก็คงจะไม่มาจบแบบนี้ ทั้งหมดมันเป็นเพราะความใสซื่อของเขาที่เชื่อใจสองคนนี้


 


โดยไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะมาเสียใจกับการตัดสินใจของเขา, สติของคาร์ลอสก็ลอยหายไปหลังจากที่เขาถูกโจมตีด้วยกระสุนเวทมนตร์


 


หนึ่งในอัศวินสามารถรับตัวเขาได้แต่บาทแผลของเขานั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต


 


อย่างไรก็ตาม, พวกอัศวินที่มากับคาร์ลอสนั้นถูกกระตุ้นด้วยการปรากฎตัวของเขาเมื่อก่อนหน้านี้และสู้พวกมอนส์เตอร์กลับไปอย่างดุเดือด


 


สิ่งเดียวที่คาร์ลอสทำได้, แม้ว่าจะต้องมาอยู่ในสภาพที่อนาถนี้ก็คือการเปลี่ยนกระแสของการต่อสู้


 


และด้วยเวลาสั้นๆที่อัศวินของคาร์ลอสช่วยถ่วงเอาไว้ให้นี้เอง, สถานการณ์ก็ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย


ตอนที่ 14: อัศวินตะวันออก


 


หลังจากที่แต่งตัวเป็นซิลเวอร์แล้วเขาก็เคลื่อนย้ายไปหาลีโอ


 


อย่างไรก็ตาม, การใช้เวทย์เคลื่อนย้ายไปหาเป้าหมายที่เป็นบุคคลนั้นจะไปได้แค่ตำแหน่งคร่าวๆเพราะเขาไม่สามารถกำหนดตำแหน่งที่แน่นอนได้


 


ด้วยความที่จุดหมายมันคลาดเคลื่อน, เขาก็เริ่มบินไปหาลีโอในขณะที่พัดเมฆที่เกาะกลุ่มกันจนแตกกระจาย


 


เริ่มเคลื่อนไหวในเวลาแบบนี้สินะ, สมกับเป็นลีโอจริงๆ เจ้านั่นกำลังมุ่งหน้าไปที่เคียร์แถมยังเดินทางกับพวกอัศวินด้วยความเร็วสูงสุดด้วย


 


เขาบินลงพื้นที่ระยะห่างออกมาข้างหน้าเล็กน้อยและรอให้ลีโอมาถึง


 


หลังจากผ่านไปซักพัก, ลีโอก็สังเกตุเห็นตัวตนของเขาแล้วสั่งให้ม้าหยุด


 


“….ซิลเวอร์สินะครับ?”


 


“ใช่แล้ว ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ้าชายลีโอนาร์ด”


 


“ตอนนี้ข้าไม่มีเวลามาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แต่การที่เจ้าปรากฎตัวขึ้นในเวลาแบบนี้, ก็แสดงว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อเป็นกำลังเสริมสินะครับ?”


 


“ใช่, นั่นเป็นความตั้งใจของข้า แต่ว่า, เจ้าล้มเลิกเรื่องที่จะรีบไปที่นั่นทั้งแบบนี้เถอะ”


 


“หมายความว่ายังไง?”


 


ลีโอถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างผิดปกติ


 


เขาน่าจะรู้เรื่องสึนามิแล้วและไม่อยากเสียเวลาที่ต้องใช้ในการมุ่งหน้าไปที่เคียร์ อย่างไรก็ตามนี่เองก็เป็นเหตุผลที่เขาเลือกมาปรากฎตัวขึ้นที่นี่


 


เขาไม่สามารถปล่อยให้ลีโอมุ่งหน้าไปหาฝูงมอนส์เตอร์ด้วยอัศวินกลุ่มเล็กๆแบบนี้ได้


 


“ด้วยจำนวนมอนส์เตอร์ที่กำลังโจมตีเคียร์อยู่นี้, ต่อให้เจ้ามีอัศวินหลวงอยู่ด้วย, มันก็ไม่ต่างอะไรจากการเติมน้ำลงบนหินร้อนๆหรอก”


 


“ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หลอกครับ! อย่างน้อยมันก็ฯจะมีซักชีวิตที่พวกข้าสามารถช่วยได้!”


 


“มันเป็นการตัดสินใจที่ฟังดูยิ่งใหญ่ก็จริงแต่เจ้าไม่สามารถช่วยผู้คนได้ด้วยความรู้สึกเพียงอย่างเดียวหรอกนะ พวกอัศวินที่อยู่กับเจ้าก็คงจะรู้ดีใช่ไหม?”


 


ลีโอหันไปมองอัศวินของเขา


 


หลังจากที่เขาได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของพวกอัศวิน, เขาก็หงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย


 


ตรงจุดนี้เองซิลเวอร์ก็พูดต่อ


 


“ในเมื่อสึนามิมันเกิดขึ้นแล้ว, เจ้าก็จำเป็นต้องมีกองทัพเพื่อหยุดมัน”


 


“แล้วจะไปหากองทัพได้ที่ไหนหล่ะ….? เจ้ากำลังจะบอกให้ข้าอยู่ห่างจากเรื่องนี้เพราะข้าทำอะไรไม่ได้รึไง? ท่านพ่อ, น้องสาวและประชาชน, ที่นั่นมีผู้คนที่ข้าต้องปกป้องอยู่! ถ้าข้าละเลยพวกเขาข้าก็คงไม่สามารถอภัยให้ตัวเองได้!”


 


“เห้อ….ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าทอดทิ้งพวกเขาซักหน่อย ข้าก็แค่จะบอกให้เจ้าเตรียมตัวให้ดีก่อนจะไป”


 


“…..?”


 


ลีโอกำลังฉุนเฉียวแต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดวกไปวนมาของเขาลีโอก็ค่อยๆใจเย็นลง


 


ในที่สุด, เขาก็ตัดเข้าประเด็นหลัก


 


“เจ้าชายลีโอนาร์ด, อัศวินของตะวันออกไม่ได้มีแค่อัศวินหลวงที่อยู่รอบตัวเจ้านะ”


 


“….เจ้ากำลังบอกให้ข้าขอความช่วยเหลือจากลอร์ดในพื้นที่นี้หรอ?”


 


“ช่างเป็นข้อเสนอที่โง่จริงๆ! จะใช้อัศวินที่อยู่ภายใต้การดูแลของลอร์ดท้องถิ่นเนี่ยนะ, ต่อให้เป็นคำสั่งของเจ้าชายมันก็ยังเกินอำนาจอยู่ดี! และถึงแม้พวกเขาจะหลับหูหลับตาและยกอัศวินให้, เจ้าคิดว่ามันต้องใช้เวลากี่วันกันกว่าจะรวบรวมอัศวินพวกนี้ได้!”


 


หัวหน้าอัศวินพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด


 


เขาคงคิดว่าข้อเสนอแบบนี้มันดูเป็นไปไม่ได้ เอาเถอะ, มันก็จริงที่ต้องใช้เวลาหลายวันในการระดมกำลังจากอัศวินพวกนั้น


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้มันจะดูเป็นไปไม่ได้แต่สำหรับเขานั้น, เขาสามารถทำให้มันกลายเป็นจริงได้


 


“เรื่องวิธีเดี๋ยวข้าจัดการเอง คำถามก็คือเจ้าชายจะเอาด้วยรึเปล่า แต่ว่าเจ้าอาจจะถูกตำหนิหลังจากที่เรื่องทุกอย่างจบลงได้ เจ้าจะยอมรับความเสี่ยงนั้นไหม? เจ้าจริงจังแค่ไหนในตอนที่บอกว่าอยากช่วยครอบครัวและประชาชนของเจ้า?”


 


“….ถ้าข้าช่วยพวกเขาได้ข้าก็ไม่สนใจเรื่องตำแหน่งของข้าหรอก เจ้าสามารถระดมพวกอัศวินภายใต้ชื่อของข้าได้เลย เพราะงั้นบอกมาซิเจ้าจะทำยังไง”


 


“องค์ชายครับ!?”


 


“นี่มันเรื่องเร่งด่วน ถ้าเพื่อปกป้ององค์จักรพรรดิแล้ว, ข้าสามารถทนได้ทุกอย่าง ไม่มีปัญหาหรอก เอาหล่ะซิลเวอร์, บอกมาซิว่าข้าจะช่วยพวกเขาได้ยังไง”


 


“….เป็นความมุ่งมั่นที่ยอดเยี่ยมมาก ส่วนวิธีการนั้นก็ง่ายๆ ข้าจะใช้เวทย์เคลื่อนย้ายเพื่อเปิดประตูบนเนินเขาใกล้ๆกับเคียร์ ด้วยการใช้ประตูพวกนี้, เจ้าก็จะพูดคุยกับพวกเขาได้ เจ้าแค่อธิบายให้พวกอัศวินและชี้ทางพวกเขามาที่ประตูก็พอ”


 


มันเป็นวิธีการที่ดูน่าขบขัน


 


หลักฐานที่ว่าเขาเป็นเจ้าชายจริงๆก็ไม่มี, เขาต้องโน้มน้าวอัศวินที่กำลังสับสนอยู่ให้กระโจนเข้ามาในประตูเวทมนตร์ที่ดูน่าสงสัย


 


เจ้านายโดยตรงของพวกเขาก็คือลอร์ด ถ้าลอร์ดของพวกเขาสั่งไม่ให้พวกเขาทำทุกอย่างก็จะจบลง


 


พูดง่ายๆก็คือแผนการนี้ขึ้นอยู่กับลีโอทั้งหมด


 


ถ้าเขารวบรวมอัศวินมาได้แค่เล็กน้อยเขาก็จะสูญเสียเวลาและพลังเวทย์อันมีค่าไปเปล่าๆ


 


อย่างไรก็ตาม, มันยังคุ้มที่จะลอง เทศกาลยังคงดำเนินอยู่


 


คาร์ลอสที่เป็นที่หนึ่งน่าจะหมดคุณสมบัติไปแล้วเช่นเดียวกับเขาที่เป็นที่สอง ตอนนี้ที่สามคู่ก็คือลีโอกับกอร์ดอน ถ้าเขาสามารถระดมกำลังอัศวินและล่าพวกมอนส์เตอร์ได้เขาก็น่าจะเป็นผู้ชนะ ยิ่งไปกว่านั้น, ด้วยการจัดระเบียบพวกอัศวินที่กำลังสับสนพวกเขาก็จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ในเวลาเดียวกัน


 


ปัญหาเดียวในตอนนี้ก็คือเคียร์จะทนจนกว่าจะถึงตอนนั้นไหวรึเปล่า นี่คือสาเหตุที่เขาส่งเอลน่าไปที่นั่น ซึ่งฝั่งนั้นน่าจะไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตาม, ถ้าสถานการณ์มันยากลำบากถึงขนาดที่เอลน่ายังรับมือไม่ค่อยไหว, การที่ลีโอบุกเข้าไปด้วยอัศวินจำนวนเท่านี้มันก็คงไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไรเลย


 


“เจ้ามัวลังเลอะไรอยู่? ไม่มั่นใจหรอ?”


 


“ใช่…..ข้าไม่ได้มีความมั่นใจขนาดนั้นหรอก แต่, ข้าจะลองดู ถ้าท่านพี่อยู่ด้วยเขาก็คงจะบอกให้ข้าลองเหมือนกัน”


 


“ข้านึกภาพเจ้าชายไร้ค่าทำแบบนั้นไม่ออกเลย”


 


“เจ้าก็แค่ไม่รู้จักเขา การตัดสินใจของท่านพี่นั้นโดดเด่นจริงๆ แม้กระทั่งตอนนี้, เขาก็ต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไปแล้วแน่ๆ”


 


พอได้ยินแบบนี้, ดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ


 


ไม่นึกเลยนะว่าลีโอจะคิดกับเราแบบนี้


 


แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรนะ


 


“เข้าใจแล้วหล่ะ…. ถ้างั้นมาลองกัน”


 


พอพูดจบเขาก็ผสานมือของตัวเองเข้าด้วยกัน สิ่งที่เขากำลังจะใช้ในตอนนี้ไม่ใช่เวทย์เคลื่อนย้ายที่เข้าใช้กับตัวเอง มันคือเวทมนตร์ที่จะเปิดรูให้คนอื่นผ่านเข้ามาได้


 


หลังจากผ่านไปครู่นึง, รูที่เชื่อมต่อกับเนินเขาก็สำเร็จ มันใหญ่พอที่จะให้คนประมาณสิบคนเข้ามาได้ในครั้งเดียว


 


อย่างไรก็ตามรูที่ดูไม่เสถียรแบบนี้คงไม่ใช่สิ่งที่จะมีใครอยากกระโดดเข้าไปหรอก ดังนั้น, เขาก็เลยกระโดดเข้าไปคนแรก


 


จากนั้นโดยไร้ซึ่งความลังเล, ลีโอก็ตามมาพร้อมกับพวกอัศวินคนอื่นๆ


 


ในรูเวทย์เคลื่อนย้ายนั้นทัศนิวัสัยจะถูกบิดเบือนไปพักนึงแต่หลังจากนั้นก็จะมาโผล่บนเนินเขา


 


“นี่คือเวทย์เคลื่อนย้ายสินะ….”


 


“ของจริงมันหลังจากนี้ต่างหาก


 


หลังจากที่พูดจบ, ซิลเวอร์ก็เปิดรูที่เหมือนกันนี้อีกเจ็ดรูในเมืองใหญ่ๆเจ็ดเมืองที่อยู่รอบเคียร์


 


ตอนนี้, ทุกอย่างขึ้นอยู่กับลีโอแล้ว


 


“ข้าใช้เวทย์ขยายเสียงกับเจ้าแล้ว เจ้าเริ่มพูดได้เลย”


 


“…อัศวินของฝั่งตะวันออกที่ได้ยินเสียงของข้า, ขอร้องหล่ะช่วยฟังข้าหน่อย ข้าคือลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ เจ้าชายลำดับแปดของจักรวรรดินี้”


 


ลีโอพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ


 


เขารู้ว่าเขาจะล้มเหลวไม่ได้ โดยไม่เร่งรีบ, เขาก็พยามทำให้มั่นใจว่าทุกคนจะได้ยินคำพูดของเขาอย่างถูกต้องชัดเจน


 


 


ลีโอดูเยือกเย็นมาก นี่อาจจะได้ผลก็ได้นะ


 


“ณ ตอนนี้, มีสึนามิเกิดขึ้นในตะวันออกและเคียร์ก็อยู่ท่ามกลางเส้นทางของมัน, พวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตราย ตอนนี้, ข้ากำลังรวบรวมอัศวินที่พร้อมจะไปที่นั่นกับข้า ถ้าพวกเจ้าได้ยินเสียงของข้า, ข้าอยากให้พวกเจ้าเข้ามาในรูเวทย์เคลื่อนย้ายที่อยู่ใกล้ๆแล้วเข้าร่วมกับเข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากลอร์ดของพวกเจ้า ข้าอยากให้พวกเจ้าตัดสินใจด้วยตัวเอง และข้าจะเป็นคนแบกรับความรับผิดชอบทั้งหมดเอาไว้เอง”


 


แม้ว่าสุนทรพจน์จะจบลงแล้ว, แต่ลีโอก็ยังสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วชักดาบออกมา


 


จากนั้นเขาก็ประกาศด้วยน้ำเสียงที่ทั้งดังและฟังดูน่าปลาบปลื้ม


 


“เพื่อปกป้องเคียร์! อัศวินที่ยังมีหัวใจอยู่! อัศวินที่ยังมีความกล้าอยู่! เหล่าผู้ที่มีอุดมคติเดียวกับข้า, จงมาเข้าร่วมกับข้า!! ข้าคาดหวังในการตัดสินใจของพวกเจ้า!”


 


ในตอนที่ลีโอพูดคำประกาศสุดท้ายนั้น, เขาดูเหมือนกับองค์จักรพรรดิตอนที่อยู่บนสนามรบเลย


 


อัศวินหลวงที่อยู่ข้างกายเขาต้องได้รับผลกระทบด้วยแน่ๆ, พวกเขากำลังจ้องลีโอด้วยความหวั่นเกรง


 


อย่างไรก็ตาม, ลีโอนั้นแค่กำลังจ้องไปที่รูด้วยสีหน้าจริงจัง


 


มันไม่มีใครออกมาเลย


 


ในตอนที่เขาคิดว่าล้มเหลวแล้ว ชายหนุ่มคนนึงก็ปรากฎตัวขึ้นจากรูแห่งนึง


 


ชายหนุ่มคนนี้รู้สึกประหลาดใจเพราะเป็นครั้งแรกที่เข้ามาในเวทย์เคลื่อนย้ายแต่ในตอนที่เขาได้เห็นลีโอ, เขาก็รีบลงจากม้าและก้มหัวลง


 


“ข้าชื่อฮานส์, อัศวินแห่งเฮซเซ่น! ขอรายงานตัวครับ! ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมกับท่าน, เจ้าชายลีโอนาร์ด!”


 


“ขอบใจนะ, ฮานส์ ข้าซาบซึ้งมาก”


 


“ไม่หรอกครับ! ข้าต่างหากหล่ะที่ควรจะซาบซึ้ง! ตั้งแต่ที่ข้าได้ยินว่าองค์ชายกำลังออกเยี่ยมหมู่บ้านต่างๆ, ข้าก็หวังที่จะได้ต่อสู้ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านครับ, เจ้าชายลีโอนาร์ด!! และคนที่คิดแบบนั้นก็ไม่ได้มีแค่ข้า! ตอนนี้พวกเขากำลังรวมตัวกันอยู่! ช่วยรอหน่อยนะครับ!”


 


สิ่งที่ดึงดูดสายตาของผู้คนและเรียกรวมพวกเขาได้อย่างเป็นธรรมชาตินั้นก็คือความสามารถพิเศษ


 


ตอนนี้, ด้วยคำจำกัดความนี้, ลีโอเองก็มีความสามารถนั้นเหมือนกัน


 


ผ่านรู, พวกอัศวินค่อยๆมารวมกันเรื่อยๆ


 


และท้ายที่สุด


 


“ข้าชื่อโฟลเกอร์, ลอร์ดแห่งอูล์ม! ข้าพาอัศวินมาเข้าร่วมกับท่านจำนวน 500 นายครับ, องค์ชาย!”


 


มีชายแก่ขี่ม้าคนนึงปรากฎตัวขึ้น


 


เขาต้องอายุเกินหกสิบแล้วแน่ๆ ร่างกายของเขานั้นยังดูแข็งแรงดีอยู่แต่ด้วยผมและหนวดสีขาวของเขามันทำให้พวกเขารู้สึกกังวล


 


“โฟลเกอร์, ข้ารู้สึกยินดีที่ท่านเข้าร่วมกับพวกข้าแต่ท่านจะไหวแน่นะ?”


 


“ข้ามีทั้งหัวใจและความกล้า! ท่านมีอะไรไม่พอใจรึเปล่าครับ!”


 


“….ไม่หรอก, ถ้าท่านคิดว่าไหวข้าเองก็ไม่ว่าอะไร ขอบใจที่เข้าร่วมกับเรานะ ท่านสามารถบุกโจมตีกับข้าได้ ข้าคงต้องหวังพึ่งท่านแล้วหล่ะ”


 


ในขณะที่มองสายตาอันกล้าแข็งของโฟลเกอร์, ลีโอก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


บางทีมันอาจจะทำให้เขาประหลาดใจ, โฟลเกอร์เบิกตากว้างแล้วตอบกลับในทันทีด้วยเสียงดังลั่น


 


“ฮ่า, ฮ่าฮ่า! ขอให้ข้าได้แสดงพลังให้ท่านเห็นเถอะครับ!”


 


“ข้าคาดหวังอยู่นะ”


 


อัศวินตะวันออกค่อยๆมารวมตัวกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ, ตอนนี้จำนวนของพวกเขาเกินสามพันแล้ว พวกอาจจะไม่เป็นระเบียบแต่ขวัญกำลังใจของพวกเขาสูงมากเพราะพวกเขาไม่ได้มารวมตัวที่นี่เพราะคำสั่งของคนอื่น, แต่มาจากความตั้งใจของตัวเอง


 


พอเห็นพวกเขา, อาร์โนลด์ก็รู้สึกโล่งใจ


 


ด้วยกองทัพนี้, มันก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว


 


“ซิลเวอร์, ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะ”


 


“ข้าก็แค่ทำเพื่อผู้คนในฐานะนักผจญภัย และมันก็ยังเร็วเกินไปด้วยที่จะขอบคุณข้า เจ้าค่อยมาขอบคุณหลังจากที่พวกเราช่วยเคียร์ได้เถอะ เอาหล่ะ, ข้าจะล่วงหน้าไปก่อนนะ”


 


พอพูดจบ, เขาก็เคลื่อนย้ายไปเคียร์ด้วยเวทย์เคลื่อนย้าย


 


ที่นั่น, เขาเห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อจากบนฟ้า


ตอนที่ 15 ขุนนาง

“น่ากลัวจังเลย…..!”


 


“ไม่เป็นไรนะคะองค์หญิง อีกไม่นานพวกอัศวินก็มาถึงแล้วค่ะ”


 


ข้างในคฤหาสน์, ฟีเน่พยายามปลอบคริสต้าด้วยการลูบผมของเธออย่างอ่อนโยน


 


ในตอนนี้เองคนรับใช้ก็เข้ามาหาฟีเน่ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ


 


“ทะ, ท่านฟีเน่คะ….คือว่า….”


 


“อะไรหรอ?”


 


“คือว่า….พวกชาวเมืองกำลังเรียกร้องขอเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ค่ะ…….”


 


จักรพรรดิห้ามไม่ให้พวกเขาออกมาจากบ้านของตัวเอง


 


อย่างไรก็ตาม, มันเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกกังวลถ้ามีการต่อสู้เกิดขึ้นใกล้ๆดังนั้นพวกเขาจึงอยากจะขอลี้ภัยเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ของลอร์ด


 


ฟีเน่ไม่ได้คิดจะโทษพวกเขาสำหรับเรื่องนี้


 


“แล้วภรรยาท่านขุนนางหล่ะ?”


 


“เธอไม่สามารถตัดสินใจได้ค่ะ, เธอบอกว่าให้องค์หญิงคริสต้ากับท่านฟีเน่ตัดสินใจได้เลย….”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ….องค์หญิงคะ, จะเอายังไงดีคะ…..”


 


“….ข้าไม่รู้……ข้ากลัวจังเลย….”


 


คริสต้าจับเสื้อของฟีเน่แน่นด้วยความกังวล


 


พอเห็นแบบนี้ฟีเน่ก็จับมือเล็กๆของเธอ, แล้วตอบกลับไป


 


ตอนนี้ลอร์ดกำลังต่อสู้เคียงข้างองค์จักรพรรดิ ภรรยาของลอร์ดไม่สามารถตัดสินใจได้เพราะตอนนี้ความเห็นของคริสต้าใหญ่ที่สุด


 


“เข้าใจค่ะ….แล้ว, องค์หญิงจะละทิ้งผู้คนที่มีความรู้สึกเหมือนองค์หญิงหรอคะ?”


 


“ทำแบบนั้น….ไม่ได้หรอก….”


 


“ทำไมหล่ะคะ?”


 


“…เดี๋ยวท่านพี่จะโกรธเอา”


 


“ใช่ค่ะ, องค์ชายคงจะโกรธแน่ ถ้างั้นตอนนี้เอาแบบนี้ดีไหมคะ, พวกเราจะรับคนแก่, เด็ก, แล้วก็คนป่วยเข้ามาในคฤหาสน์ก่อน?”


 


“เอาแบบนั้นก็ได้….”


 


“ข้าจะออกไปข้างนอกซักพักนึง องค์หญิงอยู่คนเดียวได้ใช่ไหมคะ? ตอนนี้ทุกคนกำลังกังวลอยู่, ข้าจะไปช่วยให้พวกเขาสงบใจลงบ้าง”


 


“…..อืม…..”


 


คริสต้ายังคงดูเศร้าโศกแต่ฟีเน่ก็พาเธอไปนั่งด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเธอก็ออกจากห้องไปหลังจากที่บอกให้คนใช้คอยดูแลคริสต้า


 


ฟีเน่นั้นได้มุ่งหน้าไปที่ทางเข้า


 


ที่นั่นเธอเห็นอัศวินกำลังชักดาบใส่ประชาชนอยู่


 


“รีบๆกลับไปที่ม้าของพวกเจ้าซะ! ไม่ได้ยินคำสั่งขององค์จักรพรรดิรึไง!?”


 


“ข้าขอหล่ะ! ให้พวกเราเข้าไปเถอะนะ!”


 


“นี่พวกเจ้า!”


 


“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะคะ!”


 


ด้วยความที่อยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนไหว, ฟีเน่จึงตะโกนสั่งพวกอัศวิน


 


แม้ว่าตัวฟีเน่เองนั้นจะเป็นลูกสาวของดยุค, แต่เธอก็เป็นที่รู้จักเนื่องจากชื่อเสียงในฐานะเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน, ชื่อที่จักรพรรดิเป็นคนตั้งให้ด้วยตัวเองและเธอก็ถูกปฏิบัติเหมือนกับส่วนหนึ่งของราชวงศ์


 


ณ จุดๆนี้, เสียงของราชวงศ์ถือว่ามีน้ำหนักมากที่สุด ดังนั้น, พวกอัศวินจึงลดดาบลงและขุกเข่าในทันที


 


“ทะ, ท่านฟีเน่…..”


 


“สิ่งที่พวกเจ้าควรชี้ดาบใส่นั้นไม่สมควรจะเป็นประชาชนหรอกนะ, ถูกไหม?”


 


“ครับ, เป็นดังที่ท่านว่า โปรดยกโทษให้กับความหยาบคายของพวกข้าด้วย…..”


 


ด้วยความพึงพอใจกับคำตอบของพวกเขา, ฟีเน่ก็มองไปยังฝูงชนที่อยู่หน้าประตู


 


จำนวนของพวกเขานั้นไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อย


 


เธอเห็นทั้งสามัญชนและขุนนางที่มาดูงานเทศกาลเช่นเดียวกับพวกพ่อค้าด้วย แต่ละคนนั้นต่างก็ดูมีสีหน้าเป็นกังวล


 


“ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ พวกท่านคงจะรู้จักข้าดีในฐานะเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน”


 


ในขณะที่พูดเธอก็ชี้ไปยังเครื่องประดับผมนกนางนวลสีน้ำเงินของเธอ


 


มันคือหลักฐานของความสวยชั่วนิรันดร์ที่จักรพรรดิเป็นคนมอบให้ด้วยตัวเอง


 


ผู้คนรู้ดีว่าองค์จักรพรรดินั้นรักและเอ็นดูลูกสาวคนนี้ของดยุคไคลเนลต์เหมือนกับเป็นลูกของตัวเอง


 


อย่างไรก็ตาม, ในฝูงชนนั้น, มีคนหนุ่มบางคนที่ผลักคนอื่นออกมายืนข้างหน้าฝูงชน


 


“โอ้! ท่านฟีเน่ครับ! นี่ข้าเอง! กีโด้!”


 


สำหรับฟีเน่, นี่คือเสียงที่เธอไม่อยากได้ยินมากที่สุด


 


คนที่ทำร้ายอาร์โนลด์, เพื่อนสมัยเด็กของเขาและคนที่เธอไม่สามารถมองข้ามการกระทำได้ กีโด้ ฟ็อน ฮอร์วาธและคณะผู้ติดตามของเขายิ้มออกมาในตอนที่พวกเขาเห็นฟีเน่


 


การที่เขาผลักฝูงชนออกมานั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าในใจของเขาคิดว่าเธอจะให้พวกเขาเข้าไป โดยไม่คิดจะเข้าร่วมการต่อสู้, เขากลับให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองและมองหาที่ซ่อนที่ปลอดภัย


 


ในขณะที่มองพวกเขา, ฟีเน่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าสายเลือดขุนนางในตัวเธอถูกทำให้ด่างพร้อย


 


เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้ในตอนที่มองพ่อของตัวเอง แม้กระทั่งการกระทำของพี่ชายแสนดีของเธอก็ไม่เคยทำให้เธอรู้สึกแบบนี้ การกระทำของกีโด้นั้นมันทำให้คำว่าขุนนางดูไม่มีความหมายไปเลย


 


เพื่อที่จะได้รับความเคารพ, คุณจะต้องทำตัวให้สมควรได้รับมันก่อน


 


นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฟีเน่ไม่สนใจเขา


 


“พวกเราจะรับเด็ก, ผู้สูงอายุและคนป่วยเท่านั้น ส่วนคนที่แข็งแรงดีช่วยไปรวมตัวกันในอาคารหลังใหญ่ที่สุดที่ทุกคนหาได้แล้วสร้างแนวป้องกันที่ทางเข้าเอาไว้นะคะ สึนามิเป็นแค่การเคลื่อนไหวของมอนส์เตอร์กลุ่มใหญ่ พวกมันไม่สนใจชีวิตของมนุษย์หรอกค่ะ ในสถานการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างการมีมอนส์เตอร์เข้ามาในเคียร์นั้น, ทุกอย่างจะไม่เป็นไรค่ะถ้าพวกเรามีเวลาซักพักนึง ตอนนี้ข้าจะเปิดประตูแล้วนะคะ”


 


“ทะ, ท่านฟีเน่ครับ? ข้าเอง! กีโด้! ท่านลืมไปแล้วหรอครับ?”


 


“ข้าจำได้ค่ะ ท่านกีโด้จากบ้านดยุคฮอร์วาธ”


 


“โอ้, ข้าดีใจจริงๆ ถ้างั้นพวกเราเข้าไปได้ใช่ไหมครับ?”


 


พอได้ฟังแต่คำพูดที่สมกับเป็นเขา, ฟีเน่ก็ปรี้ดแตกขึ้นมา


 


ถ้าคิดถึงอาร์โนลด์, ทางเลือกที่ฉลาดก็คงจะเป็นการยอมให้เขาเข้ามา ถึงยังไงการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร


 


อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่เลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น แม้ว่ามันจะขัดกับความต้องการของอาร์โนลด์ก็ตาม


 


ด้วยเหตุนี้เอง


 


“หัดรู้จักอายบ้างสิคะ! นอกจากท่านไม่คิดจะไปสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์จักพรรดิ, ท่านยังเอาแต่มองหาสถานที่ที่รับรองความปลอดภัยของตัวเองอีก! นี่ท่านไม่รู้สึกผิดกับบรรพบุรุษที่สานต่อสายเลือดของบ้านฮอวาร์ธมาจนถึงตอนนี้บ้างเลยหรอ!?”


 


“หา….!? นี่เจ้า! เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน!”


 


“ท่านเป็นใครนั้นไม่สำคัญหรอกค่ะ คนที่จะเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ได้มีแค่เด็ก, ผู้สูงอายุ, และคนป่วยเท่านั้น คนที่นอกเหนือจากนี้ช่วยไปหาที่อื่นอยู่นะคะ นี่คือการตัดสินใจขององค์หญิงคริสต้า ถ้าท่านยืนกรานจะทำให้เสียเวลาไปมากกว่านี้, หลังจบเรื่องท่านก็ไปยื่นอุธรณ์กับองค์จักรพรรดิได้เลยค่ะ แต่เมื่อถึงตอนนั้น, ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่จะถูกลงโทษสำหรับเรื่องนี้, แม้ว่ามันจะชัดเจนสำหรับข้าก็ตาม!”


 


“ชิ….! อย่าลำพองตัวเองให้มากนักกับแค่เพราะมีลีโอนาร์ดคอยหนุนหลังอยู่! จำเอาไว้ให้ดีหล่ะ! ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้าแน่!”


 


พอพูดจบ, กีโด้ก็ออกไปจากคฤหาสน์พร้อมกับผู้ติดตามของเขา


 


หลังจากที่เห็นว่ากีโด้เดินจากไปแล้ว, ฟีเน่ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วสั่งให้อัศวินเปิดประตูด้วยรอยยิ้ม


 


พอได้เห็นการกระทำเมื่อก่อนหน้านี้ของฟีเน่, ผู้คนก็ทิ้งลูกๆ, คนแก่และคนป่วยที่มากับพวกเขาเอาไว้และออกไปโดยไม่ปริปากบ่นอะไร


 


หลังจากที่เธอรับคนเหล่านี้เข้ามาแล้ว, ฟีเน่ก็กลับเข้าไปในคฤหาสน์และสั่งให้คนใช้ทำแนวป้องกันที่ทางเข้า


 


“ช่วยทำแนวป้องกันเอาไว้ให้หนาแน่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ! ในตอนที่มอนส์เตอร์เข้ามาจะได้ช่วยกันยื้อพวกมันได้, มันจะไม่เป็นไรแน่นอนค่ะตราบใดที่พวกเราสามารถยื้อเอาไว้จนกว่าพวกมันจะเปลี่ยนเส้นทางได้”


 


“ครับ! ท่านฟีเน่!”


 


“ท่านฟีเน่คะ! องค์หญิงคริสต้าเรียกหาท่านค่ะ!”


 


“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ทุกคน, ไม่ต้องกลัวนะคะ พวกอัศวินจะมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน”


 


ฟีเน่บอกกับทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์ด้วยอารมณ์ที่สดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


เธอคิดว่าอย่างน้อยเธอก็ต้องเป็นคนที่ยังยิ้มได้ อันที่จริง, นี่คือทั้งหมดที่เธอสามารถทำได้แล้ว


 


ในฐานะลูกสาวของดยุค, เธอสามารถใช้เวทมนตร์ได้อยู่บ้างแต่เธอเก่งแค่เวทย์ฟื้นฟูเท่านั้น เธอไม่สามารถใช้เวทย์โจมตีที่นิยมใช้กันในการต่อสู้ได้


 


เธอไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างเฉิดฉายเหมือนกับเอลน่า


 


เธอรู้สึกเจ็บใจกับเรื่องนี้ เธอออกจากดินแดนของตัวเองมาเพื่อหวังทำประโยชน์ให้กับอาร์โนลด์แต่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่มีประโยชน์กับเขาซักเท่าไหร่เลย


 


สำหรับฟีเน่, การดูแลคริสต้าคืองานแลกที่อาร์โนลด์ขอให้เธอทำ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเธอถึงคิดว่าเธอจะไม่ออกห่างจากคริสต้าไม่ว่ายังไงก็ตาม, แต่ว่า


 


“ถ้าพวกเราไม่ชิงขลุ่ยมาพวกมอนส์เตอร์จะเข้ามาเรื่อยๆ!!”


 


พอเห็นคริสต้ากรีดร้องออกมา, ฟีเน่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


 


มันคือบทสนทนาระหว่างอาร์โนลด์กับคริสต้า


 


คริสต้าบอกว่าเคียร์จะถูกห้อมล้อมด้วยมอนส์เตอร์ และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ


 


ตราบใดที่อาร์โนลด์ให้ความสำคัญกับคำพูดของเธอ, ฟีเน่เองก็ตัดสินว่าเธอต้องเชื่อด้วยเหมือนกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฟีเน่กอดคริสต้าแน่น


 


“องค์หญิง ไม่เป็นไรนะคะ ข้าจะไปชิงขลุ่ยมาให้เอง ท่านบอกได้ไหมว่ามันอยู่ไหน?”


 


“ไม่ได้นะ…เดี๋ยวเจ้าก็ตายหรอก…..”


 


“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าเป็นคนโชคดีอยู่แล้ว และถ้าตกอยู่ในอันตรายจริงๆ, ท่านอัลจะต้องมาช่วยข้าแน่นอนค่ะ”


 


 


“….จริงนะ?”


 


“ค่ะ, จริงๆค่ะ เพราะงั้นช่วยบอกมาเถอะนะคะว่าข้าจะไปหาขลุ่ยนั่นได้ที่ไหน?”


 


“….ข้าเห็นมันกำลังร่วงลงมาจากหอนาฬิกา…..นั่นน่าจะเป็นสาเหตุ……”


 


“เข้าใจแล้วค่ะ ข้าจะไปเอามันมานะคะ”


 


พอพูดจบ, แม้ว่าคนใช้จะคัดค้านแต่ฟีเน่ก็ออกไปยังหอนาฬิกา, ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดที่ใจกลางเมือง


 


ขนาดหอนาฬิกาของเคียร์นั้นแตกต่างจากเมืองอื่นๆ


 


มันมีความสูงหลายเมตรและดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวที่มาเคียร์, มันคือแลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่


 


ฟีเน่วิ่งขึ้นหอนาฬิกานั้นด้วยความเหนื่อยหอบ


 


ในอีกด้านนึง, เอลน่ากำลังต่อสู้กับแซมและดีนอยู่บนฟ้าอย่างสูสี


 


“ชิ! น่ารำคาญชะมัด!”


 


ดีนตัดใจจากการต่อสู้ซึ่งๆหน้ากับเอลน่า มันไม่ใช่ว่าพวกเขาร่วมมือกันแล้วจะเอาชนะเธอไม่ได้แต่มันจะใช้เวลามากเกินไป


 


มันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะใช้วิธีโกง


 


ดีนเอาขลุ่ยเวทมนตร์ที่สามารถสั่งการมอนส์เตอร์ได้(ขลุ่ยฮาเมลุน)ออกมา ถ้าเขาเพิ่มจำนวนมอนส์เตอร์, ในฐานะอัศวินเอลน่าจะต้องไปคุ้มกันจักรพรรดิแน่ๆ


 


และถ้าเป็นแบบนั้น, ดีนกับแซมก็จะเป็นฝ่ายเหนือกว่าเธอ


 


เพื่อที่จะให้มอนส์เตอร์มาที่เคียร์มากขึ้น, ดีนก็เอาขลุ่ยฮาเมลุนมาไว้ที่ปากของเขา อย่างไรก็ตาม, เอลน่ารู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่าเธอไม่สามารถยอมให้เป็นแบบนี้ได้ดังนั้นเธอจึงพุ่งตรงไปโจมตีดีน


 


“ไม่ยอมหรอกหน่า!”


 


“หนอยย!?”


 


ดีนสามารถหลบการโจมตีของเธอได้แต่ขลุ่ยฮาเมลุนกลับหลุดมือของเขาไปและกำลังตกไปที่เมืองเคียร์


 


พอเห็นแบบนี้, ดีนก็รีบไล่ตามมันไป


 


“บ้าจริง!”


 


“กลับมานี่นะ!”


 


 


ขลุ่ยนี้ไม่ใช่ของดีน มันคือสิ่งที่ผู้สนับสนุนของพวกเขาให้มา ด้วยการใช้สิ่งนี้, ดีนจึงสามารถวางแผนดึงคาร์ลอสเข้ามาพัวพันเพื่อสร้างสถานการณ์นี้ได้


 


อย่างไรก็ตาม, ผู้สนับสนุนบอกกับพวกเขาว่าพวกเขาต้องทำลายมันทิ้งหลังจากจบงาน มันคือสัญญาที่พวกเขาให้ไว้กับผู้สนับสนุน


 


หากไม่มีผู้สนับสนุนคนนั้น, มันก็คงจะเป็นเรื่องยากในการหนีหรือแม้กระทั่งเอาตัวรอดจากสถานที่แห่งนี้ การทำลายขลุ่ยนี่เกี่ยวโยงกับความอยู่รอดของพวกเขา


 


และนี่เองก็เป็นสาเหตุที่ดีนไล่ตามมันอย่างไม่ลดละ พอเห็นดีนมีท่าทีแบบนี้, เอลน่าเองก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติและไล่ตามขลุ่ยไป


 


พวกเขาทั้งคู่ปะทะกันบนฟ้าอยู่หลายครั้ง, ซึ่งขลุ่ยก็กำลังร่วงลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว


 


และในตอนที่มันไปถึงหอนาฬิกานั้นเอง, มือสีขาวก็ยื่นออกมาจากหอนาฬิกาแล้วคว้าขลุ่ยเอาไว้


 


“!!?”


 


ฟีเน่ที่รับขลุ่ยที่ตกลงมาอย่างแรงนั้น, สามารถทิ้งร่างลงทางฝั่งหอนาฬิกาได้สำเร็จอย่างพอดิบพอดี


 


เธอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกกับการที่สามารถคว้าขลุ่ยเอาไว้ได้แต่ไม่นานนักเธอก็ได้ยินเสียงแหลมดังมาจากเอลน่า


 


“หนีไปซะ! ฟีเน่!!”


 


ในตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมา, ดีนก็ยิงเวทมนตร์จำนวนมากใส่หอนาฬิกา


 


ซึ่งนี่ก็ทำให้เธอสูญเสียที่ยืนแล้วร่วงลงไป


 


อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่ไม่สนใจเรื่องนั้น


 


เธอรู้ถึงความอันตรายมาตั้งแต่แรกแล้ว นี่คือเหตุผลที่ทำไมฟีเน่ถึงโยนขลุ่ยไปทางเอลน่าที่กำลังมุ่งหน้ามาหาเธอ จากนั้นเธอก็เห็นเอลน่ารับขลุ่ยเอาไว้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ, และเธอก็ยิ้มออกมา


 


 


“เห้อ….ในที่สุดเราก็ได้ทำตัวให้มีประโยชน์บ้างแล้ว”


 


“นังเด็กนี่!!”


 


ด้วยความโกรธ, ดีนยิ่งเวทมนตร์ใส่ฟีเน่ที่กำลังร่วงอยู่


 


เธอไม่มีทางหนีจากเวทมนตร์ที่กำลังพุ่งมาได้เลย


 


“ฟีเนนนน่!!??”


 


เอลน่าตะโกน


 


ด้วยความมั่นใจว่าเธอสามารถฝากฝังอาร์โนลด์ไว้กับเอลน่าได้, ฟีเน่ก็หลับตาลง


 


และในตอนที่เธอทำแบบนั้นเอง, เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างสว่างวาบขึ้นมาจากบนฟ้าแต่ฟีเน่ไม่มีเวลามาสนใจมัน


 


แม้ว่าเธอจะเตรียมเผชิญหน้ากับความตายและหลับตาลงแล้ว, แต่ความเจ็บปวดและแรงกระแทกที่เธอคิดว่ากำลังจะเกิดขึ้นก็ไม่ได้มาถึง


 


มันตรงกันข้ามเลย, เธอกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น


 


ในตอนที่เธอลืมตาออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ, ฟีเน่ก็รู้สึกตัวว่าเธอกำลังอยู่ในอ้อมกอดของนักผจญภัยที่สวมหน้ากากเงิน


 


คำพูดของเธอนั้นได้ถูกความประหลาดใจพรากหายไปจนหมด ที่เธอบอกคริสต้าว่าเขาจะมาช่วยเธอมันก็แค่เพื่อทำให้คริสต้าใจเย็นลง เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะมาช่วยเธอจริงๆ


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ก็มีอีกคนนึงที่ประหลาดใจพอๆกับฟีเน่


 


คนๆนั้นก็คือดีน


 


“หนอย….แกสามารถยกเลิกกระสุนเวทมนตร์ของข้าได้, นี่แกเป็นใครกันแน่…….? บอกชื่อมาซะ!!”


 


“…..นักผจญภัยภายใต้สังกัดกิลด์สาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิ, นักผจญภัยแรงค์ SS, ซิลเวอร์….ข้ามาที่นี่เพื่อเอาชนะเจ้า”


 


หน้ากากเงินและเสื้อคลุมสีดำนั้นคือสัญลักษณ์ของซิลเวอร์


 


นักผจญภัยที่เป็นที่รู้จักในฐานะนักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม