Saikyou Degarashi 115-119

ตอนที่ 115

 

ตอนนี้ถึงเวลาทำตามแผนแล้ว


 


อลัวส์กำลังยืนอยู่หน้าอัศวินและทหารของเขา


 


อัศวินนั้นมีขวัญกำลังในระดับนึงแต่ขวัญกำลังใจของพวกทหารมีน้อยอย่างเห็นได้ชัด


 


เอาเถอะ, มันก็แน่แหล่ะนะ จากมุมมองของพวกเขา, ต่อให้แม่ของเจ้านายพวกเขาจะถูกจับเป็นตัวประกัน, พวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในเมื่อจู่ๆพวกเขาก็ถูกควบรวมเข้าสมาพันธ์อย่างกระทันหัน นอกจากนี้สำนึกในฐานะประชาชนของจักรวรรดิที่อยู่ในตัวพวกเขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย


 


นี่คือสาเหตุที่พวกเขาไม่สามารถทำตัวให้กระตือรือร้นอย่างเต็มที่ในศึกนี้ได้


 


และคนๆเดียวที่สามารถส่งพวกเขาเข้าสู่การต่อสู้ได้,


 


ก็มีแค่อลัวส์เท่านั้น


 


“ขอโทษที่จู่ๆก็เรียกรวมพวกเจ้ามาแบบนี้ แต่มีเรื่องบางอย่างที่ข้าต้องบอกตามตรง…..คนที่ออกคำสั่งลอบสังหารแม่ทัพจักรวรรดิก็คือลุงของข้าเอง ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแต่ข้าคิดว่ากองทัพคงไม่ยอมเชื่อเรื่องนั้นหรอก”


 


“ไม่จริงหน่ะ…..นี่พวกเราต้องสู้กับพวกเขาตรงๆหรอ!?”


 


“ท่านบอกว่าพวกเราแค่ต้องรอจนกว่าสถานการณ์จะสงบลงไม่ใช่หรอครับ!”


 


“ฝั่งนั้นมีเป็นหมื่นเลยนะครับ! พวกเราคงไม่มีโอกาสชนะหรอก!”


 


ทหารส่งเสียงบ่นและแสดงความกังวลของพวกเขาออกมา


 


ด้วยการยอมรับทั้งหมดนั้นด้วยความมุ่งมั่น, อลัวส์ก็ได้พยักหน้าให้พวกเขาอย่างจริงจัง


 


“ข้าตัดสินใจที่จะต่อสู้ ไม่ใช่เพื่อสหพันธ์หรือจักรวรรดิ ข้าจะต่อสู้เพื่อความรับผิดชอบที่ข้าได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ บ้านซิมเมลเป็นเจ้าของดินแดนนี้ ข้ามีหน้าที่ต้องปกป้องผู้คนของเรา ต่อให้พวกเรายอมแพ้, กองทัพก็จะช่วงชิงหลายๆอย่างจากพวกเราเพื่อพิชิตทางใต้ ในฐานะเมืองที่เป็นกบฎกับจักรวรรดิ, ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าพวกเรายอมแพ้, ไม่ว่ายังไงพวกเราก็จะถูกลงโทษอยู่ดี  นี่จะนำไปสู่ความทรุดโทรมของดินแดนเราอย่างแน่นอนและนั่นคืออนาคตเดียวที่พวกเราต้องหลีกเลี่ยง”


 


ถ้าเขาซื่อสัตย์อย่างเต็มที่, เขาก็คงจะบอกว่าเขาอยากต่อสู้เพื่อแม่ของเขา


 


สำหรับเด็กชายอายุสิบสองที่สูญเสียพ่อไป, แม่จะสำคัญกับเขาขนาดไหนหล่ะ?


 


แต่ว่า, อลัวส์ก็ยังควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างเยือกเย็น ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ปกครองของคนเหล่านี้


 


“ฝ่าบาทได้ส่งคณะผู้ส่งสารไปหาดยุคครูเกอร์ ในตอนที่คณะนั้นไปถึงและการเจรจาเริ่มต้นขึ้น, สงครามก็อาจจะไม่เกิดขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของมัน แต่ว่า, ถ้าพวกเราปล่อยให้กองทัพจักรวรรดิผ่านที่นี่ไปได้, การเจรจาก็จะไร้ความหมาย แค่ไม่กี่วันเท่านั้น! พวกเราแค่ต้องยื้อเอาไว้ไม่กี่วันและสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป! ถ้าการเจรจาล้มเหลว, สหพันธ์ก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากส่งกำลังเสริมมาให้พวกเรา ในอีกด้านนึง, ฝ่าบาทเองก็ไม่อยากให้เกิดสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ด้วย เขาจะต้องเข้าหาเมืองที่ต่อต้านอย่างรุนแรง ถ้าพวกเรายอมแพ้ในตอนนั้น, ความเสียหายที่เกิดกับดินแดนของเราก็จะลดลง เพราะฉะนั้น…..ตอนนี้, ข้าจะสู้”


 


ในตอนที่พูด, อลัวส์ก็ชักดาบที่เขาได้รับสืบทอดมาจากพ่อออก


 


จากนั้นเขาก็ประกาศกับอัศวินและทหารของเขาต่อ


 


“ข้าจะไม่ลงโทษใครก็ตามที่อยากหนี ถ้าเจ้าไม่อยากตายด้วยกันกับข้าก็เชิญไปได้เลย ข้าขอโทษด้วยที่ตัวข้าเป็นแค่ผู้ปกครองที่ไร้ค่า…….”


 


หลังจากที่พูดออกไปเช่นนั้น, คนของเขาก็เงียบไปพักนึง


 


ในความเงียบนี้, มีทหารคนนึงส่งเสียงตะโกนออกมา


 


“ไม่ต้องมาคิดแต่งเหตุผลที่ดูสวยหรูแบบนั้นหรอกครับ ถ้าท่านอยากให้พวกเราช่วยเหลือแม่ของท่านก็แค่พูดออกมาก็พอ”


 


เขาเป็นคนที่ค่อนข้างหยาบคาย


 


อายุของเขาประมาณสี่สิบปี


 


ในบรรดาทหารไร้ประสบการณ์, เขาเป็นคนเดียวที่ยังรักษาความเป็นตัวเองเอาไว้ได้อย่างดี


 


เขาน่าจะเป็นอดีตนักผจญภัยที่เกษียณมา


 


และบางทีเขาก็คงจะโดดเด่นมาตั้งแต่แรกแล้ว, เพราะสายตารอบๆได้มารวมกันที่เขาตามธรรมชาติ


 


“คุณยอร์ดัน……”


 


“พูดกับข้ามาตรงๆเถอะนายท่าน ท่านต้องการอะไรกันแน่?”


 


“…..ข้าอยากปกป้องแม่ของข้า….แล้วข้าก็, ข้าอยากปกป้องเมืองนี้ด้วย……”


 


“บรรพบุรุษของท่านคอยดูแลพวกเราทุกคนมาโดยตลอด….แน่นอนว่า, พวกเราอยากตอบแทนเขาด้วยการช่วยเหลือลูกของเขา! ให้ตายสิ, มีเด็กน้อยคนนึงมาพูดกับข้าแบบนี้แล้วจะให้ข้าทนเฉยได้ยังไง! ข้าจะขับไล่พวกทหารจักรวรรดิออกไปจากที่นี่เพื่อท่านเอง!”


 


จากคำพูดของชายที่ชื่อว่ายอร์ดัน, พลังก็ลุกโชนกลับมาในดวงตาของพวกทหาร


 


ความรู้สึกที่อยากจะหนีของพวกเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นกำลังใจที่จะต่อสู้


 


ตอนนี้พวกเขาได้กลายเป็นทหารแล้ว


 


“ใช่แล้ว! พวกเราจะสู้!”


 


“ไว้ใจข้าได้เลย!”


 


ความเชื่อใจที่พวกเขามีให้เอิร์ลซิมเมลทำให้พวกเขากลายเป็นทหาร


 


ขวัญกำลังใจของพวกทหารพรุ่งพรวดในคราเดียวจนทำให้พวกอัศวินพากันตกตะลึง


 


จากนั้นอลัวส์ก็มองฉันด้วยสายตาเริงร่า


 


เอาหล่ะ, เพียงเท่านี้, พวกเราก็ต่อสู้ได้แล้ว


 


“ตอนนี้, ข้าจะเริ่มอธิบายแผนของเราแล้ว!”


 


ด้วยการตามกระแส, โฟ้กท์ก็ตะโกนออกมาเสียงดัง


 


พอได้ยินเสียงของเขา, ขวัญกำลังใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก


 


….


 


“โอ้วววว!!!!!”


 


เสียงกู่ร้องเปิดสงครามดังมาจากอีกฝั่งของประตู


 


ที่มาของเสียงนี้ก็คือการโจมตีแรกของจักรวรรดิที่มารวมกันที่ประตูหลัก


 


ดูเหมือนว่าทัพหน้าของพวกเขาจะไม่ได้พกอาวุธปิดล้อมมาเลย พวกเขาน่าจะทำแบบนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อต้องการจะสร้างภาพว่าพวกเขาเปิดศึกต่อสู้นี้ด้วยความบังเอิญ


 


นี่คือสาเหตุที่พวกเขาจะใช้กลยุทธ์ต่อสู้แบบคลาสสิกซึ่งธนูกับลูกศรจะถูกนำมาใช้เพื่อยิงกดพวกเราในขณะที่มีทหารใช้ค้อนเพื่อทำลายประตูและใช้บันไดลิงพาดมาที่กำแพงเมือง


 


กองกำลังส่วนใหญ่ของพวกเขาจะรวมตัวกันอยู่ที่ประตูหลัก ในการต่อสู้ปกติ, ฝั่งรับนั้นจะมีข้อได้เปรียบในการต่อสู้เช่นนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะมีมือดีมากแค่ไหน, กองทัพก็ไม่มีทหารที่แค่ตัวคนเดียวสามารถลุยเดี่ยวกับพันคนได้และอาวุธรุ่นใหม่ๆส่วนใหญ่ก็ถูกส่งไปที่กองทัพชายแดนหมดเพราะพวกเขามีความสำคัญมากกว่า


 


ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีอาวุธแปลกใหม่ที่สามารถใช้เพื่อเอาชนะความได้เปรียบในการตั้งรับของพวกเราได้


 


นี่คือสาเหตุที่พวกเขาต้องพึ่งเรื่องจำนวน


 


“นี่คุณนักกลยุทธ์, พวกเราจะชนะได้จริงๆหรอ?”


 


ยอร์ดัน, หนึ่งในทหารร้อยคนที่ถูกคัดสรรมาให้ฉันพูดขึ้นในขณะที่เขามองไปทางประตูตะวันออก


 


ป้อมที่อยู่เหนือประตูตะวันออกนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะ


 


เส้นทางที่มุ่งหน้าไปสู่ประตูนั้นไม่ต่างอะไรจากทางลาดเล็กๆเส้นเดียว


 


แต่เดิมแล้วมันคือประตูที่โจมตีได้ยุ่งยากที่สุด


 


ซึ่งมันก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาจะเล็งมาที่ประตูนี้


 


“ถ้าพวกเราคิดผิดก็แค่แก้ด้วยการที่พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังประตูอื่น แต่ก็นะ, พวกเราไม่น่าจะคิดผิดหรอก”


 


“เจ้าไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน?”


 


“มันเป็นการฝึกพื้นฐานของกองทัพจักรวรรดิ โจมตีประตูหลักในขณะที่ส่งอีกหน่วยออกไปโจมตีประตูอื่น พวกเขาจะทำการโจมตีทีเผลอดังนั้นพวกเขาจะโจมตีประตูที่ยากที่สุด, เพราะคาดว่าจากผลกระทบทางด้านจิตใจพวกเราจะนึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะโจมตีประตูแบบนั้น นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้มาก”


 


ในตอนที่ฉันพูดออกมาเช่นนั้น, ศัตรูก็ปรากฎตัวขึ้นที่หน้าประตูตะวันออก


 


จำนวนของพวกเขามีประมาณพันคน พวกเขากำลังตรงมาที่ประตูโดยมีทหารม้าส่วนนึงเป็นแนวหน้าและมีทหารเดินเท้าคอยตามหลังพวกเขา


 


“มาถึงแล้วสินะ ยิงธนูใส่พวกนั้นซะ”


 


“พวกนั้นมาจริงๆด้วย…..น่าเหลือเชื่อจริงๆ…..”


 


ด้วยการทำตามคำแนะนำของฉัน, คนกลุ่มนึงบนกำแพงก็ยิงธนูของพวกเขา


 


เหตุผลที่มีคนอยู่ที่นี่แค่ไม่กี่คนก็เพราะว่ามีทหารแค่กลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่สามารถยิงธนูได้อย่างแม่นยำ และแน่นอนว่า, ศัตรูคงไม่ถูกหยุดด้วยการกระทำเพียงเท่านี้


 


อีกฝ่ายก็ไม่คิดว่าพวกเราจะปล่อยให้ประตูไม่มีคนคุ้มกันอย่างที่คาดเอาไว้


 


การคาดการณ์ของพวกเขาน่าจะชัดเจนขึ้นด้วยลูกศรที่พวกเรายิงไปใส่พวกเขา


 


พอถูกศรดอกแรก, ทหารม้าที่นำพวกเขาก็ล้มลงด้วยเสียงดังสนั่นไปโดนอีกหลายคนที่วิ่งตามมาข้างหลังเขา


 


อย่างไรก็ตาม, พวกเขาไม่ได้หยุด


 


“ลุยเข้าไปต่อ!!”


 


คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของพวกเขาตะโกนลั่นในขณะที่ชักนำพวกเขาบนหลังม้า


 


นักธนูบนกำแพงเริ่มหวาดกลัวแต่ฉันก็บอกให้พวกเขาใจเย็นลงด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ


 


“ไม่ต้องห่วง ยิงต่อไปก็พอ”


 


“ค, ครับ!”


 


“เตรียมการด้านล่างได้เลย”


 


“อา”


 


พอได้ฟังคำแนะนำของฉัน, ยอร์ดันกับคนอื่นๆก็เริ่มไปเฝ้าที่ประตู


 


หลังจากนั้นไม่นาน, พวกทหารที่นำหน้าก็มาถึงประตูแล้วเริ่มโจมตีมันด้วยค้อนของพวกเขา


 


นอกจากนี้พวกเขายังพยายามพาดบันไดขึ้นมาด้วยแต่ก็ถูกนักธนูหยุดเอาไว้ด้วยการผลักตกหรือยิงทหารที่อยู่ด้านล่าง อย่างไรก็ตาม, สถานการณ์เช่นเดียวกันนี้คงนำมาใช้กับประตูที่ค่อยๆถูกค้อนทุบจนแตกออกไม่ได้


 


“ดันเข้าไป! เร็วเข้าทำลายประตูนั่นซะ!”


 


“เหวอ!! ประตูรับไม่ไหวแล้ว!”


 


เสาไม้ที่ติดตั้งเอาไว้เพื่อค้ำประตูเริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด


 


พวกทหารยังพอต้านที่ประตูเอาไว้ได้อยู่แต่ฝ่ายโจมตีนั้นแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด


 


อย่างไรก็ตาม, ทั้งหมดนี้อยู่ในการคาดการณ์ของฉัน


 


พอเห็นว่าได้จังหวะ, ฉันก็ส่งสัญญาณให้ยอร์ดัน


 


ในตอนที่เขาเห็นสัญญาณ, ยอร์ดันก็ทำการอพยพพวกทหารออกจากประตู


 


“ประตูรับไม่ไหวแล้ว! ถอย!!!”


 


“อ้ากกก!!”


 


“หนีเร็ว!!”


 


การหนีของพวกเขานั้นไม่ใช่การแสดง


 


มีแค่ไม่กี่คนที่รู้รายละเอียดของแผนนี้ดังนั้นเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของพวกเขาจึงสมจริง


 


นี่คือสาเหตุที่ทำให้ศัตรูหลงเชื่อได้ง่ายยิ่งขึ้น


 


เชื่อว่าการโจมตีของพวกเขาสำเร็จแล้ว


 


“เอาหล่ะ! ทำลายมันซะ!”


 


ในที่สุดค้อนของพวกเขาก็ทลายประตูได้


 


ในตอนนั้นเอง, ยอร์ดันกับคนอื่นๆที่ถอยกลับไปเมื่อก่อนหน้านี้ก็เขวี้ยงหอกใส่


 


พวกทหารที่พยายามจะฝ่าเข้ามาจู่ๆก็ถูกเสียบแต่ศัตรูไม่ได้กลัวเลย


 


“เห้ย! ไอ้พวกโอหัง! อย่าไปกลัว! บุกเข้าไปเลย!!”


 


 


ด้วยคำสั่งของผู้บัญชาการที่กระตุ้นพวกเขา, หน่วยขนาบข้างก็ฝ่าเข้าประตูตะวันออกพร้อมกันแล้วแห่เข้าไปข้างใน


 


อย่างไรก็ตาม, พวกเขาบุ่มบ่ามเกินไป


 


น้ำมันปริมาณมหาศาลได้ถูกเทกระจัดกระจายอยู่ในประตูและทหารที่รีบเข้ามาก็พากันลื่นล้ม


 


“เหวอ, อะไรกันเนี่ย!?”


 


“เหวอ!!”


 


“น้ำมันหรอ!? มันคือน้ำมันครับท่าน!!”


 


ฉากความวุ่นวายได้เกิดขึ้นข้างในประตูในทันที


 


โชคไม่ดีสำหรับพวกเขา, พวกทหารที่วิ่งเข้ามาข้างหลังพวกเขาถูกแรงผลักอย่างรุนแรงจนถลำเข้ามาในกับดักน้ำมันมากขึ้นไปอีก


 


ในขณะนั้นเอง, ยอร์ดันก็เตรียมคบเพลิงแล้วเดินมาหาฉัน


 


“นี่! คุณนักวางกลยุทธ์! จะให้ลุยเลยไหม!?”


 


“อา, จัดเลย”


 


“รู้ใช้ไหมว่าลมกำลังพัดไปทางตะวันออก!? ไฟมันจะไม่กระจายเข้าไปในเมืองหรอ!?”


 


“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น วันนี้, ในตอนนี้……ลมจะพัดไปทางตะวันออก”


 


“เจ้าแน่ใจนะ!? ก็ได้ข้าไม่สนอะไรแล้ว!!”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ยอร์ดันก็โยนคบเพลิงใส่ทหารที่ตัวโชกไปด้วยน้ำมัน


 


ในตอนนั้นเอง


 


จู่ๆลมก็เปลี่ยนไปทางตะวันออกอย่างกระทันหัน และในตอนที่ไฟสัมผัสกับน้ำมัน, ระเบิดก็ปะทุขึ้น


 


ระเบิดเพลิงขนาดยักษ์ปรากฎขึ้นและลมกรรโชกก็พัดไปทางตะวันออกทำให้เมืองไม่ได้รับผลกระทบ


 


กลับกัน, ไฟได้ปกคลุกคลุมทหารฝั่งจักรวรรดิที่เหลืออยู่ซึ่งเรียงแถวกันตามทางลาดเป็นแถวตอน


 


มันเหมือนกับมีมังกรพึ่งพ่นลมหายใจเพลิงจากประตูตะวันออก


 


ไฟแผดเผาหน่วยขนาบและพวกที่สามารถรอดไปได้อย่างหวุดหวิดก็คือพวกที่อยู่ข้างหลัง


 


ตอนนี้, ผู้รอดชีวิตกำลังง่วนอยู่กับการช่วยเหลือคนที่โดนไฟเผา


 


พวกเขาไม่มีลู่ทางโจมตีพวกเราอีกแล้ว


 


“ถึงผู้รอดชีวิตทุกคน! ข้า, เกราว์, นักกลยุทธ์พเนจรได้มาอยู่ที่นี่เพื่อเมืองเกลเลสแห่งนี้! ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเจ้าคนไหนเหยียบเข้ามาในเมืองนี้! จงไปบอกผู้บัญชาการของพวกเจ้าซะ!”


 


หลังจากที่ฉันพูดไปแบบนั้นฉันก็หัวเราะในขณะที่มองดูพวกทหารหนีไป


 


ในขณะนั้น, ยอร์ดันก็เข้ามาหาฉันด้วยสีหน้าประหลาดใจ


 


“เจ้า….เป็นนักเวทย์หรอ?”


 


“ไม่หรอก, นี่มันการคำนวนล้วนๆ”


 


“จริงดิ……”


 


ในตอนนั้น, ฉันก็แลบลิ้นออกมาภายใต้ฮู้ดคลุม


 


แน่นอน, นั่นคือเวทมนตร์


 


ทิศทางลมคงไม่เปลี่ยนไปตามธรรมชาติในเวลาที่ประจวบเหมาะแบบนั้น


 


อย่างไรก็ตาม, นักกลยุทธ์ที่ใช้แผลการอันแยบยลนั้นน่ากลัวยิ่งกว่านักกลยุทธ์ที่ใช้เวทมนตร์ซะอีก


 


มันไม่มีปัญหาตราบใดที่พวกเขาไม่รู้ว่าฉันใช้เวทมนตร์และเรื่องส่วนใหญ่ก็คงจะผ่านไปได้ถ้าฉันบอกพวกเขาว่าทั้งหมดนี้คือแผนการของฉัน ในการที่จะหลอกศัตรู, ขั้นแรก, มันจำเป็นต้องหลอกพันธมิตรก่อน


 


ในท้ายที่สุดแล้ว, ข่าวลือก็จะแพร่กระจายออกไปแล้วพวกเขาก็จะกลัวฉัน


 


ด้วยสิ่งนี้, กองทัพจักรวรรดิก็จะคิดมาตรการตอบโต้ฉัน ซึ่งนี่จะช่วยซื้อเวลาให้พวกเราและทำให้พวกเขาสูญเสียความเยือกเย็น


 


ถึงยังไง, พวกเขาก็ไม่ค่อยมีเวลามากนัก


 


“เอาหล่ะ, หลังจากนี้ก็ช่วยทำตามแผนต่อไปนะ”


 


“อา, เข้าใจแล้ว ไว้ใจข้าได้เลย”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ยอร์ดันก็เรียกรวมลูกน้องของเขา


 


การเคลื่อนไหวขั้นต่อไปของพวกเราได้รับการตัดสินใจแล้ว


 


ถึงยังไงพวกเราเองก็มีเรื่องที่ต้องเตรียมการล่วงหน้าด้วย


 


“ตอนนี้, ข้าอยากรู้แล้วสิว่าพวกนั้นจะคิดแผนแบบไหนต่อ?”


 


ในขณะที่พูดเช่นนั้น, ฉันก็มองไปยังเมืองหลวงจักรวรรดิ

 

 

 


ตอนที่ 116

 

วันต่อมา, กองทัพได้ยอมตัดใจเรื่องการโจมตีทีเผลอแล้วบุกใส่พวกเราด้วยการโจมตีซึ่งๆหน้า


 


สำหรับผู้บัญชาการของพวกเขา, นี่เป็นแผนที่ชาญฉลาดจริงๆ


 


แบ่งกองทัพออกเป็นสี่กอง, พวกเขาจะล้อมพวกเราและโจมตีใส่ทั้งสีประตู


 


ด้วยวิธีนี้, กองกำลังของพวกเราก็จะต้องกระจายออกไปอีกแม้ว่าจะมีข้อเสียเปรียบด้านจำนวนอยู่แล้วก็ตาม


 


อย่างไรก็ตาม, ผลลัพธ์นั้นต่างออกไป


 


“เหวออออ!!”


 


“ลงนรกไปซะ!!”


 


อัศวินกับทหารของเกลเลสกำลังป้องกันการโจมตีของกองทัพจักรวรรดิด้วยกำลังใจที่เปี่ยมล้น


 


ลูกศรและลูกหินกระหน่ำลงมาใส่กองทัพจักรวรรดิ


 


พวกเราเป็นฝ่ายตั้งรับแต่มันดูเหมือนกับว่าพวกเราเป็นฝ่ายรุกซะมากกว่าด้วยซ้ำ


 


ซึ่งมันไม่หลายเหตุผลสำหรับเหตุการณ์นี้


 


กลยุทธ์ของพวกเขาถูกมองออก, การสูญเสียทหารระดับสูงไปนับพันคน, การโจมตีด้วยไฟเมื่อวาน, และการปรากฎตัวของนักกลยุทธ์ลึกลับที่ควบคุมกระแสการโจมตีนี้


 


พวกนี้คือข่าวลือที่เพิ่มความระแวงและความกังวลในฝั่งทหารจักรวรรดิ


 


มันอาจจะมีกับดักบางอย่างอยู่ใกล้ประตู, หรือไม่พวกเขาก็อาจจะใช้ไฟจุดอะไรบางอย่างอีกก็ได้


 


ความระแวงและความกังวลเช่นนี้ได้บดบังการตัดสินใจของพวกเขา


 


“ทำลายประตูนั่น!”


 


“ครับท่าน!”


 


พอตอบรับคำสั่งของผู้บัญชาการ, พวกทหารก็เคลื่อนที่สู่แนวหน้า


 


อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่พวกเขาเห็นประตู


 


ภาพของทหารโดนเผาที่ถูกหามไปที่ค่ายเมื่อวานก็ผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขา แทนที่จะมุ่งหน้าตรงไปที่ประตู, พวกเขากลับเลือกที่จะไปจากทางด้านข้างแทน


 


อย่างไรก็ตาม, การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นนี้ทำให้พวกทหารกลายเป็นเหยื่อของห่าธนู


 


แต่ว่ามันก็แค่นั้น, ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องกระจายกำลังออกไปให้ครอบคลุมทั้งสี่ประตู, พวกเขาก็ยังคงเป็นทหารระดับสูงที่ต่อสู้กับไพร่พลที่ถูกจับเกณฑ์มา มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้พวกเขาแพ้


 


ดังนั้นต้นเหตุที่ทำให้สถานการณ์ในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นโดยหลักๆแล้วมาจากทางเกลเลส


 


พวกเขาไม่เคยพลาดช่องโหว่วที่เกิดจากความสับสนของทหารอีกฝ่ายนึงและทำตามคำสั่งของผู้บัญชาการอย่างเคร่งครัด พวกเขาแสดงความสามารถที่โดดเด่นในการจดจ่อกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและเคลื่อนไหวด้วยแนวทางที่เหมาะสมที่สุดอยู่ตลอด


 


คุณภาพที่พวกเขาแสดงออกมานั้นทำให้ทุกคนสงสัยว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่เป็นทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี


 


เมื่อรับการโจมตีจากศัตรูระดับนี้อย่างต่อเนื่อง, ความสูญเสียของทางฝั่งจักรวรรดิก็เพิ่มขึ้นในแต่ละประตู, เมื่อตระหนักได้ว่าไม่มีโอกาสที่จะฝ่าเข้าประตูไหนได้เลย, คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการอย่างเลทส์จึงยอมสั่งถอนกำลังชั่วคราวในที่สุด


 


“ทหารฝั่งศัตรูเป็นสัตว์ประหลาดรึไงกัน!?”


 


เลทส์ทุบโต๊ะแล้วตะโกนออกมาในเต้นท์บัญชาการ


 


ความรู้สึกที่อยากจะตะโกนอะไรซักอย่างออกมานั้นได้แบ่งปันกันในหมู่ผู้บัญชาการที่มารวมอยู่ด้วยกันข้างใน


 


พวกเขาคือผู้บัญชาการที่เป็นหัวหน้าการโจมตีในแต่ละประตูซึ่งทำทุกอย่างด้วยพลังที่พวกเขามีเพื่อบุกเข้าไปในเมืองแต่ว่าก็ยังพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า พวกเขาสูญเสียทั้งเวลาและทหารอันล้ำค่าไป


 


พวกเขาทำได้เยี่ยมในช่วงครึ่งแรกแต่ทั้งหมดก็เลวร้ายไปหมดในช่วงครึ่งต่อมา


 


ซึ่งทั้งหมดเป็นเพราะคนๆเดียว


 


“มันเหมือนกับว่าพวกนั้นใช้เวทมนตร์เลย….ทหารฝั่งศัตรูแตกต่างจากพวกที่เราต่อสู้ด้วยเมื่อวานมากเกินไป”


 


“ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีเวทมนตร์ที่สามารถเปลี่ยนทหารมือใหม่เป็นทหารระดับสูงได้นะ…..ข้าพอเข้าใจอยู่ว่าพวกนั้นได้รับความมั่นใจมาจากชัยชนะเมื่อวานและขวัญกำลังใจก็เพิ่มขึ้นแต่ความเปลี่ยนแปลงในวันนี้มันดูน่าเหลือเชื่อเกินไปจริงๆ…..”


 


“อ่านกระแสลมและเปลี่ยนไฟธรรมดาเป็นลมหายใจมังกร…..ความกลัวได้กระจายในกลุ่มทหารของพวกเราเพราะข่าวลือบ้าๆนี่”


 


เลทส์กัดริมฝีปากของเขาเมื่อได้ฟังคำพูดของพวกผู้บัญชาการ


 


แผนเดิมของพวกเขาคือทำการยึดเมืองในทันทีและลุยต่อไปข้างหน้าแต่ในความเป็นจริงนั้น, เขาสูญเสียทหารไปมากมายและพวกเขายังขยับไปไม่ได้ซักก้าว


 


คนจากบ้านซิมเมลที่เตรียมพลแม่นปืนให้พวกเขาก็เงียบกริบดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก่อความวุ่นวายจากภายใน มันแทบจะไม่มีแผนการเหลือให้เลทส์ใช้แล้ว


 


ถ้าเขาไม่สามารถยึดเกลเลสได้, แผนการของกอร์ดอนก็จะถูกทำลายและตัวเลทส์ก็จะตกอยู่ในอันตราย ต่อให้แม่ทัพของพวกเขาถูกลอบสังหาร, แต่จักรพรรดิไม่อยากให้เกิดสงคราม ในเมื่อเขาเปิดการโจมตีกับพวกทางใต้ไปแล้ว, มันก็จะต้องมีบทลงโทษรอเขาอยู่อย่างแน่นอน


 


ยิ่งไปกว่านั้น, โครงสร้างอำนาจในขุมอำนาจของกอร์ดอนจะเปลี่ยนไปด้วย


 


เลทส์มีหลายเรื่องที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายนั่นคือสาเหตุที่เขาต้องทำการตัดสินใจในทันที


 


“ไปเรียกโซเนียมา…..พวกเราต้องใช้นักกลยุทธ์ของเราจัดการอีกฝ่าย”


 


“พวกเราจะไว้ใจยัยครึ่งเอลฟ์นั่นได้จริงๆหรอครับ?”


 


“เธออาจจะต้อนเราจนมุมยิ่งกว่าเดิมก็ได้นะครับ!”


 


“เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นหรอก ตราบใดที่พวกเรามีตัวประกัน, โซเนียก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อฟังพวกเรา”


 


“แต่ว่า…..”


 


“พอ…..ข้าตัดสินใจแล้ว ไปเอาตัวเธอมาให้ข้าก็พอ”


 


ด้วยการทำตามคำสั่งของเลทส์, ทหารคนนึงก็ออกไปเรียกโซเนีย


 


หลังจากนั้นซักพัก, โซเนียก็เข้ามาในเต้นท์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ


 


“เรียกข้าหรอ?”


 


“ศัตรูของพวกเรามีนักกลยุทธ์ พวกเราต้องการให้เจ้าคิดมาตรการตอบโต้เจ้านักกลยุทธ์นั่น”


 


“ข้าว่าข้าเคยเสนอไปแล้วไม่ใช่หรอ?”


 


“พวกเราเสียเวลาใช้ศึกยืดเยื้อไม่ได้!”


 


ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น, โซเนียได้เสนอให้ล้อมเมืองเอาไว้เพื่อทำให้ศัตรูอ่อนแอ


 


แต่ว่า, เพื่อแผนการของกอร์ดอน, พวกเขาต้องยึดเมืองให้ได้ในเวลาอันสั้นดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ใช้แผนของเธอ


 


อย่างไรก็ตาม, สำหรับโซเนียแล้ว, มันเป็นแผนที่ดีกว่า


 


“พวกเราสูญเสียไปพันคนในวันแรกและอีกพันคนในวันนี้ใช่ไหมคะ? พวกเรามีคนเหลืออยู่แค่แปดพันคนเท่านั้น แค่นี้ข้าก็มองเห็นผลลัพธ์แล้วถ้าพวกเราตัดสินใจโจมตีต่อไปทั้งแบบนี้ แผนการของท่านล้มเหลวไปตั้งแต่ตอนที่พวกเราโจมตีทีเผลอเมื่อวานไม่สำเร็จแล้วค่ะ ตอนนี้ศัตรูของพวกเราร่วมมือกันเป็นปึกแผ่นและป้องกันเมืองด้วยขวัญกำลังใจที่สูงลิ่ว ถ้าเป็นข้าคงไม่โจมตีศัตรูแบบนั้นหรอก”


 


“พวกเราต้องโจมตีต่อไป! ถ้าเจ้าเรียกตัวเองว่านักกลยุทธ์ก็คิดแผนมาซะ! เจ้าไม่สน”แล้วรึไงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวประกัน!?”


 


“…..ไม่ว่าจะพูดยังไง, คำตอบของข้าก็ยังไม่เปลี่ยน ถ้าอยากไปให้ถึงเป้าหมาย, ท่านก็ต้องยึดเกลเลสให้ได้ตั้งแต่วันแรก, ส่วนวิธีที่สองก็คือปิดล้อมเมืองเอาไว้และอย่าให้อีกฝ่ายมีโอกาสรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พูดตามตรงข้าตั้งใจให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่มาตั้งแต่แรกแล้ว”


 


เธอเคยแนะนำวิธีไปแล้ว ตอนนี้เธอกำลังบอกว่ามันเป็นความผิดของพวกเขาที่ไม่ยอมทำตาม แต่จะว่าไป, เธอเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขาจะไม่มีวันใช้แผนแบบนั้น


 


อย่างไรก็ตาม, แม้แต่จากมุมมองของโซเนียเอง, การโจมตีทีเผลอของพวกเขานั้นก็มีโอกาสสำเร็จสูงอยู่


 


ศัตรูของพวกเขาเป็นมือใหม่ ไม่สิ, พวกเขาควรที่จะเป็นอย่างนั้น แต่ทั้งหมดกลับเปลี่ยนไปเพราะนักกลยุทธ์แค่คนเดียว


 


“พวกเขามีนักกลยุทธ์ที่รวบรวมทหารเอาไว้ภายใต้เจ้านายของพวกเขาได้อย่างชาญฉลาดและคิดหาวิธีขัดขวางการโจมตีของพวกเราได้ ตอนนี้, เกลเลสไม่ใช่เมืองที่พวกเราจะขยี้ได้อย่างง่ายดายอีกต่อไปแล้ว ถ้าพวกเราฝืนโจมตีตอนนี้, พวกเราก็เตรียมรับการตอบโต้จากอีกฝ่ายได้เลย”


 


“พวกเราไม่มีทางอื่นนอกจากฝืนโจมตีพวกนั้น! แค่คิดแผนดีๆมาให้พวกเราก็พอ!”


 


เมื่อถูกเลทส์กดดัน, โซเนียก็ถอนหายใจออกมา


 


พวกเขาจะต้องเสียหายหนักแน่ๆถ้าโจมตีเมืองนี้โดยไม่มีอาวุธปิดล้อม


 


มันคงจะต่างไปคนละเรื่องถ้าพวกเขามีหน่วยนักเวทย์แต่หน่วยแบบนั้นคงจะไม่ตามมากับทหารในภารกิจสอดแนมหรอก


 


ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง, มันก็ไม่มีวิธีที่จะยึดเมืองได้ในทันทีอย่างมีประสิทธิภาพ


 


อย่างไรก็ตาม, ถ้าเธอไม่คิดมาตรการตอบโต้ออกมา, เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีชะตากรรมแบบไหนที่รอตัวประกันอยู่


 


นอกจากนี้, ถ้าเกลเลสล่มสลาย, มันก็จะผลักดันให้ทางใต้กับจักรวรรดิเข้าสู่ช่วงสงครามเต็มตัว


 


โซเนียครุ่นคิดอยู่พักนึงแล้วถามคำถามขึ้นมา


 


“พวกเรามีเวลาเหลืออยู่มากแค่ไหน?”


 


“น่าจะประมาณสองวัน หลังจากนั้น, หน่วยผู้ส่งสารคงจะไปถึงดินแดนของดยุคครูเกอร์แล้ว”


 


ต่อให้พวกเขาสามารถยึดเกลเลสได้, มันก็คงจะไม่มีสงครามอยู่ดีถ้าหัวหน้าของศัตรูถูกจับกุมแล้ว


 


สิ่งที่กองทัพจักรวรรดิต้องต่อสู้ด้วยนั้นไม่ใช่เกลเลสแต่เป็นเวลา


 


ด้วยเหตุนี้เองโซเนียจึงเสนอวิธีนึงให้กับพวกเขา


 


“ถ้างั้นก็พักการรุกไปวันนึงแล้วสร้างอาวุธปิดล้อมขึ้นมา”


 


“ข้าก็บอกไปแล้วไม่ใช่รึไงว่าพวกเราไม่มีเวลา!? นี่เจ้าวางแผนจะยื้อพวกเราเอาไว้หรอ!? รู้ไหมว่าอย่างเร็วที่สุดคณะผู้ส่งสารก็อาจจะไปถึงในวันพรุ่งนี้แล้ว!?”


 


“นี่คือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพนันกับมัน ถ้าพวกเราพอมีเวลาอยู่ประมาณสองวันก็ควรใช้มันซะ ข้าขอถามท่านกลับนะ, นี่ท่านยังดูถูกศัตรูอยู่อีกหรอ?”


 


เลทส์เงียบกริบ


 


โค่นต้นไม้และทำอาวุธปิดล้อม ด้วยสิ่งนี้, เธอก็จะซื้อเวลาได้มากขึ้นและมอบความเป็นไปได้ในการยึดเกลเลสให้กับพวกเขา


 


ความผิดพลาดเดียวในวิธีนี้ก็คือว่ากองทัพจักรวรรดิอาจจะยึดเกลเลสได้จริงๆแต่โซเนียตัดสินใจที่จะเชื่อนักกลยุทธ์ของเกลเลส


 


โดยปกติแล้ว, ถ้าศัตรูหยุดโจมตีไปวันนึงอย่างกระทันหัน, ก็คงจะเผลอลดการป้องกันลงแต่ว่านักกลยุทธ์มีฝีมือที่อ่านกระแสของสถานการณ์เป็นอย่างเกราว์นั้น, คงไม่ทำเรื่องผิดพลาดแบบนั้น เขาต้องคิดแผนที่ต่อกรกับการเคลื่อนไหวของจักรวรรดิเอาไว้แล้วแน่ๆ


 


จากสถานการณ์ที่เกลเลสสร้างมาจนถึงตอนนี้, พวกเขาต้องมีแผนที่จะยื้อต่อไปอีกสองสามวันแน่ๆ


 


โซเนียอ่านความคิดของเกราว์แล้วเสนอแผนที่มีโอกาสสำเร็จครึ่งต่อครึ่ง


 


ไม่ว่าฝ่ายไหนก็มีโอกาสชนะพอๆกัน


 


นี่คือขีดจำกัดที่โซเนียสามารถทำได้, และมันก็เป็นแผนที่คุ้มค่าที่จะลองสำหรับกองทัพจักรวรรดิ


 


“เอาหล่ะ…..เริ่มกันเลย สั่งให้พวกทหารสร้างอาวุธปิดล้อมในทันที!”


 


เลทส์ออกคำสั่ง


 


เมื่อเห็นเขาตัดสินใจเช่นนี้, โซเนียก็เริ่มเดินออกจากเต้นท์ไปอย่างช้าๆ


 


จุดหมายของเธอก็คือหน้าผาที่กูลเวอร์ถูกลอบสังหาร


 


เธอปีนขึ้นไปบนหน้าผาแล้วมองสภาพของเกลเลส


 


เธอไม่รู้เหตุผลที่แน่นอนแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะครึกครื้นกันดี มันคือลักษณะของศัตรูที่แข็งแกร่ง


 


ถ้าเธอมีเวลาเธอก็คงจะสามารถคิดหาวิธีจัดการกับพวกเขาได้แต่เวลาคือสิ่งที่เธอไม่มี


 


ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น, เธอก็ตระหนักได้ ก่อนที่เธอจะรู้ตัว, เธอก็พยายามคิดวิธีจัดการกับนักกลยุทธ์ของศัตรูแล้ว


 


“เจ้าเป็นคนแบบไหนกันนะ, เกราว์? อ่อนโยน, หรือว่าโหดเหี้ยม”


 


โซเนียมองไปทางเกลเลส, แล้วถามคำถามที่ไม่น่าจะมีใครได้ยิน


 


จากนั้น, ชายคนนึงก็ปีนขึ้นมาบนกำแพงของเกลเลส


 


เขาปกปิดร่างกายเอาไว้ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าด้วยเสื้อคลุมสีเทา


 


เขามองไปทางโซเนีย


 


จากนั้นเขาก็โค้งทักทายเธอ


 


ในขณะที่เธอกำลังตกตะลึงกับการกระทำของเขา, เขาก็เพิ่มเสียงขึ้นมา


 


“เจ้ามีเวลาว่างขนาดมาเยี่ยมศัตรูเลยหรอเนี่ย! คุณนักกลยุทธ์สาว! ข้าได้ยินข่าวลือมาว่ามีครึ่งเอลฟ์ที่ชิงไหวชิงพริบมาใด้ในศึกสงครามผู้สืบทอดที่เมืองหลวง! ข้าคาดหวังอยู่นะว่าเจ้าจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้!”


 


“…..รู้แม้กระทั่งเรื่องพวกนี้เลยหรอ, ข้อมูลเจ้าแน่นใช้ได้เลยนะเนี่ย!”


 


“อา, ข้ารู้อะไรเยอะเลยหล่ะ! คนของเจ้าถูกจับเป็นตัวประกันใช่ไหมหล่ะ? สิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มันก็ดูหนักเอาเรื่องเลยนี่! ข้ารู้สึกสงสารนะที่เจ้าไม่สามารถเลือกเจ้านายของตัวเองได้!”


 


“!?”


 


โซเนียเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ


 


เมื่อเห็นโซเนียในสภาพนี้, เกราว์ก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นเขาก็ปรับท่าทางของเขาแล้วพูดออกมาอีกครั้ง


 


“เคลื่อนไหวโดยคิดแค่เรื่องตัวประกันของเจ้าซะ! ต่อให้เจ้าใส่เต็มข้าก็ไม่สนใจหรอก! เพราะข้าจะเป็นคนที่ทำให้ความพยายามของเจ้าสูญเปล่าเอง!


 


“….ถ้างั้นข้าจะขอรับข้อเสนอของเจ้าก็แล้วกัน”


 


พอได้ฟังเกราว์พูดเช่นนี้, โซเนียก็มองไปข้างหน้า


 


นี่มันยั่วยุกันชัดๆ


 


อย่าใช้ตัวประกันเป็นข้ออ้างแล้วลุยเข้ามาด้วยทุกอย่างที่มีซะ ถึงยังไงข้าก็ชนะอยู่ดี


 


ในเมื่อพูดมาขนาดนี้ฉันก็จะเอาจริงด้วย


 


ด้วยความคิดเช่นนี้, โซเนียก็กลับไปที่เต้นท์บัญชาการแล้วไล่ทหารที่วาดแผนสำหรับอาวุธปิดล้อมออกไป


 


“ส่งมา เดี๋ยวข้าจัดการเอง”


 


ถ้าเขาลงทุนมายั่วยุเธอถึงขนาดนี้ก็แสดงว่าเขาต้องเตรียมการเอาไว้ดีแล้วแน่ๆ


 


เธอไม่สามารถต่อกรกับเขาด้วยอาวุธปิดล้อมครึ่งๆกลางๆได้


 


โซเนียจะเขียนแผนอาวุธปิดล้อมขึ้นมาอย่างเต็มที่ตามที่เกราว์แนะนำเพื่อที่กอร์ดอนจะได้ไม่มาพูดทีหลังว่าเธอไม่ค่อยให้ความร่วมมือ

 

 

 


ตอนที่ 117

 

ในช่วงที่อัลกำลังรับบทเป็นเกราว์ในการปกป้องเกลเลส


 


ลีโอกับคนอื่นๆได้มาถึงวุมเม่, เมืองของดยุคครูเกอร์เร็วกว่าที่กอร์ดอนคาดการเอาไว้


 


ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณเมืองทางใต้ที่ยอมให้พวกเขาผ่านมาจนถึงตอนนี้


 


“ข้านึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะยอมปล่อยให้พวกเราผ่านมาได้ง่ายขนาดนี้”


 


ลีโอที่คิดเอาไว้ว่าน่าจะได้เจออุปสรรคบ้างพึมพำในขณะที่เขาเดินผ่านประตูเมืองวุมเม่


 


ในขณะที่กำลังสังเกตดูพื้นที่รอบๆ, เซบาสที่อยู่ที่นั่นกับลีโอก็ตอบกลับ


 


“นี่ต้องเป็นเพราะว่ามีแค่ไม่กี่คนที่อยู่ฝั่งของดยุคครูเกอร์จากใจจริงครับ ท่าทีของผู้คนที่ข้าได้เจอมาจนถึงตอนนี้ดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเลย ดังนั้นการก่อกบฎในครั้งนี้จึงไม่ใช้ความคิดเอกฉันท์ของผู้คนทางใต้ทุกคนอย่างแน่นอน


 


“ถ้างั้นการที่พวกเรามาที่นี่ก็มีความหมายจริงๆสินะ”


 


“แค่มาถึงอย่างเดียวยังไม่มีความหมายอะไรหรอกครับ, องค์ชาย”


 


ลาสพูดเช่นนั้นหลังจากที่เขาขี่ม้ามาอยู่ถัดจากลีโอ


 


ทหารระดับสูงของนาร์เบริทเทอร์กำลังคุ้มกันรถม้าของฟีเน่อยู่แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องอยู่กับเธอตลอดเวลา


 


“เราต้องทำอะไรซักอย่างกับดยุคครูเกอร์ครับ”


 


“แน่นอน, ข้ารู้เรื่องนั้นดี ท่านพันเอก”


 


“ถ้างั้นขาขอยืนยันแผนการอีกรอบนะครับ เมื่อพวกเราไปถึงปราสาทของเขาแล้ว, ดยุคครูเกอร์น่าจะออกมาต้อนรับพวกเรา ซึ่งนี่เป็นโอกาสของพวกเรา ถ้าพวกเราปล่อยผ่านไป, เขาจะมีโอกาสเรียกการ์ดของเขาอย่างแน่นอน”


 


“แต่ถ้าพวกเราฉวยโอกาสนั้น, คุณฟีเน่จะตกอยู่ในอันตรายนะ”


 


“วางใจได้ครับ ท่านลินเฟียกับข้าจะอยู่ที่นั่นเพื่อคุ้มครองเธอเอง ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าจนมุมเข้าจริงๆ, พวกเราก็ยังมีแผนการลับนั่นอยู่ด้วย”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, เซบาสก็มองไปทางลีโอ


 


และสำหรับลีโอที่ดูเหมือนอยากจะถามว่ามันจะไม่เป็นอะไรจริงๆหรอ, เซบาสก็ได้พยักหน้ายืนยันกับเขาอย่างเงียบๆ


 


แม้ว่านาร์เบ ริทเทอร์จะเป็นผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งแค่ไหน, แต่มันก็จะสร้างความระแวงเอาได้ถ้าฟีเน่มีคนคุ้มกันอยู่กับเธอเยอะเกินไปในตอนที่ทำการเจรจาโดยตรงกับดยุคในฐานะผู้ส่งสาร


 


นี่คือสาเหตุที่ตำแหน่งผู้คุ้มกันของฟีเน่ถูกฝากฝังให้กับคนที่สามารถอยู่ข้างเธอได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับเซบาสที่ติดตามมาด้วยในฐานะพ่อบ้านของเธอ


 


“……โอเค, ท่านพันเอก ข้าขอฝากเรื่องจังหวะเวลากับท่านนะ”


 


“เข้าใจแล้วครับ แล้วก็ช่วยอยู่ห่างออกมาจากดยุคซักหน่อยนะครับ, องค์ชาย”


 


“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องของข้าหรอก ข้าดูแลตัวเองได้”


 


“…..ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน, พวกเราคงกลับไปสู้หน้าองค์ชายอาร์โนลด์ไม่ได้หรอกครับ, องค์ชาย”


 


“ท่านพันเอก ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อให้คนอื่นมาคอยปกป้อง ข้ามาที่นี่เพื่อจับตัวดยุคครูเกอร์ ถ้าพวกเราล้มเหลว, มันจะเป็นข้าต่างหากหล่ะที่กลับไปสู้หน้าท่านพี่ไม่ได้”


 


พอเห็นลีโอจ้องตรงมาที่เขา, สายตาของลาสก็ดูตกตะลึงเล็กน้อยแล้วเขาก็ก้มศรีษะเพื่อแสดงความขอโทษ


 


“โปรดอภัยให้ข้าด้วย, องค์ชาย ดูเหมือนว่าความเป็นห่วงของข้ามันจะไม่จำเป็นสินะครับ”


 


“พันเอกลาส สิ่งที่องค์ชายพูดเป็นความจริงครับ ไม่เหมือนกับท่านอาร์โนลด์, ท่านลีโอนาร์ดไม่เคยขาดการฝึกฝนเลย”


 


“แสดงว่าองค์ชายสามารถต่อสู้ด้วยเองได้ใช่ไหม? เซบาส?”


 


“ครับ, แถมฝีมือน่าจะไม่ค่อยต่างจากพวกเราด้วย การที่ฝาแฝดมีความสามารถทางร่างกายต่างกันขนาดนี้ถือว่าหายากจริงๆ แต่ก็เป็นเพราะอีกคนไม่ขยันฝึกนั่นแหล่ะครับ มันทำให้ข้าค่อนข้างเป็นห่วงเลยหล่ะในตอนที่เขาบ่นเจ็บกล้ามเนื้อกับแค่เพราะถือดาบ”


 


“ถ้าท่านพี่ค่อยๆฝึกก็คงจะไม่มีปัญหาหรอกแต่เขามักจะชอบเหวี่ยงดาบเต็มแรงทุกครั้ง จริงๆเลยนะ, ท่านพี่เนี่ย”


 


“เขาคงพยายามทำให้มันออกมาดูดีหล่ะมั้งครับ”


 


“ข้าเห็นด้วย เขาคงพยายามให้มันดูดีนั่นแหล่ะ และอันที่จริงนี่คงเป็นสาเหตุที่เขาแทงมือซ้ายด้วย ถึงยังไงเขาก็มักจะพยายามทำตัวให้ดูเท่ในแบบของตัวเองอยู่ตลอด”


 


เมื่อได้ฟังความประทับใจเช่นนี้จากลีโอ, รอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของลาส


 


ลีโอไม่เคยเพลิดเพลินกับการเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดเลยแต่มีหลายๆสิ่งที่ทำให้เขาดีใจที่ได้เข้าร่วมกับมัน


 


หนึ่งในนั้นก็คือความจริงที่ว่าผู้คนเริ่มชื่นชมอัล


 


จอมขี้เกียจอย่างอัลที่พยายามเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้, เริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้นหลังจากเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอด การได้เห็นเขาตระเวนไปทั่วแบบนี้, ทำให้ผู้คนเริ่มตระหนักได้ว่าเจ้าชายไร้ค่านั้นจริงๆแล้วมันเป็นแค่เปลือกนอก


 


มันคือการพัฒนาที่น่าดีใจสำหรับลีโอ


 


“ท่านดูมีความสุขกับมันมากเลยไม่ใช่หรอครับ?”


 


“มีสิ ข้าดีใจที่ในที่สุดท่านพี่ก็ได้รับคำชม แล้วก็….ข้าดีใจที่ข้าได้ทำอะไรบางอย่างด้วยกันกับเขา เขาเป็นคนจัดเวทีนี้ให้ข้า เวทีที่ดีที่สุดที่ข้าจะหาได้ ในตอนที่ข้าบอกเขาว่าข้าอยากให้ยอดการสูญเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้, เขาก็ยอมทำตามความเห็นแก่ตัวของข้าและฝืนเตรียมทุกอย่างเพื่อข้า ข้ามีความสุขที่ตอนนี้ได้มายืนอยู่บนเวทีที่เขาจัดเอาไว้ มันทำให้ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ลีโอก็เร่งให้มาไปข้างหน้า


 


เบื้องหน้าเขาคือประตูหลักของปราสาทดยุคครูเกอร์


 


“ข้าเจ้าชายลำดับแปดแห่งจักรวรรดิ, ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์! ข้ามีหน้าที่คุ้มกันขบวนผู้ส่งสารของจักรพรรดิ! จงเปิดประตูซะ!”


 


ในการตอบรับคำพูดของลีโอ, ประตูหลักได้เปิดออกอย่างช้าๆ


 


ลีโอขี่ม้านำเข้าไปข้างใน การเข้ามาในที่แห่งนี้คือการเตรียมการส่วนสุดท้าย


 


ด้วยความเชื่อมั่นที่ว่าเขาจะไม่สามารถออกไปได้จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบ, ลีโอก็เข้ามาในปราสาท


 


หลังจากที่ลีโอกับคนอื่นๆลงจากม้า, พวกเขาก็ถูกพวกอัศวินนำทางไป


 


ตอนนี้, พวกเขากำลังอยู่ใต้ระเบียงของปราสาท


 


“ที่นี่คือ?”


 


“อ้าวนั่นมันองค์ชายลีโอนาร์ดไม่ใช่หรอ ไม่ได้เจอกันซักพักนึงแล้วนะครับ”


 


เมื่อได้ยินเสียงนั้น, ลีโอก็เขม่นตาลงเล็กน้อย


 


ซึ่งเหตุผลก็เพราะว่าดยุคครูเกอร์ปรากฎตัวขึ้นบนระเบียง


 


การต้อนรับขบวนของจักรวรรดิแบบนี้มันน่าหยาบคายเกินไป


 


“ไม่ได้เจอกันซักพักแล้วนี่นะ ดยุคครูเกอร์ แล้วนี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”


 


“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ, ก็แค่มาตรการความปลอดภัยเล็กๆน้อยๆ มันไม่ใช่ว่าข้าสงสัยท่านหรืออะไรหรอกนะแต่ช่วงนี้ชีวิตของข้าถูกหมายปองอยู่ ได้โปรดช่วยคอยอยู่ที่นั่นแล้วส่งขึ้นมาแค่ผู้ส่งสารของจักรวรรดิด้วยครับ”


 


นี่มันเหมือนกับการส่งกระต่ายเข้าไปในรังของสัตว์ร้ายเพียงลำพัง


 


ลีโอขมวดคิ้วให้กับคำขอของเขา


 


“ทำแบบนี้ไม่คิดว่าหยาบคายไปหน่อยหรอ ช่วยลงมาที่นี่แล้วรับจดหมายจากพวกเราด้วย เนื้อหาในจดหมายน่าจะได้รับการยืนยันจากอัศวินที่เจ้าส่งมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วนะ”


 


“น่าเสียดายนะครับ, ข้าจะยืนยันเนื้อหาของจดหมายนั่นก็ต่อเมื่อมันขึ้นมาอยู่บนนี้ ถ้าท่านรู้สึกว่ายอมรับข้อตกลงนี้ไม่ได้ก็เชิญกลับไปได้ตามสบายครับ”


 


“ถ้างั้นข้าขอตามผู้ส่งสารไปด้วย”


 


“ผู้ส่งสารจักรวรรดิต้องขึ้นมาคนเดียวครับ”


 


พอได้ฟังดยุค, ลีโอก็เลื่อนมือไปจับดาบโดยไม่รู้ตัว เหตุผลก็เพราะว่าดยุคทำตัวหยาบคายกับพวกเขามากเกินไป


 


อย่างไรก็ตาม, แผนการจะดำเนินต่อไม่ได้ถ้าดยุคไม่ได้ตรวจสอบเนื้อหาของจดหมาย ซึ่งนี่ก็เพื่อสร้างความถูกต้องให้กับกระทำของพวกเขาด้วยการปฏิเสธของดยุคครูเกอร์ ถ้าพวกเขาเปิดเผยกับดักตรงนี้, พวกเขาก็คงถูกมองไม่ต่างไปจากกลุ่มนักฆ่าที่ปลอมเป็นขบวนผู้ส่งสารของจักรวรรดิ


 


อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่ยอมรับข้อเสนอของดยุค


 


“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นข้าขอขึ้นไปแล้วนะคะ”


 


“คุณฟีเน่…..”


 


“ไม่เป็นไรค่ะ ดยุคครูเกอร์คงไม่มีวันทำอันตรายกับผู้ส่งสารของจักรพรรดิหรอก, ใช่ไหมคะ?”


 


“แน่นอนครับ เจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน”


 


“แบบนั้นข้าก็สบายใจแล้วค่ะ ภารกิจของข้าคือการส่งจดหมายของจักรพรรดิให้กับดยุคครูเกอร์ ถ้านี่คือสิ่งที่ดยุคครูเกอร์ต้องการ, ข้าก็ยินดีค่ะ”


 


ในตอนที่พูดจบ, ฟีเน่ก็ส่งสัญญาณให้อัศวินนำทางเธอขึ้นไปด้วยการใช้สายตา


 


หลังจากได้รับการยินยอมจากพวกเราแล้ว, อัศวินก็เริ่มพาฟีเน่ขึ้นบันไดไป


 


“หืมม….นี่มันอะไรครับ?”


 


“เขาเป็นคุณตุ๊กตาที่ข้าชอบพาไปไหนมาไหนด้วยในช่วงนี้ค่ะ น่ารักใช่ไหมหล่ะคะ?”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ฟีเน่ก็เอาคุณหมีให้อัศวินดู


 


อัศวินตามความคิดของฟีเน่ไม่ทันแล้วพาเธอไปที่ระเบียงโดยไม่พูดอะไรอีก


 


“สวัสดีครับ คุณเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน พอได้มาเห็นใกล้ๆยิ่งทำให้ความงดงามของท่านดูเปร่งประกายขึ้นไปอีกนะครับ”


 


“ขอบคุณมากค่ะ ดยุคครูเกอร์ นี่เป็นจดหมายจากองค์จักรพรรดิค่ะ”


 


“ขออนุญาตนะครับ”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ครูเกอร์ก็เปิดจดหมายโดยมีอัศวินของเขาห้อมล้อมอยู่


 


 


เขาอ่านมันโดยที่หางคิ้วไม่กระตุกเลยด้วยซ้ำ


 


“เข้าใจหล่ะ นี่คือคำตอบของฝ่าบาทสินะครับ?”


 


“ค่ะ”


 


“ช่างเป็นคนที่โหดร้ายจริงๆ ไม่นึกเลยว่าเขาจะส่งท่านออกมาด้วยตัวเองแล้วประกาศสงครามกับข้า”


 


“น่าเสียดายนะคะ, นี่ไม่ใช่ประกาศสงครามหรอกค่ะ, ดยุคครูเกอร์ ภายใต้ชื่อขององค์จักรพรรดิ, ข้าขอสั่งท่าน จงคุกเข่าแล้วทิ้งอาวุธโดยทันที ถ้าท่านไม่ทำตาม…..ข้าจะเป็นคนออกคำสั่งลงโทษท่าน”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ลงโทษข้าหรอ? อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ท่านจะไปทำอะไรได้? น่าเสียได้นะครับ, คำตอบคือใหม่ ท่านจะกลายเป็นตัวประกันของเราและจากนั้นพวกเราจะเริ่มใหม่อีกครั้ง”


 


“ท่านคิดจะท้าทายประกาศิตของฝ่าบาทหรอคะ?”


 


“ฝ่าบาท, ฝ่าบาทอยู่นั่นแหล่ะ, ต่อให้ท่านพูดถึงเขามันก็ไม่ส่งผลกระทบกับข้าหรอกรู้ไหม? แต่เดิมแล้วบ้านครูเกอร์ของข้าเป็นกษัตริยของประเทศตัวเองจนกระทั่งถูกจักรวรรดิยึดไป มันคือราชวงศ์จักรวรรดิต่างหากหล่ะที่บังคับช่วงชิงทุกสิ่งไปจากพวกเราและติดชื่อดยุคให้พวกเราแทน บ้านของข้าไม่เคยลืมความไม่พอใจและความเกลียดชังที่มีมาตั้งแต่ตอนนั้น ข้าไม่เคยคิดที่จะเคารพชายคนนั้นเลยซักครั้ง!”


 


“งั้นหรอคะ…..ความไม่พอใจที่สั่งสมมาอย่างยาวนานสินะคะ ข้าไม่รู้ว่าเรื่องพวกนั้นมันสั่งสมมามากแค่ไหนแล้วแต่ข้าบอกได้ว่าดินแดนนี้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของท่านมาก่อน ต่อให้มันถูกจักรวรรดิยึดไป, ประชาชนก็น่าจะยังอยู่ภายใต้ท่าน แต่, ท่านพาผู้คนไปเจอกับความเจ็บปวด ในตอนที่ท่านทำแบบนั้นท่านก็ไม่มีสิทธิเรียกตัวเองว่าเป็นราชาของพวกเขาแล้วค่ะ ไม่สิ….ท่านเรียกตัวเองว่าขุนนางไม่ได้ด้วยซ้ำ!”


 


“ข้าจะไม่เถียงกับท่านเกี่ยวกับหน้าที่ของราชวงศ์หรือขุนนางที่นี่หรอก ข้าจะบอกท่านอย่างนึงก็แล้วกัน มีแค่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้ปกครองผู้อื่น”


 


“ถ้างั้นเจ้าก็ไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นพระราชาอย่างแน่นอน พระราชาแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้เยอะนะ, พระราชาคือคนที่แบกรับลูกน้องของตัวเองเอาไว้บนบ่า”


 


ในตอนนั้นเอง, ตุ๊กตาในมือของฟีเน่ก็เริ่มขยับ


 


จู่ๆมันก็เอาหอกออกมาแล้วจัดการอัศวินที่อยู่รอบตัวฟีเน่


 


ตามที่คาดเอาไว้, ครูเกอร์ถึงกับไม่เชื่อสายตาของตัวเอง


 


“เหวอ!?”


 


“เห้อ, ถ้าเจ้าพล่ามต่ออีกหน่อยข้าก็คงจะได้อิ่มเอมในสวรรค์นานขึ้นอีก…..มันเป็นความผิดของเจ้านะ, ดยุค แต่ก็ต้องขอบใจเจ้า, ข้าก็เลยได้สัมผัสความรู้สึกดีๆแบบนี้, ขอบใจนะ!”


 


ในตอนที่พูดจบ, ซีก, ตุ๊กตาหมี, ก็วิ่งเข้าใส่พวกอัศวิน


 


ครูเกอร์หนีไปพร้อมกับอัศวินที่คอยคุ้มกันเขาแต่ลีโอกับลูกน้องของเขาได้บุกเข้ามาในปราสาทจากด้านล่างแล้ว


 


“เจ้าหนีไปไหนไม่ได้หรอก! ครูเกอร์!”


 


“หนอย! ฆ่าพวกมันให้หมด!”


 


พอได้ฟังคำสั่งของครูเกอร์, พวกอัศวินก็มายืนขวางลีโอ


 


อย่างไรก็ตาม, นาร์เบ ริทเทอร์ที่มีลาสเป็นผู้นำได้จัดการพวกเขาแล้วเปิดทางให้ลีโอ


 


“คุณฟีเน่!”


 


“ข้าไม่เป็นไรค่ะ! ลุยหน้าต่อไปได้เลย!”


 


“โอเคครับ! ระวังตัวด้วย, คุณฟีเน่!”


 


“ค่ะ! โชคดีนะคะ, ท่านลีโอ! คุณซีก, ช่วยตามไปสนับสนุนท่านลีโอเถอะค่ะ”


 


“ช่วยไม่ได้ เอาจริงๆข้าอยากคุ้มกันคนสวยมากกว่า แต่, จะให้ข้าปฏิเสธคำขอของคนสวยก็คงจะไม่ได้หล่ะนะ”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ซีกก็ไล่ตามลีโอไป


 


ในขณะนั้นเอง, ฟีเน่ก็ออกจากฉากไปด้วยกันกับนาร์เบ ริทเทอร์กลุ่มนึงและลินเฟีย


 


และด้วยประการฉะนี้, สงครามเล็กๆก็ได้เริ่มขึ้นในปราสาทวุมเม่

 

 

 


ตอนที่ 118

 

“อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้!”


 


ด้วยการทำตามคำสั่งของลีโอ, นาร์เบ ริทเทอร์ก็ไล่ตามครูเกอร์


 


อย่างไรก็ตาม, มีอัศวินกลุ่มนึงเข้ามาขัดขวางการไล่ตามของพวกเขา


 


ในการต่อสู้ระหว่างอัศวินและนาร์เบ ริทเทอร์, ลีโอกับครูเกอร์ได้สบตากัน


 


“เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก!”


 


“เหอะ! คิดว่าในปราสาทของข้ามีอัศวินอยู่กันคนหล่ะ! ดูเหมือนว่าเจ้าจะพาหน่วยระดับสูงมาด้วยแต่ปราสาทของข้าไม่มีวันพ่ายแพ้ให้กับพวกกลุ่มทหารรับจ้างหรอก”


 


“อย่าดูถูกพวกเราเยอะจะดีกว่านะ”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ลาสก็เหวี่ยงดาบคู่ของเขาแล้วฟันอัศวินฝั่งศัตรูไปมากมาย


 


เมื่อเห็นแบบนี้, ครูเกอร์ก็หันหลังกลับแล้วเริ่มหนีในทันที


 


ลีโอเอาคนบางส่วนไล่ตามครูเกอร์ไปผ่านเส้นทางที่ลาสเปิดให้


 


“ดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นบนสินะ”


 


“มันต้องมีอะไรบางอย่างอยู่บนนั้นแน่ ถึงยังไงเขาก็เป็นถึงลุงของซานดร้า”


 


“ไม่สำคัญหรอก พวกเรามาไกลถึงขนาดนี้แล้ว, ที่เหลือก็แค่จัดการทุกอย่างที่เจ้านั่นประเคนมาให้พวกเรา”


 


ในตอนที่พูดจบ, ซีกก็ปีนขึ้นหลังของลีโอ


 


เมื่อเห็นภาพแบบนี้, ลาสก็ถอนหายใจออกมา


 


“การที่ขึ้นไปขี่องค์ชายแบบนั้นได้, แสดงเจ้ามีฐานะสูงไม่เบาเลยนะ”


 


“ก็ขาข้าสั้นนี่ เอาเถอะหน่า, คิดซะว่าเห็นใจข้าบ้างก็แล้วกันนะ”


 


“ไม่เป็นไรครับ เมื่อเวลามาถึงข้าก็ขอฝากเจ้าด้วยแล้วกัน”


 


โดยไม่ถือสาอะไรซีก, ลีโอก็วิ่งต่อ


 


นาร์เบ ริทเทอร์เองก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว


 


มันคือสนามรบดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจว่าการพูดเรื่องที่ลีโอไม่ได้ถือสาอะไรนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไร


 


“มีศัตรูกำลังเข้ามาจากทางซ้ายครับ!”


 


“หมวดสาม, หมวดสี่! ไปขัดขวางพวกมันซะ!”


 


“ทราบ!”


 


พอได้รับคำสั่งของลาส, หน่วยที่ถูกเรียกก็แยกออกไปขัดขวางศัตรู


 


ถ้าพวกเขาหยุด, พวกเขาก็จะไม่สามารถลุยเข้าไปด้วยกำลังได้อีก ต่อให้เขาต้องแบ่งคนของตัวเอง, ลีโอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากมุ่งหน้าต่อไป


 


แต่ว่า, ลีโอดูเป็นห่วงพวกทหารที่แยกออกไปขัดขวางศัตรู


 


เมื่อเห็นลีโอเป็นแบบนี้, ทหารคนนึงก็พูดกับลีโอ


 


“ไม่ต้องห่วงพวกเขาหรอกครับ พวกเราเตรียมใจรับมือกับทุกสถานการณ์เอาไว้แล้ว”


 


“….เจ้า, ชื่ออะไร?”


 


“ร้อยตรีแบรนด์ เลอเนอร์, ครับ”


 


“ข้าเคยได้ยินชื่อของเจ้ามาก่อน ท่านพี่บอกว่าเจ้าเป็นคนแรกที่เสนอตัวสินะ”


 


“ครับองค์ชาย! ข้าคิดว่านี่คือสิ่งที่ควรค่าแก่การเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยงครับ เพราะฉะนั้นโปรดมองไปข้างหน้าแล้วฝากเรื่องการคุ้มกันเอาไว้กับพวกเราเถอะ”


 


“…..เข้าใจหล่ะ ช่วยระวังหลังให้ข้าด้วยนะ”


 


“โปรดวางใจได้ครับ”


 


ในตอนที่เลอร์เนอร์กับลีโอกำลังพูดคุยกันนั้น, ซีกที่อยู่บนหลังของลีโอก็ตรวจจับอะไรบางอย่างได้แล้วเริ่มตื่นตัวขึ้นมา


 


“ระวังด้วย ข้ารู้สึกถึงลางไม่ดี”


 


“พอได้ฟังคำว่าลางไม่ดีจากนักผจญภัยเนี่ยทำให้ข้าเสียวสันหลังไปเลยนะ”


 


ในขณะที่ลาสพูดออกมาเช่นนั้น, บางทีทุกคนเองก็คงรู้สึกเหมือนกัน, พวกเขาทุกคนเพิ่มความระมัดระวังขึ้น


 


ที่นั่นมีบางอย่างที่พวกเขาควรจะให้ความสำคัญกับความระมัดระวังมากกว่าความเร็ว


 


นี่คือสิ่งที่ลาสกับซีกรู้สึกได้


 


และความรู้สึกนั้นก็ไม่ผิด


 


มีเสียงตะโกนดังก้องมาจากกำแพงที่อยู่ถัดไปจากทางเดินที่ลีโอกับคนอื่นๆอยู่


 


และมันก็กำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ


 


“กระจายกำลัง!”


 


พอได้รับคำแนะนำจากลาส, ทุกคนก็กระโดดออกจากจุดที่ยืนอยู่


 


จากนั้น, หลังจากผ่านไปไม่นาน, กำแพงทางเดินก็ระเบิดออก


 


“โฮกกกกก!!”


 


“อะไรหน่ะ!?”


 


“ระวังให้ดี!”


 


นาร์เบ ริทเทอร์เข้าประจำตำแหน่ง


 


จากนั้นมันก็ปรากฎตัวออกมาจากควันของซากกำแพง


 


ร่างกายของมันสูงประมาณสองเมตรและขนาดตัวประมาณครึ่งนึงของทางเดินกว้าง


 


น่าประหลาดใจที่มันมีลักษณะเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ตาม, ไม่ว่าจะมองยังไง, มันก็คือมอนส์เตอร์อย่างไม่ต้องสงสัย


 


“นี่ทำให้ตกใจเลยนะเนี่ย ดูเหมือนว่าปราสาทหลังนี้จะเลี้ยงมอนส์เตอร์เอาไว้ด้วยสินะ”


 


“นี่มันไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะ! รักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้!”


 


โดยไม่คล้อยตามคำบ่นไร้สาระของซีก, ลีโอก็ออกคำสั่ง


 


อย่างไรก็ตาม, ซีกไม่สนใจ


 


“ตัดใจซะเถอะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะใช้จำนวนรับมือได้หรอกนะ”


 


พอพูดจบ, ซีกก็ลงมาจากหลังของลีโอแล้วถือหอกเผชิญหน้ากับมอนส์เตอร์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์


 


จากนั้น


 


“ไปซะ ข้าจะเล่นกับเจ้านี่เอง”


 


“ซีก….เจ้าจะจัดการคนเดียวไหวหรอ?”


 


“อย่าโง่หน่า จัดการมอนส์เตอร์มันงานของนักผจญภัยอยู่แล้ว ยกเจ้าตัวนี้ให้ข้าซะ”


 


พอได้ฟังซีก, ลีโอก็พยักหน้าให้ลาส


 


ลาสเข้าใจความตั้งใจของเขาในทันทีแล้วออกคำสั่งลูกน้องของเขา


 


“ไปเข้าร่วมกับหมวดที่แยกออกไปก่อนหน้านี้แล้วหยุดยั้งศัตรูเอาไว้! ส่วนคนที่เหลือ, ตามข้ามา!”


 


ด้วยแผนที่ปราสาทหลังนี้ในห้องสมุดของวังหลวงจักรวรรดิ, นาร์เบ ริทเทอร์ได้จดจำโครงสร้างทั้งหมดของที่แห่งนี้เอาไว้แล้ว


 


ด้วยเหตุนี้เอง, พวกทหารที่ได้รับคำสั่งจึงออกเคลื่อนไหวในทันที


 


“ซีก! ระวังตัวด้วย!”


 


“เจ้าเองก็เหมือนกัน พวกมันอาจจะมีตัวคล้ายๆแบบนี้รออยู่ข้างหน้าอีกก็ได้”


 


“ถ้าเวลามาถึงข้าจะหาทางทำอะไรซักอย่างกับมันเอง”


 


ด้วยการยิ้มตอบลีโออย่างเจื่อนๆ, ซีกก็แยกกับลีโอและคนอื่นๆ


 


จากนั้น, เขาก็หันกลับไปมองเจ้าตัวโตที่อยู่เบื้องหน้าเขา


 


“ไม่เวทมนตร์ก็ยาสินะ…..แต่ไม่ว่าทางไหน, นี่มันก็ยังไร้มนุษยธรรมมากเกินไป ขอโทษด้วย, ข้าไม่ได้ว่างถึงขนาดที่จะใจดีกับเจ้าได้ ข้าจะเอาจริงตั้งแต่แรกเลยนะโอเคไหม?”


 


“โฮ้กกกก!!”


 


คนร่างยักษ์ตอบกลับซีกด้วยการคำราม


 


จากนั้นซีกก็หันปลายหอกเข้าใส่แล้วหายตัวไป


 


“ฮึ?”


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้วสินะ”


 


ซีกพูดออกมาเช่นนั้นในขณะที่ยืนอยู่ข้างหลังคนร่างยักษ์


 


มีเลือดปริมาณมหาศาลกำลังหยดลงมาจากปลายหอกของเขา


 


คนร่างยักษ์มองมันอย่างฉงนแล้วค่อยๆหันไปมองที่มือซ้ายของตัวเอง เขาพยายามขยับมันแต่มันไม่ยอมตอบสนอง


 


มือซ้ายของเขาถูกฟันขาดครึ่งไปถึงข้อศอกและกำลังห้อยต่องแต่งอยู่


 


“โฮ้กกกก!!??”


 


“เจ้าเชื่องช้าชะมัด ดูเหมือนข้อต่อค่อนข้างจะอ่อนแอด้วยข้าก็เลยเลาะออกให้ เอาหล่ะ, เข้ามาซิ”


 


ในการตอบสนองคำยั่วยุของซีก, คนร่างยักษ์ได้เหวี่ยงมือขวาของเขาด้วยกำลังทั้งหมด พลังที่ปล่อยออกมานั้นป่นพื้นจนแหลกละเอียดแต่ซีกก็กระโดดขึ้นมาแล้วใช้เพดานเป็นที่วางเท้า


 


จากนั้นเขาก็ใช้มันเป็นแท่นออกตัวแล้วพุ่งเข้าใส่คนร่างยักษ์ หลังจากที่เขาพุ่งมาถึงแล้ว, เขาก็กระโดดขึ้นไปอีกครั้งนึง


 


ซีกกระโดนวนไปวนมาในลักษณะนี้เหมือนบอลกระดอนแล้วโจมตีจุดอ่อนของคนร่างยักษ์จนในที่สุด, คนร่างยักษ์ก็ขยับตัวไม่ได้อีก


 


“ย้าก!!”


 


“!?”


 


หอกของซีกได้สะบั้นคอของคนร่างยักษ์จนหลุดกระเด็นออกไป


 


จากนั้นคอของคนร่างยักษ์ก็ตกลงมาที่พื้นด้วยเสียงดังตุ๊บ


 


“ขอโทษด้วย ข้าไม่ใช่คนดีจนถึงขนาดที่จะมานั่งหาวิธีช่วยเหลือเจ้า”


 


“ในตอนที่พูดจบ, ซีกก็มองศพของคนร่างยักษ์ด้วยความรู้สึกค่อนข้างสลด


 


“เปลี่ยนให้มนุษย์กลายเป็นมอนส์เตอร์สินะ……นี่มันเรื่องบ้างอะไรกัน”


 


ซีกพึมพำอย่างโกรธเคืองแล้วหันไปหาหน่วยอัศวินที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาเนื่องจากได้ยินเสียงการต่อสู้และเข้ามาตรวจสอบ


 


“นั่นมันหมีนี่!”


 


“มันคือศัตรูที่อยู่ในรายงาน!”


 


พวกอัศวินชักดาบออกมาแล้วเข้าใกล้ซีกแต่เขาก็แค่ชี้หอกใส่พวกอัศวินอย่างเงียบๆ


 


เพียงแค่นั้น, พวกอัศวินก็พากันก้าวไม่ออก, มีเหงื่อไหลท่วมที่แผ่นหลังของพวกเขา


 


“อึ้ก…..”


 


“หนอย! บ, บุกเข้าไปซะ!!”


 


มีอัศวินใจกล้าคนนึงมุ่งหน้าเข้าไปแต่ซีกก็ทะลวงหน้าอกของเขาอย่างไร้ความปราณี


 


จากนั้น, เขาก็ดึงหอกออกมาแล้วเริ่มพึมพำกับหอกที่ถูกชะโลมไปด้วยเลือด


 


“ถ้าอยากผ่านข้าไปก็อย่าลุยเข้ามาด้วยความกล้าครึ่งๆกลาง บุกเข้ามาแบบไม่สนชีวิตซะ ตอนนี้ข้าเริ่มหงุดหงิดแล้ว”


 


ในตอนที่พูดจบ, ซีกก็ขวางทางเดินเอาไว้


 



 


หลังจากที่ลีโอกับคนอื่นๆวิ่งเข้าไปในปราสาท, ฟีเน่กับคนคุ้มกันของเธอเองก็กำลังถูกไล่ตามอยู่


 


อย่างไรก็ตาม, ด้วยฝีมือของลินเฟียกับนาร์เบ ริทเทอร์, พวกเขาจึงเข้าใกล้ฟีเน่ไม่ได้เลย


 


“ช่วยถอยกลับไปหน่อยนึงนะคะ”


 


“ค่ะ……”


 


ฟีเน่ถอยไปหนึ่งก้าว, ตามคำแนะนำของลินเฟีย


 


จากนั้น, อัศวินที่พยายามจะคว้าตัวฟีเน่ก็ถูกลินเฟียฟันทิ้ง


 


เมื่อเห็นแบบนี้, ฟีเน่ก็ทำสีหน้าเศร้าอย่างเงียบๆ


 


การสูญสิ้นชีวิต เธอมาที่นี่โดยเตรียมใจที่จะเห็นมันแล้ว


 


เนื่องจากตัวเธอไม่สามารถต่อสู้ได้, จึงมีหลายคนที่ต้องมือเปื้อนเลือดแทนที่ของเธอ และมันก็ไม่ใช่ว่าเธอจะสามารถบอกให้คนของเธอวางอาวุธลงเพราะศัตรูน่าสงสารได้ด้วย


 


แต่ถึงอย่างนั้น, เธอก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกพวกนี้ทิ้งไปแค่เพราะพวกเขาเป็นศัตรู


 


“เรียบร้อยแล้วค่ะ ท่านฟีเน่?”


 


“…..”


 


ฟีเน่ย่อตัวลงไปใกล้ๆกับอัศวินที่ถูกฟันทิ้งก่อนหน้านี้


 


นาร์เบ ริทเทอร์พยายามจะห้ามเธอเพราะมันอันตรายแต่ลินเฟียก็หยุดพวกเขาเอาไว้


 


“ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคล์เนลต์ มีอะไรอยากจะสั่งเสียไหมคะ?”


 


“อั๊ก….ข, ข้าเป็น….อัศวินที่รับใช้บ้านทาร์นาท….”


“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้หรอคะ?”


 


“น, นายท่าน….ถูกจับเป็นตัวประกัน……ข้าต้องจับท่าน…..ไม่อย่างนั้นพวกมันจะฆ่าเขา…….”


 


“….มีอะไรที่ข้าพอจะทำให้ได้รึเปล่า?”


 


“ช่วย….นายท่านด้วย…..”


 


ในตอนที่พูดเช่นนั้น, อัศวินก็พยายามยื่นมือไปหาฟีเน่


 


ฟีเน่พยายามจับมือของเขาแต่ก่อนที่เธอจะได้จับ, มือของอัศวินก็สิ้นแรงไปก่อน


 


“เข้าใจแล้วค่ะ……”


 


“ท่านฟีเน่ พวกเราต้องไปต่อแล้วนะครับ”


 


หนึ่งในนาร์เบ ริทเทอร์พูดอย่างหมดความอดทน


 


ในการตอบสนอง, ฟีเน่ได้พยักหน้าให้พวกเขาเล็กน้อย


 


จากนั้นเธอก็มองลินเฟีย


 


ลินเฟียที่เข้าใจความต้องการที่แฝงอยู่ในสีหน้าของฟีเน่นั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่เธอก็ยิ้มแล้วพยักหน้า


 


“ตามประสงค์ค่ะ, ท่านฟีเน่”


 


“คุณลินเฟีย…..”


 


“ท่านฟีเน่, ข้ามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อปกป้องท่าน แล้วข้าก็คิดว่าสิ่งที่ท่านพยายามจะทำนั้นมันยิ่งใหญ่มากเลยด้วย”


 


“….ขอโทษนะ ขอบคุณมากเลยค่ะ”


 


พอพูดจบ, ฟีเน่ก็มองพวกทหารระดับสูงของนาร์เบ ริทเทอร์ที่ทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันของเธอ


 


สำหรับการคุ้มกันฟีเน่นั้น, มีแค่ทหารที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของนาร์เบ ริทเทอร์ที่ถูกคัดเลือก


 


สำหรับพวกเขา, พวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่าทำไมฟีเน่ถึงต้องทำเรื่องที่ไร้ความหมายเหมือนกับที่เธอทำในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ด้วย


 


การคุ้มกันเธอไปยังที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้คืองานของพวกเขาดังนั้นการมามัวคุยอยู่ที่นี่จึงเป็นแค่การกระทำที่ไร้ความหมายสำหรับพวกเขา


 


อย่างไรก็ตาม, หลังจากนั้นในทันที, พวกเขาก็ถูกบอกบางอย่างด้วยภาษาที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้


 


“ข้า….จะช่วยตัวประกันค่ะ”


 


“หา!? นี่ท่านเสียสติไปแล้วหรอครับ!?”


 


“พวกเราไม่มีเวลาทำเรื่องพวกนั้นหรอกนะครับท่านฟีเน่!”


 


“ได้โปรดพิจารณาใหม่ด้วยครับ!”


 


ทหารทุกคนคัดค้านการตัดสินใจของเธอ


 


อย่างไรก็ตาม, หลังจากกวาดตามองพวกเขาอย่างรวดเร็ว, ฟีเน่ก็ประกาศออกมา


 


“ข้าเข้าใจดีค่ะว่ามันอันตรายแค่ไหน แต่ว่า, ในฐานะผู้ส่งสารของจักรวรรดิ, ข้ามีหน้าที่ต้องช่วยเหลือพวกเขา”


 


“แต่!”


 


“ข้ารู้ทำไมทุกคนถึงอยากห้ามข้า และบางที….พวกท่านคือฝ่ายที่ถูกต้องแล้วถึงยังไงการอพยพข้าออกจากที่นี่ก็เป็นวิธีการที่ฉลาดกว่า”


 


ในขณะที่พูด, ฟีเน่ก็ลูบเครื่องประดับนกนางนวลสีน้ำเงินของเธออย่างช้าๆ


 


ตั้งแต่ที่เธอได้รับเครื่องประดับผมชิ้นนี้มา, เธอก็ไม่ใช่แค่ลูกสาวดยุคอีกต่อไป


 


เธอเกลียดแนวคิดนั้นและปฏิเสธที่จะออกมาจากดินแดน แต่ถึงอย่างนั้น, เธอก็ยังฝืนออกมาเพื่ออยู่ข้างอัล


 


เหตุผลที่ทำแบบนั้นก็เพราะความรู้สึกพิเศษที่อยู่ในใจเธอ ความรู้สึกที่อยากจะเป็นประโยชน์กับอัล ความรู้สึกที่อยากจะตอบแทนเขา


 


เมื่อนานมาแล้ว, สาวงามจากทั่วทั้งจักรวรรดิได้มารวมตัวกันที่เมืองหลวงจักรวรรดิเพื่อตัดสินใจว่าใครจะได้เป็นเจ้าของเครื่องประดับชิ้นนี้ แน่นอนว่า, ฟีเน่ก็อยู่ที่นั่นด้วย อย่างไรก็ตาม, ด้วยความที่มันเป็นการมาเยือนเมืองหลวงครั้งแรกของเธอ, ความจริงที่ว่าเธอไม่เคยเห็นฝูงชนมากขนาดนี้มาก่อนผนวกกับการที่เธอจะได้พบกับจักรพรรดิโดยตรงเป็นครั้งแรกจึงทำให้เธอกังวลมาก สำหรับฟีเน่, ที่ตอนนั้นมีอายุแค่ 14 ปี, ความกดดันนั้นมันมากเกินกว่าที่เธอจะรับไหว


 


ในขณะที่เธอกำลังถูกความกังวลครอบงำจิตใจอยู่นั้นเอง, ก็มีเด็กชายคนนึงเข้ามาให้กำลังใจฟีเน่ในสภาพนั้นอย่างเริงร่า


 


ฟีเน่, ซึ่งซ่อนใบหน้าเอาไว้ใต้ผ้าคลุม, ถูกเด็กชายคนนั้นบอกว่าจักรพรรดิก็เป็นแค่ตาลุงธรรมดาคนนึงและไม่มีอะไรที่เธอต้องกังวลเลย มันค่อนข้างงี่เง่าเนื่องการที่เขาอยู่ที่นั่นกับเธอนั้นเป็นเพราะเขาแค่หนีมาจากเวทีที่เธอจะต้องขึ้นไปยืนเพราะเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยาก


 


แต่, ฟีเน่ก็สามารถทำใจให้สงบลงได้หลังจากที่คุยกับเขา และเธอก็ได้รับชื่อเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินมาตั้งแต่ตอนนั้น สำหรับเด็กชาย, มันคงเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแต่สำหรับฟีเน่, มันคือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่นั้นมา, ฟีเน่ก็ชื่นชมเด็กชายคนนั้น, ซึ่งก็คืออัลนั่นเอง


 


ในตอนที่อัลไปบ้านของเธอ, ฟีเน่คิดว่ามันเป็นโอกาสที่เธอจะได้ขอบคุณเขา นี่คือสาเหตุที่เธอไม่เคยบอกว่า [ยินดีที่ได้รู้จัก] กับอัลในตอนนั้น อย่างไรก็ตาม, ช่วงเวลานั้นอัลได้ตำหนิพ่อของเธออย่างรุนแรง มันเป็นเรื่องน่าสลดสำหรับฟีเน่ในตอนที่เธอคิดว่าเด็กชายคนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม, จริงๆแล้วอัลไม่ได้เปลี่ยนไปเลย


 


เขายังคงเหมือนกับวันนั้น, เขายังคงเป็นคนใจดีอยู่ เมื่อได้รู้ความลับของเขา, ฟีเน่ก็ขอร้องพ่อของเธอ เธออยากไปอยู่เคียงข้างอัลและให้ความช่วยเหลือเขา เธออาจจะเป็นตัวถ่วงสำหรับเขาก็ได้แต่เธอก็ยังอยากอยู่ข้างอัล เธออยากช่วยเหลืออัลเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอมีโอกาส


 


เธอคิดว่าเธอยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อเขา


 


ความกล้าเช่นนี้ได้หลอมรวมอยู่ในใจเธอ


 


“แต่ว่า…..การที่ไม่ยอมทำอะไรแค่เพราะมันเป็นเรื่องถูกต้องหรือมันเป็นการกระทำที่ฉลาดนั้นมันขัดกับกฏของข้า, ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คน ทุกคนที่นี่ก็เหมือนกันหมดไม่ใช่หรอคะ? พวกท่านมาที่นี่ก็เพราะคำพูดของท่านอัลไม่ใช่หรอ? พวกท่านคิดว่าคนที่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นอัศวินนั้น…..จะยอมมองข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้หรอคะ?”


 


“…..ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ! ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่านหล่ะก็—!”


 


“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าหรอกค่ะ เพราะข้ามีอัศวินเก่งๆอยู่รอบตัวทั้งนั้นเลย”


 


“ท่านหมายความว่ายังไงครับ…..?”


 


“ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ถูกคัดเลือกมาอย่างระมัดระวังเพื่อทำหน้าที่คุ้มกันข้าที่เป็นผู้ส่งสารของจักรพรรดิ, ความแข็งแกร่งของพวกท่านน่าจะเทียบเท่าอัศวินหลวงได้เลย ข้าเชื่อว่าทุกคนที่นี่มีพลังมากขนาดนั้น ข้าเชื่อในตัวอัศวินที่ท่านอัลเป็นคนไปสรรหามาด้วยตัวเอง…..และข้าก็ไม่เคยบอกว่าข้าไม่ไว้ใจในความสามารถของพวกท่าน เพราะพวกท่านทุกคนคือนาร์เบ ริทเทอร์ หน่วยที่มีฝีมือดีที่สุดของกองทัพจักรวรรดิ”


 


เมื่อได้ฟังเช่นนั้น, พวกทหารก็พากันหลบตาหนี


 


จากนั้นพวกเขาก็พยักหน้าเป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาตัดสินใจได้แล้ว


 


มันเป็นเพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาคงไม่สามารถโน้มน้าวฟีเน่ได้ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป


 


และโดยส่วนตัวนั้น, พวกเขาปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้เหมือนกัน


 


เธอเชื่อใจพวกเขา นี่คือสาเหตุที่พวกเขาเตรียมใจปกป้องเด็กสาวคนนี้ไม่ว่ายังไงก็ตาม


 


แต่ว่า, พวกเขาก็ยังต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


ถึงยังไงเธอก็คือคนที่เจ้าชายซึ่งจุดแรงบันดาลใจให้พวกเขาฝากฝังเอาไว้หล่ะนะ


 


แต่ถ้าเด็กสาวบอกว่าเธอจะไปก็คงไม่มีอะไรหยุดเธอได้


 


“พวกเราจะปกป้องท่านอย่างเต็มที่แล้วกันครับ แต่ถ้าพวกเราประเมินแล้วว่ามันเป็นอันตรายกับชีวิตของท่าน, พวกเราจะใช้กำลังพาท่านลี้ภัยออกไปนะครับ”


 


“ค่ะ ขอฝากด้วยนะคะ”


 


ฟีเน่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


หลังจากคุยกันจนได้ข้อสรุปแล้ว, ลินเฟียก็เปิดหัวเรื่องใหม่


 


“แล้ว, พวกเราจะตามหาพวกเขาได้ที่ไหนคะ? ถ้าพวกเรารีบหาตัวพวกเขาเร็วๆ, พวกเราก็จะสามารถช่วยหน่วยแทรกซึมได้ด้วยเพราะฉะนั้นพวกเราควรรีบนะคะ”


 


“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ คุณเซบาส”


 


ฟีเน่เรียกเซบาสด้วยความมั่นใจ


 


เมื่อได้ฟังเช่นนั้น, เซบาสก็ปรากฎตัวขึ้นข้างหลังฟีเน่


 


“ยินดีรับใช้ครับ”


 


“พอจะรู้รึเปล่าคะว่าตัวประกันอยู่ที่ไหน?”


 


“ข้าตรวจสอบปราสาทดูแล้วมีสถานที่นึงที่ข้าคิดว่าน่าสงสัยครับ”


 


“ช่วยพาพวกเราไปที่นั่นได้รึเปล่าคะ?”


 


“ตามประสงค์ครับ แต่ว่า……ท่านฟีเน่, ท่านคล้ายกับท่านอัลจริงๆนะครับ”


 


“งั้นหรอคะ?”


 


“มากเลยค่ะ”


 


พอได้ฟังแบบนั้น, ฟีเน่ก็ยิ้มอย่างเริงร่า


 


มันคือคำชมที่ดีที่สุดที่ฟีเน่จะขอได้แล้ว

 

 

 


ตอนที่ 119

 

ข้างหลังปราสาทวุมเม่


 


มีสถานที่แห่งนึงที่ถูกต่อขยายออกมาจากตัวปราสาท


 


ข้างในนั้นได้ขังตัวประกันที่ดยุคครูเกอร์เอาไว้ใช้สำหรับกดดันขุนนางทางใต้เอาไว้


 


“มาร์ควิสเทราต์! ให้พวกเราออกไปจากที่นี่เถอะ!”


 


ชายคนนึงที่อายุประมาณสามสิบต้นๆร้องขอ


 


ชายคนนี้เป็นขุนนางหนุ่มที่มีชื่อว่าเอิร์ลทาร์นาท


 


เขาเป็นหัวหน้าของขุนนางทางใต้ที่สนับสนุนจักรวรรดิ


 


ส่วนคนที่กำลังเผชิญหน้ากับเอิร์ลทาร์นาทนั้นเป็นชายร่างอวบอ้วน


 


เขาคือมาร์ควิสเทราต์, ชายที่พูดได้เลยว่ามีอุดมการณ์ร่วมกับดยุคครูเกอร์


 


“เจ้ายังจะพูดแบบนั้นอีกหรอ, เอิร์ลทาร์นาท”


 


ในขณะที่กำลังหัวเราะเยาะเอิร์ลทาร์นาท, มาร์ควิสเทราต์ก็เริ่มเดินจากไปอย่างช้าๆ


 


มีอัศวินหลายคนอยู่ข้างกายเขาเพื่อคอยคุ้มกันเขาจากตัวประกันไร้อาวุธรวมทั้งเอิร์ลทาร์นาทเพื่อไม่ให้พวกเขามีโอกาสลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเขา


 


“จักรพรรดิได้ประกาศแล้วว่าทางใต้เป็นศัตรู มันน่าจะถึงเวลาที่เจ้าควรร่วมมือกับพวกเราเพื่อทำการโต้กลับแล้วไม่ใช่หรอ?”


 


“ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเจ้ากับดยุคครูเกอร์ไปรวมหัวกับองค์กรอาชญากรรมนั่นต่างหากหล่ะ! มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเราซักหน่อย!”


 


“โถโถ เจ้าไม่รู้หรอว่าหนึ่งในสามของขุนนางทางใต้มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรนั่น? พูดแบบนี้มันไม่รุนแรงกับเพื่อนขุนนางไปหน่อยรึไง?”


 


“เลิกพล่ามไร้สาระได้แล้ว! พวกเขาส่วนใหญ่ถูกข่มขู่ให้ยอมร่วมมือด้วยต่างหาก! เหมือนกับที่เจ้าทำกับเอิร์ลซิทเทอร์ไฮม์ยังไงหล่ะ!”


 


เอิร์ลทาร์นาทพุ่งเข้าใส่มาร์ควิสเทราต์ด้วยความโกรธแต่พวกอัศวินก็เอาหอกมาขวางทางเขาเอาไว้


 


เอิร์ลทาร์นาทเดาะลิ้นไม่พอใจในขณะที่ยอมถอยออกไปแต่โดยดี


 


“ตัดสินจากทัศนคติของเจ้าแล้ว, ดูเหมือนว่าไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจสินะ?”


 


“มันแน่อยู่แล้ว! พวกเราจะไม่เข้าร่วมกับสหพันธ์! พวกเราเป็นขุนนางของจักรวรรดิ!”


 


“เห้อ! ช่างเป็นความเด็ดเดี่ยวที่ใหญ่โตซะจริง แต่ขุนนางทุกคนรวมทั้งดินแดนของเจ้าได้ถูกตราหน้าว่าเป็นสหพันธ์แล้วรู้รึเปล่า?”


 


“นั่นก็เพราะเจ้าจับพวกเราเป็นตัวประกันยังไงหล่ะ!”


 


“ใครจะไปเชื่อคำพูดของเจ้ากัน? เมื่อสักครู่นี้, ขบวนผู้ส่งสารของจักรพรรดิพึ่งจะมาถึงที่ปราสาท จักรพรรดิตื่นตระหนกเพราะการเคลื่อนไหวของพวกเราก็เลยจัดการเจรจาขึ้นมา ตอนนี้เจ้าก็ไม่ต่างไปจากพวกเราหรอก ขุนนางทางใต้ทุกคนอยู่ในเรือลำเดียวกันแล้ว!”


 


มาร์ควิสเทราต์บอกเขาเช่นนั้นด้วยความภาคภูมิใจ


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้, สีหน้าของเอิร์ลทาร์นาทก็บูดเบี้ยว


 


มีขุนนางหลายคนถูกเรียกตัวมาที่นี่ด้วยจดหมายเชิญปลอมจากดยุคครูเกอร์และถูกจับเป็นตัวประกัน พวกเขาถูกจับในตอนที่ดยุคเชิญพวกเขามาที่นี่เพื่อปรึกษาแนวทางในอนาคตของทางใต้


 


ทุกคนต่างก็ตกตะลึง พวกเขาไม่เคยนึกฝันเลยว่าครูเกอร์จะก่อกบฏกับจักรวรรดิจริงๆ


 


“ไหนหล่ะหลักฐานว่ามันเป็นการเจรจาจริงๆ? ไม่ใช่ว่ามันเป็นการประกาศสงครามหรอกหรอ?”


 


“ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราก็จะสู้ ถึงยังไงพวกเราก็ทำสัญญากับประเทศอื่นเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว”


 


“จักรวรรดิมีอำนาจพอที่จะรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้อยู่แล้ว! ถ้าภาคีอัศวินหลวงเข้าร่วมการต่อสู้, ทางใต้ก็จะกลายเป็นแดนมอดไหม้อย่างแน่นอนรู้ตัวรึเปล่า!?”


 


“ก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น, สนธิสัญญาสันติภาพก็คงจะได้ข้อสรุปแล้ว! ซึ่งคนที่จะได้รับรองความปลอดภัยก็คือตัวข้ากับดยุคครูเกอร์”


 


ในขณะที่พูด, มาร์ควิสก็เผยรอยยิ้มน่ารังเกียจออกมา


 


ตั้งแต่แรกแล้ว, มาร์ควิสเทราต์เห็นเอิร์ลทาร์นาทเป็นแค่ตัวหมากสำหรับต่อรอง


 


ถ้ามันเกิดเป็นสงครามเต็มตัวขึ้นมาจริงๆ, เขาก็แค่ขายเอิร์ลไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และจนกว่าจะถึงตอนนั้น, อัศวินที่จะต่อสู้กับจักรวรรดิก็คงเป็นพวกอัศวินของขุนนางที่เขาจับเป็นตัวประกัน


 


มือของเขาจะไม่ต้องแปดเปื้อนเลยซักนิด


 


ด้วยความที่อ่านความคิดของมาร์ควิสได้อย่างหมดจด, เอิร์ลทาร์นาทจึงแสดงความรังเกียจออกมา


 


“ไอ้สารเลว……! นี่เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าขุนนางได้อีกหรอ!!?”


 


“แน่นอนสิ, ข้าเป็นขุนนางที่น่าเคารพนับถือ”


 


เอิร์ลทาร์นาทพุ่งเข้าใส่มาร์ควิสเทราต์เนื่องจากรับไม่ได้กับท่าทีที่ดูภาคภูมิใจของเขา


 


ซึ่งพวกอัศวินก็เข้ามาหยุดเขาไว้อีกครั้งแต่ครั้งนี้, มีขุนนางชายอีกคนโจมตีอัศวินด้วย


 


ด้วยโอกาสนี้เอง, เอิร์ลทาร์นาทจึงชิงดาบเล่มนึงมาได้จากพวกอัศวิน


 


อย่างไรก็ตาม, ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, อัศวินอีกคนก็ชี้หอกไปที่ขุนนางหญิงซึ่งอยู่ตรงมุมห้อง


 


“หย, หยาบคายที่สุด……เจ้าไม่สนแล้วรึไงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวประกันคนอื่น!?”


 


มาร์ควิสเทราต์ยกแขนขึ้นในลักษณะข่มขู่


 


ถ้าเขาสบัดมันลงมา, อัศวินก็จะทำการสังหารตัวประกันอย่างไร้ความปราณี


 


เอิร์ลทาร์นาทก้มหน้าลงด้วยความสิ้นหวังในดวงตาของเขา


 


อย่างไรก็ตาม,


 


“เอิร์ลทาร์นาท ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกค่ะ”


 


ขุนนางหญิงที่แก่กว่าเอิร์ลเล็กน้อยพูด


 


เธอมองเอิร์ลทาร์นาทด้วยสายตามุ่งมั่น มันแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอถูกหอกจ่ออยู่


 


“คุณนายซิมเมล…..”


 


“ข้าจะไม่บอกว่าทำเพื่อจักรวรรดิ…..แต่ถ้าการมีชีวิตอยู่มันเป็นโซ่ตรวนที่พันธนาการครอบครัวของข้า, ข้าก็ขอเลือกที่จะตายดีกว่า”


 


“เห้อ! ก็แค่บลัฟนั่นแหล่ะ!”


 


“มาร์ควิสเทราต์……คนที่ห่วงแค่ตัวเองอย่างเจ้าไม่มีวันเข้าใจหรอก แม่ที่คิดถึงลูกของตัวเองหน่ะแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าจินตนาการเอาไว้เยอะ ถ้าเจ้าจะฆ่าข้าก็ลงมือได้แล้ว!”


 


ในขณะที่พูด, คุณนายซิมเมลก็เข้าไปใกล้อัศวินที่เอาหอกจ่อเธออยู่


 


อัศวินคนนั้นหันไปมองมาร์ควิสเทราต์ด้วยความลำบากใจ


 


ซึ่งมาร์ควิสก็ได้ส่ายศรีษะในขณะที่แสดงสีหน้าบึ้งตึง


 


ถ้าเขาฆ่าเธอที่นี่, เอิร์ลทาร์นาทจะเข้ามาโจมตีเขาอย่างแน่นอน


 


มาร์ควิสตัดสินใจว่าควรหลีกเลี่ยงความสูญเสียทั้งหมดแล้วกระตุ้นให้อัศวินคนนั้นจับตัวคุณนายซิมเมลมาให้เขา


 


“เอาตัวนั่งนั่นมาให้ข้า!”


 


“อย่ามาแตะต้องข้านะ!”


 


“ยังไงดีหล่ะ? เอิร์ลทาร์นาท เจ้ายังอยากจะสู้ต่อไหม?”


 


มาร์ควิสเทราต์ดึงมีดของเขาออกมาแล้วจ่อไปที่คอของคุณนายซิมเมล


 


ความลังเลแสดงอยู่บนหน้าของเอิร์ลอย่างชัดเจน


 


เมื่อเห็นแบบนี้, คุณนายซิมเมลก็หลับตาและเตรียมใจยอมรับชะตากรรมของตัวเอง


 


จากนั้น


 


“เอิร์ลทาร์นาท……ทำตามที่ต้องการเถอะค่ะ”


 


“….ข้าขอยอมรับในความเด็ดเดี่ยวของเจ้า”


 


ทั้งสองตัดสินใจได้แล้ว


 


เมื่อเห็นแบบนี้, มาร์ควิสเทราต์ก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว


 


อย่างไรก็ตาม, มาร์ควิสได้หัวเราะออกมาอย่างหงุดหงิดด้วย


 


“ฮ่า, ฮ่าฮ่า, ฮ่าฮ่าฮ่า!! พวกเจ้าอยากตายกันขนาดนั้นเลยหรอ!? ไอ้พวกโง่! มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต! มีแค่พวกโง่เท่านั้นแหล่ะที่เลือกจะเอาชีวิตตัวเองไปทิ้ง! เจ้าบอกว่าเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเพื่อปกป้องอะไรซักอย่างสินะ? มันไม่มีอะไรที่สามารถปกป้องได้ด้วยการสละชีวิตกระจ้อยร่อยของเจ้าหรอก! จักรวรรดิจะไม่มีวันช่วยเหลือเจ้า!”


 


“ไม่ใช่หรอกค่ะ, ฝ่าบาทจะไม่มีวันทอดทิ้งขุนนางที่ยังมีใจมุ่งมั่นอยู่”


 


มีเสียงดังก้องขึ้นมา


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, ทั้งห้องก็ดังก้องไปด้วยเสียงลึกลับ


 


เมื่อได้ยินเสียงนั้น, หนังตาของทุกคนก็หนักขึ้นมาและบางคนก็ถึงกับทรุดลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น พวกเขาถูกโจมตีด้วยอาการง่วงอย่างกระทันหัน มันคือเวทมนตร์ที่แม้แต่อัศวินก็ยังรู้สึกว่าอยากที่จะต้านทาน


 


“หนอย….อะไรกัน……?”


 


อัศวินทุกคนหมดสภาพแล้ว


 


“ขออภัยด้วยค่ะ มันปรับแต่งค่อนข้างยาก”


 


เด็กสาวพูดในขณะที่เข้ามาในห้องพร้อมกับควงหอกของเธอ


 


ในตอนที่เด็กสาวหยุดควงหอก, เสียงที่ชวนให้รู้สึกง่วงก็หยุดลงในที่สุด


 


“ขอบคุณค่ะ คุณลินเฟีย”


 


“ไม่หรอกค่ะ, มันเป็นงานของข้าอยู่แล้ว”


 


ในขณะที่ตอบฟีเน่ไปตามปกติ, ลินเฟียก็แยกตัวคุณนายซิมเมลออกมาจากมาร์ควิสเทราต์


 


จากนั้นเธอก็พูดขอโทษคุณนายที่หลบใหลไปแล้ว


 


“ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ท่านได้รับผลของมันไปด้วย”


 


หอกจากดาบเวทมนตร์ของลินเฟียสามารถส่งเสียงที่ชักจูงให้ผู้คนหลับไหลได้ด้วยการควงมันเป็นวงกลม แต่ในห้องแคบๆนั้น, ผลของมันจะไม่สามารถระบุเฉพาะตัวบุคคลได้


 


อย่างดีที่สุด, เธอสามารถเหวี่ยงมันไปข้างหน้าหรือเล็งไปยังทิศทางนึงได้ ซึ่งในสถานการณ์ที่เธอต้องใช้ในห้องที่คนพลุกพล่านอย่างเมื่อก่อนหน้านี้, มันก็จะส่งผลกับทุกคน


 


อย่างไรก็ตาม, เธอสามารถกำราบอัศวินทุกคนได้แล้ว


 


ในตอนที่เห็นเด็กสาวเบื้องหน้าเขา, มาร์ควิสเทราต์ก็ยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์


 


“ชิ…..ใครกัน……?”


 


“ฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ ผู้ส่งสารขององค์จักรพรรดิค่ะ”


 


“เจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินหรอ….? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…..?”


 


“ข้ามาช่วยตัวประกันค่ะ”


 


“ไร้สาระ….ก, การ์ด!? เข้ามาที่นี่เร็ว!”


 


“พวกเขาหลับไปหมดแล้วครับ แต่การคุ้มกันแน่นหนามากข้าอาจจะเผลอหลุดไปซักคนสองคนก็ได้”


 


เซบาสพูดในขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้นข้างฟีเน่


 


เซบาสได้ทำลายการรักษาความปลอดภัยทั้งหมดในอาคารโดยไม่ได้ส่งเสียงเลย ซึ่งผลก็คือ, มาร์ควิสเทราต์ไม่ได้รู้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกเขาเลยซักนิดและถูกลินเฟียลอบโจมตี


 


“ม, ไม่มีทางหน่า….ด, ดยุคครูเกอร์ไม่มีวันยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่!”


 


“ถ้าดยุคครูเกอร์หล่ะก็ตอนนี้กำลังถูกองค์ชายลีโอนาร์ดตามล่าอยู่ครับ ถึงยังนี่มันก็เป็นแผนการดั้งเดิมของพวกเราอยู่แล้ว”


 


“ข, ขบวนผู้ส่งสารเป็นแค่แผนลอบโจมตีพวกเราหรอ!? ไอ้พวกขี้ขลาด!?”


 


“มันไม่ใช่การลอบโจมตีค่ะ คำสั่งของจักรพรรดิที่ส่งมาให้ดยุคครูเกอร์ก็คือคำสั่งให้เขายอมจำนนซะ พวกเรากำลังลงโทษเขาเพราะเขาปฏิเสธที่จะทำตาม ถึงอย่างนั้น, ข้าก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่ใช่การใช้เล่ห์เหลี่ยม แต่ว่า, ถ้าสามารถช่วยหลายชีวิตได้ด้วยการทำแบบนี้ไม่ว่าจะดูขี้ขลาดแค่ไหน, พวกเราก็จะทำค่ะ ถึงแม้ว่าพวกเราจะขี้ขลาด, แต่พวกท่านนั้นเป็นคนต่ำช้า แถม, ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าพวกเราปฏิเสธตอนไหนว่าพวกเราไม่ขี้ขลาด”


 


ในตอนที่ฟีเน่จบการสนทนา, ลินเฟียก็เอาหอกกระแทกมาร์ควิสจนเขาสลบไป


 


หลังจากที่เห็นแบบนั้น, ฟีเน่ก็มองเอิร์ลทาร์นาท


 


“ข้าขออนุญาตแนะนำตัวอีกครั้งนะคะ, ข้าเป็นผู้ส่งสารของจักรพรรดิ, ฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ พวกเราขอโทษด้วยที่ใช้เวลานานขนาดนี้กว่าจะมาช่วยพวกท่านได้”


 


“ฝ, ฝ่าบาท….ท่านไม่ได้ทอดทิ้งพวกเรา……”


 


“ช่างเป็นพระคุณยิ่งนัก…….”


 


เหล่าขุนนางอาวุโสที่อยู่ข้างหลังเริ่มร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ


 


ฟีเน่มองพวกเขาด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน


 


จากนั้นเธอก็รอให้พวกเขาสงบลงแล้วเริ่มอธิบายสถานการณ์


 


“ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องทุกคนที่นี่ค่ะ ในปราสาทหลังนี้มีลูกน้องของพวกท่านอยู่มากมาย พวกเขาต้องต่อสู้กับพวกเราเพราะทุกคนถูกจับเป็นตัวประกัน ได้โปรดเถอะค่ะ, ช่วยโน้มน้าวให้พวกเขายอมวางอาวุธลงเถอะ”


 


“แน่นอนครับ”


 


“…..ท่านคือเอิร์ล, ทาร์นาทใช่ไหมคะ?”


 


“ครับ”


 


“พวกเรา….พวกเราได้จัดการอัศวินของท่านไปคนนึง ก่อนที่เขาจะสิ้นลม, เขาได้บอกพวกเราว่าท่านถูกจับเป็นตัวประกัน….ท่านมีลูกน้องดีๆคอยรับใช้อยู่นะคะ”


 


ฟีเน่ไม่ได้ขอโทษ


 


เธอคิดว่าไม่ว่าจะเอิร์ลทาร์นาทหรืออัศวินที่ตายไปก็ไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากเธอ


 


ด้วยการเม้มริมฝีปากแน่น, เอิร์ลก็พยักหน้าตอบอย่างเงียบๆ


 


“ถ้างั้นพวกเราก็ควรไปกันได้แล้วค่ะ มุ่งหน้าไปยังที่ที่พวกเราจะตกเป็นเป้าสายตาแล้วให้พวกอัศวินได้รู้ว่าทุกคนปลอดภัยแล้ว”


 


“ข้าไม่มีปัญหาหรอกครับแต่ว่า…..มันยังมีตัวประกันกลุ่มอื่นอีก”


 


“กลุ่มอื่นหรอคะ?”


 


“ที่ถูกขังอยู่ที่นี่มีแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ขุนนางหลายคนได้ถูกพาตัวไปที่ปราสาทในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้”


 


พอได้ฟังเอิร์ลทาร์นาท, ฟีเน่ก็หันไปมองลินเฟียด้วยความกังวล


 


ลินเฟียเองก็มีสีหน้าคล้ายๆกัน


 


มันไม่ใช่แค่การโยกย้ายตัวประกันธรรมดาๆแน่


 


“ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆค่ะ”


 


“….ถ้าพวกเขาปลอดภัยก็คงจะดีนะคะ”


 


“พวกเรายังยืนยันไม่ได้ แต่สำหรับตอนนี้, พวกเราต้องให้อัศวินในปราสาทรู้ก่อนค่ะว่าคนที่นี่ปลอดภัยแล้ว ถ้าอัศวินหยุดขัดขวางพวกเราแม้ว่าจะเพียงนิดเดียว, มันก็จะช่วยให้เราค้นหาตัวประกันที่เหลือได้ง่ายขึ้น”


 


ลินเฟียตั้งเป้าหมายให้พวกเขาในทันทีแล้วอธิบายกับฟีเน่


 


ซึ่งฟีเน่ก็ได้พยักหน้าตอบเป็นการเห็นด้วย


 


อย่างไรก็ตาม, ความกังวลในใจเธอนั้นไม่ได้เลือนหายไปเลย


 


มีเรื่องเลวร้ายบางอย่างกำลังเกิดขึ้นอยู่


 


ด้วยความรู้สึกนั้น, ฟีเน่ก็ลูบเครื่องประดับผมของเธอ


 


มันเป็นการกระทำเพื่อเรียกความกล้าให้เธอมุ่งหน้าต่อไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม