Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1632-1638
ตอนที่ 1632 กินแตงโมด้วยกัน
เหมือนกับการออกเดินทางหลายครั้งก่อนหน้านี้ หากจางจื่ออันเลือกได้ เขาก็จะพยายามเลือกเที่ยวบินที่มาถึงตอนกลางคืน หลักๆ คือเพื่อลดความยุ่งยากด้านการจราจรเล็กน้อย ถ้าเขากลับมาตอนเปิดร้านอยู่ ก็คงเลี่ยงที่จะต้องเผชิญหน้ากับคำถามร้อยแปดของพวกพนักงานร้านและพวกลูกค้าเก่าไม่ได้ พวกเขาอาจจะถามว่าสัตว์เลี้ยงประจำหลายตัวในร้านไปไหนแล้ว ทำไมไม่กลับมากับคุณด้วย อะไรทำนองนั้น
เขาคิดคำแก้ตัวมาอธิบายได้ แต่จะต้องเปลืองสมองทำไม สู้กลับมาตอนกลางคืนเสียเลยดีกว่า หลับไปตื่นหนึ่งเพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง วันต่อมาไม่ต้องให้เขาอธิบาย ผู้คนก็จะคิดว่าเขาพาพวกภูตสัตว์เลี้ยงกลับมาด้วยกันแน่นอน
ตอนมาถึงร้านขายสัตว์เลี้ยง น่าจะเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว พวกพนักงานร้านเลิกงานตามเวลา เพราะเขาไม่ได้บอกว่าตัวเองจะกลับมาวันนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะอยู่รอในร้านขายสัตว์เลี้ยงอีกหลายชั่วโมง ขอเบิกเงินซื้อปิ้งย่างและเบียร์อย่างโจ้งแจ้งโดยบอกว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับ ถึงอย่างไรพวกเขาเลิกงานแล้วถ้าไม่วาดรูปก็ต้องเล่นเกม และสิ่งเหล่านี้ก็ทำในร้านได้ ยังประหยัดแอร์ที่บ้านตัวเองได้อีก
เขาใช้กุญแจสำรองเปิดประตูม้วน
ในร้านได้ต่างอะไรกับตอนเขาออกไป
จ้านเทียนลุกขึ้นด้วยความระแวดระวังตอนได้ยินเสียงเปิดกุญแจ แต่การฝึกฝนที่เข้มงวดทำให้มันไม่ได้เห่าเหมือนสุนัขทั่วไปเมื่อเห็นข้างนอกมีความเคลื่อนไหว แค่เพิ่มความระมัดระวังเงียบๆ จนกระทั่งมันเห็นเขา ถึงจะวิ่งเข้ามาคลอเคลียขากางเกงเขาด้วยความดีใจ
“หลายวันนี้ที่ฉันไม่อยู่บ้าน คงลำบากนายแล้วสินะ” เขาลูบหัวมันเป็นรางวัล
สุนัขบ้านหลายตัว ที่จริงหลังจากเลี้ยงจนคุ้นเคยกันแล้วจะอยากเล่นกับเจ้าของ พวกมันไม่ได้โง่ เห็นเจ้าของถืออาหารว่างอยู่ในมือ ก็จะเสนอตัวอย่างสุดความสามารถ ไม่ต้องให้เจ้าของเอ่ยปาก ก็จะแสดงละครเล็กน้อยที่ตัวเองทำได้สักครั้ง ถ้ามือของเจ้าของว่างเปล่า ต่อให้คุณเรียกจนคอแตก พวกมันก็จะนอนมองบนให้คุณราวกับชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรให้มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเด็กชายชอบยั่วเย้าและเด็กสาวชอบออดอ้อน โดยเฉพาะสุนัขที่ไอคิวสูงบางสายพันธุ์ อย่างเช่น สุนัขพันธุ์บอร์เดอร์ คอลลี่
แต่สุนัขตำรวจ รางวัลสูงสุดคือการลูบและการชมเชยจากเจ้าของ ไม่ได้กินเก่งเหมือนสุนัขตัวอื่นที่มีความคิดตื้นๆ พวกนั้น
ลูกค้าหลายคนอิจฉาท่าทางของจ้านเทียนที่มีต่อเขา จึงเอาแต่ถามเขาว่าฝึกสุนัขให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร แม้เขาจะไม่ได้เป็นคนฝึกจ้านเทียน แต่เขาก็ติดต่อกับหน่วยตำรวจสุนัขจนสนิทสนมกันมาก ทั้งยังเคยชมการฝึกอยู่ข้างๆ วิธีการฝึกไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับ ถึงเป็นวิธีเดียวกัน แต่ปฏิบัติจริงแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อย่าว่าแต่สุนัขเลย เมื่อยกตัวอย่างเด็กขึ้นมา ผู้ปกครองทั่วไปต่างก็รู้ว่าควรจะสอนลูกตั้งแต่เด็กอย่างไร อย่างเช่น อดทน ให้กำลังใจ อยู่เคียงข้าง หัวเราะ ไม่ต่อว่าเรื่อยเปื่อย แต่มีผู้ปกครองสักกี่คนที่ทำได้จริงๆ ความกดดันในชีวิตและการทำงานมักจะเป็นเหตุให้ผู้ปกครองอดทนอยู่ได้แค่สามวินาที จากนั้นก็อารมณ์เสียและต่อว่า หรือไม่ก็ปล่อยลูกทำตามใจชอบ ส่วนตัวเองไปเล่นโทรศัพท์มือถือ
เด็กที่เชื่อฟังคำสั่งก็ยังเป็นแบบนั้น เดิมทีฟังความปากเสียของคนไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว แล้วจะสอนง่ายขนาดนั้นที่ไหนกัน หน่วยตำรวจสุนัขเป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ มีเวลา มีประสบการณ์ มีความอดทน เขาจึงจอบลูกค้าที่สอบถามอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า นอกเสียจากเลี้ยงสุนัขเป็นอาชีพ อย่างนั้นก็อย่าเสียเวลาเลย อย่าประเมินความอดทนตัวเองสูงเกินไป
ถ้าคิดจะเลี้ยงสุนัขแบบนี้จริงๆ ก็ไปซื้อต่อจากหน่วยตำรวจสุนัขเถอะ อาจจะยังรับเลี้ยงสุนัขตำรวจที่ปลดเกษียณได้ด้วย
เขาไปดูพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำข้างๆ รอบหนึ่ง พอเข้าไปก็เห็นว่าในตู้สัตว์น้ำว่างเปล่าตู้หนึ่งกำลังแช่แตงโมสองลูกเอาไว้ในน้ำเย็น ในอ่างปลาอีกอ่างยังถึงขนาดใช้น้ำแข็งแช่แตงโมลูกใหญ่เอาไว้ ลูกแรกน่าจะให้พวกผู้หญิงกิน เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำเย็นของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต้องเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง ดังนั้นพวกพนักงานร้านก็เลยคิดอยากจะแช่เย็นแตงโม
รอแต่ของถูกทั้งวัน ผลสุดท้ายถูกพวกพนักงานร้านเอาเปรียบแล้ว แบบนี้เขาจะทนได้อย่างไร? เขาจึงย้ายแตงโมลูกใหญ่ที่ไม่เย็นเกินไปลูกหนึ่งกลับมาที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง และเตรียมกินแตงโมเป็นข้าวเย็น
พอดึงประตูม้วนลง เขาก็ปล่อยพวกภูตสัตว์เลี้ยงออกมาทีละตัว รวมถึงไปปล่อยเซฮวาบนชั้นสองด้วย
“วลาดิเมียร์ นายเป็นยังไงบ้าง? เมื่อกี้ตอนผ่านคลินิกสัตว์เลี้ยง ฉันเห็นข้างในยังเปิดไฟอยู่ ส่งนายไปตรวจร่างกายหน่อยดีไหม?”
ที่เขาเป็นห่วงที่สุดคือวลาดิเมียร์ที่รอดชีวิตมาได้ แต่มันหนีจากประตูแห่งความตายมาได้แล้วจริงๆ
วลาดิเมียร์นอนบนพรมผืนเล็กบนชั้นสอง ร่างกายยังคงอ่อนแรงมาก แต่สติฟื้นคืนกลับมาได้ดีทีเดียว
“ไม่ต้องหรอก ฉันเนื้อแน่น หนังหนา ไม่เป็นไร” มันหันหน้าไปมองรอบๆ ด้วยท่าทางเหนื่อยล้า “กลับบ้านแล้วสินะ”
“อื้ม กลับบ้านแล้ว”
“พวกสหายเหมียวรอฉันกลับมาทำงาน แต่ฉันกลับ…เฮ้อ…” มันถอนหายใจเศร้าโศก ก่อนจะตีพรมอย่างโมโห
“ไม่เป็นไร งานเป็นสิ่งที่ทำไม่จบสิ้นอยู่แล้ว พักฟื้นร่างกายให้ดีก่อน ถึงจะอุทิศตัวทำงานได้ดีกว่าเดิม” เขาปลอบใจ
มันพยักหน้า แล้วอยู่ๆ ก็พูดว่า “จริงสิ หลังจากได้รับบาดเจ็บฉันก็สะลืมสะลือ ได้ยินว่าเฟยหม่าซือถ่ายเลือดให้ฉันเหรอ?”
“ถูกต้อง เฟยหม่าซือนั่นแหละ” เขาพูด และเล่าหลักการที่แมวรับเลือดสุนัขได้ให้มันฟังง่ายๆ
วลาดิเมียร์นิ่งเงียบไม่พูดจาพร้อมสีหน้าสับสน นานทีเดียวถึงจะถอนหายใจเงียบๆ “คิดไม่ถึงว่าฉันที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับหมา มีหน้าที่ขับไล่หมาจรจัด แต่ตอนนี้กลับมีเลือดหมาไหลเวียนอยู่ในร่างกาย…”
“ไม่ต้องคิดมาแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ”
จางจื่ออันปิดไฟที่ห้องนอนชั้นสอง แล้วปิดประตูห้องน้ำ เพราะเซฮวาเปิดไลฟ์สดอยู่ในอ่างอาบน้ำแล้ว พูดโม้โอ้อวดตัวเองให้เพื่อนบนอินเทอร์เน็ตต่างๆ นานา บรรยายใส่สีตีไข่ประสบการณ์ที่เธออยู่อเมริกาและว่ายน้ำกับวาฬเพชฌฆาต
ตอนเขาหมุนตัวลงข้างล่าง วลาดิเมียร์ก็ลืมตาขึ้นมา เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
บางทีเรื่องในครั้งนี้ จะกลายเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของวลาดิเมียร์กับเสี่ยวไป๋หรือเปล่านะ?
ข้างล่างยังคึกคักมาก พวกภูตสัตว์เลี้ยงนอนหลับในโทรศัพท์มือถือมาจนเต็มอิ่มแล้ว ตอนนี้ไม่มีตัวไหนง่วงเลย
พวกภูตสัตว์เลี้ยงต่างก็อยู่ในตำแหน่งของตัวเอง บางตัวเล่นสนุก บางตัวดูโทรทัศน์ มีแค่ฟราเทอร์ที่วนไปมาอยู่ในร้าน สำรวจสภาพแวดล้อมแปลกตา เห็นอะไรก็แปลกใหม่ไปหมด
ตอนเดินมาใกล้ประตูหน้าร้าน มันดมที่ว่างตรงข้ามเคาน์เตอร์อย่างละเอียด ก็ได้กลิ่นอายปิศาจที่เคยรู้จักจากตรงนั้น มันจึงตื่นตัวขึ้นมาทันที
“ตรงนี้เคยมีรูปปั้นแมวทองสัมฤทธิ์ใช่หรือไม่?” มันถามจางจื่ออันที่กำลังหั่นแตงโม
“ใช่”
เขานึกขึ้นได้รางๆ ตอนอยู่ในโลกความฝันที่จวงเสี่ยวเตี๋ยสร้างขึ้น เขากับเธอเคยเจอบาทหลวงหยางล่วงหน้าในความฝัน บาทหลวงหยางเล่าให้พวกเขาฟังว่าตอนศตวรรษที่สิบสามเกิดความวุ่นวายมากเพราะรูปปั้นเทพแมวอีกตัวหนึ่ง สุดท้ายความโกลาหลครั้งนั้นถูกบางอย่างที่บาทหลวงหยางเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเอาไว้ แต่บาทหลวงหยางขับไล่ปิศาจไปอย่างไรกันแน่ก็ไม่ได้บอกไว้อย่างละเอียด
“มัน…รูปปั้น ตอนนี้อยู่ที่ใด” ฟราเทอร์เคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ต้องรีบไปกำจัดมัน ไม่เช่นนั้น…”
“วางใจเถอะ รูปปั้นเทพแมวตัวนั้นถูกปราบแล้ว เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง กินแตงโมในระหว่างที่เล่าไปด้วยแล้วกัน”
เขานำแตงโมที่หั่นเรียบร้อยแล้วใส่ในจาน และคว้านเนื้อแตงโมส่วนตรงกลางที่ไม่มีเม็ดออกมาเป็นพิเศษ แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ไว้ส่วนหนึ่ง ก่อนจะใส่ลงไปในถ้วยใบเล็ก แล้วเรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยง “มา ทุกคนกินแตงโม”
ตามหลักการแล้วสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวไม่จำเป็นต้องกินผักและผลไม้ แต่กินสักหน่อยก็มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูร้อน ต้นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศยังไม่เย็น แมวหลายตัวไม่ชอบดื่มน้ำ กินแตงโมเพื่อเติมน้ำสักหน่อยก็เป็นประโยชน์ต่อการขับถ่าย และจริงๆ แล้วแมวหลายตัวก็ค่อนข้างชอบรสชาติของแตงโม
ตอนที่ 1633 ลูกแมว
เช้าวันต่อมา
จางจื่ออันที่เปิดประตูม้วน ก็บังเอิญเห็นแขกไม่ได้รับเชิญที่หน้าประตูร้าน
เมี๊ยว
เจ้าตัวน้อยขดตัวอยู่ในมุมของกล่องรองเท้าใบหนึ่ง มันพิจารณาเขาอย่างระแวง ก่อนสะส่งเสียงร้องอ่อนล้า
อย่าว่าแต่จางจื่ออันที่เจอแมวมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้แต่เสี่ยวฉินไช่ที่ที่บ้านไม่ให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงก็ยังร้องว่า “ว้าว! ลูกแมวส้ม!”
จางจื่ออัน “…เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
คำถามนี้เขาไม่ได้ถามแมวส้มแน่นอน แต่ถามเสี่ยวฉินไช่
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ชายเจ้าของร้าน! ไม่เจอกันนานเลยนะคะ! หนูเพิ่งมาค่ะ เห็นพี่ชายกำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้น หนูคิดว่าพี่ชายก็ชอบใช้กิ่งไม้จิ้มมดเหมือนกัน เลยนั่งยองๆ ดูบ้าง”
เสี่ยวฉินไช่ใส่เสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงยีนขาสั้น เธอนั่งยองๆ อยู่ข้างเขา พร้อมกับจ้องมองลูกแมวส้มกับเขา
จางจื่ออัน “…ฉันเลยวัยใช้กิ่งไม้จิ้มมดไปแล้วโอเคไหม!”
กลับมาที่ประเด็น ดูไปแล้วแมวส้มในกล่องรองเท้าอายุประมาณหนึ่งถึงสองสัปดาห์ อาจจะเพิ่งลืมตา ตัวเล็ก อ่อนแอ น่าสงสาร ช่วยตัวเองไม่ได้ มันนอนอยู่ในที่ร่มของกล่องรองเท้าเพื่อหลบแสงแดดตอนพระอาทิตย์ขึ้น ร้องเมี๊ยวๆ ด้วยเสียงอ่อนหวานไม่หยุด
ถึงแม้จางจื่ออันจะไม่ใช่ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ แต่เห็นลักษณะแบบนี้แล้วก็เดาได้ทันที เจ้าของแมวส้มตัวนี้คงทิ้งมันด้วยเหตุผลที่ไม่อาจทราบได้ แต่ก็กลั้นใจให้มันเป็นไปตามยถากรรมไม่ได้ จึงใส่มันเข้าไปในกล่องรองเท้าด้วย ‘เจตนาดี’ แล้วทิ้งไว้หน้าร้านขายสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าเจ้าของร้านรับเลี้ยงมัน หรือลูกค้าที่มาซื้อแมวในร้านขายสัตว์เลี้ยงรับเลี้ยงมัน ล้วนทำให้ตัวเองพ้นจากการถูกประณามไปได้ และโอบกอดชีวิตใหม่ได้อย่างมีเหตุผล พูดไปแล้วก็เป็นคุณธรรมลักพาบางอย่าง
นี่ก็เหมือนสัตว์เลี้ยงป่วยและถูกทิ้งในคลินิกสัตว์เลี้ยง ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนหมดคำพูด คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ น่าจะเป็นคนที่ชินกับการยกเรื่องยากลำบากให้คนอื่นจัดการในเวลาปกติและในการทำงาน
แต่ช่วยไม่ได้ ลักพาคุณธรรม ที่ลักพาไปก็คือคนที่มีคุณธรรมและมีจิตใจดีงาม
ซุนเสี่ยวเมิ่งกลั้นใจกวาดสัตว์เลี้ยงที่ถูกทิ้งในคลินิกออกมาไม่ได้ เขาก็ปล่อยให้แมวตัวไหนเป็นไปตามยถากรรมไม่ได้เช่นกัน แสงแดดร้อนแรงมากในช่วงปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ผลิ วันนี้เป็นวันฟ้าใส เห็นพระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ พอมุมร่มสุดท้ายของกล่องรองเท้าถูกแสงแดดส่องถึง ลูกแมวตัวนี้ก็อาจจะต้องตากแดดตายทั้งเป็น
เขายกกล่องรองเท้าขึ้น ก่อนจะเรียกเสี่ยวฉินไช่ให้เข้าไปในร้านด้วยกัน อย่าตากแดดให้หน้ามันอยู่ข้างนอกเลย
ในร้านเปิดเครื่องปรับอากาศตั้งแต่เช้า แม้ตอนนี้อุณหภูมิจะลดลงจากช่วงกลางฤดูร้อนแล้ว แต่เขาเคยชินกับอากาศเย็นสบายในป่าเรดวูด ถ้าไม่เปิดเครื่องปรับอากาศอีก พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ต้องบ่นแล้ว
“เสี่ยวฉินไช่ ทำไมถึงมาได้ล่ะ เปิดเทอมแล้วเหรอ” เขาวางกล่องรองเท้าไว้บนเคาน์เตอร์เก็บเงินตามใจชอบ แล้วหยิบแตงโมที่กินเหลือเมื่อคืนออกมาจากในตู้เย็น “กินข้าวเช้าหรือยัง? จะกินแตงโมสักหน่อยไหม?”
เสี่ยวฉินไช่กินข้าวเช้าแล้ว แต่พอเห็นแตงโมเย็นฉ่ำก็ทำตัวไม่ถูก ยังไงก็ไม่ได้รีบไปดูหนูแฮมสเตอร์กับกระต่ายมินิเอเจอร์ล็อปอยู่แล้ว เธอจึงรับแตงโมมาด้วยความดีใจ พูดจริงๆ นะ ฟันหน้าสองซี่ใหญ่ของเธอเหมือนสัตว์ที่มีฟันแทะ เหมาะกับการแทะแตงโมทีเดียว!
แม่ของเธอไม่ให้กินของจากคนแปลกหน้า แต่พี่ชายเจ้าของร้านไม่ใช่คนแปลกหน้าสักหน่อย
“ยังไม่เปิดเทอมค่ะ แต่ใกล้แล้ว” เธอแทะแตงโมพลางพูดพร้อมเสียงเคี้ยว “วันนี้ไม่มีกิจกรรมกลุ่มนอกห้องเรียน แล้วก็ไม่มีวิชาแนะแนว ก็เลยไม่เป็นไรค่ะ อยากมาดูว่าพี่ชายเจ้าของร้านกลับมาหรือยัง ก็เจอพอดีเลย”
“ฉันเพิ่งกลับมาเมื่อวานนี่แหละ” จางจื่ออันเริ่มลงมือทำความสะอาด และถือโอกาสคิดด้วยว่าจะจัดการแมวส้มตัวนี้อย่างไร
จางจื่ออันสังเกตเห็นว่าเธอคายเม็ดแตงโมไว้ในฝ่ามือทั้งหมด จึงบอกให้เธอคายไว้บนพื้นเลยก็ได้ ถึงอย่างไรอีกเดี๋ยวก็ต้องกวาดพื้นอยู่แล้ว
เสี่ยวฉินไช่ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ อีกเดี๋ยวจะให้เสี่ยวหลิงกินเม็ดแตงโม! จริงสิ พี่ชายเจ้าของร้าน เที่ยวอเมริกาสนุกไหมคะ?”
“ก็ใช้ได้มั้ง แต่วุ่นวายนิดหน่อย มีคนเร่ร่อนเยอะ ความปลอดภัยก็แย่กว่าที่จีน ครั้งนี้ฉันไปเดินเที่ยวในป่าเป็นหลักน่ะ”
พอได้ยินคำว่าป่า เสี่ยวฉินไช่ก็ตาเป็นประกาย “ในป่ามีสัตว์น่าสนใจเยอะแยะเลยใช่ไหมคะ”
จางจื่ออันเล่าถึงสัตว์ที่เจอในป่าอย่าง แบดเจอร์ บีเวอร์ กวางแดง กวางหางดำ และนกเค้าแมวให้เธอฟัง แน่นอนว่าข้ามจุดจบของบีเวอร์ที่สุดท้ายกลายเป็นอาหารเย็นไป
เสี่ยวฉินไช่ฟังอย่างมีความสุข พอกินแตงโมสองชิ้นเสร็จ เธอก็ใช้กระดาษทิชชู่ห่อเม็ดที่คายออกมาไว้อย่างดี จากนั้นก็วิ่งไปล้างมือ
“โอ้โฮ! มีหมาตัวใหญ่เพิ่มขึ้นอีกตัวแล้ว!” เธอมองฟราเทอร์ด้วยหน้าตาประหลาดใจ แล้วหันมามองจางจื่ออันด้วยท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย “ทำไมเหมือน…หมาป่าในรายการ ‘คนกับธรรมชาติ’ เลยล่ะ”
“ไม่ใช่หรอก เธอจำผิดแล้ว ที่จริงมันเป็น…อลาสก้า แค่ไม่ใช่พันธุ์แท้” จางจื่ออันชี้หมาป่าเป็นสุนัข
โฮ่งๆ!
ฟราเทอร์เห่าเสียงดังกังวานสองครั้ง ก่อนจะกลิ้งบนพื้นครั้งหนึ่ง พยายามเลียนแบบท่าทางของสุนัข แถมยังส่ายหางด้วย
จางจื่ออันพูดในใจ ‘ดีที่ไม่ได้บอกว่ามันเป็นฮัสกี้ ไม่งั้นคงเลียนแบบความโง่ของฮัสกี้ได้ยากแล้ว…’
เสี่ยวฉินไช่กะพริบตา พูดเพราะคิดว่าเป็นเรื่องจริง “ในเรื่องเล่าที่แม่เล่าให้หนูฟัง บอกว่าหมาส่ายหางเป็น แต่หมาป่าส่ายหางไม่เป็น แต่มันส่ายหางเป็น แสดงว่ามันเป็นหมาจริงๆ!”
เดิมทีเธอนับถือความรู้เรื่องสัตว์เลี้ยงของจางจื่ออันอยู่แล้ว บวกกับการยืนยันจากเรื่องเล่าของแม่ เธอก็ไม่รู้สึกกลัวทันที
ไม่ว่าเธอจะได้รับความรู้นี้มาอย่างไร นี่ก็เป็นความรู้ผิดๆ ที่บอกเล่าต่อกันมาเท่านั้น หมาป่าส่ายหางได้เหมือนกัน แต่ตอนนี้จางจื่ออันไม่สะดวกแก้ไขความเข้าใจผิด ทำได้แค่ปล่อยผ่านไป ถึงอย่างไรเสี่ยวฉินไช่ก็คงจะไม่เจอหมาป่าตัวอื่นในเมืองปินไห่ และนี่ก็ไม่ใช่อเมริกาที่มีหมาป่าไคโยตีเพ่นพ่าน
ฟราเทอร์ไม่หยิ่งยโสเหมือนภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่น มันไม่ได้สนใจว่าตัวเองเป็นหมาป่าหรือสุนัข ขอแค่ทำให้สาวน้อยตรงหน้าสบายใจก็พอ
ถ้าเปลี่ยนเป็นฟีน่า อย่าว่าแต่ให้มันแสร้งเป็นสุนัขเลย ถึงแม้ให้มันแสร้งเป็นเสือ มันคงจะพองขนทำหน้าบึ้งตึงแน่นอน
เสี่ยวฉินไช่ล้างมือสะอาดแล้ว แต่ไม่ได้รีบไปเล่นกับหนูแฮมสเตอร์และกระต่ายมินิเอเจอร์ล็อป ถึงอย่างไรก็มีเวลาเหลือเฟือ จึงหยิบผ้าขี้ริ้วมาช่วยจางจื่ออันทำความสะอาด
ผ่านไปสักพัก
“เชี่ย! ทำไมประตูร้านเปิดแล้วล่ะ เมื่อวานพวกเราลืมล็อกกุญแจ หรือมีขโมยเข้าไปในร้านแล้ว?”
“เมื่อคืนใครออกจากร้านเป็นคนสุดท้าย”
“ฉันลืมแล้ว…”
“ฉันก็ลืมแล้ว…”
“ทำยังไงดี ต้องแจ้งตำรวจไหม?”
เสียงผู้ชายโง่เง่าสองเสียงดังมาจากนอกร้าน
จางจื่ออัน “…อย่ายืนทำตัวน่าขายหน้าอยู่หน้าร้านสิ! ขโมยที่ไหนมาขโมยของที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง รีบเข้ามาทำงาน!”
หวางเฉียนและหลี่คุนมองตากันอยู่นอกร้าน ก่อนจะแลบลิ้น ทำหน้าตาทะเล้นเปิดประตูเข้ามา “อาจารย์ อาจารย์พูดแบบนี้ศิษย์ไม่พอใจเลย รูปปั้นเทพแมวก่อนหน้านี้ก็ถูกขโมยไปไม่ใช่เหรอ คนชั่วเพิ่มขึ้นมาก ยังไม่ลืมหูลืมตาอีก…”
ไม่เจอกันพักหนึ่ง ไอ้เด็กบ้าสองคนนี้เหมือนจะตากแดดจนตัวดำไม่น้อยเลย ดูท่าทางคงจะขับเรือยางออกทะเลอยู่บ่อยๆ
พวกเขามองเม็ดแตงโมที่กินเหลือไว้ คิดว่าแตงโมที่ตัวเองซื้อไว้ถูกจางจื่ออันหั่นกินหมดแล้ว จึงอดร้องโอดครวญไม่ได้
ตอนที่ 1634 กรุ๊ปเลือด
หวางเฉียนกับหลี่คุนเพิ่งยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้แตงโมเสร็จ พวกเขาก็เห็นฟราเทอร์แล้วเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ได้ประหลาดใจนัก เพราะชินกับการที่จางจื่ออันพาสัตว์แปลกๆ กลับมาทุกครั้งที่ไปต่างประเทศแล้ว ส่วนใหญ่ก็แค่พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนชายที่เป็นคนรักสัตว์ในต่างประเทศ
ส่วนเรื่องจริงที่ว่าฟราเทอร์เป็นหมาป่า พวกเขาที่ไม่ช่างสังเกตยิ่งดูไม่ออก เดิมทีก็แยกหมาป่ากับสุนัขได้ยากอยู่แล้ว หมาป่าและสุนัขบางสายพันธุ์ ถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญสัตว์ป่าก็แยกยาก เสี่ยวฉินไช่เพิ่งพูดออกมาสบายๆ แบบเด็กน้อยที่ไม่มีเจตนาร้ายเท่านั้น แม้แต่ผู้ใหญ่มีความรู้ทั่วไปมากกว่า ก็ยังคิดว่านั่นเป็นสุนัขตัวหนึ่ง
นอกจากแตงโม พวกเขาเป็นห่วงเรื่องของฝากที่สุด อินทผลัมและเครื่องรางทอง 18K ที่นำกลับมาจากอียิปต์ครั้งก่อนทำให้พวกเขาภูมิใจมาก จึงคาดหวังกับการเดินทางไปอเมริกาในครั้งนี้
ครั้งนี้จางจื่ออันไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรจริงจัง ของที่ขายในตลาดอเมริกาก็ผลิตในประเทศจีนทั้งนั้น ของในป่าก็เอากลับมาไม่ได้ จะมีของฝากอะไรที่ไหนกัน แต่พวกเขาจะเอาให้ได้ เขาก็ทำได้แค่รับปากว่าจะส่งของขวัญไปให้พวกเขาที่หอพัก
ขนแกะส่งมาแสนไกล น้ำหนักเบาแต่มีคุณค่า* เขาคิดจะใช้ซองจดหมายใส่แผ่นซีดีขาวบวกดำให้พวกเขาเป็นของฝาก ยังแบ่งกันดูที่หอพักได้ด้วย
เพิ่งจัดการเรื่องของขวัญเสร็จ หวางเฉียนกับหลี่คุนก็หยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดเริ่มทำความสะอาดด้วยความดีใจ ตอนนี้ได้ยินเสียงแมวร้องอย่างอ่อนแรงแล้ว ถึงจะมองเห็นว่ามีกล่องรองเท้ากล่องหนึ่งวางอยู่บนเคาน์เตอร์เก็บเงิน ในกล่องรองเท้าเป็นลูกแมวตัวหนึ่ง
“โอ้ อเมริกาก็มีแมวส้มด้วยเหรอ” หวางเฉียนอย่างสงสัย “แต่แมวส้มอเมริกันตัวนี้เหมือนกับแมวส้มจีนมากเลยไม่ใช่เหรอ”
“แมวส้มกระจายอยู่ทั่วโลก มีอยู่ทุกที่นั่นแหละ อีกอย่างนี่ก็คือแมวส้มจีน อาจจะเป็นแมวส้มที่เกิดและโตในเมืองปินไห่ด้วย ฉันเจออยู่ที่หน้าร้านเมื่อเช้า น่าจะมีคนทิ้งมาไว้” จางจื่ออันพูด
“หนูกับพี่ชายเจ้าของร้านเจอพร้อมกันค่ะ!” เสี่ยวฉินไช่ยกมือ
“โอ้ เสี่ยวฉินไช่มาอีกแล้ว” หลี่คุนสังเกตเห็นว่าบนหน้าของเธอยังมีเม็ดแตงโมติดอยู่ จึงพูดด้วยความขมขื่น “ที่แท้เธอก็เป็นตัวการร่วมทำร้ายแตงโมของพวกเรานี่เอง!”
“จะทำยังไงกับแมวตัวนี้ครับ? คงไม่มีใตรมาซื้อแมวส้มที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงใช่ไหม” หวางเฉียนเกาหัว “ต้องส่งมันไปหาพี่เสี่ยวเมิ่งไหม? อาจจะมีคนที่เจ็บปวดเพราะเพิ่งเสียแมวไปรับเลี้ยงมันก็ได้ ถึงยังไงคนก็รับลูกแมวได้ง่ายกว่า”
ในคลินิกสัตว์เลี้ยงมีแมวและสุนัขที่ถูกเจ้าของทิ้งไว้เพราะป่วยจำนวนหนึ่ง บางคนพาสัตว์เลี้ยงไปที่นั่นและจ่ายเงินค้ำประกันแล้ว แต่พอไปก็ไม่กลับมาอีก และจำนวนเงินค้ำประกันยังไม่พอใช้เป็นค่าใช้จ่ายหลังจากนั้นเลย และมีบางคนทำเหมือนที่ทำกับลูกแมวส้มตัวนี้ ถือโอกาสตอนเช้าตรู่หรือกลางดึกที่คลินิกทุกแห่งยังไม่เปิดกิจการ แอบผูกสัตว์เลี้ยงไว้ที่หน้าคลินิก ก่อนจะกลับไปลำพัง ไม่ว่าสัตว์เลี้ยงร้องเรียกอย่างไรก็ไม่หันกลับไป
ตอนพวกแรกจ่ายเงินค้ำประกันก็จะเซ็นสัญญาฉบับหนึ่ง ระบุว่าหากไม่รับสัตว์เลี้ยงไปภายในเวลาที่กำหนด คลินิกมีสิทธิ์ที่จะจัดการสัตว์เลี้ยงอย่างเต็มที่ ส่วนพวกหลังค่อนข้างจัดการยาก เงินค่ารักษาส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ ยังต้องเลี้ยงสัตว์เลี้ยงโดยที่ไม่มีค่าตอบแทบไปตลอด เผื่อเจ้าของกลับมาขอคืน
สัตว์เลี้ยงที่ถูกทิ้งพวกนี้ ที่พักพิงที่ดีที่สุดย่อมเป็นลูกค้าที่ถูกใจและรับเลี้ยงไป แต่การรับเลี้ยงของคนส่วนใหญ่คือชอบเลี้ยงตั้งแต่ยังเด็ก เพราะกลัวว่าโตแล้วจะเลี้ยงไม่เชื่อง แต่สัตว์เลี้ยงที่ถูกทิ้งส่วนใหญ่โตกันหมดแล้ว
ข้อเสนอของหวางเฉียนก็เป็นวิธีที่ดี แต่รับเลี้ยงลูกแมวค่อนข้างลำบาก และอาจจะไม่เจอลูกค้าที่อยากรับเลี้ยงมัน แต่ถ้าทิ้งมันไว้ที่คลินิก ก็จะเพิ่มปริมาณงานให้คนอื่นมากยิ่งขึ้น
ขณะคุยกันอยู่ หลู่อี๋อวิ๋นก็สะพายกระเป๋าและหนีบกราฟฟิคแท็ปเล็ตมาทำงานที่ร้านพร้อมกับเจี่ยงเฟยเฟย พวกเธอเห็นจางจื่ออันกลับมาแล้ว ทั้งประหลาดใจ ทั้งดีใจ แต่พวกเธอไม่ได้ขอของฝากเหมือนกับแรงงานราคาถูกสองคนนั้น และสังเกตเห็นลูกแมวตัวนี้ทันที
หลู่อี๋อวิ๋นอุ้มโม่ลี่ออกมาจากในกระเป๋าสะพาย พอเห็นลูกแมวร้องเหมียวๆ น่าสงสาร เธอก็รู้ว่ามันหิวแล้ว จึงไปผสมนมแพะมาให้มันกิน
“เดี๋ยวก่อนเสี่ยวอวิ๋น” เจี่ยงเฟยเฟยกลับดึงเธอไว้ แล้วเสนอว่า “มีแมวอะบิสซีเนียนตัวหนึ่งคลอดลูกแมวแล้วเพิ่งหยุดให้นมไปไม่นานนี่ ลองดูสิว่าจะสับเปลี่ยนเสือดาวเป็นรัชทายาทได้ไหม ฉันดูข่าวอยู่บ่อยๆ บอกว่าลูกเสือสมัยนี้ได้นมแมวเลี้ยงจนโต หรือในทางกลับกัน…เสือทำแบบนั้น แมวเหมือนกันก็ไม่น่าจะมีปัญหามั้ง?”
ความคิดนี้ได้รับการยินยอมเป็นเอกฉันท์ของทุกคน ถ้าได้ล่ะก็ น่าจะลดทอนความยุ่งยากไปได้มากมาย
หวางเฉียนตบหัวครั้งหนึ่ง “ถูกต้อง! ถูกต้อง! ทำไมฉันคิดไม่ถึงเนี่ย…ไม่ใช่สิ ฉันคิดออก แค่พูดออกมาช้าไปก้าวเดียว! ตอนเพื่อนบ้านฉันลงไปเดินเล่นข้างล่าง ก็เคยเก็บลูกแมวกลับมาตัวหนึ่ง แม่แมวที่บ้านเขาเพิ่งคลอดลูกได้ไม่นานพอดี เขาเลยป้ายฉี่ของแม่แมวบนตัวลูกแมวเล็กน้อย แล้วยัดลูกแมวเข้าไปในอ้อมอกของแม่แมวได้สำเร็จ แถมยังกินนมกับแมวตัวอื่นด้วย!”
จางจื่ออันกลับโบกมือ “ไม่ได้ แบบนี้อันตรายเกินไป”
“อะไรอันตรายเหรอครับ กลัวแม่แมวจะกินมันเหรอ” หลี่คุนถาม
พวกเขาฟังจางจื่ออันคอยกระซิบสั่งสอนทุกวัน และได้รู้ความรู้ต่างๆ อย่างเช่น อาหารที่ชอบเป็นชีวิตจิตใจ น่าเสียดายที่ไม่รู้จักนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
“ไม่ขนาดนั้นหรอก แม่แมวจะกินลูกแมวได้ง่ายแค่ตอนเพิ่งคลอดลูกเท่านั้น ตอนนี้แมวอะบิสซีเนียนตัวนั้นหยุดให้นมแล้ว จะเหมือนกันได้ยังไง” จางจื่ออันอธิบาย “หลักๆ คือพวกเราไม่รู้กรุ๊ปเลือดของแมวตัวนี้ด้วย”
“อะไรนะ?”
พวกพนักงานร้านตะลึงกันทั้งหมด “ให้นมเกี่ยวอะไรกับกรุ๊ปเลือด”
หวางเฉียนร้อนใจ “ไม่หรอกครับ เพื่อนบ้านผมก็ทำแบบนี้ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย!”
จางจื่ออันถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง “นายข้ามถนนตอนไฟแดงทุกวันไม่เป็นไร นายกล้ารับประกันว่าวิ่งตอนไฟแดงแล้วจะรอดไปตลอดไหม?”
ตอนวลาดิเมียร์ได้รับบาดเจ็บ จางจื่ออันจำใจต้องใช้เลือดของเฟยหม่าซือถ่ายให้มัน เพราะไม่รู้กรุ๊ปเลือดของมัน รวมถึงกรุ๊ปเลือดของภูตสัตว์เลี้ยงแมวตัวอื่น และเพราะเขาไม่กล้าเสี่ยงดวง
นอกจากในสถานการณ์ที่ไม่รู้กรุ๊ปเลือด และความรู้ที่ไม่เป็นที่นิยมอย่างสามารถถ่ายเลือดสุนัขให้แมวในสถานการณ์คับขันได้ ยังมีปัญหาที่มักจะถูกมองข้ามอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยัดลูกแมวตัวหนึ่งให้แม่แมวที่อยู่ในช่วงให้นมเรื่อยเปื่อยไม่ได้
คนหรือสัตว์อื่นที่กรุ๊ปเลือดต่างกันถ่ายเลือดให้กันไม่ได้ นี่แทบจะเป็นความรู้ที่ทุกคนรู้กันถ้วนทั่ว เพราะในเลือดมีปฏิกิริยาต่อต้านกรุ๊ปเลือดอื่น ถ่ายเลือดมั่วซั่วอาจถึงตายได้
แต่นอกจากเลือดแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่เลือดต่อต้านเช่นกัน นั่นก็คือนมแมว
จางจื่ออันไม่รู้เรื่องทางการแพทย์ของคน ไม่แน่ใจสภาพของคน อย่างเช่น แม่ที่มีเลือดกรุ๊ปเอคนหนึ่งให้นมลูกที่มีเลือดกรุ๊ปบีได้ไหม แต่แมวมีอันตรายแน่นอนในด้านนี้ เดิมทีภูมิคุ้มกันของลูกแมวก็ต่ำอยู่แล้ว เมื่อดื่มนมแม่ของแม่แมวที่มีกรุ๊ปเลือดแตกต่างกัน แอนติบอดี้กรุ๊ปเลือดในนมแม่จะจู่โจมระบบภูมิคุ้มกันของลูกแมว และเกิดการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดงในกระแสโลหิตกับสัตว์ที่เกิดใหม่เช่นกัน
*ขนแกะส่งมาแสนไกล น้ำหนักเบาแต่มีคุณค่า หมายถึง ของขวัญไม่ได้มีค่าอะไร แต่มีความหมายที่ความรู้สึกต่างหาก
ตอนที่ 1635 กล้องจุลทรรศน์
ความจริงแล้วปัญหากรุ๊ปเลือกของแม่แมวกับลูกแมวค่อนข้างสำคัญ ไม่ใช่อันตรายแค่กับแม่แมวและลูกแมวที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเท่านั้น แม้แต่ระหว่างแม้แมวและลูกแมวที่คลอดออกมาเอง ถ้าคนละกรุ๊ปเลือด ตอนให้นมก็เกิดอันตรายได้
ฟังดูแล้วเหมือนไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าแม่แมวเลือดกรุ๊ปบี พ่อแมวเลือดกรุ๊ปเอ ให้กำเนิดลูกแมวเลือดกรุ๊ปเอ ในสถานการณ์แบบนี้ลูกแมวกินนมของแม่แมวไม่ได้ และควรจะให้เจ้าของใช้นมแพะมาแทนที่ ไม่อย่างนั้นลูกแมวอาจจะเกิดการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดงในกระแสโลหิตอย่างรุนแรง หูและหางเสียหายจนตาย ถึงขนาดตายโดยไม่ทันตั้งตัวเลยด้วย
ในทางกลับกัน แม่แมวเลือดกรุ๊ปเอ พ่อแมวเลือกกรุ๊ปบี ให้กำเนิดลูกแมวกรุ๊ปบี สถานการณ์แบบนี้มีปัญหาไม่มาก เพราะในนมแมวของแม่แมวเลือดกรุ๊ปเอมีแอนติบอดี้ค่อนข้างน้อย ไม่ถึงกับส่งผลกระทบให้ลูกแมวอย่างชัดเจน
แมวจรจัดและแมวครอบครัวทั่วไปไม่มีการทำหมัน เลี้ยงตามใจชอบ ไม่ได้เลี้ยงด้วยการชี้แนะของวิทยาศาสตร์ ปล่อยให้ผสมพันธุ์กันมั่วซั่ว ลูกแมวที่เกิดออกมามีส่วนหนึ่งที่ตายตั้งแต่เด็กเพราะเหตุนี้
ดังนั้น แมวที่มีกรุ๊ปเลือดเดียวกันผสมพันธุ์กันจะปลอดภัยที่สุด และจะให้กำเนิดลูกแมวกรุ๊ปเลือดเดียวกันเท่านั้น
โอกาสที่แมวอะบิสซีเนียนจะมีเลือดกรุ๊ปบีนั้นสูงมาก แมวหลายตัวนั้นของแคธี่มีเลือดกรุ๊ปบีทั้งหมด ดังนั้นผสมพันธุ์กันแล้วสบายใจได้มาก
จางจื่ออันไม่ได้ปฏิเสธความสำเร็จของเพื่อนบ้านหวางเฉียน เพราะปัญหากรุ๊ปเลือดเป็นแค่ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ถึงแม้เป็นคน ตอนที่เสียเลือดจำนวนมากและต้องการถ่ายเลือดอย่างเร่งด่วน ถ้าไม่มีวิธียืนยันกรุ๊ปเลือดจริงๆ แต่ฝืนหาคนหนึ่งมาเจาะเลือดและถ่ายเลือดให้ กรุ๊ปเลือดอาจจะถูกต้อง ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น และช่วยชีวิตของคนคนนั้นไว้ได้
ในป่าเรดวูด ถ้าเฟยหม่าซือไม่ได้อยู่ด้วย เขาอาจจะตามหาฟราเทอร์มาช่วย ถึงอย่างไรก็เป็นสัตว์ประเภทสุนัข แต่ถ้าฟราเทอร์ก็ไม่ได้อยู่ด้วย เขาก็ทนมองวลาดิเมียร์ตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ทำได้แค่รักษาม้าตายดังม้าเป็น เสี่ยงดวงเจาะเลือดจากตัวภูตสัตว์เลี้ยงแมวถ่ายให้วลาดิเมียร์
แมวส่วนใหญ่มีเลือดกรุ๊ปเอ โอกาสที่จะถูกต้องยังมากกว่าอีก
แต่ตอนนี้เป็นสถานการณ์คับขันไหม? ไม่ใช่แน่นอน
เขาอธิบายเหตุผลแบบนี้ พวกพนักงานร้านก็ทำได้แค่ยอมรับ
“งั้นทำไมนมแพะถึงใช้ได้ล่ะครับ” หวางเฉียนยังไม่วางใจ
“ง่ายมาก เพราะแอนติบอดี้ในนมแม่ของแพะไม่มีผลต่อแมว” จางจื่ออันตอบ
ก็เหมือนเลือดสุนัขกรุ๊ปไหนก็ถ่ายให้แมวที่มีกรุ๊ปเลือดอะไรก็ได้ ดูเหมือนไร้เหตุผล แต่ความจริงแล้วสมเหตุสมผล
“อีกอย่างแมวของเพื่อนบ้านนายเป็นพันธุ์อะไร” จางจื่ออันถามหวางเฉียน
หวางเฉียนคิดดูแล้ว “เป็นแมวท้องถิ่นธรรมดา ลูกแมวที่เก็บได้ตัวนั้นเป็นพันธุ์อะไรนะ ดูเหมือนจะเป็นแมวสามสีมั้ง?”
“งั้นก็ถูกต้องแล้ว เพราะโอกาสที่แมวพันธุ์ผสมจะมีเลือดกรุ๊ปเอค่อนข้างสูงมาก แมวท้องถิ่นกับแมวสามสีเป็นแมวพันธุ์ผสมทั้งหมด มีโอกาสมากที่จะมีเลือดกรุ๊ปเอเหมือนกัน แมวของเพื่อนบ้านนายนับว่ารอดจากความตายแล้ว โอกาสของแมวพันธุ์แท้เลือดกรุ๊ปบีสูงกว่า แต่สำหรับแมวพันธุ์ผสม ส่วนใหญ่ยังมีเลือดกรุ๊ปเอ แคธี่เคยตรวจกรุ๊ปเลือดให้แมวอะบิสซีเนียนหลายตัวนั้นแล้ว พวกมันมีเลือดกรุ๊ปบีทั้งหมด แต่แมวส้มตัวนี้เป็นไปได้มากว่าจะมีเลือดกรุ๊ปเอ เพราะมันเป็นแมวพันธุ์ผสม…”
จางจื่ออันยังพูดไม่จบ หวางเฉียนก็ตัดบทอย่างปวดหัว “หยุดก่อนครับ! อาจารย์ ไว้ชีวิตผมเถอะ ไม่ได้เรียนสถิติมาหลายปี เดี๋ยวเอ เดี๋ยวบี ฟังแล้วปวดหัว สรุปว่าผมเข้าใจแล้ว ถึงยังไงแมวส้มตัวนี้ก็ให้แมวอะบิสซีเนียนเป็นแม่ไม่ได้ใช่ไหมครับ”
“ถูกต้อง” จางจื่ออันพยักหน้าเพราะอยากพูดต่อ “ที่จริงยังมีกรุ๊ปเลือดเอบี ฉันยังไม่ได้พูดถึงเงื่อนไขข้อที่สามเลยนะ…”
หวางเฉียนทำหน้าบึ้งตึง “ผมเรียนศิลปศาสตร์เพื่อหนีคณิตศาสตร์ชั้นสูง อาจารย์ทำแบบนี้ ผมนึกถึงความกลัวที่จะถูกคณิตศาสตร์ชั้นสูงครอบงำตอนเตรียมสอบเข้ามหา’ลัยเลย…”
หลู่อี๋อวิ๋นไปชงผงนมแพะต่อ
จางจื่ออันก็เสียดายมาก ถ้าแมวอะบิสซีเนียนมีเลือดกรุ๊ปเอ เขาคงทำตามข้อเสนอของเจี่ยงเฟยเฟยไปแล้ว ให้แม่แมวอะบิสซีเนียนตัวนั้นดูแลลูกแมวตัวนี้ อย่างนั้นลดขั้นตอนได้มาก แต่น่าเสียดายที่ทำไม่ได้
หลี่คุนที่ฉลาดกว่านิดหน่อย เขาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงร้องอ๋อแล้วถามว่า “อาจารย์ เมื่อวานตอนกลางวันผมรับพัสดุด่วนแทนอาจารย์ชิ้นหนึ่ง คนส่งคือโรงงานอุปกรณ์ความแม่นยำอะไรสักอย่าง เขียนระบุบนกล่องว่ากล้องจุลทรรศน์ หรือว่าจะเป็นกล้องจุลทรรศ์จริงๆ ครับ?”
จางจื่ออันหมดคำพูด “ไร้สาระ! ไม่ใช่กล้องจุลทรรศน์แล้วจะเป็นอะไรได้”
หลี่คุนสบตาหวางเฉียนครั้งหนึ่ง ก่อนจะแก้ต่าง “ไม่ใช่ครับ คือว่า…ตอนนั้นพวกเราคุยกันว่า ถึงบนกล่องพัสดุจะแปะว่าเป็นกล้องจุลทรรศน์ แต่เป็นของใช้ผู้ใหญ่ที่อาจารย์ซื้อมาหรือเปล่า เจ้าของร้านส่งของเป็นการส่วนตัวอย่างเอาใจใส่ บอกว่าเป็นกล้องจุลทรรศน์เหมือนที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง*…แล้วอาจารย์จะเอากล้องจุลทรรศน์ไปใช้ประโยชน์อะไร หรือว่าอยากสลักแผ่นซีดีด้วยตัวเอง? พวกผมว่าจะแอบเปิดดูด้วย ต่อมาพนักงานส่งด่วนก็ส่งแตงโมที่พวกผมสั่งไว้มาให้ พวกผมก็เลยลืมเรื่องนี้ไปเลย…”
“อย่าคิดว่าฉันจิตใจสกปรกขนาดนั้นสิ! อีกอย่างกล้องจุลทรรศน์ไปเกี่ยวอะไรกับสลักซีดี” จางจื่ออันโมโหจนต้องโยนผ้าขี้ริ้วใส่พวกเขา แต่พวกเขาก็หลบได้
หรือว่าแรงงานราคาถูกสองคนนี้คิดว่าซีดี ‘สลัก’ จะสลักด้วยมือ?
“แกว๊กๆ! ข้าจะบอกพวกเอ็งให้ ว่าทำไมเจ้าโง่คนนี้ถึงซื้อกล้องจุลทรรศน์ เพราะแว่นขยาย…แกว๊ก!”
ริชาร์ดเพิ่งพูดได้แค่ครึ่งเดียว มันก็ถูกผ้าขี้ริ้วสกปรกผืนหนึ่งลอยมาปิดหน้าจนต้องกลืนประโยคครึ่งหลังกลับไป ถึงอย่างไรเสี่ยวฉินไช่ก็ยังอยู่ตรงนี้ด้วย
ไม่ใช่แค่เสี่ยวฉินไช่อยู่ด้วย เธอยังตั้งใจฟังมากอีกต่างหาก ด้วยเพราะอยากได้ความรู้เพิ่มเติม
“พี่ชายเจ้าของร้าน ทำไมซื้อกล้องจุลทรรศน์ล่ะคะ” เธอมองริชาร์ดที่ดิ้นรนอยู่ใต้ผ้าขี้ริ้วด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมจางจื่ออันไม่ให้มันพูดให้จบ
จางจื่ออันกระแอมครั้งหนึ่ง “ถ้าจะตรวจกรุ๊ปเลือดให้แมว ก็ต้องตรวจให้หมาด้วย”
เรื่องที่ป่าเรดวูดทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายแอบแฝงที่ตัวเองมองข้ามไป ภูตสัตว์เลี้ยงอาจจะได้รับบาดเจ็บอีกก็ได้ ถ้าได้รับบาดเจ็บแล้วต้องถ่ายเลือด แต่ตัวเองไม่รู้กรุ๊ปเลือดก็ลำบากแล้ว ครั้งนี้วลาดิเมียร์อาศัยเลือดของเฟยหม่าซือผ่านวิกฤตมาได้ แล้วต่อไปล่ะ? ชีวิตของแมวตัวหนึ่งรับเลือดสุนัขได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น วลาดิเมียร์ชอบวิ่งออกไปข้างนอกตลอด แถมยังเป็นศัตรูกับเสี่ยวไป๋อีก ใครจะรับประกันได้ว่าหลังจากนี้มันจะไม่ได้รับบาดเจ็บ
ดังนั้น เขาจึงต้องตรวจกรุ๊ปเลือดของภูตสัตว์เลี้ยงทุกตัวเหมือนการซ่อมบ้านก่อนที่พายุฝนจะมาถึง มีประโยชน์มากกว่าโทษอยู่แล้ว
“ใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจกรุ๊ปเลือดได้เหรอคะ?” เสี่ยวฉินไช่ถามต่ออย่างอยากรู้อยากเห็น
“ได้สิ ขอแค่มีแมวตัวหนึ่งที่ได้รับการยืนยันกรุ๊ปเลือดแล้ว อย่างเช่น แมวอะบิสซีเนียบกรุ๊ปบี เจาะเลือดมาสองหยด จากนั้นค่อยเจาะเลือดจากตัวแมวที่ต้องตรวจเลือดอีกหนึ่งหยด พอหยดลงไปแล้วรอสองนาทีค่อยตรวจสอบผ่านกล้องจุลทรรศน์ ดูว่ามีปฏิกิริยาเลือดแข็งตัวหรือเปล่าก็รู้แล้ว แน่นอนว่าถ้าเอาความสะดวกก็ใช้กระดาษทดสอบกรุ๊ปเลือดได้ แต่กระดาษทดสอบกรุ๊ปเลือดมีโอกาสผิดพลาด แถมยังใช้ซ้ำไม่ได้ แต่ซื้อกล้องจุลทรรศน์สักตัว…” ระหว่างพูด เขาก็มองหวางเฉยนกับหลี่คุนครั้งหนึ่ง “อาจจะใช้สลักซีดีได้ด้วย”
เสี่ยวฉินไช่ยกมือ แล้วพูดด้วยความกระหายอยากจะลอง “คุณครูวิชาวิทยาศาสตร์เคยสอนพวกเราว่าต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ยังไงค่ะ!”
เธออยากลองตรวจกรุ๊ปเลือดแมวด้วยมือตัวเอง และยังสามารถเขียนบันทึกทางวิทยาศาสตร์ที่มีความหมายมากออกมาได้ด้วย
“ไม่มีปัญหา อีกเดี๋ยวจะให้เธอลองนะ” จางจื่ออันตอบตกลง
*ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง หมายถึง คนที่ทำอะไรผิดสังเกตจนคนอื่นเดาได้ว่าซ่อนของมีค่าราคาแพงเอาไว้
ตอนที่ 1636 ภาคภูมิใจในตัวเอง
มีกล้องจุลทรรศน์แล้ว มีแมวที่ยืนยันได้ว่าเลือดกรุ๊ปบีแล้ว ตรวจกรุ๊ปแมวก็เป็นเรื่องง่ายมาก เหลือแค่การเจาะเลือด ก็แค่เจาะเลือดแมวเท่านั้น
จางจื่ออัน เสี่ยวฉินไช่ และพวกพนักงานกำลังทำความสะอาด เรื่องตรวจกรุ๊ปเลือดไม่ต้องรีบร้อน ตรวจตอนไหนก็ได้ ถึงอย่างไรก็มีเวลาอีกมาก
พวกพนักงานร้านต่างก็อยากรู้เรื่องที่เขาเดินทางไปอเมริกาครั้งนี้อย่างมาก เขาจึงต้องเล่าอย่างหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ เน้นว่าการเดินทางครั้งนี้หลักๆ อยู่ที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและป่าเรดวูด
พอได้ยินว่าเขาเจอหมีดำ หมาป่า หมาป่าไคโยตี และสัตว์ป่าอื่นๆ พวกพนักงานร้านก็ตาโตจนแทบจะถลนออกมาแล้ว
“จริงสิ พักหลังมานี้ได้ติดต่อโจวจิงหรือยัง?” จางจื่ออันถามเจี่ยงเฟยเฟย ฝ่ายหลังอยากไปทำงานที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมาโดยตลอด มีเขาช่วยเป็นคนกลางให้ จึงได้รับการติดต่อจากโจวจิงที่เป็นนักแดสงนางเงือกในพิพิธภัณธ์สัตว์น้ำของซานฟรานซิสโกแล้ว
“เจี่ยงเฟยเฟยถอนหายใจ “ฉันคุยกับเธอเยอะเลยค่ะ แทบจะทุกวัน ความจริงแล้วงานที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแตกต่างกับที่ฉันจินตนาการเอาไว้มาก ทำเอาความตั้งใจของฉันหายไปตั้งเยอะ แต่ฉันยังอยากลองดูค่ะ ถือว่าเป็นการตามใจตัวเองสักครั้งในช่วงวัยรุ่น”
จางจื่ออันยังสนับสนุนเธออยู่มาก ถึงอย่างไรตอนเขาลาออกมารับช่วงต่อร้านขายสัตว์เลี้ยงทีแรกก็มีความคิดคล้ายๆ กัน รู้สึกว่าทิ้งไว้ทั้งแบบนี้ก็น่าเสียดาย พออายุมากแล้วอยากจะลองทำก็มีแต่ความวิตกกังวล
ขณะกำลังพูด ประตูร้านก็เปิดออก กลิ่นน้ำหอมฟุ้งเข้ามาในร้านตามการไหลเวียนอากาศของเครื่องปรับอากาศ
“ว้าว! บังเอิญจังเลย! เจ้าของร้านจางกลับมาจากต่างประเทศแล้วไม่บอกกันสักคำ ฉันก็กลัวว่าจะมาเสียเที่ยว!”
ทีแรกจางจื่ออันจำไม่ได้ว่าผู้หญิงตีกระบังสูง ใส่แว่นกันแดด และใส่ผ้าปิดปากปิดบังอวัยวะสี่จากห้าอย่างบนใบหน้าคนนี้คือใคร พอได้ยินเสียงแล้วถึงจะจำได้ ที่แท้ก็เป็นจ้าวฉีนี่เอง
ถึงเทียบไม่ได้กับอากาศร้อนมากตอนช่วงกลางฤดูร้อน ข้างนอกก็ไม่นับว่าเย็นสบาย แต่จ้าวฉีกลับใส่เสื้อแน่นหนาในอากาศแบบนี้ แถมยังกางร่มด้วย
“ใส่เสื้อผ้าเยอะขนาดนี้ไม่ร้อนเหรอ เดี๋ยวก็ขึ้นผื่นหรอก!” เขาพูด
“ไม่เป็นไร ดีกว่าตากแดดจนตัวดำ” จ้าวฉีปลดอุปกรณ์ป้องกันออก ถอดผ้าปิดปาก แว่นตากันแดด และผ้าชิ้นเล็กๆ ออกทีละชิ้น จากนั้นก็เก็บร่มยัดเข้าไปในกระเป๋า เธอยืนอยู่หน้าเครื่องปรับอากาศ ใช้กระดาษทิชชู่ซับเหงื่ออย่างระมัดระวัง เลี่ยงไม่ให้โดนเครื่องสำอาง “ข้างในเย็นสบายจัง”
แม้ชายฝั่งทะเลของซานฟรานซิสโกจะไม่มีคนว่ายน้ำเพราะน้ำทะเลเย็นเกินไป แต่คนที่อาบแดดก็ไม่น้อย ทุกคนโหยหาการอาบแดดจนตัวดำ ยากจะจินตนาการว่าหากจ้าวฉีไปเที่ยวที่นั่นแล้วจะเป็นอย่างไร
นอกจากจ้าวฉี ข้างหลังเธอยังมีอีกสองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง วัยใกล้เคียงกับเธอ ดูแล้วเหมือนคู่รัก หน้าตาธรรมดา และไม่ได้แต่งหน้าสวยงามเหมือนจ้าวฉี แต่งตัวตามสบาย เป็นคนธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปบนถนน
“อ้อ พวกเขาคือเพื่อนร่วมงานของฉันเอง พวกเขาก็อยากเลี้ยงแมวเหมือนกัน ฉันเลยแนะนำร้านของคุณเต็มที่ คุณเห็นแก่หน้าของฉัน ช่วยใส่ใจดูแลหน่อยล่ะ” จ้าวฉีขยิบตาให้จางจื่ออันครั้งหนึ่ง ความหมายคือ ‘ฉันช่วยคุณทำการค้าขายแล้ว หนี้น้ำใจครั้งใหญ่นี้อย่าได้ลืมซะล่ะ’
จางจื่ออันก็ให้การตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ แสดงออกอย่างใจกว้างทันที “จ้าวฉีเป็นลูกค้าเก่าแก่ของร้านเรา ช่วยดูแลกิจการของร้านเราได้มาก ไม่ต้องพูดแล้ว วางใจเถอะ ผมไม่ให้พวกคุณเสียเปรียบแน่นอน ไม่ทราบว่าควรจะเรียกทั้งสองท่านว่ายังไงครับ”
“ผมแซ่หวาง เรียกผมว่าเสี่ยวหวางก็ได้ นี่คือแฟนของผม เถียนเถียน ความจริงแล้วพวกเราอยากเลี้ยงหมา แต่จ้าวฉีเอาแต่โน้มน้าวว่าหมายุ่งยากนั่นนี่ เธอเลยแนะนำให้พวกเราเลี้ยงแมวอย่างเต็มที่เลยครับ” ฝ่ายชายยิ้มเจื่อน
“ที่จริงฉันก็ชอบแมวมากกว่านิดหน่อยค่ะ แม้จะไม่ได้ต่อต้านหมา แต่ฉีฉีบอกพวกเราตลอดว่า หมาตัวใหญ่ชอบรื้อบ้าน หมาตัวเล็กชอบเห่า เลี้ยงแล้วยุ่งยาก เหมือนกับเลี้ยงเด็กดื้อคนหนึ่ง ยังต้องพาออกไปเดินเล่นบ่อยๆ ด้วย ก็เลยให้พวกเราเลี้ยงแมว บอกว่าเลี้ยงแมวแล้วไม่เสียใจภายหลังแน่นอน” เถียนเถียนพูด สายตาเอาแต่จ้องไปยังสัตว์เลี้ยงต่างๆ และของใช้สัตว์เลี้ยงในร้าน
พวกสัตว์เลี้ยงในร้าน โดยเฉพาะพวกลูกสุนัข พอเห็นคนแปลกหน้ามาในร้านแล้วจะตื่นเต้นมากเสมอ วิ่งวุ่นอยู่ในตู้โชว์อย่างรีบร้อน แถมยังเอาแต่เห่าอยู่ตลอดด้วย หวังว่าเจ้าของในอนาคตจะถูกใจ แล้วพามันกลับบ้านไปด้วย
ช่วงเวลาเกือบหนึ่งปี จ้าวฉีเปลี่ยนจากคนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องของสัตว์เลี้ยงมาเป็นผู้มีฝีมือชั้นสูงในวงการสัตว์เลี้ยงแล้ว พูดเรื่องสัตว์เลี้ยงแล้วมีเหตุมีผล ไม่ใช่แค่แมว แม้แต่เรื่องสุนัขก็ยังเล่าได้หลายอย่าง แถมที่พูดยังมีเหตุผลทีเดียว
“อย่างอื่นไม่ต้องพูด แค่อากาศผีๆ ข้างนอกนั่นก็…” จ้าวฉีชี้ท้องฟ้าข้างนอกผ่านกระจกกั้น “ทั้งร้อน ทั้งแผดเผา ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้ตกลงแล้วว่าจะต้องมาเลือกสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนพวกเขา แม้แต่ลงจากตึกฉันยังไม่อยากลงเลยจริงๆ แถมยกเลิกนัดกับเพื่อนสนิทแล้วด้วย! พวกเธอคิดดูสิ ฤดูร้อนที่แค่ขยับตัวเหงื่อก็ออกไปทั้งตัว ฤดูหนาวที่หนาวจนอยากมุดเข้าไปขลุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่ลมพัดหรือฝนตกก็มีหนอนผีเสื้อตกลงมาก อย่างน้อยหนึ่งวันพวกเธอต้องพาหมาลงมาเดินเล่นสองครั้ง เหนื่อยไหมล่ะ? ถ้าเป็นฉันนะ ฉันแค่อยากกอดหลานหลานเป็นปลาเค็มอยู่ในบ้าน อยากเลี้ยงหมาก็ได้ พอพวกเธอแต่งงานมีลูกแล้ว ลูกโตสักหน่อยก็อยากเลี้ยงหมาอีก ให้ลูกพวกเธอพาหมาไปเดินเล่นทุกวัน จะได้ไม่ต้องเล่นเกมมือถือทั้งวัน!”
ปากของจ้าวฉีก็เหมือนถั่วปากอ้าคั่ว เสียดสีโครมๆ ยกหนึ่ง เธอเอาแต่พูดกับตัวเอง นิสัยของเธอก็เจ้าเผด็จการแบบนี้ จางจื่ออันชินแล้ว จากน้ำเสียงของเธอ เขาฟังออกว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเพื่อนร่วมงานสองคนนี้ธรรมดามาก ไม่เหมือนกับเพื่อนสาวคนสนิทอย่างซือซือ
“มีลูกก็เพื่อพาหมาไปเดินเล่นเนี่ยนะ?” จางจื่ออันกลัวพวกเขาอึดอัด จึงแขวะเข้าให้
นิสัยของคู่รักสองคนนี้ค่อนข้างอ่อนโยนและเก็บความรู้สึก เจอกับจ้าวฉีที่เผด็จการแบบนี้ ก็ทำได้แค่ถูกเธอจูงจมูกเท่านั้นแหละ
พวกเขาสองคนหน้าขึ้นสีเล็กน้อย ไม่ได้เป็นเพราะตากแดด แต่เขินนิดหน่อย เพราะจ้าวฉีพูดถึงเรื่องแต่งงานมีลูก แต่ความจริงแล้วพวกเขายังห่างจากขั้นนั้นอยู่มาก
พูดอย่างยุติธรรมเลยนะ ที่จ้าวฉีพูดไม่ได้เถียงข้างๆ คูๆ เลย ยิ่งอากาศย่ำแย่ ทุกคนยิ่งไม่อยากออกจากบ้าน ต่างก็อยากเล่นเกม ดูโทรทัศน์ และไถโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องแอร์กันทั้งนั้น คนที่ขวนขวายพัฒนาตัวเองอาจจะไปฟิตเนสหรืออ่านหนังสือ แต่เรื่องพาสุนัขไปเดินเล่นข้างล่างครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ที่ต้องเจอทั้งร้อน ทั้งเสียเวลา คงต้องจำใจมากทีเดียว
จ้าวฉีเจอกับคนที่พาสุนัขมาเดินเล่นทุกเช้าและเย็น เธอจึงรู้สึกภูมิใจในตัวอย่างน่าประหลาด
หลายคนเลี้ยงสุนัขเพราะความสุขที่ตัวเองได้เพลิดเพลินกับการลูบสุนัข และมอบหน้าที่พาสุนัขไปเดินเล่นให้พ่อแม่ปลดเกษียณหรือคุณตาคุณยาย แต่ตอนนี้คนวัยรุ่นไม่อยากอยู่กับคนแก่ เรื่องเยอะวุ่นวาย แถมยังเกิดการขัดแย้งได้ง่าย ต่างก็อยากมีความสุขกับโลกของคู่รักทั้งนั้น การพาสุนัขไปเดินเล่นจึงต้องทำด้วยตัวเองเท่านั้น
เถียนเถียนเปลี่ยนเรื่องอย่างอึดอัด “ปกติฉีฉีดูเย็นชา แต่ความจริงแล้วมีน้ำใจมากจริงๆ พอได้ยินว่าพวกเราอยากเลี้ยงสัตว์ ก็ชวนพวกเราไปลูบแมวที่บ้านของเธอด้วยค่ะ”
“เย็นชาขนาดนั้นที่ไหนกัน…” จ้าวฉีกระแอมสองครั้ง “แค่ไม่อยากคุยกับคนที่ไม่ชอบเท่านั้นเอง”
เสี่ยวหวางก็พูดแทรกด้วยท่าทางอึดอัด “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมอยากจะพูดสักหน่อยว่า แมวตัวนั้นในบ้านของจ้าวฉีเหมือนจะไม่ชอบผม…มันดูไม่ค่อยต้อนรับผมเลย”
ตอนที่ 1637 ไม่ให้ลูบหรอก
เป็นอย่างที่จางจื่ออันคาดเดา จ้าวฉีทำงานในตำแหน่งเดียวกับเสี่ยวหวางและเถียนเถียน แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับคู่รักนับว่าแค่เจอหน้าก็พนักหน้าทักทายกันเท่านั้น ไม่สนใจว่าพวกเขารู้จักกันอย่างไร จีบกันอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนิทอะไรกัน
เนื่อจากจ้าวฉีมักจะชอบอวดแมวอยู่ในกลุ่มเพื่อน แถมยังโม้เรื่องวิธีการเลี้ยงแมวด้วย คล้ายกับผู้ชำนาญการเลี้ยงแมวในบรรดาเพื่อนร่วมงานและกลุ่มเพื่อนสนิท ดังนั้นพวกเพื่อนร่วมงานที่มีสัตว์เลี้ยงหรืออยากเลี้ยงสัตว์เลี้ยงจึงมาขอคำแนะนำจากเธออยู่บ่อยครั้ง ความรู้พวกนี้เธอครูพักลักจำมาจากจางจื่ออัน ถึงแม้เป็นแค่ความรู้มือสอง แต่เนื่องจากความรู้เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของจางจื่ออันใหม่เอี่ยมที่สุด ไม่ใช่ความรู้เก่าแก่ส่งทอดมาหลายสิบปีจะเทียบได้ พวกเพื่อนร่วมงานเห็นแล้วต่างก็ตกตะลึง ทำให้เธอแอบรู้สึกมีความสุขทุกครั้ง
เสี่ยวหวางกับเถียนเถียนก็มาหาเธอด้วยเพราะชื่อเสียงโด่งดัง อยากขอให้เธอช่วยแนะนำสัตว์เลี้ยง ทีแรกค่อนไปทางอยากเลี้ยงสุนัข แต่เธอที่เป็นทาสแมว จึงแนะนำแมวสุดฤทธิ์สุดเดช เพราะความรู้เรื่องสุนัขของเธอตื้นเขินเกินไป พูดมากก็มีแต่จะโชว์โง่
คู่รักคู่นี้ค่อนข้างหูเบา เป็นพวกที่ชอบตามกระแสส่วนใหญ่ ก็เห็นด้วยกับข้อดีข้อเสียที่เธออธิบายอย่างน่าเชื่อถือ จึงเริ่มเปลี่ยนมาอยากเลี้ยงแมวแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจแน่วแน่
เมื่อวานเป็นวันเสาร์ ข้างนอกอากาศร้อนจัด ทำให้จ้าวฉีไม่อยากออกจากบ้าน ตัวเองอยู่ในบ้านรู้สึกเบื่ออย่างน่าประหลาด จึงเชิญพวกเขามาลูบแมวที่บ้านเสียเลย ประเด็นคือต้องการอวดหลานหลาน
เนื่องจากบอกล่วงหน้าก่อนจะมาถึงแล้ว พอกริ่งประตูดังขึ้น จ้าวฉีที่กำลังทำความสะอาดขนแมวก็รู้ว่าพวกเขามาถึงแล้ว จึงรีบไปเปิดประตูทันที
หลานหลานก็ตามหลังเธอมาด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น
คิดถึงตอนแรกที่จ้าวฉีรับหลานหลานกลับมาที่บ้านครั้งแรก และมีพนักงานส่งด่วนมาที่หน้าบ้าน หลานหลานก็เกือบจะวิ่งลอดออกจากซอกประตูไปอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่นั้นเธอก็ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษเวลาพนักงานส่งด่วนมาที่บ้าน
นอกจากซือซือแล้ว แขกประจำที่บ้านของจ้าวฉีมีแค่หลิวเหวินอิงและลูกสาวของเธอ เยว่เยว่ที่อยู่ชั้นบน ต่างก็คุ้นเคยกับหลานหลานมาก มันน่าจะคิดว่าที่มาครั้งนี้ก็คือพวกเธอ
จ้าวฉีมองแขกผ่านตาแมว จากนั้นก็เปิดประตู เรียกพวกเขาสองคนเข้ามาในบ้านอย่างกระตือรือร้น
เสี่ยวหวางกับเถียนเถียนทักทายสองสามคำ พวกเขาก็ก้มหน้ามองหลานหลาน เจ้าตัวเล็กที่ดูแล้วเกรี้ยวกราดแต่น่ารักสร้างความประทับใจครั้งแรกให้พวกเขาได้อย่างดี
แต่หลานหลานที่ปกติกระตือรือร้นกับซือซือและคู่แม่ลูกหลิวเหวินอิงมาก พอเห็นเสี่ยวหวางและเถียนเถียนแล้ว กลับหันหน้ากลับเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางรังเกียจ แต่ปกติมันสนอกสนใจทางเดินในตึกมาก ต้องให้จ้าวฉีหรือคนอื่นอุ้มมันกลับไปตลอด
จ้าวฉีรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เพราะกำลังยุ่งอยู่กับการรับแขก เสี่ยวหวางกับเถียนเถียนไม่รู้จักนิสัยของแมว คิดว่าแมวเป็นแบบนี้ จึงไม่ได้ใส่ใจนัก
พอเข้าบ้านและแขกกับเจ้าของบ้านนั่งลงแล้ว เสี่ยวหวางกับเถียนเถียนก็กล่าวชมการตกแต่งและจัดบ้านตามมารยาทก่อน จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งกินเค้กและไอศกรีมด้วยกัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวซุบซิบในหน่วยงานสักพัก เป็นคนแปลกหน้าในวินาทีแรก แต่กลายเป็นเพื่อนในวินาทีต่อมา ทุกคนล้วนเป็นวัยรุ่น บรรยากาศจึงผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นหัวข้อเรื่องก็เปลี่ยนไปเป็นแมวอย่างเป็นธรรมชาติ
ก่อนจะพูดคุยกัน ทั้งสามคนนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น จ้าวฉีแอบบอกให้หลานหลานกระโดดขึ้นมาบนโซฟาหรือนั่งบนตักเธออยู่หลายครั้ง แต่มันเอาแต่ลังเลอะไรสักอย่าง วนเวียนอยู่ตรงที่ห่างออกไปสองสามเมตร และไม่ยอมเข้ามาใกล้
สายตาของเถียนเถียนเหลือบมองหลานหลานอยู่ตลอด เพื่อให้พวกเขาเห็นอย่างชัดเจน จ้าวฉีจึงถือโอกาสอวดว่าหลานหลานเชื่อฟังมาก ก่อนเดินไปอุ้มหลานหลานขึ้นมา แล้ววางไว้บนโต๊ะน้ำชาตรงหน้าเถียนเถียนและเสี่ยวหวาง แถมยังชวนให้พวกเขาลองลูบมันสักครั้ง
เถียนเถียนสองลูบดูสองสามครั้ง และหลงใหลสัมผัสที่นุ่มลื่นตรงฝ่ามือทันที จึงให้แฟนหนุ่มลองลูบดูด้วย
แต่ทว่าเสี่ยวหวางเพิ่งยื่นมือออกไป หลานหลานก็กระโดดลงจากโต๊ะน้ำชาอย่างรังเกียจทันที ก่อนจะหมุนตัวกลับไปที่ห้องนอน
คราวนี้จ้าวฉีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย ปกติหลานหลานไม่เป็นแบบนี้นี่นา แม้แต่เยว่เยว่ก็ยังได้ลูบอย่างมีความสุข
เสี่ยวหวางก็อึดอัดทีเดียว จึงพูดเชิงหัวเราะเยาะตัวเองว่าเป็นคนประเภทที่ถูกแมวเกลียดตลอด
ตอนเขาเรียนมหาวิทยาลัย ในสวนมีแมวจรจัดตัวหนึ่ง ไม่เพียงเข้ากันได้ดีกับพวกเพื่อนๆ ยังวิ่งไปนั่งเรียบร้อยในห้องเรียนอยู่บ่อยครั้ง ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยท่าทางสง่างาม ทุกคนบอกว่ามันเป็นแมวที่ชอบเรียนหนังสือตัวหนึ่ง ทั้งอาจารย์และนักศึกษาต่างก็ดูแลเอาใจใส่มัน มันเหมือนจะรู้ว่าพวกนักศึกษาไม่ทำร้ายมัน อยากลูบสักหน่อยก็ไม่มีปัญหา และมีท่าทางเพลิดเพลินมากเสียด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง แมวจรจัดตัวนี้นอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวในสวนขนาดเล็ก เขากับเพื่อนหลายคนเดินผ่านไป เพื่อนผู้หญิงในนั้นเข้าไปลูบมันอย่างเริงร่า เขาเห็นคนอื่นลูบแมวสนุกสนาน พอเพื่อนยุอยู่หลายครั้ง ตัวเขาเองก็เริ่มอยากลองลูบดูบ้าง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเลี้ยงแมวและไม่เคยลูบแมวมาก่อน พอเพิ่งเข้าใกล้มัน ยังไม่ทันได้นั่งยองๆ และยื่นมือออกไป มันก็เหมือนจะยืนขึ้น คิดจะวิ่งหนีไปอย่างไม่พอใจแล้ว
พวกเพื่อนๆ หัวเราะกันยกใหญ่ บอกว่าเขาไม่เคยให้อาหารมันแต่อยากลูบมัน เข้าข่ายเที่ยวผู้หญิงฟรีๆ เดิมทีนี่เป็นแค่การล้อเล่น แต่เพราะในจำนวนนั้นมีเพื่อนผู้หญิงหัวเราะตามไปด้วย เขาก็แอบรู้สึกขายหน้า ต่อมาเขาตั้งใจซื้ออาหารแมวกระป๋องมา ตอนเจอมันก็โยนให้มันกิน มันกินอย่างสบายใจเฉิบ แต่ตอนเขาลองไปลูบมัน มันก็หมุนตัวอย่างไม่พอใจ ราวกับว่าไม่ยอมให้เขาลูบ เขาหัวเราะเยาะหลายครั้ง ตั้งแต่นั้นก็ล้มเลิกความคิดที่จะลูบมันไปเลย
นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่บางครั้งเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้คนเก็บเอามาคิดมาก โดยเฉพาะตอนที่เขาเจอแมวจรจัดตัวนี้อีกในภายหลัง ก็มักจะทำให้เขานึกถึงความอับอายในครั้งนั้น
หลังจากเรียนจบและออกจากมหาวิทยาลัย เขาก็มาทำงานที่เมืองปินไห่ ได้รู้จักกับเถียนเถียน ด้วยยุ่งอยู่กับงานและความรักทำให้เขาค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไป บางครั้งถึงนึกขึ้นมาได้ ก็รู้สึกว่าแมวตัวนั้นอาจจะเป็นข้อยกเว้น ไม่ได้หมายความว่าแมวตัวอื่นจะรังเกียจเขา
แต่วันนี้หลานหลานของจ้าวฉีทำให้เขานึกถึงเรื่องนั้นอีกครั้ง แมวคนละตัวกันก็ยังทำเย็นชาใส่เขา นี่อธิบายแล้วว่าแมวตัวนั้นไม่ใช่ข้อยกเว้น
จากคนที่ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นมากแล้ว บวกกับงานและความรักที่มั่นคงมาก ถึงถูกแมวเมินก็ไม่ได้อึดอัดใจเหมือนตอนนี้ แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี
เขาพูดกับจ้าวฉีเชิงหัวเราะเยาะตัวเอง “เมื่อก่อนพวกพี่ๆ ที่บ้านบอกว่า ผู้ชายไม่เลี้ยวแมว ผู้หญิงไม่เลี้ยงหมา ผมอาจจะไม่เหมาะเลี้ยงแมวละมั่ง แมวก็ไม่ชอบผมด้วย เลี้ยงหมาดีกว่าไหมนะ”
คำพูดนี้ไม่น่าฟังเลยสำหรับจ้าวฉีที่เป็นทาสแมว เธอไม่พอใจ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาคิดผิด เธอจึงให้พวกเขานั่งตามสบายอยู่สักพัก ส่วนตัวเองวิ่งขึ้นไปข้างบน เพื่อยืมลูกแมวสีขาวตัวนั้นของบ้านหลิวเหวินอิง
ลูกแมวสีขาวที่เสียแม่ไปเพราะเรื่องทารุณแมวโตขึ้นจากเดิมครึ่งหนึ่งแล้ว มันมีนิสัยร่าเริงมาก มันพอจะทดแทนเหมาเหมาที่ตายจากไป ให้ในใจของหลิวเหวินอิงและเยว่เยว่ลูกสาวของเธอชื้นใจขึ้นมาบ้าง
แต่ลูกแมวสีขาวที่ขี้ขลาดน้อยกว่าหลานหลานกลับเหมือนจะไม่ชอบเสี่ยวหวาง แม้จะไม่ได้ขัดขืนขนาดหลานหลาน แต่ภาษากายก็อธิบายทุกอย่างแล้ว
ความรู้เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงอันน้อยนิดและตื้นเขินของจ้าวฉีไม่พอใช้แล้ว ดังนั้นหนึ่งในเหตุผลที่พาพวกเขามายังร้านขายสัตว์เลี้ยงก็เผื่อว่าจางจื่ออันจะรู้ข้อเท็จจริงนี้
ตอนที่ 1638 นี่เป็นปัญหาด้านร่างกายแน...
จ้าวฉีเองก็เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ชายไม่เลี้ยวแมว ผู้หญิงไม่เลี้ยงสุนัข’ แต่เธอเห็นเพื่อร่วมงานผู้ชายที่ปกติชอบพูดคำหยาบคายตอนอยู่ในทีมเพื่อนร่วมงานหรืองานเลี้ยงก็พูดถึงเรื่องนี้ แต่เธอไม่เห็นด้วยว่านี่เป็นพื้นฐานการเลี้ยงแมวและสุนัข ส่วนเหตุผลนั้นง่ายมาก ทำไมต่างประเทศถึงไม่มีความเชื่อแบบนี้เลยล่ะ? หรือว่าแมวที่ต่างประเทศต่างจากแมวของประเทศจีน
ตอนนี้เถียนเถียนถูกจ้าวฉีโน้มน้าวแล้วด้วย เธอก็ยิ่งอยากเลี้ยงแมวมากขึ้นไปอีก แต่เธอก็เป็นห่วงความรู้สึกของแฟนหนุ่ม ถ้าซื้อมาแล้วมีแค่ตัวเองที่เพลิดเพลินกับแมว แบบนั้นก็แอบรู้สึกผิดกับแฟนหนุ่มอยู่บ้าง ผ่านไปนานๆ เข้าอาจจะกระทบกับความสัมพันธ์ของพวกเธอทั้งสอง
เสี่ยวหวางค่อนข้างใจกว้าง และรักแฟนสาวมาก จึงบอกให้เธออย่าใส่ใจ บางทีที่แมวจรจัดในมหาวิทยาลัย หลานหลาน และลูกแมวสีขาวไม่ชอบตัวเอง อาจจะเป็นเพราะไม่คุ้นเคย ถ้าซื้อลูกแมวมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กจนโต จะต้องคุ้นเคยกันได้และไม่หลบตัวเองแน่
เถียนเถียนรู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่ดี แมวที่เลี้ยงตั้งแต่เด็กจนโตไม่เหมือนแมวแปลกหน้าแน่นอน อาจจะแก้ปัญหานี้ได้จริงๆ
จ้าวฉีไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องนี้ เธอจึงไม่กล้าพูดมาก ไม่อย่างนั้นทำให้รุ่นน้องเข้าใจผิดแล้วจะทำอย่างไร? เธอบอกว่ารู้จักเจ้าของร้านขายสัตว์เลี้ยงคนหนึ่ง เชื่อถือได้ เป็นผู้เชี่ยวชสญด้านสัตว์เลี้ยง มีชื่อเสียงดีเยี่ยม เลยพาพวกเขามาขอคำปรึกษาสักหน่อย
คู่รักเกิดสงสัยขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าไม่ว่าเลี้ยงแมวหรือสุนัข ก็จะซื้อจากฟาร์มสุนัขและฟาร์มแมวจากฟาร์มชื่อดังในบนเวยป๋อ อย่างนี้สบายใจได้มากกว่า แต่เจ้าของร้านค้าเล็กๆ ริมทางสิบคนเป็นพ่อค้าหน้าเลือดไปแล้วเก้าคน
จ้าวฉีโน้มน้าวให้พวกเขาไปเห็นก่อนค่อยเชื่อ เพราะสมัยนี้อะไรก็ทำขึ้นมาได้ โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต จำนวนผู้ติดตามและคอมเมนต์ของแฟนคลับในเวยป๋อก็ทำขึ้นได้ทั้งนั้น อาจจะลากพวกเขาเข้าไปในกลุ่มคนสี่สิบคน ซึ่งสามสิบเก้าคนในนั้นเป็นคนของเจ้าของกลุ่ม ถูกหลอกแล้วยังต้องให้เงินเขาอีก
พวกเขาต้านทานความเผด็จการของจ้าวฉีไม่ได้ จึงรับปากว่าพรุ่งนี้จะไปกับเธอ
ที่จริงจ้าวฉีก็เสียใจภายหลังทีเดียว ได้ขลุกอยู่ในบ้านสองวันแท้ๆ กลับหาเรื่องลำบากได้ผลตอบแทนน้อยมาให้ตัวเองอีก ต้องตากแดดออกจากบ้าน และเธอไม่แน่ใจว่าจางจื่ออันกลับมาจากต่างประเทศหรือยัง ถ้ายังไม่กลับมา อย่างนั้นก็เท่ากับไปเสียเที่ยวแล้ว แต่บางทีพวกเขาก็อาจจะบังเอิญเจอแมวบางตัวที่ถูกใจในร้านก็ได้ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับความถูกชะตากันอยู่แล้ว
ดีที่จางจื่ออันกลับมาแล้ว พอเข้ามาแล้วเห็นเขาเป็นคนแรก จ้าวฉีก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ในที่สุดก็ได้โยนปัญหานี้ให้เขาแล้ว ส่วนการค้าขายครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ ก็ดูว่าเขาจะเล่นลูกไม้อย่างไรแล้วกัน
จางจื่ออันฟังต้นสายปลายเหตุจบแล้ว จึงพนักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว
เสี่ยวหวางยิ้มเจื่อนและแบมือ “เจ้าของร้าน เรื่องก็มีเท่านี้แหละ จ้าวฉีบอกว่าคุณรู้เรื่องสัตว์เลี้ยงเยอะมาก งั้นผมอยากถามหน่อย มีคำบอกเล่าเรื่องร่างกายที่ดึงดูดแมวกับ…ทำให้แมวเกลียดไหม?”
จางจื่ออันตรวจดูผ่านน้ำเสียงและสีหน้า ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเสี่ยวหวางไม่เป็นที่ชอบพอของแมว เขามีความคิดในใจแล้ว
“เรื่องอย่างร่างกายดึงดูดแมวเนี่ยมีอยู่หรือเปล่า ใช้คำว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่’ มาตัดสินง่ายๆ ไม่ได้ แต่ร่างกายที่ทำให้แมวเกลียดเนี่ยมีอยู่จริงๆ” เขาพูด “อันดับแรก ไม่ว่าแมวตัวผู้หรือแมวตัวเมีย ต่างก็ชอบผู้หญิงทั้งนั้น ผู้ชายพ่ายแพ้ไปตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นผู้หญิงจึงเหมาะที่จะเลี้ยงแมวมากกว่า เรื่องนี้ไม่นับว่าผิด”
“เมี๊ยวๆๆ?” เสวี่ยซือจื่อที่นอนงีบอยู่บนเครื่องปรับอากาศกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ก่อนจะเบิกตาโพลงพูดว่า “เป็นไปตามคาด ข้าไม่ได้โดดเดี่ยว ตัวไหนก็ชอบสาวสวยกันทั้งนั้น!”
หวางเฉียนกับหลี่คุนเคยใช้มือจับแมวมาหลายร้อยตัวแล้ว มีสิทธิ์ที่จะพูดเรื่องนี้อย่างเต็มที่ พวกเขารู้สึกได้นานแล้ว เวลาที่หลู่อี๋อวิ๋นหวีขน ตัดเล็บ และอาบน้ำให้แมว แมวให้ความร่วมมือมากกว่า ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนโยนกว่า ละเอียดอ่อนกว่า และมีความอดทนมากกว่า คิดไม่ถึงว่าสรุปแล้วแมวชอบผู้หญิงมากกว่าเหรอเนี่ย?
“สัตว์รู้สึกได้ถึงวิถีของโลกภายนอก ไม่ใช่แค่การได้ยิน การดมกลิ่น และการมองเห็น ส่วนกลิ่นและประสาทสัมผัส ปัญหาที่พวกเราพูดถึงอยู่นี้ไม่มีอะไรร้ายแรง ตัดทิ้งไปก่อน สายตาของแมวในตอนกลางวันเชื่องช้ากว่าคน และให้ความสำคัญกับการมองสิ่งของที่เคลื่อนไหวมากกว่า อีกอย่างเกรงว่ามาตรฐานที่พวกมันใช้ตัดสินความสวยงามและขี้เหร่ของมนุษย์จะไม่เหมือนกับพวกเรา ดังนั้นตัดเรื่องการมองภายนอกทิ้งไปได้เลย แบบนี้ก็เหลือแค่เสียงกับกลิ่น”
จางจื่ออันมองทุกคน “ถ้าให้พวกคุณหลับตา พวกคุณตัดสินได้จากเสียงไหมว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
ทุกคนพยักหน้าบ่งบอกว่าไม่มีปัญหา กำจัดความสวยงามส่วนบุคคลและเสียงปลอมไป อย่างน้อยมีอัตราความแม่นยำในการตัดสินมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นการคาดการณ์ที่คิดเผื่อเอาไว้ ความจริงแล้วอัตราความแม่นยำอาจจะถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์
“เสียงของผู้หญิงกับผู้ชายแตกต่างกันชัดเจน ผู้ชายเสียงทุ้มต่ำ ผู้หญิงเสียงใสกังวาน แต่ที่น่าเสียดายคือ ช่องว่างความถี่เสียงผู้หญิงทำให้แมวมีความสุขมากกว่า น่าจะอยู่ระหว่างสองถึงหกกิโลเฮิร์ตซ์ ซึ่งก็เป็นโทนเสียงที่ผู้หญิงพูดปกติ แค่เรื่องนี้อย่างเดียวก็ทำให้แมวชอบผู้หญิงมากกว่าแล้ว…อีกอย่างผู้ชายชอบพูดเสียงดัง ผู้หญิงพูดแล้วค่อนข้างนุ่มนวลอ่อนโยน แมวไม่ชอบผู้ชายเพราะน่ากลัวนี่แหละ”
จางจื่ออันหันไปทางเสี่ยวหวาง “คุณต่างหาก ตอนจ้าวฉีเปิดประตู คุณเอ่ยปากทักทาย หลานหลานได้ยินเสียงของคุณ ความประทับใจแรกจึงไม่ค่อยดี แต่ไม่เป็นไร เสียงของผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ว่า นอกจากหลานหลานจะไม่ชอบเสียงของคุณแล้ว น่าจะได้กลิ่นบุหรี่และกลิ่นเหล้าจากตัวคุณด้วย นี่เป็นกลิ่นสองกลิ่นที่แมวได้กลิ่นแล้วไม่ชอบ แน่นอนว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่กับกลิ่นเหล้า ดังนั้นพูดจากเรื่องนี้ ก็วางเรื่องแมวกับผู้หญิงไว้ด้านเดียวกันได้”
ตอนเสี่ยวหวางเพิ่งเข้ามา จางจื่ออันยังไม่รู้สึก ถึงอย่างไรจมูกของเขาก็ไม่ใช่จมูกสุนัข แต่ตอนเสี่ยวหวางพูดกับเขา เขาถึงจะได้กลิ่นบุหรี่จางๆ มาจากปากของเสี่ยวหวาง นอกจากนี้เสี่ยวหวางยังควานหาบุหรี่ในกระเป๋า แต่พอเห็นสัญลักษณ์ห้ามสูบบุหรี่บนผนังแล้วก็ต้องหยุดกลางคัน
ส่วนเหล้า จางจื่ออันไม่ได้กลิ่นเหล้า แต่ตามหลักการแล้ว ผู้ชายที่ไม่เตะต้องแอลกอฮอล์มีค่อนข้างน้อย ผู้ชายที่แค่ดื่มเหล้าแต่ไม่สูบบุหรี่ไม่นับว่าหายาก แต่ผู้ชายที่แค่สูบบุหรี่แต่ไม่ดื่มเหล้ายิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ผู้ชายที่ไม่สูบบุหรี่และไม่เคยเตะต้องเหล้าเลยอาจจะน้อยกว่านั้น ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเสี่ยวหวางมีโอกาสสูงมากที่จะทั้งสูบบุหรี่และดื่มเหล้า
สัตว์แทบจะทุกตัวไม่ชอบกลิ่นต้นใบยาสูบ และแมวไม่ชอบทั้งกลิ่นบุหรี่และกลิ่นเหล้า
เสวี่ยซือจื่อหัวเราะเยาะ “ด้านหนึ่งคือสาวสวยที่ตัวหอมผิวนุ่ม ด้านหนึ่งคือชายเฮงซวยที่ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งดื่มเหล้า หน้ามันแผล่บ ไม่สนใจความสะอาดส่วนตัว คิดว่าพวกข้าเผ่าแมวจะเลือกผู้ชายหรือ เห็นพวกข้าเป็นคนโง่หรืออย่างไร?”
เสวี่ยซือจื่อปากร้ายมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้คำพูดหยาบแต่เหตุผลไม่หยาบ พอลองคิดดูสักหน่อย ถึงแม้คนกลายเป็นแมว ต้องเลียขนทำความสะอาดตัวเองทุกวัน คงไม่เลือกให้ผู้ชายมาอุ้มมั้ง หลังจากอุ้มขึ้นมาแล้วขนบนร่างกายจะติดกลิ่นบุหรี่กับเหล้า รวมถึงไขมันที่น่ารังเกียจ สำหรับแมวที่รักความสะอาดแล้วคงทนไม่ได้
ถ้าความถี่เสียงทำให้ผู้ชายพ่ายแพ้ตั้งแต่แรกเริ่ม กลิ่นบุหรี่กับเหล้า และผิวหนังมันเยิ้มก็ยิ่งทำให้แมวตัดสินโทษตายให้ผู้ชายได้ในทันที
ดังนั้นบทสรุปจึงชัดเจนมากแล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่มีร่างกายดึงดูดแมวมาตั้งแต่เกิด ส่วนผู้ชายที่สูบบุหรี่และดื่มเหล้ากลับทำให้แมวรังเกียจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น