Princess Medical Doctor องค์หญิงแพทย์ผู้เชียวชาญ 253.1-255.2
ตอนที่ 253.1
เป้าหมายของหลิน ชูจิ่ว นั้นชัดเจนมาก ดังนั้นเธอจึงเห็นได้ในทันทีที่หันหลังกลับไป …
บนถนนถนนจู้เชวี่ย ร้านขายยาชื่อ ‘ร้านขายยาหมื่นปี’ ที่รายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมาก หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้ยินสิ่งที่คนเหล่านั้นพูด แต่เธอมั่นใจว่าผู้ป่วยอยู่ที่นั่น
หลิน ชูจิ่ว เดินไปทางฝูงชนโดยไม่ลังเล ทหารต้องการหยุด หลิน ชูจิ่ว แต่หลิน ชูจิ่ว จ้องมองไปที่เขา ด้วยความหวาดกลัวทหารจึงทำได้เพียงแค่ติดตามไปอย่างเงียบ ๆ ตามหลังหลิน ชูจิ่วไปเท่านั้น
“เด็กสองคนนี้น่าสงสารมาก พ่อของพวกเขาเสียชีวิตและแม่ของพวกเขาก็หนีไปกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ฝนตกหรือแดดออก พวกเขากลับไม่มีที่อยู่อาศัย ดังนั้นเด็กตัวเล็กๆ จึงลงเอยแบบนี้”
“เด็กน้อย ลุกขึ้นมาแต่โดยเร็ว ความเจ็บป่วยของน้องชายเจ้านั้นหมดความหวังแล้ว ทำไมเจ้าไม่เก็บเงินแล้วเอาไปซื้อของอร่อย ๆ กินแทน ปล่อยให้เขาตายอย่างสงบสุขเถิด”
“ใช่ นั่นจะดีกว่าเจ้าเด็กน้อย หมอหลิวกล่าวว่า เขาไม่สามารถรักษาน้องชายของเจ้าได้ ยังจะขอความช่วยเหลืออีกต่อไปก็มีแต่จะไร้ประโยชน์เปล่าๆ”
หลิน ชูจิ่ว เบียดตัวเข้าไปข้างหน้าด้วยความช่วยเหลือของเหล่าทหาร จากนั้นเธอก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตามอมแมมคนหนึ่งกำลังกอดเด็กน้อยอีกคนที่ค่อนข้างสะอาดอยู่หน้าร้านขายยาหมื่นปี ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น แต่ใบหน้าของเด็กคนนั้นดูแดงและบวม มันดูน่ากลัวมาก จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พวกเข้าแม้แต่น้อย
“ ท่านหมอ ข้าขอร้อง โปรดช่วยน้องชายของข้าด้วย ข้าจะทำงานเพื่อตอบแทนบุญคุณ ข้าขอร้องท่าน โปรดช่วยน้องชายของข้าด้วยเถิด” เด็กหนุ่มที่กำลังอุ้มเด็กน้อยเอาไว้อย่างแน่นหนา ขอร้องอยู่หน้าร้านขายยา แต่ก็ไม่มีใครออกมาช่วย
“ท่านหมอ ข้าขอร้องท่าน” เสียงของเด็กหนุ่มฟังดูสิ้นหวัง ดวงตาของเขาแดงก่ำและดูเหมือนว่าเขากำลังหมดหวัง
ในร้านขายยา ชายวัยกลางคนก้าวออกมาและมองอย่างช่วยไม่ได้ไปที่เด็กหนุ่ม “ เด็กน้อยเอ้ย ข้าไม่สามารถรักษาน้องชายของเจ้าได้จริงๆ ความเจ็บป่วยของน้องชายของเจ้ายืดเยื้อมานานเกินไปและรุนแรงมาก และเขายังเป็นโรคขาดสารอาหารอีก ข้ากลัวว่าคงจะมีแต่โสมพันปีที่จะสามารถช่วยชีวิตเขาได้”
สำหรับหมอในร้านขายยา ฉากดังกล่าวถือเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากครอบครัวไม่มีเงิน ผู้ป่วยจึงหมดทางรอด หมอเห็นใจพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเห็นอกเห็นใจทุกคนได้
เมื่อเด็กหนุ่มนามว่าโจว ได้ยินคำพูดของหมอหลิว นัยน์ตาของเขาก็สว่างขึ้น“ หมอหลิว ท่านสามารถมอบโสมให้กับน้องชายของข้าก่อนได้หรือไม่ แล้วข้าจะจ่ายเงินให้ท่านในภายหลังได้”
หมอหลิวไม่ได้พูดอะไร แต่พ่อค้ายาขายกลับพูดอย่างเย้ยหยันขึ้นแทน “จ่ายพวกเราภายหลังอย่างนั้นหรือ เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไรอยู่ เจ้าไม่แม้แต่จะสามารถซื้อขนมปังสักชิ้นได้ด้วยซ้ำ”
“ข้า…” เด็กหนุ่มนามว่าโจวกัดริมฝีปากของเขา ริมฝีปากของเขาเริ่มมีเลือดออก แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย เขากัดริมฝีปากของเขาอย่างต่อเนื่องและพยายามระงับน้ำตาของเขาเอาไว้
เด็กหนุ่มผู้ที่กำลังอุ้มเด็กตัวน้อยลุกขึ้นอย่างช้าๆ แต่เนื่องจากร่างกายของเขาอ่อนแอเขาจึงสะดุดล้มลง หลิน ชูจิ่วจึงรีบเข้าไปช่วยเขาทันที“ ระวังด้วย!” เพราะเธอเป็นห่วงถึงความเจ็บป่วยของเด็ก
“ หมอหลิว…” เด็กหนุ่มเรียกและเงยหน้าขึ้นมอง เขาคิดว่าหมอในร้านขายยาช่วยเขา แต่แล้วเขากลับเห็นหญิงสาวนางหนึ่งแทน แล้วความหวังของเขาที่ลุกขึ้นกลับกลายเป็นความผิดหวัง เขาย่อตัวลงและพูดขึ้น “ขอบคุณคุณหนู แต่ท่านจะสกปรกเอาได้”
หลิน ชูจิ่ว ไม่สนใจคำพูดของเด็กหนุ่ม เธอชี้ไปที่เด็กน้อยแล้วพูดขึ้นแทน “ข้าสามารถช่วยน้องชายของเจ้าได้”
“ อะไรนะ” ดวงตาของเด็กหนุ่มนามว่าโจวเบิกกว้างขึ้นและจ้องมองไปที่หลิน ชูจิ่วทันที เขาแทบจะไม่อยากเชื่อคำพูดของนาง “คุณหนู ท่านเพิ่งจะพูดว่าอย่างไรนะ”
“ข้าบอกว่า ข้าสามารถช่วยน้องชายของเจ้าได้ ให้ข้าดูเขาก่อนได้หรือไม่” อันที่จริงแม้จะไม่มีการเตือนของระบบการแพทย์ เธอก็อยากจะช่วยเด็กพวกนี้อยู่ดี
“ คุณหนู ท่านสามารถช่วยน้องชายของข้าได้จริงๆ หรือ? ท่านไม่โกหกข้ามใช่ไหม?” ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นเทาขึ้น น้ำตาของเขาที่เขาพยายามระงับในที่สุดก็ตกลงมาในวินาทีถัดมา
“ข้าไม่ได้โกหก ข้าเป็นหมอ ข้าสามารถช่วยน้องชายของเจ้าได้จริงๆ ให้ข้าดูเขาก่อน” แล้วหลิน ชูจิ่วก็คว้าเด็กน้อยออกจากอ้อมแขนของเด็กหนุ่มทันที
เด็กหนุ่มไม่ปฏิเสธในเวลานี้ เขาปล่อยน้องชายของเขาและให้หลิน ชูจิ่วรับเด็กไป
ตอนที่ 253.2
“นายท่าน” เมื่อหทารเห็นว่าหลิน ชูจิ่ว อุ้มเด็กมา เขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องการจะหยุดนาง
หากหวางเย่ ของพวกเขาเรียนรู้ถึงสิ่งนี้ เขาจะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน
“ปล่อย!” ใบหน้าของหลิน ชูจิ่วจมดิ่งลงและไม่มีร่องรอยของความสุภาพในน้ำเสียงของเธอแม้แต่น้อย
“นายท่าน แต่ตัวตนของท่าน……” หลังจากที่เขาพูดคำเหล่านั้น เขาก็กลืนส่วนที่เหลือลงไป เมื่อเขาเห็นดวงตาที่เย็นชาของหลิน ชูจิ่ว
เมื่อหวางเฟย ของพวกเขาอยู่ข้างนอก นางกลับเหมือนเป็นอีกคน นางไม่ได้เป็นคนที่เก็บเงียบเหมือนปกติที่อยู่ในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่
“หน้าที่ของเจ้าก็คือค่อยปกป้องข้า ไม่ใช่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้า” นอกเหนือจากเสี่ยวเทียนเหยา ผู้อื่นก็ไม่มีสิทธิ์แทรกแซงเรื่องของเธอ
“ขอรับ” ทหารโค้งคำนับและก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว
เด็กหนุ่นนานว่าโจวและผู้ชมต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์นี้ พวกเขามองไปที่หลิน ชูจิ่วทีละคนๆ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพและความกลัว พวกเขาช่วยไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังออกไปเช่นกัน
ตัวตนของหญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ใช่ไหม?
“รถม้าของข้ารออยู่ที่นั่น ไปที่นั่นกันเถอะ” หลิน ชูจิ่วพูดแล้วมองไปที่เด็กน้อย เด็กน้อยคนนี้ ดูเหมือนอายุ 3 หรือ 4 ปีเท่านั้น แต่เด็กคนนี้กลับดูแย่มาก หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากทหารคุ้มกัน เธอเพียงเดินตรงไปที่รถม้าทันที
“เอ่อ ได้ๆ…” เด็กหนุ่มที่กำลังต้องตกใจอยู่ พักหนึ่งถึงได้ตามไป
ผู้ชมต้องการที่จะดูเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้ แต่พวกเขาก็กลัวทหารคุ้มกันที่ตามหลังหลิน ชูจิ่วไป ดังนั้นในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าตามไป พวกเขาจึงต้องกระจัดกระจายหายไปทีละคนๆ เท่านั้น
“คุณชาย กลับกันเถอะขอรับ” เมื่อฝูงชนกระจัดกระจายไปแล้ว คนใช้ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งก็พูดกับเจ้านายหนุ่มของเขาซึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวขึ้น
ชายหนุ่มมีปิ่นหยกปักอยู่บนหัวของเขา เขามีกลิ่นอายที่สูงส่งและสง่างามซึ่งอาจทำให้คนยากที่จะเมินเฉยต่อการดำรงอยู่ของเขาได้ แต่ลักษณะที่สะดุดตาที่สุดของเขาคือดวงตาของเขาที่ดูสดใสเหมือนดวงดาว
คนเช่นนี้ที่เดินอยู่ในฝูงชนจึงกลายเป็นจุดสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องจริงเนื่องจากรูปลักษณ์ที่สะดุดตาของเขา ผู้คนบนถนนต่างก็หยุดเดินโดยไม่ได้ตั้งใจและจ้องมองมาที่เขาเท่านั้น
เด็กสาวขี้อายที่เดินผ่านไปมาต้องการหยุดดู แต่ก็ไม่กล้าทำ แม้แต่พ่อค้าที่อยู่ข้างๆก็ไม่กล้ามองเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาโกรธ
นายหนุ่มคนนี้ก็คือเมิ่ง ซิวเหยียน หลานชายของผู้อาวุโสที่เสียชีวิตไปแล้วของสำนักเหวินชาง เขาเดินผ่านถนนจู้เชวี่ย และเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งกำลังร้องขอความเมตตาอยู่ตรงหน้าร้านขายยา เขาต้องการที่จะดูว่าเขาจะสามารถช่วยเขาอะไรเขาได้หรือไม่ แต่เขาก็ไม่คาดหวังว่าจะมีคนเร็วกว่าอยู่
เมิ่ง ซิวเหยียน มองไปที่หลิน ชูจิ่ว ผู้ที่กำลังอุ้มเด็กน้อยแล้วเดินไปที่รถ ม้า ใบหน้าของเขาแสดงรอยยิ้มที่สดใสขึ้น เขามองคนรับใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างๆเขา แต่เขาไม่ได้ดูใจร้อนหรือมีความเบื่อหน่ายแต่อย่างไร เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับไป จากนั้นเขาก็เข้าไปในหอน้ำชาทางด้านข้าง
สายตาของฝูงชนมองตามเขาไปจนเมิ่ง ซิวเหยียน เดินเข้าไปหอน้ำชาแล้ว และเมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นเขาได้อีกต่อไป ฝูงชนก็ดึงสายตากลับมาอย่างไม่เต็มใจ
นี่คือคุณชายน้อยของตระกูลเมิ่ง เมิ่ง ซิวเหยียน เขาไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไร เพราะตราบใดที่เขาเดินผ่านฝูงชน เขาก็สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้แล้ว
หลิน ชูจิ่ว พาเด็กเข้าไปในห้องโดยสาร ในขณะที่ทหารผู้คุ้มกันและเด็กหนุ่มนามว่าโจวกำลังรออยู่ข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อ แล้วหลิน ชูจิ่วก็หยิบกล่องยาออกจากระบบการแพทย์ทันที
เด็กหนุ่มนามว่าโจวดูเหมือนจะเป็นคนยากจน แต่ร่างกายและเสื้อผ้าของเด็กน้อยที่ป่วยนั้นกลับดูสะอาด เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
เด็กโดยพิษซึ่งทำให้เขามีไข้สูงและขาดน้ำอย่างรุนแรง โชคดีที่มันไม่ใช่พิษที่รุ่นแรงมาก เด็กคงจะถูกแมลงหรือแมงมุมมีพิษกัดต่อย มันเป็นเพียงแค่การได้รับการรักษาที่ล่าช้ามาเป็นเวลานาน ดังนั้นอาการของเขาจึงรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับใครบางคนอย่างหลิน ชูจิ่ว นี่เป็นเพียงเรื่องของเค้กชิ้นหนึ่งเท่านั้น!
ตอนที่ 254.1
หลิน ชูจิ่วฉีดเซรุ่มให้กับเด็กน้อยและให้ยาลดไข้ที่ค่อนข้างแรงแก่เขา จากนั้นเธอก็ให้น้ำเกลือและทำความสะอาดแผลของเด็ก
ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะรู้สึกอึดอัด เขาบิดร่างกายของเขาอยู่ตลอดเวลา หลิน ชูจิ่ว เปิดปากแล้วพูดขึ้น “อย่าขยับ มันจะจบลงในไม่ช้า” แล้วเด็กน้อยก็ผ่อนคลายร่างกายของเขาลง แต่เขาก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ดี …
เมื่อหลิน ชูจิ่ว เสร็จทุกอย่าง มันก็ผ่านไปแล้วประมาณครึ่งชั่วยาม หทารคุ้มกันและพี่ชายของเด็กน้อยรออย่างอดทน ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนหลิน ชูจิ่ว พวกเขาเพียงจ้องมองไปที่ประตูรถม้า และรอให้หลิน ชูจิ่วลงมาเท่านั้น
เมื่อประตูถูกเปิดออก ดวงตาของทหารคุ้มกันและเด็กหนุ่มก็เบิกกว้างขึ้นในเวลาเดียวกัน ทหารคุ้มกันถอนหายใจขึ้นอย่างโล่งอก ในขณะที่เด็กหนุ่มอยากจะถามอะไรบางอย่าง“ คุณหนู ……”
“ฮูหยิน นายท่านของพวกเราแต่งงานออกเรือนแล้ว” ทหารคุ้มกันบอกแก่เด็กหนุ่มอย่างใจเย็น แล้วเด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนคำแทนตัวของหลิน ชูจิ่ว ก่อนจะพูดขึ้น “ ฮูหยินน้อย น้องชายของข้าเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะกระตือรือร้นที่จะรู้สภาพของน้องชายของเขา แต่เขาก็ไม่พลีพลาม และแม้ว่าเขาจะรู้ว่าตัวตนของหลิน ชูจิ่ว นั้นไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกอย่างหวาดกลัวอย่างคนทั่วไป ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่บุตรของครอบครัวที่ยากจนจริงๆ
“เขาจะไม่เป็นไรในขณะนี้ ข้าต้องกลับไปก่อน แล้วจะให้คนของข้าส่งยามาให้เขา ตอนนี้เขาต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอ” อาการไข้ของเด็กยังไม่ลดลง พิษในร่างกายของเขายังไม่หายเป็นปกติ แต่ตอนนี้หลิน ชูจิ่วก็ไม่สามารถให้ยาเขาได้อีก เธอต้องรอจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้
“ขอบคุณฮูหยินน้อย ท่านเป็นผู้มีพระคุณ ในชีวิตนี้ข้าโจว เหอจะมอบชีวิตของข้าเพื่อตอบแทนบุณคุณนี้” เด็กหนุ่มรีบขายตัวเองอย่างง่ายดายและสาบานขึ้นทันที
หลิน ชูจิ่ว ส่ายหัวของเธอ “ไม่ต้อง ข้าไม่ได้ช่วยน้องชายของเจ้าเพื่อให้เจ้ามาเป็นหนี้บุญคุณข้า พวกเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน ข้าจะส่งยาไปให้ในวันพรุ่งนี้”
“ข้า…” โจว เหอ ก้มหน้าลง เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
หลิน ชูจิ่ว เข้าใจสถานการณ์ของเขาทันที“เจ้าไม่มีที่อยู่หรือ?”
“ข้าได้ขายบ้านเรือนก่อนหน้านี้เพื่อที่จะรักษาอาการป่วยของน้องชายข้า ข้าจะรอคนของฮูหยินอยู่ที่นี่ในวันพรุ่งนี้ จะได้หรือไม่” โจว เหอมองไปที่หลิน ชูจิ่วด้วยความหวัง เขากลัวที่จะได้ยินการปฏิเสธของหลิน ชูจิ่ว
“ น้องชายของเจ้าต้องการการพักฟื้น จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาหากเจ้าไม่มีที่อยู่อาศัย?” หลิน ชูจิ่วมองไปที่เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเธอและถามด้วยความปรารถนาดี จากนั้นเธอก็พูดขึ้น“ข้าจะช่วยเจ้าและน้องชายในเรื่องของโรงเตี้ยมก่อน พวกเจ้าสองคนอยู่ที่นั่นไปชั่วคราวจนกว่าน้องชายของเจ้าจะดีขึ้น ว่าอย่างไร?”
“ ฮูหยินน้อย เรื่องนี้ยอมไม่ควร” โจว เหอปฏิเสธขึ้นทันที เขาก้มศีรษะลงและพูดขึ้น“ข้า พวกเราเป็นหนี้ท่านมากมายเกินไปแล้ว”
“มันไม่สำคัญ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหนี้ข้ามากหรือน้อย เมื่อเจ้าเติบใหญ่ขึ้นและสามารถหาเงินได้มากมายแล้ว ค่อยมาตอบแทนข้า” เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่คนขี้เกียจ เพียงแค่เขายังเด็กเกินไปที่จะแบกรับความรับผิดชอบนี้เพียงลำพัง
เธอเคยเป็นเด็กมาก่อน เธอรู้ดีว่าการมีชีวิตอย่างไร้ประโยชน์ตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นอย่างไร
“ขอบคุณฮูหยินน้อย ท่านสามารถวางใจได้ เมื่อไหร่ที่ข้าสามารถหาเงินได้แล้ว ข้าจะคืนให้ท่านอย่างแน่นอน” โจว เหอไม่ได้ปฏิเสธในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะเขาต้องการใช้ประโยชน์จากนาง แต่เพราะเขารู้สถานการณ์ของน้องชายของเขา และแน่นอนว่ามันไม่เหมาะที่น้องชายของเขาจะอาศัยอยู่ในวัดเก่าๆ
“ ไปกันเถอะ ข้าต้องการไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย” เธอมีเสื้อผ้าสำรองอยู่ในรถม้า ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับบ้าน
เมื่อพิจารณาว่าทั้งโจว เหอและน้องชายของเขายังเป็นเด็ก หลิน ชูจิ่วจึงหาโรงเตี้ยมที่ดีสำหรับพวกเขาให้พักผ่อน เธอจ่ายค่าเช่าโรงเตี้ยมและอาหารสำหรับหนึ่งเดือน เธอยังให้เงินกับโจว เหออีกด้วย เมื่อน้องชายของเขาตื่นขึ้นมา เขาต้องซื้อของอาหารบางอย่างเพื่อชดเชยการขาดสารอาหารของน้องชายเขา
โจว เหอต้องการปฏิเสธ แต่เมื่อเขาเห็นว่าน้องชายของเขาผอมมาก เขาก็ทำได้แค่หลับตาลงและยอมรับมันเท่านั้น ครั้งนี้เขาไม่ได้ขอบคุณหลิน ชูจิ่ว
ตอนที่ 254.2
ความเมตตาบางอย่างไม่สามารถตอบแทนด้วยคำพูดเพียงแค่ขอบคุณเท่านั้น
หลิน ชูจิ่ว เปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอที่โรงเตี้ยมและจากไป ความเร็วของเธอนั้นเร็วมากราวกับว่ามีสุนัขกำลังไล่ตามเธออยู่
หลิน ชูจิ่วกลัวที่จะเดินอย่างช้า ๆ และพบกับผู้ป่วยรายอื่นๆ เธอยังไม่ได้ทำในสิ่งที่เธอต้องการจะทำ และเธอก็ไม่ใช่พระแม่มารี
แม้ว่าหลิน ชูจิ่ว จะเดินเร็วแค่ไหน เธอก็ยังคงพบป้าที่ขาแพลงอยู่บนถนน ระบบการแพทย์เรียกร้องให้เธอช่วยป้าคนนั้น ดังนั้นหลิน ชูจิ่วจึงช่วยป้าพันแผลที่ขาของนางอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากป้าคนนั้นขอบคุณเธอซ้ำๆ แล้ว หลิน ชูจิ่วก็ยิ้มและจากไป……
วันนี้เธอจะรอดไหม!
ครั้งล่าสุดที่เธอออกไปข้างนอก เธอกลับไม่ได้พบกับผู้ป่วยคนไหน ดังนั้นทำไมวันนี้เธอจึงโชคร้ายเช่นนี้ ทำไมเธอถึงต้องพบกับผู้ป่วยอยู่เรื่อยๆ?
เป็นเพราะเธออยู่แต่ในรถม้าหรือ?
หรือมันจะเป็นนั้น เพราะก่อนหน้าที่เธอนั่งอยู่ในรถม้า ระบบการแพทย์ไม่ได้ส่งการเตือนเรื่องน้องชายของโจว เหอต่อเธอ จนกระทั่งเธอก้าวออกมานอกรถม้า หมายความว่ารถม้ามีวัสดุพิเศษบางอย่างที่สามารถปิดกั้นสัญญาณของระบบการแพทย์ได้ใช่ไหม?
ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็ดี เธอจะได้อยู่แต่ในรถม้า ไม่กล้าออกไปข้างนอกอีกแล้ว
ดี ถ้าเช่นนั้นก็กลับไปและลองดู
“หวางเฟย ข้างหน้าคือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทังขอรับ” เมื่อหทารคุ้มกันเห็น หลิน ชูจิ่วดูเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจกับโลกบัจจุปัน เขาจึงเตือนนางขึ้น
“ โอ้…” เมื่อมองไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ที่อยู่ไม่ไกล สายตาของ หลิน ชูจิ่ว ก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เธอเองก็เติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เป็นในยุคที่แตกต่างออกไป
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอเข้าใกล้ หลิน ชูจิ่วก็ได้ยินเสียงร้องไห้ ถ้าฟังให้ดีเธอจะสามารถได้ยินมากกว่าเสียงเดียว
ไม่มีใครเป็นผู้ดูแลหรือ?
หัวคิ้วของหลิน ชูจิ่วขมวดขึ้นเล็กน้อย ทหารคุ้มกันมองดู หลิน ชูจิ่วอย่างเงียบ ๆ เขารู้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะเป็นเช่นนี้ในหัวใจของเขา
นั่นเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครอยู่ใกล้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง และพวกเขาก็ไม่เห็นใครอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ
เด็ก ๆ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง จะร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน จึงไม่มีใครกล้ามาอาศัยอยู่
ทหารคุ้มกันเฝ้ารอให้หลิน ชูจิ่วกลับเข้าไปในรถม้า อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลิน ชูจิ่ว จะไม่เพียงแต่เดินต่อไป แต่ยังก้าวเข้าสู่ภายในอีกด้วย …
ทันทีที่ หลิน ชูจิ่ว ก้าวเข้ามาข้างใน ทันใดนั้นเธอก็ร้องตะโกนขึ้นและแตะหัวของเธอ“ อ่า……เจ็บ!”
“ หวางเฟย เกิดอะไรขึ้นขอรับ?” ทหารคุ้มกันถามขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดของหลิน ชูจิ่ว แต่หลิน ชูจิ่ว ไม่มีเวลาให้ความสนใจกับทหารคุ้มกันในเวลานี้ เพราะ……
ในหัวของเธอ การแจ้งเตือนของระบบการแพทย์ได้โผล่ออกมาเรื่อยๆ มันไม่ได้หยุดแม้แต่น้อย
“อ่า ช่วยด้วย!” หลิน ชูจิ่ว อยากจะร้องขอความช่วยเหลือ เธอต้องการให้ระบบการแพทย์ปล่อยเธอไป
การแจ้งเตือนที่รุนแรงเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ทรมานเธอจริง ๆ แต่เธอก็ไม่สามารถควบคุมมันได้
แน่นอน ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปจะสามารถมีมนุษยธรรมได้อย่างไร
“ หวางเฟย ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ” ทหารคุ้มกันถามด้วยความกังวล แต่เขาไม่กล้าแตะต้องหลิน ชูจิ่ว
“ ข้าตายไม่ได้……” หลิน ชูจิ่วกัดฟันของเธอและหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง
หลังจากหนึ่งก้านธูปผ่านไป ในที่สุดระบบการแพทย์ก็หยุดแจ้งเตื่อนในหัวของเธอ แต่ให้รายชื่อผู้ป่วยจำนวนมากที่จำเป็นต้องได้รับการรักษามาแทน
ผู้ป่วย …
ใช่ ทันทีที่หลิน ชูจิ่ว ก้าวเข้ามาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ระบบการแพทย์คงจะได้รับสัญญาณความทุกข์มากมาย พวกมันทั้งหมดมาจากเด็ก ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง
“ เข้าไปข้างในแล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น” หลิน ชูจิ่วชี้นิ้วของเธอไปที่ที่มีเสียงร้องไห้อันทรงพลังดังออกมา
“ขอรับ” ทหารคุ้มกันรู้ว่าหลิน ชูจิ่วถูกจับตามองโดยองครักษ์เงาที่มากับพวกเขา ดังนั้นเขาจึงเข้าไปข้างในได้อย่างไร้กังวล
ด้านในมีเพียงห้องโถงอยู่ห้องเดียวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง และมีอีกสองห้องจากทางด้านซ้ายและด้านขวา เมื่อทหารคุ้มกันเปิดประตูเข้ามา กลิ่นเหม็นในอากาศก็ลอยเข้ามา มันเกือบจะฆ่าเขาในทันที
เมื่อหทารคุ้มกันปรับตัวเข้ากับกลิ่นได้ ในที่สุดเขาก็ระงับลมหายใจของเขาและเข้าไปข้างใน แต่แล้วเขาก็เห็น …
ตอนที่ 255.1
ในห้องที่มีแสงสลัวๆ ผู้คนที่อยู่ข้างในล้วนแต่เป็นเด็ก มีทารกถูกปกคลุมไปด้วยเสมหะของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีเด็ก ๆ ที่สามารถคลานได้แล้ว เด็กเหล่านี้ถูกวางสุ่มๆ ไว้บนพื้นดินโดยไม่มีใครดูแล
เมื่อทหารคุ้มกันเดินเข้าไป เขาก็พบว่ากลิ่นข้างในนั้นไม่เป็นที่พอใจมากนัก กลิ่นเหม็นผสมกับต่างๆ ของทารก ดังนั้นผู้คนจึงช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายตัว
ทหารคุ้มกันเข้ามาเพียงมองเข้าไปข้างในแล้วก็รีบออกไป“หวางเฟยมีเด็กมากมายอยู่ข้างในขอรับ พวกเขาทั้งหมดถูกวางไว้บนพื้น” เขามองไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าเด็ก ๆ ที่อีกมุมหนึ่งตายหรือยังมีชีวิตอยู่
“ไม่มีใครดูแลพวกเขาเลยหรือ?” หัวคิ้วของหลิน ชูจิ่วขมวดขึ้นก่อนจะผลักทหารออกไป แล้วเธอก็เดินหน้าต่อไป เมื่อเธอได้กลิ่นภายใน เธอก็เกือบจะก้าวถอยหลังอย่างช่วยไม่ได้
ห้องพักสลัวๆ และชื้น มีกลิ่นของเชื้อราอยู่ภายใน แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครดูแลสถานที่นี้เลย
“ ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ พวกเขากล้าทิ้งลูกๆ เอาไว้เช่นนี้หรือ” หลิน ชูจิ่วเดินเข้ามาด้านในและผลักเปิดหน้าต่างทั้งหมดออก ปล่อยให้อากาศไหลเวียนและปล่อยให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาด้านใน
เมื่อแสงแดดส่องถึง เด็ก ๆ หลายคนก็หยุดร้องไห้และมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กบางคนไม่สามารถปรับตัวเข้ากับแสงแดดได้และร้องไห้ดังกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม เมื่อแสงอาทิตย์เข้ามาในห้อง สถานการณ์ภายในก็ชัดเจนขึ้น ห้องพักมีขนาดใหญ่เท่ากับห้องจำนวนห้าห้องรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งเต็มไปด้วยเด็กเล็กและใหญ่เกือบ 20 คน ทุกคนต่างก็นอนราบอยู่กับพื้น
สีของเสื้อผ้าบนตัวเด็กจางหายไปนานแล้ว มีคราบสีเหลืองบนพื้นดินซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอาเจียนหรืออุจจาระ
“ ไม่น่าแปลกใจที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก” ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเด็ก เพราะแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่สามารถต้านทานสถานที่เช่นนี้ได้
สถานการณ์ในอีกห้องหนึ่งนั้นเหมือนกัน หลังจากที่ทหารคุ้มกันได้เห็นแล้วเขาก็กลับไปหาหลิน ชูจิ่วและพูดขึ้น“หวางเฟย เราควรจะทำอย่างไรในตอนนี้ขอรับ เด็ก ๆ เหล่านี้……แม้ว่าพวกเราจะไม่มาดู แต่คนอื่นๆ สามารถที่จะเพิกเฉยต่อพวกเขาได้อย่างไร”
“ให้ใครบางคนกลับไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่และเอากล่องยาของข้ามา นำเสื้อผ้าที่สะอาดและคนที่ไม่ยุ่งมาด้วย เด็กเหล่านี้ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้จงนำอาหารที่เด็กกินได้มาด้วย พวกเขาคงจะต้องหิวมาก”
“ขอรับ” องครักษ์เงาที่คอยปกป้องหลิน ชูจิ่ว ได้กลับไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ในทันทีและทำตามคำสั่งของหลิน ชูจิ่ว
เสื้อผ้าของหลิน ชูจิ่ว นั้นไม่สกปรก แต่เธอก็พาเด็ก ๆ ออกไปข้างนอกห้องทีละคนๆ
แม้ว่าเด็ก ๆ จะร้องไห้มานาน แต่พวกเขาก็หยุดร้องไห้เมื่อมีคนอุ้มพวกเขา
ห้องโถงหลักของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ว่างเปล่าไม่มีอะไรนอกเหนือจากโต๊ะไม้ หลิน ชูจิ่ว ไม่กล้าวางเด็กๆ ไว้บนโต๊ะ เธอจึงไม่มีทางเลือก นอกจากพาพวกเด็กๆ ออกไปวางบนพื้น
ทหารคุ้มกันต่างก็ช่วยพาเด็ก ๆ ออกไปข้างนอกห้องด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อนำเด็กๆออกมาจากห้องแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็หยุดร้องไห้ ทหารคุ้มกันคิดว่าเด็กบางคนคงจะไม่สามารถร้องไห้ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเห็นว่าพวกเขาต่างก็มีผิวสีม่วงแล้ว
ช่างน่าสมเพช
“หวางเฟย มีเด็กสี่คนที่เสียชีวิตแล้วอยู่ในห้องขอรับ” ทหารคุ้มกันเกือบจะหายใจไม่ออกในความเศร้า เขาจับมือเด็กที่ตายแล้วเอาไว้แน่น
“ทางข้าก็มีสองคนขอรับ” หลิน ชูจิ่วรับเด็กที่เสียชีวิตแล้วมาเบา ๆ ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับใบหน้าที่ไร้ความหวัง
ทหารคุ้มกันเห็นหลิน ชูจิ่ววางเด็กๆ ที่เสียชีวิตแล้วไว้บนโต๊ะ ราวกับว่าพวกเขาเป็นตุ๊กตาที่บอบบาง
“คนของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ทำอะไรกันอยู่ในเมืองหลวง ไม่ใช่ว่าพวกเขาควรจะมาดูแลเด็กๆ เหล่านี้หรอกหรือ” ทหารคุ้มกันมองไปที่เด็ก ๆ บนโต๊ะด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้
เด็กสองคนที่สามารถคลานได้แล้ว คลานอย่างระมัดระวังไปที่เท้าของ หลิน ชูจิ่ว และคว้ากระโปรงของเธอเอาไว้ ใบหน้าที่สกปรกของพวกเขากำลังแสดงความกระตือรือร้นของความหิวออกมา พวกเขากำลังหิวมาก
ตอนที่ 255.2
หลิน ชูจิ่ว ก้มลงมารับเด็กหนึ่งคนขึ้นมา ก่อนจะพูดขึ้น“จะมีประโยชน์อะไรที่จะมาพูดเอาตอนนี้ ทำไมพวกเจ้าไม่ออกไปข้างนอกและซื้ออาหารมา เด็กเหล่านี้กำลังหิวโหยเป็นอย่างมาก”
“ แต่……” ทหารคุ้มกันดูลังเล
หากพวกเขาจากไปจะมีเพียงหลิน ชูจิ่วที่เหลืออยู่ในสถานที่แห่งนี้ เขาจะทำอย่างไรถ้า นางตกอยู่ในอันตราย?
“ช่างมันเถอะ แม้ว่าพวกเจ้าจะไป พวกเจ้าก็อาจจะไม่สามารถซื้ออาหารที่เหมาะสมมาได้ มาตัดผมของเด็กๆ พวกนี้ก่อน ไปหาสิ่งที่เราจะสามารถใช้ต้มน้ำได้ เราต้องการน้ำเป็นอย่างแรก” หลิน ชูจิ่ว รู้ว่าทหารคุ้มกันกังวลอะไร เธอไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครติดตามเธอมา หากทหารคุ้มกันจากไปและมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอ เด็ก ๆ เหล่านี้จะยิ่งน่าสังเวชมากไปกว่านี้
“ขอรับ” ทหารคุ้มกันไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของหลิน ชูจิ่วในครั้งนี้ แต่เขาไม่กล้าไปไกลเกินไป เมื่อเขาไม่พบฟืนในสวนหลังบ้านเขาก็รีบกลับมาทันที
ในเวลาเดียวกันหลิน ชูจิ่วก็หยิบกรรไกรผ่าตัดขึ้นมาและตัดผมที่ยุ่งเหยิงของเด็กหลายคนรอบๆ ตัวเธอออก ก่อนจะเผยเครื่องหมายสีแดงบนใบหน้าของพวกเขา
ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย เด็ก ๆ อาจได้รับพิษ ได้จากแผลเปื่อยหรือตุ่มหนองในหัวของพวกเขาซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม หลิน ชูจิ่ว จึงตัดสินใจตัดผมของพวกเขา
หลังจากตัดผมของเด็กๆ แล้ว หลิน ชูจิ่วก็พบว่าหลายคนมีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัด จากเด็ก 30 คนมีเด็ก 3 คนที่มีปากกระต่าย 2 คนมีปัญหาสายตาและบางคนมีข้อบกพร่องของมือและเท้า… …
เด็กทารถบางคนที่มีสุขภาพดีจะเป็นผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ เธอเห็นเด็กทารกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น ดูเหมือนว่าเด็กทาราคนนี้จะเพิ่งถูกทอดทิ้งได้เพียงไม่กี่วัน ร่างกายของทารกอ่อนแอซึ่งทำให้เขากลายเป็นโรคปอดบวม เขาเป็นผู้ป่วยที่ร้ายแรงที่สุดในหมู่เด็กคนอื่น ๆ
หลิน ชูจิ่ว หยิบชุดผ่าตัดและยาบางตัวที่ใช้กันทั่วไปในระบบการแพทย์ออกมา อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้มีโอกาสที่จะเอายารักษาโรคปอดบวมออกมา เพราะเธอเห็นทหารคุ้มกันมาทางด้านหลังเธอเสียก่อน หลิน ชูจิ่ว ไม่กล้าที่จะหยิบสิ่งอื่นๆ ออกมามากนักในระบบการแพทย์ สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้คือการรอให้คนในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่มาถึงเสียก่อน
ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่นั้นอยู่ไม่ไกลจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง แต่ถึงแม้องครักษ์เงาจะมีความเร็วสูงแต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาไปถึงหนึ่งชั่วยาม
หลิน ชูจิ่ว อุ้มทารกที่เป็นโรคปอดบวมไว้ในอ้อมแขนของเธอ เธอเป็นห่วงเขามาก กลัวว่าเขาจะไม่สามารถอยู่รอดได้ เธอเห็นว่าทารกกำลังหิวโหย เด็กดึงเสื้อผ้าของเธอแล้วใส่เข้าไปในปากของเขา เด็กร้องไห้ออกมาเมื่อเธอดึงเสื้อผ้ากลับออกมา หลิน ชูจิ่ว ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำความสะอาดมือของเธอและปล่อยให้ทารกดูดมัน
เด็กทารกจับนิ้วของหลิน ชูจิ่วและดูดมันด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี ใบหน้าเล็ก ๆ ของทารกดูจะพอใจมาก เมื่อเห็นอย่างนี้หลิน ชูจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนปรากฏขึ้น
เมื่อเสี่ยวเทียนเหยา เข้ามา เขาก็เห็นภาพนี้……
หลิน ชูจิ่ว ที่กำลังนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น กำลังอุ้มเด็กสกปรกเอาไว้ในอ้อมแขนของนาง แต่ร่างกายทั้งหมดของนางกลับสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นขึ้น ซึ่งทำให้บุคคลผู้หนึ่งรู้สึกช่วยไม่ได้นอกจากจะอยากเข้าไปใกล้
“ หลิน ชูจิ่ว” เสี่ยวเทียนเหยาเปิดปากของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำมาก
“หวางเย่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เสี่ยวเทียนเหยาถูกหลิน ชูจิ่วพบเข้าให้ ไม่ใช่เพราะเขาส่งเสียง แต่เป็นเพราะแสงถูกปิดกั้นโดยร่างกายของเขา
เหตุการณ์ดังกล่าวปลุกเสี่ยวเทียนเหยาขึ้นทันที เขากลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
“อืมมม” เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นง่ายๆ แต่ไม่ได้ตอบคำถามของหลิน ชูจิ่ว ก่อนจะก้าวไปตรงหน้าทหารคุ้มกันที่กำลังดูแลเด็กคนอื่น ๆ อยู่บนพื้นและถามขึ้น“ สถานการณ์ที่นี่เป็นอย่างไร?”
“หวางเย่” ทหารคุ้มกันรีบวางเด็กลงและคุกเข่าลงไปบนพื้น จากนั้นเขาก็รายงานทุกสิ่งที่พวกเขาพบในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ขึ้น“ ไม่มีผู้ใหญ่แม้แต่คนเดียวอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง แห่งนี้ มีเพียงเด็กๆ ที่กำลังร้องไห้เท่านั้นที่อยู่ที่นี่ หวางเฟยทนไม่ได้ที่จะเห็นพวกเขาทนทุกข์ จึงได้อุ้มพวกเขาออกมาที่นี่ทีละคนๆ ขอรับ”
“ ไปหาอาหารที่ปรุงสุกแล้วสำหรับเด็กพวกนี้มา” เสี่ยวเทียนเหยามองดูเด็ก ๆ บนพื้นและหัวคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
กลุ่มของเด็กๆ ที่ร้องไห้ทำให้เขารำคาญมากจริง ๆ แต่เขาก็สามารถพูดได้ว่าเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมจริงๆ …
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น