Princess Medical Doctor องค์หญิงแพทย์ผู้เชียวชาญ 274.1-276.2

ตอนที่ 274.1

 

 หลิน ชูจิ่ว คุ้นเคยกับวิธีการทำงานของแพทย์สมัยใหม่ เธอมักจะถามสภาพของผู้ป่วยโดยตรง แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี แต่สำหรับคนในสมัยโบราณความฉับพลันนี้ทำให้ผู้นำตระกูลเมิ่งถึงกับตกตะลึงและรู้สึกกลัวกับความตรงไปตรงมาของหลิน ชูจิ่ว


       อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้เห็นดวงตาของ หลิน ชูจิ่วและเห็นว่านางไม่ดูเป็นอันตราย ผู้นำตระกูลเมิ่งก็ตอบขึ้น “มันไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด เขาร้องไห้เสียงดังเมื่อเขาเกิด แต่ต่อมาเมื่อเขาป่วยหนัก เขาก็ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้อีกต่อไป” นี่เป็นความเสียใจอย่างยิ่งของผู้นำตระกูลเมิ่ง


       การแสดงออกทางสีหน้าของผู้นำตระกูลเมิ่ง เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตาม หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้สังเกต เธอเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้นและถามต่อไป“ นอกเหนือจากการพูดไม่ได้แล้ว เขามีความรู้สึกไม่สบายอื่นๆ ในร่างกายหรือไม่”


       ความพิการทางสมองมักมาพร้อมกับโรคอื่น แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด แต่บางอย่างก็ดีกว่าที่จะถามล่วงหน้า


“ไม่มี นอกจากเรื่องที่เขาพูดไม่ได้ เขาก็ไม่มีปัญหาอื่นๆอีก” ผู้นำตระกูลเมิ่งพูดอย่างมั่นใจ หลังจากถามคำถามสองสามข้อจากผู้นำตระกูลเมิ่งแล้ว หลิน ชูจิ่วก็พูดขึ้น “ข้าต้องการพบผู้ป่วยด้วยตนเองก่อนที่จะสรุปว่าข้าจะสามารถรักษาเขาได้หรือไม่ได้ จะเป็นไรหรือไม่”


       หลิน ชูจิ่วเต็มใจที่จะพบบุตรชายของเขาซึ่งหมายความว่านางคงจะรู้สึกว่าสามารถรักษาเขาได้ ผู้นำตระกูลเมิ่งจึงถามขึ้นโดยไม่ลังเล“ เรื่องนี่ ข้าเองก็แน่ใจว่าจะสะดวกอีกทีเมื่อไหร่ แล้วข้าจะพาบุตรชายมาพบเสี่ยวหวางเฟย”


       ผู้นำตระกูลเมิ่ง สุภาพและให้ความเคารพต่อ หลิน ชูจิ่วมาก ผู้นำตระกูลเมิ่ง สามารถพาบุตรชายของเขามาได้ในทันที แต่เขาต้องขออนุญาตก่อน


“ ตอนนี้ข้าพอมีเวลา ถ้าไม่รบกวนผู้นำตระกูลเมิ่งจนเกินไป ข้าสามารถไปกับท่านได้เลยในตอนนี้” จริงๆ แล้ววันนี้หลิน ชูจิ่วหยุดพัก เพราะพรุ่งนี้เธอต้องไปดูแลเด็กๆ ในโรงหมออีกครั้ง เธอไม่สามารถใช้เวลาทั้งวันเพื่อรอผู้ป่วยได้


       เมื่อผู้นำตระกูลเมิ่ง ได้ยินคำพูดของ หลิน ชูจิ่ว เขาก็แทบจะไม่สามารถรอที่จะพานางไปได้ แต่……


       ไม่ได้!


       เพื่อนำเสนอตัวเองหลิน ชูจิ่ว แต่งตัวออกมาเป็นพิเศษ ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยเครื่องประดับตั้งแต่หัวจรดเท้า การแต่งตัวแบบนี้ไม่เหมาะที่จะไปพบผู้ป่วย นอกจากนี้กล่องยาของเธอไม่ได้อยู่กับเธอ


       หลิน ชูจิ่ว ขอให้ผู้นำตระกูลเมิ่ง รอสักครู่แล้วเธอก็กลับไปที่เรือนของเธอเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไม่ให้ผู้นำตระกูลเมิ่งต้องรอนานหลิน ชูจิ่วจึงรีบเดิน อย่างไรก็ตามเธอยังคงใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม


       ผู้นำตระกูลเมิ่งคิดว่า หลิน ชูจิ่วจงใจทำให้เขารอ แต่เมื่อเขาเห็น หลิน ชูจิ่วเดินเข้ามาราวกับขาดอากาศหายใจ เขาก็เข้าใจว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น


“เสี่ยวหวางเฟย ท่านต้องการหยุดพักก่อนหรือไม่?” แม้ว่าผู้นำตระกูลเมิ่งจะไม่ทราบว่าทำไมหลิน ชูจิ่วจึงดูเหนื่อยมาก แต่เขาก็ยังพยายามที่จะมีน้ำใจ


       หลิน ชูจิ่ว ไม่เพียงแต่ไปเปลี่ยนชุดที่ซับซ้อนของเธอออก แต่ยังลบเครื่องประดับของเธอทั้งหมดออกด้วย เธอจึงดูตัวเล็กลงกว่าก่อนหน้ามากและเธอยังดูเด็กมาก ราวกับว่าเธอเป็นเพียงเด็กที่เพิ่งโตเท่านั้น


       หากผู้นำตระกูลเมิ่ง ไม่ได้ตรวจสอบมาล่วงหน้าและหากเขาไม่รู้ว่าเสี่ยวเทียนเหยาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังนาง ผู้นำตระกูลเมิ่งจะไม่เชื่อว่า หลิน ชูจิ่วซึ่งเป็นเด็กสาวจะสามารถรักษาความเจ็บป่วยของบุตรชายของเขาได้


“ไม่ต้อง ไปกันเถอะ” หลิน ชูจิ่วเดินเร็วมาก เธอเพียงแค่หอบหายใจเล็กน้อยเท่านั้น เธอจะดีขึ้นหลังจากได้พักผ่อนแล้ว


       หลิน ชูจิ่วและผู้นำตระกูลเมิ่ง เดินตามกันออกไปจากตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ พ่อบ้านเฮ้าเตรียมรถม้าพร้อมกับทหารของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน ดังนั้นเมื่อพวกเขาจากไปมันก็สะดุดตามาก


       หลิวไป๋ผู้ซึ่งยืนอยู่บนหลังคาของห้องหนังสือเห็นรถม้าห่างออกไป เขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกดูถูกเกี่ยวกับเรื่องนี้


       หลังจากกระโดนลงมาอย่างเงียบเชียบ เขาก็หันหน้าเดินเข้าไปในห้องหนังสือ“หวางเย่ หวางเฟย ออกเดินทางไปพร้อมกับผู้นำตระกูลเมิ่งแล้ว”


“ อะแฮ่ม…” ซู่ฉาสำลักขึ้นทันที“ หลิวไป๋ เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่” หวางเฟยไปกับชายอื่น เขาพูดออกมาง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร

ตอนที่ 274.2

 


“ข้าพูดอะไรผิดไป” หลิวไป๋ดูงงงวย “ เมื่อหวางเฟยเดินทางไปพร้อมกับผู้นำตระกูลเมิ่ง มีสายลับสองสามคนตามไปด้วย พวกมันคงจะเป็นสายลับในวัง หลังจากสายลับเหล่านั้นกลับรายงาน ฮ่องเต้ก็คงจะโกรธขึ้นอีกครั้ง”


       ซู่ฉาจ้องมองหลิวไป๋ อย่างไม่พอใจ : เขาไม่เห็นหรือว่าหวางเย่ ไม่พอใจเนื่องจากคำพูดของเขา?


       ความมีไหวพริบของเขาช้าเกินกว่าความอยู่รอด


       ซู่ฉาเป็นเหมือนพี่ชายที่แสนดี เพื่อให้เสี่ยวเทียนเหยา ไม่เข้าใจผิด เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อขึ้นทันที“ หวางเย่ ท่านคิดว่าหวางเฟยจะสามารถรักษาโรคของเมิ่ง ซิวเหยียน ได้หรือไม่”


“มันสำคัญด้วยหรือ” เสี่ยวเทียนเหยายกคิ้วแล้วถามขึ้น


“ มันไม่สำคัญหรือ ไม่ใช่ว่าท่านต้องการให้หมอเทวดาโม่พลิกเปลี่ยนสถานการณ์ไม่ได้หรอกหรือ”ซู่ฉา รู้สึกเหมือนเขาไม่สามารถตามความคิดของเสี่ยวเทียนเหยาได้


       เสี่ยวเทียนเหยา มองไปที่ซู่ฉาราวกับว่าเขาเป็นคนโง่เขลา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นเบา“ ข่าวในแคว้นใต้จะมาถึงในอีกสองวัน”


ซู่ฉาตบหน้าผากของเขาและพูดด้วยความรำคาญขึ้น“ข้าลืมไปได้อย่างไร? คาดว่าฮ่องเต้และผู้นำตระกูลเมิ่ง จะได้รับข่าวในอีกสองวัน ในกรณีนั้นฮ่องเต้จะจัดการกับหมอเทวดาโม่โดยเร็วที่สุด ส่วนตระกูลเมิ่ง แม้ว่าหวางเฟยจะไม่สามารถรักษาโรคของเมิ่ง ซิวเหยียนได้ แต่พวกเขาจะไม่ต้องการหมอเทวดาโม่อีก”


“ หลังจากที่ข่าวมาถึง เจ้าต้องทำให้มันเสียงดังขึ้นเล็กน้อย เปิ่นหวางต้องการจัดการกับปัญหาของหมดเทวดาโม่ก่อนที่จะเข้าสู่สนามรบ” หลังจากที่เขาเข้าร่วมในสนามรบแล้วหลิน ชูจิ่วก็จะพึ่งตัวเองได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการลดอันตรายลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


“เรื่องของหมอเทวดาโม่ นั้นง่ายต่อการจัดการมาก ตอนนี้เขาเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ติดกับดัก เขาหนีไม่พ้นมือของเราแน่นอน สิ่งที่ข้าปวดหัวคือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง พวกเราออกไปค้นหาทั่วสถานที่เพื่อตามจับคนที่เกี่ยวข้อง แต่พวกเขาทั้งหมดกลับตาย ในท้ายที่สุดพวกเราก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย” เมื่อเทียบกับหมอเทวดาโม่ ผู้คนที่อยู่เบื้องหลังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดสำหรับหลิน ชูจิ่ว


       เสี่ยวเทียนเหยาอยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นผู้คนเหล่านั้นจึงกลัวที่จะลงมือกับหลิน ชูจิ่ว แต่เมื่อเขาจากไป คนเหล่านั้นจะไม่ยอมปล่อยนางไป


“ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะตื่นตัวมาก” เสี่ยวเทียนเหยาเคาะนิ้วของเขาบนโต๊ะ เสียงของเขามีร่องรอยของความไม่พอใจ แสดงว่าเขาอารมณ์ไม่ดี


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่กลัวศัตรูที่จะกระโดดออกมา สิ่งที่เขากลัวคือศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่และทำสิ่งที่ยุ่งยากต่างหาก


“ ระวังให้มาก พวกเขาเองก็คงจะจัดการกับคนที่เราไม่รู้จักเช่นกัน” เบาะแสเดียวที่พวกเขามีคือสิ่งที่เหลือจากที่อีกฝ่ายที่ทิ้งเอาไว้เท่านั้น


“ ถ้าเบาะถูกค้นพบ อีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นคนที่กล้าหาญจริงๆ” แม้ว่ามันจะเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่เสี่ยวเทียนเหยาก็ช่วยไม่ได้ที่จะชื่นชมความเด็ดขาดของอีกฝ่าย เขาสามารถสละสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ได้โดยไม่ลังเลซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ


       อย่างไรก็ตามยิ่งพบอีกฝ่ายได้ยากเท่าไหร่ หลิน ชูจิ่วก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น


       เสี่ยวเทียนเหยาไม่รู้อีกต่อไปว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีที่เขาปล่อยให้หลิน ชูจิ่วเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง


       เสี่ยวเทียนเหยาถอนหายใจ……


* * * *


ผู้นำตระกูลเมิ่งไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่เพื่อขอให้หลิน ชูจิ่วช่วยรักษาเมิ่ง ซิวเหยียน ไม่ใช่สิ่งที่สามารถปกปิดได้ ฮ่องเต้จึงรู้เรื่องนี้ในทันที


       ฮ่องเต้รู้สึกหงุดหงิดและโกรธเคืองมากกับการทำของเสี่ยวเสียนเหยา แต่เขาก็ไม่มีทางที่จัดการกับเสี่ยวเทียนเหยาได้อย่างขาวสะอาด


       ทุกอย่างที่เสี่ยวเทียนเหยา ทำล้วนแต่อยู่ในที่สว่าง แต่ถ้าเขากล่าวหาเสี่ยวเทียนเหยา เพราะสิ่งเหล่านี้ มันคงไม่เพียงพอที่จะจัดการกับเขาได้


       ฮ่องเต้ได้แต่จับหัวคิ้วของเขา ก่อนจะพูดขึ้น“ ไปบอกเรื่องนี้กับหมอเทวดาโม่”


       ตอนนี้ คนที่เป็นกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับเมิ่ง ซิวเหยียน ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหมอเทวดาโม่ หมอเทวดาโม่ล้มเหลวที่จะผลิกสถานการณ์ต่างๆได้ แต่ฮ่องเต้ก็ไม่สนใจถ้าเขาเล่นกับไฟ ก่อนที่เขาจะตาย… …

 

 

 


ตอนที่ 275.1

 

   เมิ่ง ซิวเหยียน รู้ว่าบิดาของเขาไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่า หลิน ชูจิ่วจะมากับเขาในวันเดียวกัน เมื่อได้ยินรายงานของบ่าวรับใช้เขาเกือบจะสะดุดตัวขึ้น


       เมิ่ง ซิวเหยียน ทำท่าทางให้กับคนรับใช้ของเขา จากนั้นพวกเขาก็กลับไปที่ห้องของเขาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมาตอนรับแขก


       เมิ่ง ซิวเหยียน และคนของเขาพักอยู่ที่ฝั่งตะวันออกชั่วคราว ในขณะนี้ผู้นำตระกูลเมิ่งไม่ได้เดินทางไปหาบุตรชายของเขา เขาเพียงอยู่กับหลิน ชูจิ่วเท่านั้น โชคดีที่ความเร็วของเมิ่ง ซิวเหยียน นั้นเร็วมาก เขาจึงเดินเข้ามาในช่วงเวลาสั้น ๆเท่านั้น


       นี่เป็นครั้งแรกที่หลิน ชูจิ่วเห็นเมิ่ง ซิวเหยียน ดังนั้นเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ใต้แสงตะวัน หลิน ชูจิ่วจึงอดที่จะตกตะลึงไม่ได้


       เธอเข้าใจในวันนี้เองว่าบุตรชายที่ไม่มีใครเทียบได้คืออะไร อีกฝ่ายเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง


       เมิ่ง ซิวเหยียน ยืนอยู่ใต้แสงแดดและแสงแดดก็ส่องลงมาที่ร่างกายของเขา ฝุ่นที่ลอยอยู่สะท้อนอยู่รอบๆ ตัวทำให้เขาดูเหมือนเป็นเทพเซียนที่สืบเชื้อสายมาจากสวรรค์ หลิน ชูจิ่วไม่สามารถละสายตาของเธอออกมาได้ ในขณะที่เมิ่ง ซิวเหยียน เข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ก็ราวกับมันสว่างขึ้นทันที


       เธอไม่จำเป็นต้องเดา เธอก็มั่นใจว่าเขาเติบโตมาพร้อมกับการเลี้ยงดูที่ดี รอยยิ้มอันเรียบง่ายบนริมฝีปากของเขาเป็นเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ


       เมื่อมองแวบแรก หลิน ชูจิ่วก็เกิดความประทับใจที่ดีต่อเมิ่ง ซิวเหยียน เขาบริสุทธิ์ อ่อนโยนและมีน้ำใจ… …


       ผู้ชายอย่างเมิ่ง ซิวเหยียน เป็นคนแบบที่เธอชอบและชื่นชม


       ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมิ่ง ซิวเหยียน ได้พบ หลิน ชูจิ่ว แต่เขาก็เห็นนางจากระยะไกลๆ วันนี้เขาค่อนข้างประหลาดใจไม่น้อย


       ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาของ หลิน ชูจิ่วนั้นดี แต่เพราะความรู้สึกของนาง นางให้ความรู้สึกที่สงบ มีดวงตาที่บริสุทธิ์และรอยยิ้มที่สดใส …


       บอกตามตรง ผู้หญิงแบบนี้ที่ต้องแต่งงานกับเสี่ยวหวางเย่นั้นน่าสงสารมาก


       เมิ่ง ซิวเหยียน มองไปที่ หลิน ชูจิ่วเพียงครั้งเดียวเขาจึงละสายตาออกไปทันที จากนั้นเขาก็ทำความเคารพ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถส่งเสียงได้


       เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ผู้ชายหล่อเหลาไม่สามารถพูดได้


       หลิน ชูจิ่วเหลียวมองไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้ก้าวออกมา เธอเพียงแค่พยักหน้าแล้วพูด“คุณชายเมิ่ง สุภาพเกินไปแล้ว”


       ในยุคนี้เธอไม่ได้รับอนุญาตให้กล้าหาญเกินไป เธอไม่สามารถจ้องมองชายคนนั้นที่อยู่ต่อหน้าของเธอหรือแตะต้องเขาได้ ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายจะไม่เพียงแต่ดูถูกเธอเท่านั้น แต่ยังจะคิดว่าเธอเป็นหญิงร่านไร้ยางอายอีกด้วย


       แม้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา จะทำสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาสามารถทำได้โดยที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ เสี่ยวเทียนเหยา ปล่อยให้เธอออกไปข้างนอกแทนที่จะขังเธอไว้ในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่อย่างเดียว  


       เมิ่ง ซิวเหยียนพยักหน้าและยิ้ม รอยยิ้มของเขายังคงเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิซึ่งทำให้คนลืมปัญหาของพวกเขาไปจนหมด


       ผู้นำตระกูลเมิ่งรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของบุตรชายของเขา ดังนั้นเมื่อทั้งสองเสร็จสิ้นการทักทายกันแล้ว เขาจึงขอให้ หลิน ชูจิ่วนั่งลงทันที หลังจากแนะนำทั้งสองอย่างสั้น ๆ แล้วผู้นำตระกูลเมิ่งก็พูดขึ้น“ซิวเหยียน เสี่ยวหวางเฟยได้ยินเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเจ้าและมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเจ้าด้วยตนเอง เจ้าช่วยให้เสี่ยวหวางเฟยดูอาการของเจ้าได้หรือไม่?”


       ในขณะนี้หลิน ชูจิ่ว อยู่ห่างจากเมิ่ง ซิวเหยียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


       เธออยู่ที่นี่นานมากแล้ว แต่ระบบการแพทย์ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนใดๆ เห็นได้ชัดว่าเมิ่ง ซิวเหยียน ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ


       ชายหนุ่มคนนี้ไม่สนใจว่าเขาจะไม่สามารถพูดได้เลยหรือ หรือเขาไม่เชื่อในตัวเธอ


       สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของหลิน ชูจิ่วนั้นชัดเจนมาก แต่เมิ่ง ซิวเหยียน ก็แสร้งทำเป็นว่าเขามองไม่เห็นมัน


       ภรรยาของเสี่ยวหวางเย่เป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ นางไม่กลัวที่จะถูกเสี่ยวหวางเย่ฆ่าโดยไม่มีแม้แต่ชิ้นส่วนใดๆ ของร่างกายหลงเหลืออยู่เลยหรือ


       เมิ่ง ซิวเหยียนส่ายหัว แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความมีน้ำใจของบิดา เขาเข้าไปใกล้ หลิน ชูจิ่วเองแล้วพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อที่จะให้นางได้จับชีพจรของเขา


       เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเมิ่ง ซิวเหยียน หลิน ชูจิ่วก็แทบจะน้ำตาไหล เธอต้องการจะบอกอีกฝ่ายว่าเธอจะสามารถวินิจฉัยโรคของเขาด้วยการตรวจชีพจรของเขาได้อย่างไร? 

 

 


ตอนที่ 275.2

 

“ โรคของท่านไม่จำเป็นที่ข้าจะต้องตรวจชีพจร” คำพูดของเธออาจไม่น่าเชื่อถือเพราะอายุของเธอ อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอบอกว่าเธอจะไม่ตรวจชีพจรของเขาโดยตรง ผู้นำตระกูลเมิ่ง อาจจะคิดว่าเธอไม่ใช่หมออย่างแท้จริง


       หลิน ชูจิ่วขอให้เมิ่ง ซิวเหยียน เอามือของเขากลับไป จากนั้นเธอก็วางกล่องยาของเธอลงไปบนโต๊ะ เธอเปิดมันออกและเอาอุปกรณ์การแพทย์ของเธอออกมาทีละอย่างจนสุดท้ายเธอก็ใส่หน้ากากและถุงมือ


       หลิน ชูจิ่วดูคล่องแคล่วมาก เพียงแค่มองครั้งเดียว ผู้คนจะรู้ว่าเธอทำมาแล้วหลายครั้ง


“อ้าปาก” หลิน ชูจิ่วยืนอยู่หน้าเมิ่ง ซิวเหยียน ในขณะที่กำลังถือไม้กดลิ้นและไฟฉายขนาดเล็ก เธอต้องการตรวจสอบลำคอของเขา


       ในฐานะคนที่ได้รับการตรวจสอบจากหมอที่มีชื่อเสียงหลายคนมาตลอดทั้งปี เมิ่ง ซิวเหยียน ก็รู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่ หลิน ชูจิ่วต้องการจะทำ ดังนั้นเขาจึงร่วมมือกับนาง


       หลิน ชูจิ่วต้องยอมรับว่าปากของชายหนุ่มคนนี้ช่างน่าทึ่งเหมือนเขา แต่น่าเสียดายที่หลิน ชูจิ่วไม่มีเวลาเพลิดเพลินกับมัน


       หลังจากตรวจสอบแล้ว หลิน ชูจิ่วก็สัมผัสกับลำคอของเมิ่ง ซิวเหยียนต่อ เธอกดนิ้วมือของเธอลงไปที่คอของเขา บางครั้งนิ้วมือของเธอจะกดลงไปตรงลูกกระเดือกของเขา


       สำหรับผู้ชายลูกกระเดือกเป็นจุดที่ค่อนข้างบอบบาง ดังนั้นผู้หญิงคนหนึ่งยื่นมือออกมาสัมผัสที่คอของผู้ชายเป็นสิ่งที่ดูคลุมเครือเป็นอย่างมาก ถ้าใบหน้าของ หลิน ชูจิ่วไม่ได้ดูจริงจัง ผู้นำตระกูลเมิ่งคงจะผลัก หลิน ชูจิ่วออกไปจากตัวบุตรชายของเขาแล้ว


       เมื่อ หลิน ชูจิ่วเริ่มทำงาน เธอจะอุทิศความสนใจทั้งหมดของเธอให้กับมัน ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอไม่สนใจโลกภายนอก นับประสาอะไรกับการที่จะมาคิดว่าเธอทำอะไรผิดหรือไม่


       เมิ่ง ซิวเหยียนไม่ได้เป็นคนใบ้ เขามีปัญหาตรงลำคอของเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นจะผิดตรงไหนที่จะตรวจสอบว่าลำคอของเขามีปัญหาหรือไม่


       เพื่อยืนยันความสงสัยของเธอ หลิน ชูจิ่วจึงก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง ตอนนี้พวกเขาก็แทบจะไม่มีระยะห่างระหว่างกันแล้ว


       หญิงสาวที่งดงามยืนอยู่ระหว่างขาของเขาและมองเขาอย่างตั้งใจ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ในสายตาที่ชัดเจนของนาง นิ้วเรียวของนางจับอยู่ที่ลำคอของเขา นิ้วที่เยือกเย็นเล็กน้อยของนางซึ่งแยกออกจากเสื้อผ้าเนื้อบาง ๆ กำลังวกไปวนมา เมิ่ง ซิวเหยียน ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาจากร่างกายของ หลิน ชูจิ่ว หากเขาจะยื่นมือออกไป เขาจะสามารถพาคนผู้นี้เข้ามาในอ้อมแขนของเขาได้ในทันที


       เมิ่ง ซิวเหยียนเป็นคนที่มีใจบริสุทธิ์มาโดยตลอด แต่ในกรณีนี้วิญญาณอันบริสุทธิ์ของเขาก็ถูกเขย่าอย่างแรง ไม่ต้องพูดถึงเขาเป็นเพียงผู้ชาธรรมดาเท่านั้น


       เมิ่ง ซิวเหยียนที่ไม่เคยสนิทสนมกับผู้หญิงมาก่อนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย หูของเขาแดงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขากลับไม่รู้ตัว และลมหายใจของเขาก็ค่อยๆหนักหน่วงขึ้น


       โชคดีที่อีกสองคนในห้องโถงใหญ่นั้นอยู่ในความวุ่นวาย บิดาของเขากังวลอย่างมากกับผลลัพธ์ที่จะได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สังเกตเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติของเขา


       เมิ่ง ซิวเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และท่องบท“คาถาจิตบริสุทธิ์” เพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง


       หลังจากนั้นไม่นาน หลิน ชูจิ่วก็ถอยกลับไปหนึ่งก้าว


       เมิ่ง ซิวเหยียนถอนหายใจออกมาด้วยโล่งอก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาค้นพบว่าการตรวจสภาพร่างกายอาจทำให้ผู้คนลำบากได้


“เสี่ยวหวาวเฟย ซิวเหยียนเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้นำตระกูลเมิ่งมองไปที่หลินชูจิ่วด้วยความหวัง ในขณะที่เขารอคำตอบของนาง แม้ว่าหลิน ชูจิ่วจะยังเด็ก แต่ผู้นำตระกูลเมิ่งก็ยังมีความหวัง


       คำว่า ‘เสี่ยวหวางเฟย’ นั้นเป็นเหมือนแอ่งน้ำเย็นที่สงบจิตใจของเมิ่ง ซิวเหยียนลง ใบหน้าของเขาก็ซีดลงเล็กน้อย


       จริง ๆ แล้วเขาลืมไปเลยว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาแต่งงานแล้ว เขาเกือบเป็นหมดสติไปเนื่องจากความกังวล


“มันแย่อยู่ไม่น้อย” แม้ว่าจะไม่มีฟิล์มเอ็กซเรย์ เธอก็มีระบบการแพทย์อยู่ด้วย หลิน ชูจิ่วได้ยืนยันสภาพของเมิ่ง ซิวเหยียนแล้ว ก่อนจะพูดขึ้น “แต่ข้าสามารถรักษาท่านได้ เพียงแค่ว่าท่านต้องกล้าที่จะเห็นด้วยกับการรักษาของข้า”


       เมื่อได้ยินคำพูดของหลิน ชูจิ่ว ผู้นำตระกูลเมิ่งก็รู้สึกหมดหวัง เมิ่ง ซิวเหยียน กลับสงบมาก เขาไม่ได้คาดหวังอะไรแม้แต่น้อย แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลิน ชูจิ่ว ดวงตาของเขาช่วยไม่ได้ที่จะส่องแสงสดใสขึ้น …


       เขามีหวังที่จะยังพูดได้!

 

 

 


ตอนที่ 276.1

 

   ตราบใดที่เขายังสามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้เมิ่ง ซิวเหยียน ก็ไม่คิดว่าเขาจะไม่กล้าลองทำอะไร


       เสี่ยวหวางเฟย โปรดพูดมาเถอะ……


       เป็นครั้งแรกที่เมิ่ง ซิวเหยียน ทำท่าทางด้วยมือต่อหน้าผู้อื่น และท่าทางเหล่านั้น หลิน ชูจิ่ว ก็เข้าใจทันที


       เธอรู้ภาษามืออยู่บ้างเล็กน้อย


“ท่านมีเนื้องอกในลำคอของท่าน ดังนั้นเราจำเป็นต้องเปิดรูเล็ก ๆ ในลำคอของท่านและเอาเนื้อข้างในออก” หลิน ชูจิ่วพูดถึงแผนการรักษาขึ้นเพื่อให้พ่อและบุตรชายสามารถตัดสินใจได้


       เมื่อผู้นำตระกูล ได้ยินวิธีนี้เขาก็ไม่แปลกใจ เขาขมวดคิ้วและถามขึ้น“ เสี่ยวหวังเฟย ท่านมีความเข้าใจกับวิธีการนี้มากแค่ไหน? ความจริงแล้วหมออีกคนหนึ่งเคยเสนอการรักษาแบบนี้ แต่เขาไม่สามารถรับประกันความสำเร็จของการรักษาและไม่สามารถรับประกันชีวิตของซิวเหยียนได้” ถ้าชีวิตคือการแลกเปลี่ยนเพื่อให้บุตรชายของเขาพูดได้ ผู้นำตระกูลเมิ่งก็จะไม่เห็นด้วยอีกต่อไป


“ผู้นำตระกูลเมิ่ง ถ้าท่านจะไม่คิดมาก โปรดเรียกข้าว่าชูจิ่วก็พอ” บอกตามตรง หลิน ชูจิ่วไม่คุ้นเคยกับการถูกเรียกว่าเสี่ยวหวางเฟย มาก่อน ทุกครั้งที่เธอได้ยินใครบางคนเรียกเธอแบบนั้น หลิน ชูจิ่วจะนึกถึงเสี่ยวเทียนเหยา และยังตอกย้ำว่าเธอเป็นแค่เครื่องประดับของเขา


       แม้ว่าผู้หญิงจะเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้นในยุคนี้ แต่ก็เธอยังรู้สึกไม่สบายใจเมื่อใดก็ตามที่เธอยิน


“เช่นนี้ข้าก็จะเรียกเจ้าว่าชูจิ่ว” อายุของผู้นำตระกูลเมิ่ง ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นเหมือนบิดาของหลิน ชูจิ่ว และด้วยตัวตนของเขา เขาไม่ได้รู้สึกลำบากใจที่จะเรียกนางด้วยชื่อของนาง


       หลิน ชูจิ่ว พยักหน้าด้วยรอยยิ้มและตอบสองพ่อลูกขึ้น“ เนื้องอกที่เติบโตอยู่ในลำคอของบุตรชายของท่านเชื่อมต่อโดยตรงกับลำคอของเขา ถ้าเราจะตัดมันออกก็จะมีความเสี่ยง แต่ข้าสามารถรับประกันได้ 80% ว่าบุตรชายของท่านจะไม่ตายในระหว่างกระบวนการรักษา สำหรับเรื่องที่ว่าเขาจะสามารถพูดได้หลังจากนั้นหรือไม่ ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ถ้ามีอาการอื่น ๆ เราก็สามารถรักษาต่อไปได้”


       เมื่อ หลิน ชูจิ่ว พูดจบและมองดูใบหน้าพ่อและบุตรชายที่สง่างาม เธอก็พูดขึ้นอีก“คุณชายเมิ่ง ท่านเคยสังเกตไหมว่ายิ่งท่านทานอาหารเป็นเวลานานหรือมื้อใหญ่ๆ ท่านจะรู้สึกเหมือนไม่สามารถหายใจได้หรือรู้สึกว่าเจ็บคอ”


       ดวงตาของเมิ่ง ซิวเหยียน สั่นขึ้น ก่อนจะพยักหน้า……


       เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงและเขาก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน


       ด้วยการยืนยันของเมิ่ง ซิวเหยียน หลิน ชูจิ่ว จึงพูดถึงสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากขึ้น“ แม้ว่าท่านจะไม่ได้มีความพิการทางสมอง แต่เนื้องอกในลำคอของท่านก็จะต้องถูกตัดออก มิฉะนั้นยิ่งปล่อยให้มันเติบโตนานเท่าไหร่ชีวิตของคุณชายเมิ่ง ก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากการหายใจที่ลำบากมากขึ้น”


       เมื่อผู้นำตระกูลเมิ่ง ได้ยินว่าเป็นอันตรายถึงชีวิต ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก“ นี่เป็นเพียงวิธีเดียวหรือ ไม่มีวิธีที่ปลอดภัยกว่านี้อีกแล้วหรือ”


“ข้ารู้เพียงวิธีนี้เท่านั้น” เธอเป็นแพทย์ตะวันตก แพทย์ตะวันตกใช้การผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหา มันไม่สามารถละลายได้หรือ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะละลายเนื้องอกด้วยยา


“ เรื่องนี่……” ผู้นำตระกูลเมิ่งดูอึดอัดใจเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร


       คนจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลังจากที่ลำคอของเขาถูกผ่าได้หรือไม่?


       แม้ว่า หลิน ชูจิ่ว จะบอกว่ามีโอกาส 80% ที่จะประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยง


       เมิ่ง ซิวเหยียน ไม่เพียง แต่เป็นบุตรชายคนโตของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาอีกด้วย ทายาทคนเดียวของตระกูลเมิ่ง หากเมิ่ง ซิวเหยียน เสียชีวิตตระกูลเมิ่ง ก็จะจบสิ้นไปอย่างสมบูรณ์


       หลิน ชูจิ่ว ยังเข้าใจถึงความกังวลของผู้นำตระกูลเมิ่ง ดังนั้นเธอจึงพูดอย่างรอบคอบขึ้น“ท่านผู้นำตระกูลเมิ่งและคุณชายเมิ่ง พวกท่านสามารถคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนได้ อาการเจ็บป่วยของคุณชายเมิ่ง นั้นไม่เร่งด่วน ท่านสามารถมาพบข้าได้อีกครั้งเมื่อท่านตัดสินใจแล้ว ท่านเห็นว่าอย่างไร”


       ระบบการแพทย์ไม่ต้องการให้เธอรักษาเมิ่ง ซิวเหยียน อาการป่วยของ เมิ่ง ซิวเหยียน ไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่กังวล


“ข้าคงต้องรบกวนเจ้าอีกครั้งแล้ว” ผู้นำตระกูลเมิ่งพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษ หลิน ชูจิ่ว ไม่สนใจ ก่อนจะโบกมือขึ้น“ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ”

 

 

 


ตอนที่ 276.2

 

 หลิน ชูจิ่ว ถอดหน้ากากและถุงมือออก จากนั้นเธอก็นำมันกลับเข้าไปในกล่องยา เธอหยิบขวดยาสองขวดออกมาจากข้างในแล้วส่งไปให้เมิ่ง ซิวเหยียน “ ถ้าข้าเดาไม่ผิดลำคอของคุณชายเมิ่ง คงจะมีอาการเจ็บปวดมากเมื่อไม่นานมานี้ ยาเหล่านี้สำหรับท่านมันจะเป็นประโยชน์ ยาขวดนี้ท่านสามารถดื่มได้อย่างน้อย 1/5 ของมันในทุกเช้าเมื่อท่านตื่นขึ้นมา ส่วนยาขวดนี้จะต้องทานหลังมื้ออาหารหนึ่งชั่วยาม ครั้งละสองเม็ด มันสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ชั่วคราว”


       เมิ่ง ซิวเหยียน พยักหน้าและขอบคุณ หลิน ชูจิ่ว สำหรับยา ผู้นำตระกูลเมิ่งมองดูลูกชายด้วยความกังวล“ซิวเหยียน ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าลำคอของเจ้ามีอาการเจ็บปวด”


       เมิ่ง ซิวเหยียน ส่ายหัวเบา ๆ แสดงว่าเขาสบายดี


       ไม่เป็นไรหรือ


       การอักเสบที่คอของเขารุนแรงมากจนเขากลืนอะไรไม่ลง แต่เขาบอกว่ามันไม่เป็นไรหรือ?


       หลิน ชูจิ่ว หันมามองเมิ่ง ซิวเหยียน เธอมองเขาพร้อมกับบอกว่าเธอรู้ถึงสภาพที่แท้จริงของเขา แต่เมิ่ง ซิวเหยียน ก็ไม่ได้พูดอะไร รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่ลดแม้แต่นิดเดียว


       หลิน ชูจิ่ว ไม่มีความตั้งใจที่จะไปแทรกแซงชีวิตของผู้คน เมื่อเธอตรวจสอบสภาพของเมิ่ง ซิวเหยียน เสร็จแล้วเธอก็ขอตัวกลับ


       หลิน ชูจิ่ว ไม่สะดวกที่จะอยู่นาน อย่างไรก็ตาม ไม่มีหญิงรับใช้อยู่ในจวนของพวกเขา ดังนั้นผู้นำตระกูลเมิ่งจึงต้องการไปส่ง หลิน ชูจิ่ว ด้วยตัวเอง แต่เมิ่ง ซิวเหยียน ก็ลุกขึ้นและทำท่าทางด้วยมือ ในขณะเดียวกันเขาก็ถือกล่องยาของ หลิน ชูจิ่ว ขึ้นมาอย่างสง่างาม


“คุณชายเมิ้งสุภาพเกินไปแล้ว” หลิน ชูจิ่ว ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของเขา ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับเมิ่ง ซิวเหยียน


       เมิ่ง ซิวเหยียน เป็นคนมีน้ำใจมาก เขานึกถึงการก้าวเดินที่ไม่ยาวของหลิน ชูจิ่ว ก่อนจะเดินให้ช้าลงกว่าปกติ มันเป็นเพียงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มันก็สามารถทำให้คนมีความสุขได้


       เมิ่ง ซิวเหยียน เดินมาพร้อมกับ หลิน ชูจิ่ว ตลอดทางจนถึงรถม้าและเฝ้ามองในขณะที่นางจากไป จนกว่าจะไม่เห็นร่างของอีกฝ่ายอีกต่อไป เมื่อ เมิ่ง ซิวเหยียน เดินกลับไป เขาก็ไม่รีบร้อนอะไร เขาเดินอย่างสบาย ๆ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความสง่างาม


“ซิวเหยียน เจ้าคิดยังไง?” เมื่อหลิน ชูจิ่วจากไปแล้ว ผู้นำตระกูลเมิ่งก็ถามขึ้นโดยตรง


       เมิ่ง ซิวเหยียน ยิ้มและเขียนคำว่า “โม่”


“เจ้าหมายถึงหมอเทวดาโม่จะทำการเคลื่อนไหวหรือ?” พวกเขาเป็นบิดาและบุตร และหลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันกับเมิ่ง ซิวเหยียน มาตั้งแต่แรกเกิดเขาก็รู้ว่าบุตรชายของเขาคิดอย่างไร


       เมิ่ง ซิวเหยียน พยักหน้าและเขียนคำอีกคำว่า “รอ” บนโต๊ะ


       รอหรือ รอให้หมอเทวดาโม่มาที่ประตูจวนของพวกเขา อย่างไรก็ตาม หมอเทวดาโม่ก็เต็มไปด้วยความกังวลมากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ เพราะพอตกถึงตอนกลางคืนเขาก็มาเคาะประตูจวนพร้อมกับคนของทางการ


       เนื่องจากการเตือนล่วงหน้าของเมิ่ง ซิวเหยียน ผู้นำตระกูลเมิ่งจึงไม่แปลกใจเมื่อเขาเห็นหมอเทวดาโม่ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เปิดเผยมันออกมาบนพื้นผิวหน้าของเขา เขาแสร้งทำเป็นประหลาดใจ“ ท่านหมอเทวดาโม่มาเยี่ยมยามดึกเช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่าท่านประสงค์สิ่งใด”


“ ทุกวันนี้ ข้าคิดถึงแต่ความเจ็บป่วยของคุณชายเมิ่ง ข้าไม่สามารถกินหรือนอนหลับได้ ข้าเป็นกังวลมาก ข้าจึงขอให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้มาพร้อมกับข้า ข้าไม่ทราบว่าจะสามารถพบและตรวจดูสภาพของคุณชายเมิ่งได้หรือไม่” หมอเทวดาโม่บอกว่าเขาเป็นกังวลมาก แต่มันก็ไม่ได้สะท้อนอยู่บนใบหน้าของเขา ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายมาเยี่ยมก่อน แต่ผู้คนก็ไม่รู้สึกว่าเขามีความกังวลอยู่แม้แต่น้อย


       ผู้คนสามารถพูดได้ว่าด้วยอายุและชื่อเสียงของหมอเทวดาโม่ เขามีความน่าเชื่อถือมากกว่า หลิน ชูจิ่ว แต่ …


       เมื่อผู้นำตระกูลเมิ่ง นึกถึงความคิดของบุตรชายของเขา เขาก็ถอนหายใจขึ้นมาแทน “ท่านหมอเทวดาโม่คงต้องพบกับความผิดหวังเสียแล้ว ซิวเหยียนได้รับข้อความจากเพื่อนของเขาเมื่อเย็นนี้และออกไปข้างนอกแล้ว เขายังไม่กลับมาเลย”


“คุณชายเมิ่งไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ” ใบหน้าของหมอเทวดาโม่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ด้วยรูปแบบที่ไม่สามารถบรรยายได้……


       คนที่มีสายตาที่ฉลาดสามารถมองเห็นได้ว่าบิดาและบุตรชายคู่นี้ กำลังทำสิ่งนี้โดยเจตนา!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม