Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1659-1665

ตอนที่ 1659 ทุกหนทางไร้ร่องรอยคน

 

จางจื่ออันช่วยเด็กสาวมัธยมต้นคนนี้เช็คบิลแล้ว แต่เขาก็แค่จ่ายเงินให้เธอ ไม่ได้บอกว่าเธอไม่ต้องคืนเงิน เพราะนี่เป็นเงินที่เขาให้เธอยืม ไม่ใช่เงินที่เขาให้เธอ 


 


 


สมัยนี้ที่ยืมเงินคือหลานชาย ที่ติดเงินคือคุณตา สำหรับเขาเงินก้อนนี้จะเป็นสิ่งที่ให้ไปแล้วไม่ได้คืนกลับมาหรือไม่ก็ยังสงสัยอยู่ เพราะการยืมเงินปากเปล่าที่ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรแบบนี้ไม่มีผลทางกฎหมาย ใกล้เคียงกับการเล่นพนันมากกว่า 


 


 


ความจริงแล้วเขาเตรียมใจแล้วว่าเธอจะติดเงินไม่ยอมคืน อย่างมากก็ถือเสียว่าเป็นการชดเชยให้การสูญเสียของโรงน้ำชาเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่เขาคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องได้คำขอบคุณสักคำมั้ง? 


 


 


สุดท้ายเขาหลับตาจ่ายเงิน ยังไม่ทันลืมตา ก็ได้ยินเสียงพูดของเด็กสาวมัธยมต้นและเสียงรองเท้าหน้ากระทบพื้นไม้ดังตึกๆ จากไปอย่างรวดเร็ว “เอาล่ะ ฉันจะคืนเงินให้คุณทีหลังนะคะ ไปก่อนล่ะ!” 


 


 


ตอนที่เขาลืมตา ก็เห็นแค่เงาหลังของเธอหายไปตรงข้างหลังฉากกันลมของประตู จากนั้นก็มีเสียงเอี๊ยดดังขึ้น ประตูโรงน้ำชาถูกเปิด แล้วก็ปิดลงทันที 


 


 


ทั้งสามคนในที่นี้ ซึ่งรวมเขาด้วยต่างก็ตกตะลึง 


 


 


แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ที่จ้องจับผิดเขาตลอดก็ยังร้องว่าไม่ยุติธรรมแทนเขาเลย “นี่…เด็กคนนี้…ไม่รู้จักมารยาทตั้งแต่เด็กเลยเหรอเนี่ย แม้แต่คำว่าขอบคุณก็ไม่พูดเลยเหรอ” 


 


 


เถ้าแก่เนี้ยเย่ส่ายหน้าพร้อมยิ้มเจื่อน เธอไม่ได้พูดอะไร แต่สายตากำลังพูดชัดเจนว่า ‘เงินของคุณคงจะไม่ได้คืนแล้ว’ 


 


 


จางจื่ออันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หรือว่าเด็กมัธยมสมัยนี้เป็นแบบนี้ไปแล้ว หรือจะบอกว่าเพราะเด็กรุ่นที่สองของประเทศจีนให้ความสำคัญตัวเองเป็นที่หนึ่งของโลก จึงดูถูกทุกคนทั้งหมด 


 


 


ที่สำคัญที่สุดคือ เธอประกาศว่าจะคืนเงิน ให้เสี่ยวเอ้อร์แจ้งตำรวจ จากนั้นให้ตำรวจเรียกพ่อแม่เธอมาสั่งสอนเธอสักหน่อยอาจจะดีกว่า แต่เด็กวัยนี้มักจะชอบเอาหน้ามาก อบรมสั่งสอนก็อาจจะไม่ได้ผลอะไร 


 


 


เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ ดันเหล่าฉาไปด้านหนึ่ง แล้วยืนขึ้นพูดอย่างรีบร้อนว่า “ผมจะออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่ง ผมยังไม่ได้กินเลยนะ อย่าเก็บไปล่ะ!” 


 


 


อาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่เกิดจากการฝึกแมวและสุนัข เขาจึงขยิบตาให้เหล่าฉาครั้งหนึ่ง ความหมายคือตัวเองจะตามออกไปเรียกเด็กสาวคนนั้น สั่งสอนเธอต่อหน้าสักหน่อย 


 


 


ลูกแมวและลูกสุนัขไม่เข้าใจภาษาคน กระปรี้กระเปร่าและมักจะเล่นซน เช่น กลิ้งถ้วยแก้ว กัดสายไฟขาด กัดโซฟาทะลุ ฉีกเสื้อผ้าเสียหาย เรื่องประเภทที่ขับถ่ายเรื่อยเปื่อยในบ้านก็พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ทำให้คนเลี้ยงสัตว์มือใหม่ต้องปวดหัวมากอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าควรจะสั่งสอนอย่างไร ทำได้แค่ต่อว่าอย่างแรงยกหนึ่ง หรือตีให้จบเรื่องสักครั้ง แต่ก็อาจจะไม่เกิดผล 


 


 


ความจริงแล้ววิธีการสอนที่ถูกต้องคือจับผิดตรงนั้นเลย จับพวกมันไว้และสั่งสอนพวกมันระหว่างที่กำลังทำความผิด ไม่ใช่รอให้เรื่องจบแล้วค่อยสั่งสอนพวกมัน อย่างนั้นพวกมันไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองถูกทำโทษเพราะอะไร ตัวเองนอนอยู่แท้ๆ เจ้าของกลับตะโกนใส่ตัวเองราวกับเป็นปิศาจ หรือตีตัวเองสักครั้งอย่างน่าประหลาด… 


 


 


พวกมันไม่เพียงไม่ยอมรับการสั่งสอน อาจจะเกิดการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขว่า ‘เงียบ’ เท่ากับ ‘ถูกตี’ และครั้งหน้าจะก่อความวุ่นวายรุนแรงกว่านี้ 


 


 


มีลูกค้าถามเขา ถ้าทำงานตอนกลางวันหรือออกไปทำธุระข้างนอก กลับมาแล้วถึงเห็นสถานที่เกิดเหตุน่ากลัว แล้วจะทำอย่างไร 


 


 


ช่วยไม่ได้ รู้ดีอยู่แล้วว่าสัตว์เลี้ยงของตัวเองดื้อแล้วยังไม่ขังพวกมันไว้ในกรง หรือจำกัดพฤติกรรมตอนไม่อยู่บ้าน แบบนั้นก็โทษคนอื่นไม่ได้ จะโมโหตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ 


 


 


เขาจึงคิดจะเรียกเธอมาชี้แจงความผิดพลาดของเธอต่อหน้า ก็เหมือนสั่งสอนสัตว์เลี้ยงนั่นแหละ แต่เธอไม่ใช่สัตว์เลี้ยง จะฟังเข้าหูหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ เขาทำได้แค่พูดด้วยเหตุผล ต่อว่าหรือตีเธอไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเข้าคุกแล้ว… 


 


 


ให้การสั่งสอนมอบการสั่งสอนกลับไป เขาต้องกำชับซ้ำๆ ว่าอย่าเก็บชุดน้ำชาของเขา ไม่อย่างนั้นกลับมาแล้วเห็นชุดน้ำที่ยังไม่ได้ดื่มสักคำถูกทิ้งลงขยะไปละก็ เขาคงต้องหลั่งน้ำตาออกมาจริงๆ 


 


 


เถ้าแก่เนี้ยและเสี่ยวเอ้อร์ก็เข้าใจความตั้งใจของเขา จึงไม่มีใครห้าม พวกเธอก็รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นควรจะได้รับการสั่งสอนจริงๆ 


 


 


เขารีบเดินไปสองสามก้าว ผ่านฉากบังลม ก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป 


 


 


ไม่เห็นชมรมถ่ายภาพของลั่วชิงอวี่และพวกสาวน้อยนักศึกษาปีหนึ่งในชุดฮั่นแล้ว ถ่ายเสร็จก็น่าจะกลับมหาวิทยาลัยไปแล้ว บนยอดเขาเหลือแค่คนแก่สวมเสื้อและกางเกงสีขาวรำดาบอย่างสบายใจสองสามคน ฟราเทอร์ยังคงถูกล่ามอยู่ที่เสาต้นหนึ่งข้างใต้ระเบียงหน้าประตูบ้าน มองพวกคนแก่รำดาบอยู่เงียบๆ 


 


 


พอเห็นจางจื่ออันออกมา ฟราเทอร์ก็ยืนขึ้น คิดว่าจะลงเขาแล้ว 


 


 


เขากวาดสายตามองครั้งหนึ่ง แต่ไม่เห็นเด็กสาวเลย พูดในใจว่าเธอเดินเร็วชะมัด น่าจะเดินลงเขาไปแล้ว จึงโบกมือให้ฟราเทอร์ ไม่ทันได้อธิบายอะไรมากก็เดินลงเขาไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


ทางเดินภูเขามีหมอกจางๆ ตลบอบอวล ยังคงมองไม่เห็นเงาของเด็กสาว 


 


 


ทางเดินภูเขาล้อมตัวภูเขา เขาคิดว่าเธอคงเดินผ่านจุดเลี้ยวไปแล้ว แต่การมองเห็นของเขาถูกบังเอาไว้ จึงเลียบทางเขาลงไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


ขั้นบันไดค่อนข้างชื้น ลื่นอยู่เล็กน้อย ลงเขายากกว่าตอนขึ้นเขาเสมอ เขาตั้งสติใช้ความเร็วขั้นสูงสุดตามลงไป เลี้ยวสองครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นเธอ กลับเห็นลั่วชิงอวี่ที่รูปร่างเหมือนราวไม้ไผ่เดินโหยกเหยกอยู่ข้างหน้า 


 


 


ลั่วชิงอวี่เดินลงบันได พลางก้มหน้ามองรูปภาพที่ถ่ายวันนี้ผ่านหน้าจอแอลอีดี เขาจึงเดินช้ามาก และไม่กลัวก้าวพลาดตกเหว… 


 


 


“รุ่นพี่ลั่ว! เดี๋ยวก่อน!” 


 


 


เขาเร่งเท้าตามไปขวางลั่วชิงอวี่เอาไว้ “รุ่นพี่ลั่ว เด็กสาวมัธยมต้นคนนั้นล่ะ” 


 


 


“ใครเป็นรุ่นพี่ของคุณ?” ลั่วชิงอวี่มองบนใส่เขาครั้งหนึ่ง “เด็กสาวมัธยมต้นอะไร” 


 


 


“ก็คนที่นายขอเธอถ่ายรูปตอนอยู่บนยอดเขาไง” จางจื่ออันอธิบาย 


 


 


ลั่วชิงอวี่ตะลึง “เธอไม่ได้เข้าไปในโรงน้ำชาหรอกเหรอ” 


 


 


“เมื่อกี้เธอออกมาแล้ว นายเห็นเธอไหม” ขณะที่จางจื่ออันถามต่อ เขาก็มองเห็นว่าทางเดินภูเขาข้างล่างว่างเปล่า 


 


 


ไม่ต้องให้ลั่วชิงอวี่ตอบ จางจื่ออันก็เดาคำตอบได้จากสีหน้าของเขา 


 


 


ทางเดินภูเขามีเส้นเดียว และยังแคบมากด้วย นอนจากเธอจะบินได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางผ่านตัวลั่วชิงอวี่ไปโดยที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น 


 


 


“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว ถือว่าฉันไม่ได้ถามแล้วกัน” 


 


 


จางจื่ออันส่ายหน้า ก่อนจะหันหลังกลับไปเริ่มขึ้นเขาอีก 


 


 


“เดี๋ยวก่อน! เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ลั่วชิงอวี่ถามด้วยท่าทางสนใจอย่างมาก เขารู้สึกได้รางว่าๆ อาจจะเกิดเรื่องประหลาดบางอย่าง แม้ปกติเขาจะถ่ายรูปคนและวิวเป็นหลัก แต่ก็ไม่ถือสาที่บางครั้งจะได้ถ่ายรูปสภาพจริงเหมือนในข่าว ขอแค่มีชื่อเสียงและได้เงินก็พอแล้ว 


 


 


“ไม่มีอะไร ดูสินายเดินโซเซไปหมดแล้ว ฉันแค่พูดเล่นกับนาย” จางจื่ออันหัวเราะ “ตอนลงเขาก็ดูทางด้วยล่ะ อย่าเอาแต่ดูกล้อง ถ้าก้าวพลาดขึ้นมา ใต้เหวไม่ได้ซ่อนพระสูตรเก้าสุริยันไว้นะ” 


 


 


ลั่วชิงอวี่ยกนิ้วกลางให้เขาด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะทำปากว่า ‘ไปตายซะ’ จากนั้นก็เดินลงบันไดไป พร้อมกับก้มมองกล้องไปด้วย 


 


 


จางจื่ออันรอให้ลั่วชิงอวี่หายเข้าไปในหมอก แล้วเปลี่ยนเป็นเดินขึ้นเขาด้วยฝีเท้าสบายๆ ก่อนกลับไปบนยอดเขาอย่างรวดเร็ว 

 

 

 


ตอนที่ 1660 แพ้ยับเยินกว่านี้ก็ต้องพย...

 

หลังจากกลับถึงยอดเขา จางจื่ออันพลิกยอดเขาที่มีพื้นที่ไม่มาก ตามหาทุกซอก ทุกมุม รวมถึงข้างหลังและข้างๆ โรงน้ำชา เพราะเด็กสาวคนนั้นอาจจะออกจากโรงน้ำชาแล้วยังไม่ได้ลงเขาทันที และอ้อมไปด้านหลังโรงน้ำชาด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เขากลับคิดมุมเดียวว่าเธอลงเขาไปแล้ว 


 


 


เขาหาทั้งยอดเขารอบหนึ่งแล้วแต่ก็ไม่เห็นเงาของเธอ 


 


 


ฟราเทอร์สังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของเขาสักพักแล้ว หลังจากเข้ามาใกล้เขาแล้ว มันก็ถามว่า “กระเป๋าเงินหายหรอกหรือ” 


 


 


“ไม่ใช่หรอก…แต่ก็คล้ายๆ” จางจื่ออันสูดอากาศเย็นๆ ครั้งหนึ่ง “เกิดเรื่องแปลกๆ น่ะ” 


 


 


“เรื่องแปลกอะไร” ฟราเทอร์สนอกสนใจขึ้นมาทันที 


 


 


“เด็กสาวมัธยมต้นคนเมื่อกี้ หายไปในพริบตาเดียวได้ยังไงนะ มีปีกเหรอ” เขาพูดด้วยความสงสัย 


 


 


ฟราเทอร์ตะลึงเล็กน้อย “เด็กสาวคนไหน คนตรงตีนเขาหรือ” 


 


 


จางจื่ออัน “…” ทำไมรู้สึกว่ากำลังใช้ภาษาเป็ดพูดกับไก่เนี่ย 


 


 


“เป็นอะไรไป” ฟราเทอร์ยิ่งตะลึง 


 


 


“เอ่อ…เมื่อกี้ไม่ได้มีเด็กสาวมัธยมต้นคนหนึ่งออกจากโรงน้ำชาหรอกเหรอ เธอไปที่ไหน นายเห็นหรือเปล่า” เขาทำมือขนานกับหน้าอกตรงตำแหน่งใต้คาง บ่งบอกความสูงของเด็กผู้หญิงคนนั้น 


 


 


ฟราเทอร์จ้องมองเขา ดูเหมือนเขาไม่ได้ล้อเล่น แต่คำพูดของเขาทำให้มันไม่เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จึงยิ้มด้วยท่าทางงุนงง “เมื่อครู่ มีเพียงเจ้าที่ออกจากโรงน้ำชานะ” 


 


 


เชี่ย? 


 


 


จางจื่ออันงงเป็นไก่ตาแตก นานทีเดียวถึงจะได้สติกลับมา 


 


 


“ตั้งแต่ฉันกับท่านผู้เฒ่าฉาเข้าไปในโรงน้ำชา จนฉันออกมาเมื่อกี้ ระหว่างนี้ไม่มีใครเดินออกมาจากโรงน้ำชาเลยเหรอ นายดูรำดาบจนเคลิ้มไปหรือเปล่า เลยไม่สังเกตเห็นน่ะ” เขาพยายามถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง 


 


 


ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อฟราเทอร์ แต่เป็นเพราะเรื่องนี้ประหลาดเกินไปจริงๆ คนตัวใหญ่หายไปกลางวันแสกๆ บนยอดเขานี้มีการแสดงซีรีย์ ‘เอ็กซ์ไฟล์’ หรืออย่างไร 


 


 


“ข้าไม่ได้เคลิ้มจนถึงขั้นนั้น หากมีคนออกมาจากโรงน้ำชา ข้าต้องรู้แน่” ฟราเทอร์ตอบคำถามของเขาอยู่ข้างๆ 


 


 


ก็จริง เทียบประสาทสัมผัสของสัตว์ป่าอย่างหมาป่ากับคนแล้ว นี่นับเป็นการสบประมาทหมาป่า ทั้งการดมกลิ่น การได้ยิน และเนื้อบนอุ้งเท้าของพวกมันรู้สึกได้ถึงกลิ่น เสียง และการสั่นสะเทือนที่เกิดจากการเดินได้ ไม่มีทางปล่อยให้คนตัวใหญ่เดินรอดพ้นสายตาไปได้โดยไม่รู้ตัวหรอก 


 


 


เรื่องนี้ชักจะแหม่งๆ เขาได้ยินเสียงเธอเปิดและปิดประตูชัดเจน ฟราเทอร์กลับบอกว่าเธอไม่ได้ออกจากโรงน้ำชา ความขัดแย้งในนั้น… 


 


 


เขาเปลี่ยนวิธีถามอีกครั้ง “งั้นก่อนที่ฉันจะออกจากโรงน้ำชา นายได้ยินเสียงเปิดปิดประตูหรือเปล่า” 


 


 


ถ้าฟราเทอร์ตอบปฏิเสธ อย่างนั้นก็คงทำได้แค่สมมติว่าทั้งโรงน้ำชาตั้งอยู่ระหว่างมิติพิศวงบางอย่างแล้ว 


 


 


“ได้ยิน” 


 


 


ฟราเทอร์พยักหน้า “มีคนเปิดและปิดประตู แต่ไม่มีคนเดินออกมา ทีแรกข้าคิดว่ามีใครกำลังจะออกมา แต่ก็เปลี่ยนใจกลับเข้าไปใหม่เสียอีก” 


 


 


ในที่สุดจางจื่ออันก็หาสาเหตุพบแล้ว 


 


 


หลังจากเข้าไปในโรงน้ำชาแล้วก็มีฉากบังลมบานหนึ่ง เถ้าแก่เนี้ย เสี่ยวเอ้อร์ และเขาเห็นแค่เงาร่างของเด็กสาวหายไปข้างหลังฉากบังลม จากนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตู ทำให้คิดไปว่าเธอออกจากโรงน้ำชาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเห็นด้วยตาตัวเอง 


 


 


ฉากบังลมทำหน้าที่บังเท่านั้น ซ่อนคนไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นคำตอบก็คือ เธอเดินไปข้างหลังฉากบังลม เปิดประตู ปิดประตู ทำท่าทางเหมือนตัวเองออกไปแล้ว จากนั้น…ก็หายไประหว่างฉากบังลมและประตู 


 


 


หรือว่าเธอเป็นแม่มดที่กลายร่างเป็นคนได้? 


 


 


หรือเธอเป็นคนที่มีวิชาอำพรางตัว? เป็นเผ่ามังกรในตำนานจีนเหรอ 


 


 


เรื่องลี้ลับเหรอ ดีที่ตอนนี้เป็นตอนกลางวัน แต่เจอผีตอนกลางวันเนี่ยนะ? ถึงวลาดิเมียร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องปิศาจไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย แต่พลังกำจัดปิศาจของฟราเทอร์ก็ไม่ใช่สิ่งที่เทพให้มาเฉยๆ 


 


 


“เกิดเรื่องแปลกอะไรขึ้นกันแน่” ฟราเทอร์ยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่แล้ว 


 


 


จางจื่ออันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มันฟังอย่างละเอียด ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่มีเวลาจิ๊บจ๊อยแค่สองสามนาที ถ้ามันหาจุดบอดในความคิดของเขาเจอได้ และอธิบายคำตอบที่สมเหตุสมผลได้ก็คงจะดีมาก 


 


 


แต่ฟราเทอร์ได้ยินแล้วก็ตกตะลึงเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเป็นไปได้อย่างอื่นเลย 


 


 


“นี่เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง ตกหล่นที่ตรงไหนหรือไม่ คนตัวใหญ่จะหายไปเฉยๆ ได้อย่างไรกัน” 


 


 


มันนึกถึงภูตหมาป่าอินเดียแดงในป่าเรดวูด นั่นก็ไปมาอย่างลึกลับเช่นกัน แต่ภูตหมาเป็นภูตสัตว์เลี้ยงที่ยังไม่สมบูรณ์ ลักษณะพิเศษจึงเป็นอย่างนั้น 


 


 


“แต่ไม่มีคำอธิบายอื่นที่น่าเชื่อถือกว่านี้อีก” จางจื่ออันเกาหัว ถึงขนาดรู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่ได้ตามออกมาก็คงดี ไม่เห็นก็ไม่ว้าวุ่นใจ จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องแปลกแบบนี้ 


 


 


หนึ่งคน หนึ่งหมาป่ามองหน้ากัน จำลองเหตุการณ์ทั้งหมดอีกรอบ แต่ยังดูไม่ออกว่าเธอหายไปได้อย่างไร 


 


 


พวกผู้อาวุโสรำดาบเสร็จแล้ว พวกเขาพักผ่อนอยู่บนก้อนหินครู่หนึ่ง พูดจาหัวเราะเฮฮาลงจากเขากันเป็นกลุ่ม 


 


 


บนยอดเขาเงียบสงัดลงโดยพลัน 


 


 


จางจื่ออันคิดไม่ตก แต่คิดต่อไปอย่างนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดี จึงพูดกับฟราเทอร์คำหนึ่ง แล้วตัวเองก็กลับเข้าไปในโรงน้ำชาอีกครั้ง 


 


 


ชุดน้ำชาที่เขาสั่งไว้ยังอยู่บนโต๊ะอย่างดี 


 


 


“ไปนานขนาดนี้ ถ้าไม่ได้จ่ายเงินแล้ว ฉันคงคิดว่าคุณถือโอกาสชิ่งหนีไปแล้ว…” เสี่ยวเอ้อร์บ่น 


 


 


หลังจากเขาออกไป เถ้าแก่เนี้ยเย่ยังไม่ได้ชงชาเถี่ยกวนยิน เพราะไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาตอนไหน ชงชาเสร็จแล้วรอเขากลับมาก็อาจจะเย็นชืดหมด ตอนนี้เขากลับมาแล้ว เธอจึงเริ่มชงชา 


 


 


จางจื่ออันกลับมานั่งก้มหน้าบนเก้าอี้ ชามะลิเย็นชืดไปบ้างแล้ว แต่อุณหภูมินี้เหมาะกับลิ้นแมวที่ประสาทสัมผัสว่องไวพอดี เขาจึงเทน้ำชาสองถ้วย ดันถ้วยหนึ่งให้เหล่าฉา และขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยที่เสนออุ่นน้ำชาให้เขาอีกครั้ง 


 


 


“คุณสั่งสอนเด็กคนนั้นหรือยัง” เสี่ยวเอ้อร์เห็นสีหน้าเขาไม่ค่อยดี จึงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น 


 


 


เขากระแอมครั้งหนึ่ง “แน่นอน ผมสั่งสอนเธอไปอย่างหนักแล้ว เธอคงรู้ความผิดแล้วแหละ เธอสำนึกผิดอย่างลึกซึ้งเลย และรับประกันว่าหลังจากนี้จะไม่ทำผิดอีก เธอเม็มช่องทางการติดต่อของผมเอาไว้แล้ว บอกว่ากลับไปจะเอาเงินแต๊ะเอียมาคืนให้ผม…” 


 


 


นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ถึงแพ้ยับเยินขนาดไหนก็ต้องพยายามต่อไป หากต่อยหน้าตัวเองจนบวมให้คนอื่นคิดว่าอ้วนก็ต้องทำ 


 


 


เถ้าแก่เนี้ยและเสี่ยวเอ้อร์เชื่อครึ่ง สงสัยครึ่ง เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนคนที่ยอมรับการสั่งสอนง่ายๆ แต่พวกเธอไม่ได้อยู่ด้วย ถึงไม่เชื่อก็ไม่มีหลักฐานอะไร 


 


 


ผ่านไปสักพักหนึ่ง เถ้าแก่เนี้ยก็ชงชาเถี่ยกวนยินเสร็จแล้ว เสี่ยวเอ้อร์จึงยกมาเสิร์ฟเขา จากนั้นพวกเธอสองคนก็กลับไปคุยกันเสียงเบาข้างหลังเคาน์เตอร์ เป็นเรื่องจิปาถะในชีวิตจำนวนหนึ่ง บางครั้งก็พูดถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นด้วย 


 


 


ส่วนเรื่องจางจื่ออันมาคนเดียวแต่กลับสั่งชาสองถ้วย พวกเธอเคยเห็นเรื่องแปลกแบบนี้ตั้งแต่หนึ่งปีก่อนแล้ว 


 


 


คำพูดของเขาหลอกได้แค่พวกเธอ แต่หลอกเหล่าฉาไม่ได้ มันสังเกตสีหน้าและน้ำเสียงของเขา เดาว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เขาพูด จึงถือโอกาสกระโดดจากหน้าต่างออกไปข้างนอกตอนชงชา แล้วถามฟราเทอร์อย่างละเอียด หลังจากกลับมาก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน 


 


 


เหล่าฉาดมกลิ่นแล้ว กลิ่นของเด็กผู้หญิงคนนั้นหยุดอยู่ระหว่างประตูและฉากบังลมจริงๆ ส่วนกลิ่นที่เธอทิ้งไว้ข้างนอกก่อนหน้านี้ก็ถูกลมพัดกระจายไปแล้ว 


 


 


เหล่าฉากลับมาแล้วก็ส่ายหน้าเล็กน้อย บ่งบอกว่ามันก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ 


 


 


จางจื่ออันก็เดาไว้อย่างนั้น หนึ่งคน หนึ่งแมวจิบชากันเงียบเชียบไม่พูดจา บนใบหน้ามีรอยยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ 


 


 


วันนี้พวกเขาสามคนนับว่าเจอกับความล้มเหลวที่ไม่ได้คาดคิดแล้ว  

 

 


ตอนที่ 1661 เดินเปลี่ยนบรรยากาศ

 

จางจื่ออันเปิดประตู รู้สึกอยู่ลึกๆ รางๆ ว่านี่น่าจะเป็นประตูโรงน้ำชา ราวกับดื่มชาเสร็จแล้วและคิดจะออกไป 


 


 


เขาเดินสะลึมสะลือไปข้างหน้าสองสามก้าว รู้สึกสับสนเล็กน้อย ทำไมเพิ่งดื่มชาแต่กลับไม่ได้ผลอะไร ตอนนี้เอง อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกไป จากนั้นร่างกายก็สะดุ้งตื่นอย่างแรง 


 


 


นี่คือ…ยอดเขาเหรอ? 


 


 


เขามองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง บนยอดเขาควรจะมีอิฐปูไว้เต็มไปหมด มีร้านค้าขนาดเล็กปิดร้านเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวมาซื้อของ มีศาลา และมีเก้าอี้ม้าหินเทียม แต่ไม่มีของพวกนี้แล้ว 


 


 


รอบๆ อ้างว้างไปหมด ใต้เท้ามีเพียงหญ้ารกชัฏ ความรู้สึกอ่อนยวบของดินโคลนแตกต่างกับก้อนอิฐโดยสิ้นเชิง กลับเป็นต้นสนโบราณหลายต้นที่ยังคงสูงตระหง่านดังเดิม 


 


 


เขาหันหน้าอย่างแรง ก่อนจะประหลาดใจเมื่อพบว่าโรงน้ำชาอู้อิ่นหายไปแล้ว ข้างหลังว่างเปล่า มีเพียงต้นสนโบราณและหญ้ารกเอนเอียงอยู่ตรงนั้น 


 


 


มารดาคุณสิ นี่มันแปลกชะมัด โรงน้ำชาหายไปแล้ว แล้วเมื่อกี้ฉันเพิ่งออกมาจากตรงไหน? 


 


 


จริงสิ ท่านผู้เฒ่าฉากับฟราเทอร์ล่ะ? 


 


 


พวกเขามากันสามคนชัดๆ ตอนนี้บนยอดเขากลับเหลือแค่เขาคนเดียว 


 


 


“ท่านผู้เฒ่าฉา! ฟราเทอร์! พวกนายอยู่ไหน” 


 


 


เขาตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็เงี่ยหูฟัง 


 


 


นอกจากเสียงลมเบาหวิวแล้ว ก็ไม่มีการตอบรับอะไร 


 


 


หรือว่าโรงน้ำชาเป็นสิ่งก่อสร้างในมิติพิศวง ท่านผู้เฒ่าฉากับฟราเทอร์ยังไม่ทันออกมา ก็ถูกพาไปมิติอื่นแล้วเหรอ 


 


 


เหงื่อเย็นๆ ของเขาเริ่มหยดลงมา 


 


 


แปลกจริง ถึงโรงน้ำชาอยู่มิติอื่น แต่ทำไมทั้งยอดเขาถึงได้เปลี่ยนไปด้วยล่ะ 


 


 


เขาเดินไปที่ทางเข้าออกของทางเดินภูเขาทันที ตรงนั้นไม่ได้ปูทางเดินลงภูเขาแล้ว เกรงว่านอกจากแพะภูเขา ก็คงมีเพียงนายพรานและคนเก็บสมุนไพรที่มือเท้าว่องไวถึงจะอาศัยช่องเหวตื้นและก้อนหินที่นูนขึ้นเล็กน้อยตะกายขึ้นมาได้ 


 


 


เชี่ย? แล้วฉันจะลงไปยังไงเนี่ย 


 


 


เขาไม่สามารถปีนก้อนหินลงไปได้ จุดจบของการฝืนลงเขาไปก็มีแต่ตกลงไปเป็นศพ 


 


 


จริงสิ มือถือ! 


 


 


เขาควักโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาด้วยความเคยชิน 


 


 


ไม่มีสัญญาณ 


 


 


เกิดอะไรขึ้น บนยอดเขามีสัญญาณชัดๆ นี่คือประเทศจีนที่มีอินเทอร์เน็ตทุกหมู่บ้าน ไม่ใช่อเมริกาสักหน่อย 


 


 


ถูกขังอยู่บนยอดเขา ร้องเรียกฟ้าไม่ตอบ ร้องเรียกดินไม่รับรู้ บนยอดเขาที่ใหญ่เท่าฝ่ามือทั้งไม่มีตาน้ำพุ และไม่มีสัตว์ป่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาคงต้องตายอยู่ที่นี่ในอีกไม่ช้า 


 


 


เขาเกาหัวอย่างแรง พยายามขจัดความคิดเรื่อยเปื่อย แล้วเริ่มรวบรวมสติ พยายามคิดว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดในตอนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร 


 


 


ไม่นานเขาก็ละทิ้งความคิดทางวิทยาศาสตร์ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่วิทยาศาสตร์จะช่วยได้ ความเป็นไปได้ที่เหลือคือเรื่องลี้ลับและปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ 


 


 


เขาไม่เชื่อว่ามีเรื่องลี้ลับอะไรจริงๆ อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเจอ และไม่คิดว่ามีเรื่องลี้ลับอะไรปรากฏต่อหน้าวลาดิเมียร์และฟราเทอร์ จูออนที่มีตบะแก่กล้าพันปีก็คงไม่กล้าก่อกวน 


 


 


งั้นก็เป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติสินะ? 


 


 


มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวเหรอ? 


 


 


พอคิดถึงคำว่าลักพาตัว ในสมองของเขาก็มีแสงแวบเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหมือนกับมองพระอาทิตย์ รู้สึกกล้าหาญขึ้นมา ถึงแม้ความกังวลและความหวาดกลัวทุกอย่างยังไม่จางหายไป แต่อย่างน้อยก็เป็นการหลีกเลี่ยงปัญหา 


 


 


นอกจากเอเลี่ยนแล้ว ยังมีเทพเซียนอีกองค์หนึ่งที่ทำได้ขนาดนี้ ลักพาตัวเขามาที่มิติพิศวงโดยที่ไม่มีใครรู้ 


 


 


และเทียบกับเอเลี่ยนที่ลึกลับ เขาเชื่อว่าเป็นฝ่ายหลังมากกว่า ถึงอย่างไรอัตราความเป็นไปได้ของฝ่ายหลังก็ยังนำอยู่หนึ่งต่อศูนย์ 


 


 


“จวงเสี่ยวเตี๋ย ฉันรู้ว่าเป็นเธอ ออกมาเถอะ” 


 


 


เขานอนหงายลงบนพื้นหญ้า มองเมฆม้วนลอยสบายๆ อยู่บนท้องฟ้า 


 


 


การสับเปลี่ยนความจริงเป็นความฝันอย่างไม่มีรอยต่อชวนให้คุ้นเคยแบบนี้ เขามั่นใจเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นฝีมือของภูตสัตว์เลี้ยงผีเสื้อตัวนั้น 


 


 


ที่เขาไม่แน่ใจเพียงอย่างเดียวคือ เขาถูกดึงเข้ามาในความฝันตอนไหน 


 


 


เขาคิดออกแล้ว ตอนกลางวัน เขา เหล่าฉา และฟราเทอร์อยู่ในโรงน้ำชาอู้อิ่น ดื่มชาเสร็จแล้ว ก็ถือโอกาสลงเขาเพื่อกลับบ้าน หลังจากกลับบ้านทุกอย่างก็เป็นปกติ ดูร้าน กินข้าว ปิดร้าน และนอนหลับ 


 


 


แน่นอนว่าความทรงจำช่วงนี้อาจจะไม่ใช่ความจริง มีความเป็นไปได้ว่าทั้งวันนี้เป็นความฝันโดยสมบูรณ์ ถึงขนาดที่ว่าเขาอาจจะจมอยู่ในความฝันของเธอตั้งแต่แรก แล้วยังไม่ได้ออกมา เขาคิดว่าเอาชนะเธอได้แล้ว แต่ที่จริงก็แค่เข้าไปอยู่ในฝันซ้อนฝันที่ลึกกว่าเดิม 


 


 


ฝันซ้อนฝันครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนกับตุ๊กตาแม่ลูกดกซ้อนกันอยู่ไม่จบสิ้น 


 


 


ความน่ากลัวของความฝันเธอก็คือการก้าวเข้ามาได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีรอยต่อ ปิดบังเส้นเชื่อมต่อของความจริงและความฝัน จนไม่รู้สึกตัวเลยว่าเข้ามาในฝันตอนไหน และไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นหรือไม่กันแน่ 


 


 


ซา ซา 


 


 


เสียงเบาๆ ของกระโปรงยาวลากพื้นหญ้าดังมาจากเหนือหัวของเขา 


 


 


จากนั้น ใบหน้าสวยสดงดงามก็มาปรากฏอยู่ท่ามของท้องฟ้าและเมฆขาว เธอมัดมวยผมสูง ใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่ลูกตากลับฉายแสงสีรุ้งราวกับผีเสื้อ 


 


 


เธอยังคงสวมชุดฮั่น เป็นชุดที่เขาไม่เคยเห็น และยังเข้ากับเธอได้ดีเหมือนเคย 


 


 


“ไฮ! ไม่เจอกันนานเลยนะ!” 


 


 


เขาแสร้งทำเป็นใจเย็นและโบกมือทักทาย “ช่วงนี้เป็นไงบ้าง กินข้าวเช้าหรือยัง” 


 


 


เธอไม่ตอบ ราวกับไม่คิดที่จะตอบ 


 


 


จางจื่ออันฝืนยิ้มอย่างผู้ชนะ แม้ในใจจะไม่มั่นใจเลยสักนิด แต่ก็ยังพูดโม้ว่า “ฉันชนะอีกแล้ว มองแวบเดียวก็ดูกับดักที่เธอวางไว้ออกแล้ว ถึงยังไงฉันก็มีประสบการณ์มาก่อน ก็แค่ลูกเล่นเล็กน้อยเท่านั้น…” 


 


 


จวงเสี่ยวเตี๋ยมองเขาจากข้างบนเงียบๆ ยิ่งจ้อง เขาก็ยิ่งรู้สึกหวาดผวา 


 


 


หลังจากนั้นนานทีเดียว เธอก็ค่อยๆ เอ่ยปาก “คุณจะนอนอยู่บนพื้นอีกนานแค่ไหน” 


 


 


“นอนบนพื้นหญ้าสบายมากเลยนะ เธออยากลองนอนดูสักพักไหมล่ะ ถึงยังไงที่นี่ก็กว้างใหญ่ขนาดนี้…” จางจื่ออันพูดจาเรื่อยเปื่อย ในเมื่อไม่มีทางได้เปรียบในสนามรบ อย่างนั้นก็ทำได้แค่เล่นลูกไม้ผ่านฝีปากแล้ว 


 


 


เขามองความคิดของจวงเสี่ยวเตี๋ยผ่านบนหน้าของเธอไม่ออก ผ่านไปอีกพักหนึ่ง เธอก็เดินอย่างแผ่วเบา แล้วหายไปจากทัศนวิสัยนอนหงายของเขาแล้ว 


 


 


เขาเอียงคอ เห็นเธอเดินไปทางริมยอดเขา ตรงนั้นไม่มีทางเดินภูเขา มีแค่เนินลาดชันที่เหมือนหุบเหว 


 


 


“นี่! เธออย่าคิดสั้นนะ!” เขาตะโกน “มีอะไรก็พูดดีๆ อย่าเอะอะก็ฆ่าตัวตายสิ” 


 


 


เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่อยู่ๆ ก็พูดว่า “งั้นคุณก็อย่านอนต่อเลย อยากนอนนานๆ ก็ได้ แต่คุณจะพลาดโอกาสดูเรื่องสนุกไปนะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนคุณแล้วกัน” 


 


 


เรื่องสนุกเหรอ 


 


 


ภูเขารกร้างแบบนี้มีเรื่องสนุกอะไรน่าดู 


 


 


จางจื่ออันถูกเธอกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นเข้าแล้ว หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วเดินไปริมผา แล้วมายืนอยู่ข้างเธอ พยายามมองออกไปไกลๆ 


 


 


ขบวนรถต่อแถวคดเคี้ยวอยู่ตรงตีนเขา ขบวนต่อเนื่องออกไปยาวเหยียด แต่ขบวนรถนี้ไม่ใช่ขบวนรถยนต์ แต่เป็นรถม้า รถวัวลาก รถลาลาก และรถที่ลากโดยปศุสัตว์อื่นๆ 


 


 


ข้างหน้าขวบรถมีคนเป่าปี่ปากใหญ่จนแก้มป่อง เสียงดังขึ้นอย่างรวดเร็ว และดังขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


“นี่เขาทำอะไรกัน ถ่ายหนังพีเรียดเหรอ” จางจื่ออันถามด้วยความสับสน 


 


 


จวงเสี่ยวเตี๋ยตอบเรียบๆ ว่า “นี่คือขบวนรถส่งตัวเจ้าสาว กำลังจะส่งหญิงสาวลูกคนรวยไปที่เมืองปินไห่” 

 

 

 


ตอนที่ 1662 การเปลี่ยนแปลงมากมายร้อยปี

 

 


 


 


วันนี้ในโลกความฝันเป็นวันฟ้าใส มีลมเอื่อยพัดมาเป็นระลอก ยอดเขาอิ่นอู้ไม่มีหมอกโอบล้อมอย่างยากจะเห็น บวกกับอากาศสดชื่นผิดปกติ แทบจะสวยงามเทียบได้กับอากาศของป่าเรดวูด ดังนั้นทัศนวิสัยจึงมองเห็นได้ไกลมาก 


 


 


เรื่องการส่งตัวเจ้าสาวแบบนี้ จางจื่ออันเคยเห็นในละครโทรทัศน์แบบพีเรียด ถึงเป็นในความทรงจำก็น่าเบื่อทีเดียว ก็แค่เป่าเครื่องดนตรีส่งเจ้าสาวผู้เขินอายนั่งเกี้ยวไปที่งานแต่งงาน จากนั้นคนในครอบครัวก็กินดื่มร่วมกัน เทเหล้าให้เจ้าบ่าวจนเมาหัวราน้ำ ถ้าเป็นเจ้าบ่าวที่คอแข็งก็ยังพอฝืนเข้าห้องหอไปได้ คาดว่าก็คงมีจุดจบอย่างรวดเร็ว ถ้าคออ่อนละก็ คืนนั้นเจ้าสาวก็ทำได้แค่นับเงินแล้ว… 


 


 


ตอนนี้เขายืนมองขบวนส่งตัวเจ้าสาวอยู่บนยอดเขา พิธีการคล้ายๆ กับที่เขาจำได้ แต่ความยาวของขบวนเกินกว่าที่เขาคิด เกรงว่าคงเป็นหญิงสาวของครอบครัวใหญ่ร่ำรวย ส่วนที่ลากอยู่ข้างหลังขบวนรถเป็นสินเดิมของฝ่ายหญิงกล่องแล้วกล่องเล่าวางอยู่บนรถวัวลาก รอยล้อลึกบ่งบอกว่านั่นไม่ใช่กล่องเปล่าที่ใช้สำหรับอวดร่ำอวดรวยแน่นอน 


 


 


ทุกคนในขบวนรถต่างก็แต่งตัวด้วยชุดสีสันสดใส มีใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข 


 


 


เนื่องจากเดินอยู่บนภูเขา จึงเห็นทุกคนในขบวนเป็นจุดสีดำคล้ายๆ กับมด 


 


 


หัวขบวนมีพวกข้ารับใช้ยกเกี้ยวสีแดงหนักอึ้ง เตะตาเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


“จิ๊! บนโลกนี้ขาดหญิงสาวร่ำรวยไปอีกคนแล้ว” 


 


 


เขาทำหน้าตาอิจฉา ในใจอิจฉายิ่งกว่านั้นอีก มองแค่จำนวนคนอย่างเดียวก็รู้แล้วว่าฝ่ายหญิงมีฐานะร่ำรวยแน่นอน ส่วนฝ่ายชายก็คงไม่ต้องดิ้นรนไปอีกยี่สิบปี… 


 


 


แต่น่าแปลก แม้สังคมปัจจุบันนี้จะมีคนฟื้นฟูประเพณีโบราณไม่น้อย และยังมีคู่แต่งงานใหม่ที่จัดพิธีแต่งงานแบบดั้งเดิม แต่ต้องเลียนแบบให้เหมือนจริงขนาดนี้เลยเหรอ แม้กระทั่งรถวัวลาก รถม้า รถลาลากก็มีครบครัน แต่ช่างภาพงานแต่งงานคนสำคัญที่สุดอยู่ตรงไหนล่ะ หรือว่าใช้โดรนถ่ายงานแต่งงานครั้งนี้ 


 


 


เขาเลื่อนสายตามองหาบนท้องฟ้า แต่ก็หาเงาของโดรนไม่เจอ 


 


 


“นั่นอะไรน่ะ นี่เป็นเจ้าสาวลูกคนรวยหรือลูกข้าราชการใหญ่คนไหน” เขาถามเรื่อยเปื่อย 


 


 


จวงเสี่ยวเตี๋ยไม่ตอบ 


 


 


ยังจะเล่นปริศนาคำทายอีก 


 


 


จางจื่ออันรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่จำกัดในตอนนี้ไว้ในสมอง คำสุดท้ายในคำพูดของเธอเมื่อครู่อยู่ๆ ก็ทำให้เขาได้สติขึ้นมา 


 


 


“อะไรนะ เธอพูดว่าอะไร ตำบลปินไห่เหรอ ตำบลปินไห่ไหน” เขาถามด้วยความงุนงง 


 


 


เธอตอบง่ายๆ “ก็ตำบลปินไห่ไง เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองปินไห่หลังจากปี 1949 เคยเป็นนครเอกของมณฑลนี้ ต่อมา…” 


 


 


จางจื่ออันเป็นคนท้องถิ่นที่เกิดและโตในเมืองปินไห่ ย่อมรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาในท้องถิ่นอยู่บ้าง คำพูดท่อนนี้ของเธอก็มาจากเว็บไซต์ไป่ตู้ในความทรงจำของเขา 


 


 


แต่ก็เป็นอย่างที่เธอพูด ตำบลปินไห่เมื่อปี 1949 ไม่มีอยู่อีก เพราะตอนนี้ได้พัฒนาเป็นเมืองปินไห่แล้ว 


 


 


เขาเลื่อนสายตาตามทิศทางเดินหน้าของขบวนรถด้วยจิตใต้สำนึก ยิ่งสายตามองไกลไปเรื่อยๆ ตรงตำแหน่งสุดสายตา ในที่สุดก็มองเห็น…เมืองเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่มากและเหมือนปกคลุมด้วยดิน แทบจะเป็นบ้านชั้นเดียวทั้งหมด มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างแนวตะวันตกแบบโบสถ์ในเขตตอนใต้สองสามหลังเท่านั้น 


 


 


พื้นที่ของเมืองเล็กๆ น่าจะมีแค่เมืองปินไห่ที่มีถนนวงแหวนด้านในใหญ่ขนาดนั้น ถูกล้อมด้วยกำแพงเมืองเตี้ยๆ รอบหนึ่งที่ทำได้แค่ป้องกันสัตว์ป่า แต่ป้องกันคนไม่ได้ หากวัดจากมาตรฐานของสังคมยุคปัจจุบัน ที่นี่ก็คล้ายกับหมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่ง 


 


 


ภูเขาอิ่นอู้อยู่ในเขตชานเมืองปินไห่ในสังคมปัจจุบัน ยังไม่นับว่าเป็นชานเมืองที่อยู่ไกลจากตัวเมือง เพราะรถสาธารณะเข้าถึงได้ แต่ข้างหน้านี้โดยรอบไม่ได้ต่างไปจากป่าของภูเขาอิ่นอู้ 


 


 


ประตูเมืองเปิดกว้าง คนกลุ่มใหญ่ยืนต้อนรับอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน หลังจากมองเห็นขบวนส่งตัวเจ้าสาวอยู่ไกลๆ พวกเจาก็เริ่มจุดประทัดดังโครมครามทันที ผ้าคลุมปืนใหญ่ย้อมประตูเมืองให้กลายเป็นสีแดงแห่งความมงคลภายในเวลาสั้นๆ 


 


 


พวกชาวบ้านที่มุงดูความคึกคักต่อแถวรอต้อนรับเป็นแถว ไม่ใช่เพราะพวกเขากระตือรือร้นที่จะต้อนรับแขก แต่ตอนขบวนส่งตัวเจ้าสาวที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผ่านไป ก็จะโปรยเหรียญทองแดงให้ทั้งสองข้างทางอย่างใจกว้าง ทำให้พวกชาวบ้านยื้อแย่งกันเป็นระลอก 


 


 


ทะเลที่ไกลออกไปสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เรือประมงทำจากไม้เป็นกลุ่มก้อนพากันยกพายออกทะเลไป 


 


 


ถึงแม้จางจื่ออันยังไม่อยากเชื่ออีก แต่ตอนนี้ก็จำต้องเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว ถึงจะเป็นความจริงที่ไม่น่าเชื่อก็ตาม 


 


 


“นี่…นี่คือปีไหน” เขาถามเสียงสั่น 


 


 


“น่าจะหนึ่งร้อยปีก่อน” เธอตอบ 


 


 


เชี่ย? 


 


 


นานกว่าที่จางจื่ออันคาดไว้อีก 


 


 


เขาพูดในใจว่าผู้หญิงคนนี้เล่นเกมเก่งขึ้นเรื่อยๆ เลย ไม่คิดว่าจะดึงเขาเข้ามาในความฝันเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน แต่นี่เป็นความฝันของใครกัน 


 


 


ความจริงเขาพอจะเดาได้แล้ว เฟยหม่าซือเคยบอกว่าจวงเสี่ยวเตี๋ยปรากฏตัวในโลกจินตนาการของมัน และโลกจินตนาการของมันก็สร้างขึ้นมาจากพื้นฐานความทรงจำของเหล่าฉา ดังนั้นนี่น่าจะเป็นความฝันที่สร้างขึ้นจากพื้นฐานความทรงจำของเหล่าฉานั่นแหละ 


 


 


จางจื่ออันแทบจะทรุดแล้ว ผู้หญิงคนนี้เล่นสนุกกับโลกความฝันของเขาตามอำเภอใจจริงๆ แต่เขาก็ไม่มีกำลังจะขัดขืน 


 


 


อยู่ต่อหน้าเธอ เขามีเพียงความเป็นผู้ชายเท่านั้น… 


 


 


“ขบวนส่งตัวเจ้าสาวนี้ออกเดินทางมาไกลมาก มาถึงที่นี่เป็นพันๆ ลี้ ระหว่างนั้นเจอกับโจรปล้นกลางทาง โรคระบาดจากน้ำท่วม เรียกได้ว่าเจอแต่ความยากลำบาก…บนใบหน้าของทุกคนเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม นั่นไม่ใช่แค่ความดีใจที่มอบให้เจ้าสาวเท่านั้น แต่ดีใจกับตัวพวกเขาเองมากกว่า ในที่สุดก็ทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาวสำเร็จแล้ว กินดื่มให้เต็มคราบสักมื้อ ได้รับเงินค่าจ้างก้อนโต จากนั้นก็กลับบ้านได้แล้ว” จวงเสี่ยวเตี๋ยก้มหน้าก้มตาพูด 


 


 


จางจื่ออันจินตนาการได้ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนที่คนส่วนใหญ่มาออกจากบ้านเกิดทั้งชีวิต มีไม่กี่คนที่เคยเห็นรถยนต์และรถไฟ บวกกับบ้านแตกสาแหรกขาดในภาวะสงครามและผู้นำทหารที่สนับสนุนการแบ่งแยกระบบการปกครอง ขบวนส่งตัวเจ้าสาวนี้มาถึงตำบลปินไห่ได้อย่างปลอดภัยจึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์หาใดเปรียบ 


 


 


แม้นี่จะเป็นความฝัน แต่ก็ใกล้เคียงกับความจริงมาก ขบวนส่งตัวเจ้าสาวนี้ต้องคาดไม่ถึงแน่นอน ว่าตอนที่พวกเขาเพิ่งผ่านภูเขาอิ่นอู้ไป บนยอดเขายังมีคนที่มาจากอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้ามองพวกเขาอยู่ 


 


 


ถ้าตอนนี้เขาดันหินก้อนใหญ่ตกลงไป พวกเขาจะเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ อาจจะคิดว่าเป็นโจรชิงตัวเจ้าสาว จากนั้นก็โกลาหลกันไปทั้งขบวน เพราะพวกเขาเคยสอบถามแล้วว่า ภูเขาอิ่นอู้เป็นภูเขาร้าง มีเพียงคนที่อาศัยอยู่ในป่าขึ้นเขามาตัดไม้เท่านั้น มีโจรที่ไหนกัน 


 


 


พอนึกถึงท่าทางตกใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรของพวกเขา จางจื่ออันก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ แต่เขาแค่คิดเท่านั้น ไม่ทำจริงๆ หรอก 


 


 


ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ซับซ้อนมาก การได้เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายของประวัติศาสตร์ด้วยตาตัวเองทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งยวด และจวงเสี่ยวเตี๋ยที่มาอย่างกะทันหันก็ทำให้เขากระวนกระวายใจ 


 


 


ครั้งนี้เธอจะขังเขาไว้นานเท่าไรกันนะ 


 


 


ด้วยความช่วยเหลือของเฟยหม่าซือ ครั้งก่อนเขาถึงได้รู้ตัวว่านั่นเป็นความฝัน รู้สึกถึงความฝัน จากนั้นถึงจะตื่นขึ้นมาได้ 


 


 


ครั้งนี้เขารู้สึกตัวเร็วมาก ไม่ใช่ว่าเขาฉลาดขึ้นแล้ว แต่จวงเสี่ยวเตี๋ยเตรียมพล็อตเรื่องใหม่แล้ว เพราะถ้าเธอไม่อยากให้เขารู้ตัวก็มีตั้งหลายวิธี อันดับแรกก็คือควรจะปล่อยเขาไว้ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่เขาเคยอยู่ หรือบริษัทที่เขาเคยทำงาน มีจุดสับเปลี่ยนที่เหมาะสมกว่านี้มากมายที่หลอกเขาจนหัวหมุนได้ แต่ไม่ใช่การทิ้งเขาอยู่บนยอดเขารกร้างง่ายๆ แบบนี้ 


 


 


เขากระแอมครั้งหนึ่ง “การส่งตัวเจ้าสาวน่าสนใจมาก แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันมั้ง? สู้บอกว่าครั้งนี้เธอจะยอมปล่อยให้ฉันตื่นยังไงดีกว่า” 


 


 


จวงเสี่ยวเตี๋ยเหลือบดวงตาคู่งามมองมา ก่อนจะใช้ลูกตาสีรุ้งมองเขาอย่างมีเลศนัย “คุณแน่ใจนะว่าไม่เกี่ยวข้องกับคุณ?”  

 

 


ตอนที่ 1663 ลางดี

 

จางจื่ออันถูกจวงเสี่ยวเตี๋ยย้อนถามจนหมดคำพูดจะโต้ตอบ


 


 


ขบวนส่งตัวเจ้าสาวเกี่ยวข้องกับเขาเหรอ


 


 


ภูมิลำเนาเดิมของเขาอยู่ที่เมืองปินไห่ แต่ภูมิลำเนานี้มี ‘บรรพบุรุษ’ เขาไม่ค่อยแน่ใจเลยจริงๆ ครอบครัวของเขาไม่ใช่ครอบครัวใหญ่ประเภทที่เก่าแก่และดั้งเดิมมาก ไม่ได้สนใจลำดับวงศ์ตระกูลและไม่ให้ความสำคัญด้วยซ้ำ เขาจึงไม่รู้ว่าบรรพบุรุษตั้งรกรากอยู่ที่เมืองปินไห่ตั้งแต่ตอนไหน พอคิดถึงวัฏจักรราชวงศ์ในประวัติศาสตร์จีน ก็อาจจะหนีมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ในช่วงเกิดความวุ่นวายจากสงครามสักช่วงหนึ่ง


 


 


ที่รู้จากพ่อกับแม่ที่พูดขึ้นมาบางครั้ง เขาเหมือนจะเคยได้ยินว่าบรรพบุรุษตระกูลตัวเองก็เคยร่ำรวย แต่ค่อยๆ ยากจนลงท่ามกลางความวุ่นวายจากสงครามอันยาวนานครั้งแล้วครั้งเล่าในศตวรรษที่ยี่สิบ บวกกับความไม่แน่นอนหลังจากปลดแอก ครอบครัวที่ร่ำรวยมากแค่ไหนก็สู้ไม่ไหวเหมือนกัน


 


 


ถ้าบรรพบุรุษของเขาอยู่ที่เมืองปินไห่ตั้งแต่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน เขาก็พอจะเข้าใจคำถามย้อนถามประโยคนี้ได้แล้ว


 


 


เมืองเล็กๆ ริมทะเลแบบนี้ ไม่เพียงคนที่มีหน้ามีตาในเมืองจะรู้จักกันหมด ความจริงที่ต่างฝ่ายต่างเป็นเครือญาติกันก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็เป็นพื้นฐานอันดับแรกของการรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นตัวเชื่อมโยงที่น่าเชื่อถือที่สุด


 


 


ดังนั้น คนบางคนในขบวนส่งตัวเจ้าสาว อย่างเช่น หญิงสาวที่นั่งอยู่ในเกี้ยวหรือสาวใช้ที่คอนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ หากเวลาผ่านไปนับร้อยปี ก็อาจจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่ใกล้ไม่ไกลบางอย่าง ถ้าเป็นลำดับที่ใกล้กว่านั้น หรือถ้าไม่มีขบวนส่งตัวเจ้าสาวขบวนนี้ เขาก็อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นมา เรื่องนี้ก็ฟังดูมีเหตุผล


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกใกล้ชิดกับขบวนส่งตัวเจ้าสาวนี้ขึ้นมาโดยพลัน เหมือนเป็นการสัมผัสสิ่งเล็กๆ ที่บรรพบุรุษส่งทอดมาให้ พอนึกขึ้นได้ว่าสิ่งเล็กๆ นี้เคยผ่านมือหลายคนมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เหมือนได้ข้ามเวลามาเห็นหน้าพวกเขาแล้ว


 


 


“น่าเสียดายที่ออกจากบ้านไม่ได้พกอะไรมาเลย ไม่อย่างนั้นควรจะให้ของขวัญสักหน่อย ขอให้ข้าวใหม่ปลามันคู่นี้มีลูกเร็วๆ และมีลูกเยอะๆ เพื่อเพิ่มผู้อุทิศตัวให้กับประเทศชาติ” เขาพูดกึ่งล้อเล่น


 


 


นี่เป็นความฝัน ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นแค่ภาพสะท้อนของประวัติศาสตร์ ดังนั้นทำตัวตามใจสักหน่อยก็ไม่เป็นไร


 


 


ขบวนส่งตัวเจ้าสาวเข้าใกล้ประตูเมืองแล้ว คนเป่าปี่ปากกว้างก็เป่าดังขึ้น พวกผู้ดูแลงานในขบวนส่งตัวเจ้าสาวปัดฝุ่นบนร่างกาย นำขบวนส่งตัวเจ้าสาวเดินหน้ารวมตัว


 


 


ตอนทั้งสองฝ่ายกำลังจะเดินมาถึงกัน อยู่ๆ ในป่าและพุ่มไม้สองข้างทางก็มีผีเสื้อบินขึ้นมาเต็มไปหมด รูปร่างและสีสันแตกต่างกันไป ประกอบไปด้วยสายพันธุ์ที่หายากบางสายพันธุ์ และสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในยุคปัจจุบัน


 


 


ขบวนส่งตัวเจ้าสาว ขบวนต้อนรับเจ้าสาว และประชาชนที่มุงดูอยู่ต่างก็ตกตะลึง คนเป่าปี่ปากกว้างหยุดบรรเลงเพลงแล้ว และมองฉากน่าประหลาดใจอย่างงุนงง


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ! คุณหนู! ดูเร็วเจ้าค่ะ! ลางดี! นี่เป็นลางดีหายากยิ่ง!”


 


 


พวกสาวใช้เคาะเกี้ยวด้วยความตื่นเต้น ผ้าม่านเกี้ยวถูกยกเปิดขึ้นเป็นเส้นเล็กๆ เจ้าสาวที่อยู่ในเกี้ยวเปิดผ้าปิดหน้าเล็กน้อย มองพวกผีเสื้อหลากสีสันด้วยความประหลาดใจ


 


 


ตอนนี้เอง ผีเสื้อขนาดใหญ่เท่าดอกทานตะวันตัวหนึ่งก็บินมาทางเกี้ยวอย่างรวดเร็ว ผีเสื้อตัวอื่นที่อยู่ตรงนั้นก็พากันหลีกทาง ราวกับมันเป็นราชาผีเสื้อ


 


 


เจ้าสาวยื่นมือขาวข้างหนึ่งออกจากเกี้ยวไปโดยไม่รู้ตัว บนข้อมือสวมกำไลหยกสีขาวเกลี้ยงเกลาอันหนึ่ง


 


 


ผีเสื้อตัวใหญ่ตกลงบนข้อมือของเธออย่างว่องไว ดวงตานับไม่ถ้วนมองใบหน้าข้างใต้ผ้าปิดหน้าของเธอ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็บินขึ้น บินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือเกี้ยว แล้วบินจากไป


 


 


ผีเสื้อตัวอื่นก็บินตามมันไป ราวกับก้อนเมฆหลากสีสันก้อนหนึ่ง ล่องลอยไปทางภูเขาอิ่นอู้


 


 


จนกระทั่งผีเสื้อบินไปไกลมากแล้ว ผู้คนที่อยู่ตรงนี้ถึงจะได้สติ ดวงตาที่มองไปทางเกี้ยวแตกต่างออกไป ราวกับมองเทพเซียน แม้กระทั่งเด็กและผู้ใหญ่หลายคนต่างก็คุกเข่าให้เกี้ยว ในปากพร่ำพูดไม่หยุด


 


 


ถ้าเป็นเวลาก่อนหน้านี้สักสองสามปี ผู้พิพากษาเขตปกครองจะออกมาปฏิเสธงานแต่งงานครั้งนี้ แล้วส่งตัวเจ้าสาวเข้าวังถวายตัวให้ฮ่องเต้ กลายเป็นบันไดไต่เต้าสู่ความมั่งคั่งของตัวเอง


 


 


ยังดีที่ราชวงศ์ชิงล่มสลายไปแล้ว


 


 


“ดูสิ! ผีเสื้อเหล่านั้นบินวนอยู่บนยอดเขา เหมือนหมอกหลากสีหรือไม่”


 


 


“ไม่ใช่ว่าบนยอดเขามีเทพเซียนอยู่หรือ”


 


 


อู่หม่านเฉิงดึงตัวชาวบ้านคนหนึ่งมาถาม “ขอถามสักหน่อย ภูเขาลูกนั้นชื่อว่าอะไร”


 


 


“ไม่มีชื่อขอรับ ทั่วไปแล้วชาวบ้านเรียกว่าภูเขาซีซาน” ชาวบ้านโบกมือไม่หยุด “ปกติบนสันเขานั้นมีหมอกสีขาวอยู่เสมอ ทำให้มองไม่เห็นยอดเขา วันนี้กลับมองเห็นอย่างหาได้ยาก แต่ก็ยังถูกผีเสื้อพวกนี้บังเอาไว้…”


 


 


ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองเจอลางดีแบบนี้ตอนออกเรือน ในใจของอู่หม่านเฉิงย่อมปีติยินดีไปโดยปริยาย เพียงแค่ได้เห็นปรากฏการณ์นี้สักครั้ง ก็คุ้มค่าที่ได้เดินทางไกลมาแล้ว เขาลูบหนวดพลางยิ้ม “เช่นนั้นก็เรียกว่าภูเขาอิ่นอู้เถอะ”


 


 


ลางดีมาหาเจ้าสาวอย่างเห็นได้ชัด คนอื่นๆ ในที่นี้ไม่มีใครกล้าคัดค้านคำพูดของพ่อเจ้าสาว ต่างพากันสนับสนุน “ชื่อดี! ชื่อดี! เช่นนั้นก็เรียกว่าภูเขาอิ่นอู้!”


 


 


ผู้จัดงานในขบวนต้อนรับเจ้าสาวไม่กล้าชักช้า หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ติดต่อคหบดีตระกูลใหญ่ของท้องถิ่น และขุนนางท้องถิ่นเพื่อร่วมลงนาม ขอให้ตั้งชื่อภูเขารกร้างนี้ว่าภูเขาอิ่นอู้


 


 


ผีเสื้อมากมายปกคลุมทั้งยอดเขาอย่างมืดฟ้ามัวดิน บินฉวัดเฉวียนอยู่ตรงยอดเขา จางจื่ออันรู้สึกว่าตัวเองหมือนอยู่ท่ามกลางไรฝุ่นที่ก่อตัวจากผีเสื้อ


 


 


“ขอบคุณมาก ของขวัญชิ้นนี้เท่มาก” เขาพูด


 


 


จวงเสี่ยวเตี๋ยหันหน้าไปมองเขา “คุณคิดว่าฉันให้พวกผีเสื้อไปหรือเปล่า”


 


 


จางจื่ออันตะลึงอีกครั้ง “ไม่ใช่เหรอ”


 


 


เขาคิดว่าเมื่อครู่ตัวเองพูดถึงของขวัญ ด้วยเหตุนี้เธอจึงส่งผีเสื้อไปสร้างทัศนียภาพแปลกมหัศจรรย์เพื่อเป็นของขวัญ แต่ฟังจากน้ำเสียงของเธอแล้ว หรือว่าภาพมหัศจรยย์นี้เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์


 


 


อยู่ๆ เขาก็เกิดคำถาม ภัยหนอนที่เมืองปินไห่เกิดจากหนอนผีเสื้อ ประกอบไปด้วยหนอนผีเสื้อหายากมากมาย และผีเสื้อพวกนี้ก็เป็นเกิดมาจากหนอนผีเสื้อ ในบรรดาพวกนั้นก็มีผีเสื้อที่หายากหลายชนิดมาก…


 


 


หรือว่าภัยหนอนครั้งนั้นแฝงอันตรายตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อนแล้ว?


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าบอกว่านี่เป็นสิ่งที่จวงเสี่ยวเตี๋ยวทำ แล้วทำไมเธอถึงต้องเอาใจเขาเพราะคำพูดแค่คำเดียวด้วย เขาได้เกียรติมากขนาดนั้นเลยเหรอ


 


 


เคยมีปรากฏการณ์มหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ หรือจวงเสี่ยวเตี๋ยเอาใจเขาอย่างโอ้อวด ข้อไหนมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่ากัน คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว


 


 


ที่แท้คิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียวอีกแล้ว เขาจึงมองบนด้วยความกลัดกลุ้ม


 


 


พวกผีเสื้อน่าจะบินจนเหนื่อยแล้ว จึงพากันบินลงมาพักผ่อนบนทุ่งหญ้าบนยอดเขา อาศัยแสงแดดผึ่งปีก ทำให้ยอดเขาเหมือนแดนสวรรค์โดยพลัน


 


 


“ดูละครจบแล้ว ต่อไปต้องพูดเรื่องสำคัญแล้วล่ะ” ราวกับจวงเสี่ยวเตี๋ยหมดความสนใจกับขบวนส่งตัวเจ้าสาวนี้แล้ว เธอจึงหันหน้ามาหาเขา ก่อนจะยื่นนิ้วเรียวขาวออกมาสองนิ้ว “ฉันอยากถามคำถามคุณสองข้อ หวังว่าคุณจะตอบตามตรงนะ”


 


 


“ตอบคำถามแล้วจะปล่อยฉันไปไหม” จางจื่ออันย้อนถามราวกับจับฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้


 


 


จวงเสี่ยวเตี๋ยไม่ปฏิเสธ “นี่ก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณ ว่าจะทำให้ฉันพอใจได้ไหม”


 


 


เขาถอนหายใจ ตั้งแต่ตอนสอบสมัยเรียนก็เกลียดคำถามอัตวิสัยแบบนี้ที่สุด แต่เขาไม่มีทางเลือกแล้ว


 


 


“งั้นว่ามาสิ” 

 

 


ตอนที่ 1664 โชคชะตา

 

ความจริงแล้วจางจื่ออันคิดไม่ออกว่าจวงเสี่ยวเตี๋ยมีอะไรอยากถาม ความทรงจำของเขาน่าจะถูกเธอกลับตาลปัตรไปแล้ว รวมถึงความทรงจำส่วนลึกที่แม้แต่เขาเองก็ลืมไปหรือไม่อยากคิดถึงอีก ที่เขารู้เธอก็รู้ทั้งหมด ที่เขาไม่รู้เธอก็รู้ทั้งหมดเช่นกัน ยังต้องถามอะไรอีก


 


 


เขาสิที่อยากถามเธอ อย่างเช่น สิ่งที่เขาเคยเห็นและคิดว่ามีศิลปะทางความคิดมาก เหมือนภาพยนตร์ที่อยากทบทวนสักครั้งแต่ลืมรหัสประจำกองกำลังไปแล้ว…


 


 


เธอไม่ได้ถามทันที แต่เดินอ้อมหน้าผา ราวกับกำลังคิดว่าจะถามอย่างไร


 


 


จางจื่ออันอยากกลับไปที่โลกความจริงโดยเร็ว ถึงหลับอยู่ในโลกความจริงก็ยังดี แต่ก็ไม่กล้าเร่ง ทำได้แค่อดทนรอ


 


 


แค่รอก็ไม่เป็นไร เวลาช้าเร็วขึ้นอยู่กับเธอ ถึงรออยู่ในความฝันหนึ่งร้อยปี ในโลกความจริงก็อาจจะผ่านไปแค่ชั่วขณะดีดนิ้วเท่านั้น


 


 


เดินไปได้สักพักหนึ่ง อยู่ๆ เธอก็หยุดลง ลูกตาสีรุ้งสวยงามจ้องเขม็งมาที่เขา เขารู้ว่าคำถามจะมาแล้ว จึงตั้งอกตั้งใจฟังในทันที เพื่อเตรียมรับการจู่โจม


 


 


ตอนที่เขาถูกขังอยู่ในความฝันครั้งก่อน ดวงตาของเธอแตกต่างจากคนทั่วไป แต่ตอนนี้กลับมีตาดำสีรุ้งคล้ายภาพความฝัน ไม่ต้องถามก็รู้ว่า ครั้งก่อนเธอปลอมตัวเป็นคนทั่วไปเข้ามาในฝัน แต่ครั้งนี้เธอไม่ต้องปลอมตัวอีกแล้ว


 


 


“ยังมีเจตจำนงเสรี*อยู่ไหม” เธอถามคำถามแรก


 


 


เชี่ย?


 


 


จางจื่ออันได้ยินคำถามก็งงเป็นไก่ตาแตก หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงจะยิ้ม “นี่มันเกินไปแล้ว…”


 


 


เขาน่าจะนึกถึงได้ตั้งนานแล้ว เธอบุกเข้ายึดกุมความทรงจำของเขา ถ้าบอกว่าอยากถามคำถามอะไร นอกจากคำถามให้เลือกระหว่างหญิงสาวนุ่มนวลชาวตะวันออกกับพ่อหนุ่มชาวตะวันตกแล้ว ก็น่าจะเป็นคำถามลึกลับแบบนี้


 


 


“คุณยังอยากกลับไปไหม” เธอซักถาม


 


 


“เอาล่ะ…” เขาเกาหัวด้วยความกลุ้มใจ เริ่มเดินกลับไปกลับมาบนยอดเขาเหมือนเธอเมื่อครู่ ขณะที่ครุ่นคิดก็รวมรวบคำพูดไปด้วย


 


 


เจตจำนงเสรีนับว่าเป็นคำถามแนวปรัชญา แต่จากการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน คำถามนี้ยังเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ด้วย


 


 


ความหมายตรงกันข้ามของ ‘เจตจำนงเสรี’ ก็คือ ‘นิยัตินิยม**’ พูดง่ายๆ คือ เจตจำนงเสรีคิดว่ามนุษย์สามารถคิดและตัดสินใจได้ตามใจปรารถนา และเลือกได้จากแบบแผนการกระทำนับไม่ถ้วน แต่นิยัตินิยมคิดว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว คุณคิดว่าตัวเองเลือกไปแล้ว แต่ความจริงนั่นเป็นแค่ตัวเลือกที่ชะตาชีวิตของคุณกำหนดให้คุณต้องเลือกต่างหาก


 


 


เปลี่ยนคำพูดก็คือ คนตัดสินโชคชะตาของตัวเองได้ไหม


 


 


สมมติว่าคุณกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ในที่สุดก็กลั้นปวดเข้าห้องน้ำไม่ไหวแล้ว หลังจากลงจากเตียงคุณเลือกเดินเท้าไหนก่อน คุณตัดสินเอง หรือโชคชะตาต่างหากที่ตัดสิน


 


 


เห็นได้ชัดว่า คนที่เชื่อในพระเจ้าและคนที่เชื่อในโชคชะตาส่วนใหญ่ยอมรับแนวคิดนิยัตินิยม แต่คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าส่วนใหญ่อาจจะชอบเจตจำนงเสรีมากกว่า ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า ‘ฉันตัดสินชะตาชีวิตของตัวเอง หาใช่สวรรค์ตัดสินไม่’ จึงดูเหมือนจูนิเบียวที่สร้างความเดือดดาลเป็นพิเศษให้กับอีกฝ่าย


 


 


ความไม่แน่นอนของกลศาสตร์ควอนตัมนับเป็นตัวค้ำจุนสำคัญของเจตจำนงเสรี และหลักการเรื่องเวลาส่วนเล็กๆ ของทฤษฎีแฟร์มาต์***ก็กลายเป็นตัวสนับสนุนอันยิ่งใหญ่ของนิยัตินิยม การทดลองบางอย่างของประสาทวิทยาก็เหมือนจะพิสูจน์แล้วว่าเจตจำนงเสรีเป็นรูปแบบถ่ายทอดภาษาปลอมๆ อย่างหนึ่ง


 


 


ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า ‘พระเจ้าไม่เล่นทอยลูกเต๋า’


 


 


คำพูดนี้แสดงทัศนคติของนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์คนนี้แล้ว


 


 


พูดในด้านปรัชญา กลศาสตร์ควอนตัมและเจตจำนงเสรีล้วนเป็นอุดมคตินิยม แต่นิยัตินิยมกลับเหมาะกับทัศนคติของวัตถุนิยมที่สิ่งของตัดสินความรู้สึกมากกว่า


 


 


ไม่ว่าด้วยวิทยาศาสตร์หรือปรัชญา เจตจำนงเสรีและนิยัตินิยมต่างก็เป็นศัตรูคู่แค้นกัน


 


 


ด้วยความสามารถอันเล็กน้อยของจางจื่ออัน เขาจะกล้าท้าทายกับปัญหาของปรัชญาเมธีที่ล่วงลับไปแล้วนับไม่ถ้วนได้อย่างไร


 


 


“ฉันไม่รู้ว่าเจตจำนงเสรีมีอยู่หรือเปล่า แต่จากความคิดของฉัน ฉันชอบเจตจำนงเสรีมากกว่านะ” เขารู้ว่าคำตอบนี้ไม่มีทางทำให้เธอพอใจ แต่ไตร่ตรองอยู่นานแล้วก็ยังคงตอบได้แค่นี้


 


 


เธอขมวดคิ้วโก่งสวย ทำลายสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้ว “เพราะซิงไห่เหรอ เพราะมันให้จ้าวฉีเดินเข้ามาในร้านของคุณเหรอ”


 


 


เขาเข้าใจความหมายของเธอทันที ซิงไห่ทำให้อนาคตหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดแบบที่จ้าวฉีจะผ่านร้านขายสัตว์เลี้ยงแต่ไม่เข้ามาในร้านหายไป และเปลี่ยนอนาคตหนึ่งแบบที่จ้าวฉีตัดสินใจเข้ามาดูในร้านกลายมาเป็นความจริง เขามักจะบอกว่าเรื่องนี้เปลี่ยนโชคชะตาของเขา แต่ใครจะรู้ว่าโชคชะตาของเขาอาจจะไม่ใช่แบบนี้ หรือมันไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน


 


 


“อนาคตหนึ่งร้อยเจ็บสิบแปดแบบนั้น อาจจะไม่มีอยู่ด้วยซ้ำ เป็นแค่ความคิดเพ้อฝันเหมือนภาพลวงตา แต่อนาคตที่มันเลือกนี้ ก็คือสิ่งที่ชะตาของมันกำหนดไว้ว่าต้องเลือก” เธอมองตรงมาที่เขาพลางพูดว่า “ชะตากำหนดให้เจอมัน ชะตากำหนดให้มันตัดสินใจช่วยคุณ ชะตากำหนดให้มันเลือกอนาคตนี้ ไม่ใช่สิ มันไม่ได้เลือกอนาคตนี้ แต่กำหนดเอาไว้ให้เกิดขึ้น จ้าวฉีต้องเข้ามาในร้านของคุณ กระบวนการเลือกของมันก็แค่ส่วนหนึ่งในเส้นทางที่กำหนดเอาไว้”


 


 


หากให้พูดตรงๆ เขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่จากหลักการ เขาไม่มีทางโต้แย้ง


 


 


เธอไม่ได้กำลังโกรธแค้น และไม่ได้ตีค่าความหมายของซิงไห่ให้ต่ำลง แค่บอกความเป็นไปได้อย่างหนึ่งอย่างเย็นชา โดยใช้นิยัตินิยมเป็นตัวตัดสินความเป็นไปได้


 


 


ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา ทุกอย่างล้วนเป็นประวัติศาสตร์ที่ลิขิตไว้แล้ว


 


 


ซิงไห่เป็นผู้สังเกตการณ์โชคชะตา คำพูดนี้มีนัยของความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือการสังเกตการณ์ของมันทำให้ดวงชะตานับไม่ถ้วนหายไปและหดเล็กลง และเลือกดวงชะตาอย่างหนึ่งในนั้น สองคือมันแค่สังเกตการณ์โชคชะตา เพียงแค่โชคชะตาเดียว มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แค่เห็นโชคชะตาที่กำลังจะเกิดขึ้นล่วงหน้า


 


 


อย่างไหนถึงจะเป็นความจริงล่ะ


 


 


จางจื่ออันมองไปทางตำบลปินไห่อีกครั้ง


 


 


ขบวนส่งตัวเจ้าสาวเข้าเมืองไปแล้ว นอกเมืองระเกะระกะกันไปหมด มีผ้าคลุมปืนใหญ่สีแดงที่ขาดวิ่นกระจายอยู่ทั่ว ทุกอย่างค่อยๆ กลับสู่ความสงบแล้ว มีเพียงประชาชนอดอยากสองสามคนที่พยายามตามหาเหรียญทองแดงหรือเหรียญกษาปณ์ที่ขบวนส่งตัวเจ้าสาวโปรยเอาไว้


 


 


ในเมืองคึกคักขึ้นมาทันตา ตรงที่ขบวนส่งตัวเจ้าสาวผ่านไป ทั้งถนนจะประดับประดาไปด้วยโคมและธงหลากสี ผู้คนพากันเบียดเข้ามาต้อนรับ ตำบลปินไห่เล็กๆ ไม่ต่างอะไรกับเทศกาลตรุษจีนเลย


 


 


ในที่สุดขบวนส่งตัวเจ้าสาวก็เข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่แล้ว ในเมืองปินไห่ไม่ค่อยมีคฤหาสน์หลังใหญ่ให้เห็นมากนัก พอประตูคฤหาสน์ปิด ก็เริ่มเตรียมพิธีการแต่งงานอันยิ่งใหญ่ได้


 


 


ประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วตรงหน้านี้ เป็นสิ่งที่ลิขิตไว้ให้เกิดขึ้นจริงๆ เหรอ


 


 


พวกข้ารับใช้ลูกน้องพ่อเจ้าสาวอยู่ต่อหน้าสินเดิมมหาศาลของฝ่ายหญิง แต่ไม่เกิดความคิดชั่วร้ายระหว่างการเดินทาง หรือพยายามจะครอบครองสินเดิมของฝ่ายหญิงเลยงั้นเหรอ


 


 


ความร่ำรวยเปลี่ยนใจคน พวกเขาอาจจะเคยคิด แต่ไม่ได้ทำ พวกเขาไม่ได้ลงมือ ผลลัพธ์นี้เป็นเจตจำรงเสรีของพวกเขาเอง หรือโชคชะตากำหนดไว้


 


 


ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ จางจื่ออันก็เช่นกัน


 


 


เขาถอนหายใจ รู้สึกว่าคิดจนหัวจะล้านแล้ว


 


 


“เพราะงั้น ช่วงนี้ที่เธอไม่ได้โผล่มาเลย ก็เพราะคิดถึงเรื่องนี้จนหัวแทบแตกน่ะเหรอ” เขามองจวงเสี่ยวเตี๋ย


 


 


“ใช่”


 


 


เธอพยักหน้า คิดไม่ถึงว่าในดวงราจะปรากฏความงุนงงที่ไร้ซึ่งความมั่นใจใดๆ


 


 


 


 


 


 


*เจตจำนงเสรี คือการกำหนดการเลือกตัดสินใจในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เห็นว่าเป็นความดี และจงใจกระทำเพื่อบรรลุถึงความดีของตัวเองนั้น การเลือกและเจตนาเกิดจากตนเอง ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาบังคับหรือกำหนด


 


 


**นิยัตินิยม คือลัทธิความเชื่อที่ว่าการกระทำทุกอย่างของมนุษย์ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว


 


 


***ทฤษฎีแฟร์มาต์ คือกฎของธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ 

 

 


ตอนที่ 1665 พาลใส่คนอื่น

 

จวงเสี่ยวเตี๋ยเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากความทรงจำของจางจื่ออัน ไม่เพียงภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ชีววิทยา และความรู้ทั่วไป ยังรวมถึงความรู้ในชีวิตประจำวันและความรู้จิปาถะที่เขาแอบสั่งสมมาตั้งแต่เกิด เยอะกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้มาก เทียบกับความรู้น้อยนิดอันน่าสงสารของคนโบราณก็เหมือนน้ำหยดหนึ่งในทะเล เธอต้องใช้เวลานานมากถึงจะย่อยและดูดซึมความรู้พวกนี้ได้


 


 


แต่เธอมีเวลา ขอเพียงปล่อยเวลาในความฝันให้ไหลไปอย่างเชื่องช้าก็พอ เธอจึงมั่นใจว่าจะเข้าใจความรู้ในโลกความจริงพวกนี้ภายในเวลาสั้นๆ ถึงขนาดมีกะใจไปเที่ยวเล่นในโลกจินตนาการของเฟยหม่าซือ ตอนอารมณ์ดีก็แอบเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ข้างหลังจางจื่ออัน พอเห็นท่าทางเดือดดาลของเขาแล้ว เธอก็ยิ่งอารมณ์ดี


 


 


จนกระทั่งเธอได้เจอกับปัญหาเรื่องเจตจำนงเสรีในทะเลแห่งความรู้


 


 


เธอมีเวลาอันไร้ขีดจำกัดในโลกความฝัน เวลาที่จางจื่ออันได้เรียนหนังสือก็แค่สิบกว่าปี ถึงเธอมีพื้นฐานย่ำแย่ ไม่มีคุณครูชี้แนะ เรียนรู้ช้า เวลาหนึ่งร้อยปีก็คงไม่พอ แต่หากเธอใช้เวลาสองร้อยปี สามร้อยปี ห้าร้อยปีมาเรียนรู้ได้…หรือใช้เวลามากกว่านั้นก็ไม่มีปัญหา


 


 


ด้วยเหตุนี้พูดด้วยความรู้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ เธอเหนือชั้นกว่าจางจื่ออันไปมาก เหนือกว่าคนส่วนใหญ่บนโลกไปมาก


 


 


อุปสรรคเดียวที่ขัดขวางระหว่างเธอกับนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิ ก็คือเธอไม่มีเครื่องมือทดลองระดับสูงพวกนั้น ถึงอย่างไรก็พูดได้ว่าวิทยาศาสตร์ที่กำลังก้าวหน้าอยู่ในยุคปัจจุบันมีรากฐานมาจากการทดลอง จากกล้องจุลทรรศน์ควอนตัม ไปจนถึงเครื่องเร่งอนุภาคมิวออน เพราะในความทรงจำของจางจื่ออันขาดเครื่องมือทดลองพวกนี้และโครงสร้างหลักการ ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่สามารถสร้างโลกความฝันขึ้นได้โดยเริ่มจากศูนย์


 


 


ไม่มีผลการทดลองที่น่าเชื่อถือมาเป็นพื้นฐาน ถึงแม้ทุ่มเทวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากแค่ไหน ก็เหมือนเดินทางที่ผิดพลาดขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ดังนั้น เธอจึงละทิ้งวิทยาศาสตร์ที่ต้องทดลองทุกอย่าง เริ่มค้นคว้าจากทฤษฎีคณิตศาสตร์และทฤษฎีฟิสิกส์ เพราะสองทฤษฎีนี้ไม่ต้องใช้เครื่องมือทดลอง แค่กระดาษหนึ่งแผ่นกับปากกาหนึ่งแท่งก็พอแล้ว


 


 


ไม่มีคุณครูคอยชี้แนะ ไม่มีเพื่อนช่วยค้นคว้า ไม่มีช่วงการศึกษาช่วยสนับสนุน ความยากลำบากมากมาย แต่ความยากลำบากพวกนี้ไม่ได้ยากจะควบคุมเหมือนเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพราะเธอมีเวลา


 


 


จางจื่ออันมีความทรงจำอันยากลำบากเป็นศตวรรษ เขาเองก็ไม่เข้าใจ แต่เคยได้ยิน เจตจำนงเสรีไม่ได้โดดเด่นมากเท่ากับความยุ่งยากพวกนี้ เพราะอยู่ในมุมลึก และไม่ค่อยได้รับความสนใจในโลกมนุษย์ เพราะอย่างน้อยความยุ่งยากและการคาดคะเนอย่างอื่นก็มีทิศทางการยืนยัน ส่วนเรื่องนี้…เหมือนจะทำได้แค่คาดเดา


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น การพิสูจน์ว่าเจตจำนงเสรีมีอยู่หรือไม่ มันมีประโยชน์อะไรล่ะ


 


 


แถมไม่ได้เริ่มจากตื่นนอนทุกเช้า สับเปลี่ยนหมุนเวียนระหว่างบ้าน รถ ธนบัตร ลูก ภรรยาราวกับไฟจราจร มีความแตกต่างอะไรกัน สุดท้ายก็เข้านอนอย่างเหนื่อยล้าตอนกลางดึก ไม่ว่านี่เป็นสิ่งที่ชะตากำหนดหรือเอาแต่โทษตัวเอง แล้วมันต่างอะไรกัน พิสูจน์แล้วเปลี่ยนแปลงอะไรได้


 


 


ถึงแม้พิสูจน์ได้สำเร็จ แต่เรื่องที่ควรทำก็ต้องทำต่อไป ทั้งบ้าน รถ ธนบัตร ลูก หรือภรรยา ความจริงแล้วก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ อย่างน้อยก็เปลี่ยนไม่ได้ในแง่ของจิตใจ สู้นับถือนับถือศาสนาที่เชื่อในชาติหน้ายังดีกว่า อย่างน้อยก็ปลอบคุณว่าชีวิตนี้เกิดมาเป็นวัวควายเพื่อไถ่บาป ชาติต่อไปจะได้เกิดมาเป็นคน…


 


 


เพราะงั้นจะพิสูจน์เรื่องนี้ไปให้ได้อะไรขึ้นมา


 


 


อาจจะมีเพียงโอตาคุพวกนั้นที่วันๆ ไม่มีอะไรทำถึงจะสนใจปัญหานี้สินะ


 


 


แต่หลังจากจวงเสี่ยวเตี๋ยศึกษาปัญหานี้อย่างละเอียด เธอกลับหวาดกลัวขึ้นมา เพราะเธอมีเวลาเยอะกว่าพวกโอตาคุ ไม่ต้องกลุ้มใจกับเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างเรื่องบ้าน รถ เงิน ลูก และภรรยา สิ่งที่เธอแสวงหาและหวังจะได้มาเป็นสิ่งอยู่ในโลกของจิตวิญญาณ และปัญหาเรื่องเจตจำนงเสรีก็เป็นหัวใจหลักของโลกจิตวิญญาณพอดี


 


 


เธอตั้งอกตั้งใจเรียนในโลกความฝัน เพื่อให้เหมือนตัวละครจอมยุทธในนิยาย ปิดสำนักกังฟูที่เปิดมาหลายปี และกลายเป็นผู้ไร้พ่ายในยุทธภพ


 


 


แต่ถ้าเจตจำนงเสรีไม่มีอยู่ นี่หมายความว่ายังไงล่ะ?


 


 


หมายความว่าไม่ว่าคนบนโลกหรือเธอ ต่างก็เป็นแค่คนธรรมดาในโลกนิยาย มีจุดจบกำหนดเอาไว้ตั้งแต่เกิดแล้ว ถึงระหว่างนั้นฝึกฝนจนไร้เทียมทานในใต้หล้า ก็เจอจุดหักมุมได้ทุกเมื่อ!


 


 


ตัวอย่างแบบนี้ในนิยายยังน้อยอยู่ใช่ไหม


 


 


พอคิดว่าการกระทำทุกอย่างอาจจะถูกด้ายแดงล่องหนชักจูงในความมืด ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็อาจจะไร้ความหมาย เธอกลุ้มใจจนไม่เป็นอันจะทำอะไรแล้ว


 


 


แน่นอนถ้าเจตจำนงเสรีมีอยู่จริงก็คงดี เธอจะได้เลิกกลุ้มใจ แล้วตั้งอกตั้งใจเรียนต่อไป


 


 


ถ้าเจตจำนงเสรีไม่อยู่จริง…เธอจะไม่ยอมรับชะตาชีวิต และจะพยายามหาใครมากำหนดโชคชะตา ไม่ว่าคน เทพ หรือการมีอยู่ของสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้ เธอจะตามหาเขา จะตั้งใจเรียน แล้วเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง


 


 


สภาพกำกวมเพียงอย่างเดียวในปัจจุบัน ทำให้เธอแทบจะเป็นบ้าแล้ว


 


 


เธอหายไปจากโลกจินตนาการของเฟยหม่าซือแล้ว ไม่ได้เดี๋ยวมาผลุบๆ โผล่ๆ ข้างหลังจางจื่ออันอีก ขังตัวเองเอาไว้ในจุดที่ลึกที่สุดในโลกความฝัน ปล่อยปัญหาอย่างอื่นทิ้งไว้ แล้วครุ่นคิดหาทางแก้ไขเรื่องนี้อย่างหนัก


 


 


แต่ทว่า ถึงเธอแทบจะมีเวลาไร้ขีดจำกัด แต่นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาผู้มีความสามารถทุ่มเทจิตวิญญาณเพื่อคิดปัญหานี้ก็มีไม่น้อยเลยในประวัติศาสตร์ มีความสามารถรอบรู้ขนาดนั้นยังต้องร่วมมือกันคิดและสิ้นหวังไปพร้อมกัน เธอคิดจะทำเรื่องที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครทำได้เพียงลำพัง ก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่พูดเพ้อเจ้อ


 


 


ต่อมา เธอที่เดือดดาลอย่างบ้าคลั่งก็เอาความโกรธไปลงที่จางจื่ออัน ใครใช้ให้ในหัวสมองของเขามีเรื่องคิดหมกมุ่นกันล่ะ ไม่ให้โทษเขาแล้วจะไปโทษใคร


 


 


จางจื่ออันไม่เคยกลุ้มใจเรื่องนี้มาก่อน เขาไม่เหมือนกับคนทั่วไปตรงที่ในหัวคิดแต่เรื่องบ้าน รถ เงิน ลูก และภรรยา…เอาล่ะ สองข้อหลังยังไม่มี แต่พอเขามีแล้ว ก็คงจะไม่คิดถึงเรื่องเจตจำนงเสรีอีก


 


 


ดังนั้นเพื่อการแก้แค้น เธอจึงลากเขาเข้ามาในโลกความฝันอีก อย่างน้อยต้องให้เขาเรียนรู้ความเจ็บปวดส่วนหนึ่งของเธอ แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกเป็นสุขที่ว่า ‘คุณก็มีวันนี้เหมือนกัน’ อาจจะเหมือนอย่างที่เขาคิด เธอมีแนวโน้มเป็นซาดิสม์นิดหน่อยจริงๆ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม…


 


 


เธอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจบแล้ว ความจริงภายใต้สีหน้าลอยชายไม่หวาดกลัวซ่อนไฟโกรธรุนแรงเอาไว้ และพร้อมจะระเบิดขึ้นมาได้ตลอดเวลา และยอมรับว่าเป้าหมายความโกรธอย่างรุนแรงของเธอมีแค่จางจื่ออันเท่านั้น


 


 


จางจื่ออันรู้สึกไม่เป็นธรรม เธอถนัดบุกรุกเข้ามาในความทรงจำของฉันแท้ๆ วุ่นวายแค่ครั้งเดียวยังไม่เท่าไร แต่ใครใช้ให้ยั่วโมโหฉันไม่ได้ แล้วสุดท้ายกลับมาลงที่ฉัน?


 


 


นี่ก็เหมือนโจรบุกรุกเข้าไปในหมู่บ้าน ตอนขโมยของเผลอก้าวพลาด ยังขู่เข็ญเอาเงินจากเจ้าของบ้านราวกับพวกมีเหตุผล…แบบนี้ไม่พูดถึงเหตุผลได้เหรอ? ยังมีกฎหมายอยู่หรือเปล่า?


 


 


น้อยใจไปก็เท่านั้น เขาทำอะไรได้ล่ะ? ไม่พอใจก็ต้องอดทนเอาไว้


 


 


ในความฝัน เธอก็คือเหตุผล และเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม