Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1645-1651

ตอนที่ 1645 ข่วน

 

เช้าวันต่อมา 


 


 


จางจื่ออันกำลังต้อนรับลูกค้าอยู่ในร้าน ก็เห็นคนหนึ่งเปิดประตูร้านเข้ามา ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาพูดด้วยเสียงหยาบหนัก “เจ้าหนุ่มจาง ฉันมาแล้ว” 


 


 


คนที่มาคือช่างเชื่อมจ้าวที่นัดกันไว้เมื่อวาน ข้างนอกมีรถสามล้อไฟฟ้าจอดอยู่คันหนึ่ง ในกระบะรถบรรจุวัสดุตกแต่งปรับปรุงต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้เอาไว้ 


 


 


จางจื่ออันมอบหน้าที่ต้อนรับลูกค้าให้พวกพนักงานร้าน ส่วนตัวเองเดินไปที่หน้าร้าน 


 


 


“โห! ในร้านคนเยอะมากเลย…เจ้าหนุ่มจาง เธอไม่ต้องออกมาหรอก พวกเราทำงานเองได้ แค่จะมาบอกเธอก่อน” ช่างเชื่อมจ้าวพูด 


 


 


“ได้ยังไงล่ะครับ” จางจื่ออันออกไปข้างนอกร้าน “ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือขาดคนไหมครับ” 


 


 


เขากลับต้องประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นช่างไฟฟ้าอู๋มาด้วย 


 


 


“เสี่ยวจาง ฉันก็มาช่วยด้วย” ช่างไฟฟ้าอู๋โบกมือทักทาย 


 


 


เพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน วันนี้พวกเขาสองคนจึงสวมชุดทำงานเก่าแต่ทนทาน ใส่ถุงมือป้องกัน สวมรองเท้ายางคู่ชาติจีน ท่าทางเหมือนตอนที่ทำงานอยู่ในโรงงานก่อนหน้านี้ 


 


 


จางจื่ออันแอบเกรงใจเล็กน้อย ในเมื่อพวกเขาไม่เอาเงิน เขาก็ตั้งใจจะเลี้ยงข้าวกลางวันพวกเขาที่ร้านอาหารแถวนี้สักมื้อเป็นการแสดงน้ำใจ ถึงอย่างไรก็เป็นหนี้น้ำใจคน 


 


 


เขาให้หวางเฉียนไปขนน้ำแร่ลังหนึ่งมาจากร้านขายของชำข้างๆ วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน พวกเขาสวมเสื้อผ้าหนา จะต้องเหงื่อออกมากแน่นอน 


 


 


พอช่างเชื่อมจ้าวได้ยินว่าเขาจะเลี้ยงข้าวก็ตอบตกลงอย่างเริงร่า “ในบ้านเจ้าหนุ่มจางมีเหล้าไหม? เอาเหล้ามาขวดหนึ่ง ฉันยังไม่เคยกินเหล้ากับเธอเลย เหล้าในร้านอาหารมันแพงเกินไป!” 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ขมวดคิ้ว “ตอนออกจากบ้านซ้อก็พูดแล้ว ให้นายกินเหล้าน้อยๆ หน่อยตอนอยู่ข้างนอก…” 


 


 


“ไอ้หยา ขวดเดียวจะเป็นอะไรไป วันนี้อารมณ์ดี เจ้าหนุ่มจางเลี้ยงข้าวสักครั้ง ก็ต้องเป็นกรณีพิเศษสิ!” ช่างเชื่อมจ้าวพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เหล่าอู๋ นายกลับไปก็อย่านินทาฉันล่ะ!” 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ส่ายหน้า จนปัญญากับเขาแล้ว 


 


 


จางจื่ออันนึกขึ้นได้ว่าในตู้เหล้าน่าจะยังมีเหล้าขาวที่พ่อเหลือทิ้งเอาไว้ ถึงอย่างไรเขาเองก็ไม่ดื่มเหล้า รอพวกเขาทำงานเสร็จแล้วค่อยให้พวกเขาเอากลับไปสองขวด นี่ก็เป็นการตอบแทนน้ำใจบ้างแล้ว 


 


 


เขากลับไปควานหาบนชั้นสองของร้านสักพัก แล้วเลือกเหล้าขาวสองขวดออกมาจากตู้เหล้าตามอำเภอใจ ไม่น่าจะใช่เหล้าเกรดต่ำเกินไป เพราะตอนนั้นพ่อชอบดื่มแต่เหล้าราคาถูก อยากเก็บเหล้าดีๆ ไว้ดื่มคราวหลัง แต่ว่า… 


 


 


เขาถอนหายใจ ก่อนจะหิ้วเหล้าลงมาข้างล่าง 


 


 


หวางเฉียนหอบน้ำแร่ลังหนึ่งกลับมาแล้ว 


 


 


พอเห็นเหล้าที่จางจื่ออันถืออยู่ ดวงตาของช่างเชื่อมจ้าวก็จับจ้องบนกล่องเหล้าไม่วางตา แล้วจุ๊ปากชมว่า “ใช้ได้นี่ ไอ้น้องจาง นี่เป็นเหล้าดีเลยนะ! เห็นระดับของเหล้าขวดนี้แล้ว ฉันก็ไม่คิดมากเรื่องที่เมื่อวานเธอกลับไปก่อนแล้วล่ะ” 


 


 


“คุณลุงจ้าว คุณเอาเหล้ากลับไปกินเถอะครับ อย่ากินตอนกลางวันเลย คุณกินเหล้าแล้วยังต้องขี่รถไฟฟ้า จะเกิดอันตรายได้ง่ายนะครับ” จางจื่ออันแนะนำ “ผมจะเอาเหล้ากลับไปวางในร้านก่อน คุณเอาไปตอนขากลับก็แล้วกันครับ ส่วนคุณลุงอู๋…” 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวยินดีทีเดียว เพราะเหล้าสองขวดนี้เป็นเหล้าชั้นดี เขาก็ตัดใจดื่มไม่ลงเล็กน้อย 


 


 


“ไม่ต้องให้ฉันหรอก ฉันเลิกเหล้าไปนานแล้ว” ช่างไฟฟ้าอู๋โบกมือพัลวัน 


 


 


“โอเคครับ” 


 


 


จางจื่ออันกลับไปวางเหล้าในร้าน แล้วหมุนตัวเดินออกมา ก็เห็นช่างเชื่อมจ้าวกับช่างไฟฟ้าอู๋กำลังขนวัสดุตกแต่งปรับปรุงออกมาจากกระบะของรถสามล้อไฟฟ้า รวมถึงท่อนไม้สำหรับทำหน้าต่างและวัสดุที่ใช้ทาป้องกันน้ำ รวมถึงของจิปาถะอื่นๆ 


 


 


“ผมช่วยขนนะครับ” จางจื่ออันพูด 


 


 


“ไม่ต้องหรอก เจ้าหนุ่มจางไปขนบันไดมาสักอันก็พอแล้ว…ซี๊ด…” ช่างเชื่อมจ้าวเพิ่งหอบท่อนไม้ขึ้นมามัดหนึ่ง ก่อนจะหันมาพูดกับจางจื่ออัน แต่อยู่ๆ ก็แบะปาก สูดลมหายใจเย็นๆ เสียงดังซี๊ด 


 


 


“คุณลุงจ้าวเป็นอะไรไปครับ” 


 


 


จางจื่ออันถามด้วยความเป็นห่วง 


 


 


“ไม่เป็นไร มือโดนข่วนเป็นแผลน่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่” มือของช่างเชื่อมจ้าวหิ้วท่อนไม้ด้วยท่าอุ้ม แล้วพูดราวกับจัดการทุกอย่างได้ “ไอ้หนุ่มจางไปหาบันไดเถอะ” 


 


 


“เอ่อ…ถ้าไม่สะดวก ไว้ค่อยมาวันหลังก็ได้นะครับ ผมไม่ได้รีบร้อน” จางจื่ออันเสนอ 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวโบกมือด้วยความรำคาญ “ไอ้หยา! ฉันไม่ใช่เด็กวัยรุ่นอ่อนแอเหมือนพวกเธอนะ ปวดหัวตัวร้อนก็ขอหยุดงาน ตะโกนว่าเจ็บก็ร้องโยเยอยากหาแม่…คนแก่อย่างพวกฉันเนี่ย อย่าว่าแต่มือโดนข่วนเป็นรูเลย ตอนนั้นก้นฉันเป็นฝี ต้องตัดทิ้งที่โรงพยาบาล เพราะได้ยินว่ามีสินค้าล็อตหนึ่งต้องเร่งทำให้เสร็จ ฉันนอนคว่ำบนเตียงผู้ป่วยสามวันก็ทำขั้นตอนขอออกจากโรงพยาบาลกลับมาทำงานแล้ว ทำสินค้าล็อตนั้นให้เสร็จตลอดทั้งคืน พวกเพื่อนกรรมกรถึงจะรู้ว่าตรงก้นกางเกงเปื้อนเลือด แต่ไอ้เลวพวกนั้นกลับถามฉันว่าใช่ประจำเดือนหรือเปล่า…” 


 


 


เรื่องนี้เขาไม่ได้โม้จริงๆ ช่างไฟฟ้าอู๋ก็เป็นพยานยืนยันได้ว่ามีเรื่องแบบนี้จริงๆ สำหรับคนงานเก่าในโรงงานอย่างพวกเขา มือโดนข่วนเป็นรูเล็กนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่นับว่าเป็นการบาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ 


 


 


จางจื่ออันฟังแล้วต้องยิ้มอย่างจนใจ นี่ก็นับเป็นตราประทับอันมีเอกลักษณ์ของยุคสมัย ชื่อเสียงเกียรติยศของพวกเขาในยุคนั้นสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ยากที่วัยรุ่นยุคนี้จะเข้าใจได้ 


 


 


คุณลุงสองคนนี้สวมถุงมือป้องกัน จางจื่ออันมองไม่เห็นอาการของแผล ในเมื่อช่างเชื่อมจ้าวบอกว่าไม่เป็นไร แค่รอยโดนข่วนนิดหน่อย งั้นก็ได้แต่ปล่อยเขาไป 


 


 


สมัยที่พ่อแม่ของจางจื่ออันบริหารร้านขายสัตว์เลี้ยง รอยโดนแมวข่วนบนมือก็มีไม่เคยขาด บางครั้งลึกจนเห็นกระดูก แต่ยังทำงานตามปกติไม่ใช่เหรอ? เหมือนอย่างที่ช่างเชื่อมจ้าวพูด วัยรุ่นเดี๋ยวนี้อ่อนแอเกินไปจริงๆ 


 


 


มีลูกค้าทยอยมาที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแฟนคลับภาพยนตร์ของเฟยหม่าซือด้วย ตอนนี้ในร้านขาดคน จางจื่ออันจึงบอกกับคุณลุงทั้งสองคน กำชับว่าต้องการอะไรก็บอกได้เลยอย่าเกรงใจ จากนั้นก็กลับไปช่วยในร้าน 


 


 


เวลาทั้งเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทีแรกจางจื่ออันเจียดเวลาว่างไปดูข้างนอกอยู่สองครั้ง พอเห็นว่าพวกเขาสองคนทำงานร่วมมือกันอย่างดี ทุกอย่างราบรื่น ทั้งวัดขนาดเลื่อยท่อนไม้ ทั้งทาสีกันน้ำ พวกเขาก็ดำเนินงานไปได้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องให้เขาช่วยเพิ่มเติมเลยจริงๆ หากเขาเข้าไปยุ่งอาจจะยิ่งเป็นภาระ บวกกับในร้านก็ยุ่งมาก หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ออกมาอีก 


 


 


ตอนกลางวัน ก็เป็นเวลากินข้าวกลางวันแล้ว ลูกค้าในร้านและแฟนภาพยนตร์ค่อยๆ ซาลงในที่สุด จางจื่ออันกับพวกพนักงานร้านก็ได้พักกันเสียที 


 


 


“เอ่อ…คุณลุงสองคนนั้นทำงานมาครึ่งวันแล้ว เดี๋ยวฉันจะออกไปเลี้ยงข้าวพวกเขา พวกนายสั่งข้าวกล่องของตัวเองมากินนะ” เขาพูดกับพวกพนักงานร้าน 


 


 


หวางเฉียนกับหลี่คุนแสดงออกว่าอยากไปขอกินด้วยเหมือนกัน แต่เขากลับปฏิเสธอย่างไม่ไยดี 


 


 


ลูกค้าสองสามคนสุดท้ายออกไปเป็นกลุ่มก้อน จางจื่ออันเพิ่งบิดขี้เกียจ กำลังคิดว่าร้านอาหารไหนแถวนี้เหมาะกับการเลี้ยงข้าว ตอนนี้เขาก็ได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากหน้าประตูร้าน ยังได้ยินเสียงร้องตกใจของช่างไฟฟ้าอู๋ด้วย “เหล่าจ้าว! เหล่าจ้าว! นายเป็นอะไรไป เหล่าจ้าว!” 


 


 


จางจื่ออันหัวใจบีบรัดอย่างแรง ก่อนจะสบตากับพวกพนักงานร้านครั้งหนึ่ง แล้วพุ่งไปข้างนอกร้านอย่างรวดเร็ว 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวที่ก่อนหน้านี้ยังแข็งแรงเหมือนมังกรกับเสือ ตอนนี้กลับนั่งอยู่บนพื้นพร้อมหน้าซีดเผือดและเหงื่อออกเต็มหน้า หายใจหยาบหนักอย่างแรง ถ้าไม่ได้ช่างไฟฟ้าอู๋ประคองไว้ ก็อาจจะนอนทรุดลงกับพื้นไปแล้ว  

 

 


ตอนที่ 1646 ทรุด

 

ตอนกลางวัน หลายคนกลับบ้านไปกินข้าวแล้ว คนเดินถนนจึงบางตาลงไปมาก นอกจากลูกค้าสองสามคนสุดท้ายแล้ว ก็มีแค่คนเดินถนนประปรายที่หยุดมองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่พอรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเขาก็จากไป 


 


 


ในบรรดาลูกค้ามีคนที่รู้จักคุ้นเคยกับจางจื่ออันอยู่ พวกเขาไม่แน่ใจว่าจางจื่ออันมีความสัมพันธ์อะไรกับช่างเชื่อมจ้าว คิดว่าช่างเชื่อมจ้าวเป็นคนงานที่จางจื่ออันจ้างมา จึงเตือนเขาด้วยเจตนาดี “เจ้าของร้านจาง นี่คงไม่ได้ตั้งใจหลอกลวงใช่ไหมคะ?” 


 


 


ผู้คนสับสนมาก แต่พวกเขาก็เตือนด้วยเจตนาดี 


 


 


อันดับแรก ช่างเชื่อมจ้าวไม่ได้โกหกหลอกลวง อาจจะมีข้อได้เปรียบเล็กน้อยทุกคนก็รู้ดี แต่เขาไม่เหมือนคนที่จะทำเรื่องแบบนั้น ถ้าฝีมือการแสดงของเขาทำได้ถึงขั้นนั้น ก็คงใช้การหลอกลวงให้เป็นประโยชน์ไปแล้ว 


 


 


เขาหน้าซีดเผือดและเหงื่อไหลออกไม่หยุด ไม่ใช่การแสดงแน่นอน 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ก็ร้อนใจมาก ร้อนใจจนเหงื่อแตกเต็มหน้าแล้ว 


 


 


จางจื่ออันเดินไปนั่งยองๆ ข้างช่างเชื่อมจ้าว แล้วถามว่า “คุณลุงจ้าว เป็นยังไงบ้างครับ ต้องส่งไปโรงพยาบาลไหม หรือให้ผมช่วยเรียกรถพยาบาลให้ไหมครับ” 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวกัดฟันแน่น ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเปลืองแรง 


 


 


ที่จางจื่ออันกังวลที่สุดคือโรคหัวใจของเขากำเริบ แต่พอตรวจสอบแล้ว พบว่าเขาไม่ได้ใช้มือกุมหน้าอกหรือตรงหัวใจ อย่างนั้นน่าจะไม่ใช่อาการป่วยที่ร้ายแรงมาก 


 


 


ผ่านไปสักพักหนึ่ง ความทรมานเหมือนจะคลายลงบ้างแล้ว ช่างเชื่อมจ้าวจึงพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ไม่เป็นไร…ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องเรียกรถพยาบาล…ฉันอาจจะเป็นไข้แดด ให้ฉันนั่งพักสักหน่อยก็หายแล้ว…” 


 


 


ไข้แดดเหรอ? 


 


 


เมื่อวานมีลม วันนี้ไม่มีลม อากาศก็อบอ้าวเล็กน้อย บวกกับช่างเชื่อมจ้าวและช่างเชื่อมอู๋สวมชุดทำงานผ้าใบแขนยาวขายาว ทำงานไปมาขึ้นลงบนหลังคากับพื้น เลื่อยไม้ ขนวัสดุต่างๆ ถ้าบอกว่าเป็นไข้แดดก็มีความเป็นไปได้ 


 


 


ชุดทำงานด้านหลังของคุณลุงสองคนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว หลังของช่างเชื่อมจ้าวแทบจะชุ่มเหงื่อทั้งแผ่น แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเหงื่อจากการทำงานสักกี่ส่วน และมีเหงือที่ออกมาจากอาการทรุดสักกี่ส่วน 


 


 


ถึงเป็นช่วงปลายฤดูร้อนแล้ว แต่เป็นไข้แดดก็เป็นเรื่องธรรมดา จางจื่ออันจึงให้หวางเฉียนไปซื้อยาหอมมาจากร้านขายยาแถวนี้สักหน่อย 


 


 


นอกจากอาจจะเป็นไข้แดดแล้ว สถานการณ์แบบนี้ยังเหมือนน้ำตาลในเลือดต่ำกะทันหัน จางจื่ออันเห็นช่างเชื่อมจ้าวอาการคงที่แล้ว จึงแอบกวักมือเรียกช่างไฟฟ้าอู๋มาข้างๆ 


 


 


“คุณลุงอู๋ ช่างเชื่อมจ้าวมีโรคเบาหวานหรือเปล่าครับ” จางจื่ออันถามเสียงเบา 


 


 


“ไม่มีนะ” 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ส่ายหน้าอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม 


 


 


พวกเขาสองคนเป็นเพื่อนเก่า เป็นเพื่อนร่วมงานเก่า ครอบครัวของทั้งสองบ้านรู้จักคุ้นเคยกันดี โรคที่ไม่นับว่ายากจะจัดการแบบโรคเบาหวาน พอเป็นขึ้นมาแล้วก็เก็บเป็นความลับไม่ได้ จางจื่ออันเชื่อช่างไฟฟ้าอู๋ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ช่างเชื่อมจ้าวเป็นโรคเบาหวานแล้วไม่รู้ตัว 


 


 


“งั้นช่วงนี้เขาตรวจสุขภาพบ้างไหมครับ” จางจื่ออันถามอีก 


 


 


“ช่วงเดือนมีนาฯ เคยเข้าตรวจสุขภาพของพนักงานปลดเกษียณ” ช่างไฟฟ้าอู๋ตอบ 


 


 


ช่วงเดือนมีนาคม นี่ก็ครึ่งปีแล้วนะ 


 


 


“ผลตรวจสุขภาพเป็นยังไงครับ ทุกอย่างปกติไหม” จางจื่ออันถาม 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ยิ้มเจื่อน “พวกเราเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว มีร่างกายใครไม่ผิดปกติบ้างล่ะ? สามสูง* อะไรนั่นไม่ต้องพูดแล้ว แทบจะมีกันทุกคน ขอแค่ไม่ตรวจเจอมะเร็ง ความจริงแล้วโรคเล็กน้อยแบบนี้ไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องใหญ่หรอก ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่ม ถึงแม้ต้องงดอาหารนั่นนี่ แล้วจะอยู่ได้อีกกี่ปี” 


 


 


คำพูดนี้ก็ถูกต้อง มีคนแก่ปลดเกษียณอายุหกสิบถึงเจ็ดสิบปีแข็งแรงทุกอย่างสักกี่คนเชียว? เชื่อว่าในหนึ่งร้อยคนคงไม่มีสักคน 


 


 


อย่าว่าแต่วัยกลางคนเลย สมัยนี้ถึงเป็นวัยรุ่นอายุยี่สิบสามสิบปี จะมีสักกี่คนที่กล้าพูดว่าตัวเองแข็งแรงทุกอย่าง? 


 


 


“งั้นคุณคิดว่าช่างเชื่อมจ้าวเป็นไข้แดดเหรอครับ?” จางจื่ออันขอความเห็นจากเขา 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “จริงๆ เหล่าจ้าวแข็งแรงมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ไม่เคยได้ยินว่าเขาเป็นไข้แดดนะ แต่ถึงยังไงก็หลายปีมาแล้ว เทียบกับตอนเป็นหนุ่มไม่ได้ เธอว่าไหมล่ะ? ฉันเองก็เคยเป็นไข้แดด คล้ายกับอาการตอนนี้เลย โลกหมุน ขาก็อ่อนจนทรุดลงกับพื้น” 


 


 


จางจื่ออันครุ่นคิด ไม่ได้พูดต่อ 


 


 


ตอนนี้เอง หวางเฉียนก็ซื้อยาหอมจากร้านขายยาวิ่งกลับมาแล้ว 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ขอบคุณไม่หยุด แล้วเดินกลับไปประคองช่างเชื่อมจ้าวให้ดื่มยา 


 


 


จางจื่ออันให้หลู่อี๋อวิ๋นชงน้ำหวานแก้วหนึ่ง แล้วให้ช่างเชื่อมจ้าวดื่มเข้าไปด้วยกัน หนึ่งคือเพื่อล้างรสชาติขมของยาหอม สองคือเพื่อหยุดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวพักผ่อนอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง อาการเหมือนจะทุเลาลงบ้างแล้ว จึงพยายามยืนขึ้นทำงานต่อ 


 


 


“ฉันไม่เป็นไร ฮ่าๆ ยานี่ใช้ได้ทีเดียว…รีบทำงานให้เสร็จ พวกเรายังต้องไปกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารด้วยนะ…” ช่างเชื่อมจ้าวเพิ่งยืนขึ้นมาก็โคลงเคลงเล็กน้อย ดีที่ช่างไฟฟ้าอู๋อยู่ข้างๆ จึงประคองเขาไว้ได้ทัน 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋บ่นว่า “เหล่าจ้าว! ทำงานไว้อีกวันสองวันก็ได้ วันนี้กลับไปพักก่อนเถอะ ให้ซ้อทำข้าวต้มให้กินสักหม้อ แล้วก็อย่าไปกินอาหารน้ำมันเยิ้มพวกนั้นให้มาก เอาเหล้าสองขวดไปนายก็ไม่เสียเปรียบแล้ว!” 


 


 


จางจื่ออันให้ทำงานต่อวันนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ใครจะรับผิดชอบไหวล่ะ? 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวกลับอวดเบ่งสุดแรง บอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรแล้ว อาจจะเป็นเพราะหิว ไม่ไหวจริงๆ ก็กินข้าวก่อนแล้วค่อยไปทำงานต่อให้เสร็จ 


 


 


เฟยหม่าซือก็เบียดมาดูความวุ่นวายหน้าร้าน มันจมูกไว ตอนนี้ได้กลิ่นเหม็นส่งมาจางๆ จึงเดินเข้าไปใกล้ตัวช่างเชื่อมจ้าว 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวตัวไม่สูง ตอนปล่อยแขนลงมา ฝ่ามือก็เกือบจะเท่าระดับความสูงของหัวเฟยหม่าซือ 


 


 


เฟยหม่าซือดมอย่างละเอียด ในที่สุดก็รู้ว่าต้นกำเนิดกลิ่นมาจากฝ่ามือข้างหนึ่งของช่างเชื่อมจ้าวจริงๆ 


 


 


มันเรียกจางจื่ออันไปด้านหนึ่ง ก่อนจะพูดสิ่งที่ตัวเองค้นพบเสียงเบา 


 


 


“อะไรนะ มีกลิ่นเน่าเหรอ” จางจื่ออันได้ยินแล้วก็ตะลึง “นายจะบอกว่ามือของช่างเชื่อมจ้าวกำลังเน่าเหรอ” 


 


 


“ไม่ใช่ ความหมายของฉันคือ บนมือของเขามีกลิ่นเน่าโชยมาจริงๆ แต่กลิ่นจางมาก น่าจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่กำลังเริ่มเน่า” 


 


 


“งั้นก็ร้ายแรงมากสิ!” 


 


 


จางจื่ออันฟังแล้วเย็นสันหลังวาบ แบบนี้ก็อธิบายอาการป่วยอย่างกะทันหันของช่างเชื่อมจ้าวได้แล้ว ฝ่ามือเริ่มเน่าก็หมายความว่าเส้นเลือดขาวกำลังพยายามต่อต้านแบคทีเรียและไวรัส อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบ 


 


 


เขาไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว สาวเท้าไปข้างๆ ช่างเชื่อมจ้าว คว้าฝ่ามือสองข้างของช่างเชื่อมจ้าวขึ้นมาถามว่า “คุณจ้าว มือข้างไหนของคุณได้รับบาดเจ็บ ใช่ที่โดนข่วนเมื่อวานหรือเปล่า” 


 


 


ไม่รอให้ช่างเชื่อมจ้าวตอบ จางจื่ออันก็ดึงถุงมือป้องกันของเขาออกทั้งสองข้างแล้ว จึงเห็นพลาสเตอร์ยาบนฝ่ามือขวาของเขาชิ้นหนึ่ง 


 


 


จางจื่ออันดึงขอบพลาสเตอร์ออกเล็กน้อย ก่อนดึงออกแรงๆ ดังพรวด ช่างเชื่อมจ้าวเจ็บจนต้องเบะปาก เจ็บจนเหงื่อออกเต็มไปหมด 


 


 


“เบาหน่อย! เบาหน่อย! ไอ้หนุ่มจาง เธอทำอะไรของเธอ?” 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวอยากดึงมือกลับมา แต่ข้อมือถูกจางจื่ออันจับเอาไว้แน่น 


 


 


จางจื่ออันก็มองเห็นแผลปรากฏสีดำรางๆ แล้ว 


 


 


 


 


 


 


 


 


*สามสูง ประกอบไปด้วย ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง และคลอเรสเตอรอลสูง  

 

 


ตอนที่ 1647 เชื้อโรคที่ดุร้าย

 

แผลของช่างเชื่อมจ้าวอยู่ตรงริมฝ่ามือ เป็นตำแหน่งที่ตรงกับง่ามนิ้ว เป็นแผลเล็กๆ เหมือนถูกของแหลมๆ อะไรตัดเล็กน้อย อย่างมากก็แค่เลือดไหลซิบๆ ความยาวของแผลก็แค่สองสามเซนติเมตร ไม่นับว่าลึกมาก 


 


 


นอกจากแผลหลักนี้แล้ว บนนิ้วมือยังมีแผลเล็กๆ ที่ดูแล้วไม่น่าเป็นอะไรอีกสองสามรอย 


 


 


ในสถานการณ์ปกติคงไม่ต้องสนใจแผลแบบนี้มากก็ได้ คนส่วนใหญ่ไม่ไปโรงพยาบาลเพราะแผลเพียงเล็กน้อยแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่กลัวอะไรอย่างช่างเชื่อมจ้าวเลย 


 


 


แต่ก็เพราะแผลเล็กๆ แบบนี้ ผิวหนังทั้งสองด้านเป็นเนื้อสีขาว แต่เนื้อใต้หนังเกิดสีดำรางๆ ไม่มีวี่แววที่แผลจะสมานกันเลย 


 


 


“นี่คือแผลโดนข่วนเมื่อวานเหรอครับ โดนข่วนได้ยังไง ถูกอะไรข่วนครับ” จางจื่ออันถามไม่หยุด 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง แต่ช่างไฟฟ้าอู๋กลับดูออกว่าเขามีสีหน้าเคร่งเครียด เหมือนสีหน้าตอนที่ช่างเชื่อมจ้าวเกิดเรื่องเพราะหามรุ่งหามค่ำทุกครั้งก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงตอบคำถามแทนเพื่อนเก่าสองสามคำถาม 


 


 


กิจกรรมตกปลาทะเลบ่ายเมื่อวาน จางจื่ออันกลับไปก่อน พวกเพื่อนกรรมกรยากที่จะได้รวมกลุ่มกันสักครั้ง จะแยกย้ายกันง่ายๆ ได้อย่างไร ต้องสนุกกันอย่างเต็มที่ถึงจะแยกย้ายไป 


 


 


เรื่องฝีมือและระดับชั้นยังไม่ต้องพูด อุปกรณ์ของกลุ่มกรรมกรตกปลาทะเล โดยเฉพาะอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยนั้นครบครันทีเดียว ช่างเชื่อมจ้าวกับช่างไฟฟ้าอู๋แตรียมมาแค่คันเบ็ดตกปลา กลุ่มตกปลาทะเลก็หยิบอุปกรณ์มาแบ่งให้พวกเขาใช้ นอกจากเหยื่อตกปลา กล่องเก็บอุณหภูมิ และอุปกรณ์ตกปลาอื่นๆ แล้ว ยังรวมถึงเสื้อชูชีพ ถุงมือกันบาด และอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอื่นๆ 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวทำงานหนักมาหลายสิบปี ฝ่ามือค่อนข้างด้าน จึงใส่ถุงมือกันบาดที่กลุ่มตกปลาทะเลเตรียมไว้ไม่ได้ และเขาใส่ถุงมือแล้วก็รู้สึกร้อน จึงไม่อยากใส่ คนอื่นก็ไม่ได้บังคับ ให้เขาสวมเสื้อชูชีพอย่างเดียวก็พอแล้ว 


 


 


เพราะต้องเกี่ยวเหยื่อกับเบ็ดตกปลา ถุงมือของกลุ่มตกปลาทะเลจึงเป็นแบบโชว์นิ้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่สะดวก ความจริงแล้วถุงมือป้องกันแบบนี้ป้องกันได้เพียงจำกัดมาก ส่วนใหญ่คือป้องกันฝ่ามือถูกสายเอ็นตกปลาบาดเข้า 


 


 


ขณะที่กำลังตกปลาอยู่ ในที่สุดทุ่นลอยสำหรับตกปลาของช่างเชื่อมจ้าวก็มีปลามาติดเบ็ดแล้ว ทำให้เขาที่ไม่ได้อ้าปากพูดมาตั้งนานดีอกดีใจ พอเบ็ดตกปลาขึ้นจากผิวน้ำทะเล เนื่องจากฝีมือยังไม่ช่ำชองและปลาดิ้นอยู่ตลอด ปลาแกว่งไปทางซ้ายทีขวาทีกลางอากาศ ทำอย่างไรก็ใส่เข้าไปในถังน้ำไม่ได้สักที ช่างเชื่อมจ้าวใจร้อน ใช้มือประคองตัวปลาเล็กน้อย คราวนี้ปลาก็ลงไปอยู่ในถังได้สักที แต่ริมฝ่ามือของเขาถูกปลาที่ดิ้นข่วนเข้าจนเป็นรอย มีเลือดไหลออกมาด้วย 


 


 


ตอนนั้นช่างไฟฟ้าอู๋เห็นภาพนี้ เนื่องจากเคยเห็นช่างเชื่อมจ้าวมีอาการไม่ดีตอนทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่หลายครั้ง เขาจึงรู้สึกเคร่งเครียดมาก เอาแต่ถามว่าปลาชนิดนี้มีพิษหรือเปล่า 


 


 


พวกเพื่อนกรรมกรมองในถังแล้ว ก่อนจะยืนยันว่าปลาชนิดนี้พบเห็นได้ทั่วไป มันไม่มีพิษแน่นอน 


 


 


ไม่ใช่แค่เพื่อนกรรมกรคนเดียวที่ยืนยันคำพูดนี้ ต่างก็แนะนำให้ช่างไฟฟ้าอย่าเป็นกังวลเกินไปนัก 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวยิ่งไม่ใส่ใจ เขาใช้น้ำทะเลล้างแผล จากนั้นก็ขอพลาสเตอร์จากพวกเพื่อนกรรมกรมาสักแผ่น หลังจากติดพลาสเตอร์แล้วก็สนุกกันต่อ 


 


 


จนกระทั่งถึงตอนเย็น ทุกคนกลับด้วยท่าทางสนุกสนาน และหาแผงลอยปิ้งย่างสักร้านเพื่อกินปิ้งย่างและดื่มเบียร์กันเป็นกลุ่ม ช่วงนั้นช่างเชื่อมจ้าวไม่ได้เป็นอะไรเลย ช่างไฟฟ้าอู๋จึงวางใจ 


 


 


ตอนเจอกับช่างเชื่อมจ้าวและมาร้านขายสัตว์เลี้ยงกับช่างเชื่อมจ้าวในเช้าวันนี้ ช่างไฟฟ้าอู๋ก็ลืมเรื่องเล็กน้อยนี้ไปเสียสนิท 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋เล่าเรื่องเมื่อวานอย่างละเอียดและเป็นลำดับขั้นตอน แต่เขาไม่คิดว่าแผลเล็กน้อยแค่นี้จะส่งผลกระทบอะไร ถ้าแผลนี้เป็นแผลที่โดนอุปกรณ์เหล็กขึ้นสนิมข่วน หรือแผลลึกและสกปรกมาก เขาต้องบังคับให้ช่างเชื่อมจ้าวไปฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักแน่ แต่สถานการณ์กลับไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น 


 


 


“เสี่ยวจาง เธอคิดว่าแผลนี้มีปัญหาเหรอ” ช่างไฟฟ้าอู๋ถามด้วยความกระวนกระวาย 


 


 


เฟยหม่าซือเข้าใกล้เพื่อดมแผล จากนั้นพยักหน้าให้จางจื่ออันเงียบๆ ความหมายคือกลิ่นเน่าโชยออกมาจากตรงนี้ 


 


 


จางจื่ออันพูดอย่างปิดบังไว้เล็กน้อย “ตอนนี้ยังพูดยากครับ” 


 


 


เนื่องจากเมื่อครู่เขาดึงพลาสเตอร์แรงเกินไป แผลที่ไม่สมานกันก็เริ่มมีเลือดซึมออกมาแล้ว 


 


 


อยู่ข้างนอกตลอดคงไม่ค่อยดี หนึ่งคือร้อน สองคือดึงดูดสายตาคนเดินถนน 


 


 


เขาจึงให้พวกพนักงานร้านประคองคุณลุงสองคนเข้าไปในร้าน หาเก้าอี้ให้พวกเขานั่งลงสักพัก ส่วนตัวเองไปหยิบเข็มเจาะเลือดข้างบน 


 


 


เขาซื้อกล้องจุลทรรศน์มาเพื่อตรวจกรุ๊ปเลือดให้ภูตสัตว์เลี้ยงแมว ขณะเดียวกันก็แถมเข็มเจาะเลือดมาให้ด้วย ด้วยการชี้แนะของเขาในสองสามวันนี้ เสี่ยวฉินไช่จึงเสพติดการตรวจเลือดให้แมวไปแล้ว เธอได้รับความรู้เยอะมาก เขาก็ตรวจกรุ๊ปเลือดของพวกภูตสัตว์เลี้ยงจนรู้ชัดเจนแล้วด้วย 


 


 


หลังจากนั้นกล้องจุลทรรศน์ก็ไม่ได้ถูกทิ้งให้ฝุ่นเกาะ ถึงอย่างไรเพิ่งได้ของเล่นใหม่มาก็น่าสนใจมาก จึงใช้มันสังเกตของหลายสิ่ง นึกถึงอะไรก็สังเกตสิ่งนั้น เนื้อไก่ ต้นหอม หยดน้ำประปา อาหารแมว อึนก…กลายเป็นเป้าหมายสังเกตการณ์ของเขากับพวกภูตสัตว์เลี้ยงทั้งหมด เล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกภูตสัตว์เลี้ยงยังประหลาดใจกับภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจุดเล็กจุดน้อยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ายังมีโลกที่ไม่สามารถจินตนาการได้อีกใบหนึ่ง 


 


 


จางจื่ออันใช้เข็มเจาะเลือดดูดเลือดที่ซึมออกมาจากแผลของช่างเชื่อมจ้าวหนึ่งหยด จากนั้นสังเกตผ่านกล้องจุลทรรศน์ 


 


 


เม็ดเลือดแดงในกล้องจุลทรรศน์ขยายหลายร้อยเท่าจนเห็นเหมือนขนมปังหลายก้อน แต่หากเม็ดเลือดขาวไม่ได้ย้อมสีก็จะแยกยากยิ่งกว่า 


 


 


เขาปรับการขยายขึ้นหลายเท่า อยากดูว่าเม็ดเลือดขาวที่กำลังต่อสู้กับศัตรูเป็นอย่างไร 


 


 


เชื้อโรค? ไวรัส? หรือแมลงกาฝาก? 


 


 


จากการขยายหลายเท่า เขามองเห็นว่าในเลือดเหมือนจะมีจุดดำเล็กๆ จำนวนหนึ่งขยับอยู่ 


 


 


เมื่อปรับอีกเพียงเล็กน้อย ในที่สุดร่างจริงของจุดสีดำขนาดเล็กก็ชัดเจนขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


กล้องจุลทรรศน์ที่เขาซื้อมาเทียบไม่ได้กับกล้องจุลทรรศน์ในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ แค่พอเห็นโครงสร้างของจุดสีดำขนาดเล็กอยู่รางๆ เท่านั้น 


 


 


จุดสีดำขนาดเล็กบิดเบี้ยวเป็นรูปโค้ง เหมือนยังมองเห็นขนของแบคทีเรียขนาดเล็กจิ๋วกำลังสั่นไหวอยู่ 


 


 


จางจื่ออันหนักใจ รวมลักษณะพิเศษสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน ก็ยืนยันแล้วว่าพวกมันคือแบคทีเรียวิบริโอ 


 


 


ถ้าแบคทีเรียวิบริโอพวกนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ช่างเชื่อมจ้าวไม่สบาย ถ้าเมื่อวานพวกมันเข้าไปในร่างกายของช่างเชื่อมจ้าวผ่านแผลของเขา… 


 


 


สมมติว่าสองข้อสงสัยข้างบนได้รับการยืนยัน อย่างนั้นตั้งแต่เบคทีเรียชนิดนี้เข้าไปในตัวของช่างเชื่อมจ้าวจนถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลามากกว่าสิบสองชั่วโมงแล้ว ภายในเวลาสั้นๆ ก็ทำให้เขาเกิดอาการทรุด ได้เห็นความรวดเร็วและรุนแรงในการขยายพันธุ์ของแบคทีเรียชนิดนี้ เม็ดเลือดขาวในร่างกายของช่างเชื่อมจ้าวแทบจะจัดการพวกมันไม่ได้แล้ว จึงควบคุมพวกมันไว้ไม่ได้ 


 


 


พอเชื่อมต่อสิ่งที่เห็นเข้าด้วยกัน ทำให้เขานึกถึงแบคทีเรียที่มีอยู่ทั่วไปในทะเลแต่น่ากลัวอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง 


 


 


เขาตกใจจนมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา เขาลุกพรวดแล้วเดินมาข้างหน้าช่างเชื่อมจ้าว ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณจ้าว คุณต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ ไปตอนนี้เลย ไม่งั้นก็จะเรียกรถพยาบาลมารับคุณไป!” 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวยังคงฝืนต่อ “ฉันไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว เมื่อกี้แค่เป็นไข้แดด…” 


 


 


จางจื่ออันขัดจังหวะการพูดเรื่อยไม่หยุดปากของเขา แล้วกดไหล่ของเขาพูดว่า “คุณจ้าว ผมบอกกับคุณตรงๆ เลย คุณอาจจะติดแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสจากแผล ถ้าคุณยังไม่รีบไปโรงพยาบาล ถ้าไม่สาหัสก็จะเสียมือข้างนี้ไป แต่ถ้าสาหัสก็อาจจะตายได้นะครับ!”  

 

 


ตอนที่ 1648 กลุ่มคนความเสี่ยงสูง

 

เชื้อแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสฟังดูแล้วไม่ค่อยคุ้นหูนัก พนักงานร้านที่อยู่ด้วยและลูกค้าสองสามคนที่เข้ามาดูความคึกคักไม่รู้จักเชื้อแบคทีเรียนี้จริงๆ 


 


 


ถ้าจางจื่ออันบอกว่าสัตว์อะไรมีพิษ ถึงแม้บอกว่าปลาตัวที่ข่วนฝ่ามือของช่างเชื่อมจ้าวเหมือนจะไม่มีพิษแต่ความจริงแล้วมีพิษขึ้นมา ช่างเชื่อมจ้าวกับช่างไฟฟ้าอู๋ก็ต้องเชื่อสนิทใจอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เรื่องแบคทีเรีย…ฟังดูแล้วลึกลับซับซ้อนเกินไป 


 


 


ในความเข้าใจของทุกคน หลังจากได้รับบาดเจ็บจะติดเชื้อบาดทะยักได้ง่ายที่สุด แต่แบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสคืออะไรกัน? 


 


 


จางจื่ออันรู้ว่าถ้าตัวเองไม่อธิบายอย่างละเอียด อยากให้ช่างเชื่อมจ้าวที่ดื้อกว่าลาไปโรงพยาบาลอย่างว่าง่ายคงเป็นไปไม่ได้ จึงอดทนอธิบายสาเหตุและผลกระทบของแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสรอบหนึ่ง 


 


 


แบคทีเรียวิบริโอน่าจะมีเก้าสิบกว่าชนิด ในนั้นส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายโดยตรงต่อร่างกายมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จางจื่ออันก็รู้แค่ว่านี่เป็นแบคทีเรียวิบริโอชนิดหนึ่ง ถึงอย่างไรแบคทีเรียวิบริโอก็มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสัตว์ทะเล 


 


 


แบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสเพิ่งถูกนำมาเป็นตัวก่อเชื้อโรคใหม่ชนิดหนึ่งเมื่อปี 1976 ตั้งแต่นั้นมาถึงจะได้รับความสนใจของผู้คนอย่างต่อเนื่อง 


 


 


แบคทีเรียวิบริโอชนิดนี้มีชีวิตอยู่ได้แค่ในน้ำทะเลเท่านั้น ชอบเกลือและชอบอุณหภูมิสูง ทั่วไปแล้วหากอุณหภูมิบนพื้นดินสูงถึงสามสิบองศา อุณหภูมิของน้ำทะเลก็อาจจะสูงถึงยี่สิบองศา ตอนนั้นแบคทีเรียวิบริโอชนิดนี้จะเริ่มกระฉับกระเฉงขึ้นมา คนจึงมักจะติดเชื้อในฤดูร้อนของเขตอบอุ่น หรือภายในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของหนึ่งปีที่เขตโซนร้อน 


 


 


ขอแค่อุณหภูมิเหมาะสม แบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสก็จะกระจายตัวเป็นวงกว้างมากในน้ำทะเล ไม่ว่ากินอาหารทะเลดิบหรือบาดแผลสัมผัสกับน้ำทะเล ก็อาจจะติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสได้ทั้งนั้น ประเทศที่เจริญแล้วบางประเทศก็เริ่มเพิ่มความระมัดระวังบนฉลากอาหารทะเลแล้วเหมือนกัน 


 


 


ถึงจะพูดอย่างนั้น กลุ่มคนสุขภาพดีมีภูมิต้านทานที่มากพอ ความจริงแล้วจะไม่ติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสได้ง่ายๆ กลุ่มคนมีความเสี่ยงสูงคือผู้ชายที่เป็นโรคตับเรื้อรังซึ่งอาศัยอยู่ชายทะเล 


 


 


ถูกต้อง เนื่องจากการปกป้องของฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกาย ผู้หญิงวัยรุ่นจึงติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสน้อยมาก พูดได้แค่ว่าผู้หญิงได้รับสิทธิพิเศษจริงๆ แม้แต่แบคทีเรียยังมีเมตตากับผู้หญิงเลย… 


 


 


แต่ตอนผู้หญิงอายุมากแล้ว หลังจากฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายลดระดับลง โอกาสการติดเชื้อก็จะใกล้เคียงกับผู้ชาย นี่ก็คือแบคทีเรียที่เหมือนหญิงงามไม่ให้โลกเห็นผมขาว 


 


 


ที่เน้นย้ำคือผู้อาศัยอยู่ริมทะเลจะเผชิญหน้ากับอันตรายมากกว่า เพราะมีเพียงผู้คนที่อาศัยอยู่ริมทะเลถึงจะมีโอกาสกินผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่เพิ่งออกมาจากน้ำทะเลสดๆ และเป็นแบบนี้ถึงจะมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสจากอาหาร โดยเฉพาะระหว่างขั้นตอนจัดการผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเล อย่างเช่น โดนบาดตอนขอดเกล็ดปลากำจัดอวัยวะภายใน…ถึงอย่างไรคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินก็กินผลิตภัณฑ์จากอาหารทะแลแบบแช่แข็งกันทั้งนั้น จึงมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสจากอาหาร 


 


 


ความรู้ทั่วไปอย่างหนึ่งมีอยู่ว่า ไม่ว่าน้ำทะเลเค็มขนาดไหน เมื่อกลายเป็นน้ำแข็งแล้วจะคายเกลือจนกลายเป็นน้ำจืด แบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสที่ชอบอุณหภูมิสูงและชอบเกลือถูกน้ำแข็งห่อหุ้ม ไม่นานก็แข็งตาย 


 


 


ทำได้แค่พูดว่า ขณะที่ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ริมทะเลเพลิดเพลินกับรสชาติของผลิตภัณฑ์จากทะเลที่สดใหม่ที่สุด ก็ต้องเผชิญหน้ากับโอกาสที่จะติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสอันน่ากลัวด้วย 


 


 


เป็นอย่างที่ช่างไฟฟ้าอู๋แขวะ คนแก่ปลดเกษียณที่อายุมาแล้ว มีกี่คนที่แข็งแรงเต็มร้อยกัน? แต่ละคนต่างก็มีโรคเรื้อรังจำนวนหนึ่ง ขนาดพวกวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในสภาวะป่วยออดแอดเลย 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวชอบดื่มเหล้า จางจื่ออันไม่เห็นรายงานตรวจสุขภาพของเขา แต่เดาได้ว่าเขามีโรคตับแข็งในระดับหนึ่ง ซึ่งพบเห็นได้ง่ายในบรรดาผู้ชายวัยกลางคนที่ปลดเกษียณจากโรงงาน 


 


 


ผู้ชายวัยกลางคนที่ตับไม่แข็งแรง ก็ตัดสินแล้วว่าช่างเชื่อมจ้าวอยู่ในกลุ่มคนที่อาจจะติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสที่สุด 


 


 


จุดที่น่ากลัวของแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัส หนึ่งคือกำเริบเร็ว นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อก็อาจจะถึงตายได้ภายในสี่สิบแปดชั่วโมง เนื่องจากสัดส่วนโรคค่อนข้างน้อย โอกาสถึงตายทั่วไปน่าจะมากกว่าสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถ้ารักษาไม่ทัน ถึงแม้รักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็อาจจะต้องตัดแขนหรือขา สองคือคนที่ติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอชนิดนี้รู้จักมันน้อยเกิน ตอนนี้แม้แต่กลไกชีวิตของมัน คนยังไม่ค่อยแน่ใจเลย แม้กระทั่งในโรงพยาบาลก็ยังไม่พูดถึงเชื่อแบคทีเรียชนิดนี้เลยด้วยซ้ำ 


 


 


เพราะมีความรู้เกี่ยวกับแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสค่อนข้างน้อย หลังจากผู้ติดเชื้อล้มป่วยมักจะไม่ใส่ใจเหมือนช่างเชื่อมจ้าว พลาดเวลารักษาได้ทันท่วงทีไป ถึงแม้ไปรักษาที่โรงพยาบาล ที่นั่นก็อาจจะใช้วิธีการรักษาผิดๆ เนื่องจากไม่รู้จักโรคชนิดนี้ ถึงขนาด…ฟันธงได้เลยว่าตัวอย่างของโรคชนิดนี้มีให้เห็นน้อยมาก แต่เพราะจริงๆ แล้วผู้ป่วยไม่ได้น้อยขนาดนั้น และเป็นเพราะผู้ป่วยส่วนหนึ่งตายไปโดยที่ไม่รู้ตัว 


 


 


พูดถึงเหตุผล อัตราถึงตายของแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสสูงขนาดนั้น ไม่ได้บอกว่ามันร้ายกาจมาก แบคทีเรียบนพื้นดินบางชนิดยังร้ายกาจกว่ามันอีก แต่คนเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน ระบบภูมิคุ้มกันโรคแทบจะไม่มีภูมิต้านทานแบคทีเรียในทะเลเลย ไม่เหมือนไข้หวัดใหญ่ที่แทบจะแตกหน่อไปทั่วทุกปี เพราะถ้าไวรัสโรคไข้หวัดใหญ่ไม่กลายพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันโรคของมนุษย์ก็อาจจะไม่กลัวไข้หวัดใหญ่แล้ว 


 


 


ก็เหมือนแมวที่ได้รับเลือดสุนัขแล้วครั้งหนึ่ง ระบบภูมิคุ้มกันโรคของแมวไม่รู้จักเม็ดเลือดของสุนัขในทีแรก จึงไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน แต่ความจริงแล้วแอบจดจำเอกลักษณ์เม็ดเลือดสุนัขเอาไว้แล้ว ถ้ากล้ารับเลือดอีกเป็นครั้งที่สอง ระบบภูมิคุ้มกันก็พร้อมจะต่อสู้อย่างดุเดือดทุกวินาที 


 


 


ทุกคนชอบไปเล่นน้ำริมทะเลในฤดูร้อนเพื่อคลายร้อน แถมยังได้มองภาพสวยงามเต็มตา ตอนเล่นอย่างสนุกสนาน กลับลืมความน่ากลัวของทะเลไปเสมอ ในทะเลมีอันตรายต่างๆ ซ่อนเร้นอยู่ ไม่ใช่แค่ปลาฉลามและแมงกะพรุนบ้าคลั่งอยู่ตรงหินโสโครก แม้แต่ประชากรที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็เตรียมแทรกซึมเข้ามาในร่างกายตลอดเวลา 


 


 


จางจื่ออันอิบายความน่ากลัวของแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสคร่าวๆ ครั้งหนึ่ง ช่างเชื่อมจ้าวที่ไม่ค่อยใส่ใจอะไรฟังแล้วก็เกิดอาการเซื่องซึม ใบหน้าซีดเผือดลงทันตา ปกติพวกเขาหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ตลอดว่าเท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้าใกล้โลงศพขึ้นทุกที แต่เวลาเผชิญหน้ากับความอันตรายจริงๆ มีใครบ้างไม่หวงแหนชีวิตของตัวเอง? 


 


 


“เหล่าจ้าว! ยังนั่งทำอะไรอยู่? รีบไปโรงพยาบาลเร็ว!” ช่างไฟฟ้าอู๋ได้สติขึ้นมาก่อน รีบดึงแขนของช่างเชื่อมจ้าวไปข้างนอก “เสี่ยวจาง งานที่เหลือเดี๋ยวฉันหาคนมาทำนะ เธอไม่ต้องเข้าไปทำล่ะ…” 


 


 


“เดี๋ยวก่อนครับ!” 


 


 


จางจื่ออันวิ่งกลับไปบนชั้นสองอีก แล้วควานหายาสองสามเม็ดจากในตู้ยาส่งให้ช่างเชื่อมจ้าว “กินยาต้านสักหน่อยก่อนครับ ถึงโรงพยาบาลก็ตรงไปที่แผนกฉุกเฉินเลย บอกว่าคุณติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัส ต้องได้รับการรักษาทันที ยังทนอาการได้อีกหน่อย ไม่อย่างนั้นพยาบาลบางคนอาจจะเมินเพราะไม่รู้จักแบคทีเรียชนิดนี้” 


 


 


ตอนนี้ช่างเชื่อมจ้าวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เขากินยากับน้ำแร่โดยไม่คิด ไม่ถามอะไรสักคำ จากนั้นก็ควานหาโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน “ฉัน…ฉันอยากโทรฯ หาเมีย…” 


 


 


“ไอ้หยา! ปกตินายใจร้อนจะตาย พอเกิดเรื่องกลับจู้จี้จุกจิกซะอย่างนั้น!” ช่างไฟฟ้าอู๋แย่งโทรศัพท์มือถือมาด้วยความเป็นห่วง “ไปโรงพยาบาลก่อนค่อยว่ากัน! ไป!” 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ทั้งดึง ทั้งลาก ดึงช่างเชื่อมจ้าวออกไปข้างนอกร้านเหมือนสุนัขตาย ก่อนจะโบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด  

 

 


ตอนที่ 1649 ยาปฏิชีวนะ

 

จางจื่ออันกับพวกพนักงานร้านส่งคุณลุงสองคนออกไปข้างนอกแล้ว ก่อนจะมองส่งแท็กซี่ของพวกเขาจากไป คราวนี้ถึงจะกลับเข้าไปในร้าน 


 


 


ลูกค้าสองสามคนฟังแล้วก็รู้สึกกลัว ปกติใช้ชีวิตอยู่ริมทะเลกินอาหารทะเลไม่น้อย และเป็นอาหารทะเลสดๆ ที่เพิ่งจับมาจากในทะเลทั้งนั้น เพราะราคาถูกและมีคุณประโยชน์ ทุกที่บอกว่าผลิตภัณฑ์จากทะเลมีประโยชน์ต่อสุชภาพต่างๆ นานา จึงไปกินที่ร้านอาหารน้อยมาก เวลาส่วนใหญ่ซื้อกลับมาลงมือทำเองที่บ้าน ถูกเงี่ยงปลาและกุ้งแทงมือก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้พอนึกขึ้นมาแล้วก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย 


 


 


จางจื่ออันมองความกังวลของพวกเขาออก จึงปลอบใจว่า “อย่ากลัวไปเลยครับ ยังไม่แน่ใจว่าช่างเชื่อมจ้าวติดเชื้อได้ยังไง ติดเชื้อตอนถูกปลาบาดมือ หรือติดเชื้อตอนใช้น้ำทะเลล้างแผล หรือเพราะทั้งสองอย่าง…แต่ขอถ้าคอยออกกำลังกาย โดยเฉพาะรักษาตับอย่างดี พยายามกินเหล้าให้น้อยๆ โอกาสที่คนทั่วไปจะติดเชื้อแบคทีเรียแบบนี้ก็น้อยมาก” 


 


 


“งั้นก็ดี ถ้าไม่ให้ฉันกินอาหารทะเล งั้นเอาชีวิตฉันไปดีกว่า…” มีคนถอนหายใจ 


 


 


หลี่คุณก็กลัวมากทีเดียว “อาจารย์ให้พวกผมจัดการอาหารทะเลตลอด…ไม่ใช่สิ ตอนจัดการสัตว์เลี้ยงทะเลต้องใส่ถุงมือยาง หรือว่าก็เป็นเพราะเหตุผลนี้?” 


 


 


ทุกครั้งที่จางจื่ออันเก็บสัตว์ทะเลหายากมาจากชายทะเลเพื่อจัดแสดงเพิ่มในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ งานที่เหลือจะให้พวกพนักงานร้านมาทำต่อจนเสร็จ แต่พวกพนักงานร้านไม่ค่อยชอบใส่ถุงมือยาง เพราะมันร้อนมากและไม่สะดวก แต่เขาก็เน้นย้ำว่าจำเป็นต้องใส่อยู่เสมอ 


 


 


“พวกนายคิดมากเกินไปแล้ว นี่เป็นแค่การป้องกันไม่ให้ถูกสัตว์มีพิษแทงจริงๆ เท่านั้น” จางจื่ออันมองบนใส่พวกเขาครั้งหนึ่ง ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นวัยรุ่นร่างกายแข็งแรง ตั้งใจป้องกันไว้ก่อนก็เพราะกลัวว่าจะติดเชื้อ เป็นเรื่องที่เกิดได้ยากยิ่งกว่าถูกรถชนเสียอีก 


 


 


“อาจารย์ ยาที่อาจารย์ให้คุณลุงจ้าวตอนสุดท้ายคือยาอะไรครับ ใช่ยาเซียนที่อาจารย์หลอมขึ้นมาเองหรือเปล่า แต่ท่าทางเหมือนยาแผนปัจจุบันนะ” ที่หวางเฉียนสนใจที่สุด คันปากอยากถามนานแล้ว ในที่สุดก็สบโอกาสเสียที 


 


 


“ไม่ใช่ยาหายากอะไร ก็แค่ไซโปรฟลอกซาซิน*ธรรมดา” จางจื่ออันอธิบาย 


 


 


“ไซโปรฟลอกซาซิน…ควบคุมแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสได้เหรอครับ” 


 


 


ทุกคนต่างก็สนใจคำถามนี้มาก ถ้าหลังจากนี้เจอสถานการณ์ที่คล้ายกับการติดเชื้อ อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับไร้หนทาง 


 


 


ลูกค้าก็พูดว่า “บ้านฉันก็มีไซโปรฟลอกซาซิน ครั้งหน้าตอนจัดการปลาแล้วบาดมือ ฉันจะกินไซโปรฟลอกซาซินสองเม็ดกันไว้ก่อน…” 


 


 


ไซโปรฟลอกซาซินเป็นยาปฏิชีวนะที่พบเห็นได้ง่ายและใช้กันทั่วไปอย่างมาก ตอนเป็นหวัด ตัวร้อน หรือร่างกายเกิดการอักเสบ โรงพยาบาลก็มักจะสั่งยาชนิดนี้ให้ผู้ป่วย ทุกคนเลยเก็บยาที่กินไม่หมดเอาไว้ ครั้งหน้าตอนเป็นไข้ไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาล กินยาเองสักหน่อยก็ผ่านไปได้แล้ว หลายๆ คนก็ทำแบบนั้น 


 


 


แต่ทว่าใช้ยาปฏิชีวนะในทางที่ผิดเป็นปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นมานานแล้ว หลายๆ ครั้งเป็นสถานการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเลยด้วยซ้ำ อย่างเช่น เป็นหวัดเล็กน้อยถึงปานกลาง ให้ระบบภูมิคุ้มกันของตัวเองต่อสู้กับไวรัสหวัดร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็ได้ แต่เพื่อให้ผู้ป่วยดีขึ้นโดยเร็วที่สุด โรงพยาบาลก็จะให้ผู้ป่วยใช้ยาปฏิชีวนะ บางครั้งโรงพยาบาลไม่สั่งยาปฏิชีวนะให้ ผู้ป่วยก็จะขอให้สั่งยาเอง 


 


 


นี่เป็นเรื่องที่น่าจำใจมาก สังคมปัจจุบันกดดันมากเกินไป โดยเฉพาะประเทศจีนยุคปัจจุบันที่ลาหยุดบ่อยๆ เรียนเสริม และทำงานเก้าโมงเช้า เลิกงานหกโมงเย็นตลอดหกวัน เป็นหวัดไม่กินยาจะนอนพักอยู่บนเตียงได้กี่วันกัน? 


 


 


ฝันไปเถอะ! 


 


 


คุณครูยอมไหม? ห่างจากการสอบเข้ามัธยมปลายและมหาวิทยาลัยกี่วัน? 


 


 


เถ้าแก่ตกลงไหม? งานที่กองสะสมเท่าภูเขาตกลงไหม? เดือนนี้ใบรับสินค้าและใบส่งสินค้าที่ยังทำไม่เสร็จตกลงไหม? 


 


 


ถ้าป่วยหนักก็ช่างเถอะ เพราะแค่เป็นหวัดเล็กน้อยก็ลาหยุดสองสามวัน หรือเป็นหวัดไม่หายสักทีจึงเวียนศีรษะส่งผลกระทบต่อการเรียนและการทำงาน คุณครูกับเถ้าแก่คงจะไม่ตกลง จึงทำได้แค่ใช้ปฏิชีวนะฟื้นฟูร่างกายอย่างรวดเร็ว 


 


 


คนป่วยแล้วใช้ยาปฏิชีวนะยังพอนับว่ามีเหตุผลได้ แต่ผู้เพาะเลี้ยงบางคน ไม่ว่าจะผู้เพาะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงหรือผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง เพื่อให้สัตว์ที่ตนเองเลี้ยงป่วยน้อยลง ก็มักจะเติมยาปฏิชีวนะลงไปในอาหารสัตว์ นี่ช่างเป็นวิธีที่ไร้ศีลธรรม 


 


 


ยาปฏิชีวนะหมุนเวียนอยู่ในร่างกายของคนและสัตว์ สุดท้ายยังตกลงไปอยู่ในมหาสมุทร ผลลัพธ์คือแบคทีเรียในทะเลค่อยๆ เกิดการดื้อยา 


 


 


แบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1976 เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะอย่างเจนตามัยซิน เสตรปโตมัยซิน และเตตราไซคลีนแล้ว โชคดีที่ยาปฏิชีวนะซึ่งรวมถึงไซโปรฟลอกซาซินยังใช้ต่อต้านแบคทีเรียชนิดนี้ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป…เกรงว่าอนาคตคงจะมีเรื่องให้กลุ้มใจแล้ว 


 


 


แบคทีเรียทีกระจายตัวอยู่ในทะเล และเป็นแบคทีเรียที่หลังจากติดเชื้อแล้วมีโอกาสตายมากกว่าสี่สิบเปอร์เซ็นต์ เกิดวิวัฒนาการดื้อยาก่อนที่มนุษย์จะมีความสามารถในการต่อต้าน ก็จำต้องพูดว่าเป็นการเยาะเย้ยมนุษย์อย่างหนึ่ง 


 


 


อย่างที่ลูกค้าคนเมื่อครู่พูด ด้วยความกังวลที่เหมือนสงสัยเงาสะท้อนคันธนูเป็นงู เพราะตอนจัดการอาหารทะเลถูกปลาบาดฝ่ามือก็ต้องกินไซโปรฟลอกซาซินป้องกันไว้สองเม็ด เท่ากับว่าใช้ยาปฏิชีวนะในทางที่ผิด หากร่างกายแข็งแรงก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย 


 


 


ถึงจะเป็นอย่างนั้น จางจื่ออันก็ไม่ได้บอกว่าห้ามกินไซโปรฟลอกซาซินหรือห้ามใช้ยาปฏิชีวนะในทางที่ผิด เพราะสำหรับทุกคนแล้วก็มีอยู่แค่ชีวิตเดียว ไม่ว่าหวงแหนแค่ไหนก็รักษาไว้ไม่ได้ ระหว่างคุณธรรมสูงส่งและผลประโยชน์ส่วนตัว ใครๆ ก็เลือกข้อหลังทั้งนั้น สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องปกติมาก และไซโปรฟลอกซาซินสามารถควบคุมแบคทีเรียที่น่ากลัวชนิดนี้ได้จริงๆ อย่างน้อยก็ชั่วคราว 


 


 


เรื่องห้ามใช้ยาปฏิชีวนะในทางที่ผิดเป็นหน้าที่ของประเทศ สังคม และโรงพยาบาล ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของร้านจิ๊บจ๊อยอย่างเขาจะต้องกังวลใจ เพราะกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดมากไปก็จะหัวล้านเอา เรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศและประชาชน มอบให้คนตำแหน่งอื่นคิดแทนดีกว่า 


 


 


เรื่องไปกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารก่อนหน้านี้เป็นอันต้องยกเลิก เขาจึงสั่งข้าวกล่องกับพวกพนักงานร้าน 


 


 


เหล้าสองขวดที่คิดจะให้ช่างเชื่อมจ้าวก็ยังไม่ได้ให้ เขาจึงคิดว่าควรจะเปลี่ยนของขวัญขอบคุณเป็นอย่างอื่นแทนหรือไม่ 


 


 


หลังจากช่างไฟฟ้าอู๋พาช่างเชื่อมจ้าวไปส่งถึงโรงพยาบาลแล้ว ขณะที่กำลังรายงานแผนกฉุกเฉินและติดต่อครอบครัวของช่างเชื่อมจ้าวไปด้วย พูดโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงอู้อี้ บอกว่าช่างเชื่อมจ้าวเป็นโรคปัจจุบันทันด่วน เลยต้องรีบมาแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลบางแห่ง 


 


 


เป็นอย่างที่จางจื่ออันคิดไว้ ทีแรกส่วนผู้ป่วยนอกและพยาบาลเข้าเวรไม่รู้จักแบคทีเรียแปลกหน้าชนิดนี้ จึงแนะนำให้ช่างไฟฟ้าอู๋ไปแผนกผู้ป่วยนอกธรรมดา อย่าคาดคะเนไปเองว่าตัวเองเป็นโรคอะไร สุดท้ายช่างไฟฟ้าอู๋เลยระเบิดอารมณ์ ถ่ายทอดคำพูดของจางจื่ออันคร่าวๆ รอบหนึ่ง คราวนี้พยาบาลถึงได้เห็นเป็นเรื่องด่วน แต่ตอนนี้ช่างเชื่อมจ้าวเริ่มไข้ขึ้นสูงและมีเหงื่อเย็นๆ ออกทั่วตัวแล้ว 


 


 


หลังจากช่างเชื่อมจ้าวได้รับการรักษา ครอบครัวของเขาก็มาถึง ช่างไฟฟ้าอู๋จึงต้องอธิบายอย่างปากเปียกปากแฉะ 


 


 


ดีที่ครอบครัวของเขาชินกับการก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวันของช่างเชื่อมจ้าวแล้ว ได้ยินว่ารักษาทันเวลาและไม่มีอันตรายอะไรมาก พวกเขาก็สบายใจขึ้นมาก 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ติดต่อกับจางจื่ออันผ่านโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอด มีเรื่องอะไรที่เขาอธิบายไม่รู้เรื่องก็ขอให้จางจื่ออันอธิบายทางโทรศัพท์ สำหรับโรงพยาบาลที่ไม่เคยรักษาโรคแบบนี้แล้วก็ช่วยเหลือได้มาก ไม่นานก็จัดยาปฏิชีวนะที่ถูกต้องตามวิธีรักษาจนได้ ไม่อย่างนั้นถึงตอนนี้ไปตรวจข้อมูลก็อาจจะถ่วงเวลาของโรค 


 


 


ทางโรงพยาบาลคาดว่า ช่างเชื่อมจ้าวยังไม่ถึงกับต้องตัดแขนขา แต่ต้องตัดชิ้นเนื้อตรงฝ่ามือทิ้ง 


 


 


ทีแรกช่างเชื่อมจ้าวกลัวมาก แต่เสียหน้าต่อหน้าคนในครอบครัวไม่ได้ ส่วนหัวใจก็เต้นตึกตัก สีหน้ากลับยังใจเย็น ถึงขนาดบอกว่านี่เป็นการได้รับโชคดีจากโชคร้าย ต่อไปตอนต้องเจอกับสัตว์น้ำอีก ทีนี้ร่างกายของตัวเองก็จะมีภูมิคุ้มกันแล้ว 


 


 


ส่วนรอยแผลเป็นบนฝ่ามือ พวกคนแก่ไม่ใส่ใจอยู่แล้ว! 


 


 


ถ้าตอนที่เขาพูดจากล้าหาญแล้วไม่ได้เอาแต่เช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาจากหน้าผาก ก็อาจจะน่าเชื่อถือมากกว่านี้ 


 


 


 


 


 


 


 


 


*ไซโปรฟลอกซาซิน เป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มควิโนโลน (Quinolones) ที่ช่วยรักษาหรือป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด  

 

 


ตอนที่ 1650 อยู่ร่วมกันอย่างสันติ

 

หลังจากนั้นสองสามวัน 


 


 


เป็นตอนเช้าของวันทำงานอีกวันหนึ่งแล้ว 


 


 


พอส่งแฟนภาพยนตร์ที่พาลูกมาจากต่างประเทศเพื่อถ่ายรูปคู่กับเฟยหม่าซือ ตอนนี้ในร้านขายสัตว์เลี้ยงก็ไม่เหลือใครอีก 


 


 


จักรยานไฟฟ้าคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าประตูร้าน 


 


 


หวางเฉียนกับหลี่คุนที่จูงพวกลูกสุนัขเดินเล่นอยู่ในพื้นที่สีเขียวกลับมาพอดีก็พากันทักทาย จางจื่ออันได้ยินเสียงจึงเดินออกไปนอกร้าน 


 


 


คนที่มาคือช่างไฟฟ้าอู๋ เพราะงานกันน้ำบนหลังคายังเหลือช่วงท้ายของงานที่ยังทำไม่เสร็จ ถ้าไม่รีบทาสีกันน้ำให้เสร็จก่อนฝนตกลงมา งานที่ทำก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า ดังนั้นเขาจึงเจียดเวลามาทำงานให้เสร็จเอง 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล นำนมลังหนึ่งกับแอปเปิลถุงหนึ่งให้ช่างเชื่อมจ้าวแล้ว ถึงแม้สนิทกันมากแค่ไหน ไปเยี่ยมคนป่วยด้วยมือเปล่าก็ไม่ค่อยดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่างเชื่อมจ้าวที่ได้รับของขวัญแล้วดีใจเลย 


 


 


จางจื่ออันชวนช่างไฟฟ้าอู๋เข้าไปพักหายใจในร้านก่อนค่อยทำงานต่อ ถึงอย่างไรก็ไม่รีบร้อน และทุกคนก็อยากรู้อาการล่าสุดของช่างเชื่อมจ้าว 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ไม่เหนื่อย ถึงอย่างไรขี่จักรยานไฟฟ้าก็ไม่เปลืองแรง เขาบอกว่ามือของช่างเชื่อมจ้าวพันผ้าพันแผลเอาไว้ กำลังรับน้ำเกลือ ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลก็รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะในปริมาณมาก ตอนนี้ผ่านพ้นขีดอันตรายภายในสี่สิบแปดชั่วโมงมาแล้ว อาการก็ยังทรงตัวดี 


 


 


โรงพยาบาลตรวจเลือดให้ช่างเชื่อมจ้าวแล้ว ยืนยันว่าเป็นแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัส เนื่องจากเป็นเคสที่โรงพยาบาลรับรักษาเป็นครั้งแรก จึงให้ความสนใจอย่างมาก ในห้องผู้ป่วยของช่างเชื่อมจ้าวมีหมอเข้าๆ ออกๆ ตลอดเวลา ยังรวมถึงอาจารย์หมอคุณธรรมและบารมีสูงส่งที่พานักศึกษาแพทย์เข้าไปด้วย ได้ยินว่าสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นมาสัมภาษณ์ที่โรงพยาบาลแล้ว จะออกอากาศสถานีโทรทัศน์ในอีกไม่กี่วัน ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสนี้เตือนให้ชาวเมืองที่เล่นน้ำริมทะเลระมัดระวังความปลอดภัย รวมถึงการกินอาหารทะเลดิบด้วย 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักมาหลายสิบปี ได้กลายเป็นคนดังเพียงชั่วข้ามคืน รับการสัมภาษณ์ทั้งวันอย่างมีความสุข เขาเพลิดเพลินกับการสัมภาษณ์ของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ถึงเป็นการสัมภาษณ์ของสื่อบนอินเทอร์เน็ตเขาก็ยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขา เพราะทุกคนต่างก็รู้จักมารบาท ไม่ได้มามือเปล่า ห้องผู้ป่วยเล็กๆ จึงแน่นขนัดขึ้นมาทันตา ของขวัญก็กองสุมอยู่จนวางบนตู้ข้างเตียงไม่ได้แล้ว 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวกลับเปิดใจกว้าง ถึงอย่างไรก็เสียผลประโยชน์ไม่ได้ อย่างน้อยต้องช่วยค่านอนโรงพยาบาลได้ 


 


 


วันนี้คนที่มาเยี่ยมและสัมภาษณ์ลดลงไปมาก ช่างเชื่อมจ้าวเริ่มโอดครวญว่าอยากออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้านแล้ว หมอแนะนำให้เขาอยู่ดูอาการอีกสองวัน แต่เขาเสียดายค่านอนโรงพยาบาล อย่างช้าที่สุดคือออกจากโรงพยาบาลวันพรุ่งนี้ 


 


 


แน่นอนว่าช่างเชื่อมจ้าวที่ฝ่ามือถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้ยังทำงานหนักไม่ได้ วันนี้ช่างไฟฟ้าอู๋จึงมาเก็บงานด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรก็เหลืองานไม่มากแล้ว 


 


 


พวกจางจื่ออันฟังจบ ก็นับว่าวางใจแล้ว 


 


 


ช่างเชื่อมจ้าวเป็นคนไข้ที่ติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสรายแรกซึ่งโรงพยาบาลรับรักษา แต่อาจจะเป็นอาการของโรคที่ปรากฏในเมืองปินไห่เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้อาจจะมีคนติดเชื้อตายไปโดยที่ไม่รู้เพราะรักษาล่าช้า ถ้าการป่วยครั้งนี้ของช่างเชื่อมจ้าวเพิ่มความระมัดระวังแบคทีเรียวิบริโอวัลนิฟิคัสให้กับคนอีกหลายคนได้ การเจ็บตัวครั้งนี้ก็นับว่าได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแล้ว 


 


 


ผ่านประสบการณ์ครั้งนี้ไปแล้ว ในที่สุดช่างเชื่อมจ้าวก็ตัดสินใจเริ่มเลิกเหล้า แม้จะบอกว่าส่วนใหญ่แล้วครอบครัวบังคับ จางจื่ออันจึงไม่ได้ให้เหล้าสองขวดนั้นไป 


 


 


ช่างไฟฟ้าอู๋ถ่ายทอดคำขอบคุณของครอบครัวช่างเชื่อมจ้าวให้จางจื่ออันฟังแล้ว จากนั้นก็ไปทำงานข้างนอก 


 


 


จางจื่ออันกลับไปบนชั้นสอง เหลือบไปเห็นแมวจรจัดตัวหนึ่งกระโดดออกจากหน้าต่างพอดี 


 


 


ชั้นสองยังมีผู้ป่วยที่ยังไม่หายดี วลาดิเมียร์ก็โอดครวญว่าอยากออกไปข้างนอกเหมือนช่างเชื่อมจ้าว และเน้นย้ำอยู่หลายครั้งว่าอย่าเห็นมันเป็นคนไข้ 


 


 


แผลของมันเริ่มสมานกันแล้ว แต่ยังพันผ้าพันแผลเอาไว้ เขาไม่อนุญาตคำขอออกไปข้างนอกของมัน เพราะถ้าเป็นแมวตัวอื่น การออกไปข้างนอกที่ว่าก็หนีไม่พ้นการเปลี่ยนจากชั้นสองลงไปชั้นหนึ่ง แต่การออกไปข้างนอกของมันนั้น หมายถึงการออกไปข้างนอกร้านขายสัตว์เลี้ยงอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


“วันนี้เหมือนข้างนอกจะมีอากาศเย็นสบายมาก ออกไปข้างนอกได้ไหม เมี๊ยวแล้วก็เหมียว! อยู่แต่ในบ้านทั้งวัน ฉันอึดอัดจะตายอยู่แล้ว เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นเลย!” มันถามอย่างรอไม่ไหว 


 


 


วันนี้เป็นวันฟ้าครึ้มอีกวันหนึ่ง มีลมเย็นโกรก กวาดความร้อนก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว 


 


 


ที่จางจื่ออันไม่รับปากให้มันออกไปข้างนอกเพราะอากาศร้อนเกินไป แผลจะติดเชื้อได้ง่าย ตอนนี้อากาศเย็นสบายแล้ว แต่เหตุผลนี้ก็ยังไม่ผ่านอยู่ดี 


 


 


“มีนรกที่ไหนดีขนาดนี้ แถมยังเปิดแอร์ด้วย ถ้านายออกไปข้างนอก นายคิดจะไปไหน แผลของนายยังไม่หายสนิท ถ้าไปหาเรื่องเสี่ยวไป๋ละก็ ห้ามเด็ดขาด” เขาเดินไปริมหน้าต่าง มองเห็นเงาร่างของแมวจรจัดตัวนั้นหายไปที่หัวมุมถนน 


 


 


เซฮวายังคงไลฟ์สดอยู่ในห้องน้ำ โม้เรื่องการเดินทางไปอเมริกาให้แฟนคลับฟังต่างๆ ยังนำรูปที่จางจื่ออันถ่ายตามทางไปเป็นของตัวเองด้วย น่าประหลาดใจที่การเดินป่าครั้งนี้ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีจากพวกเพื่อนบนอินเทอร์เน็ต เพราะทุกคนก็เห็นสีสันมากมายแล้ว แต่ชอบรสชาติธรรมดาแบบนี้มาก 


 


 


พายนั่งพิมพ์งานดังป้อกแป้กอยู่หน้าโน้ตบุ๊กอย่างตั้งใจ ไม่ว่าการพูดคุยอย่างลับๆ ของวลาดิเมียร์กับแมวจรจัดหรือเสียงเอะอะของเซฮวาก็ไม่ส่งผลกระทบถึงมันเลย 


 


 


กระบองไม้แท่งหนึ่งวางพักอยู่ข้างๆ เก้าอี้สานแขวน เป็นกระบองไม้ที่จางจื่ออันเหลาให้มันในป่าเรดวูด มันตัดใจทิ้งไม่ลง เพราะกระบองไม้อันนี้เป็นตัวแทนความกล้าหาญของมันที่ช่วยพาเขากลับมายังเมืองปินไห่ 


 


 


เขาเติมเต็มความปรารถนาของตัวเองแล้ว กระบองไม้เบามาก และไม่ใช่สิ่งของต้องห้าม ขอแค่ทำท่าทางเดินเท้าไม่สะดวกก็ใช้มันเป็นไม้เท้าได้ ถึงตอนผ่านศุลกากรและขึ้นเคลื่อนไปเจอกับสายตาของแอร์โฮสเตสจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยก็ตาม 


 


 


ตอนพายพักผ่อนและไม่ได้พิมพ์งาน มันมักจะกอดกระบองไม้มองไปที่ไกลแสนไกล แถมยังดมกระบองไม้อยู่ตลอด ราวกับได้กลิ่นความสดชื่นของต้นซีคัวญ่าอายุหลายพันปี 


 


 


วลาดิเมียร์นั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง พลางมองแมวจรจดตัวนั้นด้วยสีหน้าอิจฉา 


 


 


“ฉันไม่ได้โง่นะ!” มันพูด “ตอนนี้เป็นเวลาที่ฉันอ่อนแอที่สุด ถึงอยากทะเลาะก็ไม่เลือกทำตอนนี้หรอก” 


 


 


“งั้นนายคิดจะ…” 


 


 


“ฉันอยากไปหาเสี่ยวไป๋ แต่ไม่ได้อยากทะเลาะกับมัน” วลาดิเมียร์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ในทางตรงกันข้าม ฉันคิดจะคุยกับเสี่ยวไป๋ต่อหน้า ยุคสมัยของการต่อสู้ได้ผ่านไปแล้ว สองสามวันนี้ฉันประเมินกำลังที่แท้จริงของทั้งสองฝ่ายอย่างจริงจังแล้ว แมวและหมาจรจัดไม่มีทางได้รับสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าใคร แทนที่จะต่อสู้กันจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย สู้มองข้ามการโต้เถียง อยู่ร่วมกันอย่างสันติด้วยหลักการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน และสร้างความสัมพันธ์ยุคใหม่ไฉไลกว่าเดิม!” 


 


 


“พวกเราไม่ต้องเปลี่ยนเป็นศัตรูหรือมิตร แต่เมืองปินไห่ใหญ่ขนาดนี้ รองรับได้ทั้งแมวจรจัด และหมาจรจัด ทิ้งความขัดแย้งไว้ชั่วคราว และพัฒนาไปด้วยกัน” มันกลัวจางจื่ออันเข้าใจผิด จึงพูดเสริมอีก 


 


 


จางจื่ออัน “…ฟังดูแล้วมีเหตุผลมาก นายจะไปตอนนี้เลยไหม” 


 


 


“ยิ่งเร็ว ยิ่งดี!” มันพยักหน้า “ขืนอยู่ในบ้านต่อไป ฉันต้องอึดอัดจนเป็นบ้าแน่ๆ!” 


 


 


“เอาล่ะ…งั้นฉันจะขับรถไปส่งนายแล้วกัน ไม่ได้เจอเสี่ยวไป๋นานแล้วด้วย ไม่รู้ว่าพวกหมาจรจัดเป็นยังไงบ้าง ฉันก็อยากไปดูอยู่พอดี” 


 


 


ในที่สุดเขาก็ยอมประนีประนอมแล้ว และรับปากคำขอร้องออกไปข้างนอกของวลาดิเมียร์  

 

 


ตอนที่ 1651 กองสุมเท่าภูเขา

 

จางจื่ออันไม่ค่อยเข้าใจกระบวนการทางความคิดของวลาดิเมียร์ ตั้งแต่เข้ากันกับสุนัขจรจัดไม่ได้ จนถึงยินยอมอยู่ร่วมกันอย่างสันติในตอนนี้ หลายวันนี้มันต้องคิดหลายๆ เรื่องเพราะไม่ได้ออกจากบ้านแน่นอน และประสบการณ์การบาดเจ็บในป่าเรดวูดอาจจะส่งผลมาถึงขั้นนี้ แม้เลือดสุนัขในร่างกายของมันจะถูกเปลี่ยนถ่ายไปแล้ว แต่ก็น่าจะมีบางอย่างหลงเหลืออยู่


 


 


เขาบอกกับพนักงานร้านและช่างไฟฟ้าอู๋ กำชับให้พวกพนักงานร้านตาไวหูไว หากช่างไฟฟ้าอู๋ต้องการอะไรก็รีบเตรียมให้ อย่ามัวแต่เล่นเกม จากนั้นก็ออกจากบ้านและขึ้นรถไปพร้อมกับวลาดิเมียร์


 


 


นับดูแล้วก็ไม่ได้ไปชานเมืองทางใต้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว เขากับวลาดิเมียร์นั่งอยู่ในรถ มองทิวทัศน์ข้างทางที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ยังคงเดิม แต่ผู้คนกลับเปลี่ยนแปลงไป


 


 


ไม่นานนัก อู่หลิงเสินกวงก็มาถึงชานเมืองทางใต้แล้ว เขาจอดรถอยู่ตรงข้ามลานฝังกลบขยะ


 


 


สายตาของจางจื่ออันกับวลาดิเมียร์จ้องเขม็งไปที่ป่าขนาดเล็ก ทางนั้นน่าจะมีป่าและคลองขุดสายหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับมีเพิงไม้ง่ายๆ หลังหนึ่งและรั้วลวดเหล็กเพิ่มขึ้นมา


 


 


พวกสุนัขจรจัดนอนอยู่ข้างใต้เพิงไม้อย่างสบายใจเฉิบ ใช้ชีวิตสะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนมาก


 


 


นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


 


 


มีสุนัขจรจัดที่รับหน้าที่ลาดตระเวนพบอู่หลิงเสินกวงเข้าแล้ว ทีแรกมันจำจางจื่ออันไม่ได้ แต่พอวิ่งเข้ามาดมกลิ่นดีๆ ในที่สุดก็นึกออกว่าเขาคือผู้ให้อาหารที่ก่อนหน้านี้นำอาหารมาให้พวกมันบ่อยๆ


 


 


เสี่ยวไป๋ได้รับข่าวแล้ว จึงวิ่งเข้ามาเช่นกัน


 


 


“เสี่ยวไป๋ เพิงไม้พวกนี้….” เขาลงจากรถมาถาม


 


 


“ผู้หญิงคนนั้นทำให้น่ะ ผู้หญิงที่ชื่อว่าผู้ต้องสงสัยวาย” เสี่ยวไป๋อธิบายง่ายๆ


 


 


จางจื่ออันนึกออกแล้ว ก่อนจะไปอเมริกา เขาพาผู้ต้องสงสัยวายซึ่งเป็นผู้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสุดโต่งคนนั้นมาที่นี่ ให้เธอเห็นสุนัขที่ต้องการความช่วยเหลือพวกนี้ด้วยตัวเอง ดูท่าทางตอนนี้ความสามารถอันกล้าหาญของเธอใช้ได้ผลแล้วจริงๆ


 


 


ตามที่เสี่ยวไป๋พูด หลังจากจางจื่ออันไปอเมริกา ผู้ต้องสงสัยวายก็มาที่นี่บ่อยครั้ง บางครั้งนำอาหารมาด้วย บางครั้งพาคนที่เหมือนคนงานมาสร้างเพิงไม้ให้สุนัขจรจัด ทำให้สุนัขจรจัดได้มีสถานที่หลบหิมะในฤดูหนาวที่เหมือนอีกนานมากกว่าจะมาถึง แต่ความจริงแค่พริบตาเดียวก็ใกล้เข้ามาแล้ว


 


 


เธอทำอะไรเพื่อสุนัขจรจัดไม่น้อย เสี่ยวไป๋รู้สึกขอบคุณเธอมาก แต่ก็ไม่ค่อยชอบเธอนัก เพราะเธอเหมือนเห็นสุนัขจรจัดเป็นขอทาน อยากล้อมคอกเลี้ยงพวกมันเหมือนสุนัขในศูนย์รับเลี้ยง แต่พวกมันดูแลตัวเองได้และไม่ต้องการที่พักพิงจากคนอื่น ดังนั้นมันจึงรู้สึกขัดแย้งในใจ


 


 


ตอนนี้เอง มันเห็นวลาดิเมียร์กระโดดลงมาจากอีกด้านหนึ่งของรถ ก่อนหน้านี้มันได้กลิ่นของวลาดิเมียร์แล้ว รู้ว่าศัตรูตัวฉกาจก็มาด้วย แต่เห็นอีกฝ่ายท่าทางได้รับบาดเจ็บ มันจึงยิ่งประหลาดใจ


 


 


เสี่ยวไป๋รู้จักพละกำลังของวลาดิเมียร์ดีกว่าใคร แต่ศัตรูคู่อาฆาตที่แทบจะมีฝีมือสูสีกับมัน หรือกระทั่งกดมันได้กลับได้รับบาดเจ็บอย่างคาดไม่ถึง นี่ไม่ได้หมายความว่าคนหรือสัตว์ที่จู่โจมวลาดิเมียร์แข็งแกร่งจนยากจะจินตนาการหรอกเหรอ?


 


 


“อยากหัวเราะหรือเปล่า? ถ้าอยากหัวเราะก็เชิญ วันนี้ฉันไม่อยากทะเลาะกับนาย” วลาดิเมียร์พูดด้วยท่าทางใจเย็น


 


 


ท่าทางของมันดูจนตรอกมากจริงๆ ด้วยเพราะจางจื่ออันกับเมแกนฝีมือกระจอกเกินไป ตัดขนของมันมั่วซั่ว ตรงหน้าอกและบ่าพันผ้าพันแผลไว้รอบหนึ่ง ราวกับนักรบที่ถอยออกจากสนามรบจริงๆ


 


 


เสี่ยวไป๋ไม่ได้หัวเราะ “ใครทำให้นายมีสภาพแบบนี้?”


 


 


“พูดแล้วก็ซับซ้อนมาก…สรุป นายรู้แค่ว่ามันตายแล้วก็พอ แม้ฉันจะไม่ได้ฆ่ามันด้วยมือของตัวเองก็ตาม” วลาดิเมียร์ขี้เกียจเล่าเรื่อง “ถ้าอยากรู้ละก็ นายถามเขาแล้วกัน”


 


 


เสี่ยวไป๋อยากรู้มากทีเดียว แต่มันอดทนไม่ถามออกไป เพราะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ต่อไปจะถามตอนไหนก็ได้ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องคุยกัน


 


 


“ตามฉันมา มีบางอย่างพวกนายเห็นจะดีที่สุด”


 


 


เสี่ยวไป๋พูดจบก็นำทางอยู่ข้างหน้า พาจางจื่ออันกับวลาดิเมียร์เข้าไปในลานฝังกลบขยะ


 


 


ไม่ต้องพูดเลยว่าลานฝังกลบในฤดูร้อนกลิ่นเหม็นแค่ไหน แมลงวันบินว่อนกันเป็นกลุ่ม ตัวอ่อนของแมลงวันก็ขยับขยุกขยิกอยู่ทุกที่ แค่กลิ่นอย่างเดียวก็เวียนหัวแล้ว


 


 


จางจื่ออันใช้เสื้อปิดจมูก แต่กลิ่นชวนอาเจียนเป็นระลอกก็ยังยากจะรับได้อยู่ดี


 


 


เดินไปสักพัก ข้างหน้าก็เริ่มมีกลิ่นจางลง และเผยให้เห็นภูเขาขยะกองย่อมๆ และเป็นภูเขาขยะที่ไม่มีกลิ่นอะไร ในกองขยะชุมชนที่กองอยู่รอบๆ นี้สะอาดสะอ้านผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ครั้งแรกที่มองเห็นภูเขาขยะ สีที่คุ้นเคยนั้นทำให้จางจื่ออันจำได้ในทีแรก คิดไม่ถึงว่านี่เป็นภูเขาขยะที่เกิดจากถุงอาหารสุนัขเล็กซี่ถุงแล้วถุงเล่ากองสุมกันเอาไว้


 


 


ถุงอาหารสุนัขพวกนี้ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ได้เปิดผนึก มีเพียงจำนวนน้อยที่เปิดแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าถูกผู้บริโภคที่เป็นมนุษย์ฉีกเปิด หรือเป็นสัตว์เล็กที่อาศัยอยู่ในกองขยะฉีกเปิด


 


 


มีหนูตัวใหญ่สีเทาตัวหนึ่งเห็นคนกับแมวเข้ามา มันกำลังเคี้ยวอาหารสุนัขอยู่เต็มปาก และวิ่งหนีไปอย่างลุกลี้ลุกลน


 


 


“ฉันไม่รู้ว่าพวกนายเจอเรื่องอะไรที่อเมริกา แต่ตั้งแต่สองสามวันก่อน ทุกที่ในเมือง รวมถึงชานเมือง รถขนขยะจะขนอาหารสุนัขแบบนี้มากองใหญ่ ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เปิด จนถึงวันนี้ก็ยังขนมาอยู่ จำนวนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีลดเลย” เสี่ยวไป๋พูดด้วยท่าทางกังวล


 


 


จางจื่ออันสบตากับวลาดิเมียร์ครั้งหนึ่ง พวกเขาเข้าใจว่านี่ก็คือหนึ่งในผลลัพธ์ของเรื่องการเปิดโปงอาหารสุนัขเล็กซี่ และเป็นผลลัพธ์ที่พวกเขาคาดไม่ถึง


 


 


อาหารสุนัขเล็กซี่ขายไม่ออก และไม่มีคนช่วยพวกเขา พ่อค้าคนกลางถูกฟ้องร้องและคืนสินค้าจากลูกค้าจำนวนมาก จะทำอย่างไรกับอาหารสุนัขที่คืนมาแล้วกองสุมเท่าภูเขาอยู่ในโกดังได้? วางไว้ก็กินที่ แถมยังเพิ่มรายจ่ายให้กับการเก็บของในโกดัง ไม่มีวิธีคืนอาหารสุนัขเล็กซี่ให้กับสำนักงานของอเมริกาได้ด้วย ทำได้แค่ทิ้งไป


 


 


ได้ยินว่าร้านค้าออนไลน์ของอาหารสุนัขเล็กซี่ในประเทศจีนก็ปิดร้านเผ่นไปแล้ว ผู้บริโภคทั่วไปที่ซื้ออาหารสุนัขผ่านช่องทางออนไลน์ไม่สามารถคืนสินค้าได้หรือไม่อยากยุ่งยากกับการปกป้องสิทธิ จึงทิ้งอาหารสุนัขที่ยังกินไม่หมดไปอย่างจำใจ


 


 


บวกกับคลองที่กระจัดกระจายอยู่ อาหารสุนัขเล็กซี่ที่ถูกทิ้งก็ถูกรวบรวมมาอยู่ที่ลานฝังกลบขยะ กลายเป็นภูเขาขยะลูกนี้


 


 


“นายเป็นห่วงว่าหมาจรจัดจะอดใจกินอาหารหมาพวกนี้ไม่ได้เหรอ” จางจื่ออันถาม ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นอาหารที่ได้มาง่ายๆ แม้คนหิวแทบตาย รู้ดีว่าอาหารหมดอายุหรืออาจจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเหมือนกัน


 


 


เสี่ยวไป๋ส่ายหน้าช้าๆ “ตอนนี้พวกหมาจรจัดมีชีวิตดีกว่าเมื่อก่อนมาก ยังพออดทนได้”


 


 


“งั้นนายกังวลอะไร” เขาถามต่อ


 


 


“เมื่อคืนพวกฉันได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถ ทีแรกคิดว่าเป็นรถขยะขนขยะล็อตใหม่มา แต่พอฟังดีๆ แล้ว เสียงกับแรงสั่นสะเทือนที่มาจากพื้นไม่เหมือนกับรถขยะ แล้วก็แทบไม่มีรถคันอื่นผ่านมาที่นี่ตอนกลางดึก ฉันเลยพาหมาสองสามตัวไปตรวจสอบสถานการณ์กับฉัน พบว่าแถวนี้มีคนขับรถมาขโมยอาหารหมาพวกนี้…อาหารหมาที่ถูกทิ้งแล้วใช้คำว่า ‘ขโมย’ อาจจะไม่ค่อยเหมาะสม แต่ยังไงก็มีหลายคนขับรถมาแอบขนอาหารหมาไปจำนวนหนึ่ง ฉันได้ยินสำเนียงของพวกเขา เหมือนจะเป็นชาวบ้านที่อยู่ละแวกนี้ พวกเขาขนอาหารหมาไปให้หมาที่ตัวเองเลี้ยงกิน มีความสุขสนุกสนานเหมือนตอนปีใหม่เลยเชียว” เสี่ยวไป๋ถอนหายใจ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม