Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1673-1679
ตอนที่ 1673 ลักษณะนิสัย
พวกพนักงานมองเห็นคนกลุ่มนี้เป็นคนแปลก แต่เด็กสาวมัธยมต้นคนนี้แปลกยิ่งกว่า จะอ้าปากหรือปิดปากพวกเขาก็ไม่เข้าใจเธออยู่ดี เงินแต๊ะเอีย งานบ้าน พ่อขี้เหนียว แต่พอได้ยินคำพูดสุดท้ายของเธอบอกว่าต้องทำความสะอาดที่นี่ครั้งใหญ่ ในที่สุดพวกเขาก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว
ด้วยห้องนี้เป็นห้องประชุมหรูหราชั้นบนสุดของตึกระฟ้า ถ้าไม่นับพวกคนแปลกบางคนที่สูบบุหรี่และขี้ดินติดพื้นรองเท้าเข้ามา ก็ใช้คำว่าไม่เปื้อนฝุ่นมาบรรยายสภาพแวดล้อมในห้องได้เพียงอย่างเดียว ผิวหน้าโต๊ะมันเงาจนส่องเห็นเงาคนได้ ยังต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่ตรงไหนกัน? อีกอย่างเธอก็ไม่ใช่พนักงานทำความสะอาด การทำความสะอาดจึงไม่ใช่หน้าที่ของเธออยู่แล้ว
อย่างนั้นสิ่งที่เธอจะทำความสะอาด…ขยะที่เธอพูดถึงคืออะไร ไม่ต้องพูดก็รู้อยู่แล้ว
พวกเขามั่นใจมากพอ คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวมัธยมต้นจะอวดดีกว่าพวกเขาเสียอีก แถมยังอยากกำจัดพวกเขาทิ้งภายในคราวเดียว นี่ไม่ใช่คนปัญญาอ่อนฝันเฟื่องหรอกเหรอ?
ด้วยเป็นผู้แข็งแกร่งที่เหลือรอดมาถึงทุกวันนี้ พวกเขาแต่ละคนย่อมมีประสบการณ์การต่อสู้อย่างน้อยสองสามครั้ง ภูตสัตว์เลี้ยงที่พวกเขาพามาด้วยถ้าไม่แข็งแรงว่องไว หรือพละกำลังแข็งแกร่ง ก็จะมีทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน ไม่อย่างนั้นก็ปล่อยพิษหรือเปลี่ยนสีพรางตัวได้ ถ้าไม่ได้มาจากความจริง ก็มาจากจินตนาการ…ถ้าครอบครองทั้งหมดนั่น ก็ไม่มีใครหรือภูตสัตว์เลี้ยงตัวไหนเอาชนะได้โดยสิ้นเชิง
เพราะเรื่องนี้ฟังดูเหลวไหลเกินไป พวกเขาจึงไม่มีใครกลัวสักคน กลับหัวเราะขึ้นมาเหมือนได้ยินเรื่องตลกด้วยซ้ำ แต่สายตาเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
เด็กผู้หญิงเหมือนจะไม่รู้ว่าอันตรายกำลังมาถึง จึงหัวเราะเบิกบานไปพร้อมกับพวกเขา
ถ้าเธอยั่วโมโหพวกเขาต่อไปก็อาจจะเกิดเรื่องถึงชีวิตด้วย หลี่หย่วนเฟยไม่อยากเห็นฉากนั้น ถึงที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่ม แต่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแล้วก็เก็บกวาดยาก จึงแนะนำว่า “สาวน้อย ถ้าเธอมาก่อเรื่อง ก็เชิญเธอกลับไปเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะกับเธอหรอก”
ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กระโดดขึ้นมาหัวเราะ “อย่าเลย คุณคงกลัวว่าเลือดจะเปื้อนห้องของคุณใช่ไหม? ไม่เป็นไร ให้งูขาวของผมกินเธอให้หมดในคำเดียว เท่านี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยมาที่นี่แล้ว”
พอได้ยินเจ้าของพูด งูจงอางขาวของเขาก็แลบลิ้นสีแดงเข้มและชูคอขึ้นมา แทบจะชนเพดานห้องอยู่แล้ว ร่างกายเย็นเยียบม้วนอยู่กึ่งหนึ่ง เกล็ดงูเกลี้ยงเกลาส่องแสงสีเงิน งูที่เย็นชาไร้ความรู้สึกกำลังจ้องเขม็งมาที่เธอ
งูจงอางตัวนี้ตัวใหญ่ที่สุดในบรรดาภูตสัตว์เลี้ยงตรงนี้ อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่อาจจะดุร้ายที่สุด ตอนสัตว์เลือดเย็นกินอาหารจะไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดๆ ด้วยขนาดร่างกายของมัน อาจจะกลืนเธอทั้งเป็นได้จริงๆ
คนอื่นๆ พากันขมวดคิ้ว รวมถึงหลี่หย่วนเฟยด้วย พวกเขาออกห่างจากงูจงอางขาวที่เข้าสู้สภาพจู่โจมตัวนี้เล็กน้อยโดยที่ไม่รู้ตัว เพื่อกันไม่ให้ตัวเองถูกลูกหลงไปด้วย
คนจำนวนหนึ่งในพวกเขาแสวงหาผลประโยชน์เพื่อความปรารถนาส่วนตัวเท่านั้น เดิมทีตัวเองไม่ได้เป็นคนเลวอะไร การต่อสู้ระหว่างภูตสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างไรก็ช่าง อย่างน้อยพวกเขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใคร หากให้พวกเขาเห็นเด็กผู้หญิงเหมือนหยกบอบบางคนนี้ถูกงูจงอางเขมือบต่อหน้าต่อตา พวกเขาก็ทนนั่งเฉยดูเรื่องโหดร้ายแบบนี้ไม่ได้หรอก
บางคนหน้าเปลี่ยนสีในทันที กำลังลังเลว่าต้องออกมาห้ามเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไหม แต่ถ้าเสนอหนเออกมา อาจจะยั่วโมโหชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนนี้เข้า
เด็กสาวกลับไม่หวาดกลัวเลยสักนิด เธอร้องว้าวขึ้นมา ก่อนจะพูดด้วยท่าทางประหลาดใจ “จงอางขาวตัวใหญ่มากเลย! จับได้ในหนองน้ำที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช่ไหมคะ? ดูท่าทางเหมือนงูจงอางพม่าที่เปลี่ยนเป็นสีเผือกเลย”
หลี่หย่วนเฟยกระแอมครั้งหนึ่ง แล้วเตือนว่า “เธอออกไปตอนนี้ยังทันนะ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเธอแล้ว งูจงอางตัวนี้ดุร้ายมาก ถ้ามันจู่โจมขึ้นมา เกรงว่า…”
เธอกลับยิ้มและโบกมือราวกับไม่คิดอย่างนั้น “ไม่เป็นไรค่ะ! คุณลุงหลีเซินไท่ก็แค่ขู่ให้หนูกลัวเฉยๆ ไม่ลงมือจริงๆ หรอก หนูพูดถูกต้องใช่ไหมคะ?”
สายตางุนงงของทุกคนมองไปทางชาวตะวันออกเฉียงใต้ทันที อยู่ๆ ก็ถูกพูดชื่อจริงในโอกาสแบบนี้ ต่อไปก็อย่าคิดจะซ่อนสถานะของตัวเองอีกเลย
หลี่หย่วนเฟยก็ตะลึง เพราะในรายชื่อที่ชายในชุดคลุมสีขาวให้มาก็ไม่มีชื่อแซ่จริงๆ ของชาวตะวันออกเฉียงใต้คนนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วเขาชื่อหลีเซินไท่?
“ฉันไม่ใช่! ฉันไม่ได้ชื่อนั้น! อย่ามาพูดมั่วซั่ว!” ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หน้าขึ้นสีม่วงราวกับตับหมู ก่อนจะปฏิเสธอย่างบ้าคลั่ง
เขาอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ยังระวังรอบด้าน แม้ว่าการแสดงออกแบบนี้จะไม่ต่างจากสารภาพออกมาเองก็ตาม
เขาชี้เธออย่างกระหืดกระหอบ ดวงตาแดงก่ำไปหมดแล้ว ก่อนจะพูดพร้อมกัดฟันกรอด “เธอ…เธอ…ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันจะไม่ลงมือล่ะ?”
“ง่ายมาก เพราะถึงแม้งูจงอางจะน่ากลัว แต่พอกินอิ่มแล้วจะเข้าสู่โหมดผู้มีคุณธรรม เปลี่ยนจากผู้แข็งแกร่งสูงสุดในเกมเป็นกากเดนในสนามรบทันที ต้องใช้เวลาห้าสัปดาห์ แม้กระทั่งหนึ่งหรือสองเดือนถึงจะย่อยอาหารหมด และกลับคืนสู่สภาพบ้าเลือดอีกครั้ง…สงครามครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น คุณลุงหลีเซินไท่คงไม่ทิ้งโอกาสสำคัญขนาดนี้ไว้กับตัวหนูหรอกใช่ไหมคะ?”
ร่างกายและสีหน้าของชาวตะวันออกเฉียงใต้แข็งทื่อในทันที
ทีแรกคนอื่นๆ ต่างก็หวาดกลัวงูจงอางขาวตัวนี้ และเคารพยำเกรงชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่สามส่วน แต่ตอนนี้กลับถูกเด็กสาวคนนี้เปิดเผยจุดอ่อนที่สุดของงูจงอางขาวภายในคำพูดเดียว สายตาที่มองไปทางเขา…จึงไม่เหมือนเดิมอีก
แต่ผู้ใหญ่เยอะแยะขนาดนี้ กลับใจเย็นและมีความรู้กว้างขวางสู้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ ทำให้พวกเขาอับอายจนเหงื่อตกจริงๆ
“เธอรู้เยอะขนาดนี้ได้ยังไง?” มีคนถาม
“เพราะ…ที่บ้านของหนูมีงูตัวเล็กอยู่ตัวสองตัว หนูมีหน้าที่ให้อาหารพวกมันด้วย เลยพอจะเข้าใจนิสัยของพวกงู นี่คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกมั้งคะ” เธอหัวเราะฮ่าๆ
ทุกคนมองสบตากันเงียบๆ หรือว่าภูตสัตว์เลี้ยงของเธอคืองู?
ถ้าเป็นงูตัวเล็ก แปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นงูพิษร้ายแรง บางทีกัดครั้งเดียวอาจตายคาที่เลยก็ได้
ทัศนคติที่ทุกคนมีต่อเธอกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ดูถูกเธอเหมือนทีแรกอีก แต่จ้องมองการเคลื่อนไหวของเธอทุกฝีก้าว ป้องกันไม่ให้เธอปล่อยงูพิษออกมากะทันหัน งูจงอางกินคนเข้าไปแล้วจะเข้าสู่โหมดผู้มีคุณธรรม แต่ขอเพียงพิษของงูพิษตัวหนึ่งมีอานุภาพร้ายกาจ จัดการทุกคนตรงนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา
“ฮ่าๆๆๆ!” เมื่อสักครู่นี้ชายในชุดคลุมสีขาวรูปร่างอ้วนเตี้ยถูกดูแคลน ตอนนี้กลับอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เขาเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ที่แท้ก็เป็นขยะที่กินอิ่มแล้วได้แค่นอนอาบแดดนี่เอง!”
“คุณ…คุณพูดอะไร?” ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มองชายในชุดคลุมสีขาวด้วยเลือดขึ้นหน้า “แน่จริงก็พูดอีกรอบสิ!”
หลังจากชายในชุดคลุมสีขาวสูญเสียแมวที่ชื่อเอเมียร์ไป นิสัยของเขาก็ก้าวร้าวเกินกว่าเหตุขึ้นเรื่อยๆ เขาตีหน้าอกดังปักๆ แล้วร้องตะโกนราวกับอันธพาลไร้เหตุผล “มาสิ ให้งูของคุณกินฉันเลย ถ้าคุณไม่ใส่ใจ ฉันก็ไม่ใส่ใจ ถึงยังไงธรรมชาติก็จะส่งคนอื่นมาจัดการคุณอยู่แล้ว!”
ด้วยรูปร่างของชายในชุดคลุมสีขาว ถ้างูจงอางขาวเขมือบเขา เกรงว่าคงไม่อยากอาหารไปอีกครึ่งปี
ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลั้นความโมโหเอาไว้ พร้อมกับจ้องเด็กสาวด้วยความอาฆาตแค้น แล้วพูดอย่างเกลียดชัง “ถึงไม่กินเธอ ฉันก็ให้งูขาวรัดกระดูกทุกชิ้นทั่วร่างของเธอจนแตกละเอียดได้!”
“ไม่หรอกค่ะ”
เมื่อได้ยินคำขู่ของเขา เธอก็ยังส่ายหน้าอย่างใจเย็น “บทละครของวันนี้ไม่ได้เขียนเอาไว้อย่างนั้น”
“เธอพูดเหมือนกับว่าโชคชะตาของพวกเราถูกกำหนดเอาไว้แล้ว” หลี่หย่วนเฟยยิ้มเย็น เขาไม่ได้มองเธอเป็นเด็กสาวอ่อนแอรังแกง่ายอีกแล้ว
เธอพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ค่ะ โชคชะตาของพวกคุณถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”
ตอนที่ 1674 โชคชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ทุกคนตรงนี้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเด็กผู้หญิงลึกลับและพูดจาโผงผางคนนี้แล้ว การดูถูกและหัวเราะเยาะในทีแรก ตอนนี้เปลี่ยนเป็นความสงสัยและหวาดกลัว เพราะจากบทสนทนาเมื่อครู่ ทุกคนดูออกว่าเธอไม่ได้เป็นบ้า แถมไม่ได้โง่ด้วย ในทางกลับกัน เธอใจเย็นและเฉลียวฉลาด ในเมื่อคนที่ใจเย็นและเฉลียวฉลาดกล้าท้าทายพวกเขาเพียงลำพัง จะต้องมีคนหนุนหลังอยู่แน่นอน
บางคนเริ่มเสียใจภายหลังอยู่เงียบๆ ที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว ในเมื่อมาถึงนี่ ก็ทำได้แค่ฝืนทนไปจนถึงที่สุด
“โชคชะตาของพวกเราถูกกำหนดไว้แล้ว?” ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชี้เธอแล้วพูด “เธอหมายความว่า พวกเราต้องตายที่นี่เหรอ? เชื่อหรือเปล่าว่างูของฉันจะกลืนเธอก่อนตายน่ะ?”
คนอื่นๆ ก็ไม่เชื่อคำพูดที่ว่าโชคชะตาถูกกำหนดไว้แล้ว พวกเขาค่อนไปทางความคิดของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เธอหรือภูตสัตว์เลี้ยงของเธอต้องใช้วิธีบางอย่างฆ่าพวกเขาทั้งหมดที่นี่ เป็นไปได้ว่าจะทำโดยผ่านพิษ
พวกภูตสัตว์เลี้ยงพากันออกจากสภาพพรางตัว จ้องเธอด้วยสายตาของเสือร้าย และพร้อมจะเริ่มจู่โจมได้ทุกเมื่อ
เธอมองข้ามบรรยากาศตึงเครียด และยืนขึ้นด้วยท่วงท่าสบายๆ “อย่าเข้าใจผิดนะคะ โชคชะตาที่หนูพูดถึงก็คือความหมายตรงตัวค่ะ”
“โชคชะตา? ฉันไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาหรอก” หลี่หย่วนเฟยส่ายหน้า “ถึงมีโชคชะตาอยู่จริงๆ ฉันก็จะใช้มือของฉันเปลี่ยนแปลงโชคชะตา!”
ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดกล้าหาญของเขา
เธอเดินไปที่ริมหน้าต่าง ก่อนจะกดปุ่มเปลี่ยนเป็นกระจกใส ให้แสงแดดส่องเข้ามาในห้องมากขึ้น
“พวกคุณเคยได้ยินทฤษฎีของแฟร์มาต์ไหมคะ?” อยู่ๆ เธอก็เปลี่ยนเรื่องพูด
ไม่มีคนตอบ ทุกคนต่างก็กำลังคาดเดาเจตนาของเธออยู่
เธอยื่นมือออกมาในแนวระนาบข้างหนึ่ง ให้แสงแดดตกลงบนฝ่ามือแดงระเรื่อ พลางจ้องมองลายของแสง แล้วพูดอย่างช้าๆ “แสงกว้างขวางที่สุดในจักรวาล และเป็นสสารที่มั่นคงที่สุด ทฤษฎีมากมายของไอน์สไตน์ก็ใช้ความคงที่ของความเร็วแสงเป็นเงื่อนไขข้อแรก นั่นก็คือความเร็วแสงจะรักษาสภาพคงเดิม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม”
“แสงมีปรากฏการณ์น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือแสงเดินทางไปสุดขั้ว ผ่านสองจุดในที่ว่างที่กำหนด ซึ่งเส้นทางจริงๆ ก็คือความยาวทางเดินเชิงทัศนศาสตร์หรือเรียกว่าทางที่ใช้เวลาน้อยที่สุด”
เธอใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย พูดพร้อมทำท่าทาง ถึงเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ร่ำเรียนเท่าไรก็ฟังรู้เรื่องคร่าวๆ
ถึงเข้าใจ แต่ทุกคนก็ยังไม่รู้ว่าเธอพูดเรื่องพวกนี้ทำไม อีกอย่างปรากฏการณ์นี้น่าสนใจตรงไหน?
“พวกคุณไม่รู้สึกแปลกเหรอคะ? แม้ความเร็วแสงจะเร็วมากๆ เร็วจนคนมองข้ามความแร็งแสงตลอด แต่แสงจะเร็วจริงๆ ในตอนที่มีระยะทางมากพอ ไม่ใช่แค่พริบตาเดียวถึง…แต่พวกคุณไม่รู้สึกแปลกเหรอคะ? ก่อนแสงจะออกเดินทาง ทำไมถึงรู้ว่าเส้นทางไหนใกล้ที่สุด?”
บางคนเหมือนจะเข้าใจความหมายของเธอเล็กน้อย แสงก็เหมือนความตั้งใจแน่วแน่ เพราะเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติ ถ้าคิดเรื่องนี้ให้ลึกซึ้ง ก็แปลกมากจริงๆ หรือว่าแสงมีความตั้งใจแน่วแน่จริงๆ?
คนจะเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด เพราะคนมีความตระหนักรู้ คาดเดาเองได้ แต่แสงไม่มีตา ตอนออกเดินทางรู้ได้อย่างไรว่าเส้นทางไหนใกล้ที่สุด? หรือว่าแสงก็ ‘มอง’ เห็นก่อนออกเดินทางว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหนเหมือนกับคน?
คิดให้ดีแล้วน่ากลัวจริงๆ
“ถ้าคุณกับแสงยืนอยู่ที่จุดสตาร์ทเดียวกัน มองไปตามแสงสว่าง มองปราดเดียวก็เห็นจุดสิ้นสุดปลายทางของแสง ไม่ได้มองเห็นสิ่งของอย่างอื่น” เธอพูด “โชคชะตาก็เหมือนกัน โชคชะตากำหนดให้พวกคุณท้อถอย โชคชะตากำหนดให้พวกคุณหลายๆ คนลองโดยที่เสียแรงเปล่า จากนั้นก็ถูกหนูกวาดเข้าไปในกองขยะของประวัติศาสตร์ ทุกอย่างนี้กำหนดไว้ก่อนที่พวกคุณจะเกิดแล้ว แต่ถึงพวกคุณรู้ดีว่าวันนี้จะพ่ายแพ้ พวกคุณจะเลือกไม่เกิดมาบนโลกไหม? แต่ขอโทษที พวกคุณไม่มีแม้แต่ทางเลือกที่จะไม่เกิดด้วยซ้ำ”
เธอมองหน้าซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ ของพวกเขาอย่างเห็นใจ “ในกลศาสตร์ควอนตัม โฟตอนเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ พวกคุณทุกคนเหมือนจะมีเจตจำนงเสรีกันทุกคน แต่จำกัดอยู่ในพื้นที่สามมิติที่พวกเราอยู่ ถ้าบวก ‘เวลา’ เข้าไปด้วยก็จะเป็นพื้นที่สี่มิติ แต่ถ้ายืนอยู่ในพื้นที่ห้ามิติหรือพื้นที่มากมิติ ก็นำกลศาสตร์ควอนตัมมาใช้ไม่ได้แล้ว เหมือนได้ครอบครองดวงตาแห่งการรู้แจ้งของพระเจ้า ตรงหน้าคุณ ทุกสรรพสิ่งในพื้นที่สี่มิติจะขยายออกไปอยู่ตลอด คุณมองเห็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่งได้ในเวลาเดียวกัน คุณมองเห็นตัวเองกลิ้งจากจุดเริ่มต้นไปถึงจุดสิ้นสุดทีละก้าวได้ ไม่มีความเป็นไปได้ไหนมาเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้”
พวกเขาฟังไม่รู้เรื่องขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็กลัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าเธอไม่ได้ใช้คำพูดขู่ให้กลัว อย่างนั้นพลังของเธอก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจินตนาการได้
พวกเขาได้ยินเรื่องดวงตาแห่งการรู้แจ้งแล้วก็หวาดหวั่นขึ้นมา ดวงตาที่ร้ายกาจขนาดนั้น ความจริงแล้วแค่อาศัยพลังของเทพก็ได้รับดวงตาเห็นพื้นที่ห้ามิติ มองเห็นความลับทุกอย่างของพื้นที่สี่มิติ…แต่น้ำเสียงของเธอ เหมือนเธอเคลื่อนที่อยู่ในพื้นที่ห้ามิติได้อย่างอิสระ!
ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอก็ปรากฏตัวในพื้นที่สี่มิติได้ทุกที่และทุกเวลา และกลับไปยังพื้นที่มากมิติได้ตลอดเวลาด้วย
มดที่ไต่อยู่บนกระดาษไม่มีทางจินตนาการได้ว่าในพื้นที่สี่มิติมีมีมนุษย์ที่กำลังจ้องมองมันอยู่ มดทุกตัวคิดว่าตัวเองมีเจตจำนงเสรี แต่พวกมันไม่รู้เลยว่าตัวเองที่กำลังสำรวจบนกระดาษน่าหัวเราะสำหรับมนุษย์มากเท่าไหร่ เพราะมนุษย์มองปราดเดียวก็เห็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของพวกมันแล้ว
มนุษย์ในพื้นที่สี่มิติก็ไม่มีทางจินตนาการได้ ว่าในพื้นที่ห้ามิติก็มีพลังบางอย่างจ้องมองพวกเขาอยู่ เจตจำนงเสรีที่ว่าของมนุษย์ก็มีอยู่แค่ในพื้นที่สี่มิติเท่านั้น วัตถุในพื้นที่ห้ามิติมองปราดเดียวก็เห็นการเกิดและตายของผู้คนแล้ว
แสงในพื้นที่สี่มิติลองทุกหนทางที่เป็นไปได้แล้ว ก่อนออกเดินทางแสงในพื้นที่สี่มิติไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ที่ไหน แต่สิ่งมีชีวิตในพื้นที่ห้ามิติมองเห็น มองปราดเดียวก็เห็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดแล้ว แสงทำได้แค่เลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด
พูดจากความหมายนี้ มนุษย์ก็เป็นแค่มดที่ระดับสูงขึ้นมานิดหน่อย
เธอกวาดสายตามองหน้าทุกคน เธอรู้ชื่อของพวกเขาทุกคน รู้ช่วงเวลาเกิดของทุกคนเป็นวินาที รู้ทุกเรื่องที่ทุกคนเคยทำ รู้ทุกเรื่องที่ทุกคนกำลังทำ รู้ทุกเรื่องที่ทุกคนกำลังจะทำ รู้ว่าทุกคนจะตายด้วยวิธีไหนในวันไหน ไปจนถึง…รู้ชื่อจริงของภูตสัตว์เลี้ยงทุกตัวในโทรศัพท์มือถือของพวกเขา
เมื่อรู้ชื่อจริงของภูตสัตว์เลี้ยง ก็ได้ครอบครองพลังของภูตสัตว์เลี้ยงแล้ว
หลายๆ คนที่ได้รับการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์เป็นอย่างดีเข้าใจความหมายของเธอทันที ขาทั้งสองข้างจึงอ่อนยวบ ทรุดตัวลงบนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มนุษย์บี้มดบนกระดาษให้ตายได้ง่ายๆ และเธอก็สามารถบี้พวกเขาให้ตายได้ง่ายๆ เช่นกัน…ไม่สิ ไม่ใช่บี้ให้ตาย แต่ใช้วิธีที่มดหรือคนไม่มีทางจินตนาการได้บางอย่างมาฆ่าพวกเขาให้ตาย
เธอหันไปมองหลี่หย่วนเฟย “ตอนนี้หนูจะตอบคำถามของคุณ โชคชะตาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้ว ตั้งแต่ทุกคนเกิด โชคชะตาก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ทุกคนต้องตายในที่สุด เป็นโชคชะตาที่จะค่อยๆ กลายเป็นจริง…วันนี้เป็นจุดเชื่อมสำคัญจุดหนึ่งของโชคชะตาพวกคุณ”
ตอนที่ 1675 วัยเด็ก
ดาดฟ้าของอาคารเครือข่ายฝานซิง
เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนเลือกกระโดดตึกตรงฮวงจุ้ยที่ดีเลิศนี้ พวกเขาจึงปิดชั้นดาดฟ้าเอาไว้ ถึงเป็นพนักงานซ่อมบำรุงก็ต้องทำตามระเบียบและถือบัตรแม่เหล็กถึงจะขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าได้
ดาดฟ้าสูงขนาดนี้มีลมพัดแรงมาก ถึงบนพื้นบริเวณนี้ในตอนนี้จะอบอ้าวจนไม่มีลมพัดเลยก็ตาม
บนดาดฟ้าที่ไม่ควรมีคนแห่งนี้ กลับมีเด็กผู้หญิงหน้าตาเหมือนเด็กมัธยมต้นยืนอยู่คนหนึ่ง เธอใส่ชุดกะลาสีที่ไม่รู้ว่าทำจากอะไร และมันกำลังถูกลมพัดพลิ้วดังพึ่บพั่บ
เธอยืนอยู่บนขอบดาดฟ้า มองตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ที่เจริญรุ่งเรืองจากด้านบน รถที่ขวักไขว่อยู่บนถนน เดี๋ยวจอด เดี๋ยวหยุด แม้ร่างกายจะถูกลมพัดจนเซ แต่เธอก็ไม่กลัวว่าตัวเองจะตกลงจากความสูงร้อยเมตรนี้เลยสักนิด
อยู่ๆ ข้างหลังของเธอก็มีลูกแมวสีขาวดำตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้น และเธอก็หันไปในเวลาเดียวกันพอดี
“เมี๊ยว”
“ว้าว! ซิงไห่! ยกสูงๆ!”
เธอก้มลงไปอุ้มซิงไห่ขึ้นมา แล้วยกขึ้นเหนือหัวอย่างมีความสุข แต่ซิงไห่ที่กลัวคนมาโดยตลอดกลับไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยงทั่วไป มันเล่นกับเธอด้วยท่าทางสนิทสนม ถึงอย่างไรมันก็อยู่กับเธอมาตั้งแต่เล็กจนโต
“ทุกคนสบายดีไหม? พ่อขี้เหนียวทำอะไรอยู่? ไม่ต้องพูดหรอก เขาต้องตามหาเธอจนวุ่นวายแน่นอน!” เธอกอดซิงไห่ไว้ในอก ก่อนจะนั่งอยู่บนดาดฟ้า แล้วยิ้มพร้อมกับจินตนาการ “อยากไปดูร้านขายสัตว์เลี้ยงยุคนี้จังเลย!”
“ฟีน่าจะต้องโกรธฉันอยู่แน่ๆ แต่มันชอบฉันที่สุด!”
“เสวี่ยซือจื่ออ่อนโยนกับฉันที่สุด แต่ฉันก็สงสัยว่ามันอยากจะลากฉันไปทางไหนสักทาง…”
“ไม่ว่าฉันจะดื้อยังไง คุณปู่ฉาก็จะแอบช่วยฉันปกปิดเสมอ”
“ริชาร์ดนำความสุขมากมายมาให้วัยเด็กของฉัน…”
“เฟยหม่าซือเป็นตัวปัญหา ชอบแหย่คนอื่นทั้งวัน”
“ไม่รู้ว่าไลฟ์สดเที่ยวทั่วโลกของพี่เซฮวาทำให้คนหัวเราะขนาดไหน…”
“ตอนเล่นโคลน ปีนต้นไม้กับพาย พ่อน่ารังเกียจบอกว่าฉันเหมือนลิงเปื้อนโคลนด้วยแหละ!”
“ฟราเทอร์จริงใจที่สุด มันให้ฉันขี่เป็นม้าตลอดเลย ฮี่ๆ!”
“วลาดิเมียร์กับเสี่ยวไป๋ก็เดี๋ยวรักเดี๋ยวเกลียดกันอยู่ตลอด…”
“อาจารย์เสี่ยวเตี๋ย…ฉันยังกลัวเธออยู่นิดหน่อยจริงๆ ชอบให้การบ้านกองใหญ่ที่ทำยังไงก็ไม่เสร็จอยู่เรื่อย…”
“อ๊า! ยังมีอีก! ตอนนี้พ่อน่าจะไม่รู้ว่าพี่เฟยเฟยเป็นสาวแกร่งทำงานเก่งด้วย กำลังทำงานหนักที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเลยเชียวแหละ ลุงเฉียนกับลุงคุน…เหมือนจะไม่คิดหาแฟนแต่งงานเลย ฮือ อยากได้ลายเซ็นของพี่อี๋อวิ๋นก่อนจะเป็นนักวาดรูปการ์ตูนประกอบเต็มตัวจัง…”
ถึงเป็นคนอย่างเธอ แต่วัยเด็กก็มีแค่ครั้งเดียว เธอหวนคิดถึงวัยเด็กได้นับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับสัมผัสได้ด้วยตัวเองแค่ครั้งเดียว
“เมี๊ยว” มันกะพริบตาสีเทาเงินมองเธอ
“ฉันรู้ ยังไม่ถึงเวลา” เธอพยักหน้าอย่างเสียดาย
หากเธอคิดจะทำ ย่อมเห็นได้ทุกเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น กำลังเกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้นในร้านขายสัตว์เลี้ยงได้ แต่ ‘มองเห็น’ กับ ‘สัมผัสด้วยตัวเอง’ ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
มนุษย์มองมดที่เดินอยู่บนกระดาษ อาจจะรู้สึกว่ามดน่าสงสารมาก ใช้กำลังกายและจิตใจสำรวจโลกที่ไม่รู้จัก คนมองปราดเดียวก็รู้แล้ว แต่ก็เป็นเพราะรู้ผลลัพธ์แล้วเท่านั้น จะสืบเสาะความสนุกสนานระหว่างทางได้หรือเปล่า?
ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ในอาคารสำนักงานมีหนุ่มสาวแต่งตัวเนี้ยบกรูออกมา สีหน้าของพวกเขามีทั้งสบายใจและเหนื่อยล้า ในใจกำลังครุ่นคิดเรื่องเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนหรือคบกันแต่งงาน ทั้งชีวิตของพวกเขาอาจจะไม่ได้ราบเรียบ แต่อย่างน้อยก็เต็มที่กับทุกสิ่ง พวกเขาส่วนใหญ่อาจจะไม่เป็นที่รู้จักเลยทั้งชีวิต แต่ไม่เป็นที่รู้จักก็ไม่ได้หมายความว่าทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง พวกเขาเคยลอง เคยแสวงหา เท่านี้ก็พอแล้ว นี่ก็คือชีวิต
“ถ้าหายไปนาน เดี๋ยวพ่อจะสงสัยเอา รีบกลับไปดีกว่านะ ช่วยฉันทักทายทุกคนจากในใจด้วยล่ะ” เธอวางซิงไห่ลง แล้วยืนขึ้น
ซิงไห่ยกอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะพูดด้วยความอาลัยอาวรณ์ “เมี๊ยว บ๊ายบาย”
“บ๊ายบาย” เธอก็โบกมือลงเช่นกัน
ซิงไห่หายไปจากตรงนั้นแล้ว
เธอรู้ว่าซิงไห่ใช้โอกาสตอนเล่นซ่อนแอบเข้ามา พ่อหาอยู่ในบ้านหลายรอบแล้วก็หาไม่เจอ จึงขอยอมแพ้แล้ว บอกให้มันเลิกเล่นซ่อนหา แล้วรีบออกมา
“เอาละ ฉันก็ควรจะไปได้แล้ว” เธอพึมพำพูดกับตัวเอง
วินาทีต่อไปเธอก็หายตัวไป
แล้วเธอก็ปรากฏตัวอีกครั้ง แทบจะพร้อมกันเลย
ความจริงแล้วบอกว่า ‘วินาทีต่อมา’ ก็ไม่ค่อยถูกต้อง เพราะการหายตัวและปรากฏตัวของเธอเหมือนจะไม่มีช่องว่างของเวลาเลยสักนิด แต่สำหรับเธอแล้ว เวลาไม่ใช่สมการชั้นเดียว คำว่า ‘วินาทีต่อไป’ ไม่มีความหมายที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ
มีเพียงมดถึงจะปีนจากปลายกระดาษด้านหนึ่งไปยังปลายกระดาษอีกด้านหนึ่งตามขั้นตอน มนุษย์แค่ต้องพับกระดาษ ก็จะส่งมันไปถึงปลายทางได้แล้ว
ด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับอดีต อีกด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับอนาคต
สถานที่ที่เธอปรากฏตัวคือป่าอันมืดทึบ รอบด้านรกร้างว่างเปล่า นกและแมลงส่งเสียงอยู่เนืองๆ
พุ่มไม้สั่นไหว สัตว์ขนาดเล็กและนกที่หากินในตอนกลางคืนตกใจกับการมาอย่างกะทันหันของเธอ จนพวกมันหนีเข้าไปในป่าลึกแล้ว
พระจันทร์เต็มดวงเหมือนจานสีเงินลอยสูงอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน เส้นทางขรุขระที่เกิดจากคนและสัตว์เลี้ยงทอดยาวไปในความมืด
เธอแบมือออก จากนั้นบนฝ่ามือก็มีกระดาษแผ่นเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาหนึ่งแผ่น แต่ไม่เหมือนกับกระดาษทั่วๆ ไป กระดาษแผ่นนี้มีแค่ความกว้างและความยาว ไม่มีความหนา มีแต่ความบางที่ไม่จำกัด
พอถูกลมในตอนกลางคืนพัดเข้า อยู่ๆ กระดาษก็เริ่มพอง พูดให้ถูกต้องก็คือขยายนั่นแหละ
เหมือนการ์ดสามมิติ ตอนพับขึ้นมามีแค่ด้านเรียบของแกนเอ็กซ์กับแกนวาย หลังจากเปิดออกก็มีแกนแซดเพิ่มขึ้นมา กลายเป็นสิ่งของสามมิติชิ้นหนึ่ง
กระดาษกลายเป็นโทรศัพท์มือถือแล้ว อย่างน้อยก็เป็นของบางอย่างที่เหมือนกับโทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบัน
เธอกดบนหน้าจอสองครั้ง
งูจงอางสีขาวตัวหนึ่งก็มาปรากฏตรงหน้าเธอโดยไม่มีสัญญาณ เป็นงูจงอางในห้องประชุมตัวนั้น
งูจงอางขาวขดตัว ก่อนจะแลบลิ้นอย่างอึดอัด พลางสังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ ที่ไม่คุ้นเคย อากาศที่นี่ทำให้มันรู้สึกหนาวมาก ร่างกายจึงแข็งทื่อขึ้นมา
“ไม่ต้องกลัว” เธอปลอบ “โชคชะตากำหนดให้เป็นจริง”
แต่งูจงอางขาวยังคงหวาดกลัว ครึ่งหนึ่งกลัวเธอ อีกครึ่งหนึ่งเป็นความกลัวของคนและสัตว์ที่มีต่อความตายโดยสัญชาตญาณ มีเพียงคนและภูตสัตว์เลี้ยงที่จิตใจแน่วแน่ดั่งเหล็กกล้าถึงจะควบคุมสัญชาตญาณนี้ได้
เธอลูบเกล็ดเย็นเฉียบของมันเบาๆ “ไม่เป็นไร มี ‘เหตุ’ ก็ต้องมี ‘ผล’ มี ‘เกิด’ ก็ต้องมี ‘ตาย’ ถ้าเธอไม่ถูกเขียนลงในบันทึกประวัติศาสตร์ที่นี่ ก็จะไม่ได้กลายเป็นภูตสัตว์เลี้ยง ถ้าเธอไม่ได้กลายเป็นภูตสัตว์เลี้ยง ก็จะเป็นแค่งูจงอางเผือกที่หายากมากตัวหนึ่งเท่านั้น แล้วก็จะไม่มีวันเวลาที่มีชีวิตอยู่เพื่อกันและกัน และแบ่งปันทุกข์สุขร่วมกับคุณลุงหลีเซินไท่นะ”
พอพูดถึงชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดวงตาเย็นชาของงูจงอางขาวก็เหมือนจะมีความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมาบ้าง และไม่ได้หวาดกลัวมากอีก
มันรู้โชคชะตาทั้งชีวิตของตัวเองแล้ว มันจะตายอยู่ที่นี่ มีเพียงแบบนี้มันถึงจะกลายเป็นภูตสัตว์เลี้ยงได้ และถูกหลีเซินไท่จับกลับไป
มันกับหลีเซินไท่อาจจะเป็นผู้ก่อกรรมทำชั่วของคนทั่วโลก แต่มันกับเขาร่วมกันต่อสู้ในสงครามนองเลือด มีวันเวลาที่เข่นฆ่ากลืนกินผู้เล่นและภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากจริงๆ!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มันก็พยักหน้า ยอมรับโชคชะตาของตัวเอง
มันยอมใช้ความตายมาทำให้โชคชะตาเป็นจริง แลกกับช่วงเวลาสมบูรณ์แบบร่วมกับหลีเซินไท่
ตอนที่ 1676 งูยักษ์
ทุกคนในห้องประชุมของตึกระฟ้าฝานซิง พวกเขาเคยต่อต้านความคิดหรือการกระทำทั้งนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับโชคชะตาของตัวเอง เหมือนงูจงอางขาวตัวนี้
“ไปเถอะ จะมีคนมาแล้ว” เธอพูด “ฉันก็ต้องเตรียมตัวเหมือนกัน”
มีบ้านไม้ขนาดเล็กถูกทิ้งร้างอยู่ไม่ไกลหลังหนึ่ง หลังคาทำมาจากพืชหญ้า แต่ตอนนี้ไม่มีหลังคาแล้ว เหลือเพียงผนังสามด้านเท่านั้น อาจจะพังเพราะไฟสงคราม อาจจะพังเพราะสัตว์ดุร้าย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นยุคแห่งความป่าเถื่อน ร่างกายของสัตว์ดุร้ายหลายๆ ชนิดใหญ่โตกว่าอีกสองพันปีให้หลัง
เธอเดินตรงเข้าไปในด้านที่หายไป
ใช้คำว่าไม่มีอะไรหลงเหลือนอกจากผนังเปลือยเปล่ามาบรรยายบ้านไม้ได้เลยทีเดียว ในมุมผนังมีเตียงไม้ผุพังอยู่หลังหนึ่ง สิ่งของที่ถูกเรียกได้ว่าเฟอร์นิเจอร์เพียงอย่างเดียวก็คือตู้ไม้ ถึงอย่างไรคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ไม่มีของมีค่าอะไรให้ซ่อน
ตรงประตูบ้านมีเตาที่ก่อขึ้นจากหิน หม้อทองแดงที่มุมบิ่นอยู่หลายมุมวางอยู่บนเตา ก้นหม้อถูกรมควันจนกลายเป็นสีดำ ในเตาเต็มไปด้วยขี้เถ้าเย็นๆ และถ่านที่ถูกเผาไหม้แล้ว
เธอเดินตรงไปหาตู้ไม้ ก่อนจะเปิดประตูตู้ ในที่สุดก็มองเห็นสิ่งของที่เธอต้องการแล้ว เป็นเสื้อผ้าขาดๆ ตัวหนึ่ง แต่ซักได้สะอาดทีเดียว อาจจะเป็นเสื้อผ้าที่สมเกียรติเพียงชุดเดียวของคนที่อยู่ที่นี่
ถ้าเป็นเด็กสาวมัธยมต้นทั่วไป จะต้องรังเกียจเสื้อผ้าขาดวิ่นแบบนี้ แทบไม่อยากจะแตะต้องเลยด้วยซ้ำ แต่เธอกลับหยิบออกมาจากตู้โดยที่ไม่ใส่ใจเลยสักนิด แล้วพาดมันไว้บนตัว
จากนั้นเธอก็ขุดขี้เถ้าจากใต้เตา แล้วป้ายไว้บนส่วนที่ไม่ได้ปิด อย่างเช่น บนผม ใบหน้า และร่างกาย แถมยังทำผมเผ้าให้ยุ่งเหยิงด้วย
เด็กสาวที่สะสวยเหมือนดอกไม้และขาวเหมือนหยกคนหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นขอทายตัวน้อยหน้าตามอมแมมในพริบตา
“อืม แบบนี้พอใช้ได้แล้ว”
เธอพอใจกับการแต่งตัวของตัวเองมาก ถึงอย่างไรก็มืดจนมองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว แบบนี้ก็ใช้ได้แล้วแหละ
ขณะที่เธอเข้าไปในบ้าน งูจงอางขาวก็เดินถึงทางเดินแล้ว จากนั้นร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นมา มันชูคอจ้องมองด้วยความโกรธเคือง แลบลิ้นสีแดงคล้ำออกมาไม่หยุด
นี่คือจุดจบของมัน และเป็นจุดเริ่มต้นของมันเช่นกัน
มันอยากตายด้วยสภาพที่ดีที่สุด และอยากเกิดใหม่ด้วยสภาพที่ดีที่สุดเช่นกัน
แสงจันทร์ส่องบนเกล็ดขนาดใหญ่เหมือนเสื้อเกราะที่ร้อยจากเหล็ก ทำให้มันดูลึกลับและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
มันไม่ได้รอนานเกินไป
ผู้ชายแต่งตัวมอซอเหมือนเป็นชาวนาคนหนึ่งวิ่งมาจากทางเดินอย่างรีบร้อน เพื่อกันไม่ให้ก้าวพลาด เขาจึงก้มหน้ามองพื้นพร้อมกับวิ่งเร็วๆ ไม่ได้สังเกตว่าบนทางเดินมีงูจงอางสีขาวขวางทางอยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงเกล็ดเสียดสีจากการขดตัว เขาถึงจะรู้ตัวโดยฉับพลัน
“แม่เอ๊ย! งูตัวใหญ่มาก!”
เขาเงยหน้ามอง ตกใจจนแทบจะเข่าทรุด เป้ากางเกงเปียกฉี่ไปหมดแล้ว หัวใจก็แทบจะหยุดเต้นเช่นกัน
พวกเขาเคยเห็นว่าแถวนี้มีงู บางครั้งก็หิวจนฆ่างูมากินอย่างโหดเ**้ยม ไม่เคยคิดว่าจะมีงูตัวใหญ่ขนาดนี้ด้วย แถมยังเป็นงูสีขาวท่าทางดุร้ายตัวหนึ่ง ราวกับเป็นราชางูโดยแท้ หรือจะบอกว่า…เหมือนมังกรขาวตัวหนึ่งก็ได้
“ท่านปู่เทพงู ข้ามีพ่อแม่และลูกต้องดูแล ขอท่านอย่ากินข้าเลย! ขอร้องล่ะ!” เขาโขกหัวลงกับพื้น ร่ำร้องพร้อมน้ำมูกและน้ำตา
งูตัวใหญ่เลื้อยขึ้นมาอย่างว่องไว สองข้างทางล้วนเป็นหลุมเลน ไม่ว่าทางไหนก็วิ่งหนีไม่ได้ เขาคิดว่าตัวเองต้องตายอยู่ตรงนี้แล้ว เมื่อรู้อย่างนั้น สู้ไปซ่อมหลุมศพราชาที่ภูเขาหลีซานอย่างว่าง่ายจะดีเสียกว่า แม้จะต้องตายแบบนั้น แต่อย่างน้อยก็มีชีวิตอยู่ได้อีกหลายวัน ดีกว่าถูกงูตัวใหญ่กินทั้งเป็น แล้วกลายเป็นอึงู
รออยู่สักพักหนึ่ง ฉี่ที่เป้ากางเกงของเขาก็เริ่มเย็น แต่งูตัวใหญ่กลับไม่ได้เขมือบเขา
เขารวบรวมความกล้าเลื่อสายตาขึ้นไปมอง อยู่ๆ ก็พบว่าดวงตาของงูใหญ่ตัวนี้เหมือนจะว่างเปล่าไร้วิญญาณ ราวกับว่าไม่ได้มองมาทางเขา
หรือว่า…งูตัวใหญ่นี้กำลังนอนหลับอยู่?
เขาลองตะเกียกตะกายขึ้นมาเงียบๆ งูตัวใหญ่ยังคงไม่ขยับ
ดังนั้น เขาจึงย่องถอยหลังไปช้าๆ เหงื่อออกเต็มหน้าเต็มตัวไปหมด กลัวว่าจะปลุกให้มันตื่น
งูตัวใหญ่เหมือนกำลังหลับอยู่จริงๆ มันไม่ขยับตัวเลยสักนิด
จนกระทั่งเขาถอยไปถึงระยะห่างที่มากพอแล้ว ถึงจะวิ่งอย่างบ้าคลั่งกลับไปทางเดิม พลางต่อว่าพ่อแม่ว่าทำไมให้ขาเขามาน้อยเหลือเกิน
เขาวิ่งอย่างสุดชีวิต วิ่งจนน้ำลายฟูมปากแล้วก็ไม่กล้าหยุด จนกระทั่งเกือบจะชนหน้าอกของคนที่เดินมา
คนคนนั้นก็อายุไม่น้อยแล้ว เหน็บดาบทองแดงไว้ที่เอว ผมกับหนวดเป็นสีดอกเลาหมดแล้ว ลมหายใจคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า ดื่มจนเมาปลิ้น แต่ยังมีมาดน่าเกรงขามยามย่างเยื้อง
“หยุด! ใครมาวิ่งยามวิกาล!” คนคนนั้นตะโกน ในมือกำด้ามดาบเอาไว้แน่น พยายามเบิกตาที่เมาเหล้าของตัวเองเพื่อมองเขา
ชาวนาจำชายนักดาบได้ เขาเหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต ก่อนจะพูดพร้อมอาการหายใจไม่ทัน “ทหาร…ทหารเฝ้าป้อม…ข้างหน้ามีงูตัวใหญ่ขวางทางอยู่…ได้โปรดกลับทางเดิม!”
เขารับผิดชอบสำรวจเส้นทาง ในป่านี้มีเพียงเส้นทางเดินเพียงเส้นเดียว สถานที่อื่นเหมือนจะมีใบไม้ร่วงอยู่แน่นหนา ความจริงเหยียบไปแล้วก็เหมือนโคลนเลนสูงมิดหัว ไม่มีทางให้เดินโดยสิ้นเชิง
ในเมื่องูตัวใหญ่กินพื้นที่ทางเดินเพียงทางเดียว พวกเขาย่อมเดินต่อไปไม่ได้ ทำได้แค่ถอยกลับไปเท่านั้น
“ฮ่าๆๆๆ!”
ชายนักดาบกำลังเมาได้ที่ จึงพูดจาห้าวหาญ
แม้แถวนี้จะมีงู แต่ก็ไม่เคยเห็นงูตัวใหญ่ขนาดนี้ เขาหัวเราะที่ชาวนาคนนี้มีความรู้ตื้นเขิน เกรงว่าเขาคงเห็นงูตัวหนาเท่าแขนผู้ชายแล้วคิดว่าเป็นงูยักษ์
“วีรบุรุษไม่เกรงกลัวสิ่งใด!”
เขาอาศัยความเมาดึงดาบทองแดงออกมาอย่างรวดเร็วเสียงดังชิ้ง กลับเป็นชาวนาที่สะดุ้งเฮือก
“ไม่ได้นะทหารเฝ้าป้อม! งูนี้ตัวใหญ่มาก!”
ชาวนาอยากขวางชายนักดาบเอาไว้ เพราะงูตัวใหญ่ตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนจะใช้แรงเข่นฆ่าได้ ถ้าปลุกมันตื่นแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับส่งเนื้อเข้าปากเสือ
ชายนักดาบเมามากแล้ว เขาดึงชาวนาออกอย่างรำคาญ ก่อนจะจ้ำอ้าวเดินไปข้างหน้า
ชาวนาตีอกชกหัว เขากับพวกเพื่อนๆ นับถือคุณธรรมสูงส่งของชายนักดาบ สาบานว่าจะติดตามชายนักดาบ ทนเห็นชายนักดาบไปตายแบบนี้ไม่ได้ แต่งูยักษ์ทำเอาขวัญหนีดีฝ่อจริงๆ ไม่กล้าไปกับชายนักดาบเพียงลำพัง
พอคิดถึงคนอื่น เขาก็รีบวิ่งไปข้างหลัง
หลังจากวิ่งไปได้พักหนึ่ง ข้างหน้าก็ปรากฏแสงไฟ
ชาวนาสวมเสื้อผ้ามอซอเช่นกันอีกหลายคนกำลังล้อมกองไฟย่างหนูนา พอเห็นเขากลับมา พวกเขาก็ชวนเขากินหนูนาย่างด้วยกัน
เขาสนใจเรื่องกินที่ไหนกัน จึงเล่าเรื่องเคร่งเครียดที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง ทุกคนต่างก็ตกใจกันยกใหญ่ พวกเขาสาบานว่าจะติดตามชายนักดาบไม่ว่าเป็นหรือตาย ก่อนจะดับกองไฟ แล้วพากับหยิบอาวุธป้องกันตัวขึ้นมา สั่งให้เขานำทางมุ่งหน้าไปสนับสนุนชายนักดาบคนนั้น ถึงแม้ตายก็ต้องตายด้วยกัน เช่นนี้ถึงจะคุ้มกับคุณธรรมที่ชายนักดาบอุทิศให้ทุกคน
อย่างน้อยชายนักดาบยังมีดาบทองแดงเล่มหนึ่ง แต่อาวุธในมือของชาวนาพวกนี้มีเพียงจอบที่ใช้กระบองไม้มัดกับก้อนหิน ทำร้ายเกล็ดแข็งแรงเหมือนเสื้อเกราะที่ร้อยมาจากห่วงเหล็กของงูยักษ์ไม่ได้อยู่แล้ว ถึงไปก็เท่ากับถวายอาหารสำรองในฤดูหนาวให้งูยักษ์
ชาวนานำทางร้องโอดโอยในใจ แต่ทุกคนอยากไปช่วยชายนักดาบ ถ้าเขาไม่ไป จะไม่บ่งบอกว่าเขากลัวตายหรอกเหรอ? แม้เขาจะเป็นชาวนา แต่ก็รู้ว่าบุญคุณต้องทดแทน ยอมตายแต่ไม่ยอมให้คนอื่นดูถูก
ช่างมัน!
เขากัดฟันตัดสินใจ อย่างมากก็มอบชีวิตคืนให้ชายนักดาบ
เขาจึงรีบนำชาวนาคนอื่นๆ ไปหาชายนักดาบที่อยู่ไกลออกไปทันที
ตอนที่ 1677 มีปณิธานสูงส่ง
ชายนักดาบถือดาบทองแดงในมือ ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง เขาวิ่งเร็วแต่โซเซไปตลอดทาง ในหัวคิดเพียงว่าต้องฆ่างูตัวใหญ่ที่ว่า แล้วเอากลับไปย่างให้ทุกคนกินแกล้มเหล้า เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ
เขามีความรู้มากกว่าพวกชาวนาหาเช้ากินค่ำพวกนั้นเล็กน้อย ถ้าเป็นงูตัวเล็กเขากลับมีความหวาดกลัวอยู่สามส่วน แต่งูตัวใหญ่มักจะไม่มีพิษ เขาถึงไม่ได้กลัวเหมือนชาวนา
เขาดื่มเหล้าเพื่อคลายความกลัดกลุ้ม ใครจะไปคิดว่าดื่มเหล้าแล้วจะยิ่งกลุ้มใจ เขาเห็นชาวนาที่น่าสงสารพวกนั้นถูกส่งไปเขาหลีซานก็กลัวว่าจะต้องกลายเป็นเถ้ากระดูกใต้หลุมศพฮ่องเต้ จึงคิดอยากจะปลดปล่อยพวกเขาในทันที ทุกวันนี้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก มีบ้านก็กลับไปยาก นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ความจริงแล้วนี่เป็นเรื่องน่าจำใจ เพราะก่อนหน้านี้มีหลายๆ คนหนีไปแล้ว ถึงชาวนาที่เหลือจะถูกคุมตัวส่งไปที่เขาหลีซานหมดแล้ว เขาเองก็ตกงานอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องเป็นเพชฌฆาตตามกฎ
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พายเรือตามน้ำไปเสียยังจะดีกว่า ปล่อยคนที่เหลือไป ทุกคนหนีไปด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าชาวนาสองสามคนที่เหลือจะซาบซึ้งบุญคุณของเขา ยินยอมติดตามเขาไป แม้จะมีเพียงไม่กี่คน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าแม่ทัพไร้กองทัพ
นอกจากนี้ แม้เขาจะเป็นเพียงทหารเฝ้าป้อมเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ในใจกลับมีปณิธานสูงส่ง ตอนนี้เขาเป็นทหารเฝ้าป้อมก็ได้ แต่ไม่อยากเป็นทหารเฝ้าป้อมไปทั้งชีวิต
พอเห็นตัวเองแก่ขึ้นเรื่อยๆ จอนผมยังเริ่มเป็นสีดอกเลาแล้ว แต่ในใจกลับไม่ได้แสดงความมุ่งมาดออกมาเสียที แล้วเขาจะเป็นสุขใจได้อย่างไร?
กลับเป็นพวกชาวนาไร้ความรู้พวกนั้น มีอะไรให้กินก็กิน มีอะไรให้ดื่มก็ดื่ม ไม่มีความปรารถนายิ่งใหญ่อะไร กลับสบายอกสบายใจจนน่าอิจฉาด้วยซ้ำ
เขากำดาบทองแดงในมือแน่นขึ้นเรื่อยๆ คิดแค่จะหาบางอย่างมาฟันแรงๆ สักครั้ง เพื่อระบายความอัดอั้นในใจ
เขาอาศัยความเมาวิ่งหนีไปพักหนึ่ง เสื้อผ้าบางๆ ของเขาถูกลมพัดจนเริ่มรู้สึกหนาวเย็น ยังช่วยให้ค่อยๆ สร่างเมาด้วย
สายลมพัดพากลิ่นเหม็นสายหนึ่งโชยมา
อยู่ๆ เขาก็เกิดลางสังหรณ์ขึ้นมา จึงเงยหน้ามองอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตกใจจนแทบทำดาบทองแดงหลุดมือ!
มารดาคุณสิ นี่ก็เรียกว่างูเหรอ?
แสงจันทร์สาดส่องสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ชัดเจน นั่นเป็นงูยักษ์ที่ไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน นอกจากไม่มีกรงเล็บแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับมังกรคะนองน้ำในตำนาน
ชายนักดาบก่นด่าชาวนานำทางอยู่ในใจนับครั้งไม่ถ้วน ตำหนิชาวนาว่าไม่พูดให้ละเอียด คงจะกลัวว่าเขาต้องทิ้งชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไม่มีสาเหตุ
เขาอยากหนี แต่ดันทิ้งท้ายไว้ด้วยคำพูดสุดห้าวหาญ หากวิ่งกลับไปอย่างหงอยเหงาตอนนี้ ก็จะต้องถูกคนหัวเราะเยาะแน่นอน ไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้ทั้งชีวิต แผนการประกาศศักดาก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะ
อีกอย่าง หนีพ้นเหรอ?
“เจ้านี่นะ มีปณิธานอันยิ่งใหญ่เสียเปล่า แม้แต่งูกลับกลัวเสียได้ ทหารเ**้ยมโหดเป็นล้านนายของเมืองฉินไม่ร้ายกาจยิ่งกว่างูยักษ์ตัวนี้หรือ?”
ช่างเถอะ!
เขาเบิกตาสองข้าง ดวงตามีเส้นเลือดขึ้นเต็มไปหมด บนหน้าผากยังมีเส้นเลือดสีเขียวปูดโปน ก่อนยกดาบทองแดงพุ่งไปทางงูใหญ่
วันนี้ก็คือวันนี้ แทนที่จะเจ็บปวดเพราะหมดหวังทุกวันหลังจากนี้ เขายอมตายในปากงูวันนี้ นั่นคงจะมีความสุขมากกว่า
“ทหารเฝ้าป้อมหยุดเถิด!”
“อย่าเลยทหารเฝ้าป้อม!”
พวกชาวนาออกเดินทางช้า จึงมาช้าไปหนึ่งก้าว ตอนนี่ก็เพิ่งจะมาถึง แสงจันทร์ทำให้พวกเขามองเห็นเขากำลังยกดาบขึ้นวิ่งหมายจะใช้ดาบแทงงู พวกเขาจึงตกอกตกใจกันยกใหญ่
แม่เจ้า มารดาคุณสิ งูนี่ตัวใหญ่มากเลย!
พวกเขาอาศัยอยู่ทางเหนือ ตรงไหนในตอนเหนือที่มีงูตัวใหญ่ขนาดนี้กัน? เทียบร่างกายของชายนักดาบกับงูใหญ่ ก็เหมือนลูกเจี๊ยบตัวสีเหลืองยืนอยู่ต่อหน้าชายร่างสูงใหญ่หนวดเฟิ้ม
การจู่โจมนี้ไม่ต่างอะไรกับมดพยายามเขย่าต้นไม้ หรือโยนไข่ใส่ก้อนหิน เพราะไม่มีวี่แววว่าจะได้ชัยชนะเลยด้วยซ้ำ หากงูยักษ์สะบัดหางเพียงครั้งเดียว ก็ฟาดเขากระเด็นไปได้แล้ว หรือหากงูยักษ์กัดเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้หัวเขาเละได้แล้ว
แต่พวกเขาอยู่ไกลเกินไป ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ทำได้แค่เร่งฝีเท้า พวกเขาอยากวิ่งให้เร็วกว่านี้สักหน่อย แต่ขากลับอ่อนแรงอย่างน่าประหลาด
อาจจะเป็นเพราะเสียงตะโกนตกใจของพวกชาวนาปลุกให้ตื่น อยู่ๆ งูยักษ์ก็เริ่มขยับตัว เปลี่ยนเป็นท่าทางหวาดกลัว มันเหยียดตัวตรง ราวกับกลัวพลังของเขา และอยากหนีเข้าไปในป่าโคลนสองข้างทาง
เขาเห็นแล้วก็ฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย จะปล่อยมันหนีไปง่ายๆ ไม่ได้ จึงวิ่งไปข้างตัวงูอย่างรวดเร็ว แล้วยกดาบทองแดงฟันลงไปเต็มแรง!
ฉึก!
ดาบทองแดงที่เขาลับคมด้วยตัวเองแทงเข้าไปในตัวงูลึกทีเดียว ตัดหนังงูใหญ่ออกจนเห็นเนื้อ ร่างกายกลมใหญ่ถูกตัดออกครึ่งหนึ่ง แต่คมดาบด้านหนึ่งถูกเกล็ดงูแข็งๆ ดัดจนม้วนไปด้านหนึ่ง ถึงอย่างไรโลหะอย่างทองแดงก็อ่อนเกินไป
ตามหลักการแล้ว สัตว์ป่ายามดิ้นรนจากความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง การจู่โจมกลับจากความเจ็บปวดของงูยักษ์ตัวนี้จะต้องดุเดือดจนสะเทือนพื้นดิน สามารถรัดกระดูกทั่วร่างของเขาให้แหลกได้ทุกนาที แต่ปฏิกิริยาของมันแปลกมาก ราวกับหวาดกลัวจนไร้สติ เจ็บจะตายแล้วแท้ๆ แต่มันกลับไม่หนี และไม่จู่โจมกลับ แค่พลิกตัวกลิ้งอยู่ที่เดิมเท่านั้น
ชายนักดาบถือโอกาสเข้าจู่โจมตอนที่มันกลิ้งหันหน้าไปอีกทาง เขาบิดข้อมืออย่างไม่น่าเชื่อ แล้วใช้คมดาบอีกด้านหนึ่งฟาดดาบฟันลงไปอีกครั้ง
ในที่สุดครั้งนี้ก็ฟันงูยักษ์ออกเป็นสองท่อนได้แล้ว
อวัยวะของงูยักษ์ไหลออกมา ร่างกายท่อนบนและท่อนล่างขยับดิ้นรนอย่างรุนแรง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว แต่ดวงตาของมัน…กลับเปล่งประกายแสงอันมหัศจรรย์
“ฮ่าๆๆๆ! มีความสุข! มีความสุขจริงๆ!”
ชายนักดาบโยนดาบทองแดงที่งอทั้งสองด้านไปด้านข้าง หัวใจพองโตขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเขาฆ่างูใหญ่ยักษ์ตัวนี้ได้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมั่นใจเพิ่มขึ้น ราวกับเห็นอนาคตที่ตัวเองจะนำทัพกวาดล้างใต้หล้า
เขาร้อนรุ่มไปทั้งตัว ฤทธิ์เหล้าเอ่อขึ้นมาจากข้างหลังเป็นระลอก ฟังเสียงตะโกนของพวกชาวนาที่อยู่ข้างหลังไม่รู้เรื่องแล้ว เขาก้มหน้าก้มตาวิ่งอย่างบ้าคลั่ง มีเพียงลงเย็นที่ปะทะเข้ามาให้เขารู้สึกสบายตัว
ไม่นานเขาก็วิ่งหายไป
ครั้งนี้เขาวิ่งไปหลายลี้ จนกระทั่งเขาถูกต้นไม้ต้นเล็กเกี่ยวเข้า ถึงได้หัวทิ่มสลบอยู่ในพงหญ้า เสียงกรนดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง
พวกชาวนาที่รออยู่ข้างหลังแบกจอบกระหืดกระหอบตามมาถึงที่เกิดเหตุ ก็เห็นแค่ร่างกายท่อนล่างของงูใหญ่ แต่ร่างกายท่อนบนกลับหายไปไหนไม่รู้
พวกเขามองศพงูยักษ์แล้วมองหน้ากัน ความนับถือที่มีต่อชายนักดาบเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าทันที ฟันงูยักษ์ที่เหมือนงูเทพขนาดนี้ออกเป็นสองท่อนได้ ชายนักดาบเป็นชายมหัศจรรย์จริงๆ คู่ควรให้พวกเขาติดตามไปชั่วชีวิต! ชายชาตรีถือกำเนิดบนโลกเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ขอเพียงติดตามชายนักดาบไป จะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน ถึงแม้ตัวตายแล้วมีอะไรน่าเสียดายกัน?
ร่างกายท่อนบนของงูจงอางขาวดิ้นรนเลื้อยกลับไปหน้าบ้านไม้ที่ผุพัง ทิ้งรอยเลือดเป็นทางเอาไว้ ตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปยังเด็กสาวมัธยมต้นที่เปลี่ยนหน้าตา ราวกับต้องการใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดส่งคำพูดที่มันอยากพูดผ่านสายตาไป
“ฉันรู้ เธอหลับให้สบายเถอะ พอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะรอนายอยู่ที่นั่นแล้ว ในสถานที่ที่โชคชะตากำหนดให้พวกเธอเจอกัน ฉันรับรอง” เธอนั่งยองลง ก่อนจะลูบหัวมันเบาๆ แล้วพูดอย่างอ่อนโยน
งูจงอางขาวสิ้นใจแล้ว ลิ้นห้อยลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ด้วยไม่สามารถเก็บลิ้นกลับเข้าไปในปากได้อีกแล้ว
มันตายไปอย่างสงบ แต่ถึงตายแล้วก็ยังเหมือนมีชีวิต
วัฏจักรของโชคชะตาเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ตอนที่ 1678 นักท่องกาลเวลา
ชาวนาสองสามคนยืนอยู่บนทางเดิน เห็นศพงูครึ่งท่อนแล้วก็ตกตะลึงอยู่นานทีเดียว แต่อยู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมา ศพงูตัวนี้มีแค่ครึ่งท่อนล่าง ส่วนครึ่งท่อนบนหนีไปแล้วแน่นอน ตอนพวกเขาเพิ่งวิ่งเข้ามาก็เห็นเงาสีขาวกระโดดเข้าไปในป่าแวบๆ
งูยักษ์ตัวนี้ช่างกล้าหาญเหลือเกิน ถ้ามันยังไม่ตาย พอมันหายจากอาการบาดเจ็บแล้วกลับมาแก้แค้นพวกเขาจะทำอย่างไรดี?
ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยตำนานของภูเขาเทพ แม่น้ำผี ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ความจริงแล้วพวกเขายังดี ถ้างูยักษ์อยากแก้แค้น มันจะต้องแก้แค้นชายนักดาบก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาตั้งปณิธานที่จะติดตามเขาทำภารกิจให้สำเร็จ จะทนมองเขาตายในปากงูได้อย่างไร?
ทำยังไงดี?
พวกเขาคิดไปคิดมา ตัดสินใจว่าไหนๆ ทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด ในเมื่องูยักษ์ได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว จึงตามไปตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก และนับเป็นการจำกัดความเป็นกังวลให้กับชายนักดาบ พวกเขาตีงูยักษ์ที่อยู่ในสภาพปกติไม่ได้ หรือว่าแม้แต่งูยักษ์ที่เหลือแค่ครึ่งท่อนก็ตีไม่ได้?
พวกเขาปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้ว จึงกำจอบในมือจนแน่น หารอยเลือดที่ไหลออกมาจากครึ่งตัวบนของงูยักษ์จนเจอ จึงเริ่มตามรอยในป่าหญ้าที่สูงเท่าเอว
พวกเขากลัวว่าในป่าหญ้าจะซ่อนสัตว์มีพิษซ่อนอะไรอีก มากกว่านั้นคือกลัวเหยียบถูกโคลนเลนกินคน จึงไม่กล้าเดินเร็วนัก พวกเขายื่นจอบถางหญ้าความหาทางข้างหน้า ถือโอกาสไล่แมลงมีพิษและสัตว์ดุร้ายออกจากพงหญ้าไปด้วย
งูยักษ์เลือดไหลเยอะมาก รอยเลือดจึงชัดเจนมาก คดเคี้ยวทอดยาวไปบนเนินดิน
พอเดินมาถึงตรงนี้ บางคนก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมา บอกว่างูยักษ์เลือดไหลมากขนาดนี้ ต้องตายแล้วแน่นอน พวกเรากลับไปหาทหารเฝ้าป้อมไม่ดีกว่าเหรอ? ถ้างูยักษ์ดิ้นรนกลับไปรังงูก่อนจะตาย และถ้าในรังงูยังมีงูใหญ่ตัวอื่นอีก แบบนั้นไม่เท่ากับรนหาที่ตายเหรอ?
ระหว่างที่คนอื่นกำลังลังเล อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาตามสายลมยามค่ำคืน ฟังจากเสียงแล้วเหมือนจะเป็นผู้หญิง และเสียงเหมือนจะดังมาจากบนเนินดิน ใกล้กับพวกเขามากทีเดียว
พอลองคิดดูล้ว ในป่าหญ้าเงียบสงบกลางดึก บนพื้นมีเลือดงูกลิ่นเหม็นคาวทอดยาวไปที่ไหนไม่รู้ แถมหูยังได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาแต่ไกล…ชวนให้ขนลุกขนพองได้จริงๆ
ชาวนาสองสามคนอกสั่นขวัญแขวน ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ฉี่รดกางเกงไปแล้ว ตอนนี้อาจจะฉี่อีกรอบก็ได้
พวกเขาเจอกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าถอยไปอย่างนี้ แล้วทหารเฝ้าป้อมถามถึงเรื่องนี้ พวกเขาจะตอบอย่างไร? บอกว่าตัวเองตกใจกลัวเสียงร้องไห้ของผู้หญิงเหรอ? ทหารเฝ้าป้อมจะต้องหัวเราะเป็นแน่ ต่อไปคงไม่ได้รับหน้าที่สำคัญอีกแล้ว
สุดท้ายพวกเขาก็ขยับตัวเข้ามาใกล้กัน คอยระวังซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างรวบรวมความกล้าเดินขึ้นเนินดินด้วยความระมัดระวัง
บนเนินดินขนาดเล็กมีบ้านไม้พังๆ ตั้งอยู่หลังหนึ่ง หน้าบ้านไม้มียายแก่ผมเผ้าสีขาวยุ่งเหยิงลูบศพงูพลางเช็ดน้ำตาอยู่บนพื้น ร้องไห้เหมือนใจสลาย
พวกเขามองเห็นด้วยแสงจากดวงจันทร์ มีบ้าน มีคน และคนคนนี้ยังมีเงา ฉะนั้นไม่ใช่ผีไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว แถมศพงูบนพื้นก็ตายไปแล้วด้วย ไม่น่าจะกระโดดขึ้นมาทำร้ายคนได้อีก
สมัยนี้ผู้คนมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก มีคนหลีกเร้นตัวอยู่ในภูเขาลึกเพื่อหนีจากภัยสงครามและหนีการเกณฑ์ทหาร เรื่องแบบนี้พบเห็นได้บ่อยมาก
พวกชาวนาเห็นว่าเป็นคน ไม่ใช่ผีสาว จึงมีความกล้าเพิ่มขึ้นมา ก่อนจะชี้ยายแก่แล้วถามว่า “ยายร้องไห้ด้วยเหตุใดหรือ?”
ยายแก่ใช้แขนเสื้อเก่าและขาดเช็ดหางตา พลางก้มหน้าสะอื้นไห้ “คนฆ่าลูกข้า จึงร้องไห้”
ยุคสมัยนี้อยู่ในภาวะสงคราม คนตายเป็นเรื่องปกติ แต่พวกชาวนามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นลูกชายที่ตายไปแล้วของเธอ จึงถามว่า “เหตุใดลูกของยายถึงถูกฆ่า?”
คุณยายลูบศพงูเบาๆ อย่างเวทนา ก่อนจะยิ้ม “ลูกของข้า รัชทายาทไป๋ (ขาว) แปลงร่างเป็นงู แต่ไปขวางทางเข้า วันนี้จึงพ่ายให้กับรัชทายาทชื่อ (แดง) ข้าร้องไห้ด้วยเหตุนี้”
อะไรนะ?
พวกชาวนาได้ยินแล้วงงเป็นไก่ตาแตก ยายแก่คนนี้พูดมั่วซั่วอะไร? ลูกของเธอเป็นรัชทายาทไป๋ แปลงร่างเป็นงูใหญ่ขวางทาง เลยถูกรัชทายาทชื่อฆ่าตายงั้นหรือ?
คนจะแปลงร่างเป็นงูได้อย่างไร ยังมีรัชาทายาทไป๋ รัชทายาทชื่ออะไรนั่นอีก นี่ตั้งใจรังแกชาวนาอย่างพวกข้าที่ไม่เคยได้เปิดหูเปิดตาหรือ?
พวกเขารังแกคนอ่อนแอและหวาดกลัวคนแข็งแกร่งมาทั้งชีวิต ก่อนหน้านี้กลัวงูและกลัวผี กลัวจนหัวหด แต่ตอนนี้งูตายแล้ว มีเพียงคุณยายแก่เสียสติคนหนึ่ง พวกเขายังมีอะไรต้องกลัวอีก?
พวกเขาต่างก็ส่งสายตาให้กัน ยายแก่คนนี้ท่าทางน่าสงสัย ไม่ทำร้ายเธอสักครั้งเดาว่าจะไม่ได้พูดความจริง และพวกเขากินหนูนากับผลไม้ป่ามาหลายวันแล้ว กินแล้วท้องเดินอยู่ตลอด ในบ้านของยายแก่คนนี้อาจจะมีเสบียงอาหาร ตีเธอให้สลบแล้วเข้าไปรีดไถสักหน่อย ถ้านำเสบียงอาหารกลับไปได้ ทหารเฝ้าป้อมจะต้องชมว่าพวกเขาเก่งแน่นอน
ชาวนาคนที่รับผิดชอบสำรวจเส้นทางก่อนหน้านี้ร้อนใจอยากกู้หน้า โมโหจนกล้าทำได้ทุกอย่าง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง เงื้อจอบขึ้นมาหมายจะทุบหลังของยายแก่ หากทุบจริงๆ คงให้เธอตายคาที่ได้เลยทีเดียว
สมัยนี้ชีวิตคนก็เหมือนต้นหญ้า ฆ่าคนไม่เป็นอะไร ถึงแม้กินคนก็ไม่แปลก
แต่ทว่าการตั้งใจจู่โจมครั้งนี้ของเขากลับเสียเปล่า พอมองให้ดีๆ ข้างหน้ามีเงาของยายแก่อยู่ที่ไหนกัน?
คนอื่นๆ ก็ตกใจสะดุ้งโหยงกันหมด หน้าถอดสีถอยหลังกรูดอย่างต่อเนื่อง
ผี! เป็นผีจริงๆ!
ถ้าไม่ใช่ผี คนจะหายไปเฉยๆ ได้อย่างไร?
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม พวกเขาโยนจอบแล้วสาวเท้าวิ่ง ไม่กล้าแม้แต่หันหน้ากลับมามอง กลัวว่าพอหันไปแล้วจะเห็นผีผู้หญิงตามมา
หลังจากพวกเขาวิ่งหนีไปแล้ว ยายแก่ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงที่เดิมอีกครั้ง
เธอถอดเสื้อผ้าเก่าๆ แล้วนำกลับไปวางในตู้ไม้ ปัดฝุ่นหญ้าบนหัว ก่อนจะควักกระดาษเปียกออกมาเช็ดหน้า แขน ขา และมือให้สะอาด
ชุดกะลาสีที่ไม่รู้ทำมาจากอะไรไม่ได้เปื้อนฝุ่นเลย สะอาดกว่าหน้าเธอเสียอีก ถึงอย่างไรนี่ก็นับเป็นผ้านาโนเมตรจากอนาคต
หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อย ก็ใกล้เวลาฟ้าสางแล้ว
ลมในยามเช้าสดชื่นผิดปกติ ถึงขนาดรู้สึกหอมหวานเล็กน้อย
ตอนนี้ชาวนากลุ่มนั้นน่าจะหาชายนักดาบที่เมาหัวทิ่มพงหญ้าเจอแล้ว หลังจากเขย่าเขาให้ตื่นแล้วก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังด้วย
อยู่ๆ ศพงูบนพื้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ใจ เกล็ดงูที่เดิมทีเป็นสีขาวค่อยๆ ซีดลง ศพงูเริ่มโปร่งแสงจนหญ้ารกที่ถูกศพทับอย่างชัดเจน
เธอคิดว่าปรากฏการณ์แปลกประหลาดแบบนี้เป็นเรื่องผิดปกติ จึงไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด
ไม่นาน ศพงูโปร่งแสงก็จางไป จากนั้น…หญ้ารกที่ถูกทับก็ตั้งขึ้นมาอย่างแข็งขัน
ที่จริงศพงูไม่ได้โปร่งแสง และไม่ได้หายไป รวมถึงรอยเลือดที่ทอดยาวไปตลอดทางเช่นกัน ศพงูครึ่งท่อนล่างที่เหลือบนทางเดินก็เป็นอย่างนั้น มันเพียงแค่ถูกกำจัดร่องรอยที่เคยมีอยู่ในยุคนี้ไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
เธอไม่ได้ทำ เธอไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เกมพาศพของมันและทุกอย่างไปจากที่นี่ แยกและสร้างร่างกายของมันอีกครั้ง ขโมยชีวิตของมันไปอีกครั้ง ก่อนพามันกลับไปยุคปัจจุบัน และปรากฏตัวในฐานะภูตสัตว์เลี้ยงที่รอการจับ ก่อนจะได้พบกับหลีเซินไท่ ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างที่โชคชะตากำหนดเอาไว้
“ว่าแล้ว ไท่สื่อกงเคยพูดเอาไว้ว่า ปัญญาชนไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่เชื่อสิ่งที่เห็นจริง”
เธอพูดพึมพำ แต่รอบๆ ไม่มีคนอื่น แม้แต่ศพงูก็หายไปแล้ว ไม่รู้เลยว่ากำลังพูดกับใคร
“ตอนผู้อาวุโสซือมาเชียนเขียนประวัติศาสตร์ช่วงนี้จะต้องสับสนมากแน่ๆ คนคนหนึ่งหายไปเฉยๆ ได้ยังไง? ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์ เขาไม่เชื่อเรื่องผีหรือเทพ แต่ต้องบันทึกเรื่องแปลกประหลาดที่เคยเกิดขึ้นตามสภาพจริง ดังนั้นเขียนไปตามคำบอกเล่าอย่างนี้ดีกว่านะ” เธอนึกถึงหนังสือประวัติศาสตร์ที่เคยอ่าน
“แม้ ‘สื่อจี้’ จะไม่ใช้ประวัติศาสตร์จริงๆ ผู้อาวุโสซือหม่าเชียนก็ยังมีความรับผิดชอบ บอกว่าเรื่องเล่ารอบกองไฟของเฉินเซิ่งและอู๋กว่างไม่ใช่เรื่องจริงอย่างตรงประเด็นภายในประโยคเดียว เพื่อใช้ชื่อเสียงและอำนาจตั้งใจสั่งให้คนไปหลอกลวงผู้อื่น…เขาอาจจะเคยสงสัยความเป็นจริงของเรื่องงูขาว เพราะเรื่องนี้ลี้ลับซับซ้อนกว่าเรื่องเล่ารอบกองไฟเสียอีก แต่หนึ่งพวกชาวนาพูดอย่างมั่นใจ สองคือ…” มุมปากของเธอผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “ผู้อาวุโสซือหม่าเชียนเป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น จะไปกล้าสงสัยได้ยังไง…ถึงสงสัยก็เปิดโปงไม่ได้”
“แต่ว่านะ ประวัติศาสตร์จะจริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือประวัติศาสตร์จริงๆ ที่พวกเขาเชื่อ เพราะมีความเชื่อ ถึงทำให้เกิดพลัง ใช่ไหมล่ะ?”
เธอตบเบาๆ ไปที่ปกคอเสื้ออันใหญ่ของชุดกะลาสี แล้วหยิบสิ่งของที่คล้ายกับโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะสไลด์หน้าจอ
ภูตสัตว์เลี้ยงที่เหมือนจริงราวกับมีชีวิตตัวแล้วตัวเล่าผลัดกันปรากฏบนหน้าจอ
“เฮ้อ ภูตสัตว์เลี้ยงในห้องประชุมพวกนี้ ต้องส่งไปในยุคและสถานที่ที่พวกมันควรจะไปหมดเลยนะเนี่ย” เธอถอยหายใจ “ยุ่งยากจัง พ่อขี้งกผลักภาระยุ่งยากพวกนี้มาให้ฉันตลอดเลย…แต่ว่า พอคิดให้ดีๆ แล้วอย่างน้อยก็ดีว่าถูกอาจารย์เสี่ยวเตี๋ยบังคับให้ทำการบ้านตั้งเยอะ ได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนี้แล้วล่ะ”
“มีปณิธานสูงส่ง ทำอย่างไรก็เป็นผีเสื้อ คำพูดนี้ไม่ได้ตรงกับคำพูดของอาจารย์เสี่ยวเตี๋ยหรอกเหรอ? น่าเสียดายที่เธอเป็นผีเสื้อ แม้แต่บัตรประชาชนก็ไม่มี เธอไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัว ไม่อย่างนั้นด้วยระดับของเธอ เป็นไปได้มากกว่าจะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อจากไอน์สไตน์นะ…” เธอส่ายหน้าอย่างจนใจ “แต่ถึงให้การบ้านฉันเยอะแค่ไหน ฉันก็กลายเป็นเธอคนต่อไปไม่ได้หรอก…”
เธอกล้าบ่นเสียงเบาตรงนี้ที่ไม่มีอาจารย์เสี่ยวเตี๋ยอยู่ ไม่อย่างนั้นถ้าอาจารย์เสี่ยวเตี๋ยได้ยินเข้า คาดว่าต้องลงโทษด้วยการเพิ่มการบ้านเป็นเท่าตัวแน่…
“ช่างเถอะ จุดหมายปลายทางต่อไปคือที่ไหนนะ?”
เธอสไลด์โทรศัพท์มือถือครั้งหนึ่ง ภูตสัตว์เลี้ยงบนหน้าจอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเหมือนโคมกระดาษรูปคนขี่ม้า ก่อนจะหยุดอยู่ที่นกแก้วมาคอว์ตัวหนึ่ง
“หงส์ครวญหาเมืองฉีซาน…” เธอลูบท้องอย่างจำใจ ควรจะกินข้าวเช้าแล้ว ไม่อยากไปยุคโบราณรกร้างพวกนี้เลยจริงๆ อาหารไม่อร่อยเอาซะเลย แต่ก็ต้องอดทน ส่งนกแก้วตัวนี้ไปแล้วค่อยกลับบ้านไปกินข้าวแล้วกัน
ตอนนี้เอง ใต้ปกเสื้อขนาดใหญ่ของชุดกะลาสีก็มีหนอนน้อยตัวขาวอ้วนมุดออกมาตัวหนึ่ง ร่างกายมีสีขาวนวลเหมือนชีส หน้าตาเหมือนหนอนผีเสื้อ แต่ไม่มีขน บนหัวมีตาโตและดำสองข้าง มันขยับตัวขยุกขยิก พลางพิจารณารอบๆ อย่างงุนงง รูปร่างเหมือนขนมรสชาติแปลกๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งก็คือเยลลี่หนอน
“เจ้าหนอน พวกเราไปกันเถอะ รีบจัดการธุระให้เสร็จแล้วกลับไปกินข้าวบ้านกัน” เธอเร่งเร้า แถมวางฝ่ามือใกล้ๆ กับคอเสื้อด้วย
มันเหมือนจะฟังคำพูดของเธอรู้เรื่อง จึงพยักหน้า แล้วขยับตัวปีนจากบนเสื้อมายังฝ่ามือของเธออย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ยื่นหัวออกมานอกฝ่ามือของเธอ ส่ายหน้าไปมาไม่หยุด
พอมันเริ่มส่ายหน้า ทิวทัศน์แปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น
อยู่ๆ อากาศสดชื่นตรงหน้าก็เกิดระลอกคลื่นบางอย่าง ราวกับผิวน้ำที่คลื่นสงบ ราวกับกระจกถูกคนสัมผัสเบาๆ
ขอบเขตของระลอกคลื่นขยายไปอย่างรวดเร็ว พื้นที่เกิดการบิดเบี้ยวแปลกๆ ขึ้น ก่อนจะปรากฏระลอกคลื่นกึ่งโปร่งแสง
ระลอกคลื่นค่อยๆ หมุนวนโดยมีหนอนน้อยเป็นศูนย์กลาง ก่อนจะยืนอยู่ตรงระลอกคลื่น ก็รู้สึกว่าทุกอย่างโดยรอบเหมือนจะถูกระลอกคลื่นม้วนเข้าไป แม้แต่แสงสว่างก็หนีไม่พ้น
มองจากมุมของเธอ ในระลอกคลื่นสะท้อนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอีกที่หนึ่ง ดูเหมือนไม่แตกต่างอะไรกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในตอนนี้ แต่นั่นเป็นท้องฟ้าที่มีดาวทอประกายในยุคเก่าแก่มากยิ่งขึ้น พอเธอส่งนกแก้วมาคอว์ตัวนั้นเข้าไป โชคชะตาของหงส์ครวญหาเมืองฉีซานก็เป็นจริงขึ้นมา
เธอชินกับสภาพการณ์แบบนี้แล้ว จึงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างสบายๆ ขาข้างนั้นก้าวเข้าไปในระลอกคลื่น แล้วหายไปกลางอากาศ จากนั้นร่างกายและเท้าอีกข้างหนึ่งของเธอก็ค่อยๆ หายตามไป
พอร่างกายของเธอหายไปโดยสมบูรณ์แล้ว ระลอกคลื่นก็ค่อยๆ สงบลง กลับมาเป็นอากาศที่ไม่ต่างอะไรกับรอบๆ
บ้านไม้ที่ผุพังเงียบสงบ ราวกับไม่เคยมีเรื่องแปลกๆ อะไรเกิดขึ้น มีเพียงรอยเท้าจางๆ บนพื้นที่พิสูจน์ว่าที่นี่เคยมีคนจากยุคอื่นมา น่าเสียดายที่ไม่มีคนสังเกตเห็น
คำชี้แนะ: ลักษณะพิเศษของสัตว์เลี้ยง
ชื่อเรียก: หนอนลึกลับ
ระดับความล้ำค่า: ไม่ระบุ
ลักษณะเฉพาะ: ชื่อเสียงขึ้นอยู่กับจักรวาล แม้ผ่านไปเป็นพันปีก็ไร้ผู้ใดเปรียบ!
ปลดล็อกประวัติที่มา:
รูหนอน หรือถูกเรียกว่าสะพานไอน์สไตน์-โรเซน ตั้งชื่อว่ารูหนอนตามรูของแอปเปิลที่ถูกหนอนเจาะ เป็นอุโมงค์พื้นที่หลายมิติในจักรวาล แนวความคิดนี้ถูกพูดขึ้นโดยนักฟิสิกส์ชาวออสเตรียชื่อว่าลัตวิก แฟลมม์เมื่อปี 1916 และในบทความ ‘ปัญหาอนุภาคในทฤษฎีสัมพันธภาพ’ ที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์และนาธาน โรเซนตีพิมพ์ร่วมกันเมื่อปี 1935 ได้กล่าวไว้ว่ารูหนอนก็คือการเชื่อมต่อมิติกับเวลาในทฤษฎีสัมพันธภาพ
รูหนอนเป็นสิ่งที่สร้างมาจากการโคจรของดาวเคราะห์และส่งผลกระทบร่วมกัน คล้ายกับระลอกคลื่นในทะเล ผ่านไปทั่วทุกที่ในพริบตาเดียว ถ้าระลอกคลื่นในทะเลรุนแรงมากพอ ก็เชื่อมจากผิวน้ำสู่ก้นทะเลได้โดยตรง ราวกับเชื่อมสองโลกที่แตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน
ไอน์สไตน์คิดว่าเปลี่ยนมิติหรือเดินทางข้ามเวลาผ่านรูหนอนได้ในพริบตา
โลกเป็นเปลของมนุษย์ แต่มนุษย์อาศัยอยู่ในเปลตลอดไม่ได้ เพราะพอมนุษย์เติบโตขึ้นแล้ว เปลก็จะแคบเกินไป และสักวันจะผุพังลงไปในที่สุด
ตั้งแต่โบราณกาล มนุษย์ปรารถนาที่จะออกจากโลก เพื่อท่องเที่ยวท่ามกลางท้องฟ้าที่มีดาวทอประกาย และหลายคนก็เสียของแลกเปลี่ยนเป็นชีวิตด้วยเหตุนี้นับไม่ถ้วน
มนุษย์กระหายที่จะตามหาดวงดาวที่อาศัยอยู่ได้อีกดวงหนึ่ง เจอกับอารยธรรมจักรวาลอื่น แต่วิธีการเดินทางระหว่างดวงดาวต่างๆ ตามกฎเกณฑ์ก็มีขีดจำกัดมากเกินไป
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นปรมาจารย์วิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ความคิดและทฤษฎีของเขาล้ำหน้าเกินยุคสมัยทั้งหมด แม้กระทั่งถึงอนาคต ผู้คนยังได้รับคำชี้แนะของทฤษฎีสัมพันธภาพ หลังจากไอน์สไตน์พูดถึงความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัดของรูหนอน มนุษย์ยุคแล้วยุคเล่าจึงฝากจินตนาการและความหวังอันไร้ขอบเขตเกี่ยวกับการเดินทางข้ามมิติที่น่ามหัศจรรย์นี้
มนุษย์กระหายที่จะออกจากโลกขนาดนี้ ด้วยการปลุกเสกจากพลังแห่งศรัทธาของมนุษย์เป็นหมื่นล้าน หรือแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด หนอนที่ไม่ควรมีอยู่จึงกลายเป็นภูตสัตว์เลี้ยงของโลกจากความเพ้อฝันอย่างสมบูรณ์
มันเปิดอุโมงค์มิติของพื้นที่หลายมิติได้ และพาคุณข้ามเวลาและมิติ ข้ามอดีตและอนาคต!
อยู่ในอุโมงค์เจ็ดวัน แต่ข้างนอกผ่านพ้นไปเป็นพันปี
ปลดล็อกชื่อจริง: หนอนมิติของไอน์สไตน์!
ตอนที่ 1679 ลมพายุ
นี่เป็นวันที่ปกติมากวันหนึ่ง ตอนใกล้เที่ยง จางจื่ออันต้อนรับลูกค้าอยู่ในร้าน และยังต้องดูแลพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แม้แต่หลู่อี๋อวิ๋นที่ปกติรับผิดชอบแค่เคาน์เตอร์เก็บเงินก็ไม่มีเวลาวาดรูปในวันนี้ เพราะวันนี้หวางเฉียน หลี่คุน และเจียงเฟยเฟยติดธุระ มหาวิทยาลัยต้องต้อนรับน้องใหม่เลยขอให้พวกเขาไปช่วย คนในร้านจึงขาดแคลนอย่างหนัก
ถ้าบอกว่าอะไรทำให้ยังมีนักศึกษาชั้นปีที่สีที่อีกแค่ปีเดียวจะเรียนจบไปพิธีต้อนรับน้องใหม่ แต่ไม่ใช่นักศึกษาชั้นปีที่สองและสาม น่าจะเป็นเพราะนักศึกษาชั้นปีที่สี่ค่อนข้างว่าง นอกจากโปรเจกต์เรียนจบและการฝึกงานแล้วก็ไม่มีธุระอื่นอีก
พูดแล้วก็เป็นฤดูกาลเปิดภาคเรียนอีกครั้งแล้วสินะ
มิน่าล่ะ สองวันนี้เหมือนจะมีคนพูดสำเนียงแปลกๆ เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นพวกผู้ปกครองที่มาส่งลูกเข้ามหาวิทยาลัยที่เมืองปินไห่
ทั่วไปแล้วผู้ปกครองพวกนี้จะอยู่ที่เมืองปินไห่สองสามวันแล้วค่อยกลับไป ต้องเห็นลูกจัดหาที่พักเรียบร้อยด้วยตาตัวเองแล้วถึงจะวางใจ จากนั้นก็เที่ยวเล่นเมืองปินไห่กับลูกก่อน ส่งผลให้การค้าขายของร้านค้าและโรงแรมในละแวกมหาวิทยาลัยปินไห่คึกคักขึ้นมาก แต่น่าเสียดายที่เรื่องดีแบบนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับจางจื่ออัน ไม่เคยได้ยินว่าผู้ปกครองบ้านไหนซื้อสัตว์เลี้ยงให้ลูกเพราะกลัวว่าลูกเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะเหงา
ต้องรู้ว่า ลูกค้าของร้านขายสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงวัยรุ่น แต่พวกผู้ปกครองที่กลัวการพูดถึงรักครั้งแรกตอนมัธยมปลาย พอถึงตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้วถึงจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติไปหนึ่งร้อยแปดสิบองศา ถ้าลูกของตัวเองบอกว่ามหาวิทยาลัยหงอยเหงาและน่าเบื่อ อย่างนั้นปฏิกิริยาของผู้ปกครองมากกว่าครึ่งคือเร่งให้เธอหาแฟน ไม่ใช่ซื้อสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะเห็นตัวอย่างผู้หญิงแก่เป็นป้าเลี้ยงสัตว์แล้วขี้เกียจจะไปหาแฟน…
ผ่านไปอีกสองสามวัน นักศึกษาเฟรชชี่ที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดีก็จะตากแดดระหว่างการรับน้องจนแม่จำไม่ได้…ทั่วไปแล้วเป็นอย่างนั้น บางครั้งสวรรค์ก็เป็นใจอยู่หลายปี แค่ได้หลบฝนอยู่สองสามวัน เด็กพวกนั้นก็ฟินมากแล้ว
ปีนี้เด็กกลุ่มนั้นอาจจะแอบขอพรให้เง็กเซียนคุ้มครองอยู่เงียบๆ
พูดจากสภาพอากาศก็อยู่ในช่วงปลายฤดูร้อนแล้ว แต่สองวันนี้ร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ ความชื้นก็มากเช่นกัน
ร้านขายสัตว์เลี้ยงมักจะมีคนวะมาดูเยอะแต่ซื้อน้อย ด้านพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต้องเพิ่มคำว่า ‘ยิ่งกว่านั้น’ ขึ้นมา เพราะคนแก่ปลดเกษียณที่ไม่มีอะไรทำมักจะอยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนานทีเดียว ขณะที่เพลิดเพลินกับเครื่องปรับอากาศก็ได้ชมของสวยงาม ถึงอยากทำการค้าขายก็ไล่คนกลับไปไม่ได้ ต้องรอถึงตอนกลางวัน พวกคนแก่ถึงจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน การค้าขายตลอดทั้งเช้าของพิพิธภัณ์สัตว์น้ำเป็นศูนย์ จางจื่ออันจึงปิดร้านพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก่อนเสียเลย จากนั้นก็สั่งข้าวกล่องมากินกับหลู่อี๋อวิ๋น
หลังจากข้าวกล่องมาส่งแล้ว ตอนหลู่อี๋อวิ๋นกินข้าว เธอจะค่อยๆ เคี้ยว กินไปด้วย ดูการ์ตูนเรื่องยาวไปด้วย ส่วนจางจื่ออันกินข้าวค่อนข้างเร็ว ถ้าดูการ์ตูนเรื่องยาวด้วย เพลงไตเติ้ลยังไม่ทันจบเขาก็อาจจะกินเสร็จแล้ว เขาจึงยกข้าวกล่องมายืนกินข้างนอก เคยได้ยินว่ายืนกินส่งผลดีต่อการย่อยอาหารนี่? จะได้…มองพวกสาวสวยขายาวที่เดินผ่านไปมาได้ด้วย รู้สึกเจริญอาหารขึ้นเยอะ
เขากำลังกิน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงวิ่งตึกตักดังมาแต่ไกล
“พี่ชายเจ้าของร้าน สวัสดีกลางวันค่ะ! กำลังกินข้าวอยู่เหรอคะ?”
เสี่ยวฉินไช่วิ่งสั้นๆ มาจากทางโรงเรียนประถมถนนจงหัว
เธอสวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้น สะพายกระเป๋าหนังสือ บนใบหน้ามีเม็ดเหงื่อบางๆ ซึมออกมาเพราะวิ่งมาอย่างสุดกำลัง
“โอ้ เสี่ยวฉินไช่ สวัสดีตอนกลางวันนะ ทำไมเธอมาตอนนี้ล่ะ?” จางจื่ออันถามอย่างสงสัย
เสี่ยวฉินไช่หยุดฝีเท้า ก่อนจะหอบหายใจอยู่นาน “วันนี้โรงเรียนหยุดเรียนชั่วคราวค่ะ…คุณครูให้การบ้านพวกหนูมา บอกให้พวกหนูกลับไปทำที่บ้าน”
“อะไรนะ? โรงเรียนหยุดเรียนเหรอ ทำไมล่ะ?”
จางจื่ออันคิดในใจ ‘หรือว่าโรงเรียนเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไร? อย่างเช่น มีผู้ร้ายบุกเข้ามาในโรงเรียน หรือเกิดเหตุไฟไหม้’
เขายื่นหน้ามอง แต่ไม่เห็นว่าทางโรงเรียนมีควันหนาพุ่งขึ้นมา อย่างนั้นก็ไม่น่าใช่ไฟไหม้
“ฟู่” เสี่ยวฉินไช่ปาดเหงื่อ “คุณครูบอกว่าไต้ฝุ่นจะมาแล้ว กำชับพวกหนูว่าออกจากโรงเรียนแล้วให้กลับบ้านทันที อย่าไปเที่ยวซนที่ไหน แถมยังบอกด้วยว่าพรุ่งนี้หลังเลิกเรียนจะประกาศในวีแชทกลุ่มผู้ปกครอง”
“เอ๋? ไต้ฝุ่นเหรอ”
จางจื่ออันใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “ไม่หรอก เมื่อเช้าฉันยังดูพยากรณ์อากาศอยู่เลย ไต้ฝุ่นไม่ได้มาทางเรานะ”
ความจริงแล้วตั้งแต่สองสามวันก่อน มีพายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นในทะเลใต้ กำลังเคลื่อนที่มาทางตะวันออกเฉียงเหนือ นี่เป็นไต้ฝุ่นรุนแรงลูกที่เจ็ดในทะเลแปซิฟิกเหนือและน่านน้ำทะเลใต้ของปีนี้
วงโคจรการเคลื่อนที่ของไต้ฝุ่นไม่คงที่ คาดเดาได้ยากมาก ส่วนใหญ่เปลี่ยนไปยังทิศตะวันออก มุ่งหน้าไปทางประเทศญี่ปุ่นก่อนที่จะมาถึงเมืองปินไห่ แต่ก็มีไต้ฝุ่นที่ไม่เดินตามทางปกติเหมือนกัน
เหมือนตอนที่ไต้ฝุ่นหกลูกปรากฏขึ้นในปีนี้ จางจื่ออันกังวลเรื่องไต้ฝุ่นรุนแรงเบอร์เจ็ดนี้มาโดยตลอด ตอนดูข่าวพร้อมเหล่าฉาทั้งเช้าและเย็น เขาจะถือโอกาสดูพยากรณ์อากาศไปด้วย
เมื่อวานเย็น ผลการคาดการณ์ที่พยากรณ์อากาศให้มานั้นอยู่ในแง่ลบ บอกว่าไต้ฝุ่นกำลังแรงจะขึ้นมาที่เมืองปินไห่ แต่เช้าวันนี้ผู้ประกาศกลับบอกข่าวดีว่าไต้ฝุ่นเปลี่ยนทิศทางแล้ว ทำให้เขาและชาวเมืองปินไห่ที่กำลังกังวลสบายใจมากทีเดียว
หลังจากนั้นเขาก็ยุ่งจนหัวหมุนตั้งแต่เช้า ไม่ได้สนใจพยากรณ์อากาศอีก
เสี่ยวฉินไช่ตอบด้วยท่าทางงุนงง “หนูก็ไม่รู้ค่ะ แต่คุณครูพูดแบบนี้ หยุดกันทั้งโรงเรียนเลย พี่ชายดูสิคะ”
เธอชี้ไปข้างหลัง
เด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่กำลังกรูกันออกมาจากทั่วสารทิศของโรงเรียนราวกับน้ำท่วม แต่เพราะเธอวิ่งเข้ามา จึงออกมาก่อนก้าวหนึ่ง
จางจื่ออันรู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์แล้ว
ตอนเช้าพวกเสี่ยวฉินไช่ยังเรียนอยู่ นั่นหมายความว่าเช้าวันนี้ทางโรงเรียนคิดว่าไต้ฝุ่นเปลี่ยนทิศทางไปแล้ว ไม่ได้มาคุกคามถึงเมืองปินไห่ จึงให้พวกนักเรียนมาเรียนหนังสือกันตามปกติ แต่ตอนนี้กลับหยุดเรียนทั้งโรงเรียน หากตัดสินใจแบบนี้แล้ว แสดงว่าไต้ฝุ่นจะต้องมีการเคลื่อนไหวใหม่แน่นอน
“งั้นเสี่ยวฉินไช่รีบกลับบ้านเถอะ” เขาเร่ง “ไต้ฝุ่นอันตรายมาก เชื่อฟังคุณครูนะ อย่ามัวแต่เที่ยวเล่นข้างนอกเด็ดขาด”
“ค่ะ!” เสี่ยวฉินไช่พยักหน้า แล้วโบกมือ “งั้นหนูไปแล้วนะคะ บ๊ายบายพี่ชายเจ้าของร้าน!”
จางจื่ออันไม่อยากอาหารแล้ว พอกำลังจะหมุนตัวเข้าไปในบ้าน ก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ จึงเรียกเธอไว้
“เดี๋ยวก่อน เสี่ยวฉินไช่ พ่อแม่เธออยู่บ้านเหรอ”
เสี่ยวฉินไช่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “แม่หนูทำงานอยู่”
“งั้นเธอ…”
จางจื่ออันเกือบจะหลุดปากถามว่าพ่อของเธอทำงานอยู่หรือเปล่า แต่อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอไม่เคยพูดถึงพ่อมาก่อน ถูกต้อง รู้จักเธอมาเกือบปีแล้ว เธอบอกตลอดว่าแม่เป็นอย่างไร แต่ไม่เคยพูดเลยว่าพ่อเป็นอย่างไร
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้จางจื่ออันก็แอบสงสัย ลูกของคนอื่นเหมือนแก้วตาดวงใจ มักจะมีผู้ปกครองคอยรับส่ง แต่ส่วนใหญ่เสี่ยวฉินไช่ไปโรงเรียนและกลับบ้านโดยลำพัง บางครั้งมีเพื่อนอย่างหวางหย่าหนิงเดินไปด้วยกัน ไม่เคยเห็นพ่อแม่ของเธอรับส่งเธอมาก่อน
พวกเขาอาจจะมีเหตุผลมากมาย อย่างเช่น ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวทั้งคู่จึงค่อนข้างยุ่ง สองสามีภรรยาเข้างานเก้าโมง เลิกงานสามทุ่มตลอดทั้งหกวันต่อสัปดาห์ บวกกับปู่ย่าตายายไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้ เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเธอก็น่าจะพูดถึงพ่อบ้างสิ
โอกาสหย่าร้างของสังคมปัจจุบันสูงมากจริงๆ โดยเฉพาะสามีภรรยาที่ค่อนข้างเป็นหนุ่มสาว ไม่ได้อดทนได้เหมือนคนรุ่นก่อน พูดไม่เข้าหูกันก็มักจะหย่าร้างกัน
ถ้าเธอเป็นผู้ปกครองคนเดียว อย่างนั้นก็อธิบายได้ชัดเจนแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น