Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1666-1672
ตอนที่ 1666 คนที่แข็งแกร่งที่สุด
จางจื่ออันไม่ได้ปลอบใจเธอ ราวกับคนแข็งแกร่งอย่างเธอไม่อยากได้การปลอบใจของเขา
เขาก็ไม่เข้าใจความเจ็บปวดของเธอ เธอเป็นอมตะอยู่ในความฝัน จึงมีเวลามากมายคิดปัญหาทางปรัชญาพวกนี้ แต่ก็เป็นอย่างที่เธอพูดนั่นแหละ เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นแค่คนทั่วไปในบรรดามนุษย์มากมาย ยุ่งอยู่กับการซ่อมบ้าน บำรุงรักษารถ หาเงิน หาแฟน ต่อไปก็เลี้ยงลูก…ถึงแม้มีคนบอกเขาว่าโชคชะตาของเขาถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เขาก็ทำได้แค่ร้องอ๋อ จากนั้นก็ทำทุกอย่างตามปกติ
เขายอมรับเรื่องจริงที่ว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา และเธอไม่ใช่คนธรรมดา เธออาจจะไร้เทียมทานในใต้หล้า อาจจะกลายเป็นผู้ชี้ขาดที่แข็งแกร่งที่สุด แต่พอได้ยินข้อมูลที่ว่าเจตจำนงเสรีอาจจะไม่มีอยู่จริงขึ้นมากะทันหัน ไม่ว่าตัวเองจิตใจแข็งแกร่งแค่ไหน โชคชะตาก็เหมือนถูกบางอย่างกลืนกินในความมืด ทำให้จิตใจของเธอสับสนอย่างรุนแรงและรู้สึกพ่ายแพ้อย่างมาก
“ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอทุกข์ใจและโมโหมาก ฉันอยากตอบเธอนะ แต่น่าเสียดาย ในเมื่อเธอควบคุมความทรงจำของฉันแล้ว ก็น่าจะเข้าใจมากกว่าฉันเป็นเท่าตัว ไม่ว่าฉันบอกเธอว่ามีหรือไม่มีเจตจำนงเสรี ก็เป็นเรื่องคลุมเครือที่ไม่มีหลักฐานทั้งนั้น ก็ได้แต่ทำให้เธอรู้สึกโมโหมากขึ้น และไม่มีทางคลายความทุกข์ใจของเธอได้”
หลังจากเขาพิจารณาแล้ว เขาก็ตัดสินใจพูดตามตรง เพราะความรู้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ของเธอเหนือกว่าเขามาก เขาพูดไร้สาระอะไรไปเธอก็เข้าใจอย่างปรุโปร่ง ยั่วโมโหคนที่กำลังอารมณ์เสีย ก็รังแต่จะทำให้จุดจบของเขายิ่งน่าเวทนามากขึ้น
พอพูดออกไป เขาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะยั่วโมโหเธอยิ่งกว่าเดิม แต่คิดไม่ถึงว่าเธอกลับหัวเราะ หัวเราะเป็นครั้งแรกของวันนี้ แล้วถามอย่างอ่อนโยนว่า “คุณอยากกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดหรือเปล่า”
เขาตะลึงไปในทันที
ตอนมัธยมสองมีใครไม่เคยฝันให้ตัวเองกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดบ้าง กลายเป็นนักกีฬายิ่งใหญ่ กลายเป็นดาราภาพยนตร์ระดับโลก กลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก กลายเป็นเจ้าโลก…แต่พอโตขึ้น ความฝันก็ถูกความจริงทำลายจนถล่มยับเยิน
“แข็งแกร่งที่สุดที่ฉันพูดถึง ก็คือแข็งแกร่งที่สุดจริงๆ ไม่ได้แค่สอนกังฟูเตะต่อยสองสามกระบวนท่าเหมือนเหล่าฉา สมัยนี้เป็นกังฟูแล้วทำอะไรได้? สู้กับศัตรูหนึ่งคน สิบคน หรือสู้กับศัตรูร้อยคนได้?” เธอยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“คุณน่าจะเข้าใจมากแล้ว ในโลกความฝัน ฉันควบคุมได้ทุกอย่าง” เธอพูดราวกับมีความหวังเต็มเปี่ยม “ฉันทำให้คุณมีแต่รอยแผลเต็มตัวจนเผชิญหน้ากับความตายได้ เข้าใกล้ความตายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ ขาดก็แค่สมองตายเท่านั้น วินาทีต่อมาก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นเหมือนเดิม วนเวียนเป็นวัฏจักแบบนี้…เกิดแล้วตายซ้ำๆ ตายแล้วเกิดซ้ำๆ ผ่านวัฏจักรนี้นับครั้งไม่ถ้วน คุณน่าจะรู้ว่าเป็นแบบนี้แล้วจะเกิดผลลัพธ์อะไรสินะ?”
เชี่ย!
จางจื่ออันขนลุกซู่ เกือบจะฉี่รดกางเกงแล้ว!
ซิงไห่เคยเจอการหมุนเวียนไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้แล้ว จนกลายเป็นแมวควอนตัม
เฟยหม่าซือก็ผ่านการหมุนเวียนที่มีขีดจำกัดคล้ายคลึงกันแต่แย่น้อยกว่านั้น จนได้รับความสามารถลางสังหรณ์วิกฤต
ดูเหมือนน่าอิจฉา แต่ถ้าให้พวกมันเลือก พวกมันคงจะเลือกทิ้งความสามารถที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ เพื่อแลกกับชีวิตธรรมดาและสงบสุข
ในฐานะมนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งของโลกนี้ เขาแข็งแกร่งกว่าแมวและสุนัขมาก ถ้าผ่านวัฏจักรที่คล้ายกัน ถึงแม้ไม่ถึงระดับของซิงไห่ อย่างน้อยก็คงเก่งกาจกว่าเฟยหม่าซือ ถ้าบอกว่ามนุษย์แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่ใช่คำพูดไร้สาระเลยจริงๆ
นี่ไม่ใช่การพูดเรื่อยเปื่อยให้กลัวไปอย่างนั้น เพราะเธอทำได้อย่างที่พูดแน่นอน
แต่ขั้นตอนนี้ ค่อนข้างเหมือนกับพลังไร้ขีดจำกัดของนรก
อย่าว่าแต่ไร้ขีดจำกัดเลย ถึงเกือบตายหนึ่งร้อยครั้ง สุดท้ายก็ต้องร้องขอความตายจริงๆ อย่างแน่นอน
เธอเดินเข้าใกล้เขาทีละก้าว หน้าตาพึงพอใจ ส่วนเขาถอยหลังทีละก้าวด้วยความกลัว ถอยหลังไปจนถึงริมผาแล้วถึงหยุดชะงัก
“เริ่มตั้งแต่ตกหน้าผาเลยแล้วกัน คุณว่าเป็นยังไง?” เธอยิ้มหวานหยดย้อย ก่อนจะมองไปยังหน้าผาสูงหลายร้อยเมตรนั้น แล้วยกมือลูบปอยผมเบาๆ น้ำเสียงผ่อนคลายจนให้อารมณ์เหมือนกำลังปรึกษากับเขาว่าเย็นนี้จะกินอะไร
เรื่องถึงตรงนี้ จางจื่ออันไม่สนใจประเทศ ชื่อเสียงเกียรติยศส่วนรวม และภารกิจหนักอึ้งของตัวเองอีกแล้ว ถ้าเขารู้ความลับอะไร เขาต้องนำออกมาใช้เพื่อแลกกับความตายแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีแม้แต่แต้มต่อเลยด้วยซ้ำ
“นี่เธอวางแผนจะทำอะไร ฉันไม่คู่ควรให้เธอเสียเวลาวุ่นวายด้วยหรอกนะ” เขาอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
เธอมองเขาอย่างจริงจัง “พอคุณกลายเป็นหมาควอนตัม…เอ้ย หลังจากเป็นคนควอนตัม พวกเราก็ร่วมมือกันศึกษาได้ ลองดูว่าคุณเลือกอนาคตมากมายที่คุณมองเห็นได้อย่างอิสระหรือไม่กันแน่ นี่มีประสิทธิภาพสูงกว่าฉันก้มหน้าศึกษาด้วยตัวเองเสียอีก คุณก็หวังว่าจะได้กลายเป็นคนเหนือคนไม่ใช่เหรอ มีความสามารถแบบนี้แล้ว อยากมีสาวๆ กี่คนก็ได้ทั้งนั้น…”
“ฉันไม่เคยหวังเลยสักนิด! ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ ถ้าเธอปล่อยฉันไป จะให้ฉันทำอะไรก็ได้!” จางจื่ออันละทิ้งเกียรติของตัวเองไปแล้ว
เธอเคยพูดว่า ตอนเจอเธอครั้งหน้า เธอจะให้เขาขอร้องเธอแน่นอน ตอนนี้เธอทำให้คำสัญญาเป็นจริงแล้ว
ผู้หญิงคนนี้…ไม่ใช่สิ ผีเสื้อตัวนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ตอนนี้เขาเริ่มสาปแช่งโชคชะตา ว่าทำไมถึงให้เขาเจอกับภูตสัตว์เลี้ยงที่สวยสุดๆ และน่ากลัวสุดๆ ตัวนี้
เธอเหมือนจะรอเขาพูดคำนี้อยู่พอดี “อ๋อ จริงเหรอ”
“จริงสิ เธอให้ฉันไปตายฉันก็รับปาก” เขาพูดด้วยท่าทางห่อเ**่ยว
น่าเสียดายที่เธอไม่ให้เขาตาย เขาตายแล้วเธอก็ต้องหายไปน่ะสิ
“ดีมากเลย!” เธอยิ้มกว้าง ปรบมือดีใจเหมือนเด็กสาวคนหนึ่ง
“เธอก็อย่ามัวแต่เล่นละครเลย พูดมาตรงๆ เถอะ จะให้ฉันทำอะไร” เขาถอนหายใจอย่างหมดแรง
เธอเก็บรอยยิ้ม ใบหน้าเย็นชาเช่นเดิม “เด็กสาวที่คุณเจอเมื่อตอนกลางวัน ยังจำได้ไหม”
จางจื่ออันตะลึง เขายังอยากถามว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเกี่ยวข้องกับจวงเสี่ยวเตี๋ยหรือเปล่า สุดท้ายเธอก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน
“จำได้สิ ทำไมเหรอ”
เธอเงียบอยู่พักหนึ่ง “อาจจะเป็นลางสังหรณ์ ฉันรู้สึกว่าเธอให้คำตอบของคำถามฉันได้ ถ้าครั้งหน้าคุณเจอเธอ ต้องถามคำถามนี้ให้ชัดเจนนะ ไม่อย่างนั้น…”
ไม่อย่างนั้นอะไร คงไม่ต้องพูดอีกแล้ว
จางจื่ออันงุนงงไปในทันที เด็กผู้หญิงวัยมัธยมต้นคนนั้นมีความสามารถแบบนี้ด้วยเหรอ หรือว่าเธอเป็นไอน์สไตน์กลับชาติมาเกิด?
ในหัวสมองของเขาสับสนวุ่นวาย กำลังพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ แต่ก็ได้ยินเธอพูดอีกว่า “อย่ามัวแต่ตะลึงสิ คุณไม่ลืมหรอก วันนี้ฉันมีสองคำถามที่อยากถาม เมื่อกี้ถามไปแค่คำถามเดียว”
อาการเข่าอ่อนจู่โจมร่างกายของเขาเป็นระลอก เขาแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว คำถามแรกต้องการชีวิตเขาครึ่งหนึ่ง อย่างนั้นคำถามที่สองคงจะ…
“คำถามที่สองฉันไม่รีบเอาคำตอบ คุณกลับไปค่อยๆ คิดก็ได้”
เธอเข้าใกล้หน้าอกของเขา ก่อนจะหายใจออกมาอย่างแรง และพูดเสียงเบาว่า “หุ่นยนต์ฝันถึงแกะอิเล็กทรอนิกส์ได้ไหม”
เขายังไม่ทันได้สติ ฝ่ามือขาวบอบบางของเธอก็ยื่นเข้ามาผลักหน้าอกของเขาอย่างแรงครั้งหนึ่ง
ตกเขาแล้ว
เสียงหัวเราะสบายอารมณ์ของเธอดังมาจากยอดเขา เสียงเริ่มไกลจากเขาขึ้นเรื่อยๆ
เขาตะโกนร้องอย่างหวาดกลัว แกว่งแขนมั่วซั่ว ยอดเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ข้างหูมีเสียงลมผ่านไปดังฟู่ๆ จากนั้นพริบตาที่เขาตกลงบนพื้น…ก็ตื่นจากฝัน
ตอนที่ 1667 พินิจพิเคราะห์ดู
จางจื่ออันลุกขึ้นมานั่งบนเตียงเหมือนปลาเค็ม ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ เสื้อแนบไปกับตัว รู้สึกเหนียวตัวอย่างมาก
ตรงหน้าของเขามีแต่ความมืด ราวกับยังเหลือภาพตอนตกเขาเหลืออยู่ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุจากอก ดูท่าทางที่คนบอกว่าถ้าตายในความฝัน ร่างกายในความจริงจะตายไปด้วย นี่อาจจะไม่ใช่คำพูดโกหก
สมองแยกไม่ออกว่าเป็นความฝันหรือความจริง คิดว่ายังอยู่ในสถานการณ์เฉียดตาย ขับเคลื่อนร่างกายให้เกิดปฏิกิริยาความเครียด จึงปล่อยฮอร์โมนออกมาในปริมาณมาก หัวใจเต้นเร็วจนความดันโลหิตสูงขึ้น หลังจากถึงขีดสุดแล้วหัวใจอาจจะหยุดเต้นในฉับพลัน
เขานั่งงุนงงอยู่บนเตียงอย่างนั้นสักพัก ถึงจะค่อยๆ หลุดจากภวังค์
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกผีเสื้อน่ากลัวทำให้ตกใจจนเป็นโรคหัวใจแน่
ลมพัดผ้าม่านพลิ้ว มีแสงอ่อนๆ ส่องผ่านช่องผ้าม่านเข้ามาเล็กน้อย ท้องฟ้าเพิ่งมีแสงสีทองเล็กน้อย เช้ากว่าเวลาตื่นนอนปกติของเขาเล็กน้อย พูดได้ว่าฝันดีช่างแสนสั้น แต่ฝันร้ายช่างยาวนาน
เมื่อครู่เขาลุกขึ้นนั่งเร็วเกินไป และไม่แน่ใจว่าก่อนตื่นนอนได้กัดฟันหรือเปล่า ภูตสัตว์เลี้ยงที่ประสาทสัมผัสไวหลายตัวตื่นนอนแล้ว น่าจะเห็นเขาฝันร้ายอย่างบ้าคลั่ง จึงเริ่มทยอยตื่นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ดีที่ตอนเช้าตรู่ในช่วงนี้ไม่ร้อนไม่หนาว ไม่อย่างนั้นนั่งเอ๋อพร้อมเหงื่อเย็นๆ ท่วมตัวแบบนี้อาจจะเป็นหวัดได้
หลังจากฝันร้ายควรจะรีบเบี่ยงเบนความคิดไปเรื่องอื่น และไม่สนใจฝันร้ายอีก แต่จางจื่ออันทำได้แค่คิดทบทวน พยายามคิดถึงฝันเมื่อครู่เพื่อไม่ให้ตัวเองลืม ไม่อย่างนั้นฝันร้ายครั้งนี้จะต้องวุ่นวายกับเขาไปทั้งชีวิตแน่
ทิ้งเรื่องคึกคักก่อนหน้านี้ไปก่อน ประเด็นสำคัญคือคำถามสองข้อของจวงเสี่ยวเตี๋ย
เขาคิดทบทวนจนเข้าใจ ทำไมเธอต้องใช้วิธีข่มขู่มาบังคับเขา เพราะเขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เขาไม่สนใจเจตจำนงเสรี ถ้าเธอแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย เขาน่าจะไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้นัก ถึงเจอเด็กสาวมัธยมต้นคนนั้นอีก ก็คงจะไม่ถาม คุณลุงชวนเด็กผู้สาวมัธยมต้นคุยเล่น ถามว่าเธอรู้จักเจตจำนงเสรีหรือเปล่า…คิดอย่างไรภาพนี้ก็ดูเหมือนล่าของแปลก เข้าไปขอเงินยังจะดีเสียกว่า
เขาสงสัยมากว่าลางสังหรณ์ของจวงเสี่ยวเตี๋ยผิดพลาดหรือเปล่า หญิงสาวคนเดียวทำลายความจริงของเจตจำนงเสรีได้เหรอ ล้อเล่นอะไรกัน เด็กสมัยนี้ถ้าไม่ถูกการเรียนกดดันจนหายใจไม่ออก ในใจก็น่าจะเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นเงียบๆ วิ่งไปให้กำลังใจเพื่อนผู้ชายตัวสูงผอมหน้าตาหล่อเหลาข้างๆ สนามบาสเก็ตบอลทุกวัน เด็กคนไหนจะไปคิดเรื่องบ้าบออย่างเจตจำนงเสรีกัน
แต่เขาตอบคำถามไปแล้ว ไม่ถามก็ไม่ได้ แบบนั้นน่าขำจริงๆ
แน่นอนว่าเงื่อนไขข้อแรกของทุกอย่างนี้ คือต้องเจอกับเด็กสาวมัธยมต้นคนนั้นอีกครั้งถึงจะทำได้ ถ้าไม่เจอ เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูด
ตอนนี้เขาดีใจมากที่เธอไม่ได้ทิ้งช่องทางการติดต่อไว้ที่โรงน้ำชาอิ่นอู้ ไม่อย่างนั้นคงยุ่งยาก ถือเสียว่าใช้เงินให้อาหารสุนัข เขาก็ไม่อยากกลับไปแล้ว
ผู้คนมากมาย ไม่มีช่องทางการติดต่อ แม้แต่หน้าตาและชื่อของเธอก็ไม่รู้ แล้วจะไปถามหาเธอจากที่ไหน ถึงเมืองปินไห่ไม่นับว่าเป็นเมืองแถวหน้า แต่อย่างน้อยก็มีประชากรที่อาศัยอยู่เป็นประจำหลายล้านคน บวกกับคนทำงานที่หลั่งไหลมาจากนอกเมือง เกรงว่าคงถึงสิบล้านคน
ดังนั้นแม้คำถามนี้จะเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยในชีวิตของเขา แต่ความจริงแล้วก็ยังเหลือเวลาอีกมาก ใช้เรื่องนี้ถ่วงเวลาไปได้อีกสักพัก
แต่อีกคำถามหนึ่ง…
หุ่นยนต์ฝันถึงแกะอิเล็กทรอนิกส์ได้ไหม?
ความจริงแล้วคำถามที่ดูแปลกๆ นี้เป็นชื่อของนิยายไซไฟเรื่องหนึ่ง หลายคนไม่เคยได้ยิน ย่อมไม่เคยอ่าน ถึงอย่างไรนิยายเรื่องนี้ก็ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1968 ไม่ค่อยเหมาะกับการอ่านในปัจจุบัน และฝีมือการเขียนของผู้แต่งหนังสือนิยายเล่มนี้ ฟิลลิป ดิก และจินตนาการของเขาก็มีสไตล์โดดเด่นเสมอมา ถ้าไม่ใช่นักอ่านนิยายไซไฟตัวยงก็คงทนอ่านต่อไปได้ยาก
แม้นิยายเล่มนี้จะไม่เป็นที่นิยม แต่ภาพยนตร์ดัดแปลงของมันเรียกได้ว่าโด่งดังเป็นพลุแตกในวงการภาพยนตร์ นั่นก็คือ ‘เบลด รันเนอร์’ ที่เข้าฉายเมื่อปี 1982 ซึ่งแฟนภาพยนตร์ไซไฟ กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ต่างก็ยกย่องให้เป็นภาพยนตร์ไซไฟที่ดีที่สุด
แต่น่าบังเอิญ เรื่องบรรยายในภาพยนตร์เกิดขึ้นในศตวรรษก่อนการขัดแย้งกันในลอสแองเจลิสปี 2019 ด้วย
ที่จวงเสี่ยวเตี๋ยพูดถึงคือชื่อนิยาย ไม่ใช่ชื่อภาพยนตร์ ดังนั้นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์น่าจะมองข้ามไปได้ และความจริงทุกวันนี้เนื้อหาของนิยายก็ไม่สดใหม่แล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นชื่อหนังสือที่ทำให้คนจำได้ขึ้นใจ
“หุ่นยนต์ฝันถึงแกะอิเล็กทรอนิกส์ได้ไหม?” หลังจากจางจื่ออันคิดอย่างละเอียดซ้ำๆ เขาก็รู้สึกว่าที่เธอถามน่าจะเป็นความหมายตามตัวหนังสือของประโยคนี้ ไม่ได้ทดสอบว่าเขายังจำเนื้อหาของนิยายได้ไหม เขาเคยอ่านนิยาย แต่จำเนื้อหาไม่ค่อยได้แล้ว
ประโยคนี้มีความหมายสองชั้น เด็กนักเรียนที่มีความสามารถทางด้านภาษาก็วิเคราะห์ได้ หนึ่งคือหุ่นยนต์ฝันได้หรือไม่ สองคือถ้าหุ่นยนต์ฝันได้ จะฝันถึงแกะอิเล็กทรอนิกส์ได้หรือเปล่า
จวงเสี่ยวเตี๋ยถามคำถามนี้ต้องมีนัยแฝงอยู่แน่นอน ไม่ได้ถามโดยไม่มีเหตุผล เธอไม่ได้ว่างและไม่ได้มีอารมณ์ขันขนาดนั้น
หุ่นยนต์ที่ว่า ในโรงงานขนาดใหญ่ก็มี แขนเครื่องจักรที่ชำนาญการประกอบชิ้นส่วนอย่างสม่ำเสมอ ดูไปแล้วค่อนข้างน่าตกใจ แต่หุ่นยนต์ที่ทำงานตามโปรแกรมที่ตั้งเอาไว้กับหุ่นยนต์ที่ผู้คนมักจะจินตนาการไม่ใช่เรื่องเดียวกัน พอทุกคนพูดถึงหุ่นยนต์ ก็มักจะหมายถึง ‘หุ่นยนต์เหมือนคน’ จริงๆ หรือจะบอกว่าเป็นหุ่นยนต์เลียนแบบสิ่งมีชีวิต หุ่นยนต์ที่มีรูปร่างภายนอกเหมือนคน การพูดจา การกระทำ และวิธีคิดคล้ายกับคน
หุ่นยนต์ระดับนี้ไม่มีอยู่ในสังคมปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งต่อไปคงจะปะทุขึ้นแล้ว การเกิดของสังคมมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สิ่งมีชีวิตอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง มนุษย์ไม่ได้มุ่นอยู่กับการทำงานเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เพื่อเข้าสู่สังคมอุดมคติล่วงหน้า…คิดในทางที่ดีก็เป็นอย่างนั้น ถ้าคิดในทางที่ไม่ดี ‘คนเหล็ก’ ก็อาจจะกลายเป็นความจริง หุ่นยนต์จะปฏิวัติชีวิตมนุษย์…
หุ่นยนต์เลียนแบบสิ่งมีชีวิตยังห่างไกลความจริงมาก ตอนนี้เทคโนโลยีของมนุษย์ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น จวงเสี่ยวเตี๋ยสนใจคำถามที่ยังห่างไกลตัวขนาดนี้เลยเหรอ?
เขาลองคิดอย่างละเอียดอีก ร่างกายของหุ่นยนต์เลียนแบบสิ่งมีชีวิตไม่ใช่ประเด็น ไม่ว่ามีหน้าตาเหมือนคนหรือไม่ก็เป็นเรื่องเล็กที่ไม่สลักสำคัญอะไร ระดับเทคโนโลยีของสังคมปัจจุบันก็พอจะใช้เครื่องจักรขับเคลื่อนมนุษย์จากภายนอกได้ด้วยการทำของปลอมให้เป็นของจริง สมองของหุ่นยนต์จะตัดสินใจได้อย่างมนุษย์หรือไม่ ก็เหมือนตัดสินให้มนุษย์กลายเป็นสมองศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่ง ไม่ใช่ร่างกายอันอ่อนแอของมนุษย์
ถ้าขยายความคำว่า ‘หุ่นยนต์’ ไปถึงปัญญาประดิษฐ์ ก็เหมือนจะอธิบายได้ชัดเจนแล้ว
เมื่อปัญญาประดิษฐ์ปรากฏขึ้นจริงๆ หุ่นยนต์เลียนแบบสิ่งมีชีวิตก็จะเกิดตามมาเรื่อยๆ
แน่นอนว่าสังคมปัจจุบันจะไม่ค้นพบปัญญาประดิษฐ์ที่แตกต่างกับมนุษย์ แม้จะพูดอย่างนั้น…
จางจื่ออันควักโทรศัพท์มือถือออกมาจากใต้หมอน พลางจ้องหน้าจอมืดสนิท เขายังไม่ได้ปลดล็อก แค่จ้องอย่างเหม่อลอย
ในโทรศัพท์มือถือของเขากลับมีปัญญาประดิษฐ์ของแท้อยู่ อย่างน้อยมันก็บอกว่าอย่างนั้น
ดังนั้น ความจริงแล้วคำถามของจวงเสี่ยวเตี๋ยเป็นคำถามคลุมเครือ เหมือนถามว่าผู้ชี้แนะภูตสัตว์เลี้ยงฝันได้ไหม?
ตอนที่ 1668 ความหอมหวนปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ผู้ชี้แนะภูตสัตว์เลี้ยงฝันได้ไหม…จางจื่ออันไม่เคยคิดถึงคำถามนี้เลยจริงๆ ก็เหมือนที่เขาไม่เคยคิดถึงคำถามเจตจำนงเสรีนั่นแหละ
ตามหลักการแล้ว ถ้าผู้ชี้แนะภูตสัตว์เลี้ยงเป็นปัญญาประดิษฐ์จริงๆ ก็เป็นไปได้มากว่าจะฝันได้
ฝันดีของมันจะฝันถึงผู้ชี้แนะภูตสัตว์เลี้ยงอีกตัวหรือเปล่า หรือจะฝันถึงแกะอิเล็กทรอนิกส์
จางจื่ออันจินตนาการภาพความฝันของหุ่นยนต์ไม่ได้ แต่ต้องแปลกประหลาดมากแน่นอน
ถ้าอยากรู้ ก็อาจจะลองถามผู้ชี้แนะภูตสัตว์เลี้ยงสักหน่อย แม้มันจะไม่เคยหลอกใคร แต่จะยอมตอบคำถามนี้หรือเปล่า…และจวงเสี่ยวเตี๋ยตั้งใจใช้วิธีคลุมเครือมาถาม น่าจะไม่ได้หวังให้เขาไปถามผู้ชี้แนะภูตสัตว์เลี้ยง ไม่อย่างนั้นบอกเขาตรงๆ เหมือนคำถามแรกก็ได้แล้วนี่
เขานั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง จี้จุดแรงบันดาลใจที่เต็มไปด้วยจินตนาการท่ามกลางความคลุมเครือ เหมือนจะเข้าใจความตั้งใจของจวงเสี่ยวเตี๋ยแล้ว เธอเป็นผู้ชี้ขาดโลกแห่งความฝัน ถ้าผู้ชี้แนะภูตสัตว์เลี้ยงฝันได้ อย่างนั้น…
เย็น
เหงื่อท่วมตัวระเหยความร้อนจากร่างกายของเขาไป แต่คำถามที่สองของเธอ และความตั้งใจที่เธอซ่อนไว้กลับทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูก ถึงขนาดตัวสั่นเลยทีเดียว
เธอช่างกล้าคิดจริงๆ เลย…
เขาไม่รู้ว่าเธอซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของความฝันและใช้เวลากี่ปีในการศึกษาทฤษฎีคณิตศาสตร์และทฤษฎีฟิสิกส์ อาจจะสรุปสูตรคณิตศาสตร์และสมการฟิสิกส์ที่เขาไม่เคยเรียนมากมายออกมาได้แล้ว บวกกับความรู้ที่เขาเรียบเรียงในความทรงจำ ที่สำคัญที่สุดของโปรแกรมก็คือพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เกรงว่าเธอคงจะมีความรู้ขั้นลึกซึ้งในเรื่องโปรแกรมและรหัสแล้ว
ไม่ว่าปัญญาประดิษฐ์เข้าใจยากและแปลกประหลาดขนาดไหน สุดท้ายก็น่าจะสร้างพื้นฐานรหัส เหมือนที่เธอบุกเข้ามาในโลกความฝันของเขาได้อย่างง่ายๆ อาจจะ…
เขาส่ายหน้า ช่างเถอะ เรื่องนี้เกิดขอบเขตการจินตนาการของเขาแล้ว
“เหตุใดเจ้าถึงมีท่าทางเหมือนผีเข้าตั้งแต่เช้าตรู่ เดี๋ยวก็ถอนหายใจ เดี๋ยวก็ส่ายหน้า จะไม่ให้ข้านอนหลับเลยหรือ” ฟีน่าพูดอารมณ์เสียอยู่บนเตียงเจ้าหญิง สีหน้าไม่น่าดูอย่างมาก
ปกติจางจื่ออันจะต้องสอดแทรกมุกตลกเปลี่ยนเรื่องพูด แต่วันนี้เขาไม่มีอารมณ์เปลี่ยนเรื่องพูดเลย จึงถอนหายใจอีก “อย่าให้พูดเลย คืนนี้ฉันฝันร้ายอีกแล้ว”
“แกว๊กๆ! ฝันว่าถูกผู้ชายหลายคนเวียนหยอกเย้าเหรอ” ริชาร์ดก็กระโดดขึ้นมาจากข้างหมอน “ในที่สุดก็เปิดหูเปิดตาแล้ว พ่อหนุ่ม!”
ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นก็ทยอยกันตื่นนอนอย่างต่อเนื่อง ความจริงแล้วเมื่อครู่พวกมันถูกเขาปลุกแล้วก็นอนไม่ค่อยหลับเท่าไร ประสาทสัมผัสไวเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี
“ถึงถูกผู้ชายหลายคนเวียนหยอกเย้า ก็คงจะดีกว่าฝันถึงเธอ…” จางจื่ออันพูดทั้งที่โมโหแต่ไม่มีแรง
“แกว๊ก?”
ริชาร์ดอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เขายอมแพ้อย่างนี้เหนือความคาดหมายของมันจริงๆ
“หรือว่าจะเป็น…จวงเสี่ยวเตี๋ย?” เฟยหม่าซือสะดุ้งตื่นขึ้นมา มันก็มีเงาดำในจิตใจที่เธอทิ้งเอาไว้เหมือนกัน ถึงอย่างไรเธอก็แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ
จางจื่ออันพยักหน้า “เธอนั่นแหละ”
“เธอไม่ได้ปรากฏตัวในโลกจินตนาการของฉันนานแล้ว ฉันยังคิดว่าเธอหายไปแล้วนะเนี่ย…” เฟยหม่าซือพูดพึมพำ
“เธอปรากฏตัวครั้งนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องกลางวันของเมื่อวาน”
เมื่อวานหลังจากจางจื่ออันกลับมาจากโรงน้ำชาอู้อิ่น เขาก็ปรึกษากับเหล่าฉาและฟราเทอร์ ว่าจะไม่เล่าเรื่องของเด็กสาวมัธยมต้นให้ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นฟัง เพราะเรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไป พูดไปก็จะยิ่งสร้างความวุ่นวายใจให้กับทุกคน
แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจไม่ปิดบังอีกแล้ว พูดเรื่องราวเมื่อวานและความฝันเมื่อคืนออกมาทั้งหมด รวมถึงคำถามแรกของจวงเสี่ยวเตี๋ยด้วย ข้ามไปแค่คำถามที่สองของเธอ
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเขาก็พูดจบ เหล่าฉากับฟราเทอร์ช่วยเขาพูดเสริม และเป็นพยานให้กับข้อสงสัยของภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นด้วย
โชคดีที่เหล่าฉากับฟราเทอร์ตามเขาไป ไม่อย่างนั้นทุกคนต้องคิดว่าเขาตาพร่าหรือเล่นลูกไม้อีกแล้วแน่ๆ
พวกภูตสัตว์เลี้ยงที่ขัดจังหวะเขาขณะเล่าเรื่องอยู่หลายครั้ง ก็พากันจมสู่ห้วงความคิด นอกจากคิดว่าเด็กสาวมัธยมต้นคนนั้นหายไปได้อย่างไร คำถามแรกของจวงเสี่ยวเตี๋ยก็ดึงดูดความสนใจของพวกมันเช่นเดียวกัน
ใช่ ไม่มีใครอยากกลายเป็นตัวหมากของโชคชะตาหรอก
มีเพียงฟีน่าที่สาวเท้ามาข้างหน้า กระโดดจากเตียงเจ้าหญิงมาที่เตียงของเขา ก่อนจะถลึงตากลมโตคำรามเสียงแหลม “เจ้าพูดว่าอะไรนะ? อยู่ๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็หายไป และหาร่องรอยจากกลิ่นของเธอไม่เจอด้วยหรือ?”
มันทำหน้าตาเ**้ยมโหด น้ำเสียงเฉียบขาดอย่างยิ่ง ดวงตาสีเขียวมรกตสองข้างแทบจะพ่นไฟออกมาอยู่แล้ว กรงเล็บแหลมยื่นออกมา ราวกับว่าถ้าจางจื่ออันตอบช้า มันก็จะข่วนเขาสักครั้ง
“ใช่ เมื่อกี้ก็พูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที…” เขาไม่รู้ว่าทำไมมันถึงฮึกเหิมขนาดนี้ แค่เขาหวังว่าตัวเองจะไม่เจอปัญหาที่ไม่ได้ก่อ
“หรือว่า…หรือว่าจะเป็นนาง…” ฟีน่าหอบอย่างแรง พร้อมกับเดินไปมาอย่างกระวนกระวายราวกับกำลังครุ่นคิดงานยาก
“ใคร เธอรู้จักเหรอ”
จางจื่ออันอยากรู้สถานะของเด็กผู้หญิงคนนั้นก็จริง แต่อีกใจก็ไม่ค่อยอยากรู้ เพราะเมื่อรู้ก็ต้องช่วยจวงเสี่ยวเตี๋ยไปถาม
ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นต่างก็มองไปที่ฟีน่าเป็นตาเดียว
ผ่านไปพักใหญ่ ฟีน่าก็หยุดเดิน จากนั้นแทบจะพูดคำพร้อมกับหยุดหนึ่งครั้ง “ตอน…อยู่ในพีระมิดสีทอง ข้าก็เจอเด็กผู้หญิงแปลกๆ คนหนึ่ง คล้ายกับที่เจ้าบรรยายลักษณะมาเลย”
ฟีน่าจำเรื่องในวันนั้นได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
มันผ่านความยากลำบากมามากมาย ในที่สุดก็ได้เข้าไปในห้องสุสานราชินีของพีระมิดสีทอง ได้เห็นโลงศพหินของเธอ ความรู้สึกฮึกเหิมพุ่งขึ้นมาจนยากจะควบคุม มันอยากจะอยู่เป็นเพื่อนกษัตริย์หญิงในพีระมิดที่กำลังจมลงสู่ทะเลทรายตลอดกาล อย่างนั้นถึงจะเยียวยาความเจ็บปวดและเสียใจของมันได้
มันถึงขนาดอยากสาปแช่งบัญชาเทพที่โอเอซิสซีวา ว่าทำไมต้องให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แล้วทำลายทิ้งอย่างโหดร้ายด้วย
แต่ตอนนั้น อยู่ๆ เด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่นอกประตูห้องสุสาน เนื่องจากประตูห้องสุสานเตี้ยมาก มันจึงมองเห็นแค่ขาของเธอ ฟังจากเสียงดูแล้วคิดว่าเธอยังเด็กมาก แต่ความจริงอายุเท่าไรก็ไม่แน่ใจ
เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นมาคำหนึ่ง บอกว่าความปรารถนาของมันจะได้รับการเติมเต็ม มันจะได้เจอราชินีของเธออีกครั้ง แต่ไม่ใช่ที่นี่ เวลานี้
พอพูดจบ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป แน่นอนว่ามันไม่ปล่อยเธอไปอย่างนี้แน่ มันจึงตามออกมาจากห้องสุสานทันที
ถ้าถามตัวเอง มันวิ่งเร็วมากอยู่แล้ว แต่พอไปถึงข้างนอกห้องสุสานกลับว่างเปล่า ไม่มีใครเลยสักคน ทว่าบนพื้นยังมีรอยเท้าใหม่ๆ ของเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่เลย นี่พิสูจน์แล้วว่าที่มันเห็นและได้ยินเมื่อครู่ไม่ได้ประสาทหลอนไปเอง
เป็นเพราะคำพูดของเธอ ทำให้มันละทิ้งความคิดที่จะอยู่กับโลงศพหิน ทั้งโมโห ทั้งประหลาดใจ และคาดหวัง ก่อนหนีออกมาจากพีระมิดสีทองพร้อมกับจางจื่ออัน
หลังจากนั้น หากร้านขายสัตว์เลี้ยงมีผู้หญิงวัยรุ่นเข้ามา มันก็จะจ้องมองขาของพวกเธอเสมอ พยายามตามหาผู้หญิงคนนั้นจากจำนวนคนมหาศาล
แต่มันไม่ได้เห็นขาคู่นั้นอีกเลย และไม่ได้ยินเสียงนั้นแล้วด้วย
เป็นเพราะประหลาดเกินไปเช่นกัน มันจึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาและภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นฟัง ตอนนี้ได้ยินเขาเล่าให้ฟัง มันแทบจะแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าสองคนนี้เป็นคนเดียวกัน!
เธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว!
ตอนที่ 1669 รวมพล
ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้
อาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของเครือข่ายฝานซิง
ตั้งแต่เช้า พวกพนักงานที่ขับรถมาทำงานก็สังเกตเห็นว่ามีรถแปลกหน้าทยอยขับเข้ามาในลานจอดรถชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานใหญ่ เนื่องจากทั้งอาคารและทั้งลานจอดรถชั้นใต้ดินล้วนเป็นของเครือข่ายฝานซิง หากจะเข้าไปในลานจอดรถต้องแสดงเอกสารรับรองของพนักงาน ดังนั้นเจ้าของรถที่มาจากข้างนอกพวกนี้ต้องมีเอกสารรับรองเข้ามาเยี่ยมเยือนชั่วคราว
รถพวกนี้มียี่ห้อแตกต่างกัน ตั้งแต่โรลส์รอยซ์ ไปจนถึงบีวายดี ตั้งแต่เฟอร์รารี ไปจนถึงบีเอ็มดับเบิลยูมินิ ทั้งยังมีซานตานา 2000 เก่าแก่คันหนึ่ง พวกพนักงานเห็นแล้วก็งุนงง ถ้าเป็นบริษัทมาคุยธุรกิจ ก็จะมีรถธุรกิจของบริษัทรับผิดชอบรับส่ง ถึงตัวเองขับรถมาเอง คิดถึงการร่วมมือระดับธุรกิจ ก็ควรจะขับรถที่ค่อนข้างมั่นคงเหมาะกับสถานะทางธุรกิจสักหน่อย แต่รถพวกนี้มีหลายยี่ห้อมากเกินไปแล้ว
พวกเจ้าของรถยิ่งลึกลับเข้าไปใหญ่ หลังจากลงรถก็ไม่ได้ขึ้นลิฟต์ธรรมดาหรือลิฟต์พนักงาน แต่เข้าไปในอาคารสำนักงานผ่านลิฟต์ที่ใช้สำหรับแขกผู้มีเกียรติโดยเฉพาะ ขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดของตึกระฟ้า และที่อยู่ชั้นบนสุดคือห้องทำงานระดับสูงที่สุดและห้องประชุมอันแสนหรูหรา
ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว พวกพนักงานหลายคนชอบซุบซิบนินทา จึงพูดคุยเรื่องคนแปลกหน้าลึกลับพวกนี้กันทั้งวัน
คนที่ปกติชอบเอาหน้าทำท่าลับๆ ล่อๆ เปิดเผยข่าวลือ บอกว่าคนแปลกๆ พวกนี้ล้วนเป็นซินแสดูฮวงจุ้ยและคนประหลาดที่ประธานเชิญมา พวกคนที่มีความสามารถทางด้านฮวงจุ้ย กำลังเปลี่ยนแปลงดวงชะตาของบริษัท
มีคนซุบซิบกันว่าอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัทมีฮวงจุ้ยไม่ค่อยดี ไม่ชงก็ดูดโชคดี หลังจากย้ายเข้ามาก็มีแต่เกิดเรื่องขึ้น มีพนักงานที่ทำยอดขายไม่เข้าเป้ากระโดดตึกตาย บางครั้งก็มีน้ำรั่วและไฟไหม้ ช่วงนี้ยังยุ่งวุ่นวายเพราะเข้าไปพัวพันกับอาหารสุนัขเล็กซี่อีก งานที่ออกสู่ท้องตลาดก็มีแต่อุปสรรค…ไม่ว่าก่อนหน้านี้พนักงานทุกคนอยู่ที่หน่วยงานไหน ตอนนี้ก็ควบตำแหน่งประชาสัมพันธ์แล้ว ต่างก็ยุ่งอยู่กับการโพสต์โฆษณาบนอินเทอร์เน็ตหรือใช้เงินเชิญสถานีโทรทัศน์มาช่วยวิพากษ์วิจารณ์
พนักงานที่เชื่อเรื่องงมงายก็เชื่อจริงๆ ส่วนพนักงานที่ไม่เชื่องมงายกลับย่นจมูก บอกว่าบริษัทไหนไม่มีคนกระโดดตึกตายบ้าง? อาคารสำนักงานสูงๆ ทุกอาคารในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้มีวิญญาณอาฆาตตายจากการถูกกลั่นแกล้งวนเวียนอยู่ทั้งนั้น คนที่จิตใจอ่อนแอรับความกดดันจากงานไม่ได้ เปลี่ยนไปอยู่บริษัทอื่นแล้วก็จะกระโดดตึกตามเดิม ถึงไม่กระโดดตึกก็มีวิธีฆ่าตัวตายอย่างอื่นอีกมากมาย…ส่วนคนแปลกๆ พวกนั้นมาทำอะไร เกี่ยวอะไรกับพนักงานระดับล่างอย่างพวกเขาล่ะ? ทำงานเสียดีๆ เถอะ!
แน่นอนว่าพวกซุปเปอร์ไวเซอร์ระดับกลางปล่อยให้พวกพนักงานพูดเรื่องที่ไม่มีหลักฐานพวกนี้ไม่ได้ จึงตำหนิพนักงานสองสามคนที่พูดคุยกันออกรสออกชาติที่สุด ในที่สุดก็เหยียบข่าวลือไม่มีมูลเอาไว้ได้ ความจริงแล้วพวกซุปเปอร์ไวเซอร์ระดับกลางก็อยากรู้เหมือนกัน จึงลองสอบถามกันเป็นการส่วนตัว แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจ
ซุปเปอร์ไวเซอร์ระดับกลางบางส่วนทนไม่ไหว พูดกับซุปเปอร์ไวเซอร์ระดับสูงที่สนิทสนมกันตรงๆ แต่พวกซุปเปอร์ไวเซอร์ระดับสูงก็ไม่แน่ใจเช่นกัน รู้แค่ว่าเป็นคนที่ประธานเชิญมาเพราะชื่อเสียง สรุปแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท ทำงานให้ดีๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องของชาวบ้านมาก
ณ ห้องประชุมชั้นบนสุด
คนที่ถูกพวกพนักงานเรียกว่าคนแปลกพวกนี้ พอเข้ามาในห้องประชุมแล้วก็นั่งอยู่ในมุมของตัวเอง ราวกับทุกคนเตรียมใจเอาไว้แล้ว
ในบรรดาคนแปลกมีทั้งชายและหญิง ไม่ได้มีแค่คนจีน ยังมีชาวต่างชาติจมูกโด่งและนัยน์ตาโหลลึกด้วย ต่างก็สวมเสื้อผ้าแตกต่างกันไป นอกจากชุดสูทและชุดไปรเวทแล้ว ยังมีคนสวมชุมประจำเผ่าด้วย ราวกับเป็นสหประชาชาติขนาดย่อม
บนโต๊ะประชุมรูปวงรีมีน้ำผลไม้และน้ำดื่มราคาแพงวางเอาไว้ และยังเตรียมล่ามพร้อมให้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้อย่างเอาใจใส่ เพื่อให้พวกเขาที่พูดคนละภาษากันสื่อสารได้สะดวก
แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร
บางคนส่องกระจกขนาดเล็กกำลังแต่งหน้า บางคนมองนาฬิกาอยู่บ่อยครั้ง บางคนสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าราวกับมองไม่เห็นป้ายห้ามสูบบนผนัง และบางคนก็บิดฝาขวดเหล้าขนาดเล็กที่พกติดตัวมาด้วย ก่อนจะเงยหน้าเทเหล้าวอดก้าของรัสเซียลงไปอึกหนึ่ง…บรรยากาศเงียบเชียนจนน่ากลัว ราวกับจะมีการต่อสู้ปะทุขึ้นมาได้ตลอดเวลา
ตอนที่พวกเขามาถึงตึกระฟ้าก็เป็นจังหวะต่างกัน เพื่อให้ทุกคนได้ขึ้นลิฟต์ของแขกผู้มีเกียรติเพียงลำพัง ดังนั้นตอนที่พวกเขาเข้ามาในห้องประชุมก็มีทั้งคนที่มาก่อนและคนที่หลังมา คนที่เข้ามาคนแรกก็น่าจะเมื่อสิบห้านาทีก่อน และดูท่าทางไม่มีคนมาอีกแล้ว ทว่านายจ้างกลับยังไม่ปรากฏตัว
คนที่ใจร้อนที่สุดก่นด่าขึ้นมาครั้งหนึ่ง ผลักเก้าอี้ยืนขึ้นเสียงดังโครม ดูท่าทางไม่คิดจะรอต่อไปแล้ว
ตอนนี้เอง ประตูของห้องประชุมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
หลี่หย่วนเฟยที่เป็นนายจ้างจ้องคนคนนั้น แล้วพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “ในเมื่อมากันครบแล้ว อย่างน้อยก็ปรึกษาหาผลสรุปก่อนค่อยไป”
พอพูดจบ เขาก็ปิดประตู และนั่งตรงตำแหน่งประตู
คนคนนั้นร้องเฮอะครั้งหนึ่ง แล้วนั่งลงอีกครั้ง
ไม่ว่าคนที่แต่งหน้าหรือสูบบุหรี่ ทุกคนวางสิ่งของในมือลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย บรรยากาศก็ดูจะเคร่งเครียดขึ้นทันตา
หลี่หย่วนเฟยกวาดตามองทุกคนครั้งหนึ่ง เขาไม่เพียงมองคนที่อยู่ตรงนี้ ยังมองภูตสัตว์เลี้ยงต่างๆ พวกนั้นที่อยู่ในสภาพพรางตัวข้างๆ พวกเขาด้วย ไม่ได้มีแค่สัตว์เลี้ยงประเภทสัตว์ปีกที่พบเห็นได้ง่าย ยังมีสัตว์เลี้ยงประเภทแมลง สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์หายากอื่นๆ
“มีอะไรก็รีบพูดเถอะ พวกเราไม่ว่างมานั่งเสียเวลาอยู่ตรงนี้นะ!” ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนหนึ่งโวยวาย
ผู้ชายในชุดคลุมสีขาวรูปร่างอ้วนเตี้ยคนหนึ่งตบโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะพูดด้วยความโมโห “หุบปาก! ไม่อยู่ต่อก็ไสหัวไป! ที่นี่จะได้เงียบลงสักที!”
ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่เพียงไม่หุบปาก กลับพูดเหน็บว่า “ให้ผมหุบปากเหรอ คุณมีสิทธิ์พูดเหรอ ทุกคนดูสิ คิดไม่ถึงว่าหมาขี้แพ้ที่เสียภูตสัตว์เลี้ยงไปอย่างนี้ยังมีหน้าเข้ามาอีก ถ้าเป็นผมนะ ผมเอาหัวโขกผนังตายไปแล้ว!”
คำพูดของเขาถูกเครื่องแปลพร้อมแปลให้ชายในชุดคลุมสีขาวฟัง เครื่องแปลถ่ายทอดน้ำเสียงไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็พูดความหมายโดยรวมออกมาได้อย่างชัดเจน ความจริงน้ำเสียงของคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็อธิบายทุกอย่างหมดแล้ว
ชายในชุคคลุมสีขาวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาถกแขนเสื้อคิดจะไปต่อยคนนั้น แต่พอเห็นสายตาดุร้ายของงูจงอางขาวที่อยู่ข้างๆ ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาก็ต้องยอมแพ้ไปในทันที
แม้คนอื่นๆ จะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาที่มองไปทางชายในชุมคลุมสีขาวก็เปี่ยมด้วยความเหยียดหยาม ไม่ต่างกับคำพูดของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คิดไม่ถึงว่าขี้แพ้ชวนตีอย่างชายในชุดคลุมสีขาวจะเข้าร่วมด้วย หน้าคงจะหนาในระดับหนึ่งทีเดียว
ชายในชุดคลุมสีขาวหน้าแดง กำปั้นข้างหนึ่งทุบลงโต๊ะระบายความโกรธ ก่อนจะนั่งลงอีกครั้งด้วยความเดือดดาล เขาเสียแมวชื่อว่าเอเมียร์อันเป็นที่รักไปในป่าเรดวูด ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่หย่วนเฟยใช้เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวพาเขาออกมาจากป่าในคืนนั้น ตอนนี้เขาคงจะติดร่างแหของหลี่ผีเท่อไปแล้ว และคงจะกินข้าวแดงอยู่ในคุกที่อเมริกา
ส่วนอาจารย์ของเขาก็หมดกำลังใจไปเพราะสูญเสียแมวสุดที่รักชื่อว่าซาเมียลไป เสียอกเสียใจยกใหญ่ กลับประเทศไปพักฟื้นแล้ว เกรงว่าชีวิตนี้คงจะไม่ออกจากทะเลทรายอีก
เขาไม่ยอมแพ้ไปทั้งแบบนี้ จึงตามหลี่หย่วนเฟยมาที่ประเทศจีน วางแผนหาโอกาสหวนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง
ทุกคนในที่นี่ล้วนหัวเราะเยาะผู้พ่ายแพ้ราบคาบ แต่ก็ยังไม่วายเตือนตัวเองไว้ ให้ความผิดพลาดก่อนของชายในชุดคลุมสีขาวเป็นบทเรียน ไม่อย่างนั้นที่จะถูกหัวเราะเยาะรายต่อไปคงจะเป็นตัวเอง
ตอนที่ 1670 ศัตรูที่แข็งแกร่ง
ทุกคนที่มาเข้าร่วมการประชุมลับที่ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ในวันนี้นั้นไม่ใช่คนรุ่นเดียวกัน ในฐานะที่เป็นผู้เล่นเกม ‘นักล่าสัตว์เลี้ยง’ เดิมทีพวกเขาไม่ข้องเกี่ยวกัน ไม่อยากเข้าร่วมการต่อสู้วุ่นวายครั้งนี้ก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้บังคับให้เข้าร่วมสนามรบ แต่ความปรารถนาและทะเยอทะยานต่างๆ ขับเคลื่อนพวกเขา พยายามฆ่าหรือแย่งชิงภูตสัตว์เลี้ยงของผู้เล่นคนอื่น แม้กระทั่งทำความผิดกฎหมายบางอย่าง
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ นอกจากผู้เล่นที่ซ่อนตัวกับชื่อ และไม่เคยเข้าร่วมพวกนั้นแล้ว คนที่เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้และที่เหลือก็เป็นพวกที่แกร่งจริงๆ
ถึงจะเป็นคนแข็งแกร่ง แต่ก็มีคนเจอวันที่อกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย ต้องคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้มาแก้ปัญหา
คนที่คิดแบบนี้ไม่ได้มีแค่คนเดียว ถึงเป็นพวกบ้าการต่อสู้ แต่ก็เหนื่อยกับการวิ่งเต้นตามหาศัตรูไปทั่วโลก พวกเขาหวังว่าจะจัดการปัญหาให้จบสิ้นไปในคราวเดียว อย่างเช่น รวมพลคนแข็งแกร่งที่เหลือแบบนี้ขึ้นมา จากนั้นก็จัดการให้เรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย ประสบการณ์การต่อสู้และบันทึกชัยชนะของพวกเขาทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม และคิดว่าตัวเองจะเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย
แต่การจัดตั้งประชุมแบบนี้ก็นับว่ายากเย็น เพราะไม่รู้ว่าจะให้ใครจัด จัดขึ้นที่ไหน รับประกันความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมได้อย่างไร พวกนี้เป็นปัญหาทั้งนั้น
อย่างน้อยผู้จัดการประชุมก็ต้องมีเงิน มีสถานที่ลับมากพอ ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องมีอำนาจขนาดที่คนให้ความสำคัญ คนที่สอดคล้องกับเงื่อนไขสามข้อนี้ก็มีไม่มาก
ชายแก่ในชุดคลุมสีขาวที่เหมือนจะเป็นสมาชิกของราชนิกูลคนหนึ่งยืนขึ้น ใช้เกียรติของราชนิกูลเป็นตัวรับประกัน ส่งคำเชิญออกไปให้พวกเขา เชิญให้พวกเขามายังทะเลทรายในตะวันออกกลาง เขาครอบครองทะเลทรายติดทะเลผืนหนึ่ง ทั้งใหญ่และลึกลับมากพอ อีกทั้งภูตสัตว์เลี้ยงของเขายังแข็งแกร่งมากด้วย
คนแข็งแกร่งที่เหลือต่างก็เข้าร่วมการต่อสู้หลายครั้งหลายหน จึงยากจะปกปิดร่องรอยของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ตอนที่ยังไม่ได้นัดวันกัน ชายแก่ในชุดคลุมสีขาวก็ดันพ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้ในป่าริมอ่าวตะวันตกของอเมริกา
พอเห็นการประชุมที่จัดขึ้นได้อย่างยากลำบากกำลังจะพังลง หลี่หย่วนเฟยจึงยืนขึ้น ประกาศว่าตัวเองจะจัดการประชุมครั้งนี้แทนชายแก่ ทุกอย่างยังคงเดิม แค่เปลี่ยนสถานที่มาเป็นประเทศจีน
คนอื่นๆ ก็สงสัยในตัวผู้ชายที่เพิ่งโผล่เข้ามาใหม่คนนี้ ไม่รู้ว่าเขามีเงินทองมากเท่าไร พอจะรับช่วงแทนชายแก่ได้ไหม
ชายแก่ไม่อยากเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้แล้ว แต่ก็มารับรองให้หลี่หย่วนเฟย และเทียบกับพื้นที่ตะวันออกกลางอันแสนวุ่นวาย ประเทศจีนที่ห้ามใช้ปืนและปลอดภัยก็น่าสนใจมากกว่า
ด้วยมีชายแก่ช่วยรับรอง คนอื่นๆ ก็พอจะยอมรับการเปลี่ยนสถานที่ประชุมได้ และมายังตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ตามวันที่นัดหมาย แถมรู้สึกได้ถึงความสามารถในการรวมกลุ่มของหลี่หย่วนเฟย อย่างเช่น จัดเวลามาถึงของพวกเขาอย่างแม่นยำ ให้พวกเขาคลาดลิฟต์คนละรอบกัน ไม่อย่างนั้นหากพวกเขาพูดไม่เข้าหูจนทะเลาะกันในลิฟต์จะทำยังไง…
แน่นอนว่าพวกเขาไม่น่าโง่ขนาดนั้น ที่มาได้ในวันนี้ก็เป็นคนแข็งแกร่งทั้งนั้น ไม่ได้ทะเลาะกันก่อนที่จะตั้งกฎเกณฑ์เรียบร้อย และไม่ยอมให้คนอื่นรับผลประโยชน์ไปฟรีๆ
หลี่หย่วนเฟยรอชายในชุดคลุมสีขาวและชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทะเลาะกันเสร็จแล้ว ค่อยทำมือให้ทุกคนใจเย็นลง แล้วพูดเสียงเบาว่า “ทุกคนเดินทางมาไกล พวกคุณบางคนข้ามมาครึ่งโลก ผมขอขอบคุณด้วยใจจริง ณ ตรงนี้…”
“คำพูดไร้สาระพวกนี้ช่างมันเถอะ!” ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ่นรำคาญ “พวกเราแค่อยากรู้ว่าคุณคิดแผนการที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพได้หรือเปล่า ไม่มีเวลามาฟังคำพูดไร้สาระหรอกนะ!”
นี่คือสิ่งที่ทุกคนสนใจ พวกเขาคิดไปคิดมา มีแค่สองแผนการเท่านั้น หนึ่งคือการแข่งขันรอบคัดเลือกเพื่อเลื่อนขั้นแค่ครั้งเดียว สองคือวาดวงกลมล้อมกรอบ อย่างเช่น ป่าที่ไม่มีคน ทุกคนเข้าไปพร้อมกัน วางแผนการร้ายก็ดี ลอบโจมตีก็ดี ร่วมมือกันแล้วค่อยหักหลังกันก็ดี สรุปแล้วสุดท้ายจะเหลือเพียงผู้ชนะที่เดินออกมา
คำพูดนี้เหมือนจะมีความหมายยั่วยุ ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลิกคิ้วเข้มๆ ขึ้น กำลังจะระเบิดอารมณ์ และงูจงอางขาวของเขาก็คิดที่จะจู่โจมด้วย เพราะมันทำลายสภาพการพรางตัวแล้ว
แต่หลี่หย่วนเฟยไม่ได้ต่อว่าเขา หลังจากพูดจบ เขาก็มองคนอื่นๆ แล้วพูดว่า “พวกคุณล่ะ? คงจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายสินะ?”
คนอื่นๆ ไม่ตอบ ต่างก็คิดว่านี่เป็นคำถามน่าหัวเราะ ถ้าไม่คิดอย่างนี้ แล้วใครจะมาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ล่ะ?
หลี่หย่วนเฟยหัวเราะ “แต่ผมคิดว่า ก่อนที่จะหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว พวกเราควรจะร่วมมือกันเอาชนะคนคนนั้นก่อน แล้วค่อยจัดการความเห็นที่ต่างกันดีหรือเปล่า?”
“อะไรนะ?”
“ใคร?”
ในที่สุดคนอื่นๆ ก็พูดขึ้นทำลายความเงียบ พากันถามคำถามออกมา และพิจารณากันเองอย่างระแวดระวัง
พวกเขาไม่เคยประมือกัน แต่ตัดสินจากข่าวลือที่ได้ยินมา ความแข็งแกร่งของแต่ละคนน่าจะไม่ต่างกันมากนัก อย่างน้อยก็ไม่ได้ห่างกันเหมือนคลอง ดูจากปฏิกิริยาของภูตสัตว์เลี้ยงตัวเองที่มีต่อภูตสัตว์เลี้ยงของคนอื่นแล้วก็ยืนยันข้อนี้ได้ พวกเขามีความมั่นใจในตัวเอง และไม่ดูถูกคู่ต่อสู้ แต่ไม่พบจริงๆ ว่ามีใครแข็งแกร่งโดดเด่นกว่าคนอื่น
หลี่หย่วนเฟยรอพวกเขาถาม ก่อนจะชี้ชายในชุดคลุมสีขาว “ผมพูดตามตรงนะครับ เขากับอาจารย์ของเขายืนยันเรื่องนี้ได้”
ชายในชุดคลุมสีขาวใจเย็นลงแล้ว พอจะฝืนใจพยักหน้าครั้งหนึ่งได้
“คนที่ทำให้พวกเราพ่ายแพ้ในชายฝั่งทะเลตะวันตกของอเมริกา…” มีคนถามอย่างสงสัย “พวกเขาถูกอีกพวกหนึ่งรวมกลุ่มกันจู่โจม หรือว่าความจริงแล้วถูกคนเดียวจู่โจม?”
ชายในชุดคลุมสีขาวรูปร่างอ้วนเตี้ยกับอาจารย์ของเขาแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะแทงข้างหลัง จึงกลายเป็นการรวมตัวกันที่มั่นคง พวกเขาแทบจะกำราบทั้งทะเลทรายของเอเชียกลาง และทำเรื่องราวต่างๆ อย่างโอหัง ชื่อเสียงขจรไปไกล คิดไม่ถึงว่าเข้าไปในกองทัพอเมริกาไม่นานก็ทะเลาะกันแล้ว
ชายในชุดคลุมสีขาวฟังแล้วยิ่งอึดอัด เขาไม่ได้ตอบอะไร แค่ยอมรับเงียบๆ เขากับอาจารย์ไม่เคยเห็นคนที่ทำให้ซาเมียลและเอเมียร์พ่ายแพ้ได้แบบนี้ แต่ตัดสินจากข่าวที่ได้รับหลังจากเกิดเรื่อง น่าจะเป็นคนคนเดียว ไม่ใช่กลุ่มคน นี่ยิ่งน่าอึดอัดเข้าไปใหญ่ ขณะเดียวกันก็อธิบายว่าคนคนนั้นมีภูตสัตว์เลี้ยงหลายตัว
คนที่อยู่ตรงนี้ก็มีภูตสัตว์เลี้ยงหลายตัว คนอีกจำนวนหนึ่งมีภูตสัตว์เลี้ยงแค่ตัวเดียว เพราะภูตสัตว์เลี้ยงไม่เหมาะกับการต่อสู้ และภูตสัตว์เลี้ยงด้วยกันเองก็อาจจะไม่เข้าขากัน
ในเมื่อคนคนนั้นเอาชนะชายในชุดคลุมสีขาวสองคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในตะวันออกกลางมาได้ อย่างนั้นเขาน่าจะแข็งแกร่งมาก แต่ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนล่ะ?
หลี่หย่วนเฟยเห็นทุกคนเริ่มหวาดหวั่น จึงตั้งใจจะอธิบายผลประโยชน์และความเสียหายต่อ แต่กลับได้ยินเสียงดังป้อก มีคนเปิดกระป๋องโคล่า แล้วดื่มเสียงดังอึกๆ
พวกผู้ประชุมแต่ละคนต่างก็หยิ่งยโส และระมัดระวังตัวมาก ไม่มีใครกล้าแตะน้ำผลไม้และเครื่องดื่มบนโต๊ะเลย ด้วยเหตุนี้ พอเสียงห่วงกระป๋องดังขึ้นมาก็พากันประหลาดใจ
หญิงสาวที่ดูเหมือนเด็กมัธยมต้นคนหนึ่งดื่มโคล่พลางโบกมือ บ่งบอกว่า เชิญพวกคุณพูดต่อเลย ไม่ต้องสนใจฉัน
ตอนที่ 1671 ที่มาไม่ชัดเจน
ชายแก่ในชุดคลุมสีขาวอาศัยอำนาจและกำลังเงินของราชนิกูล รวบรวมข่าวจากผู้อ่อนแอมาได้จำนวนหนึ่ง แต่ข้อมูลก็ยังไม่เพียงพอ บางคนข้อมูลน้อยมาก รู้แค่ว่ามักจะใช้ชื่อในโซเชียลมีเดียบนอินเทอร์เน็ต บางคนข้อมูลเยอะกว่าหน่อย รู้ชื่อจริงไปจนถึงหน้าตาคร่าวๆ ที่ถ่ายได้ผ่านกล้องวงจรปิด บางคนข้อมูลละเอียดกว่านั้น ซึ่งเป็นข้อมูลทั่วไปที่ใช้เงินซื้อมา
ชายแก่ติดต่อคนที่ติดต่อได้ทุกคนผ่านช่องทางต่างๆ หมดแล้ว บางคนไม่ตอบข้อความจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ ทุกคนที่ได้รับคำเชิญได้รับจดหมายเชิญหรืออีเมลเชิญ ก็จะเห็นเนื้อหาของจดหมายเชิญอันเรียบง่าย คนนอกดูแล้วคงจะไม่เข้าใจ แต่ผู้เล่นมองปราดเดียวก็รู้แล้ว ความหมายโดยรวมคือเชิญพาภูตสัตว์เลี้ยงมาจบเกมนี้ในสถานที่ที่กำหนดไว้ ส่วนค่าใช้จ่ายระหว่างทาง ชายแก่จะรับผิดชอบทั้งหมด
หลังจากชายแก่กลับมาถึงทะเลทราย หลี่หย่วนเฟยก็ได้รับรายชื่อที่ไม่ชัดเจนชุดนี้แล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรมาก แค่ส่งข้อความไปยังช่องทางการติดต่อของพวกเขาอีกครั้ง บอกพวกเขาว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จึงต้องเปลี่ยนสถานที่มาเป็นตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้
ข้อมูลในรายชื่อยังไม่ค่อยชัดเจน หน้าตาของคนส่วนใหญ่ก็ว่างเปล่า อย่างมากรู้แค่เพศและช่วงอายุคร่าวๆ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ายืนยันว่าเด็กผู้หญิงมัธยมต้นคนนี้อยู่ในรายชื่อหรือเปล่า
พวกพนักงานเห็นพวกเขาเป็นคนแปลก ก็เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ใส่แว่นตา หมวก ผ้าปิดปาก ย้อมสีผม และวิธีต่างๆ มาบดบังใบหน้าที่แท้จริง ถึงขนาดใช้การแต่งหน้าโอเวอร์จนแม้แต่แม่ของตัวเองก็จำไม่ได้ มองเผินๆ แล้วเหมือนกลุ่มผีเต้นระบำ คนที่มาถึงที่นี่ด้วยใบหน้าที่แท้จริงก็เป็นส่วนน้อยเท่านั้น
ท่ามกลางคนแปลก เด็กผู้หญิงที่ไม่ปิดหน้าค่าตาของตัวเองคนนี้ กลับมีท่าทางสดใสและทำตัวตามสบายมาก
เธอสวมชุดกะลาสีทั้งตัว นั่งอยู่ในมุมห้องอย่างสบายใจเฉิบ เธอยังดื่มโคล่าไม่หมด แต่ก็ยื่นมือไปหากล้วยหอม แล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่เห็นตัวเองเป็นแขกเลยสักนิด
เด็กผู้หญิงตัวเล็กแบบนี้ หรือว่าเป็นหนึ่งในคนเก่งที่ถูกเชิญมา?
หน้าประตูมีคนของหลี่หย่วนเฟยรับหน้าที่ตรวจจดหมายเชิญ ซึ่งจดหมายเชิญทุกฉบับมีความพิเศษ ไม่ว่าจดหมายเชิญจริงๆ หรือจดหมายเชิญทางอีเมลก็มีเครื่องหมายลับที่สอดคล้องกัน อย่างเช่น กระดาษทำจากใบยี่หร่าหรือกุญแจส่วนตัว เพื่อกันไม่ให้คนนอกลักลอบเข้ามาในการประชุม
หลี่หย่วนเฟยรู้ว่าดูคนที่ภายนอกไม่ได้ บางคนแผนสูงตั้งแต่อายุยังน้อย พัฒนาความโหดเ**้ยมให้เหนือกว่าผู้ใหญ่ได้ และถ้าเด็กผู้หญิงคนนี้ใช้สิทธิพิเศษเรื่องอายุ เพศ และหน้าตาของเธอมาลดความระแวดระวังของคนอื่นแล้วค่อยลงมืออย่างฉับพลัน ก็คงเอาชนะคนอื่นได้โดยไม่ทันตั้งตัว
หลี่หย่วนเฟยมองไม่เห็นภูตสัตว์เลี้ยงข้างๆ เธอ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่ว่าภูตสัตว์เลี้ยงทุกตัวจะมีขนาดใหญ่มาก เหมือนภูตสัตว์เลี้ยงอย่างแมลงหรือสัตว์เลื้อคลานขนาดเล็กพวกนั้น พวกมันซ่อนตัวอยู่ในเสื้อผ้าของเจ้าของได้อย่างมิดชิด
ตอนนี้คนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นเธอแล้ว พวกเขามาถึงในเวลาที่แตกต่างกัน ต่างก็คิดว่าเธอมาเร็วกว่าใคร มองอยู่สองสามครั้งก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาทำงานสำคัญ เทียบกับเด็กผู้หญิงคนนี้แล้ว พวกเขาสนใจบุคคลลึกลับที่หลี่หย่วนเฟยและชายในชุมคลุมสีขาวพูดถึงมากกว่า
ทีแรกหลี่หย่วนเฟยอยากขอให้เธอแสดงจดหมายเชิญอีกครั้ง แต่คนอื่นเริ่มกังวลถึงเรื่องของบุคคลลึกลับนั้นแล้ว เขาจึงต้องทิ้งเรื่องนี้ไปก่อน ถึงเธอหน้าตาสะสวยหรือจิตใจโหดเ**้ยม แต่อยู่ต่อหน้าคนเก่งกาจมากมายขนาดนี้ จะกล้าก่อความวุ่นวายได้อีกหรือ?
นิสัยของคนพวกนี้สุดโต่งกันทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่โหวกเหวกเสียงแหลมแสบแก้วหู หรือทำท่าทางไม่ชอบมาพากล ก็จะทำหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จา ดีที่ห้องประชุมเก็บเสียงได้อย่างดีเยี่ยม ถึงแม้ในห้องเอะอะมากแค่ไหน ข้างนอกก็ไม่ได้ยิน
เขาบอกให้ทุกคนใจเย็นๆ แล้วพูดว่า “ความจริงแล้วผมรู้เรื่องของคนคนนั้นน้อยมาก แต่จากการตรวจสอบในตอนนี้ ล็อกเป้าหมายได้ว่าอยู่ที่เมืองปินไห่”
ตอนแรกหลี่หย่วนเฟยไม่คิดจะกวนน้ำให้ขุ่น เพราะเขาคิดว่าไม่จำเป็น ภูตสัตว์เลี้ยงของเขาแข็งแกร่งมากพอแล้ว และเขาก็มีงานมากมายมาพัวพัน จึงไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้น
ถอยมาพูดอีกขั้น ถึงแม้เขาเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาสักวัน การใช้แผนโจมตีโต้ตอบก็ไม่เลว พอคนอื่นๆ สู้จนตัวตายแล้วฉันรอด เขาค่อยดูสถานการณ์แล้วคิดว่าต้องเข้าร่วมและเก็บกวาดความพังพินาศไหม
แต่ทว่า พวกเจ้าของร้านสาขาที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ดันเอาบริษัทของเขาไปข้องเกี่ยวกับอาหารสุนัขเล็กซี่ ยิ่งบริษัทใหญ่ ข้อมูลข้อเสนอแนะเรื่องเล็กๆ ที่ผู้บริหารระดับสูงได้รับก็มักจะปัญญาอ่อนขึ้นเรื่อยๆ บวกกับพวกเจ้าของร้านและซุปเปอร์ไวเซอร์ระดับล่างตั้งใจปกปิดความผิด กว่าเขากับผู้บริหารระดับสูงจะตรวจพบ ร้านสาขาทั้งประเทศก็แทบจะวางขายอาหารสุนัขเล็กซี่ไปครึ่งประตูร้านแล้ว
แค่ทำเรื่องนี้อย่างเดียวยังไม่เท่าไร ก็แค่ผลประโยชน์ที่ได้รับมาจากการเบียดเบียนส่วนรวม ใช้ช่องทางของบริษัทเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตัว เรื่องนี้พบเห็นได้บ่อยมากในบริษัทใหญ่ ทุกคนที่มีอำนาจอยู่ในมือแม้เพียงเล็กน้อย ก็มักจะไม่ปล่อยโอกาสคว้าขนหน้าแข้งของบริษัทเอาไว้ การสิ้นเปลืองจากภายในแบบนี้ยากจะระงับได้ อีกอย่างก็ไม่ใช่คดีอาชญากรรมของคนโลภที่ต้องใช้เงินเป็นล้าน ถึงผู้บริหารระดับกลางถึงสูงรู้แล้ว อย่างมากก็แกล้งหลับตาข้างหนึ่ง ถึงอย่างไรน้ำสะอาดมากไปก็มีปลาอยู่น้อย
อยากจะแก้ปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่ภายในของบริษัทมีประกาศคำสั่ง ห้ามเจ้าของร้านค้าโดยตรงขายสินค้าที่ไม่ใช่ของบริษัท ก็น่าจะหยุดยั้งคลื่นใต้น้ำนี้ได้ มีเพียงทางร้านค้าในเครือที่ยุ่งยากอยู่บ้าง
นี่เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่ปัญหาที่บริษัทต้องเปลืองสมองไปคิด และมีผู้จัดการอาวุโสเสนอให้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ถ้าอาหารสุนัขยี่ห้อนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ก็น่าจะจัดซื้อเข้ามาในบริษัทเสียเลย อย่างนี้ตัดขาดความคิดเอาเปรียบของเจ้าของร้านสาขาย่อยได้ตั้งแต่ต้น
ผู้จัดการอาวุโสคนอื่นเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ จึงฝากให้บริษัทบุคคลที่สามเริ่มวิเคราะห์อาหารสุนัขเล็กซี่อย่างละเอียด และได้รับผลการประเมินอย่างดีเยี่ยม แผนกจัดซื้อจึงเริ่มเจรจากับตัวแทนบริษัทอาหารสุนัขเล็กซี่ของประเทศจีน ถ้าการเจรจาราบรื่น ภาพในอนาคตก็คงสวยงาม
แต่บนอินเทอร์เน็ตกลับค่อยๆ ปรากฏข่าวลือที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับอาหารสุนัขเล็กซี่ แม้บริษัทอาหารสุนัขยี่ห้ออื่นจะตั้งใจเผยแพร่ข่าวลือพวกนี้เพื่อการแข่งขัน แต่หากไม่มีลมคลื่นก็ไม่โหม อาหารสุนัขยี่ห้อนี้กดราคาต้นทุนได้โหดมาก เท่านี้ก็น่าสงสัยพอแล้ว แถมยังมีผู้บริโภคจริงๆ บางคนคอมเมนต์บนบอร์ดหรือบอกบนเวยป๋อว่าอยู่ๆ สุนัขของตัวเองก็เปลี่ยนนิสัย ไม่นานก็ตาย สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนอาหารสุนัขยี่ห้อใหม่
คนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทุกคนต่างก็รู้เรื่องอาหารแมวและสุนัขที่ผลิตในประเทศเป็นอย่างดี เพราะกำไรและปริมาณเพิ่มขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว พวกโรงงานต่างๆ ฉีกทึ้งกันรุนแรง ต่างก็ว่าจ้างหน้าม้าไปใส่ร้ายคู่แข่ง ข่าวลือมีจริงเท็จแยกกันได้ยาก ในสถานการณ์ที่ไม่มีมูลหลักฐานแน่ชัด ย่อมไม่มีใครฟันธงได้ว่าอาหารสุนัขเล็กซี่มีปัญหาจริงๆ หรือถูกคนอื่นป้ายสี
ทีมเจรจาของบริษัทได้ราคาเสนอที่ไม่เลว รอแต่หลี่หย่วนเฟยเคาะตกลง ขอเพียงเขาเซ็นชื่อ อาหารสุนัขเล็กซี่ก็จะถูกจำหน่ายในปริมาณมาก กลายเป็นสินค้าอาหารสุนัขหลักๆ ของบริษัท
หลี่หย่วนเฟยคลุกคลีอยู่ในวงการสัตว์เลี้ยงมาหลายปี เพียงดูจากราคาเสนอของสุนัขเล็กซี่ เขาก็มีลางสังหรณ์ว่ามันแปลกๆ ดีที่เขามีเรื่องต้องไปอเมริกา จึงเสนอขอไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตสักหน่อย
ตอนที่ 1672 วันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อวาน
หลังจากหลี่หย่วนเฟยมาถึงอเมริกา เขาได้ชมโรงงานแปรรูปอาหารสุนัขภายใต้การจัดการของอีกฝ่าย เงื่อนไขด้านความสะอาดอนามัยยังพอใช้ได้ แต่ตอนถามถึงที่มาของเนื้อสัตว์ อีกฝ่ายกลับบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ จนเขารู้สึกสงสัยขึ้นมา และยืนกรานจะขอไปเยี่ยมชมโรงฆ่าสัตว์
อีกฝ่ายไม่อยากเสียคู่ค้ารายใหญ่นี้ไป จึงจำต้องเชิญเขามาที่ป่าเรดวูด
เขาเจอหลี่ผีเท่อที่ป่าเรดวูด แต่ที่ดึงดูดความสนใจของเขาไม่ใช่หลี่ผีเท่อ กลับเป็นชายในชุดคลุมสีขาวแก่และผอมสองคนที่มาพร้อมกับหลี่ผีเท่อ รวมถึงภูตสัตว์เลี้ยงของพวกเขา
แมวของหลี่ผีเท่อไม่เหมาะกับการต่อสู้ อย่างมากก็สู้แบบประจัญบานไม่ได้ เมื่อเจอผู้เล่นคนอื่นโดยที่ไม่ได้ป้องกัน เขาจึงรู้สึกระแวงอย่างมาก
ตอนนั้นชายในชุดคลุมสีขาวสองคนดูถูกเขามาก เพราะแมวสองตัวของพวกเขาฆ่าแมวของเขาตายได้ง่ายๆ ระหว่างที่พูดคุยกันก็เผยท่าทางเหยียดหยามออกมาไม่น้อย แต่เห็นแก่หน้าหลี่ผีเท่อจึงไม่ได้ลงมือ
หลี่ผีเท่อที่ถูกดูแคลนก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร บวกกับเขาเห็นว่าที่มาของเนื้อสัตว์เหมือนจะเป็นกวางป่วย เดิมทีคิดจะสะบัดแขนเสื้อจากไป แต่อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าระหว่างทางตอนอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ เขาตรวจพบภูตสัตว์เลี้ยงที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ในป่าเรดวูด แต่ลงจอดเฮลิคอปเตอร์ไม่ได้ จึงได้แค่ออกห่างจากภูตสัตว์เลี้ยงตัวนั้นอย่างน่าเสียดาย
ตอนนั้นเขารู้ข่าวลือเรื่องโรคกวางบ้าแล้ว รู้ดีว่าถ้าเรื่องใช้กวางป่วยทำเป็นอาหารสุนัขแพร่งพรายออกไป จะต้องเกิดความโกลาหลใหญ่หลวงแน่นอน แม้แต่บริษัทของเขาก็หลุดพ้นจากร่างแหนี้ไปไม่ได้ ตามหลักการแล้วเขาควรจะกลับประเทศทันที และติดต่อขอยกเลิกการซื้ออาหารสุนัขเล็กซี่ทั้งหมดอย่างรวดเร็วที่สุด
เขาลองครุ่นคิดดีๆ ในเมื่อภูตสัตว์เลี้ยงมีชีวิตอยู่ในป่าดงดิบได้ คาดว่าน่าจะเก่งกาจด้านการต่อสู้ ถ้าได้มันมา คนอื่นก็จะเลิกดูถูกเขาเสียที…เขาจึงคิดจะอยู่ในป่าอีกวันสองวัน ลองจับมัน ถึงอย่างไรเรื่องอาหารสุนัขเล็กซี่ก็ต้องแดงขึ้นอยู่ในวันยันค่ำ แต่ไม่ใช่วันสองวันนี้
ชายในชุดคลุมสีขาวสองคนย่นจมูกให้กับความคิดของเขา พวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของภูตสัตว์เลี้ยงตัวนั้นแล้ว แต่ไม่มีความสนใจที่จะจับมัน คิดแต่จะรอมันหายไปหรือหาโอกาสฆ่ามัน เพราะถ้าอุดมการณ์แตกต่างกันก็อย่ามาคบกันเลย
ในเมื่อพวกเขาไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว หลี่หย่วนเฟยก็ยิ่งวางใจ รอถึงวันต่อไปค่อยเข้าไปจับภูตสัตว์เลี้ยงตัวนั้นในป่า จากนั้นก็กลับประเทศทันที จะไม่ให้เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว
ส่วนทางฝั่งหลี่ผีเท่อ หลี่หย่วนเฟยทำเป็นคล้อยตาม ปากตอบตกลงเรื่องการจัดซื้ออาหารสุนัขเล็กซี่ และแสดงท่าทางใจกว้าง เกิดเป็นภาพเจ้าภาพกับแขกคุยกันสนุกสนานมาก
แต่กลับเกิดเรื่องในคืนวันนั้นเลย
ชายในชุดคลุมสีขาวสองคนตั้งใจโอ้อวดความสามารถตรงหน้าเขา ส่งภูตสัตว์เลี้ยงของพวกเขาไปจัดการปัญหาแทนหลี่ผีเท่อด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ภูตสัตว์เลี้ยงของพวกเขารู้ใจกันดีมาโดยตลอด และไม่เคยทำพลาด แต่วันนี้กลับไม่ได้กลับมา แม้แต่หลี่ผีเท่อก็ไม่กลับมา จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือฝังทองแท้ของพวกเขาส่งข่าวภูตสัตว์เลี้ยงตายมา
หลี่หย่วนเฟยรู้เรื่องของจางจื่ออันจากหลี่ผีเท่อแล้วเล็กน้อย บวกกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากมายในคืนนี้ เขาจึงฟันธงเลยว่าคนที่หลี่ผีเท่อเรียกว่าเจฟฟ์ จางจะต้องเป็นผู้เล่นเกมคนหนึ่งแน่ๆ แถมยังมีภูตสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย
เขาถือโอกาสตอนที่หลี่ผีเท่อไม่อยู่ แล้วตัดสินใจออกจากที่นี่ไปทันที ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็จะสายเกินไป แถมยังแนะนำให้ชายในชุดคลุมสองคนนั่งเฮลิคอปเตอร์บินออกไปด้วยกันก่อนที่ตำรวจจะมาถึง เหตุผลหลักๆ คือเขาอยากสอบถามสถานการณ์ของผู้เล่นคนอื่นจากชายแก่สองคนนี้สักหน่อย
ชายในชุดคลุมสีขาวคนหนึ่งเจ็บปวดเสียใจ ส่วนอีกคนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่สถานการณ์ร้ายแรง มีแนวโน้มว่าจะย่ำแย่ลง ไม่พอใจอย่างไรก็รอถูกจับไม่ได้ จึงหนีไปกับเขาในคืนนั้นเลย
หลังจากนั้นชายในชุดสีขาวรูปร่างอ้วนเตี้ยที่วางแผนจะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ก็เปลี่ยนจากคนจองหองเป็นนอบน้อม อาศัยว่าตัวเองมีประโยชน์และคุณค่า หน้าด้านตามมาที่ประเทศจีนด้วย ส่วนชายในชุดคลุมสีขาวอีกคนหนึ่งกลับไปยังทะเลทราย
หลี่หย่วนเฟยที่กลับถึงประเทศจีนแล้วพบว่าความขัดแย้งมาถึงตัวเองแล้ว เรื่องอาหารสุนัขเล็กซี่แดงขึ้นมาจนยากจะแก้ไข บริษัทกำลังเผชิญหน้ากับการร้องขอสิทธิ์จำนวนมากและการฟ้องร้องขึ้นศาล เรื่องนี้ใช้เงินไกล่เกลี่ยไม่ได้ เพราะถ้าใช้เงินชดใช้ได้อย่างง่ายดาย ก็จะมีคนกะล่อนอีกมากมายเก็บสุนัขตายมาแสร้งขอเงินตามใจชอบ
เขาที่อยู่ในสภาพอึดอัดไม่สนใจการคัดค้านของลูกน้อง ยืนกรานเรียกรวมพลคนแปลกจำนวนหนึ่งมาเข้าร่วมการประชุมลับของเขา เพราะเขาแทบจะหมดหนทางแล้ว ถ้ากลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของเกมนี้ได้ ก็อาจจะท้าทายกฎธรรมชาติและเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้
สภาพจิตใจของเขาแตกต่างกับตอนที่เขาเริ่มสร้างทุกอย่างจากศูนย์ เขาที่สร้างตัวมาจากร้านขายสัตว์เลี้ยงร้านหนึ่งก็เคยเผชิญหน้ากับการจงใจกลั่นแกล้งและการขู่รีดเงินค่าชดใช้จากลูกค้า เขาในตอนนั้นอดทนปลอบโยนอารมณ์ของลูกค้าทุกคนได้ กดอารมณ์โมโห และอธิบายเหตุผล แต่เขาในตอนนี้ไม่ใช่เจ้าของร้านเล็กๆ ที่ขายสัตว์เลี้ยงได้วันละหนึ่งตัวก็รู้สึกดีใจมากคนนั้นอีก ตอนนี้เขาเคยชินกับการใช้สายตาดูถูกมองลูกค้าเสียแล้ว ให้เขากลับไปต่ำต้อยเหมือนเดิมคงไม่ได้
คนที่อยู่ตรงนี้ไม่รู้ว่าเมืองปินไห่อยู่ส่วนไหน แต่เรื่องร่วมมือกันกำจัดคนแข็งแกร่งก่อนเหมาะกับสไตล์ของพวกเขามาก แม้กระทั่งคนที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์ก็แอบคิดว่าจะแบ่งกันเฉือนภูตสัตว์เลี้ยงของคนคนนั้นอย่างไรดี
“พรวด ฮ่าๆ!”
เด็กสาวมัธยมต้นคนนั้นกลับพ่นโคล่าออกมา หัวเราะจนถึงขั้นสำลักเลยทีเดียว
เสียงหัวเราะที่เหมือนน้ำแร่ไหลเย็นของเธอดังขึ้นในห้องประชุมอันแสนวุ่นวาย แถมยังหัวเราะไม่หยุดเหมือนน้ำแร่ไหลจ้อกๆ
เส้นความอดทนในใจของหลี่หย่วนเฟยขาดผึง ก่อนจะพูดในใจว่าเด็กสาวคนนี้มาก่อนความวุ่นวายจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เธอกล้าแบบนี้?
คนอื่นๆ ก็ใจเย็นลงแล้ว สายตาเฉียบแหลมจ้องมองไปยังเธอ ถึงปัญญาอ่อนแค่ไหนก็รู้ว่าอยู่ๆ เธอหัวเราะขึ้นมาอย่างนี้ต้องมีเรื่องแปลกแน่นอน จึงเตรียมป้องกันมากขึ้นอีก
“สาวน้อย เธอหัวเราะอะไร? ถ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดมาตรงๆ เลย” หลี่หย่วนเฟยเปิดอก
หลังจากนั้นพักหนึ่ง เธอก็หยุดหัวเราะได้เสียที ก่อนจะเช็ดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้อยากรบกวนพวกคุณ แต่หนูกลั้นไม่ไหวจริงๆ”
หลี่หย่วนเฟยส่งสายตาให้คนอื่นๆ แล้วถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีเรื่องอะไรน่าหัวเราะ? บอกพวกเราหน่อยได้ไหม? พวกเราก็อยากหัวเราะเหมือนกัน หัวเราะสักครั้ง เด็กลงสิบปี ถ้าหัวเราะแล้วสาวและสวยได้อย่างเธอก็คงดี”
เธอกลับถอนหายใจ “ขอโทษนะคะ ต้องทำให้พวกคุณผิดหวังแล้ว ความจริงหนูกำลังหัวเราะตัวเองอยู่”
“เอ๋? ทำไมล่ะ?” หลี่หย่วนเฟยยิ้มพลางถามต่อ
เธอพูดพร้อมหน้าบึ้งตึงขมวดคิ้ว “พูดตรงๆ เลยนะคะ หนูเห็นน้ำผลไม้กับน้ำโคล่าของคนอ้วนก็ทนไม่ไหวแล้ว กินไปกินมาถึงนึกออก วันนี้หนูมีงานบ้านที่ยังไม่ได้ทำ กลับเอาแต่กิน…”
ทำงานบ้าน?
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อะไร
เธอบ่น “เพราะหนูเก็บเงินแต๊ะเอียที่พ่อให้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่พ่อของหนูขี้งกมาก ไม่เคยให้เงินแต๊ะเอียเฉยๆ ได้เงินก็ต้องทำงาน ไม่อย่างนั้นเขาก็จะบ่นกรอกหูไม่หยุดเหมือนฟังพระสวด สอนคนในบ้านเหมือนลูกหมาจริงๆ…”
ทุกคนได้ยินแล้วยิ่งงุนงง นี่เป็นเรื่องของครอบครัวแบบไหนกัน?
หลี่หย่วนเฟยทำเป็นพูดอย่างห่วงใย “งั้นเธอรีบกลับบ้านไปทำงานบ้านเถอะ จะได้ไม่ต้องถูกพ่อบ่น”
เธอถอนหายใจ “แต่งานบ้านของหนูในวันนี้ต้องทำที่นี่ค่ะ เป็นงานทำความสะอาดครั้งใหญ่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น