Princess Medical Doctor องค์หญิงแพทย์ผู้เชียวชาญ 271.1-273.2

ตอนที่ 271.1

 

  ผู้ป่วยมีความสำคัญมาก แต่……คนที่รออยู่นั้นก็มีความสำคัญมากกว่า หลิน ชูจิ่วไม่ต้องคิดถึงสองครั้ง ก่อนที่จะไปดูเสี่ยวเทียนเหยาก่อน


       ทารกที่เป็นโรคปอดบวมได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมแล้ว เธอแค่อยากจะไปดูอาการเขาก็เท่านั้น เธอสามารถไปดูอาการของเขาได้ในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้หรือในช่วงบ่ายได้ ดังนั้นเธอจึงจะไปดูเสี่ยวเทียนเหยาก่อน จากนั้นเธอก็จะบอกว่าเธอต้องไปดูทารกอีกที


       หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหันหลังกลับและวิ่งไปที่ห้องโถงใหญ่


“ หวางเฟย หวางเฟย……” เมื่อผู้ดูแลโรงหมอเห็นหลิน ชูจิ่ว วิ่งเขาก็ไล่ตามหลังนางไปอย่างรวดเร็วและตะโกนขึ้น แต่เขาไม่ได้รับการตอบกลับจากหลิน ชูจิ่วแต่อย่างใด


“ โอ้…” ผู้ดูแลโรงหมอตบต้นขาของเขา ก่อนจะพูดขึ้น“ หวางเฟยยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าของนางด้วยซ้ำ มันทั้งเต็มไปด้วยเลือด”


       หลิน ชูจิ่ว ดีใจมากจนถึงจุดที่ว่าเธอลืมไปเลยว่าเธอเพิ่งจะออกมาจากห้องผ่าตัด เสื้อผ้าของเธอมีทั้งเหงื่อและเลือดเต็มไปหมด เมื่อเธอวิ่งไปหาเสี่ยวเทียนเหยาใบหน้าของเสี่ยวเทียนเหยาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและคว้าแขนของหลิน ชูจิ่วเอาไว้”เกิดอะไรขึ้น”


“เจ็บ…ปล่อยข้าก่อน” หลิน ชูจิ่ว ผลักมือของเสี่ยวเทียนเหยาออกทันที เมื่อเธอเห็นสายตาของเขาที่จ้องมองมาที่หน้าอกที่เปื้อนเลือดของเธอ เธอก็ตบหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้และพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญตัวเองขึ้น“ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ข้าแค่ลืมเปลี่ยนเสื้อผ้า”


“ มันไม่ใช่เลือดของเจ้าหรอกหรือ?” เสี่ยวเทียนเหยารู้สึกเป็นกังวลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขาเห็นว่าหลิน ชูจิ่วยังดูมีชีวิตชีวาดีอยู่ เสี่ยวเทียนเหยาก็เข้าใจทันทีว่าเขาถูกหลอกแล้ว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำ ก่อนจะหันหลังกลับไปนั่งลงตามเดิม


       ผู้หญิงโง่ ทำให้เขาเป็นกังวล


       หลิน ชูจิ่ว ไล่ตามเขาและพูดขึ้น“ ท่านโกรธหรือ?”


“เปล่า!”


       ใบหน้าของเขาดูดำมืด ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเขาโกรธ


       อย่างไรก็ตาม หลิน ชูจิ่วไม่กล้าพูดออกมาดัง ๆ ว่าสัญชาตญาณของเธอกำลังบอกเธอเช่นนั้น เธอรู้ว่าถ้าเธอกล้าที่จะพูดคำเหล่านั้นออกไป เสี่ยวเทียนเหยา จะโกรธมากขึ้น


       หลิน ชูจิ่วไม่ได้ลากตัวเองให้ไปพบกับปัญหาเหล่านั้น เธอจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อขึ้นทันที“ หวางเย่ ทำไมท่านถึงมาที่โรงหมอได้? ท่านต้องการอะไรหรือไม่”


“ไม่มีอะไร มันเป็นแค่ทางผ่านของเปิ่นหวาง” หลิน ชูจิ่วไม่ได้สังเกตว่าใบหน้าของเสี่ยวเทียนเหยานั้นเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นอีก


“ทางผ่าน?” หลิน ชูจิ่วกะพริบตาแล้วพูดขึ้น “ หวางเย่ ไม่ใช่ว่าท่านไปที่วังหลวงตั้งแต่เช้าแล้วหรือ?” จากวังหลวงถึงโรงหมอไม่มีระยะทางที่จะผ่านไปได้เลยไม่ใช่หรือ?


       ท่านช่วยหยุดแสดงท่าทีที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ได้หรือไม่ และยอมรับว่าท่านมาหาข้า


“เปิ่นหวางมาพบซู่ฉา” เสี่ยวเทียนเหยาพูดด้วยใบหน้าที่สงบมาก เขาดูเหมือนจะไม่ได้โกหกหรือรู้สึกอึดดัดแต่อย่างใด เขามองหลิน ชูจิ่วตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดขึ้น“ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เราจะกลับในทันที”


“ ช้าก่อน ยังมีผู้ป่วยอยู่อีก” หลิน ชูจิ่วดมกลิ่นของตัวเอง เธอยังมีกลิ่นเลือดและยาฆ่าเชื้ออยู่


“เป็นเช่นนั้นหรือ?” ริมฝีปากของเสี่ยวเทียนเหยาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาลุกขึ้น “ไปเถอะ เปิ่นหวางจะไปกับเจ้า” จริง ๆ แล้วนางมาพบเขาก่อนคนไข้ใช่ไหม หลิน ชูจิ่ว ยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง การรอนางนาน ๆ ก็ถือว่ายังคุ้มค่าอยู่


“ไม่ต้อง ท่านเพียงแค่รอข้าอยู่ที่นี่ก่อน แล้วข้าจะรีบกลับมา” หลิน ชูจิ่วส่ายหัวแล้วปฏิเสธ แต่เสี่ยวเทียนเหยา เป็นคนที่กินการปฏิเสธเป็นหรือ?


       เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่


“ไปกันเถอะ” เสี่ยวเทียนเหยาย้ำขึ้นอีกครั้งแล้วออกเดินไปกับหลิน ชูจิ่ว หลิน ชูจิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งตอนนี้เด็กหายขาดแล้ว คงไม่เป็นไรถ้าเสี่ยวเทียนเหยาจะไปกับเธอ


“เขาคือเด็กผู้ชายที่เป็นโรคปอดบวม ดูเหมือนว่าเขาจะอายุเพียงประมาณหนึ่งขวบปี ดูเหมือนว่าเขาจะเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ดี ข้าไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถูกทอดทิ้ง” ระหว่างทางหลิน ชูจิ่วระบุถึงข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวเทียนเหยา อย่างไรก็ตามเสี่ยวเทียนเหยาเพียงแค่ฮัมเพลงและไม่ได้พูดอะไร


       เขาไม่สนใจเด็กผู้ชายคนนั้น เขาแค่อยากจะเดินไปกับหลิน ชูจิ่วเท่านั้น

 

 

 


ตอนที่ 271.2

 

  ลานของโรงหมออีกแห่งมีขนาดเล็กมาก ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงมาถึงที่ที่เด็กทารกอาศัยอยู่ในทันที ข้างในมีเด็กอีกสองสามคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าไอและมีไข้ เด็กคนอื่นๆ ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เมื่อหลิน ชูจิ่ว มาถึง มีเพียงทารกที่เป็นโรคปอดบวมที่กำลังยื่นมือออกมาทันทีเพื่อขอให้เธออุ้ม


(ทารถส่งเสียงอ้อแอ้ให้หลิน ชูจิ่ว) ทารกได้รับการรักษาในทันเวลา ดังนั้นตอนนี้อาการของเขาจึงดีขึ้นมาก มือและเท้าของเขาตอนนี้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างแข็งแรงมากขึ้น ดวงตาสีดำของเขาเต็มไปด้วยความฉลาด


“เจ้าคนฉลาดตัวน้อย ข้าไม่สามารถอุ้มเจ้าได้ในตอนนี้” หลิน ชูจิ่วจับมือของทารถน้อยเอาไว้ ที่เธอไม่ได้อุ้มเขาเพราะเธอยังมีเลือดอยู่กับเสื้อผ้าของเธอ


(ทารถส่งเสียงอ้อแอ้ให้หลิน ชูจิ่วอีกครั้ง) เด็กชายตัวน้อยยิ้มอย่างเต็มที่ เขาคิดว่าหลิน ชูจิ่วกำลังเล่นกับเขาอยู่


       หลิน ชูจิ่ว ตรวจดูอุณหภูมิของทารก เธอถอดเสื้อผ้าของเขาต้องการที่จะฟังเสียงการเต้นของหัวใจและปอดของเขา … …


       หลังจากเปิดเสื้อผ้าของเด็กแล้ว ไฝรูปดอกไม้ขนาดเล็กของทารกก็ถูกเปิดเผยขึ้น หลิน ชูจิ่ว ตรวจสอบสภาพของทารกทุกวัน ดังนั้นเธอจึงไม่เห็นว่ามันแปลกอีกต่อไป แต่……


       นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเทียนเหยาเห็นมัน!


“ ช้าก่อน” การแสดงออกทางสีหน้าของเสี่ยวเทียนเหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาดึงแขนของหลิน ชูจิ่ว ด้วยแรงที่ไม่น้อย เธอจึงโซเซและเกือบจะล้มลงไป“เกิดอะไรขึ้น”


       เสี่ยวเทียนเหยา สังเกตว่าเขาใช้แรงมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วและถามขึ้น“ เปิ่นหวางทำให้เจ้าเจ็บหรือไม่?”


“ ไม่ ข้าเพียงแค่ตกใจ” โชคดีที่ไม่มีอะไรอยู่ภายในมาก มิฉะนั้นด้วยความแข็งแกร่งของเสี่ยวเทียนเหยา ถ้าเธอล้มลงไปคงจะเจ็บมาก


       เสี่ยวเทียนเหยายังไม่คิดที่จะขอโทษ เขาเพียงแค่อธิบายขึ้น“เป็นความเคยชิน” มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่เคยมีผู้หญิงอยู่รอบๆ ตัวเขา


“ข้าจะระวังตัวเองให้มากขึ้นในครั้งต่อไป” ข้าจะอยู่ห่างๆ จากท่าน


“ไม่ เปิ่นหวางจะจำเอาไว้” เสี่ยวเทียนเหยาดูสง่างามในขณะที่เขาให้คำสัญญา อย่างไรก็ตามหลิน ชูจิ่ว หัวเราะและไม่ได้คิดจริงจังอะไร เธอชี้ไปที่ไฝที่มีรูปดอกไม้และถามขึ้น“ไฝมีปัญหาหรือ?”


“ นี่ไม่ใช่ไฝ นี่เป็นตราประจำตระกูล” เสี่ยวเทียนเหยาคุ้นเคยกับตราประจำตระกูลแบบนี้มาก หกเดือนที่แล้วมีใครบางคนกำลังมองหาทารกที่มีตราแบบนี้อย่างบ้าคลั่ง“เขามาจากตระกูลฮวาของอาณาจักรกลาง”


       ครึ่งปีที่ผ่านมาคุณชายน้อยผู้ซึ่งมีอายุยังไม่ถึงสามเดือนถูกขโมย ไม่มีใครพบเขาอีก เพื่อที่จะตามหาเด็กคนนี้ตระกูลฮวาของอาณาจักรกลางได้เดินทางไปทั่วทั้งสี่แคว้น แต่ล้มเหลว


“อะไรนะ?” ทันใดนั้นเสียงของหลิน ชูจิ่ว ก็ดังขึ้น เธอจำได้ว่ายังมีเด็กอยู่ในห้องโถงอีก ดังนั้นเธอจึงลดเสียงของเธอลง“ เขาไม่ใช่เด็กที่ถูกทอดทิ้งหรอกหรือ”


“ไม่ใช่ เขาถูกขโมยมา” เสี่ยวเทียนเหยารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ แต่เขาไม่ได้สนใจ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาพบเด็กคนนี้โดยบังเอิญ เขาก็ไม่สามารถเมินเฉยได้อีกต่อไป


       เขาและตระกูลฮวานั้นมีมิตรภาพต่อกันอยู่เล็กน้อย ตระกูลฮวาค่อนข้างดีไม่น้อย


“ เป็นเช่นนี้ก็ดี!” หลิน ชูจิ่วยิ้มอย่างมีความสุข


“เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ” สิ่งที่ซู่ฉาพูดไว้ถูกต้องแล้วหลิน ชูจิ่วเป็นคนที่มีโชคดีมากทีเดียว


       ในขณะที่ถูกล้อเลียนโดยเสี่ยวเทียนเหยา หลิน ชูจิ่วก็พูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “เราจะแจ้งครอบครัวของเขาเพื่อให้พวกเขามารับเขาหรือไม่”


“แน่นอนที่สุด แต่เราต้องพาเขากลับไปก่อน มันไม่ปลอดภัยที่จะทิ้งเขาไว้ที่นี่” ถ้าคนอื่นค้นพบเด็กทารก มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่


“เด็กคนนี้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เขายังต้องได้รับการรักษา” หลิน ชูจิ่วเป็นห่วง


“เขาจะอยู่ในเสี่ยวหวางฟู่จนกว่าตระกูลฮวาจะมารับ” ในเมืองหลวงของฮ่องเต้ ไม่มีที่ไหนปลอดภัยไปกว่าตำหนักเสี่ยวหวางฟู่อีกแล้ว


“ ดี” หลิน ชูจิ่วไม่มีความคิดเห็นอื่น เธอเป็นผู้รับผิดชอบการรักษาของทารกคนนี้เท่านั้น เสี่ยวเทียนเหยาสามารถจัดการส่วนที่เหลือได้แล้วแต่เขา


       เสี่ยวเทียนเหยาไม่ได้นำทารถไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ ในทันที เขาจัดคนให้ส่งเด็กคนนี้ไปแทน ที่เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้นำเด็กทารถกลับไปด้วยไม่ใช่เพราะมันไม่ปลอดภัย แต่เพราะเขาไม่ต้องการให้เด็กทารถทำลายเวลาของเขากับหลิน ชูจิ่ว……

 

 

 


ตอนที่ 272.1

 

    

       รถม้าที่พวกเขาใช้ในขณะนี้ไม่ใช่รถม้าที่พวกเขา“ ยืม” มาชั่วคราว รถม้าที่พวกเขาใช้คือรถม้าของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ซึ่งไม่เพียง แต่จะสะดวกสบาย แต่ยังกว้างขวางมาก เสี่ยวเทียนเหยา และหลิน ชูจิ่ว สามารถครอบครองแต่ละด้านเอาไว้เป็นของตัวเองได้ และพวกเขายังสามารถนอนได้ถ้าต้องการ


       หลิน ชูจิ่วขึ้นรถม้าเป็นคนแรก จากนิสัยในอดีตของเธอ เธอเลือกที่จะนั่งทางด้านซ้ายในขณะที่เสี่ยวเทียนเหยาอยู่ทางด้านขวา อย่างไรก็ตามเสี่ยวเทียนเหยา ไม่พอใจ หลังจากเข้าไปในรถม้าแล้วเขาก็นั่งข้างๆ หลิน ชูจิ่วแทน


       หลังจากที่มีคนนั่งข้างๆ เธอ พื้นที่ของรถม้าก็ดูเล็กลงและจมูกของเธอก็ถูกบุกรุกโดยกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์และเยือกเย็นของเสี่ยวเทียนเหยา หลิน ชูจิ่ว ขยับไปด้านข้าง แต่หลังจากเธอพบว่าพวกเขายังคงนั่งใกล้กันมาก เธอจึงขยับอีกครั้ง……


       เสี่ยวเทียนเหยาไม่ได้พูดอะไร เขาอยากจะดูว่าหลิน ชูจิ่วจะขยับไปไหนต่อ


       รถม้ามีขนาดใหญ่มากหลิน ชูจิ่ว ขยับไปจนถึงที่สิ้นสุดของรถม้า อย่างไรก็ตามเธอยังคงอยู่ห่างจากเสี่ยวเทียนเหยาเพียงช่วงแขนเท่านั้น หลิน ชูจิ่ว ต้องการขยับอีก แต่ก็ไม่มีพื้นที่เหลือให้ขยับแล้ว


       เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ!


       หลิน ชูจิ่วนั่งอย่างสะดวกสบายและแอบมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา เมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่ได้โกรธ หลิน ชูจิ่วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่……


       มันเร็วเกินไปที่เธอจะมีความสุข!


“ เปิ่นหวางเหนื่อย!” เสี่ยวเทียนเหยา นอนลงและเอนตัวลงไปบนต้นขาของหลิน ชูจิ่วทันที


“ หวางเย่……” หลิน ชูจิ่วตกใจและร่างกายของเธอเริ่มแข็งทื่อขึ้น


“ฮืมม?” เสี่ยวเทียนเหยาเพียงแค่ส่งเสียงขึ้น


“ ถ้า…ถ้าท่านนอนหลับไปเช่นนี้ มันจะไม่สบายตัวเอาได้นะ” คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่หลิน ชูจิ่ว คิด แต่ที่จริงเธอไม่สามารถพูดในสิ่งที่เธอต้องการได้


“อืม” เสี่ยวเทียนเหยายังคงส่งเสียงสั้นๆออกมา เขารู้สึกไม่สบายตัว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว


       อย่างไรก็ตาม ด้วยขาที่ยาวของเสี่ยวเทียนเหยา หลิน ชูจิ่วก็รู้ว่าเขาคงต้องอึดอัดอย่างแน่นอน ในที่สุดแล้วรถม้าคันนี้ก็ไม่กว้างขวางอีกต่อไป เสี่ยวเทียนเหยา ไม่สามารถยืดขาของเขาออกไปได้อีก แต่……


       เสี่ยวเทียนเหยามีความสุขมากที่ได้นอนแบบนี้!


       เสี่ยวเทียนเหยาผ่อนคลายและพักผ่อนอยู่บนต้นขาของหลิน ชูจิ่ว ดวงตาของเขาปิดลงและใบหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายขึ้น เขาดูง่วงนอนจริงๆ


       เมื่อเห็นเสี่ยวเทียนเหยา เป็นเช่นนี้ หลิน ชูจิ่วก็ไม่สามารถผลักเขาออกไปได้ เธอค่อย ๆ ผ่อนคลายร่างกายของเธอเพื่อให้ทั้งสองคนรู้สึกสบายมากขึ้น


       เสี่ยวเทียนเหยาคนที่มักจะเป็นผู้ปกครองกลุ่มคนเสมอมา ดังนั้นเมื่อเขาค้นพบว่าหลิน ชูจิ่วไม่ต่อต้านเขาอีกต่อไป เขาก็พูดขึ้น“เปิ่นหวางรู้สึกปวดหัว”


“ ข้าจะนวดให้ท่าน” หลิน ชูจิ่ว ตอบโต้ขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อเธอรู้ตัวอีกที มือของเธอก็นวดอยู่ที่ขมับของเสี่ยวเทียนเหยาแล้ว ดูเหมือนว่าจะสายเกินไปที่จะดึงมือของเธอกลับมา


       ใบหน้าของหลิน ชูจิ่ว นั้นเต็มไปด้วยเส้นสีดำ จิตใต้สำนึกของเธอนั้นไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ!


       เสี่ยวเทียนเหยาไม่ได้เหนื่อยจริง ๆ เขาแค่อยากให้หลิน ชูจิ่วคุ้นเคยกับการอยู่กับเขา อย่างไรก็ตามเมื่อหลิน ชูจิ่วนวดให้ เขาก็รู้สึกผ่อนคลายและหลับลงอย่างสนิท เขาตื่นขึ้นมาอีกทีก็เมื่อรถม้าหยุดลงแล้ว


       หลิน ชูจิ่วนวดขมับของเสี่ยวเทียเหยา มาตลอดทางจนถึงเสี่ยวหวางฟู่ เธอไม่ได้หยุดเลย เสี่ยวเทียนเหยา ลุกขึ้นและจับมือหลิน ชูจิ่ว จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและถามขึ้น“ปวดหรือ?”


“อืม” น้ำเสียงของหลิน ชูจิ่ว ฟังดูหดหู่เล็กน้อย


       ท่านคิดว่าข้าต้องใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ ท่านยังจำได้ที่จะถามข้าว่ามันปวดหรือไม่ แต่ท่านไม่เคยถามข้าเมื่อข้าต้องนวดจุดฝังเข็มที่ขาของท่าน


“ อย่าทำเช่นนี้อีกในครั้งต่อไป” เสี่ยวเทียนเหยาจับมือของหลิน ชูจิ่ว แล้วบีบนวดนิ้วของเธอเบาๆ  เขาไม่ได้ใช้กำลังภายในที่มากเกินไป แต่หลิน ชูจิ่วก็ยังรู้สึกว่ามีกระแสบางอย่างที่อบอุ่นไหลลงมาจากนิ้วของเสี่ยวเทียนเหยา ซึ่งช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของนิ้วมือของเธอได้ในทันที


“นี่คือกำลังภายในหรือ?” ใบหน้าของหลิน ชูจิ่วประหลาดใจราวกับว่าเธอค้นพบบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์


“ ใช่ เปิ่นหวาง ค้นพบว่ามันมีประโยชน์มาก” เมื่อเสี่ยวเทียนเหยา เห็น ว่าหลิน ชูจิ่ว มีความสุข เขาก็รู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก


“สิ่งนี้มีประโยชน์มากจริง ๆ ” ในเรื่องนี้หลิน ชูจิ่วไม่ได้ปฏิเสธว่ามันมีประโยชน์จริงๆ แต่สิ่งสำคัญคือเสี่ยวเทียนเหยาต้องเต็มใจที่จะใช้มันเพื่อเธอไม่เช่นนั้นมันก็ไร้ประโยชน์!


       ด้านนอกรถม้า ทหารรออยู่นานแล้ว เขาไม่รู้ว่าควรเตือนหวางเย่ ของพวกเขาดีหรือไม่ว่าพวกเขามาถึงนานแล้ว


       มีใครเปลี่ยนสถานที่กับข้าได้บ้าง?


“อะแฮ่ม…” หลังจากรอมานาน เมื่อพวกเขายังไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ว่าจะมีคนออกมา ทหารคุ้มกันก็ข่มความกลัวของเขาเอาไว้และพูดขึ้น“ หวางเย่ หวางเฟย พวกเรามาถึงแล้วขอรับ!”


“ โอ้…” ใบหน้าของหลิน ชูจิ่ว แดงขึ้นและรีบดึงมือของเธอกลับมาอย่างวุ่นวาย


       เธอไม่รู้ว่ารถม้าหยุดลงแล้ว เธอไม่รู้ว่าอยู่ในรถม้านานแค่ไหน มันน่าอายจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 272.2

 

    หลิน ชูจิ่ว ที่ใบหน้าแดงก่ำอยากจะลงไปจากรถม้า แต่เธอพบว่าเสี่ยวเทียนเหยาอยู่ข้างหน้าเธอ เธอจึงเดินออกไปไม่ได้


“ ลงไปจากรถม้าได้แล้ว” หลิน ชูจิ่วผลักเสี่ยวเทียนเหยา เสี่ยวเทียนเหยา ส่ายหัว แต่ในที่สุดเขาก็ลงไปก่อน เขาหันหน้าของเขาและมองที่ทหารคุ้มกัน “ไป!”


“ขอรับ” พวกทหารคุ้มกันต่างก็กลัวและจากไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งหมดหายไปในพริบตา


“ ลงมาได้แล้ว ผู้คนหายไปหมดแล้ว” เสี่ยวเสียนเหยา เอื้อมมือออกไปและช่วยหลิน ชูจิ่วลงมา


“ท่านช่วยเอ่ยเตือนข้าด้วยในครั้งต่อไป มันน่าอัยอายมาก” ไม่มีใครอยู่ข้างนอก ดังนั้นใบหน้าของหลิน ชูจิ่วที่กลายเป็นสีแดงจึงค่อยๆหายไป แต่ในที่สุดเธอก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย


       รถม้าหยุดแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ออกมาเป็นเวลานาน มันยากที่จะอดจินตนาการได้


“น่าอัยอายตรงไหน? เราไม่ได้ทำอะไร” เสี่ยวเทียนเหยาตอบกลับด้วยความมั่นใจ ดังนั้นหลิน ชูจิ่วจึงไม่พูดอะไรอีก……


       ใช่แล้ว พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้นทำไมเธอถึงรู้สึกเขินอาย


       หลังจากเสี่ยวเทียนเหยา ออกจากวังไปแล้ว เขาก็ไปรับหลิน ชูจิ่ว และเขาก็ไม่ได้ปกปิดมันต่อคนอื่น ดังนั้นฮ่องเต้จึงเรียนรู้สิ่งนี้ในไม่ช้า


“ เขาไม่สนใจ แต่เขากลับไปรับนางด้วยตนเอง” ฮ่องเต้ยิ้มอย่างเหยียดหยามขึ้น


       เนื่องจากเสี่ยวเทียนเหยาให้ความสำคัญกับหลิน ชูจิ่วเป็นอย่างมาก สิ่งต่าง ๆ จึงกลายเป็นเรื่องง่าย เสี่ยวเทียนเหนา ไม่มีจุดอ่อน แต่ หลิน ชูจิ่วนั้นเต็มไปด้วยจุดอ่อน


       เขาไม่เชื่อว่าหากหลิน ชูจิ่ว ประสบกับเรื่องที่ไม่คาดคิดอีกครั้ง เสี่ยวเทียนเหยาจะยังคงปล่อยคนเหล่านั้นที่อยู่เบื้องหลังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทังไป  


       เรื่องที่เกี่ยวกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง จะต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ไม่เพียงแต่จะทำพวกเขาสารภาพออกมา แต่ยังทำให้เขารู้สึกสบายใจ เขาจะไม่ยอมให้กองกำลังที่ไม่รู้ที่มาปรากฏตัวอยู่ในแคว้นตะวันออกของเขาอย่างแน่นอน


       เรือนของหลิน ชูจิ่ว นั้นไกลจากเรือนของเสี่ยวเทียนเหยามาก เสี่ยวเทียนเหยา ต้องการไปพร้อมกับหลิน ชูจิ่ว แต่เขาก็ถูกหลิน ชูจิ่วปฏิเสธ “ข้าทำให้ท่านต้องเสียเวลามาตลอดช่วงบ่ายแล้ว ท่านไปเถอะ ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว”


“ อืม” เสี่ยวเทียนเหยาพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือของเขา


       เขามีหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำจริงๆ


       ในห้องหนังสือทั้งหลิวไป๋ และซู่ฉา กำลังรอเขาอยู่ ทั้งสองกำลังพูดถึงแนวหน้า เมื่อเห็นเสี่ยวเทียนเหยา เดินเข้ามาทั้งสองก็ลุกขึ้นยืน“หวางเย่”


“นั่งลง” เสี่ยวเทียนเหยาสั่งให้ทั้งสองนั่งลงได้และถามขึ้นทันที“ เกิดอะไรขึ้น?”


“ มันราบรื่นมาก หมออู๋ทำการตรวจสอบคุณภาพของชุดยาใหม่ด้วยตัวเองและยังบอกว่าคุณภาพดีมาก” ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น หลิวไป๋ มีความสุขมาก


       ในที่สุดปัญหาการขาดแคลนยาในแนวหน้าก็ได้ยุติลง


“ส่งคนไปช่วยตระกูลซุยเกี่ยวกับเรื่องธุระของพวกเขา” ตระกูลซุย ช่วยเขาในการหายาชุดใหม่ ดังนั้นจึงเป็นธรรมชาติที่จะเขาจะตอบแทนความดีความชอบนั้น


“ข้าเข้าใจ” ด้วยคำพูดของเสี่ยวเทียนเหยา ธุระของตระกูลซุย จะกลายเป็นเรื่องง่ายมาก


       หลิวไป๋ รายงานเรื่องอื่น ๆ อีกสองสามเรื่องและต่างก็ไม่มีปัญหาใดๆ พูดง่ายๆ ก็คือธุระล่าสุดของเขาก็จบลงอย่างง่ายดาย


       ไม่ใช่ว่าความแข็งแกร่งของหลิวไป๋นั้นเพิ่มขึ้น แต่เป็นเพราะฮ่องเต้ไม่มีเวลารบกวนพวกเขา เขายุ่งมากในเรื่องที่เกี่ยวกับแนวหน้าและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง เขาไม่มีเวลาจ้องมาที่เรื่องของเสี่ยวเทียนเหยา ไม่มีใครแอบโจมตีพวกเขาอย่างลับๆดังนั้นทุกอย่างจึงราบรื่น


       หลังจากหลิวไป๋ เสร็จสิ้นการรายงานของเขาแล้ว ซู่ฉา ก็พูดขึ้นสั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องของกับโจว เหอและเซี่ยวรุ่ย “ เด็กคนนั้นที่มีนามสกุลโจว เชื่อในตัวหวางเฟย โชคดีที่ข้าไปพร้อมกับหวางเฟยในวันนี้ ไม่เช่นนั้นสิ่งต่าง ๆ จะเป็นเรื่องยากขึ้น” ซู่ฉาพูดสรรเสริญหลิน ชูจิ่ว อย่างไรก็ตามแม้จะไม่มีนางผลลัพธ์ก็จะยังคงเหมือนเดิม


“ ดีมาก” เสี่ยวเทียนเหยาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและตอบด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายมาก จากนั้นเขาก็จากไปราวกับสายลมที่พัดโชย……


       เพียงหนึ่งวันผ่านไป หลังจากคืนที่รุ่มร้อนของพวกเขา แต่ตอนนี้เสี่ยวเทียนเหยาก็กำลังวางริมฝีปากของเขาไว้ข้างหูของหลิน ชูจิ่วและกัดเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ เปิ่นหวางมีประโยชน์มากไหม?”


“ ในด้านใด?” หลิน ชูจิ่วหายใจเข้าลึก ๆ และหยุดการจู่โจมของใครบางคนด้วยมือของเธอ


“ แล้วเปิ่นหวางมีประโยชน์ในด้านใดบ้าง” เสี่ยวเทียเหยากัดหูของหลิน ชูจิ่วอีกครั้ง หลิน ชูจิ่ว งอร่างของเธออย่างงุ่มง่าม“ เบา ๆ ……”


“เบาหรือ? ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอ?”


“ ไม่ ไม่…พอแล้ว”


“อะไรที่บอกว่าพอ เจ้ากำลังบอกว่าเปิ่นหวางดีไม่พออย่างนั้นหรือ?”


“ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น”


“ โกหก เจ้าหมายถึงอะไรที่บอกว่าในบางแง่มุมเปิ่นหวางนั้นมีประโยชน์?”


“ ใช่แล้ว…ในบางแง่มุม ท่านก็มีประโยชน์มาก”


“ เป็นเช่นนั้นหรือ? แล้วเปิ่นหวาง มีประโยชน์ในด้านใดมากที่สุด?”


“ ……” ทำให้ผมข้าแห้งด้วยมือของท่าน


(ตรงประโยคนี้กับตอนต่อไป มันเป็นการกล่าวถึงอีกฉากแล้วตัดกลับไปที่อีกฉากนะคะ)

 

 

 


ตอนที่ 273.1

 


“ เปิ่นหวางพบคุณชายน้อยของตระกูลฮวา” เมื่อเสี่ยวเทียนเหยาทิ้งประโยคนี้ออกไป ซู่ฉาและหลิวไป๋เกือบจะกระโดดขึ้นจากเก้าอี้


       “เสี่ยวเหยา เจ้าพูดว่าอะไรนะ ข้าได้ยินผิดไปหรือไม่ เจ้าพบคุณชายน้อยของตระกูลฮวาหรือ”ใช่ตระกูลฮวาเดียวกันกับที่พวกเขากำลังคิดอยู่หรือไม่


       เสี่ยวเทียนเหยาพยักหน้าเบา ๆ “ เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก มันเป็นคุณชายน้อยที่ตระกูลฮวากำลังตามหาอยู่”


“ เจ้าพบเขาที่ไหน?” ซู่ฉาถามด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไม่เชื่อและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ


       การหายตัวไปของคุณชายน้อยของตระกูลฮวาเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งสี่แคว้น ตระกูลฮวาขอให้ฮ่องเต้ของแต่ละแคว้นทั้งสี่ช่วยพวกเขาตามหาคุณชายน้อยของตน และตราบใดที่พวกเขาค้นพบเขา พวกเขายินดีที่จะตอบแทนบุญคุณนี้อย่างแน่นอน


       ด้วยสิ่งนี้ฮ่องเต้ของทั้งสี่แคว้นจึงใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากเพื่อค้นหาทั่วทั้งสี่แคว้น อย่างไรก็ตาม แม้จะตามหาเป็นเวลานาน พวกเขาก็ไม่สามารถหาแม้แต่เสื้อผ้าของทารกได้


“สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง”เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นง่ายๆ แต่กลับทำให้ซู่ฉารู้สึกมึนงง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถามด้วยเสียงที่เบาขึ้น“ เขาถูกพบโดยหวางเฟยใช่หรือไม่?”นางไม่ใช่มนุษย์


“อืม” เสี่ยวเทียนเหยาดูเฉยชา พวกเขาจึงไม่สามารถรู้สึกถึงร่องรอยแห่งความสุขหรือความโกรธในน้ำเสียงของเขาได้


       ซู่ฉา ส่ายหัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ“ โชคของหวางเฟยช่างต่อต้านสวรรค์จริงๆ”


“อันที่จริงแล้ว มันดีมากจริงๆ…” เสี่ยวเทียนเหยาถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่เหน็บแนม


       ซู่ฉารู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ความสุขที่เขารู้สึกได้ก็จางหายไป“ เทียนเหยา หวางเฟยดีกับเจ้ามาก เจ้าควรปฏิบัติต่อนางให้ดีขึ้นในอนาคต” อย่าหลอกใช้นางอีก


“ตอนนี้เปิ่นหวางก็ดีกับนางมากแล้ว” ทุกคนต่างก็เห็นว่าภรรยาของเขาพอใจกับการกระทำของเขามากแค่ไหน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตามใจนางไปเสียทุกอย่างก็ตาม


“ที่ข้าพูด ไม่ใช่เพียงแต่ผิวเผิน แต่เป็นการปฏิบัติต่อนางอย่างดีจริง ๆ” ในฐานะที่เป็นมือขวาของเสี่ยวเทียนเหยา และเป็นเพื่อนที่ดี เขารู้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา มีหลิน ชูจิ่ว อยู่ในใจของเขาแล้ว เพียงแต่……มันยังเบาบางเกินไป!


“ มันเป็นความจริงที่เปิ่นหวางปฏิบัติต่อนางอย่างดีในตอนนี้” อย่างน้อยที่สุด เมื่อไม่นานมานี้เขาก็ทำ เขาไม่ลังเลซึ่งมันทำให้เขามีความสุข


“ ข้ารู้ว่าเจ้าจริงใจ แต่ยิ่งเจ้าปฏิบัติต่อนางดีมากเท่าไร นางก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ฮ่องเต้ไม่สามารถทำอะไรที่จะทำร้ายเจ้าได้ ดังนั้นเขาจะเริ่มจากคนที่เจ้าห่วงใย” เสี่ยวเทียนเหยาเป็นคนที่ไม่มีจุดอ่อน ฮ่องเต้ไม่เต็มใจที่จะเริ่มต้นโดยตรงกับเขา แต่ตอนนี้ … …


       เสี่ยวเทียนเหยา แสดงความใส่ใจต่อหลิน ชูจิ่ว ต่อหน้าผู้คน นี่เป็นการบอกฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นจุดอ่อนของเขา


“ถ้านางต้องการเป็นผู้หญิงของเปิ่นหวาง นางต้องแบกรับกับผลที่จะตามมา” ใบหน้าของเสี่ยวเทียนเหยาดูเย็นชา เขาไม่รู้สึกว่าเขาทำอะไรผิด“ ในวันนั้นที่นางแต่งงานกับเปิ่นหวาง นางก็ถูกกำหนดให้แบ่งปันชีวิตและความตายกับเปิ่นหวางแล้ว นางไม่สามารถหลบหนีมันได้อีกต่อไป”


“ แต่ หวางเฟยยังเยาว์นัก นางจะสามารถรับมันได้หรือ” ซู่ฉามักจะรู้สึกว่าเสี่ยวเทียนเหยาไม่ควรทำเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วอะไรคือสิ่งที่แตกต่างระหว่างสิ่งนี้กับการที่จะปล่อยให้นางออกไปตายข้างนอก?


       แน่นอนว่ามีความแตกต่าง เสี่ยวเทียนเหยา จะไม่นั่งอยู่เฉยๆ และปล่อยให้ หลิน ชูจิ่วต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด


“ ถ้านางไม่สามารถรับได้ อย่างน้อยก็ต้องปกป้องตัวเองได้” ถ้านางไม่มีกำลังมากพอ นางจะยืนเคียงข้างเขาได้อย่างไร


       เขาสามารถปกป้อง หลิน ชูจิ่ว ได้ แต่เขาไม่สามารถรับประกันชีวิตของนางได้ตลอดไป ด้วยมือของนางเองเท่านั้น นางจึงจะสามารถป้องกันตัวเองได้


       ดวงตาของเสี่ยวเทียนเหยานั้นหนาวเย็นมาก เห็นได้ชัดเขาไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก ซู่ฉาและหลิวไป๋ยังมีสิ่งที่ต้องการจะพูดอีกมาก แต่พวกเขาต้องยอมทนเอาไว้ก่อนในตอนนี้


       หลังจากหลิน ชูจิ่วและเสี่ยวเทียนเหยาแยกทางกัน เธอก็ไม่ยอมให้ใครพากลับไป เธอเลือกที่จะเดินไปที่เรือนคนเดียวอย่างช้าๆ เมื่อถึงจุดนี้สีแดงบนใบหน้าของเธอก็หายไปนานแล้ว ดวงตาของเธอมีเพียงความเหนื่อยล้าเท่านั้น ไม่มีร่องรอยความหอมหวานอยู่อีกต่อไป


       หลิน ชูจิ่ว ยอมรับว่าเธอมีความรู้สึกดีๆ ต่อเสี่ยวเทียนเหยา ผู้ชายที่โหดเหี้ยมอย่างเสี่ยวเทียนเหยา บางครั้งก็อ่อนโยนและรอบคอบ เขาสามารถทำให้ผู้หญิงรู้สึกหมดหนทางอย่างแท้จริง

 

 

 


ตอนที่ 273.2

 

 เอาแต่ใจ, แข็งแกร่ง, อ่อนโยน…สำหรับผู้หญิง ผู้ชายคนนั้นก็เหมือนพิษร้ายแรง ไม่ต้องพูดถึงว่าผู้ชายคนนั้นเป็นสามีของเธอ ดังนั้นการชื่นชอบเขามันจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแค่ว่า …


       แม้ว่าเธอจะกลับมาชอบเขาอีกครั้ง เธอก็ช่วยไม่ได้ที่จะสงสัย


       เสี่ยวเทียนเหยาดีต่อเธอมาก ถ้าจะพูดให้ถูกเมื่อไม่นานมานี้เสี่ยวเทียนเหยาดีกับเธอมาก เธอกลับช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอมักจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น


       บางทีเธออาจจะคิดมากเกินไปหรือบางทีเธออาจจะสงสัยมากเกินไป แต่ความสุขที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่เพียงจะนำความอบอุ่นและความสุขมาให้เธอเท่านั้น แต่ยังมีความประหม่าอีกด้วย


       ก่อนหน้านี้เมื่อเสี่ยวเทียนเหยา ไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง และอยู่กับเธอ เธอสามารถเข้าใจได้ แต่วันนี้เมื่อเขารอเธอเป็นเวลาสองชั่วยามในโรงหมอ มันไม่ใช่ตัวตนปกติของเสี่ยวเทียนเหยา การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเสี่ยวเทียเหยาสามารถให้ความรู้สึกพิเศษแก่ผู้คน


       ในเวลานั้น เสี่ยวเทียนเหยาทำให้สมองของเธอเป็นอัมพาต เธอเพียงแค่รู้สึกซาบซึ้งและมีความสุขเท่านั้น แต่หลังจากนั้น เมื่อเธอคิดถึงมันอย่างถี่ถ้วนเธอรู้สึกเย็นที่หลังของเธอ


“ แน่นอนที่สุด เมื่อผู้หญิงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลายกหลาย เธอก็จะงี่เง่า” หลังจากคิดได้แบบนั้น หลิน ชูจิ่วก็รู้สึกเศร้า เธอจับกระโปรงและถอนหายใจแล้วพูดขึ้น“ ฉันไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้น ด้วยไอคิวของฉัน ฉันคงทำได้เพียงแค่ไหลตามน้ำเท่านั้น”


       หลิน ชูจิ่ว เดินต่อไปอย่างไร้วิญญาณ


       ที่ตระกูลเมิ่ง พวกเขาเข้าใจข้อความของเสี่ยวเทียนเหยาอย่างชัดเจน เขาจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องของเสี่ยวหวางเฟย เสี่ยวหวางเฟยไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงต้องมาด้วยตัวเองเพื่อแนะนำตัว


       การมาครั้งนี้ได้ผ่านการเห็นชอบจากเสี่ยวเทียนเหยาแล้ว ดังนั้นหลิน ชูจิ่ว จึงปฏิเสธไม่ได้ เมื่อเธอได้รับการบอกว่าจะมีแขกคนพิเศษมาขอพบ หลิน ชูจิ่วก็ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าและไปที่หน้าบ้านเพื่อต้อนรับบุคคลผู้นั้น


       แขกที่ว่าก็คือคนจากตระกูลเมิ่งหรือ?


“ ชายชราผู้นี้มาพบเสี่ยวหวางเฟย ยินดีที่ได้พบเสี่ยวหวางเฟย” ผู้นำตระกูลเมิ่งสุภาพมาก เขาไม่กล้าแสดงความหยิ่งยโสเพียงเพราะอายุของหลิน ชูจิ่ว


       อย่างไรก็ตาม หลิน ชูจิ่ว ไม่เข้าใจสิ่งนี้จริงๆ สิ่งที่เธอรู้คือเธอไม่สามารถยอมรับการทักทายของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเธอจึงออกมาหยุดเขาทันที“ ท่านผู้อาวุโส โปรดอย่าทำเช่นนี้ ควรจะเป็นข้าที่ต้องแสดงความเคารพท่าน”


       หลังจากเสร็จสิ้น หลิน ชูจิ่วก็พูดกับผู้นำตระกูลเมิ่งขึ้น “คารวะผู้นำตระกูลเมิ่ง โปรดนั่งลงก่อน”


       ก่อนที่ผู้นำตระกูลเมิ่ง จะมาถึง เขาได้สอบถามถึงลักษณะของหลิน ชูจิ่วมาก่อน ดังนั้นเมื่อเห็นว่าหลิน ชูจิ่วนั้นไม่หยิ่งยโสและไร้ความคิดเหมือนข่าวลือภายนอก เขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนงง อย่างไรก็ตามในที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มาขอความช่วยเหลือจากนาง


       แม้ว่าผู้นำตระกูลเมิ่ง จะไม่เก่งในการสื่อสารกับผู้หญิง แต่เขาก็ไม่กล้าพูดคำหยาบคาย นอกจากนี้ตัวตนของหลิน ชูจิ่ว นั้นก็ไม่ธรรมดา ผู้นำตระกูลเมิ่ง คิดว่าหลิน ชูจิ่ว อาจจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยนางก็น่าจะเข้าใจว่าเขาแสดงความเคารพอย่างเหมาะสมแล้ว


       หลังจากแลกเปลี่ยนคำพูดจบแล้ว ผู้นำตระกูลเมิ่ง ก็อธิบายความตั้งใจของเขา “ข้าได้ยินมาว่าเสี่ยวหวางเฟยมีทักษะในการแพทย์สูง บุตรชายของข้ากำลังทุกข์ทรมานจากโรคภัย ข้าต้องการขอให้เสี่ยวหวางเฟยไปตรวจดูสภาพของเขาจะได้หรือไม่ ”


       หลังจากฟังมานาน หลิน ชูจิ่วก็เรียนรู้ความตั้งใจของอีกฝ่าย ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและถามขึ้น “ข้าขอทราบโรคของบุตรชายท่านได้หรือไม่”


เมื่อผู้นำตระกูลเมิ่ง ได้ยินคำถามของหลิน ชูจิ่ว เขาก็รู้สึกตกตะลึงไปเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เสี่ยวหวางเย่ ไม่ได้พูดอะไรกับเสี่ยวหวางเฟยจริงๆ หรือ?


       เสี่ยวหวางเย่นั้นฉลาดในการคำนวณทุกอย่างมากจริงๆ


       ผู้นำตระกูลเมิ่ง สาปแช่งเขาขึ้นอย่างลับๆ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้แสดงออกบนพื้นผิวหน้าของเขา เขาเพียงแค่พูดอย่างใจเย็นขึ้นแทน“ ความพิการทางสมอง”


“ความพิการทางสมอง? มันเป็นมาแต่กำเนิดหรือไม่?” หลิน ชูจิ่วเป็นกังวลเล็กน้อย มีหลายคนที่เกิดมาพร้อมกับความพิการทางสมอง แต่ก็ยังไม่มีทางรักษา อย่างไรก็ตามผู้ป่วยรายนี้ถูกนำมาตัวโดยเสี่ยวเทียนเหยาเองถึงหน้าประตู ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถปฏิเสธได้โดยตรง มิฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ จะกลายเป็นปัญหา… …

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม