Rebirth of the Film 61-65.1

ตอนที่ 61

หลังจากจัดการกับอารมณ์ต่างๆ ได้แล้ว ซู่ เหยียนอี้ก็เริ่มสะท้อนถึงท่าทีของเธอ เธอเชื่อเสมอว่าทุกอย่างที่เธอทำได้ถูกต้องและไม่ผิด ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่เธอจะทำบ่อยนัก อย่างไรก็ตามครั้งนี้เธอคิดว่าเธอน่าจะใจกว้างมากขึ้น


       เธอเคยบอกว่าเธอต้องการที่จะปกป้องเขาและทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น เธอยังได้สัญญาว่าจะอยู่กับเขาให้ได้อย่างดีที่สุดและนั่นหมายความว่าเธอจำเป็นต้องยอมรับสถานะของเขาในฐานะสามีของเธอ บ้านของเธอก็เป็นบ้านของเขา นอกจากนี้เธอก็เข้าใจว่าเธอจำเป็นต้องเคารพความต้องการของเขาและอดทน ถ้าเขาอยากจะเก็บเสือเอาไว้ เช่นนั้นเธอก็จะยอมให้เขา


       มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องของการมีสัตว์เลี้ยงอีกตัวในการที่จะดูแลต่อไปเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างเสือโคร่งขาวก็ค่อนข้างน่ารัก เมื่อตอนที่เธอยังเด็ก เธอได้ไปเที่ยวเกาะส่วนตัวของตระกูลซู่และเห็นสัตว์ต่างๆมากมาย อันที่จริงแล้วพ่อของเธอก็แนะนำว่าเธอควรลองเลี้ยงมันดูบ้าง และถ้าชิน จี๋หนาน ต้องการเธอก็สามารถพาเขาไปที่นั่นได้


ตอนนี้ปัญหาคือแม้ว่าซู่ เหยียนอี้ ได้ตัดสินใจที่จะยอมรับสถานการณ์แล้ว แต่ชิน จี๋หนานก็ไม่สามารถบอกได้เพระการแสดงออกของเธอยังคงเยือกเย็นเกินไป


“ถ้าคุณไม่ชอบ ผมก็จะไม่เก็บมันเอาไว้” ชิน จี๋หนาน ยืนยันอย่างจริงจังด้วยความมุ่งมั่น


       ซู่ เหยียนอี้ จะไม่เปลี่ยนใจเพื่อที่จะให้ความสำคัญกับคนอื่นและเธอจะไม่ใช้คำว่า “ถอยเพื่อความก้าวหน้า”และ “เห็นด้วยแม้จะไม่ต้องการ” ด้วยเช่นกัน


       นั่นจึงทำให้เขารู้ว่าเธอได้คิดทบทวนทุกอย่างด้วยตัวเองและเห็นด้วยอย่างจริงใจที่จะเก็บเสือโคร่งเอาไว้ถ้าเขาต้องการ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความสนใจของตัวเองเช่นเดียวกับที่เธอบอกไว้ว่าบ้านของเธอก็เป็นบ้านของเขาและเธอต้องการแสดงให้เขาเห็นว่าเขายังมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจด้วย!


       เป็นธรรมชาติที่เขาจะรู้สึกประทับใจมากเนื่องจากการพิจารณาของเธอ อย่างไรก็ตามเขายังคงไม่สามารถทนได้ ซู่ เหยียนอี้ เป็นผู้หญิงที่ไม่ควรต้องทนทุกข์ทรมานจากความไม่พอใจแม้แต่น้อย และมันก็ไม่ควรต้องมาจากเขา


       ในขณะนี้เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกและการนึกถึงเขาจากเธอได้อย่างแท้จริง เขาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปมาก แต่ไม่ว่าเหตุผลอะไร เขาก็ทราบซึ้งมากและไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากความใจดีของเธอ


“อะไร คุณกำลังจะบอกว่าถ้าฉันไม่ต้องการให้คุณทำอะไรบางอย่าง หรือทุกอย่าง คุณก็จะไม่ทำมัน?” เธอถามอย่างสงสัยพร้อมกับหัวคิ้วที่ยกขึ้น


       ชิน จี๋หนานเป็นคนที่พึ่งพาตัวเอง และเธอเองก็เป็นคนที่จะเปลี่ยนความคิดของเธอถ้ามันจะเป็นการทำให้ตัวเธอเองได้ประโยชน์ ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจความคิดของเขาในการทำทุกอย่างที่เธอต้องการให้เขาทำและไม่ทำในสิ่งที่เธอไม่ต้องการให้เขาทำ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเขารักเธอ เธอก็ไม่เชื่อว่าเขาจะไปไกลขนาดนั้น


“ตราบเท่าที่คุณบอกไม่ให้ผมทำ แน่นอนจะไม่ทำมัน!” นี่คือการตอบสนองอย่างไม่ลังเลของเขา ทำไมเขาถึงจะไม่ทำมัน? เขาก็ถึงกับเข้าสู่วงการบันเทิงเพื่อประโยชน์ของเธอ


       ซู่ เหยียนอี้ รู้สึกประหลาดใจกับคำตอบที่แน่วแน่ของเขา เนื่องจากปัญหานี้ทำให้ความสงสัยของเธอคลี่คลายลงไปอย่างรวดเร็ว และอีกครั้งเธอรู้ว่าเขารักเธอ แต่เธอก็ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับความรักจากเขาในตอนที่เธอนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลในชีวิตที่ผ่านมาของเธอเท่านั้น ในชีวิตนี้การที่ได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้รักเธอจนถึงจุดที่เขาเต็มใจที่จะเปลี่ยนตัวเองโดยไม่สนใจอะไรเพื่อเธอ ทำให้เธอรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเป็นครั้งแรก


       บางคนเชื่อว่าถ้าผู้ชายคนหนึ่งต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อที่จะไล่ตามใครสักคน มันไม่ใช่ความรัก อย่างไรก็ตาม แล้วถ้าผู้ชายคนนี้เต็มใจที่จะเปลี่ยนตัวเองเพื่อเธอเช่นนี้? มันเรียกว่าอะไร อุดมการณ์หรือ? ไม่ว่าจะอย่างไร ความรักก็เกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ


“คุณไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น” เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงและสั่นพร้อมกับแหบเล็กน้อย เนื่องจากเธอรู้สึกซาบซึ้ง


“แต่ผมต้องการ”


       จู่ๆ ความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วพวกเขา พวกเขาจ้องมองกันและกันโดยไม่ได้มองออกไปทางอื่น ราวกับกลัวว่าจะพลาดอะไรบ้างอย่างไป


       ซู่ เหยียนอี้ ถอนหายใจกับตัวเองและคิดว่าใครบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นเงอะงะและไม่สามารถพูดคำหวานๆ ได้? ไม่ใช่ว่านี้เป็นประเภทของคำหวานที่ดีที่สุดแล้วหรือ? แม้แต่เธอยังรู้สึกทราบซึ้งเพราะมัน


       และนั่นก็คือตอนที่ซู่ เหยียนอี้ คนที่กำลังพยายามควบคุ่มตัวเองอยู่ แต่ในที่สุดมันก็พังลง


       เธอเอื้อมมือออกไป ก่อนจะดึงผู้ชายตรงหน้าเข้ามาและเอนตัวเข้าไปหาเขา เมื่อริมฝีปากของเธอสัมผัสไปที่ริมฝีปากของผู้ขายตรงหน้า เขาก็เต็มไปด้วยอาการมึนงง


       กลิ่นที่สะอาดและคุ้นเคยของเขาค่อยๆ ห่อหุ้มอยู่รอบๆ ตัวเธอ ความรู้สึกของริมฝีปากของเขาสัมผัสอยู่กับริมฝีปากของเธอเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ แต่ก็ไม่น่ารังเกียจ แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ความรู้สึกของความอบอุ่นที่เกิดขึ้น ดูเหมือนจะอยู่ในจิตใจของเธอและทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าโลกนี้แตกต่างจากที่เคย ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น เธอรู้สึกเป็นนัย ๆ ได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง และถ้าการที่เธอจูบเขาและรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วมากในภายหลัง นั่นหมายความว่าเธอชอบเขาแล้วใช่ไหม … เธอชอบเขา


       คล้ายกับที่เขาจูบนิ้วมือของเธอ เธอจูบลงไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างอ่อนโยนเหมือนแมลงปอที่ลอยอยู่เหนือน้ำ


“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบเสือ ฉันแค่กลัวว่ามันจะลำบากในการดูแล มันไม่เป็นไรถ้าคุณต้องการจะเก็บมันไว้ “เธออธิบายหลังจากที่ดึงตัวเองออกมาแล้ว ไม่บ่อยนักที่เธออธิบายตัวเองกับคนอื่น


       ในเวลานั้นเอง เสียงหุ่นยนต์ของระบบก็ดังขึ้นใจหัวของเธอ ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจขึ้นทันที


(ขอแสดงความยินดีกับการทำภารกิจลับสำเร็จ:การจูบคุณชิน!)


       รางวัล:ยาแก้แพ้แอลกอฮอล์ x1 (จะมีภูมิคุ้มกันต่อแอลกอฮอล์เป็นเวลาสามวันหลังจากการบริโภค)


(รางวัลจะถูกเก็บไว้ในมิติพื้นที่โดยอัตโนมัติและสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา)


       ซู่ เหยียนอี้ รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย ภารกิจลับคือการเริ่มต้นการจูบหรือ? และรางวัลคือยาแก้แพ้แอลกอฮอล์? ทำไมเธอรู้สึกว่าระบบกำลังแสดงความยินดีกับเธออยู่?


       ในขณะเดียวกันชิน จี๋หนานยังคงอยู่ในอาการมึนงง เมื่อเขาได้ยินคำถามของเธอ เขาก็จ้องมองไปที่เธออย่างว่างเปล่า ใบหน้าของเธออยู่ใกล้กับเขามากและเขาก็ไม่สามารถคิดถึงเรื่องอื่นได้


       หลังจากช่วงเวลาอันยาวนาน เขาก็ได้สติมากพอที่จะพูดติดอ่างขึ้น “คะ– คุณเพิ่งจะพูดว่าอะไรนะ?”


       “ฉันพูดว่า คุณสามารถเลี้ยงเสือได้ ฉันโอเคกับมัน ตราบใดที่มันไม่รบกวนฉัน “เธออดทนพูดซ้ำขึ้นอีก การแสดงออกของเธอเป็นไปอย่างปกติและไม่สามารถบอกได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่

 

 

 


ตอนที่ 62

 

ประสาทหูเสื่อมและตอนนี้ก็เกิดอาการประสาทหลอนด้วย … เธอเพิ่งจะจูบเขาหรือ?


       ภาพ​หลอน มันต้องเป็นภาพหลอนอย่างแน่นอน​! ทำไมเธอถึงจะจูบเขาก่อนแบบนี้? ดวงอาทิตย์จะไม่ขึ้นจากทิศตะวันตกใช่ไหม​!


       ซู่ เหยียนอี้ดูไร้อารมณ์​มาก แต่ชิน จี๋หนาน กลับเปลียนเป็นสีแดงตลอดจนถึงหูของเขา


       อย่างไรก็ตาม การสัมผัสเบา ๆ  ลมหายใจเย็นๆและความใกล้ชิดของใบหน้าอันงดงามของเธอ … มันไม่ได้เป็นภาพหลอนอย่างแน่นอน​


 “คะ- คุณจูบผม … ” เมื่อมาถึงจุดนี้เขาก็ไม่ห่วงเรื่องเสือโคร่งขาวอีกต่อไป จิตใจของเขาติดอยู่กับการจูบของเธอ


       ซู่ เหยียนอี้ ยกคิ้วขึ้นและถามด้วยความเย่อหยิ่ง “ทำไม หรือคุณไม่เต็มใจ?”


       แน่นอนว่าไม่ เขาส่ายหัวขึ้นทันที “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”


       “แล้วคุณหมายความ​ว่าอย่างไร? คุณต้องการให้ฉันรับผิดชอบหรือเปล่า? “การได้เห็นเขาดูเงอะงะ​แบบนี้ มันทำให้เธอต้องการที่จะแกล้งเขา ใครบอกให้เขาน่าแกล้งขนาด​นี้?


       เขาอยากจะพูดว่า “ใช่” แต่คิดว่ามันแปลกสำหรับผู้ชายที่จะพูดแบบนั้น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแสดงออกอย่างสงบและอยู่อย่างเงียบ ๆ แม้ว่าในความเป็นจริงเขามองดูขัดแย้งมาก ซู่ เหยียนอี้ จึงด้วยไม่ได้ที่จะหัวเราะ


       เสียงหัวเราะของเธอสดใสและไพเราะ จนลบล้าง​การแสดงออกที่ขัดแย้ง​ของเขาไปจนหมดและแทนด้วยรอยยิ้ม​ที่โง่เขลา​ เธอดูสวยมากเมื่อเธอหัวเราะ


       ซู่ เหยียนอี้สังเกตเห็นและถามระบบขึ้น “เขามีรอยยิ้มที่โง่เขลาแบบนี้ นับว่าเป็นความลับหรือไม่? ”


( …… )ระบบไม่ตอบสนอง


       ดี เธอรู้คำตอบอยู่แล้ว


       ในที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้พาเสือขาวกลับไปด้วยและไม่ใช่เพราะซู่ เหยียนอี้ ไม่ต้องการมัน แต่เพราะวิลล่าไม่เหมาะสำหรับเสือโคร่งที่จะอาศัยอยู่ เธอแนะนํา​ว่าพวกเขาควรจะส่งเสือโคร่ง​ไปที่เกาะส่วนตัวของตระกูล​ซู่ ที่ซึ่งมีคนที่มีความรู้​เป็นพิเศษคอยให้ความการดูแลอยู่​


       ชิน จี๋หนาน เห็นด้วย พวกเขาตัดสินใจว่าพวกเขา​จะไปเยี่ยม​เสือโคร่ง​หากมีโอกาสในอนาคต


       สองวันหลังจากวันออกเดทของพวกเขาก็คืองานเลี้ยง​รุ่น​ของชิน จี๋หนาน ซู่ เหยียนอี้ ลุกขึ้นในตอนเช้าและอยู่ในอารมณ์ที่ดี แม้ว่าจะไม่ใช่เวลาสำหรับอาหารเช้า แต่เธอก็อยากเห็นชิน จี๋หนานในขณะที่เขากำลังทำอาหาร อย่างไรก็ตามเมื่อเธอมาถึงเขาก็ไม่ได้อยู่ในครัว เธอมองไปที่เวลาและเห็นว่ามันยังเช้าเกินไป บางทีเขาอาจจะยังนอนหลับอยู่?


       และเธอก็เดินไปที่ห้องของเขา แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน เธอถามระบบสำหรับตำแหน่งของเขาและคำตอบก็เหมือนกับครั้งล่าสุด:คุณชินอยู่ในสนามหลังบ้าน


       ดวงตาของเธอสว่างขึ้น


       “เขาออกกำลังกายทุกเช้า นับว่าเป็นนิสัยความเคยชินหรือไม่? “เธอถามอย่างมั่นใจ


       ขอแสดงความยินดีกับความสำเสร็จในครั้งนี้!


+1 คะแนน


       ความคืบหน้า: 6/10


       ทั้งหมด : 16 คะแนน


       โปรดทำงานหนักต่อไป!


       แล้ว 001 ก็พูดขึ้นอีก


(เจ้านาย มันเป็นนิสัยที่ดีในการออกกำลังกายในตอนเช้า คุณควรมาทำกับเขา ฉันแน่ใจว่ามันจะพัฒนา​ความสัมพันธ์ของคุณได้ )


       เธอไม่สนใจ 001 และไปหาชิน จี๋หนาน คนที่กำลังชกกระสอบทรายอยู่


       เขาต้องการที่จะหยุดเมื่อเขาสังเกตเห็นการมาถึงของเธอ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำ กำปั้นที่ละเอียดอ่อนของเธอก็ตรงมาที่ใบหน้าของเขาแล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกของเดจาวู​ให้เขาอีกครั้ง  เหยียนอี้ ต้องการฝึกซ้อมกับเขาอีกครั้งหรือ


       คราวนี้การต่อสู้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าชิน จี๋หนาน จะมีไหวพริบ แต่การแสดงออกของเขาก็ค่อนข้างจริงจังและเขาก็ใส่ความแรงของตัวเองลงไปในมัดของเขาด้วย ทำให้ซู่ เหยียนอี้ พอใจมาก


       หลังจากผ่านไปนานกว่าสิบนาทีเธอก็หยุดลงและเขาก็ไปทำอาหารเช้า ซู่ เหยียนอี้ กลับไปที่ห้องนอนของเธอเพื่ออาบน้ำและเมื่อเธอออกมาอีกครั้งอาหารเช้าก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอกินอาหารอย่างมีความสุข​ ก่อนจะเริ่มวันที่สวยงามต่อไป


       “งานเริ่มเวลาหกโมงเย็น ผมควรจะรับคุณที่บริษัทหรือไม่? “ชิน จี๋หนาน ถามขึ้น และรู้สึก​ตื่นเต้นเล็กน้อย​กับตอนเย็นที่จะเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาและซู่ เหยียนอี้ สามารถไปร่วมงานในที่สาธารณะด้วยกันได้ในฐานะสามีและภรรยาเป็นครั้งแรก เขากำลังเฝ้ารอ​เวลานั้นอย่างจริงจัง


       “ไปที่นั่นก่อนเวลา ฉันได้เตรียมเสื้อผ้าเอาไว้แล้ว “เธอบอกกับคังโจให้เตรียมทุกอย่างให้พร้อมเมื่อชิน จี๋หนานบอกเรื่องวันงานเลี้ยง​กับเธอ เธอเองก็กำลังเฝ้ารอ​มันเช่นกัน แต่ไม่เหมือนชิน จี๋หนาน สิ่งที่เธอกำลังรอคอยคือการทำให้หวัง ชื่อหลินรู้สึกตกใจ


       “ก่อนเวลาสองชั่วโมงพอหรือไม่?” เขารู้สึกประหลาดใจมากที่เธอเตรียมเสื้อผ้าสำหรับงานเลี้ยง​ เพราะ​มันไม่ใช่งานที่เป็นทางการอะไร อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ว่าอะไรและความคาดหมายของเขาก็เริ่มใหญ่ขึ้น


       “ได้”


       เมื่อถึงเวลาประมาณสามโมงเย็น ชิน จี๋หนาน ก็มาถึงบริษัท และทักทายกับคังโจ ที่ประตูห้องทำงานของเธอ


       “คุณคัง เธอยุ่งอยู่หรือเปล่า?” เขามาถึงเร็ว​กว่าเวลาเล็กน้อยและไม่แน่ใจว่าเธอกำลังทำงานอยู่หรือไม่


       “เธอกำลังคุยเรื่องความร่วมมือกับประธานหลิงของบริษัทฮวา มันเกี่ยวกับคอนเสิร์ตการกุศลของเทียนห่าว คุณอาจจะรู้เรื่องนี้แล้ว ประธานหลิงมีความคาดหวังที่สูงมากและยังเลือกศิลปินที่งานยุ่งทั้งนั้น ตอนนี้เขากำลังสรุปรายการกับประธานซู่อยู่ “คังโจวรู้สึกช่วยไม่ได้ คอนเสิร์ตการกุศลเป็นหน้าที่ของเขา แต่คนอื่นไม่พอใจกับทางเลือกของเขาและในที่สุดพวกเขาก็ต้องไปหาซู่ เหยียนอี้


       ” ถ้าเป็นเช่นนั้น​ผมจะรอ” มีที่พักอยู่นอกออฟฟิศ เขาจึงนั่งลงที่นั่น


       “ผมได้ยินจากประธานซู่ ว่าคุณ​ทั้งสองคนจะไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นในตอนเย็นนี้หรือครับ​?” คำถามนี้ไม่ได้เป็นคำถามจริงๆ อย่างไรก็ตามเขาอาจเข้าใจกระบวนการคิดของซู่ เหยียนอี้ ดีกว่าชิน จี๋หนานด้วยซ้ำ


       “ใช่ งานเลี้ยง​รุ่นในมหาวิทยาลัยของผมเอง”


       “แค่นั้นหรือ? ผมรู้สึกว่ามันสำคัญกับประธานซู่มาก เธอให้ผมเตรียมทุกอย่างไว้ราวกับว่าคุณสองคนกำลังจะไปเดินบนพรมแดง “


       “หวัง จื่อหลินก็จะอยู่ที่นั่นด้วย” นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ชิน จี๋หนาน สามารถคิดออกและเขาก็เดาได้ถูกต้อง


       ซู่ เหยียนอี้ เป็นคนเก็บตัวมาก แต่เธอเก็บตัวในแบบที่ทุกคนรู้ แต่จริง ๆ แล้วเธอชอบแนวการแข่งขันมาก ตอนที่เธอรู้จากชิน จี๋หนานในเช้าวันนั้นและความจริงที่ว่าเธอได้เตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยง เขาก็รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นที่เห็นได้ชัดของเธอ


       “ผมเข้าใจแล้ว” คังโจวรู้ว่าหวัง จื่อหลินจะมาร่วมงานด้วย แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมากนักก่อนหน้านี้​ ตอนนี้เมื่อ​ชิน จี๋หนานได้ชี้ให้เห็น คังโจวถึงได้ตระหนัก​อย่าง​ชัดเจน​ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประธานซู่ ถึงได้ให้ความสนใจ​กับมันมากขนาด​นี้​ เพราะ​เธอกำลังจะไปพบคู่ต่อสู้ทางหัวใจของเธอนั่นเอง

 

 

 


ตอนที่ 63

 

หากชิน จี๋หนาน รู้ว่าคังโจวกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจะปฏิเสธอย่างแน่นอนเพราะในใจของเขาซู่ เหยียนอี้ ไม่มีเหตุผลที่จะเห็นหวัง จื่อหลิน เป็นคู่แข่งทางหัวใจ ชิน จี๋หนานสันนิษฐานว่าเธอให้ความสนใจกับหวัง จื่อหลิน เพียงเพราะ หวัง จื่อหลิน เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง


       แต่คังโจว พูดถูก มีเพียงผู้หญิงที่ไม่สนใจหรือรักผู้ชายมากพอที่จะหนีไปจากกรงเล็บแห่งความหึงหวงได้ และซู่ เหยียนอี้ก็เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถและอำนาจ ไม่ว่าใครก็ตามที่อยากได้ผู้ชายของเธอจะถูกมองว่าเป็นศัตรูในทันที


       เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. ประตูห้องทำงานก็เปิดออกและหญิงสาวผู้สง่างามก็เดินออกไปตามด้วยผู้ช่วย ดูเหมือนว่าเธอจะสง่างามเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อสายตาที่สบาย ๆ ของเธอ กวาดไปและตกลงไปที่ชิน จี๋หนานดวงตาของเธอก็สว่างขึ้น เสียงกระทบกันของส้นเท้า 4 นิ้วของเธอดังขึ้นในขณะที่เธอเดินไปหาเขา


       คังโจวและชิน จี๋หนานยืนขึ้น หลังจากที่ตั้งใจจะเข้าไปในห้องทำงานของเธอ แต่ก็ถูกหยุดลงด้วยผู้หญิงคนนั้น


เขายืนนิ่ง ในขณะที่เธอประเมินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ ชิน จี๋หนาน ราชาภาพยนตร์และผู้ชายของประธานซู่ จุ๊ๆๆ ตามที่คาดไว้ ประธานซู่มีรสนิยมที่ดี” ผู้หญิงคนนั้นชื่นชมขึ้น


       ไม่ว่าเขาจะรู้สึกรำคาญหรือรังเกียจเพียงใด เขาก็คุ้นเคยกับมันและไม่ตอบสนองอะไร เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร – หลิง เทียนเยวี่ย ประธานบริษัท หลิง บ่อยครั้งที่มีการพูดคุยกันว่าแม้ว่าเธอกับซู่ เหยียนอี้จะมีอายุเท่ากัน แต่สถานการณ์ของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก


       ซู่ เหยียนอี้ สามารถอธิบายได้ว่าเป็นคุณหนูผู้ร่ำรวยที่กลายมาเป็นราชินีแห่งวงการบันเทิงด้วยความพยายามของเธอเอง ในขณะที่ประธานหลิง เทียนเยวี่ย เริ่มต้นจากศูนย์ ทั้งคู่ถือว่าเป็นบุคคลในตำนานและมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถยืนเคียงข้างกับพวกเขาได้


       อย่างไรก็ตาม แตกต่างจากซู่ เหยียนอี้ หลิง เทียนเยวี่ยยังไม่ได้แต่งงานหลายใจและมีผู้ชายไม่กี่คนกำลังตามจีบเธออยู่


“สวัสดี” เขาทักทายขึ้นอย่างเฉยเมย


       หลิง เทียนเยวี่ย ดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับความเฉยเมยของเขา ตามจริงแล้วเธอไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อยางใด “ผู้ชายที่ดูเย็นชาข้างนอก เขาจะอบอุ่นอยู่ข้างในโดยเฉพาะเมื่อเขาอยู่กับผู้หญิงที่เขารัก ราชาชิน ฉันคิดว่าคุณคงจะไม่เย็นชาเช่นนี้เมื่อคุณอยู่กับประธานซู่?”


       ประตูห้องทำงานยังคงเปิดอยู่และหลิง เทียนเยวี่ย ก็ไม่ลดเสียงของเธอลง ดังนั้นซู่ เหยียนอี้ จึงสามารถได้ยินทุกอย่างจากภายใน เธอเดินออกไปทันทีหลังจากหลิง เทียนเยวี่ย พูดอย่างนั้นและตอบอย่างเย็นชาขึ้นแทน “ประธานหลิง นั่นไม่ใช่ธุรกิจของเธอ”


       วิธีที่หลิง เทียนเยวี่ย คุยกับชิน จี๋หนาน ทำให้ซู่ เหยียนอี้ รู้สึกราวกับว่าเธอถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวและเธอก็ไม่มีความสุข


“ประธานซู่ยังคงปกป้องเขาเช่นเคย ฉันแค่พูดคุยกับเขา ไม่จำเป็นต้องจริงจังมากนัก” หลิง เทียนเยวี่ยหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม แต่เสน่ห์ของเธอก็ไม่ได้รับการยอมรับ ท้ายที่สุด พวกเขาทั้งหมด – คังโจว ซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนาน – ล้วนแต่มีรักเดียวและไม่สามารถเกี่ยวข้องกับแนวโน้มของคนเจ้าชู้แบบเธอได้


“ชัดเจนว่าเธอกำลังสนทนาอยู่กับผิดคน เธอต้องการให้ฉันแนะนำเธอกับใครบางคนหรือไม่?” ซู่ เหยียนอี้โต้กลับอย่างรวดเร็ว แต่มันเป็นเพียงคำถามเชิงโวหารและเธอก็ไม่ได้พยายามปฏิเสธว่าเธอมีบุคลิกที่จะปกป้องคนของเธอ


       ไม่ว่าจะอย่างไร ชิน จี๋หนานก็เป็นผู้ชายของเธอ แน่นอนว่าเธอจะปกป้องเขา


“โอ้ แน่นอนว่าตราบใดที่เขามีเสน่ห์ยิ่งกว่าราชาชิน” มีคำกล่าวที่ว่า: ต้นไม้ที่ไม่มีเปลือกไม้จะตาย แต่คนที่ไม่มีความละอายก็จะอยู่ยงคงกระพัน หลิง เทียนเยวี่ย เป็นผู้หญิงประเภทหนึ่งที่ไม่สนใจอะไรเลย ดังนั้นเธอสามารถพูดอะไรก็ได้ที่เธอต้องการจะพูดและทำทุกสิ่งที่เธออยากทำ ในการสนทนาเช่นนี้เธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ


“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็กลัวว่าจะไม่มีใครแล้ว” ซู่ เหยียนอี้ โต้กลับอีกครั้งคราวนี้ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ


       หลิง เทียนเยวี่ย เกือบอยากจะแสร้งทำเป็นว่าเธอไม่ได้ยิน ซู่ เหยียนอี้หลงตัวเองมานานและตอนนี้เธอมีผู้ชายของตัวเอง เธอก็ยิ่งหลงตัวเองมากไปกว่าเดิม


       สำหรับคนที่เพิ่งได้รับการยกย่องจากซู่ เหยียนอี้ว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์ที่สุดหูของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเธอแค่ปะทะคารมกับหลิง เทียนเยวี่ย แต่เขาก็ยังรู้สึกอายที่ได้รับคำชมอย่างโจ่งแจ้ง อย่างไรก็ตามภายนอกการแสดงออกของเขายังคงเหมือนเดิม


       ดวงตาของหลิง เทียนเยวี่ย เป็นประกายขึ้นและเธอก็หันมาหาเขาทันที “ยิ้มอยู่ข้างในใช่ไหม จุ๊ๆๆ พวกเขาบอกว่าคนที่แสดงความรักต่อสาธารณะจะเลิกกันเร็วขึ้น หากคุณสองคนจะหย่าร้าง คุณสามารถมาหาฉันได้ ฉันกำลังมองหาใครบางคนที่จะคุยด้วยอยู่พอดี”


       กลิ่นอายที่เยือกเย็นโอบรอบเขา ในขณะที่เขาขมวดคิ้วและมองดูเธออย่างเกรียวกราวและไม่ตั้งใจจะตอบ เขาไม่คิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องตอบเธอ เพราะแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่กับซู่ เหยียนอี้แล้ว หัวใจของเขาก็ยังคงเป็นของเธอ เขาจะไม่มีวันมองผู้หญิงเขี้ยวลากดินเหมือนหลิง เทียนเยวี่ย


       การแสดงออกของซู่ เหยียนอี้ ก็ไม่เป็นที่พอใจเช่นกัน เธอจ้องมองอย่างเฉยเมยไปที่หลิง เทียนเยวี่ย และกำลังคิดว่า ‘ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้วิธีการพูดเอาซะเลย ไม่แปลกใจเลยที่เธอแก่และยังไม่ได้แต่งงาน‘


       จริงๆแล้ว หลิง เทียนเยวี่ย มีอายุเพียงยี่สิบหกเท่านั้นและไม่สามารถถือว่าเก่าได้เลย ทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้หญิงที่จะแต่งงานเมื่อพวกเขาอยู่ในวัยสามสิบ ซู่ เหยียนอี้เพียงแค่ไม่พอใจเท่านั้น


“เฮ้ หลิง เทียนเยวี่ย มันไม่ใช่เวลาที่เธอจะไปแล้วหรือ? นี่ไม่ใช่บริษัทหลิง ” ถ้าเธอรู้ว่าชิน จี๋หนานจะมาถึงเร็ว เธอจะไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปเร็วกว่านี้แล้ว


       แต่ความจริงก็คือซู่ เหยียนอี้ ไม่ได้เกลียดหลิง เทียนเยวี่ย พวกเขาทั้งคู่ประสบความสำเร็จจากสองสาขางานที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาก็รู้สึกนับถือกันและกัน ไม่เช่นนั้นซู่ เหยียนอี้ก็จะไม่พูดกับเธออย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ตามความเป็นจริง พวกเขาอาจได้รับการพิจารณาไม่เพียงแต่เป็นหุ้นส่วน แต่ยังรวมถึงการเป็นเพื่อนกันอีกด้วยและมันก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก


“เธออายหรือ แล้วก็โกรธด้วย?” หลิง เทียนเยวี่ยหัวเราะขึ้น “ฮึ นั่นเป็นครั้งแรก” เธอไม่สนใจที่จะถูกไล่ และยังกลับมีความสุขมาก

 

 

 


ตอนที่ 64.1

 

หลังจากที่ส่งหลิง เทียนเยวี่ยออกไป คนที่ยังต้องการที่จะพูดคุยกับชิน จี๋นานต่อแล้ว ซู่ เหยียนอี้ ก็หันมาหาเขาและพูดขึ้น“ หลีกเลี่ยงผู้หญิงคนนั้น!”


       ชิน จี๋หนานกระพริบตาขึ้นอย่างว่างเปล่าและความเฉยเมยของเขาก่อนหน้าก็ละลายไป เขามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและพยักหน้าอย่างจริงจัง ก่อนที่จะพูดขึ้น“ ตกลง!”


       เธอพยักหน้าด้วยความพอใจ


       คังโจวเฝ้าดูพวกเขาและถอนหายใจอยู่ข้างใน ทำไมการเฝ้าดูทั้งสองคนนี้มันถึงสนุกสนานเช่นนี้ แต่มันจะไม่เป็นไรใช่ไหมที่จะพูดถึงเรื่องแบบนี้อย่างจริงจังเช่นนั้น


“บอกให้ทั้งสองมาได้ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว “ซู่ เหยียนอี้ พูดกับคงโจว เธอสังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของเขา “เกิดอะไรขึ้น รู้สึกผิดปกติตรงไหนหรือ” เธอถามขึ้นอย่างสงสัย


       การแสดงออกของเขายิ่งแปลกมากขึ้น เขารู้สึกว่าในสามคนนี้ เขาเป็นคนที่ “ผิดปกติ” น้อยที่สุด! แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาเพียงแค่พูดขึ้น“ ประธานซู่ ผมจะโทรไปหาพวกเขาเดี๋ยวนี้ครับ” เขาตัดสินใจว่าเขาควรจะอ่อนโยนต่อคนที่มีความรักมากขึ้น


       สไตลิสต์และช่างแต่งหน้าที่เดินทางมาถึงนั้นทั้งสองเป็นคนที่มีฝีมือดีที่สุดในวงการบันเทิงของรีสเพลนเด็นท์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์  พวกเขามาพร้อมกับเสื้อผ้าสองชุดและกล่องแต่งหน้า สำหรับซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนาน 


       แม้ว่าเสื้อผ้าของพวกเขาจะถูกเตรียมมาเป็นพิเศษ แต่จริงๆแล้วพวกเขาก็ไม่ฟุ่มเฟือยมากนัก ชุดของชิน จี๋หนาน เป็นชุดสูทสีดำแบบคลาสสิก แต่ตัดขอบเงินบนชุดนั้นทำให้เขาดูสง่างามมากขึ้นและทำให้เขาดูทันสมัยมาก


       ซู่ เหยียนอี้ สวมชุดเรียบหรูที่มีเสื้อคลุมยาวคลุมทับเอาไว้อีกที ด้านบนเป็นสีเงิน ในขณะที่กางเกงและเสื้อคลุมของเธอเป็นสีดำ เสื้อยังประดับด้วยขอบเงินอีกด้วย


       หลังจากแต่งตัวเสร็จ พวกเขาก็มายืนอยู่ด้วยกันและฉากก็แทบจะทำให้คนตาบอด จากนั้นผู้ชมจึงหัวเราะ – ชุดนี้ถูกทำมาให้เข้าคู่กันอย่างชัดเจน


       ซู่ เหยียนอี้ คือคนที่ออกแบบสีดำและสีเงินด้วยตัวเอง ในขณะที่ทหารจำเป็นต้องมีอาวุธ ความตั้งใจของซู่ เหยียนอี้ก็เพื่อแสดงให้หวัง จื่อหลินได้เกิดความ!


“มีคำพูดว่า ชายผู้นั้นมีความสามารถและผู้หญิงก็สวย แต่เมื่อพูดถึงประธานซู่และพี่ชิน ต้องเพิ่มเป็นสองเท่า ช่างเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ” สไตลิสต์เป็นเหมือนเด็กผู้หญิงที่มีชีวิตชีวาในร่างกายของผู้หญิงที่โตแล้ว เธอจ้องที่ทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจและความอิจฉา


       ช่างแต่งหน้าเฝ้ารอเวลาของซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนาน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ต่อไปก็ให้เป็นหน้าที่ของฉัน ด้วยการแต่งหน้าแบบคู่รักประธานซู่และราชาชินจะขโมยสปอตไลท์ได้อย่างแน่นอน!”


       หลิวหลิว เป็นอัจฉริยะในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่มีชื่อเสียงในด้านรูปลักษณ์ที่เย้ายวนใจและทักษะการแต่งหน้าที่โดดเด่นของเขา ที่รีสเพลนเด็นท์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เขาได้รับการยกย่องให้เป็นช่างแต่งหน้าเหรียญทองและแม้ว่าตัวแทนหลายคนพยายามที่จะพาเขาไปเป็นศิลปินด้วย แต่เขาก็ปฏิเสธเสมอ ความฝันของเขาคือการเป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางชื่อดังระดับโลก


       เนื่องจากที่ซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนานต่างก็เป็นคู่ที่มีเสนห์ดึงดูดใจอยู่แล้ว ดังนั้นหลิวหลิวจึงไม่ได้แต่งหน้าแบบหนัก ๆ เขามุ่งเน้นไปที่การเพิ่มคุณสมบัติของพวกเขาและจัดทรงผมของพวกเขาแทน


       ไม่นานก่อนที่ชิน จี๋หนานจะพร้อม แล้วเขาก็นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งและจ้องมองไปที่ซู่ เหยียนอี้


       ด้วยการแสดงออกที่เย็นชา หลังตรงและคางที่ยกขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะนั่งอยู่ที่นั่น เธอก็ทำให้คนอื่นรู้สึกราวกับว่าเธออยู่สูงเหนือพวกเขา ชิน จี๋หนานเคยรู้สึกแบบเดียวกัน แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาพบว่าเธอมีด้านอื่นเช่นกัน


       ตัวอย่างเช่น เธอเป็นคนตะกละ เธอยังคงมีใบหน้าที่เย็นชาแม้แต่เวลาที่เธอกิน แต่เธอก็เคลื่อนไหวเร็วเหมือนเสือตัวเมียที่ปกป้องอาหารของเธอ หากอาหารที่เธอชอบถูกปล้นไป เธอจะจ้องมอง กดขี่และดูน่ารักมาก


       บางครั้งเธอก็ตลก เขาจะไม่มีวันลืมว่าเธอเป็นอย่างไรในชุดนอนเต่าเหล่านั้น การแสดงออกที่เย็นชา แต่ก็มีความอึดอัดมันดูน่ารักมาก และเมื่อเธอเล่าเรื่องตลกให้เขาฟังด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ เขาก็ไม่สนใจมุขตลกอย่างสมบูรณ์เพียงเพื่อที่จะจ้องมองไปที่เธออย่างพึงพอใจ


       เธอยังแข็งแกร่ง มีสไตล์การต่อสู้ที่ดุเดือดและโดดเด่น ในบางครั้งก็ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเธอเป็นนักฆ่าหญิง


       นอกจากนี้ ยังมีเรื่องทื่อๆ ทั่วไปของเธอ ความก้าวร้าวที่มั่นคงของเธอเมื่อเผชิญหน้ากับสาธารณชน ความเย่อหยิ่งของเธอเมื่อเธอตกลงที่จะให้เขาไล่ตามเธอ ในความเป็นจริงทุกสิ่งที่เธอทำนั้นเป็นสิ่งที่น่าจดจำและทุก ๆ ด้านของเธอมีมุมที่มีค่าที่สุดในหัวใจของเขา


       เขาโชคดีแค่ไหนที่ได้เห็นด้านต่าง ๆ มากมายและเขาหวังว่าจะได้เห็นมากขึ้น


       “ คุณกำลังคิดอะไรอยู่?” ชายคนนั้นจ้องมองเธอด้วยสายตาอันสดใสที่เธอไม่สามารถช่วยได้ที่จะถามขึ้น


       “คุณ คุณสวยมาก ผมรู้สึกกดดันถ้าผมต้องพาคุณออกไป”ความคิดของเขาไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่พวกเขาสามารถสรุปได้ว่า “ผมหวงคุณ “


       หัวคิ้วของเธอขมวดขึ้นและตอบติดตลกออกไป “ คุณหล่อมาก ฉันก็รู้สึกกดดันถ้าฉันจะต้องพาคุณออกไป”


       ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่สวยงามและคนที่สวยงาม หรือสิ่งที่มีค่าและคนที่มีค่าพวกเขามักจะถูกคนอื่นหวงแหนอยู่เสมอ แม้ว่าเธอจะล้อเล่น มันก็เป็นความจริงที่ว่าผู้ชายของเธอหล่อมาก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะหล่อหรือยอดเยี่ยมแค่ไหน เธอก็ไม่เชื่อว่าใครจะสามารถขโมยเขาไปจากเธอได้ เธอจะทำลายทุกคนที่พยายามทำมัน


       เมื่อได้รับการยกย่อง ชิน จี๋หนาน ก็กลายเป็นสุนัขตัวใหญ่อีกครั้ง ดวงตาของเขาลดลงเล็กน้อยและเขาดูมีความสุขมาก ความเฉยเมยของเขาทั้งหมดได้หายไป ทิ้งไว้ข้างหลังคือเด็กชายตัวเล็กที่เชื่อฟัง


       เมื่อผู้ชมทั้งสามของพวกเขาเห็นฉากนี้ พวกเขาก็กรอกตาขึ้นอย่างอิจฉาหรือไม่ก็ยกคิ้วขึ้นอย่างอิจฉา


       ทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิอันงดงามนี้มาจากไหน? เป็นไปได้หรือไม่ที่ผลของการปะทะกันของภูเขาน้ำแข็งทั้งสองจะกลายเป็นการระเบิดของภูเขาไฟ?


       ดูรอยยิ้มนั้น เหมือนสุนัขที่หัวของมันถูกลูบ คนผู้นั้นใช่คนคนเดียวกับที่เป็นรู้จักถึงอารมณ์ที่เยือกเย็นของเขาหรือไม่? เฮ้ แฟน ๆ ของคุณรู้ไหมว่าคุณสามารถยิ้มได้เช่นนี้? พวกเราขายตั๋วสำหรับงานนิทรรศการได้ไหม


       และมองไปที่ประธานของเรา! “ ฉันรู้สึกกดดัน” มันน่าจะเป็น “ฉันจะทำให้คนอื่นรู้สึกกดดันมากกว่า”!


       จุ๊ๆๆ ถ้าคู่นี้ออกไปด้วยกัน พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูของประชาชนร่วมกัน อิจฉา อิจฉาและอิจฉา!

 

 

 


ตอนที่ 64.2

 

“ถ่ายรูปกันดีไหม? ผมมีอุปกรณ์พร้อมแล้ว” หลิวหลิวพูดขึ้น จากรูปสู่เสื้อผ้าไปจนถึงอารมณ์ ซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนานเป็นคนที่เข้าคู่กันอย่างสมบูรณ์แบบ


       ซู่ เหยียนอี้ตอบด้วยการเคลื่อนไหวไปอยู่ถัดจากชิน จี๋หนานผู้ซึ่งเหยียดหลังของเขาขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เขาเคยเป็นดาวเด่นของวงการภาพยนตร์​และถ่ายแบบมาก่อนมากมาย แต่เมื่อคู่หูของเขาคือซู่ เหยียนอี้ เขาก็รู้สึกประหม่า


       หลิวหลิวหยิบกล้องออกมาและปรับมัน แต่เขาก็ค่อนข้างไม่พอใจและแนะนำขึ้น “ไม่เป็นไรถ้าคุณสองคนขยับเข้ามาใกล้กันหน่อย​ คุณเป็นสามีและภรรยากันนะ”


       ซู่ เหยียนอี้กระพริบตาและมองไปที่ชิน จี๋หนานและขยับเข้าไปใกล้จนร่างกายสัมผัสกันและกัน​


       อย่างไรก็ตามหลิวหลิว ก็ยังไม่พอใจ “ ราชาภาพยนตร์ชิน อย่าเย็นชา​นัก ทำไม​คุณไม่​วางมือขวาลงไปบนเอวของประธานาซู่ และยิ้มน้อยๆ เพื่อแสดงความสง่างามและความรัก นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะเย็นชาหรอก​นะ”


       ชิน จี๋หนานต้องการอธิบายว่าเขาไม่ได้พยายามทำตัวเท่ห์ – เขาเพียงแค่​แข็งทื่อไปเอง มันแข็งทื่อ​จริงๆ!


       อย่างไรก็ตาม เขาปฏิบัติตามและเอื้อมมือไปที่เอวของเธอ แต่เขาก็ไม่กล้าวางมันลง มือของเขาค้างอยู่ในอากาศ


       ราชาภาพยนตร์​ชินอยากจะบอกว่า: ผมจะไม่ใช้ข้ออ้างในการถ่ายรูปเพื่อกินเต้าหู้!


       ซู่ เหยียนอี้สังเกตเห็นและแน่นอนว่าเธอช่วยไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะหันไปมองเขาแล้วถามขึ้น “เหนื่อยหรือยัง”


       ในตอนแรก เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่เมื่อเขารู้สึกว่าเธอดึงมือของเขาลงไปบนเอวของเธอร่างกายของเขาก็แข็งทื่อขึ้น​อีกครั้งและปลายหูของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง


       เมื่อซู่ เหยีบนอี้เห็นสิ่งนี้ ความไม่พอใจที่เธอได้รับก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องสนุก อา ผู้ชายคนนี้ เขาจะไม่บริสุทธิ์เกินไปหน่อยหรือ ถึงขนาดอายจากเรื่อง​เช่นนี้


       หลิวหลิวกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็วและจับฉากที่เกิดขึ้น


       ชายผู้นี้มีความสามารถและหล่อเหลา แต่ไม่เหมือนปกติ เขาดูสับสนเล็กน้อย…และมันก็ดูน่ารักมาก


       ผู้หญิงคนนี้ที่หยิ่ง สวยและเย็นชา แต่ในขณะที่ดวงตาของเธอมีร่องรอยของความสนุก​สนาน​ที่ทำให้เธอดูเหมือนเป็นคนที่อบอุ่น ยืนอยู่ด้วยกันพวกเขาทำให้เห็นภาพที่กลมกลืนกันอย่างแปลกประหลาด


       แม้ว่าภาพถ่ายจะไม่มีความรู้สึกของความรักที่แข็งแกร่ง แต่มันก็มีความรู้สึกอบอุ่นและความประทับใจได้เล็กน้อย


“จุ๊ๆ สิ่งนี้สามารถสร้างหัวข้อข่าวได้ และสามารถใช้เป็นปกนิตยสารได้เช่นกัน” หลิวหลิวพอใจมากกับงานฝีมือของเขาและคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นชอบด้วยเมื่อพวกเขาเห็นรูปถ่าย


“ยังไม่ต้องเผยแพร่ในตอนนี้​ รอจนกว่างานเลี้ยง​รุ่นจะสิ้นสุดลง จากนั้นคุณสามารถทำสิ่งที่คุณต้องการได้” ราชินีซู่ ตั้งใจแน่วแน่ที่จะอวดคนของเธอด้วยความรักที่แสดงออก เธอเข้าใจว่าอินเทอร์เน็ต สื่อและสาธารณะทำงานได้ดีเพียงใดและเธอไม่มีปัญหา​ที่จะใช้ประโยชน์จากพวกเขา


“ อืม ผมเข้าใจแล้ว!” หลิวหลิวพยักหน้าด้วยแววตาที่ตระหนักได้ถึงความตั้งใจของเธออย่างเต็มที่ การแสดงความรักต่อสาธารณชน? เขาเข้าใจอย่างแน่นอน!

…..


       งานเลี้ยง​รุ่นเกิดขึ้นภายในบริเวณบ้านพักตากอากาศในเขตชานเมือง บ้านพักตากอากาศมักถูกเช่าเพื่อวัตถุประสงค์เช่นจัดงานเลี้ยงขนาดเล็กหรือปาร์ตี้ เห็นได้ชัดว่ามาตรฐานของการเลี้ยง​รุ่นค่อนข้างสูง


       ซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนานมาถึงทันเวลาและเห็นรถยนต์จำนวนมากจอดอยู่ด้านนอกบ้านพักซึ่งค่อนข้างหรูหรา อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่จะมีรถยนต์ธรรมดาในทุกๆ วัน การแบ่งประเภทยังสะท้อนถึงประเภทของแขกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย


       เมื่อพิจารณาถึงสถานะของเขา รถของชิน จี๋หนาน นั้นธรรมดามาก มันเป็นบีเอ็มดับเบิลยูวันที่เรียบง่ายราคาประมาณสองล้านหยวน ซึ่งจริงๆแล้วดูเหมือนจะไม่“ธรรมดา” แต่เมื่อเทียบกับรถคันหรูอื่น ๆ ในลานจอดรถ รถเหล่านั้นอย่างน้อยห้าเท่าของราคาของเขา


       ซู่ เหนียนอี้กวาดสายตาของเธอไปที่บ้านพักและสามารถเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที ชิน จี๋หนานเปิดประตูให้เธอ หลังจากที่เธอออกจากรถ เธอลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะใช้ความคิดในการเป็นฝ่ายเริ่มจับแขนของเขาก่อน


“อยู่ใกล้ๆ เข้าใจไหม” ซู่ เหยียนอี้เข้าสู่โหมดแห่งการต่อสู้แล้ว


       ชิน จี๋หนานยังคงนิ่งเฉย แต่หัวใจของเขากำลังแทบจะกระโจนออกมา อา เขารู้สึกมีความสุขมาก


“เข้าใจ ผมจะร่วมมือเป็นอย่างดี” เขาแกล้งเธอด้วยการเอนตัวไปกระซิบที่ข้างหู หูของเธอร้อนขึ้นทันทีและเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของเธอ


       อ่า อะไรนะที่คนอินเทรนด์เขาพูดกัน? ว่าเสียงของชายคนนี้มีเสน่ห์มากเพียงแค่ฟังก็อาจทำให้หูของคนหนึ่งตั้งท้องได้ …


       ตอนนี้มีหลายกลุ่มรวมตัวกันภายในบ้านพัก ซึ่งกลุ่มที่น่าสังเกตมากที่สุดก็คือกลุ่มที่อยู่รอบ ๆ หวัง จื่อหลิน พวกเขาพูดเสียงดังเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง​


“ จื่อหลินเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ผมได้พบคุณครั้งสุดท้าย คุณสวยขึ้น​มาก ผมไม่รู้ว่าคุณมีแฟนหรือยัง แต่ถ้าคุณยังไม่มี คุณจะพิจารณาผมได้ไหม ผมชอบคุณมานานแล้ว” ชายที่พูดกับเธอพยายามอย่างดีที่สุด แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือการมองอย่างดูถูกเหยียดหยามอย่างที่สุด


       อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะตอบโต้​เขา ผู้หญิงอีกคนหนึ่งก็ทำแทนเธอ “ จุ๊ๆๆ นายคิดว่าคนในระดับนายมีค่าที่จะจีบหวัง จื่อหลิน หรือ”


“หลิงหลิงอย่าพูดอย่างนั้น เราเป็นเพื่อนร่วมชั้น ทุกคนเขาแค่เล่นเท่านั้น​” หวัง จื่อหลินซ่อนความรังเกียจของเธอและเริ่มทำตัวเหมือนดอกบัวสีขาว ในขณะที่ดวงตาของเธอพุ่งไปในทิศทางของประตู เธอจ้องมองไปในความมืดเป็นครั้งคราว


       เธออาจเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นเมื่อซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนานปรากฏตัวที่ทางเข้าบ้านพัก ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนดึงความสนใจของเพื่อนร่วมงานไปทันที และไม่นานทั้งคู่ก็กลายเป็นจุดสนใจ


       เสียงร้องของความประหลาดใจเพิ่มขึ้นทีละคนๆ


“ดูสิมันคือชิน จี๋หนาน!”


“ในที่สุดชิน จี๋หนานก็มา! ฉันรอมาทั้งคืน!”


“ อ่า ราชาภาพยนตร์​ชิน ดูดียิ่งขึ้นในภาพยนตร์​มาก! เขามาจริง ๆด้วย !”


“ดูสิคนสวย! เป็นความสวยที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”


“ทำไมผู้หญิงสวย ๆ ถึงมักถูกจับจอง​ไปหมด? แม้ว่าจะเป็นราชาภาพยนตร์ชิน แต่ก็ยังไม่เป็นธรรม! เขาพยายามทำให้เราอิจฉาเขาอย่างจงใจใช่ไหม?”


       ผู้ชายมองไปที่ผู้หญิงและผู้หญิงก็มองไปที่ชาย ชายผู้นั้นหล่อและผู้หญิงก็สวย ยืนอยู่ด้วยกันพวกเขาดูเหมือนเผ่าพันธุ์​จากสวรรค์ หวัง จื่อหลินรู้สึกว่าดวงตาของเธอไหม้ในขณะที่จ้องมองพวกเขา


       ผู้หญิงคนนั้นจะยืนเคียงข้างกับชิน จี๋หนานได้อย่างไร ตำแหน่งนั้นเป็นของเธอ!


       เธอยืดอกแล้วเดินเข้าไปหาพวกเขาแล้วตามด้วยกลุ่มคนอื่นๆ บางคนอยู่ที่นั่นเพื่อสนับสนุนเธอ ในขณะที่คนอื่นเพียงแค่ดูเฉยๆ


“จี๋หนาน ในที่สุด​คุณก็มา พวกเรารอมานานแล้ว” หวัง จื่อหลินทักทายชิน จี๋หนานอย่างอบอุ่นและไม่สนใจซู่ เหยียนอี้แม้แต่​น้อย เธอต้องการที่จะทำให้ซู่ เหยียนอี้ ที่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับทุกคนในชั้นเรียนโกรธ


       ในขณะที่เธอพูดแบบนั้น ชิน จี๋หนานก็ก้มศีรษะลงและพูดกับซู่ เหยียนอี้ขึ้น “ มันค่อนข้างอุ่นในนี้ คุณควรถอดแจ็คเก็ตของคุณออก” มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นเรื่องที่ตั้งใจ หวัง จื่อหลินก็ไม่สามารถบอกได้


       หวัง จื่อหลินไม่สนใจซู่ เหยียนอี้ ดังนั้นชิน จี๋หนาน จึงไม่สนใจหวัง จื่อหลิน ไม่ว่าหวัง จื่อหลิน จะวางแผนอะไร เขาก็ตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้หญิงที่น่ารำคาญทุกครั้งที่ทำได้ นอกจากนี้เขายังสัญญากับซู่ เหยียนอี้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากหวัง จื่อหลิน


       ดวงตาของซู่ เหยียนอี้ เต็มไปด้วยความพึงพอใจ เธอพยักหน้าและถอดเสื้อของเธอออก เขาถือเสื้อโค้ตของเธอด้วยมือหนึ่งและอีกมือก็จับมือเธอ ในขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปในบ้านพัก ปล่อยให้หวัง จื่อหลินต้องเสียหน้าอย่างช่วยไม่ได้


       วิธีที่หวัง จื่อหลินมองข้ามซู่ เหยียนอี้อาจพิจารณาได้ว่าคิดมาก่อนแล้ว แต่วิธีการที่ชิน จี๋หนานไม่สนใจหวัง จื่อหลินก็ชัดเจนเช่นกัน มีหลายคนที่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ


       แม้ว่าหวัง จื่อหลินจะมีภูมิหลังของครอบครัวที่ดี แต่ที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้รับความนิยมมากในหมู่เพื่อนร่วมชั้น สาว ๆ ไม่ชอบเธอมากนัก บางคนก็อิจฉาและคนอื่นๆก็ดูถูกเหยียดหยาม พวกเขาไม่ชอบเธอมากเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเขาจึงมีความสุขมากกว่าที่เห็นเธอถูกเพิกเฉย


       สำหรับกลุ่มผู้ชายที่สนับสนุนหวัง จื่อหลิน พวกเขาเกือบทั้งหมดก่อกบฏ ในขณะที่​พวกเขาเห็นซู่ เหยียนอี้


       ความงามมาหลายรูปแบบ หวัง จื่อหลินอาจดูสวยในแบบของเธอ แต่เมื่อเทียบกับซู่ เหยียนอี้ความสวยก็กลายเป็น​ไม่ชัดเจน ความสวยนั้นไม่เพียงแต่การแสดงออกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงอารมณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธออีกด้วย


       แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากยืนอยู่ที่นั่น แต่นั่นก็ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าเธอเป็นราชินีที่สูงส่ง หากจะเปรียบเทียบกับหวัง จื่อหลิน – ไม่, ไม่ ไม่ ไม่มีอะไรที่จะเปรียบเทียบได้ ปุถุชนไม่สามารถเปรียบเทียบกับราชินีได้


       ในตอนนี้ หวัง จื่อหลิน รู้สึกแปลกใจมากกว่าอายและโกรธ


       ทัศนคติของชิน จี๋หนานที่มีต่อเธอนั้นเย็นชามาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้หยาบคายและจะไม่ทำให้เธออยู่ในตำแหน่งที่น่าอับอายเช่นนี้ อย่างไรก็ตามทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ทำไม?


       หวัง จื่อหลินคิดและสรุปว่าซู่ เหยียนอี้ต้องพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ดีเกี่ยวกับเธอกับชิน จี๋หนานอย่างแน่นอน!


       ด้วยการมีความคิดนี้อยู่ในใจ ดวงตาของเธอจึงเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ในขณะที่เธอหันไปมองซู่ เหยียนอี้

 

 

 


ตอนที่ 64.3

 

หวัง จื่อหลินเลือกที่จะเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าเธอได้สร้างปัญหาให้ชิน จี๋หนาน ด้วยเช่นกัน ในความคิดของเธอ จุดประสงค์ของเธอคือการได้มาซึ่งเขาและไม่ทำลายเขา ดังนั้นแม้ว่าการกระทำของเธอจะทำร้ายเขาบ้าง แล้วจะอย่างไร เธอเพียงแค่ต้องชดเชยเขาเมื่อเธอได้รับเขา


       หวัง จื่อหลินเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวมาก จริงๆ เธอชอบชิน จี๋หนานมากแค่ไหน? อาจจะไม่มากเท่ากับที่ซู่ เหยียนอี้ในปัจจุบันที่ชอบเขาด้วยซ้ำ


       เมื่อเธออยู่ในวิทยาลัยหวัง จื่อหลินก็ชอบชิน จี๋หนาน เพราะเขาหล่อ อย่างไรก็ตาม ในเวลาที่เธอยุ่งกับการเล่นอยู่กับคนอื่นและเขาก็ไม่ได้เป็นประกายอย่างที่เขาเป็นในตอนนี้ นั่นเป็นสาเหตุที่หวัง จื่อหลินไม่ทำอะไรเลยในตอนนั้น หลังจากชิน จี๋หนานกลายเป็นคนดังในวงการบันเทิง หวัง จื่อหลินก็เริ่มอยากได้เขาอย่างแท้จริง


       และแน่นอน เพียงแค่ความจริงที่ว่าเขาเป็นคนของซู่ เหยียนอี้ก็เพียงพอที่จะทำให้หวัง จื่อหลินต้องการตัวเขามากยิ่งขึ้นแล้ว แต่ในความคิดของ หวัง จื่อหลิน เธอรู้จักชิน จี๋หนานมานานกว่า ดังนั้นเธอจึงเกลียดซู่ เหยียนอี้ เพราะเธอขโมยคนของเธอไป


       ความโกรธของเธอทำให้เธอเต็มไปด้วยความสับสน เราต้องเข้าใจว่าผู้หญิงที่มีความหึงหวงน่ากลัวอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่พวกเขาต้องการ


       หวัง จื่อหลินยิ้มในขณะที่กัดฟันของเธอ แล้วเดินเข้าไปหาซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนานเพื่อขวางทางของพวกเขา “ ซู่ เหยียนอี้ ฉันไม่คิดว่างานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้จะมีเธอเข้าร่วมด้วย ฉันจำไม่ได้ว่ามีใครบางคนเหมือนเธอในฐานะเพื่อนร่วมชั้น” เธอพูดขึ้น


       เมื่อเห็นหวัง จื่อหลินพูดเช่นนี้ ซู่ เหยียนอี้ก็มีความคิดเพียงอย่างเดียวในใจของเธอนั่นคือสมองที่เสียหาย!


       จากนั้นเธอก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย เธอโง่มากแค่ไหนในชีวิตที่ผ่านมาของเธอ? จริง ๆ แล้วเธอถึงกับตกหลุมพลางจากแผนการของผู้หญิงที่ได้รับความเสียหายทางสมองเช่นนี้ได้อย่างไร? น่าขายหน้าจริงๆ!


“ฉันเป็นสมาชิกในครอบครัว ไม่ใช่ว่าพวกเขาเรียกฉันว่าคุณนายชินหรอกหรือ และนี่ก็คือสามีของฉัน เธอไม่รู้จักเขาหรือ? “แทนที่จะไปสนใจหวัง จื่อหลิน ซู่ เหยียนอี้เลือกที่จะตอบโต้เธอแทน


       สมาชิกในครอบครัวได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยงรุ่นได้ ผู้หญิงคนนี้ต้องปัญญาอ่อนแน่ ยิ่งกว่านั้นซู่ เหยียนอี้ก็สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้นำประเด็นนั้นออกมาเพราะเธอรู้ว่าการบอกว่าเป็น“ สมาชิกในครอบครัว” จะทำให้หวัง จื่อหลิน โกรธเคืองที่สุด


“คุณนายชินหรือ? อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับการแต่งงานของเธอ! ฉันควรจะประกาศให้ทุกคนฟังตอนนี้เลยหรือไม่?”หวัง จื่อหลินเปล่งเสียงของเธอขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้าง จากนั้นเธอก็มองไปที่ซู่ เหยียนอี้ ราวกับว่าเธอชนะแล้ว


       ซู่ เหยียนอี้พบว่ามันตลก แต่ดวงตาของเธอก็ส่องประกายแวววาวขึ้น ผู้หญิงที่น่ารำคาญคนนี้พยายามข่มขู่เธอกับสัญญาแต่งงานหรือ


“โอ้? เธอรู้อะไรมา? เรารักกันมากแค่ไหนหรือเธออิจฉามากแค่ไหนนะหรือ หวัง จื่อหลิน มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะใช้การยั่วยุของเธอที่นี่ อย่างดีที่สุดมันก็ทำจะทำให้ฉันและชิน จี๋หนานรู้สึกเบื่อหน่ายเท่านั้น” เธอหยุดและมองเธออย่างดูถูก ก่อนที่จะพูดต่อและตัดสิ่งที่หวัง จื่อหลินอยากจะโต้กลับออกไป“ เธอก็ไม่มีอะไรนอกจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการเป็นชู้กับสามีคนอื่น แต่ถึงแม้ว่าเธอจะโยนตัวเองมาที่หน้าประตูบ้านของเรา ผู้ชายของฉันก็ไม่ต้องการเธอ ช่างน่าสงสารจริงๆ!”


       หลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ แห่งความเงียบ ผู้ชมก็ระเบิดความโกลาหลขึ้น พวกเขาทุกคนได้ยินเสียงการดูถูกเหยียดหยามและการเยาะเย้ยจากน้ำเสียงของซู่ เหยียนอี้ และคำพูดทื่อ ๆ ของเธอก็น่าสรรเสริญอย่างแท้จริง


       ในยุคนี้ ใครจะไม่เกลียดคนอยากเป็นชู้กันคนอื่น? และหวัง จื่อหลิน ก็พยายามเสียดแทงแต่งงานระหว่างการซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนาน


       แน่นอนว่าชิน จี๋หนานเป็นคนหล่อมากและซู่ เหยียนอี้ก็สวยมากและพวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็อิจฉาคู่นี้ บางคนอยากให้พวกเขาเป็นชิน จี๋หนานหรือซู่ เหยียนอี้ อย่างไรก็ตาม การมีความอิจฉานั้นก็ไม่เป็นไร แต่ในขณะที่ต้องการแยกคู่รักออกจากกันมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง!


“โอ้ ฉันเคยคิดว่าหวัง จื่อหลินเป็นเจ้าหญิงซินโดรมและโง่เล็กน้อย แต่ฉันไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะโง่ขนาดนั้น เธอต้องการที่จะเป็นชู้กับสามีคนอื่นหรือ? ว้าว เราไม่สามารถบอกได้เพียงแค่ดูเธอจากภายนอกเท่านั้น? “การสนทนาที่เบาอาจได้ยินได้ในระยะใกล้ ๆ


“สิ่งที่ไร้สาระยิ่งกว่านั้นคือการที่เธอพยายามเป็นชู้กับสามีคนอื่น ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ต้องการเธอ ดูเหมือนว่าราชาชินและภรรยาของเขาจะรักกันมาก ผู้ชายมีความสามารถและผู้หญิงก็มีความสวย ถ้าฉันได้แต่งงานกับใครสักคนที่เหมือนราชาชินในอนาคต…ฉันคงจะตายจากความสุขแค่คิดถึงมัน” เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังสูงขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นครึ่งหนึ่งของผู้คนในห้องจึงได้ยินเธอรวมถึงหวัง จื่อหลิน


       หวัง จื่อหลินจ้องมองอย่างรุนแรงไปที่หญิงสาว แต่หญิงสาวก็จ้องกลับมาอย่างไม่กลัว มีคนไม่กี่คนที่หัวเราะกับภาพนี้และสีหน้าของหวัง จื่อหลิน ก็ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะมาถึงจุดนี้ เธอก็ยังคงปฏิเสธที่จะเงียบไป


“หัวเราะอะไร? พวกเธอรู้อะไร? พวกเธอคิดว่า พวกเขากำลังมีความรักจริง ๆ หรือ? ไร้สาระ ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขาจะมีใบหน้าออกมาและแสดงออกถึงความรักของพวกเขาเมื่อมันเป็นของปลอมทั้งหมด พวกเขาไม่กลัวที่จะโดนตบหน้า เมื่อพวกเขาหย่าร้างกันหรือไง” หวัง จื่อหลินกัดฟันในขณะที่เธอพูด


       ไม่ว่าซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนานจะแสดงความรักออกทางใบหน้าของพวกเขามากแค่ไหนก็ตามหวัง จื่อหลิน ก็เชื่อมั่นว่าพวกเขาเพิ่งจะแสดงเท่านั้น การแต่งงานของพวกเขาจะไม่คงอยู่ตลอดไปและสักวันหนึ่งพวกเขาจะหย่าร้างกัน


“ความสัมพันธ์ของเราไม่ใช่ธุระของเธอและเราก็ไม่ต้องการให้เธอมายุ่งเกี่ยวกับมัน!” ชิน จี๋หนานพูดขึ้นเมื่อคำว่า “หย่าร้าง” ดังขึ้น และมันยังทำให้การแสดงออกของเขาเย็นชาขึ้นและสายตาของเขาเต็มไปด้วยความขยะแขยงมากยิ่งขึ้น


       ผู้หญิงคนนี้ลืมกินยาหรืออย่างไร? หากไม่ใช่เพราะทัศนคติของการเป็นสุภาพบุรุษและไม่ต้องการที่จะทะเลาะกับผู้หญิง เขาคงจะโยนเธอออกไปแล้ว เพราะเธอกำลังก่อมลพิษในอากาศ


“เธอจะบอกได้อย่างไรว่าเรารักกันหรือไม่? ฟังเธอแล้วเธอนี่มันตลกจริงๆ” ในขณะที่ซู่ เหยียนอี้พูดขึ้น เธอก็ดึงชิน จี๋หนานออกไปราวกับหลีกเลี่ยงผู้ป่วยโรคติดต่อ


“ผู้หญิงคนนี้ป่วย อยู่ห่างจากเธอเพื่อที่คุณจะได้ไม่ติดเชื้อ” เธอกระซิบ แต่เสียงของเธอดังพอที่คนรอบข้างจะได้ยิน พวกเขาก็เริ่มที่จะเดินออกไปจากหวัง จื่อหลิน รวมถึงคนที่ต้องการไล่จีบเธอก่อนหน้าด้วย


       พวกเขาไม่ใช่คนโง่ที่ไม่มีมาตรฐาน ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีความสวยงาม ความสามารถหรือความอ่อนโยนสำหรับพวกเขาที่จะไล่จีบเธอ แต่เธอก็ไม่ควรงี่เง่าและไร้ความรู้สึก หากพวกเขาไล่จีบหวัง จื่อหลินผู้ซึ่งต้องการเป็นชู้กับสามีคนอื่น มันจะเหมือนกับต้องการใส่หมวกสีเขียว ให้กับพวกเขาเอง


       ทันใดนั้น พื้นที่ก็ถูกกวาดล้างให้ว่างอยู่รอบ ๆ ตัวหวัง จื่อหลิน ทุกคนต่างก็มองเธอแตกต่างไป แต่เธอก็รู้สึกไม่สนใจจากปฏิกิริยาของพวกเขา


       หวัง จื่อหลินชี้นิ้วที่สั่นไปที่ซู่ เหยียนอี้ และพูดด้วยความโกรธขึ้น “ซู่ เหยียนอี้ มันจะมากไปแล้วนะ!”


“ไม่ต้องขอบคุณฉัน ฉันก็แค่พูดความจริง”


       หวัง จื่อหลินจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ก่อนที่จะหันหลังกลับและเดินออกไปด้วยความโกรธแค้น


       ซู่ เหยียนอี้เผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะขึ้น ตัวตลกที่มีความเสียหายทางสมองคนนี้ต้องการขโมยคนของเธอหรือ? ไม่มีวัน


       เธอดึงชิน จี๋หนานมาที่มุมเงียบ ๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา หลังจากกดปุ่มไม่กี่ครั้ง เธอก็นั่งลง


“คุณต้องการดื่มอะไร โซดาดีไหม” แม้ว่าเขาจะอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เธอทำบนโทรศัพท์มือถือของเธอ เขาก็ไม่ได้ถาม


“ไวน์สักแก้วก็ดี” ในเมื่อเธออารมณ์ดี เธอคิดว่าก็น่าจะดื่มฉลองหน่อย


       นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับหวัง จื่อหลินหลังจากที่กลับมาเกิดใหม่ หวัง จื่อหลิน อ่อนแอกว่าที่คาดไว้มาก แต่ความรู้สึกแห่งชัยชนะก็ยังคงมีกลิ่นหอมและน่าหลงใหลอยู่เล็กน้อย


       อย่างไรก็ตาม การแก้แค้นของเธอยังไม่จบ เธอได้เตรียมของขวัญพิเศษสำหรับหวัง จื่อหลินเอาไว้แล้ว


       หวัง จื่อหลินกำลังขับรถ พื้นที่ในการจัดงานเลี้ยงอยู่ในเขตชานเมือง ดังนั้นจึงไม่มียานพาหนะและคนเดินถนนจำนวนบนท้องถนนมาก และเพราะเธอโกรธและใจของเธอก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง เธอจึงขับรถเร็วและไม่สนใจถนนเลย เธอเหยียบลงไปบนคันเร่งเพื่อระบายความโกรธของเธอ


       ซู่ เหยียนอี้ ผู้หญิงคนนั้น … เธอกล้ามาก ฉันจะต้องเอาคืน ฉันต้องทำ!


       และเมื่อหวัง จื่อหลินถูกครอบงำด้วยความคิดในการเอาคืน เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเธอเองจะถูกเอาคืนในเร็ว ๆ นี้

 

 

 


ตอนที่ 65.1

 

หวัง  จื่อหลินขับรถเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนกระทั่งเธอถึงขีดจำกัดของการควบคุมอัตโนมัติ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายที่เธอกำลังผลักตัวเองเข้าไปและเธอเหยียบคันเร่งหนักขึ้นอีก


       และนั่นคือตอนที่มีรถยนต์คันเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากมุมถนน


       ไฟหน้าของมันสว่างและเมื่อหวัง จื่อหลิน เห็นมันหัวใจของเธอก็สั่นไหวขึ้นทันที ในขณะที่เธอเหยียบเบรกและหมุนพวงมาลัย พยายามหลีกเลี่ยงและรถคันอื่นก็เลี้ยวหักเช่นเดียวกัน แต่ก่อนที่เธอจะได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นัยน์ตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความสยองขวัญและก่อนที่เธอจะตอบสนองได้ รถสปอร์ตของเธอก็วิ่งเข้าไปที่ด้านข้างของรถบรรทุกสินค้าอย่างแรงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง


       หวัง จื่อหันหมดสติไปทันที แต่รถบรรทุกสินค้าดูเหมือนจะหยุดลงในวินาทีสุดท้าย ทำให้เธอยังมีชีวิตรอดอยู่


       มีคนสองคนที่อยู่ในรถคันเล็ก ซึ่งเป็นชายและหญิงและมีผู้ชายสองคนอยู่ในรถบรรทุก ไม่มีใครได้รับอันตราย พวกเขาทั้งหมดรีบออกจากยานพาหนะเพื่อตรวจสอบสภาพของหวัง จื่อหลิน ก่อนที่จะเรียกตำรวจ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นอุบัติเหตุ


       ในขณะเดียวกัน ซู่ เหยียนอี้ ก็ได้รับข้อความสั้น ๆ จากคังโจว 


“ไฟล์ถูกส่งออกไปแล้ว รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ “


       ริมฝีปากของซู่ เหยียนอี้ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เย็นชา วิธีการแก้แค้นที่เธอโปรดปรานที่สุดคือการจับตาดูตาและฟันต่อฟัน เธอหวังว่าหวัง จื่อหลินจะชอบของขวัญของเธอ


       เธอพิมพ์คำตอบกลับไป “ ส่งไฟล์ต่อไป”


       ในคืนเดียวกัน อดีตผู้ช่วยส่วนตัวของซู่ เหยียนอี้ ผู้ซึ่งเริ่มทำงานให้กับ บริษัทอื่นแล้ว ก็พบว่าเงินและของมีค่าทั้งหมดของเธอถูกขโมยไป เมื่อเธอรายงานเรื่องนี้ให้ตำรวจ พวกเขาก็ค้นหาไปรอบ ๆ และตรวจสอบกล้องวงจรปิด ไม่เพียงแต่ในบริเวณใกล้เคียงของเธอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริเวณอื่นๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถพบเพียงชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมเท่านั้น ใบหน้าของเขาถูกซ่อนและแม้ว่าเขาจะถูกสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิด แต่ตำรวจก็ไม่สามารถหาสิ่งอื่นๆ ได้ ซัน หมิงอี้โกรธมากจนเธอขว้างข้าวของและด่าทอทุกอย่าง


       และในคืนเดียวกันนั้น หวัง จื่อหลินก็ถูกส่งไปที่โรงพยาบาลในเมืองเพื่อรับการรักษาอย่างฉุกเฉิน ตำรวจค้นหาสถานที่เกิดเหตุและพบว่าหวัง จื่อหลิน คือบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุดและยังเป็นผู้กระทำผิดหลัก อีกสองด้านเป็นเหยื่อที่โชคร้าย รถของเธอมีความเร็วเกิน 116 ไมล์ต่อชั่วโมงและตามที่พยานในรถอีกคันนได้บอกว่า รถบรรทุกได้หยุดก่อนที่เธอจะชนเข้ากับมัน และยังมีการบันทึกในกล้องวงจรปิดเป็นการยืนยัน


       นอกจากนี้ ตำรวจก็พบว่าหวัง จื่อหลินยังเมาอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเป็นกรณีของการเมาแล้วขับและเร่งความเร็ว ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่โทษตัวเองเพราะมันเป็นอุบัติเหตุที่โชคร้ายจริงๆ และแน่นอนว่าความโชคร้ายของเธอไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น แม้ว่าชีวิตของเธอจะได้รับการช่วยชีวิตในห้องฉุกเฉิน แต่ขาของเธอแต่ละข้างก็ได้รับความทุกข์ทรมานจากการแตกหักของกระดูกและถูกกระทบกระแทกอย่างแรงอีกด้วย


       ตามการวิเคาะร์ของแพทย์ แม้จะมีการรักษาที่ดีที่สุด เธอก็แค่จะสามารถลุกขึ้นยืนและเดินได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น นอกจากนั้นมันคือสิ่งที่เป็นไปได้ยาก การถูกกระทบกระแทกของเธอก็ยังจะทำให้เกิดผลที่ตามมาอีกสองอย่าง ส่วนที่เหลือจะต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการฟื้นตัวและการพักฟื้นของเธอเอง


       ในไม่ช้าตระกูลหวังก็ได้รับข่าว และพวกเขาก็พยายามที่จะป้องกันไม่ให้มันแพร่กระจาย แต่ก็ไม่มีประโยชน์


       แต่เมื่อไหร่กันที่นักข่าวจะมีทักษะมากขนาดนั้น? พวกเขารู้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับอุบัติเหตุอย่างละเอียด ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดหัวข้อในนิตยสารมากมาย


“พวกเขากล้าที่จะปล่อยบทความประเภทนี้จริงหรือ พวกเขาคิดว่าตระกูลของเราตายไปแล้วหรืออย่างไร? จื่อโยว่ เธอไปตรวจสอบเรื่องนี้ ฉันไม่ต้องการเห็นบทความแบบนี้อีก” หวัง พินเตอโกรธพร้อมกับขว้างกระดาษในมือของเขาออกไป


       คราวนี้หวัง จื่อโยว่ไม่พยายามเหยียบหวัง จื่อหลินในขณะที่เธอล้มลง แม้ว่าพวกเขาจะมีโอกาสอยู่เสมอ แต่พวกเขาก็ยังเป็นพี่น้องที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด หวัง จื่อโยว่ ไปตรวจสอบและกลับมาพร้อมผลลัพธ์ที่ทำให้ทั้งตระกูลโกรธ


“เธอพูดว่าอะไรนะ” หวัง พินเตอ มองเธอด้วยความไม่เชื่อ แต่เขารู้ว่าเธอกำลังพูดความจริง “ตระกูลซูที่ไร้ยางอาย ไอ้พวกน่ารังเกียจ!” เขาคำรามขึ้น


“เรื่องนี้ถูกทำโดยซู่ เหยียนอี้คนเดียว เมื่อวานนี้ถ้าไม่ใช่เพราะซู่ เหยียนอี้ทำให้หวัง จื่อหลินโกรธ หวัง จื่อหลินก็คงจะไม่ขับรถด้วยความเร็ว อย่างที่ลูกเห็นนี่คือความผิดทั้งหมดของซู่ เหยียนอี้ คุณพ่อ เราไม่สามารถปล่อยเธอไปได้!” หวัง จื่อโยว่ ไม่ชอบซู่ เหยียนอี้มากเช่นกัน เพราะเมื่อหวัง จื่อโยว่แต่งงานกับซู่ เหยียนโม่ ซู่ เหยียนอี้ก็ไม่ได้แสดงความเคารพใด ๆ เลย


“ซู่ เหยียนอี้! ฉันจะวางเธอไว้ในที่ของเธออย่างแน่นอนและฉันจะไม่ปล่อยตระกูลซู่ไปเช่นเดียวกัน!” หวัง พินเตอ พูดในขณะที่กัดฟัน


       เขาเป็นคนที่ทะเยอทะยานมากและยังฝันมานานว่าจะทำให้ตระกูลหวังแข็งแกร่งที่สุดในเมืองเอ อย่างไรก็ตามตระกูลซู่กลับกดดันพวกเขาอยู่เสมอและด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกของหวัง  พินเตอรจึงเปลี่ยนจากการยอมจำนนเป็นไม่พอใจและในที่สุดก็เกลียด

…..


       หวัง จื่อหลิน เป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทบันเทิงของตระกูลหวัง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่การที่เธอจะเมาแล้วขับและเกิดอุบัติเหตุและเรื่องขาหักของเธอเป็นข่าวดัง แต่เรื่องรูปภาพของซู่ เหยียนอี้และชิน จี๋หนานในการเข้าร่วมงานเลี้ยงรุ่นด้วยกันก็ได้รับความสนใจอย่างมากและสร้างความแตกต่างที่คมชัดระหว่างความทุกข์และความสุข


       อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ได้รับการพรรณนาและแพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต: “การเผชิญหน้า” ระหว่างซู่ เหยียนอี้และหวัง จื่อหลินที่งานเลี้ยงรุ่น แม้ว่าจะไม่มีรูปภาพ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ถูกอธิบายอย่างละเอียดและมากกว่า 90% ของเรื่องนั้นเป็นความจริง


“ประธานซู่ เราควรจัดการกับเรื่องนี้ไหม?” คังโจวรายงานต่อซู่ เหยียนอี้ทันทีที่โพสต์ปรากฏบนอินเทอร์เน็ต


       เธอเคาะนิ้วเบา ๆ บนโต๊ะในขณะที่อ่านรายงาน ใครก็ตามที่โพสต์ ได้เขียนเอาไว้ได้ดีมาก


“ทำไมเราต้องทำอะไร? มันไม่ดีหรือ?” เธอถามตอบ เธอตัดสินใจแล้ว ถึงแม้ว่าการโพสต์จะทำให้คนไม่กี่คนที่วิพากษ์วิจารณ์เธอว่าก้าวร้าวและรุนแรงเกินไป แต่คนที่จะได้รับความเสียหายมากที่สุดก็คือหวัง จื่อหลิน การประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อาจทำให้เธอดูน่าเห็นอกเห็นใจ แต่การพยายามเป็นผู้หญิงลับๆ ของเธอจะทำให้เธอได้รับคำวิจารณ์มากกว่าและไม่เห็นด้วย


“ผมแค่คิดว่ามันจะคุ้มค่าอะไร” เขาไม่คิดว่าหวัง จื่อหลินคุ้มกับการวิจารณ์ที่เจ้านายของเขาได้รับจากการโพสต์นั้น ท้ายที่สุดมีวิธีการมากมายที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อจัดการกับหวัง จื่อหลินได้ 


“ไม่เป็นไร” โดยส่วนตัวแล้วซู่ เหยียนอี้ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ความคิดเห็นของประชาชนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่การวิพากษ์วิจารณ์จำนวนเล็กน้อยนั้นไม่เกี่ยวกับเธอเลย และสำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับเธอและชิน จี๋หนานส่วนใหญ่อยู่ข้างพวกเขา คนงี่เง่าเท่านั้นที่จะพยายามปกป้องหวัง จื่อหลิน


       คังโจวหยุดนำมันขึ้นมาและทำงานต่อไป แต่เขาก็สับสนอยู่ไม่น้อย ตระกูลซู่รับเขาเข้ามาเมื่อเขายังเป็นเด็กกำพร้าที่อายุยังน้อยมาก เขาได้รับการฝึกฝนตามความสามารถของเขาและกลายเป็นผู้ช่วยของซู่ เหยียนอี้ หลังจากการทดสอบหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจตระกูลซู่ดีกว่าชิน จี๋หนานเสียอีกและนั่นก็เป็นเหตุผลที่ซู่ เหยียนอี้มอบความรับผิดชอบในการดำเนินแผนการแก้แค้นของเธอให้กับเขา


       อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่รู้ ซู่ เหยียนอี้ ไม่เคยพูดถึงพวกมัน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยถาม แต่เขาก็ยังคงสงสัย


       ตัวอย่างเช่น ซัน หมิงอี้ทำอะไรผิด ก่อนอื่น เธอถูกไล่ออกและตอนนี้เธอได้รับการจัดการและวางแผนจากซู่ เหยียนอี้ ดูเหมือนว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน


       หลังจากฟังรายงานของคังโจวแล้ว ซู่ เหยียนอี้ก็ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้น“ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น” แน่นอนมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม