Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1639-1644
ตอนที่ 1639 ลูกนกตามแม่นก
จากสีหน้าของเสี่ยวหวาง จางจื่ออันก็รู้ว่าตัวเองเดาถูกแล้ว
เป็นไปตามคาด เถียนเถียนใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบแฟนหนุ่มของตัวเองครั้งหนึ่งทันที แล้วบ่นว่า “ให้คุณเลิกบุหรี่นานแล้วนะ คุณผลัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมฟัง เลิกได้สองวันก็เหมือนกับไร้วิญญาณ ถือโอกาสตอนที่ฉันไม่สังเกตแอบสูบอีก…บุหรี่มีอะไรดี? ทั้งทำลายสุขภาพ ทั้งเปลืองเงิน ทำไมคุณถึงปรับปรุงตัวไม่ได้สักทีเนี่ย”
สีหน้าของเสี่ยวหวางเหมือนกับท้องผูก ยิ่งรู้สึกลำบากใจยามอยู่ต่อหน้าจ้าวฉีและจางจื่ออัน แต่เขาไม่มีเหตุผลมาตอบโต้ ทำได้แค่ไม่โต้ตอบ และขอโทษอย่างระมัดระวัง
เถียนเถียนกับเสี่ยวหวางดูสนิทกันดีทีเดียว แต่เรื่องบุหรี่ก็คุยกันมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว เธอเป็นห่วงสุขภาพของแฟนหนุ่ม ถูกงานทำร้ายทุกวันแล้วยังต้องถูกบุหรี่ทำร้ายอีก ประเด็นคือเขาเองยังไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ เธอก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ที่เธอโมโหยิ่งกว่านั้นคือ เสี่ยวหวางยืนยันรับประกันทุกครั้งว่านี่เป็นมวนสุดท้าย สูบเสร็จแล้วก็จะไม่สูบอีก เธอเลือกที่จะเชื่อใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ทำให้เธอผิดหวังซ้ำซาก เพราะมักจะแอบสูบลับหลังเธอเสมอ นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องการสูบบุหรี่ แต่เป็นปัญหาของความซื่อสัตย์มากกว่า…ตอนนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงปัญหาของการเลี้ยงแมวด้วย
เสี่ยวหวางก็ลำบากใจที่จะพูด บ้านเขาอยู่ที่ชนบท ลองสูบบุหรี่ตั้งแต่เด็กด้วยอิทธิพลของคนในครอบครัวใหญ่ที่มีลุง อา และพี่ชาย ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา รู้สึกว่าสูบบุหรี่ดูเท่มาก ต่อมาก็ ‘ค่อยๆ’ ติดโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ได้สูบบุหรี่วันหนึ่งก็แทบจะลงแดง ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการทำงาน เขาคิดเองว่าติดบุหรี่ไม่มาก หนึ่งวันสูบอย่างมากหนึ่งกล่องยังไม่ค่อยเท่าไร แต่แฟนสาวที่โน้มน้าวเก่งกลับไม่ยอมรับเรื่องนี้เลยสักนิด
ส่วนดื่มเหล้า เขากับเธอไม่คิดว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชาย ยากที่จะหลีกเลี่ยงการสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน งานวันเกิดรุ่นพี่ งานแต่งงาน และตอนมีงานเลี้ยงก็ต้องดื่มเหล้า ไม่ดื่มเหล้าก็จะถูกคนดูถูก คิดว่าไม่เป็นลูกผู้ชาย ปกติเธอจึงกำชับให้เขาดื่มน้อยๆ หน่อย ไม่ได้บังคับให้เขาเลิกเหล้าเหมือนเลิกบุหรี่
ก่อนหน้านี้สมัยที่จางจื่ออันยังทำงานอยู่ เขาก็ปฏิเสธเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนมีงานเลี้ยงไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็แค่ตอนนั้น ตั้งแต่เขารับช่วงต่อร้านขายสัตว์เลี้ยง ส่วนใหญ่เขาก็ไม่ดื่มเหล้าเลย และไม่มีโอกาสดื่มเหล้าด้วย ถึออย่างไรดื่มเหล้าก็ต้องใช้เงินตัวเองซื้อ ไม่คุ้มกัน
นอกจากในร้านมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น เช่นตอนออกไปกินปิ้งย่างเลี้ยงฉลองกับพวกพนักงานร้าน เขาถึงจะสั่งเบียร์เย็นๆ มาหนึ่งกระป๋อง ปกติเขาจะไม่ดื่มเหล้าเอง เพราะเขารู้ว่าแมวไม่ชอบกลิ่นเหล้า และทำให้ภูตสัตว์เลี้ยงไม่ชอบ ถ้าความประทับใจที่ได้มาอย่างยากลำบากลดลงเพราะกลิ่นเหล้า ก็คงต้องร้องไห้จนเป็นลมอยู่ในห้องน้ำ
ร่างกายดึงดูดแมวเป็นแค่ความแตกต่างเรื่องเพศ ไม่ใช่ส่วนบุคคล ถ้ามีคนบอกว่าตัวเองมีร่างกายดึงดูดแมวได้อย่างยอดเยี่ยม อย่างนั้นแทบจะตัดสินได้เลยว่าเขาหรือเธอฉีดน้ำหอมบางอย่างบนตัวแน่นอน ในน้ำหอมมีกลิ่นพืชพันธุ์ที่แมวชอบ กลิ่นของน้ำหอมต่างหากที่ดึงดูดแมว ก็เหมือนโคโลญจน์ของเควิน ไคลน์ที่ดึงดูดสัตว์ประเภทแมวขนาดใหญ่มาได้
เรื่องนี้เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แมวถูกคนดึงดูดได้ไม่ใช่เพราะการได้ยินและการดมกลิ่น มีคนดึงไปเกี่ยวกับความคิดทางด้านปรัชญาเสมอ
เสี่ยวหวางเป็นผู้ชาย เสียงทุ้มต่ำ สูบบุหรี่ตั้งแต่เด็ก มักจะออกไปดื่มเหล้ากับเพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนร่วมงาน แมวชอบเขาสิแปลก
ส่วนเรื่องการเงิน ส่วนสูง หน้าตา ความชอบ วาทะศิลป์ อนาคต อารมณ์ขัน และจิตใจแสวงหาความก้าวหน้าเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ผู้หญิงชื่อชอบ แต่แมวไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย พวกมันหาทาสนะ ไม่ได้หาสามี…
จ้าวฉียังพูดใส่สีตีไข่อยู่ข้างๆ “กินเหล้าก็ไม่เห็นมีอะไรดี เลิกเหล้าไปด้วยเลยสิ คุณดู แม้แต่แมวยังรังเกียจ ยังมีอะไรตัดใจทำไม่ได้อีก”
ผู้หญิงสองคนผลัดกันพูด เสี่ยวหวางลำบากใจมาก มาซื้อสัตว์เลี้ยงแท้ๆ แต่กลับถูกต่อว่ายกหนึ่งอย่างน่าประหลาด
เขารีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วถามจางจื่ออันว่า “เอ่อ…ผมเข้าใจความสำคัญของการเลิกเหล้า เลิกบุหรี่อย่างลึกซึ้งแล้ว แต่กินข้าวยังต้องกินทีละคำ หนทางยาวไกลก็ต้องเดินทีละก้าว จริงไหม? ยิ่งเลิกเหล้า เลิกบุหรี่เนี่ย รีบร้อนไม่ได้เลย ใจร้อนเลิกเกินไปมีแต่ทำให้กลับมาลงแดงได้ง่าย…แต่ตอนนี้ผมกับแฟนของผมอยากซื้อสัตว์เลี้ยง ผมคิดดูแล้วว่า ถ้าเป็นแมวที่เลี้ยงตั้งแต่เล็ก มันน่าจะไม่ถึงขั้นรังเกียจขนาดนั้นหรอกมั้ง? มีคำกล่าวบอกว่า ลูกชายจะไม่ทอดทิ้งแม่เพราะหน้าตาน่าเกลียด หมาจะไม่ทิ้งเจ้าของเพราะความยากจน…”
พอพูดแบบนี้ออกมา เขาเองก็รู้สึกแปลกเล็กน้อย สุนัขจะไม่ทิ้งเจ้าของเพราะความยากจน แต่แมวอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น
“ลูกแมว? ที่นี่ก็มีแต่ลูกแมวทั้งนั้นแหละครับ” จางจื่ออันชี้พวกลูกแมวที่วิ่งซนอยู่ในตู้โชว์ให้เขาดู
“เอ่อ? นี่คือลูกแมวเหรอครับ แมวนี่ไม่ได้โตแล้วเหรอ มีที่เด็กกว่านี้หน่อยหรือเปล่า” เสี่ยวหวางถามด้วยท่าทางลำบากใจ
จางจื่ออัน “…เกรงว่าความหมายของลูกแมวที่คุณเข้าใจจะผิดพลาดแล้วล่ะครับ”
จ้าวฉีพูดแทรก “ใช่! ฉันเคยบอกคุณแล้ว ‘ตำราแมว’ ที่คุณพูดถึงบ่อยๆ น่ะ เลือกแมวอายุร้อยสองวัน แยกจากแม่เร็วเกินไปมีโรคพัวพัน อะไรนั่น…แต่เขาอยากเลี้ยงแค่ลูกแมว ยิ่งเล็ก ยิ่งดี เขารู้สึกว่าเลี้ยงตั้งแต่เด็กจะสนิมสนมกันมากกว่า”
คราวนี้แม้แต่เถียนเถียนก็พยักหน้าไม่หยุด บ่งบอกว่าเธอก็อยากเลี้ยงแมวตั้งแต่เล็กมากกว่า ยิ่งเด็ก ก็ยิ่งดี
ที่จริงนี่เป็นความรู้ร่วมของหลายๆ คน คิดว่าเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่เล็ก ยิ่งเลี้ยงตั้งแต่เด็ก โตขึ้นมาแล้วยิ่งสนิทกับตัวเอง ไม่ใช่แค่คนเดียวที่มาเดินในร้านขายสัตว์เลี้ยงรอบหนึ่งแล้วไม่ชอบแมวและสุนัขที่นี่โตเกินไป ก็หมุนตัวเดินกลับไปเลย อยากไปซื้อลูกแมวและลูกสุนัขที่อายุหนึ่งหรือสองเดือนให้ได้ แนะนำอย่างไรก็ไม่ฟัง แถมยังพูดอย่างมีเหตุผลเสียงดังว่าสัตว์ก็เหมือนลูกนกตามแม่นกทั้งนั้น ยิ่งเลี้ยงตั้งแต่เล็กก็ยิ่งดี
นี่เป็นความรู้เพียงด้านเดียว ไม่ได้รู้ทั้งสองด้าน
โลกของสัตว์มี ‘พฤติกรรมฝังใจ’ อย่างหนึ่ง พูดตามธรรมดาก็คือสัตว์ที่เกิดมาไม่นาน สิ่งมีชีวิตแรกที่พวกมันลืมตาแล้วมองเห็น ก็จะกำหนดให้มันเป็นแม่ของตัวเอง และเกิดความรักผูกพันลึกซึ้งอย่างแรงกล้า
เนื่องจากปรากฏการณ์แบบนี้พบจากตัวนกมานานแล้ว จึงเรียกว่าลูกนกตามแม่นก
พฤติกรรมฝังใจมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์จอมปลอม แต่หลายๆ คนคิดตามนั้นว่าเลี้ยงสัตว์เลี้ยงก็ต้องเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก นี่เป็นความรู้ที่ผิด เพราะพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้ใช้ได้ทั่วโลก และไม่ได้ใช้ได้กับสัตว์เลี้ยงทุกชนิด
นกมีพฤติกรรมแบบนี้ สุนัขก็มีพฤติกรรมแบบนี้ นกและสุนัขที่เลี้ยงตั้งแต่เล็กจนโตแล้วยิ่งสนิทกับเจ้าของจริงๆ แต่แมวไม่มีพฤติกรรมแบบนี้ พูดลงลึกกว่านั้นคือ ตอนนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะยืนยันว่าแมวมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่
สนิทกับคนมากกว่าเป็นเรื่องดีไหม? ก็ไม่แน่
ยกเด็กมาเป็นตัวอย่าง เด็กสนิทกับพ่อแม่ที่สุด เรื่องนี้เขาไม่เห็นต่าง แต่หลังจากเด็กเริ่มเข้าโรงเรียน กลับเชื่อฟังคำพูดของคุณครูมากกว่าเสมอ คุณครูพูดคำเดียวมีประโยชน์กว่าพ่อแม่พูดหลายสิบคำอีก
สุนัขก็คล้ายกัน สุนัขที่เลี้ยงตั้งแต่เล็กสนิทกับคนมากกว่าจริงๆ แต่ว่าสุนัขต้องการการฝึกสอน ไม่ควรเอาแต่เอาใจสุนัขเพียงอย่างเดียว สุนัขไม่ควรเห็นเจ้าของเป็นพ่อแม่ แต่ควรเห็นเจ้าของเป็นเจ้านาย เห็นเจ้าของเป็นคุณครูที่น่าเคารพ ดังนั้นพอสุนัขโตขึ้นหน่อยค่อยพากลับมาเลี้ยงที่บ้าน สะดวกต่อการฝึกมากกว่า และทำให้สุนัขเข้าใจตำแหน่งที่เป็นลำดับขั้นของมันในบ้านได้มากกว่า เพื่อกันไม่ให้บ้าคลั่งขึ้นมาแล้วไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่
เรื่องที่สุนัขตัวใหญ่รื้อบ้าน สุนัขตัวเล็กวิ่งซนฉี่ไปทั่วและกัดไปทั่วพวกนั้น มักจะทำให้เจ้าของกลายคนต้องปวดหัวเสมอ และไม่มีวิธีจัดการดีๆ ซึ่งเหตุผลหลักก็คือสุนัขถูกพากลับบ้านมาตั้งแต่ยังเล็กเกินไป พฤติกรรมฝังใจทำให้พวกมันเห็นเจ้าของเป็นพ่อแม่ แน่นอนว่าอยู่ต่อหน้าพ่อแม่แล้วออดอ้อนได้เต็มที่
ทำให้เจ้าของโกรธแล้วโดนตีจะทำอย่างไรได้? คุณดูเด็กดื้อพวกนั้นสิ มีคนไหนกลัวพ่อแม่ตีบ้าง?
เด็กดื้อก็เหมือนสุนัขที่เห็นเจ้าของเป็นพ่อหรือแม่ ยิ่งตี ยิ่งดื้อ สุดท้ายจัดการไม่ได้ ก็ไม่ได้ผลอะไร
ถ้าเจ้าของเห็นสุนัขเป็นลูกเหมือนกัน อย่างนั้นก็ยิ่งน่าเศร้ากว่าเดิม
ตอนที่ 1640 เริ่มจากศูนย์
ตัวอย่างพฤติกรรมฝังใจอันโดดเด่นก็คือ นกสัตว์เลี้ยงต้องเลี้ยงให้สนิทกับคน และต้องเลี้ยงตั้งแต่เล็ก แถมขังอยู่ในกรงตลอดไม่ได้ด้วย เจ้าของต้องเริ่มให้นมพวกมันแทนที่แม่ของพวกมันตั้งแต่ยังเป็นลูกนก กอบมันเล่นอยู่ในมือ ให้ลูกนกเสริมสร้างความประทับใจในตัวเจ้าของจากการสัมผัสมือเท้าและร่างกาย รวมถึงการสื่อสารทางภาษา เลี้ยงนกด้วยมือแบบนี้จนโตจะสนิทกับนกที่ถูกขังอยู่ในกรงมากกว่า ถึงขนาดเลี้ยงแบบปล่อยในบ้านได้เหมือนแมวเลยทีเดียว
เลี้ยงนกด้วยมือไม่ใช่งานง่ายๆ ลูกสัตว์หรือลูกนกชนิดไหนก็ต้องกินในปริมาณน้อยแต่กินหลายๆ มื้อทั้งนั้น หมายความว่าอย่างน้อยตอนกลางวันเจ้าของร้านต้องให้นมลูกนกสี่ถึงห้าครั้ง ตอนที่ยังเล็กเกินไปยังต้องใช้เข็มใส่ท่ออ่อนใส่เข้าไปในปากนก จนกว่ามันจะดื่มนมจากช้อนได้เอง พอโตขึ้นอีกหน่อยก็เข้าสู่ช่วงเกลียดนมแล้วก็จะดื่มยาก
ถ้าอยากเลี้ยงลูกแมวตัวหนึ่งตั้งแต่ยังเล็ก โดยเฉพาะลูกแมวที่ยังอายุไม่ถึงหนึ่งเดือนและยังไม่หย่านม ลำบากยิ่งกว่าเลี้ยงลูกนกเสียอีก เพราะอย่างไรนกก็ต้องหยุดพักตอนกลางคืน แต่ตอนกลางคืนลูกแมวกลับยิ่งมีชีวิตชีวา บางครั้งต้องให้นมยี่สิบครั้งในหนึ่งวัน
ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดบ่งบอกว่าแมวมีพฤติกรรมฝังใจ และไม่มีหลักฐานบอกลูกแมวที่เลี้ยงตั้งแต่เล็กจะสนิทกับคนมากกว่าลูกแมวที่อายุสามสี่เดือน ไม่ว่าอย่างไรเวลามันอยากเมินเฉยก็ต้องเมินเฉย…
เสี่ยวหวางกับเถียนเถียนฟังแล้วก็อดท้อใจไม่ได้ นี่ไม่เหมือนกับที่พวกเขาจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง ทีแรกตั้งความหวังไว้สูงมาก แต่ความจริงกลับตบหน้าพวกเขาจนหูอื้อ
“หรือว่า…เลี้ยงหมาดีกว่า?” เสี่ยวหวางเสนอ
เถียนเถียนกลับใช้ความรู้สึกของหญิงสาว ถามด้วยความกระวนกระวายว่า “เจ้าของร้านจางคะ คุณบอกว่าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด หมายความว่ายังไม่แน่นอนใช่ไหมคะ”
มุมมองนี้เจ้าเล่ห์มาก จางจื่ออันก็ทำได้แค่ยอมรับ “ยังไม่แน่นอนก็จริง เพราะผู้คนไม่รู้ว่าในหัวของแมวกำลังคิดอะไร ไม่ว่าเลี้ยงตั้งแต่เล็กจนโต หรือรับเลี้ยงกลางคัน แมวเมินคุณก็เป็นเรื่องปกติ และถึงแม้ชอบคุณก็อาจจะไม่แสดงออกมา ดังนั้นถึงเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ยังจนใจ”
“แต่ตอนแมวยังเด็กติดคนจริงๆ ส่วนโตแล้วก็ไม่แน่” เขาเสริม
จ้าวฉีพูดแทรก “หลานหลานของฉันยังชอบฉันมากเหมือนเดิม ฉันรู้สึกได้”
เสี่ยวหวางกับเถียนเถียนพึมพำปรึกษากันด้วยความลำบากใจพักหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่มีความเห็นที่เป็นเอกฉันท์
ตอนนี้เอง หลู่อี๋อวิ๋นก็นำนมแพะที่อุณหภูมิเหมาะสมกลับมาแล้ว เธอไม่แน่ใจว่าลูกแมวดูดนมได้เองไหม นอกจากขวดนมแล้ว เธอยังนำหลอดเข็มฉีดยามาด้วย
เสี่ยวหวางกับเถียนเถียนเพิ่งจะพบ ว่ากล่องรองเท้าบนเคาน์เตอร์เก็บเงินกล่องนั้นไม่ได้ทิ้งไว้เรื่อยเปื่อย คิดไม่ถึงว่าข้างในยังมีลูกแมวที่สงบเสงี่ยมอยู่ตัวหนึ่ง
ไม่ว่าโตแล้วหน้าตาน่าเกลียดแค่ไหน ลูกสัตว์ตอนเด็กส่วนใหญ่ก็น่ารักมากทั้งนั้น โทษไม่ได้หรอกที่หลายๆ คนอยากเลี้ยงสัตว์เลี้ยงตั้งแต่มันยังเล็ก เพื่อเก็บช่วงเวลาวัยเด็กที่ผ่านไปแล้วไม่ย้อนคืนกลับมาเอาไว้ ถึงรู้ดีว่าเลี้ยงตั้งแต่เล็กแล้วต้องเหนื่อยมาก แต่กลับยังแย่งกันตามหา
จ้าวฉีที่มีแมวแล้วตาเป็นประกายทั้งสองข้าง เธอก็เพิ่งเคยเห็นลูกแมวที่เด็กขนาดนี้เป็นครั้งแรก ทั้งยังน่ารักน่าทะนุถนอมขนาดนี้ กระตุ้นความเป็นแม่และความต้องการอยากปกป้องของเธอขึ้นมาอย่างไม่มีขีดจำกัด
“เหมือนขนมปังคัสตาร์ดไหม”
คำพูดเดียวของเถียนเถียนบ่งบอกนิสัยกินเก่งของเธอแล้ว แต่ก็คล้ายอยู่หลายส่วนจริงๆ สีสันของลูกแมวส้มตัวนี้จางมาก ใกล้เคียงกับสีน้ำตาลอ่อน สงบเสงี่ยมมาก ตอนที่ทุกคนคุยกันก็ไม่กล้าส่งเสียงดังสักแอะ จนกระทั่งได้กลิ่นนมแพะในขวดนมถึงจะร้องเมี๊ยวๆ เสียงเบาขึ้นมาสองเสียง
“น่ารักจริงๆ!”
จ้าวฉีถือโอกาสตอนให้มันดื่มนม เอื้อมมือไปลูบมัน จากนั้นก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เอ๋? ในร้านของคุณมีแมวส้มแบบนี้ได้ยังไง แม่ของมันล่ะ?”
“มันเป็นแมวที่ผมเก็บกลับมาตอนเพิ่งเปิดร้านเมื่อเช้า มีคนมาทิ้งมันไว้ที่หน้าร้าน” จางจื่ออันอธิบายง่ายๆ
“อืม…งั้นคุณคิดจะทำยังไง” จ้าวฉีถามอีก “ดูแลแมวที่เด็กขนาดนี้ยุ่งยากมากไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ ตอนนี้ก็ต้องเลี้ยงไปก่อนแหละ ไม่มีทางอื่น ยุ่งยากก็แค่เดือนแรกนั่นแหละ หลังจากนั้นดื่มนมและกินอาหารได้เองแล้ว ถึงตอนนั้นดูว่าใครอยากเลี้ยงก็ให้คนนั้นไป…ไม่มีใครเอาก็ค่อยว่ากัน” เขาตอบตามความจริง
จ้าวฉีคว้าโอกาสไว้ แล้วยุเสี่ยวหวางกับเถียนเถียนว่า “เป็นยังไง? หรือพวกคุณจะเลี้ยง? ลูกแมวตัวนี้น่ารักมาก เลี้ยงไปแล้วอาจจะคุ้นเคยกันก็ได้ ทีแรกก็คงลำบากหน่อย…แต่ไม่เป็นไร ถือว่าฝึกฝนเพื่อดูแลลูกน้อยในอนาคตไง”
คู่รักหน้าแดงระเรื่อ แม้พวกเขาจะอยู่บ้านเดียวกันแล้ว แต่ไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้น อีกอย่างความจริงพวกเขาใจอ่อนแล้ว พวกเขาอยากเลี้ยงลูกแมวตัวหนึ่ง แต่เห็นว่าลูกแมวในร้านขายสัตว์เลี้ยงพวกนี้โตเกินไป อยากหาลูกแมวที่พวกเขาคาดหวังไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ลูกแมวส้มตัวนี้เหมือนจะเหมาะสมทีเดียว แถมมันก็น่ารัก ไม่ต้องเสียเงิน รู้สึกว่าพลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้วคงจะไม่ได้เจออีก
พวกเขาสบตากันครั้งหนึ่ง หลังจากแลกเปลี่ยนสายตากันแล้ว สุดท้ายเถียนเถียนก็ยื่นข้อเสนอให้จางจื่ออันว่า “งั้น…พวกเราอยากเลี้ยงแมวตัวนี้ ได้ไหมคะ”
จางจื่ออันเป็นห่วงมือใหม่ด้านการเลี้ยงแมวอย่างพวกเขาสองคน ให้คนที่ไม่เคยเลี้ยงแมวมาเลี้ยงแมวเด็กขนาดนี้ทันที จะเลี้ยงรอดไหมนะ
จ้าวฉีรับประกันแทนพวกเขาราวกับจะดูแลทุกอย่างเอง “พวกเขาถนัดเรื่องเรียนรู้ไวนะคะ แถมมีความรับผิดชอบด้วย ฉันจะเจียดเวลาสอนพวกเขาว่าเลี้ยงแมวยังไง คุณไม่ต้องกังวลนั่นนี่หรอก”
เถียนเถียนก็พูดเสริมอย่างกระตือรือร้น “ฉันทำหน้าที่ขนส่งจัดการโกดัง ปกติค่อนข้างว่าง มีห้องทำงานเป็นของตัวเอง แอบพามันไปทำงานได้ค่ะ ไม่ค่อยมีใครสนใจ ถ้ามันไม่หิว มันก็ไม่ร้องเท่าไร คนอื่นไม่มีทางรู้หรอกค่ะ”
จางจื่ออันดูออกว่าคู่รักคู่นี้ค่อนข้างมั่นคง ไม่ใช่คนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าใจร้อน ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่ใช่พวกชอบใช้เงินเดือนหมดก่อนที่เงินเดือนครั้งต่อไปจะออกเหมือนจ้าวฉี นี่บ่งบอกว่าพวกเขาวางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างดี อดกลั้นการใช้เงินสนองความต้องการของตัวเองได้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดคำพูดนี้กับจ้าวฉี ไม่อย่างนั้นเธอต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ แล้วบอกว่าฉันหาเงินมาได้เองก็อยากใช้ ไปเกี่ยวกับใครที่ไหน?
เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพนักหน้า “งั้นก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องมีคนหนึ่งอยู่ที่นี่ในวันนี้ เพื่อเรียนรู้การดูแลลูกแมว”
“พวกเราจะอยู่ทั้งสองคนเลยค่ะ ถึงยังไงวันนี้ก็ไม่มีธุระอะไร” เถียนเถียนดีอกดีใจ ตอบตกลงทันที “เรียกมันว่าไหน่หวงเปา (ขนมปังคัสตาร์ด) แล้วกัน!”
เสี่ยวหวางเหมือนอยากพูดแต่ก็ต้องหยุด ถึงอย่างไรผู้ชายก็อยากขลุกอยู่ในบ้านเล่นเกมและดูฟุตบอลในช่วงสุดสัปดาห์ แต่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองทำให้แฟนสาวโกรธ จึงกลั้นใจไม่พูดออกไปดีกว่า จะได้ไม่หาเรื่องใส่ตัวแล้วยังต้องง้อแฟนสาวอีก อย่างนั้นเวลาว่างของวันหยุดสุดสัปดาห์ครั้งหน้าก็ต้องหมดสิ้นแล้ว…
จางจื่ออันแค่ทำเป็นไม่เห็นสีหน้าว้าวุ่นของเขา ระหว่างดูแลลูกแมวกับดูแลผู้บริโภคสองคนที่ไม่ได้ซื้อของที่ร้าน เขาทำได้แค่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
เขาขยิบตาให้หลู่อี๋อวิ๋นครั้งหนึ่ง ความหมายคือให้เธอส่งขวดนมในมือให้พวกเขา แล้วเริ่มสอนพวกเขาจากศูนย์
ตามหลักการแล้ว ตอนนี้จ้าวฉีไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เธอที่ต้องเรียนรู้ว่าจะดูแลลูกแมวอย่างไร แต่เธอยังไม่ไป ทว่าสังเกตพวกลูกแมวที่กำลังกินข้าวกลางวัน เหมือนยังมีธุระอื่นอีก
ตอนที่ 1641 เบื่ออาหารในฤดูร้อน
ร้านขายสัตว์เลี้ยงไม่ได้มีพื้นที่กว้างมาก ที่ว่างส่วนใหญ่ถูกใช้สอยอย่างเป็นประโยชน์ทั้งหมด จัดวางตู้โชว์และเหลือที่ว่างให้พวกลูกแมวได้เดินเล่นมากพอ ตอนนี้ในร้านมีผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่ผู้บริโภคเพิ่มขึ้นมาสามคน เป็นผู้ใหญ่ที่ปล่อยปริมาณความร้อนออกมาไม่หยุดทั้งสามคนเสียด้วย พอนึกถึงมิเตอร์ไฟฟ้าที่หมุนอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้จางจื่ออันร้อนใจมาก
“คุณยังมีธุระอะไรอีกไหม”
เขาจึงถามจ้าวฉีเสียเอง ความหมายโดยนัยคือ ‘ถ้าไม่มีธุระแล้ว ก็ไปจัดการเรื่องของคุณเถอะ อย่าแผ่ไอความร้อนอยู่ที่นี่เลย’
จ้าวฉีถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง “คุณชักจะเอาใหญ่แล้วนะ ยังไม่มีลูกค้าเข้าไม่ใช่เหรอ? จะส่งแขกแบบนี้เลย?”
“ใช่ที่ไหนล่ะ? ผมมองลูกค้าเท่าเทียมกันหมดนั่นแหละ” จางจื่ออันพูดอย่างเข้มงวด
“แต่พวกฉันไม่ได้บริโภคก็เลยไม่นับว่าเป็นลูกค้าสินะ?” เธอมองบนครั้งหนึ่ง “ช่างเถอะ ยังไงฉันก็เกลียดอากาศร้อน ไม่อยากอยู่นานอยู่แล้ว แต่ฉันอยากถามหน่อย ช่วงนี้หลานหลานมีอาการผิดปกตินิดหน่อย คุณช่วยคิดหน่อยสิว่าต้องพาไปหาหมอไหม นี่นับเป็นบริการหลังการขายใช่ไหม?”
“เอ๋? ผิดปกติยังไง” เขาถาม “คุณพูดให้ชัดเจนก่อนสิ ผมถึงจะเสนอความเห็นได้”
ตามที่จ้าวฉีพูด หลานหลานกินอาหารจนอ้วนท้วนเล็กน้อย และเดิมทีบริติช ช็อตแฮร์ก็มีหน้ากลม พอตอนที่เธอสังเกตอีกที น้ำหนักของหลานหลานก็เกินมาตรฐานไปมากแล้ว เธอรู้จากจางจื่ออันว่าแมวอ้วนเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เหมือนกับคนที่อ้วนเกินไปนั่นแหละ แต่แมวอ้วนกลับลดน้ำหนักยุ่งยากกว่าคนอ้วน อาศัยแค่การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยเฉพาะแมวพันธุ์บริติช ช็อตแฮร์ที่ไม่ชอบเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงทำได้แค่กินให้น้อยลง
ลดปริมาณอาหารลงในทันทียิ่งทำให้แมวมีการตอบสนองที่รุนแรง เกิดไขมันพอกตับ ดังนั้นเธอจึงว้าวุ่นใจทีเดียวว่าต้องค่อยๆ ลดน้ำหนักหลานหลานอย่างไรดี
แต่จากการตรวจสอบ เธอพบว่าช่วงนี้ปริมาณอาหารของหลานหลานลดลงแล้ว อาหารแมวที่กินปกติพวกนั้นเหลืออยู่จำนวนหนึ่งอยู่เสมอ หรือว่ามันก็รู้ว่าตัวเองควรจะลดน้ำหนักเหมือนกัน?
น้ำหนักตัวของหลานหลานเริ่มลดลงจริงๆ แถมยังลดน้ำหนักด้วยความเร็วคงที จ้าวฉีเห็นแบบนี้ก็ดีใจทีเดียว มันเองลดการกินอาหารได้แล้ว บ่งบอกว่ามันกินอิ่มแล้ว นี่ไม่เหมือนกับการถูกบังคับลดปริมาณอาหาร ไม่น่าทำให้เกิดการตอบสนองรุนแรง
ในเมื่อไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณอาหารแล้ว นี่นับเป็นเรื่องดี แต่เธอก็พบว่าปริมาณการดื่มน้ำของหลานหลานก็ลดลงไปด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องดีนัก เธอเคยถามจางจื่ออันผ่านทางวีแชทแล้ว แต่เขาอยู่ในป่าเรดวูดตลอดช่วงนั้น จึงไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ พอมีสัญญาณก็ได้รับข้อความ วีแชท และอีเมลนับร้อยนับพันทันที เขาทำได้แค่เลือกตอบอันที่สำคัญ และมองข้ามคำถามเรื่องสัตว์เลี้ยงของเธอและลูกค้าคนอื่นไป
“ก่อนหน้านี้หลานหลานดื่มน้ำได้ประมาณสามร้อยถึงสี่ร้อยมิลลิลิตร ตอนนี้น่าจะดื่มแค่สองร้อยถึงสามร้อยมิลลิลิตร แบบนี้ปกติไหม” เธอถาม
“ไม่ปกติ ยิ่งอากาศร้อน ก็ยิ่งต้องดื่มน้ำเยอะสิถึงจะปกติ ทุกวันต้องดื่มน้ำปริมาณห้าสิบมิลลิตรต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมเป็นมาตรฐาน คุณคำนวณดูเองได้ว่าถึงมาตรฐานหรือเปล่า ผมว่าหลานหลานของคุณเหมือนจะเบื่ออาหารในช่วงฤดูร้อนแล้วล่ะ อารมณ์ไม่ค่อยดีด้วยใช่ไหม อุณหภูมิที่บ้านคุณเท่าไร” เขาถาม
“เอ่อ…น่าจะประมาณยี่สิบแปดองศา” จ้าวฉีไม่ค่อยแน่ใจ “แต่บ้านฉันไม่ใช่แอร์ส่วนกลางนะ ยังไงก็ต้องมีบางห้องร้อนบ้างนิดหน่อย บางห้องเย็นนิดหน่อย ฉันขี้หนาวซะด้วยสิ เลยไม่ได้ปรับแอร์ให้ต่ำเกินไป แล้วตอนที่ฉันออกไปทำงานและไม่อยู่บ้านตอนกลางวัน ก็ไม่ได้เปิดแอร์ทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เปิดหน้าต่างให้ลมโกรก ไม่งั้นค่าไฟ…”
“น่าจะเป็นเพราะว่าร้อน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแมวในฤดูร้อนคือยี่สิบห้าองศา ต่ำกว่าคน เพราะพวกมันมีขน ลูกแมวเคลื่อนไหวเยอะมาก แอร์ที่นี่อุณหภูมิยี่สิบสี่องศาหมดทุกเครื่อง” เขาชี้หน้าจอแอลอีดีบนหน้าปัดเครื่องปรับอากาศ
“มิน่าล่ะฉันถึงรู้สึกเย็น…” จ้าวฉีใส่เสื้อผ้าเยอะแยะเพื่อป้องกันแดด ทีแรกจึงไม่รู้สึกว่าอุณหภูมิที่นี่กับที่บ้านเธอแตกต่างกันมาก
“งั้นบ้านฉันก็ต้องปรับเป็นยี่สิบห้าองศาใช่ไหมคะ” เถียนเถียนตั้งใจเงี่ยหูฟังบทสนทนาของพวกเขาตลอด จึงรีบถือโอกาสถาม
“อย่าเลย อุณหภูมิบ้านคุณห้ามต่ำกว่าสามสิบองศา เพราะลูกแมวยังปรับอุณหภูมิในร่างกายไม่ค่อยได้ แถมขนยังสั้นมากด้วย ปล่อยให้มันถูกความเย็นไม่ได้” จางจื่ออันห้ามทันควัน
“สามสิบองศา…” เสี่ยวหวางทำหน้าตาหมดหวัง ผู้ชายค่อนข้างขี้ร้อน อุณหภูมิสามสิบองศาในฤดูร้อนยังเปิดเครื่องปรับอากาศไม่ได้อีก เล่นเกมแล้วคงทรมานน่าดู
จางจื่ออันสอบถามอย่างละเอียดอีกสองสามคำ และได้รู้รายละเอียดเรื่องหนึ่ง ตอนจ้าวฉีอยู่ที่บ้าน ถ้าหลานหลานกินอาหารแมวไม่หมด เธอจะจัดการอาหารแมวที่เหลืออย่างรวดเร็ว ป้องกันไม่ให้เรียกแมลงในฤดูร้อน ถึงแม้ไม่เรียกแมลง อาหารแมวสัมผัสอากาศโดยตรงได้รับความชื้นแล้วก็จะเปลี่ยนรูปทรงได้ง่าย
แต่ความจริงแล้วนี่เป็นวิธีที่ผิด แมวเป็นสัตว์หากินตอนกลางคืน กินอาหารในตอนกลางคืนอันมืดมิด แต่เนื่องจากอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ จึงต้องฝืนปรับตัวให้เข้ากับเวลาทำงานและพักผ่อนของมนุษย์ แมวไม่รู้เวลาที่แม่นยำ อาศัยความมืดของแสงแดดมาตัดสินเวลา ฤดูร้อนที่ตอนแดดส่องยาวนานขึ้นและร้อนมาก นาฬิกาชีวิตของพวกมันก็คลาดเคลื่อนตาม กินอาหารแมวไม่หมดไม่ใช่เพราะพวกมันกินอิ่มแล้ว แต่เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลากินข้าวต่างหาก หรือเลยเวลากินข้าวไปแล้ว ดังนั้นต้องปรับเวลาให้อาหารในช่วงฤดูร้อน หรือเพิ่มการบังแสงในบ้าน ตอนกลางวันที่คนไม่อยู่บ้าน ถึงแม้ไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ อย่างน้อยก็ต้องเปิดหน้าต่างและเปิดพัดลม และแตรียมกระจกหรือแผ่นกระเบื้องที่ไม่มีขอบแหลมและมุมแหลม ให้แมวนอนคลายร้อนตอนที่ร้อนเกินไป
ส่วนดื่มน้ำ แมวไม่ชอบดื่มน้ำก็เป็นเรื่องที่แก้ยากมาเนิ่นนาน ตอนนี้ทำได้แค่ใช้มินต์แมวแล้ว ฉีกมินต์แมวเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่เข้าไปในน้ำ วิธีที่ดีกว่านั้นคือทำนมเปรี้ยวมินต์แมว ชีสจะละลายน้ำตาลแลคโตสในนม ถึงแม้เป็นแมวที่รับน้ำตาลแลคโตสไม่ได้ก็ไม่มีปัญหา ทั้งมีประโยชน์ ทั้งมีรสชาติ ถึงคนดื่มไปก็ไม่มีปัญหา แต่อาจจะรับระดับความเปรี้ยวไม่ได้
“เดี๋ยวก่อน หลานหลานของฉันเหมือนจะไม่ชอบมินต์แมว” จ้าวฉีขมวดคิ้ว “ฉันเคยลองใช้มินต์แมวแหย่มัน แต่มันไม่ตอบสนองอะไรเลย ไม่ชอบกลิ่นของมินต์แมวหรือเปล่า”
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เหมือนกัน แมวบางตัวไม่ชอบมินต์แมวมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่เป็นไร ลองหญ้าแมวอย่างอื่นก็ได้ หญ้าแมวไม่ได้มีแค่มินต์แมว ยังมีต้นอ่อนข้าวสาลี ต้นข้าวสาลี อัลฟัลฟา และอื่นๆ ลองดูหลายๆ อย่าง ต้องมีสักอันที่แมวชอบ อย่าเอาต้นอ่อนข้าวสาลีกับต้นข้าวสาลีปนกันก็พอแล้ว”
เสี่ยวหวางกับเถียนเถียนพยายามวิเคราะห์บทสนทนาของจางจื่ออันกับจ้าวฉี ในนั้นมีหลายอย่างที่แปลกใหม่มากสำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงแมวอย่างพวกเขาสองคน
ตอนจางจื่ออันกำลังพูดก็เป็นห่วงความรู้สึกของพวกเขา พยายามพูดให้ชัดเจนเข้าใจง่ายมากที่สุด พวกเขาเลี้ยงลูกแมวต้องเจอกับความยากลำบากที่ยากจะจินตนาการได้ เนื่องจากไม่มีการชี้นำของแม่แมว พอลูกแมวโตขึ้นหน่อยก็จะเจอสภาพยากลำบากเพราะไม่มีการคบค้าสมาคม ไม่รู้จักการเก็บกรงเล็บ ไม่ถนัดอยู่ร่วมอยู่กับแมวตัวอื่น อารมณ์ขึ้นลงรุนแรง และอื่นๆ บางทีอาจจะไม่ยอมเข้าห้องน้ำด้วยตัวเอง…เรื่องพวกนี้ต้องสอนมันอย่างอดทน และถึงแม้อดทนสอนไปตั้งมาก แต่ผลลัพธ์ก็ยังได้แค่น้อยนิด ถึงอย่างไรคนก็ไม่ใช่แมว แทนที่แม่ของมันไม่ได้ ทำได้แค่หวังว่าคู่รักคู่นี้จะยืนหยัดสู้ไปได้
ตอนที่ 1642 เพื่อนร่วมงานเก่า
หลายวันต่อมา
ข่าวการกลับมาของจางจื่ออันแพร่สะพัดไปในกลุ่มเพื่อนแล้ว ลูกค้าเก่าที่เหมือนจ้าวฉีบางคนก็พาเพื่อนสนิทที่อยากซื้อสัตว์เลี้ยงมา แม้แฟนคลับของเฟยหม่าซือจะน้อยลงกว่าช่วงที่ภาพยนตร์ได้รับความนิยม แต่จากช่วงที่ฉาย ‘ยอดสุนัขพิทักษ์สมรภูมิ’ อยู่เรื่องเดียว และการฉายไปบนแพล็ตฟอร์มอินเทอร์เน็ต ก็มีแฟนคลับใหม่ไม่น้อยที่มาจากแดนไกลพันลี้เพื่อถ่ายรูปคู่กับมัน คนที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงจึงร้อนเหมือนอากาศด้านนอก
แต่ถึงแม้มีช่วงอากาศร้อนหลังจากฤดูใบไม้ผลิ แต่ฤดูกาลนี้จะไม่ร้อนจนหายใจไม่ออกเหมือนในฤดูร้อนแล้ว
การเปลี่ยนจากฤดูร้อนเป็นฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่มีไต้ฝุ่นตามทะเลสูงมาก ก่อนเขาไปอเมริกาก็กังวลว่าไต้ฝุ่นจะขึ้นมาที่เมืองปินไห่หรือเปล่า ดีที่ก่อนหน้านี้ไต้ฝุ่นลูกนั้นเปลี่ยนทิศทางไปในที่สุด
ไต้ฝุ่นอาจจะทำให้น้ำไม่ไหลและไฟดับ ร้านสัตว์เลี้ยงยังดีอยู่ หลังจากน้ำไม่ไหลและไฟดับอย่างมากก็มีกลิ่นเหม็นเล็กน้อย แต่พอพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเกิดน้ำไม่ไหลขึ้นมา ถ้าหากไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า สัตว์ทะเลที่อาศัยสภาพแวดล้อมอุณหภูมิต่ำพวกนั้นอาจจะประสบกับหายนะ
ตอนนี้เขาต้องนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์เวลาเดิมทุกเย็น เพื่อดูพยากรณ์อากาศกับเหล่าฉา
เมื่อวานเย็นเขายกชามขนาดใหญ่มาพุ้ยบะหมี่เย็นเข้าปากไปด้วย ดูพยากรณ์อากาศไปด้วย เห็นผู้ประกาศสวยเพียบพร้อมดึงภาพแผนที่ไปยังน่านน้ำทะเลทางใต้อย่างที่คาดเอาไว้ บอกว่ามีกลุ่มก้อนเมฆความกดอากาศต่ำเขตร้อนกำลังเคลื่อนที่ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
เผชิญหน้าพายุลูกเห็บที่น่าประหลาดในป่าเรดวูดมาแล้วครั้งหนึ่ง เขากลับมาบรรยายภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นให้คนอื่นฟัง บอกว่ามีลูกเห็บขนาดใหญ่เท่าเก้าอี้กระแทกลงมาดังโครม คนอื่นต่างก็ไม่เชื่อทั้งนั้น คิดว่าเขาเล่นลูกไม้อีกแล้ว น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาลืมถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ คำพูดไม่มีหลักฐาน เปลี่ยนเป็นเขาฟังคนอื่นพูดอย่างนี้ก็คงจะไม่เชื่อเหมือนกัน
ผ่านเรื่องพวกนี้มาแล้ว เขาก็หวาดกลัวต่อสภาพอากาศอย่างยิ่ง คิดจะถือโอกาสก่อนที่ไต้ฝุ่นจะมาจริงๆ เสริมความแข็งแรงให้ประตูและหน้าต่าง และทำหลังคาซ้อนอีกชั้นบนหลังคา ถึงอย่างไรก็เป็นบ้านเก่าแล้ว
หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรทำ เขาจึงเดินไปคิดเรื่องนี้ข้างนอก คิดดูว่าจัดการอย่างไรดีกว่ากัน
วันนี้ฟ้าครึ้ม ไม่นับว่าร้อน ความแรงลมประมาณสามถึงสี่ระดับ นับเป็นอากาศดีที่เหมาะกับการออกไปข้างนอก ขอแค่ฝนไม่ตกหนักก็พอ
“พ่อหนุ่มจาง ปรับแต่งบ้านอยู่เหรอ”
เสียงหนักเหมือนระฆังใหญ่เสียงหนึ่งพลันดังมาจากด้านหลัง
จางจื่ออันหันกลับไปมอง เห็นแค่ชายวัยกลางคนมีชีวิตชีวาสองคนจับรถและใช้เท้ายันยืนอยู่ข้างถนน คนหนึ่งขี่จักรยานไฟฟ้า คนหนึ่งขี่จักรยานธรรมดา นั่นคือช่างเชื่อมจ้าวและช่างไฟฟ้าอู๋ที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ที่ทักทายเขาก็คือช่างเชื่อมจ้าว แม้จะตัวเตี้ย แต่เสียงดัง ฟังแค่เสียงอย่างเดียวยังคิดว่าเป็นชายชาตรีที่ห้าวหาญ
“สวัสดีเสี่ยวจาง! ไม่เจอกันนานเลย” ช่างไฟฟ้าอู๋ก็โบกมือให้เขา
“โอ้ ที่แท้ก็คุณจ้าวกับคุณอู๋นี่เอง! เข้าไปนั่งข้างในร้านไหมครับ ข้างในเปิดแอร์นะครับ เย็นสบายเลย” จางจื่ออันเชิญอย่างมีมารยาท
ครั้งก่อนที่เจอสองคนนี้ เกิดเรื่องในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ต้นฤดูร้อน ตอนนั้นช่างเชื่อมจ้าวเพิ่งรอดชีวิตจากการเก็บพาลีทอกซินกลับมา ด้วยเขาเห็นแก่ของถูก ซื้อสัตว์น้ำจำนวนหนึ่งมาจากร้านขายสัตว์น้ำที่ถูกการอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ตรวจสอบเพื่อที่จะอายัดเพราะขายเพราะขายดอกไม้ทะเลมีพิษ ผลสุดท้ายทำให้ปลาบลูแทงค์หลายตัวตกอยู่ในอันตราย เป็นจางจื่ออันที่ตอบรับคำเชิญของช่างไฟฟ้าอู๋ พาวลาดิเมียร์ไปพบเขาถึงที่บ้าน
ที่จริงร้านขายสัตว์น้ำร้านนั้นก็เสียเปรียบทีเดียว เพราะขั้นตอนการนำเข้าของร้านขายสัตว์น้ำไม่เหมือนกับร้านขายสัตว์เลี้ยงทั่วไป หลายๆ ครั้งนำเข้าตามน้ำหนักตู้ โดยเฉพาะสัตว์น้ำที่พบเห็นได้ง่ายพวกนั้น ต่างก็ขายปริมาณมากในราคาต่ำทั้งนั้น เพื่อให้สะดวกต่อการคิดเงินตามน้ำหนัก ไม่มีเวลาตรวจสอบละเอียดว่ามีปลาหรือกุ้งอย่างละกี่ตัว จึงเลี่ยงแขกที่ลักลอบเข้ามาได้ยาก
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของจางจื่ออันไม่คิดอย่างนี้ สัตว์น้ำในร้านของเขาเป็นสัตว์ที่เขาเก็บมาจากริมทะเลด้วยมือตัวเองทั้งนั้น ไม่ได้ซื้อขายเป็นปริมาณมากในราคาถูก ยอมขาดแคลนดีกว่ามีของด้อยคุณภาพ อย่างน้อยก็แน่ใจว่าที่ตัวเองขายคืออะไร
ช่างไฟฟ้าอู๋กับช่างเชื่อมจ้าวตัวติดกันอยู่ตลอด ก่อนหน้านี้เป็นเพื่อนร่วมงานกันมาหลายปี หลังจากปลดเกษียณแล้วก็ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ได้ยินว่าหลังจากนั้นพวกเขามาที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของจางจื่ออันอยู่หลายครั้ง แต่จางจื่ออันบังเอิญอยู่ข้างนอกหรือไปต่างประเทศพอดี จึงไม่ได้เจอกันเลย ถึงอย่างไรพวกเขาก็ว่างงาน แค่มาดูว่าในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมีของแปลกมาใหม่หรือเปล่า พอวิจารณ์อย่างพอใจแล้วก็ไปพูดโม้กับเพื่อนคนอื่นๆ
“ไม่ล่ะๆ พวกเราผ่านมาเฉยๆ เห็นเสี่ยวจางกำลังเหม่ออยู่ ก็เลยทักทาย ไม่อยากเข้าไปรบกวนหรอก” ช่างไฟฟ้าอู๋ยิ้ม
จางจื่ออันสังเกตเห็นว่า ข้างหลังของพวกเขาสะพายกระเป๋าเก็บของทรงยาวใบหนึ่ง ดูจากรูปทรงก็บอกได้ว่าเป็นของใช้ออกกำลังประเภทไม้ตีกอล์ฟ แน่นอนว่าด้วยความขี้เหนียวของช่างเชื่อมจ้าว เขาไม่มีทางทุ่มเงินมากมายเล่นกอล์ฟแน่นอน นั่นเป็นกีฬาชั้นสูงของคนรวยและอภิสิทธิ์ชน
ช่างเชื่อมจ้าวทำหน้าบึ้ง แล้วพูดอย่างไม่เข้าใจ “อะไรเรียกว่ารบกวน? พวกเรากับเจ้าหนุ่มจางไม่ใช่คนแปลกหน้ากันสักหน่อย พวกเรามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน เรียกว่ารบกวนได้เหรอ? ต่อไปฉันอาจจะแนะนำผู้หญิงให้ไอ้หนุ่มสักคนก็ได้!”
“นายลืมไปซะเถอะ! นี่เรียกว่ามีมิตรภาพต่อกันได้ด้วย? นายอย่าทำขายหน้าหน่อยเลย!” ช่างไฟฟ้าอู๋ส่ายหน้าอย่างจนใจให้จางจื่ออัน
จางจื่ออันก็เข้าใจความขี้เหนียวของช่างเชื่อมจ้าว พฤติกรรมป่าเถื่อนและก้าวร้าว โดยเฉพาะการพูดโม้ ไม่หวาดหวั่นสิ่งใด ปากไม่มีหูรูด ไม่ว่าพูดอะไรต้องลดความน่าเชื่อถือลงสองส่วน ที่จริงคนนิสัยแบบนี้คบหาง่ายทีเดียว มีเรื่องอะไรก็พูดได้ตรงๆ เล่นสกปรกไม่ได้
เพื่อนร่วมงานเก่าสองคนนี้ผลัดกันพูดไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ดูเหมือนกันโกรธมากจนแทบจะต่อยหน้ากันได้ตลอดเวลา แต่ความจริงกลับไม่มีใครเก็บมาใส่ใจ เป็นเพียงการล้อเล่นทั้งนั้น แค่ดึงดูดสายตาของคนเดินถนนที่ไม่รู้ความจริงเท่านั้นเอง
“ทั้งสองคนจะไปเดินเล่นที่ไหนเหรอครับ” จางจื่ออันพูดแทรกขัดจังหวะพวกเขา ไม่ให้คนเดินถนนคิดว่าคนแก่สองคนนี้กำลังทะเลาะกันอยู่จริงๆ แล้วถ่ายคลิปวิดีโอโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ตให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่
ช่างเชื่อมจ้าวพลิกมือตีกระเป๋าเก็บของข้างหลัง แล้วแย่งตอบว่า “วันนี้อากาศใช้ได้ เลยนัดเพื่อนสองสามคนไปตกปลาริมทะเลด้วยกันน่ะ!”
“อ๋อ!”
จางจื่ออันเพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้พวกเขาสะพายคันเบ็ดตกปลานี่เอง แต่ตกปลาริมทะเลมีแค่คันเบ็ดตกปลาคงจะไม่ได้ แถมไม่ใช่การตกปลาแบบเจียงไท่กงที่ใช้คันเบ็ดไม่มีตะขอตกปลา อย่างน้อยต้องมีเหยื่อล่อปลา แต่เห็นพวกเขามามือเปล่า หรือว่าถึงชายทะเลแล้วค่อยขุดดินหาไส้เดือน? นี่ก็อาจจะเป็นไปได้ ดูจากด้วยความขี้เหนียวของช่างเชื่อมจ้าวแล้ว เขาคงทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ
ช่างเชื่อมจ้าวเดาได้ว่าเขาจะถามอะไร จึงพูดเสริมทันที “เพื่อนฉันพวกนั้นน่าจะมีรถ ขนของได้สะดวก พวกเขาบอกให้พวกฉันสองคนเอาคันเบ็ดตกปลาไปก็พอ ของอย่างอื่นพวกเขาจะเตรียมเอง”
ช่างไฟฟ้าอู๋รีบเกทับ “เสี่ยวจาง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นหรอก ทุกคนรู้กันดีว่าเหล่าจ้าวเขาเป็นคนยังไง เขาตัดใจซื้อคันเบ็ดตกปลาของตัวเองก็โชคดีมากแล้ว ทุกคนตั้งใจกำชับเบอร์ไม้ตกปลาด้วย ให้เขาซื้อจากร้านขายอุปกรณ์ประมงหรือบนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ห้ามเอาท่อนไม้มาเหลาเอง…”
แม้ว่าช่างเชื่อมจ้าวจะหน้าหนา แต่ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็แอบโกรธ “ไร้สาระ! นายคนตระกูลจ้าวอย่างฉันเป็นคนยังไง? ลืมมิตรภาพหลายปีมานี้ของพวกเราซะ! เลิกคบ! ต่อไปพวกเราเลิกคบกันไปเลย!”
เท่าที่จางจื่ออันเคยสัมผัสมา เขาก็คิดว่าช่างเชื่อมจ้าวเป็นคนแบบนั้นจริงๆ
ตอนที่ 1643 ตกปลาทะเล
ช่างไฟฟ้าอู๋ดูถูกความขี้เหนียวของช่างเชื่อมจ้าว ปลดเกษียณแล้วมีเงินไม่น้อยแท้ๆ มีประกันการรักษาพยาบาล มีบ้านของตัวเอง ไม่ได้กู้เงินสักก้อน ลูกชายและลูกสะใภ้ก็มีงานของตัวเอง ควรพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แม้จะไม่นับว่าเป็นคนร่ำรวย แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหาร ทำไมขี้เหนียวได้ขนาดนี้ล่ะ
คุณดูคนแก่ปลดเกษียณคนอื่น มีชีวิตอยู่อย่างสง่างามมาก หากอยากซื้อกล้องเอสแอลอาร์พร้อมกับเลนส์ยาวราคาหลายหมื่นก็ซื้อเลย ยังไม่ทันแม้แต่จะกะพริบตา จากนั้นก็เชิญเพื่อนไปชมนก ชมดอกไม้ คนที่มีเงินมากกว่านั้นหน่อยถึงขนาดซื้อรถออฟโร้ด สะพายกล้องนั่งรถข้ามทะเลทรายซาฮารา ควบม้าในทุ่งหญ้า เป็นช่วงชีวิตยามแก่อย่างแท้จริง มีทั้งเงินและเวลา ใช้ชีวิตได้อย่างสง่างามมากกว่าวัยรุ่น ปลดเกษียณไม่ต่างอะไรกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่
กลับมามองที่ช่างเชื่อมจ้าว จริงๆ เลย…ไม่รู้ว่าเก็บเงินไว้ทำอะไร ตอนเกิดไม่มีเงินติดตัวมาด้วย ตอนตายก็เอาไปไม่ได้เช่นกัน…
ช่างไฟฟ้าอู๋คับแค้นใจ จึงดึงจางจื่ออันไว้ช่วยเปิดเผยความลับของช่างเชื่อมจ้าว
ที่แท้ช่วงนี้เพื่อนๆ ของช่างเชื่อมจ้าวก็เริ่มตกปลาทะเลกัน จึงชวนช่างเชื่อมจ้าวไปตกปลาด้วยกัน ช่างเชื่อมจ้าวตกปลาไม่เป็น และไม่สนใจเรื่องการตกปลาทะเลอะไรนั่นหรอก แต่พอคิดดูแล้ว การตกปลาทะเลอาจจะตกปลาหายากบางอย่างได้ จะได้ไม่ต้องวิ่งมาดูปลาที่แปลกหายากแต่ซื้อไม่ได้ที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของจางจื่ออันเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง
เขาได้ยินว่าปลาที่ร้านของจางจื่ออันเป็นปลาที่รับซื้อมาจากชาวประมงละแวกนี้ พอชาวประมงหว่านแหจับปลาแปลกๆ มาได้ ก็จะมาขายให้จางจื่ออัน ในเมื่อชาวประมงหว่านแหจับปลาได้ อย่างนั้นพวกเพื่อนๆ ตกปลาก็ต้องตกขึ้นมาได้สักแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องจ่ายเงินสักหยวนเดียวเลยใช่ไหมล่ะ?
ช่างเชื่อมจ้าวตัดสินใจแล้ว แต่สีหน้ากลับมีข้อแก้ตัวต่างๆ เพราเขารู้ว่าเพิ่งเริ่มต้นต้องรวบรวมเงินซื้ออุปกรณ์ตกปลาทะเลจำนวนหนึ่ง ถ้าคิดจะตกปลาทะเลในระยะยาว อาจจะต้องรวบรวมเงินซื้อเรือหรือเช่าเรือ ทีแรกเขาจึงบอกปัดไปหลายครั้งว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีเวลา คิดจะรอรวบรวมเงินให้พอกับสิ่งของที่ควรซื้อแล้วค่อยตอบตกลง ทุกคนเป็นกรรมกรที่รู้จักกันมาหลายปี คงไม่ให้เขาเพิ่มเงินหรอกมั้ง?
แต่ที่จริงกลุ่มกรรมกรตกปลาริมทะเลตั้งขึ้นมาช่วงหนึ่งแล้ว ซื้อของที่ควรซื้อครบแล้ว จัดกิจกรรมตกปลาทะเลอย่างมีอุปสรรคก็หลายครั้ง ตอนนี้ช่างเชื่อมจ้าวหน้าหนาบอกอย่างชัดเจน ทุกคนจึงชวนเขา แล้วซื้อคันเบ็ดตกปลาเหมาะๆ มาก็พอ ช่างเชื่อมจ้าวจึงไปซื้อคันเบ็ดตกปลาที่ร้านขายอุปกรณ์ประมงด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ
ถึงตรงนี้ยังไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับช่างไฟฟ้าอู๋ เพราะปกติช่างไฟฟ้าอู๋ก็จัดตู้ปลาและมีหลานชายอยู่แล้ว ใช้ชีวิตสบายๆ และเต็มอิ่ม เขาได้ยินว่าเพื่อนกรรมกรที่ปลดเกษียณแล้วตั้งกลุ่มตกปลาริมทะเล แต่ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้
ทว่าช่างเชื่อมจ้าววิ่งมาถามที่ร้านขายอุปกรณ์ประมงครั้งหนึ่ง เขาก็อดตะลึงไม่ได้ เพราะคันเบ็ดตกปลาที่กลุ่มตกปลาริมทะเลกำหนดให้ซื้อมีราคาค่อนข้างแพง แค่คันเบ็ดเล็กน้อยก็ปาเขาไปเป็นพันหยวน ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนๆ กรรมกรกำชับนักหนา เขาอาจจะเหลาท่อนไม้สักท่อนเองจริงๆ คันเบ็ดตกปลาราคาเป็นพันหยวนนี้ก็เบาจะตาย เอาอะไรมาแพงกันล่ะเนี่ย?
เขาขอร้องอยู่หลายครั้ง เถ้าแก่ร้านขายอุปกรณ์ประมงกลับไม่ยอมอ่อนข้อ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ลดราคา สุดท้ายถูกลูกตื๊อของเขาจนหมดหนทาง เจอเขามารออยู่หน้าร้านนานแสนนานทุกวันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เนื่องด้วยส่งผลกระทบต่อการค้าขาย จึงใจอ่อนบอกว่าไม่ลดราคาคันเบ็ดตกปลาให้ แต่ถ้าคุณซื้อสองอันจะขายให้ในราคาส่ง
ช่างเชื่อมจ้าวนึกถึงช่างฟ้าอู๋ในทันที จึงวิ่งไปยุช่างไฟฟ้าอู๋ที่บ้าน บอกให้ไปตกปลาทะเลด้วยกัน ถ้าตกได้ปลาแปลกหายากก็ผลัดกันแบ่งๆ ไป
ช่างฟ้าอู๋ชี้หน้าต่อว่าเขาครั้งหนึ่ง บอกว่า ‘ทำไมมีเรื่องอะไรดีๆ ไม่คิดถึงฉัน เรื่องเสียเงินแบบนี้กลับคิดถึงฉันเหรอ? ไม่ไปหรอก’
ช่างเชื่อมจ้าวถูกเพื่อนต่อว่าตรงหน้ากลับยิ่งรังควานไม่เลิก ในตอนนั้นเขาพูดว่า ‘ถ้านายไม่ตกลงฉันจะมาขอกินข้าวที่บ้านนายทุกวัน’
ตอนนี้คนในครอบครัวของช่างไฟฟ้าอู๋ก็พูดโน้มน้าวให้เขาไปกับช่างเชื่อมจ้าว ครอบครัวเราไม่ใช่ว่าจะจ่ายเงินพันแปดร้อยหยวนนี้ไม่ได้
ทุกคนเห็นว่าการตกปลาเป็นกิจกรรมที่ดีมากสำหรับผู้สูงอายุ ทั้งฝึกจิตใจ เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และยังช่วยสร้างสังคมในวัยเกษียณ ไม่อย่างนั้นยิ่งอายุมาก ก็ยิ่งโดดเดี่ยว ส่วนเรื่องอื่นก็รองลงมา อย่างน้อยก็ดีกว่าไปกิน ดื่ม มั่วสาว และเล่นการพนันมาก ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงคนอื่นเหมือนการเต้นแอโรบิกที่จัตุรัส
ช่างไฟฟ้าอู๋หมดหนทาง และทำได้แค่ตอบตกลงไป จากนั้นก็ติดต่อกลุ่มตกปลาทะเล ถามพวกเขาว่ายังต้องการคนไหม หลังจากได้รับคำตอบที่แน่ชัด เขาก็ไปที่ร้านขายอุปกรณ์ประมงในวันต่อมา และทั้งสองคนก็ซื้อคันเบ็ดตกปลาในราคาที่หักส่วนลดแล้ว
เมื่อวานพวกเขาได้ข่าวว่าวันนี้กลุ่มตกปลาทะเลตั้งใจจะจัดกิจกรรมตอนบ่าย บอกให้พวกเขาสองคนเข้าร่วมด้วย
พอกินข้าวกลางวันเสร็จ พวกเขาสองคนก็จะปั่นจักรยานไปยังสถานที่นัดหมายตรงชายทะเล เพราะมีเวลาเหลือเฟือ ตอนผ่านร้านขายสัตว์เลี้ยงเห็นจางจื่ออันพอดี จึงหยุดทักทายเขาสักหน่อย
จางจื่ออันเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ทั้งยังนับถือความหน้าหนาของช่างเชื่อมจ้าวเพิ่มขึ้นอีก แม้แต่ขนหน้าแข้งของเพื่อนกรรมกรที่ทำงานร่วมกันมาหลายปีก็ยังดึงออกมาได้กำหนึ่ง
ช่างไฟฟ้าอู๋ถอนหายใจเสียงเฮ้อจากข้างๆ ส่ายหน้าพลางพูดว่าคบเพื่อนไม่ดี แม้แต่เขาก็เสียหน้าหมดแล้ว ตอนแรกช่างอู๋คิดจะบอกว่า ในเมื่อทุกคนเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมแล้ว หากไปมือเปล่าในครั้งก็คงจะดูไม่ดี อย่างน้อยซื้อเครื่องดื่มติดมือไปด้วยสองลังดีกว่า แต่ช่างเชื่อมจ้าวกลับใช้จักรยานที่พกพาของไม่สะดวกมาปฏิเสธเสียแล้ว
ช่างเชื่อมจ้าวหาเหตุผลให้ตัวเองเป็นพัลวัน บอกว่าช่างไฟฟ้าอู๋ใส่ร้ายทั้งหมด
แม้ทั้งสองคนจะพูดไม่หยุด แต่คนฉลาดมองปราดเดียวก็ดูมิตรภาพลึกซึ้งหลายปีระหว่างพวกเขาออก ไม่อย่างนั้นแขวะกันขนาดนี้คงคบกันต่อไม่ได้แล้ว
เพื่อเปลี่ยนหัวข้อ ช่างเชื่อมจ้าวจึงถามเสียงดังอีกครั้ง “ไอ้หนุ่มจาง เธอยังไม่ได้ตอบเลยนะ เมื่อกี้เธอจ้องร้านแล้วก็เหม่อ จะปรับโฉมร้านเหรอ?”
“อ๋อ เดี๋ยวจถึงฤดูไต้ฝุ่นแล้วไม่ใช่เหรอครับ เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิด ผมเลยคิดจะเสริมความแข็งแรงให้ประตูกับหน้าต่างทั้งสองร้านสักหน่อย แล้วก็จะทำที่ป้องกันน้ำบนหลังคาอีก ลมพัดพาต้นไม้โค่นได้ ผมเคยเห็นมากับตาแล้ว พอถึงตอนนั้น ท่อน้ำทิ้งกำจัดน้ำปริมาณมากขนาดนั้นไม่ได้ เพราะมีขยะอุดตันอยู่เต็มไปหมด ทั้งถนนจะกลายเป็นเขตที่น้ำเจิ่งนอง ออกจากบ้านก็ต้องพายเรือเล็ก อย่างรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์คงพังหมด…”
ช่างเชื่อมจ้าวขัดจังหวะคำพูดของเขา แล้วตีอกพูดเหมือนจะจัดการทุกอย่าง “ไอ้หยา! ที่แท้ก็เรื่องเล็กแค่นี่เอง…ไอ้น้องจางไม่ต้องกังวลใจ เรื่องนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง! เปลี่ยนประตูเป็นหน้าต่างบานเกล็ดที่เปิดปิดได้ ไม่ว่าลูกเห็บหรือก้อนหินที่ไต้ฝุ่นพัดมาก็ไม่มีทางกระแทกกระจกแตกได้ บนหลังคาก็ปูวัสดุกันน้ำสองสามชั้น รับรองว่าไม่รั่วแน่นอน!”
ช่างไฟฟ้าอู๋พูดสนับสนุน “เสี่ยวจาง เธอไม่ต้องเกรงใจนะ เรื่องนี้เขาถนัดที่สุด การตกแต่งปรับปรุงอะไรในกลุ่มพวกเราก็ให้เขาจัดการหมดแหละ เขามีวิธีทำให้ได้วัสดุตกแต่งปรับปรุงถูกๆ มา ฝืมือก็ไม่แย่ เรื่องนี้เธอให้เขาทำเถอะ เธอไม่ต้องจ่ายเงินเลยสักหยวน”
“ไม่จ่ายเงินฉันก็ขาดทุนน่ะสิ…”
ช่างเชื่อมจ้าวเพิ่งแสดงความเห็นที่แตกต่าง ก็ถูกช่างไฟฟ้าอู๋ตะคอกกลับ “ขาดทุนๆๆ! นายขาดทุนหน่อยเลยไม่ได้หรือไง? ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีจิตใจชอบช่วยเหลือคนอื่น ตอนนี้นายคงเข้าไปนอนในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เพลิดเพลินกับกลิ่นธูปจากโลกมนุษย์ไปแล้ว! นายยังมีหน้ามาขอเงินอีกเหรอ?”
“ฉันก็แค่พูดไปงั้น…” ช่างเชื่อมจ้าวท่าทางเก้ๆ กังๆ ไม่พูดต่อแล้ว
ตอนที่ 1644 ไปด้วยกันแต่กลับลำพัง
เสริมประตูหน้าต่างให้แข็งแรงและติดวัสดุป้องกันน้ำบนหลังคาเป็นการตกแต่งปรับปรุงขั้นพื้นฐานมาก ไม่ต้องการความสวยงาม ต้องการแค่ความทนทาน เดิมทีจางจื่ออันคิดจะไปตามหาทีมตกแต่งปรับปรุงริมถนนพวกนั้นมาทำ แต่มีช่างเชื่อมจ้าวอาสาทำให้ก็ลดขั้นตอนได้ เพราะแม้จะเชื่อถือคำพูดของช่างเชื่อมจ้าวไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องฝีมือละก็ จางจื่ออันเคยเห็นตู้ปลาและเฟอร์นิเจอร์ในบ้านที่เขาทำเองด้วยตาของตัวเองแล้ว พวกมันดูแข็งแรงและทนทานดี
ช่างไฟฟ้าอู๋พูดอีกว่า “คนงานปลดเกษียณอย่างพวกเรา ทุกคนจะเชี่ยวชาญในงานฝีมือด้านหนึ่ง ถ้าต้องการอะไรเสี่ยวจางก็ไม่ต้องเกรงใจ ขอแค่บอกมาคำเดียว ของที่พวกเราทำไม่สวยหรอก แต่รับประกันว่าทนทาน”
จางจื่ออันเชื่อคำพูดของช่างไฟฟ้าอู๋ ทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมโรงงานที่ยากลำบากและอันตรายได้หลายสิบปี และปลดเกษียณออกมาได้ครบสามสิบสองส่วน ก็คงมีฝีมือไม่น้อยเลยทีเดียว
เขาจึงไม่ปฏิเสธอีก เห็นด้วยและบอกลา
“ไอ้หนุ่มจาง ฉันเห็นว่าเธอก็ดูว่างๆ ไปเที่ยวตกปลากับพวกเราไหมล่ะ คนเยอะ ต้องสนุกแน่!” ช่างเชื่อมจ้าวหันมามอง แล้วเชิญอย่างมีน้ำใจ
ช่างเชื่อมจ้าวคิดว่าจางจื่ออันมีความรู้มากมาย รู้จักสัตว์ทะเลเยอะแยะ ถ้าตกปลาแปลกๆ อะไรได้แล้วทุกคนไม่รู้จักคงจะโยนกลับลงทะเล แบบนั้นไม่ได้เสียหายหลายร้อยล้านเหรอ? ถ้าจางจื่ออันช่วยประเมินค่าอยู่ข้างๆ ก็ลดขั้นตอนได้มากมายเลย
เขาได้ยินพวกเพื่อนกรรมกรพูดมา และพวกเพื่อนกรรมกรก็ฟังเพื่อนนักตกปลาคนอื่นมาอีกที บอกว่าหลายเดือนมานี้ทะเลเปิดของเมืองปินไห่มีปลาหายากแปลกๆ เพิ่มมาจำนวนหนึ่ง บางครั้งตกปลาแปลกๆ ได้หนึ่งตัวหรือสองตัว จากนั้นในกลุ่มเพื่อนตกปลาก็ลุกเป็นไฟ ได้ยินว่ามีเพื่อนนักตกปลาคนหนึ่งตกปลาหน้าตาแปลกมากตัวหนึ่งขึ้นมา แถมได้รับการสัมภาษณ์จากนักข่าวโทรทัศน์ท้องถิ่นด้วย
เขาคิดว่าปลาหายากมากมายในร้านของจางจื่ออันก็คงได้มาอย่างนั้นแหละ เป็นการค้าขายที่ไม่มีต้นทุน แต่ได้กำไรเต็มๆ โดยแท้
“ไม่ล่ะครับ พวกคุณไปเถอะ ผมตกปลาไม่เป็น แล้วก็ไม่มีคันเบ็ดตกปลาด้วย” จางจื่ออันปฏิเสธ เขาตกปลาไม่เป็นจริงๆ เรื่องตกปลานี้ต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก มักจะต้องนั่งอยู่ทั้งวัน แต่เขาไม่ได้ว่างถึงขั้นนั้น
“ไม่เป็นไรๆ พวกเราก็หลับหูหลับตาตกปลาเหมือนกัน ไปเที่ยวกันมากกว่า!” ช่างเชื่อมจ้าวคนนี้พอคิดหาวิธีให้ได้เปรียบแล้ว ก็เกาะหนึบเหมือนพลาสเตอร์หนังหมา ไม่บรรลุเป้าหมายก็ไม่ล้มเลิก
“เสี่ยวจาง ถ้าไม่มีธุระอะไรเธอก็มาเที่ยวด้วยกันได้ ตาแก่พวกนั้นไม่สนใจหรอกว่าจะมีคนมาเพิ่มอีกสักคน ไม่มีคันเบ็ดตกปลาก็ใช้อันของฉันได้” ช่างไฟฟ้าอู๋โน้มน้าว
วันนี้จางจื่ออันก็ไม่มีธุระอะไรจริงๆ พวกพนักงานร้านรับมือกับลูกค้าทั่วไปได้อย่างดีแล้ว อย่างมากเขาก็กลับไปนอนกลางวันในร้าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซฮวาที่กลับมาถึงเมืองปินไห่แล้ว เขายังต้องไปเปิดบันทึกเสียงเพลงของเธอที่ชายทะเลทุกวัน แต่วันนี้ยังไม่ได้ไปเลย ถึงอย่างไรตอนบ่ายก็ต้องไปชายทะเลสักครั้งอยู่แล้ว จึงพยักหน้า “ได้ครับ แต่ไม่ตกปลานะครับ ผมอยากไปเดินเล่นริมทะเลพอดี ก็ถือโอกาสไปกับพวกคุณเลยแล้วกันครับ ดูพวกคุณตกปลาก็ได้”
ความคิดของช่างเชื่อมจ้าวคือขอแค่จางจื่ออันตกลงไปชายทะเลด้วยกันก็พอ อย่างอื่นไม่เป็นไร
จางจื่ออันมีรถ เขาถามสถานที่นัดหมายชัดเจนแล้ว ให้พวกเขาสองคนล่วงหน้าไปก่อน เพราะพวกเขาขี่จักรยานไฟฟ้ากันทั้งคู่ ไม่มีทางยัดเข้าไปในอู่หลิงเสินกวงได้
เขาขับรถมาถึงชายทะเล เร็วกว่าพวกเขาสองคนก้าวหนึ่ง หลังจากทั้งสามคนเจอกันแล้ว ก็หาสถานที่ทำกิจกรรมกลุ่มตกปลาทะเลของเพื่อนกรรมกรเจออย่างรวดเร็ว เพราะกิจกรรมกลุ่มของคนงานปลดเกษียณพวกนี้ให้ความรู้สึกอาวุโสอย่างแรง พวกเขาเขียนแผ่นป้ายที่ว่า ‘กิจกรรมตกปลาทะเลครั้งที่ห้าของกลุ่มกรรมกร’ เห็นมาตั้งแต่ไกล
เรือของพวกกรรมกรเป็นเรือประมงที่ผ่านการปรับแต่งธรรมดา อาจจะเป็นเรือมือสอง หรืออาจจะเป็นเรือกำหนดเช่าตามวัน ตอนนี้ฝูงปลาทะเลน้ำตื้นน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว ราวกับเรือประมงลำเล็กแถบน้ำตื้นแบบนี้ก็มีพื้นที่ให้ทำงานน้อยลงเรื่อยๆ ชาวประมงจึงเอามาปล่อยเช่าหรือขาย ราคาก็ไม่นับว่าแพง และนับว่าเป็นของไม่มีประโยชน์ที่ใช้งานได้
ช่างเชื่อมจ้าวแนะนำจางจื่ออันให้ชายวัยกลางคนอีกสองสามคนรู้จัก จากนั้นก็เรียกเขาขึ้นเรือด้วยกัน แต่เขาก็ปฏิเสธ เพราะเขาเองมีเรือยางลำหนึ่ง อีกอย่างเขายังมีธุระสำคัญต้องทำ
พวกกรรมกรพากันเร่งให้ช่างเชื่อมจ้าวรีบขึ้นเรือ เพราะรอแค่พวกเขาอยู่ ช่างเชื่อมจ้าวหมดหนทาง จึงได้แต่ขึ้นเรือออกทะเลไปกับพวกกรรมกร
กรรมกรพวกนี้ก็เป็นมือใหม่ในวงการการตกปลาทะเล หลังจากเคยตกปลากับคนอื่นสองสามครั้ง ก็ได้เรียนรู้ขั้นตอนเพียงคร่าวๆ รู้สึกว่าชายแก่หลายคนเที่ยวด้วยกันสนุกกว่า จึงตั้งกลุ่มกรรมกรตกปลาทะเลขึ้นมา
เรือเล็กของพวกเขาไม่กล้าออกจากฝั่งไปไกลนัก จอดลงสมออยู่ในระยะที่มองเห็นหินโสโครกบนฝั่งได้ พวกกรรมกรที่กระปรี้กระเปร่าพากันหยิบคันเบ็ดตกปลาของตัวเองออกมา ก่อนจะนั่งเก้าอี้พับพลางเกี่ยวเหยื่อและโยนเบ็ด
ช่างไฟฟ้าอู๋ยังดี เขาเรียนรู้สิ่งที่ไม่เข้าใจอย่างถ่อมตัว แต่ช่างเชื่อมจ้าวชำเลืองมองหลายครั้งก็คิดไปเองว่าง่ายมาก ไม่มีอะไรต้องเรียนอีก จึงเลียนแบบท่าทางตกปลาของคนอื่นอย่างไม่ใส่ใจ
จางจื่ออันก็เติมลมให้เรือยางของตัวเองเต็มแล้ว จึงดันลงไปในทะเลและเปิดเสียงเพลงของเซฮวา เขาไม่กล้าเข้าใกล้เรือประมงลำเล็กของกลุ่มกรรมกรมากเกินไป เพราะเรือยางของเขาเป็นเรือแบบเติมลม และในทะเลก็มีปลาที่มีหนามมากมาย ปกติปลาพวกนี้จะไม่จู่โจมเรือเอง แต่หลังจากถูกเบ็ดตกปลาของพวกกรรมกรทำร้ายเข้าก็พูดยากแล้ว
เขารักษาระยะห่างกับเรือประมงในระยะหนึ่ง ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาสดใสและเสียงตะโกนของพวกกรรมกรดังมาจากทางเรือประมง ดูท่าทางการตกปลาคงเป็นกิจกรรมกลางแจ้งที่เหมาะกับผู้ชายวัยชราปลดเกษียณแล้วจริงๆ
เขามองพวกเขาตกปลาจากข้างๆ ในที่ที่ไกลออกไปอยู่สักพัก มาตรการรักษาความปลอดภัยของพวกกรรมกรไม่เลวทีเดียว ทุกคนสวมเสื้อชูชีพ ในเรือประมงยังมีห่วงยางช่วยชีวิต ดูแล้วได้มาตรฐานทีเดียว เขาก็ไม่รู้สึกว่าทะเลใกล้ฝั่งแบบนี้จะเกิดอันตรายอะไรได้ หลังจากมองจนเบื่อแล้วก็นอนลงไถโทรศัพท์มือถือเล่น
ผ่านไปอีกสักพัก เสียงเพลงของเซฮวาก็จบแล้ว เขาลุกขึ้นนั่ง เห็นพวกกรรมกรยังตกปลาทะเลอยู่ที่เดิม ส่วนช่างเชื่อมจ้าวตะโกนเสียงดังที่สุด
ช่างเชื่อมจ้าวมีความอดทนต่ำ แต่กิจกรรมตกปลาแบบนี้ต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก นี่ทำให้เขาตกปลาได้น้อยที่สุด ช่างไฟฟ้าอู๋ที่เป็นมือใหม่เหมือนกันตกปลาได้เยอะมาก ช่างเชื่อมจ้าวกลับตกได้แต่ปลาตัวเล็กๆ สองสามตัว ทุกครั้งที่เขาตกปลาได้ตัวหนึ่งก็เหมือนตกขุมทรัพย์ใต้ท้องทะเลได้ คิดว่าตัวเองตกปลาที่หายากได้ แต่ปลาที่เขาตกได้ไม่ต้องให้จางจื่ออันประเมินค่า พวกกรรมกรมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นปลาธรรมดา
จางจื่ออันส่งข้อความให้ช่างเชื่อมจ้าวและช่างไฟฟ้าอู๋ จากนั้นก็โบกมือให้เรือประมงลำเล็ก บ่งบอกว่าให้พวกเขาเที่ยวเล่นให้สนุก เขาจะขอกลับขึ้นฝั่งก่อนแล้ว
คนอื่นบอกว่าปลาที่เขาตกได้เป็นขยะ แต่ช่างเชื่อมจ้าวไม่เชื่อ จะเก็บไว้ในถังเพื่อรอให้จางจื่ออันประเมินค่าให้ได้ พอเห็นจางจื่ออันจะกลับไปแล้ว เขาอยากห้ามแต่ก็ไกลเกินกว่าจะทำได้
จางจื่ออันบอกกล่าวเสร็จแล้วก็ขับเรือยางกลับไปยังชายทะเล ปล่อยลมเรือยาง แล้วค่อยยัดเข้าไปในตัวรถ จากนั้นกลับไปที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง ทำทุกอย่างตามปกติ
เย็นนี้เขากับพวกพนักงานร้านกินข้าวเย็นด้วยกัน เขาได้รับข้อความที่ส่งมาจากช่างเชื่อมจ้าว บ่นว่าเขาไม่มีมารยาท กลับไปก่อนได้อย่างไร
เห็นพวกกรรมกรสนอกสนใจมาก เที่ยวจนถึงเย็นแล้วถึงจะกลับ
จางจื่ออันบอกปัดว่าตัวเองมีเรื่องด่วนต้องกลับไปก่อน ช่างเชื่อมจ้าวยังบ่นอีกเล็กน้อย จากนั้นก็บอกว่าพรุ่งนี้จะช่วยเขาทำประตูหน้าต่างและหลังคาให้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น