Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1680-1686

ตอนที่ 1680 วุ่นวาย

 

ผู้ปกครองคนเดียว โดยเฉพาะแม่เลี้ยงเดี่ยวมีความกดดันมากในสังคมปัจจุบัน


 


 


สภาพของประเทศจีนและอเมริกาไม่เหมือนกัน ทางฝั่งอเมริกา หลังจากสามีภรรยาหย่าร้างกันแล้ว ส่วนใหญ่ฝ่ายชายจะหาภรรยาใหม่ ส่วนฝ่ายหญิงมักจะได้รับบ้านกับลูก ได้รับเงินค่าเลี้ยงดูทุกเดือน รวมถึงเงินค่าเลี้ยงดูสองส่วนให้ฝ่ายหญิงและลูก อาจจะยังมีเบี้ยเลี้ยงและเงินช่วยเหลือของรัฐบาลด้วย เปรียบเทียบสภาพทางเศรษฐกิจแล้วค่อนข้างมีกินมีใช้ แต่ทางฝั่งประเทศจีนถึงตอนหย่าก็ต้องแบ่งทรัพย์สินให้ยุติธรรม ฝ่ายหญิงอย่างมากก็ได้รับเงินค่าเลี้ยงดูของลูก จำนวนอาจจะไม่ได้มากเท่าไร อยากอาศัยเงินก้อนนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ลำบาก ฉะนั้นอาจจะยังต้องออกไปทำงานด้วย


 


 


ทุกบ้านมีปัญหา ถ้าฝ่ายหญิงหย่าแล้วได้แต่งงานใหม่ในไม่ช้าก็ดี แต่ถ้าเจ็บปวดจากการแต่งงานครั้งก่อน แล้วยังเดินออกจากเงาดำมืดไม่ได้สักที หรือเพราะให้ความสำคัญกับลูกมาก เป็นห่วงว่าพ่อคนใหม่จะไม่ดีกับลูก จึงไม่คิดจะแต่งงานอีก ตัวเองเลยต้องทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วยเท่านั้น ไม่มีเวลารับส่งลูกไปเรียนและเลิกเรียนก็เป็นเรื่องปกติมาก


 


 


จางจื่ออันไม่แน่ใจสถานการณ์จริงๆ ในบ้านของเสี่ยวฉินไช่ อาจจะเป็นอย่างที่เขาคาดเดา หรือเขาอาจจะคิดมากเกินไปเอง บางทีความจริงสองสามีภรรยาอาจจะเป็นพนักงานบริษัทหาเช้ากินค่ำตลอดทั้งหกวัน และเสี่ยวฉินไช่ไม่ค่อยชอบพ่อ จึงไม่ค่อยพูดถึงเท่านั้นเอง


 


 


เขาไม่ได้ถามเจาะลึก ถามไปแล้วได้อะไรล่ะ? เรื่องที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ พูดไปก็นังแต่จะทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย แล้วจะไปมีความหมายอะไร?


 


 


แต่อย่างน้อยเขาก็ทำเรื่องเล็กน้อยที่ทำได้จำนวนหนึ่ง


 


 


เขาจึงเปลี่ยนคำถาม “งั้น…ที่บ้านเธอมีคนอยู่ไหม?”


 


 


เสี่ยวฉินไช่ส่ายหน้า


 


 


“งั้นเธอกลับไปแล้วจะเข้าบ้านได้ไหม?” เขาถามอีก


 


 


เธอยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าพูดเขินๆ “ได้ค่ะ เพราะหนูไม่ค่อยรอบคอบ ทำกุญแจหายตลอด แม่หนูเลยเปลี่ยนล็อกกุญแจเป็นล็อกลายนิ้วมือ…”


 


 


ความจริงแล้วเธอไม่นับว่าไม่รอบคอบ แค่ร่าเริงเกินไปเท่านั้น กระโดดโลดเต้นทั้งวันจนทำกุญแจหายได้ง่ายจริงๆ นั่นแหละ


 


 


“อย่างนี้นี่เอง…”


 


 


เขาครุ่นคิดเล็กน้อย เสี่ยวฉินไช่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้ว่าทางโรงเรียนโทรศัพท์บอกแม่ของเธอหรือยัง คิดดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างมากก็แค่ติดแท็กหาทุกคนในวีแชทเท่านั้น นักเรียนมากมายขนาดนั้นจะโทรศัพท์บอกทีละคนได้อย่างไร…อีกอย่างพวกคุณครูที่โรงเรียนก็รีบร้อนกลับบ้านเหมือนกัน เพื่อกันไม่ให้ลูกตัวเองเจออันตรายในวันที่มีไต้ฝุ่น


 


 


ระหว่างคุยกัน เด็กนักเรียนสองสามคนก็วิ่งผ่านหน้าร้านอย่างตื่นเต้น พวกเขาไม่รู้ว่าไต้ฝุ่นอันตรายแค่ไหน รู้แค่อยู่ๆ ก็ได้วันหยุดอย่างน้อยครึ่งวัน แม้คุณครูจะให้การบ้านกองโต แต่พวกเขาก็ยังคงดีใจจนเหมือนลูกนกได้ออกจากกรง


 


 


“เสี่ยวฉินไช่ ถ้าที่บ้านเธอไม่มีคนอยู่ เข้าไปอยู่ในร้านฉันสักพักไหม? พอแม่เธอเลิกงานแล้วค่อยกลับไป หรือโทรฯ หาเธอ รอให้เธอมารับดีไหม?” เขาพูดเสนอ


 


 


ถ้าเป็นเวลาปกติคงได้ แต่ให้เด็กนักเรียนอยู่ลำพังในวันที่มีไต้ฝุ่น ก็อาจจะเกิดอันตรายได้ ยังไม่รู้ว่าไต้ฝุ่นครั้งนี้รุนแรงขนาดไหน อีกอย่างถึงไม่เกิดอันตรายก็คงทิ้งเงาดำในใจเอาไว้


 


 


“แต่ว่า…คุณครูให้พวกหนูกลับบ้านทันทีหลังจากออกจากโรงเรียนแล้ว…” เสี่ยวฉินไช่ลังเล คำพูดของคุณครูมีผลกับเธออย่างมากเลยทีเดียว


 


 


“ไม่เป็นไร ต้องแยกแยะสถานการณ์ตอนนี้ แน่นอนว่าต้องเชื่อฟังคุณครู แต่ก็ใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ได้” เขาโน้มน้าว “คุณครูให้พวกเธอรีบกลับบ้าน ให้พวกเธออยู่ในบ้านกับผู้ปกครอง แต่ตอนนี้ผู้ปกครองของเธอไม่อยู่บ้าน นี่ไม่ตรงกับความตั้งใจของโรงเรียนกับคุณครูแล้ว”


 


 


ตอนนี้มีคนเดินเข้ามาใกล้อีก


 


 


“อาจารย์ ได้ยินหรือเปล่าครับว่าไต้ฝุ่นจะมาแล้ว”


 


 


หวางเฉียน หลี่คุน และเจี่ยงเฟยเฟยกลับมาพร้อมกัน ทีแรกพวกเขาบอกว่างานต้อนรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยจะใช้เวลาทั้งวัน แต่ดูท่าทางแล้วจบเร็วกว่าที่คิดไว้เพราะไต้ฝุ่นที่กำลังจะมาถึง


 


 


พวกเขาสามคนก็คล้ายๆ กับเด็กนักเรียน ได้ยินว่าไต้ฝุ่นจะมาแล้วก็ไม่กลัวเลยสักนิด แต่ก็มีความเคร่งเครียดสอดแทรกอยู่ในความตื่นเต้น โดยเฉพาะเจี่ยงเฟยเฟย บ้านของเธอไม่ได้ติดทะเล ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเรื่องไต้ฝุ่น แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองมาก่อน


 


 


ไม่ใช่แค่เด็กนักเรียนประถมและนักศึกษาเท่านั้น นักเรียนมัธยมต้น นักเรียนมัธยมปลาย และคนทำงานส่วนหนึ่งก็เริ่มทยอเดินบนถนนกันให้ควั่ก แต่ละคนรีบร้อนกลับบ้าน ขนส่งสาธารณะทุกชนิดแน่นขนัดไปหมด แม้แต่จักรยานเช่าสภาพไม่ค่อยดีก็ยังถูกใช้จนเกลี้ยง


 


 


ในสถานการณ์ปกติ เวลาเลิกของเด็กประถม เด็กมัธยม นักศึกษา และคนทำงานจะคลาดเคลื่อนกัน แต่ตอนนี้มาเจอกันในคราวเดียว บวกกับพวกผู้ปกครองที่ออกมารับลูกเพราะความเป็นห่วง คนหลายแสนคนทะลักออกมาบนถนนพร้อมกัน สถานการณ์วุ่นวายแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้


 


 


ทุกคนรีบร้อนกลับบ้าน สภาพการจราจรติดขัดในพริบตา ยิ่งรีบ ก็ยิ่งติด ขับรถเร็ว ฝ่าไฟแดง และพฤติกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ยังมีคนฉวยโอกาสขี่จักรยานหรือจักรยานไฟฟ้าบนทางเท้าเพราะรถติด เจ้าของรถบางคนจอดรถถกเถียงกันเพราะรถเฉี่ยวชน อุบัติเหตุเล็กน้อยอย่างคุณชนฉัน ฉันชนคุณก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง เสียงแตรแสบแก้วหูดังขึ้นทางนู้นที ทางนี้ที ยิ่งทวีความโมโหของทุกคนให้รุนแรงขึ้นไปอีก


 


 


พวกตำรวจจราจรเคลื่อนไหวอย่างเต็มกำลัง เพื่อรักษาความเป็นระเบียบและทำให้การจราจรโล่งขึ้น แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ การจราจรทั้งเมืองปินไห่จึงใกล้จะเป็นอัมพาตแล้ว


 


 


ตอนเช้าแค่มีเมฆมาก อากาศอบอ้าวไม่มีลมพัดมา แต่อากาศในตอนนี้มีเมฆดำมืดครึ้มโดยที่ไม่รู้ตัวแล้ว มีลมแรงพัดฝุ่นจากทางใต้มาอยู่ตลอด พัดเอาเศษกระดาษและถุงพลาสติกลอยขึ้นไปบนฟ้าด้วย


 


 


“เสี่ยวฉินไช่ เธอดูสถานการณ์ตอนนี้สิ เธอกลับบ้านคนเดียวมันอันตรายเกินไป ไม่ระวังก็อาจจะถูกรถชน เข้าไปรอในร้านดีกว่า” จางจื่ออันโน้มน้าวอีกครั้ง


 


 


หวางเฉียน หลี่คุน และเจี่ยงเฟยเฟยได้ยินว่าที่บ้านของเสี่ยวฉินไช่ไม่มีใครอยู่ จึงพากันโน้มน้าวกันเสียงดังระงม


 


 


ในที่สุดเสี่ยวฉินไช่ก็ยอมเชื่อฟังแล้ว ก่อนจะพยักหน้าตกลงอยู่ต่อ


 


 


หวางเฉียนกับหลี่คุนพูดคุยกันเรื่องไต้ฝุ่นที่กำลังจะมาถึง ตอนกำลังจะเข้าไปในร้าน จางจื่ออันก็เรียกพวกเขาสองคน แล้วพูดว่า “บ้านช่องพวกนายสองคนอยู่ที่เมืองปินไห่ รีบกลับบ้านไปเถอะ ไม่งั้นคนที่บ้านพวกนายต้องเป็นห่วงแน่ๆ”


 


 


พวกเขาสองคนไม่ใส่ใจ บอกว่าไม่เป็นไร โทรศัพท์บอกที่บ้านก็พอแล้ว และสภาพการจราจรในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะกลับบ้านจริงๆ


 


 


ส่วนหลู่อี๋อวิ๋นกับเจี่ยงเฟยเฟย พวกเธอสองคนเป็นคนนอกเมือง และพวกเธอก็เช่าบ้านอยู่ในหมู่บ้านฝั่งตรงข้ามของร้านขายสัตว์เลี้ยง


 


 


หลู่อี๋อวิ๋นอุ้มโม่ลี่ออกมาจากในร้าน แล้วถามอย่างเป็นห่วง “คุณเจ้าของร้านคะ ไต้ฝุ่นจะมาแล้วเหรอคะ?”


 


 


“ใช่ เธอกับเฟยเฟยจะกลับบ้านเช่าหรือจะอยู่ในร้าน? ตอนเช้าพวกเธอออกมาจากบ้านปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยหรือยัง?” จางจื่ออันถาม


 


 


พวกเธอบอกว่าปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว แต่จางจื่ออันคิดว่าถ้าไต้ฝุ่นรุนแรงมาก กระจกหน้าต่างอาจจะต้านไม่อยู่ หลังจากกระจกแตกแล้วจะมีน้ำสาดเข้ามาในบ้านเยอะมาก เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ดิจิตัลของพวกเธอก็คงจะแช่น้ำจนพังหมด


 


 


ดังนั้น จางจื่ออันจึงให้หวางเฉียนและหลี่คุนกลับไปที่บ้านเช่ากับพวกเธอสักรอบ ใช้เทปกาวหรืออะไรก็ได้ปิดตายหน้าต่างเอาไว้ จากนั้นปิดสะพานไฟ ปิดวาล์วแก๊ซให้แน่น เก็บข้าวของสำคัญให้อยู่ในที่สูง แล้วเอาเอกสารสำคัญติดตัวมา ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา


 


 


หวางเฉียนกับหลี่คุนรับคำสั่ง แล้ววิ่งออกจากร้านขายสัตว์เลี้ยงไปพร้อมกับสาวๆ สองคน 

 

 


ตอนที่ 1681 วายร้ายกล่าวหาก่อน

 

หลังจากพวกพนักงานร้านออกไปแล้ว เหล่าฉาก็เดินออกมาจากในร้าน เนื่องด้วยกำลังลมแรงขึ้นเรื่อยๆ มันจำต้องใช้อุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งกดหมวกไม้ไผ่สานเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ถูกพัดปลิวไป มันเตือนว่า “จื่ออัน สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นทุกช่องกำลังออกอากาศข่าวด่วน บอกว่าไต้ฝุ่นจะมาถึงแล้ว เจ้าจะไปดูหรือไม่?” 


 


 


นี่เป็นข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุดของสถานการณ์ไต้ฝุ่นแล้ว ไม่มีทางผิดพลาดไปได้ 


 


 


จางจื่ออันกับเสี่ยวฉินไช่กลับเข้าไปในบ้าน แล้วอยู่หน้าโทรทัศน์พร้อมกับทุกคน 


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ไม่เคยเจอไต้ฝุ่น ในความทรงจำของพวกมัน ไต้ฝุ่นก็เป็นแค่ลมพายุลูกใหญ่ขึ้นมาหน่อยเท่านั้น จึงไม่เข้าใจว่าทำไมจางจื่ออันกับมนุษย์คนอื่นถึงได้ทำท่าทางเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ 


 


 


กลับเป็นเหล่าฉาที่ดูโทรทัศน์อยู่ตลอด เข้าใจอานุภาพของไต้ฝุ่นผ่านโทรทัศน์มาบ้างแล้ว นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนจะต่อต้านได้ ถึงเป็นซาเมียลที่เจอในป่าเรดวูด มันสร้างสภาพอากาศสุดขั้วภายในขอบเขตเล็กๆ ผ่านการอธิษฐานได้ แต่ขอบเขตของไต้ฝุ่นใหญ่กว่านั้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า อย่าว่าแต่อธิษฐานต่อเทพเลย ถึงแม้เทพลงมาจุติก็คงจะขวางไม่ได้ 


 


 


สีหน้าของผู้ประกาศข่าวค่อนข้างเคร่งเครียด หนึ่งเพราะไต้ฝุ่นที่ใกล้เข้ามาอาจจะสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับเมืองปินไห่ สองคือการรายงานข่าวของเธอไม่ได้ออกอากาศอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นเท่านั้น ซีซีทีวีอาจจะเชื่อมต่อไปเผยแพร่ด้วย 


 


 


บนภาพโทรทัศน์กำลังแพร่ภาพที่ส่งมาจากพวกชาวประมงบนเรือในมหาสมุทรไกลออกไป ไปจนถึงแถบชายฝั่งทะเล บนผิวน้ำทะเลมีคลื่นโหมซัดอย่างรุนแรง ลมพัดอย่างบ้าคลั่ง พายุฝนเทลงมา เรือยนต์หมื่นตันโคลงเคลงขึ้นลงตามยอดคลื่นและฐานของลูกคลื่น 


 


 


ภาพที่ส่งมาจากกล้องตรงฝั่งทะเลมีคลื่นทะเลลูกแล้วลูกเล่ากระแทกแนวชายฝั่ง บนเขื่อนกันคลื่นของท่าเรือมีละอองน้ำทะเลกระเซ็นขึ้นสูงเท่าตึกหลายชั้น ต้นไม้ในป่ากันลมริมทะเลแทบจะถูกลมพัดจนโกร๋นหมดแล้ว ด้วยแรงลมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นไปได้มากว่าต้นไม้ที่อ่อนแอส่วนหนึ่งจะหักโค่นลง 


 


 


ผู้ประกาศรายงานข่าวใหม่ล่าสุดของสถานีอุตุนิยมวิทยาส่งมา ไต้ฝุ่นลูกที่เจ็ดของปีนี้เดิมทีเปลี่ยนทิศทางไปยังตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อคืนจนถึงตอนเช้า  ตอนที่ทุกคนสบายใจแล้ว มันกลับย้อนมาทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็ว จนกระทั่งโถมเข้ามาที่เมืองปินไห่และเมืองใกล้เคียง ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นฝั่งที่ไหน 


 


 


ทางรัฐบาลเมืองวอนให้ชาวเมืองทุกคนอยู่ในบ้านที่ปลอดภัย อย่าออกข้างนอก เพื่อกันไม่ให้ถูกต้นไม้หักหรือป้ายโฆษณาที่เอียงลงมาทับเข้า ผู้ที่ไม่มีบ้านให้กลับไปหลบภัยอยู่ในสิ่งปลูกสร้างสาธารณะขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ได้ 


 


 


พวกภูตสัตว์เลี้ยงเห็นภาพที่ไม่ได้ทำจากเทคนิคพิเศษของภาพยนตร์แล้ว ก็อดหวาดกลัวไม่ได้ 


 


 


ฟีน่าร้องตกใจ “ลมนี่รุนแรงกว่าลมร้อนในทะเลปิศาจจริงๆ!” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่หมุนไปรอบๆ ได้ในธรรมชาติก็น่ากลัวหมดนั่นแหละ” 


 


 


“แกว๊กๆ! ถูกต้อง! ข้าก็รู้สึกว่าชักโครกดูดน้ำน่ากลัวเหมือนกัน กลัวว่าชักโครกจะม้วนข้าเข้าไปตลอดเลย!” ริชาร์ดพูดแทรก 


 


 


“นี่ก็คือเหตุผลที่นายอึนอกชักโครกตลอดเลยน่ะเหรอ? คอยดูนะ วันนี้ฉันจะตีนายให้ตายเลย!” จางจื่ออันทำท่าทางอยากตี 


 


 


เสี่ยวฉินไช่มองเขาที่คุยกับแมวรู้เรื่องด้วยสีหน้าอิจฉา 


 


 


ตอนนี้เอง อยู่ๆ หน้าประตูก็มีเสียงร้องประหลาดเหมือนเป็ดตัวผู้โก่งคอร้อง “นี่! เสี่ยวฉินไช่ โรงเรียนเลิกแล้วไม่กลับบ้าน ฉันจะไปฟ้องคุณครู!” 


 


 


พอจางจื่ออันหันไปมอง ก็เห็นเด็กดื้อคุ้นหน้าคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้าน สวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นพร้อมสะพายกระเป๋าหนังสือเช่นเดียวกัน สวมแค่รองเท้าแตะรัดส้น แต่เด็กๆ โตเร็ว เสื้อแขนสั้นตัวนี้เล็กเกินไปแล้ว มันรัดแน่นไปกับตัว บีบห่วงยางตรงเอวออกมา ยังมีสะดือสกปรกด้วย 


 


 


“…เธอมาได้ยังไง?” 


 


 


จางจื่ออันรู้จักเด็กอ้วนคนนี้ สวี่จ้วงจ้วงที่เจ็บตัวร้ายแรงเมื่อครั้งเกิดภัยหนอน ไม่เห็นหน้ากันช่วงหนึ่ง เขาไม่เห็นตัวสูงขึ้นเลย แต่รอบเอวกลับหนาขึ้นอีก 


 


 


สวี่จ้วงจ้วงยืนตัวและหดคออยู่ที่หน้าร้าน เห็นในร้านมีแมวและสุนัขโตเต็มวันอยู่มากมาย จึงไม่กล้าเข้าไปข้างใน แต่จับกรอบประตูพร้อมจะวิ่งหนีตลอดเวลา เขาไม่สนใจคำพูดของจางจื่ออัน แต่ชี้เสี่ยวฉินไช่แล้วพูดว่า “พูดกับเธอน่ะ? ได้ยินไหม!” 


 


 


ปกติสวี่จ้วงจ้วงซุกซนก่อเรื่องในโรงเรียนแล้วถูกพวกผู้หญิงฟ้องคุณครูอยู่เสมอ วันนี้เขาได้โอกาสอันหายากจับผิดคนอื่น จึงไม่รู้สึกกลัวในทันที 


 


 


ตั้งแต่เขาถูกหนอนผีเสื้อแทงเมื่อครั้งก่อน เขาก็เป็นเด็กดีอยู่แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่พอพ้นภัยหนอนไปแล้ว เขาก็ลืมแผลก่อนหน้านี้ไปเลย 


 


 


เสี่ยวฉินไช่ลำบากใจมาก ร้อนใจจนหน้าแดงแล้ว “ฉัน…ฉันกำลังจะกลับบ้าน…” 


 


 


“เธอยังจะปากแข็งอีกเหรอ? เห็นชัดๆ ว่าเธอไม่เชื่อฟังคุณครู! ฉันจะฟ้องคุณครู เธอรอคุณครูดุเธอก็แล้วกัน! อาจจะเรียกผู้ปกครองเธอมาด้วยนะ!” สวี่จ้วงจ้วงไม่ยอมแพ้ 


 


 


พอจางจื่ออันเห็นสถานการณ์แบบนี้ เขาก็แก้ตัวแทนเสี่ยวฉินไช่ “ตอนนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ คนในบ้านเสี่ยวฉินไช่ไปทำงานกันหมด กลับบ้านไปก็ไม่มีใครอยู่ ถึงเธอฟ้องคุณครู คุณครูก็จะเข้าใจและให้อภัย แถมฉันก็ช่วยเสี่ยวฉินไช่ยืนยันได้ด้วย เพราะว่าฉันชวนเธอเข้ามาหลบไต้ฝุ่นในร้าน” 


 


 


สวี่จ้วงจ้วงเบะปาก “คุณเหรอ? คุณช่วยยืนยันไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงยังไงผมก็ต้องฟ้องคุณครูอยู่แล้ว!” 


 


 


เสี่ยวฉินไช่เริ่มลั่นกลองถอยแล้ว เธอเชื่อฟังคุณครูมาโดยตลอด คุณครูไม่เคยตำหนิเธอ แล้วเธอก็ไม่อยากถูกตำหนิเพราะเรื่องในครั้งนี้ 


 


 


เธอกังวลกับเรื่องเล็กๆ แบบนี้ เหตุผลจริงก็คือเธอไม่รู้ว่าไต้ฝุ่นน่ากลัวขนาดไหน 


 


 


จางจื่ออันพูดยอกย้อน “ฉันพูดกับคุณครูยังไงก็มีประโยชน์กว่าเธอแน่นอน ฉันว่าในสายตาของพวกคุณครูอาวุโส เธอไม่เหลือความน่าเชื่อถืออะไรแล้วมั้ง?” 


 


 


สวี่จ้วงจ้วงร้องเฮอะเสียงหนึ่ง ไม่ได้พูดต่อ แต่พยายามทำท่าทางไม่ใส่ใจอะไร 


 


 


“อีกอย่าง คนอื่นๆ ก็ไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอยังไม่กลับบ้านอีก?” จางจื่ออันย้อนถาม 


 


 


สวี่จ้วงจ้วงกลอกตา เกร็งหน้าพูดว่า “กะ…เกี่ยวอะไรกับคุณ? คุณจะสนใจทำไม?” 


 


 


เขาควักโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า เป็นรุ่นที่ตกรุ่นเมื่อสองสามปีก่อน แล้วพูดโม้ว่า “เห็นไหม? ผมมีมือถือ พ่อโทรฯ มาหาผมแล้ว พ่ออยากให้ผมหาที่หลบ แล้วเขาจะมารับผมทันที!” 


 


 


“อ๋อ งั้นเธอไปหลบที่อื่นเถอะ ร้านค้าเล็กๆ ของฉันจะปิดแล้ว” จางจื่ออันพูดส่งแขก 


 


 


“ชิ! คิดว่าผมอยากเข้าไปมาเลยเหรอ? ในร้านคุณมีขนแมว ขนหมาเต็มไปหมด ผมไม่อยากให้เปื้อนตัวหรอกนะ!” สวี่จ้วงจ้วงเบะปากจนแขวนขวดซีอิ๊วได้แล้ว เขาไม่ได้เดินเข้ามาในร้านจริงๆ แต่นั่งยองๆ อยู่ใต้เพิงร้านค้าด้านข้าง 


 


 


จางจื่ออันรู้สึกว่าท่าทางของสวี่จ้วงจ้วงแปลกๆ แต่พูดไม่ถูกว่าแปลกตรงไหนกันแน่ 


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็เห็นสวี่จ้วงจ้วงควักหนังสือเรียนจากในกระเป๋ามาเปิดอย่างคาดไม่ถึง แล้วเริ่มอ่านหนังสือ 


 


 


เชี่ย? 


 


 


จางจื่ออันไม่กล้าเชื่อสายตาของตัวเองจริงๆ จึงแอบถามเสี่ยวฉินไช่ “ตอนนี้ผลการเรียนของสวี่จ้วงจ้วงเป็นยังไงบ้าง?” 


 


 


“ต่ำที่สุดในชั้นค่ะ” เสี่ยวฉินไช่ตอบตามความจริง 


 


 


นี่แปลกจริงๆ คนที่ถือโอกาสเรียนหนังสือแม้แต่ตอนที่ไต้ฝุ่นกำลังจะมาถึง จะมีผลการเรียนต่ำสุดได้อย่างไร? 


 


 


สวี่จ้วงจ้วงพูดจาอวดดี แต่ถึงอย่างไรไต้ฝุ่นก็ใกล้เข้ามาแล้ว อยู่ข้างนอกอันตรายมาก จางจื่ออันกำลังลังเลว่าต้องบีบจมูกให้เขาเข้าบ้านไหม ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้นตอนนี้ “จ้วงจ้วง! จ้วงจ้วง!” 


 


 


จางจื่ออันหันไปมอง ที่แท้ก็เป็นพ่อของสวี่จ้วงจ้วงมาตามหานี่เอง  

 

 


ตอนที่ 1682 เล่นกล

 

ก่อนหน้านี้จางจื่ออันเคยเจอกับพ่อของสวี่จ้วงจ้วงแล้ว แม้จะไม่สนิทกัน แต่เห็นแล้วก็นึกขึ้นได้ทันที 


 


 


เขาขี่จักรยานไฟฟ้าคันหนึ่งมา ผมถูกลมพัดพันกันยุ่งเหยิงเหมือนรังนก หรี่ตาอย่างสุดชีวิตแล้วแต่ก็ยังต้านทานฝุ่นได้ยาก เขาจอดรถไว้ที่ฝั่งตรงข้ามถนน และโบกมือเรียกสวี่จ้วงจ้วงที่อยู่ฝั่งนี้ 


 


 


สวี่จ้วงจ้วงยังทำเป็นตั้งใจอ่านหนังสือ ไม่ได้ยินเสียงตะโกนของพ่อ 


 


 


“นี่! พ่อเธอมารับแน่ะ อย่ามาทำไก๋!” จางจื่ออันพูดอยู่ข้างๆ 


 


 


สวี่จ้วงจ้วงถลึงตาใส่เขาอย่างแรงครั้งหนึ่ง 


 


 


พ่อของสวี่จ้วงจ้วงเห็นลูกชายไม่ตอบสนอง จึงขี่จักรยานหลบรถที่ขับไปมาอย่างระมัดระวัง ก่อนข้ามถนนมาฝั่งนี้ 


 


 


“จ้วงจ้วง! จ้วงจ้วง! พ่อมาแล้ว รีบขึ้นรถกลับบ้าน!” 


 


 


ในที่สุดสวี่จ้วงจ้วงก็เงยหน้าขึ้น แล้วหิ้วกระเป๋าหนังสือยืนขึ้นอย่างดีใจ “พ่อ! ทำไมพ่อเพิ่งมาล่ะ! ผมรออยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว!” 


 


 


พ่อเห็นหนังสือเรียนในมือของเขา หางตาก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา พึงพอใจกับท่าทางอ่านหนังสือรอของลูกชายมากอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


“ตอนนี้เดินทางลำบาก รถก็ติดมาก พ่อรีบมาเร็วที่สุดแล้ว…แม่เร่งมากเลยนะ พ่อก็ร้อนใจ…เอาล่ะ ขึ้นรถกลับบ้านกันเถอะ” พ่อของเขาตบเบาะหลัง 


 


 


สวี่จ้วงจ้วงกลับทำเหมือนไม่รีบร้อน เขาเดินอ้อยอิ่งอย่างสบายใจ แถมเดินไปพลางยักคิ้วหลิ่วตามองซ้ายขวาไปด้วย ราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง 


 


 


จางจื่ออันสังเกตเห็นว่า หลังจากเขาเปิดกระเป๋าหนังสือเมื่อครู่ ก็ไม่ได้ปิดกระเป๋าหนังสือ แต่เปิดอ้าเอาไว้ตลอด 


 


 


หรือว่า… 


 


 


เขาหมุนตัวกลับไปเรียกเฟยหม่าซือมา 


 


 


เฟยหม่าซือไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอะไร แต่ก็เดินมาที่หน้าร้านด้วยความสงสัย 


 


 


อยู่ๆ ลมระลอกหนึ่งก็พัดมาอย่างแรง แรงกว่าก่อนหน้านี้มากทีเดียว 


 


 


สวี่จ้วงจ้วงตาเป็นประกาย นัยน์ตามีแสงสว่างแห่งความตื่นเต้นวาบผ่าน เขาทำท่าทางอยากปิดตา แล้วยกมือข้างที่ถือกระเป๋าหนังสือขึ้นมาปะทะกับลมแรง จากนั้นก็ทำเป็นปล่อยมือเพราะลมแรงเกินไป 


 


 


พรวด! 


 


 


กระเป๋าหนังสือของเขาถูกลมพัดกลิ้งอยู่บนพื้น สมุดการบ้านและหนังสือแบบฝึกหัดต่างๆ ในกระเป๋าหนังสือปลิวออกมาหมด เห็นกับตาว่าจะถูกลมพัดไปไกลแล้ว 


 


 


“อ๊า! การบ้านของผม!” สวี่จ้วงจ้วงทำเป็นร้องอย่างเจ็บปวดใจ แต่มุมปากกลับเผยความเบิกบานออกมา 


 


 


เพราะได้เลิกเรียนก่อนครึ่งวัน ขณะเดียวกันเพื่อป้องกันไม่ให้พวกนักเรียนเถลไถลอยู่ข้างนอกไม่ยอมกลับบ้าน พวกคุณครูจึงสั่งการบ้านไว้เยอะมาก ทำให้พวกนักเรียนบ่นไม่หยุด ตอนเด็กนักเรียนคนอื่นเดินผ่านหน้าร้าน จางจื่ออันก็ได้ยินพวกเขาบ่นเหมือนกัน 


 


 


คิดไม่ถึงว่าสวี่จ้วงจ้วงจะคิดพิเรนทร์ใช้ไต้ฝุ่นเป็นเครื่องมือ ทำเป็นถือโอกาสทบทวนบทเรียน แต่ความจริงแล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงคือให้ลมพัดการบ้านปลิวไปทั้งหมด และอยู่ต่อหน้าพ่อพอดี ทำแบบนี้เขาก็มีเหตุผลพูดได้เต็มปากเต็มทำ ทีนี้คงได้เล่นสนุกทั้งบ่ายและทั้งเย็น ถ้ามะรืนยังไปโรงเรียนไม่ได้ เขาก็อาจจะได้เล่นสนุกอย่างเต็มที่อีกหลายวัน 


 


 


คุณบอกว่าเขาฉลาด แต่ผลการเรียนเขาต่ำที่สุด…คุณบอกว่าเขาโง่ แต่ความคิดพิเรนทร์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เด็กประถมทั่วไปจะคิดได้จริงๆ 


 


 


พ่อของเขาทิ้งจักรยานไฟฟ้า แล้วโบกมืออยากจะคว้าหนังสือแบบฝึกหัดเอาไว้ด้วยความร้อนใจ แต่ลมแรงเกินไป หนังสือแบบฝึกหัดจึงถูกลมพัดขึ้นสูงในพริบตา 


 


 


ตอนนี้เอง เงาร่างแข็งแรงสีขาวน้ำตาลสายหนึ่งก็กระโดดข้ามหัวเขาไปอย่างว่องไว คาบหนังสือแบบฝึกหัดที่ถูกลมพัดอยู่ระหว่างหลังคาบ้านมาได้อย่างแม่นยำ 


 


 


พอพ่อของเขามองให้ชัดๆ ที่แท้ก็เป็นเยอรมันเชพเพิร์ดตัวหนึ่งที่พุ่งออกมาจากร้านขายสัตว์เลี้ยง 


 


 


ขากรรไกรล่างของเฟยหม่าซือไม่ได้ออกแรงมากเกินไป เพื่อไม่ให้กัดหนังสือแบบฝึกหัดทะลุ 


 


 


“แกว๊กๆ! ข้าก็มาช่วยด้วย!” 


 


 


ริชาร์ดตีปีกบินสูงขึ้น พยายามต้านกำลังลม แล้วคาบสมุดการบ้านเอาไว้ ปกติไม่เห็นมันกระตือรือร้นขนาดนี้เลย 


 


 


จางจื่ออันรับหนังสือแบบฝึกหัดและสมุดการบ้านมาจากปากของพวกมัน แล้วเก็บกระเป๋าหนังสือขึ้นมาแทนสวี่จ้วงจ้วง ก่อนจะพูดพร้อมหัวเราะว่า “เกือบถูกพัดปลิวไปแล้วแน่ะ” 


 


 


“โอ้! ขอบคุณมากเลย! ขอบคุณคุณมากจริงๆ!” พ่อของสวี่จ้วงจ้วงดีใจมาก จากนั้นก็ตีท้ายทอยของสวี่จ้วงจ้วงดังป้าบครั้งหนึ่ง “ไอ้ลูกคนนี้เหม่ออะไร รีบขอบคุณเขาสิ! ถ้าไม่ได้เขา ลูกคงทำการบ้านไม่ได้แล้ว!” 


 


 


สวี่จ้วงจ้วงหน้าเขียวปั้ด ถลึงตาใส่เฟยหม่าซือราวกับมองศัตรูฆ่าพ่อ 


 


 


“เสี่ยวฉินไช่ ช่วยฉันหยิบเทปกาวจากในร้านมาหน่อย ลมแรงขนาดนี้ พวกเราช่วยสวี่จ้วงจ้วงพันกระเป๋าหนังสือไว้ให้แน่นๆ ดีกว่า อย่าให้การบ้านของเขาปลิวไปอีก” จางจื่ออันยิ้มพร้อมกับเรียกเสี่ยวฉินไช่ 


 


 


เสี่ยวฉินไช่ตอบตกลง ไม่นานก็นำเทปกาวมา ช่วยจางจื่ออันพันกระเป๋าหนังสือของสวี่จ้วงจ้วงไว้รอบหนึ่ง 


 


 


“ลมแรงมาก คุณช่วยเขาถือเถอะครับ” จางจื่ออันส่งกระเป๋าหนังสือให้พ่อของสวี่จ้วงจ้วงด้วยสีหน้าจริงจัง 


 


 


“ได้ ผมจะช่วยเขาถือเอง เด็กไม่เอาไหนคนนี้ แม้แต่กระเป๋าหนังสือก็ถือเอาไว้ไม่ได้ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงเชียว!” 


 


 


“ไว้เจอกันใหม่นะสวี่จ้วงจ้วง ครั้งหน้ามีโอกาสก็มาเล่นกันอีกนะ แล้วก็…เธอควรจะลดน้ำหนักได้แล้วนะ” จางจื่ออันยิ้มพร้อมกับโบกมือลา 


 


 


“ลูกไม่เอาไหน บอกลาคุณอาสิ!” 


 


 


พ่อของเขาทั้งดึง ทั้งลากสวี่จ้วงจ้วงที่อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไปที่เบาะหลัง 


 


 


จนกระทั่งจักรยานไฟฟ้าไกลออกไปแล้ว จางจื่ออันยังได้ยินสวี่จ้วงจ้วงบ่นว่าหนังสือแบบฝึกหัดเปื้อนน้ำลายสุนัขกับอึนกอีก แต่พ่อของเขาไม่ผ่อนผันเรื่องทำการบ้านอย่างแน่นอน 


 


 


“พี่ชายเจ้าของร้านคะ เขาจงใจทิ้งการบ้านใช่ไหม?” เสี่ยวฉินไช่ไร้เดียงสาแต่ไม่ได้โง่ คาดเดาเงื่อนงำได้จากท่าทางและการกระทำของจางจื่ออันแล้ว 


 


 


“แน่นอนเลยล่ะ เด็กคนนี้พยายามอย่างสุดชีวิต จะได้ไม่ต้องทำการบ้าน” จางจื่ออันพูด 


 


 


เสี่ยวฉินไช่พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก และไม่คิดจะฟ้องคุณครูด้วย แต่เมื่อครู่เธอเห็นมีคนมารับสวี่จ้วงจ้วงกลับบ้าน แววตาก็แอบฉายแววอิจฉาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ลมแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว แล้วฝนก็ตกลงมาทันที 


 


 


ตอนนี้เอง พวกพนักงานร้านกลับมาจากบ้านเช่าที่อยู่ในหมู่บ้านฝั่งตรงข้ามแล้ว พวกเขาไม่ได้กางร่ม จึงตัวเปียกปอนไปหมด เพราะลมแรงขนาดนี้ ถึงกางร่มไปก็ไม่มีประโยชน์ 


 


 


พวกเขาปิดตายหน้าต่างบ้านเช่าของหลู่อี๋อวิ๋นกับเจี่ยงเฟยเฟยด้วยเทปกาวแล้ว ทั้งยังย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ย้ายได้ไปไว้บนเตียงและบนโต๊ะ แล้วใช้ถุงพลาสติกพันอุปกรณ์ดิจิตัลชิ้นเล็กๆ เอาไว้ แถมยังใส่สิ่งของสำคัญอย่างสมุดบัญชีธนาคารไว้ในถุงซิปล็อกและพกติดตัวมาด้วย 


 


 


เพิ่งผ่านตอนกลางวันไปแท้ๆ แต่ท้องฟ้ากลับมืดขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับตอนเย็นเลยทีเดียว 


 


 


ลมแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โลกส่งเสียงคำรามเหมือนผี โหยหวนเหมือนเทพ ยืนพูดอยู่ไกลออกไปหน่อยก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว ในหูมีแต่เสียงลมโหยหวนและเสียงหยดน้ำฝนดังเปาะแปะ 


 


 


คนเดินถนนและรถราลดน้อยลงไปมาก คนที่กลับบ้านไม่ทันก็หลบอยู่แถวนี้ เดินเตร่อยู่ท่ามกลางอากาศแบบนี้อันตรายเกินไป เสียงกระจกถูกพัดกระแทกบนพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


จางจื่ออันให้พวกพนักงานร้านดึงประตูม้วนชั้นล่างลงมา แล้วใช้เทปกาวติดประตูกระจกเอาไว้ ส่วนตัวเขาขึ้นไปบนชั้นสอง แล้วปล่อยบานเกล็ดที่ช่างเชื่อมจ้าวและช่างไฟฟ้าอู๋ทำให้ลงมา 


 


 


“เจี๊ยกๆ?” 


 


 


อานุภาพของธรรมชาติทำให้พายอกสั่นขวัญแขวนและกระวนกระวาย พอเห็นจางจื่ออันขึ้นมาข้างบน มันก็รีบทำมือสอบถามสถานการณ์จากเขา 


 


 


จางจื่ออันกำลังคิดจะห้ามไม่ให้มันนั่งริมหน้าต่าง เพื่อกันไม่ให้กระจกถูกลมพัดแตกมาถูกมัน แต่พอได้ยินเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวเหนือหัว  สั่นสะเทือนจนเกิดเสียงสะท้อนดังหึ่งๆ ขึ้นในหู ฉับพลันนั้นตรงหน้าก็มืดสนิท มองไม่เห็นอะไรอีก 


 


 


ไฟดับแล้ว  

 

 


ตอนที่ 1683 ตัดไฟ

 

ในความทรงจำวัยเด็กของจางจื่ออัน ถนนเส้นนี้มักจะไฟดับอยู่บ่อยๆ เพราะเป็นเขตที่อยู่อาศัยเก่าแล้ว การทำงานของสายไฟไม่ค่อยดี ใช้ไฟสูงจนถึงจุดสูงสุดแค่นิดเดียวก็ตัดกระแสไฟฟ้าแล้ว โดยเฉพาะในฤดูร้อน


 


 


ฤดูร้อนมีความชื้นมากและอบอ้าว ถึงตอนนั้นทุกคนไม่มีเงินเท่าไร แต่ก็ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ และต้องต้มน้ำใช้อาบน้ำทุวัน บางครั้งหนึ่งวันอาบน้ำมากกว่าหนึ่งครั้ง บวกกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ตอนเขาตั้งใจดูการ์ตูนในตอนเย็นก็มักจะตัดฉับไป แถมพอไฟดับก็จะดับกันทั้งถนน ไม่แน่ใจว่าไฟจะมาเมื่อไหร่ ต้องดูว่าช่างไฟฟ้าของถนนนี้ว่างพอดีหรือเปล่า


 


 


ทุกครั้งที่ไฟดับ พวกเด็กๆ ที่หมกมุ่นอยู่ในโลกการ์ตูนจะแสดงความผิดหวังในคำพูดและการกระทำอย่างชัดเจน ถ้าการ์ตูนกำลังต่อสู้กันถึงจุดพีคพอดี ก็ต้องซึมเศร้ามากกว่าสอบได้ที่โหล่เสียอีก…


 


 


จากการปรับปรุงเมืองเก่าในเวลาต่อมา ไฟค่อยๆ ดับน้อยลงโดยที่ไม่รู้ตัว และหลังจากนั้นอีกก็แทบจะไม่ดับเลย พวกเด็กๆ ที่เกิดในสองสามปีนี้ยิ่งไม่รู้เลยว่าไฟดับคืออะไร


 


 


ถ้าสวี่จ้วงจ้วงเกิดในตอนนั้น ก็ไม่ต้องหวังให้ไฟดับเพื่อจะเบี้ยวไม่ทำการบ้านเลย เพราะยังไงก็ต้องจุดเทียนทำการบ้านอยู่ดี


 


 


ไฟดับในเวลาปกติไม่เป็นไร อย่างน้อยไม่ได้มืดสนิทไปเลย แต่ตอนนี้จางจื่ออันเพิ่งปิดหน้าต่างและบานเกล็ดทั้งหมด แถมยังปิดผ้าม่านด้วย จึงมืดสนิทขึ้นมาในฉับพลัน ดวงตายังปรับสภาพตามไม่ทัน


 


 


ดีที่โน้ตบุ๊กสลับไปใช้แบตเตอรีอัตโนมัติ หน้าจอจึงกลายเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเล็กๆ แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย


 


 


เสียงร้องเวทนาของเซฮวาดังมาจากในห้องน้ำ “ใครปิดไฟเนี่ย?”


 


 


“เจี๊ยกๆ?”


 


 


พายพบว่าอินเทอร์เน็ตถูกตัด และคอมพิวเตอร์ไม่ได้ออนไลน์อยู่แล้ว


 


 


แม้โน้ตบุ๊กจะมีแบตเตอรี แต่เราท์เตอร์ไม่มีแบตเตอรี ถึงดึงสายอินเทอร์เน็ตมาเสียบช่องสายแลนของคอมพิวเตอร์ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะแผงสับเปลี่ยนที่บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมติดตั้งอยู่ข้างนอกก็ไม่มีไฟฟ้าไปแล้วแปดสิบเปอร์เซ็นต์


 


 


จางจื่ออันหยิบโทรศัพท์มือถือแชร์ฮอตสปอตให้โน้ตบุ๊ก จากนั้นให้บันทึกสิ่งไฟล์ที่ควรจะบันทึกไว้ เพราะแบตเตอรีของโน้ตบุ๊กอยู่ได้อีกไม่นานเท่าไร


 


 


เขาคลำทางเดินเข้าไปในห้องน้ำ ก็เห็นเซฮวาเปิดไฟฉายในโทรศัพท์มือถืออยู่เช่นกัน


 


 


ครึ่งตัวบนของเธอพ้นจากผิวน้ำแล้ว กำลังพิงขอบอ่างอาบน้ำติดผนัง ใบหน้ากับโทรศัพท์มือถือแนบชิดติดหน้าต่างบานเล็กมากๆ ในห้องน้ำ กำลังถ่านสถานการณ์ข้างนอกบ้าน


 


 


“คุณปิดไฟทำไม? แม้แต่ค่าไฟแค่เล็กน้อยก็ยังประหยัดเหรอ” เธอหันมาต่อว่า “ฉันกำลังไลฟ์สดไต้ฝุ่นให้พวกแฟนคลับดูอยู่นะ!”


 


 


“หยุดไลฟ์สดเถอะ ไฟดับแล้ว”


 


 


จางจื่ออันอธิบายสั้นๆ และปิดบานเกล็ดของห้องน้ำ คราวนี้ทั้งห้องน้ำก็แทบจะมืดสนิทในทันที มีเพียงหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอที่ยังสว่างจ้า


 


 


“อะไรนะ? แล้วไฟจะมาเมื่อไหร่? ก็เพราะคุณอยู่ในบ้านซอมซ่อแบบนี้ก็เลยไฟดับล่ะสิ!” เธอร้องอย่างร้อนใจ


 


 


จางจื่ออันสงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นโรคติดโทรศัพท์มือถือเหมือนกับหลายๆ คนแล้ว แถมยังติดในระดับหนักเสียด้วย ไม่กินข้าวสักวันก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ได้เล่นมือถือสักวันเหมือนชีวิตดับสูญ…


 


 


“ไฟจะมาเมื่อไหร่ก็พูดยาก อย่างน้อยวันนี้อาจจะไม่มาเลย หรืออาจจะสองสามวัน” เขาพูด เนื่องจากเสียงลม เสียงฝน และเสียงฟ้าผ่ารบกวน พวกเพื่อนบนอินเทอร์เน็ตในช่องไลฟ์สดคงไม่ค่อยได้ยินเสียงพูดของเธอแล้ว


 


 


“สองสามวัน?” เธอเกาหัวอย่างสิ้นหวัง “ฉันต้องตายแน่ๆ! อีกอย่าง ทำไมต้องปิดหน้าต่างด้วย? ฉันยังต้องไลฟ์สดไต้ฝุ่นนะ!”


 


 


จางจื่ออันควานหาเทียนจากตู้ในห้องน้ำ ก่อนจะใช้ไฟแช็กจุดเทียน แล้วตั้งไว้ขอบอ่างอาบน้ำ แสงสลัวๆ สีเหลืองทำให้ห้องน้ำสว่างขึ้นมาแล้ว


 


 


“บรรยากาศใช้ได้เลย ไลฟ์สดเล่าเรื่องผีสิ อาจจะดังเป็นพลุแตกก็ได้” เขาพูด


 


 


พอออกจากห้องน้ำ เขาก็ตั้งเทียนเล่มหนึ่งไว้บนโต๊ะหนังสือเพื่อส่องแสงให้พายด้วย ก่อนจะไปปิดหน้าต่างกับบานเกล็ดของห้องนอนและห้องเก็บของทั้งหมด


 


 


หยดน้ำฝนกระทบหลังคาดังเปาะแปะ เสียงดังลงมาจากเพดาน ท่อระบายน้ำบนชายคาบ้านระบายน้ำออกไปข้างนอกเสียงดังจ๊อกๆ ราวกับก๊อกน้ำ เขายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตรวจสอบเพดานบนชั้นสองครั้งหนึ่ง ตอนนี้ไม่มีวี่แววของน้ำซึม หวังว่าการป้องกันน้ำบนหลังคาที่ช่างเชื่อมจ้าวทำไว้จะต้านทานไต้ฝุ่นครั้งนี้ได้นะ


 


 


เขาลงมาชั้นล่าง เห็นพวกพนักงานร้านปิดประตูหน้าต่างหมดแล้ว และใช้เทปกาวกับถุงพลาสติกยัดซอกประตูอย่างแน่นหนา ฝนตกหนักขนาดนี้ เกรงว่าระบบระบายน้ำของเมืองคงระบายน้ำสะสมออกไปไม่ทัน ต้องป้องกันน้ำขังในถนนทะลักเข้าร้าน


 


 


ที่ยุ่งยากที่สุดเวลาไฟดับคือระบบทำความเย็นในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เขามีเครื่องปั่นไฟสำรองที่ใช้ตอนช่วยเสี่ยวไป๋ พอจะทำให้การหมุนเวียนน้ำและระบบเลี้ยงดูในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทำงานต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นไม่นานสัตว์น้ำพวกนั้นคงได้หงายท้องตายหมดแน่ และยังใช้ตู้เย็นแช่น้ำแข็งไว้เต็มตู้ เพื่อป้องกันไฟดับที่เกิดจากไต้ฝุ่น ยังพอทนไปได้ชั่วคราว


 


 


เพราะทุกคนอยู่ชั้นล่างกันหมด เขาจึงจุดเทียนไว้ที่ชั้นล่างหลายเล่ม พยายามให้ชั้นล่างสว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


 


เสี่ยวฉินไช่ช่วยอะไรไม่ได้ และทุกคนก็กลัวเธอจะบาดเจ็บ เลยไม่ได้ให้เธอช่วย เธอจึงนั่งอยู่ข้างๆ เคาน์เตอร์เก็บเงินอย่างว่าง่าย ตอนนี้เธอเห็นว่ามีแสงสว่างแล้ว จึงเปิดกระเป๋าหนังสือหยิบการบ้านออกมา


 


 


เธอไม่คิดจะให้การบ้านปลิวหนีไปเองเหมือนสวี่จ้วงจ้วง และคิดจะเริ่มทำการบ้าน ถึงอย่างไรคุณครูก็ให้การบ้านเยอะมาก ไม่ทำตอนนี้ก็อาจจะทำไม่ทัน


 


 


“เสี่ยวฉินไช่ อย่าเพิ่งทำเลย มืดเกินไป เดี๋ยวเสียสายตาเอานะ” หวางเฉียนเตือนด้วยเจตนาดี “ไม่ทำการบ้านครั้งสองครั้งไม่เป็นไรหรอก ไม่คุ้มค่าให้ต้องใส่แว่นหลังจากนี้ไปหรอก”


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มืด” เสี่ยวฉินไช่โบกมือ ก่อนจะยืนกรานทำการบ้านอย่างหัวแข็ง


 


 


ตอนนี้เอง อยู่ๆ ชั้นล่างก็มีแสงสว่างเพิ่มขึ้นมากทีเดียว แม้จะไม่ถึงกับสว่างจ้าเหมือนปกติ แต่อย่างน้อยก็ไม่นับว่ามืดเกินไป


 


 


จางจื่ออันถือไฟฉุกเฉินดวงเดียวในร้านเดินเข้ามา แล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์เก็บเงิน “วางไฟไว้ตรงนี้นะ เธอจะทำการบ้านก็ทำเถอะ”


 


 


“ว้าว! ขอบคุณค่ะพี่ชายเจ้าของร้าน!” เสี่ยวฉินไช่ปรบมือด้วยความดีใจ


 


 


เธอกางสมุดการบ้าน แล้วอาศัยแสงไฟเริ่มเขียนอย่างช้าๆ ด้วยความตั้งใจ


 


 


แม้จะปิดหน้าต่างและประตูแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ข้างนอกลมแรง ในบ้านก็มีลมพัดเข้ามาเล็กน้อย ประตูม้วนกับบานเกล็ดก็ถูกลมพัดจนเกิดเสียงดังปึงปังไม่หยุด ทั้งบ้านเหมือนเครื่องจักรขึ้นสนิมเครื่องหนึ่งเลยทีเดียว


 


 


บางครั้งประตูม้วนเหมือนมีสิ่งของถูกลมพัดมากระแทก อาจจะเป็นกิ่งไม้หรือเป็นอย่างอื่น ส่งเสียงดังกังวานออกมา ทำให้ทุกคนในร้านสะดุ้งโหยงตกใจ


 


 


มีประตูกระจกกั้นอยู่ พวกเขาเห็นประตูม้วนถูกกระแทกจนยุบไปหลายจุด ถ้าไม่มีประตูม้วนกันไว้ ประตูกระจกอาจจะถูกกระแทกแตกไปแล้วก็ได้


 


 


“อาจารย์ ที่นี่มีไพ่นกกระจอกไหมครับ? ว่างพอดีเลย พวกเรามาเล่นกันสักสองสามตาไหมครับ?” หลี่คุนเสนอ


 


 


หวางเฉียนสนับสนุน “ความคิดนี้ไม่เลว เสียงลม เสียงฝน เสียงเล่นไพ่นกกระจอก ไพเราะเสนาะหูมากเลยว่าไหม? เหมาะกับสถานการณ์พอดี!”


 


 


จางจื่ออันถลึงตาใส่พวกเขาครั้งหนึ่ง แล้วใช้สายตาบอกใบ้ถึงเสี่ยวฉินไช่ ความหมายคือเธอทำการบ้านอยู่ที่นี่นะ พวกนายเล่นไพ่นกกระจอกเสียงดังเอะอะอยู่ข้างๆ แบบนี้เหมาะสมแล้วเหรอ?


 


 


แต่เสี่ยวฉินไช่กลับใจกว้างบอกว่าไม่เป็นไร


 


 


พวกเขาสองคนคิดดูแล้ว ดูเหมือนไม่ควรทำเรื่องเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง แต่เป็นโทษกับคนอื่นแบบนี้จริงๆ ไปเล่นไพ่นกกระจอกในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำข้างๆ ดีกว่ามั้ง?


 


 


จางจื่ออันกวาดสายตามองในร้านครั้งหนึ่ง เหมือนจะพบว่าบางอย่างขาดหายไป 

 

 


ตอนที่ 1684 โทรศัพท์

 

ร้านขายสัตว์เลี้ยงไม่นับว่าเล็กมาก สภาพแวดล้อมชั้นล่างสลับซับซ้อน ชั้นวางสินค้าและตู้โชว์วางเรียงกันเป็นแถว พยายามใช้พื้นที่ว่างทุกตารางนิ้วให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ปกติไม่นับว่าเป็นข้อเสีย แต่หลังจากไฟดับ ตรงที่ไฟฉายและไฟฉุกเฉินส่องไม่ถึงก็มืดสลัวมาก มองไม่ถนัดเลยสักจุด


 


 


เสียงฟ้าร้อง เสียงฝน และเสียงลมดังมากเกินไป พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็นอนไม่หลับ ได้แต่หาวอย่างเบื่อหน่าย


 


 


พวกลูกแมวและลูกสุนัขมีความรู้สึกไวต่อเสียงฟ้าร้องครั้งแล้วครั้งเล่า มักจะหวาดกลัวฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวเสมอ


 


 


จางจื่ออันถือโทรศัพท์มือถือเดินสังเกตชั้นล่างอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นไปหาบนชั้นสอง ความรู้สึกสงสัยได้รับการยืนยันแล้ว ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นอยู่ครบ มีเพียงวลาดิเมียร์ที่หายไป


 


 


ที่จริงแผลของวลาดิเมียร์สมานกันดีแล้ว ไม่ต้องพันผ้าพันแผลอีก แต่ร่างกายยังไม่ได้ฟื้นคืนสู่สภาพแข็งแรงดีเหมือนก่อนหน้านี้ จางจื่ออันจึงให้มันออกไปข้างนอกให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอร่างกายแข็งแรงดังเดิมแล้วค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรร่างกายก็เป็นต้นทุน


 


 


ตอนเช้าพวกพนักงานร้านไม่อยู่ เขาก็มัวยุ่งอยู่กับการดูแลลูกค้า จำได้ว่าเห็นวลาดิเมียร์อยู่ ตอนเช้ามันควรจะอยู่ในร้าน แต่ต่อมาเพราะไต้ฝุ่นมาถึงอย่างกะทันหัน รวมถึงการเล่นลูกไม้ที่แทรกเข้ามาของสวี่จ้วงจ้วง เขาจึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น แต่ถ้ามันออกไปจากประตูชั้นล่าง เขาก็น่าจะเห็น


 


 


“พาย นายเห็นวลาดิเมียร์ไหม?” เขาถามพายที่อยู่บนชั้นสองตลอด


 


 


“เจี๊ยกๆ”


 


 


พายพยักหน้า ก่อนจะชี้ไปที่หน้าต่างแล้วทำมือ ความหมายคือมันเห็นวลาดิเมียร์กระโดดออกไปจากหน้าต่าง เป็นตอนที่มีข่าวว่าไต้ฝุ่นจะมาอย่างกะทันหัน


 


 


จางจื่ออันเข้าใจแล้ว วลาดิเมียร์อาจจะช่วยพวกแมวจรจัดหลบภัยไปแล้ว มันทนอยู่ในสถานที่ปลอดภัยเพียงคนเดียว แล้วปล่อยให้พวกแมวจรจัดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ข้างนอกไม่ได้ สมกับเป็นมันจริงๆ


 


 


เรื่องมาถึงตรงนี้ เขาไม่มีทางอื่นแล้ว ออกไปตามหามันท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้ายแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ พายุฝนกำจัดกลิ่นและรอยเท้าทุกอย่างไปหมดแล้ว ไม่มีทางตามรอยได้ และเขาเชื่อว่าวลาดิเมียร์ดูแลตัวเองได้ ผู้นับถือลัทธิเหมียวเหมียวที่กล้าต่อกรกับสวรรค์ไม่กลัวพายุฝนหรอก


 


 


ไม่เพียงวลาดิเมียร์และพวกแมวจรจัด ตอนนี้เสี่ยวไปกับพวกสุนัขจรจัดก็กำลังพยายามเอาตัวรอดจากไต้ฝุ่นอยู่แน่นอน น่าเสียดายที่เขาอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ หวังแค่ว่าพวกมันจะโชคดี


 


 


เขากลับมาชั้นล่างอีกครั้ง หวางเฉียนกับหลี่คุนยังเล่นไพ่นกกระจอกตามแผน ส่วนหลู่อี๋อวิ๋นกับเจี่ยงเฟยเฟยกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือทั้งคู่


 


 


อินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือความเร็วต่ำ เล่นเกมต้องถูกทีมด่าอย่างเจ็บแสบและขาดช่วงแน่นอน ออนไลน์ยังพอจะทำได้ แต่อีกสักพักอินเทอร์เน็ตก็อาจจะขาดหาย


 


 


“อาจารย์ ไพ่นกกระจอกล่ะครับ? ในบ้านอาจารย์เนี่ยแม้แต่ไพ่นกกระจอกก็ไม่มีเหรอ ตอนนี้ว่างมาก เล่นเกมก็ไม่ได้ พวกเราควรจะเล่นไพ่นกกระจอกด้วยกันสักตาจริงๆ นะครับ!” หวางเฉียนกับหลี่คุนส่งเสริม


 


 


จางจื่ออันไม่มีอารมณ์ “พวกนายเล่นไปเถอะ ฉันยังมีธุระ”


 


 


“ฉันขอผ่าน ฉันเล่นไม่เป็น” หลู่อี๋อวิ๋นโบกมือ


 


 


เจี่ยงเฟยเฟยไม่ได้ปฏิเสธ แต่เล่นกันสามคนไม่ได้อยู่แล้ว และตอนนี้ก็ไม่มีแม้แต่ไพ่นกกระจอกด้วยซ้ำ


 


 


หวางเฉียนกับหลี่คุนวุ่นวายไม่หยุด “อากาศแย่แบบนี้อาจารย์ยังมีธุระอะไรอีกครับ? อาจารย์ช่วยพวกผมหาไพ่นกกระจอกก่อนเถอะ!”


 


 


พายไม่ต้องการโทรศัพท์มือถือของเขาเป็นฮอตสปอตเพื่อออนไลน์แล้ว เมื่อครู่เข้าลงมาจากชั้นสอง และถือโอกาสถือโทรศัพท์มือถือลงมาด้วย ก่อนจะโบกมือบอกให้พวกเขาหุบปาก แล้วพูดกับเสี่ยวฉินไช่ “เสี่ยวฉินไช่ เบอร์โทรศัพท์แม่เธอคืออะไร? จำได้ไหม?”


 


 


เสี่ยวฉินไช่พยักหน้า แม้เธอจะไม่มีโทรศัพท์มือถือ แต่แม่เคยให้เธอท่องเบอร์โทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้ว เผื่อมีเรื่องอะไรต้องโทรศัพท์


 


 


“โทรฯ หาแม่เธอสักหน่อยเถอะ บอกเธอว่าอยู่ที่นี่” จางจื่ออันเปิดหน้ากดเบอร์โทรศัพท์ “ฉันจะช่วยเธอโทรฯ เอง”


 


 


เสี่ยวฉินไช่พูดเบอร์โทรศัพท์มือถือ หลังจากเขาต่อสาย เขาก็ถือโทรศัพท์มือถือไว้ที่ข้างแก้มของเธอ


 


 


ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด


 


 


ปลายสายมีเสียงดังขึ้นมาสองสามครั้ง จากนั้นก็มีคนรับสาย


 


 


“ฮัลโหล? ต้องการพูดกับใครคะ?”


 


 


เสียงผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคยพูดอย่างกระหืดกระหอบ เสียงของเธอเป็นกังวลและห้วนมากอย่างเห็นได้ชัด น่าจะเป็นเพราะเบอร์แปลกๆ โทรศัพท์มา เธอจึงคิดว่าเป็นการโทรศัพท์ผิด


 


 


ปลายสายมีเสียงดังอื้ออึงมาก เธออยู่ข้างนอกแน่นอน ถึงอยู่อีกด้านของโทรศัพท์ก็ยังได้ยินเสียงฟ้าร้องดังกระหึ่ม


 


 


จางจื่ออันคิดว่าหลังจากเธอได้ยินโทรศัพท์มือถือส่งเสียงดัง เธอก็จะหาสถานที่หลบฝนรับสายก่อน เพื่อกันไม่ให้น้ำเข้าโทรศัพท์มือถือ และอาจจะยังสงสัยว่าควรรับเบอร์แปลกๆ สายนี้ไหม


 


 


“แม่!” เสี่ยวฉินไช่พูดเสียงดัง “หนู…”


 


 


เพิ่งพูดขึ้นต้นประโยคไป เสี่ยวฉินไช่ก็แทบจะเจอกับเสียงกรีดร้องทันที “เสี่ยวฉินไช่! ลูกไปเที่ยวเล่นที่ไหน? แม่เป็นห่วงจะตายอยู่แล้ว!”


 


 


น้ำเสียงของแม่ทำให้เสี่ยวฉินไช่กลัวตัวสั่นจนพูดไม่ออก แต่ยิ่งเธอไม่พูด แม่ของเธอก็จะยิ่งเป็นห่วง


 


 


“ลูกพูดสิ! ลูกอยู่ที่ไหนกันแน่?”


 


 


“ฮัลโหลครับ” จางจื่ออันถือโทรศัพท์มือถือไว้ข้างๆ หูตัวเอง “สวัสดีครับ คือว่า…แม่ของเสี่ยวฉินไช่ใช่ไหมครับ? ลูกสาวของคุณหลบไต้ฝุ่นอยู่กับผม คุณวางใจได้ครับ เธอสบายดี ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน ถ้าคุณสะดวกละก็ จะมารับเธอก็ได้นะครับ แต่ถ้าสภาพอากาศแย่มาก คุณ…”


 


 


เขายังพูดไม่จบ อีกฝ่ายก็ขัดจังหวะขึ้นมา “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ คุณอยู่ที่ไหนคะ?”


 


 


จางจื่ออันบอกที่อยู่ของตัวเอง แล้วแนะนำว่า “คุณอย่าฝืนเด็ดขาดเลยนะครับ ฉินเสี่ยวไช่อยู่ที่นี่ปลอดภัยดี ผมแนะนำให้คุณอยู่รอพายุฝนผ่านไปก่อนค่อยมาดีกว่า ตอนนี้ข้างนอกอันตรายมาก ถ้าคุณบาดเจ็บ…”


 


 


เสี่ยวฉินไช่ก็พูดเสียงดังอย่างเป็นห่วง “แม่คะ! หนูสบายดี ที่นี่มีพี่ชายกับพี่สาวอยู่กับหนูหลายคน แม่ไม่ต้องรีบมา…”


 


 


“ไม่ต้องพูดแล้ว แม่จะไปเดี๋ยวนี้! เสี่ยวฉินไช่ก็อย่าไปไหนนะ เป็นเด็กดีรออยู่ที่นั่นแหละ!”  แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป


 


 


“ขอโทษค่ะ ปกติแม่ของหนูไม่ได้เป็นแบบนี้…” เสี่ยวฉินไช่ขอโทษพร้อมท่าทางน่าสงสาร


 


 


“ฉันรู้ ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


น้ำเสียงของอีกฝ่ายมุทะลุและฉุนเฉียว แต่จางจื่ออันเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายจริงๆ น่าสงสารใจพ่อแม่ทั่วโลก ลูกสาวตัวน้อยของตัวเองหลบภัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้าหลายคนในสภาพอากาศเลวร้ายแบบนี้ คนเป็นแม่ที่ไหนจะไม่ร้อนใจบ้างล่ะ? ยิ่งร้อนใจ ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าเธอเป็นห่วงความปลอดภัยของเสี่ยวฉินไช่


 


 


เขาเจตนาดีแนะนำให้เธออย่าเพิ่งมา เพราะเดินทางด้วยสภาพอากาศแบบนี้อันตรายเกินไป เสี่ยวฉินไช่ปลอดภัยดี แต่ตัวเธอเองอาจจะบาดเจ็บได้ แบบนั้นก็ไม่คุ้มกัน


 


 


เธอปฏิเสธเจตนาดีของเขา ระหว่างความปลอดภัยของลูกสาวกับความปลอดภัยของตัวเอง เธอเลือกข้อแรก เธอไม่เห็นสถานการณ์ของเสี่ยวฉินไช่ด้วยตาของตัวเอง จึงไม่วางใจ


 


 


บางทีพายุฝนอ่อนกำลังลงแล้วค่อยโทรศัพท์หาเธออาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะรับประกันความปลอดภัยได้ทั้งสองฝ่าย แต่พอถึงตอนนั้นเธออาจจะร้อนใจจนเป็นบ้าไปแล้วก็ได้ หลังจากจางจื่ออันช่างน้ำหนักดูแล้ว เขาก็ตัดสินใจโทรศัพท์หาเธอตอนนี้ และให้เธอเป็นฝ่ายเลือกเอง


 


 


เธออยากเจอเสี่ยวฉินไช่ใจแทบขาด เขาจึงไม่มีเวลาอธิบายมากพอ ถึงเขาโทรศัพท์หาเธออีกครั้ง เธอก็คงจะไม่รับสาย และรับสายท่ามกลางพายุฝนก็อันตรายมาก


 


 


ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ทำได้แค่รอแล้ว 

 

 


ตอนที่ 1685 น้ำท่วมปินไห่

 

ปกติใช้ชีวิตอย่างมีสีสันมากขนาดไหน แต่ไฟดับนานๆ เข้าก็น่าเบื่อมาก ถึงแม้โทรศัพท์มือถือยังพอต่ออินเทอร์เน็ตได้ แต่สัญญาณก็อ่อนมาก พอจะดูเว็บเพจได้บ้าง แต่สัญญาณก็ขาดหายอยู่บ่อยๆ อาจจะเป็นเพราะสถานีฐานส่งสัญญาณแถวนี้เปียกน้ำไปหมดแล้ว ชาวบ้านเป็นบริเวณกว้างจึงต้องเชื่อมอินเทอร์เน็ตจากที่ค่อนข้างไกลออกไป ก็เหมือนรถเยอะแต่ทางแคบ ทำอะไรไม่ได้ 


 


 


หวางเฉียนกับหลี่คุนยังคิดเรื่องเล่นไพ่นกกระจอก จางจื่ออันไม่ได้ตั้งใจกลั่นแกล้งพวกเขา แต่ในบ้านเขาไม่มีไพ่นกกระจอกจริงๆ ก่อนหน้านี้พ่อกับแม่มัวแต่ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีเวลาเล่นไพ่นกกระจอกที่ไหนกัน 


 


 


ริชาร์ดก็สนใจมรดกทางวัฒนธรรมจีนอย่างไพ่นกกระจอกมากทีเดียว จึงตะโกนเสียงดังลั่นว่าอยากเล่นด้วย 


 


 


เขาไม่พอใจที่พวกเขาสองคนเสียงดังเอะอะ เพราะมันกระทบการทำการบ้านของเสี่ยวฉินไช่ จึงยัดเทียนใส่มือของพวกเขาคนละเล่มสองเล่ม แล้วไล่พวกเขาไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำข้างๆ เพราะทางนั้นก็ต้องมีคนเฝ้าเหมือนกัน 


 


 


สัตว์น้ำเปราะบางมาก หลังจากเครื่องปรับอากาศหยุดทำงาน ก็ต้องไปตรวจดูอุณหภูมิของตู้สัตว์น้ำทุกตู้ทุกครึ่งชั่วโมง โดยเฉพาะสัตว์ที่หายากและชอบความเย็นสองสามชนิด ต้องใช้การเติมน้ำแข็งเพื่อรักษาอุณหภูมิ แต่เพิ่มน้ำแข็งแล้วก็ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลในตู้ลดต่ำลง ดังนั้นตอนเติมน้ำแข็งต้องเพิ่มเกลือทะเลตามสัดส่วน เติมน้ำแข็งโดยไม่คิดคำนวณสัดส่วนไม่ได้ 


 


 


ดีที่หลังจากเซ้งร้านข้างๆ แล้วก็หาโอกาสติดประตูเชื่อมตรงชั้นล่างของทั้งสองร้านให้คนเดินผ่านไปได้ ไม่อย่างนั้นคงลำบากน่าดู 


 


 


เสียงพายุฝนมีแต่ดังขึ้น ไม่มีลดลงเลย ซอกประตูม้วนเริ่มมีน้ำขุ่นๆ ทะลักเข้ามาข้างในแล้ว นี่เป็นการบ่งบอกว่าปริมาณน้ำข้างนอกสูงท่วมทางเท้าแล้ว และสูงท่วมฐานและบันไดของร้านขึ้นมาแล้วด้วย คำนวณคร่าวๆ แล้วน้ำอาจจะลึกยี่สิบถึงสามสิบเมตร 


 


 


ท่อระบายน้ำของถนนน่าจะถูกใบไม้ที่ร่วงลงมาและขยะต่างๆ อุดเอาไว้แล้ว จึงระบายน้ำท่วมสะสมออกไปไม่ได้ ระดับน้ำยังต้องเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกแน่นอน 


 


 


พวกพนักงานร้านใช้เทปกาวติดขอบล่างและซอกของประตูกระจกเอาไว้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ปิดตายโดยสิ้นเชิง น้ำถึงได้ซึมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเพิ่มขึ้นของแรงดันน้ำ 


 


 


ผู้หญิงสองคนวางโทรศัพท์มือถือลง ก่อนจะใส่ถุงมือนำผ้าขี้ริ้วและผ้าขนหนูมาซับน้ำที่หน้าประตู พอผ้าขี้ริ้วและผ้าขนล็อตแรกชุ่มน้ำหมดแล้ว พวกเธอก็ไปเปลี่ยนเป็นอีกล็อตหนึ่ง สลับกันนำผ้าขนหนูเปียกน้ำไปบิดให้แห้งในห้องน้ำสัตว์เลี้ยง หมุนเวียนกันไปอย่างนี้ เพื่อกันไม่ให้น้ำสกปรกท่วมเข้ามาในร้าน 


 


 


“เจ้าของร้านคะ!” เจี่ยงเฟยเฟยตะโกนมาจากห้องน้ำ 


 


 


จางจื่ออันเข้าไปดู ที่แท้ท่อน้ำในห้องน้ำก็เริ่มมีน้ำสกปรกเอ่อล้นขึ้นมา บ่งบอกว่าระบบระบายน้ำใต้ดินของถนนเส้นนี้เป็นอัมพาตแล้ว 


 


 


พวกเขาทำได้แค่ใช้ถุงพลาสติกพันผ้าขี้ริ้วยัดเข้าไปที่ปากท่อ เพื่อหยุดน้ำสกปรกไม่ให้ไหลย้อนกลับมา 


 


 


จางจื่ออันคิดดูแล้ว จึงหิ้วถังพลาสติกมาอีกสองใบ ให้สองสาวบิดน้ำสกปรกใส่ในถัง พอเต็มแล้วถังหนึ่ง เขาก็หิ้วขึ้นไปที่ห้องเก็บของชั้นสอง หาเสื้อกันฝนตัวหนึ่งมาใส่ไว้ก่อน จากนั้นก็เปิดหน้าต่างห้องเก็บของแล้วเทน้ำสกปรกออกไปข้างนอก 


 


 


พอเปิดหน้าต่าง ลมแรงก็พัดหยดน้ำฝนใหญ่เท่าเม็ดถั่วกระแทกทั่วหน้าของเขา ก่อนที่น้ำฝนจะเข้าผ่านคอเสื้อกันฝนเข้าไป 


 


 


ตอนนี้ท้องฟ้าข้างนอกมืดสลัวไปทั้งผืน ถนนกลายเป็นแม่น้ำสายเล็ก บางครั้งมีรถยนต์คันสองคันขับแหวกผิวน้ำมา ดูแล้วเหมือนกำลังขับเรือ ต้นไม้เป็นทิวแถวสั่นไหวไปทางซ้ายขวา กระถางดอกไม้ที่วางอยู่บนดาดฟ้าของบ้านเก่าถูกลมพัดตกลงมาบนพื้นแตกเสียงดังเพล้ง 


 


 


ลมฝนพัดแรงจนคนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ดูท่าทางเปิดหน้าต่างเทน้ำครั้งต่อไปต้องใส่แว่นตากันลมแล้ว 


 


 


เขาสาดน้ำสกปรกในถังออกไป แม้แต่ปิดหน้าต่างก็ยังเปลืองแรงมาก 


 


 


สภาพอากาศข้างนอกย่ำแย่ขนาดนี้ แม่ของเสี่ยวฉินไช่จะมาได้ไหม? 


 


 


ทุกคนต่างก็กำลังยุ่ง ลมฝนข้างนอกก็เสียงดัง เสี่ยวฉินไช่ทำการบ้านอย่างไม่สบายใจ ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงความปลอดภัยของแม่ด้วย 


 


 


พวกพนักงานร้านที่ตอนแรกไม่สนใจไต้ฝุ่นก็ค่อยๆ รู้สึกได้ถึงอานุภาพของไต้ฝุ่นแล้ว พวกเขาถูกขังอยู่ในร้าน ออกไปข้างนอกไม่ได้ แถมยังมีน้ำทะลักเข้ามาในร้านตลอด ไม่มีใครรู้ว่าระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นเท่าไรแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้าขายของร้านขายสัตว์เลี้ยงและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหรือเปล่า 


 


 


นี่เป็นเพียงชายขอบของไต้ฝุ่นเท่านั้น ถ้าเป็นพื้นที่ใจกลางไต้ฝุ่น ถึงบ้านเก่าถล่มลงมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก 


 


 


ตอนที่จางจื่ออันกับพวกพนักงานร้านกำลังทำงานหัวหมุน พวกภูตสัตว์เลี้ยงที่หูไวกลับหันหน้าไปทางประตูกระจกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย 


 


 


เฟยหม่าซือเตือนว่า “ข้างนอกมีคนกำลังทุบประตู” 


 


 


เสียงลมฝนฟ้าร้องดังเกินไป พวกจางจื่ออันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ถึงได้ยินอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่าเป็นกิ่งไม้หรือขยะที่ถูกลมพัดมาชนประตู 


 


 


“แม่!” เสี่ยวฉินไช่ทิ้งดินสอ แล้ววิ่งไปทางประตูกระจก พลางทุบประตูกระจกร้องเสียงแหลม 


 


 


พวกพนักงานร้านขอคำแนะนำจากจางจื่ออัน เปิดประตูเรียกแม่ของเธอเข้ามาไหม? 


 


 


จางจื่ออันโบกมือ “เสี่ยวฉินไช่ เธออย่าตะโกนเลย ข้างนอกไม่ได้ยินหรอก ต่อให้เธอตะโกนจนเสียงแหบก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราเปิดประตูไม่ได้ พอเปิดประตูแล้วน้ำจะทะลักเข้ามาข้างในหมด อย่าเปิดประตูล่ะ พวกนายรออยู่ที่นี่นะ” 


 


 


เขากลับไปที่ชั้นสอง เข้าไปในห้องเก็บของอีกครั้ง ก่อนจะใส่เสื้อกันฝน เปิดหน้าต่าง แล้วยื่นหน้าออกไปข้างนอก 


 


 


ห้องเก็บของเป็นทรงแคบยาว หน้าต่างจึงค่อนข้างแคบ คนเข้ามาเยอะก็ไม่มีประโยชน์ กลับจะเกะกะเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ที่หน้าประตูร้าน ผู้หญิงอายุสามสิบกว่าไม่ถึงสี่สิบปีกำลังทุบประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับร้องตะโกนเรียกชื่อของเสี่ยวฉินไช่เสียงดัง เธอไม่ได้สวมเสื้อกันฝน ตัวเปียกปอนไปทั้งตัวแล้ว เธอปล่อยผม และไม่ได้สวมรองเท้า 


 


 


“เฮ้! ข้างบน! ตรงนี้!” จางจื่ออันตะโกนเสียงดัง 


 


 


เพราะเธอเคาะประตูแล้วไม่ได้ผล จึงกังวลว่าตัวเองมาผิดที่หรือเปล่า ตอนกำลังคิดจะหาที่หลบฝนและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรฯ เธอก็ได้ยินเสียงของเขาดังมาจากข้างบน 


 


 


เธอเงยหน้าก็เห็นจางจื่ออัน จึงชี้ประตูม้วนตะโกนเสียงดังว่า “เปิดประตู!” 


 


 


จางจื่ออันโบกมือ แล้วชี้อู่หลิงเสินกวงที่จอดอยู่ใต้หน้าต่าง “ประตูปิดตายแล้ว! คุณปีนขึ้นไปบนหลังคารถ ผมจะดึงคุณเข้ามาทางหน้าต่างชั้นสอง!” 


 


 


วลาดิเมียร์ก็มักจะใช้เส้นทางนี้ กระโดดขึ้นไปบนหลังคารถ แล้วค่อยกระโดดเข้ามาในห้องผ่านหน้าต่างชั้นสอง 


 


 


เธอตะลึง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีเวลาให้อธิบายขยายความอีก และไม่มีเวลาถามคำถามด้วย เธอจึงเดินไปข้างๆ อู่หลิงเสินกวง ก่อนจะลองปีนขึ้นไปบนหลังคารถ 


 


 


“ใช้อันนี้!” 


 


 


จางจื่ออันโยนเก้าอี้พับได้ตัวหนึ่งจากหน้าต่างลงไปให้เธอ ให้เธอปีนเก้าอี้ขึ้นมาฝากระโปรงหน้า แล้วค่อยปีนขึ้นไปบนหลังคารถ 


 


 


น้ำโคลนขุ่นๆ ท่วมทางเท้าแล้ว ราวกับเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ฉีดน้ำล้างบ้านและสิ่งสกปรกสองข้างถนน ถังขยะถูกพัดจนล้มลง ขยะลอยอยู่เกลื่อน แต่ขาเก้าอี้เหล็กพับได้รับแรงได้น้อยมาก เป็นเก้าอี้ที่แข็งแรงในทางกลศาสตร์ ตั้งอยู่ในน้ำโคลนแล้วนับว่ามั่นคง ไม่ได้ถูกน้ำซัดล้มลงได้ง่ายๆ 


 


 


เธอไม่ได้ใส่รองเท้าพอดี จึงกางเก้าอี้ แล้วเหยียบขึ้นไปบนที่นั่ง แบบนี้ปีนขึ้นไปบนหลังคารถก็ค่อนข้างง่ายดาย 


 


 


หลังจากปีนขึ้นไปถึงหลังคารถ ร่างกายผอมบางของเธอก็ถูกลมพัดจนเซเกือบล้ม 


 


 


“ยื่นมือมา!” 


 


 


จางจื่ออันยื่นตัวออกไป แล้วจับมือเธอที่ยื่นออกมา แต่ฝ่ามือของเขากับเธอเต็มไปด้วยน้ำฝน ทำให้มือลื่นมาก จับไม่อยู่เลยแม้แต่น้อย 


 


 


เขาให้เธอรอสักครู่ แล้วหยิบถุงมือยางมาใส่ไว้ ก่อนโยนอีกข้างหนึ่งให้เธอใส่ด้วย คราวนี้มีแรงเสียดทานมากเธอ เขากลั้นใจครั้งหนึ่ง แล้วออกแรงดึงเธอขึ้นมาบนขอบหน้าต่าง 


 


 


เธอก็จับขอบหน้าต่างยึดตัวไว้ แล้วใช้ขายันหน้าต่าง จนเข้ามาในบ้านได้ในที่สุด  

 

 


ตอนที่ 1686 แม่เลี้ยงเดี่ยว

 

เธอทั้งกระวนกระวายใจ ทั้งเหนื่อยล้า พอเข้าไปในบ้านแล้วเธอก็นั่งแผ่อยู่บนพื้นอย่างหมดแรง พร้อมกับหอบหายใจไม่หยุด สีเขียวซีด ไม่มีเลือดฝาดเลยแม้แต่น้อย 


 


 


จางจื่ออันรีบปิดหน้าต่าง หยิบผ้าขนหนูและชุดนอนหนาๆ ชุดหนึ่งมาให้เธอ ยังมีรองเท้าแตะอีกคู่หนึ่งด้วย จากนั้นเขาก็ออกจากห้องเก็บของ ให้เธอเช็ดผม เช็ดตัวให้แห้ง แล้วค่อยเปลี่ยนชุด ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นหวัดได้ และอยู่ที่นี่ก็ไม่มีเสื้อผ้าเหมาะๆ ตัวอื่นให้เธอใส่แล้ว 


 


 


ผ่านไปสักพักหนึ่ง เธอก็เปิดประตูออกมา สวมชุดนอนและรองเท้าแตะเรียบร้อย เหมือนจะยัดเสื้อผ้าเปียกชุ่มที่ถอดออกใส่เข้าไปในถุงแล้ว จากนั้นก็ส่งผ้าขนหนูเปียกๆ ให้เขา “ขอบคุณค่ะ ลูกสาวฉันล่ะ?” 


 


 


“ลูกสาวคุณอยู่ข้างล่าง เดินระวังด้วยนะครับ อย่าก้าวพลาดล่ะ” 


 


 


จางจื่ออันเข้าใจความรู้สึกร้อนใจอยากเจอลูกสาวของเธอ จึงชี้ไปที่บันได 


 


 


เธอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะเร่งร้อนเดินลงไปข้างล่าง จางจื่ออันก็เดินตามหลังอย่างสบายใจ 


 


 


“เสี่ยวฉินไช่!” 


 


 


“แม่!” 


 


 


เสี่ยวฉินไช่ร้อนใจจะแย่แล้ว อยู่ๆ ได้ยินเสียงแม่ดังมาจากข้างหลัง เธอตกใจจนสะดุ้งโหยง หันไปแล้วเห็นว่าเป็นแม่จริงๆ จึงวิ่งโผเข้าไปในอ้อมกอดของแม่ทันที 


 


 


แม่ของเธอก็ดีใจอย่างยิ่ง กอดร่างกายเล็กจ้อยของเธอไว้พลางสะอื้นไห้ มีเพียงคนเป็นแม่เหมือนกันถึงจะเข้าใจความรู้สึกของแม่เธอในตอนนี้ 


 


 


หลู่อี๋อวิ๋นเห็นฉากแม่ลูกรักใคร่น่าประทับนี้แล้วก็นึกถึงแม่ของตัวเองขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แม้เธอจะผิดใจกับที่บ้านเพราะเรื่องออกจากมหาวิทยาลัย แต่ถึงอย่างไรเลือดก็ข้นกว่าน้ำ ตอนกลางดึกเธอมักจะนึกถึงที่บ้านเสมอ จากนั้นก็แอบร้องไห้เงียบๆ…แต่เธอตัดสินใจแล้ว ในเมื่อคนในครอบครัวดูถูกเธอ ต่อต้านงานวาดรูปของเธอ เธอจะต้องกลับไปพร้อมชื่อเสียง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางคืนดีกันได้ จะต้องผิดใจกันมากกว่าเดิมแน่นอน 


 


 


ชั้นสองมืดสนิท ส่วนชั้นล่างค่อนข้างสว่าง จางจื่ออันกับพวกพนักงานร้านอาศัยแสงไฟมองพิจารณาแม่ของเสี่ยวฉินไช่ 


 


 


เธออายุมากกว่าสามสิบปีแน่นอน แต่อายุเท่าไรกันแน่ก็พูดยาก แต่พูดได้ว่าเธอหน้าซีดเล็กน้อย ถึงอย่างไรเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็เหนื่อยมาก ต้องทำงาน ใช้ชีวิต และเลี้ยงลูกไปพร้อมๆ กัน โชคดีที่เสี่ยวฉินไช่เป็นเด็กดี ถ้าเปลี่ยนเป็นเด็กดื้ออย่างสวี่จ้วงจ้วง…เธอคงจะโมโหโกรธเกรี้ยวทุกวัน 


 


 


รูปหน้าของเธอคล้ายคลึงกับเสี่ยวฉินไช่อยู่หลายส่วน ส่วนสูงอยู่ในระดับกลางๆ รูปร่างค่อนไปทางผอม ที่เธอสวมก่อนหน้านี้เป็นชุดทำงานทั้งตัว เครื่องสำอางบนใบหน้าถูกฝนสาดจนเลือนไปหมดแล้ว แขน ขา เท้า และมือมีรอยถลอกและแผลโดนบาดอยู่หลายจุด แค่คิดก็รู้แล้วว่าระหว่างทางเธอเจอความลำบากและอันตรายมากมาย 


 


 


เธอกอดเสี่ยวฉินไช่อยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็ดันเสี่ยวฉินไช่ออกไปเล็กน้อย เพื่อมองประเมินร่างกายของลูกสาว 


 


 


“เสี่ยวฉินไช่ ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม?” 


 


 


“หนูสบายดีค่ะ แม่มีแผลนี่นา…” เสี่ยวฉินไช่ดึงมือของเธอ 


 


 


หลู่อี๋อวิ๋นหากล่องปฐมพยาบาลมา ก่อนจะหยิบไอโอดีนและอื่นๆ ออกมาให้เธอฆ่าเชื้อ 


 


 


เธอไม่รีบร้อนฆ่าเชื้อ แต่มองร้านขายสัตว์เลี้ยง และพวกเขาอย่างระแวดระวังเล็กน้อย 


 


 


“ผมชื่อจางจื่ออัน เป็นเจ้าของร้านขายสัตว์เลี้ยงครับ” 


 


 


จางจื่ออันกับพวกพนักงานร้านทยอยกันแนะนำตัว เพราะแบบนี้ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นคนแปลกหน้า จึงขจัดความระแวงของเธอไปได้บ้าง 


 


 


“ฉันชื่อไช่เหม่ยเหวินค่ะ” เธอแนะนำตัวเองเช่นกัน 


 


 


จางจื่ออันกับพวกพนักงานร้านรู้สึกประหลาดใจ เธอกับเสี่ยวฉินไช่ใช้แซ่เดียวกัน แต่นี่อธิบายว่าเธอเปลี่ยนแซ่ให้เสี่ยวฉินไช่ เพราะแซ่ ‘ไช่’ นี้หายากมาก ความเป็นไปได้ที่พ่อของเสี่ยวฉินไช่จะใช้แซ่ไช่เหมือนกันก็น้อยมาก…แน่นอนว่าเธออาจจะมีลูกสองคน คนหนึ่งใช้แซ่เดียวกับพ่อ ส่วนอีกคนหนึ่งใช้แซ่เดียวกับแม่ ตอนนี้ก็นิยมทำกันแบบนี้นี่นา สรุปคือไม่ต้องถามเรื่องในบ้านของคนอื่นให้มากความหรอก แต่ละบ้านก็มีเรื่องยุ่งยากต่างกันออกไป เขายังไม่ถึงวัยที่ว่างพอจะนินเรื่องชาวบ้านทั้งวันสักหน่อย 


 


 


ดูจากหน้าตาของพวกเขา ไช่เหม่ยเหวินรู้สึกว่าพวกเขาดูไม่เหมือนคนเลว และที่ยังมีหญิงสาววัยรุ่นอยู่สองคนด้วย พนักงานร้านอีกสองคนก็สดใสร่าเริงมากเช่นกัน 


 


 


เธอเห็นว่าในร้านมีแมวและสุนัขมากมาย มีทั้งตัวเล็กๆ และที่โตเต็มวัยแล้ว โดยเฉพาะสุนัขโตเต็มวัยสามตัวนั้น ดูแล้วน่ากลัวมาก แถมไม่ได้ล่ามโซ่เอาไว้เสียด้วย เธอจึงดึงเสี่ยวฉินไช่มาข้างหลังโดยที่ไม่รู้ตัว 


 


 


“เจ้าของร้าน คุณไม่ล่ามหมาไว้เหรอคะ?” เธอชี้ไปที่เฟยหม่าซือ ฟราเทอร์ และจ้านเทียน 


 


 


“แม่! พวกมันใจดีมากเลย ไม่เคยกัดคนเลยนะคะ!” เสี่ยวฉินไช่อธิบาย 


 


 


“ไม่เคยกัดคนเลยเหรอ?” ไช่เหม่ยเหวินทำหน้าตาสงสัย “ใครๆ ก็พูดกันว่าหมาของตัวเองไม่เคยกัดใครกันทั้งนั้น แต่ถ้ากัดขึ้นมาจริงๆ แล้วจะทำยังไง?” 


 


 


เธอไม่ได้เป็นห่วงโดยไม่มีสาเหตุ คนเลี้ยงสุนัขหลายคนชอบสาบานว่าสุนัขของตัวเองไม่กัดคน แต่นอกจากสุนัขส่วนน้อยอย่างโกลเด้น รีทรฟเวอร์ ลาบราดอร์ ฮัสกี้ และอื่นๆ สุนัขพันธุ์อื่นก็พูดยากจริงๆ ปกติอาจจะไม่กัดคน แต่ถ้าถูกยั่วโมโหหรือตกใจกลัวก็ไม่แน่ 


 


 


พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ จางจื่ออันจึงขยิบตาให้พวกเฟยหม่าซือ พวกมันก็รู้กัน แล้วพาจ้านเทียนขึ้นไปบนชั้นสองพร้อมกัน 


 


 


ไช่เหม่ยเหวินเห็นแล้วถึงกับตะลึง สุนัขสามตัวนี้ได้รับการฝึกสอนเหนือกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าไม่ต้องสั่งก็ขึ้นไปข้างบนเองราวกับคนที่ได้รับการศึกษาอย่างดีเยี่ยม 


 


 


เธอเชื่อที่เสี่ยวฉินไช่บอกว่าพวกมันไม่กัดคนมากกว่าครึ่งแล้ว ในใจรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนใจให้พวกมันอยู่ต่อ ได้แต่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง 


 


 


“ที่นี่เป็นร้านขายสัตว์เลี้ยงใช่ไหมคะ? ไม่มีพวกงู หรือว่าแมงมุมอะไรพวกนี้ใช่ไหมคะ?” เธอมองไปทางตู้โชว์ในเงามืดพวกนั้นด้วยความระแวดระวัง 


 


 


“ไม่มีครับ ไม่มีสัตว์มีพิษเลย” จางจื่ออันตอบ 


 


 


เธอโล่งใจแล้ว “งั้นก็ดีค่ะ” 


 


 


เสี่ยวฉินไช่ก็รู้สึกอึดอัดมาก เธอบิดตัวไปมาด้วยความไม่สบายใจ รู้สึกผิดต่อจางจื่ออันแล้ว 


 


 


เขาแอบทำหน้าตาเหยเกให้เสี่ยวฉินไช่ดู บอกเธอว่าไม่ต้องใส่ใจ 


 


 


เขาได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เห็นและได้ยินตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ได้มาทำกิจการร้านขายสัตว์เลี้ยงด้วยตัวเองหนึ่งปีเต็ม คนแบบไหนที่เขาไม่เคยเจอ? โลกนี้กว้างใหญ่ มีคนอยู่มากมาย มีทั้งคนชอบสัตว์เลี้ยง และมีคนเกลียดสัตว์เลี้ยง มีคนรักแมว ก็มีคนทารุณแมว มีคนรักสุนัข ก็มีคนกินสุนัข บนโลกนี้ไม่มีเรื่องแปลกหรอก 


 


 


ไช่เหม่ยเหวินเหมือนจะไม่ค่อยชอบสุนัข โดยเฉพาะสุนัขตัวใหญ่ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก มีเหตุผลอยู่แล้ว ถึงเป็นคนจีนก็ไม่จำเป็นต้องชอบสุนัขทุกตัว คุณพ่อหม่ายังเสียใจที่ก่อตั้งอาลีบาบาเลย 


 


 


หลู่อี๋อวิ๋นหยิบน้ำแร่ขวดหนึ่งยื่นให้ไช่เหม่ยเหวิน “ดื่มน้ำหน่อยเถอะค่ะ ตอนนี้ไฟดับ เลยต้มน้ำไม่ได้ แล้วก็ต้องจัดการทำแผลของคุณสักหน่อยนะคะ” 


 


 


“ขอบคุณค่ะ” 


 


 


ไช่เหม่ยเหวินเปิดฝาขวดน้ำ ก่อนจะดื่มไปหลายอึก แล้วใช้น้ำที่เหลือล้างแผลจนสะอาด จากนั้นใช้คอตตอนบัดชุบไอโอดีนฆ่าเชื้อแผล ส่วนเสี่ยวฉินไช่ช่วยอยู่ข้างๆ 


 


 


จางจื่ออันขยิบตาให้พวกพนักงานร้าน ความหมายคืออย่ายืนมุงดูเฉยๆ แต่ไปทำเรื่องที่ควรทำ พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด พวกนายจ้องเธอขนาดนี้จะยิ่งเพิ่มความกดดันให้เธอนะ 


 


 


เขากับพวกพนักงานร้านวิ่งไปมาระหว่างร้านขายสัตว์เลี้ยงและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต่อ สอดแทรกมุกตลกและทำท่าทางโง่เง่าเหมือนปกติเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด 


 


 


ระดับน้ำบนถนนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง น้ำสกปรกที่ซึมเข้ามาก็เร็วกว่าเมื่อกี้นี้แล้ว 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม