Princess Medical Doctor องค์หญิงแพทย์ผู้เชียวชาญ 256-258

ตอนที่ 256: ปัญหาใหญ่

 

   หลังจากที่ทหารคุ้มกันจากไป ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยุ่งอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ……


       หลิน ชูจิ่ว ยังอุ้มเด็กทารกที่เป็นโรคปอดบวมอยู่ แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอพยายามที่จะวางทารกทารกลง ทารกน้อยก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ


       หลิน ชูจิ่วกลัวว่าทารกจะร้องไห้จนหายใจไม่ออก ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงกล่อมเด็กคนอื่นๆ ด้วยมืออีกข้างของเธอ เธอยุ่งมากเธอจึงมีเหงื่อออกไปทั่วร่างกาย


       สำหรับเสี่ยวเทียนเหยานะหรือ?


       หลิน ชูจิ่ว ไม่คาดหวังว่าเขาจะช่วยได้ แค่ขอให้เขาไม่เพิ่มปัญหามากไปกว่านี้ก็พอแล้ว


       โชคดีที่ทหารคุ้มกันกลับมาในเวลาเพียงไม่นาน เขาไม่เพียงกลับพร้อมกับน้ำข้าวที่เด็ก ๆ สามารถกินได้ แต่ยังมาพร้อมกับคนขายอีกด้วย


“ ให้อาหารพวกเขาทีละคนๆ จากเด็กเล็กไปหาเด็กโต” เมื่อทหารมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา และเห็นเขาเพียงแค่นั่งอยู่ตรงมุมโดยไม่พูดอะไร เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกหันไปจากจัดการกับผู้หญิงที่เขาพามาด้วยทีละคนๆ


       เมื่อผู้หญิงเหล่านั้นได้รับเหรียญทองแดงและเห็นเด็ก ๆ นอนอยู่บนพื้นดินซึ่งไม่สกปรกมากนัก พวกนางก็ดึงแขนเสื้อขึ้นและป้อนเด็กทีละคนๆ ผู้หญิงเหล่านั้นมีทักษะมาก ดังนั้นจึงไม่มีแม้แต่อาหารเพียงหยดเดียวที่ต้องสูญเปล่าไป เห็นได้ชัดว่าพวกนางเคยทำมันมาก่อนแล้ว


       ในขณะนี้เด็ก ๆ บนพื้นไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ต่างก็มีอาหารเข้าไปในปากของพวกเขา พวกเขาต่างก็ยุ่งอยู่กับการกลืนอาหารที่ได้รับ เด็กคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้กินต่างก็มองดูฉากนี้และพวกเขาก็ดูเศร้ามาก


“ โอ้ เด็กน้อยเหล่านี้ต่างก็หิวมาก แล้วผู้ดูแลทั้งหมดไปอยู่เสียที่ใดกันหมด” เนื่องจากท่าทีของทหารคุ้มกัน ผู้หญิงคนนั้นจึงไม่กล้าพูดด้วยคำพูดอย่างเปิดเผยออกมา แต่พวกนางก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเด็ก ๆ เหล่านี้น่าสงสารเพียงใด พวกนางจึงช่วยไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา


       เมื่อเห็นว่าทหารคุ้มกันไม่ได้ใส่ใจพวกนาง ผู้หญิงคนอื่น ๆ ก็มีความกล้าหาญที่จะพูดขึ้น “เด็ก ๆ เหล่านี้ไม่มีแม้แต่เนื้อหนังหุ้มกระดูก ผู้ดูแลเหล่านั้นช่างโหดร้ายจริงๆ”


“พ่อแม่ของเด็ก ๆ เหล่านี้ช่างไร้ความปราณียิ่งนัก หลังจากให้กำเนิดพวกเขา ก็ละทิ้งลูกๆ ของพวกเขาไปเสียแล้ว” หญิงสาวที่สวมชุดสีเทาผู้ที่กำลังอุ้มเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ พูดขึ้นอย่างเป็นทุกข์ นางป้อนน้ำข้าวกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อีกสองสามคำ


“ แม้ว่าเด็กคนนี้จะมีริมฝีปากกระต่าย แต่มันก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่หลังจากที่นางโตขึ้น นอกจากนี้ยังมีเด็ก ๆ แบบนี้ในหมู่บ้านของเรา แต่เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น พวกเขาก็ไม่ได้มีลูกออกมาเป็นแบบเดียวกัน”


“ เด็กคนนี้น่าสงสารยิ่งกว่า เขาไม่เพียงแต่เสียขา แต่ยังรวมถึงพ่อแม่ด้วย เขาจะอยู่ได้อย่างไรในอนาคต”


เด็ก ๆ ที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่ตั้งใจในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ดูน่าสงสารมาก ใครก็ตามที่เห็นสถานการณ์ของพวกเขาก็จะรู้สึกไม่ดี มีเพียงเสี่ยวเทียนเหยาเท่านั้น……


       ที่ไม่มีอารมณ์แปรปรวนใดๆ เขายังนั่งในมุมอย่างไร้อารมณ์ เขาปกปิดกลิ่นอายที่รุนแรงของเขาเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นการดำรงอยู่ของเขา หลิน ชูจิ่ว มองมาทางเขาเป็นครั้งคราว ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าเขาไม่ได้จากไปไหน


       หลิน ชูจิ่ว ไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวเทียนเหยาถึงมายังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง แห่งนี้ เป็นเพราะเธอหรือเปล่า?


       ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เธออาจจะนึกถึงสิ่งนี้ แต่ตอนนี้ … …


       นับตั้งแต่ที่เขาทำร้ายจิตใจของเธอ หลิน ชูจิ่วก็ไม่ได้คาดหวังพฤติกรรมที่ดื้อดึงของเสี่ยวเทียนเหยาอีก การเห็นเสี่ยวเทียนเหยามองสถานที่แห่งนี้ด้วยความรังเกียจ แต่ก็ยังคงปฏิเสธที่จะออกไป หลิน ชูจิ่ว รู้สึกเหมือนเสี่ยวเทียนเหยา จะต้องวางแผนอะไรบางอย่างอยู่


       อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ขัดขวางเธอ เธอก็ไม่สนใจเกี่ยวกับแผนการหรือการคำนวณใดๆ ของเขา เธอไม่ฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ แต่เธอก็ต้องการที่จะหลีกเลี่ยงพวกมันให้ได้มากที่สุด


       ในไม่ช้า พวกผู้หญิงก็ใช้น้ำข้าวที่พวกนางนำมาจนหมด แต่ไม่ใช่ว่าเด็ก ๆ ทุกจะกินอิ่มอย่างพอเพียง คนขายรายหนึ่งจึงพูดขึ้น “บ้านของข้าอยู่ใกล้ๆ กับสถานที่แห่งนี้ ข้าจะกลับไปทำอาหารมาเพิ่มอีกหม้อ มีเสื้อผ้าสะอาดที่พอจะใช้ได้ ข้าจะนำมาด้วย เสื้อผ้าของเด็กเหล่านี้สกปรกและเปียก พวกเขาอาจจะป่วยได้ หากพวกเขาสวมใส่มันต่อไป”

 

 

 


ตอนที่ 256: ปัญหาใหญ่

 

“แค่นำอาหารมาก็พอแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องนำเสื้อผ้ามา ในไม่ช้าก็จะมีคนนำเสื้อผ้ามาเอง” หลิน ชูจิ่วไม่ต้องการปฏิเสธความปรารถนาดีของผู้หญิงคนนั้น แต่เธอรู้ว่าเสื้อผ้ามีความสำคัญต่อคนทั่วไปอย่างไร เสื้อผ้าสำหรับพวกเขาราวกับเป็นสิ่งที่หรูหรา


       เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ยินคำพูดของหลิน ชูจิ่ว ผู้หญิงอีกสองคนก็บอกว่าพวกนางจะกลับไปทำอาหารที่บ้าน หลิน ชูจิ่ว เห็นว่าเด็ก ๆ กินอาหารแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาต้องกินอีกครั้งหลังจากสองชั่วยามผ่านไป ดังนั้นเธอจึงให้เงินกับทหารคุ้มกันเพื่อให้ไปซื้อข้าว


       พวกผู้หญิงต่างก็เห็นถึงความเอื้ออาทรของหลิน ชูจิ่ว ดังนั้นที่เหลือจึงบอกว่าพวกนางจะไปหาเตาเพื่อที่จะต้มน้ำ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเด็กบางคนก็กระหายน้ำมาก


       ทหารคุ้มกันมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยาและมองไปที่หลิน ชูจิ่ว เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเขาไม่จำเป็นอีกต่อไป เขาก็หายไปในทันที


       ไม่มีเตาในสวนหลังบ้าน แต่มีบ่อน้ำ พวกผู้หญิงให้ทหารสร้างเตาธรรมดา ๆ จากหินในสวนหลังบ้านขึ้นมา จากนั้นพวกนางก็ออกไปข้างนอกเพื่อซื้อฟืน หมอและถังไม้ แต่ละคนต่างก็ยุ่งกันไปหมด


       ไม่มีบ้านเรือนแถวสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง มีเพียงไม่กี่คนที่มาที่นี่ แต่ตอนนี้ผู้คนเข้าๆ ออกๆ ฉากนี้จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้อย่างรวดเร็ว และก็ยังมีคนที่อยากรู้อยากเห็นวิ่งเข้ามาใกล้เพื่อดูสถานการณ์ภายใน แต่หลังจากที่เขาเห็นสถานการณ์ข้างใน ดวงตาของเขาเบิกกว้างและรีบวิ่งจากไป


       ทันทีที่เขาวิ่งออกไปไกลแล้ว เขาก็ถูกผู้คนล้อมรอบเอาไว้ ก่อนจะถามขึ้น “กั้วเอ้อร์มีอะไร เกิดอะไรขึ้นข้างใน?”


       ชายที่ชื่อกั้วเอ้อร์ ส่ายหัวและพูดขึ้นทันที “มีคนโง่กำลังดูแลเด็ก ๆ อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง”


“อะไรนะ? มีคนไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทังหรือ? ใครบางคนถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะโชคร้าย พวกเจ้าหน้าที่จะมาแน่นอน รีบหลบไปให้ไกลจากที่นี่เพื่อที่พวกเราจะไม่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยกันเถอะ” คนที่รู้บางอย่างพูดขึ้น คนที่ไม่รู้ก็งงงวยเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงดึงคนที่รู้มาและสอบถาม แต่ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะให้คำตอบแก่พวกเขา ความปั่นป่วนนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว


       คนที่ต้องการดูการแสดงสดนั้นต่างก็ไม่กลัวที่จะทำเรื่องใหญ่  พวกเขากระจายข่าวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง …


       กลุ่มเจ้าหน้าที่ของราชสำนักปรากฏตัวบนถนน ผู้ชมทุกคนต่างก็ตกใจกับเรื่องนี้ พวกเขาแยกย้ายกันไปและเปิดทางให้กับเจ้าหน้าที่ทันที


       โดยไม่คำนึงถึงผู้เข้าชม กลุ่มเจ้าหน้าที่ต่างก็ล้อมรอบพื้นที่เอาไว้ เมื่อผู้นำของเจ้าหน้าที่เห็นเงาคนอยู่ภายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงและดึงดาบออกมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปข้างใน


“ ใครกล้าที่จะสร้างปัญหาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง?” มีเพียงหลิน ชูจิ่วเท่านั้นที่เหลืออยู่ดูแลเด็ก ๆ ในห้องโถง ส่วนเสี่ยวเทียนเหยาผู้ที่นั่งอยู่ตรงมุมยังคงปกปิดกลิ่นอายของเขาเอาไว้อย่างสมบูรณ์


       ภายในผู้นำไม่ได้สังเกตเห็นการดำรงอยู่ของเสี่ยวเทียนเหยา ดังนั้นเขาจึงชี้ดาบของเขาไปที่หลิน ชูจิ่วทันที “นางเป็นคนที่สร้างปัญหาภายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง มานำตัวนางออกไป” เมื่อผู้นำพูดจบ เจ้าหน้าที่สองคนก็เดินไปข้างหลังหลิน ชูจิ่วเพื่อนำนางออกไป


“ ช้าก่อน” หลิน ชูจิ่วเองก็ตกใจ เธอก้าวกลับไปพร้อมกับทารถน้อยแล้วพูดขึ้นทันที “เจ้าเป็นใคร ข้าไม่ได้สร้างปัญหาใด ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทังแห่งนี้ เด็ก ๆ ที่นี่ต่างหากที่ได้รับปัญหาและข้าก็กำลังดูแลพวกเขาอยู่”


“พวกเราเป็นใคร? เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร เราเป็นเจ้าหน้าที่ของราชสำนัก” ผู้นำชี้นิ้วของเขามาบนเครื่องแบบแล้วพูดต่อไปว่า“ สำหรับการดูแลพวกเขา? เด็ก ๆ เหล่านี้อยู่ในความดูแลของราชสำนัก ใครต้องการให้เจ้ามาดูแลพวกเขากัน บอกข้ามาว่าอะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าในการมาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง แห่งนี้? เจ้าต้องการจะขายเด็กเหล่านี้ใช่หรือไม่?”


“เจ้าช่างกล้าจริงๆ” หลิน ชูจิ่ว หัวเราะขึ้น“ เด็กเหล่านี้ป่วยหนักและร่างกายอ่อนแอ แต่เจ้ากลับบอกว่าเจ้าหน้าที่ของราชสำนักกำลังดูแลพวกเขาอยู่อย่างนั้นหรือ?”


“เจ้า เจ้ากล้าพูดถึงราชสำนักของเราเช่นนี้ได้อย่างไร ดูเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นเจ้า จะไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว พวกเจ้ายังทำอะไรกันอยู่ นำตัวนางออกไป!” ผู้นำขยิบตาและตะโกนขึ้นเสียงดัง“ ผู้หญิงคนนี้เป็นฆาตกรที่ฆ่าเด็กทารถที่ถูกทอดทิ้งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง รีบจับกุมนางซะ!”


       เพียงกระพริบตา ผู้นำก็วางอาญาครั้งใหญ่ไว้บนหัวของหลิน ชูจิ่วเสียแล้ว !

 

 

 


ตอนที่ 257: ขอความช่วยเหลือ

 

เมื่อเจ้าหน้าที่ตามมาได้ยินคำพูดของหัวหน้าของพวกเขา เขาก็รู้ว่าผู้หญิงข้างหน้าของเขานั้นตายไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่พยายามสุภาพแม้แต่น้อย เขาหยิบดาบออกมาแล้วชี้ไปที่หลิน ชูจิ่วทันที “ แม่นางน้อยอย่าพยายามต่อต้าน มือของข้าอาจจะสั่นและเกินไปทำร้ายใบหน้าของเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นอย่ามาตำหนิข้าและหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าล่ะ”


       เมื่อดาบชี้มาที่หลิน ชูจิ่ว เสี่ยวเทียนเหยา ก็ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ โชคดีที่หลิน ชูจิ่วมีความยืดหยุ่นได้ดีและเธอก็สามารถเคลื่อนไหวไปด้านข้างได้ทันเวลา จากนั้นเธอก็ยกขาของเธอขึ้นและเตะไปที่เจ้าหน้าที่ทันที


“อ่า—” เจ้าหน้าที่ส่งเสียงร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดและขาซ้ายของเขาก็อ่อนลงทันที เขาไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อยู่เป็นเวลานาน“ นางเด็กบ้า เจ้าได้ก่ออาญาร้ายแรงจริงๆ”


“อาณาร้ายแรงอะไร” ในฐานะหมอและสายลับในเวลาเดียวกัน เธอจะไม่รู้วิธีใช้ขาทั้งสองของเธอในทางที่ดีและไม่ดีได้อย่างไร


       แล้วถ้าเธอไม่มีกำลังมากพอล่ะ แต่เธอก็รู้ถึงจุดอ่อนของร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี อย่างน้อยเธอก็สามารถใช้กำลังที่มีทำให้เกิดความเสียหายสูงสุดแก่อีกฝ่ายได้


“ข้าไม่เคยเห็นการเคลื่อนไหวของเจ้า แต่เจ้าจะไม่สามารถทำแบบเดียวกันได้เป็นครั้งที่สอง” เมื่อผู้นำเห็นสถานการณ์ของเพื่อน เขาก็ไม่กล้าที่จะก้าวออกมา เขามองมาที่หลิน ชูจิ่วด้วยความระมัดระวังในทันที


       หลิน ชูจิ่ว พอใจมากก่อนจะยิ้มขึ้น เธอวางทารกลงแล้วชี้นิ้วไปที่ประตู “อะไร? พวกเจ้ายังไม่ต้องการที่จะออกไปพูดข้างนอกอีกหรือ พวกเจ้าไม่สามารถทำร้ายเด็ก ๆ ที่นี่ได้”


       มีเด็กอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของห้องโถง มีทางเดินเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง เด็ก ๆ ไม่ทราบถึงอันตรายของสถานการณ์ในปัจจุบัน หากพวกเขาเผลอเหยียบเด็กๆ พวกนี้ก็จะยิ่งโรคร้ายมากขึ้นไปอีก


“ออกไปพูดข้างนอกหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงจะมาสั่งเรา? แล้วจะอย่างไรถ้าพวกเราจะทำร้ายเด็กๆพวกนี้?” ผู้นำพูดขึ้นในขณะที่เขาชี้ดาบไปที่เด็กบนพื้น” ใครจะไปสนใจถ้าข้าจะทุบตีหรือฆ่าเด็กพวกนี้? ข้าก็แค่บอกว่าเจ้าเป็นคนฆ่าพวกเขาทั้งหมด”


       ความเฉยเมยของผู้นำนั้นราวกับว่าเขากำลังทำเรื่องที่ถูกต้อง ไม่มีร่องรอยของความอับอายแม้แต่น้อยบนในใบหน้าของเขา หลิน ชูจิ่วส่ายหัวด้วยความไม่เชื่อ“เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่จริงๆหรือ หรือเป็นเพียงแค่พวกหลอกลวงเท่านั้น”


“ ไม่ว่าเราจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือไม่ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์พูด ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ร้ายที่สังหารเด็กๆ ที่ถูกทอดทิ้ง ยกมือขึ้นแล้วมอบตัวเสีย” ผู้นำกลัวการโจมตีของหลิน ชูจิ่ว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะก้าวออกมา เขาขู่หลิน ชูจิ่วด้วยการใช้เด็กๆ ที่อยู่บนพื้นแทน


“ข้าหรือผู้ร้าย?” หลิน ชูจิ่วชี้มาที่ตัวเองและพูดขึ้น “ใครให้ความกล้ากับเจ้าที่บอกว่าข้าเป็นผู้ร้าย เจ้ารู้หรือไม่ว่าฉันเป็นใคร?”


       หลิน ชูจิ่ว รู้สึกเสมอว่าคำว่า“ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร” เป็นประโยคที่โอ้อวดมาก แต่ในเวลานี้เธอไม่สามารถคิดคำอื่นที่จะใช้ได้ดีมากไปกว่าคำนี้ออกมาแล้ว


“ทำไมข้าจะต้องไปสนใจว่าเจ้าเป็นใคร เมื่อเจ้าตกอยู่ในน้ำมือของเราแล้ว แม้แต่องค์ชายจากราชวงศ์ก็ทำได้เพียงแค่ก้มหัวให้พวกเราเท่านั้น” เจ้าหน้าที่ไม่กลัวหลิน ชูจิ่ว พวกเขาไม่กลัวแม้แต่ครอบครัวของราชวงศ์ แล้วจะเอาอะไรกับผู้หญิงคนหนึ่ง?


       อย่างไรก็ตาม สตรีผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงและงดงามเหล่านั้นจะไม่ออกมาคนเดียวหรือมาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง เพื่อดูแลเด็กๆ ที่ถูกทอดทิ้ง และถึงแม้ว่าพวกเขาจะมาจริง ๆ พวกเขาก็จะส่งข่าวมาก่อนล่วงหน้าเพื่อให้เจ้าหน้าที่มาด้วย


“คำพูดของเจ้าช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน” หลิน ชูจิ่วโกรธมาก เธอไม่ต้องการยุ่งกับพวกเขาอีกต่อไป ดังนั้นเธอจึงหันหัวของเธอและมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยาที่อยู่ในมุมแทน ก่อนจะพูดขึ้น“ หวางเย่ มีคนบางคนอยากให้ท่านก้มหัวให้พวกเขา ท่านจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ?”


“หวางเย่?” เมื่อผู้นำได้ยินคำพูดของหลิน ชูจิ่ว เขาก็ใช้เวลาสักครู่เพื่อตรวจดูทิศทางของดวงตาของหลิน ชูจิ่ว แต่เขาก็เห็นเพียงแค่เงาที่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งเท่านั้น เขาไม่เห็นลักษณะของบุคคลผู้นั้นแม้แต่น้อย


       มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?


       ผู้นำตกใจ แต่ก็พูดอย่างกล้าหาญขึ้น“เจ้าเป็นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้”

 

 

 


ตอนที่ 257: ขอความช่วยเหลือ

 

   ดาบของผู้นำชี้ไปที่เด็กคนหนึ่ง ดังนั้นปลายของดาบจึงเกือบจะถูกหน้าเด็กน้อย หลิน ชูจิ่วพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจในทันที“ ถือดาบในมือของเจ้าให้มันดีๆ หน่อย ถ้าเจ้าทำร้ายเด็กๆ เจ้าตายแน่”


“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้คนแตกตื่น เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าเรียกชายผู้นั้นว่า หวางเย่ แล้วเราจะเรียกเจ้าว่าหวางเฟยอย่างนั้นหรือ?” เมื่อหัวหน้าเห็นว่าชายคนนั้นไม่เคลื่อนไหวใดๆ เขาก็เชื่อว่าหลิน ชูจิ่วกำลังโกหก ดังนั้นเขาจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง


       นางต้องล้อเล่นใช่ไหม จะมีหวางเย่และหวางเฟยแบบไหนที่จะมายังสถานที่ของภูตผีแบบนี้? ไม่เพียงแค่นั้น แต่พวกเขายังอุ้มเด็กสกปรกอีก นางคิดว่าพวกเขาโง่หรืออย่างไร?


       ผู้นำชี้ดาบของเขาไปในทิศทางของเสี่ยวเทียนเหยา“ เจ้า……ออกมาจากที่ตรงนั้น อย่าบังคับชายชราคนนี้ให้เริ่มการต่อสู้ หากข้าฆ่าเด็กเหล่านี้โดยไม่ตั้งใจ อย่าคิดว่าชายชราคนนี้จะปล่อยเจ้าไว้”


       เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง ผู้นำคว้าเด็กขึ้นมาแล้วพูดขึ้น“ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้ายังไม่ให้ความร่วมมือ ข้าจะฆ่าเด็กคนนี้ซะ”

“หนึ่ง”


“ อุแว้ๆ…” เด็กร้องออกมาดัง ๆ ในขณะที่เขาคว้าที่หลังคอของเด็กขึ้นมา คอของเด็กรู้สึกตึงแน่น ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงเปลี่ยนสี


       หลิน ชูจิ่วช่วยไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น“หวางเย่ ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะไม่พูดอะไรเลย?”


       เสี่ยวเทียนเหยา ยังคงเพิกเฉยต่อ หลิน ชูจิ่ว


       หลิน ชูจิ่ว เป็นกังวลและอยากจะก้าวไปข้างหน้า แต่นางก็ถูกปิดกั้นโดยเจ้าหน้าที่ “อย่าเข้ามา”


“หวางเย่ ……” ในตอนนี้เขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะพูดอีกหรือ? ถ้าเช่นนั้นแล้วเขามาทำอะไรอยู่ที่นี่ เพื่อดูความสนุกอย่างนั้นหรือ?


“สอง” ผู้นำส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง


“ อุแว้ๆ …” เสียงร้องของเด็กก็เริ่มอ่อนลง เพราะเหตุนี้หลิน ชูจิ่วจึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เธอตะโกนขึ้นทันที“ เสี่ยวเทียนเหยา ท่านจะรออะไรอยู่อีกก่อนที่ท่านจะพูด?”


       เสี่ยวหรือ?


       นามสกุลของราชวงศ์ไม่ใช่หรือ!


       พวกเขาพบกับคนในราชวงศ์จริง ๆ เข้าแล้วหรือ?


       หัวหน้ารู้สึกไม่สบายใจ เขามองชายคนนั้นที่มุมห้อง เขาไม่กล้าที่จะดื้อดึงอีกต่อไป เขารีบอุ้มเด็กทารถแทนอย่างเงียบ ๆ และตัดสินใจที่จะรอดูไปก่อน


       พวกเขาจะโชคร้ายจริงๆ ถึงขนาดได้พบเข้ากับท่านอ๋องเชียวหรือ?


       ผู้นำมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา และรอการเคลื่อนไหวของเขา …


“ นี่ควรจะเป็นทัศนคติของเจ้าในการขอร้องคนหรือ” เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นและในเวลาเดียวกันเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปทางหลิน ชูจิ่ว


       ฝีเท้าของเขางดงามและสง่างาม ไม่มีทหารอยู่ข้างหลังเขา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ ร่างกายทั้งหมดของเขาเปล่งกลิ่นอายซึ่งอาจทำให้ผู้คนไม่กล้ามองเขาออกมา


       โอ้มารดาข้า เป็นท่านอ๋องจริงๆ!


       ผู้นำถอยหลังออกไปโดยไม่ตั้งใจ ใบหน้าของเขาซีดลง ในขณะที่เขาจ้องมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา คนที่เดินใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ


       ผู้ที่เพิ่งจะลุกขึ้นนี้เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง เขาคงไม่ใช่เทพเจ้าแห่งสงครามเสี่ยวหวางเย่ใช่ไหม?


       เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ผู้นำก็เกือบจะกลายเป็นบ้าแล้ว เขารีบวางเด็กลงไปบนพื้น เพื่อไม่ให้เกิดเสียงใดๆ ขึ้น การกระทำของเขานั้นเงียบเหมือนหัวขโมย


       หลังจากที่เด็กถูกวางลงแล้ว หัวหน้าก็ถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่น “ข้าไม่รู้ว่าควรจะเรียกคุณชายท่านนี้ว่าอย่างไร”


       เสี่ยวเทียนเหยาไม่สนใจเจ้าหน้าที่คนนี้แม้แต่น้อย แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังคงมองไปที่หลิน ชูจิ่ว และรอคำพูดของนาง


       หลิน ชูจิ่ว ถอนหายใจออกมาอย่างหมดปัญญา“หวางเย่ เราต้องแก้ปัญหานี้ก่อนไม่ใช่หรือ?”


“เจ้าเห็นอะไร? มันมีปัญหาตรงไหน?” เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ เหล่านี้นะหรือ แล้วจะอย่างไร?


“ให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ออกไปและเปิดทางไม่ได้หรือ?” เมื่อหลิน ชูจิ่วพูดจบ ผู้นำก็ตะโกนขึ้นทันที“ ออกไปข้างนอก เร็วเข้า”


       ไม่ว่าผู้ชายข้างหน้าเขาจะเป็นท่านอ๋องหรือไม่ก็ตาม เขารู้ว่าเขาไม่ควรทำให้เขารำคาญ ดังนั้นพวกเขาควรเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน


“ หยุด!” เสี่ยวเทียนเหยามองดูผู้นำ ก่อนจะพูดอย่างง่ายๆ ขึ้นว่า‘หยุด’ แต่เจ้าหน้าที่ก็หยุดในทันที “ คุณ…คุณชาย……”


       เจ้าหน้าที่ทีละคนๆ มองไปที่เสี่ยวเทียนเหยาด้วยความหวาดกลัวและรอคำพูดของเขา


       หลิน ชูจิ่ว รู้สึกกดดันเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ ทำไมถึงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขา เธอเองก็ยังกล่าวถึงตัวตนของเธอ แต่ก็ไม่มีใคร เชื่อเธอ ในทางกลับกันเมื่อเสี่ยวเทียนเหยาก้าวออกมา เขาไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่คนพวกนี้ก็กลัวเขามากขนาดนี้แล้ว นี้มัน… …


       หักหน้ากันชัดๆ!

 

 

 


ตอนที่ 258: สามีของเธอมีอำนาจมากเกินไป

 

 เสียงของเสี่ยวเทียนเหยา ไม่ดัง แต่เจ้าหน้าที่ต่างก็กลัวที่จะต่อต้านมัน พวกเขายืนอยู่กับทีในท่าทางที่น่าอึดอัดใจมาก พวกเขาไม่กล้ามองดูเสี่ยวเทียนเหยา อีกต่อไป พวกเขายืนได้แต่อยู่ตรงนั้นและรอให้เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นอีกครั้ง


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้สนใจเจ้าหน้าที่ เขามองไปที่หลิน ชูจิ่ว และพูดด้วยความรังเกียจขึ้น“เจ้าเป็นถึงหวางเฟย แต่เจ้ากลับไม่สามารถควบคุมเจ้าหน้าที่สองสามคนได้ มันทำให้เปิ่นหวางเสียหน้ายิ่งนัก”


       หลิน ชูจิ่ว เองก็รู้สึกผิดมากเช่นกัน“พวกเขาไม่เชื่อในฐานะของข้า ข้า จะทำอย่างไรได้”


“หากพวกเขาไม่เชื่อเจ้า เจ้าก็สั่งสอนพวกเขา” เสี่ยวเทียนเหยายกมือขึ้นแล้วก็มีพลังบางอย่างพุ่งออกไป


“ อ่า ……” เจ้าหน้าที่ทุกคนร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดและลอยออกไปนอกประตูเหมือนสุนัขและกลิ้งเหมือนลูกบอล


       หลิน ชูจิ่ว มองดูแล้วก็ส่ายหัว“ ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้” ถ้าเธอมีทักษะการต่อสู้ที่ทรงพลัง เธอก็คงจะหนีไปจากตำหนักเสี่ยวหวางฟู่แล้ว ทำไมเธอจะยังคงอยู่ในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่อีกต่อไปและปล่อยให้ตัวเองถูกรังแกโดยเสี่ยวเทียนเหยาใช่ไหม?


“ถ้าเจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำให้เกิดปัญหา ไม่ใช่ทุกครั้งที่เจ้าจะโชคดีเช่นนี้” เสี่ยวเทียนเหยา สะบัดแขนเสื้อของเขาแล้วเดินตรงมา ก่อนจะดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงอย่างสบายๆ


       ในทันที สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสถานที่ที่แตกออกไป


       กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ม้วนตัวเหมือนลูกบอลอยู่บนพื้นพยายามลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบากและรีบคุกเข่าลงไปทันที“ หวางเย่ โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย พวกเราไม่มีตาและทำให้ท่านอ๋องต้องขุ่นเคือง พวกเราขอให้หวางเย่ ไว้ชีวิตพวกเราขอรับ”


       เสียงคำนับดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เด็ก ๆ ในห้องโถงร้องไห้ขึ้นด้วยความกลัว หลิน ชูจิ่ว รู้สึกราวกับว่าหัวของเธอกำลังพองใหญ่ขึ้นเท่ากับหัววัว เธอต้องการคุยกับเสี่ยวเทียนเหยาเพื่อหยุดเจ้าหน้าที่เหล่านี้ แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น


       เสียงฝีเท้านั้นมั่นคงและทรงพลังและพวกเขาก็ดังอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อเธอได้ยินเสียง เธอก็รู้ทันทีว่าเป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี หลิน ชูจิ่ว ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ใครกำลังจะมา?


       ในไม่ช้า หลิน ชูจิ่วก็ได้รู้


“ หวางเย่ หวางเฟย ผู้ใต้บังคับบัญชามาช้าในการให้ความช่วยเหลือ หวางเย่ หวางเฟย โปรดยกโทษให้ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ด้วยขอรับ”ทหารที่แข็งแกร่งเหล่านี้ก็คือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเสี่ยวเทียนเหยา


“ นำคนเหล่านั้นออกไป” เมื่อเสี่ยวเทียนเหยาพูดแล้ว เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็ต้องการร้องขอความเมตตา แต่พวกเขาก็ถูกลากออกไปอย่างรวดเร็ว


       เมื่อหลิน ชูจิ่วเห็นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของทหารของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ ปากของเธอก็เบิกกว้างขึ้น “ ท่านจำเป็นต้องให้คนลากพวกเขาออกไปแบบนั้นด้วยหรือ”


“หรือเจ้าต้องการให้เปิ่นหวางทำด้วยตัวเอง?” เสี่ยวเทียนเหยาลุกขึ้นแล้วเดินออกไป แต่เมื่อเขาเดินผ่านหลิน ชูจิ่ว เขาก็หยุดและพูด“ ทุกครั้งที่เจ้าสร้างปัญหา เปิ่นหวางจะต้องมาคอยทำความสะอาดความยุ่งเหยิงของเจ้า พูด .. …กี่ครั้งแล้วที่เปิ่นหวางช่วยเจ้าไว้?”


       เมื่อคำพูดของเขาหลุดออกมา เสี่ยวเทียนเหยาก็ไม่ได้ให้โอกาสหลิน ชูจิ่วได้พูด ก่อนที่เขาจะเดินออกไปข้างนอก


“นี่……” หลิน ชูจิ่วอยากจะหยุดเสี่ยวเทียนเหยาและถามว่าเขาหมายถึงอะไร แต่เธอก็ได้ยินคำสั่งของเขาดังขึ้น “พาเด็กๆ ทุกคนไปโรงหมอ”


“ขอรับ” ไม่ว่าเด็กๆ จะสกปรกหรือไม่ ทหารต่างก็ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลและอุ้มเด็กทีละคนๆ ขึ้นมาในอ้อมแขน


       เด็ก ๆ มีความประพฤติดี พวกเขาไม่ได้ร้องไห้เมื่อถูกพาออกไปข้างนอก มีเพียงเด็กทารกที่เป็นโรคปอดบวมเท่านั้นที่ร้องไห้ไม่หยุด แขนเล็ก ๆ ของเขาโบกอยู่ตลอดเวลาราวกับว่าเขากำลังมองหาบางอย่าง


       ทหารที่อุ้มเด็กน้อยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ดังนั้นหลิน ชูจิ่วจึงเดินเข้าไป “ให้ข้าลองดู”


       มันแปลกเกินไปที่จะพูด แต่เด็กทารกก็หยุดร้องไห้เมื่อหลิน ชูจิ่วอุ้มเขา


       ทหารรับเด็กมาอีกครั้ง แต่ทารกก็ร้องไห้ทันทีที่เขาออกจากอ้อมกอดของหลิน ชูจิ่ว ในท้ายที่สุดหลิน ชูจิ่วก็ต้องอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขนของเธอ


“ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ” เสี่ยวเทียนเหยา เหลียวหลังแล้วมองไปที่หลิน ชูจิ่วอย่างเย็นชา


       หลิน ชูจิ่วกอดเด็กทารกแน่นขึ้นอย่างเงียบ ๆ และเดินออกห่างจากเสี่ยว เทียนเหยา …


       ทหารกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเดินออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง แต่พวกเขาไม่ได้ถือดาบไว้ในมือ แต่พวกเขากำลังอุ้มเด็ก ภาพนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงคนข้างหน้าที่มีกลิ่นอายที่สง่างามมาก

 

 

 


ตอนที่ 258: สามีของเธอมีอำนาจมากเกินไป

 

 เมื่อเสี่ยวเทียนเหยาและหลิน ชูจิ่ว ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรได้ในทันที คนเดินผ่านคุ้นเคยกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง  ดังนั้นพวกเขาจึงเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจัดกลุ่มกันและเริ่มกระซิบกระซาบทันที


“ใครคือคนที่กล้าสร้างปัญหาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง? ความกล้าหาญของพวกเขาใหญ่มากจริงๆ”


       ผู้คนมากมายคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของเสี่ยวเทียนเหยาและหลิน ชูจิ่ว การปรากฏตัวของเสี่ยวหวางเย่และเสี่ยวหวางเฟยไม่เคยอยู่ในใจของคนทั่วไป มันหาได้ยากมากสำหรับพวกเขาที่จะได้เห็นเสี่ยวหวางเย่ขี่ม้าผ่านไปมาในเมืองหลวง แล้วจะเอาอะไรกับการได้เห็นพวกเขาใกล้ๆ เช่นนี้


       ด้านหน้าของหอน้ำชา เมิ่ง ซิวเหยียนนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นภาพนี้หัวคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น เสี่ยวหวางเย่จะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?


       เมิ่ง ซิวเหยียนโบกมือให้บ่าวตัวเล็กข้างๆเขา ก่อนจะบอกให้บ่าวตัวเล็กๆ ไปตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น


       ในเวลานี้ ในอีกด้านหนึ่งของถนน รถม้าสามคันที่มีสัญลักษณ์ของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ก็ปรากฏขึ้น บางคนรู้จักสัญลักษณ์นี้ แต่บางคนก็ไม่รู้ ดังนั้นหากคนที่รู้จักไม่ได้พูดออกมาดังๆ คนที่ไม่รู้ก็จะไม่รู้ต่อไป


“ มันคือตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ รถม้าของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่!”


“แต่รถม้าของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่จะมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? มีหลายคันด้วย หรือว่าเสี่ยวหวางเย่กำลังจะมา?”


       เมื่อผู้คนเห็นรถม้าของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ ดวงตาของพวกเขาจะเปล่งประกายสดใสขึ้น


       ไม่ว่าราชสำนักจะเปลี่ยนไปอย่างไร ไม่ว่าจะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างแม่น้ำกับทะเลสาบกี่ครั้ง สำหรับผู้คนในแคว้นตะวันออกเสี่ยวเทียนเหยา ก็ยังเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามแห่งแคว้นตะวันออก ดังนั้นแม้ว่าเขาจะฆ่านักโทษที่บริสุทธิ์ แม้ว่าเขาจะโหดร้ายและไร้ความปรานีอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สามารถลดความชื่นชมของคนที่มีต่อเขาลงไปได้


       สำหรับผู้คนในแคว้นตะวันออก เสี่ยวหวางเย่เป็นนักบุญผู้ที่คอยอุปถัมภ์พวกเขา ถ้าไม่เพราะการดำรงอยู่ของเขา พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบันนี้


       ไม่มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ดังนั้นในไม่ช้ารถม้าก็มาหยุดลงที่หน้าเสี่ยวเทียนเหยา พ่อบ้านเฮ้าถึงกับมาพร้อมกับรถม้าด้วยตัวเอง จากระยะไกลๆพ่อบ้านเฮ้าสั่งให้คนขับรถม้าขับช้าๆ และมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสี่ยวเทียนเหยาอย่างงดงาม


“หวางเย่” พ่อบ้านเฮ้าลงมาจากรถม้าและทำความเคารพเสี่ยวเทียนเหยา


       เมื่อคำพูดของพ่อบ้านเฮ้า หลุดออกมา ผู้ชมก็ได้เรียนรู้ถึงตัวตนของเสี่ยวเทียนเหยา ทุกคนไม่คาดหวังว่าเสี่ยวหวางเย่จะปรากฏตัวบนถนนสายนี้และจะอยู่ใกล้กับพวกเขามากขนาดนี้ หลังจากที่ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ทุกคนบนถนนก็คุกเข่าและแสดงความเคารพเขาทันที


       คำทักทายของพวกเขาไม่เหมือนกัน แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความตื่นเต้นของผู้คนที่ได้เห็นเสี่ยวเทียนเหยา


       นี่เป็นครั้งแรกที่หลิน ชูจิ่วได้เห็นผู้คนจำนวนมากคุกเข่า เมื่อเธอเห็นคนทั้งหมดเหล่านั้น ในที่สุดหลิน ชูจิ่วก็เข้าใจความแตกต่างในตัวตนของขุนนาง


       สามีของเธอมีอำนาจมากเกินไปจริงๆ ความกดดันนั้นใหญ่มาก!


       เสี่ยวเทียนเหยาไม่สนใจพิธีของผู้ชม ก่อนจะพูดกับพ่อบ้านเฮ้าขึ้น“ กำจัดคนเหล่านี้ออกไป” จากนั้นเขาก็เดินไปที่ม้าของเขา เขารับบังเหียนมาจากนั้นเขาก็จากไปบนหลังม้า


       เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเทียนเหยาไม่ชอบเรื่องแบบนี้


       หลังจากที่เสี่ยวเทียนเหยาจากไป คนที่ทำความเคารพก็ยังไม่ลุกขึ้น ดูเหมือนว่าพ่อบ้านเฮ้าจะคุ้นเคยกับฉากแบบนี้ เพราะเขาเพียงแค่เดินไปที่หลิน ชูจิ่วและพูดขึ้น “หวางเฟย .. …”


“ เงียบ อย่าเปิดเผยตัวตนของข้า” เธอไม่ต้องการฟังคำพูดที่เป็นพิธีดังกล่าวอีก เธอไม่ต้องการได้รับการยอมรับในฐานะเสี่ยวหวางเฟย ไม่เช่นนั้นเธอจะสูญเสียอิสรภาพที่จะออกไปข้างนอกทุกครั้งที่เธอต้องการ


“ ขอรับหวางเฟย โปรดไปที่รถม้า เราจะออกไปจากที่นี่กันก่อนขอรับ” พ่อบ้านเฮ้า พูดแล้วมองไปที่ทหารคุ้มกันเพื่อให้เขาพาหลิน ชูจิ่วออกไป


       ผู้คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่ได้เห็นฉากนี้ แต่เมิ่ง ซิวเหยียนที่กำลังนั่งอยู่บนชั้นสองของหอน้ำชาเห็นทุกอย่าง มันกลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนั้นคือเสี่ยวหวางเฟย


       เมิ่ง ซิวเหยียนมองไปที่หลิน ชูจิ่ว ผู้ซึ่งขึ้นรถม้าไปแล้ว ก่อนจะดึงสายตาของเขากลับมา


       ในเวลาต่อมา คนรับใช้ตัวเล็กๆ ผู้ซึ่งไปถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ข้างนอกก็กลับมา“ คุณชาย เสี่ยวหวางเฟยค้นพบว่าเด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ป่วยหนัก นางจึงช่วยเด็ก ๆ ทุกคนขอรับ”


       สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทังหรือ?


       หัวคิ้วของเมิ่ง ซิวเหยียนขมวดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขาส่องประกายความผิดหวังเล็กน้อย …

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม