Red Envelope อั่งเปาทะลุโลก 200-211

 CF:บทที่ 200 ชื่อเสียงในกองทัพ


ในครึ่งชั่วโมงต่อมา ทหารที่จะมารับอู๋ฮ่าวเหรินก็ได้มาถึง ขับรถของจี๊บทหารมาซึ่งดูแล้วน่าจะมียศพลตรี


ซึ่งอู๋ฮ่าวเหรินนั้นไม่คิดว่าจะเป็นคนระดับยศพลตรีที่ลงมาจากรถ ก่อนที่จะทำท่าวันทยหัตถ์ให้เขา แล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับ, คุณอู๋ฮ่าวเหริน ผมชื่อว่าหยางเจี่ย ผมได้รับคำสั่งให้มารับคุณไปที่สนามบินครับ”


“สวัสดีครับ นายพลหยาง ทำไมเขาถึงได้ส่งคนยศระดับนายพลมารับผมได้เนี่ย?”


“คุณอู๋ครับ, เรื่องครั้งนี้ผมรับอาสามาเองครับ ผมนั้นชื่นชมคุณที่มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนฟ้าร้องที่ดังก้องหูในกองทัพมานานแล้วครับ ผมจึงอยากที่จะได้พบกับคุณครับ”


เดี๋ยวก่อนนะ เหมือนฟ้าร้องที่ดังก้องหูในกองทัพเนี่ยนะ เป็นเพราะอิทธิพลของไฟฟ้าชีวภาพบำบัดงั้นเหรอ?


อู๋ฮ่าวเหรินนั้นไม่ค่อยมั่นใจ ถึงแม้เขาจะมีชื่อเสียงจากอุปกรณ์ไฟฟ้าชีวภาพบำบัดก็เถอะ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนระดับนายพลนั้นจะเปรียบชื่อเสียงของเขาว่าโด่งดังเหมือนฟ้าร้องที่ดังก้องหูได้เนี่ยมันออกจะเกินไปหน่อย


“โอ้, ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่า ผมจะมีชื่อเสียงมากขนาดนั้นในกองทัพเลยนะครับ”


“คุณอู๋ครับ คุณจะไม่มีชื่อเสียงในกองทัพได้ยังไงล่ะครับ ไหนจะเรื่องที่คุณคิดค้นอุปกรณ์ไฟฟ้าชีวภาพบำบัดขึ้นมา ไหนจะเรื่องที่คุณเป็นน้องเขยของจอมมารหลิงเหยาที่โด่งดังนั่นอีก คนๆนั้นน่ะได้ป่าวประกาศไปทั่วกองทัพแล้วว่า เขานั้นได้น้องเขยที่มีพรสวรรค์มากๆมาน่ะครับ”


“เดี๋ยวนะ หลิงเหยาป่าวประกาศเรื่องที่ผมเป็นน้องเขยของเขา! ไม่ใช่ว่าคุณย่าได้แถลงการณ์ออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”


“เอ๊ะ, เรื่องนั้นผมไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลยครับ”


ถึงแม้อู๋ฮ่าวเหรินจะรู้ดีว่าหมอนั่นค่อนข้างจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะเล่นป่าวประกาศในกองทัพแบบนี้, บ้าชิบ คราวหน้าถ้าฉันเจอเขา จะจับเขามาเล่นงานซะให้เข็ด


ไม่แปลกใจเลยว่าตอนที่ฉันเจอเขาก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเห็นฉันจากไกลๆ เขาก็รีบวิ่งหนีไปโดยทันที ราวกับว่าทำอะไรผิดเอาไว้


“ดังนั้นผมกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในกองทัพไปแล้วสินะครับ!”


“คุณอู๋ครับ ตอนนี้ในคนกองทัพทุกคน ต่างก็ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าชีวภาพบำบัดที่คุณคิดค้นขึ้นมากันทั้งนั้นนะครับ, ดูนี่สิ ผมเองก็มีเครื่องนึงนะครับ ผลิตภัณฑ์นี้มันเป็นสุดยอดอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจตราทหารอย่างพวกเราเลยล่ะครับ”


“อุปกรณ์ตรวจสอบตรา?”


“ใช่ครับ, ใครที่แอบอู้จะสามารถรู้ได้จากข้อมูลที่โชว์ขึ้นมาเลยล่ะครับ ว่ากันว่าแม้แต่ระดับนายพลที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมาก่อนก็ขยันอย่างหนักขึ้นทุกวันเลยครับ ตั้งแต่ที่พวกเขาได้อุปกรณ์ชิ้นนี้มาครับ” หยางเจี่ยพูดพร้อมกับรอยยิ้ม


อู๋ฮ่าวเหรินรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาราวกับว่าเขาได้ทำผิดต่อพวกนายพลทุกคนในกองทัพไปซะแล้ว


พอจะนึกภาพออกได้เลยว่า พวกเขานั้นต้องใส่อุปกรณ์แล้ว แล้วกัดฟันทนฝึกฝนร่างกาย

แล้วในขณะเดียวกัน ในใจก็กัดเขี้่ยวเคี้ยวใส่เขาแน่


ด้วยเจ้าเครื่องนี้ สภาพร่างกายของแต่ละคนจะสามารถรู้ได้ทันทีแค่มองเท่านั้น ลองคิดดูว่าจะเป็นการเหยียดหยามแค่ไหนที่คนระดับนายพลนั้น กลับมีความแข็งแกร่งของร่างกาย เท่ากับคนธรรมดาในกองทัพ


ถึงแม้จะไม่ต้องเทียบเท่ากับพวกระดับหัวกะทิพวกนั้น แต่อย่างน้อยก็ควรจะใกล้เคียงกับพวกทหารทั่วไป


เดิมที, ฉันคิดว่าเขาจะขับรถเข้าไปในเมือง แต่ไม่คิดว่ารถจะขับพาเขาไปบนภูเขา ซึ่งทำให้อู๋ฮ่าวเหรินรู้สึกสับสนขึ้นมานิดหน่อย


“นายพลหยางครับ, ทำไมเราถึงขับขึ้นมาบนเขางั้นเหรอครับ? ที่นี่มีฐานทัพอยู่ด้วยงั้นเหรอครับ?”


“ไม่นานมานี้ มีสนามบินเล็กๆของกองทัพได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่ และมีกองทัพประจำการอยู่”


อู๋ฮ่าวเหรินพอจะเดาได้ว่าค่ายทหารนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นมาเพราะเรื่องของฟิวเจอร์กรุ๊ป การถูกปล้นในคราวที่แล้วน่าจะสร้างปัญหาให้กับเบื้องบนพอสมควร


หลังจากที่ขับรถขึ้นเขามาได้ซัก 10 นาที, อู๋ฮ่าวเหรินก็พบฐานทัพที่ดูเหมือนไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่มีอยู่มานานแล้ว


เมื่อสักครู่ ดูเหมือนจะมีเฮลิคอปเตอร์จู่โจมบินผ่านเขาไป มองไปที่สายตาของทหารแต่ละคนแล้ว ถ้าไม่มีกฏของกองทัพแล้ว พวกเขาคงจะวิ่งมาหาเป็นแน่


เขานั้นไม่คิดว่า จะใช้เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นแค่ขนส่งของแน่ๆ เมื่อเขาเห็นเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นบินลงมา อู๋ฮ่าวเหรินจึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเขานั้นกำลังอยู่ในค่ายทหาร


“คุณอู๋ครับ เดินเข้าไปหาคนที่เครื่องบินได้เลยนะครับ จะมีคนที่คอยรับคุณอยู่ที่นั่น ผมมาส่งคุณได้แค่นี้แหละครับ” หยางเจี่ยบอก


อู๋ฮ่าวเหรินมองไปที่เครื่องบินขนส่งกองทัพที่อยู่ตรงหน้าเขา พอเขาผงกหัว ก็มีทหารมาพาเขาขึ้นเครื่องบินไป และพบว่ามีทหารมากมายอยู่บนเครื่องบินแล้ว


มองดูเขาที่กำลังขึ้นมา, ทุกคนต่างก็ทำสีหน้าสงสัย และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


“เจียงซิง, เขาคือใครน่ะ?”


“ผมขอแนะนำให้พวกคุณได้รู้จักกับ คุณอู๋ฮ่าวเหริน ผู้คิดค้นอุปกรณ์ไฟฟ้าชีวภาพบำบัด”


“ว้าว! ไอดอล”


“นักประดิษฐ์อัจฉริยะตัวจริง ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั๊ยเนี่ย!”


“เพี๊ยะ”


“แกตบหน้าข้าทำไมฟระ?”


“เอ้า ก็ทำให้รู้ไงว่าไม่ได้ฝันไปไง มันคือเรื่องจริง พวกเราได้เจอกับไอดอลจริงๆ”


อู๋ฮ่าวเหรินมองดูผู้คนที่อยู่ข้างในก็สงสัยขึ้นมา ดูเหมือนทหารพวกนี้จะชื่นชมเขามาก


“เอ้าเงียบๆ ทุกคน เครื่องบินกำลังจะออกแล้ว คุณอู๋เชิญเชิญนั่งตรงนี้ครับ ถ้าเกิดมีปัญหาอะไร คุณบอกผมได้เลยนะครับ”


หลังจากที่เครื่องบินได้ขึ้นบินแล้ว, คนพวกนี้เหมือนจะอดไม่ได้ ก็มีทหารคนหนึ่งพูดถามอู๋ฮ่าวเหริน “คุณอู๋ครับ เจ้าอุปกรณ์ไฟฟ้าชีวภาพบำบัดของคุณเนี่ย มีฟังชั่นอะไรซ่อนอยู่บ้างรึเปล่าครับ เช่นว่าสามารถกระตุ้นให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นด้วยไฟฟ้าชีวภาพได้อะไรอย่างงี้?”


“ไอ้หนู แกดูหนังมากไปแล้ว ที่คิดจะพึ่งให้ไฟฟ้าชีวภาพกระตุ้นร่างกายให้แข็งแกร่งน่ะ, ถ้าคิดว่าจะฝึกด้วยลูกเล่นแบบนั้น หลังจากกลับไปคราวนี้ ผู้กองคนนี้จะเบิ้ลการฝึกให้แกเป็นสองเท่าเอง”


อู๋ฮ่าวเหรินนั้นไม่คิดว่า จะมีคนที่คิดแบบนั้นอยู่ด้วย จึงได้พูดกลับไป: “จากการวิจัยเรื่องนี้ในอนาคต, ไฟฟ้าชีวภาพบำบัดนั้น มีความสามารถที่กระตุ้นร่างกายให้แข็งแกร่งได้จริงครับ แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้ยังไม่สามารถทำได้ครับ”


“เห็นมั๊ย ที่ฉันพูดเป็นไปได้จริง, ถึงที่คุณพูดมาผมจะสับสนซักหน่อยก็เถอะ แต่ถ้าเรามีฟังชั่นการทำงานแบบนั้น ก็หมายความว่าแม้แต่ตอนที่เราก็หลับตอนกลางคืนก็จะมีค่าเท่ากับการฝึกอยู่เช่นกัน


“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แกเองก็อยู่ท้ายแถวอยู่ดีนั่นแหละ”


อู๋ฮ่าวเหรินมองดูผิวที่คล้ำของทหารพวกนี้แล้ว รูปร่างที่กำยำของพวกเขานั้น ถ้าปราศจากเทคโนโลยีปรับปรุงยีนส์แล้ว การกระตุ้นร่างกายพวกเขาให้แข็งแกร่งนั้นคงไม่มีผลอะไร


การกระตุ้นร่างกายด้วยไฟฟ้าชีวภาพบำบัดนั้น คือการใช้พลังงานในร่างกายของมนุษย์ทั้งหมดมาเสริมสร้างร่างกายเท่านั้น ส่วนเรื่องของการปรับแต่งร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น 3 เท่าของอู๋ฮ่าวเหรินนั้น คือการปรับแต่งร่างกายให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์, ดังนั้นลำพังแค่เครื่องไฟฟ้าชีวภาพบำบัดอย่างเดียวไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้


“จะว่าไป การฝึกของพวกคุณด้วยไฟฟ้าชีวภาพบำบัดนั้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นแค่ไหนครับ?”


ผู้กองก็พูดขึ้นมา “สภาพร่างกายของพวกเราโดยรวมนั้นดีขึ้นมาถึง 1 ใน 10 เลยล่ะครับ ซึ่งอุปกรณ์นี้มีส่วนช่วยอย่างมากเลยล่ะครับ มันสามารถช่วยให้พวกเราสามารถรู้ถึงขีดความสามารถของทหารแต่ละคน และสามารถเลือกหน้าที่ที่เหมาะสมกับพวกเขาได้ และด้วยอุปกรณ์นี้ พวกเราสามารถรู้การฝึกของทหารแต่ละคนได้ด้วย”


“ผู้กองครับ, พวกเรายังสามารถใช้ตรวจสุขภาพร่างกายของพวกเราได้ด้วย และช่วยให้พวกเราสามารถดูแลรักษาร่างกายของพวกเราได้ เมื่อก่อนมีหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บภายในจากการฝึกซ้อม แต่ในปัจจุบันไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว”


แน่นอนว่า ทหารคนนี้เองก็เป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์จากการตรวจอาการบาดเจ็บภายในนี้ และได้โชว์แขนของเขาออกมาให้ดูขณะที่พูด


จากที่ฟังพวกเขาแล้ว อู๋ฮ่าวเหรินก็ได้เรียนรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับไฟฟ้าชีวภาพบำบัดเพิ่มเติม เขาคิดว่าเขาน่าจะลองขอตรวจสอบทหารในกองทัพดู และถามความเห็นจากพวกเขาเพื่อมาใช้พัฒนาฟังชั่นใหม่ๆก็น่าจะดี


เมื่อลงมาจากครั้งบิน อู๋ฮ่าวเหรินก็ได้ยืนอยู่กับพวกเขาที่หน้าเครื่องบินเพื่อถ่ายรูปที่ระลึก ซึ่งทำให้ทหารพวกนี้มีความสุขมาก แม้แต่ผู้กองเองยังมาขอรูปถ่ายไปรูปหนึ่ง บอกว่าจะส่งไปให้ลูกสาวอายุ 8 ขวบของเขาดู


แม้สังคมจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่คนพวกนี้รักและหวงแหนนั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ความเชื่อเพียงอย่างเดียวของพวกเขามีเพียงการปกป้องครอบครัวและประเทศชาติของพวกเขา


ออกจากสนามบิน, อู่ฮ่าวเหรินก็นั่งรถของฐานวิจัยหุ่นยนต์และมองดูท้องฟ้าข้างนอกที่เริ่มมืดแล้ว


CF:บทที่ 201 ความอับอาย

เห็นได้ชัดว่า สถาบันวิจัยลับเช่นนี้ไม่สามารถสร้างอยู่บริเวณชานเมืองได้ หลังจากขับรถมาได้สักพักแล้วก็เข้าไปในภูเขาอีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น อู๋ ฮ่าวเหริน ยังพบว่ามีด่านลับอีกหลายๆด่านที่ซ่อนอยู่ในภูเขา พร้อมเหล่าทหารคอยป้องกันสถาบันวิจัย

ราว 20 นาทีต่อมา อู๋ ฮ่าวเหรินจึงจอดรถ เขาเห็นบ้านที่ฝังตัวอยู่ในภูเขาตรงหน้า นี่ล่ะคือความลับจริงๆ ที่แม้แต่ดาวเทียมสอดแนมยังหาไม่เจอ

นอกจากนี้ ยังได้ปลูกต้นไม้เป็นจำนวนมากเพื่อที่จะปกป้องภูเขารอบๆนี้

“คุณอู๋ เชิญคุณพักที่นี่เป็นเวลาหนึ่งคืน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปสถาบันวิจัย”

การได้เข้ามาที่นี่ อู๋ ฮ่าวเหริน ไม่กล้าที่จะใช้ความรู้ออกไปมั่วๆ เพราะถ้าพวกเขาจับท่าทีได้ล่ะก็ ต้องแย่แน่ๆ

ดังนั้น อู๋ ฮ่าวเหริน จึงทำได้แค่เข้าไปในระบบซองแดงและฝึกความเร็วมือกับคนพวกนั้น

“แปลกไหมที่ที่นั่นมีอารยธรรมอันแตกต่างจากมนุษย์เราที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบซองแดง แล้วนี่ทำไมถึงไม่มีคนใหม่ๆเพิ่มเข้ามาเลยล่ะ

“ในปัจจุบัน มีเพียงอารยธรรมไม่กี่อย่างที่เรามีเหมือนๆกัน และกลุ่มเทียนหยูก็กำลังสนับสนุนเรื่องนี้ มีคนเพียงไม่มากที่ยังมีอารยธรรมอื่นๆ ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับโชคว่าจะมีคนใหม่ๆจากอารยธรรมอื่นมาอีกหรือไม่”

อู๋ ฮ่าวเหริน ดูข้อมูลที่พวกเขากำลังคุยกัน จากนั้นจึงถามขึ้น “พวกคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับอารยธรรมอื่นๆอีกไหม ผมอยากจะรู้จักอารยธรรมพวกนั้นก่อนและหลังจากนั้นก็จะเป็นสิ่งที่พวกเขาส่งออกไป นั่นคงจะดี”

“อ่ะ นี่ไงล่ะ สารานุกรมพันธมิตรจักรวาล มีบทนำในทุกๆเรื่องเพื่อใช้ค้นหาเรื่องอารยธรรม แต่ว่านะ ฉันไม่เคยได้ยินว่าเคยมีใครอ่านบทนำพวกนี้หรอก”

อู๋ ฮ่าวเหริน มองไปที่อุปกรณ์คล้ายกับหนังสือ หลังจากอ่านบทนำแล้ว มันก็คือหนังสือดีๆนี่เอง แต่อย่างไรก็ตาม วิธีที่ใช้อ่านหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างไม่เหมือนใคร เหมือนกับเกมที่มีผู้เล่นคนเดียวและคอยเชิญชวนให้คนเข้าไปในโลกของหนังสือเพื่อดูสิ่งต่างๆ

เริ่มแรกนั้น แค่ต้องการเอามันออกมาดู แต่เขาคิดว่าตอนนี้อยู่ในโรงนอนทหาร อู๋ ฮ่าวเหริน คิดว่าควรจะระวังไว้ดีกว่า

ในกลุ่มเดอะเชฟ หลังจากพูดคุยกับคุณลุงชาวจีนสักพักแล้วนั้น อู๋ ฮ่าวเหริน จึงออกจากระบบซองแดงพลางมองดูความวุ่นวายต่างๆของระบบดังกล่าว นอกจากนี้ ไวน์บางส่วนสำหรับคุณปู่ไปแล้วนั้น คงมีอุปกรณ์บางส่วน ซึ่งทั้งหมดนั้นเขาได้มาจากการฝึกปล้นซองแดงในช่วงนี้

ตัวอย่างเช่น รุ่นเรือรบสุดหล่อโคตรเจ๋ง, อุปกรณ์สื่อสารของมิสเตอร์เรดาห์, อัญมณีลักษณะแปลกๆจากแร่หิน ฯลฯ

เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า

อู๋ ฮ่าวเหรินมองไปที่ทหารที่กำลังฝึกอยู่ด้านนอก หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เขาจึงตามพวกทหารเข้าไปในภูเขาลึกขึ้นกว่าเดิม

“อาจารย์โจ้ว คุณอู๋ ฮ่าวเหริน มาแล้วครับ ตอนนี้อยู่ข้างนอก”

ชายสูงวัยอายุประมาณ 50 ปี วางอุปกรณ์ลง เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ยว่า “ออกไปพบหนุ่มน้อยคนเก่งกันเถอะ”

ในขณะที่มองไปที่อาจารย์โจ้ว เซวี่ยหงนั้น อู๋ ฮ่าวเหรินก็รู้ว่าเขาคือผู้อำนวยการหลักของสถาบันวิจัยหุ่นยนต์และเป็นผู้พัฒนาหุ่นยนต์รายใหญ่อีกด้วย

“คุณอู๋ คุณอยากจะพักสักหน่อยหรือจะออกไปดูหุ่นยนต์เลยดีล่ะ”

“ไปเลยสิครับ ผมเองก็อยากจะรู้ระดับของการวิจัยหุ่นยนต์ในประเทศนี้เหมือนกัน”

หลังจากได้ยินน้ำเสียงของ อู๋ ฮ่าวเหรินแล้วนั้น นักวิจัยหุ่นยนต์บางคนที่อยู่ข้างๆ โจ้ว เซวี่ยหงนั้นต่างก็หมดความประทับใจในตัวของเขาทันที

แน่นอนว่า อู๋ ฮ่าวเหรินจะไม่ถูกตำหนิเพราะข้อมูลที่เขาได้รับมาก็คือเชิญมาสอนเรื่องการวิจัยหุ่นยนต์

แต่ทว่า บรรดานักวิจัยที่ภูเขานี้ต่างก็ไม่รู้ว่า อู๋ ฮ่าวเหรินนั้นพัฒนาหุ่นยนต์และข้อมูลข้างต้นก็ไม่ได้ส่งมาที่นี่

“ผู้ชายอะไร ไม่มีมารยาท ฉันคงจะคิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะ ทำได้ทุกอย่าง ฟังจากน้ำเสียงเขาสิ ทำยังกับว่าตัวเองมีงานวิจัยหุ่นยนต์มากมายอย่างงั้นแหละ”

“ใช่ๆ พวกเราไม่ต้องการให้เขามาแก้ไขปัญหาระบบอัจฉริยะหรอก พวกเราคิดว่าเขาควรจะไปศึกษาหุ่นยนต์ ถึงแม้จะไม่รู้วิธีสร้างส่วนประกอบก็เถอะ”

“หรือจะพูดสั้นๆคือพวกเราไม่เก่งเหมือนคนอื่นที่จะส่งเสริมระบบสติปัญญาหรอก”

อู๋ ฮ่าวเหรินถูกนำตัวมาที่ห้องแล็บขนาดใหญ่ซึ่งถูกขุดลึกลงมาในเขา ถ้าคุณได้มองอุปกรณ์ที่นี่และพอคิดถึงของตัวเอง เขาถึงกับพูดไม่ออก

คนแถวนั้นต่างมองท่าทีที่ อู๋ ฮ่าวเหรินแสดงออกมา พวกเขาเองรู้สึกภูมิใจ เมื่อคุณเจอเรื่องให้ประหลาดใจแล้ว พวกเขาก็คิดว่าเรื่องถัดไปคุณจะได้รู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่า

“ผู่เฒ่าโจ้ว นี่คืออะไร ดูเหมือนชิ้นส่วนของหุ่นยนต์เลยนี่ ใช่ไหม”

“นี่เป็นส่วนแขนของหุ่นยนต์ เราสามารถทำให้แขนของหุ่นยนต์เคลื่อนไหวแบบยืดหยุ่นไปมาได้โดยอาศัยเทคโนโลยีแกนกับล้อ” โจ้ว เซวี่ยหงอธิบาย

อู๋ ฮ่าวเหริน มองการเคลื่อนไหวที่ยืดหยุ่นไปมาตามที่เขาพูด ราวกับว่าสิ่งนี้ไม่ใช่แม่เหล็กที่อาศัยเทคโนโลยี แม้ว่าจะต้องรู้สึกอายที่จะต้องมาฟังตั้งแต่เริ่มแรก แต่ผมก็พูดอะไรไม่ได้จนเมื่อมองไปที่สีหน้าของชายชราและช่างที่ยืนอยู่รอบๆ

กับคนพวกนี้ การที่ต้องมาเรียนเรื่องเทคโนโลยีการผลิตหุ่นยนต์ขั้นสูงนั้นทำให้ อู๋ ฮ่าวเหรินรู้สึกอับอายไม่น้อย เขาไม่สามารถพูดได้ว่าพวกคุณทั้งหมดจะต้องถูกกำจัดและความมั่นใจของพวกเขาจะต้องพังทลาย

แต่ในท้ายที่สุด จากการศึกษาเหล่านี้ พวกเราต่างพบสิ่งอะไรดีๆบางอย่างซึ่งก็คือ ระบบพลัง แต่ว่าผู้คนกลับไม่ใช้เครื่องยนต์พวกนี้ที่พวกเขาจ่ายไป

“ระบบพลังนี้ล่ะดี สามารถจ่ายพลังงานไปให้หุ่นยนต์ได้ใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำให้หุ่นยนต์วิ่งได้นานขึ้น”

อู๋ ฮ่าวเหรินรู้สึกว่าเขาเองดูถูกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลก บางสิ่งอาจได้รับการพัฒนา แต่กลับถูกประเทศเหล่านั้นซ่อนเร้น ไม่ยอมเปิดเผยให้ผู้คนรับรู้

ทีแรก ผมคิดว่าถ้ามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นั่นอาจจะก่อปัญหาได้ แต่ดูท่าผมคงต้องคิดเรื่องนี้ให้หนักแล้ว

“คุณอู๋คิดอย่างไรกับหุ่นยนต์ของพวกเราครับ”

“เอ่อ ระบบพลังดี ก้าวล้ำไปไกลกว่าที่ผมคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเชื้อเพลิง”

หน้าของโจ้ว เซวี่ยหงตึงขึ้นเล็กน้อย เขาคิดว่าคนอัจฉริยะควรจะต้องถ่อมตนและขยัน แต่นี่กลับเป็นเด็กหนุ่มที่ดูอวดภูมิและเย่อหยิ่ง

“หมายความว่ายังไง เราทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้แล้ว นี่คุณคงไม่คิดที่จะประดิษฐ์ของเพียงแค่จะดูถูกคนหรอกนะ” นักวิจัยคนหนึ่งอดพูดขึ้นไม่ได้

ในตอนนั้นเอง ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีตื่นเต้นก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ครูครับ ครู ผมเพิ่งได้รับข่าวมา เมื่อวานนี้ คุณอู๋ ฮ่าวเหรินได้พัฒนาหุ่นยนต์สูงสี่เมตร ยืดหยุ่นดีมากเหมือนกับใช้เทคโนโลยีแม่เหล็ก รวมทั้งยังแก้ระบบความสมดุลและระบบการควบคุมของหุ่นยนต์ด้วย”

“เอ่อ ทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ อ้าว คุณอู๋ มาแล้วนี่นา เร็วจังนะครับ”

หลังจากได้เห็นท่าทีที่ตื่นเต้นของนักเรียนตน และข่าวที่นักเรียนคนนั้นเพิ่งพูดออกมานั้นทำให้บรรยากาศในสถาบันวิจัยเต็มไปด้วยความอับอายในทันที

นักวิจัยคนที่เพิ่งพูดไปถึงกับหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหน้า เขาอยากจะหารูหนูมุดหนีลงไปเสียจริง

ในตอนนี้ คนกลุ่มดังกล่าวต่างเข้าใจแล้วว่าทำไมอู๋ ฮ่าวเหรินจึงไม่ได้ออกความเห็นใดๆเมื่อเขาเห็นชิ้นส่วนหุ่นยนต์

พวกเขาแต่ละคนต่างยกย่องว่าชิ้นส่วนพวกนี้ดีมาก คุณคิดว่าพวกมันเป็นอย่างไร คุณคิดว่าชิ้นส่วนพวกนี้เป็นขยะที่ไร้ประโยชน์ไหม

อู๋ ฮ่าวเหรินเองไม่ได้คาดหวังว่าจะเกิดอะไรแบบนี้ เขาคิดว่าคนพวกนี้รู้อยู่แล้วว่าเขาพัฒนาหุ่นยนต์ ด้วยเหตุนั้น เขาจึงถูกขอให้มาที่นี่เพื่ออภิปรายเรื่องเทคโนโลยีเกี่ยวกับหุ่นยนต์

หลังจากช่วงเวลาอันแสนนานผ่านไป คนพวกนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกเลย โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ออกความเห็นอะไรแล้วในตอนนี้ หรือไม่เช่นนั้นก็คงรู้สึกอายถ้าเกิดจะเถียงอะไรขึ้นมา

“ครูครับ เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ คุณอู๋มาแล้ว ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น” นักเรียนของโจ้ว เซวี่ยหงถามในสิ่งที่แทงใจทุกคนเข้าอย่างจังอีกครั้ง

อู๋ ฮ่าวเหริน เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้น “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ผมแค่จะมาคุยเรื่องหุ่นยนต์กับพวกเขาเท่านั้นเอง”

—————————


CF:บทที่ 202 หุ่นยนต์สู้รบ

นักวิจัยต่างขอโทษขอโพยอู๋ ฮ่าวเหริน และเขาก็เห็นว่าคนที่นี่ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในงานวิจัยและพัฒนา ล้วนเป็นคนจริงใจเพราะต่างมาขอโทษในสิ่งที่ทำผิดไป

จากนั้น ผู้คนก็มาห้อมล้อมอู๋ ฮ่าวเหริน และเริ่มที่จะ “ระดมยิง”คำถามใส่เขา และถามทุกคำถามเกี่ยวกับหุ่นยนต์

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามอู๋ ฮ่าวเหรินคิดว่า ช่างโชคดีเสียจริง เพราะเขาเรียนรู้เรื่องพวกนี้มามากเมื่อครั้งยังทำงานเป็นหุ่นยนต์

เช่นนั้นแล้ว เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาจากผู้เชี่ยวชาญ เราจึงต้องสำแดงสักหน่อย

“คุณอู๋ เราได้รู้และศึกษาเรื่องแม่เหล็กที่ใช้เทคโนโลยีตามที่คุณบอก แต่เรากลับพบว่าการใช้เทคโนโลยีไม่สามารถแก้ปัญหาภายในตอนนี้ได้เลย”

“คุณอู๋ ผมไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาความสมดุลของหุ่นยนต์ยังไง หุ่นยนต์เรามีปฏิกิริยาบางอย่างที่ล้มเหลวเสมอ”

“ครูครับ ดูวิจัยของผมหน่อย…”

“…”

เมื่อได้ฟังคำถามต่างๆของนักวิจัย อู๋ ฮ่าวเหรินถึงกับนิ่งไป ความปรารถนาที่จะรู้เรื่องหุ่นยนต์ของพวกเขาช่างไม่ต่างกับปีศาจ

“เอ่อ หยุดก่อน พวกคุณเล่นถามกันแบบนี้ แล้วคุณอู๋ ฮ่าวเหรินจะตอบอย่างไรล่ะ”

อู๋ ฮ่าวเหรินมองไปที่โจ้ว เซวี่ยหง อย่างนึกขอบคุณ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ท่านผู้เฒ่าโจ้ว อย่าเรียกผมว่าครูเลย ผมคงไม่เหมาะกับคำนั้นหรอกครับ”

“ไม่เลย คุณน่ะเป็นครู การวิจัยเรื่องหุ่นยนต์ของคุณก็นับว่าเป็นครูของผมได้จริงๆ นี่คุณอู๋ ผมไม่รู้เกี่ยวกับปัญหาของระบบควบคุมเลย เราจะมีวิธีแก้อย่างไรหรือครับ”

เขารู้สึกเวียนหัวเมื่อรู้สึกว่าต้องตามแก้ปัญหารอบตัวนี้อยู่คนเดียว ทั้งยังอยากจะถามคำถามที่อยากจะถามมาตั้งแต่แรก

“ท่านผู้เฒ่าโจ้ว ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีอุปกรณ์อะไรที่สามารถเชื่อมต่อภายนอกได้ไหม ผมจะส่งข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับหุ่นยนต์ไปให้สำหรับงานวิจัยของคุณ ถ้ามีอะไรที่คุณไม่เข้าใจ ก็ถามผมได้ครับ”

อู๋ ฮ่าวเหรินเห็นสายตาที่ทุกคนมองมา นี่เขาตอบคำถามไปทีละคนเขาจนไม่รู้ว่าตอบคนนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่

“อืม เป็นวิธีที่ดีเลย เจิ้ง หมิงเจิน พาคุณอู๋ไปกับคุณด้วย แล้วก็ลืมเรื่องนั้นไปเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

อู๋ ฮ่าวเหรินเดินตาม โจ้ว เซวี่ยหงไปยังบ้านที่ซ่อนอยู่ในหุบเขา พอไปถึงเขาก็ได้เห็นอะไรบางอย่าง

ในนี้มีอุปกรณ์อยู่มากมาย รวมถึงทหารบางนายที่กำลังควบคุมอุปกรณ์เหล่านั้น เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังสอดส่องบริเวณโดยรอบ

“เป่า เฉิงจือแจ้งข้างนอก ให้เปิดการติดต่อภายนอกและให้คุณอู๋ ส่งข้อมูลบางอย่างมา”

“ครับ อาจารย์โจ้ว เดี๋ยวผมจะติดต่อข้างนอกให้”

ดูเหมือนว่ามาตรการการป้องกันภัยของที่นี่นั้นจะเข้มงวดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเขตการติดต่อภายนอก พวกเขาต่างกลัวที่จะเข้าไปรวมกับพวกสายลับและการเปิดเผยเทคโนโลยีอย่างชัดเจน

ความเร็วของอู๋ ฮ่าวเหรินนั้นไวมาก ผ่านไป 2 นาที ข้อมูลทั้งหมดก็ได้รับการส่งต่อจากเขา

“ได้แล้วล่ะ”

“โจ้ว เหลา ข้อมูลทุกอย่างอยู่ในนั้นแล้ว คุณจะให้พวกเขาดูก่อนก็ได้ ถ้าพวกเขามีอะไรที่ไม่เข้าใจก็มาถามผมได้”

เมื่อโจ้ว เซวี่ยหง ได้การ์ดบรรจุข้อมูลจากอู๋ ฮ่าวเหรินแล้วนั้น มือของเขาก็สั่นรัว พลันถามขึ้น “ข้อมูลนี้จะรั่วหรือเปล่าถ้าส่งมาด้วยวิธีนี้”

อู๋ ฮ่าวเหรินยิ้มและพูดขึ้น “ไม่ต้องห่วงเลยครับ ด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ผมเชื่อว่าไม่มีใครบนโลกนี้จะขโมยข้อมูลไปได้”

“เรื่องจริงครับ ครู แฮกเกอร์ที่เจาะระบบทั่วโลกจะไม่เข้ามายุ่งกับระบบการป้องกันแบบเป็นทางการที่คุณอู๋ สร้างขึ้นมา และยิ่งไปกว่านั้นปัญญาประดิษฐ์ของพวกเรายังเป็นเทคโนโลยีที่ได้มาจากคุณอู๋ด้วย”

“ฉันคงแก่และตื่นเต้นเกินไปจนลืมเรื่องนั้น”

“อาจารย์โจ้ว เราได้ตรวจสอบการส่งผ่านข้อมูลของคุณอู๋อยู่ในตอนนี้ ไม่มีร่องรอยใดๆเหลือเลยครับ”

สิ่งนี้ทำให้ช่างต่างประหลาดใจไม่น้อย ไม่รู้เลยว่าอู๋ ฮ่าวเหริน กำจัดร่องรอยนั้นทิ้งไปได้อย่างไร

อู๋ ฮ่าวเหรินนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่พวกเขาเตรียมไว้ให้ มองไปยังผู้คนที่กำลังสาละวนอยู่ข้างล่าง พลางดื่มชาที่โจ้ว เซวี่ยหงเตรียมมาให้

มีคนบอกว่าคนธรรมดาไม่สามารถดื่มชาได้ จากสายตาของคนหนุ่มที่ชงชาให้เขา อู๋ ฮ่าวเหริน จึงรู้ว่านี่คือเรื่องจริง

อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเพลิดเพลินนั้นอยู่ได้เพียงไม่กี่นาที อาจารย์โจ้วก็เรียกตัวเขาไป จากนั้นจึงมีนักวิจัยระบบการออกแบบอาวุธที่อายุยังไม่มากนักเดินมาถามเขา “คุณอู๋ ผมสงสัยว่าคุณสามารถเพิ่มระบบอาวุธเข้าไปในตัวหุ่นยนต์ที่คุณออกแบบได้หรือเปล่า”

“ระบบอาวุธงั้นหรือ ตอนที่ผมออกแบบหุ่นยนต์ ผมเคยทดสอบดูอยู่ว่ามันจะได้ผลไหมหรือจะเอาเป็นแค่ตัวช่วยดี แต่ว่า ตอนหลังผมเห็นว่ายังมีปัญหาของระบบพลังที่ยังไม่ได้แก้ไข ดังนั้น ตัวหุ่นยนต์จึงขยายเป็นขนาดปัจจุบัน และผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่คุณพูดอย่างระบบอาวุธด้วย”

ถ้าจะบอกว่าเราออกแบบหุ่นยนต์ให้เป็นหุ่นยนต์สู้รบ แบบนั้นก็คงถึงเวลาที่จะถามว่าเขาต้องการจะทำอะไรเพื่อจะทำให้หุ่นยนต์นี้เป็นตัวอันตราย

“ถ้างั้นหุ่นยนต์ตัวนี้ เราสามารถเพิ่มระบบอาวุธในตัวมันได้ใช่ไหมครับ”

“เป็นไปได้อยู่แล้วครับ แต่เราจำเป็นต้องคิดคำนวณซ้ำๆในเรื่องระบบความสมดุลของหุ่นยนต์และการเปลี่ยนระบบควบคุม นอกจากนี้ ถ้าเริ่มติดตั้งระบบอาวุธแล้ว มันจะส่งผลให้หุ่นยนต์จุข้อมูลจำนวนมากเข้าไปในระบบพลังด้วย”

หลังจากได้ฟังคำตอบของอู๋ ฮ่าวเหริน แล้วนั้น นักวิจัยหนุ่มก็รู้สึกมีความสุขมาก พลางถามด้วยความกระตือรือร้น “ต้องปรับปรุงอย่างไรบ้างครับ”

“คุณต้องรู้ว่าเราจะใส่อาวุธชิ้นไหนเข้าไป จากนั้นก็ทดสอบระบบอาวุธก่อนที่จะทำการปรับปรุงใหม่ ผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอาวุธนักหรอกครับ ฉะนั้นแล้ว ผมจึงไม่รู้วิธีปรับปรุงมัน ตัวคุณเองก็สามารถสร้างและทดสอบมันได้นะครับ”

ในตอนนี้เอง โจ้ว เซวี่ยหง ก็เดินเข้ามาก่อนจะถามขึ้น “คุณอู๋ คุณคิดว่าเราสามารถสร้างหุ่นยนต์ด้วยอุปกรณ์พวกนี้ได้หรือเปล่า”

“ไม่มีปัญหาเลยครับ ผมคิดว่าหุ่นยนต์ที่สร้างด้วยอุปกรณ์พวกนี้ยังจะมีประสิทธิภาพมากกว่าตัวที่ผมสร้างอีก อย่างน้อยก็ในแง่ของพลังที่หุ่นของผมไม่สามารถเทียบเคียงได้”

อู๋ ฮ่าวเหริน มองไปที่หุ่นยนต์ที่พวกเขาใช้ศึกษา แล้วจึงกล่าวขึ้นแทบจะทันที “ทำไมพวกคุณถึงต้องการสร้างหุ่นยนต์ของผม คุณสามารถนำเทคโนโลยีของหุ่นยนต์ที่ผมใช้เอาไปใช้กับหุ่นยนต์ที่คุณวิจัยก็ได้นี่ ด้วยวิธีแบบนี้ ถ้าคุณต้องการจะสร้างหุ่นยนต์สู้รบ คุณก็ไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องระบบอาวุธอีก”

โจ้ว เซวี่ยหง รู้สึกช็อค เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนว่ามันจะอ่อนแอจริงๆ การนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับหุ่นยนต์ที่คุณศึกษาก็สามารถแก้ปัญหาไปได้หลายอย่าง

“ถ้าคุณไม่เข้าใจในปัญหาด้านเทคนิค ก็ถามผมได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอาวุธล่ะก็ คุณเองก็สามารถแก้ไขมันได้”

“ขอบคุณนะ ขอบคุณมากจริงๆ ผมคิดว่าอีกไม่นานจะต้องสำเร็จ” โจ้ว เซวี่ยหง รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง คำพูดที่ย้ำเตือนของอู๋ ฮ่าวเหริน ทำให้เขากระจ่างขึ้นมาทันที

โจ้ว เซวี่ยหงวิ่งไปหานักวิจัยอีกทางหนึ่งและบอกในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไป ปล่อยให้พวกเขาเปรียบเทียบเทคโนโลยีการผลิตหุ่นยนต์ของอู๋ ฮ่าวเหรินกับโครงการหุ่นยนต์ที่พวกเขาศึกษาเพื่อที่จะดูว่าพวกเขาสามารถใช้มันโดยตรงได้หรือเปล่า

เขามองผู้คนในสถาบันวิจัยเดินกันไปมา อู๋ ฮ่าวเหรินรู้มาก่อนหน้านี้นานแล้ว หุ่นยนต์สู้รบตัวแรกจะถือกำเนิดด้วยน้ำมือของมนุษย์

แม้ว่าเทคโนโลยีหลายๆอย่างของพวกเขาจะยังไม่ดีนัก แต่สำหรับการวิจัยเรื่องหุ่นยนต์ต่อสู้นั้น นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น

เมื่อไม่รู้จะทำอะไร อู๋ ฮ่าวเหรินจึงวิ่งขึ้นไปข้างบนเพื่อจิบชาอีกครั้ง

————————-


CF:บทที่ 203 การท้าทาย

เขาอยู่ที่ภูเขาเป็นเวลาสองวันแล้ว ตามคำขอแกมบังคับของ อู๋ ฮ่าวเหริน นักวิจัยจึงปล่อยตัวเขาไป

“คุณอู๋ที่โรงนอนทหาร ทหารหลายนายอยากเจอท่านนะครับ”

“โรงนอนทหารงั้นหรือ ได้สิ แต่ผมจะไม่ค้างคืนล่ะ เพราะผมต้องกลับไปที่บริษัทเลย”

อู๋ ฮ่าวเหริน คิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะเสาะหาความเห็นเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าบำบัด แค่อยากจะพูดกับพวกเขา

ทันทีที่รู้ว่า อู๋ ฮ่าวเหริน กำลังมา พวกเขาที่นี่ก็พร้อมแล้ว ทหารบางนายนั้นรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อรู้ข่าวนี้

แน่ล่ะ เพราะมีใครบางคนกำลังคิดวิธีที่จะจัดการเขาอยู่

“ไอ้หนูนั่นกำลังมา เหลาเหอ ถ้าคุณไม่คิดวิธีที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งล่ะก็ ฉันก็คงไม่อยากจะทำแบบนี้ ฉันเสียน้ำหนักไปแล้วอย่างน้อยสิบจิน แม้แต่จะกลับไปกินเนื้อที่บ้านยังไม่ได้เลย” นายพลกล่าวขึ้นอย่างเศร้าๆ

“ผลิตภัณฑ์นี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อจัดการกับนาย และในตอนนี้ เขายังเป็นแขกที่เราเชิญมาอีกด้วย ฉะนั้น นายจะทำอะไรเขาไม่ได้ แค่นี้คงเข้าใจนะ”

“ดูร่างกายของนายสิ ช่วงนี้ฉันน่ะออกกำลังกาย กล้ามเนื้อช่วงท้องของฉันก่อนหน้านี้ก็เข้าที่ไปแล้ว ฉันควรต้องขอบคุณคนอื่นๆด้วย”

“ขอบคุณนะ แต่นี่เป็นอาชญากรรมร้ายแรง ทุกเช้า ผมต้องตื่นมาฝึกกับกองทัพเด็กๆ หน้าฉันไหม้ไปหมด”

ในตอนนี้ เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง ลักษณะดูเหมือนนายพลก็เดินเข้ามา ก่อนจะหัวเราะและเอ่ยขึ้น “หมีแก่ที่นายถามถึงน่ะ ทำให้นายนึกถึงของที่แสดงสภาพร่างกายตัวเอง และนายจะได้ทำการทดลองกับตัวเองต่อหน้าทหาร”

“ดูเหลาเหอสิ เขาฝึกเงียบๆทุกวัน จนเขารู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงเกือบจะพอๆกับทหารพวกนั้นเลย เขากล้าที่จะนำอุปกรณ์ไปและเข้าหาพวกเขา”

เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้คือเหล่านายพลที่หลงในประสิทธิภาพสำหรับเครื่องมือไฟฟ้าบำบัดของอู๋ ฮ่าวเหริน พวกเขาประสบกับข้อมูลด้วยความเจ็บปวดที่แผดเผา เป็นเวลาชั่วครู่ที่พวกเขาต่างซ่อนตัวจากทหาร

ในตอนแรก เขาต้องการหาตัวอู๋ ฮ่าวเหริน เพื่อพยายามที่จะเปลี่ยนข้อมูลถ้าเขาโกงได้ ดังนั้น เขาจึงถูกวิจารณ์โดยตรงจากพวกทหาร ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนต่างโดนบังคับให้ถืออุปกรณ์นี้ทั้งนั้น

ถ้าคุณไม่อยากเสียหน้าล่ะก็ จงไปฝึกซะและคุณจะได้ร่างกายสมส่วนที่คุณเสียไปกลับคืนมา

บางคนก็รู้สึกเป็นทุกข์ใจจากอาชญากรรมที่มีมากมาย คุณจะไม่สามารถแม้กระทั่งแกล้งป่วยได้ แต่คุณสามารถแกล้งทำเป็นไม่สนใจข้อมูลพวกนั้นได้

“อืม เมื่อเด็กๆมา เราจะหาโอกาสแข่งกับเขา เพราะเขาผลิตอุปกรณ์ประเภทนั้นขึ้นมา ผมจึงเชื่อว่าความแข็งแกร่งเป็นเรื่องที่ดี

“ได้ ดีเลย งั้นเดี๋ยวเรามาจัดการแข่งทางทหารครั้งใหญ่กันเถอะ แล้วยังเป็นการทดสอบในช่วงของการฝึกอีกด้วย เรามาดูกันดีกว่าว่าอุปกรณ์ของเขาจะช่วยกองทัพเราได้อย่างไร”

อู๋ ฮ่าวเหรินไม่รู้อะไรอีกเลยว่าเขานั้นเป็นที่จดจำก่อนจะมาถึงที่โรงนอนทหาร แต่อย่างไรก็ตาม คนที่ต้องการมีปัญหากับเขา โดยเฉพาะกับการต่อสู้แล้วนั้น อาจจะพบว่าตนนั้นเล่นผิดคนแล้ว

เมื่อเข้ามาในโรงนอนทหาร อู๋ ฮ่าวเหริน ก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นพิธีต้อนรับซึ่งได้รับการจัดขึ้นเพื่อเขา

เมื่อเห็นนายพลหลายนายตบเท้าเข้ามา อู๋ ฮ่าวเหริน ยิ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นไปอีก โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินการแนะนำตัวของผู้คนถัดจากเขา

“มีคนบอกว่าคุณอู๋กำลังมา นายพลหลายท่านได้จัดเตรียมการแข่งขันกองพันทหารชุดใหญ่ พวกเขาต้องการที่จะแสดงให้คุณอู๋เห็นถึงผลลัพธ์ของเครื่องไฟฟ้าบำบัด”

ในตอนนั้นเอง นายพลซงก็ปรากฏตัวก่อนจะตบไหล่ของ อู๋ ฮ่าวเหรินพลางกล่าวขึ้น “นายเป็นเด็กดี หนุ่มน้อย ตอนที่ฉันเด็กเหมือนนาย ถ้าฉันฉลาดได้สักครึ่งแบบนี้ ก็อาจจะได้เข้าทำงานในสถาบันวิจัยไปแล้ว”

อู๋ ฮ่าวเหรินรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่อยู่บนไหล่ก่อนจะหันไปเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าท่านนายพล เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือความเคยชิน เพราะแรงนั้นเยอะเหลือเกิน

“ถ้าท่านนายพลซ่งไปทำงานในสถาบันวิจัย ประเทศของเราคงเสียนายพลที่คอยนำทัพไปน่ะสิครับ”

“ท่านคือคนสำคัญเลยนะครับ ท่านได้เข้าในสถาบันและผ่านวิชาการทหารได้ ถ้าอดีตท่านนายพลไม่เห็นว่าท่านเก่งแค่ไหน ท่านอาจจะถูกขับออกจากโรงนอนทหารนี้ไปแล้ว สวัสดี ผมชื่อ ลู่ ไป๋ชาน ได้ยินมาว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัดยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆอีก ถ้าเราพัฒนามันล่ะก็ กองทัพที่ห้าของเราคงจะได้เป็นทดลองเป็นกองทัพแรกแน่ๆ”

“กองทัพของเราตั้งใจจะเป็นคนทดลองกลุ่มแรก เพราะเมื่อนายมาโรงนอนทหาร ฉันจะให้อะไรดีๆกับนาย”

ในขณะที่มองกลุ่มนายพลโต้เถียงกัน ผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างๆต้องการจะเตือนความจำพวกเขา แต่พวกเขาดูกลัวที่จะสั่งออกไป

“ท่านนายพล การแข่งขันนั้นพร้อมแล้ว ท่านจะพาคุณอู๋ไปก่อนไหมครับ”

“เอาสิ ไป มากับฉัน หนุ่มน้อย เวลานี้ กองทัพที่สองจะต้องเข้าไปก่อน”

อู๋ ฮ่าวเหริน ตามพวกเขาเข้าไปพลางดูพวกเขาทุ่มเถียงกัน ต่างบอกว่ากองทัพของพวกเขาจะต้องเป็นที่หนึ่งในการแข่งขัน จากนั้นก็ไม่พูดอะไรกันอีก

เมื่อดูผ่านทีวี นายพลพวกนั้นดูองอาจมากเลยทีเดียว ทั้งๆที่พวกเขาดูเหมือนคนธรรมดา เมื่อมองรูปร่างภายนอก ในทีแรก พวกเขาพร้อมที่จะสู้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม

เมื่อพวกเรามาถึงสนามแข่ง ก็แจ้งผู้เล่นเรื่องรอบการแข่งขัน โดยรอบการแข่งจะเริ่มขึ้นเวลาใดก็ได้

เพราะนี่ไม่ใช่การแข่งขันของพวกทหารที่เป็นทางการ ไม่ต้องมีสุนทรพจน์ ทันทีที่เหล่านายพลและเขามาถึง การแข่งก็ได้เริ่มขึ้น

“หวังอู๋แห่งกองทัพที่สามกับหนิว ต้าเผิงแห่งกองทัพที่หก”

อู๋ ฮ่าวเหรินดูการแข่งขันโดยใช้ศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาและไม่สามารถละความสนใจไปได้เลย เพราะเขามักจะดูวิดีโอศิลปะการต่อสู้มากมายหลายรูปแบบผ่านทางระบบซองแดง

หลังจากผ่านไปหลายยก นายพลที่อยู่ข้างๆก็หันมาถามเขา “คุณอู๋ คุณคิดว่าผลของการฝึกทางทหารของเราเป็นอย่างๆไร”

“ฮ่าๆ ผลจากการฝึก ผมไม่เคยเห็นทหารคนก่อนๆของคุณคนไหนเลย แต่พวกเขาก็สู้ได้ดีนะครับ”

“ไม่รู้สิ คุณอู๋ คุณได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวนี้ คุณเคยใช้มันในการฝึกหรือเปล่า”

“แน่นอนครับ ผมใช้อยู่บางตัว ผมจะรู้ผลโดยไม่เคยใช้มันได้อย่างไร จากการวิจัย ผมจะมักจะเอามันติดตัวไปด้วยเสมอ เพราะมันช่วยในเรื่องการฝึกฝนร่างกายได้มาก”

“ดีเลย แต่คุณอาจจะมีปัญหาเล็กน้อยในภายหลังได้นะ คุณอู๋ เพราะคุณฝึกมา ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร”

อู๋ ฮ่าวเหริน งงไปเล็กน้อย แล้วปัญหาคืออะไรล่ะ ไม่น่ามีปัญหาอะไรหลังจากการฝึกนี่ใช่ไหม

“คุณอู๋ ท่านนายพลซงได้ยินมาว่าคุณยังใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัดเพื่อฝึกฝนอีกด้วย ผมอยากจะแข่งกับคุณในฐานะที่คุณเป็นผู้ผลิตจังเลย รู้ไหม” ผู้คุ้มกันเดินมาอยู่ข้างๆ อู๋ ฮ่าวเหรินพร้อมกับเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

หลังจากได้ยินคำถามดังกล่าว อู๋ ฮ่าวเหริน จึงได้เข้าใจว่าปัญหาที่นายพลอยากบอกให้เขารู้ในตอนนี้คืออะไร

กลายเป็นว่ามีใครบางคนกำลังเข้าท้าแข่งกับเขา และดูเหมือนว่านายพลพวกนี้จะไม่พอใจกับอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัดพวกนี้จริงๆ

อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจเมื่อเปรียบกับตัวเขาเอง อู๋ ฮ่าวเหริน มองไปยังข้อมูลที่กระจัดกระจายและข้อมูลจริงๆเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัด เพียงแต่ว่าต้องเพิ่มค่าอีกเป็นห้าเท่า

“ผมไม่คิดแบบนั้น ถ้าคุณทำให้นายพลเจ็บตัว คงไม่ดีแน่”

“สิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บก็คงเป็นแค่แขนเล็กๆกับลูกวัวเท่านั้นแหละ มานี่มา ถ้านายไม่สู้กับฉัน วันนี้ก็อย่าไปไหนเลย นี่เป็นเพราะผลิตภัณฑ์ของนายที่ทำให้ฉันดูโง่เง่าต่อหน้าพวกทหาร ฉันขอบอกให้นายรู้เลยนะว่าฉันรอคอยที่จะแก้แค้นนายในวันนี้”

อู๋ ฮ่าวเหริน ไม่ได้พูดอะไรต่อ นั่นก็ชัดเจนอยู่แล้ว

“ท่านนายพล ท่านแน่ใจว่าจะสู้กับผมงั้นหรือครับ ผมจะไม่ปล่อยคุณไปเมื่อผมได้เข้าประลองในสนามแข่งหรอกนะ”

“ฉันเองก็ไม่อยากให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อหรอกนะ ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่เอานายแรงทั้งๆที่ฉันทำได้หรอกนะ เพื่อความสบายใจ”

“ไม่อย่างงั้น ผมคงต้องแสดงข้อมูลของผม ให้ท่านตัดสินใจว่าจะสู้หรือไม่สู้ดีแล้วล่ะครับ”

“ไม่มีวัน เร็วเข้า มีแค่เรานี่ล่ะ”

“อืม อย่างที่ท่านเห็น ผมไม่ได้กลั่นแกล้งท่านแต่อย่างใดเลยนะครับ”

อู๋ ฮ่าวเหริน ถอดข้าวของออกก่อนจะวางลงบนเก้าอี้ ถอดเสื้อโค้ท หลังจากออกกำลังกายอีกเล็กน้อย เขาไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวแบบเดิมก่อนจะตามท่านนายพลไปที่เวที


————————-


CF:บทที่ 204 ท่านนายพลเจ็บตัว

ทหารสองนายก่อนหน้านี้ชนะการแข่งในรอบสุดท้าย และการแข่งขันก็จวนจะสิ้นสุดลงแล้ว คนพวกนี้นี่ดีมากจริงๆ อย่างน้อยกับการพัฒนาทางกายภาพมากกว่า 60%

เมื่อทหารที่ตามมาได้ยินว่าท่านนายพลซงกำลังจะเข้าแข่งขันกับ อู๋ ฮ่าวเหรินนักประดิษฐ์เครื่องไฟฟ้าบำบัด พวกเขาต่างก็คิดว่าได้ยินผิดไป

“ท่านนายพลซง ต้องการจะแข่งกับอู๋ ฮ่าวเหริน มีอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า”

“พูดให้เข้าใจก็คือ ท่านนายพล ซง ต้องการแก้แค้นให้ตัวเอง ครั้งก่อนน่ะ เขาเอาเครื่องไฟฟ้าบำบัดไปทดสอบกับข้อมูลต่อหน้าทั้งกองทัพ ทำให้ท่านนายพลดูเป็นตัวตลก”

“แต่ว่า ฉันยังสงสัยเรื่องความแข็งแกร่งของไอดอลที่สร้างผลิตภัณฑ์นี้นะ”

“ฉันเองก็สงสัย ได้ยินมาว่ามีฟังก์ชันบางตัวของผลิตภัณฑ์ตัวนั้นที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่”

ทหารที่ติดตามมากำลังพูดถึงเรื่องนี้ ส่วนผู้คุ้มกันซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ อู๋ ฮ่าวเหรินเองก็ยืนมองอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัดของเขาบนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกใคร่รู้

เพียงชั่วครู่ เขาก็ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น ข้อมูลดังกล่าวที่อู๋ ฮ่าวเหริน เตรียมมาให้นายพลซงได้เห็น เขาต้องการให้นายพลยกเลิกการแข่งหลังจากอ่านข้อมูลนี้แล้ว

ดังนั้น ข้อมูลจึงสูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย สูงกว่าคนธรรมดา กว่าทหารธรรมดาและสูงกว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าทดสอบในกองทัพ

เขามองดูท่านนายพลซงที่กำลังตื่นเต้นยืนอยู่บนเวที เขาดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดที่ได้สู้กับ อู๋ ฮ่าวเหริน

เขาไม่รู้ว่าควรจะหยุดมันดีหรือไม่ หลังจากได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านนายพลก็นำอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัดขึ้นมาและออกไปพูดเกี่ยวกับวิธีที่จะเอาชนะอู๋ ฮ่าวเหริน ในที่สุด แล้วนายพลที่กำลังพนันกันก็เริ่มพูดกันหนาหูขึ้นเรื่อยๆ

“ท่านนายพลครับ ฟังผมก่อน เรากำลังจะยุติการแข่งนี้ได้ไหมครับ ไม่อย่างงั้น ท่านนายพลซงจะต้องกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าทั้งกองทัพเลยนะครับ”

หลังจากได้ฟังคำพูดของผู้คุ้มกัน นายพลหลายนายจึงเอาอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัดของ อู๋ ฮ่าวเหรินออกมา พร้อมกับมองดูข้อมูลบนนั้น และแล้วสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นแปลกใจ

หลังจากนั้น ผมก็ได้ยินใครคนหนึ่งในพวกเขาพูดขึ้นมาว่า “งั้นฉันขอพนันกับแก เดี๋ยวฉันจะส่งของๆแกที่หายไป ไปยังที่ทำงานของฉันทีหลัง นี่ไม่ได้คาดหวังว่าจะไม่มีการแข่งนี้หรอกนะ แต่ผลมันออกมาแล้ว”

“เด็กนี่ฝึกได้ไง ข้อมูลไม่ปลอมแน่”

“เขาเป็นคนประดิษฐ์เจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา นายคิดว่าเขาจะใช้เจ้าเครื่องนี้ออกกำลังกายเองงั้นหรือ ฉันสงสัยจังว่าไอ้เจ้าเด็กนี่ได้สร้างของแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แค่ไม่เคยมีโอกาสได้เอาออกมา”

“เจ้าหมีแก่นั่นได้แย่แน่งานนี้ โชคที่ที่ไม่ได้ให้สัญญากับเจ้านั่นไว้ แต่ว่าฉันน่าจะท้าประลองเขาสักหน่อย ไม่งั้นฉันคงเสียหน้าน่าดู”

“ฮ่าๆ ฉันก็อยากจะไปเล่นด้วยนะ แต่ไอ้หมีแก่นั่นดันแย่งไปเสียก่อน เดี๋ยวไว้จะขอบคุณภายหลัง”

นายพลพวกนี้เริ่มที่จะเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัด และในที่สุดก็ไม่ได้มาพูดถึงเรื่องความเกลียดชังที่มีต่ออู๋ ฮ่าวเหรินอีก

“นายว่า ไอ้หมีแก่นั่นจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่”

“อีกไม่กี่นาทีหรอก ถ้าเจ้าเด็กนี่คือนายทหารนักฆ่าแบล็คแฮนด์ หมัดของหมีแก่ๆนั่นคงต้านเอาไว้ไม่อยู่หรอก”

หลังจากได้ฟังในสิ่งที่พวกเขาพูดกันนั้น ผู้คุ้มกันจึงรู้ได้ว่านายพลพวกนี้ไม่มีวันยุติการแข่งนี้แน่ๆ เขานึกเสียใจที่เอาอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัดของ อู๋ ฮ่าวเหริน เข้ามาเกี่ยวข้อง

อู๋ ฮ่าวเหริน มองไปที่นายพลซงที่ประจัญหน้ากับเขา เขาเองก็พูดอะไรไม่ออก เพราะเมื่อได้ต่อสู้เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก

แสร้งทำเป็นว่าไม่สามารถเอาชนะได้และแพ้ให้กับนายพลนั้น อู๋ ฮ่าวเหรินไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปั้นแต่งด้วย เพราะเขาเองก็เห็นว่านายพลแค่อยากจะกำจัดเขาออกไป

“นายพลซง ผมไม่คิดว่าการแข่งขันแค่นี้จะเพียงพอหรอกนะ เพียงแต่ตอนนี้ ผู้ชายสองคนนี่ดันอยู่ในเวลาเดียวกัน คุณเอาชนะผมไม่ได้หรอก”

“ไอ้หนู ดูการเคลื่อนไหวนี่ซะก่อน”

นายพลซงนั้นไม่ชอบที่จะทำอะไรชักช้าอย่างเห็นได้ชัด เขาลุกขึ้นมาอย่างไว

ระดับความเร็วนี้ค่อนข้างไว และดูจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเครื่องไฟฟ้าบำบัด นายพลเหล่านั้นจึงฟื้นฟูร่างกายได้เยอะ

เมื่อมองไปที่อู๋ ฮ่าวเหรินที่ไม่ขยับไปไหนเลย นายพลซงส่งหมัดจากเขาโดยสัญชาตญาณ จะมีใครรู้ อู๋ ฮ่าวเหรินได้หายตัวไป และเมื่อเขาปรากฏกายอีกครั้ง มือของเขาก็คว้าหมัดของนายพลไว้

ส่วนอีกข้างก็คว้าเข้าที่แขน ท่านนายพลซงจึงตกอยู่ภายใต้การควบคุม

ในตอนนั้นเอง ผู้คุ้มกันจึงวิ่งเข้ามาก่อนจะตะโกน “เกมจบแล้ว คุณอู๋ชนะ”

จากนั้นจึงวิ่งเข้าไปหานายพลซง พลางกระซิบอะไรบางอย่างเล็กน้อยที่หู

หลังจากได้ยิน สีหน้าของนายพล ซงนั้นก็แดงแทบจะทันที ก่อนจะหันไปมองอู๋ ฮ่าวเหริน พลางพูดขึ้น “ฉันแพ้แกแล้ว ไอ้หนุ่ม เชื่อว่าอย่างงั้นล่ะนะ”

ในการแข่งขันที่ดุเดือด พวกทหารต่างแปลกใจ พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าผู้คุมพูดว่าอะไรที่ทำให้ผู้กองหมีจอมดื้อดึงยอมแพ้และเชื่อได้ง่ายๆแบบนั้น

นายพลซง เดินไปหาพวกนายพลคนอื่นๆ ก่อนจะคว้าอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัดแล้วดูข้อมูลในนั้นซึ่งทำให้เขาเชื่อ

“หมีแก่ อย่ามัวบ่นเรื่องที่ตัวเองแพ้เลย ลองดูข้อมูลพวกนี้สิ แม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพ เมื่อเทียบกับเขาแล้วยังเอาชนะไม่ได้เลย นี่ไอ้หนุ่ม นายอยากจะเป็นทหารไหม มาเข้าร่วมกองทัพเราสิ ฉันจะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการให้ทันทีเลย”

“แล้วยังมีอีก นายสามารถซื้ออาวุธจากกองทัพได้ทั้งหมดด้วยเงินจากฟิวเจอร์กรุ๊ป ให้พวกนั้นเป็นทหารในการควบคุมของนาย ถ้าผู้บัญชาการแก่ๆได้ยินเและสัญญาว่าจะชนะเธอด้วยไม้ค้ำ ก็น่าเสียดายกับคนอัจฉริยะแบบนี้”

อู๋ ฮ่าวเหริน เพียงแค่ยิ้ม และนำอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัดกลับคืนมา ก่อนจะใส่ลงไปในข้อมือ

เมื่อได้รู้ถึงสภาพร่างกายของอู๋ ฮ่าวเหริน แล้ว นายพลเหล่านี้ก็ยังไม่ปล่อยให้เขาไปและเริ่มที่จะถามถึงวิธีการฝึก เช่นเดียวกับผลที่จะทำให้สำเร็จนี้

อู๋ ฮ่าวเหริน พูดกับนายพลเหล่านั้นไปตามตรงเกี่ยวกับขั้นตอนการฝึกฝนที่มนุษย์ในโลกอนาคตค้นพบขึ้นมา

“ฉะนั้น เขียนกระบวนการการฝึกฝนลงในนี้หน่อยสิ”

“เขียนลงไปเลย ดีล่ะ ฉันจะกลับไปเลือกดูและส่งมันไปให้คุณก็แล้วกัน”

ผมพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเครื่องไฟฟ้าบำบัดและถามพวกทหารเพื่อให้คำแนะนำบางส่วน จากนั้นอู๋ ฮ่าวเหรินจึงรีบกลับไปยังบริษัทในช่วงบ่าย

บริษัทโทรมาเร่งเขา สมาชิกสภาโฮเวิร์ดมาอีกครั้งและดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะได้เลือกแล้ว

สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งกองทัพแล้วในตอนนี้ แต่ละคนต่างตกใจกับการฝึกอย่างหนัก และตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าบางครั้งการฝึกฝนอย่างหนักก็ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเสมอไป

เมื่อได้รู้ว่าอู๋ ฮ่าวเหรินกำลังจะส่งขั้นตอนการฝึกของเขาไปให้กองทัพ พวกทหารมีความสุขกันมากและไม่ต้องการที่จะท้าตีท้าต่อยกับอู๋ ฮ่าวเหรินหรือได้ความแข็งแกร่งมาสักครึ่ง

เห็นได้ชัดว่า เหตุการณ์นี้ทำให้ชื่อเสียงของอู๋ ฮ่าวเหริน ในกองทัพมีแต่จะดังขึ้น

แข็งแกร่งและปราชญ์เปรื่อง รวมถึงสามารถช่วยปรับปรุงความแข็งแกร่งของทหารได้

ในระหว่างทาง อู๋ ฮ่าวเหริน สวมหูฟังก่อนจะเริ่มติดต่อกับจี้

ตอนนี้เขาสงสัยว่าพวกนั้นจะเลือกอย่างไร แต่โชคร้ายที่จี้ไม่พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดๆ

เขารู้เพียงแค่ว่าในตอนนี้ คนทั้งหมดต่างรวมตัวกันบนเกาะ คุ้มกันผลิตภัณฑ์รวมถึงเครื่องมือและวัสดุที่เหลือ

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือผู้คนในประเทศนี้ครั้งหนึ่งเคยได้แสดงออกและขอร้องรัฐบาลเพื่อที่จะต่อรองกับเขา เปิดช่องทางที่สงวนไว้สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัด

ขณะที่ชาวต่างประเทศบางคนได้รับเครื่องไฟฟ้าบำบัดตามที่กำหนดไว้แล้ว กลุ่มที่สองที่จับจองไว้ก็จะเริ่มในอีกไม่ช้า พวกเขาไม่อยากพลาดมันไป

ดูเหมือนว่าการแสดงออกของผู้คนทำให้พวกเขาต้องเลือก

——————


CF:บทที่ 205 ไม่ได้รีบร้อน

อู๋ ฮ่าวเหรินพบว่ามีรูปถ่ายหุ่นยนต์มากมายบนอินเทอร์เน็ต ดูเหมือนว่ากลุ่มคนข้างต้นไม่ได้เตรียมที่จะซ่อนข้อมูลไว้เลยเพราะซ่อนข้อมูลไปก็ไม่มีความหมาย

ถ้าหุ่นยนต์ที่เขาสร้างขึ้นเอาไปใช้ในสนามรบ คงจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม บนเว็บไซต์ทางการของฟิวเจอร์กรุ๊ปตอนนี้ พื้นที่กระดานสนทนาแทบจะระเบิดด้วยข้อความเรื่องหุ่นยนต์ มีคนหลายคนถามว่า ฟิวเจอร์กรุ๊ปจะพัฒนาหุ่นยนต์เป็นลำดับต่อไปหรือเปล่า

มีคนจากข้างล่างตะโกนมาว่าจะใช้เงิน 10 ล้านหยวนซื้อหุ่นยนต์

“พี่ชาย คนที่มีวิดีโอในตอนนั้นน่ะ ส่งมาให้ผมหน่อย ผมตั้งใจจะซื้อสักพันตัวเลย”

“อย่าคิดถึงเรื่องนั้นเลย ไม่มีใครส่งวิดีโอออกไปทั้งนั้น คนในฟิวเจอร์กรุ๊ปยังให้เงินนายขาดไป 1000 หยวนและนายไม่ต้องสนเรื่องนั้นหรอก ทุกๆเดือน เงินเดือนที่ต่ำที่สุดในกลุ่มลูกจ้างที่ทำงานอยู่ในร้านค้าพิเศษคือหนึ่งหมื่นหยวน บ้าจริง ตอนนี้ฉันล่ะนึกเสียใจที่ทิ้งโอกาสสมัครไปในตอนนั้น”

“นั่นนายยังไม่แย่ที่สุดหรอก ฉันได้ยินมาว่าตอนแรก มีผู้ชายสองคนได้รับเชิญให้เป็นผู้จัดการ และสองคนนั้นเกลียดฟิวเจอร์กรุ๊ปที่อยู่ในอำเภอเล็กๆ ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธ จนตอนนี้ไปนั่งหลบมุมร้องไห้ ผู้จัดการเผิงเฟยที่เคยไปสมัครกับพวกเขา มีค่าตัวสิบล้านแล้วตอนนี้ หลังจากเดือนนี้ไป เขาคงจะได้เงินโบนัสอีกเป็นร้อยล้านแน่ๆ”

“สิ่งที่ฉันชื่นชมที่สุดคือเว่ย หมิง ผู้จัดการเครื่องดื่ม ในเวลานี้ เมื่อเครื่องดื่มขายหมดไปแล้ว โบนัสของเขาคงจะไปถึงสิบล้าน”

“นายนี่หาเรื่องเฉไฉ ฉันแค่ต้องการวิดีโอการแสดงหุ่นยนต์ ฉันได้ยินมาว่ามีการแสดงกังฟูด้วยนะ”

“เลิกคิดเถอะ พี่ ไม่มีใครเอาวิดีโอในตอนนั้นมาได้เลย นี่เป็นหนึ่งในญาติของผมที่มาบอกตอนที่เขาทำงานในฟิวเจอร์กรุ๊ป”

“ตอนนี้ฉันอยากจะรู้ สิ่งประดิษฐ์ชิ้นต่อไปนั่นจะเป็นหุ่นยนต์ของฟิวเจอร์กรุ๊ปหรือเปล่า”

“ใครจะรู้ ผมได้ยินมาว่า หุ่นยนต์นี้ก็แค่ของเล่นที่ประธานฟิวเจอร์กรุ๊ปสร้างขึ้นมา ไม่ใช่แบบเดียวกับที่เราเห็นพวกคนเก่งๆเล่นสักหน่อย”

อู๋ ฮ่าวเหรินส่ายหัว ในตอนนี้ไม่สามารถผลิตหุ่นยนต์ได้ เขาเพียงปล่อยมันออกไปเพื่อผลักดันการพัฒนาหุ่นยนต์และเตรียมการอะไรบางอย่าง

อีกอย่างหนึ่งที่เขาไม่ได้ทำก็คือการสะสมของโบราณ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการอัพเกรดของระบบซองแดง เขาสนใจอารยธรรมล้ำยุคพวกนั้นเสียจริง และในตอนนี้ที่โรงแรมอำเภอหยุนลง โฮเวิร์ดรู้สึกกระวนกระวายและเสียใจที่รับงานนี้มา

เขารู้ว่าคนพวกนั้นข่มขู่เขา

คนพวกนั้นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถ้าการต่อรองนี้ยังไม่จบสิ้น คนในรัฐบาลจะต้องผลักดันพวกเขาออกเพื่อสยบความโกรธของผู้คน

มีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆที่ใช้เครื่องไฟฟ้าบำบัด ผลกำไรของผลิตภัณฑ์ตัวนี้คือทำให้อเมริกาที่จองไม่ได้หัวเสียไม่น้อย

แน่นอนล่ะ ประเทศทางยุโรปที่ตามฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ได้รู้สึกสบายใจมากนักในตอนนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้ก่อการร้าย อีกทั้งผู้คนก็ไม่รู้วิธีป้องกันตัวเอง

ตอนนี้ แม้กระทั่งสิทธิ์ในการซื้อของของพวกเขายังถูกพรากไปเพราะความโง่เขลาของรัฐซึ่งทำให้ประชาชนกลายเป็น “ผู้ตกอยู่ในอันตราย”

โฮเวิร์ดเรียกกลุ่มเข้ามาถามในสิ่งที่พวกเขาคิดอีกครั้งเพราะไม่เข้าใจพวกคนที่ตอนนี้อีกเพียงก้าวเดียวก็จะตกหน้าผาแล้ว

เมื่อไม่เห็นด้วยกับสัญญา แต่ให้เขามาที่นี่เพื่อพูดต่อ เขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร ผู้บริหารของฟิวเจอร์กรุ๊ปควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง แบบนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงมันนี่

เมื่อ อู๋ ฮ่าวเหรินกลับมาที่อำเภอหยุนหลงก็เย็นแล้ว เขาจึงมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านซุยฉุย

เมื่อเขาเข้าบริษัทในวันถัดมา เขาเจอกับโฮเวิร์ดที่กำลังรอเขาอยู่ห้องโถงชั้นหนึ่ง ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะมีท่าทีรีบร้อนเสียจริง

“ท่านวุฒิสภา คุณเซ็นสัญญาในนามของพวกเขาหรือของชาวอเมริกา เข้ามาคุยกับผมเพื่อทำการนัดหมายหน่อยได้ไหม”

โฮเวิร์ดยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง “คุณอู๋ ทำไมถึงถามผมตรงๆแบบนั้น ผมรู้สึกเสียใจจริงๆที่เข้ามาทำงานของพวกเขา แล้วตอนนี้ก็ถอนตัวไม่ได้อีก”

เมื่อเดินเข้าไปในห้องประชุมตรงชั้นหนึ่ง อู๋ ฮ่าวเหรินหันไปมอง โฮเวิร์ดพลางเอ่ยถาม

“แล้วพวกเขาเห็นด้วยกับสัญญาไหม”

“ไม่เลย ถ้าพวกเขาเห็นด้วย ผมก็คงไม่ต้องมา พวกเขาต้องการ…”

“ท่านวุฒิสภาโฮเวิร์ด ถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องบอกผม เดี๋ยวผมจะทำให้เรื่องนี้ชัดเจนจนพวกเขาต้องเลือกที่จะยอมแพ้เอง ถ้างั้น เรามาคุยกันถึงเรื่องการแสดงเมื่อเร็วๆนี้ในสหรัฐฯกันดีกว่า ถ้ารัฐบาลอเมริกาอนุญาตเงื่อนไขบางอย่างให้ผม ผมก็คงจะช่วยแก้ปัญหา…”

โฮเวิร์ดจ้องไปที่ อู๋ ฮ่าวเหรินอย่างนึกกลัว เขารู้สึกเศร้าแทนคนพวกนั้นที่ทำให้อัจฉริยะเช่นชายคนนี้ไม่พอใจ

“ถ้างั้น ผมจะส่งข่าวนี้ไปให้พวกเขา และถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วย ผมจะกลับบ้านเลยนะ”

อู๋ ฮ่าวเหรินมองคนจากรัฐสภาด้วยสถานะพิเศษบางอย่างก่อนจะเอ่ยถาม “ข้อเท็จจริงแล้ว ผมสับสนมากเลย พวกเขาก็รู้ว่าตัวเองต่อรองอะไรไม่ได้แล้ว และทำไมยังปล่อยให้คุณมาอีกล่ะ”

“ตามข้อเท็จจริง ผมไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะพวกเขานั้นคิดว่าคุณอู๋เป็นคนใจดี พวกเขาอาจจะแค่อยากสู้ แต่ว่า ดูเหมือนการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกเขาจะไม่สำเร็จ”

“สำหรับพวกเขา ผมไม่ใช่คนใจดีหรอก ผมก็แค่นักธุรกิจ แต่ก็นะ คุณก็บอกพวกเขาไปได้นี่ว่าผมมีเวลาเหลือเฟือ ไม่ได้รีบร้อนอะไร”

หลังจากมอง อู๋ ฮ่าวเหรินเดินออกไปจากห้องประชุม โฮเวิร์ดจึงนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า

เมื่ออู๋ ฮ่าวเหรินกลับไปถึงที่ทำงาน เขาก็ได้แจ้งกับเลขาหวัง หลานว่าเขาจะจัดการประชุมสั้นๆที่ห้องประชุม

เมื่อเข้าไปในที่ทำงาน อู๋ ฮ่าวเหรินมองไปยังรายชื่อของคนที่เข้ามาสมัครงานบริษัทในช่วงนี้ และเห็นว่าจำนวนผู้สมัครในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปมีจำนวนมากขึ้น

โชคร้ายจริงๆที่ไม่มีผู้สมัครคนไหนเหมาะสมเลยสักคน อู๋ ฮ่าวเหรินถึงกับเงียบไป

“จี้หาคนที่เหมาะๆหน่อยสิ”

เพียงไม่นาน ข้อมูลของคนมากมายก็ปรากฏขึ้นบนคอมพิวเตอร์ของ อู๋ ฮ่าวเหรินเขาส่งจดหมายเชิญไปให้โดยตรง

“กิ๊ง ก่อง”

“เข้ามา”

“ท่านผู้บริหารครับ นี่คือใบสมัครฝ่ายวัสดุที่ทางฝ่ายบุคคลส่งมา ทั้งหมดนี้คือใบสมัครฝ่ายวัสดุของนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์บางส่วน แผนกบุคคลเองยังตัดสินใจกับคนพวกนี้ไม่ได้ครับ”

“อืม นักวิจัยหรือ”

อู๋ ฮ่าวเหรินพลิกและมอง จนเมื่อเปิดไปยังหน้าที่สาม คนทั้งหมดในนั้นทำเอาเขาตะลึง

เพราะเขาเจอชื่อที่คุ้นเคยของฝ่ายวัสดุในอนาคต ชื่อได้ปรากฏขึ้นแล้ว คนส่วนใหญ่ผู้ที่ทิ้งชื่อพวกเขาไว้แบบนี้ได้ก็จะมีแต่คนที่มีอิทธิพลสูงในประวัติศาสตร์

“ท่านผู้บริหาร พนักงานของเรารออยู่ที่ห้องประชุมแล้วครับ”

“อืม จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

อู๋ ฮ่าวเหรินเองกำลังเดินกลับไปตรวจสอบเพื่อดูว่าใช่คนๆนั้นไหม ถ้าใช่ คนอัจฉริยะที่แท้จริงเช่นเขาต้องได้รับคัดเลือกมาทำงานที่บริษัทนี้อย่างแน่นอน

โฮเวิร์ดผู้ทิ้งฟิวเจอร์กรุ๊ปไป กลับมายังโรงแรมก่อนจะโทรเรียกกลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่บนเกาะ

“ถ้านายไม่เห็นด้วยกับสัญญา ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนั้นอีก และอีกอย่างเขาเลือกให้นายต้องเป็นคนเสียเงินอีก”

“ไม่มีโอกาสเลยงั้นหรือ”

“ใช่ ฉันคิดว่านายควรจะเลือกให้เร็ว เขาดูพร้อมจะคุยกับรัฐบาลเรื่องเงื่อนไขและเข้ามาช่วยแก้ปัญหาส่วนรวม นั่นไม่ใช่สิ่งที่นายควรได้เห็น”

“แต่ก็นะ เขาขอให้ฉันบอกนายว่าเขามีเวลาเหลือเฟือ ไม่ได้รีบร้อนอะไร”

ทันทีที่โฮเวิร์ดพูดจบก็เกิดเสียงกระแทกอะไรบางอย่าง

———————–


CF:บทที่ 206 ลิ้มรสผลไม้รสขม

ตอนนี้โฮเวิร์ดรู้แล้วว่าตนรู้สึกอย่างไร เพียงแต่สถานการณ์ในกลุ่มตอนนี้ไม่มีทางเลือก

ถ้าผู้บริหารของฟิวเจอร์กรุ๊ปเข้าไปต่อรองกับรัฐบาลล่ะก็ ก็เท่ากับพวกเขาต้องโทษถึงตาย ในตอนนั้น เพื่อที่จะแก้ไขผลกระทบของเรื่องนี้ กลุ่มรัฐบาลจึงไม่ลังเลที่จะอุทิศตัวพวกเขาเองทั้งหมดเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ฟิวเจอร์กรุ๊ปจะให้อภัย

ข้อเท็จจริงก็คือ เหตุผลที่ทำไมคนพวกนี้จึงกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหา นั่นก็เป็นเพราะพวกพวกเขารู้สึกได้ถึงการตอบสนองจากบางคนในรัฐบาล และรัฐบาลเองก็ต้องการอุทิศตัวพวกเขาเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการปรองดองจากฟิวเจอร์กรุ๊ป

และในเวลานั้น ทรัพยากรและผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาควบคุมอยู่นั้นก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นหมากที่รัฐบาลใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ฟิวเจอร์กรุ๊ปจะให้อภัย

และในตอนนั้น พวกมันก็มีอยู่มากเกินไปจนปล่อยเรื่องอื้อฉาวของรัฐบาลออกมา

สำหรับคนที่ชื่นชอบพวกมัน ความตายเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดอย่างเห็นได้ชัด

“สัญญากับเขา เราได้เซ็นสัญญากันแล้ว กรุณาบอกให้เขารักษาสัญญาด้วย”

เสียงนั้นทำเอาโฮเวิร์ดประหลาดใจเล็กน้อย ถ้าคนเหล่านี้ตามผู้บริหารได้ทัน เขาก็คงไม่แย่แบบนี้

แต่เขาก็โล่งใจในท้ายที่สุด หลังจากนี้ เขาก็ไม่ต้องคอยติดต่อกับคนเพี้ยนๆพวกนี้ การถูกคนพวกนี้ข่มขู่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก โดยเฉพาะกับพวกคนที่กำลังบ้าคลั่ง มันเหมือนกับเดินอยู่บนเส้นลวด และอาจจะตกมาตายเมื่อไหร่ก็ได้

เมื่อ อู๋ ฮ่าวเหรินออกมาจากห้องประชุม เขาก็ได้ยินว่าโฮเวิร์ดรอเขาอยู่ จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา

คนพวกนี้ต่างกลัวว่าตัวเองจะต้องดื่มเลือดของพวกเขาเองในตอนนี้ นั่นเป็นความเจ็บปวดยิ่งกว่าการฆ่าพวกเขาโดยตรง นี่คือบาปจากการทำร้ายตัวเองและไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้

ดูเหมือนว่ากิจการด้านอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัดจะมาถึงจุดจบ

แต่กับคนพวกนี้ ในฐานะของผู้ผลิตอิสระ ปัญหาในการสร้างสามารถแก้ไขได้

นอกจากนี้ เขาไม่จำเป็นต้องไปจัดการช่องทางการขนส่งในประเทศเหล่านั้น แต่เป็นคนพวกนี้ที่ช่วยเขาแก้

“ท่านสมาชิกสภาโฮเวิร์ด เขาดูเป็นคนดีนะ แล้วนี่ใกล้จะเสร็จแล้วใช่ไหม”

“ครับ ในที่สุดผมก็แก้ปัญหานี้ได้ ผมไม่เคยเข้าร่วมอะไรพวกนี้อีกเลย พวกเขาเห็นด้วยกับสัญญา แล้วก็คุณสามารถส่งใครสักคนไปดูแลผลิตภัณฑ์ได้”

“ถือว่าเป็นข่าวดีเลยนะ ไว้เดี๋ยวผมจะส่งคุณไปรับของพวกนั้นนะ”

“หวังว่านี่คงจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายของเรา”

ในขณะที่มองโฮเวิร์ดเดินออกไป

อู๋ ฮ่าวเหรินส่ายหน้า ไม่ว่าจะยังไง คนในประเทศนั้นจะต้องตำหนิรัฐบาลเรื่องที่ขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้

ในส่วนของราคานั้นก็สูงถึง 30% สูงกว่าราคาในประเทศอื่นๆ แน่นอนว่า ไม่มีอะไรทำเขาได้เพราะคนที่ขายผลิตภัณฑ์ไม่ใช่คนของฟิวเจอร์กรุ๊ป แต่เป็นกลุ่มคนทั่วไป ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการลดต้นทุน ที่ทำได้ก็คงเป็นการขึ้นราคาสินค้า เมื่อ อู๋ ฮ่าวเหรินโพสท์ข่าวนี้บนเว็บไซต์ทางการ ผู้คนมากมายต่างไม่เชื่อว่าในอนาคตจะมีกลุ่มที่ร่วมมือกันกับยุโรปและอเมริกาผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าบำบัด

แต่อย่างไรก็ตาม ข่าวการเปิดพื้นที่ที่ปิดไว้ทำให้ผู้คนมีความสุข ในที่สุดพวกเขาก็สามารถซื้อของชิ้นนี้ได้แล้ว

แต่ทว่าเมื่อได้เห็นราคาของผลิตภัณฑ์ ความรู้สึกของผู้คนก็เปลี่ยนจากความสุขเป็นความโกรธทันที บนกระดานสนทนานั้น พวกเขาต่างตั้งคำถามกับฟิวเจอร์กรุ๊ปว่าทำไมราคาของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ถึงสูงลิ่ว

อู๋ ฮ่าวเหรินจึงโพสท์เหตุผลไปตามตรงโดยบอกพวกเขาไปว่าวัสดุทั้งหมดของเครื่องไฟฟ้าบำบัดนั้นล้วนแล้วแต่ผลิตขึ้นจากราคาตลาดค้าวัสดุสากล

เหตุการณ์นี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ประเทศที่เซ็นสัญญากลับฟิวเจอร์กรุ๊ปต่างตำหนิถึงเรื่องการขายราคาต่ำกันในกลุ่ม

เมื่อเห็นอิทธิพลที่เกิดจากเหตุการณ์นี้ พวกเขาจึงคิดได้ในทันทีว่าเป็นสิ่งที่ฉลาดมากที่จะขายวัสดุในราคาอย่างต่ำ

เมื่อรู้ถึงทัศนคติของผู้คนในประเทศที่มีต่อรัฐบาล และมองเห็นผู้คนในประเทศนั้นที่โกรธเกรี้ยว

มีข้อขัดแย้งสองประการ คือปล่อยให้พวกเขารู้สึกกดดันเหมือนเดิมหรือได้รับการรักษาที่ดีมาก

อู๋ ฮ่าวเหรินเห็นว่าผลของเหตุการณ์นี้จบสิ้นแล้ว และเขาก็ไม่ต้องการสนใจเรื่องการตำหนิบนกระดานสนทนาว่าเครื่องไฟฟ้าบำบัดมีการกั๊กราคาไว้หรือเปล่า

ในตอนนี้ ผู้คนต่างรวมตัวกันอยู่บนเกาะ ดูข่าวทางอินเทอร์เน็ตและข้อมูลย้อนหลังจากที่บ้าน ดูแย่ลงไปอีก

พวกเขาเห็นว่าไม่ว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร ผู้โชคร้ายก็คือตัวเองอยู่ดี

ตอนนี้ ปัญหาเรื่องการเสียเงินได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ปัญหาภายในประเทศดูจะยังไม่ได้รับการแก้ไข และมีแนวโน้มจะดูแรงขึ้นด้วย

“ฮ่าๆ ตลกจริงๆ นี่พวกเราตกลงไปในกับดักตอนเริ่มต้นหรือเปล่า เพราะไม่ว่าเราจะเลือกอะไร สุดท้ายเจ้านั่นก็ลงโทษเราอยู่ดี ฉันตัดสินใจว่าจะอยู่บนเกาะนี้สักพักเพราะตัวเองก็ไม่ได้มีวันหยุดยาวมานานแล้ว”

“ใช่ ฉันก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว ฉันคิดว่ามันจะแก้ไขได้ แต่ที่ไหนได้กลับเป็นกับดักอีกตัวนึงต่างหาก จะว่าไปก็ดีกว่าเมื่อก่อนล่ะนะ แล้วเดี๋ยวฉันก็จะส่งจดหมายลาออกไปที่จีนทีหลัง”

“ตอนนี้เรากลายเป็นแพะรับบาป หวังแค่ว่าพวกนั้นจะไม่ทำอะไรเกินไปนัก”

ศัตรูของพวกเขาเปลี่ยนไป ไม่มีคำขู่มาจาก อู๋ ฮ่าวเหรินแล้ว แต่มาจากบางคนในรัฐบาลแทน

เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ รัฐบาลทำได้แค่ตำหนิคนที่ริเริ่มแผนการเท่านั้น

ในกรณีนี้ พวกเขาอยู่ขั้วตรงข้ามกับประชาชน ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อที่จะปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าการผลิตเครื่องไฟฟ้าบำบัดจะนำไปสู่ผลลัพธ์นี้ พวกเขาจึงต้องแบกรับความผิดนี้ไว้

เริ่มแรกนั้น รัฐบาลไม่ควรแบกรับความผิดนี้ แต่ตอนนี้ด้วยความโง่เขลาของพวกเขา รัฐบาลจึงต้องทนแบกรับ และรัฐบาลเองก็อยากจะเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น จากนั้นก็จะเก็บเรื่องความสัมพันธ์ไว้ก่อน

ถ้ามีโอกาสที่จะต่อต้านฟิวเจอร์กรุ๊ปด้วยรัฐบาลจากประเทศของตน พวกเขาคงเลือกที่จะไม่ต่อต้าน

การตอบสนองของประเทศเหล่านั้นรวดเร็วมากอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลเองไม่มีสิทธิ์ที่จะปล่อยให้นักธุรกิจขายวัสดุให้กับบริษัทในราคาที่ต่ำ และรัฐบาลยังไม่ควรจ่ายค่าอุปโภคบริโภคของประชาชน

สิ่งที่พวกเขาติดตามก็คือการค้าเสรี ประชาธิปไตย ความเท่าเทียมกัน ไม่ใช่อำนาจ ดังนั้น ราคาของเครื่องไฟฟ้าบำบัดจึงไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ

เมื่อคุณรู้สึกสูญเสียความสนใจ ก็ลงนรกไปพร้อมกับประชาธิปไตยนี้ซะ ภายใต้กระดานสนทนาระดับประเทศที่เผยออกมา ความพอใจของผู้คนที่มีต่อหลายรัฐบาลนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

บางสื่อออกความเห็นด่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ การเล่นของ อู๋ ฮ่าวเหรินนั้นดูจะใหญ่ไปหน่อยและมีผลต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในหลายประเทศ

หลังจากเสร็จเรื่องพวกนี้แล้ว อู๋ ฮ่าวเหรินนั่งอยู่ในออฟฟิศพลางดูจดหมายสมัครงานของนักวิจัย

“จี้ คุณแน่ใจนะว่านี่เป็นเป็นผู้ก่อตั้งในช่วงการสำรวจจักรวาล”

“คนนี้ล่ะ ฉันมั่นใจ แต่ก็อีก 80 ปีนับจากตอนนี้ เขายังไม่มีความสามารถตรงนี้เลย”

อู๋ ฮ่าวเหรินหัวเราะก่อนจะพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ดีแล้วที่มั่นใจ ผมว่าชายคนนี้น่ะเป็นอัจฉริยะ เขากำลังจะได้ก้าวเข้าสู่ยุคการสำรวจจักรวาลเป็นก้าวแรก ส่งอีเมลไปและบอกให้เขารู้ด้วยว่าบริษัทเราจ้างเขาเข้าทำงาน”

ตลอดเวลาที่เกิดเหตุการณ์นี้ อู๋ ฮ่าวเหรินจึงได้รู้ว่าเขาทำพลาดแล้ว ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะไม่ใช่คนๆเดียวที่มีชื่อเก็บไว้ในประวัติศาสตร์

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้รายชื่อจากจี้แล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากยกเลิกแผนชิงตัวคนเก่ง เขาเห็นว่าแม้จะรู้เขาคนนั้นเป็นใครและต้องการจะเอาตัวมาที่บริษัทของเขา นั่นคงเป็นไปไม่ได้

ผู้คนส่วนใหญ่ต่างทำงานอยู่สถาบันวิจัยลับ ส่วนบางคนอยู่ในโรงเรียน ถ้าเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ใครจะรู้ล่ะว่าอัจฉริยะอาจจะกลายเป็นขยะไปก็ได้

———————–


CF:บทที่ 207 ธุรกิจเว้นไว้ก่อน

เขาล้มเลิกความคิดที่จะเก็บคนเก่งๆเข้ามาเพราะเขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น และที่ประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปก็เป็นเพราะเขา นอกจากนี้ยังมีคำถามอยู่ว่าคนพวกนั้นจะออกมาในอนาคตหรือไม่

แน่นอนว่าการพาคนพวกนี้เข้ามาในบริษัทเป็นสิ่งที่ดีรวมถึงให้พวกเขาช่วยเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หลังจากนั้น จะไม่มีใครในหน้าประวัติศาสตร์ที่กลายเป็นคนโง่อีกต่อไป

“จี้ พวกคนที่พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ ขั้นตอนในการพัฒนามีอะไรบ้างตอนนี้”

“ในระยะเริ่มต้นนั้นยังด้อยกว่าที่สถาบันวิจัยระดับชาติ แต่อีกไม่นานก็คงตามทัน”

อู๋ ฮ่าวเหริน คิดเรื่องนี้และพร้อมที่จะวางเรื่องการพัฒนาบริษัทไว้ก่อนเพื่อที่จะทำอะไรอย่างอื่น

“จี้ เช็คให้ผมที ว่ามีงานประมูลของโบราณเมื่อเร็วๆนี้บ้างไหม นี่คงถึงเวลาที่จะต้องสะสมของโบราณและแก้ปัญหาเรื่องการอัพเกรดระบบซองแดงแล้ว”

“ถ้าจะไปงานประมูลแล้วล่ะก็ เผยแพร่ข้อมูลบนเว็บไซต์และซื้อของโบราณน่าจะเร็วกว่า ดีกว่านะ”

“นั่นเป็นไอเดียที่ดีเลยนะ ถ้าเราระบุวัตถุประสงค์ลงไปในร้านค้าพิเศษเพื่อจะซื้อของโบราณ อย่างไรก็ตามไม่ต้องกลัวเรื่องการได้รับของปลอมเลย เพราะระบบเองมันก็ไม่ได้โง่ที่จะส่งเงินไปให้พวกขี้โกงที่ขายของปลอมหรอก”

อู๋ ฮ่าวเหรินส่ายหัว ไม่ได้สนใจเรื่องสินค้าปลอมนั่น เพราะตราบใดที่ข่าวลวงยังไม่ชัดเจน ของโบราณก็จะเข้าสู่ระบบซองแดง นั่นเป็นแค่ปริมาณของเหรียญพลังงานเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้กลับจะสร้างเงินให้พวกนักตุ้มตุ๋นเป็นกอบเป็นกำ เริ่มจากสร้างของให้คล้ายกันแล้วก็นำไปขาย

เดิมทีนั้น ราคาการจองต่างประเทศยังเป็นที่โต้เถียงกันบนอินเทอร์เน็ตว่าการที่รัฐบาลขายวัสดุในราคาที่ต่ำนั้นเป็นประชาธิปไตย เสรีภาพ หรืออำนาจเหนือผู้อื่นหรือไม่

เมื่อใดที่เราเถียงกันในเรื่องนี้ อู๋ ฮ่าวเหรินก็จะออกประกาศที่หันเหความสนใจของพวกเขา

ไม่ว่าจะเป็นข่าวใดๆของผู้บริหารจากฟิวเจอร์กรุ๊ปก็สามารถกลายเป็นข่าวใหญ่ซึ่งส่งผลต่อสาธารณชนได้

เมื่อมองถึงวิธีสร้างหัวข้อข่าว ก็ให้มองไปที่ผู้บริหารฟิวเจอร์กรุ๊ป จากนั้นจึงทำการสุ่มคำประกาศ ก็จะได้หัวข้อข่าวในวันพรุ่งนี้

“นี่พี่ ตามเจ้าโง่นั่นไปหามาให้ได้เลยนะ เข้าไปดูเว็บไซต์ทางการ เดี๋ยวต่อไป ผู้บริหารของกลุ่มจะขึ้นคำประกาศมาอีก แต่ว่าประกาศอันนี้ดูแปลกไปหน่อยนะ ผมไม่เข้าใจเลยอ่ะ”

“เจ้าบ้า แกหมายความว่ายังไง นี่อย่าบอกนะว่าแกจะสร้างหุ่นยนต์ ทำไมนักประดิษฐ์เก่งๆถึงอยากจะสะสมของโบราณกันนักนะ”

“ฮ่าๆ ผมจำได้ว่าพ่อของพี่เองก็มีของโบราณดีๆสะสมบ้างอยู่เหมือนกันนี่นา เดี๋ยวไว้ผมจะลองดูว่าผมจะขอจากพ่อมาสักชิ้นได้หรือเปล่าและจะสัมผัสกับพวกเก่งๆแบบใกล้ชิด บางทีผมอาจจะฉลาดขึ้นก็ได้”

“ฟังจากที่แกตอบก่อนหน้านี้นะ แม้ว่าเราจะติดตามพวกอัจฉริยะทุกวัน แกก็ยังโง่อยู่นั่นแหละ”

“พี่ว่าใครโง่กัน มานี่เลย ลองมาเปรียบเทียบแบบทดสอบของฟิวเจอร์กรุ๊ปดูเลย ใครจะได้คะแนนมากกว่ากัน”

หลังจากเรียนรู้ว่าคำถามเหล่านี้มาจากอู๋ ฮ่าวเหริน คนหลายคนต่างพยายามดูว่าพวกตนได้คะแนนกันมากเท่าไหร่

และด้วยคะแนนนี้ ตอนนี้จึงกลายเป็นมาตรฐานที่วัดไอคิวของคนมากมายซึ่งอู๋ ฮ่าวเหริน ไม่ได้คาดหวัง

แต่อย่างไรก็ตาม คำถามทดสอบเหล่านี้นั้นเป็นชุดสะสมอัจฉริยะของสรรพความรู้บนอินเทอร์เน็ต หลักๆแล้ว พวกเขายังตัดสินคนด้วยความสามารถและไอคิว

หลังจากอู๋ ฮ่าวเหรินได้ปล่อยประกาศเรื่องรับซื้อของโบราณออกไปแล้วนั้น กลุ่มผู้สนใจซึ่งกังวลเกี่ยวกับฟิวเจอร์กรุ๊ปก็ต่างงุนงงเล็กน้อยพลางคิดกันว่าเทคโนโลยีจะทำอย่างไรกับของโบราณ

เท่าที่เราวิเคราะห์ว่า เทคโนโลยีแบบไหนที่ อู๋ ฮ่าวเหริน ต้องการจะประดิษฐ์ และพวกเขาจะได้ผลกำไรจากมัน นี่คือผลจากขึ้นราคาของอุปกรณ์พลังงานอุณหภูมิกันและวัสดุตัวเครื่องไฟฟ้าบำบัด

ตอนนี้เราทุกคนได้รู้แล้วตราบเท่าที่เราสามารถเข้าใจถึงอนาคตของกลุ่มและรู้ถึงสิ่งประดิษฐ์ของอัจฉริยะล่วงหน้า เราก็จะสามารถสร้างผลกำไรในอุตสาหกรรมวัสดุได้

“เด็กนี่ต้องการอะไร หุ่นยนต์ดีๆ แต่ไม่เรียนหนังสือ แล้วเขาจะซื้อของโบราณพวกนี้ไปได้อย่างไร”

“หัวหน้ายังหนุ่มอยู่เลยครับ โครงการหยวนหมิงหยวนนั้นกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง บางทีเขาอาจจะต้องการสะสมของโบราณและเก็บพวกมันใส่ไว้ในหยวนหมิงหยวนก็ได้ครับ”

“ดีนะที่สร้างราชวังฤดูร้อนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ก็โชคร้าย ถ้าทางอำเภอสร้างมันขึ้น คนก็ต้องเสียเงิน แต่เด็กคนนั้นน่ะมีเงิน เขาก็ทำได้สบาย และหลังจากเสร็จแล้ว ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมายืมของโบราณบางชิ้นของเขาไปแสดงในงานก็ได้”

“แล้วว่าแต่ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือครับ การตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง”

“ในตอนนี้ ฝ่ายอัจฉริยะได้รับข่าวบางอย่างมาจากต่างประเทศ แต่ก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าจริงหรือไม่ ฝ่ายอัจฉริยะเองกล่าวว่าเขาได้วางแผนเหตุการณ์ทุกอย่างไว้แล้ว คนพวกนั้นจึงสามารถผลิตเครื่องมือไฟฟ้าบำบัดได้ราวกับว่ามีเขาคอยช่วย แต่อย่างไรก็ตามเรายังไม่รู้เลยว่าเขาจะควบคุมอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างไร”

“ถ้าคุณหาเจอแล้ว ก็จะรู้สึกว่ามันแปลกๆที่เทคโนโลยีของเขาบนคอมพิวเตอร์อาจล้ำเกินไปกว่าที่คุณประเมินไว้” หัวหน้าเผยรอยยิ้มและมองไปที่รายงานที่นักวิจัยหุ่นยนต์จากสถาบันเพิ่งส่งมา

ไม่ใช่แค่ประเทศจีนที่ปวดหัวกับเรื่องนี้ ประเทศอื่นๆเองก็คอยเฝ้าระวังอู๋ ฮ่าวเหริน อย่างใกล้ชิด พวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนี้ต้องการจะทำอะไร

หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ราคาได้ถูกกำหนดขึ้นมา แล้วใบประกาศนั้นปล่อยจะออกมาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร แล้วยังเอนเอียงไปยังของโบราณที่ไม่ได้มีผลอะไรกับเทคโนโลยีเลย

ไม่ว่าอู๋ ฮ่าวเหรินต้องการจะทำอะไร ก็เป็นโอกาสดีให้กับผู้ค้าของโบราณที่อยากรวย

ถ้าบริษัทในโลกนี้ทำเงินได้อย่างรวดเร็ว ฟิวเจอร์กรุ๊ปก็สามารถทิ้งบริษัทอื่นๆห่างไปได้อีกสิบช่วงตึก

สำหรับประเภทของทรราชย์ที่ผลาญเงินไม่ต่างจากกระดาษ ถ้าเขาต้องการซื้อของโบราณตอนนี้ เขาจะต้องมีเงินก้อนใหญ่อยู่ในมือ

“เอาน่า ช่วยฉันแจ้งเรื่องกับบ้านประมูลหน่อย บอกทีว่าของโบราณบ้านฉันไม่ได้เอาไว้ขาย”

“ก็เพื่อที่จะจ่ายค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้านี่นา นี่ไงยืนยันมาเรียบร้อยแล้ว ว่าแต่ตั้งไว้เท่าไหร่ล่ะ ฉันต้องจ่ายเท่าไหร่ เดี๋ยวตามไปเอาของทีหลัง”

หลังจากได้เห็นข้อมูลบนเว็บไซต์ทางการของฟิวเจอร์กรุ๊ปแล้วนั้น ชายหนุ่มซึ่งกำลังประมูลของโบราณอยู่ก็นำของโบราณกลับไปด้วยความใจกล้า

“พ่อครับ พ่อคิดว่าสนามร้อยปีของบ้านเรานี้โบราณไหมครับ”

“ลูกเอ้ย บ้านหลังเก่าก็ต้องโบราณ พ่อของลูกหรือพ่อเนี่ยก็โบราณ”

“ไม่ใช่ครับ ที่ผมจะถามก็คือ บางทีอาจจะมีใครบางคนจากฟิวเจอร์กรุ๊ปซื้อมันไปจริงๆก็ได้”

ชายหนุ่มวางตะเกียบลงก่อนจะวิ่งไปยังบ้านพลางเห็นสีหน้าที่โกรธของพ่อ

สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นไปทั่วโลก ชาวต่างชาติบางคนพบว่าการซื้อของโบราณไม่ได้จำกัดอยู่ในประเทศนั้นๆ

หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขามีโอกาสที่จะขายของโบราณพวกนี้ให้แก่ทรราชย์ในประเทศ

ในตอนนี้อู๋ ฮ่าวเหริน เองกำลังติดต่อผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้เพราะเขาต้องการใช้ระบบซองแดงเพื่อตรวจสอบ แต่ของโบราณไม่เคยห่างสายตาจากผู้ขายจนกระทั่งมีคนซื้อมันออกไป

ดังนั้น เขาจะต้องหาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ จำนวนอาจจะเยอะเพราะของโบราณที่เขาจะซื้อนั้นมีไม่อั้น

แล้วอู๋ ฮ่าวเหริน ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเขาได้รับสายที่คาดไม่ถึง

“นี่น้องเขย ได้ยินมาว่าคุณต้องการซื้อของโบราณ แต่ถ้าคุณปฏิเสธผม ผมจะกลับไปพร้อมกับข้าวของในวันมะรืนเลยนะ”

“กลับมา แล้วเอาของมาด้วย และอย่ามาเรียกฉันว่าน้องเขยได้ไหม เออ จะว่าไป ฉันยังไม่ได้ถามอะไรบางอย่างจากนายในโรงนอนทหารเลย”

“น้องเขย ผมเองก็มีบางอย่างต้องทำที่นี่ แค่นี้ก่อนนะครับ”

อู๋ ฮ่าวเหรินมองสายที่เพิ่งวางไป พูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ เจ้าหมอนี่ช่างหน้าด้านหน้าทนเสียจริง

หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วนั้น เขาก็มุ่งตรงไปยังไซต์ก่อสร้างหยวนหมิงหยวนเพื่อต้องการหาผู้เชี่ยวชาญวัตถุโบราณ เหล่าอาจารย์ที่สร้าง หยวนหมิงหยวนนั้นจะต้องรู้อะไรเยอะแน่ๆ

——————–


CF:บทที่ 208 วัตถุโบราณจากรถส่งของ 2 คัน

เมื่ออู๋ ฮ่าวเหริน มาถึงเขตก่อสร้างหยวนหมิงหยวน ลักษณะของมันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่ไกลจากถนนรอบนอกของหยวนหมิงหยวนตอนเริ่มสร้างนัก เพราะที่นี่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังดำเนินการสร้างอยู่ในเมืองหลิวหลง

มีคนบอกว่าสถานที่ตรงนี้ได้รับเงินทุนพิเศษก้อนหนึ่งจากทางจังหวัด สำหรับหยวนหมิงหยวนที่เขาสร้างนั้นก็จะรวมเข้ากับพื้นที่ท่องเที่ยวด้วย

ในเขตก่อสร้าง เราจะเห็นชายสูงวัยและค้อนได้ทั่วบริเวณ ส่วนข้างๆก็จะเป็นคนหนุ่มหรือวัยกลางคนที่คอยดูแลงานแกะสลัก

เดิมทีนั้นอู๋ ฮ่าวเหริน เตรียมการที่จะแกะสลักหิน ที่ใช้เพียงเครื่องจักรก็เสร็จแล้ว เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าอาจารย์สลักหินรุ่นเก่าที่มาที่นี่จะพูดปฏิเสธ เขารู้สึกว่าพวกเขาต้องการที่จะปกป้องของเก่าแก่ ถ้าชิ้นไหนใช้มือสลักด้วยก็ควรใช้

จากนั้น ด้วยคำสั่งของพวกเขา จึงมีงานหินสลักชิ้นเอกมากกว่า 200 ชิ้น โชคดีที่อู๋ ฮ่าวเหรินไม่ได้ขาดแคลนเงินทุนเลยตอนนี้ เขาจึงสามารถชักชวนผู้คนให้มาทำงานแกะสลักได้ เขาไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลาต่อมา ยังมีอาจารย์ที่อาสาเข้าร่วม ตราบใดที่พวกเขายังคอยดูแลเรื่องอาหารและความเป็นอยู่ พวกเขาก็ไม่ต้องการเงินแล้ว พวกเขาต้องการทิ้งแค่ชื่อไว้ที่นี่

และในตอนนี้ มีงานประติมากรรมมากกว่าหนึ่งพันงานในพื้นที่ทั้งหมดของตึก เมื่อประติมากรทั้งหมดเข้ามา พวเขาก็พาลูกๆหลานๆมาด้วย

นอกจากนี้ยังมีช่างงานฝีมือทุกแขนงอีก 300 คน พวกเขาทั้งหมดต่างทำงานอยู่ในหยวนหมิงหยวนตามรูปแบบงานช่างและงานวาดของพวกเขาที่ อู๋ ฮ่าวเหริน ให้ไว้

ในส่วนของงานสถาปัตยกรรม ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร ความยุ่งยากเพียงอย่างเดียวก็คือการหาพืชล้ำค่าในหยวนหมิงหยวน พืชบางตัวก็หาไม่ได้เลย

หลังจากได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อู๋ ฮ่าวเหริน จึงตัดสินใจที่จะแทนพืชพวกนี้ด้วยพืชพิเศษจากอนาคตซึ่งจะสวยกว่าพืชบนโลก

แน่นอนว่า พืชพวกนี้ทั้งหมดมาจากชาวไร่และยังได้รับการดูแลอย่างดีเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ก่อความเสียหายด้านความสมดุลของระบบนิเวศน์ซึ่งไปรบกวนพวกพืช

เมื่อ อู๋ ฮ่าวเหริน เจอกับกลุ่มผู้สูงวัย พวกเขาต่างพยายามที่จะออกแบบตัวตึก แม้ว่าตอนปกติ พวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เมื่อถึงเวลางาน พวกเขาก็ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เข้ามาแทรก

เวลาส่วนใหญ่ รูปแบบที่สร้างขึ้นนั้นทำเพื่อให้เห็นว่าเทคโนโลยีของคนที่สร้างนั้นดี

ถัดไปนั้นเป็นห้องกระจก มีรูปจำลองของหยวนหมิงหยวนที่ อู๋ ฮ่าวเหรินเป็นคนสร้างร่วมกับชีวิตในอดีต

ที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามในเขตก่อสร้าง มียามเฝ้าอยู่สองคนและนอกจากนี้ ยังมีพวกอาจารย์และช่างบางส่วนด้วย เมื่อวัดข้อมูลกันแล้ว คุณก็สามารถเข้าไปได้และเปรียบเทียบพวกมัน ไม่มีพวกขี้เกียจคนไหนที่จะเข้าไปได้

“อาจารย์ครับ วันนี้มีปัญหาอะไรบ้าง”

“มานี่หน่อยสิ ฮ่าวเหริน

มาดูนี่ อาจารย์ซูบอกว่ากระบวนการก่อสร้างของเขานั้นไปได้เร็วกว่าของผม ถ้าพวกเราทำตามขั้นตอนการก่อสร้างของเขา จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่”

อู๋ ฮ่าวเหริน เพียงแค่มองโดยไม่ได้ออกความเห็นใดๆ เพราะเขาไม่ต้องการโดนลากเข้าไปข้องเกี่ยวกับการทะเลาะของอาจารย์ทั้งสองคน

“หยุดก่อนนะครับ คือที่ผมมานี่ก็เพื่อจะถามอะไรบางอย่าง”

“เธอมีเรื่องอื่นจะถามเรางั้นสินะ บอกผมสิ เรื่องอะไร”

“ผมอยากจะซื้อของโบราณ ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจสายงานตรงนี้นะครับ เพียงแต่ผมต้องการที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยบอกผมได้ว่าอันไหนของจริงหรือของปลอม”

หลังจากได้ฟังว่า อู๋ ฮ่าวเหริน ต้องการจะซื้อของโบราณแล้วนั้น กลุ่มของชายสูงวัยจึงมองไปที่เขาอย่างนึกสงสัย

จากนั้นจึงมีคนร้องขึ้นมา “คุณไม่ต้องไปซื้อของโบราณหรอก แค่ทำของเลียนแบบใส่ไว้ในราชวังก็ได้”

“อืม ผมก็คิดแบบนี้ แต่ผมก็อยากมีของโบราณเป็นของตัวเองเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้น ผมอยากจะถามอาจารย์สักหน่อยสิครับว่าพอจะมีคนในสาขานี้บ้างไหม”

“ผมรู้จักอยู่ไม่กี่คน ผมเองก็เคยแกะสลักหยกมาบ้างและได้เจอพวกเขา”

“อาจารย์ครับ ตอนนี้ผมอาจจะซื้อของโบราณเป็นจำนวนมาก เป็นพวกของเบ็ดเตล็ด ถ้าอาจารย์รู้จักคนในสาขานี้ ก็แนะนำผมมาได้เลยนะครับ ตราบใดที่พวกคุณมีทักษะ จำนวนเงินที่ผมให้ก็จะเป็นที่น่าพอใจกับพวกเขาแน่นอน”

“ฮ่าๆ ได้เลย พวกเราไม่กังวลถึงเรื่องเงินหรอก หลานชายผมบอกว่าเงินจากบริษัทของคุณสามารถจับใส่ในธนาคารได้เต็มเลย”

“งั้นขอความกรุณาด้วยนะครับ ทุกคน เมื่อลงมือสร้างหยวนหมิงหยวนแล้ว ผมมีรางวัลพิเศษเตรียมไว้ให้อาจารย์แต่ละคนเป็นที่ระลึกนะครับ”

อู๋ ฮ่าวเหรินเตรียมของขวัญเป็นของขวัญพิเศษนั่นก็คือหยู่เตียว หยวนหมิงหยวน แต่ก่อนที่จะส่งของขวัญพิเศษนี้ไป เขาจะต้องเตรียมของสักหน่อย ไม่เช่นนั้น หยู่เตียวก็ไม่สามารถบอกอะไรได้

ข้อเท็จจริงนั้น เพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องอัญมณีหลายชนิดในหยวนหมิงหยวนนั้น เขาก็ได้เริ่มเตรียมที่จะซื้อเหมืองอัญมณีสักแห่ง

เหมืองอัญมญณีเหล่านี้จะปิดบังตัวเขาและแก้ปัญหาที่ว่าแหล่งอัญมณีที่เขาเอามานี้นั้นมาจากโลกอนาคตซึ่งคนยังไม่รู้จัก

จะไม่มีใครสงสัยชิ้นส่วนของหยกและแร่หยกจำนวนหนึ่งหรือสองชิ้น แต่ถ้ามีใครไปพูดปากต่อปาก คนโง่พวกนั้นต้องสงสัยเขาแน่ๆ

ดังนั้น อัญมณีลับพวกนี้จึงต้องมีเหมืองอัญมณีคอยบังหน้า อัญมณีที่เหมืองนั่นจะขุดออกมาได้หรือไม่ไม่สำคัญ แต่ตราบใดที่สิ่งนี้จะช่วยเรื่องแก้ปัญหาเรื่องแหล่งอัญมณีที่เขานำมาจากที่อื่นได้ก็เป็นพอ และที่สร้างความประหลาดใจให้ อู๋ ฮ่าวเหรินก็คือ เขาได้แหล่งเก็บเกี่ยวที่ว่านั่นอย่างคาดไม่ถึงในที่นี่

เพราะคนพวกนี้เป็นช่างฝีมือ พวกเขาจึงยังคงเก็บของดีๆที่เกี่ยวข้องกับงานตนเอาไว้ ดังนั้นพวกอาจารย์จึงอยากเอาของพวกนั้นมาขายให้กับ อู๋ ฮ่าวเหริน

ไม่มีทาง ตอนนี้ผู้คนที่นี่ต่างรู้หมดแล้วว่าเขาไม่ใช่คนดี และคนรุ่นใหม่บางคนไม่ใช่พวกที่อยากได้อะไรเกินตัว ถ้าพวกเขายังเก็บสิ่งนั้นไว้ คนรุ่นใหม่อาจจะทำลายพวกมันไป เพราะคิดว่าขายให้อู๋ ฮ่าวเหรินแล้วได้เงินน่าจะดีกว่า

อู๋ ฮ่าวเหริน รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับเซอร์ไพรส์ครั้งนี้ แต่เขาเองก็มีข่าวร้ายเหมือนกัน ก็คือของโบราณชั้นดีได้รับการเก็บสะสมโดยนักสะสมรายใหญ่ พวกเขาไม่ได้ต้องการแลกเปลี่ยนของของพวกเขาเพื่อเงิน

หรือจะให้พูดก็คือ แม้ว่าอู๋ ฮ่าวเหริน จะมีเงิน เขาก็ซื้อของพวกนั้นไม่ได้

แน่นอนว่า ถ้าอู๋ ฮ่าวเหรินเจอพวกแกะดำอยู่บ้าง เพราะถ้าคนแก่ๆตายไปแล้วต้องดูแลข้าวของที่คนรุ่นเก่าทิ้งไว้ให้ เขาก็อาจจะได้สมบัติอะไรติดมาบ้าง

จากหยวนหมิงหยวนกลับมาถึงหมู่บ้านซุยฉุย อู๋ ฮ่าวเหริน มองไปยังพวกของโบราณและพบว่านี่เป็นกรณีหนึ่งจริงๆ

คนที่ไม่เข้าใจสายนี้ เหมือนกับเขา จะใช้เงินไปโดยตรง แน่นอนว่าในตอนนี้ ไม่มีแผนการไหนจะยอดเยี่ยมเหมือนกับการที่เขาจะซื้อของโบราณทั่วโลก

พฤติกรรมเช่นนี้ของเขาได้แพร่กระจายไปยังอุตสาหกรรมของโบราณ ทุกคนต่างเห็นด้วยว่าเขาคือคนที่มีเงินเยอะ

ยิ่งไปกว่านั้น จากข้อมูลที่จี้มี ในยุคต่อไปจากนี้พ่อค้าที่ขายของโบราณที่ตกทอดกันมา, โจรปล้นสุสานและแก๊งต้มตุ๋นของโบราณทั่วประเทศจะมารวมตัวกันในอำเภอหยุนหลง

เป้าหมายของคนพวกนี้คือว่าเขาเป็นผู้มีอำนาจด้วยเงินจำนวนมาก เมื่อเห็นข้อมูลตรงหน้า เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก

อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้สำคัญ คนพวกนี้มาได้ถูกเวลา บางทีอาจจะพาเรื่องมาให้ประหลาดใจก็ได้

แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นปัญหาในการอัพเกรดการระบุตัวตนในระบบซองแดง แต่ยังข้อจำกัดในการใช้ของโบราณมากมายที่จะส่งผ่านซองแดง

เขาเพิ่งมาถึงบริษัทในตอนเช้า พลางเห็นรถส่งของสองคันจอดอยู่ที่ประตู พนักงานต่างหิ้วข้าวของไปจนสุดทางโดยมีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยช่วยเหลือ

“เป็นยังไงบ้าง มีวัตถุโบราณมาเยอะเลยใช่หรือเปล่า”

“สวัสดีครับ ท่าน นี่เป็นวัตถุโบราณที่มาถึงเช้านี้ จ่าหน้าผู้รับถึงท่านทั้งหมดเลยครับ”

“ฉันงั้นหรือ”

อู๋ ฮ่าวเหรินหยิบวัตถุโบราณขึ้นมาก่อนจะมองชื่อผู้รับซึ่งก็คือเขา

ผมหยิบสำเนาจากในแถวมาสามหรือสี่ฉบับและเห็นว่าผู้รับเป็นเขาทุกฉบับเลย

“งานหัตถกรรมถือเป็นของโบราณหรือเปล่า”

อู๋ ฮ่าวเหริน คิดถึงความเป็นไปได้ในทันที แต่บางฉบับก็ไม่น่าเชื่อ เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับอีเมลล์มากมายในวันเดียวสำหรับคำประกาศที่เพิ่งส่งไปเมื่อวาน

เขาได้รับวัตถุโบราณมากมายหลายแบบ โดยทุกฉบับรับโดยหวังหลาน

——————-


CF:บทที่ 209 มากขึ้นทุกทีๆ

อู๋ ฮ่าวเหรินนั่งอยู่ในห้องโถง ดูของโบราณอยู่หลายชิ้นและทุกชิ้นคือของโบราณต้องสงสัย

นอกจากนี้ ของโบราณแต่ละชิ้นยังมีโน๊ตแนบมาด้วย ถ้านี่คือของโบราณจริง ก็ต้องให้เขาประเมินคุณค่าจากนั้นก็ใช้ซื้อเครื่องไฟฟ้าบำบัดจากฟิวเจอร์กรุ๊ปหรือหาเงินเข้าบัญชีธนาคารที่สร้างขึ้น แต่ถ้าไม่ ก็นำมาให้เขาโดยตรง

สิ่งนี้ทำให้อู๋ ฮ่าวเหรินเศร้าเล็กน้อย คนพวกนี้เชื่อใจเขาจริงๆและไม่เกรงกลัวต่อความโลภของเขาด้วย

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณคิดถึงเรื่องนี้ ก็จะเข้าใจได้ว่าสถานะและคุณค่าของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นๆกังวล และเขาก็จะทำแบบนั้นด้วย

“หาใครสักคนมาแยกของโบราณพวกนี้ที อย่าเอาไปปนกับพวกโน๊ตล่ะ เอาพวกโน๊ตทั้งหมดวางลงบนสิ่งที่อยู่ในของโบราณ และวางไว้ในโกดังถัดจากห้องแล็บของฉัน”

“ได้ครับ ท่าน เดี๋ยวผมจะให้คนมาจัดการ”

ด้านหลังที่ทำงาน อู๋ ฮ่าวเหริน กลับมาดูกระดานสนทนา มีโพสต์ล่าสุดบางโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับของโบราณเหล่านั้น

นอกจากนี้เขายังเห็นว่าทุกอันคือของโบราณที่ทุกคนบันทึกไว้รวมถึงข้อมูลและของโบราณที่เพิ่งส่งไป

เมื่อเห็นจำนวนการตอบกลับแต่ละโพสต์ อู๋ ฮ่าวเหรินถึงกับพูดอะไรไม่ออก วันนี้ รถสองคันนี้มีอยู่น้อยนิด ตามสถิติข้างต้น จะมีของโบราณมาส่งมากขึ้นอีกในวันพรุ่งนี้

“ผมไม่รู้ว่าถ้านักประดิษฐ์เก่งๆ มองของโบราณของผม จะรู้ว่าเป็นชิ้นที่ผมทำขึ้นเองหรือเปล่า”

“คุณทำขึ้นมาเอง แล้วทำไมถึงส่งมันไปล่ะ นั่นไม่ใช่ของโบราณนะ”

“ผมก็แค่อยากส่งของขวัญไปให้ไอดอลของผมนี่นา”

อู๋ ฮ่าวเหริน เห็นว่าของโบราณนั้นมีปริมาณค่อนข้างมาก มีหลายชิ้นเป็นของขวัญที่ประชาชนทำขึ้น โดยอาศัยโอกาสนี้ส่งมาให้

แน่นอนว่ายังมีผู้คนบนกระดานสนทนาตั้งคำถามกับพฤติกรรมเช่นนี้ ถ้านี่คือของโบราณจริงๆ แล้วเขาควรจะทำอย่างไรถ้าไม่ยอมรับมัน

อย่างไรก็ตาม ความเห็นส่วนใหญ่ใต้ล่างจะเป็น “ฮ่าๆ”

“ฉันคิดว่านายน่าจะนำของโบราณไปกับนายด้วยนะ ฉันอาจจะเข้าพบผู้บริหารอู๋เลย แล้ววันนี้ฉันจะถามหาของโบราณจากปู่ และพรุ่งนี้ ฉันจะขับรถไปหาฟิวเจอร์กรุ๊ป”

“ฮ่าๆ ฉันเนี่ยอยู่ในรถแล้ว เดี๋ยวถ้าไปถึงมืดๆ คงได้เห็นสำนักงานใหญ่ของฟิวเจอร์กรุ๊ปด้วยตาของตัวเองในวันพรุ่งนี้ เห็นเขาว่าที่โน่นมีเครื่องอำนวยความสะดวกหรูหรามาก ตึกก็เย็น บางทีเราอาจจะได้เห็นหุ่นยนต์กังฟูด้วย”

“นี่นาย ไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อน แล้วก็ส่งรูปมา อีกไม่กี่วันนี้ถ้ามีเวลาเดี๋ยวฉันจะไปที่นั่น”

“พวกเราตั้งทีมที่นี่แล้ว ถ้านายมีเพื่อนอยู่ที่นี่ก็มาที่นี่ แต่ถ้าไปแบบกลุ่ม เขาจะมองว่านายมาเที่ยวนะ เห็นเขาพูดกันว่าวิวดีมาก”

เมื่อเห็นโพสต์ล่าสุด อู๋ ฮ่าวเหรินก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการต้อนรับคนในอำเภอหยุนหลง รวมถึงว่าเขาจะสามารถรับคนจำนวนมากเข้ามาในอำเภอนี้ได้หรือไม่

แม้แต่ชาวต่างชาติบางคนก็กำลังจะมาส่งของสะสมโบราณของพวกเขา

แน่นอนว่า คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ค้าของโบราณตัวจริง วัตถุประสงค์ของพวกเขาก็เพื่อขายของพวกนี้นี่ล่ะ

ในตอนบ่าย อู๋ ฮ่าวเหรินอยู่ในโกดัง เขามองของโบราณทีละชิ้น และแน่นอนว่าเขาเห็นอะไรเป็นอะไรเพียงพริบตาเดียว ของพวกนี้เขาจะไม่ใส่ลงในระบบซองแดงให้เสียพลังงานหรอก

แม้จะมีคนบอกว่าจริงๆแล้วของพวกนี้ในระบบซองแดงเป็นของเก่าแก่ แต่ก็ไม่มีใครถามถึงมันเลยว่าถูกส่งมาหรือไม่เพราะนี่เป็นของโบราณที่ไม่ได้มีค่าแต่อย่างใด

ยังมีของมีค่าที่ อู๋ ฮ่าวเหรินใส่เข้าไปในระบบซองแดงและตรวจสอบพวกมัน เขาประเมินราคาตามปริมาณเหรียญพลังงานและข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบข้างต้น

อีเมลล์มากมายที่ส่งมาก็ค่อยๆน้อยลง แต่ก็ไม่มีอะไรให้เก็บไปแล้ว หยกโบราณที่พบอยู่แปดชิ้น เชือกพันด้ายแปดเส้น รวมถึงประติมากรรมบางส่วน สิ่งประดิษฐ์โบราณ ของมีค่าทุกชิ้นรวมกันแล้วมีมากถึง 158 ชิ้น

หลังจากเลือกของต่างๆแล้วนั้น อู๋ ฮ่าวเหริน จึงถ่ายรูปลงอีเมลล์

จากนั้น ฉันจึงเลือกมูลค่าของแต่ละชิ้นและส่งรูปของทั้งหมดไปที่กระดานสนทนา

สองนาทีต่อมา ในกระดานสนทนาล้วนตื่นตาตื่นใจกับโพสต์นี้ พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าปัญหาที่อภิปรายกันในตอนเช้าจะได้รับการแก้ไขในตอนบ่าย โดยเฉพาะคนที่ส่งภาพพวกนี้ออกไป หลังจากเห็นโพสต์นี้ ถ้าไม่คิดถึงคุณค่าของพวกของแล้ว พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้น

“ฉันก็ไม่ได้หวังว่าผู้ชายคนนั้นนั่นจะตรวจของแต่ละชิ้นไปจนจบ ทั้งยังถ่ายรูป ออกความเห็น แต่ไม่ใช่เพราะเขาหาใครทำพวกนี้ให้หรอกใช่ไหม”

“ตานายท่าจะมีปัญหาแล้วนะ เมื่อเรามองไม่เห็นอะไรเลย ทุกที่ก็เหมือนๆกันหมดแหละ เห็นได้ชัดเลยว่าภาพนี้ถ่ายโดยคนๆเดียวจากที่เดียวกัน”

“ฮ่าๆ นี่ล่ะสิ่งที่นักประดิษฐ์ล้ำๆเขาทำกัน เดี๋ยวฉันจะไปถามลูกพี่ลูกน้องฉันตอนนี้เลย เพราะเธอบอกว่าของทุกอย่างจะมีพนักงานคอยแยกอยู่ พอแยกเสร็จก็เอาไปใส่โกดังที่ถัดจากห้องแล็บผู้บริหาร ผู้บริหารเองก็อยู่ในโกดังคนเดียวตอนบ่าย และนี่ก็ออกมาจากโกดังแล้ว”

“และฉันก็จะบอกนายว่า ตอนนี้คนในแผนกการเงินกำลังเดินทางไปธนาคารพร้อมกับรายการของมีค่าของผู้บริหารล่ะ”

“ไม่นะ ของพวกนั้นทำเงินได้มากขนาดนั้นเชียวหรือ”

“ทำได้สิ ผู้บริหารนี่สุดยอดจริงๆ ฉันคิดว่าเขาคงใช้เทคโนโลยีชั้นสูงบางตัวเพื่อทดสอบของพวกนั้น”

“ไม่ๆ ฉันจะกลับไปบ้านหลังเก่าของฉัน จะลองไปตรวจสอบดู บางทีอาจจะเจอของโบราณอยู่บ้างก็ได้”

ของนั้นมีจำนวนมากและของจำนวนมากก็ได้ถูกจัดการไปแล้ว ตอนนี้ พวกเขาไม่ได้มาคิดถึงเรื่องนี้ แต่หลังจากอู๋ ฮ่าวเหริน ได้เจอของโบราณ เขาก็เริ่มละโมบ

เมื่อมองสถานการณ์ที่ผ่านมา ถ้าของนั้นมีค่า ผู้บริหารก็จะประเมินของสิ่งนั้น

ถ้าเงินน้อยเกินไป ก็จะถูกส่งเข้าบัญชีทางการของของฟิวเจอร์กรุ๊ปสำหรับสั่งผลิตภัณฑ์ของฟิวเจอร์กรุ๊ปเอง

เห็นได้ชัดว่า อู๋ ฮ่าวเหรินไม่ควรเผยแพร่ข้อมูลนี้บนกระดานสนทนา เนื่องมีผลโดยตรง มีคนหลายคนเริ่มที่จะหาของที่พวกตนคิดว่าเก่าแก่และส่งของโบราณไปหาฟิวเจอร์กรุ๊ป

วันนี้ ของโบราณที่บุรุษไปรษณีย์ต้องเอาไปส่งมีน้ำหนักมากขึ้นและส่วนใหญ่ผู้รับก็คือ อู๋ ฮ่าวเหริน จากฟิวเจอร์กรุ๊ป

วันต่อมา เมื่อ อู๋ ฮ่าวเหรินมองไปเห็นรถขนส่งของที่ประตูบริษัท เขาก็ถึงกับตะลึง

เมื่อเขาได้เรียนรู้สถานการณ์จากหวังหลาน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองดูโง่ลงไปถนัด ในตอนนี้ บริษัทได้รับอีเมลล์มากกว่า 10000 ฉบับแล้ว

ปริมาณของของโบราณที่กำลังเดินทางอยู่อาจจะเป็นสิบเท่าซึ่งมีจำนวนมากพอๆกับของโบราณที่ได้รับ

หรือถ้าจะให้พูด เขามีสิ่งต่างๆส่งเข้าซองแดงอยู่ตลอด แต่ทว่าเขาก็จำเป็นจะต้องแก้ปัญหาใหญ่นี้และจัดการกับอีเมลล์ทั้งหลาย

ผู้บริหารครับ จากสถานการณ์ในตอนนี้ เราควรจะประกาศให้ผู้คนหยุดทำอะไรแบบนี้กันดีไหมครับ”

“ไม่ แต่นายจะต้องหาคนมาเปิดของโบราณพวกนี้ จำไว้นะ ว่าอย่าเอามาปนกันแต่ให้เอาไปเก็บไว้ในโกดังตรงโน้น”

จากความรู้สึกกังวล แต่ทันใดนั้นอู๋ ฮ่าวเหริน ก็รู้สึกมีความสุขพลางคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่แย่สักหน่อย

ตอนเริ่มต้น มีของโบราณส่งเข้ามามากมาย แต่ในอนาคตก็จะส่งกันมาน้อยลงเรื่อยๆ ในกรณีนั้น เขาอาจได้เจอของสำหรับส่งไปให้ซองแดงได้ในทุกๆวัน

จะให้พูดก็คือ ถ้าเขาทำแบบนั้นจริงๆ เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องหาของโบราณมาด้วยตัวเอง คนอื่นต่างหากที่จะหาและส่งมาให้เขาถึงหน้าประตู

จะมีอีเมลล์ส่งมาสักกี่ฉบับก็ไม่สำคัญแล้ว หรือแม้จะเสียพลังงานไปสักเท่าไหร่ก็ตาม เพราะของทั้งหมดได้รับการวิเคราะห์โดยระบบซองแดงแล้ว

ตอนนี้อู๋ ฮ่าวเหริน ไม่มีธุระอะไรแล้ว เขาไม่สนใจธุรกิจของบริษัท วันทั้งวัน นอกจากรับเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องของโบราณแล้วนั้น เขาก็อยู่ในโกดังและวิเคราะห์ของที่มาของวัตถุโบราณ

———————-


CF:บทที่ 210 สมาชิกใหม่ของซองแดง

อู๋ ฮ่าวเหรินเริ่มต้นสร้างซองแดงในกลุ่มซองแดงขึ้นในตอนกลางคืนเพราะของที่เก็บมาได้ในหนึ่งวันนั้นเป็นไปได้ด้วยดี

“เจ้าศิลปะไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นหรือครับ”

“ผู้ชายคนนั้น มีคนบอกว่าเขาจะเข้าไปเสี่ยงอีกแล้ว เวลานี้น่ะ เขาไปดาวของสัตว์ป่า แล้วเขาก็อาจตาย มีคนบอกว่าสัตว์ป่าบนดาวนั้นสามารถฆ่าผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งจักรวาลเลย”

“นั่นล่ะความตายของแท้”

นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่ผมเห็นรายนามของผู้คนในจักรวาลที่ต่อสู้กัน อู๋ ฮ่าวเหรินก็ได้เข้าใจในเรื่องพลังการต่อสู้ของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง

“แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็ได้ของโบราณมาบ้างแล้ว ดูเอานะว่าอยากได้อะไรหรือเปล่า”

อู๋ ฮ่าวเหรินมีของตั้งเรียงรายอยู่ในแถวเป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งโหล ของทุกอย่างเป็นงานประดิษฐ์รูปแบบทันสมัยและมีขนาดเล็ก เช่น งานไม้แกะสลักและงานตัดกระดาษ

ของพวกนี้ยังไม่มีอายุเก่าแก่มากนัก แต่ทว่าระบบการประเมินราคาจำนวน 500 พลังงานเหรียญก็ใกล้ถึงกำหนดปีแล้ว

“และพวกของเย็บปักถักร้อย ที่ยังคงสงวนไว้อย่างดีมาเป็นเวลานาน ฉันจะเอาอันนั้น” ผลงานเย็บปักถักร้อยชิ้นหนึ่งของเมืองซูโจวถูกขโมยไปโดยทุกประเพณี

ในช่วงเวลาที่รำลึกถึงความหลังนี้ ไม้ที่ใช้แกะสลักทุกชนิดถูกปล้น เจ้าพวกฉกซองแดงไปคงสนใจไม้แกะสลักชนิดนี้อย่างเห็นได้ชัด

“เป็นอุปกรณ์ที่ดีเลยนะ แม้ว่างานทำมีดจะดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่เก็บไว้มาถึงตอนนี้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ฉันเองก็รู้จักอาจารย์ที่สอนเทคนิคการแกะสลักโบราณนะ ฉันควรจะให้อะไรเขาเป็นของขวัญสักหน่อย”

เมื่อชายคนนี้พูดเรื่องซองแดงจบ การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ต่างๆเมื่อไม่นานมานี้ของอู๋ ฮ่าวเหริน ทำให้เขาได้รู้

เมื่อเขารู้ว่าซองแดงคืออะไร อู๋ ฮ่าวเหรินจึงรู้สึกประหลาดใจ

“นี่เป็นรูปสลักจีนโบราณที่สลักโดยอาจารย์หลง หยินและเพราะว่ามีแสง ก็จะเห็นว่าในนี้มีเงามังกรเคลื่อนไหวอยู่”

แปดพันพลังงานเหรียญช่างคุ้มค่า อู๋ ฮ่าวเหรินฟังเรื่องราวชีวิตย้อนหลังที่เกริ่นมาในช่วงต้นและจ้องตัวมังกรที่ออกแบบรูปร่างมาให้เคลื่อนไหวไปมาในไม้สลัก ช่างสวยงามมากจริงๆ

“ฉันชอบมันมากเลย คราวหน้า ถ้ามีของแบบนี้อีก เอามาให้บ้างนะ”

อู๋ ฮ่าวเหริน คิดว่าถ้านำรูปมังกรแบบนี้ไปสลักตามต้นไม้ชนิดต่างๆในหยวนหมิงหยวนล่ะก็ ที่นั่นจะต้องงดงามแน่ๆ

อย่างไรก็ตาม ของแบบนี้ทำได้แค่คิดเท่านั้น เพราะถ้าไม้พวกนี้มีมากเกินไป เขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร

แต่ไม้แกะสลักประเภทนี้

แม้ว่าถ้ามี แต่เพราะรูปร่างที่เปลี่ยนไป คนอื่นๆอาจจะคิดก็ได้ว่านี่คือไม้ใช้แกะสลักกลายพันธุ์

ผู้สื่อข่าวบันเทิงฉก รูปสีน้ำมันไปเล็กน้อย บรรพบุรุษของคนๆนี้น่าจะมาจากประเทศทางยุโรปหรือไม่ก็อเมริกา

“แม้ว่ารูปวาดพวกนี้จะไม่ได้ดีมากนัก แต่ปีนี้ก็คงนานพอแล้ว รูปที่แขวนอยู่พวกนี้ทำให้รู้สึกถึงความเรียบง่าย”

เขาถูกปล้นซองแดงไปแปดซอง อู๋ ฮ่าวเหรินต้องทำเหรียญพลังงานเพิ่มอีก 30000 เหรีญเพื่อให้ถึง 100000 เหรียญ

ช่างโชคร้ายที่เหรียญพลังงานพวกนี้ไม่ได้รับอนุญาตจากทางกลุ่มเชฟพิเศษเพราะในกลุ่มดังกล่าวไม่มีเหรียญพลังงาน

อู๋ ฮ่าวเหริน คิดว่าเขาอาจจะเข้าร่วมกลุ่มยานอวกาศพิเศษเพื่อหาทางที่จะเอาเหรียญพวกนั้น

อาจจะเป็นเพราะว่าคะแนนทำอาหารจำเป็นต่อเชฟ ดังนั้นคะแนนยานบินก็จำเป็นต่อยานอวกาศ แต่ทว่าเขาเองกลับไม่มีวัสดุพิเศษใดๆที่จะเอาไว้ใช้ทำยานอวกาศเลย

เมื่อเขากลับมาที่กลุ่มของระดับแรก ซองแดงหลายซองที่เขาวางทิ้งไว้ข้างหลังก็ถูกคนที่ชื่อเอ็กท์ คลอว์ฉกไป

ที่สร้างความประหลาดใจให้กับ อู๋ ฮ่าวเหริน ก็คือร่องรอยของเอ็กท์ คลอว์นั้นมาจากอารยธรรมอื่น หรือถ้าจะให้พูดก็คือเขาคือคนใหม่จากอารยธรรมอื่นที่มาเข้าร่วม

ตอนแรกเขาเองก็ไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้ เมื่อเขาเดินออกมาจึงเห็นว่ามีคนหน้าใหม่เข้ามามากมายและทั้งหมดก็เป็นคนมาจากอารยธรรมอื่น

“บ้าเอ้ย ฟลายอิ้ง เร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง โดนปล้นไปแบบนี้ฉันเลยไม่เห็นเลยว่าซองแดงคืออะไร” มนุษย์ชุดเกราะบ่นขึ้น

“ฮ่าๆพวกเขาใช้มือหยิบไป เร็วบ้างช้าบ้าง ดูพี่น้องเอ็กท์ คลอว์สิ พวกเขาปล้นซองแดงไปเยอะเลย”

“มึนหัวจริงๆ คงเหมือนคราวที่พ่อค้าของเก่าเข้ามา พวกเขาเองก็ปล้นเอาซองแดงไป โชคดีชะมัด”

อู๋ ฮ่าวเหริน รู้สึกงงไปชั่วครู่ แต่ไม่นานก็กลับมาสั่งได้ตามปกติและฉวยซองแดงที่เพิ่งโผล่ออกมา

ยังมีอะไรอีกไหม นี่เป็นซองแดงจากเอ็กท์ คลอว์ ผมแค่สงสัยว่าไข่มุกนั้นคืออะไร นี่ใช่ไข่มุกหรือเปล่า

เขาดูบทนำของซองแดง นี่ไม่ใช่ไข่มุกธรรมดา แต่เป็นไข่มุกที่จะส่องประกายเมื่อใส่ลงไปในน้ำและมีลูกปัดขนาดใหญ่ราวกับกำปั้นสีเขียว

อู๋ ฮ่าวเหรินตรวจสอบในสารานุกรม คนที่ชื่อเอ็กท์ คลอว์นั้นน่าจะเป็นพวกอารยธรรมใต้น้ำ พวกเขาอาศัยอยู่ในน้ำ และสำหรับพวกเขานั้น น้ำก็เปรียบได้เหมือนอากาศสำหรับมนุษย์

ดาวส่วนใหญ่ในที่ที่มีอารยธรรมนั้นมักมีน้ำปกคลุมอยู่และดาวบางส่วนก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบ

ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาใช้ล้วนเกี่ยวข้องกับน้ำและมีความแตกต่างจากมนุษย์เป็นอย่างมาก

“แย่จังเลย พอเพิ่มคนสามคนนั้นเข้ามา พวกนั้นก็ไม่ได้ออนไลน์ เราเลยไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่ เอ็กท์ คลอว์ อย่าเป็นไข่มุกแห่งสายน้ำเช่นนี้เลย โปรดบอกสิ่งที่ไม่เหมือนใครในอารยธรรมแห่งน้ำของคุณจะได้ไหม”

“ได้สิ เพื่อนมนุษย์ แต่ว่าในระบบมีข้อห้ามมากมาย มีบางอย่างทำให้ฉันนำออกไปไม่ได้”

ตอนที่ซองแดงห้าซองปรากฏขึ้น อู๋ ฮ่าวเหริน จึงไม่มีท่าทีอะไรอีก ไม่แม้กระทั่งจะมองว่าพวกเขาเป็นอะไร

“พวกหื่นกามเต็มไปหมด ผมไม่เห็นเลยว่านี่คืออะไร” เมื่อหมอพูดจบ เขาจึงเดินออกไปพร้อมกับซองแดงอีกไม่กี่ฉบับ

ในตอนนี้ อู๋ ฮ่าวเหรินมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาใต้น้ำ เขาไม่ได้ฉกมันมาเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะทำแบบนั้น

เมื่อเขาออกมาจากระบบซองแดง เขาจึงคลิกที่หน้าจอ

สุดท้าย เขาจึงคว้าซองแดงซึ่งดูจะเป็นของดีมา ชื่อเรียกของมันคือหินเมอร์คิวรี สามารถทำให้น้ำบริสุทธิ์และเพิ่มระดับพลังงานของน้ำอีกด้วย

ถ้าหินชนิดนี้มีอยู่มากกว่านี้ล่ะก็ เราก็สามารถนำไปวางในช่วงฤดูใบไม้ผลิได้และจะทำให้ฤดูใบไม้ผลิเปลี่ยนเป็นฤดู “ใบไม้ผลิศักดิ์สิทธิ์”

อู๋ ฮ่าวเหรินส่ายหน้าก่อนจะเตรียมไว้เพื่อโยนลงบ่อน้ำให้บริสุทธิ์ในวันพรุ่งนี้

หลังจากที่ได้เห็นเนื้อหาของระบบซองแดงแล้วนั้น เขาก็รู้สึกค่อนข้างดี แม้ว่าการเข้าไปหยิบซองแดงจะยากกว่าแต่ก่อน แต่เขาก็ยังได้ของหายากมาอยู่

ในอนาคต พวกเราอาจจะได้เทคโนโลยีทางน้ำจากอารยธรรมของพวกเอ็กท์ คลอว์

หลังจากเลือกของในช่องแล้วนั้น อู๋ ฮ่าวเหริน ก็ได้นำไม้แกะสลัก หลงหยินและไข่มุกน้ำ วางไว้ด้วยกันบนโต๊ะ พอถึงพรุ่งนี้ เขาก็จะเอาของพวกนี้ไปที่บริษัท

ในตอนเช้าตรู่ ผู้คนก็ออกมาจากสถานีพร้อมกับถุงพลาสติกสีดำ

ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ย แข็งแรง ผิวดำและผอมแต่มีกล้ามทั่วทั้งร่างกล่าวขึ้น “พี่ใหญ่ อย่า อย่าไปเลยนะ บริษัทนั่น…”

“อึกๆอักๆอะไรอยู่ได้ ไม่ต้องพูดแล้ว ฟังยาก หัวหน้าครับ บริษัทนั่นน่ะมันรวยจริงๆนะครับ แถมผมยังได้ยินมาว่าผู้บริหารที่นั่นอย่าง อู๋ ฮ่าวเหรินเนี่ยเป็นคนฉลาดอีกด้วย แล้วเราจะโกงเขาได้หรือครับ”

“ผัวะ”

ชายวัยกลางคน ใบหน้ามีเครา ในชุดสูทตบหัวลิงผอมในร่างที่อยู่ข้างๆเขาก่อนจะพูด “ไอ้ลิงแห้ง สมองแกคงไม่ได้ใช้งานบ้างเลยใช่ไหม พวกเราไม่ได้จะหลอกผู้บริหาร แต่พวกเราจะหลอกพวกผู้เชี่ยวชาญด้านของโบราณต่างหาก จำไว้นะ ยิ่งแกคุ้นเคยกับของโบราณมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น อธิบายเหตุผลให้มันฟังด้วย”

“คนที่รู้วิธีจำแนกของโบราณจะใช้ตาในการแยกเพื่อบอกว่าของโบราณนั้นเป็นของแท้ มากกว่าที่จะเชื่อข้อมูลที่มาจากเครื่องตรวจจับ สิ่งที่เราทำนั้นคงพอที่จะทำให้สับสนว่าอันไหนของจริงหรือของปลอม ดังนั้นคนที่รู้จักของโบราณนี้จะถูกหลอก ส่วนคนที่ไม่รู้จักพวกของโบราณก็จะมาเอาของของเราไปตรวจสอบ ถึงจะรู้ได้ว่านี่คือของปลอม”

“นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่เพิ่งมาถึงที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกสับสนกับสิ่งที่พวกเขาดู แต่ก็คงไม่กล้าพูดหรอกว่ามันปลอม เพราะอยากที่จะแสดงความสามารถ ก็ต้องพูดว่าพวกนี้คือของจริงทั้งๆที่เห็นว่าความจริงเป็นอย่างไร”

“แกเข้าใจใช่ไหม เรากำลังต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญในเวลานี้ แค่หลอกพวกมันก็ได้เงินมาแล้ว ทีนี้ ลองไปหาที่ที่เราจะไปอยู่ก่อน จากนั้นค่อยไปถามเกี่ยวกับสถานการณ์”


CF:บทที่ 211 แจกันปลอม

เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญที่นี่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เครื่องกระเบื้อง เครื่องทองสำริดและหยกโบราณ ทางกลุ่มจึงเปิดผลการตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุเหล่านี้ในอนาคต

ตอนเช้าตรู่ คนที่นำของเก่ามาที่อำเภอหยุนหลง นั่งรถไปที่ประตูของฟิวเจอร์กรุ๊ป หลังจากผ่านการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว เขาถูกพาไปที่สำนักงานใหญ่ของฟิวเจอร์กรุ๊ป

“ดูนั่นสิ ดูเหมือนจะเป็นอาณาเขตโรงงานของฟิวเจอร์กรุ๊ป มันใหญ่โตเกินจริง!”

“ทางทิศใต้เป็นหอพักสำหรับพนักงาน ผมอยากไปดูตรงนั้นจริงๆ ได้ยินมาว่าการก่อสร้างที่นี่ยอดเยี่ยมที่สุด”

“ขึ้นรถเร็วเถอะ หลังจากตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุเสร็จแล้ว เราค่อยขอเที่ยวชมที่นี่รอบๆ กัน”

นักท่องเที่ยวคนหนึ่งสอบถามคนขับรถที่อยู่ด้านหน้าว่า “พี่คนขับ ได้ยินมาว่าพวกคุณทุกคนเกษียณอายุราชการจากกองทัพ เป็นจริงหรือเปล่า?”

“ที่จริง ผมเป็นทหารผ่านศึกอยู่แปดปี ผมน่าจะถูกย้ายไปยังกองกำลังตำรวจติดอาวุธ แต่ผมขอร้องท่านผู้นำให้รับผมไว้ ตอนนี้บรรดาสหายเก่าของผมในกองทัพพากันมาสอบถามผมเรื่องนี้ ในอนาคตทางกลุ่มยังต้องการตำแหน่งแบบเดียวกัน และพวกเขาก็อยากจะมาที่นี่หลังเกษียณ”

“ฮ่าฮ่า อย่างนี้นี่เอง ผมก็อยากเข้าร่วมฟิวเจอร์กรุ๊ปด้วยเหมือนกันนะ แต่ผมไม่แม้แต่ผ่านการสมัครตอนแรกเลย สวัสดิการและค่าตอบแทนที่นี้ช่างน่าดึงดูดจริงๆ”

“ปัญหาเดียวของที่นี่คือการจัดแสดงที่ยังตามหลังอยู่เล็กน้อย ถ้าคุณอยู่ในเมืองขนาดใหญ่ คุณต้องกลัวว่ามีคนมากมายแก่งแย่งชิงดีกัน!”

คนขับพูดด้วยรอยยิ้ม “เข้าใจผิดแล้วครับ อีกหนึ่งปีข้างหน้า ที่นี่จะเปลี่ยนแปลงไปมาก ตามทางที่คุณผ่านมาคุณจะเห็นว่าทางด้านทิศใต้ของเรา เริ่มก่อสร้างกันแล้ว ว่ากันว่าอำเภอหยุนหลงจะสร้างเขตเมืองใหม่ขึ้นตรงนั้น จะเป็นเมืองที่ทันสมัยมาก ผมเตรียมสร้างครอบครัวที่นี่ พอผมมีบ้านเมื่อไรผมจะพาพ่อแม่และภรรยามาอยู่ด้วย”

“ผมได้ยินมาว่าฟิวเจอร์กรุ๊ปจะก่อสร้างพระราชวังฤดูร้อนหยวนหมิงหยวนขึ้นใหม่ที่นี่ใช่ไหมครับ”

“อยู่ตรงอีกฝั่งหนึ่งของภูเขา เราจะเปิดช่องทางเดินภายในภูเขาเพื่อเชื่อมต่อบริษัทกับภูเขาด้านนั้น กำลังมีการก่อสร้างโครงการท่องเที่ยวแบบโบราณที่บริเวณนั้นซึ่งจะเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวของอำเภอหยุนหลง”

เมื่อได้ฟังการแนะนำของพี่คนขับรถซึ่งเป็นพี่ใหญ่สุดแล้ว คนส่วนมากก็ตาสว่างขึ้น ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตนั้นต่างไปจากข้อมูลของสมาชิก

บางคนคิดเลยเถิดไปถึงการจัดนิทรรศการที่นี่ในอนาคตรวมถึงเรื่องที่ว่าทางกลุ่มจะจัดนิทรรศการของอำเภอหยุนหลงออกมาเป็นอย่างไรในอนาคต

แต่ทว่า ชายสองคนที่อยู่แถวลอบมองไปรอบๆบริเวณ โดยไม่ได้ฟังการสนทนาของคนในรถเลย และอุ้มภาชนะอะไรสักอย่างห่อด้วยผ้าสีดำไว้ในอ้อมแขน ดูเหมือนเป็นของโบราณที่พวกเขานำมา สองคนนั้นไม่ใช่คนอื่นที่ไหน คนหนึ่งก็คือคนที่พูดติดอ่างและอีกคนก็คือคนที่พูดจาเพ้อเจ้อ สองคนนี้มาที่นี่เพื่อสำรวจเส้นทาง

ถ้าวันนี้พวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาจะเริ่มทำตามแผน

“พึมพำ พึมพำ… “

“ห้ามพูดอะไร วันนี้แค่ตามฉันมา เห็นอะไรก็ไม่ต้องพูด ไม่ต้องเอ่ยถาม ทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน”

เขาเหลือบตาลงเล็กน้อย ฉันไม่รู้ว่าชายชราคิดอะไร ปล่อยเขาพูดติดอ่างและไม่ได้ห้ามปราบไปตลอดทาง

พฤติกรรมแปลก ๆ ของสองคนนั่น ไม่ได้ดึงความสนใจของคนขับรถแต่อย่างใด ส่วนใหญ่เป็นคนที่มาในวันนี้มากกว่า บวกกับยังมีอะไรที่แปลกกว่าสองคนนั้นเสียอีก

ห่างจากตัวอาคารไปอีกไม่ไกล ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณทั้งหลายก็พร้อมแล้วที่จะสร้างบริเวณพื้นที่เพื่อการตรวจพิสูจน์ขึ้นเป็นพิเศษ

พอรถแล่นมาถึงที่นี่ กลุ่มผู้โดยสารก็มองไปที่ตัวอาคารแล้วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

พนักงานต้อนรับที่รอกำลังรอต้อนรับพวกเราอยู่นานแล้วก็พูดขึ้นว่า “เรียนเชิญทางนี้ วันนี้จะมีเพียงการตรวจพิสูจน์เครื่องหยกโบราณ เครื่องกระเบื้อง และเครื่องสำริดเท่านั้น ถ้าคุณนำวัตถุโบราณชนิดอื่นๆ มา ให้ไปพักผ่อนที่อาคารนั้นก่อน “

เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนทุกคนรู้ว่าไม่มีใครนำของโบราณชนิดอื่นมา

คนที่อยู่ด้านหน้าและนำวัตถุโบราณมาด้วย ก็พากันเดินเข้าไปในบริเวณที่ตรวจสอบวัตถุโบราณ


ไม่กี่นาทีผ่านไป บางคนกลับออกมาอย่างมีความสุข บางคนมีสีหน้าเรียบเฉยในขณะที่บางคนดูเศร้า

หลังจากที่มีคนเข้าไปในบริเวณที่ตรวจวัตถุโบราณ 3 กลุ่มแล้ว พวกเขาพูดตะกุกตะกักว่า “อย่าหยิบกินนะ อย่างกับไม่ได้กินอะไรมาเป็นปี เอาของนั่นและกระดาษโน้ตออกไปยื่นให้ผู้ประเมินราคา”

“โอ่ะ”

ชายที่พูดติดอ่างเอาแขนเสื้อเช็ดปากตัวเอง และเดินเข้าไปในห้องประเมินราคาเครื่องกระเบื้อง โดยที่ชายช่างพูดทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

เห็นเลยว่าชายพูดติดอ่างเป็นกังวลเล็กน้อย เขาอยากหาใครพูดคุยแต่ก็กลัวที่จะเปิดเผยตัว เขาจึงได้แต่เพียงดื่มชาที่ทางกลุ่มเตรียมไว้ให้เท่านั้น

ผู้ประเมินราคาเครื่องกระเบื้องมองดูชายติดอ่างเดินเข้ามา เขาต้องการซักถาม เขายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แล้วพยักหน้า

เห็นได้ชัดว่าคนเซ่อซ่าแบบนี้โดนหลอกได้ง่าย อาจสาเหตุผลที่ชายชราขอให้ชายผู้นี้คอยตามเขา

ผู้ประเมินราคามองแจกันกระเบื้องที่เขานำมาครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด แล้วก็มองอีกครั้งและถามว่า “คุณมาจากที่ไหน”

“ผะ ผม ผม อายุ … “

“เอาหล่ะ พอเถอะ”

ในที่สุดผู้ประเมินก็เข้าใจว่าทำไมต้องมีบันทึกแบบนั้น หากชายติดอ่างต้องอธิบายตัวเอง ผู้ประเมินก็คงจะไม่ได้ประเมินรายต่อไปกันพอดี

ผู้ประเมินราคาพิจารณาแจกัน เพื่อประเมินราคาให้ชายติดอ่าง เขาประเมินข้อมูลแวดล้อมมากขึ้น ในที่สุดก็เขียนกระดาษโน๊ตสองคำว่า “ยังสงสัย”

แม้จะรู้ว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีสำหรับวันแรกของการตรวจพิสูจน์วัตถุโบราณ แต่เขารู้ดีกว่าว่าถ้าหากเขาทำผิดพลาดมันจะยิ่งแย่ลงไปอีก

หลังจากชายติดอ่างกลับออกมา ชายช่างพูดก็รีบเข้าไปหาเพื่อดูรู้ผลการตรวจพิสูจน์วัตถุของชายติดอ่าง

พอชายช่างพูดเห็นคำตอบสองคำ แววตาของเขาเปลี่ยนไปแวบหนึ่ง แล้วพวกเขาก็นั่งลงอีกครั้ง

หลังจากการตรวจพิสูจน์ของกลุ่มถัดมา ชายช่างพูดกับเข้าไปพร้อมกับเครื่องกระเบื้อง

“เอ่อ ของของคุณดูเหมือนกับเป็นคู่กับแจกันที่นำมาตรวจตรงด้านหน้า “

“ถูกแล้ว ผมกับเขามาจากหมู่บ้านเดียวกัน แจกันพวกนี้ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา ได้ยินพวกคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านมาว่าคุณมีเงิน เอาของพวกนี้ไปสิ แล้วพวกเราก็มาที่นี่พร้อมกับแจกัน”

“แล้ว ทำไมพวกคุณไม่เข้ามาด้วยกันตอนนี้เลย ผมอยากจะถาม แต่ก็ถามไม่ได้”

“ผมมาด้วยกันกับเขา แต่ของนี่เราแยกกัน แจกันของเขาคือเขาแจกันของผมคือของผม เราต้องเลยต้องแยกกัน”

“ไม่เป็นไรหรอกเรื่องนั้น แจกันเป็นคู่ราคาแพงกว่า แจกันใบเดียวราคาจะลดลง นี่ครับ ผลการตรวจพิสูจน์แจกันของพวกคุณ”

ชายช่างพูดพยักหน้า เขาเดาออกตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาในนี้ แจกันสองใบนี่เป็นจะเป็นของแท้หรือเปล่า นั่นแหล่ะเป็นกลลวงของพวกเขา

หากเป็นเหตุการณ์ปกติ พวกเขาจะแสดงของแท้ให้ดูก่อน แล้วค่อยเอาของปลอมมาสับเปลี่ยนแล้วค่อยทำเป็นขายของจริงต่อไป

แต่สำหรับสถานการณ์ในวันนี้ เขาทำได้แค่ขายแจกันสองใบทั้งของจริงและของปลอมในเวลาเดียวกัน หาไม่แล้ว คำสองคำที่ติดอยู่กับแจกันด้านหน้า ก็อาจทำให้พวกเขาแตก


หลังจากผู้ชายคนนี้ออกมา และวางแจกันสองใบเข้าด้วยกันอย่างว่องไว แล้วก็ดูแค่ผลการพิสูจน์ที่ปราศจากปัญหาใดๆ

ความรู้สึกที่ผู้ประเมินราคากล่าวว่าแจกันทั้งสองนั้นเป็นของจริง และจะได้ราคาเมื่อวางอยู่ด้วยกันนั้น เขาเชื่อผู้ประเมินราคาและขายแจกันทั้งสองใบนั่นไปพร้อมๆ กัน

ชายคนนี้ปล่อยให้ชายติดอ่างรออยู่ที่นี่ ส่วนเขานำแจกันสองใบเดินไปที่อาคาร

การซื้อของเก่าจะทำในอาคาร หากคุณต้องการของเหล่านั้น หลังจากการประเมินแล้ว เพียงแค่เข้าไปในอาคารโดยตรง

มีคนจำนวนมากที่ด้านหน้าตัวอาคาร พร้อมของเก่าของตัวเอง เข้าไปในอาคารเพื่อแลกเปลี่ยน เพราะพวกเขารู้ว่าราคาของการค้าของเก่านี้จะเพิ่มขึ้น 5% จากการประเมินของผู้ประเมิน

หากคุณยังไม่พอใจคุณสามารถเจรจากับบุคคลที่รับผิดชอบการสั่งซื้อโบราณวัตถุเพื่อประเมินราคา

เขาเดินเข้าไปในอาคารและดูมัน จากนั้นเขาหยิบแจกันสองใบแล้วเดินไปที่เจ้าหน้าที่ในอาคาร

———————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม