Princess Medical Doctor องค์หญิงแพทย์ผู้เชียวชาญ 262.1-264.2

ตอนที่ 262.1

 

 ถนนไม่ยาวหรือสั้นเกินไป แต่อย่างน้อยมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนสองคนได้พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ และละลายความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นออกไป ดังนั้นทั้งสองจึงสามารถเรียนรู้กันและกันได้มากขึ้น


       หลิน ชูจิ่ว ยอมรับว่าหลังจากพูดคุยกับเสี่ยวเทียนเหยาอย่างใจเย็นแล้วความแค้นของเธอที่มีต่อเขามันก็ไม่ได้ลึกอย่างที่เคยเป็นมาก่อน ความสนใจของชายคนนี้มักจะมาก่อนเสมอ เขามักจะโหดเหี้ยมกับเธอ แต่มันก็เพื่อประโยชน์ของเธอ


       เมื่อรถม้ากำลังจะถึงตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ หลิน ชูจิ่วที่ยังคงโอบกอดแขนของเสี่ยวเทียนเหยาอยู่ ก็พูดด้วยความระมัดระวังน้อยลง เธอกล้าเล่นกับความอดทนของเสี่ยวเทียนเหยา เธอต้องการที่จะรู้ว่าเขาสามารถทนเธอได้มากแค่ไหน


       รถม้าหยุดลง ทหารคุ้มกันและคนรับรถม้าก็พูดขึ้น“ หวางเย่ หวางเฟย เรามาถึงแล้วขอรับ”


       หลิน ชูจิ่ว ต้องการจะลุกขึ้น แต่เธอก็ถูกอุ้มโดยเสี่ยวเทียนเหยา “เปิดประตู”


“หวางเย่ ปล่อยข้า” เธอไม่ต้องการถูกอุ้มเข้าไปในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ มันน่าละอายเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเธอกับเสี่ยวเทียนเหยายังไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้น ไม่ใช่หรือ


“เจ้าปาดเจ็บ” เสี่ยวเทียนเหยาอุ้มนางลงมาจากรถม้าแม้จะมีการประท้วงก็ตาม


“ข้าเจ็บหลัง ไม่ใช่เท้าของข้า ท่านไม่จำเป็นต้องอุ้มข้า ข้าสามารถเดินไปเองได้” หลิน ชูจิ่วโกรธมากจนเธอไม่กล้ามองดูการแสดงออกของหทารคุ้มกัน เธอฝังใบหน้าของเธอลงไปบนไหล่ของเสี่ยวเทียนเหยา โดยแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


       เสี่ยวเทียนเหยา มองหลิน ชูจิ่วที่ซ่อนใบหน้าของนางไว้ที่ไหล่ของเขา และช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาจะไม่บอกนางว่านางไม่จำเป็นต้องซ่อนใบหน้าของนาง เพราะไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังอุ้มนาง


       ทหารคุ้มกันของเขายังไม่กล้ามองเขาตรงๆด้วยซ้ำ


       เสี่ยวเทียนเหยา พาหลิน ชูจิ่วไปจนถึงห้องของเขา หลิน ชูจิ่วผู้ซึ่งกำลังฝังหัวเธอลงไปจึงไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เธอได้ค้นพบเมื่อเสี่ยวเทียนเหยาวางเธอลงแล้วเท่านั้น“ นี่ไม่ใช่ห้องของข้า”


“มันไกลเกินไป แล้วแผลของเจ้าก็ต้องได้รับการดูแลในทันที” เสี่ยวเทียนเหยาให้เหตุผลที่เหมาะสมมาก“เจ้านั่งลงก่อน เปิ่นหวางจะดูแลเจ้าเอง”


“ข้าจะกลับไปที่ห้องของข้าและทานยา” หลิน ชูจิ่วไม่ได้เตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์แบบนี้ มีหลายสิ่งเกิดขึ้นในเย็นนี้ เธอต้องการเวลาคิด


       เสี่ยวเทียนเหยา ขมวดคิ้วและถามขึ้น“เจ้าแน่ใจหรือ?”


“ อืม ข้าแน่ใจมาก” เสี่ยวเทียนเหยานั้นหยิ่งยโสเกินไป นางยังไม่เคยชินกับการอยู่ตามลำพังกับเขา นางเพียงไม่มีทางเลือกอื่นในรถม้า


“ ได้ เปิ่นหวาง จะให้คนไปส่งเจ้า” เสี่ยวเทียนเหยาไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาหันหลังกลับไปและให้คนไปส่งหลิน ชูจิ่วหลับไปที่เรือนของนาง ใบหน้าที่ไม่แยแสของเขาไม่มีร่องรอยของความโกรธ


       หลิน ชูจิ่ว รู้สึกอับอายในขณะนี้ เธอสงสัยว่าเธอทำให้เสี่ยวเทียนเหยารำคาญหรือไม่ ดังนั้นเธอจึงต้องการที่จะเปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามถ้า เสี่ยวเทียนเหยา โกรธเธอก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ เธอไม่สามารถระงับอารมณ์ของเธอที่มีต่อเสี่ยวเทียนเหยา ได้


       ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอได้ระงับความคับข้องใจของเธอในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่มามากพอ แต่ตอนนี้เสี่ยวเทียนเหยา กำลังก้าวถอยหลังให้เธอ แล้วเธอจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้หรือไม่?


       หลิน ชูจิ่ว กลับไปที่เรือนของเธอโดยไม่มีปัญหา เสี่ยวเทียนเหยา ไม่โกรธเธอ


       ในท้ายที่สุด แม้ว่าหลิน ชูจิ่ว จะอยู่ในห้องของเขา แต่เขาก็ไม่มีเวลาอยู่กับนาง สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้เขาโกรธ เขาแสดงตัวของเขาแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังกล้าที่จะลงมือกับหลิน ชูจิ่ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา


       เมื่อเสี่ยวเทียนเหยา มาที่ห้องอักษรเขาก็ได้รับรายงานว่าซู่ฉาและหลิวไป๋กำลังรอเขาอยู่ เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเทียนเหยา มาถึงแล้ว ซู่ฉาก็ถามคำถามขึ้นทันที“ หวางเฟยไม่เป็นไรใช่ไหม?”“


“ อืมมม” เสี่ยวเทียนเหยาไม่พูดอะไรมาก หลังจากนั่งลงไปบนเก้าอี้เขาก็ถามขึ้น”เป็นอย่างไรบ้าง?”


       หลิวไป๋ ก้าวไปข้างหน้าและพูดขึ้น “ที่หอเถียนชาง ไม่มีข่าวเกี่ยวกับผู้คนที่อยู่เบื้องหลังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ข้าก็บอกไม่ได้”


       ซู่ฉากลัวต่อปฏิกิริยาของเสี่ยวเทียนเหยา ดังนั้นเขาจึงพูดเพิ่มเติมขึ้นทันที“ เราไม่พบผู้คนที่อยู่เบื้องหลังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง แต่เราค้นพบว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง มีส่วนเกี่ยวข้องกับหมอเทวดาโม่”

 

 

 


ตอนที่ 262.2

 

    ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือเสี่ยวเทียนเหยา พวกเขาต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง อย่างจริงจัง พวกเขาไม่มีเวลาให้ความสนใจกับกลุ่มเด็กที่ถูกทอดทิ้ง แต่เมื่อรู้เรื่องราวภายในแล้ว ตอนนี้ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น


       เสี่ยวเทียนเหยาให้ซู่ฉา ไปตรวจสอบว่าสิ่งที่ใช้ทดลองยาของหมอเทวดาโม่ มาจากไหน เป็นผลให้พวกเขาพบว่าพวกเขามาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง  


       ซู่ฉายังพบว่ามีเด็กจำนวนมากในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง แต่มีเพียงเด็กที่มีสุขภาพไม่ดีเท่านั้นที่สามารถถูกพบได้โดยผู้คนทั่วไป พวกเขาพบว่าหลังจากได้รับเด็กที่ถูกทอดทิ้งแล้ว สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง จะส่งเด็กที่มีสุขภาพดีไปยังสถานที่ลับ จากนั้นพวกเขาจะจำแนกพวกเขาออกตามคุณสมบัติของพวกเขา


       ซู่ฉาค้นพบว่าหมอเทวดาโม่ได้ซื้อเด็กๆ มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง เพื่อใช้ทดลองยาของเขา ด้วยสิ่งนี้พวกเขายังได้ค้นพบอีกว่าเด็กเหล่านี้ถูกขายไปในหลาย ๆ ทาง เด็ก ๆ ที่มีพละกำลังที่ดีจะได้รับการฝึกฝนให้เป็นนักฆ่า แต่พวกเขาไม่พบว่าใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้


       ผู้คนที่อยู่เบื้องหลังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง นั้นระมัดระวังตัวและรอบคอบมาก


       ศัตรูซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้ตำหนิซู่ฉา สำหรับข้อมูลที่ขาดหายไป เขาเพียงพูดขึ้น“ จงไปเฝ้าดูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง อย่างใกล้ชิด ขัดขวางการเคลื่อนไหวของพวกเขาในการส่งเด็กที่ถูกทอดทิ้งที่มีสุขภาพดีออกไป”


ตราบใดที่เด็กที่ถูกทอดทิ้งที่มีสุขภาพดีไม่ได้ตกไปอยู่ในมือของคนเหล่านั้นที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด บุคคลอื่นจะสูญเสียแหล่งที่มาของสินค้า ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วกิจการของพวกเขาจะล่มสลาย พวกเขาจะเริ่มเป็นกังวล เมื่อพวกเขาเป็นกังวล ย่อมเป็นธรรมชาติที่พวกเขาจะปรากฏตัวออกมา


“ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร” การวางแผนอย่างพิถีพิถันมีเพียงซู่ฉาเท่านั้นที่สามารถทำได้ ซู่ฉาจึงไม่ได้ปฏิเสธ


       หลังจากได้รับงานใหม่ของเขาจากเสี่ยวเทียนเหยาแล้ว ซู่ฉาก็ยังคงรายงานต่อไป“หวางเย่ ตัวตนของเด็กป่วยที่หวางเฟยได้ช่วยชีวิตเอาไว้บนท้องถนนก่อนที่จะไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง นั้นไม่ธรรมดาเลย”


“ ตัวตนของเขาเป็นอย่างไร” เสี่ยวเทียนเหยามักจะปวดหัวทุกครั้งที่หลิน ชูจิ่วสุ่มช่วยคนบนท้องถนน


       เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นปีศาจร้ายที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา แต่เขาแต่งงานกับภรรยาที่มีลักษณะนิสัยที่สูงส่ง พวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมหรือไม่?


“เด็กหนุ่มที่มีอายุมากกว่านั้นถูกเรียกว่าโจว เหอ จากข้อมูลที่เราค้นพบเขาควรเป็นบุตรชายของโจว เจิ้ง อดีตแม่ทัพแห่งแคว้นใต้ น้องชายที่เขาพูดถึงเป็นบุตรชายของฮ่องเต้แห่งแคว้นใต้ องค์หญิงแห่งแคว้นใต้เดินทางมายังแคว้นตะวันออกเพื่อค้นหาพวกเขา”


       ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นใต้ เดิมทีเป็นพี่เขยของฮ่องเต้ แต่เมื่อสามปีก่อน เขาได้ก่อกบฏและล้มล้างตระกูลเซี่ยตระกูลของราชวงศ์และกลายมาเป็นฮ่องเต้เสียเอง เขาสังหารสมาชิกราชวงศ์เซี่ยทุกคน สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือบุตรชายคนสุดท้องของอดีตฮ่องเต้ บุตรชายคนสุดท้องผู้นี้สามารถหลบหนีมาได้ภายใต้การคุ้มครองเสนาบดีผู้ภักดี


       โชคไม่ดีที่เด็กกำลังจะตาย แต่กลับได้รับการช่วยเหลือจากหลิน ชูจิ่ว หากหลิน ชูจิ่วไม่ช่วยเด็กคนนั้น ซู่ฉาก็จะไม่ตรวจสอบเด็กสองคนนั้นและพวกเขาจะไม่รู้จักตัวตนของพวกเขา


       ในตอนนี้เสี่ยวเทียนเหยาไม่รู้ว่าเขาจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี“เหตุใดนางถึงได้สุ่มช่วยคนที่มีแต่ตัวตนที่ไม่ธรรมดา?” เสี่ยวเทียนเหยามั่นใจว่าหลิน ชูจิ่วไม่รู้จักตัวตนของเด็กสองคนนี้อย่างแน่นอน


“หวางเฟยโชคดีมาก” ซู่ฉายังพบว่ามันตลก แคว้นใต้พยายามอย่างหนักที่จะตามหาเด็ก ๆ แต่หลิน ชูจิ่วเพิ่งจะออกไปข้างนอกก็ชนเข้ากับทั้งสองโดยบังเอิญ โชคของนางนั้นขัดต่อสวรรค์จริงๆ


       เสี่ยวเทียนเหยา ส่ายหัวของเขา “ ถ้าเจ้าไม่รู้เจ้าก็สามารถลืมมันไปได้ แต่ในเมื่อตอนนี้เจ้ารู้แล้ว เจ้าก็ควรจะปกป้องเด็กทั้งสองคนนั้น” ในฐานะสายเลือดแห่งราชวงศ์สุดท้ายของแคว้นใต้ แม้ว่าเขาจะยังเด็ก เขาก็สามารถใช้เป็นไพ่เพื่อต่อรองขนาดใหญ่ได้


“ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร” ซู่ฉารู้ถึงความสำคัญของคนสองคนนี้ ตอนนี้พวกเขารู้ถึงตัวตนของพวกเขาแล้ว พวกเขาจึงต้องคอยปกป้องพวกเขาอย่างลับๆ


“ อย่างไรก็ตาม ความโชคดีของหวางเฟย ยังมีที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” ซู่ฉาเปิดปากของเขาอีกครั้ง


       เสี่ยวเทียนเหยา ขมวดคิ้วด้วยความสนใจ“ยังมีอะไรอีก”

 

 

 


ตอนที่ 263.1

 

   ไม่เพียงแต่เสี่ยวเทียนเหยา เท่านั้นที่สงสัยเกี่ยวกับโชคของหลิน ชูจิ่ว แม้แต่หลิวไป๋ก็เช่นเดียวกัน  


       ซู่ฉาไม่ปล่อยให้พวกเขารอเป็นเวลานาน ก่อนจะพูดขึ้น“ เมื่อหวางเฟย ได้ช่วยชีวิตเด็กทั้งสอง บุตรชายของผู้นำตระกูลเมิ่ง เมิ่ง ซิวเหยียน ก็อยู่ที่ถนนถนนจู้เชวี่ยด้วย”


“ เมิ่ง ซิวเหยียนหรือ?” หลิวไป๋ อ้าปากขึ้นด้วยความประหลาดใจ“ จะมีความบังเอิญที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร” โชคนี้ดีมาก


“ นั่นคือเหตุผลที่ข้าพูดว่าหวางเฟยโชคดีมาก” ดวงตาของซู่ฉา ส่องเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย เขาดูมีความสุขมาก


       เสี่ยวเทียนเหยาพยักหน้าขึ้นเบา ๆ “นางโชคดีจริง ๆ ” เขายังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะทำให้ตระกูลเมิ่งสังเกตเห็นพรสวรรค์ทางการแพทย์ของหลิน ชูจิ่ว แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการทำอะไรอีกแล้ว เพราะหลิน ชูจิ่วได้พบกับเมิ่ง ซิวเหยียน แล้ว


       อย่างไรก็ตาม ซู่ฉายังมีข้อกังวลอยู่“ แต่ข้ากลัวว่าตระกูลเมิ่งอาจคิดว่าเราสร้างเหตุการณ์นี้ขึ้นมา”


“ มันไม่สำคัญ เพราะถ้าหลิน ชูจิ่ว ไม่มีความสามารถจริง ๆ ไม่ว่าเราจะสร้างเหตุการณ์นี้ขึ้นมากี่ครั้ง มันก็จะไร้ประโยชน์” ผู้นำตระกูลเมิ่ง ฉลาด แม้ว่าเขาจะสร้างสิ่งต่าง ๆ หรือทำการคำนวณเอาไว้แล้ว ผู้นำตระกูลเมิ่งก็จะ รู้ว่ามันเป็นกับดักหรือไม่


       เช่นเดียวกับสิ่งที่เสี่ยวเทียนเหยาคิด ผู้นำตระกูลเมิ่ง เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่เสี่ยวเทียนเหยาสร้างขึ้นเพื่อถึงความสนใจ แต่เขาก็ไม่รังเกียจมัน เสี่ยวเทียนเหยาอยากพวกเขาเห็นถึงความแข็งแกร่งของหวางเฟยของเขา การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของตระกูลเมิ่งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา


“ เสี่ยวหวางเย่เก่งกาจในการคำนวณจริงๆ” โดยไม่คำนึงถึงวัตถุประสงค์ของเสี่ยวเทียนเหยา พวกเขาก็ได้รู้แล้วว่าเสี่ยวหวางเฟยมีความสามารถทางการแพทย์ และนางก็เป็นคนที่รักษาอาการป่วยของเสี่ยวหวางเย่และความเจ็บป่วยขององค์ชายสามเสี่ยว จื่ออัน ในที่สุดผู้นำตระกูลเมิ่ง ก็ได้เห็นถึงความหวังแล้ว


       เสี่ยวเทียนเหยา สร้างละครเรื่องนี้ขึ้นมา เพียงเพื่อที่จะบอกพวกเขาว่าไม่ใช่แค่หมอเทวดาโม่ เท่านั้นที่เป็นเพียงความหวังของพวกเขา


“ซิวเหยียน ถ้าเจ้าไม่เต็มใจที่จะยอมรับการรักษาของหมอเทวดาโม่ แล้วเสี่ยวหวางเฟยเล่า?” ผู้นำตระกูลเมิ่งส่งข้อมูลที่สายลับของเขาได้ค้นพบให้กับบุตรชายของเขา “แต่สิ่งเหล่านี้อาจเป็นความเท็จ ทักษะการแพทย์ของเสี่ยวหวางเฟยนั้นยอดเยี่ยม แต่นางก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าหมอเทวดาโม่”


       เมิ่ง ซิวเหยียน ไม่ตอบในทันที เขาอ่านข้อมูลที่เขียนลงบนกระดาษแทน เขาดูอีกสองถึงสามครั้ง หลังจากอ่านแล้ว เขาก็เขียนเพียงสองคำออกมา: ไม่รีบร้อน!


       ใช่ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน


       เมิ่ง ซิวเหยียน หวังว่าเขาจะพูดได้ แต่เขาก็ไม่รีบร้อน ไม่ว่าจะอย่างไรแม้ว่าเขาจะพูดไม่ได้เขาก็มีชีวิตอยู่อย่างดี เขาพอใจกับชีวิตปัจจุบันของเขา หากบิดามารดาของเขาไม่ยืนกราน เขาจะไม่มาที่แคว้นตะวันออกเพื่อรับการรักษา


       แต่แน่นอนว่ามันจะดีกว่าถ้าเขาจะพูดได้เหมือนคนอื่นๆ อย่างไรก็ตามมันไม่เร่งด่วนหรือไม่จำเป็นอะไร


“ ดี ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะฟังเจ้า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” ผู้นำตระกูลเมิ่ง รู้ว่าเขาไม่สามารถโน้มน้าวบุตรชายของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงจากไป


       เนื่องจาก หลิน ชูจิ่วและเสี่ยวเทียนเหยา มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ความปั่นป่วนจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย ในวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ของราชสำนักและกรมพระคลังจึงถูกเรียกตัวและถูกประณามโดยหาว่าละเลยหน้าที่


       สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง อยู่ภายใต้การบริหารของกรมพระครัง เมื่อเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น หน่วยงานของพวกเขาจึงถูกตำหนิอย่างมาก


       ฮ่องเต้ไม่รู้เหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหลังของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง แม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับกรมพระคลัง แต่เขาก็ไม่พอใจกับหลิน ชูจิ่วและเสี่ยวเทียนเหยามากกว่า  


       ในมุมมองของฮ่องเต้เสี่ยวเทียนเหยาได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่น่าเกลียดของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง เพื่อตีกระทบใบหน้าของเขา


       ฮ่องเต้ตำหนิกรมพระคลัง เขาสั่งให้พวกเขาตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับคดีนี้และลงโทษผู้รับผิดชอบตามกฎหมาย  


       ด้วยคำพูดของฮ่องเต้ เจ้าหน้าที่ของศาลไม่ได้พูดอะไร เหตุการณ์ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง กลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย อาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์นี้ถูกสังเกตเห็นเพราะเสี่ยวเทียนเหยา เข้ามาเกี่ยวข้องเท่านั้น


       หากเสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้ปรากฏตัวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง เหตุการณ์นี้จะถูกลบล้างออกไปโดยเจ้าหน้าที่อย่างเงียบ ๆ และจะไม่ไปถึงหูของฮ่องเต้


       ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง เสบียงอาหารที่ถูกปล้นไปมีความสำคัญมากกว่า

 

 

 


ตอนที่ 263.2

 

    และเมื่อพิจารณาจากรายงานถึงการสู้รบล่าสุด แนวหน้าน่าเป็นห่วงมาก ในเริ่มต้นแม่ทัพซื่อ ได้ใช้กองกำลังของเขาอย่างชาญฉลาดและชนะการต่อสู้มาได้หลายครั้ง เขาไม่ได้โจมตีอย่างบ้าคลั่ง เขาเพียงแต่ต่อสู้อย่างสุขุมรอบคอบ ฮ่องเต้เกือบคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือของเขาแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้ขาของเสี่ยวเทียนเหยา นั้นได้หายขาดแล้ว!


       หลังจากยืนยันข่าวนี้แล้ว ฮ่องเต้ก็สั่งให้แม่ทัพซื่อ โจมตีกองทัพแคว้นเหนือทันทีด้วยกำลังทั้งหมดของเขา เขาจะต้องระวังกองทัพแคว้นเหนือและยุติสงครามให้ได้โดยเร็วที่สุด หากจำเป็นเขาสามารถเสียสละทหาร 300,000 นายที่เดิมเป็นคนของเสี่ยวเทียนเหยาได้ แต่ …


       กองทัพแคว้นเหนือเองก็ได้รับข่าวที่ว่าขาของเสี่ยวเทียนเหยานั้นหายขาดแล้ว กองทัพแคว้นเหนือรู้ดีว่าฮ่องเต้แคว้นตะวันออกเกลียดเสี่ยวเทียนเหยา มากที่สุดและวางแผนที่จะยุติสงครามโดยเร็วที่สุด ดังนั้นเสี่ยวเทียนเหยา จะไม่ได้รับโอกาสที่จะฟื้นฟูอำนาจของเขา


       กองทัพแคว้นเหนือก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับฮ่องเต้แคว้นตะวันออก แต่ก็ยังดำเนินทุกอย่างต่อไป โดยมีความคิดในการยุติสงครามให้ได้โดยเร็วที่สุด กองทัพแคว้นเหนือได้หลอกล่อกองทัพแคว้นตะวันออกมาและนำพวกเขาไปสู่ป่าทึบ


       กองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดจำนวน 200,000 นายของแคว้นตะวันออกได้หายเข้าไปในป่าทึบ แต่ไม่เพียงเท่านั้น เสบียงอาหารสำหรับทัพหน้าก็หายไปเช่นกัน


       กองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดที่หายไปจำนวน 200,000 นายดูเหมือนจะกลายเป็นทหารดั้งเดิมของเสี่ยวเทียนเหยา ภายใต้คำสั่งของแม่ทัพซื่อ พวกเขาได้ไล่ล่ากองทัพแคว้นเหนือเข้าไปในป่าทึบ พวกเขาถูกใช้เป็นเหยื่อและเพื่อโจมตีกองทัพแคว้นเหนือ


       ป่านั้นหนาแน่นและมีเส้นทางที่ซับซ้อน แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะมีชีวิตรอดออกมา แม้ว่ากองทัพจะมีอาหารเพียงพอ แต่มันก็จะอยู่ได้ไม่นาน คนที่มีสมองจะไม่เข้าไปในป่าแห่งนั้น ดังนั้นเมื่อแม่ทัพซื่อได้รู้ว่าทหารและเสบียงอาหาร หายไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากเข้าไปในป่าแล้ว เขาก็รู้ทันทีว่าเขากำลังถูกเล่นงาน


       กองทัพแคว้นเหนือไม่ได้วางแผนเพียงตามลำพัง พวกเขาวางแผนร่วมกับเสี่ยวหวางเย่ ด้วยวิธีนี้เสี่ยวหวางเย่ก็จะสามารถช่วยชีวิตและฟื้นฟูกองทัพที่ทรงพลังของเขากลับมาได้


       ทหารจำนวน 300,000 นายที่เสี่ยวหวางเย่ได้ทำการฝึกฝนด้วยตัวเองอาจกล่าวได้ว่าเป็นกองทัพที่น่ากลัวที่สุดในแคว้นตะวันออก แม้แต่กองทัพแคว้นเหนือ ก็กลัวพวกเขา แต่ตอนนี้ทหารจำนวน 200,000 นายและทหารบาดเจ็บอีก 100,000 นายได้หายไป แม้ว่าแคว้นตะวันออกจะเพิ่มทหารมาอีก 300,000 นาย กองทัพแคว้นเหนือก็จะไม่กลัวพวกเขา


       ความพ่ายแพ้ของกองทัพแคว้นเหนือเป็นที่ประจักษ์ แต่เนื่องจากละครฉากนี้พวกเขาจึงได้รับชัยชนะ ในอีกด้านหนึ่งเนื่องจากความพ่ายแพ้อย่างกะทันหัน ขวัญกำลังใจของทหารแคว้นตะวันออกและคนอื่น ๆ ต่างก็ลดต่ำลง เมื่อรวมกับการสูญเสียเสบียงอาหารจำนวนมาก กองทัพแคว้นตะวันออกก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก


       แม่ทัพซื่อ ได้เขียนจดหมายขึ้นมาทันทีเพื่อรายงานสถานการณ์ในแนวหน้าและเขียนถึงความคิดของเขา ดังนั้นเมื่อฮ่องเต้ได้อ่านรายงานของเขาฮ่องเต้ก็เกือบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธ


       เขาต้องการใช้สงครามนี้เพื่อใช้กองทัพของเสี่ยวเทียนเหยาและหยุดยั้งไม่ให้เขาฟื้นฟูอำนาจทางทหารขึ้นมาได้อีก แต่ตอนนี้ทหารของเสี่ยวเทียนเหยา ได้หายตัวไปในป่า เขาก็รู้ทันทีว่ามันเป็นแผนการของเสี่ยวเทียเหยา  


       เสี่ยวเทียนเหยา ต้องถูกตรวจสอบเพราะเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ภารกิจเร่งด่วนที่สุดคือสงครามระหว่างแคว้นตะวันออกกับแคว้นทางเหนือ แคว้นตะวันออกไม่สามารถแพ้ได้ หรืออาจเป็นไปได้ว่าฮ่องเต้แคว้นตะวันออกไม่สามารถพ่ายแพ้ได้


       ฮ่องเต้มีคำสั่งขึ้นมาทันที ไม่เพียงแต่จะส่งอาหารไปให้แก่แม่ทัพซื่อ เท่านั้น แต่ยังจะส่งทหารและม้าอีกจำนวน 200,000 นายไปด้วย ตอนนี้มีทหารและม้าจำนวน 700,000 อยู่ในมือของแม่ทัพซื่อ กองทัพแคว้นเหนือไม่มีโอกาสชนะสงครามครั้งนี้ ฮ่องเต้มีความมั่นใจในการต่อสู้ครั้ง แต่… …


       เสบียงอาหารที่ถูกส่งไปยังแนวหน้ากลับถูกปล้นอีกครั้ง


       การดื่มกินสำหรับทหารจำนวน 700,000 นายต่อวันนั้นไม่น้อย แม่ทัพซื่อจึงไม่สามารถดูแลพวกเขาได้ทั้งหมด


       เขาต้องการไปปล้นเสบียงอาหารในภูเขาปีศาจ แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการส่งอาหารให้กับแนวหน้า


       แคว้นตะวันออกอุดมไปด้วยอาหารและทรัพยากร พวกเขามีความแข็งแรงเพียงพอที่จะปลูกเสบียงอาหารในดินแดนของพวกเขา แต่ใครจะส่งเสบียงอาหารไปให้แนวหน้า พวกเขาจะไม่เผชิญกับเหตุการณ์เช่นเดิมอีกหรือ


       แคว้นตะวันออกอุดมสมบูรณ์ แต่พวกเขาไม่สามารถถูกปล้นได้อีก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแนวหน้าไม่สามารถรอเสบียงอาหารชุดที่สามได้อีกต่อไปเช่นเดียวกัน…… 

 

 


ตอนที่ 264.1

 

การส่งมอบเสบียงอาหารกลายเป็นงานใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการต่อสู้ก็จะถูกตัดสินโดยสิ่งนี้ ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะประมาทได้


       ตอนนี้ขุนนางและทหารต่างก็ได้โต้เถียงกันมานานในท้องพระโรงขนาดใหญ่ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้เลือกผู้สมัครที่เหมาะสม เมื่อเห็นอย่างนี้ฮ่องเต้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะโกรธ เขาสะบัดแขนเสื้อและออกจากท้องพระโรงไปทันที


“เสนาหลิน เราควรทำอย่างไร?”


“ เสนาโย่ว เราควรทำอย่างไร?”


       ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือทหาร พวกเขาต่างก็ล้อมรอบเสนาบดีทั้งสองเอาไว้ หวังว่าพวกเขาจะสามารถวางแผนที่ดีได้


       เสนาหลินและเสนาโย่วยังคงไร้อารมณ์ใดๆ พวกเขาทั้งสองมีความเข้าใจโดยปริยายว่าควรจะนิ่งเงียบเสีย


       แผนการที่ดีแบบไหนกันที่พวกเขาจะสามารถนำออกมาได้?


       สงครามครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่เสี่ยวหวางเย่กำลังดูอยู่ข้างสนาม ใครจะรู้ว่าเสบียงอาหารที่พวกเขาจะลองส่งไปอีกจะไม่ถูกปล้นโดยเขาอีกครั้ง


       หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสูญเสียแหล่งอาหาร แต่ยังจะพ่ายแพ้ให้กับกองทัพแคว้นเหนืออีกด้วย ฮ่องเต้จะไม่ยอมปล่อยคนที่คิดแผนการนั้นขึ้นมา บุคคลผู้นั้นก็จะถึงวาระโชคร้าย


       เหตุการณ์เช่นนี้ มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะสามารถคิดแผนการขึ้นมาได้


       ฮ่องเต้รู้ว่าเสนาบดีในวังของเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาเข้าใจความคิดของพวกเขาเป็นอย่างดี นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาโกรธ


       เสนาบดีในวังเหล่านั้นมีสมองที่มีขนาดเล็กอยู่ในหัวของพวกเขาเท่านั้นดังนั้นเมื่อพวกเขาพบเหตุการณ์สำคัญ เขาจึงไม่สามารถวางใจได้


“ ช่างเป็นขยะที่ไร้ค่า! มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะเก็บขยะที่ไร้ค่าเอาไว้?” ตอนนี้เขามีปัญหา กลุ่มคนเหล่านั้นกำลังทำอะไรอยู่? พวกเขาเพียงแค่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของเขาเท่านั้น


       อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถฆ่าเสนาบดีในวังที่ไร้ประโยชน์ทั้งหมดได้


“สารเลว” ฮ่องเต้โกรธมาก เขาตบไปที่โต๊ะและนั่งลงไปบนเก้าอี้มังกรอยู่เป็นเวลานาน


       ในเวลานี้ ไม่มีใครกล้ารบกวนฮ่องเต้อีก ขันทีและนางกำนัลในวังต่างก็อยู่ห่างจากเขา เพราะกลัวว่าฮ่องเต้จะระคายเคืองเอาได้


“ ข้าต้องการพบเสด็จพ่อ” อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้องค์ชายเจ็ดกลับเสด็จมา


“ องค์ชาย ฝ่าบาทกำลังพิโรธมากในเวลานี้ พระองค์ต้องการที่จะใหม่ในภายหลังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรู้ว่าองค์ชายเจ็ดเป็นเด็กที่เอาแต่พระทัย แต่เขาก็ไม่ควรที่จะเข้าไปในเวลานี้


       องค์ชายเจ็ดส่ายหัวเล็ก ๆ ของเขาแล้วพูดขึ้น“ข้ารู้ว่าเสด็จพ่อทรงพิโรธมาก นั่นเป็นสาเหตุที่ข้าต้องการเข้าไป ไปประกาศว่าข้าต้องการเข้าพบเสด็จพ่อ ถ้าเสด็จพ่อทรงปฏิเสธ ข้าจะจากไปเอง”


“องค์ชาย……” ขันทีอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก


       ในเวลานี้ความโกรธของฮ่องเต้ได้คลี่คลายลงครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเสียงข้างนอกเขาจึงถามขึ้น “ใครอยู่ข้างนอก?”


       ขันทีเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาคุกเข่าลงไปบนพื้นและพูดขึ้น“เรียนฝ่าบาท องค์ชายเจ็ดขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”


“ องค์ชายเจ็ดหรือ ปล่อยให้เขาเข้ามา” ถึงแม้ฮ่องเต้จะวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในแนวหน้า แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะคิดเกี่ยวกับมันในเวลานี้


       ทันทีที่องค์ชายเจ็ดเข้ามา เขาก็ความเคารพ แต่แล้วเขาก็พูดเพียงความตั้งใจของเขาเมื่อฮ่องเต้บอกให้เขาลุกขึ้น“ เสด็จพ่อ กระหม่อมได้ยินมาว่าเสด็จพ่อกำลังพิโรธ ลูกไร้ความสามารถไม่สามารถแบกรับความกังวลของเสด็จพ่อได้ แต่ลูกสามารถอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อได้พ่ะย่ะค่ะ”


       องค์ชายเจ็ดมองดูฮ่องเต้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล


       เมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดของบุตรชายของเขา หัวใจของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย“ องค์ชายเจ็ดช่างมีน้ำใจ เช่นนั้นก็มานั่งข้างๆบิดาเถิด”


       องค์ชายเจ็ดนั้นตัวเล็กเกินไป ฮ่องเต้แทบจะมองไม่เห็นเขาเมื่ออยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ


       องค์ชายเจ็ดเดินเข้าไปใกล้และมองไปที่ใบหน้าของฮ่องเต้ จากนั้นเขาถามด้วยความกังวลอย่างเต็มเปี่ยมขึ้น“ เสด็จพ่อ ท่านไม่ทรงพิโรธแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


“ไม่แล้ว ความโกรธจะไม่แก้ปัญหา” ฮ่องเต้ลูบหัวขององค์ชายเจ็ดแล้วพูดขึ้น“ องค์ชายเจ็ด เจ้าไม่ต้องกังวล ไม่มีอะไรที่บิดาของเจ้า ไม่สามารถแก้ไขได้”


“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก ไม่มีใครมีอำนาจไปกว่าเสด็จพ่ออีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเจ็ดพยักหน้าอย่างหนักแน่น 

 

 


ตอนที่ 264.2

 

  อารมณ์ของฮ่องเต้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน เขาก็จากไปพร้อมกับองค์ชายเจ็ดเพื่อรับมื้อกลางวันด้วยกัน ที่โต๊ะอาหารองค์ชายเจ็ดไม่ได้ทำตามมารยาทบนโต๊ะ เขาพูดประโยคหนึ่งถึงสองประโยคเป็นระยะ ๆ กับฮ่องเต้“เสด็จพ่อ สิ่งนี่อร่อยมากพ่ะย่ะค่ะ”


“ เสด็จพ่อลองดูนะพ่ะย่ะค่ะ…”


       หลังมื้ออาหารฮ่องเต้ก็ดูมีความสุขมาก“ ในอนาคตองค์ชายเจ็ดควรมาอยู่ร่วมมื้ออาหารกับข้า”


       “ได้พ่ะย่ะค่ะ ตราบใดที่เสด็จพ่อจะไม่คิดว่าลูกมารบกวน” องค์ชายเจ็ดพูดอย่างอายๆ ในขณะที่เกาหัว


       “ บิดาไม่เคยคิดว่าเจ้ามารบกวน” ฮ่องเต้พูดด้วยความรักอย่างมากมาย


       “ เช่นนั้นกระหม่อมจะมาร่วมมื้ออาหารเป็นเพื่อนเสด็จพ่อนะพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเจ็ดนั้นมีความคิดที่เฉียบคม เขารู้ว่าฮ่องเต้ยังคงยุ่งอยู่กับหน้าที่ของเขา ดังนั้นหลังจากเสร็จมื้อกลางวัน เขาก็กล่าวคำลา แต่ก่อนจะจากไปเขาก็พูดขึ้น“ เสด็จพ่อ เสด็จแม่บอกว่าเสด็จพ่อนั้นยุ่งมาก ลูกจะไม่รบกวนเสด็จพ่ออีกต่อไป แต่เสด็จพ่อไม่ควรต้องทำให้พระองค์เองต้องเหน็ดเหนื่อยเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่สามและเสด็จพี่ชายคนใหญ่ ตอนนี้ต่างก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เสด็จพ่อสามารถขอให้เสด็จพี่เหล่านั้นช่วยได้ เสด็จป้าโจวและเสด็จป้าฟูอานต่างก็เป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นกัน พวกนางย่อมสามารถช่วยเสด็จพ่อได้นะพ่ะย่ะค่ะ”


       ถ้าองค์ชายเจ็ดจะพูดถึงเพียงแค่องค์รัชทายาทและองค์ชายสามเท่านั้น ฮ่องเต้จะสงสัยเขา ดังนั้นเขาจึงเพิ่มประโยคขึ้นมาอีกสองสามอย่างโดยจงใจ


       เมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดที่อ่อนเยาว์ขององค์ชายเจ็ด เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาเพียงแค่ลูบไปที่หัวขององค์ชายเจ็ดเท่านั้นและเตือนให้เขาศึกษาให้มากๆ องค์ชายเจ็ดบอกว่าเขาจะเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่นนั้นเขาจึงจะสามารถแบ่งปันความกังวลของฮ่องเต้ได้


องค์ชายเจ็ดจากไปอย่างมีความสุข เมื่อเขาจากไปแล้วขันทีก็เข้ามาแทนเพื่อเทน้ำชาให้กับฮ่องเต้และสรรเสริญองค์ชายเจ็ดขึ้น เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้มีอารมณ์ที่ดี ขันทีก็พูดติดตลกขึ้น“ องค์ชายเจ็ด พระองค์ยังเล็กนัก ถึงขนาดบอกให้องค์หญิงช่วยเหลือในเรื่องของราชสำนัก องค์หญิงจะช่วยในเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”


“ องค์หญิงหรือ?” ดวงตาของฮ่องเต้สว่างขึ้นทันใดนั้น แล้วเขาก็นึกถึงผู้สมัครที่เหมาะสมออก


“ องค์ชายเจ็ด เป็นดาวนำโชคของเจิ้นจริงๆ ” ฮ่องเต้อารมณ์ดีมากขึ้นอีก ขันทียังคงงงงวยอยู่เป็นอย่างมาก แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงฮ่องเต้ตะโกน“ใครอยู่ข้างนอก เข้ามา”


       ฮ่องเต้จึงตัดสินใจให้สามีขององค์หญิงฟูอาน ชุย แซนเหย่ ส่งเสบียงอาหารไปยังชายแดน และในวันเดียวกันนั้นเองเขาก็ได้รับคำสั่งของฮ่องเต้


       เมื่อชุย แซนเหย่ ได้รับคำสั่งของฮ่องเต้ เขาก็ทำลายมันทันที ในแคว้นตะวันออกแม้ว่าคน ๆ หนึ่งจะแต่งงานกับองค์หญิงแห่งราชวงศ์พี่เขยอย่างฮ่องเต้ก็ไม่มีอำนาจทำในเรื่องส่วนตัว และเนื่องจากการประท้วงของพี่เขยของเขาทำให้ทุกแคว้นในขณะนี้ต้องระมัดระวัง ดังนั้นชุย แซนเหย่ จึงไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ ฮ่องเต้ สั่งให้เขาส่งเสบียงอาหารไปที่ชายแดนนี่เป็นเพียงแค่……


“ มันเป็นไปไม่ได้ จู่ๆ ฮ่องเต้จะให้ข้าส่งเสบียงอาหารไปได้อย่างไร”ชุย แซนเหย่ ผู้ที่กำลังถือราชโองการของฮ่องเต้ ไม่สามารถเรียกสติของเขากลับมาได้


       องค์หญิงฟูอาน ย่อมได้รับข้อมูลเป็นอย่างดี ดังนั้นนางจึงพูดอย่างมีความสุขขึ้น“ มันเป็นเพราะองค์ชายเจ็ด องค์ชายเจ็ดได้พูดถึงท่าน ดังนั้นฮ่องเต้จึงนึกถึงท่านขึ้นมา องค์ชายเจ็ดมีน้ำใจจริงๆ เขาไม่ลืมป้าคนนี้จริงๆ”


       องค์หญิงฟูอานมีความสุขมาก สิ่งที่สำคัญสำหรับนางก็คือประโยชน์ที่นางจะได้รับในเรื่องนี้ หากสามีของนางประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ตำแหน่งของนางในใจของฮ่องเต้ก็จะสูงขึ้นอีก


       มีราชโองการออกมาแล้ว ดังนั้นไม่ว่าชุย แซนเหย่ จะคิดอย่างไร ทั้งหมดที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือทำตามคำสั่งเท่านั้น


       แม้ว่าตระกูลซุยจะไม่ได้เป็นสมาชิกของขุนนางในวัง แต่พวกเขาก็ตระหนักถึงทุกเหตุการณ์ในราชสำนักดี พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ดังนั้นพวกเขาจึงกังวลมาก พวกเขาสงบลงเมื่อผู้นำตระกูลซุย พูดอะไรบางอย่างขึ้น


“ เสี่ยวหวางเย่ส่งคำเตือนไปยังฮ่องเต้ ดังนั้นเสบียงชุดสุดท้ายจึงถูกปล้น แม้ว่าเสี่ยวหวางเย่จะเกลียดฮ่องเต้ แต่เขาก็เป็นผู้ชายที่มีหลักการ เขารู้ดีถึงความสำคัญของเสบียงนี้เป็นอย่างดี ข้าแน่ใจว่าเขาจะไว้หน้าตระกูลซุยของเราบ้าง”


       เมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงทำให้จิตใจของชุย แซนเหย่ ผ่อนคลายลงและยอมรับภารกิจที่ฮ่องเต้มอบให้แก่เขา


       แต่ในเวลานี้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทังที่ที่ถูกฮ่องเต้และเหล่าขุนนางในวังเมยเฉย ก็ได้สร้างเรื่องอื้อฉาวให้ระเบิดขึ้นมาอีก……

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม