Princess Medical Doctor องค์หญิงแพทย์ผู้เชียวชาญ 250.1-252.2

ตอนที่ 250.1

 

   หลิน ชูจิ่วมาเพื่อขอบคุณเสี่ยวเทียเหยา!


       ไม่ว่าจะอย่างไร ผลไม้เย็นของเสี่ยวเทียนเหยา ก็ดีต่อร่างกายของเธอ เธอควรขอบคุณเขาสำหรับความตั้งใจที่ดีของเขา


       แม้หลังจากที่หลิน ชูจิ่วเข้ามาในห้อง เธอก็ยังคงคิดว่าเธอจะเปิดหัวข้ออย่างไรมันถึงจะไม่ฟังขวานผ่าซากเกินไป อย่างไรก็ตาม เธอเห็นเสี่ยวเทียนเหยานั่งด้วยท่าทางที่อวดดีอยู่ตรงนั้นและจากนั้นเธอก็ได้ยินเขาพูดขึ้น“ ถ้าเจ้ามาเพื่อขอบคุณเปิ่นหวาง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำ เปิ่นหวางไม่ยอมรับการขอบคุณโดยปราศจากความจริงใจ”


       เธอบอกว่าเธอจะมาขอบคุณเขาหรือ?


       หลิน ชูจิ่วมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา แต่ไม่ได้พูดอะไร …


“อะไร? เจ้าไม่ได้มาเพื่อขอบคุณเปิ่นหวางเหรอหรือ? เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางจะยินดีหรือถ้าเจ้าพูดคำว่าขอบคุณ?” เสี่ยวเทียนเหยาเปิดปากของเขาอีกครั้ง แต่เขาก็ยังมีคำพูดที่ทิ่มแทงและน่ารำคาญมาก ความรู้สึกขอบคุณของ หลิน ชูจิ่ว นั้นหายไปในทันที


“ท่านต้องการให้ข้าทำอะไรเพื่อแลกเปลี่ยนหรือไม่” การได้ยินเสี่ยวเทียนเหยาพูดโดยตรงเช่นนี้ ก็ทำให้หลิน ชูจิ่วตัดสินใจที่จะพูดตรงๆ กับเขาเช่นกัน


“เจ้าไม่กลัวหรือว่าเปิ่นหวาง อาจตัดสินใจที่จะขายเจ้า” เสี่ยวเทียนเหยาพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะ แล้วก็เอนหลังพิงเก้าอี้ของเขาและมองดูหลิน ชูจิ่วต่อไป


“แม้ว่าท่านจะขายข้า ท่านก็จะได้แค่ไม่กี่เหรียญเท่านั้น” หลิน ชูจิ่วยืนเงียบ ๆ และดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของเสี่ยวเทียนเหยา


“เจ้ารู้ว่าเจ้ามีค่าแค่ไหนดีจริงๆ เปิ่นหวางไม่มีเวลาคุยเรื่องไร้สาระกับเจ้า ถ้าไม่มีอะไรอีกก็ออกไป เปิ่นหวางกำลังยุ่งมาก” เสี่ยวเทียนเหยาดูใจร้อนมาก


       ใครที่พูดเรื่องไร้สาระ?


       หลิน ชูจิ่ว ต้องการที่จะจากไปในทันที แต่จำได้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา ยังไม่ได้พูดถึงความต้องการของเขา เธอจึงถามขึ้นอีกครั้ง“ ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร?”


“เจ้าจะทำอะไรเพื่อเปิ่นหวางได้ หลิน ชูจิ่ว อย่าให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไป มันก็เป็นเพียงผลไม้เย็นธรรมดาที่เปิ่นหวางมอบให้เป็นรางวัลแก่เจ้าเท่านั้น”


       คำพูดเหล่านี้…โดยทั่วไปไม่ถือว่าน่ารำคาญ


       หลิน ชูจิ่ว หายใจเข้าลึก ๆ หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกว่าอารมณ์ของเธอดีขึ้นเล็กน้อย แต่เธอกลับทำความเคารพอย่างไม่สุภาพและจากไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดัง เสี่ยวเทียนเหยาถึงกับส่ายหัวและไม่ได้พูดอะไรอีก


       ในเวลากลางคืน ก็เหมือนกับเช่นเคยที่เสี่ยวเทียนเหยาจะกอดหลิน ชูจิ่วไปพร้อมกับการนอนหลับของเขา แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งสองใกล้ชิดกว่าที่เคย …


       หลังจากที่ขาของเสี่ยวเทียนเหยาหายจากอาการบาดเจ็บ ไม่เพียงแต่แคว้นตะวันออก แต่ยังรวมถึงแคว้นทางใต้ ตะวันตกและเหนือ ต่างก็กำลังจับตาดูเขา เมื่อเสี่ยวเทียนเหยา ทำลายหอเถียนชางแห่งแคว้นตะวันออก แคว้นต่างๆ เหล่านี้ต่างก็รอให้นิกายลับตัดหัวของเสี่ยวเทียนเหยาออก  


       อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข่าวแพร่ออกไปว่านิกายลับที่ปล้นธัญพืชและยาของเสี่ยวเทียนเหยาต่างก็ถูกทำลาย พวกเขาทุกคนต่างก็ตกใจ แต่พวกเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้น


“ นี่คือความภาคภูมิใจของเทพเจ้าแห่งสงครามของแคว้นตะวันออก”


“ ผู้ที่ทำบาปจะต้องถูกลงโทษ!”


“ตอนนี้ทางตอนเหนือของแคว้นกำลังตกอยู่ในอันตราย!”


       หลังจากที่ข่าวเกิดขึ้น ใครบางคนดีใจมากจนอุทานขึ้น“ โชคดีที่ข้าไม่ฟังคำพูดของหมอเทวดาโม่ในเวลานั้น”


“แม้ว่าจะได้ความดีความชอบกลับมา แต่ก็ไม่คุ้มค่าที่จะจบชีวิตทั้งหมดของนิกายลับ”


“ข้าจะไม่ช่วยหมอเทวดาโม่ สิ่งที่เขาทำนั้นมากเกินไปจริงๆ”


       เดิมที หลังจากกรณีของหมเทวดาโม่ กระจายออกไป ใครบางคนที่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเขา ก็ต้องการที่จะช่วย แต่เมื่อพวกเขาได้ยินการเคลื่อนไหวที่ดุเดือดของเสี่ยวเทียนเหยา เกือบ 90% ของพวกเขาก็ไม่สนใจความคิดนั้นอีก


       ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการที่จะช่วยหมอเทวดาโม่ แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะช่วย


       ลูกศิษย์ของหมอเทวดาโม่ เดินไปรอบ ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ ในตอนแรกมีหลายคนบอกว่าพวกเขาจะคิดเกี่ยวกับมัน แต่เมื่อพวกเขาได้ยินจากคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พวกเขาก็ปิดประตูบ้านทันที


“ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการที่จะช่วย แต่หมอเทวดาโม่ก็ทำอะไรบางอย่างที่ผิดต่อธรรมชาติจริงๆ เราไม่ได้คาดหวังว่าหมอเทวดาโม่ จะเป็นคนแบบนั้น” คนที่พูดเป็นคนที่ติดหนี้หมอเทวดาโม่ เขาเป็นหนึ่งในคนที่สาบานว่าจะช่วย หมอเทวดาโม่ ภายในความสามารถของเขา แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็หันหน้าของพวกเขาออกไปทีละคนๆ

 

 

 


ตอนที่ 250.2

 

  ถึงตอนนี้ ราชสำนักก็ยังไม่ได้ตัดสินความผิดของหมอเทวดาโม่  


       ดังนั้น จึงมีลูกศิษย์หลายคนที่วิ่งไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หลังจากวิ่งไปสองสามวัน พวกเขาก็ยังไม่ได้อะไรเลย ลูกศิษย์เหล่านี้จึงช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้ พวกเขาสูญเสียแรงจูงใจ เมื่อพวกเขานึกถึงโม่ อวี้เอ้อร์ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย


       พวกเขาเป็นเพียงลูกศิษย์ แต่พวกเขาก็วิ่งไปทุกที่เพื่อช่วยเหลืออาจารย์ของพวกเขา อย่างไรก็ตามบุตรสาวของอาจารย์กลับไม่ได้ทำอะไรเลย นางมีค่าคู่ควรที่จะเป็นบุตรสาวของอาจารย์หรือไม่?


“แม้แต่แม่นางโม่ก็ยังไม่ร้องขอความเมตตาจากฮ่องเต้ แล้วสิ่งที่พวกเราทำมันคืออะไร” ลูกศิษย์หลายคน คนที่ไม่แม้แต่จะได้หลับมาสองสามวันแล้ว ตอนนี้กำลังเดือน


       ลูกศิษย์เก่าๆ ยังคงต้องการชักชวนพี่น้องของพวกเขา แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่มองเข้าไปในวังอย่างเงียบ ๆเท่านั้น


       ในความเป็นจริง ลูกศิษย์เหล่านั้นกล่าวหาโม่ อวี้เอ้อร์อย่างผิด ๆโม่ อวี้เอ้อร์ ไม่ได้ร้องขอความเมตตาจากฮ่องเต้ เพราะนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก


       ครั้งที่แล้วเมื่อนางทำเรื่องเอาไว้ นางก็ถูกกัดขังโดยฮ่องเต้ ตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย นางถูกกัดขังไว้ในตำหนักในพระราชวังโดยฮ่องเต้ นางไม่มีคนของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีข่าวมาถึงหูของนาง


       วันนี้ เป็นวันเปิดคดีของหมอเทวดาโม่ ชายชราที่มีผมสีเงินและตระกูลเมิ่งต่างก็มาอยู่ในศาล การเปิดคดีไม่ได้มีการประกาศไปในที่สาธารณะ ดังนั้นคนธรรมดาจึงไม่สามารถมารับฟังได้ แต่เสี่ยวเทียนเหยา กลับได้รับเชิญให้มา แต่……


       เขาบอกให้หลิน ชูจิ่ว มาแทนแต่ หลิน ชูจิ่ว ไม่สนใจคดีนี้ จึงเป็นผลให้ไม่มีใครมา


       หมอหลวงฉินต้องการที่จะมา แต่เขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นได้ เขาจึงทำได้แค่รออยู่ใกล้ๆ กับศาลยุติธรรมและรอผลออกมาเท่านั้น


       ชายชราที่มีผมสีเงินถูกนำตัวไปที่ศาลเร็วมาก แต่เนื่องจากความพิการของเขา เขาจึงสามารถนั่งอยู่ในศาลได้เท่านั้น หัวหน้าตระกูลเมิ่งเองก็มาด้วย เจ้าหน้าที่ศาลตุลาการไม่กล้าที่จะเมยเฉยต่อพวกเขาและเตรียมที่นั่งให้พวกเขาทันทีที่เข้ามา


       นอกเหนือจากสองแถวของเจ้าหน้าที่ศาลตุลาการแล้ว บุคคลที่ยืนอยู่ตรงกลางก็คือหมอเทวดาโม่เท่านั้น


       เพียงสองวันผ่านไป นับตั้งแต่ที่หมอเทวดาโม่ ถูกนำตัวไปยังศาลยุติธรรม แต่รูปร่างหน้าตาของหมอเทวดาโม่ ก็ดูเหมือนว่าเขาได้อยู่ในคุกมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว รูปร่างหน้าตาที่สะอาดและเป็นระเบียบของเขาไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป ตอนนี้เขาดูสกปรกและยุ่งเหยิง หนวดเครายาวสีขาวของเขาเกาะติดกันและไม่น่าดูนัก


       สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือผิวที่ถูกเปิดเผยของเขา แม้ว่าผมของหมอเทวดาโม่ จะมีสีขาว แต่ใบหน้าและมือของเขาก็ดูไม่แก่


       แต่ในเวลาเพียงสองวัน ผิวหนังของหมอเทวดาโม่ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แก้มของเขาจมลง ผิวของเขาบนใบหน้าและแขนเหี่ยวย่น เขาดูแก่มาก


       เจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมเคยเห็นหมอเทวดาโม่มาก่อน ในเวลานั้นหมอเทวดาโม่ ดูภาคภูมิใจและหยิ่งยโส แต่โดยไม่คาดคิด ในเวลาเพียงสองวันเขาก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ของศาลยุติธรรมช่วยไม่ได้ ที่จะถอนหายใจ: นี่คือการลงโทษอันศักดิ์สิทธิ์!


*ปังๆ * เจ้าหน้าที่ของศาลยุติธรรมกระแทกไม้ลงไปบนโต๊ะและประกาศจุดเริ่มต้นของการพิจารณาคดีขึ้น


       ชายชราที่มีผมสีเงินมองไปที่หมอเทวดาโม่ ซึ่งอยู่ข้างเขา ใบหน้าของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อยในขณะที่เขายิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้น“ อาจารย์หลังจาก 20 ปีผ่านไป ในที่สุดเราก็พบกันอีกครั้ง”


       หมอเทวดาโม่ไม่ได้พูดอะไร ไม่มีร่องรอยของความโกรธแม้แต่น้อย


       ชายชราผมสีเงินรู้สึกมีความสุขกับรูปลักษณ์ที่น่าสังเวชของหมอเทวดาโม่ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้น “ ท่านอาจารย์ มาพูดคุยเกี่ยวกับความตายของผู้อาวุโสเมิ่ง เมื่อ 20 ปีก่อน ข้าแน่ใจว่าท่านจะไม่มีวันลืมเหตุการณ์นั้น”


       ผู้นำตระกูลเมิ่งแต่งตัวในชุดคลุมสีน้ำเงินยาว เขานั่งเงียบ ๆ นับตั้งแต่เขาเข้ามา เขารออย่างอดทนสำหรับอาจารย์และลูกศิษย์ ที่จะพูดถึงเรื่องนี้เมื่อ 20 ปีก่อน……

 

 

 


ตอนที่ 251.1

 

    เมื่อ 20 ปีที่แล้ว หมอเทวดาโม่ได้ลืมหลายสิ่งหลายอย่างไปแล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องของผู้อาวุโสเมิ่งแห่งสำนักเหวินชาง หมดเทวดาโม่จะยังจดจำทุกสิ่งได้อย่างชัดเจนแม้แต่รายละเอียดที่เล็กที่สุด


       เมื่อชายชราที่มีผมสีเงินเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้น หมอเทวดาโม่ก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ


       แม้ว่าชายชราที่มีผมสีเงินจะพูดหลายคำออกมาจากเหตุการณ์จริง และก็เกือบจะเหมือนกัน……


       ในเวลานั้น เขาไม่ต้องการรักษาความเจ็บป่วยของผู้อาวุโสเมิ่ง เพราะความเจ็บป่วยของเขานั้นยากมากที่จะรักษา เขาไม่รู้ว่าจะรักษาเขาอย่างไรและเขาไม่ต้องการทำให้ชื่อของเขามัวหมอง


       อย่างไรก็ตาม เขาเป็นหนี้บุญคุณของผู้อาวุโสเมิ่ง และเพราะลูกศิษย์คนนั้นขอให้เขารักษาผู้อาวุโสเมิ่ง เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองดู


       เขาไม่ได้ทดลองใดๆ บนร่างกายของผู้อาวุโสเมิ่ง เพราะร่างกายของผู้อาวุโสเมิ่งอยู่ในสภาพที่แย่มาก และเขาก็ไม่สามารถรอให้ศิษย์นำยากลับมาได้


       นอกจากนี้ 20 ปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของเขายังอยู่ไกลจากชื่อเสียงของเขาในปัจจุบันมาก เขายังไม่สงบเหมือนตอนนี้ ในเวลานั้นเขากำลังไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภ แต่ผู้หญิงคนนั้นที่กำลังตั้งท้องลูกของเขา นางใช้ลูกมาขู่เขา ถ้าเขาไม่ยอมแต่งงานกับนาง ดังนั้น… …


       เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแทงข้างหลังลูกศิษย์ของตัวเอง ดังนั้นในวันที่ลูกศิษย์ของเขาจากไป เขาจึงให้ยาที่เขาเตรียมไว้กับผู้อาวุโสเมิ่ง


       ในเวลานั้น เขาได้ตัดสินใจที่จะรับเอาความดีความชอบทั้งหมดหากอาการของผู้อาวุโสเมิ่งดีขึ้น ชื่อของเขาก็จะเป็นที่รู้จัก หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น เขาจะสามารถแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นได้ เมื่อคนอื่นเห็นทักษะทางการแพทย์ที่เหนือกว่าของเขาแล้ว พวกเขาก็จะให้อภัยเขาสำหรับข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาทำ


       แต่ถ้าผู้อาวุโสเมิ่งเสียชีวิต เขาก็จะฆ่าลูกศิษย์ของเขาและทำให้เขาเป็นผู้ร้าย จากนั้นเขาจะสามารถแต่งงานกับภรรยาของลูกศิษย์ของเขาได้ และจะไม่มีใครตำหนิเขาที่จะเข้ามาดูแลภรรยาของลูกศิษย์ของเขา


       หลังจากที่เขามอบยาให้กับผู้อาวุโสเมิ่ง เขาก็เสียชีวิต และทุกอย่างก็เคลื่อนไหวไปตามแผนของเขา ในท้ายที่สุดเขาก็กลายเป็นวีรบุรุษ ในขณะที่ชายชราที่มีผมสีเงินก็ต้องยอมจำนนต่อบาปของเขา


       อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าหมอเทวดาโม่จะประสบความสำเร็จในการผลักดันปาบของเขาไปยังลูกศิษย์ของเขาในเวลานั้น ตระกูลเมิ่งก็ยังคงโกรธเขาอยู่ เพราะคิดว่าเขาได้นำคนไร้ค่ามารักษาผู้อาวุโสของพวกเขาและทำให้เขาต้องตาย


       ตั้งแต่นั้นมา ตระกูลเมิ่งก็หยุดขอความช่วยเหลือจากหมอเทวดาโม่ แม้ว่าพวกเขาจะพบว่าคุณชายน้อยของพวกเขาไม่สามารถพูดได้ พวกเขาก็ไม่ได้ไปหาเขาเพื่อขอให้เขามาทำการรักษาให้


       ชายชราที่มีผมสีเงินไม่รู้ความคิดของหมอเทวดาโม่ ในเวลานั้น นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถเล่าสิ่งที่เขารู้ในอดีตออกมาได้เท่านั้น อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง เขาได้นำใบสั่งยาของหมอเทวดาโม่ ในเวลานั้นและยาที่ผู้อาวุโสเมิ่งได้กินออกมา ตัวยายังคงอยู่แม้ว่าจะผ่านไป 20 ปีแล้วก็ตาม แต่ถึงแม้ว่าชายชราที่มีผมสีเงินจะพยายามที่จะรักษามันไว้อย่างดีแล้ว แต่ตัวยาก็ยากที่จะระบุได้


       โชคดีที่คำในใบสั่งยานั้นยังคงชัดเจนและมองเห็นได้ ผู้นำตระกูลเมิ่ง สามารถบอกได้ว่ามันเป็นลายมือของหมอเทวดาโม่ ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว เขายังสามารถจำส่วนผสมของยาที่เป็นลายลักษณ์อักษรได้ เพราะบิดาของเขาเสียชีวิตภายใต้ตัวยาตัวนั้น


“ใช่แล้ว หมอเทวดาโม่ ยังได้กล่าวด้วยว่า บิดาของข้าเสียชีวิตภายใต้ยาตัวนี้” ผู้นำตระกูลเมิ่งเป็นนักวิชาการที่อ่อนโยน เขาไม่ค่อยโกรธในเวลาปกติ แต่คราวนี้เขาถือใบสั่งยาที่ฆ่าบิดาของเขาเอาไว้แน่น


       บิดาของเขาป่วยหนักมาก และถ้าไม่ใช่เพราะยาตัวนี้บิดาของเขาก็คงจะไม่ตายในทันที และเขาก็คงจะไม่มีความเกลียดชังนี้อยู่ในใจ


       ในเวลานั้น พวกเขาไปและขอร้องหมอเทวดาโม่เพื่อให้มาทำการรักษา พวกเขาบอกอย่างชัดเจนว่า ถ้าหากเขาไม่สามารถรักษาบิดาของเขาได้ อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยยืดชีวิตของบิดาของเขาเอาไว้จนกว่าเขาจะเห็นการกำเนิดของหลานคนแรก แต่เนื่องจากความเห็นแก่ตัวของหมอเทวดาโม่ บิดาของเขาจึงได้เสียชีวิตลงก่อนหน้านั้น


       การได้เห็นใบสั่งยานี้ ผู้นำตระกูลเมิ่งก็ช่วยไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมา“หมอเทวดาโม่ ทักษะการแพทย์ของเจ้านั้นยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความชั่วร้ายของเจ้าเอาไว้ได้ สิ่งที่ข้าเสียใจที่สุดในชีวิตของข้าก็คือการได้ไปขอร้องให้เจ้ามารักษาบิดาของข้า”


       ลูกศิษย์และหลักฐานของเขา ต่างก็แสดงให้ทุกคนที่อยู่ในปัจจุบันได้เห็น หมอเทวดาโม่จึงไม่สามารถโต้เถียงได้อีกต่อไป เขาจึงทำได้เพียงยอมรับความผิดของเขาเท่านั้น หมอเทวดาโม่ถอนหายใจอย่างลึกซึ้งและมองดู ผู้นำตระกูลเมิ่ง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและโทษตนเอง“ ผู้นำตระกูลเมิ่ง สิ่งที่ข้าทำในอดีตนั้นผิด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงอยู่กับความอับอายมาหลายปี ข้าหวังว่าท่านจะยกโทษให้ข้าได้”


“ยกโทษหรือ? ทำไมเราต้องให้อภัยกับการกระทำอันผิดบาปของเจ้า? ข้าเชื่อว่ากฎหมายในแคว้นตะวันออกจะให้ความยุติธรรมแก่ตระกูลเมิ่งของเรา” ตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง เขาเองก็เป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นนักบุญ

 

 

 


ตอนที่ 251.2

 

     เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลตุลาการได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ตอบขึ้นทันที“ขอให้ผู้นำตระกูลเมิ่งมั่นใจได้เลยว่าเราจะจัดการคดีนี้ด้วยความยุติธรรม”


       คดีนี้ยังคงดำเนินต่อไป หลังจากเสร็จสิ้นกรณีของผู้อาวุโสเมิ่งแล้ว ผู้นำตระกูลเมิ่งก็ไม่ได้เปิดปากของเขาอีก แต่ชายชราผมสีเงินและหมอเทวดาโม่ก็ยังถกเถียงกันต่อไป หมอเทวดาโม่ยอมรับว่าเขาทำบาปต่อตระกูลเมิ่ง แต่เขาก็ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาอื่น ๆอีก


       เกี่ยวกับภรรยาของลูกศิษย์ของเขา เกี่ยวกับการฆ่าลูกศิษย์ของเขา เกี่ยวกับการใช้คนเพื่อทดสอบยาของเขา การใช้เลือดของผู้คนในการพัฒนายาของเขา หมอเทวดาโม่ยอมรับแม้แต่น้อย เขาสาบานว่าเขาไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อน


       หมเทวดาโม่กล่าวว่าเขามีความผิดในการตายของผู้อาวุโสเมิ่ง เมื่อ 20 ปีก่อน แต่เขาก็ยังเป็นหมอที่ซื่อตรง ในหัวใจของเขาชีวิตมนุษย์ทุกคนมีความสำคัญ เขาจะไม่ทำผิดอย่างชั่วร้ายต่อมนุษย์เช่นนั้น


20 ปีที่แล้ว เขาใช้ยานั้นและไม่ได้ทดลองกับผู้อาวุโสเมิ่งก่อน แต่เพราะเขากระตือรือร้นที่จะช่วยเขา อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดผู้อาวุโสเมิ่งก็เสียชีวิต เขากลัวที่จะกล่าวโทษว่าเป็นเพราะลูกศิษย์ของเขา แต่ลูกศิษย์ของเขาก็ไม่เคยกลับมา……


       เนื่องจากประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมของหมอเทวดาโม่ ในคำสารภาพของเขาก่อนหน้านี้ ความร้อนแรงต่อข้อกล่าวหาอื่น ๆ ของชายชราที่มีผมสีเงินจึงเบาลง เจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมและผู้นำตระกูลเมิ่ง ที่มีอคติต่อหมอเทวดาโม่ เพียงเล็กน้อยประกอบกับพยานด้วยวาจาเท่านั้น ข้อกล่าวหาอื่น ๆ ของชายชราที่มีผมสีเงินจึงไม่สามารถทำอะไรหมอเทวดาโม่ได้


       ชายชราที่มีผมสีเงินอยากจะจบชีวิตหมอเทวดาโม่ด้วยคดีนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานใด ๆ มาได้อีก


“ ถึงแม้ว่าข้าจะได้ทำสิ่งเลวร้ายบางอย่างลงไป แต่ข้าก็ยังรู้ว่าข้าได้ทำอะไรลงไปบ้าง ข้าจะไม่ยอมรับกับสิ่งที่ข้าไม่เคยทำ” หลังจากคดีของผู้อาวุโสเมิ่ง หมอเทวดาโม่ก็ดูเหมือนราวกับว่าได้เกิดใหม่อีกครั้ง ภาระอันหนักอึ้งที่สุดในชีวิตของเขาดูเหมือนจะถูกวางลงแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่กลัวโลกอีกต่อไป


       ในขณะนี้ ผู้นำตระกูลเมิ่งจึงช่วยไม่ได้ที่จะเชื่อคำพูดของหมอเทวดาโม่


“ เจ้าคนบาป เจ้ามันน่ารังเกียจ ไร้ยางอาย!” ชายชราผมสีเงินรู้ถึงความตั้งใจของหมอเทวาดาโม่ เขาเกือบจะกระอักเลือดออกมา


       เขาน่ารังเกียจจริง ๆ น่ารังเกียจจริง ๆ … ถ้าเขาสารภาพบาป การลงโทษของเขาก็จะไม่หนัก แม้ว่าชื่อเสียงของเขาจะหายไป แต่ความผิดของเขาก็เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่ทักษะของหมอเทวดาโม่ นั้นก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ และถ้าหากว่าไม่มีหมอที่ดีกว่าเขาอีกแล้ว แม้ว่าโลกจะเกลียดเขา แต่ความผิดของเขาก็จะถูกลืมหลังจากหนึ่งหรือสองปี


       หมอเทวดาโม่ ยังคงเพิกเฉยต่อข้อกล่าวหาอื่น ๆ ของชายชราที่มีผมสีเงิน ใบหน้าที่ไม่มีชีวิตของเขา ดูเหมือนจะฟื้นคืนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง  


       การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ทำให้เจ้าหน้าที่ของศาลยุติธรรมสงสัยชายชราผมสีเงิน ชายชราผมสีเงินแผดเสียงออกมาด้วยความโกรธซ้ำแล้วซ้ำ ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมถึงกับตีค้อนขึ้นเสียงดัง ทำให้ชายชราผมสีเงินเงียบลง


“ สวรรค์ไม่ยุติธรรม สวรรค์ไม่ยุติธรรม!” ชายชราผมสีเงินไม่กล้าที่จะก่อปัญหาอีกครั้ง เขาจึงได้แต่พึมพำกับตัวเอง


       เขาประเมินความร้ายกาจของหมอเทวดาโม่ ต่ำเกินไป และเขาก็ประเมินอำนาจของศาลมากเกินไป เขาคิดว่าศาลจะส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้ แต่ผลก็คือศาลไม่ได้สนใจที่จะตรวจสอบเลยแม้แต่น้อย พวกเขาต้องการให้เขานำหลักฐานมาด้วยตัวเองหรือ เขาเป็นชายชราที่พิการ เขาจะหาหลักฐานอื่นๆมาได้อย่างไร


       เพื่อหาหลักฐานในการเสียชีวิตของผู้อาวุโสเมิ่ง เขาต้องใช้เวลาอยู่ถึง 20 ปี!


       ไม่มีหลักฐานต่อความผิดอื่นๆ ของหมอเทวดาโม่ นอกเหนือจากคำให้การทางวาจาของชายชรา ดังนั้นหมอเทวดาโม่ จึงไม่สามารถถูกตั้งข้อหากับความผิดเหล่านั้นได้ และเจ้าหน้าที่ของศาลตุลาการก็ไม่กล้าดึงหมอเทวดาโม่ลงต่ำได้


       หมอเทวดาโม่จับของเขาเข้าด้วยกันแล้วก้มศีรษะลง แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เขาก็เผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลเมิ่งอีกครั้งและกล่าวขึ้น“ข้าได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลเมิ่ง พาบุตรชายของท่านมาที่เมืองหลวง แม้ว่าข้าจะมีความสามารถไม่มากนัก แต่ข้าก็สามารถที่จะพยายามรักษาเขาได้ ข้าอยากจะขอให้ผู้นำตระกูลเมิ่ง ให้โอกาสข้าได้ทำดีลบล้างกับสิ่งที่ข้าได้ทำผิดไป ข้าทำผิดพลาดในครั้งนั้น แต่คราวนี้ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”


       ในสุดท้าย หมอเทวดาโม่ก็มองผู้นำตระกูลเมิ่ง ด้วยสายตาที่อ้อนวอน


       ไม่มีหลักฐานความผิดอื่น ๆ ของเขา พวกเขาไม่สามารถบังคับให้เขาสารภาพมันออกมาได้ ตราบใดที่ศาลได้ประกาศถึงความบริสุทธิ์ของเขา โลกก็จะเห็นอกเห็นใจเขามากขึ้น


       สำหรับตระกูลเมิ่ง?


       ตราบใดที่ผู้นำตระกูลเมิ่งขอให้เขารักษาบุตรชายของเขา ก็หมายความว่าตระกูลเมิ่งได้ให้อภัยเขาแล้ว คนอื่นอาจจะยังคงพูดถึงมันต่อไป แต่ก็เพียงแค่ปีหรือสองปีเท่านั้น… .

 

 

 


ตอนที่ 252.1

 

  เมื่อผู้นำตระกูลเมิ่ง ได้ยินคำพูดของหมอเทวดาโม่ หัวใจของเขาก็เกิดความรู้สึกโล่งขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดี แต่ทักษะการแพทย์ของเขานั้นดีที่สุดในบรรดาหมอในสี่แคว้น หากจะมีบุคคลในสี่แคว้นที่จะสามารถรักษาความเจ็บป่วยของบุตรชายของเขาได้ เขากลัวว่าก็คงจะมีเพียงหมอเทวดาดโม่เท่านั้น


       แต่ถ้าเขายินยอมให้หมอเทวดาโม่ รักษาบุตรชายของเขา ตระกูลเมิ่ง ก็จะไม่สามารถเอาความเรื่องเมื่อ 20 ปีที่แล้วได้ และสำหรับข้อกล่าวหาอื่น ๆ ของหมอเทวดาโม่นะหรือ


       ผู้นำตระกูลเมิ่ง เชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ติดใจเอาความคดีของผู้อาวุโสเมิ่ง อีกต่อไปแล้ว ข้อกล่าวหาอื่น ๆ จะไม่ได้รับการสนใจ ศาลจะเชื่อว่ามันเป็นเพียงแค่โคมลอยหรือการใส่ความของชายชราที่มีผมสีเงินเท่านั้น


       เมื่อชายชราที่มีผมสีเงินได้ยินคำพูดของหมอเทวดาโม่ เขาก็หันกลับไปมองคนสองคนที่พูดคุยกันก่อนจะจากไป เขาจากไปพร้อมกับความดูถูกและเหยียดหยาม ในขณะที่หมอเทวดาโม่ ก็ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายืนนิ่งเงียบและรอคำตอบของผู้นำตระกูลเมิ่งเท่านั้น  


       หมอเทวดาโม่ แน่ใจเกือบจะ90% ว่าตระกูลเมิ่งจะเห็นด้วยกับเขา ในสี่แคว้นนี้ ไม่มีใครอื่นนอกจากเขาที่จะสามารถรักษาความพิการทางสมองของ คุณชายตระกูลเมิ่งได้แล้ว


       ผู้นำตระกูลเมิ่ง อยากจะบอกว่าไม่ แต่ก็ยังคิดถึงบุตรชายของเขาที่ไม่สามารถพูดได้ หากเขาปฏิเสธบุตรชายของเขาก็จะไม่สามารถพูดได้ตลอดชีวิตของเขา แต่ถ้าเขาเห็นด้วย เขาก็รู้สึกว่าเขากำลังจะกลืนแมลงวันเข้าไป


       ผู้นำตระกูลเมิ่ง ถอนหายใจและพูดขึ้น“ เรื่องนี้ให้ข้าลองคิดดูก่อน”


       หมอเทวดาโม่ ไม่ได้พูดอะไร เขายอมรับการตัดสินใจของผู้นำตระกูลเมิ่ง เขาไม่ได้พยายามกดกันในเรื่องนี้ เขาเพียงแค่จากไปอย่างใจเย็น … …


คนธรรมดาไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในศาล แต่ฮ่องเต้และเสี่ยวเทียนเหยารู้เรื่องนี้ดี ฮ่องเต้รู้ว่าหมอเทวดาโม่ได้ยอมรับความผิดของเขาต่อตระกูลเมิ่ง แต่ปฏิเสธที่จะยอมรับข้อกล่าวหาอื่น ๆ ของเขา ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะ“ เขาฉลาดจริง ๆ ”


       เพียงแค่ไม่ยอมรับสิ่งต่าง ๆ หากเจ้าไม่ต้องการที่จะยอมรับ มีหลักฐานหลายชิ้นชี้ให้เห็นถึงความผิดของเขาที่มีต่อผู้นำตระกูลเมิ่งและตระกูลเมิ่งก็อยู่ในเมืองหลวงอีกด้วย หากหมอเทวดาโม่จะไม่ยอมรับเขาก็จะถูกสอบสวนมากขึ้นเรื่อย ๆเท่านั้น


       และสำหรับที่เหลือนะหรือ?


       ตราบใดที่เสี่ยวเทียนเหยาไม่ได้แทรกแซง ฮ่องเต้ก็เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่ถูกเปิดเผย


“เนื่องจากเขามีความสามารถในการพลิกผันสิ่งต่าง ๆ เจิ้นก็จะดูแลหนึ่งหรือสองอย่างของเขา” ฮ่องเต้สั่งให้คนของเขาทำให้หมอเทวดาโม่ได้มีความสุขกับการดูแลแบบพิเศษในคุก แม้ว่าเขาจะดูชรา แต่เขาก็ดูสะอาดและมีระเบียบ เขายังคงสามารถรักษารูปลักษณ์ที่สูงส่งและน่ายำแกรงเอาไว้ได้


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้สนใจที่หมอเทวดาโม่ ปฏิเสธที่จะยอมรับความผิดอื่น ๆ ที่ชายชราผมสีเงินกล่าวหา ยิ่งหมอเทวดาโม่มีความขาวสะอาดเท่าไหร่ในในตอนนี้ เขาก็ยิ่งจะตกลงไปในหลุมนรกมากขึ้นเท่านั้น เมื่อการทดลองลับของเขาถูกเปิดเผย สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลเมิ่งนั้นเขาไม่สามารถควบคุมได้


       อย่างไรก็ตาม ซูฉาก็พูดขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า“ ถ้าตระกูลเมิ่งขอให้หมอเทวดาโม่รักษาคุณชายเมิ่ง ความผิดอื่น ๆ ของหมอเทวดาโม่ก็จะเป็นเรื่องยากมากที่จะสืบสาว ไม่ว่าจะเพื่อประโยชน์ของตระกูลเมิ่งหรือหน้าของหมอเทวดาโม่ ตระกูลเมิ่งก็จะสนับสนุนหมอเทวดาโม่อย่างไม่มีเงื่อนไข”


“ เว้นแต่เราจะทำลายตระกูลเมิ่ง” บุคคลหนึ่งไม่สามารถฆ่างูได้โดยปล่อยให้มันกัดตัวเอง เสี่ยวเทียนเหยา รู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน และเนื่องจากปัญหานี้เกี่ยวกับหมอเทวดาโม่ จึงเป็นธรรมชาติที่เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ หมอเทวดาโม่ ได้มีโอกาสอีกครั้ง


“ ตระกูลเมิ่งจะไม่เห็นด้วยในเร็วๆ นี้ ข้าจะเร่งความเร็วของข่าวในทางใต้ ข้าจะตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันจะถูกเปิดเผยในอีกสองวันนี้ ข่าวนี้จะดังไปสักระยะหนึ่ง” แคว้นทางใต้อยู่ไกลจากตะวันออกมาก ในเวลาปกติข่าวจะแพร่กระจายหลังจากสิบวันไปแล้ว


       ในสิบวันนั้น เป็นไปได้ที่หมอเทวดาโม่ จะคว่ำคดีของเขา


       เสี่ยวเทียนเหยา เคาะนิ้วของเขาบนโต๊ะ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูด: “เนื่องจากปิ่นปักผมที่มีพิษของโม่ อี้เอ้อร์ ทำให้การรักษาของเปิ่นหวางล้มลงและเกือบทำให้ขาของเปิ่นหวางกลายเป็นของเสีย เปิดเผยเรื่องนี้ต่อตระกูลเมิ่ง”


       ดวงตาของซูฉาเปล่งประกายสดใสขึ้น“ตระกูลเมิ่งจะลังเลมากขึ้นกับข่าวนี้”


“ตราบใดที่พวกเขาลังเล สิ่งต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก” เสี่ยวเทียนเหยาหลับตาลง ริมฝีปากของเขาโค้งเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนี้ดูอันตรายมาก……

 

 

 


ตอนที่ 252.2

 

    หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้ออกจากตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ อีกเลยตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ออกไป เธอยุ่งมากกับการดูแลทหารที่บาดเจ็บในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ เมื่อเห็นบาดแผลของทหารในตอนนี้มีสภาพคงตัว หลิน ชูจิ่วจึงต้องการออกไปเปิดหูเปิดตาหน่อย


       หลิน ชูจิ่ว คิดว่าถ้าเธอใช้สมุนไพรเป็นข้อแก้ตัว เสี่ยวเทียนเหยา จะไม่สงสัยเธอ เธอเลยตัดสินใจออกไปซื้อยา


       หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้คุยเรื่องนี้กับเสี่ยวเทียนเหยา เธอเพียงแค่บอกให้พ่อบ้านเฮ้าเตรียมรถม้าให้เธอ


“หวางเฟย หวางเย่ รู้เรื่องนี้หรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านเฮ้าแอบบ่นในใจของเขาอย่างลับ ๆ


       ทำไมหวางเฟย ต้องการออกไปอีกครั้ง!


“ เขาไม่รู้ ท่านก็ไปรายงานเขาเอง” ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เธอไปพบเสี่ยเทียนเหยาเพื่อกล่าวคำขอบคุณ เธอก็ไม่เคยเห็นเขาอีกเลย


       แต่แน่นอนยกเว้นช่วงกลางคืน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะนอนด้วยกัน แต่หลิน ชูจิ่วก็ยังไม่ทราบว่าเขามาถึงเมื่อใด


“ เรื่องนี่……” พ่อบ้านเฮ้าดูเขินอาย เขาหวังว่าหลิน ชูจิ่วจะเข้าใจความหมายของเขา แต่“ ไปรายงานเขา ข้าจะรอท่านก่อนที่จะออกไปข้างนอก”


       พ่อบ้านเฮ้าทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องทำตามเท่านั้น เขาได้แต่ดึงความกล้าขึ้นมาและไปรายงานต่อเสี่ยวเทียนเหยา พ่อบ้านเฮ้าคิดว่าเสี่ยวเทียนเหยา จะปฏิเสธ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสี่ยวเทียนเหยา พูดขึ้น “นางสามารถไปพร้อมกับทหารได้เท่านั้น”


“บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ” ด้วยความยินยอมของเสี่ยวเทียนเหยาเขาจึงไม่ต้องกังวลอะไรอีก


       ทหารกลุ่มเดียวกับครั้งที่แล้วก็ไปพร้อมกับหลิน ชูจิ่วอีกครั้ง หลังจากเห็นทหารแล้วหลิน ชูจิ่วก็พยักหน้า ก่อนจะเข้าไปในรถม้า


       ทหารถามหลิน ชูจิ่วว่าเธออยากจะไปที่ไหน จากนั้นเขาก็นำหลิน ชูจิ่วไปยังร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แต่แน่นอนว่าทหารเหล่านี้จะไม่บอกหลิน ชูจิ่วว่าร้านขายยาแห่งนี้เปิดขึ้นโดยเสี่ยวเทียนเหยา


       เมื่อเจ้าของร้านได้ยินว่าเสี่ยวหวางเฟยมาซื้อสมุนไพร พวกเขาก็พาคนของเขาออกมารับใช้หลิน ชูจิ่ว หลังจากถามหลิน ชูจิ่ว ว่าสมุนไพรชนิดไหนที่เธอต้องการซื้อ เขาก็หยิบตัวอย่างที่ดีที่สุดออกมาและเอามาให้เธอดู หลิน ชูจิ่ว พอใจกับคุณภาพเป็นอย่างมาก ราคาก็สมเหตุสมผล ดังนั้นหลิน ชูจิ่ว จึงให้เจ้าของร้านส่งพวกมันไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ก่อนจะชำระเงิน


       หลังจากพวกเขาซื้อสมุนไพรเสร็จแล้ว ทหารก็ถามหลิน ชูจิ่วอีกครั้งว่าเธอต้องการจะไปที่ไหน หลิน ชูจิ่ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอบอกว่าเธอต้องการไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง


       เธอเป็นเด็กกำพร้า เธอรู้ชัดเจนว่าเด็ก ๆ ควรได้รับอาหารที่ดีเพื่อสุขภาพที่ดี ดังนั้นเธอจึงอยากไปช่วย


       เธอมีเงินจำนวนมาก การเลี้ยงลูกเด็กสักกลุ่มจะไม่ใช่ปัญหา


       ทหารคิดว่าเขาได้ยินผิด ดังนั้นเขาจึงถามหลิน ชูจิ่ว อีกครั้ง เมื่อหลิน ชูจิ่วย้ำพูดคำของเธอซ้ำอีกครั้ง ทหารก็ช่วยไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น


       สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง เป็นสถานที่ที่ผู้คนในสังคมชั้นสูงไม่ต้องการไป ดังนั้นทหารจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมหลิน ชูจิ่วถึงอยากไปที่นั่น เขาต้องการเกลี้ยกล่อมหลิน ชูจิ่ว แต่หลิน ชูจิ่ว ก็ยังปฏิเสธขึ้นทั้งที่เขายังพูดไม่จบ หทารจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขับรถม้าไปทางสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง  


       สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง เป็นสถานที่ที่ราชสำนักได้สร้างขึ้นสำหรับเด็กทารกและเด็กที่ถูกทอดทิ้ง และถึ้งแม้ว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง จะมีอยู่ทั่วแคว้นตะวันออก แต่ผู้คนกล่าวว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ดูดีที่สุดจะอยู่ในเมืองหลวง


       แม้ว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ในเมืองหลวงไม่ใช่สถานที่ที่ลำบาก แต่ก็แยกออกจากถนนที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง มันถูกสร้างขึ้นบนถนนจู้เชวี่ย


       ถนนจู้เชวี่ย นั้นไม่กว้าง รถม้าไม่สามารถผ่านไปได้ ทหารจึงจอดรถม้าเอาไว้ข้างถนนและพูดขึ้น“หวางเฟย ข้างหน้าของเราคือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง แต่รถม้าไม่สามารถเข้าไปถึงที่นั่นได้ขอรับ”


“ข้าจะลง แล้วพวกเราค่อยเดินไป” หลิน ชูจิ่วลงมาจากรถม้าและกำลังจะไปกับทหารที่ถนนจู้เชวี่ย แต่……


       ทันทีที่เธอก้าวออกมาข้างนอก ระบบการแพทย์ก็ส่งสัญญาณเตือนขึ้น: ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาทันที


       มันเข้าใจผิดไปใช่ไหม!


       หลิน ชูจิ่ว เกือบสาปแช่งขึ้น …


       แบบนี้มันหมายความว่า ทุกครั้งที่เธอออกมาข้างนอกและมีผู้ป่วยที่ต้องการการรักษา เธอก็ต้องรักษาพวกเขาหรือ?


       ผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่วิกฤต โปรดให้การรักษาทันที ระบบการแพทย์เตือน หลิน ชูจิ่วขึ้นอีกครั้ง คนที่ยังยืนอยู่ในจุดเดิมด้วยใบหน้าที่น่าเกลียด


       หลังจากรออยู่เป็นเวลานาน ทหารที่ยังคงเห็นหลิน ชูจิ่วไม่ขยับ ดังนั้นเขาจึงช่วยไม่ได้ที่จะถามขึ้น “หวางเฟย พวกเรายังจะไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง หรือไม่ขอรับ?”


“ เราจะไป แต่ไม่ใช่ตอนนี้……” หลิน ชูจิ่ว กัดฟันของเธอและหันหลังไปอย่างขุ่นเคือง เธอจะไปตามหาผู้ป่วยของระบบการแพทย์……

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม