Princess Medical Doctor องค์หญิงแพทย์ผู้เชียวชาญ 222.1-231.2

ตอนที่ 222.1

 

ภายในหนึ่งวัน ฮ่องเต้ได้ยินคนถึงสองคนบอกว่าโม่ อวี้เอ้อร์ มีทักษะทางการแพทย์ หมอเทวดาโม่บอกว่านางมีทักษะทางการแพทย์ที่ธรรมดาและความรู้ของนางก็ยังน้อยอยู่ แต่ตอนนี้หมอหลวงฉิน กลับบอกว่านางมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม บุคคลใดที่เขาควรเชื่อ


       ฮ่องเต้มองไปที่หมอหลวงฉิน แต่ไม่ได้ให้คำตอบ


       หมอหลวงฉินจึงลดศีรษะลง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของฮ่องเต้ได้ อย่างไรก็ตาม เขายังคงคุกเข่าอย่างมั่นคงและดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับความกดดันของฮ่องเต้


       พระสนมโจวเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ต้องการจะเห็นด้วย เมื่อเห็นเช่นนั้น นางก็คิดว่าฮ่องเต้จะต้องมีความรู้สึกบางอย่างต่อโม่ อวี้เอ้อร์ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่สามารถทนต่อเรื่องนี้ได้ ดังนั้นนางช่วยไม่ได้ที่จะเกลียดโม่ อวี้เอ้อร์ มากยิ่งขึ้น


“ฝ่าบาท พระองค์ไม่เห็นสภาพของจื่ออันหรือเพคะ? ทำไมพระองค์ถึงปฏิเสธคำขอของหมอหลวงฉิน สนมอวี้เหม่ยเหริน เป็นบุตรสาวของหมอเทวดาโม่ แม้ว่านางจะได้เรียนรู้ความรู้ด้านการแพทย์ของหมอเทวดาโม่ เพียงหนึ่งในสิบของเขา แต่ทักษะของนางก็ยังคงเทียบได้ว่าดีกว่าหมอทั่วไป “พระสนมโจรเพิ่มคำที่สวยงามขึ้นภายใต้ชื่อโม่ อวี้เอ้อร์


       ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยและกลับพูดขึ้นทันที “หมอเทวดวโม่กล่าวว่าบุตรสาวของเขาได้เรียนรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะนางไม่สนใจเรื่องยา “


       แต่อย่างไรก็ตาม หมอหลวงฉิน จะปล่อยให้โม่ อวี้เอ้อร์หลุดไปง่ายๆ ได้อย่างไร? ดังนั้นเขาจึงเสริมขึ้น “หมอเทวดาโม่ถ่อมตนเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้เมื่อกระหม่อมได้เข้าไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ กระหม่อมได้เป็นพยานในทักษะทางการแพทย์ของพระสนมอวี้เหม่ยเหริน ทักษะทางการแพทย์ของพระสนมอวี้เหม่ยเหริน สูงกว่ากระหม่อมมาก ”


“เจ้าแน่ใจหรือ?” ความสงสัยของฮ่องเต้ลุกขึ้นอีกครั้ง


       หมอหลวงฉิน พยักหน้าอย่างจริงจัง “เรื่องนี้กระหม่อมแน่ใจพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”


       ฮ่องเต้ไม่ลังเลอีกต่อไป “ตามอวี้เหม่ยเหรินมาที่ตำหนักฉิง”


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ขันทีของฮ่องเต้จากไปทันที หลังจากไม่นานขันทีคนเดิมก็กลับมา


       โม่ อวี้เอ้อร์ที่งดงามก็ปรากฏตัวขึ้น นางสวมชุดสีน้ำเงิน ใบหน้าเยือกเย็นและความภาคภูมิใจของนางดูเหมือนเทพธิดาจากภูเขาหิมะ ทัศนคติที่หยิ่งยโสของนางดูเหมือนว่าไม่มีใครอยู่ในสายตาของนาง


       อย่างไรก็ตามในเวลาเพียงไม่กี่เดือนของการเข้ามาอยู่ในวังอารมณ์ของโม่ อวี้เอ้อร์ ดูเหมือนจะยิ่งเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีดำของนางไม่มีร่องรอยของอารมณ์ ร่างกายของนางไม่มีร่องรอยของความอบอุ่นอยู่เลย


       เมื่อโม่ อวี้เอ้อร์ เข้ามาในห้องก็ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง หัวเข่าของนางแข็งกระด้างเมื่อนางทำความเคารพ “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”


“ลุกขึ้นได้ สนมรักของเจิ้น” ฮ่องเต้ค่อนข้างสนใจโม่ อวี้เอ้อร์อยู่ไม่น้อย


       ความหยิ่งและความภาคภูมิที่งดงามเป็นราวกับน้ำทะเลที่อ่อนโยนใต้ร่างของเขา ดังนั้นใครจะไม่รู้สึกมีความสุขที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเขารู้สึกดีใจมาก


“ขอบพระทัพเพคะฝ่าบาท “โม่ อวี้เอ้อร์ ลุกขึ้น แต่นางไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ต่อคำพูดของฮ่องเต้ นางเพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่นเหมือนคนนอก


       ความเย่อหยิ่งนี้ยิ่งดึงดูดความสนใจของฮ่องเต้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามฮ่องเต้มีความสนใจต่อนาง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต้จะไม่สนใจชีวิตขององค์ชายสามเสี่ยว จื่ออัน


       ฮ่องเต้ได้เปิดปากของเขาอย่างสง่างามและพูดขึ้น”สนมที่รัก หมอหลวงฉินได้กล่าวว่าทักษะทางการแพทย์ของเจ้ายอดเยี่ยม บิดาของเจ้าก็ยังบอกด้วยว่าเจ้ารู้จักทักษะทางการแพทย์อยู่บ้าง ตอนนี้องค์ชายสามป่วยหนักแต่บิดาของเจ้าก็ออกไปนอกวัง ในขณะนี้เจิ้น ไม่สามารถหาใครมาช่วยองค์ชายสามได้อีกแล้ว เจิ้นกำลังขอความช่วยเหลือจากเจ้าเพื่อให้เจ้าองค์ชายเสี่ยว จื่ออัน”


“ฝ่าบาท” โม่ อวี้เอ้อร์คุกเข่าลงไปตรงๆ ราวกับว่านางไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย “หม่อมฉันไม่สนใจเรื่องยามาตั้งแต่เด็กๆ แล้วหม่อมฉันจะเปรียบเทียบกับท่านพ่อของหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ? หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทเปลี่ยนรับสั่งด้วยเพคะ ”


       โม่ อวี้เอ้อร์ ไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับบิดาพ่อของนางล่วงหน้า แต่ … … ในวันที่นางกลายเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้หัวใจของนางก็ตายไปแล้ว


       คนที่หัวใจตายไปแล้ว จึงไม่ได้มีความห่วงใยในชีวิตและความตายของตัวเอง ทำไมนางจะต้องห่วงใยชีวิตของคนอื่น?


       พวกเขาต้องการให้นางช่วยชีวิตบุตรชายของฮ่องเต้หรือ? พวกเขาต้องฝันไปแน่ๆ!


       “เป็นเช่นนั้นหรือ”เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่เชื่อในคำพูดของนาง เขาเอนตัวไปข้างหน้าเพื่อสร้างความกดดันให้กับโม่ อวี้เอ้อร์ แต่ความรู้สึกของนางก็ไม่ได้เปลี่ยนไป นางยังคงคุกเข่าอยู่ที่นั่นโดยไม่มีอารมณ์ใดๆให้เห็น”สนมรักของเจิ้น… … อย่าได้กล้าที่จะหลอกหลวงเจิ้น”

 

 

 


ตอนที่ 222.2

 

  ฮ่องเต้ไม่ได้ปล่อยโม่ อวี้เอ้อร์ไปง่ายๆ เขายังคงถามขึ้น “เจ้าจะช่วยองค์ชายสามได้หรือไม่?”


“ไม่ได้เพคะ!” โม่ อวี้เอ้อร์ ตอบด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อ


       ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของหมอหลวงฉิน ฮ่องเต้ก็จะไม่เชื่อว่านางมีทักษะทางการแพทย์ ดังนั้นฮ่องเต้จึงต้องข่มขู่นางขึ้น “ถ้าองค์ชายสามตาย เจิ้นก็จะฝังบิดาของเจ้าไปกับเขาด้วย”


       ฮ่องเต้ไม่ล้อเล่น แต่โม่ อวี้เอ้อร์ ก็ยังไม่ได้พูดอะไรเพื่อยอมรับ


       หมอหลวงฉินและพระสนมโจว แอบรู้สึกเป็นกังวล ทั้งสองคนนี้ไม่ได้คาดหวังว่าโม่ อวี้เอ้อร์ จะหยิ่งยโสถึงเพียงนี้ นางถึงกลับไม่สนใจแม้แต่เรื่องความตายของบิดาของนางเอง


       ภายใต้สถานการณ์หนักอึ้งดังกล่าว หมอหลวงฉินไม่สามารถทำอะไรได้ แต่พระสนมโจวไม่ยอมแพ้ให้กับโม่ อวี้เอ้อร์ จู่ๆ นางก็คว้ามือของนางเอาไว้และพูดขึ้น “อวี้เออร์พี่หญิงคนนี้ขอร้องเจ้า ข้าขอร้อง จื่ออันเป็นบุตรชายของฮ่องเต้ เจ้าสามารถทำให้หัวใจของเจ้าอ่อนลงและช่วยเขาได้หรือไม่? แล้วพี่หญิงคนนี้จะตอบแทนเจ้าแม้กระทั่งชีวิตหลังความตาย ”


“ข้าไม่สามารถช่วยเขาได้” โม่ อวี้เอ้อร์ ยังคงปฏิเสธ พระสนมโจวไม่สนใจนางยังคงขอร้องและร้องไห้ต่อไป


       ฮ่องเต้ไม่สามารถบอกได้ว่าโม่ อวี้เอ้อร์ กำลังบอกความจริงหรือไม่ แต่เมื่อเห็นการแสดงออกที่น่าตกใจของหมอหลวงฉิน ฮ่องเต้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น


       เมื่อเทียบกับหมอเทวดาโม่ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ฮ่องเต้จะเชื่อคำพูดของหมอหลวงฉินมากกว่า เพียงแต่ว่า คำพูดของโม่ อวี้เอ้อร์ ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ของปลอม


       ดูเหมือนว่าเขาต้องลองอีกที!


       ดวงตาของฮ่องเต้เปลี่ยนไปและเขาก็ตะโกนขึ้น “อวี้เอ้อร์ เจิ้น จะถามเจ้าอีกครั้งว่าเจ้าจะช่วยองค์ชายสามหรือไม่?”


       คำตอบของโม่ อวี้เอ้อร์ ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป”ไม่สามารถช่วยเขาได้เพคะ”


“ในเมื่อเจ้าไม่สามารถช่วยองค์ชายสามได้ แล้วเจ้าจะมีประโยชน์อะไร มาลากนางออกไปและตัดศีรษะของนางเสีย! “อารมณ์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไป ราวกับว่าทุกความรักของเขาก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ทุกคนรู้สึกตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ แม้แต่พระสนมโจวก็คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตกใจ


       อย่างไรก็ตามโม่ อวี้เอ้อร์ ไม่ได้ตกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะนางเชื่อมั่นว่าฮ่องเต้จะไม่ฆ่านาง


       ผู้หญิงที่ไม่กลัวความตายและมีความงดงามเป็นภัยคุกคามใหญ่ในวังหลัง


       ในขณะนี้พระสนมโจวได้ทำเครื่องหมายให้โม่ อวี้เอ้อร์ เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของนางแล้ว


       องครักษ์หลวงที่เข้ามาและลากตัวโม่ อวี้เอ้อร์ออกไป โม่ อวี้เอ้อร์ไม่ได้ต่อสู้ แต่เมื่อฮ่องเต้และพระสนมโจวคิดว่านางไม่กลัวความตายจริงๆ โม่ อวี้เอ้อร์ก็เปิดปากของนางขึ้น “ฝ่าบาท แม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ช่วยองค์ชายสามได้ แต่หม่อมฉันก็รู้ว่ามีใครคนหนึ่งที่สามารถช่วยเขาได้”


       “ใคร” ฮ่องเต้ไม่กลัวที่จะสูญเสียผู้หญิงคนหนึ่งในวังหลังของเขา โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่กลัวความตาย


       แต่เมื่อเห็นตาที่จริงจังของโม่ อวี้เอ้อร์ ฮ่องเต้ก็ได้แต่แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ


“เป็นเสี่ยวหวางเฟย หลิน ชูจิ่วเพคะ “โม่ อวี้เอ้อร์พูดชื่อของหลิน ชูจิ่วออกมาในขณะที่กัดฟันของนาง นางเกลียดหลิน ชูจิ่วที่คว้าตำแหน่งของนางไป ถ้าไม่ใช่เพราะนาง นางก็จะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้


       ถ้าหลิน ชูจิ่ว ไม่มีตัว นางก็จะเป็นผู้หญิงของเสี่ยวหวางเย่  นางไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่น่าขยะแขยงเช่นนี้ นอนอยู่ข้างเตียงกับผู้ชายที่น่าขยะแขยง


       โม่ อวี้เอ้อร์ เกลียดหลิน ชูจิ่ว เข้าไปที่กระดูก แต่นางไม่ได้แสดงให้เห็นในดวงตาและใบหน้าของนาง ราวกับว่านางเป็นเพียงคนนอกเท่านั้น


“หลิน ชูจิ่วหรือ?” หลังจากได้ยินชื่อหลิน ชูจิ่ว จากปากของพ่อและลูก อารมณ์ของฮ่องเต้ก็ไม่ดีมาก


“หลิน ชูจิ่ว? นางสามารถรักษาจื่ออันได้หรือ”แม้ว่าพระสนมโจวจะเกลียดหมอเทวดาโม่และโม่ อวี้เอ้อร์ แต่คราวนี้สิ่งที่นางต้องการก็คือให้บุตรชายของนางหายขาด


       ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่ทั้งสองคนแนะนำมา นางก็จะลองดู


“เพคะ” โม่ อวี้เอ้อร์ ตอบโดยไม่ลังเล”ทักษะทางการแพทย์ของนางดีมาก ทักษะของนางไม่ด้อยไปกว่าบิดาของหม่อมฉันแม้แต่น้อย “โม่ อวี้เอ้รอ์ ยอมรับว่านางเป็นสุนัขจิ้งจอก แต่แล้วจะอย่างไร?


       ตราบเท่าที่ฮ่องเต้เชื่อคำพูดของนางและเรียกหลิน ชูจิ่วเข้าวัง และหลิน ชูจิ่วจะล้มเหลวในการรักษาเสี่ยว จื่ออัน และชีวิตของนางก็จะจบลงอย่างอนาถ!


       หลิน ชูจิ่วรู้สึกหดหู่มากเพราะเสี่ยวเทียนเหยาก็ยังคงกีดขวางเธอ ทำให้เธอไม่สามารถเข้าไปในวังได้ เมื่อองค์ชายสามอาเจียนออกมาเป็นเลือด เธอก็ถูกระบบการแพทย์ลงโทษอีกครั้ง


       หลังจากการลงโทษเสร็จสิ้น ระบบการแพทย์ที่ไร้ความปราณีและไร้เหตุผล ก็เตือนเธออีกครั้งว่าชีวิตของเสี่ยว จื่ออัน กำลังตกอยู่ในอันตราย เธอต้องไปรักษาเขาให้เร็วที่สุด!

 

 

 


ตอนที่ 223.1

 

  หลังจากที่การลงโทษของระบบการแพทย์สิ้นสุดลง หลิน ชูจิ่วก็ล้มลงไปที่เตียงอย่างไร้เรียวแรง


       คราวนี้ การลงโทษเจ็บปวดและยาวนานกว่าครั้งก่อน เมื่อการลงโทษเสร็จสิ้นลง ร่างกายของหลิน ชูจิ่วก็เต็มไปด้วยเหงื่อ เธอดูเหมือนปลาที่ออกมาจากน้ำ


       หลิน ชูจิ่วไม่ใช่คนที่ไม่สามารถแบกรับความเจ็บปวดได้ แต่การลงโทษของระบบการแพทย์ก็ไร้มนุษยธรรมเกินไป หลิน ชูจิ่วช่วยไม่ได้ที่จะร้องไห้เนื่องจากความเจ็บปวด เมื่อทหารด้านนอกได้ยินเธอร้องไห้ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะมา พวกเขาจึงไปรายงานต่อเสี่ยวเทียนเหยาแทน


“หวางเย่ หวางเฟย ล้มป่วยอีกครั้งแล้วขอรับ” ทหารไม่ทราบสถานการณ์ของหลิน ชูจิ่ว ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้คำว่า ‘ป่วย’ ได้เท่านั้น


       ตอนนี้เสี่ยวเทียนเหยา ไม่จำเป็นต้องใช้รถเข็นของเขาอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินรายงานของทหาร เขาก็รีบวิ่งไปที่ลานของหลิน ชูจิ่วด้วยเท้าของเขาแทน หทารหันออกไปเพื่อที่จะตามเขาไป แต่เสี่ยวเทียนเหยาก็ไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไปแล้ว … …


       สถานที่ที่หลิน ชูจิ่ว อาศัยอยู่ อยู่ไกลจากลานด้านหน้า ดังนั้นแม้ว่า เสี่ยวเทียนเหยาจะรีบแค่ไหน เขาก็ถือว่ามาช้าเกินไปเพราะ เมื่อเขามาถึงหลิน ชูจิ่วก็สามารถลุกขึ้นได้แล้ว


*ปัง*


       เสี่ยวเทียนเหยาพังประตูให้เปิดออก เมื่อหลิน ชูจิ่วลุกขึ้น เธอก็เงยหน้าขึ้นและเห็นดวงตาที่เย็นชาของเสี่ยวเทียนเหยา เสี่ยวเทียนเหยา เห็นใบหน้าของหลิน ชูจิ่ว ซีดและริมฝีปากที่ถูกกัดของเธอก็มีเลือดออกมา เพราะเธอยังไม่ได้มีเวลาที่จะเช็ดมันออก


       ทั้งสองต่างก็จ้องมองกันอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไร ความรู้สึกของพวกเขาเพิ่งจะกลับมาปกติอีกครั้ง หลังจากที่ทหารก้าวเข้ามาและยกประตูที่พังออกไป


       หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสี่ยวเทียนเหยา ก็หยุดความเงียบลงและถามขึ้น”เกิดอะไรขึ้น” หลิน ชูจิ่ว ดูอ่อนแอและดูเหมือนป่วยหนัก


       หลิน ชูจิ่วลดศีรษะและหลีกเลี่ยงสายตาของเสี่ยวเทียนเหยา จากนั้นก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส “ข้าไม่ได้บอกท่านไปแล้วหรือว่ามันเป็นเพียงโรคเก่ากำเริบเท่านั้น” หลิน ชูจิ่ว ยังคงใช้คำพูดเดียวกัน เธอไม่สนใจว่าเสี่ยว เทียนเหยาจะเชื่อหรือไม่


“อาการโรคเก่ากำเริบหรือ?” เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเทียนเหยาไม่เชื่อ ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ถามอะไรเพราะชุย แซนเหย่และองค์หญิงฟูอาน ก็อยู่ที่นั่น เขาไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องของหลิน ชูจิ่ว


“ท่านดูไม่ออกหรือ?” หลิน ชูจิ่ว รู้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา ไม่เชื่อเธอ แต่แล้วจะอย่างไร?


       เสี่ยวเทียนเหยาไม่มีหลักฐานอะไรที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอโกหกหรือไม่


“เจ้าต้องการหมอหรือไม่?” ข้อเท็จจริงอยู่ต่อหน้าของเขา ดังนั้นมันต้องเป็นความจริง เสี่ยวเทียนเหยา ไม่เชื่อคำพูดของหลิน ชูจิ่ว แต่เหมือนกับที่หลิน ชูจิ่ว กำลังคิด เขาไม่มีหลักฐานอะไรเขาจึงเชื่อได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น


“ไม่ ข้าสบายดี ข้าเพียงแค่ต้องพักผ่อนเท่านั้น” หลิน ชูจิ่วพูดขึ้น แต่เธอกำลังงอร่างของเธอเหมือนผักดองเค็ม ก่อนจะพูดขึ้น”หวางเย่ ข้าอยากจะอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าขอตัว ”


       คำพูดของหลิน ชูจิ่ว หมายถึงให้ เสี่ยวเทียนเหยา ออกไปข้างนอก แต่ผลก็คือเสี่ยวเทียนเหยา เพียงแค่เคลื่อนไหวไปด้านข้างและหลีกทางให้หลิน ชูจิ่วเท่านั้น


       หลิน ชูจิ่วมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอเดินผ่านเขาไปอย่างเงียบ ๆ และหยิบเสื้อผ้าของเธอไปที่ห้องน้ำ


       ก่อนหน้านี้ เธอได้สั่งให้คนน้ำอุ่นมาไว้ให้เธอแล้ว ดังนั้นเธอเพียงแค่ต้องตรงไปที่อ่างอาบน้ำเท่านั้น สำหรับเสี่ยวเทียนเหยานะหรือ? หลิน ชูจิ่วไม่คิดว่าผู้ชายที่ยุ่งเหมือนเขาจะรอคนอย่างเธอ


       อ่างอาบน้ำเพียงแค่ถูกคั่นด้วยผนังกระดาษจากห้องนอนเท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีอะไรให้เห็น แต่เสียงน้ำไหลลงจากร่างกายของหลิน ชูจิ่วก็สามารถผ่านออกไปได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ


       เสี่ยวเทียนเหยาเป็นผู้มีศิลปินศิลปะการต่อสู้ การได้ยินของเขามีความไวกว่าคนธรรมดาหลายเท่า ในห้องที่เงียบสงบเช่นนี้ เสียงของน้ำที่ไหลจึงดังมากกว่าปกติหลายเท่า


       เพียงแค่ฟังมัน เสี่ยวเทียนเหยา ก็คาดเดาได้ว่าน้ำไหลจากบ่าของหลิน ชูจิ่ว ลงไปที่อ่างอาบน้ำ และเมื่อเขาหลับตาลง เขาก็สามารถนึกถึงภาพที่แท้จริงออกมาได้


       นี่มันเป็นการทรมานอย่างแท้จริง!

 

 

 


ตอนที่ 223.2

 

 ร่างกายที่งดงามและผิวขาวราวกับหยกของหลิน ชูจิ่ว จึงปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติภายในหัวของเสี่ยวเทียนเหยา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปจินตนาการให้เสียเวลา เพราะภาพที่งดงามได้ปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติในหัวของเขา และมันยังตามทันการเคลื่อนไหวในปัจจุบันของเธออีกด้วย


       เจ้าต้องออกไปจากที่นี่!


       เสี่ยวเทียนเหยา พูดกับตัวเองมากกว่าสิบครั้ง แต่เท้าของเขาก็เหมือนกับมันมีรากติดอยู่พื้น เขาไม่สามารถขยับไปไหนได้แม้แต่ครึ่งก้าว ดูเหมือนว่าจะมีความปรารถนาที่ต้องการจะอยู่ภายในหัวใจของเขา


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อหลิน ชูจิ่ว เสร็จสิ้นจากการอาบน้ำ เขาก็ถึงขนาดสามารถจินตนาการภาพของหยดน้ำที่หยุดลงมาจากร่างกายของนางได้


       เมื่อเขาคิดถึงมัน เขาก็รู้สึกกระหายน้ำและดูเหมือนว่าจะมีไฟบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่ภายในร่างของเขา


       เขากำลังถูกครอบงำหรือ?


       ในระหว่างที่เขากำลังจมอยู่ในความคิด หลิน ชูจิ่วก็ได้ใส่เสื้อผ้าของเธอและเดินออกไปข้างนอก ร่างกายของเธอยังคงมีความชื้นจากการอาบน้ำ ผมของเธอไม่แห้ง หลิน ชูจิ่วถือผ้าเช็ดตัวขนาดใหญ่และลูบผมในขณะที่เดินออกมา


       เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องนอน เธอก็เห็นเสี่ยวเทียนเหยา นั่งอยู่บนขอบเตียง หลิน ชูจิ่ว ก้าวเข้ามาข้างในและขมวดคิ้ว “หวางเย่ ท่านยังมีเรื่องที่ต้องการจะพูดอยู่หรือ?” มันกินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เสี่ยวเทียนเหยาก็ยังนั่งอยู่ตรงนี่? เขาไม่รู้สึกเบื่อหรือ?


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้ตอบคำถามของหลิน ชูจิ่ว แต่เขาโบกมือให้เธอแทน “เข้ามาใกล้ ๆ ” เสียงของเขาฟังดูแหบแห้ง เพราะเสี่ยวเทียนเหยา ตั้งใจลดเสียงของเขาลงเพื่อที่จะทำให้คนอื่นไม่รู้สึกถึงอะไรพิเศษในน้ำเสียงของเขาได้


“อะไรนะ?” หลิน ชูจิ่วรู้ดีว่าเธอไม่เคยเข้าไปอยู่ในสายตาของเสี่ยวเทียนเหนา ดังนั้นเธอจึงไม่ได้วางแผนที่จะเข้าไปใกล้เขา


       ผู้ชายต่างก็เป็นสัตว์โดยธรรมชาติ พวกเขาคิดโดยการใช้ร่างกายส่วนล่างของพวกเขา เธอเพิกเฉยอยู่ในขณะนี้ ถ้าเสี่ยวเทียนเหยา ปฏิบัติกับเธออย่างไร้ราคาและบอกว่าเป็นเพราะเธอยั่วยวนเขา เช่นนั้นเธอก็จะยอมตายมากกว่าเข้าไปใกล้เขา


“เปิ่นหวางบอกให้เจ้าเข้ามาใกล้ ๆ ก็เข้ามาใกล้ๆ ทำไมต้องพูดไร้สาระ? “เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักๆ เพราะเขารู้สึกไม่ค่อยดีเล็กน้อย


       หัวคิ้วของหลิน ชูจิ่ว ขมวดขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะตัดสินใจได้ เสี่ยวเทียนเหยาก็ลุกขึ้นยืนและดึงเธอเข้ามาใกล้


“อ่า … ” หลิน ชูจิ่วตกใจมากและกรีดร้องขึ้นทันที ตามมาด้วยร่างของเธอก็ร่วงลงไปอย่างสวยงามในอ้อมแขนของเสี่ยวเทียนเหยา


       ชายคนนี้มีเลือดของสุนัขอยู่หรือไง!


“เจ้าช่วยเบาเสียงลงหน่อยไม่ได้หรือ?” เสียงดังเช่นนี้จะทำให้ผู้คนคิด ว่าเขาทำอะไรหลิน ชูจิ่ว


       พวกทหารด้านนอก ต่างก็เริ่มกลัวที่จะฟัง … …


       หวางเฟยเพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วก็กรีดร้อง หวางเย่กำลังทำอะไรกับหวางเฟย?


       หลิน ชูจิ่วไม่ตอบ แต่เธอพูดคำพูดของเขาขึ้นแทน “ท่านช่วยหยุดเอาแต่ใจหน่อยไม่ได้หรือ?”


       เสี่ยวเทียนเยหา ยังไม่สนใจคำพูดของเธอและพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ลุกขึ้น!”


“ข้า … … ” เองก็ต้องการที่จะยืนขึ้น แต่ …


       หลิน ชูจิ่ว อยากจะปิดหน้าของตัวเองและร้องไห้ เพราะตอนนี้เท้าเธอหมดแรง เธอไม่สามารถยืนขึ้นได้แม้ว่าเธอจะต้องการมากแค่ไหนก็ตาม เธอรู้สึกเหนื่อยมากและเอวของเธอก็ดูเหมือนราวกับมันหักไปแล้ว


“ไร้ประโยชน์!” เสี่ยวเทียนเหยา ดูเบื่อหน่าย แต่เขากลับอ่อนโยนมากกับการกระทำของเขา เขาช่วยหลิน ชูจิ่ว ให้นั่งลงอย่างระมัดระวัง


       หลิน ชูจิ่วต้องการจะร้องไห้จริงๆ ถ้าเธอรู้ว่าสิ่งต่างๆจะเป็นเช่นนี้ เมื่อเสี่ยวเทียนเหยา บอกให้เธอเข้ามาใกล้ ๆ เธอก็ควรจะเข้ามาใกล้โดยไม่ต้องคิดมากเกินไป


       หลิน ชูจิ่วผู้ที่ถูกตำหนิโดยเสี่ยวเทียนเหยาได้นั่งลงอย่างเชื่อฟังและไม่ได้พูดอะไร เธอรอให้เสี่ยวเทียนเหยาพูดแทน อย่างไรก็ตามเสี่ยวเทียนเหยา กลับคว้าผ้าเช็ดตัวที่อยู่ในมือของเธอไป


“หวางเย่ ท่านต้องการผ้าเช็ดตัวหรือ?” หลิน ชูจิ่ว ถามขึ้นอย่างโง่เขลาก่อนที่เธอจะปล่อยผ้าเช็ดในมือของเธอไป


       ถ้าเสี่ยวเทียนเหยา บอกก่อนหน้านี้ว่าเขาต้องการผ้าเช็ดตัว แล้วที่ใน ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ที่เธอจะไม่สามารถหาผ้าเช็ดได้?


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่สนใจเรื่องไร้สาระของหลิน ชูจิ่ว หลังจากที่ได้ผ้าเช็ดตัว เขาก็ห่อมันกับเส้นผมของหลิน ชูจิ่ว หลิน ชูจิ่ว ตกใจมาก ก่อนจะพูดขึ้น “หวางเย่… … ” หลิน ชูจิ่วพูดขึ้นในขณะที่พยายามจะหลีกเลี่ยงเขา แต่ เสี่ยวเทียนเหยาก็กดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา”อย่าขยับ”


       ข้าไม่ต้องการจะขยับ แต่ … …


       หลิน ชูจิ่วอยากจะพูด แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ศีรษะของเธอ แล้ว … …


       เกิดอะไรขึ้น?


………………………………………………………….

**แค่นี้เขาก็ฟินแล้วตะเอง มาบ่อยๆ นะแบบนี้ อิอิ

 

 

 


ตอนที่ 224.1

 

 ผมที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยผ้าขนหนูขนาดใหญ่ ควันสีขาวจู่ๆก็ลอยออกมาจากเส้นผมของหลิน ชูจิ่ว!


“ข้า…”!


       หลิน ชูจิ่วตกใจมาก: นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่ากำลังภายในใช่ไหม?


       มันจะไม่ดูฟุ่มเฟือยเกินไปที่จะใช้เป็นเครื่องเป่าผมหรือ?


       สายตาของหลิน ชูจิ่ว ส่องประกายขึ้น ถ้าเสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้เป็นผู้ชายที่หยิ่งจองหอง ดาวตาของเธออาจจะกลายเป็นดวงดาวและเธออาจจะตะโกนขึ้น วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่โปรดยอมรับข้าเป็นลูกศิษย์ของท่านด้วย!


       แต่… …


       เสี่ยวเทียนเหยา ชอบดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมของหลิน ชูจิ่ว เขาเพิ่มพลังในมือขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อทำให้น้ำแห้งเร็วขึ้น ครู่ต่อมาผมของหลิน ชูจิ่วก็แห้งสนิท  


       ภายใต้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมของหลิน ชูจิ่ว เสี่ยวเทียนเหยา ค่อยๆดึงผ้าเช็ดตัวออกและโยนมันไปที่ร่างของหลิน ชูจิ่ว ก่อนจะพูดขึ้น“ในอนาคต อย่าลืมที่จะเช็ดผมให้แห้ง”


       ในเวลานี้ หลิน ชูจิ่วไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดของเสี่ยวเทียนเหยา เธอเอื้อมออกไปและแตะไปที่ผมที่ยาวและแห้งในทันทีของเธอ จากนั้นเธอก็มองอย่างชื่นชมไปที่เสี่ยวเทียนเหยาอีกครั้ง


       คนอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่ผมของเธอทั้งยาวและหนา โดยปกติแล้วเธอใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงเพื่อที่จะเช็ดมัน แต่กับเสี่ยวเทียนเหยา เขาเพียงแค่คว้าผมของเธอไปแล้วมันก็แห้ง


       สิ่งนี้จะช่วยประหยัดเวลาและความพยายามของเธอไปได้มาก ความแข็งแกร่งของเสี่ยวเทียนเหยาก็มีประโยชน์เหมือนกัน


       วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงฤดูหนาว ท่านสามารถทำให้ผมของข้าแห้งได้ทุกวันหรือไม่?


       หลิน ชูจิ่ว มองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา ด้วยความตั้งใจเช่นนี้ แต่เธอไม่กล้าที่จะถามเขาในเรื่องนี้ … …


       เสี่ยวเทียนเหยา เห็นหลิน ชูจิ่ว มองเขาราวกับว่าเธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่กล้าที่จะเปิดปากของเธอ ดังนั้นเขาจึงริเริ่มและเป็นฝ่ายถามขึ้น “มีอะไร? มีปัญหาอะไรหรือ?”


“ไม่มี … … ” หลิน ชูจิ่ว ไม่กล้าที่จะพูดอะไร แล้วจู่ ๆ ระบบการแพทย์เตือนเธอขึ้นอีกครั้ง: ผู้ป่วยเสี่ยว จื่ออัน อยู่ในภาวะวิกฤติ โปรดทำการแทรกแซงทันที


       คำพูดเหล่านั้น พูดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกภายในใจของหลิน ชูจิ่ว หลิน ชูจิ่ว อยากจะเพิกเฉย แต่เธอก็ต้องกัดริมฝีปากของเธอและมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ามีเรื่องที่จะพูดคุยกับท่าน”


“มีอะไร?” เสี่ยวเทียนเหยามองไปที่หลิน ชูจิ่ว และเห็นนางกัดริมฝีปากของนางอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วและถามขึ้นทันที “หยุดกัดริมฝีปากของเจ้าได้แล้ว”


“ข้ารู้” หลิน ชูจิ่ว รู้ว่ามันเจ็บ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นการยากที่จะเห็นเสี่ยวเทียนเหยาอยู่ในอารมณ์ที่ดี เธอก็พูดซ้ำขึ้นอีกครั้ง “ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”


“พูด … … ” เสี่ยวเทียนเหยา ดึงเก้าอี้มาและนั่งลงตรงข้ามกับหลิน ชูจิ่ว


       ตอนแรกเขาอยากจะนั่งบนเตียง แต่เมื่อเห็นว่าหลิน ชูจิ่ว ดูระมัดระวังเขามาก ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนั่งห่างจากนางเล็กน้อย


“ข้าต้องการจะเข้าไปในวังจริงๆ” ทันทีที่คำพูดของหลิน ชูจิ่ว หลุดออกมาใบหน้าของเสี่ยวเทียนเหยาก็กลายเป็นสีดำ ดังนั้นหลิน ชูจิ่วจึงรีบพูดขึ้น”ข้ามีบางอย่างที่สำคัญที่ต้องทำ มันเป็นเรื่องของชีวิตและความตาย ”


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่เชื่อในเรื่องนี้”อย่าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับมัน!”


“ข้าไม่ได้โกหก หลังจากนี้ข้าจะไม่เข้าไปในวังอีก” หลิน ชูจิ่ว ยืนขึ้นและขอร้องขึ้น “หวางเย่ ท่านไม่สามารถปล่อยให้ข้าไปได้เลยหรือในเวลานี้? ถ้าท่านต้องการ ข้าจะเข้าไปในวังในฐานะหลิน ชูจิ่ว ข้าจะไม่เข้าไปในวังในฐานะเสี่ยวหวางเฟย”


“เจ้าไม่ต้องการที่จะเป็นเสี่ยวหวางเฟยหรือ? เจ้าคิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือ? “เสี่ยวเทียนเหยา ถามขึ้นอย่างหงุดหงิด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความสุข


“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากเป็นเสี่ยวหวางเฟย แต่ข้าต้องเข้าไปในวังจริงๆ ข้าต้องไปที่นั่นในวันพรุ่งนี้ “ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นการเตือนอย่างต่อเนื่องของระบบทางการแพทย์ แล้วเธอก็ไม่อยากโต้เถียงกับเสี่ยวเทียนเหยา แต่ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นเธอไม่ต้องการรับการลงโทษอีก


“เปิ่นหวางบอกว่าไม่ เจ้าก็ไม่สามารถไปที่นั่นได้” เสี่ยวเทียนเหยา ส่ายหัวและพูดขึ้นอีก “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็สามารถลองเดินออกจากตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ไปได้และดูว่าเปิ่นหวางจะปล่อยให้ข้าไปหรือไม่”


“ข้าจะออกไป ท่านไม่สามารถหยุดข้าได้” หลิน ชูจิ่วพูดขึ้นและเดินหน้าก้าวออกไปข้างนอก เสี่ยวเทียนเหยา ยื่นมือของเขาไปและผลักหลิน ชูจิ่วขึ้นไปบนเตียงได้อย่างง่ายดาย “เจ้าช่างอ่อนแอยิ่งนัก แต่เจ้ากลับกล้าที่จะท้าทายเปิ่นหวาง?”

 

 

 


ตอนที่ 224.2

 

    หลิน ชูจิ่ว ทั้งโกรธและรำคาญ เธอลุกขึ้นจากเตียงและตะโกนขึ้น”เสี่ยว เทียนเหยา ท่านไม่สามารถพูดด้วยเหตุผลได้เลยหรือ? ข้ามีบางสิ่งที่สำคัญที่ต้องทำในวังจริงๆ ”


“เจ้ากล้าที่จะพูดถึงเหตุผลกับเปิ่นหวางอย่างนั้นหรือ? เอาล่ะเปิ่นหวางจะพูดด้วยเหตุผลกับเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าสามเชื่อฟังและสี่คุณธรรมของภรรยาที่ดีคืออะไร? ถ้าเจ้ารู้แล้วก็พูดถึงพวกมันให้เปิ่นหวางฟังทีละข้อ “เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นอย่างลวก ๆ และสบาย ๆ ก่อนจะเคาะนิ้วของเขาไปที่โต๊ะ


“พวกเราไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้?” หลิน ชูจิ่ว ที่ดูไม่พอใจ นั่งลงบนเตียงอย่างไร้จิตวิญญาณ


       เสี่ยวเทียนเหยา ยังไม่ต้องการให้เธอเข้าไปในวัง แล้วเธอควรทำอย่างไร?


       แต่ครู่ต่อมาเสี่ยวเทียนเหยา ก็เปิดปากและพูดขึ้น “พูด ทำไมเจ้าถึงต้องการเข้าไปในวัง?”


       หลิน ชูจิ่ว คิดว่าเสี่ยวเทียนเหยา เกิดความสนใจ ดังนั้นดวงตาของเธอจึงสว่างขึ้น ก่อนจะพูดขึ้น”เพื่อช่วยคนๆหนึ่ง”


“ช่วยใคร?”


“องค์ชายสาม เสี่ยว จื่ออัน”หลิน ชูจิ่ว ไม่แน่ใจว่าเสี่ยวเทียนเหยา จะหยุดเธอจากการช่วยบุตรชายของฮ่องเต้หรือไม่ แต่ถ้าเธอไม่บอกเขา เธอจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปในวัง


“ทำไมเจ้าถึงคิดจะช่วยเขา? ทำไมเจ้าถึงอยากจะช่วยเขามากขนาดนั้น? หลิน ชูจิ่ว โต้เถียงกับเขาถึงสองครั้งเพียงเพราะความเจ็บป่วยของเสี่ยว จื่ออัน นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือ?


       นี้มันไม่ใช่ราวกับว่าเขากำลังขอให้เธออธิบายอยู่หรือ?


       หลิน ชูจิ่ว ไม่สามารถอธิบายได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเธอเพียงตอบขึ้นอย่างขมขื่น “ข้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้ตรวจสอบสภาพของเขา ข้ากลัวว่าความเจ็บป่วยของเขาจะแย่ลง ดังนั้นข้าจึงต้องการที่จะรักษาเขาให้หายไป “


“ฮึม … ” เสี่ยวเทียนเหยา มองหลิน ชูจิ่วอย่างเยาะเย้ย “เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าพูดถ้อยคำที่น่าเชื่อถือ เปิ่นหวาง จะปล่อยให้เจ้าเข้าไปในวังและช่วยองค์ชายสามหรือ?”


       ใบหน้าของหลิน ชูจิ่วซีดลง แต่เธอก็พูดอย่างแน่วแน่ขึ้น “ข้าไม่สนใจเกี่ยวกับตำแหน่งของท่าน ข้าเป็นหมอ ข้าแค่อยากจะทำในสิ่งที่ข้าควรทำ “


“เช่นเดียวกับวันนั้นเมื่อเจ้ารักษาและพันผ้าพันแผลให้กับกลุ่มมือสังหารที่มาลอบสังหารเจ้านะหรือ?” เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นด้วยความเยาะเย้ย ดวงตาของเขายังมีบางอย่างที่ไม่สามารถอ่านได้


“ข้าเป็นหมอ” หลิน ชูจิ่ว ต้องการที่จะปาดหัวของเธอไปบนผนัง เธอรู้ดีว่าคำพูดของเธอไม่น่าเชื่อ แต่ แต่ … …


       เธอจะอธิบายการดำรงอยู่ของระบบการแพทย์ได้อย่างไร?


       เสี่ยวเทียนเหยา จะไม่เชื่อเธอแน่ ๆ … เขาอาจคิดว่าเธอเป็นปีศาจหรือแม่มด


       เสี่ยวเทียนเหยา รู้ว่าหลิน ชูจิ่ว กำลังโกหก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บังคับให้นางพูดอีกต่อไป เขาลุกขึ้น ก่อนจะพูดขึ้น”เปิ่นหวางไม่ต้องการคำอธิบายของเจ้าและไม่ต้องการให้เจ้าเข้าไปในวัง”


“ไม่นะ ข้า … … ” หลิน ชูจิ่ว ลุกขึ้น แต่เธอเพียงแค่เดินไปได้เพียงสองก้าว ก่อนจะมีกำลังบางอย่างดึงเธอกลับไป


“อย่าบังคับให้เปิ่นหวางต้องมัดมือและเท้าของเจ้าไว้ในห้องนี้ตลอดไป” เสี่ยวเทียนเหยาหันกลับมาและพูดด้วยน้ำเสียงเบา


       แต่หลิน ชูจิ่วกลับรู้สึกหนาวไปถึงด้านหลังของเธอ อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเห็นเสี่ยวเทียนเหยา ออกไปข้างนอก หลิน ชูจิ่วก็รีบลุกขึ้น เธออยากจะหยุดเขา แต่จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านเฮ้าดังขึ้นด้านนอก: “หวางเย่ องครักษ์หลวงมาพร้อมกับราชโองการ มีคำสั่งให้หวางเฟยเข้าวังในทันทีขอรับ”


“องครักษ์ฮูหรือ? ฮ่องเต้ต้องการจับกุมคนของเปิ่นหวางอย่างนั้นหรือ? “เสี่ยวเทียนเหยา เตะประตูและเดินออกไปอย่างไม่พอใจ


       หลิน ชูจิ่ว พยายามที่จะตามให้ทัน แต่เธอก็ได้ยินเสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้น “ดูแลหวางเฟยให้ดี อย่าปล่อยให้นางออกไป”


“ขอรับ”


“ไม่นะ … … เสี่ยวเทียนเหยา ท่านไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เพียงแค่ให้ข้าเข้าไปในวังก็พอ”หลิน ชูจิ่ว ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสี่ยวเทียนเหยา แต่องครักษ์ของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ก็ไม่กล้าทำร้ายเธอ ดังนั้นหลิน ชูจิ่วจึงวิ่งออกไปข้างนอกองครักษ์ของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่หยุดเธอเอาไว้ แต่หลิน ชูจิ่ก็เตะออกไปทันที


       นี่เป็นเพียงเทคนิคการป้องกันตัวเองง่ายๆ แต่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิด พวกทหารจึงไม่ทันได้สังเกตุเห็นมัน ช่วงเวลาต่อมาพวกทหารต่างก็จับเป้ากางเกงและตะโกนขึ้นด้วยความเจ็บปวด … …


 

 

 


ตอนที่ 225.1

 

  เมื่อเสี่ยวเทียนเหยา หันกลับมาเขาก็เห็นทหารกำลังคุมเป้ากางเกงและร้องโอดครวญขึ้น มือของทหารอีกคนถูกดึงไปอยู่ด้านหลังของเขาโดยหลิน ชูจิ่ว แต่เขาดูเหมือนจะไม่มีเรียวแรงต่อต้าน


       เสี่ยวเทียนเหยา ตะโกนขึ้นทันที “หยุด!”


       โอ้ สวรรค์!สุดท้ายแล้วหวางเฟยแบบไหนที่เขาแต่งงานด้วย? ต่อหน้าเขา นางสามารถล้มทหารร่างใหญ่ได้ถึงสองคนด้วยมือเปล่า?


       ถ้านางเป็นผู้หญิงที่บอบบาง นางคงจะไม่กล้าที่จะเตะเป้ากางเกงของผู้ชาย!


       เมื่อทหารองครักษ์ได้ยินคำสั่งของเสี่ยวเทียนเหยา เขาก็ต้องการที่จะยืนขึ้นทันที แต่เขาก็ช้าเกินไป หลิน ชูจิ่ว ยกเท้าขึ้นและเตะก้นของทหารที่อยู่ที่พื้น เธอกระแทกเท้าลงไปอีกครั้งก่อนที่เธอจะปล่อยมือ


       การเคลื่อนไหวเหล่านั้นสามารถทำให้ … … ผู้คนถึงกับพูดไม่ออก


       เสี่ยวเทียนเหยา สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “หลิน ชูจิ่ว อย่าลืมตัวตนของเจ้า!”


“หวางเย่ จำได้หรือไม่ว่าท่านสัญญาอะไรกับข้า ปล่อยให้ข้าเข้าวัง!” เธอจำได้ถึงตัวตนของเธอ แต่ระบบการแพทย์ก็คอยแต่จะเตือนเธอ แล้วเธอจะลืมเสี่ยว จื่ออันได้อย่างไร?


“เปิ่นหวางบอกว่า … ”


       เมื่อเสี่ยวเทียนเหยา กำลังจะปฏิเสธอีกครั้งหลิน ชูจิ่ว ก็รีบขัดจังหวะเขาขึ้น “หวางเย่ ข้าเองก็บอกว่าข้าต้องเข้าวัง ตอนนี้องครักษ์หลวงก็มาที่นี่เพื่อรับข้า ทำไมท่านถึงต้องขัดแย้งกับองคกรักษ์ฮูเพื่อขา? ”


“ใครบอกว่าเปิ่นหวางทำเช่นนี้เพื่อเจ้า?”


“ถ้าไม่ใช่เพื่อข้า เช่นนั้นหวางเย่ก็ควรจะเข้าใจ ว่าข้าเองที่อยากจะเข้าไปในวังด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ได้ส่งคนมาเชิญข้า ข้าก็ต้องไป ถ้าท่านยังไม่รู้สึกวางใจท่านก็สามารถไปกับข้าได้ “หลิน ชูจิ่ว พูดขึ้น ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ขาของเขา” ขาของท่านหายแล้วไม่ใช่หรือ? ”


       ตอนนี้ขาของเสี่ยวเทียนเหยา หายแล้ว เขาต้องการที่จะแสดงมันต่อหน้าคนมากมาย คนจะเชื่อข่าวลือมากขึ้นหลังจากที่ได้เห็นความจริงที่ว่าขาของเสี่ยวเทียนเหยาไม่เพียงแต่หายขาดเท่านั้น แต่ยังดีอย่างสมบูรณ์อีกด้วย


“เพื่อที่จะเข้าไปในวังเจ้าเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเชียวหรือ” แม้กระทั่งการใช้เขา


       หลิน ชูจิ่วเดินเข้าไปใกล้เสี่ยวเทียนเหยาและพูดอย่างช่วยไม่ได้ขึ้น “หวางเย่ ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ถ้ามีทางเลือก ข้าจะไม่เข้าไปในวัง ท่านสามารถตรวจสอบได้ ข้ากับองค์ชายสามไม่คุ้นเคยกันมาก่อน แต่ … … “


“แต่ อะไร?”


“หลักการของอาจารย์ข้า ในชีวิตนี้ข้าไม่สามารถฝ่าฝืนได้” หลิน ชูจิ่ว ถอนหายใจอย่างหนักๆ ขึ้น


       เสี่ยวเทียนเหยายังไม่เชื่อนาง “อาจารย์ของเจ้ายังคงจัดการกับชีวิตของเจ้าจนถึงตอนนี้?”


“หวางเย่ มีหลายสิ่งที่ข้าไม่สามารถพูดได้ในขณะนี้ ข้าจะบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอนาคต แต่ข้าสามารถรับประกันได้ว่าข้าจะไม่มีวันต่อต้านท่าน” หลิน ชูจิ่วพูดขึ้นอีกครั้งและย้ำถึงความจงรักภักดีของเธอ เพียงเพื่อให้หัวใจของเสี่ยวเทียนเหยาอ่อนลง


“เปิ่นหวางจะรอวันที่เจ้าพร้อมที่จะพูดถึงกับมัน” ในที่สุดหัวใจของเสี่ยวเทียนเหยาก็อ่อนลง จากนั้นเขาก็หันไปเผชิญหน้าพ่อบ้านเฮ้า “บอก องครักษ์ฮู รออยู่ที่ห้องโถง เปิ่นหวางจะเข้าวังไปพร้อมกับหวางเฟย”


“ขอรับ” พ่อบ้านเฮ้า รู้สึกสับสนกับฉากที่เพิ่งจะเกิดขึ้นต่อหน้าเขาก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ยังออกไปทำตามคำสั่งของเสี่ยวเทียนเหยา


“ตอนนี้ เจ้าพอใจหรือ” เสี่ยวเทียนเหยา มองหลิน ชูจิ่ว ด้วยความไม่พอใจ


       เสื้อผ้าของนางยุ่งเหยิง ผมของนางยุ่งเหยิง แต่นางก็กล้าที่จะออกมานอกห้องด้วยสภาพเช่นนี้หรือ? หลิน ชูจิ่ว ไม่มีความรู้สึกของความเป็นผู้หญิงเลยหรือ


“ขอบคุณหวางเย่” หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้สังเกตุเห็นนัยน์ตาคล้ายหมาป่าของ เสี่ยวเทียนเหยา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างใจกว้าง “ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าต้องรบกวนให้ท่านรอสักครู่”


“ฮึ่ม … ” เสี่ยวเทียนเหยาส่งเสียงเย็นขึ้น ก่อนจะก้าวเท้าออกไป โดยที่ไม่รอหลิน ชูจิ่ว


       หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้สนใจ เธอกลับไปที่ห้องของเธอเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและหวีผม จากนั้นเธอก็หยิบเอากล่องยาของเธอที่บรรจุทุกอย่างเอาไว้อย่างถูกต้องออกมา


       ในขณะนี้หลิน ชูจิ่วไม่ต้องการที่จะรีบวิ่งออกไปด้านนอกพร้อมกับกล่องยา ถ้าเธอเตรียมตัวไปอย่างดี มันจะเป็นการปลุกระดมความสงสัยเท่านั้น


       อย่างไรก็ตามกล่องยาของหลิน ชูจิ่ว มีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงสองเท่า ด้านในเต็มไปด้วยหลากหลายของสิ่งของทางการแพทย์ หลิน ชูจิ่วถือมันออกมานอกห้องของเธอ แต่เธอก็รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นทันที

 

 

 


ตอนที่ 225.2

 

  หลังจากออกมาได้ เธอก็เตือนให้ทหารดูแลมันอย่างใกล้ชิด ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้สัมผัสมันได้


       ก่อนหน้านี้ทหารองครักษ์ได้เห็นว่าหลิน ชูจิ่วน่ากลัวแค่ไหน ตอนนี้หัวใจของพวกเขาต่างก็กรีดร้องด้วยความตกใจ ดังนั้นพวกเขาจะทำตามที่หลิน ชูจิ่วสั่งอย่างดี


       เมื่อเสี่ยวเทียนเหยาเดินเข้าไปในห้องโถง องครักษ์ฮู และคนของเขาก็กำลังรอคอยอยู่นานแล้ว องครักษ์ของฮ่องเต้ ไม่ค่อยปรากฏตัวในที่สาธารณะ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยเห็นใบหน้าของเสี่ยวเทียนเหยา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้เกลียดเสี่ยวเทียนเหยา


       ความรับผิดชอบหลักขององครักษ์ฮูคือการปกป้องฮ่องเต้ เขาไม่ค่อยได้รับงานอื่น ดังนั้นก่อนหน้านี้เมื่อเขาได้รับภารกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับเสี่ยวเทียนเหยาเขาจึงพบกับความล้มเหลว ไม่เพียงแต่เขาไม่ได้ทำภารกิจให้เสร็จสิ้นได้ แต่เขายังกลับมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บมากมายอีกด้วย


       ดังนั้นการได้พบเสี่ยวเทียนเหยา ที่มีขาที่เหมือนเดิมและกำลังเดินเข้ามาใน ทำให้องครักษ์ฮูช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่าขาของเสี่ยวเทียนเหยา ได้รับการรักษาให้หายจริงๆ องครักษ์ฮู และคนของเขารู้ว่าปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือการทำความเคารพ แต่… …


       เสี่ยวเทียนเหยา มองไปที่พวกเขาด้วยสายตาที่ดูถูก ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่จำเป็นต้องมีพิธี”


“ขอบคุณ เสี่ยวหวางเย่” องครักษ์หลวงกล่าวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงด้วยน้ำเสียงที่แข็งแกร่งของพวกเขา ดูเหมือนมันจะยุบตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ลงได้ ทำให้องครักษ์ของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ไม่พอใจเรื่องนี้


       องครักษ์หลวงและองครักษ์ของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ ต่างก็ถูกกำหนดให้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกันทันทีที่ทั้งคู่ปรากฏตัว


       อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเทียนเหยา ก็นั่งลงไปอย่างสงบและพูดอย่างไม่รีบร้อนขึ้น “น้ำเสียงที่ดัง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีความแข็งแกร่ง ดูเหมือนว่าองครักษ์หลวงจะได้รับการสั่งสอนโดยคนของเปิ่นหวางแล้ว”


       นี่คือเสี่ยวเทียนเหยา บุคคลที่ไม่ยอมไว้หน้าแม้แต่ฮ่องเต้หรือองครักษ์ของเขา สิ่งเหล่านี้ควรจะพูดเป็นการส่วนตัว แต่เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ลังเลที่จะพูดมันออกมาในที่สาธารณะ


       องครักษ์ฮู ต้องการเอาดาบของเขาออกมาและตัดคอเสี่ยวเทียนเหยา แต่… …


       เขาอยู่ในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ และเขาอยู่ในเมืองหลวง ถ้าเขาประสบความสำเร็จในการฆ่าเสี่ยวเทียนเหยา เขาจะไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาล้มเหลวฮ่องเต้จะลงโทษพวกเขา


       องครักษ์ฮูจับดาบของเขาเอาไว้แน่น จนถึงจุดที่ข้อมือของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว


       องครักษ์หลวง 36 คนจ้องมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา และพวกเขาดูเหมือนจะพร้อมที่จะกินเขาทั้งเป็นได้ทุกขณะ ในทางกลับกันเสี่ยวเทียนเหยา กำลังถือถ้วยข้าของเขาอย่างไร้อารมณ์ ราวกับว่าการมีอยู่ขององครักษ์หลวงไม่มีความหมายใดๆ ต่อเขา


       เจ้าให้ความสำคัญกับตัวเองเกินไปแล้ว!


       แต่หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้ การที่เหล่าองค์ชายไม่ได้ให้ความสนใจกับเหล่าผู้คุ้มกันมันก็เป็นจริง


       เมื่อหลิน ชูจิ่ว เข้ามาเธอพบว่าบรรยากาศในห้องนั้นแปลกมาก เธอเป็นคนมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังเดินเข้ามา แต่กลับไม่มีใครสนใจ ในห้องโถงมีทหารอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีใครสังเกตุเห็นการมาถึงของเธอ และคนแรกที่ให้ความสนใจกับเธอก็คือเสี่ยวเทียนเหยา


“เข้ามา” เสี่ยวเทียนเหยาวางถ้วยน้ำชาในมือลงและลุกขึ้น ก่อนจะช่วย หลิน ชูจิ่วให้มาอยู่ข้างๆ เขา


       หลิน ชูจิ่ว มองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา ที่นั่งลงในขณะจับมือเธอ ก่อนจะพูดขึ้น”ขอบคุณหวางเย่”


       เสี่ยวเทียนเหยา กลายเป็นคนอ่อนโยนและมีน้ำใจตั้งแต่เมื่อไหร่?


       องครักษ์ฮูถึงกับตกตะลึง เขาลูบดวงตาของเขาเพื่อเรียกสติกลับมา จากนั้นเขาก็กำหมัดและทำความเคารพขึ้น”คาวระหวางเฟย”


“ไม่จำเป็นต้องมีพิธี” ความต้องการของหลิน ชูจิ่วที่มีต่อคนของฮ่องเต้ไม่ได้สูงอะไรมาก ด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวเทียนเหยา หลิน ชูจิ่วนั่งลงข้างๆ เขา จากนั้นก็จิบชาเพื่อทำให้ลำคอของเธอชุ่มขึ้น ก่อนจะหันศีรษะไปและถามขึ้น “ทำไมท่านถึงต้องการพาข้าไปที่วังหลวง?”


       ถึงแม้ว่าเธอจะรู้เหตุผลอยู่แล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังคงต้องถาม อะไรก็สามารถพูดโดยไม่ต้องกังวลในเวลาส่วนตัวของพวกเขา และต่อหน้าคนนอกจะต้องไม่ปล่อยให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว


       เสี่ยวเทียนเหยา เห็นว่าหลิน ชูจิ่ว กำลังทำตัวไร้เดียงสา เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น หลิน ชูจิ่ว ฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้ นางจะไม่ต้องทนทุกข์ใดๆ หลังจากเข้าวัง … …

 

 

 


ตอนที่ 226.1

 

 ก่อนที่พวกเขาจะออกจากวัง ฮ่องเต้ไม่ได้เตือนให้พวกเขาให้ปิดผนึกปากของพวกเขา ดังนั้นในขณะนี้เมื่อหลิน ชูจิ่ว ถามพวกเขาจึงไม่ได้ซ่อนอะไรเลย “เรียนเสี่ยวหวางเฟย องค์ชายสามป่วยหนัก ฝ่าบาทได้ทราบถึงทักษะทางการแพทย์ของเสี่ยวหวางเฟย ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้เสี่ยวหวางเฟย เข้าวังเพื่อช่วยเหลือองค์ชายสาม”


“ข้าได้ยินเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยขององค์ชายสาม แต่ฮ่องเต้รู้ได้อย่างไรว่าข้ามีทักษะทางการแพทย์เช่นไร? ใครเป็นคนกระจ่ายข่าวนี้? “ระบบการแพทย์ยังคงเตือนหลิน ชูจิ่ว อยู่เรื่อยๆ แต่เธอก็ไม่อยากหยุดการแสดงของเธอ


       ในเวลานี้ ถ้าเธอกระหายที่จะเข้าวัง เธอเพียงแต่จะยกความสงสัยของ

ฮ่องเต้ขึ้นเท่านั้น


“เป็นหมอเทวดาโม่และพระสนมอวี้เหม่ยเหริน พวกเขากล่าวว่าพวกเขาได้เห็นเสี่ยวหวางเฟย ช่วยชีวิตผู้คน พวกเขายังกล่าวอีกด้วยว่าเสี่ยวฟวางเฟยได้รักษาขาของเสี่ยวหวางเย่ เอาไว้ ถ้าไม่มีเสี่ยวหวางเฟย ขาของเสี่ยวหวางเย่ก็ไม่สามารถหายขาดได้ องค์ชายสามเองก็เป็นยังเป็นโรคเดียวกัน ถ้าเสี่ยวหวางเฟยสามารถรักษาขาของเสี่ยวหวางเย่ได้ เสี่ยวหวางเฟยก็สามารถรักษาโรคขององค์ชายได้เช่นกัน”


       คำพูดขององครักษ์ฮูนั้นเต็มไปด้วยคำชมเชย แต่แอบซ่อนกับดักเอาไว้มากมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อหลิน ชูจิ่ว ได้ยินพวกมันเธอก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างไร เธอเพียงแค่พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจเท่านั้น “หวางเย่ ขาของท่านหายขาดได้เพราะข้าหรือ? ไม่ใช่เป็นเพราะการทำงานอย่างหนักของหมอเทวดาโม่หรอกหรือ? ”


“อืม..” เสี่ยวเทียนเหยา ตอบขึ้น แต่จริงๆแล้วเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดด้วยซ้ำ


       หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้สนใจ เธอเพียงแค่แสดงความกังวลออกไปเท่านั้น ก่อนจะพูดขึ้น”หมอเทวดาโม่เป็นคนใจกว้างมากที่บอกว่าคนอย่างฉันเป็นหมอที่ไม่ธรรมดา หมอเทวดาโม่ มีชื่อเสียงในสี่แคว้นพร้อมด้วยคำสรรเสริญมากมายที่เขาสมควรจะได้รับ แต่สำหรับข้าแล้ว … … มันเป็นเพียงแค่ชื่อเสียงที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดเท่านั้น เขาให้ความสำคัญกับข้าสูงเกินไปแล้ว  ”


       คำพูดของหลิน ชูจิ่ว เห็นได้ชัดมากราวกับว่าเป็นการเทน้ำสกปรกลงไปบนศีรษะของหมอเทวดาโม่ แต่ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตามผู้คนก็ไม่สามารถตัดสินได้


       องครักษ์หลวงมองหน้ากัน ด้วยความหมายที่ไม่สามารถอธิบายได้ … …


       เสี่ยวหวางเฟย หมายความว่าอย่างไร


       พวกเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?


       มันเป็นคำพูดที่เป็นในด้านดีหรือไม่ดี?


       ความหมายตื้นเกินไปหรือลึกเกินไป?


       องครักษ์ฮู ไม่รู้ว่าควรจะเลือกคำไหนมาตอบรับดี


       หลังจากที่หลิน ชูจิ่วพูดจบ เธอก็พูดขึ้นอีก”ข้าและพระสนมอวี้เหม่ยเหริน สามารถเรียกได้ว่าเป็นสหายเก่าก็ว่าได้ เนื่องจากนางมีความกระตือรือร้นที่จะพบข้าและยังแนะนำข้าให้กับฮ่องเต้เช่นนี้ ข้าจึงต้องเข้าวังอย่างแน่นอน “เห็นได้ชัดว่าเธอยังกระตือรือร้นที่จะเข้าไปในวัง แต่เพื่อที่จะเข้าสู่วังหลวงได้อย่างปลอดภัย หลิน ชูจิ่ว จึงใช้ประโยชน์จากโม่ อวี้เอ้อร์ เพื่อให้คนอื่นคิดว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน


       เสี่ยวเทียนเหยา เพียงแค่มองและไม่ได้พูดอะไร แต่มีรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาที่ไม่เคยจางหายไป


หลิน ชูจิ่ว เป็นคนฉลาด!


“ใครก็ได้ ไปนำกล่องยาของข้ามา” หลิน ชูจิ่ว ตะโกนขึ้นเสียงดัง ทหารของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่เข้ามาและมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา เมื่อพวกเขาได้เห็นเสี่ยวเทียนเหยา พยักหน้าของเขา พวกเขารีบไปช่วยหลิน ชูจิ่วทันที


       ริมฝีปากของหลิน ชูจิ่ว โค้งขึ้นเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้พูดอะไร เธอเข้าใจมานานแล้วว่าคำพูดของเธอไม่ได้สำคัญอะไรในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ ถ้าเธอไม่ได้บอกว่ามันเป็นความปลอดภัยของหวางเย่ พ่อบ้านเฮ้าก็จะไม่เชื่อในตัวเธอ


       หลิน ชูจิ่ว อาศัยอยู่ห่างไกลจากลานด้านหน้า ดังนั้นแม้ว่าทหารของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ จะรีบร้อนแค่ไหน องครักษ์หลวงก็ยังคงต้องรอสองถึงเกือบชั่วโมง ทำให้องครักษ์ฮู ได้เกิดความสงสัยว่าหลิน ชูจิ่ว จงใจทำให้เกิดปัญหากับคนของเขาหรือไม่


       อย่างไรก็ตามหลิน ชูจิ่ว จงใจทำให้เกิดปัญหา เพราะมันจะแปลกมากถ้าเธอรีบร้อนออกไปกับพวกเขา


       เมื่อทหารของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ทั้งสองคนเข้ามาพร้อมกับกล่องยา หลิน ชูจิ่วก็มองไปที่องครักษ์หลวง ก่อนจะพูดขึ้น “มีรถม้าหรือไม่? ถ้ามีให้ใส่ของของข้าเข้าไปในนั่น แต่ระวังอย่าให้เกิดความเสียหายขึ้น ”


“ขอรับ” องครักษ์หลวงอยู่ในตำหนักของเสี่ยวหวางฟู่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรหยาบคาย คำขอของหลิน ชูจิ่วก็ฟังมีเหตุผลสมควร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะบอกปฏิเสธ


       องครักษ์หลวงทั้งสี่คนได้รับกล่องยาไป ในขณะที่องครักษ์หลวงอีก 32 คนยังรออยู่ที่ห้องโถง


       หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้ปล่อยให้องครักษ์ฮูต้องเตือนเธอ เธอลุกขึ้นยืน แต่เธอก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร แต่ตรงกันข้ามเธอหันไปเผชิญกับเสี่ยวเทียนเหยา ก่อนจะพูดขึ้น “หวางเย่ ท่านสามารถไปที่วังกับข้าได้หรือไม่? ข้ากลัวที่จะไปที่นั่นเพียงลำพัง ”


       หัวคิ้วของเสี่ยวเทียนเหยาขมวดขึ้นและมองไปที่หลิน ชูจิ่ว ด้วยการแสดงออกที่ลึกลับ ไม่ใช่ว่าเขาได้บอกกับพ่อบ้านเฮ้าแล้วหรือว่าให้บอกกับองครักษ์ฮูว่าเขาจะเข้าไปในวังด้วย? ดังนั้นหลิน ชูจิ่ว กำลังเล่นอะไรอยู่?


       หลิน ชูจิ่ว กระพริบตาและพูดอย่างเงียบ ๆขึ้น : พ่อบ้านเฮ้า ไม่ได้พูดอะไร!

 

 

 


ตอนที่ 226.2

 

ก่อนหน้านี้ หลิน ชูจิ่ว ได้สั่งให้ใครบางคนไปหยุดพ่อบ้านเฮ้าเอาไว้ เธอไม่ได้ให้พ่อบ้านเฮ้าไปบอกกับองครักษ์ฮูว่าเสี่ยวเทียนเหยาจะเข้าไปในวังด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถส่งข่าวล่วงหน้า ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นกับพวกเขาได้


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่กลัวปัญหา แต่เธอกลัว!


       หลังจากที่ล่าช้าในการรักษาเสี่ยว จื่ออันเป็นเวลานาน ระบบทางการแพทย์อาจจะลงโทษเธออีกครั้ง


       หลิน ชูจิ่วบอกว่าเธอกลัว แต่กลับไม่มีความกลัวอยู่บนใบหน้าของเธอ แม้แต่องครักษ์ฮูก็สามารถบอกได้ว่าไม่จริง!


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้พูดอะไร แต่หลิน ชูจิ่วก็ไม่ได้ท้อแท้ เธอยังคงพูดต่อไป “หวางเย่ ได้โปรดไปกับข้า องค์ชายสามเองก็เป็นหลานชายของท่าน ท่านเองก็ยังกังวลเกี่ยวกับอาการของเขาไม่ใช่หรือ? ”


       ชุดคำเตือนอีกชุดจากระบบการแพทย์ดังออกมาอีกครั้ง หลิน ชูจิ่ว กำลังจะสาปแช่งในใจ


       เตือน เตือนๆๆ เตือนอยู่นั้นแหล่ะ!


       แกไม่รู้หรืออย่างไรไอ้ระบบบ้า ว่านี่ไม่ใช่สมัยใหม่?


       แกไม่รู้หรือว่าเสี่ยว จื่ออันเป็นลูกชายของฮ่องเต้?


       หลิน ชูจิ่วไม่รู้ว่าระบบทางการแพทย์ต้องการที่จะช่วยเสี่ยว จื่ออันหรือทำให้เกิดปัญหากันแน่ เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ว่าการไปรักษาเสี่ยว จื่ออันในทันทีอาจกระตุ้นความสงสัยของฮ่องเต้ได้หรือไม่?


“หวางเย่ ได้โปรดไปที่วังกับข้า ข้ากลัวจริงๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อข้าเข้าไปในวัง ข้าก็เกือบจะถูกขัดขวางโดยองค์รัชทายาท ถ้าข้าไปที่วังในครั้งนี้ข้าควรจะทำอย่างไรถ้าหากเขาหยุดข้าอีกครั้ง ฮ่องเต้จะคิดกับข้าอย่างไร “หลิน ชูจิ่ว ทำหน้าหนาและสารภาพออกมาต่อหน้าสาธารณชน


       ใบหน้าของเสี่ยวเทียนเหยา ดำมืดลง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร


       องครักษ์หลวงก้มศีรษะลงทีละคนๆ แต่ในความเป็นจริงพวกเขากำลังหัวเราะ


       ปรากฏว่าเสี่ยวหวางเย่เสือโคร่งที่ไร้ความปรานี เมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวหวางเฟยเขาก็เป็นเพียงเสือกระดาษเท่านั้น!


       แน่นอนว่าวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ทุกคนสามารถควบคุมได้โดยโลมงาม!


       การเดินทางของพวกเขามาในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่  เต็มไปด้วยคุณค่าจริงๆ เขาควรจะแจ้งให้ฮ่องเต้ทราบว่าเสี่ยวหวางเย่ได้ให้เกียรติเสี่ยวหวางเฟยแค่ไหน สิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่องสนุกมากหลังจากนี้ต่อไป


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้พูดอะไร แต่คราวนี้มันไม่ใช่เพราะเจตนาของเขา เขากลัวหลิน ชูจิ่วจริงๆ เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลิน ชูจิ่วไม่เพียงแต่จะหยุดคำสั่งของเขาเท่านั้น แต่ยังแสร้งทำตัวเป็นชายาที่ถูกตามใจต่อหน้าสาธารณชนต่อหน้าเขาและคนอื่นอีกด้วย มัน … …


       ทำให้เขาประหลาดใจและตกใจ


       หลิน ชูจิ่ว เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเทียนเหยา ยังคงไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นเธอจึงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “หวางเย่ … … ท่านไม่อยากไปกับข้าหรือ? ท่านรู้ว่าข้าเพิ่งมีความรู้เรื่องยามาเมื่อเร็วๆ นี้ ถ้ามีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นและท่านไม่ได้อยู่กับข้า ข้าควรทำอย่างไร? ”


       ราวกับว่าหลิน ชูจิ่ว ต้องการพูดโดยตรงว่า ข้าไม่สามารถทำมันได้หากไม่มีท่านอยู่


       องครักษ์ฮูเกิดความสับสน ในตอนแรกเขาคิดว่าหลิน ชูจิ่วต้องการพาเขาไปด้วยเพื่อเพิ่มความกล้าหาญให้กับตัวเอง นอกจากนี้ถ้าหลิน ชูจิ่ว สามารถรักษาโรคขององค์ชายสามได้ดี เสี่ยวเทียนเหยาก็จะรักนางมากขึ้น แต่ตอนนี้ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเสี่ยวหวางเย่เป็นหมอและเสี่ยวหวางเฟยเป็นเพียงลูกศิษย์?


       องครักษ์ฮูยอมรับว่าคู่นี้ ทั้งฉลาดและเจ้าเล่ห์ เขาเกือบจะรู้สึกวิงเวียนเพราะพวกเขา


       แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกงงงวยมากขึ้นเรื่อย ๆคือเสี่ยวเทียนเหยา เห็นด้วย “ได้!”


       หลังจากลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับหลิน ชูจิ่ว องครักษ์ฮูและคนของเขาก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว


       เมื่อพ่อบ้านเฮ้า เห็นเสี่ยวเทียนเหยาและหลิน ชูจิ่ว ออกมาพร้อมกัน เขาก็รีบซ่อนทันที


       เสี่ยวหวางเย่ เองก็ต้องการที่จะเข้าไปในวังด้วย? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


       องครักษ์ฮูยอมรับว่าสมองของเขาไม่สามารถเข้าใจเหตุการณ์นี้ได้


       เสี่ยวหวางเย่ เกลียดการเข้าไปในวัง เพื่อให้แม่นยำมากขึ้นเสี่ยวหวางเย่ เกลียดการได้เห็นฮ่องเต้ ในเวลาปกติเมื่อฮ่องเต้ต้องการจะพบเสี่ยวเทียนเหยา เขาจะเชิญเขาอีกครั้งและอีกครั้ง แต่เสี่ยวหวางเย่ จะผลักความตั้งใจของฮ่องเต้ออกไปเสมอ แต่ตอนนี้เพียงเพราะเสี่ยวหวางเฟยต้องการหรือแม้กระทั่งเพราะเขาอาจจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของนาง เสี่ยวเทียนเหยา ถึงกลับเดินเข้าไปในวังด้วยตัวเอง


“ข้าสับสนอย่างสิ้นเชิง” ความสงสัยขององครักษ์ฮูเพิ่มขึ้นอีกครั้ง บางทีหมอที่ไม่ธรรมดาจริงๆ แล้วคือเสี่ยวหวางเย่ไม่ใช่เสี่ยวหวางเฟยใช่ไหม?


       เสี่ยวเทียนเหยา เทพเจ้าแห่งสงคราม มียุทธศาสตร์ทางทหารที่ยอดเยี่ยมและศิลปินการต่อสู้ที่สูงส่ง เป็นอัจฉริยะโดยธรรมชาติ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เขาจะไม่แปลกใจถ้าเขาจะยังมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย แต่กับหลิน ชูจิ่วหญิงสาวที่ไร้สมองที่โด่งดัง จู่ๆ ก็กลายเป็นหมอที่ไม่ธรรมดาและรักษาขาของเสี่ยวหวางเย่ได้ มันแปลกจริงๆ


       องครักษ์ฮูส่ายหัวและถอนหายใจ แต่เขาก็ยังแอบส่งข่าวไปอย่างเงียบ ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เสี่ยวเทียนเหยาและหลิน ชูจิ่ว จะเข้าวังพร้อมกับออกไปล่วงหน้า เมื่อฮ่องเต้ได้รับข่าว หัวใจของเขาก็ห่อหุ้มไปด้วยความโกรธ ถ้าเขาได้เรียนรู้สิ่งนี้ล่วงหน้านานกว่านี้ เขาอาจจะสามารถจัดการสร้างแผนลอบสังหารขึ้นได้ แต่ตอนนี้เขากลัวว่ามันจะสายเกินไป … …

 

 

 


ตอนที่ 227.1

 

 เมื่อองครักษ์หลวงเข้ามาในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ คนหลายคนต่างก็ได้เห็นมัน คนเหล่านี้จึงหมอบอยู่ที่พื้นเพื่อดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น


       แต่ผลกลับกลายเป็นว่า หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้เห็น … …


“เสี่ยว เสี่ยวหวางเย่?” มีคนอยู่ไม่กี่คนที่ไม่สามารถสงบสติลงได้เมื่อพวกเขาเห็นเสี่ยวเทียนเหยา เดินออกมา บางคนถึงกับเต็มไปด้วยความตกใจ


       และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่คนที่เพิ่งจะสงบตัวเองลงก็เต็มไปด้วยควาหวาดกลัว “ขาของเสี่ยวหวางเย่ หายแล้วหรือ?”


“นี่เป็นจริงหรือ? องครักษ์หลวงได้เชิญเสี่ยวหวางเย่เข้าในวังและตอนนี้ขาของเขาก็หายขาดแล้ว? “คนที่หลบซ่อนอยู่ในมุม พวกเขาไม่สามารถเชื่อในฉากที่พวกเขาเพิ่งจะได้เห็น แม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม


“เร็วเข้ารีบไปบอกนายท่าน ขาของเสี่ยวหวางเย่ ได้รับการรักษาให้หายแล้วจริงๆ “มีบางคนที่สามารถให้ข้อมูลข่าวสารได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อพวกเขาได้รับลมเหล่านี้พวกเขาก็ไม่เชื่อในทันที เพื่อให้แน่ใจ คนเหล่านี้จึงได้จัดให้มีการคอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหวในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่อย่างระมัดระวัง


       การเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้กลุ่มคนจำนวนมากต่างก็หวาดกลัว


       ข่าวออกมามากขึ้นเรื่อยๆ นกพิราบจำนวนมากบินนอกเมืองหลวง ทุกตัวกระพือและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่พวกมันไม่ได้ไปไกลเกินไป เพราะพวกมันถูกฆ่าตายทีละตัวๆ


“หนึ่ง สอง สาม… … นกพิราบสิบตัว นี่เป็นนกพิราบย่าง นกพิราบนึ่ง … ข้าต้องกินกี่วันก่อนที่ข้าจะกินพวกมันหมด? “บนต้นไม้มีเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยไขมันเหมือนกลอง มองอย่างเศร้าๆ ไปที่นกพิราบที่เรียงรายอยู่


       มันมากเกินไป ข้าไม่สามารถกินมันได้หมด!


“ชือชือน้อย เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ข้าเบื่อที่ฆ่านกพิราบอยู่ที่นี่แล้ว ”


*ยะ*


       เด็กหนุ่มดึงเชือกหนังสติ๊กอีกครั้งและยิงไปยังนกพิราบ


       เด็กหนุ่มคนนี้ชื่อถัง สือเอ้อร์ หรือถังถัง เป็นน้องชายของมือสังหารอันดับต้นๆอย่าง จงจิน ถังถัง มีริมฝีปากสีแดงและฟันสีขาว เขาดูราวกับเด็กชายอายุ 16 หรือ 17 ปี แต่เขาอายุ 25 ปีแล้ว เขาดูบอบบางและอ่อนโยน และแน่นอนไอคิวของเขาก็เปรียบได้กับรูปร่างหน้าตาของเขา ดังนั้นจงจินจึงจัดให้เขาทำภารกิจที่ “สำคัญมาก” ซึ่งเรียกว่าสังหารนกพิราบ


       ขณะที่เสี่ยวเทียนเหยา เดินออกจากตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ ข่าวที่ว่าเทพเจ้าแห่งสงคราม สามารถกลับมาเดินได้ด้วยขาของเขาแล้วก็แผ่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ ทุกคนที่มีความสามารถต่างก็ได้เรียนรู้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา สามารถเดินได้แล้ว


       ตระกูลเหมิงมีความสุขมากเมื่อได้ยินข่าวนี้ “โชคดีจริงๆ บุตรชายข้าที่ขาของเจ้าเจ็บ มิฉะนั้นถ้าเจ้าอยู่ในสนามรบในครั้งนี้ และข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เจ้าจะพบกับปัญหาที่ไม่จำเป็นมากขึ้นไปอีก “


“เพราะท่านแม่เป็นคนที่มีน้ำใจและรอบคอบมาก” เหมิง ซื่อเชื่อมารดาของเขา


       ตระกูลซุย ก็มีความสุขมาก ผู้นำตระกูลซุย และบุตรชายคนที่สองต่างก็ได้แสดงความคิดของพวกเขาขึ้น “ดวงตาของท่านพ่อมีความเฉียบแหลมมาก ลูกไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยแม้แต่น้อย”


       ผู้นำตระกูลซุย พูดขึ้นอย่างสุภาพ”ไม่ๆ ไม่ใช่เพราะว่าข้ามีสายตาที่เฉียบแหลม เป็นเพราะคำสอนของบรรพบุรุษของครอบครัวของเรา ตระกูลซุย ของเราไม่เคยมีส่วนร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ ดังนั้นไม่ว่าผู้ชนะหรือแพ้จะเป็นใคร ไม่ว่าใครจะครอบครองหรือล้มเหลว ครอบครัวของเราก็จะไม่ตกต่ำ เมื่อครอบครัวของเราไม่ได้ถูกเกลียดชังโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราก็จะสามารถยืนอยู่ต่อไปได้ “


“ลูกจะจดจำคำสั่งสอนของท่านเอาไว้” ซุย เอ้อร์จู้ ลุกขึ้นและแสดงความนับถือขึ้น


       บางคนมีความสุข แต่บางคนก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนที่ไม่มีความสุขเหล่านี้คือเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลิง เซียงและเสนาบดีฝ่ายขวาโยว่ ทั้งสองคนเริ่มต่อต้านเสี่ยวเทียนเหยา ในเวลานั้น ถ้าเสี่ยวเทียนเหยา จะแก้แค้นพวกเขาก็ไม่สามารถหลบซ่อนได้


       เสี่ยวเทียนเหยา คนผู้นี้ ถ้าเขาต้องการที่จะแก้แค้น เขาจะไม่ตีไปรอบๆพุ่มไม้ เขาจะตบตรงๆที่ใบหน้าของพวกเขาหรือทำความพวกเขาไปตรงๆ เช่นเดียวกับการทำความสะอาดหอเถียนชาง


       หลิน ฟูเหรินและหลิน หว่านถิง เองต่างก็รู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้นไปอีก หลิน ฟูเหรินเสียใจกับสิ่งที่ผิดพลาด นางถึงขนาดผิดใจกับพี่ชายของนาง เพียงเพื่อที่จะให้หลิน ชูจิ่วแต่งเข้าไปในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่


       ไม่จำเป็นต้องพูดถึงหลิน หว่างถิง นางถึงขนาดตกหลุมรักคนง่อยอย่างเสี่ยวเทียนเหยา ดังนั้นในตอนนี้เขาสามารถเดินได้ นางจะไม่เสียใจได้อย่างไร

 

 

 


ตอนที่ 227.2

 

ในตอนแรก เพราะนางได้ริเริ่มเป็นฝ่ายต้องการเข้าไปในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ก่อน จึงทำให้หลิน ฟูเหรินโกรธ นางจึงถูกลงโทษ ดังนั้นนางจึงต้องอยู่แต่ภายในจวน แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกไม่พอใจกับมารดาของนางมากเข้าไปอีก “ทำไม? ทำไมท่านไม่ยอมให้ข้าแต่งงานกับเสี่ยวหวางเย่? ”


“ท่านแม่ นี่เป็นความผิดของท่านทั้งหมด ท่านทำลายอนาคตของข้า”


“ข้าเกลียดท่าน ข้าเกลียดท่าน … ”


       หลิน ฟูเหริน ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากคำพูดของบุตรสาวของนางและนางก็เกือบจะเป็นลมหมดสติไป


       นี่คือบุตรสาวของนาง บุตรสาวของนางที่นางดูแลเอาใจใส่มาเป็นอย่างดีตลอดเวลา 15 ปี!


       ไม่ต้องพูดถึงครอบครัวอื่นๆ เพราะแม้แต่คนในวังก็บินเหมือนไก่และเห่าเหมือนสุนัข


       เมื่อฮองเฮาได้ยินว่าองค์ชายสามเสี่ยว จื่ออันกำลังตกอยู่ในอันตรายและหมอเทวดาโม่ก็ออกไปจากวัง สถานการณ์กลายเป็นเรื่องเร่งด่วน ในฐานะมารดาของแผ่นดิน นางจึงควรจะไปเยี่ยมเยียน แต่เพื่อเป็นการแสดงความห่วงใยและให้ความสำคัญกับองค์ชายสามมากขึ้น นางจึงได้พาองค์รัชทายาทและองค์ชายเจ็ดมาพร้อกับนางด้วย


       ในตอนแรก ฮองเฮา องค์รัชทายาทและองค์ชายเจ็ดต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินข่าวที่ไม่น่าเชื่อว่าหลิน ชูจิ่วจะมารักษาเสี่ยว จื่ออัน แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเสี่ยวหวางเย่จะมาพร้อกับนางด้วย ใบหน้าของแม่และบุตรชายต่างก็เต็มไปด้วยความตกใจ


       ในที่สุดองค์รัชทายาทก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและถามขึ้น “ขาของเสด็จอาถูกรักษาให้หายขาดแล้วหรือ?”


       องค์รัชทายาทไม่เคยได้รับข่าวเกี่ยวกับเสี่ยวเทียนเหยามาก่อน แต่ดูเหมือนว่าฮองเฮาและองค์ชายเจ็ดจะได้รับข่าวอยู่เรื่อยๆ เพราะพวกเขาดูตกใจน้อยกว่าเขา


       แม้คำพูดของเขาจะหลุดออกไปแล้วแต่ห้องโถงก็ยังเงียบอยู่ ไม่มีใครตอบคำถามของเขา องค์รัชทายาทรู้สึกเสียหน้า แต่เขาก็ทำเพียงยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ มีเพียงเฉพาะองค์ชายเจ็ดที่ให้ความสนใจกับเขา ด้วยการพูดขึ้น “เสด็จพี่ ถ้าขาของเสด็จอาไม่ดี แล้วเขาจะไม่สามารถเข้าวังได้หรือ?”


“น้องเจ็ดพูดถูกต้อง” องค์รัชทายาทพูดขึ้นเพื่อที่จะหลบหนีสถานการณ์ที่น่าอายของเขา


       แต่เมื่อคำพูดของเขาตกลงไป เขาก็ได้ยินฮ่องเต้พูดขึ้น “ขาของเสด็จอาของเจ้า ถูกรักษาโดยหวางเฟยของเขา”


       ทุกคนไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้พูดอะไร แต่เมื่อพวกเขาได้ยิน ฮองเฮา องค์ชายเจ็ด และโดยเฉพาะองค์รัชทายาท ต่างก็เต็มไปด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด “หลิน ชูจิ่วหรือ? นางจะทำได้อย่างไร… … “คำพูดที่เต็มไปด้วยความดูถูกหลุดออกมาจากปากของเขาทีละคำๆ


       องค์ชายเจ็ดเองก็ตกใจ แต่เขาไม่ได้แสดงมันออกบนใบหน้าของเขา เพราะเขายังเด็กอยู่ อย่างไรก็ตาม หลังจากคำพูดขององค์รัชทายาทหลุดออกมา เขาก็รีบคุกเข่าลงไปบนพื้นแล้วพูดขึ้นทันที “เสด็จพ่อ โปรดอภัยให้คำพูดที่ไม่ทันระวังของเสด็จพี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่ไม่ได้มีเจตนาที่จะเรียกชื่อของเสด็จอาสะใภ้โดยตรงเช่นนั้น”


       เมื่อองค์รัชทายาทได้ยิน ใบหน้าของเขาซีดลง ก่อนจะรีบคุกเขาลงไปทันที


“ลุกขึ้น เจิ้นรู้ว่าเจ้ามีจิตใจที่ขาวสะอาด” ฮ่องเต้ทรงให้อภัยองค์รัชทายาทอย่างใจกว้าง เห็นได้ว่าฮ่องเต้รักและให้ความสำคัญแก่เขา แต่แม้แต่ด้วยสมองที่น้อยนิดของเขา เขาก็สามารถบอกได้ว่า เขาไม่ได้อยู่ในสายตาของเสด็จพ่อของเขาเลยแม้แต่น้อย


       ฮองเฮาก้มหน้าลงเพื่อปกปิดความขมขื่นของนางเอาไว้ ฮ่องเต้ไม่เพียง แต่มองไม่เห็นองค์รัชทายาท แต่ยังปฏิเสธองค์ชายเจ็ดน้อยของนางอีกด้วย


       องค์ชายเจ็ดรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ชอบเขา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ดังนั้นหลังจากที่เขาลุกขึ้น เขาก็พูดขึ้นทันทื “เสด็จป้าสามารถรักษาขาของเสด็จอาได้ แน่นอนว่านางจะสามารถรักษาขาของเสด็จพี่สามได้ด้วยเช่นกัน เสด็จพ่อไม่จำเป็นต้องกังวล เสด็จพี่สามจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ “


       เพื่อที่จะพิสูจน์คำพูดของเขาองค์ชายเจ็ดได้พูดคำเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่จริงจังและมือเล็ก ๆ ของเขาถูกก็กำเป็นกำปั้นขึ้น เขาดูเหมือนจะพยายามให้กำลังฮ่องเต้เป็นอย่างมาก


       หัวใจของฮ่องเต้อ่อนลง เขาสะบัดมือไปทางองค์ชายเจ็ดและกล่าวด้วยความรักขึ้น”เจ็ดน้อย เข้ามาใกล้เสด็จพ่อของเจ้า”


       นี่เป็นความโปรดปรานจากสวรรค์!


       ในขณะนี้ แม้ว่านางจะดูสงบเหมือนฮองเฮา แต่พระสนมโจรก็กำลังกัดฟันของนางอยู่ องค์รัชทายาทเองก็มองไปที่องค์ชายเจ็ดอย่างขมขื่น เขากำลังถูกใช้โดยน้องเจ็ดหรือไม่?


*ถ้าผู้แปลใช้คำแทนตัว ลุงป้าน้าอา ผิด แจ้งไว้ได้เลยนะคะ บางทีก็งง สับสนเรียกไม่ถูก 555

 

 

 


ตอนที่ 228.1

 

องค์ชายเจ็ดรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมชาติ แต่เขาก็ไม่ยอมให้ความตื่นเต้นแทนที่ความรู้สึกที่แทนจริงของเขา หลังจากที่ความประหลาดใจและความปิติยินดีกระพริบขึ้นในดวงตาของฮ่องเต้ ไม่นานมันก็กลับมาแสดงความห่วงใยที่มีต่อองค์ชายสามอีกครั้ง


       องค์ชายเจ็ดถึงกับตกตะลึง แต่เขาก็ยังเดินเข้าไปใกล้ฮองเต้และพูดขึ้น “เสด็จพ่อ ไม่ต้องกังวลเสด็จพี่สามจะต้องไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”


“เจ็ดน้อยเจ้าพูดถูก จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพี่สามของเจ้า”ฮ่องเต้มองไปที่องค์ชายเจ็ดอย่างละเอียด ในขณะนั้นเขาก็ได้ตระหนักว่าแม้ว่าองค์รัชทายาทและองค์ชายเจ็ดจะเกิดมาจากมารดาคนเดียวกัน แต่กลับดูไม่เหมือนกัน


       เป็นเพราะเขาละเลยองค์ชายเจ็ดเป็นเวลานานเกินไปหรือไม่


       เมื่อเห็นว่าองค์ชายเจ็ดของเขาดูราวกับผู้ใหญ่ ฮ่องเต้ก็ได้ตระหนักว่าตอนนี้บุตรชายคนเล็กสุดของเขาตอนนี้ได้เติบใหญ่ขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ช่วยไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยอารมณ์เล็กน้อย แล้วฮ่องเต้ก็พูดขึ้นในขณะที่จับมือองค์ชายเจ็ดเอาไว้ “เจ็ดน้อย วันนี้เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อของเจ้าดีหรือไม่”


“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปกับเสด็จพ่อและอยู่กับเสด็จพี่สาม” องค์ชายเจ็ดมักจะรวมชื่อขององค์ชายสามไว้ด้วยเสมอเมื่อเขาเปิดปากของเขา เพราะเขารู้ว่าความรักของฮ่องเต้เป็นเพียงของชั่วคราวเท่านั้น บุตรชายที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็คือองค์ชายสามเสี่ยว จื่ออัน ถ้าเขาต้องการได้รับความโปรดปรานของฮ้องเต้เขาจะไม่ต้องแข่งขันกับองค์ชายสาม


“เด็กดี เจ้ารู้จักห่วงใยพี่สามของเจ้าจริงๆ” ฮ่องเต้ดูเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อดวงตาของเขากวาดไปมองที่องค์รัชทยาทและเห็นองค์รัชทายาทลดศีรษะของเขาลง เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก


       องค์ชายเจ็ดทำเหมือนว่าเขาไม่เข้าใจอะไร ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไร้เดียงสา “เสด็จพ่อ ไม่เพียงแค่กระหม่อมเท่านั้น แต่ยังมีเสด็จแม่ เสด็จพี่องค์รัชทายาท เหล่าพระสนม ต่างก็เป็นห่วงเกี่ยวกับเสด็จพี่สามด้วยเช่นกัน เพียงแต่ทุกคนต่างก็เก็บมันไว้ในหัวใจของพวกเขาเท่านั้น”


       เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ เมฆมืดที่อยู่ภายในหัวใจของฮ่องเต้ก็กระจัดกระจายออกไป คนอื่นรู้สึกโล่งใจกับเรื่องนี้ มีเฉพาะฮองเฮาและพระสนมโจมที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น


       พระสนมโจวรู้สึกหงุดหงิดตอนองค์ชายเจ็ดมากในเวลานี้ เพราะองค์ชายเจ็ดไม่ลังเลที่จะใช้บุตรชายของนางเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ในทางตรงกันข้ามฮองเฮาก็โทษตัวเองที่เป็นมารดาที่ไม่ดี บุตรชายของนางยังเด็กอยู่ แต่เขากลับจำเป็นต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริงของเขาเอาไว้ และเพื่อที่จะได้รับความโปรดปรานของฮ่องเต้ เขาต้องประจบบุตรชายของนางสนม


       นี่เป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับฮองเฮา แต่บุตรชายของนางยังคงต้องยิ้มและกลืนความอัปยศนี้ลงไป


       ใบหน้าของฮองเฮายังคงดูอ่อนโยนและสง่างาม แต่นางก็กำมือของนางที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนางเอาไว้แน่น เล็บของนางฝังลงไปบนฝ่ามือ แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย


       เมื่อเสี่ยวเทียนเหยาและหลิน ชูจิ่ว มาถึงวัง บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด อย่างไรก็ตามขันทียังแนะนำพวกเขาต่อไป “เสี่ยวหยางเย่ เสี่ยวหวางเฟยเชิญทางนี้” เสี่ยวเทียนเหยา สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้ม ในขณะที่หลิน ชูจิ่วสวมชุดสีม่วงเมื่อเข้ามาในวัง


       เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เสี่ยวเทียนเหยา ก็ชะลอฝีเท้าของเขาและเดินเคียงข้างหลิน ชูจิ่ว ในขณะที่ทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน มันยังคงมีแสงสว่างอยู่บ้าง พวกเขาจึงมองเห็นดวงตาของทุกคนที่กำลังจ้องมองพวกเขา อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พวกเขาเข้ามาประตูก็ปิดลงและห้องก็เริ่มมืดลง แต่ใครจะรู้ว่าทำไมทั้งสองยังคงเป็นศูนย์กลางของความสนใจอยู่


       มันเป็นเวลานานตั้งแต่ที่เสี่ยวเทียนเหยา ได้เข้าไปในวัง เพราะขาที่พิการของเขา แต่ตอนนี้เมื่อเขามา ดวงตาของฮ่องเต้ก็เต็มไปด้วยความตกใจและโกรธ และเมื่อฮ่องเต้มองไปที่หลิน ชูจิ่ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอาลัย


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่สนใจสายตาของทุกคนที่มองมาที่พวกเขา เขาเดินไปพร้อมกับหลิน ชูจิ่วไปยังต่อหน้าของฮ่องเต้ จากนั้นเขาก็โค้งศีรษะลงเล็กน้อยและพูดขึ้น “ฝ่าบาท”


       นี่เป็นการทำความเคารพแล้วหรือ?


       หลิน ชูจิ่ว เห็นความเย่อหยิ่งของเสี่ยวเทียนเหยา ที่แสดงออกต่อหน้าฮ่องเต้ เขาไม่ได้ใส่ฮ่องเต้ไว้ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย


       แน่นอนที่สุด!


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้ไว้หน้าฮ่องเต้แม้แต่น้อย หลิน ชูจิ่วก็ไม่ดีในเรื่องของการสอพลอ ดังนั้นเธอจึงทักทายฮ่องเต้ ฮองเฮา เหล่าองค์ชายและพระสนมโจวทีละคนเท่านั้น แต่สำหรับเทพธิดาหิมะอย่างโม่ อวี้เอ้อร์นหรือ?


       ฮ่าๆๆ … จากช่วงเวลาที่เสี่ยวเทียนเหยา เดินเข้ามา หลิน ชูจิ่วก็เห็นคู่ของสายตาที่เหนียวหนึบมองไปที่สามีของเธอ ดังนั้นมันจึงช่วยไม่ได้ ที่เธอจะลืมทักทายนาง


 

 

 


ตอนที่ 228.2

 

       หลังจากที่หลิน ชูจิ่ว เสร็จสิ้นจากการทักทาย องค์รัชทายาทและองค์ชายเจ็ดก็ออกมาด้านหน้าเพื่อทำความเคารพต่อเสี่ยวเทียนเหยา หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้พูดอะไร ในขณะที่เสี่ยวเทียนเหยา ก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”

       เมื่อทุกคนเสร็จสิ้นจากการทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่ได้เสนอที่นั่งให้กับพวกเขา อย่างไรก็ตามเสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้รอคำสั่งของฮ่องเต้แต่อย่างใด เขาพาหลิน ชูจิ่ว ไปนั่งลงในที่ว่างเปล่า จากนั้นเขาก็ถามขึ้น “ฝ่าบาท นอกเหนือจากเรื่องขององค์ชายสามแล้ว มีอะไรอีกบ้างที่เราจำเป็นต้องเข้าวัง?”


       ทัศนคตินี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นการเย่อหยิ่ง แต่เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้เห็นหัวของฮ่องเต้แม้แต่น้อย จากก้นบึ้งของหัวใจหลิน ชูจิ่ว รู้สึก เห็นใจฮ่องเต้อยู่อย่างเงียบ ๆ


       เมื่อฮ่องเต้ได้ยินชื่อขององค์ชายสาม เขาก็พยายามที่จะปราบปรามความโกรธของเขาลงไป


       ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะโกรธมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังมีเหตุผล เขาแอบหายใจเข้าลึก ๆ และแสดงรอยยิ้มอันใหญ่บนใบหน้าของเขาขึ้น “นอกเหนือจากเรื่องขององค์ชายสามแล้ว เจิ้นก็อยากพบเจ้า ตอนนี้เจ้าสามารถเดินได้อีกครั้ง เจิ้นก็รู้สึกผ่อนคลาย และถ้าเสด็จพ่อเห็นสภาพของเจ้าในตอนนี้ พระองค์จะมีความสุขอย่างแน่นอน “


“เสด็จพ่อจะมีความสุขมากจริงๆที่เปิ่นหวางรอดจากภัยพิบัติและไม่ตาย แต่สำหรับคนอื่น ๆ เปิ่นหวางไม่รู้ “คำพูดของเสี่ยวเทียนเหยา เต็มไปด้วยคำพูดเสียดสี แต่ … …


       ฮ่องเต้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างสงบราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา”ถ้าเจ้าไม่ตายก็หมายความว่าเจ้ามีความโชคดีที่ใหญ่หลวง เทียนเหยามั่นใจได้ เจิ้นจะไม่ให้ใครปฏิบัติกับเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมอีกครั้ง “


“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เสี่ยวเทียนเหยานั้นหยาบคายมาก เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกขี้เกียจที่จะเปิดปากของเขาด้วยซ้ำ เมื่อเห็นฮ่องเต้ที่อยู่ด้านบนดูเหมือนจะไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป เสี่ยวเทียนเหยาก็พูดขึ้นอย่างเฉื่อยชาและตรงประเด็น “ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าท่านเรียกหวางเฟยของข้ามาเพื่อดูอาการของบุตรชายที่ป่วยของท่านหรือ แล้วจื่ออันอยู่ที่ไหน? ”


       ฮ่องเต้ไม่ได้คาดหวังว่าเสี่ยวเทียนเหยา จะพูดถึงเรื่องนั้นตรงๆ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงสามารถพูดได้แค่ “อยู่ด้านใน”


“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เสี่ยวเทียนเหยา ลุกขึ้นยืนและเหลือบมองหลิน ชูจิ่ว เมื่อหลิน ชูจิ่ว ลุกขึ้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้า


       หลิน ชูจิ่ว ตามไปเงียบ ๆ แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็คิดว่า: ถ้าเสี่ยวเทียนเหยาอยู่กับเธอ จะไม่มีใครสร้างปัญหาให้เธอได้


       โชคดีที่แม้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา จะบ้าเลือด แต่เขาก็ไม่ลืมว่ามีทหารองครักษ์อยู่ในวังมากมาย เขาไม่ได้เดินเข้าไปในห้องโถงด้านในทันที แต่เขารอคอยให้ฮ่องเต้ลุกขึ้นและนำทาง


       หลิน ชูจิ่วแอบโห่ร้อง เสี่ยวเทียนเหยาอย่าเพิ่งโกรธ ฮ่องเต้ไม่มีเหตุผลที่จะสร้างปัญหาให้พวกเขา เพราะถ้าฮ่องเต้ลงโทษเสี่ยวเทียนเหยา เธอก็จะตกอยู่ในปัญหาด้วย


       ภายใต้การนำทางของฮ่องเต้ ฮองเฮาและคนอื่น ๆ ต่างก็เดินออกไปจากห้องโถง แม้แต่พระสนมโจรที่ไม่เคยพูดอะไรก็ตามมา


       พระสนมโจว ไม่สนใจเรื่องการสู้รบระหว่างฮ่องเต้กับเสี่ยวหวางเย่ ทั้งหมดที่นางต้องการและอธิษฐานคือให้เสี่ยวหวางเฟย ช่วยบุตรชายของนางได้เท่านั้น


       ในโอกาสนี้อาจกล่าวได้ว่าเทพธิดาหิมะอย่างโม่ อวี้เอ้อร์ ไม่สามารถเข้าไปในห้องด้านในได้เหมือนทุกคน แต่โม่ อวี้เอ้อร์ ก็ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ นางไม่เพียงตามทุกคนไป แต่ยังเดินเคียงข้างกับเสี่ยวเทียนเหยาและหลิน ชูจิ่วอีกด้วย


       เมื่อพระสนมโจวสังเกตเห็นโม่ อวี้เอ้อร์ หัวคิ้วของนางก็ขมวดขึ้น นางสนมคนนี้กล้าที่จะเดินนำหน้านางเชียวหรือ?


       อย่างไรก็ตาม ในโอกาสดังกล่าวพระสนมโจวไม่กล้าที่จะเปิดปากของนาง แต่นางก็เขียนมันลงไปภายในใจของนางแล้ว ในทางกลับกันเสี่ยวเทียนเหยา จู่ๆ ก็หยุดเดินแล้วก็พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจอย่างมาก “ฝ่าบาท ท่านควรจะจัดการกับนางสนมของท่าน”


       อะไรกัน?


       เมื่อทุกคนได้ยิน พวกเขาก็หยุดและมองย้อนกลับไป แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่โม่ อวี้เอ้อร์มาเดินอยู่เคียงข้างกับหลิน ชูจิ่ว นางสนมฐานะเล็กๆอย่างนางไม่เพียงแต่เดินนำหน้าพระสนมโจว แต่ยังยืนเคียงข้างเสี่ยวหวางเฟยอีกด้วย!


       โม่ อวี้เอ้อร์ หมายความว่าอย่างไรโดยการทำเช่นนี้?


       ทุกคนมองไปที่โม่ อวี้เอ้อร์ แต่โม่ อวี้เอ้อร์ ก็ยังทำท่าไม่สนใจ นางเพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่เช่นนั้น หัวคิ้วของฮองเฮาขมวดขึ้น นางกำลังจะเปิดปาก ของนาง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของฮ่องเต้ดังขึ้น “ใครก็ได้มาพาอวี้เหม่ยเหรินกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักของนาง”


       เมื่อเห็นเสี่ยวเทียนเหยาเดินอย่างอิสระ ฮ่องเต้ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น  ดังนั้นเนื่องจากการเคลื่อนไหวของโม่ อวี้เอ้อร์ในเวลานี้ ไฟก็ลุกขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยในหัวใจของฮ่องเต้ แต่ … …


******เนื่องจากเดือนนี้ยุ่งจริงๆ จะขอลงให้ตอนเดียวก่อนนะคะ หลังจากเดือนนี้จะกลับมาลงให้สองตอนเหมือนเดิมนะคะ

 

 

 


ตอนที่ 229.1

 

  โม่ อวี้เอ้อร์ ไม่เต็มใจที่จะไป!


“ฝ่าบาท บิดาพ่อของหม่อมฉันเป็นถึงหมอเทวดาโม่ ที่มีชื่อเสียงในสี่แคว้น ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะไม่สนใจเรื่องของการแพทย์ แต่ก็เรียนรู้อยู่ไม่น้อย หม่อมฉันสามารถอยู่และคอยช่วยได้ หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทโปรดให้หม่อมฉันอยู่ต่อด้วยเพคะ”โม่ อวี้เอ้อร์ ยืนยันที่จะเข้าไป นางยังลดสายตาของนางลงเพื่อปกปิดความตั้งใจที่แท้จริงของนางเอาไว้


       โม่ อวี้เอ้อร์ คิดว่านางได้ปกปิดความตั้งใจที่แท้จริงของนางเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่นางลืมไปว่าทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ ใครจะไม่รู้ว่านางมีความรู้สึกอย่างไรต่อเสี่ยวเทียนเหยา? โดยเฉพาะฮ่องเต้


       เมื่อเห็นโม่ อวี้เอ้อร์ เดินไปทางด้านของเสี่ยวเทียนเหยา ฮ่องเต้ก็ได้คาดเดาสิ่งที่อยู่ในใจนางแล้ว ฮ่องเต้ช่วยไม่ได้ที่จะโกรธโม่ อวี้เอ้อร์ จริงๆที่กล้าขัดคำสั่งของเขา ก่อนจะส่งเสียงเย็นขึ้น


“เจ้าจะช่วยอะไรได้?” แม้ว่าเขาจะฟังคำแนะนำของนางและตามตัวหลิน ชูจิ่วเข้าวัง คำพูดของโม่ อวี้เอ้อร์และหมอเทวดาโม่ ก็ไม่เหมือนกัน


       ดังนั้นเมื่อเทียบกับคำพูดระหว่างพ่อกับลูกสาวคู่นี้ เขาจึงเชื่อมั่นในคำพูดของหมอหลวงฉินมากกว่า


“หม่อมฉันโตมากับบิดาตั้งแต่วัยเด็ก ดวงตาและหูของหม่อมฉันจึงเต็มไปด้วยความรู้ทางการแพทย์ แม้ว่าหม่อมฉันจะได้เรียนรู้เพียงเล็กน้อย แต่หม่อมฉันก็สามารถระบุได้ว่ามีปัญหาหรือไม่ “โม่ อวี้เอ้อร์ ราวกับกำลังพูดว่าข้าต้องการที่จะอยู่และเฝ้าดูหลิน ชูจิ่ว


       ในขณะนี้หลิน ชูจิ่ว ต้องทนกับแผนการร้ายครั้งนี้หรือ


       โม่ อวี้เอ้อร์ ยังคงคิดว่าตัวเองเป็นบุตรสาวของหมอเทวดาโม่ ที่มีชื่อเสียงอีกหรือ?


       ผิด ตอนนี้นางเป็นเพียงอวี้เหม่ยเหริน ในวังหลังของฮ่องเต้เท่านั้น แล้วนางจะใช้อะไรมาต่อรองกับเธอ


“อวี้เหม่ยเหรินช่างมีคำพูดที่ยิ่งใหญ่ ข้าหวางเฟยได้รับคำสั่งให้มาทำการรักษาองค์ชายสาม แต่แล้วเจ้าเล่า? เจ้ามีคุณสมบัติอะไรที่จะอยู่ที่นี่ได้”หลิน ชูจิ่วพูดขึ้น น้ำเสียงของเธอไม่อบอุ่นหรือเย็นชา แต่ทุกคนก็รู้สึกว่าเธอกำลังโกรธ


“ข้าเพียงแค่อยากจะทำให้ดีที่สุดเพื่อองค์ชายสาม” โม่ อวี้เอ้อร์เปิดปากของนางและทำให้ตัวเองดูสูงขึ้นไปอีกด้วยศีลธรรมต่างๆ เพื่อปกปิดพฤติกรรมของนาง แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือนางทำให้พระสนมโจวโกรธมาก


“อวี้เหม่ยเหริน เจ้าคิดว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับบุตรชายของข้าเป็นอย่างไร เจ้าถึงต้องการที่จะอุทิศหัวใจของเจ้าเพื่อเขา? ถ้าเจ้ามีหัวใจที่จริงใจทำไมเจ้าไม่บอกกับบิดาของเจ้าว่าเขาไม่ควรออกจากวังโดยไม่ทิ้งคำพูดใดๆ เอาไว้? และถ้ามันไม่ใช่เพราะบิดาของเจ้า บุตรชายของข้าจะจบลงในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร? “พระสนมโจวสามารถทนต่อการเห็นบุตรชายของนางถูกใช้เป็นหินขว้างไปมาครั้งหรือสองครั้งได้ แต่ทำไมนางควรจะทนกับการให้โม่ อวี้เอ้อร์ ใช้บุตรชายของนางได้? นางเป็นใครกัน?


       ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ทุกหนทุกแห่ง ต้องการที่จะเหยียบย่ำลงไปที่บุตรชายของนางนะหรือ? นางต้องฝันไปแน่ๆ!


       ใบหน้าของโม่ อวี้เอ้อร์ ซีดลง “พระสนมโจว หม่อมฉันทำมันด้วยความจริงใจ การกระทำที่ฉับพลันของท่านพ่อคือเหตุสุดวิสัย แต่ในช่วงที่ผ่านมาเขาได้ทำการรักษาต่อองค์ชายสามอย่างสุดกำลัง”


“บุตรชายของข้าป่วยหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จากการรักษาอย่างเต็มกำลังของบิดาเจ้า! บุตรชายของข้าอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงสองสามชั่วยามต่อจากนี้ด้วยซ้ำ? “พระสนมโจวโต้ตอบกลับคำของโม่ อวี้เอ้อร์อย่างเฉียบคม โม่ อวี้เอ้อร์ ไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยการแสดงออกของความชอบธรรม ดังนั้นใครจะไม่โกรธ?


       “พอได้แล้ว”ฮ่องเต้ขัดจังหวะและพูดกับพระสนมโจวขึ้น “อวี้เหม่ยเหริน มีเจตนาดี เช่นนั้นก็ปล่อยนาง… … ” ฮ่องเต้ยังพูดไม่จบ แต่เสี่ยวเทียนเหยาก็ ขัดจังหวะเขาขึ้น”ฝ่าบาท ถ้าผู้หญิงของท่านมีความสามารถเพียงพอ เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางเป็นหมอ เปิ่นหวางและหวางเฟยจะไม่ชะลอการรักษาขององค์ชายสามอีกต่อไป”


       ทันทีที่คำพูดของเขาตกลง เสี่ยวเทียนเหยาก็ ดึงหลิน ชูจิ่วออกไป แต่พระสนมโจว ทำปฏิกิริยาได้อย่างรวดเร็วและดึงมือของหลิน ชูจิ่วเอาไว้ก่อนจะพูดขึ้น “เสี่ยวหวางเย่ เสี่ยวหวางเฟย โปรดอย่าเพิ่งไป ข้าขอร้องโปรดช่วยบุตรชายของข้าด้วย ” พระสนมโจวหันศีรษะและมองไปที่ฮ่องเต้พร้อมด้วยน้ำตา ก่อนจะพูดขึ้น “ฝ่าบาท ถ้าอวี้เหม่ยเหริน มีทักษะในการที่จะช่วยจริงๆนางก็คงจะไม่อยากแนะนำเสี่ยวหวางเฟยต่อฝ่าบาท ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการช่วยชีวิตของจื่ออันนะเพคะ” ชีวิตของบุตรชายของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่พวกเขาก็ยังกล้าที่จะดึงดันกันอยู่ได้?


       คำพูดของพระสนมโจวไม่ต้องสงสัยว่ามันทำให้ฮ่องเต้ถึงกับพูดไม่ออกแต่น่าเสียดายที่เสี่ยวเทียนเหยา ยังคงพูดเพิ่มเติมขึ้นอีก “ฝ่าบาท เปิ่นหวาง เกลียดที่จะเห็นผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียง นอกจากนี้อวี้เหม่ยเหรินก็ยังเป็นนางสนมของท่าน นางไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ “

 

 

 


ตอนที่ 229.2

 

“เข้ามา พาอวี้เหม่ยเหริน กลับไปยังตำหนักของนาง” เสียงของฮ่องเต้เมไปด้วยความมืดครึ้ม เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ แต่โม่ อวี้เอ้อร์ ก็ยังไม่เข้าใจ นางยังดิ้นรนและพูดขึ้นอีก “ฝ่าบาทโปรดให้หม่อมฉันอยู่ด้วยเพคะ หม่อมฉันสามารถช่วยได้จริงๆ หม่อมฉันช่วยได้จริงๆเพคะ … … “นางถูกขังอยู่ในวังหลังแห่งนี้ ดังนั้นนอกเหนือจากโอกาสนี้ เมื่อไหร่ที่นางจะได้พบกับหลิน ชูจิ่ว อีกครั้ง?


       ใบหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นดำมืดอย่างสนิท แล้วหลิน ชูจิ่วก็พูดขึ้น “อวี้เหม่ยเหรินต้องการจะช่วยอย่างไร? ถ้าข้าจำได้ไม่ผิด เมื่อครั้งที่หมอเทวดาโม่กำลังรักษาหวางเย่ ด้วยการแช่อ่างยาพร้อมกับวิญญาณมังกร เจ้าก็ขอร้องและบอกว่าเจ้าสามารถช่วยได้ แต่ตอนนี้ในขณะที่ข้ากำลังจะรักษาองค์ชายสาม เจ้าก็ขออยู่อีก? อย่าลืมองค์ชายสามเสี่ยว จื่ออันเป็นบุตรชายของฮ่องเต้ ”


       ประโยคสุดท้ายของเธอคือตบหน้า ไม่เฉพาะใบหน้าของโม่ อวี้เอ้อร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงฮ่องเต้อีกด้วย ดังนั้นทั้งฮองเฮาและพระสนมโจวจึงต่างก็กลัว


       หลิน ชูจิ่ว กล้ามากจริงๆ


“ปิดปากนางและลากนางออกไป” ฮ่องเต้ไม่ได้เรียกโม่ อวี้เอ้อร์ หรืออวี้เหม่ยเหริน เขาไม่ได้ไว้หน้าโม่ อวี้เอ้อร์จริงๆ ในเวลานี้


“ไม่ … … อืมม” โม่ อวี้เอ้อร์ พยายามที่จะอธิบาย แต่นางก็ไม่ได้รับโอกาสใด ๆ ความเยือกเย็นและความเย่อหยิ่งของนางไม่เป็นประโยชน์กับทหารหลวง


       หลังจากที่โม่ อวี้เอ้อร์ถูกลากออกไป หลิน ชูจิ่วก็หันไปและคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ ก่อนจะพูดขึ้น “ฝ่าบาท โปรดอภัยในความหยาบคายของหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันเป็นคนพูดตรงไปตรงมาเสมอ หม่อมฉันบังเอิญพูดความจริงออกไป อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นคนที่ดูแลหวางเย่ จริงๆแล้วก็คือหม่อมฉันไม่ใช่อวี้เหม่ยเหรินเพคะ”


       ไม่อธิบายก็ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าฮ่องเต้เกิดรำคาญพวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้อยู่แล้ว “เรื่องเล็กน้อย ลืมมันไปเสีย การไปพบองค์ชายสามคือเรื่องสำคัญสูงสุดของเรา “


“เพคะ” หลิน ชูจิ่วลุกขึ้นหลังจากขอโทษฮ่องเต้ แต่เมื่อเธอยืนขึ้น เธอก็มองเห็นเสี่ยวเทียนเหยา กำลังจ้องมองเธออยู่ หลิน ชูจิ่ว ทำตัวเหมือนว่าเธอไม่เห็นอะไร เธอก้มหัวลงในขณะที่เดินไปกับทุกคน


       ในวังชั้นใน นอกเหนือจากองค์ชายสามแล้วยังมีหมอบางคนที่ติดตามหมอหลวงฉินมา เมื่อพวกเขาเห็นฮ่องเต้ พวกเขาจึงก้าวออกมาข้างหน้าและถามเกี่ยวกับการรักษาอาการของเสี่ยว จื่ออัน ฮ่องเต้ได้อธิบายอย่างง่ายๆขึ้นว่าอาการขององค์ชายสามจะได้รับการจัดการโดยหลิน ชูจิ่วต่อจากนี้


       หลิน ชูจิ่ว กำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่เสี่ยวเทียนเหยา ก็ดึงเธอกลับมาแล้วพูดขึ้น “ฝ่าบาท โปรดสั่งให้ทุกคนออกไปด้วย ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายใจท่านสามารถสั่งให้หมอหลวงฉินอยู่ได้”


       หลิน ชูจิ่วไม่เข้าใจ แต่เธอรู้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา กำลังทำเพื่อเธอ ดังนั้นเธอเพียงแค่ยืนอยู่เงียบๆ เท่านั้น


“เจ้าต้องการให้ทุกคนออกไปหรือ?” เขาปฏิเสธที่จะให้ทุกคนอยู่และดู แต่เขากลับปล่อยให้หมอหลวงฉินอยู่ได้? เสี่ยวเทียนเหยากำลังวางแผนที่จะทำอะไร?


       เขาตั้งใจทำเช่นนี้เพื่อให้เขาสงสัยว่าหมอหลวงฉินใช่ไหม?


       เสี่ยวเทียนเหยา ต้องการทำอะไรกันแน่?


       แย่หน่อย ที่มีเพียงแค่หมอหลวงฉิน ที่สามารถเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้


       เมื่อหมอหลวงฉินได้ยินคำพูดของเสี่ยวเทียนเหยา เขาก็รู้ว่าคุณธรรมของเขาก่อนหน้านี้กำลังบินหนีไป


“พ่ะย่ะค่ะ”


       เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเทียนเหยากำลังจริงจังมาก เขาก็กลัวว่าเขาจะไม่สามารถเผชิญกับผลกระทบได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเขาโดยตรงแต่กลับถามขึ้นแทน “ทำไม?”


“เปิ่นหวางไม่สามารถอธิบายได้ในตอนนี้ แต่เปิ่นหวางรับประกันได้ว่า จื่ออันจะหายหลังจากนี้ นอกจากนี้ยังมีหมอหลวงฉินอยู่ ฝ่าบาท ไม่ต้องกังวัลแม้แต่น้อย “เสี่ยวเทียนเหยาบอกว่าไม่มีใครสามารถเข้ามาได้ แต่พระสนมโจว ไม่เชื่อเช่นนั้น แต่เพราะเห็นแก่บุตรชายของนาง นางจึงขอให้ฮ่องเต้ยอมตกลง


       ไม่ว่าเสี่ยวเทียนเหยาจะมีเล่ห์กลอะไร ที่เขาจะการจะเล่นมัน  นางเพียงแค่อยากให้บุตรชายของนางดีขึ้นเท่านั้น


“หมอคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้รับอนุญาตด้วยหรือ?” ฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ เขามีความห่วงใยต่อเสี่ยว จื่ออัน แต่มันก็ไม่ได้ว่าความว่าความเกลียดชังของเขาที่มีต่อเสี่ยวเทียนเหยาจะหายไป


       เสี่ยวเทียนเหยา ดูเหมือนว่าจะคาดหวังได้ถึงปฏิกิริยาดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก “หมอคนอื่น ๆ ไร้ความสามารถ เปิ่นหวางจะคอยช่วยหวางเฟยในการรักษาจื่ออันเอง”


“หวาง … เย่” การแสดงออกทางสีหน้าของหลิน ชูจิ่ว เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเธอก็ดึงแขนเสื้อของเสี่ยวเทียนเหยา


       เธอยังไม่สามารถรับประกันอะไรได้ทั้งนั้น!

 

 

 


ตอนที่ 230.1

 

  เสี่ยวเทียนเหยา ไม่สนใจว่าฮ่องเต้จะเห็นหรือไม่ เขาจับมือหลิน ชูจิ่วกลับและบอกให้นางปล่อยมือและเพียงแค่ผ่อนคลายเท่านั้น


       หลิน  ชูจิ่วเก็บมือลงไป แต่เธอไม่สามารถผ่อนคลายได้


       เธอยังไม่ทราบสภาพที่แท้จริงขององค์ชายสาม ดังนั้นพวกเขาจะสามารถรับประกันถึงผลของการรักษาไดอย่างไร? นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์เชียวนะ


       การโต้ตอบระหว่างพวกเขาไม่ได้ถูกซ่อนเอาไว้ ดังนั้นฮ่องเต้จึงได้เห็นมันเป็นธรรมชาติ เมื่อเห็นความตึงเครียดและความกลัวบนใบหน้าของหลิน ชูจิ่ว ที่ไม่ใช่ของปลอม ฮ่องเต้ก็พูดง่ายๆขึ้น “ทุกคนออกไป หมอหลวงฉิน ท่านอยู่ที่นี่และช่วยเสี่ยวหวางเฟย”


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ” หมอหลวงฉินรู้สึกช่วยไม่ได้ แต่การแสดงออกทางใบหน้าของเขาดูเหมือนปกติ เขาไม่ได้เปิดเผยความกังวลใด ๆออกมา


“ไปกันเถอะ” เมื่อฮ่องเต้หันหลังและเดินออกไป คนอื่น ๆ ก็ตามออกไปเป็นธรรมชาติและไม่มีใครกล้าที่จะอยู่ พวกเขาจากไปทีละคะๆ เหลือเพียงพระสนมโจวเท่านั้น แต่ก่อนที่นางจะจากไปนางมองไปที่หลิน ชูจิ่ว ด้วยสายตาที่มีความหมาย ดวงตาของนางดูซับซ้อนเกินไป ดังนั้นหลิน ชูจิ่ว จึงไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร … …


       หลังจากที่ห้องว่างเปล่า ยกเว้นหลิน ชูจิ่วและเสี่ยวเทียนเหยา ก็มีเพียงองค์ชายสามที่ไม่ได้สติและหมอหลวงฉิน เหลืออยู่ภายในห้องโถงด้านใน


“ข้าจะไปดูองค์ชายสาม” หลิน ชูจิ่ว ก้าวไปข้างหน้าเพื่อไปที่เตียง แต่เธอก็ถูกหยุดโดยเสี่ยวเทียนเหยา “อย่ากังวล ให้หมอหลวงฉิน ตรวจเขาก่อน”


“หือ?” หลิน ชูจิ่ว มองไปที่หมอหลวงฉิน และมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา


       หมอหลวงฉิน เป็นคนของเสี่ยวเทียนเหยาด้วยหรือ?


       เมื่อหลิน ชูจิ่ว หันศีรษะและมองมาที่เขา เสี่ยวเทียนเหยา ก็เข้าใจสิ่งที่นางคิด ดังนั้นเขาจึงยื่นนิ้วออกไปและตีไปที่หน้าผากของหลิน ชูจิ่ว”เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? หมอหลวงฉินก็ยังคงเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ ”


“โอ้ แล้วเช่นนั้น … … ” ทำไมท่านถึงปล่อยให้เขาตรวจดูองค์ชายสามก่อน?


       หลิน ชูจิ่วไม่กล้าพูดออกคำพูดที่เหลือของเธอออกมา เพราะเสี่ยวเทียนเหยา มองเธอเหมือนเธอเป็นหมู โชคดีที่เขาไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงโง่เหมือนหมู


       หลิน ชูจิ่วเพียงแค่ปิดปากเงียบ แล้วเสี่ยวเทียนเหยาก็หันไปมองไปที่ หมอหลวงฉิน จากนั้นเขาก็ถามอย่างแดกดันขึ้น “อะไร? เจ้าต้องการให้เปิ่นหวางขอร้องเจ้าก่อนหรือ … … ”


“ผู้ต่ำต้อยผู้นี้ไม่กล้า … ” หมอหลวงฉิน ระงับคำพูดของเขาและลดศีรษะของเขาลง


       ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่อาจารย์ของเขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า : ไม่มีศัตรูนิรันดร์ มีเพียงความเป้าหมายที่เป็นนิรันดร์


       เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะร่วมมือกับเสี่ยวเทียนเหยา  


       “ไม่กล้าหรือ เช่นนั้น เปิ่นหวางและหวางเฟยจะรออยู่ที่นี่ “เสี่ยวเทียนเหยา ที่พูดราวกับผู้เป็นอาพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ดึงหลิน ชูจิ่วไปนั่งข้าง ๆ


“ผู้ต่ำต้อยจะเชื่อฟัง” หมอหลวงฉินพูดและถอนหายใจขึ้น เขาไม่ได้ปฏิเสธคำสั่งของเสี่ยวเทียนเหยา เลย เพราะเขาไม่สามารถที่จะชดใช้ถ้าถูกเปิดเผยได้


       หมอหลวงฉินหยิบอ่างน้ำทองแดงขนาดใหญ่มาและรักษาพิษในร่างขององค์ชายสาม


       หลิน ชูจิ่ว ดูสับสนมาก แต่เธอรู้ดีว่าไม่ควรถามคำถามใด ๆ เธอกดความสงสัยลงไปในหัวใจของเธอและตัดสินใจที่จะถามเสี่ยวเทียนเหยา เมื่อพวกเขากลับไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่แล้วเท่านั้น


       เมื่อหมอหลวงฉิน กำลังรักษาองค์ชายสาม หลิน ชูจิ่ว และเสี่ยวเทียนเหยาก็ไม่ได้เข้าไปใกล้ๆ เพื่อดู ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดที่พวกเขารู้ก็คือหลังจากเวลาครึ่งก้านธูป พวกเขาก็ได้ยินเสียงอาเจียน ช่วงเวลาต่อมาห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเปรี้ยว กลิ่นมันแย่มาก ๆ ถึงแม้ว่าหลิน ชูจิ่วจะเป็นหมอ แต่เธอก็พบว่าเธอไม่สามารถทนได้ ดังนั้นจะนับอะไรกับเสี่ยวเทียนเหยา?


“เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายสาม?” ทำไมสัญญาณเตือนของระบบการแพทย์จึงอ่อนแอลงเมื่อเสี่ยว จื่ออันอาเจียนออกมา?


“แมลงพิษ” หลังจากที่เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย เขาก็นั่งสบาย ๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นที่เกิดขึ้น


       เมื่อเสี่ยว จื่ออัน อาเจียนเสร็จ หลิน ชูจิ่ว ก็เห็นหมอหลวงฉินถึงฉากกั้นมาปิดเตียงเอาไว้ ทำหลิน ชูจิ่วมองไม่เห็นอะไร


       น่ารำคาญจริงๆ!

 

 

 


ตอนที่ 230.2

 

  หลิน ชูจิ่ว รออีกนาน หลังจากครึ่งชั่วโมง หมอหลวงฉินผู้ซึ่งกำลังเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอยู่ก็พูดขึ้น”พิษขององค์ชายสามได้รับการรักษาแล้ว ที่เหลือคงต้องรบกวนเสี่ยวหวางเฟยแล้ว“เขาไม่สามารถรักษาโรคเก่าขององค์ชายสามได้ แม้ว่า เสี่ยวหวางเย่จะตัดขาดเขา เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก


       เสี่ยวเทียนเหยาลูบไหล่ของหลิน ชูจิ่ว และพูดขึ้น “ไปดูเสี่ยว จื่ออันเถอะ หากเจ้าไม่สามารถทำได้ ก็ยังมีหมอหลวงฉินอยู่ “เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ยอมปล่อยให้หมอหลวงฉินไปง่ายๆ


       ในเวลานี้หลิน ชูจิ่ว ได้สังเกตุเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติไป แต่เธอก็เพียงแค่ยิ้มให้หมอหลวงฉิน ก่อนจะหยิบกล่องยาของเธอ จากนั้นเธอก็เอาหูฟังของเธอออกมา … …


“นั่นคืออะไร?” หมอหลวงฉินเองก็เป็นหมอ แต่เขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะสงสัย


“หูฟัง” หลิน ชูจิ่ว พูดขึ้นสั้น ๆ เกี่ยวกับหลักการและการใช้งาน เมื่อเธอเห็นหมอหลวงฉิน ดูเหมือนจะกระตือรือร้นที่จะลองทำมัน หลิน ชูจิ่วก็ถามขึ้น “ท่านอยากจะลองดูไหม?”


“ไม่ ไม่ … ” หมอหลวงฉินรีบปฏิเสธขึ้นทันที ทั้งสองคนมีตำแหน่งที่แตกต่างกัน ไม่ควรติดต่อใกล้ชิด


       หลิน ชูจิ่ว ไม่สนใจเรื่องการปฏิเสธของหมอหลวงฉิน เธอเพียง แต่จดจ่ออยู่กับการรักษาเสี่ยว จื่ออันเท่านั้น  


       การเต้นของหัวใจขององค์ชายสามช้า อุณหภูมิของเขาก็ต่ำกว่าคนปกติ ดูเหมือนว่าหนาอกของเขาจะมีความแน่นอยู่และมีโรคหอบหืดด้วยเล็กน้อย แต่ … … โดยรวมแล้วไม่มีปัญหากับร่างกายของเขา!


       หลิน ชูจิ่ว เกือบจะร้องไห้ด้วยผลนี้!


“เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าไม่สามารถวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไรได้หรือ? “เสี่ยวเทียนเหยาเห็นหลิน มีสีหน้าไม่ค่อยจะดี ในขณะนั้นเขาก็รู้ว่าหลิน ชูจิ่ว ไม่สามารถทำอะไรได้


       โชคดีที่หลิน ชูจิ่วไม่ได้มีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง มิฉะนั้น … …


       เขาจะสงสัยว่าหลิน ชูจิ่วเป็นปีศาจ


“องค์ชายสามไม่ได้ป่วย” หลิน ชูจิ่ว มองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา ด้วยความตกใจ


       หลิน ชูจิ่ว ไม่คิดว่าเธอดูผิด เพราะอย่างไรก็ตามมันก็เป็นผลมาจากระบบการแพทย์ ระบบทางการแพทย์ได้วินิจฉัยว่าเสี่ยว จื่ออันไม่ได้ป่วย


“แต่ เขาก็เจ็บป่วยบ่อยๆ” เสี่ยวเทียนเหยาเน้นคำว่า “ป่วย” โดยเฉพาะ


       หลิน ชูจิ่ว พยักศีรษะในขณะที่คิดลึก ๆ จากนั้น จู่ๆเธอก็คาดเดาขึ้นอย่างกล้าหาญ”ร่างกายของเขาอยู่ภายใต้สิ่งที่ไม่เป็นที่รู้จัก หรือบางทีอาจจะมีบางอย่างที่ควบคุมสุขภาพร่างกายของเขา?”


“เจ้าฉลาด!” เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ”ถ้าเจ้าสามารถคิดได้ไกลเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าที่หมอที่แท้จริงๆแม้แต่น้อย”


“ท่านรู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร?” ดวงตาของหลิน ชูจิ่วสดใสขึ้น แต่แล้วเธอก็ส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่ๆ ท่านน่าจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว”


“ฮืม … ” เสี่ยวเทียนเหยาส่งเสียงเย็นขึ้น ก่อนจะถามขึ้น “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเปิ่นหวางจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว?”


“แต่ ท่านรู้จริงๆใช่ไหม?” หลิน ชูจิ่ว ไม่รู้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา รู้จริงๆหรือว่าไม่อยากจะพูดกันแน่


“อืมม” มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ดังนั้นมันจะผิดปกติอะไรถ้าเขาจะรู้?


       เมื่อเห็นเสี่ยวเทียนเหยา รู้อะไรบางอย่าง หลิน ชูจิ่ว ก็เข้ามาถามเขาขึ้นทันที”หวางเย่ มีอะไรผิดปกติกับขาขององค์ชายสามหรือเจ้าค่ะ?”


“ทำไมเปิ่นหวางต้องบอกเจ้า?” เสี่ยวเทียนเหยา รู้สึกภาคภูมิใจ เขาไม่ได้มองไปที่หลิน ชูจิ่วด้วยซ้ำ


       หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้โกรธ เธอเดินไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้น”ท่านเข้าวังมาพร้อมกับข้า เพราะท่านรู้ว่าข้าไม่สามารถทำอะไรได้ตามลำพังใช่ไหมเจ้าค่ะ?”


“เปิ่นหวางกลัวว่าถ้าเจ้าเข้าวังมาเพียงลำพัง เจ้าจะโยนใบหน้าของเขาทิ้ง” ผู้หญิงคนนี้กำลังคิดว่าเขาเป็นห่วงนางหรือ?


“ขอบคุณหวางเย่ สำหรับความห่วงใยของท่าน” หลิน ชูจิ่ว กล่าวขอบคุณเสี่ยวเทียนเหยา ก่อนจะพูดขึ้นอีก”หวางเย่ ท่านสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าจะรักษาองค์ชายสามได้อย่างไร? การช่วยชีวิตคนเป็นสิ่งที่ดีกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นนะเจ้าค่ะ”


“เมื่อเปิ่นหวางวางดาบ เปิ่นหวางก็ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์” ดังนั้นทำไมเขาต้องสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น?


“หวางเย่ … … ” หลิน ชูจิ่วถึงกลับพูดไม่ออก เธอรู้สึกอับอายมาก เธอจะสื่อสารกับผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร?


“ท่านควรจะสงสารข้าและช่วยชีวิตของข้า” หลิน ชูจิ่ว รู้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา ไม่สนใจเรื่องชีวิตของเสี่ยว จื่ออัน แม้แต่น้อย มิฉะนั้นแล้วทำไมเขาจะปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปีเช่นนี้?


“มั่นใจได้ แม้ว่า จื่ออันจะตาย แต่เจ้าจะไม่ตาย ไม่มีใครกล้าที่จะลงมือกับเจ้า” ถ้าฮ่องเต้กล้าที่จะคว่ำวังเนื่องจากการเสียชีวิตของเสี่ยว จื่ออัน เขาก็กล้าที่จะฉีกหน้าเขาด้วยเช่นกัน เขาไม่ได้มีปัญหาที่จะเห็นใบหน้าของฮ่องเต้กลายเป็นอะไรที่น่าเกลียดไปมากกว่านี้ … …

 

 

 


ตอนที่ 231.1

 

หมอหลวงฉิน ต้องการขัดจังหวะการสนทนาของเสี่ยวเทียนเหยาและหลิน ชูจิ่ว แต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรที่เขาต้องการจะพูดออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงเพียงแค่มองพวกเขาในขณะที่รู้สึกหดหู่ เพราะทั้งสองคนลืมการดำรงอยู่ของพวกเขาไปหมดสิ้น ห้องโถงด้านในรู้สึกเหมือนกลายเป็นตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ไปแล้ว


       ในท้ายที่สุด หลังจากที่เสี่ยวเทียนเหยา ประกาศขึ้นว่า “ไม่มีใครกล้าที่จะลงมือกับเจ้า” หมอหลวงฉินก็พบโอกาสที่จะพูดขึ้น “เสี่ยวหวางเย่ เสี่ยวหวางเฟย ขอข้าพูดอะไรบางอย่างได้หรือไม่?”


“แค็กๆๆ  … ” หลิน ชูจิ่ว แกล้งไอขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกไป


“พูด” เสี่ยวเทียนเหยา มองไปที่หมอหลวงฉิน แต่ไม่ได้วางเขาไว้ในสายตาของเขา


       หมอหลวงฉิน เคยชินกับความเย่อหยิ่งของเสี่ยวเทียนเหยา มานานแล้วดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “เสี่ยวหวางเย่ กับสภาพขององค์ชายสาม เราไม่สามารถชะลอการรักษาของเขาได้อีกต่อไป ข้ากลัวว่าหมอเทวดาโม่จะกลับมาในเร็ว ๆ นี้ “เขาทำงานอย่างหนักเพื่อแผนนี้มาเป็นเวลานาน เขาต้องการให้องค์ชายสามได้รับการรักษาให้หายขาดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหมอเทวดาโม่


“อืมม” เสี่ยวเทียนเหยา พยักหน้าและยอมรับฟังคำพูดของหมอหลวงฉินก่อนจะพูดขึ้น “แล้วหมอหลวงฉิน มีคำแนะนำที่ดีหรือไม่?”


“เรียนเสี่ยวหวางเย่ ข้าน้อยไม่มีคำแนะนำใดๆ” ถ้าเขามีวิธีรักษาโรคขององค์ชายสาม เขาจะรอจนถึงบัดนี้หรือ? แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีทางเลือกอื่น อาจารย์ของเขาบอกว่าเขาควรจะปล่อยให้เสี่ยวหวางเย่ตัดสินใจ แต่เขาสามารถเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากมันได้หรือไม่?


       เสี่ยวเทียนเหยา ไม่โกรธ เขาเพียงชี้นิ้วไปที่ด้านข้างและพูดขึ้น “ในเมื่อเจ้าไม่มีทาง ก็ไปอยู่ตรงนั่น”


“หวางเย่ … ” หลายปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้รับการปฏิบัติที่ต่ำต้อยเช่นนี้ การแสดงออกทางสีหน้าของหมอหลวงฉินได้เปลี่ยนไปทันที แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังความกดดันอย่างหนักในร่างกายของเขา มันแตกต่างจากความกดดันของฮ่องเต้ เพราะของเสี่ยวเทียนเหยา เขาไม่สามาราทนกับมันได้ ดังนั้นเขาจึงต้องล่าถอยออกไปเรื่อย ๆ และยังกระอักเลือดออกมาอีกด้วย


“เทพเจ้าแห่งการต่อสู้? เสี่ยวหวางเย่ ท่าน … “เขาเป็นเทพเจ้าแห่งการต่อสู้แล้วหรือ? ทำไมเขาถึงไม่ได้รับข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย?


“มันเพียงแค่พลังความกดดันของเทพเจ้าแห่งการต่อสู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้ตั้งใจจะจบชีวิตของหมอหลวงฉิน แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถทนได้ เขาจึงสลายพลังของเขาลง


       หมอหลวงฉิน เอนตัวลงบนกำแพงและสูดเอาลมหายใจของเขา “เทพเจ้าแห่งการสู้ต่อ ไม่สามารถปรากฏตัวบนสนามรบและไม่เข้าไปก้าวก่ายในสงครามของทั้งสี่แคว้นได้ ข้าไม่เคยลืมเลย “


       สงครามระหว่างแคว้นทางเหนือและแคว้นทางตะวันออกยังไม่สิ้นสุด ถ้าความแข็งแกร่งของเสี่ยวเทียนเหยา เกือบจะถึงจุดสูงสุดของเทพเจ้าแห่งการต่อสู้ แต่เขาจงใจปิดมันเอาไว้ เขาจะไม่ได้รับการยกย่องและเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหนึ่ง


“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เจ้าก็ควรจะปิดปากเงียบเอาไว้” เสี่ยวเทียนเหยา เตือน หมอหลวงฉินขึ้น เมื่อเห็นเขาหดตัวอยู่ด้านข้าง เสี่ยวเทียนเหยาก็ พอใจมาก เขาหันศีรษะและมองไปที่หลิน ชูจิ่วแทน “ข้าเป็นหนี้หมอหลวงฉิน  เราควรจะทดแทนให้เขากลับ”


“ฮืม?” หลิน ชูจิ่วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอถูกลากไปโดยเสี่ยวเทียนเหยา ไปที่ข้างเตียง “ถอดเสื้อของเขาออก ‘”


“ได้” องค์ชายสามเสี่ยว จื่ออันเป็นคนที่ผอมมากเนื่องจากอาการป่วย ด้วยเหตุนี้หลิน ชูจิ่ว จึงทำให้เสี่ยว จื่ออันลุกขึ้นได้อย่างง่ายดาย หลิน ชูจิ่วสามารถปลดปมด้านหน้าออกได้อย่างง่ายดาย แต่เธอไม่สามารถหาปมภายในได้ ด้วยเหตุนี้หลิน ชูจิ่ว จึงตัดเสื้อผ้าของเสี่ยว จื่ออันออกแทน


       พฤติกรรมที่หยาบคายนี้ ทำให้เสี่ยวเทียนเหยาพอใจมาก


       เพราะความหมายหลิน ชูจิ่ว ไม่คุ้นเคยกับเสื้อผ้าของผู้ชาย


       ทันทีที่มีการถอดเสื้อผ้าของเสี่ยว จื่ออันออก ร่างกายที่เปราะบางและขาวซีดของเขาก็ถูกเปิดเผยขึ้น หลิน ชูจิ่ว มองเพียงครู่เดียวและขยับออกไป เธอไม่ได้แสดงความรู้สึกพิเศษใด ๆแม้แต่น้อย


“เอาเข็มเงินของเจ้าออกมาและทำตามคำสั่งของเปิ่นหวาง” เสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้น ก่อนจะนั่งลง และราวกับปู่ เขาก็สั่งให้หลิน ชูจิ่วทำแบบนั้นแบบนี้ สักครู่หลิน ชูจิ่ว ก็รู้สึกเหมือนกับว่าเสี่ยวเทียนเหยา เป็นหมอและเธอก็เป็นเพียแค่เด็กฝึกงาน


       อย่างไรก็ตาม ในโลกที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ เธอก็เป็นเหมือนนักเรียนชั้นประถมศึกษา เธอไม่มีทางรักษาโรคของเสี่ยว จื่ออั้น ได้จริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 231.2

 

 เมื่อเห็นการเตรียมพร้อมของหลิน ชูจิ่ว แล้วเสี่ยเทียนเหยา ได้บอกถึงจุดฝังเข็มอีกจุดหนึ่ง มันเป็นจุดฝังเข็มที่ซับซ้อนมาก ดังนั้นแม้จะด้วยความช่วยเหลือของระบบการแพทย์ หลิน ชูจิ่ว ก็ไม่สามารถพบว่ามันง่าย ก่อนจะพูดขึ้น”ท่านช่วยพูดซ้ำอย่างช้าๆได้หรือไม่?”


       เธอต้องฝังเข็มลงไปในจุดฝังเข็มเหล่านั้น ดังนั้นแม้ว่าเธอจะคุ้นเคยกับกายวิภาคศาสตร์ของร่างกายมนุษย์ แต่เธอก็ไม่สามารถทำมันได้เร็วกว่าปากของเสี่ยวเทียนเหยา


“โง่เขลา” เสี่ยวเทียนเหยาตำหนิขึ้น แต่เขาก็พูดซ้ำอีกครั้งอย่างช้าๆ ด้วยเหตุนี้ หลิน ชูจิ่ว จึงไม่เพียงแต่จะสามารถตามทันได้ แต่ยังมีเวลาที่จะเช็ดเหงื่อออกอีกด้วย


       หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เข็มทั้งหมด 108 เข็มก็ออกไปจากมือของหลิน ชูจิ่ว พวกมันทั้งหมดถูกฝังลงไปบนหลังขององค์ชายสาม เสี่ยว จื่ออัน ในปัจจุบันจึงดูเหมือนเม่น


“อะไรต่อไป?” หลิน ชูจิ่วมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา และรอคำแนะนำของเขา


“ก้าวต่อไป เจ้าไม่สามารถทำมันได้ ไม่ต้องสนใจ” เสี่ยวเทียนเหยา ลุกขึ้นยืนและสะบัดมือไปต่อหน้าหลิน ชูจิ่ว หลิน ชูจิ่ว ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่เห็นได้ชัดว่ามีคลื่นพลัง แต่เป็นพลังที่เบา ดังนั้นหลิน ชูจิ่วจึงกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นเสี่ยวเทียนเหยา กำลังถ่ายพลังไปบนหน้าอกของ เสี่ยว จื่ออัน


       การส่งพลังเหล่านั้นดูอ่อนนุ่มและเบาบาง แต่ใบหน้าของเสี่ยว จื่ออันกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และนอกจากนี้… …


       หลังจากที่ได้รับการส่งพลังเบา ๆ ไปโดยเสี่ยวเทียนเหยา เข็มเงินที่อยู่ด้านหลังของเสี่ยว จื่ออันก็มีเลือดสีดำไหลออกมา


“สิ่งนี้คืออะไร?” ทำไมวิทยาศาสตร์จึงไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้?


“นี่เป็นเคล็ดลับพิเศษของเทพเจ้าแห่งการต่อสู้ “หมอหลวงฉินผู้ซึ่งถูกส่งไปที่มุมโดยเสี่ยวเทียนเหยา ได้ตอบคำถามของหลิน ชูจิ่วขึ้น “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลายปีมานี้ทำไมไม่มีใครรู้ได้ว่าโรคขององค์ชายสาม คืออะไร เพราะมันกลายเป็นเคล็ดลับพิเศษในการปิดผนึกเส้นเลือดโดยเทพเจ้าแห่งการต่อสู้”


       หลังจากพูดจบ หมอหลวงฉินก็ ส่ายหัวและถอนหายใจ วังหลังเป็นสถานที่น่ากลัวจริงๆ พวกเขาทำให้องค์ชายสามเสี่ยว จื่ออันต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก


       พวกเขาใช้เคล็ดลับพิเศษของเทพเจ้าแห่งการต่อสู้ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในแคว้น แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ในจุดที่สูง แต่เขาก็จะไม่สามารถเข้าใจมันได้เลย


       หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้เธอเข้าใจว่าทำไมเสี่ยวเทียนเหยา ถึงหยุดเธอจากการเข้ามาวังและยืนยันที่จะเข้ามาพร้อมกับเธอ เพราะเสี่ยวเทียนเหยา รู้อยู่อย่างชัดเจนว่าเธอจะล้มเหลวในการรักษาเสี่ยว จื่ออัน เพราะเสี่ยว จื่ออันไม่เคยป่วยมาก่อน


       เลือดสีดำที่ด้านหลังของเสี่ยว จื่ออันเริ่มหนาและหนาขึ้น ความเร็วของมือของเสี่ยวเทียนเหยา ก็เร็วขึ้นเรื่อย ๆ เสี่ยวเทียนเหยา ดูเหมือนจะไม่ใช้พลัง แต่หน้าผากของเขาก็มีเหงื่อออก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย


       โดยไม่จำเป็นต้องใช้บริการของเธอ หลิน ชูจิ่วจึงนั่งอยู่ในขณะเฝ้าดู เสี่ยวเทียนเหยา เมื่อเสี่ยวเทียนเหยาเสร็จ เขาก็พูดขึ้น “ดึงเข็มเงินทั้งหมดออก”


“ได้” หลิน ชูจิ่วลุกขึ้นและดึงเข็มเงินที่ด้านหลังของเสี่ยว จื่ออันออก


       เลือดสีดำไหลออกมาพร้อมกับเข็มเงิน แต่เข็มไม่ดำ เห็นได้ว่าเสี่ยว จื่ออันไม่ได้ถูกพิษ


       หลิน ชูจิ่วดึงเข็มเงินออกมาและกำลังจะเอาผ้าเช็ดตัวไปเพื่อทำความสะอาดเลือดสีดำบนหลังของเสี่ยว จื่ออัน แต่เธอก็ได้ยินเสี่ยวเทียนเหยาพูดขึ้น “ส่วนที่เหลือจะได้รับการจัดการโดยหมอหลวงฉิน ”


       หลิน ชูจิ่ว หยุดและโยนผ้าเช็ดตัวไปให้หมอหลวงฉิน  


       หมอหลวงฉินมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยา และเห็นหน้าผากของเสี่ยวเทียนเหยามีเหงื่อออก เขาหยิบผ้าเช็ดตัวมาทำความสะอาดและเช็ดหลังของเสี่ยว จื่ออัน แต่บางคราวสายตาของเขาก็จะกวาดไปยังคนทั้งสอง ดังนั้นเขาจึงพบว่าเสี่ยวหวางเฟยไม่ได้เช็ดเหงื่อให้เสี่ยวเทียนเหยา รอยยิ้มของหมอหลวงฉินก็เกิดขึ้นด้วยความพอใจ


       หน้าของเสี่ยวหวางเย่ ปกคลุมไปด้วยเหงื่อ แต่เสี่ยวหวางเฟย ก็ไม่ได้เช็ดมันให้เขา เสี่ยวหวางเย่เพียงแค่นั่งอยู่ที่นั่นและรอ …


       อย่างไรก็ตาม หลิน ชูจิ่ว เช็ดทำความสะอาดเข็มเงินเสร็จและวางไว้ในกล่องยาเพื่อฆ่าเชื้อแล้วก็ยังไม่ได้สนใจเขา ดังนั้นเสี่ยวเทียนเหยา จึงไม่รอให้หลิน ชูจิ่ว เช็ดเหงื่อของเขาอีก เขาจึงเช็ดมันด้วยตัวเขาเอง


       เสี่ยวเทียนเหยา ช่วยไม่ได้ที่จะมีอาการปวดหัวกับความโง่เขลาของหลิน ชูจิ่ว นางโง่มากจนไม่สามารถใช้สายตาได้อย่างชัดเจน นอกจากเขาแล้วใครจะทนกับผู้หญิงคนนี้ได้?

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม