Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1652-1658

ตอนที่ 1652 แผนสำรอง

 

รอบๆ ลานฝังกลับขยะที่ชานเมืองห่างจากเมืองปินไห่มีหมู่บ้านกระจายตัวอยู่สองสามแห่ง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ากลิ่นแถวลานขยะจะต้องย่ำแย่มากขนาดไหน แต่คนที่มีสภาพทางการเงินมั่นคงจะต้องเลือกย้ายบ้าน ส่วนคนที่เหลือเป็นชาวบ้านชั้นล่างสุดของสังคมทั้งนั้น อาจจะอาศัยเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อดำรงชีพ


 


 


ถึงเป็นชาวบ้านที่ไม่มีฐานะ แต่ก็เลี้ยงสุนัขไว้เฝ้าบ้านเสียส่วนใหญ่ สำหรับชาวบ้านแล้ว อาหารสุนัขที่ถูกชาวเมืองโยนทิ้งไม่ไยดีพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับขนมเปี๊ยะสอดไส้ที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า ส่วนเรื่องสุขภาพของสุนัขไม่ได้อยู่ในความคิดของพวกเขาเลย ถึงอย่างไรแม้แต่สุขภาพของพวกเขาเองก็ต้องฟังบัญชาสวรรค์ จะไปสนใจชีวิตสุนัขได้อย่างไร


 


 


ตามหลักการคืออาหารสุนัขพวกนี้ควรจะรวมกันและเผาทำลายทิ้งทั้งหมด แต่เหตุผลตามความจริงจึงทำได้แค่กองสุมอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับในลานขยะของเมืองอื่น ก็คงจะเป็นภูเขาขยะลูกหนึ่งหรือหลายลูกแล้ว


 


 


“งั้นนายคิดว่าควรจะจัดการอาหารหมาพวกนี้ยังไงดี” จางจื่ออันถาม ก่อนจะเงยหน้าพิจารณาภูเขาขยะที่เกิดจากการกองสุมของอาหารสุนัข “หรือว่านายจะให้ฉันเผาขยะพวกนี้ทั้งหมด?”


 


 


การเผาไหม้และฝังกลบล้วนเป็นวิธีการจัดการขยะที่ได้ผล แต่เผากลางแจ้งจะทำให้อากาศปนเปื้อนอย่างร้ายแรง และอาหารสุนัขมากมายขนาดนี้ ต้องเผาด้วยเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันเบนซินแน่นอน เผาจริงๆ แล้วคงจะมีกองไฟสูงขึ้นไปถึงท้องฟ้า อาจจะยังดึงดูดทีมนักดับเพลิงมาด้วย แบบนั้นก็จบเห่แล้ว…


 


 


ลานฝังกลบมีขนาดใหญ่มาก ตอนพวกคนงานจัดการขยะก็แบ่งระดับความสำคัญ ยังไม่ถึงคราวของอาหารสุนัขที่วางไว้ได้เป็นเวลานานพวกนี้ กว่าจะถึงคราวก็คงถูกพวกชาวนาขโมยไปจนหมดแล้ว


 


 


เสี่ยวไป๋ส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ด้านหนึ่งฉันไม่หวังให้เพื่อนๆ ของฉันกินสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพพวกนี้ อีกด้านหนึ่งชาวนาพวกนั้นก็น่าสงสารเหมือนกัน เสื้อผ้าที่ใส่ก็ขาดลุ่ย รถที่ขับก็เหมือนจะแยกชิ้นส่วนได้ตลอดเวลา…มีวิธีอะไรดีๆ ที่ให้ความพึงพอใจกับทั้งสองฝ่ายไหม”


 


 


สังคมปัจจุบันนี้มีความเหลื่อมล้ำระหว่างความร่ำรวยและยากจนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เคยเห็นชาวนาที่ขโมยอาหารสุนัขพวกนั้นด้วยตาตัวเอง แต่ก็จินตนาการได้ว่าจะต้องมีผมเผ้ายุ่งเหยิงและหน้าตาสกปรก ไม่อย่างนั้นใครจะมาเก็บสิ่งของในลานขยะที่กลิ่นเหม็นฉึ่งแบบนี้กัน


 


 


ส่วนวิธีที่ทำให้พึงพอใจได้ทั้งสองฝ่าย…


 


 


เขาคิดแล้ว “ฉันจำได้ว่ายังไม่มีตัวอย่างหมูติดเชื้อโปรตีนพรีออนนะ”


 


 


“หมายความว่ายังไง” เสี่ยวไปไม่เข้าใจ เพราะมันไม่ได้ร่วมเดินทางไปอเมริกา จึงไม่รู้จักโปรตีนพรีออน


 


 


เขาอธิบาย “สำหรับชาวนา อาหารหมาพวกนี้ให้หมากินไม่ได้ แต่ใช้ได้ดีกับหมู เพราะบำรุงให้มีเนื้อได้เร็วกว่ากินข้าวหรือผักที่เหลือทั้งวัน ถึงยังไงในวัตถุดิบของอาหารหมาก็มีโปรตีนในปริมาณมาก ดีกว่าอาหารสัตว์ชนิดอื่นๆ เสียอีก…และที่สำคัญที่สุดคือไม่ทำให้หมูติดเชื้อ”


 


 


“ก็หมายความว่า ส่งเสริมให้ชาวนาเก็บอาหารหมากลับไปให้หมูกิน แต่ไม่ได้ให้หมากินเหรอ” เสี่ยวไป๋เหมือนจะเข้าใจแล้ว


 


 


“ใช่”


 


 


จางจื่ออันไปเก็บแผ่นไม้และแผ่นกระดาษแข็งรอบๆ ที่ดูสะอาดมาสองสามแผ่น แล้วใช้ปากกามาร์คเกอร์เขียนตัวหนังสือสองสามบรรทัดอยู่ในรถ จากนั้นก็แขวนหรือเสียบอยู่รอบภูเขาขยะ บนนั้นเขียนว่า ‘อาหารหมามีพิษ ให้หมูกินได้ ห้ามให้หมากิน’


 


 


“นี่จะมีประโยชน์เหรอ” เสี่ยวไป๋สงสัยเล็กน้อย ตอนกลางคืนมืดสลัว พวกชาวนาอาจจะมองไม่เห็นตัวหนังสือพวกนี้ก็ได้ หรือถึงเห็นก็อาจจะไม่ใส่ใจ


 


 


“นี่ก็ต้องให้นายกับหมาจรจัดออกแรงช่วยแล้ว”


 


 


จางจื่ออันเก็บอาหารสุนัขที่ถุงขาดแล้วขึ้นมาถุงหนึ่ง แล้วเทอาหารสุนัขที่เหลือข้างในทิ้ง “พวกนายได้ยินเสียงชาวนาขับรถมาก่อน ถึงตอนนั้นพวกนายก็แสดงละครสักหน่อย ใช้ถุงเปล่าใส่อาหารหมาธรรมดาที่ฉันหรือผู้ต้องสงสัยวายขนมาให้ พอพวกชาวนามาถึงที่นี่ พวกนายก็ทำเป็นกินอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าพวกเขา จากนั้นก็ทำท่าทางไม่สบายมากๆ กลิ้งอยู่บนพื้น น้ำลายฟูมปาก ร้องครวญคราง…สรุปคือทำให้ดูน่ากลัว พวกชาวนาเห็นภาพแบบนี้แล้วต้องเห็นป้ายพวกนี้แน่นอน อย่างน้อยก็เชื่อไปแปดส่วน”


 


 


วลาดิเมียร์พยักหน้าเห็นด้วย “ไม่เลวเลย! ต้องให้ชาวนาเห็นและได้ยินถึงจะเข้าใจ การแสดงที่ใกล้เคียงกับนักรบชาวนาถึงจะเป็นละครที่ดี!”


 


 


“แน่นอน หลังจากพวกนายแสดงท่าทางไม่สบายอย่างมากออกไปแล้ว ต้องวิ่งไปให้ไกลด้วยท่าทางทุลักทุเล ห้ามแกล้งนอนตายอยู่ที่เดิม ไม่อย่างนั้นถ้าพวกชาวนาตรวจการหายใจและการเต้นของหัวใจพวกนาย ก็จะพบว่าพวกนายแกล้งแสดงละคร พอถึงตอนนั้นทุกอย่างที่ทำมาก็จบสิ้น…”


 


 


จางจื่ออันเสริมอีก แต่ความจริงแล้วความหมายโดยนัยอีกอย่างหนึ่งก็คือ แกล้งตายอยู่ที่เดิมอาจจะถูกคนลากกลับไปตุ๋นหม้อไฟที่บ้าน…


 


 


เสี่ยวไป๋ครุ่นคิดอีกเล็กน้อย รู้สึกว่าวิธีนี้ก็ใช้ได้ ทั้งปกป้องสุนัขที่พวกชาวนาเลี้ยงไว้ในบ้านไม่ให้เจอกับงูพิษอย่างอาหารสุนัข และยังให้ชาวนาได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง ส่งสุนัขจรจัดสองสามตัวมาแสดงละครที่นี่ทุกคืนก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสุนัขจรจัดที่รับผิดชอบแสดงละครยังได้กินมื้อดึก เรียกได้ว่าทำให้พึงพอใจได้ทั้งสามฝ่าย


 


 


“ได้ ฉันจะไปจัดการ”


 


 


ในที่สุดก็ออกจากลานฝังกลบขยะได้แล้ว จางจื่ออันยืนอยู่ที่นี่สักพักก็เวียนหัวเพราะกลิ่นเหม็นเน่า ยังสังเกตเห็นว่าแมลงวันบินตอมกลิ่นแผลของวลาดิเมียร์แล้ว พวกมันบินวนอยู่บนหัวของมัน คอยจ้องหาโอกาสเกาะลงมาบนตัวมัน ทำให้มันจำต้องบิดตัวอยู่ตลอดเวลา


 


 


พอกลับมาด้านข้างป่าขนาดเล็กอีกครั้ง จางจื่ออันก็เดินไปตรวจสอบคุณภาพของเพิงไม้ พวกสุนัขจรจัดอาจจะจำหน้าตาของเขาไม่ค่อยได้ แต่จำกลิ่นของเขาได้ จึงล้อมเข้ามาข้างๆ เขาอย่างกระตือรือร้น เพราะก่อนหน้านี้เขาจะมาพร้อมกับอาหารสุนัขจำนวนมากทุกครั้ง ทำให้พวกมันสร้างพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขขึ้น


 


 


เขาสังเกตเห็นว่าเสี่ยวไป๋เหมือนจะแยกสุนัขจรจัดตัวผู้กับตัวเมียที่โตเต็มวัยออกจากกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างอาศัยอยู่ในเพิงที่แตกต่างกัน และจำนวนลูกสุนัขที่ร้องหาอาหารก็น้อยกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ดูท่าทางเสี่ยวไป๋คงเรียนรู้แล้ว ว่าไม่ควรให้สุนัขจรจัดผสมพันธุ์กันอย่างไร้ขอบเขต ไม่อย่างนั้นก็ต้องวิ่งเต้นหาอาหารอยู่ตลอดเวลา จำนวนสุนัขจรจัดที่เพิ่มขึ้นก็นำความหวาดกลัวมาสู่คนที่อาศัยอยู่ละแวกนี้เช่นกัน


 


 


ในอนาคตอาจจะมีสักวันหนึ่งที่แมวจรจัดและสุนัขจรจัดหาที่พักพิงที่ดีกว่านี้ได้ แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น รักษาสภาพเป็นอยู่อย่างสงบกับมนุษย์จะดีกว่า


 


 


ตอนจางจื่ออันเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ในเขตเพิงไม้ เสี่ยวไป๋ก็เดินมาข้างหน้าวลาดิเมียร์ พร้อมกับจ้องมองมันแล้วพูดว่า “เมื่อกี้นายขยิบตาให้ฉัน มีเรื่องอะไรอยากพูดเป็นการส่วนตัวเหรอ”


 


 


“นายจัดการแสดงเรียบร้อยแล้วเหรอ” วลาดิเมียร์ถาม


 


 


“วันนี้จะแสดงเป็นครั้งแรก ฉันจะแสดงให้ดูเป็นตัวอย่างก่อน” เสี่ยวไป๋ตอบเรียบๆ “นายเรียกฉันมาคนเดียว คงไม่ใช่เพื่อพูดเรื่องนี้หรอกมั้ง”


 


 


วลาดิเมียร์สีหน้าเคร่งขรึม “ที่อเมริกา ฉันถูกศัตรูลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เหมียวเขาสิ เกือบจะทิ้งชีวิตไว้ที่อเมริกาแล้ว”


 


 


เสี่ยวไป๋กำลังตั้งใจฟัง


 


 


“ที่ถูกลอบทำร้ายเนี่ยโทษคนอื่นไม่ได้ ต้องโทษที่ฉันสะเพร่าเอง ได้รับบาดเจ็บครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะฉันได้เข้าใจบางอย่าง ในเงาดำมืดยังมีศัตรูที่น่ากลัวยิ่งกว่า แต่นายกับฉัน…ไม่ใช่สิ ควรจะพูดว่าระหว่างแมวจรจัดกับหมาจรจัด ความขัดแย้งภายในระหว่างสัตว์จรจัด ฉันอยากเสนอให้หยุดการคุมเชิงกันไม่ลดละของพวกเรา จนกระทั่งจัดการปัญหาภายนอกได้จบสิ้นแล้ว” วลาดิเมียร์พูด


 


 


เสี่ยวไป๋เงียบไปพักหนึ่ง “แม้จะเอนเอียงไปทางศัตรูภายนอกต้องมาก่อนความปลอดภัยภายใน แต่ก็ได้เรียนรู้ตอนเกิดภัยหนอนมาแล้ว ฉันคิดว่าไม่เสียหายที่จะร่วมมือกันชั่วคราว…แต่ฟังจากที่นายพูดแล้ว หรือว่าแม้แต่พวกเราหมาจรจัดก็หนีปัญหาไม่พ้น”


 


 


“ฉันไม่รู้ แต่อยากเสนอให้นายเตรียมแผนสำรองเอาไว้ก่อน อย่างเช่น ถ้าอยู่ๆ นายหายไป ได้รับบาดเจ็บ หรือตาย แผนการในสถานการณ์คับขันน่ะ” วลาดิเมียร์พูดเป็นนัยๆ


 


 


เสี่ยวไป๋เข้าใจในทันที เพราะนี่เป็นจุดอ่อนขนาดใหญ่ที่สุดของสุนัขจรจัดในตอนนี้ อาศัยบารมีของมันเพียงตัวเดียวรักษาความสามัคคีเอาไว้ เมื่อมันสูญเสียความสามารถในการสั่งการไปเพราะเหตุผลบางอย่าง…เกรงว่าพวกสุนัขจรจัดคงจะแบ่งพรรคแบ่งพวกแยกย้ายกันไป


 


 


มันคิดแต่ว่ายังมีเวลาจัดการปัญหานี้อีกนาน ทว่าจริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้เหลือเวลาเยอะอย่างที่มันคิดเอาไว้


 

 

 


ตอนที่ 1653 เจอโดยบังเอิญ

 

“ท่านผู้เฒ่าฉา ทางเดินบนภูเขาขรุขระเดินยาก ท่านเข้าไปพักในมือถือก่อน พอถึงยอดเขาแล้วฉันค่อยปล่อยท่านออกมาดีไหม” 


 


 


จางจื่ออัน ฟราเทอร์ และเหล่าฉาลงจากรถแท็กซี่ ก่อนจะเงยหน้ามองภูเขาลูกเล็กที่อยู่ตรงหน้า 


 


 


ภูเขาอิ่นอู้ลูกเตี้ยๆ ผุดขึ้นมาจากดินราวกับเป็นมาแบบนั้นตั้งแต่โบราณ บนภูเขามีต้นสนและต้นไซเปรซเขียวชอุ่ม ยอดเขามีเมฆหมอกวนเวียน ทำให้จางจื่ออันนึกถึงหมอกในป่าเรดวูด 


 


 


วันนี้ยังเป็นวันทำงาน แถวนี้จึงมีนักท่องเที่ยวบางตา ถึงเป็นช่วงวันหยุดเทศกาลก็มีลูกค้าไม่กี่คน ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวโด่งดัง แต่เป็นเพียงมุมเล็กๆ บนแผนที่ท่องเที่ยวของเมืองปินไห่ บนภูเขาไม่มีโบราณสถาน เอกลักษณ์ของมันมีเพียงเมฆหมอกวนเวียนตลอดทั้งปี ใครจะตั้งใจมาสถานที่แบบนี้เพื่อดูหมอกเพียงอย่างเดียวกัน แถมยังต้องปีนภูเขาที่ไม่มีกระเช้าลอยฟ้าด้วย 


 


 


ข้างล่างตีนภูเขามีร้านค้าแผงลอยอยู่สองสามร้าน สิ่งของที่ขายก็คืออาหาร น้ำ ร่ม รองเท้าเดินป่า และสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ขึ้นเขา ร่มกับรองเท้าล้วนเป็นสินค้าลอกเลียนแบบที่มองปราดเดียวก็รู้ อดิดาส พูม่า อะไรทำนองนี้ แม้แต่สินค้าปลอมก็ยังโจ่งแจ้งขนาดนี้ คาดว่าเป็นแบบที่ใช้ได้แค่ครั้งเดียว ใส่ขึ้นเขาแล้วอาจจะใส่ลงเขาไม่ได้ 


 


 


เหล่าฉาหรี่ตา พิจารณาความสูงของภูเขาครั้งหนึ่ง แล้วมองคนแก่ผมขาวที่สวมชุดออกกำลังกายสีขาวจั๊วะสองสามคนขึ้นเขาด้วยกันโดยที่ไม่พกไม้เท้ากายสิทธิ์ ก่อนจะหัวเราะ “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ถึงขั้นที่แม้แต่ขึ้นภูเขาก็ไม่ไหวเสียหน่อย” 


 


 


เมื่อครู่ก็คือคนแก่สองสามคนที่ลงรถเมล์มาพร้อมกับจางจื่ออัน น่าจะเป็นเพราะคนแก่อายุมากกว่าเจ็ดสิบปีขึ้นรถเมล์ฟรี จึงนั่งรถมาขึ้นเขาทุกวัน 


 


 


“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น…ถึงยังไงถ้าเป็นฉัน ก็อยากให้คนแบกขึ้นเขานะ” จางจื่ออันยักไหล่ 


 


 


“ถึงได้บอกไงว่าคุณเป็นไก่อ่อน!” 


 


 


อยู่ๆ ก็มีคนพูดต่อจากเขา 


 


 


ฟราเทอร์ไม่ได้รู้สึกอะไร กลับเป็นจางจื่ออันกับเหล่าฉาที่ตกตะลึง 


 


 


เจอคนรู้จักที่นี่เหรอ? 


 


 


วันนี้ในร้านไม่มีลูกค้าที่รับมือยาก แถมข้างนอกยังอากาศเย็นสบาย เขาจึงเสนอให้ออกมาเที่ยวกัน แต่วลาดิเมียร์ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าแล้ว พายกำลังเพิ่มการอัปเดตเพราะลาหยุดมากเกินไปตอนไปอเมริกา เฟยหม่าซือยุ่งอยู่กับการถ่ายรูปคู่กับแฟนคลับ ซิงไห่ก็ไม่อยากไปในที่ที่มีคนเยอะ และพื้นที่บนยอดเขาก็เล็กเกินไป ไม่มีที่ให้มันเล่นซ่อนแอบ ส่วนภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นก็อยู่ติดบ้านมาก…พอลองถามดู ก็มีแค่เหล่าฉากับฟราเทอร์ที่ตอบรับคำชวนของเขา ฟราเทอร์เพิ่งมาใหม่ มันจึงอยากรู้อยากเห็นเมืองปินไห่ แลออกมาเดินเล่นข้างนอกเพื่อศึกษาเส้นทาง 


 


 


เพราะคิดอยากจะออกมาเที่ยวสักพัก เขาจึงไม่ได้ทำอะไรเอิกเกริก ก่อนออกจากบ้านยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปที่ไหน พอขึ้นรถแท็กซี่แล้วถึงจะตกลงว่าไปภูเขาอิ่นอู้ ดังนั้นแม้แต่พวกพนักงานร้านก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน คนอื่นๆ ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ 


 


 


ลูกค้าและเพื่อนๆ บนอินเทอร์เน็ตที่น่าโมโหพวกนั้นมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องก็เรียกเขาว่าไก่อ่อนตลอด เขาจึงความรู้สึกไวต่อคำนี้มาก คิอว่าเจอคนรู้จักอีกแล้ว จึงแอบดีใจเล็กน้อย ตอนนี้ตัวเองก็นับว่าเป็นปัญญาชนที่ใต้หล้ารู้จักกันถ้วนทั่วแล้วสินะ? 


 


 


เสียงดังมาจากข้างหลัง เขากำลังจะหันไปมองว่าเป็นใคร แต่ตอนนี้เอง หญิงสาวคนหนึ่งก็เฉียดไหล่ผ่านเขาไป ยกโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ข้างปาก เสียงใสพูดต่อว่า “ควรจะออกกำลังกายให้มากขึ้น!” 


 


 


ที่แท้ก็กำลังคุยโทรศัพท์นี่เอง ไม่ได้พูดกับจางจื่ออัน 


 


 


ผมของเธอไม่ยาวและไม่สั้น ประมาณประบ่า ปอยผมถูกลมพัดปลิว ปรกแก้มด้านหนึ่งที่ตรงกับเขาพอดี เขาจึงมองไม่เห็นหน้าตาของเธอ แต่แน่ใจได้ว่าตัวเองไม่รู้จักเธอ เพราะกลุ่มคนรู้จักของเขาไม่มีเด็กนักเรียนมัธยมต้น 


 


 


ไม่ว่ากลุ่มเพื่อนสมัยเรียน กลุ่มเพื่อนร่วมงานเมื่อก่อน หรือกลุ่มลูกค้าและกลุ่มเพื่อนในตอนนี้ คนที่เขารู้จักส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่อายุใกล้เคียงกับตัวเอง นักศึกษามหาวิทยาลัย หรือผู้สูงอายุ ไปจนถึงเด็กประถมนิดหน่อย แต่เด็กวัยรุ่นชั้นมัธยมหนึ่งถึงมัธยมสาม ไม่ว่าชายหรือหญิงเขากลับไม่รู้จักเลยสักคน 


 


 


เหตุผลง่ายมาก การบ้านของชั้นมัธยมหนึ่งถึงสามค่อนข้างหนัก และเด็กวัยรุ่นช่วงวัยนี้ไม่มีสิทธิ์ใช้เงินอย่างอิสระ ยิ่งไม่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเองได้ ดังนั้นถึงมีเด็กวัยรุ่นช่วงวัยนี้มาที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง ก็จะมากับผู้ปกครองทั้งนั้น เด็กที่มาด้วยตัวเองค่อนข้างน้อย ถึงแม้มีก็แค่ดูเท่านั้น ไม่ได้มาซื้อ 


 


 


หญิงสาวที่เฉียดไหล่ผ่านเขาไปเมื่อครู่ ดูจากขนาดตัว รูปร่าง เสียง และผิวพรรณแล้วคล้ายจะเป็นเด็กมัธยมต้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้จักเธอแน่นอน 


 


 


นอกเสียจากเป็นแฟนคลับของเสียวเสวี่ย และเคยเห็นเขาในช่องไลฟ์สด อย่างนี้ก็พูดยากแล้ว 


 


 


อีกอย่างที่เธอใส่เป็นชุดกะลาสีกับกระโปรงยาวเลยเข่าทั้งชุด ตรงหน้าอกประทับสัญลักษณ์บางอย่าง อาจจะเป็นตราโรงเรียน แน่นอนว่ายืนยันอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรตอนนี้สาวๆ หลายคนก็ซื้อชุดกะลาสีมาใส่เล่นเพราะดูสวยดี 


 


 


เธอกับชุดกาละสีทั้งชุดนี้โดดเด่นกว่าคนอื่น ฉายแววความกระปรี้กระเปร่าของวัยรุ่น เธอเดินไปยังทางเดินขึ้นเขาด้วยฝีเท้าเบาหวิว ขณะเดียวกันก็ยกโทรศัพท์มือถือคุยอยู่ตลอด 


 


 


ที่จางจื่ออันสงสัยอยู่บ้างคือ แม้จะอยู่ใกล้กันแค่พริบตาเดียว เขาพบว่าเนื้อผ้าของชุดกะลาสีทั้งชุดนี้ดูแปลกๆ ไม่ใช่ผ้าฝ้าย ไม่ใช่ผ้าลินิน แต่กลับรักษารูปทรงและไม่ได้พลิ้วหรือแนบตัวเหมือนผ้าไหมมันเงา อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นจนชินแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเด็กสาวที่ไหนสวมเสื้อผ้าที่มีวัสดุแบบนี้เลยจริงๆ 


 


 


แค่พริบตาเดียวเธอก็หายไปในมุมโค้งของทางเดินขึ้นเขาแล้ว 


 


 


“จื่ออัน เป็นอะไรไป” เหล่าฉาเห็นเขาใจลอย จึงส่งเสียงถาม 


 


 


“ไม่มีอะไร พวกเราไปกันเถอะ” 


 


 


จางจื่ออันได้สติกลับมา ตัวเองมองเงาหลังของเด็กสาวมัธยมต้นแบบนี้ คงจะไม่ถูกมองว่าเป็นโรคจิตหรอกนะ แต่เขาแค่สนใจเสื้อผ้าของเธอก็เท่านั้นเอง 


 


 


“นี่ก็คือภูเขาอิ่นอู้ที่พวกเจ้าพูดถึงหรือ เป็นภูเขาที่เหมือนกับชื่อเสียจริงนะ” ฟราเทอร์เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอด เห็นอะไรก็แปลกตาไปหมด 


 


 


บนคอของฟราเทอร์ใส่ปลอกคอและผูกเชือกจูงเอาไว้ ในเมื่อต้องแสดงเป็นสุนัข ย่อมต้องแสดงให้สมจริงสักหน่อย มันก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องถูกล่าม เพราะเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม มันเป็นสัตว์ป่า มาถึงเมืองแล้วก็ต้องเคารพกฎเกณฑ์ของเมือง 


 


 


“อากาศที่นี่ดีกว่าในเมืองเยอะ แต่ยังเทียบป่าเรดวูดไม่ได้” จางจื่ออันพูดตามตรง จนถึงวันนี้เขายังไม่เข้าใจว่า ทำไมฟราเทอร์ถึงเลือกออกจากฝูงหมาป่าแห่งป่าเรดวูดแล้วมาเมืองปินไห่กับเขา 


 


 


เนื่องจากออกจากปรากฏการณ์เกาะความร้อน*ในใจกลางเมือง ไปจนถึงมีต้นไม้ปลูกอยู่หนาแน่น อุณหภูมิของที่นี่จึงเย็นสบายกว่าในเมือง อากาศก็สดชื่นกว่า เป็นสถานที่คลายร้อนและหลบจากอากาศร้อนอันยอดเยี่ยม ถ้ามีกระเช้าลอยฟ้านะ 


 


 


“ไม่เป็นไร แต่ละที่ต่างก็มีข้อดีของมันเอง” ฟราเทอร์ยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ข้าไม่ชอบตรงที่ในป่ามีคนน้อยเกินไป นอกจากนักเดินป่าน้อยนิดแล้ว ก็มีแค่ผู้ร้ายท่าทางลับๆ ล่อๆ ในเมืองดีกว่าอีก ได้สัมผัสกับคนรูปแบบต่างๆ” 


 


 


หลังจากมาถึงร้านขายสัตว์เลี้ยง ฟราเทอร์ก็นั่งอยู่ในมุมของชั้นหนึ่งตลอดทั้งกลางวัน สังเกตลูกค้าที่ไปมาอยู่เงียบๆ ถ้าเห็นว่ามีคนห้อยไม้กางเขนไว้บนคอ มันก็จะเผยรอยยิ้มจากใจจริงออกมา 


 


 


มันเห็นการมายังโลกตะวันออกเป็นการฝึกฝนตัวเอง และมันก็ตกหลุมรักที่นี่อย่างรวดเร็ว จมอยู่ในวัฒนธรรมอันแปลกใหม่และบรรยากาศรอบตัวอันมีเอกลักษณ์ ความเสียใจเพียงอย่างเดียวคือผู้คนเห็นมันครั้งแรกแล้วมักจะรู้สึกหวาดกลัว แต่จางจื่ออันพยายามทำให้ทุกคนเชื่อว่ามันหน้าตาดุร้ายนิดหน่อยเท่านั้น ความจริงแล้วอ่อนโยนมาก 


 


 


 


 


 


 


 


 


*ปรากฏการณ์เกาะความร้อน เป็นการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่เกิดจากมนุษย์ คืออากาศใกล้พื้นดินในเขตชุมชนเมืองที่มีตึกรามบ้านช่องอยู่เป็นจำนวนมาก มีอุณหภูมิสูงกว่าบริเวณป่าไม้ที่อยู่ถัดออกไปรอบๆ 


 

 

 


ตอนที่ 1654 ดวงตาพิเศษ

 

ความจริงจางจื่ออันคิดถึงภูเขาอิ่นอู้นานแล้ว แต่ฤดูหนาวอากาศที่นี่หนาวเกินไป แถมทางขึ้นเขายังมีหิมะเกาะ ส่วนฤดูร้อนถ้าไม่ร้อนระอุ ก็มีพายุฝนเทลงมา ฤดูใบไม้ผลิสั้นมาก แถมต้นไม้บนภูเขาก็หัวโล้น พูดไปพูดมาก็มีเพียงช่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงที่เหมาะสมที่สุด 


 


 


ไม่ใช่เพราะที่นี่ใช้จ่ายเงินสูงหรอกนะ 


 


 


ประเด็นสำคัญที่สุดคือเขายุ่งเกินไป ถ้าไม่ยุ่งกับเรื่องในร้าน ก็ยุ่งกับเรื่องอื่น หรือไปต่างประเทศกับต่างถิ่น เวลาว่างน้อยเกินไป ถึงแม้ตอนว่างจะคิดเรื่องออกไปเที่ยวกันยกก๊วน ก็ต้องคิดถึงความคิดของทุกคน เลือกสถานที่ที่ทุกคนรับได้จะดีที่สุด 


 


 


เพราะวันนี้มีแค่เหล่าฉากับฟราเทอร์ เขาจึงเสนอที่นี่ขึ้นมา ถ้าทุกคนมาด้วยล่ะก็ กระเป๋าเงินคงจะต้องแห้งหมดแล้ว… 


 


 


สถานที่ที่มอบเงาดำในจิตใจให้กับเขาอย่างมาก ก็คงจะมีแต่ภูเขาอิ่นอู้นี่แหละ 


 


 


ถ้านับรวมในความฝันด้วย ก็มาที่นี่สองครั้งแล้ว 


 


 


เงาดำจิตใจแบบคูณสอง 


 


 


ที่นี่มีคนจูงสุนัขขึ้นเขาบ่อยๆ พวกพ่อค้าแผงลอบรอบๆ เห็นเขาจูงสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ก็ไม่ได้ตกใจนัก แต่ตอนเขาเดินผ่านก็ถามเขาอย่างกระตือรือร้นว่าอยากได้น้ำไหม บอกว่าน้ำบนภูเขาราคาแพง ซื้อข้างล่างก่อนค่อยขึ้นเขาดีกว่า นักท่องเที่ยวหลายคนไม่ฟังคำเตือน สุดท้ายกระหายน้ำจนโมโห บ่นเรื่องทางเดินไปด้วย ลงเขาไปด้วย 


 


 


พอได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้ว่าโรงน้ำชาอู้อิ่นยังไม่ได้ปิดตัวลง 


 


 


ความจริงแล้วไม่เพียงยังไม่ปิดตัวลง คะแนนวิจารณ์ของโรงน้ำชาอู้อิ่นบนแอปพลิเคชันให้คะแนนวิจารณ์ก็สูงขึ้นจนน่าตกใจ กลายเป็นสถานที่แนะนำของบรรดาเน็ตไอดอล น้ำชาชนิดต่างๆ และของว่างสวยงามทำให้คนน้ำลายสอ บทวิจารณ์สวยหรูฟุ้งเฟ้อเทียบได้กับบทกวี…จางจื่ออันเข้าใจแล้ว ถึงอย่างไรเงินก็งอกเงยมากขนาดนี้แล้ว ถึงไม่อร่อยก็ต้องทำเป็นอร่อย ไม่อย่างนั้นไม่กลายคนรวยแต่โง่เหรอ 


 


 


บางครั้งมีคนให้คำวิจารณ์ย่ำแย่แค่หนึ่งดาวเพราะราคาสูงเกินไป คนที่เคยมาเยี่ยมเยือนที่นี่คนอื่นก็แค่วิพากษ์วิจารณ์ ราคาแพงไม่ใช่ข้อด้อยของร้านนี้ แต่เป็นเพราะคุณไม่ดีเอง ก่อนจะบริโภคไม่ดูราคาก่อนเหรอ? 


 


 


เจ้าของโรงน้ำชาไม่เคยโต้ตอบคำวิจารณ์พวกนี้ ถึงอย่างไรท่าทางเย็นชาแบบนี้ก็ได้รับผู้สนับสนุนไม่น้อย 


 


 


จางจื่ออันว้าวุ่นใจมาก ด้านหนึ่งคือเจ้าของโรงน้ำชามีความสัมพันธ์กับแหล่งที่มาของเหล่าฉา อีกด้านหนึ่งคือเขาหวังให้โรงน้ำชาแห่งนี้รีบปิดตัวลง เขาก็จะได้ขึ้นเขาอย่างไม่มีภาระอะไรในจิตใจอีก 


 


 


พอเหยียบเข้าไปในทางขึ้นเขา เขาก็เดินขึ้นไปข้างบนทีละขั้น ทีแรกไม่รู้สึกว่ามีอะไร แต่พอนานเข้าก็รู้สึกจืดชืดลงอย่างเห็นได้ชัด ตามความสูงของทัศนวิสัยที่เพิ่มขึ้น ที่สะท้อนเข้ามาในม่านตาเป็นแค่ทิวทัศน์ธรรมดา ไม่ใช่ยอดเขาสูงมหัศจรรย์ น้ำพุร้อนพุ่งขึ้นสูง และการเติมแต่งของดอกไม้งามอื่นๆ นี่ตัดสินแล้วว่าภูเขาอิ่นอู้ไม่มีทางกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดัง และไม่คู่ควรที่จะเปิดใช้กระเช้าลอยฟ้า 


 


 


ใบไม้แซมสีเหลืองเล็กน้อย ตัดกับใบไม้สีแดงเต็มภูเขา 


 


 


ขณะเดินอยู่บนทางเดินขึ้นเขา เขาก็คิดถึงคนสองคน พูดให้ถูกต้องคือหนึ่งคนกับอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้จัก ซึ่งก็คือเสียวเสวี่ยกับจวงเสี่ยวเตี๋ย 


 


 


หลังจากเขาออกจากป่าเรดวูด เขาก็ส่งข้อความขอบคุณให้เสียวเสวี่ยที่ช่วยเขาแจ้งตำรวจแล้ว ถ้าไม่ได้เธอและความพยายามของแม่เมแกน เรื่องทั้งหมดอาจจะพบจุดจบอันย่ำแย่ 


 


 


ตอนนี้เสียวเสวี่ยยังอยู่ที่อเมริกา แต่อาจจะใกล้กลับมาแล้ว เธอบอกว่ารออาอากาศร้อนหมดไปก่อนแล้วค่อยกลับมา เธอไลฟ์สดนอกสถานที่ระหว่างอยู่ที่อเมริกาหลายครั้ง ส่วนใหญ่ก็เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวในซานฟรานซิสโกและรอบๆ อ่าวจนทั่วแล้ว 


 


 


เขาคิดถึงเธอเพราะเขาเจอเธอครั้งแรกตอนขึ้นเขา และเหตุผลที่คิดถึงจวงเสี่ยวเตี๋ยก็คล้ายกัน ในป่าข้างๆ ทางเดินมีผีเสื้อบินขึ้นลงอยู่ตลอด เพลิดเพลินกับช่วงเวลาแสนสบายของฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึง 


 


 


“จริงสิ ฟราเทอร์ นายเห็นข้างหลังหรือบนหัวฉันมีผีเสื้อบินอยู่หรือเปล่า” เขาถาม 


 


 


ฟราเทอร์ชื่นชมทิวทัศน์รอบๆ อยู่ตลอด พอได้ยินแล้วก็เดินไปดูข้างหลังเขา “ผีเสื้อหรือ? ไม่เห็นนะ” 


 


 


“งั้นก็ดี” 


 


 


จางจื่ออันถอนหายใจ ก่อนหน้านี้ผีเสื้อที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ทำเอาเขาหวาดกลัวไม่หาย 


 


 


“ผีเสื้อทำไมหรือ? มีผีเสื้อก็ปกติมากไม่ใช่หรือ” ฟราเทอร์เห็นท่าทางของเขาเหมือนกังวลใจ จึงถามต่อ 


 


 


“เรื่องมันยาวน่ะ…” 


 


 


จางจื่ออันยิ้มเจื่อน ถึงอย่างไรทางเดินขึ้นเขาก็น่าเบื่อมาก จึงเล่าเรื่องจวงเสี่ยวเตี๋ยให้ฟังคร่าวๆ 


 


 


“มีเรื่องพรรค์นี้ด้วย…” 


 


 


ฟราเทอร์ฟังจนเคลิบเคลิ้ม หลังจากฟังจบก็ตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ มันคิดขึ้นว่าตัวเองมาโลกตะวันออกเพื่อหาทางของตัวเองเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางได้ฟังเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแบบนี้ คิดไม่ถึงว่ายังมีภูตสัตว์เลี้ยงทำให้คนหลับใหล และขังให้อยู่ในโลกความฝันโดยที่ไม่มีใครรู้ได้ ช่างน่าตกตะลึงเสียจริง 


 


 


“ปัญหาคือ หลังจากจบเรื่อง ฉันคิดว่าเธอจะหายไปแล้ว แต่พวกภูตสัตว์เลี้ยงบอกอยู่ตลอดว่ามองเห็นผีเสื้อผลุบๆ โผล่ๆ วนเวียนอยู่รอบตัวฉัน แต่ฉันมองไม่เห็น…” เขาถอนหายใจ 


 


 


ฟราเทอร์คิดอย่างจริงจังพักหนึ่ง แล้วพูดว่า “เรื่องนี้กวนใจเจ้ามากหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ข้าอธิษฐานต่อเทพได้ ขอให้เทพมอบดวงตาพิเศษคู่หนึ่งกับเจ้าชั่วคราว สามารถมองเห็นทุกอย่างที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า หากเธอเพียงแค่ซ่อนตัวเท่านั้น ก็อาจจะมองเห็นเธอได้ผ่านดวงตาพิเศษคู่นี้” 


 


 


ที่มันพูดถึงก็คือดวงตาแห่งการรู้แจ้ง แต่ถ้าไม่ใช่เวลาที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย มันก็ไม่อยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ มีเพียงในสถานการณ์สิ้นหวังที่เสียสละตัวเองแล้วยังไม่ลดละความพยายาม ถึงจะขอความช่วยเหลือได้ ดังนั้นมันจึงอยากรู้ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ 


 


 


“เอ่อ…กวนใจมากก็จริง แต่ช่างมันเถอะ ทีแรกไม่ค่อยชิน เลยรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ตลอด แต่หลังจากนั้นก็ชินแล้วแหละ…เพราะลืมเรื่องนี้ไปบ่อยๆ ถึงยังไงหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ปรากฏตัวในความฝันของฉันอีก” จางจื่ออันทำเป็นพูดอย่างสบายใจ “ไม่ต้องลำบากหรอก…” 


 


 


เขามองสีหน้าเคร่งเครียดของมันออก เดาว่าดวงตาพิเศษคู่นั่นอาจจะไม่จำเป็น ผีเสื้อที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ไม่ได้สร้างความเสียหายในความเป็นจริง งั้นก็ช่างมันเถอะ 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น… 


 


 


ฟราเทอร์ยืมใช้ดวงตาพิเศษตามหาจวงเสี่ยวเตี๋ย ถ้าไม่เหนือความคาดหมายก็จะมีผลลัพธ์อยู่สองแบบ หนึ่งคือเธอไม่อยู่แล้ว สองคือเธอยังอยู่ 


 


 


แบบแรกไม่ต้องพูดหรอก ถ้าพิสูจน์แล้วเป็นแบบหลัง จะไม่ยิ่งกวนใจเหรอ? 


 


 


สู้หลอกตัวเองว่าเธอหายไปแล้วดีกว่า 


 


 


เธอที่ไม่มีตัวตนใช้กระบวนการทางฟิสิกส์อะไรรับมือไม่ได้ ก็เหมือนเป็นผีที่วลาดิเมียร์จัดการได้ยาก เธอที่ร่างกายอยู่ในโลกความฝันควบคุมได้แม้กระทั่งพลังของซิงไห่ ภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นยิ่งจัดการเธอไม่ได้ ทำได้แค่กะพริบตามองเธอ เป็นเหมือนบั๊กเลยจริงๆ 


 


 


จางจื่ออันคิดไปคิดมา ก็ยังคิดวิธีกำจัดจวงเสี่ยวเตี๋ยให้อยู่หมัดไม่ได้ แต่ความจริงแล้วง่ายมาก เขามีการคาดเดาที่ใช้ได้ผล การมีอยู่ของเธอเหมือนจะอาศัยความฝันของเขา ถ้าเขาหายไป เธอก็จะเหมือนน้ำที่ไม่มีต้นน้ำ ต้องหายตัวตามไปด้วยแปดสิบเปอร์เซ็นต์ 


 


 


แต่วิธีนี้มีก็เหมือนไม่มี เขายังใช้ชีวิตไม่ทันคุ้มเลย ยังไม่อยากหายไปพร้อมกับเธอหรอก 


 


 


“ได้ หากเจ้าเปลี่ยนใจก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ” ฟราเทอร์ไม่บังคับ 


 


 


เขาพูดไปด้วย เดินไปด้วยแบบนี้ จึงเข้าใกล้ยอดเขาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อากาศก็เย็นสบายมากยิ่งขึ้น รอบกายถูกหมอกจางๆ โอบล้อมเอาไว้แล้ว 


 

 

 


ตอนที่ 1655 อย่าจ้องฉัน

 

ทางขึ้นเขาเหลืออีกสองสามก้าวก็ถึงปลายทางแล้ว ร่างกายของจางจื่ออันแข็งแรงขึ้นกว่าตอนขึ้นมาครั้งก่อนมาก อย่างน้อยก็ไม่ได้หอบแฮกเหมือนวัว เขาเพิ่งคิดจะกระโดดข้ามบันไดสองสามขั้นสุดท้ายในคราวเดียว แต่เกือบจะชนเข้ากับหน้าอกหญิงสาวคนหนึ่ง 


 


 


“จวง…” 


 


 


เขาอยู่ตรงทางเดินที่ค่อนข้างเตี้ย และกำลังก้มหน้ามองบันไดเพื่อป้องกันการก้าวพลาด ถึงอย่างไรบนยอดเขาก็มีหมอกตลบอบอวลและลื่นมาก ด้วยเหตุนี้จึงมองเห็นแค่ชุดฮั่นกระโปรงยาวสีเหลืองอ๋อย เขาตกใจจนเกือบจะหลุดปากร้องออกมา คิดว่าจวงเสี่ยวเตี๋ยปรากฏตัวในโลกความจริงแล้ว หรือ…นี่เป็นอีกความฝันหนึ่ง? หรือจะบอกว่า…เขาหลับไม่ตื่นอยู่ในความฝันนั้นตั้งแต่แรก? 


 


 


พอเขาเงยหน้ามองก็พบว่าไม่ใช่จวงเสี่ยวเตี๋ย เป็นแค่ผู้หญิงใส่ชุดฮั่นธรรมดาคนหนึ่ง 


 


 


สวมชุดฮั่นปีนเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว เขากำลังอยากชมกำลังกายของเธอ จากนั้นก็พบว่าเธอยกชายกระโปรงขึ้นเหนือพื้นเพื่อไม่ให้เหยียบชายกระโปรง จึงเผยให้เห็นชายกางเกงยีนใต้กระโปรงชุดฮั่น 


 


 


ดูท่าทางเธอสวมชุดธรรมดาขึ้นเขา จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นชุดฮั่น 


 


 


ที่ทำเรื่องหาปัญหาใส่ตัวเองแบบนี้ ประสิทธิภาพกับราคาเหมือนจะไม่สูง ไม่งั้นจะสวมชุดฮั่นหรูหราปีนขึ้นมาถึงยอดเขาให้ใครดูเหรอ? 


 


 


ตอนนี้เอง เธอก็เอียงคอตะโกนด้วยเสียงอ่อนหวานกับคนข้างๆ “รุ่นพี่! ยังไม่ถึงตาฉันอีกเหรอคะ” 


 


 


“แป๊บหนึ่ง! แป๊บหนึ่ง! อีกสองสามวินาทีก็เสร็จแล้ว!” 


 


 


ผู้ชายที่รูปร่างผอมสูงเหมือนราวไม้ไผ่วิ่งเหยาะแหยะเข้ามา บนคอแขวนกล้องถ่ายรูปเอสแอลอาร์ขนาดใหญ่ ก่อนจะหัวเราะกับเธอเชิงเอาใจ 


 


 


มีหญิงวัยกลางคนพาลูกมาปีนเขาด้วยกันคนหนึ่งจูงลูกเริ่มลงเขาแล้ว ลูกของเธอเงยหน้ามองผู้ชายที่รูปร่างเหมือนราวไม้ไผ่ แล้วร้องอย่างหวาดกลัว “แม่! คนนี้เขาเอารูจมูกมาจ้องผม!” 


 


 


หญิงวัยกลางคนรีบดึงลูกชาย แล้วเร่งฝีเท้าลงเขาไป 


 


 


จางจื่ออันสบตากับผู้ชายคนนั้น จากนั้นก็พูดขึ้นพร้อมกัน “คุณ/นายนั่นเอง!” 


 


 


ผู้ชายข้างหน้าคือลั่วชิงอวี่ ประธานชมรมถ่ายภาพของมหาวิทยาลัยปินไห่ เขาชอบเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเวลาพูด บวกกับตัวสูงอยู่แล้ว ก็เหมือนใช้รูจมูกจ้องคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ… 


 


 


ลั่วชิงอวี่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขากระโดดข้ามมาคว้าคอเสื้อของจางจื่ออัน แล้วพูดด้วยท่าทางฮึกเหิม “แสงพระเยซูในป่านั่น คุณใช้โฟโต้ช็อปใช่ไหม!” 


 


 


“อย่าพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อกันสิ” จางจื่ออันตีมือเขาออก “จะใช้โฟโต้ช็อปได้ยังไง ฉันมีคลิปด้วยนะ” 


 


 


หลังจากกลับมาถึงเมืองปินไห่ จางจื่ออันก็โพสต์วิวทิวทัศน์สวยงามที่ถ่ายได้ในอเมริกาลงในกลุ่มเพื่อน โดยเฉพาะแสงพระเยซูในป่าเรดวูด ได้รับคำชมอย่างเป็นเอกฉันท์ของทุกคน 


 


 


ที่สำคัญที่สุดในการถ่ายรูปของแบบนี้ก็คือทิวทัศน์สวยงาม อาศัยแค่ฝีมืออย่างเดียวแต่ไม่มีทัศนียภาพแปลกมหัศจรรย์ชวนตะลึง รูปที่ถ่ายออกมาก็ไม่มีคนสนใจ ก็เหมือนสิ่งที่สำคัญที่สุดในการถ่ายภาพหญิงสาวก็คือสาวสวย นี่เป็นโลกที่มองกันที่หน้าตานะ 


 


 


ทัศนียภาพของสถานที่ท่องเที่ยวมีให้เห็นเกลื่อนกลาด แต่ทัศนียภาพแปลกงดงามจะปรากฏในที่ที่มีคนน้อยนิดเท่านั้น ลั่วชิงอวี่ที่คลุกตัวอยู่แค่รอบๆ เมืองปินไห่ทั้งวันไม่มีโอกาสสัมผัสกับทัศนียภาพระดับนั้นโดยสิ้นเชิง แต่ถึงแม้ฝีมือการถ่ายภาพของจางจื่ออันจะธรรมดาและไม่มีกล้องเอสแอลอาร์ แต่เขาอยู่ถูกที่ ถูกเวลา ถ่ายเรื่อยเปื่อยก็ได้รูปที่ยิ่งใหญ่แล้ว 


 


 


“น่ารังเกียจ! ผมจะเก็บเงิน! ผมจะไปเที่ยวต่างประเทศ! ผมจะเที่ยวรอบโลก! ถึงตอนนั้นรูปที่ผมถ่ายต้องได้ลงนิตยสารระดับประเทศแน่นอน!” ลั่วชิงอวี่ร้องด้วยความโศกเศร้าราวกับเสียดายพรสวรรค์ที่ไม่ได้ค้นพบ 


 


 


“นายมาทำงานพิเศษที่ร้านฉันได้ บัญชีสาธารณะของฉันขาดคนถ่ายรูปหมาแมวดีๆ อยู่พอดี” จางจื่ออันเสนอโอกาสทำงานด้วยเจตนาดี 


 


 


“ชิ! ผมทำงานพิเศษไม่ได้หรอก ทั้งชีวิตนี้ทำงานพิเศษไม่ได้ ผมต้องขายภาพหาเงิน ตอนนี้ขาดแค่แมวมองตาดีสักคนเท่านั้นเอง ผมเพิ่งส่งรูปไปให้เว็บไซต์ลิขสิทธิ์รูปล็อตหนึ่ง คราวนี้ต้องได้เซ็นสัญญาแน่!” ลั่วชิงอวี่พูดอย่างเหยียดหยาม 


 


 


“งั้นนายก็สู้ๆ แล้วกัน” จางจื่ออันไม่สนแล้ว 


 


 


“รุ่นพี่ คนนี้ใครคะ คนรู้จักของพี่เหรอ” สาวกระโปรงสีเหลืองถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น 


 


 


ลั่วชิงอวี่ “เอ่อ…ก็ไม่ได้รู้จักกันหรอก” 


 


 


อยู่ๆ จางจื่ออันก็นึกคำถามหนึ่งออก “เดี๋ยวก่อน ลั่วชิงอวี่ ปีที่แล้วนายอยู่ปีสี่แล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้น่าจะเรียนจบแล้วสินะ” 


 


 


ลั่วชิงอวี่กระแอมครั้งหนึ่ง “รุ่นน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่หน้าตาใช้ได้ ผมเลยตัดสินใจเรียนซ้ำปีสี่ เพื่อรุ่นน้องที่น่ารักพวกนี้…” 


 


 


ตอนนี้มีผู้ชายแขวนกล้องเอสแอลอาร์บนคออีกคนหนึ่งเดินเข้ามาอีก ก่อนจะบ่นว่า “รุ่นพี่ ถึงพี่จะเรียนไม่จบก็ควรคืนตำแหน่งนะ ตั้งแต่ผมเข้าปีหนึ่งมาพี่ก็เป็นประธานชมรมมาตลอด ตอนนี้ผมอยู่ปีสี่แล้ว พี่ก็ยังเป็นประธานชมรม คำว่า ‘รอง’ ของผมต้องจบตามการเรียนจบของผมใช่ไหมเนี่ย” 


 


 


“ดูนายสิ รีบร้อนอะไรนักหนา ไม่เห็นเหรอว่าฉันคุยกับคนอื่นอยู่!” ลั่วชิงอวี่โบกมือรำคาญ “ไป ขัดเกลาฝีมือให้มาก ฝึกเปลี่ยนเลนส์ให้มากๆ อย่าแอบอู้” 


 


 


ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด 


 


 


จางจื่ออันพยักหน้าอย่างเลื่อมใส “ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว ขอให้นายขึ้นปีสี่ทุกปี มีรุ่นน้องสาวๆ ตลอดไป” 


 


 


ลั่วชิงอวี่รู้ว่าเขากำลังพูดเหน็บแนม ก่อนจะถลึงตามองพร้อมกับกำลังจะระเบิดอารมณ์ พอรุ่นน้องอีกคนข้างๆ ตะโกนเรียกรุ่นพี่ลั่ว เขาก็ปั้นหน้ายิ้มวิ่งดุ๊กดิ๊กกลับไป “รุ่นน้อง อะไรเหรอจ๊ะ” 


 


 


จางจื่ออัน เหล่าฉา และฟราเทอร์ก็มาถึงยอดเขาแล้ว 


 


 


คนแก่สวมเสื้อและกางเกงสีขาวสองสามคนมาถึงยอดเขาก่อนพวกเขาหนึ่งก้าว พวกเขาใช้ลำโพงแบบเสียบการ์ดที่นำมาเองเปิดเพลงรำดาบกันเป็นกลุ่ม ฝึกฝนกันแบบนี้ทุกวัน การเคลื่อนไหวและเสื้อผ้าเหมือนกันทั้งหมด บวกกับหมอกตลบอบอวลรอบๆ และสนสีเขียวรูปร่างเหมือนร่ม มีกลิ่นอายของความเป็นเทพเซียนอยู่หลายส่วน 


 


 


หญิงสาวในชุดฮั่นที่เป็นนักศึกษาสองสามคนกำลังโพสท่า ยังมีผู้ชายของชมรมถ่ายภาพ มหาวิทยาลัยปินไห่ถ่ายรูปพวกเธอจากมุมต่างๆ อีกสองสามคน 


 


 


จางจื่ออันอยากเตือนผู้ชายสองสามคนนั้น การถ่ายรูปเป็นหนทางสู่ความหายนะได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกประธานชมรมของพวกนายพาเสียคน รีบลงจากเรือลำนี้เสียเถอะ 


 


 


การจัดวางบนยอดเขาแตกต่างกับตอนที่จางจื่ออันขึ้นมาเมื่อปี้ก่อนอยู่บ้าง มีศาลาหลังคาสี่มุมเพิ่มขึ้นมาหลังหนึ่ง อาจจะสร้างเพื่อให้นักท่องเที่ยวไว้หลบฝน แต่การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่ได้ปรากฏในความฝันที่จวงเสี่ยวเตี๋ยสร้างขึ้น อธิบายได้อย่างเดียวว่าความฝันของเธอสร้างขึ้นจากพื้นฐานความทรงจำของเขา ในความทรงจำของเขาไม่มีศาลาหลังคาสี่มุม ในความฝันของเธอก็ไม่มีเช่นกัน 


 


 


โรงน้ำชาอิ่นอู้ไม่ต่างจากในความทรงจำของเขา มีเพียงป้ายที่ทำจากไม้เพิ่มขึ้นมาตรงหน้าประตู บนป้ายแผ่นไม้วาดรูปชุดน้ำชาขึ้นชื่อของโรงน้ำชาและเขียนราคาของพวกมันเอาไว้ ทำให้นักท่องเที่ยวที่อยากรู้อยากเห็นเตรียมใจก่อนเข้าไปในโรงน้ำชา น่าจะเกิดความวุ่นวายเพราะเหตุนี้ไม่น้อยเลย 


 


 


จางจื่ออันมองรอบๆ ยอดเขา ยอดเขาที่ใหญ่เท่าฝ่ามือไม่มีเงาร่างเด็กสาวมัธยมต้นคนนั้น หรือว่าเธอเข้าไปในโรงน้ำชาแล้ว? 


 


 


โรงน้ำชาระดับนี้ ถึงเป็นพนักงานออฟฟิศก็ต้องพิจารณากระเป๋าเงินของตัวเองครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าไป เด็กนักเรียนมัธยมต้นเข้าไปใช้จ่ายเงินก็บอกได้แค่ว่า ‘ลูกคนรวย’ 


 


 


ฟราเทอร์ไม่สนใจดื่มชาและกินขนมเลยสักนิด มันสนใจคนแก่ที่กำลังรำดาบอยู่มากกว่า รู้สึกว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันลึกลับของโลกตะวันออก ขึ้นมาถึงบนยอดเขาแล้วก็มองพวกเขาไม่วางตา 


 


 


จางจื่ออันถามความเห็นของมันแล้ว มันอยากดูรำดาบอยู่ข้างนอก จางจื่ออันจึงผูกเชือกจูงฟราเทอร์ไว้ที่เสาประตู ถึงมีอะไรเกินความคาดหมาย ฟราเทอร์ก็หลุดพ้นจากเชือกจูงได้สบายๆ อยู่แล้ว  

 

 


ตอนที่ 1656 กินฟรี

 

จางจื่ออันเข้าใจแล้ว ลั่วชิงอวี่เอาใจและหลอกล่อนักศึกษาใหม่กลุ่มหนึ่งมาเป็นแบบถ่ายรูปของเขา พวกรุ่นน้องสาวๆ ที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้ยินว่าประธานชมรมถ่ายรูปจะถ่ายรูปให้เธอด้วยมือตัวเอง พวกเธอต้องดีใจมากแน่นอน ใครไม่อยากเก็บช่วงเวลาวัยเยาว์อันแสนงดงามไว้ในอัลบั้มรูปบ้างล่ะ แต่ฝีมือของลั่วชิงอวี่…อืมมม 


 


 


ทั้งยอดเขาเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงพวกเขาโหวกเหวกโวยวาย 


 


 


พวกผู้หญิงเห็นฟราเทอร์ก็กลัวเล็กน้อย แต่ฟราเทอร์กลิ้งอย่างซุกซนบนพื้นทั้งที ไม่นานก็หยอกเย้าพวกเธอได้แล้ว แถมยังระวังตัวน้อยลงด้วย ถึงอย่างไรมันก็ถูกล่ามอยู่ 


 


 


หญิงสาวใจกล้าคนหนึ่งยังลองเข้าใกล้มัน เห็นมันอ่อนโยนผิดปกติ ไม่มีเจตนาร้ายเลยสักนิด จึงเล่นกับมันอย่างสนุกสนาน 


 


 


ลั่วชิงอวี่ยุ่งอยู่กับการจัดท่าโพสให้สาวๆ พวกรุ่นน้องในชมรมเลือกมุม บางครั้งเข้ามาลงมือจัดการเอง ยุ่งจนเหนื่อยล้าไปหมด 


 


 


หญิงสาวสองคนเพิ่งถ่ายรูปเสร็จ ขณะที่นั่งพักอยู่บนก้อนหิน พวกเธอก็หันหน้าไปมองโรงน้ำชาอิ่นอู้ด้วยสีหน้าอิจฉา แล้วออดอ้อนลั่วชิงอวี่เชิงล้อเล่น “รุ่นพี่! รุ่นพี่! พวกเราโพสท่าเหนื่อยมากเลย เมื่อยหน้าไปหมดแล้ว หิวน้ำด้วย เลี้ยงน้ำชาพวกเราหน่อยนะคะ!” 


 


 


“นั่นสิคะ รุ่นพี่ พวกเราไปถ่ายรูปในโรงน้ำชากันนะ เอาแต่ถ่ายอยู่ข้างนอกน่าสนุกยังไงกัน” หญิงสาวคนอื่นถือโอกาสโน้มน้าวด้วย 


 


 


ลั่วชิงอวี่มองไปบนแผ่นป้ายไม้ที่เขียนราคาเอาไว้ครั้งหนึ่ง แล้วขู่พวกเธอว่า “ร้านนี้เป็นโรงเตี๊ยมชั่วร้ายเลื่องชื่อ ได้ยินว่าชาข้างในตรวจพบยาฆ่าหญ้าด้วย เห็นแก่สุขภาพของพวกเธอ…กินน้ำดีกว่านะ!” 


 


 


ขณะพูด เขาก็ควักน้ำแร่สองขวดออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วส่งให้พวกเธอ ยี่ห้อไอซ์ดิว ราคาหนึ่งขวดคือหนึ่งหยวน ยังสู้แมวในร้านของจางจื่ออันไม่ได้เลย 


 


 


พวกสาวๆ สมัยนี้ฉลาดเป็นกรด จะถูกคำโกหกห่วยๆ แบบนี้หลอกได้อย่างไร แต่พวกเธอก็บุ้ยปากเปิดขวดไอซ์ดิว 


 


 


ถึงจางจื่ออันมีความทรงจำเลวร้ายในโรงน้ำชาอู้อิ่น แต่ก็ไม่ฟังพวกข้างๆ แล้ว เพราะชมรมถ่ายภาพและพวกสาวๆ ต่างก็อาศัยโรงน้ำชาเป็นแบ็คกราวด์ แต่ดันไปใส่ร้ายร้านเขาแบบนี้อีก 


 


 


ลั่วชิงอวี่ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงบ่นของพวกสาวๆ ถึงอย่างไรเขาก็หลอกพวกเธอมาถ่ายรูป อย่างมากกลับไปแล้วค่อยเปลี่ยนหญิงสาวอีกกลุ่ม นักศึกษาใหม่เยอะจะตาย ต้องมีสักสองสามคนมาติดกับอยู่ดีนั่นแหละ 


 


 


“จริงสิ รุ่นพี่ลั่ว เมื่อกี้นายเห็นเด็กผู้หญิงมัธยมต้นไหม” จางจื่ออันสอบถาม 


 


 


“เห็น…เดี๋ยวก่อน! คุณอย่าเรียกผมว่ารุ่นพี่ลั่วเพราะผมหน้าแก่สิ!” ลั่วชิงอวี่เพิ่งเอ่ยปาก เขาก็รู้ตัวทันที “ผมไม่ใช่รุ่นพี่ของคุณนะ!” 


 


 


“เห็นค่ะ! เห็น! เป็นสาวน้อยหน้าตาสวยมากเลยค่ะ! อย่างกับตุ๊กตากระดาษแน่ะ!” 


 


 


กลับเป็นสาวๆ ที่อยู่ด้านข้างพูดต่อ 


 


 


“เอ๋? เธอเข้าไปในโรงน้ำชาเหรอ” จางจื่ออันถาม 


 


 


“ใช่ค่ะ! รุ่นพี่ลั่วยังอยากขอเธอถ่ายรูปอยู่เลย แต่เธอไม่สนใจเขาเลยสักนิด เขายังบอกอีกว่าจะเลี้ยงน้ำชาเธอด้วยนะคะ แต่สุดท้ายเธอก็เดินเข้าไปในโรงน้ำชาคนเดียว” 


 


 


พวกผู้หญิงจ้องลั่วชิงอวี่ด้วยสีหน้าตำหนิติเตียน ถ้าสายตาฆ่าคนได้ ลั่วชิงอวี่ก็คงพลัดตกจากยอดเขาไปแล้ว 


 


 


ลั่วชิงอวี่ถามด้วยความสงสัย “คุณถามถึงเด็กผู้หญิงทำไม คุณมีแผนอะไร” 


 


 


“นายมีแผนอะไรล่ะ? นายก็ขวางเธอเพราะอยากถ่ายรูปไม่ใช่เหรอ…” จางจื่ออันย้อนถาม 


 


 


ลั่งชิงอวี่มีเหตุผลพอที่จะพูดอย่างเต็มที่ “แสวงหาศิลปะและความสวยงาม ผิดด้วยเหรอ?” 


 


 


จางจื่ออันเงียบแล้วคิด “เอาล่ะ นายพูดถูก ฉันรู้จักเด็กผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง รอเธอขึ้นมัธยมต้นแล้วจะแนะนำให้นายรู้จักนะ…จริงสิ เธอชื่อหวางหย่าหนิง” 


 


 


“หวางเหย่าหยิงเหรอ ได้ ผมจะจำชื่อนี้ไว้” 


 


 


จางจื่ออันไว้อาลัยแทนเขาสองสามวินาที นึกออกเลยว่าต่อไปเขาจะออกจากมหาวิทยาลัยด้วยรูปแบบของการติดคุก… 


 


 


พอไม่ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์อะไรจากลั่วชิงอวี่ จางจื่ออันจึงขยิบตาให้เหล่าฉาครั้งหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในโรงน้ำชาท่ามกลางสายตาอิจฉาของพวกเธอ 


 


 


เขาผลักประตูโรงน้ำชา กลิ่นดอกไม้และสมุนไพรปนกันสายหนึ่งก็ค่อยๆ ฟุ้งออกมา เขากับเหล่าฉาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ โดยพร้อมเพรียง ตอนเขาดื่มชาก็สวาปามเหมือนวาฬ ดื่มเหมือนวัว สำหรับเขาแล้วชิมใบชาดีกับใบชาแย่แล้วไม่รู้สึกต่างกัน แต่นี่ก็พิสูจน์ว่าใบชาที่เขาดื่มยังดีไม่พอ ไม่อย่างนั้นขอแค่เป็นคนที่มีลิ้นก็แยกความแตกต่างได้ทั้งนั้น 


 


 


ในโรงน้ำชามืดเล็กน้อย แล้วก็เงียบมาก มีลูกค้าแค่คนเดียว ก็คือเด็กผู้หญิงวัยมัธยมต้นคนนั้น เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งเพียงลำพัง กำลังเท้าคางรอชามาเสิร์ฟร ส่ายหน้าเล็กน้อย มองฝีมือการชงชาของเจ้าของร้านราวกับสนใจอย่างมาก 


 


 


เธอหันหน้าเข้าหาเคาน์เตอร์ จางจื่ออันยังคงมองไม่เห็นหน้าเธอจากข้างหลัง และเขาก็ไม่ได้สนใจจะรู้หน้าตาของเธอ จึงหาโต๊ะว่างนั่งลงตามใจชอบ 


 


 


“ยินดีต้อนรับค่ะ มากี่ท่านค่ะ” 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเบาหวิว กำลังจะยื่นส่งเมนูให้จางจื่ออัน แต่อยู่ๆ ก็จ้องหน้าของเขาด้วยท่าทางสงสัย พลางตกตะลึง 


 


 


“คุณ…คุณอีกแล้ว! คนกินฟรี!” 


 


 


ในที่สุดเธอก็นึกออกแล้ว ก่อนจะชี้หน้าเขาแล้วร้องด้วยความโกรธเคือง 


 


 


จางจื่ออัน “…” 


 


 


คิดถึงว่าเจอกันแค่ครั้งเดียวเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน เธอยังจำเขาได้ คงไม่ได้ให้เขาขึ้นบัญชีดำตอนที่เขาไม่รู้เรื่องหรอกใช่ไหม? 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ยกเมนูไว้ตรงหน้าอกราวกับโล่ป้องกัน แล้วมองเขาพร้อมเตรียมป้องกัน “คุณมาทำไมอีก ยังอยากกินฟรีอีกเหรอ” 


 


 


“เฮ้อ! พูดแบบนี้ไม่ได้นะ ครั้งก่อนเถ้าแก่เนี้ยร้านคุณไม่คิดเงินผมแท้ๆ ไม่ได้กินฟรีดื่มฟรีสักหน่อย…” จางจื่ออันแก้ไขด้วยความไม่พอใจ 


 


 


ตอนเขามาครั้งก่อน ร้านขายสัตว์เลี้ยงยังมีหลายอย่างต้องทำ เงินทุกหยวนที่หามาได้ก็ต้องใช้อย่างประหยัด ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายในสถานที่หรูหราแบบนี้ไม่ได้ ตอนนี้ก็เกือบหนึ่งปีแล้ว แม้เขาจะยังนับไม่ได้ว่าเป็นเศรษฐี แต่การใช้จ่ายเงินระดับนี้เขาก็จ่ายไหวแล้ว ดังนั้นคราวนี้เขามาใช้บริการจริงๆ 


 


 


สายตาของเสี่ยวเอ้อร์กลับกำลังพูดอย่างเห็นได้ชัดว่า ‘ผีสิถึงจะเชื่อคุณ! ครั้งก่อนคุณหลอกพวกเราเอาไว้มาก ครั้งนี้อย่าหวังเลยว่าพวกเราจะติดกับ!’ 


 


 


“อันซิน! พูดกับลูกค้าแบบนั้นได้ยังไง” 


 


 


เมื่อครู่เถ้าแก่เนี้ยแซ่เย่กำลังตั้งอกตั้งใจชงชาให้เด็กสาวมัธยมต้น ในที่สุดตอนนี้ก็ว่างแล้ว เธอทำหน้าบึ้งตำหนิเสี่ยวเอ้อร์ 


 


 


“พี่เย่ พี่จำเขาไม่ได้เหรอคะ คนน่ารังเกียจที่มากินฟรีร้านเราเมื่อปี่ที่แล้ว…” เสี่ยวเอ้อร์ชี้หน้าจางจื่ออันด้วยความคับแค้น 


 


 


“ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้ว ว่าเข้ามาในร้านก็เป็นลูกค้าทั้งนั้น! ทำเรื่องที่เธอควรทำ ขอโทษลูกค้าซะ!” เถ้าแก่เนี้ยขึ้นเสียง 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์โมโหจนกัดฟันกรอด อยากจะพุ่งเข้าไปกัดเขาใจจะขาด ไม่คิดจะขอโทษด้วยซ้ำ 


 


 


“แฮ่ม! ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมรู้ว่าเธอกำลังล้อเล่น…ฮ่าๆ! เอาเมนูมาให้ผมดูหน่อยสิครับ พวกคุณเพิ่มเมนูใหม่อะไรหรือเปล่า” จางจื่ออันเอ่ยปากไกล่เกลี่ยเอง 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์แย่งพูดว่า “น้ำเปล่าใส่น้ำแข็งไม่มีแล้ว คุณลูกค้าช่วยสั่งอะไรที่มันเหนือชั้นกว่านั้นหน่อยแล้วกัน!” 


 


 


“ผมมาดื่มชา น้ำเปล่าใส่น้ำแข็งมันคืออะไรกัน” จางจื่ออันเข้าใจแต่แสร้งไม่รู้เรื่อง หรือว่าโรงน้ำชาแห่งนี้เพิ่มน้ำเปล่าใส่น้ำแข็งลงไปในเมนูจากเรื่องครั้งก่อนแล้ว? 


 


 


“เฮอะ! ฉันอยากดูว่าครั้งนี้คุณจะเล่นลูกไม้อะไรอีก!” 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์เห็นเถ้าแก่เนี้ยจะโมโหแล้ว คราวนี้ถึงโยนเมนูลงบนโต๊ะของเขาด้วยท่าทางไม่พอใจ  

 

 


ตอนที่ 1657 เก่าสู้ใหม่ไม่ได้

 

วันนี้เหล่าฉาพรางตัวออกเดินทาง ไม่เหมือนกับฟราเทอร์ เพราะมันกังวลว่าโรงน้ำชาจะไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าไปข้างใน และถ้ามีลูกค้าคนอื่นเห็นสัตว์เลี้ยงดื่มชาร่วมกับคนอย่างโจ่งแจ้ง ก็อาจจะไม่พอใจได้ 


 


 


หลังจากเข้าไปในโรงน้ำชา มันก็พิจารณาสิ่งของกับคนที่แยกจากกันไปเนิ่นนานอย่างละเอียด แล้วอดทอดถอนใจอย่างมากไม่ได้ 


 


 


ยิ่งอายุมากขึ้น มันยิ่งชอบความเงียบสงบ โรงน้ำชาอู้อิ่นเป็นสถานที่แห่งความสงบในอุดมคติ ฤๅษีชั้นสูงยุคโบราณก็มักจะสร้างกระท่อมอาศัยอยู่กลางป่าอย่างสันโดษ แต่เงียบเกินไปก็จิตใจฟุ้งซ่าน นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่มันเลือกลงเขากับจางจื่ออัน 


 


 


การตกแต่งภายในโรงน้ำชาแทบจะไม่ต่างไปจากเมื่อเกือบหนึ่งปีที่แล้วเลยสักนิด แม้แต่การจัดวางเก้าอี้ก็เป็นอย่างเดิม เถ้าแก่เนี้ยและเสี่ยวเอ้อก็เช่นกัน เหมือนเวลาในโรงน้ำชาแห่งนี้หยุดนิ่งเอาไว้ 


 


 


เหล่าฉารู้สึกว่า ถึงแม้เวลานี้ในปีหน้ากลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง ที่นี่ก็ยังคงเป็นเหมือนภาพน้ำหมึกที่แน่นิ่ง 


 


 


แน่นอนว่าถ้าใช้สายตาจับผิดมาตัดสิน เถ้าแก่เนี้ยกับเสี่ยวเอ้อร์มีการเปลี่ยนแปลงบนร่างกายเล็กน้อย อย่างเช่น กลิ่นของสกินแคร์เปลี่ยนไปแล้ว ความยาวของเส้นผมก็เปลี่ยนไป ยังมีอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย สายตาก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย 


 


 


ที่โชคดีคือ กาลเวลายังไม่ได้สลักริ้วรอยลงบนใบหน้าของพวกเธอ แม้นี่จะเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องมาถึง ถึงอย่างไรเกิด แก่ เจ็บ ตายก็เป็นเรื่องธรรมดา แม้เป็นพวกเธอสองคนที่ไม่ต้องกังวลกลุ้มใจเรื่องเงินทอง ในอนาคตก็ต้องเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตจากการแต่งงาน 


 


 


“อร่อยมาก!” 


 


 


เสียงหวานกล่าวชมขึ้นขัดจังหวะความคิดของเหล่าฉา มันเลื่อนสายตาไปมองเงาหลังของเด็กผู้หญิงมัธยมต้นคนนั้น 


 


 


เดิมทีมันคิดว่าเถ้าแก่เนี้ยและเสี่ยวเอ้อร์อยู่ในช่วงวัยสาวสะพรั่งที่สุด แต่อยู่ต่อหน้าเด็กสาวจริงๆ แล้วกลับหมองลง เธอเหมือนเป็นแสงสว่างเดียวที่จุดประกายโรงน้ำชาให้สว่างไสว แขนขาวผ่องและยาวสวยถือถ้วยชา ผิวพรรณผ่องใสเนียนละเอียดราวกับกึ่งโปร่งแสง คล้ายไม่ต้องการการบำรุงจากสกินแคร์เลยแม้แต่น้อย 


 


 


“เถ้าแก่เนี้ย ชาที่พวกคุณชงอร่อยเกินไปแล้ว!” สาวน้อยกล่าวชม “ถึงเป็นผู้มีฝีมือหรือเซียนยุคโบราณที่ชอบดื่มชา ก็ยังไม่ได้ลิ้มรสชาอร่อยๆ แบบนี้เลย!” 


 


 


เหล่าฉายิ้มเงียบๆ เป็นวัยรุ่นที่ออกมาจากบ้านแล้วไม่กลัวเสือจริงๆ พูดตรงเสียเหลือเกิน 


 


 


“คุณลูกค้าชมเกินไปแล้วค่ะ ปรัชญาเมธีเมื่อสมัยก่อน ฉันจะไปเทียบเท่าได้ยังไงกัน” เถ้าแก่เนี้ยยิ้ม แต่การชมเชยของลูกค้าทำให้เธอสบายใจขึ้นมาก 


 


 


“ฉันพูดจริงๆ นะคะ! หลายคนพอพูดถึงวัฒนธรรมโบราณก็จะเทินทูนยุคโบราณต่างๆ นานา ยุคโบราณมีอะไรดีขนาดนั้นกัน ไม่ว่าอะไรก็พัฒนาไปหมดแล้ว เทคโนโลยีล้ำหน้าขึ้นเรื่อยๆ ศิลปะก็เหมือนกัน! ถ้าเอาชาจากสมัยราชวงศ์ถังกับราชวงศ์ซ่งมาในยุคปัจจุบัน พวกคุณกินคำเดียวก็คงจะคายทิ้งแล้ว!” แม้เธออายุยังน้อย แต่กลับพูดจาฉะฉาน หูกระต่ายอันใหญ่บนชุดกะลาสีกระเพื่อมเล็กน้อยตามจังหวะการพูดจาของเธอ 


 


 


แน่นอนว่าเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้เถียงกับเด็กผู้หญิงแบบนี้ แค่ยิ้มตอบเท่านั้น 


 


 


จางจื่ออันผ่านความยากลำบากมาจนได้ เพิ่งถือเมนูไว้ในมือ พอได้ยินแล้วก็พยักหน้า “เป็นอย่างนั้นจริงๆ ของอร่อยแปลกประหลาดที่คนโบราณชอบคุยโม้ ก็เพราะพวกเขายังไม่เคยชิมเคเอฟซีกับน้ำโคล่าอารมณ์ดีน่ะสิ วิทยาศาสตร์สมัยนี้วิจัยรสชาติอาหารไปถึงระดับโมเลกุลแล้ว ถ้าเอากลิ่นไก่ที่ถูกที่สุดสักถุงย้อนกลับไปในยุคโบราณ แล้วโรยลงไปในหม้อตุ๋นสักหม้อก็กลายเป็นอาหารเลิศรสหาใดเปรียบแล้ว จะต้องถูกสรรเสริญเป็นไก่เทพไปแล้วแปดส่วน…” 


 


 


“ฮ่าๆ! ไก่เทพก็ไม่เลวเลยค่ะ” เด็กสาววัยมัธยมต้นยกถ้วยชาขึ้นมา มีน้ำกระฉอกออกมาเล็กน้อย 


 


 


“คุณจะสั่งชา หรือว่าจะพูดไร้สาระ” เสี่ยวเอ้อร์พูดด้วยความโมโห 


 


 


“อย่าเร่งสิ เดี๋ยวจะสั่งแล้ว” 


 


 


วันนี้จางจื่ออันที่เป็นผู้บริโภคอึดอัดทีเดียว ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้ทำผิดต่อเธอไว้ล่ะ เลยถูกเธออาฆาตแค้นจนถึงตอนนี้… 


 


 


บนเมนูมีรายการเพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อนจำนวนหนึ่ง แน่นอนว่าราคาก็แพงขึ้นด้วย ความจำของเขาไม่ได้ดีมากจนถึงขั้นจำราคาเมนูของเมื่อหนึ่งปีก่อนได้ ความจริงแล้วเพราะเข้ามาในร้านตอนอยู่ในฝันครั้งหนึ่ง จึงยังไม่ลืม 


 


 


เขากางเมนูบนโต๊ะ ก่อนจะบอกให้เหล่าฉาสั่งชาที่ชอบ ส่วนเขาสั่งชุดน้ำชาและของว่างที่ราคาถูกที่สุดชุดหนึ่ง 


 


 


เหล่าฉาดูคร่าวๆ เล็กน้อย แล้วใช้หลายนิ้วชี้ชาเถียกวนยินคุณภาพดีที่สุด ทุกวันนี้มันนับเป็นชาระดับกลางของโรงน้ำชาเท่านั้น ชาระดับสูงในกรอบพวกนั้นมีเลข ‘แปด’ เยอะจนเวียนหัว อ่านแล้วแทบทรุด กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่มีวันจบสิ้น… 


 


 


“แล้วก็เอาชาเถี่ยกวนยินระดับคุณภาพดีที่สุดกาหนึ่ง” เขาเห็นเสี่ยวเอ้อร์บุ้ยปากจะไปแล้ว จึงพูดเสริมอีก 


 


 


“คุณไม่ได้มาคนเดียวเหรอ ในชุดน้ำชากับของว่างก็มีชาอยู่แล้ว คุณจะสั่งชาอีกกาหนึ่งทำไม” เสี่ยวเอ้อร์เห็นสายตาของเขาเหมือนกำลังมองคนโง่ 


 


 


“ยิ่งผมสั่งเยอะ ก็ยิ่งดีกับกิจการของพวกคุณไม่ใช่เหรอ” จางจื่ออันตอบด้วยสีหน้าจริงจัง 


 


 


ริมฝีปากของเสี่ยวเอ้อร์กระตุกขึ้น แต่อยู่ๆ ก็เอาหน้าเข้ามาใกล้ใบหูของเขา 


 


 


จางจื่ออันคิดว่าเธอจะจุ๊บตัวเอง ในใจพูดว่า ‘ดูท่าทางกิจการที่ร้านจะไม่ค่อยดีแล้ว สั่งชาสองกาก็ได้จูบหอมครั้งหนึ่งแล้วเหรอ เห็นผมเป็นคนแบบนั้นหรือไง’ 


 


 


เขาเงยหน้ากำลังจะปฏิเสธด้วยคำพูดเด็ดขาด กลับได้ยินเธอพูดเสียงเบาว่า “ตรงตีนเขามีสถานีตำรวจเปิดใหม่ ถ้าคุณกล้ากินฟรีอีก ฉันจะแจ้งตำรวจ!” 


 


 


“ได้เลย! เถี่ยกวนยินคุณภาพสูงสุดกาหนึ่ง ชุดน้ำชามะลิชุดหนึ่ง เดี๋ยวมาเสิร์ฟนะคะ” เถ้าแก่เนี้ยขานรับ 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์หยิบชุดชามชุดหนึ่งมาจากชั้นวาง ข้างในมีสามส่วน แบ่งเป็นชามใบเล็ก สบู่แบบใช้แล้วทิ้ง และผ้าขนหนูแบบใช้แล้วทิ้ง ในชามใบเล็กมีน้ำสะอาด ดูท่าทางให้จางจื่ออันใช้ล้างมือก่อนดื่มชา นี่เป็นบริการที่ไม่มีตอนมาครั้งแรก 


 


 


จางจื่ออันถอนหายใจ มิน่าล่ะ เมนูถึงมีราคาสูงขึ้น ที่แท้บริการก็ยกระดับขึ้นด้วย แม้แต่ตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสก็ยังไม่มีบริการแบบนี้เลยมั้ง? แม้เขาจะไม่เคยนั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส แต่คาดว่าพวกขุนนางยุคโบราณก็เป็นแบบนี้ 


 


 


พูดได้ว่า มีเงินนี่ดีจริงๆ สิ่งที่คนมีเงินดื่มด่ำได้ก็ดีจริง! 


 


 


เขาล้างมือเสร็จแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็ยกชามเล็กกลับไปข้างหลัง จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงโครมครั้งหนึ่ง ชามน้ำสะอาดที่ใช้แรงคนยกมาถึงยอดเขาหล่นลงพื้นแล้ว เขาได้ยินแล้วก็ปวดใจทีเดียว 


 


 


ฝีมือการชงชาของเถ้าแก่เนี้ยน่าชื่นชมอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็เคร่งครัดเรื่องวิทยาศาสตร์มาก ใช้เครื่องวัดอุณหภูมิตรวจสอบอุณหภูมิของน้ำร้อนในกาน้ำที่ทำจากเงินอย่างแม่นยำ เทน้ำใส่ใบชาในอุณหภูมิที่ดีที่สุด แค่เรื่องนี้ ก็เป็นสิ่งที่คนโบราณทำไม่ได้แล้ว เพราะยุคโบราณไม่มีเครื่องวัดอุณหภูมิ อุณหภูมิที่ใช้ในการต้มน้ำก็ต้องอาศัยประสบการณ์และการประเมิน และถึงคนโบราณใช้กาน้ำที่ทำจากเงินต้มน้ำเหมือนกัน คุณภาพของกาน้ำที่ทำจากเงินก็ไม่ใช่ของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนยุคปัจจุบัน มีสิ่งเจือปนค่อนข้างมาก จิบชาแล้วได้ลิ้มรสความสูงส่งแน่นอน แต่สิ่งเจือปนอะไรก็ส่งผลกระทบต่อรสชาติของชาได้ทั้งนั้น ดังนั้นคำพูดของเด็กสาววัยมัธยมต้นคนนั้นจึงมีเหตุผล 


 


 


เถ้าแก่เนี้ยชงชามะลิเสร็จก่อนแล้ว เสี่ยวเอ้อร์จึงยกเค้กชามะลิมาจากหลังครัว ก่อนจะวางลงในถาดเดียวกันแล้วยกมาให้จางจื่ออัน 


 


 


“เชิญทานให้อร่อยค่ะ” เสี่ยวเอ้อร์พูดเหมือนอย่างเคย 


 


 


เถ้าแก่เนี้ยชงชาเถี่ยกวนยินต่อแล้ว 


 


 


เค้กไร้ที่ติมาก แต่ว่า…ปริมาณน้อยเกินไปจริงๆ จางจื่ออันรู้สึกว่าตัวเองซดเข้าไปได้ในคำเดียวด้วยซ้ำ 


 


 


ตอนนี้เอง อยู่ๆ เด็กสาวมัธยมต้นคนนั้นก็พูดขึ้นว่า “ตายแล้ว! ลืมเอาเงินมาด้วย ติดเงินไว้ได้ไหมคะ”  

 

 


ตอนที่ 1658 เช็คบิล

 

ถึงกินข้าวช่วงระหว่างที่ท่องเที่ยวในต่างประเทศ ทั่วไปแล้วจางจื่ออันจะไม่ถ่ายรูปอาหาร เขาจะขยับตะเกียบเริ่มกินทันที แต่ยากที่จะได้กินของแพงและปริมาณขัดกับราคาแบบนี้สักครั้ง เขาจึงควักโทรศัพท์มือถือออกมาคิดจะเลียนแบบคนอื่น ถ่ายรูปแล้วค่อยกิน ไม่อย่างนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนเปรียบ 


 


 


แต่ได้ยินคำพูดของเด็กสาวมัธยมต้นแล้ว เขาก็ตกใจจนโทรศัพท์มือถือเกือบหลุดมือ 


 


 


นี่ไม่ใช่การพูดจี้ใจดำเหรอ เสี่ยวเอ้อร์อารมณ์เสียเพราะการมาเยี่ยมเยือนร้านอีกครั้งของเขา แต่เธอดันพูดแบบนี้ออกมา 


 


 


เป็นไปตามคาด เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงทันที จากนั้นก็โกรธจนแทบระเบิด แต่ที่ทำให้จางจื่ออันต้องร้องว่าไม่ยุติธรรมคือ เสี่ยวเอ้อร์ไม่ได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที แต่ถามอีกคำด้วยความอดทนว่า “ลูกค้า…ล้อเล่นหรือเปล่าคะ” 


 


 


จางจื่ออันกล้าพนันเลย ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาไม่ได้นำเงินมา คาดว่าคราวนี้เสี่ยวเอ้อร์ต้องยกม้านั่งฟาดเขาไปแล้ว โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย 


 


 


เสียงของเด็กสาวมัธยมต้นไร้เดียงสามาก “ฉันลืมพกเงินมาจริงๆ ค่ะ! ครั้งนี้ติดไว้ก่อนนะคะ ครั้งหน้าฉันจะมาจ่าย” 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ชี้โทรศัพท์มือถือของเธอ “มือถือของเธอจ่ายไม่ได้เหรอ” 


 


 


“มือถือจ่ายไม่ได้ค่ะ” 


 


 


“ร้านเราไม่รับติดเงิน ยืมเพื่อนหรือพ่อแม่ก่อนไม่ได้เหรอ” เสียงของเสี่ยวเอ้อร์เย็นชาอย่างชัดเจน “อีกอย่าง ก่อนเข้ามากินของในร้านก็ต้องแน่ใจว่าตัวเองมีเงินจ่ายใช่ไหม” 


 


 


“ยืมเงิน…” เด็กสาวมัธยมต้นเกาหัวด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม “ฉันไม่รู้จักคนที่จะให้ยืมเงินได้หรอก…” 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ใกล้จะระเบิดเต็มที ทีแรกเห็นเด็กสาวเหมือนเด็กมัธยมต้นเข้ามาในร้านลำพัง เธอกับเถ้าแก่เนี้ยก็ประหลาดใจกันอยู่แล้ว และลังเลว่าต้องทำการค้าขายครั้งนี้ไหม 


 


 


แต่ดูจากการแต่งตัว หน้าตา และนิสัยของของเด็กสาวคนนี้แล้ว พวกเธอก็รู้สึกว่าเธอน่าจะเป็นลูกของครอบครัวร่ำรวย บอกว่าเธอตัดสินคนจากหน้าตาก็ช่างเถอะ ความจริงแล้วพวกเธอไม่ได้สนใจเรื่องเงิน แค่ไม่อยากรู้สึกไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ และไม่อยากถูกเห็นเป็นพวกเห็นแก่เงิน 


 


 


กลัวอะไร สิ่งนั้นก็จะมา ความกังวลของพวกเธอกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว เด็กสาวคนนี้ไม่มีเงินจ่ายจริงๆ 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ยังมีความหวังบางๆ เธอพิจารณารอบตัวเด็กสาว ดูว่าเธอตั้งกล้องแอบถ่ายหรือเปล่า เพราะเด็กวัยรุ่นบางคนชอบถ่ายคลิปแกล้งคนอื่นโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต อย่างเช่น ปฏิกิริยาของเจ้าของร้านตอนกินแล้วชิ่ง 


 


 


เมื่อมองดูแล้วรอบหนึ่ง ความเป็นไปได้แบบนี้ก็ถูกตัดทิ้งไป 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ควักโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยความโมโห 


 


 


“อันซิน เธอจะทำอะไร” เถ้าแก่เนี้ยขมวดคิ้ว 


 


 


“แจ้งตำรวจค่ะ จะได้ไม่ซ้ำรอยเดิม” เสี่ยวเอ้อร์มองตาขวางใส่จางจื่ออันอย่างมีเลศนัย 


 


 


จางจื่ออัน “…” 


 


 


“ช่างเถอะ อย่าแจ้งตำรวจเลย วุ่นวายเกินไปเดี๋ยวทุกคนก็รังเกียจหรอก” เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง แล้วพูดกับเด็กสาวว่า “สาวน้อยเธอไปเถอะ ครั้งนี้ช่างมันแล้วกัน ฉันให้เธอกินฟรี ครั้งหน้าตอนไปกินข้าวที่ร้านอื่นต้องพกเงินด้วยนะ…” 


 


 


ก่อนหน้านี้จางจื่ออันรู้ว่าเถ้าแก่เนี้ยเย่คนนี้ใจกว้าง นิสัยดี พูดแล้วให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางลมฤดูใบไม้ผลิ และมีเพียงนิสัยแบบนี้ถึงจะชงชาดีๆ ออกมาได้ล่ะมั้ง 


 


 


“ฉันไม่ยอม มีเหตุผลอะไรจะต้องช่างมันแบบนี้ ให้ตำรวจเรียกผู้ปกครองของเธอมาจัดการลูกดีกว่า!” เสี่ยวเอ้อร์หัวร้อน พนักงานบริการตัวหลักคือเธอ เธอยกน้ำชามาเสิร์ฟ เธอจึงมีสิทธิ์ที่จะโกรธ 


 


 


ตอนนี้ ถ้าเด็กสาวมัธยมต้นก้มหน้ายอมรับผิดจากใจจริง เสี่ยวเอ้อร์ต้องใจอ่อนอยู่แปดส่วน ใครใช้ให้เธอมีหน้าตาสวยน่ารักแบบนี้กันล่ะ นี่เป็นโลกที่มองกันจากหน้าตา ถึงเป็นผู้หญิงก็ชอบเด็กสาวสวยๆ เหมือนกันนะ 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ไม่สนใจเงินเล็กน้อยแค่นี้ แต่ระงับอารมณ์โกรธไม่ได้ 


 


 


แต่ทว่า เด็กสาวมัธยมต้นกลับไม่ได้รับเจตนาดีของเถ้าแก่เนี้ย เธอพูดอย่างดื้อรั้น “ไม่ต้องให้กินฟรีหรอกค่ะ ติดเงินไว้ก็พอ ครั้งหน้าหนูจะจ่ายเงินให้พวกคุณแน่นอน ทำไมพวกคุณไม่เชื่อล่ะคะ” 


 


 


เห็นได้ชัดว่าจนมุมแล้วยังปากแข็ง เสี่ยวเอ้อร์โกรธมากขึ้นไปอีก เริ่มโทรศัพท์หาสถานีตำรวจที่ตีนเขาแล้วจริงๆ 


 


 


จางจื่ออันก็ไม่แน่ใจว่าเด็กสาวมัธยมต้นมีเจตนากินฟรีหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ควรจะให้ผู้ปกครองมาสั่งสอนเธอสักหน่อยจริงๆ นี่ก็เป็นการดีต่อเธอเอง 


 


 


แต่ถ้าเธอตั้งใจกินฟรี ทำไมไม่ยอมรับเจตนาดีของเถ้าแก่เนี้ยเสียเลยล่ะ 


 


 


เขาจึงค่อนไปทางที่คิดว่าเธอพูดความจริง เธอไม่ได้พกเงินมา โทรศัพท์มือถือจ่ายเงินไม่ได้ และไม่มีคนให้ยืมเงินได้จริงๆ 


 


 


“ช่างเถอะ ผมจะช่วยเธอเช็คบิลเอง” 


 


 


พอเขาเอ่ยปากก็เริ่มเสียใจภายหลัง แต่พูดออกไปแล้ว จะกลืนกลับลงไปอีกคงไม่ได้ 


 


 


“คุณเนี่ยนะ?” 


 


 


เถ้าแก่เนียและเสี่ยวเอ้อร์ต่างก็จ้องมองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลง 


 


 


“คุณรู้จักเธอเหรอ มาด้วยกันเหรอ” เสี่ยวเอ้อร์ถาม ถ้าเขายอมรับ เธอจะต้องโกรธมากกว่าเดิมแน่ เพราะนี่ก็หมายความว่าพวกเขาสองคนร่วมมือกันมาก่อเรื่องที่นี่ 


 


 


“ไม่รู้จัก” เขาส่ายหน้า “เจอกันครั้งแรก” 


 


 


“งั้นทำไมคุณต้องช่วยเธอจ่ายเงินด้วย” เสี่ยวเอ้อร์ไม่ค่อยเชื่อ ถ้าค่าน้ำชาแค่สิบกว่าหยวน คนธรรมดามีน้ำใจออกเงินช่วยเด็กสาวหน้าตาสะสวยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่เด็กสาวมัธยมต้นสั่งคือชุดน้ำชาระดับกลางที่มีราคาแพง แล้วคนขี้เหนียวคนนี้ก็ดันประกาศว่าจะจ่ายเงินแทน นี่มันไม่น่าเชื่อเกินไปแล้ว 


 


 


ความจริงแล้วจางจื่ออันตัดสินใจทำแบบนี้ด้วยองค์ประกอบสามอย่าง หนึ่งคือเพราะเขาค่อนข้างเชื่อเด็กสาวมัธยมคนนี้ สองคือติดหนี้คนก็ควรคืน ครั้งก่อนเขาคิดแทบล้มประดาตายว่าจะกินฟรีอย่างไรและถูกผูกใจเจ็บมาหนึ่งปี ก็ถือว่าคืนเงินครั้งที่แล้วทั้งต้นทั้งดอก ส่วนข้อสาม นั่นก็คือความฮึกเหิมชั่วคราวอันน่าประหลาด 


 


 


“ไม่มีเหตุผลพิเศษอะไร หลักๆ คือเพราะผมรู้สึกว่าที่เธอพูดมาเป็นความจริง มิหนำซ้ำออกมาข้างนอกบ้าน ใครก็มีเวลาที่เงินติดขัดกันหมดนั่นแหละ ช่วยเหลือกันสักครั้งก็พอจะเข้าใจได้ไม่ใช่เหรอ อยู่ในยุทธภพไม่สามารถทำตามใจชอบได้ ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนก็เป็นเรื่องธรรมดา พวกคุณไม่รับการติดเงินของเธอ งั้นก็ถือว่าผมให้เธอยืมเงิน อย่างนี้ได้ใช่ไหม” จางจื่ออันพูดเรียบๆ ในเมื่อทำเท่แล้ว ก็ต้องฝืนทำจนถึงที่สุด 


 


 


เหล่าฉาลูบหนวดพยักหน้าถี่ๆ ด้วยความชมเชย ขณะเดียวกันก็แอบชี้มือของเถ้าแก่เนี้ย 


 


 


เถ้าแก่เนี้ยเพิ่งเริ่มชงชาเถี่ยกวนยินก็ถูกเรื่องนี้ขัดจังหวะอย่างไม่คาดฝัน จึงหยุดชงชาต่อ แค่ตักใบชาเถี่ยกวนยินออกมาจากในกระป๋องชาเท่านั้น 


 


 


ความหมายของเหล่าฉาคือ กาน้ำชาของมันนี้ มันไม่เอาแล้ว นับว่าช่วยเขาประหยัดเงิน 


 


 


จางจื่ออันไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แต่ทำเป็นไม่เห็นสัญญาณลับของเหล่าฉา ออกจากบ้านครั้งนี้เดิมทีก็อยากเลี้ยงน้ำชาเหล่าฉาอยู่แล้ว จะประหยัดเงินอยู่ที่นี่ได้อย่างไร 


 


 


“คุณพูดจริงเหรอ” เสี่ยวเอ้อร์เชื่อครึ่ง สงสัยครึ่ง ก่อนจะพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับเพิ่งเคยเจอเขาครั้งแรก 


 


 


“จริงสิ” เขาเน้นย้ำ “คุณวางมือถือลงเถอะ อย่าแจ้งตำรวจเลย” 


 


 


“นี่ งั้นคุณก็จ่ายเงินให้เธอก่อนแล้วกัน” เสี่ยวเอ้อร์พูดด้วยความระแวดระวัง “ยังมีค่าน้ำชาของตัวเองด้วย คุณจ่ายเงินมาให้หมด ฉันถึงจะเชื่อ” 


 


 


จางจื่ออันรู้ว่าเมื่ออยู่ที่นี่ ความน่าเชื่อถือของตัวเองจะลดลงถึงศูนย์ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาควักโทรศัพท์มือถือให้เธอแสกนคิวอาร์โค้ด ก่อนจะหลับตาไม่กล้ามองตัวเลขชำระเงิน กลัวว่าโรคหัวใจจะกำเริบกะทันหัน 


 


 


เสียงแจ้งเตือนการจ่ายเงินสำเร็จดังขึ้นทันที 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม