Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง 1604-1610

ตอนที่ 1604 จับเสือ

 

หลักการของปืนเทเซอร์ง่ายมาก ยิงขั้วไฟฟ้าที่เชื่อมกับสายไฟทั้งสองขั้ว หลังจากขั้วไฟฟ้าแทงเข้าไปในตัวคนแล้ว ร่างกายคนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจรกลับแบบเปิดปิด ทำให้กระแสไฟฟ้าเริ่มไหลเวียน แต่ถ้ามีขั้วไฟฟ้าขั้วหนึ่งเอียง หรือถูกตัวฉนวนขวางเอาไว้ วงจรกลับของการนำไฟฟ้าจะอยู่ในสภาพแยกออกจากกัน แน่นอนว่าไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน  


 


 


นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมปืนเทเซอร์ถึงมีผลแค่ระยะห้าเมตร หลังจากยิงขั้วไฟฟ้าสองขั้วก็จะแยกออกจากกันโดยอัตโนมัติ หากระยะห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเกินห้าเมตรก็ยากที่จะยิงโดนคนคนเดียวพร้อมๆ กัน  


 


 


เนื่องจากขั้วไฟฟ้าสองขั้วต้องแทงเข้าไปในผิวหนังถึงจะเดินไฟฟ้าได้ ดังนั้นใช้ปืนทเซอร์รับมือกับสัตว์จึงไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะขนของสัตว์ยาวและหนาเกินไป ผิวหนังก็ทั้งหนาทั้งแข็ง ขั้วไฟฟ้าแทงไม่เข้าผิวหนังของสัตว์แน่นอน  


 


 


จางจื่ออันเคยได้ยินว่าโทรศัพท์มือถือโนเกียกันกระสุนได้ และเคยได้ยินว่าโทรศัพท์มือถือแอปเปิลก็กันกระสุนได้เช่นกัน แต่ไม่คิดว่าเรื่องโชคดีแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง และเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกยิงเข้าสักวัน…ยังคิดไม่ถึงอีกว่าวันนี้ได้แผ่นซีดีช่วยเขาขวางกระสุนช็อตไฟฟ้าเอาไว้  


 


 


ขอบเขตของปืนเทเซอร์จำกัดแค่ระยะห้าเมตร นั่นหมายความว่าตอนที่เขาเข้าสู่ระยะยิงของอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็เข้าสู่ระยะยิงของเขาเช่นกัน และนอกจากเป็นโรคพาร์คินสัน ก็ไม่มีทางยิงเอียงจากเป้าหมาย  


 


 


แต่พูดตามตรงเลย ขั้วไฟฟ้านี้แทงเข้าไปในผิวหนังแล้วเจ็บนิดๆ โดยเฉพาะตอนเขาแสร้งล้มลงบนพื้น ขั้วไฟฟ้าจึงถูกกดทับและแทงเข้าไปลึกกว่าเดิม  


 


 


เขายืนขึ้นมาจากพื้น มือขวาถือปืนเทเซอร์เล็งไปที่หลี่ผีเท่อ มือซ้ายจับขั้วไฟฟ้าด้านที่แทงเข้าผิวหนัง ก่อนจะกัดฟันดึงมันออกมา เจ็บจนเขาต้องสูดอากาศเย็นๆ เลยทีเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้ขั้วไฟฟ้าหลุดออกจากผิวหนังหลังจากแทงเข้าไปแล้ว จึงต้องมีตะขอไว้สำหรับเกี่ยว หากฝืนดึงออกมาจะต้องมีเหลือดไหลแน่นอน  


 


 


“ศาสดาลี หลี่ผีเท่อ หัวหน้าหลี่ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะเจอกันในสถานการณ์แบบนี้ แถมยังต้อนรับผมด้วยวิธีอบอุ่นแบบนี้อีก แต่น่าเสียดายที่ผมโชคร้าย!”  


 


 


จางจื่ออันโบกปืนเทเซอร์เล็กน้อย บอกให้หลี่ผีเท่อทิ้งปืนในมือไปเสีย  


 


 


ด้วยเป็นอาวุธที่ไม่ถึงตาย ปืนเทเซอร์จึงบรรจุกระสุนช็อตไฟฟ้าได้แค่หนึ่งลูกต่อการยิงหนึ่งครั้ง หลังจากยิงออกไปแล้วต้องบรรจุกระสุนใหม่ ยิงต่อเนื่องเหมือนปืนปกติไม่ได้ นี่คือข้อเสียของมัน แต่หนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่สุดของปืนก็คือหยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นปืนดำหรือปืนขาว ทำให้เป้าหมายหยุดเคลื่อนไหวได้ก็นับเป็นปืนดี และปืนเทเซอร์ก็โดดเด่นกว่าเพื่อนในด้านนี้ ใช้ดีกว่าอุปกรณ์ที่ตำรวจใช้หลายๆ ชนิดเสียอีก  


 


 


เรื่องที่ปืนหนึ่งกระบอกก็เอาอยู่ ย่อมไม่ต้องยิงปืนหลายนัด  


 


 


หลี่ผีเท่อปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดี รู้ว่ายอมถอยสักหน่อยน่าจะเลี่ยงจุดจบน่าขายหน้ากว่านี้ได้ เขาไม่อยากให้ด้านหลังกางเกงสูทสีขาวสะอาดของตัวเองเปื้อนคราบน้ำสีเหลือง  


 


 


เขาจึงทิ้งปืนเทเซอร์ของตัวเองลงพื้น แล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัว  


 


 


“เจฟฟ์ ฉันก็แค่ล้อเล่น พวกเราเป็นเพื่อนเก่ากันนะ ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ตั้งแต่จากกันที่อียิปต์ ฉันก็คิดอยู่ตลอดว่าอยากไปเยี่ยมเธอที่เมืองปินไห่สักครั้ง แต่น่าเสียดายที่ธุรกิจรัดตัว เจียดเวลาไม่ได้สักที…แต่ก็ดี ในเมื่อเธอมาอเมริกาแล้ว พวกเราจะต้องสังสรรค์กันให้สุดเหวี่ยง ให้ฉันได้ทำหน้าที่เจ้าภาพนะ”  


 


 


ถ้าฟังแค่น้ำเสียงเป็นกันเองและอัธยาศัยดีของหลี่ผีเท่อเพียงอย่างเดียว อาจจะคิดว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าชาวจีนจริงๆ หากไม่ใช่เพราะว่าเขากำลังถูกปืนเทเซอร์กระบอกหนึ่งเล็งอยู่ และเพิ่งจะพยายามช็อตจางจื่ออันล้มลงบนพื้น  


 


 


พูดตามตรง ถ้าสถานการณ์ของทั้งสองคนย่ำแย่ลง คุณหลี่ถือมีดแล่เนื้อ คุณจางกลายเป็นปลา จางจื่ออันสงสัยมากว่าตัวเองจะใจเย็นอย่างนี้ได้ไหม นี่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์และการควบคุมตัวเอง แต่จางจื่ออันก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่กลัวเพราะมีคนหนุนหลัง เขาสงสัยว่าหลี่ผีเท่อยังมีไพ่เด็ดอะไรที่ยังไม่ได้ใช้อีกหรือเปล่า  


 


 


จางจื่ออันไม่ได้ต่อความยาว สาวความยืด หลี่ผีเท่อหมุนตัวแล้วเล็กน้อย ชี้ไปที่บ้านหลังใหญ่ข้างบนสุดของแหลมทางเหนือ “ลมกลางคืนหนาวเย็น ไปเดินเล่นที่บ้านฉันสักหน่อยดีไหม? บ้านฉันจะต้องสดใสเพราะการมาเยือนของเธอแน่นอน”  


 


 


“ช่างเถอะ คุณเห็นผมเป็นคนโง่เหรอ? ผมไม่พาตัวเองไปติดกับหรอก” จางจื่ออันปฏิเสธด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขารู้ว่าในบ้านหลังใหญ่จะต้องมีผู้คุมคนอื่นแน่นอน แม้จำนวนคนอาจจะไม่มาก แต่รับมือกับเขาก็เหลือเฟือ  


 


 


“ฟังนะเจฟฟ์ พวกเรานั่งตกลงกันสักหน่อยเป็นยังไง” หลี่ผีเท่อพูด ก่อนจะก้มหน้าก้มตานั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง พลางทุบๆ ขา “เธอก็เห็น ฉันอายุไม่น้อยแล้ว วุ่นวายก็มาตั้งหลายปี…แต่ฉันกลั้นใจทิ้งธุรกิจที่อดทนสร้างมาแทบตายไม่ได้ ต้องมีคนมารับช่วงต่อ”  


 


 


“เอ๋?” จางจื่ออันสับสน ขณะเดียวกันก็สังเกตรอบๆ อย่างระมัดระวัง ในใจยังคงครุ่นคิดถึงเหตุผลที่หลี่ผีเท่อใจเย็นขนาดนี้  


 


 


“เธออาจจะเข้าใจผิดเรื่องธุรกิจของฉันไปนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ถ้าเธอยอมฟัง ฉันก็อธิบายให้เธอฟังได้” หลี่ผีเท่อพูด “ทีแรกตอนอยู่ในมหาพีระมิดแห่งกีซา ฉันเชิญเธอเข้าร่วมกลุ่ม ตอนนั้นฉันตั้งใจสงบศึกจริงๆ ฉันไม่ได้ทำแบบขอไปที แล้วก็ไม่ได้ฝืนใจยกย่องเธอ ตอนอยู่ที่อียิปต์ฉันเห็นว่าเธอมีความสามารถในการโน้มน้าวคนมาก ถ้ายอมเข้ากลุ่มพวกฉัน ฉันรับรองว่าเธอจะได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญที่สุดของพวกเรา หลังจากฉันปลดเกษียณแล้ว เธอจะได้ดูแลทุกอย่าง ยังมีอีกหลายอย่างที่เธอไม่เคยเห็น แต่มันจะตกอยู่ในความดูแลของเธอทั้งหมด…”  


 


 


จางจื่ออันไม่เชื่อที่หลี่ผีเท่อพูดแม้สักคำเดียว เขาคิดว่าหลี่ผีเท่อพูดเรื่องพวกนี้เพราะสองจุดประสงค์ ถ้าไม่เบี่ยงเบนความสนใจของเขาและหาจังหวะจู่โจมกลับ ก็ต้องถ่วงเวลารอให้เรื่องราวพลิกผัน  


 


 


จะเป็นเรื่องไหนกันล่ะ?  


 


 


ความแตกต่างอยู่ที่ ถ้าเป็นเป้าหมายแรก หลี่ผีเท่อจะต้องอาศัยกำลังของตัวเองโจมตีกลับ ส่วนถ้าเป็นอย่างหลัง หลี่ผีเท่ออาจจะรอกำลังเสริม  


 


 


“หมอบลงบนพื้น”  


 


 


หลี่ผีเท่อยังพูดไม่หยุดปาก จางจื่ออันจึงพูดขัดจังหวะเขา แล้วใช้ปืนเทเซอร์ชี้ไปบนพื้น  


 


 


“เจฟฟ์ เธอไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลยนะ…” หลี่ผีเท่อขมวดคิ้ว  


 


 


“หมอบลง” จางจื่ออันทำท่าทางจะเหนี่ยวไก  


 


 


ในที่สุดหลี่ผีเท่อก็ยอมถอดหน้ากากอ่อนโยน แล้วความโกรธก็พลันฉายชัดบนใบหน้า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ฉันรับรองว่าเธอจะต้องเสียใจ…”  


 


 


“ค่อยๆ หมอบลง เคลื่อนไหวช้าๆ ให้ผมเห็นมือของคุณด้วย ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เกรงใจ ผมไม่อยากพูดอีกรอบหรอกนะ” จางจื่ออันใจแข็ง เพราะเขารู้ว่าหลี่ผีเท่อมีทักษะมีดบินไว้ป้องกันตัว ให้สองมือของหลี่ผีเท่อรอดพ้นจากสายตาของเขาไม่ได้เลย  


 


 


แม้จะปากแข็ง แต่หลี่ผีเท่อยังหมอบบนพื้นอย่างว่าง่าย ถึงอย่างไรเมื่อตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ก็ต้องยอมถอยเพื่อไม่ให้เป็นเบี้ยล่าง  


 


 


เมื่อครู่จางจื่ออันหาเชือกไนล่อนได้จากในบ้านของพวกผู้คุม มันเป็นเชือกที่พวกผู้คุมใช้มัดเมแกนนั่นแหละ ตอนนี้เห็นหลี่ผีเท่อยอมจำนนถึงได้เดินเข้าไป แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ใช้หัวเข่ายันหลังของเขาเอาไว้ จากนั้นดึงมือของเขาไพล่หลังมัดไว้ด้วยเชือก และถือโอกาสมัดขาทั้งสองข้างของเขาไปด้วยเลย  


 


 


อย่างนี้ก็กำจัดความเป็นไปได้ที่หลี่ผีเท่อจะอาศัยกำลังของตัวเองโจมตีกลับได้  


 


 


“แกว๊กๆ! ท่าทางไม่เลว ขืนขยับนิดเดียว พ่อจะตุ๋ยเข้าให้!” ริชาร์ดเลียนเสียงของจางจื่ออันขู่  


 


 


ร่างกายของหลี่ผีเท่อแข็งทื่อไปแล้ว เขาไม่รู้ว่าจางจื่ออันมีรสนิยมแบบนี้ด้วย   

 

 


ตอนที่ 1605 เปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริง

 

พอมัดหลี่ผีเท่อเสร็จ อีกฝ่ายก็ไม่เหลือโอกาสจู่โจมกลับแล้ว  


 


 


ส่วนจะจัดการคนคนนี้อย่างไร จางจื่ออันยังนึกวิธีดีๆ ไม่ออก ทั้งยังไม่อยากฆ่าเขาให้สกปรกมือตัวเอง และไม่อยากลำบากพาเขาเดินเท้าออกจากป่า ทิ้งเขาไว้ที่นี่เสียเลยดีกว่า ให้ทางตำรวจอเมริกาจัดการ ที่รอเขาอยู่น่าจะเป็นการตัดสินของกฎหมาย  


 


 


 “ไม่ๆ! เดี๋ยวก่อน!” หลี่ผีเท่อเห็นจางจื่ออันเก็บปืนเทเซอร์ที่ใช้แล้วเดินมาทางตัวเอง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว  


 


 


“ผมจำได้ว่าแคลิฟอร์เนียมีโทษประหาร ผมเชื่อว่าคุณคงเตรียมใจนั่งบนเก้าอี้ไฟฟ้าสักวันอยู่แล้ว งั้นให้คุณลองสักหน่อยคงไม่เสียหายสินะ? เทียบกับตายแล้ว ที่จริงคุณกลัวว่าสาวกพวกนั้นจะเห็นท่าทางน่าเกลียดของตัวเองมากกว่าล่ะสิท่า?”  


 


 


จางจื่ออันเห็นปฏิกิริยาของเขา ก็รู้ว่าตัวเองเดาถูกต้อง ทุกคนมีด้านที่อ่อนแอกันทั้งนั้น และสิ่งที่หลี่ผีเท่อหวาดกลัวที่สุดก็คือการทำลายภาพลักษณ์ที่ตัวเองลำบากตรากตรำสร้างมาหลายปี  


 


 


ดูจากชุดสูทสีขาวที่เขาใส่ทุกครั้งเวลาปรากฏตัวก็รู้แล้ว เขาพยายามสร้างภาพจำของตัวเองให้กับคนอื่นอย่างสุดความสามารถ โดยเฉพาะกับพวกสาวก  


 


 


“ไม่! ไม่!”  


 


 


หลี่ผีเท่อดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่มือกับเท้าถูกมัดเอาไว้หมดแล้ว ดิ้นไปก็ไม่มีประโยชน์  


 


 


จางจื่ออันติดขั้วไฟฟ้าของปืนเทเซอร์ไว้ข้างหลังช่วงเอวของหลี่ผีเท่อ แล้วพูดเสียงเบาว่า “พอถึงวันที่คุณได้นั่งบนเก้าอี้ไฟฟ้า คุณจะต้องขอบคุณผมที่ให้คุณได้ลิ้มรสชาติของมันก่อน”  


 


 


ขณะที่พูดจบ เขาก็เหนี่ยวไกปืน  


 


 


กระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่ร่างกายของหลี่ผีเท่อจากขั้วไฟฟ้าสีเงินทั้งสองด้าน ที่ได้รับผลกระทบก่อนก็คือกล้ามเนื้อตรงเอว รวมถึงกล้ามเนื้อชั้นลึก  


 


 


หลี่ผีเท่อตาเหลือกจนเห็นตาขาว สีหน้าพลันแดงก่ำ เส้นเลือดบนใบหน้าก็ปูดโปนขึ้นมาแล้ว พร้อมด้วยร่างกายชักกระตุกอย่างรุนแรง  


 


 


ห้าวินาทีให้หลัง จางจื่ออันก็คลายไกปืน  


 


 


คราบน้ำเปื้อนกางเกงของหลี่ผีเท่อแล้ว กลิ่นทั้งเหม็นสาบ ทั้งฉุนเตะจมูกขึ้นมาเลย  


 


 


หลี่ผีเท่อเป็นคนอดทนจริงๆ เขากัดฟันไม่ยอมตะโกนออกมา แล้วก็ไม่ได้สลบไป แต่ร่างกายกลับอ่อนแรงจนเหมือนโคลน เหลือเพียงแค่ลมหายใจ  


 


 


จางจื่ออันไม่คิดจะปล่อยหลี่ผีเท่อไปอย่างนี้ เขาจึงไปหยิบเชือกป่านเส้นหนึ่งออกมาจากบ้านผู้คุม เป็นเชือกป่านที่พวกผู้คุมใช้ผูกหินถ่วงข้อเท้าของเมแกนตอนโยนลงทะเล เห็นเซฮวาบอกว่ามีเชือกป่านแบบนี้อยู่ในก้นทะเลเยอะแยะ  


 


 


ไม่ว่าจะเป็นเชือกไนลอนหรือเชือกป่าน ก็นับเป็นความเคียดแค้นของวิญญาณอาฆาตจากก้นทะเล  


 


 


เขาใช้เชือกป่านมัดเท้าทั้งสองข้างของหลี่ผีเท่อ แล้วห้อยหลี่ผีเท่อกลับหัวลงจากบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ก่อนจะฉายไฟถ่ายรูปเอาไว้สองสามรูปอย่างพึงพอใจ  


 


 


“มาดูสิ! ศาสดาของพวกคุณ! นี่ก็คือโฉมหน้าที่แท้จริงของหลี่ผีเท่อ!” เขาป้องปากด้วยสองมือ พลางตะโกนเข้าไปในป่า  


 


 


เสียงดังสะท้อนไปไกลมากในป่าอันเงียบสงัด  


 


 


ไม่มีคนตอบรับ แต่เขารู้ว่าต้องมีคนเห็นภาพนี้แน่นอน ถึงอย่างไรชุดสีขาวทั้งตัวของหลี่ผีเท่อถูกแสงไฟสะท้อนแล้วก็เตะตาในยามค่ำคืน  


 


 


“เธอจะต้องเสียใจ…” หลี่ผีเท่อกัดฟันพูด แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น  


 


 


“ผมก็อาจจะเสียใจ แต่โอกาสเสียใจของคุณหมดไปแล้ว”  


 


 


จางจื่ออันไม่สนใจคำขู่ของเขา แล้วทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง ก่อนเรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยงให้ออกจากที่นี่  


 


 


เขาเก็บเสบียงอาหารได้เพียงพอแล้ว รวมถึงเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของหลี่ผีเท่อให้ผู้เลื่อมใสเห็นได้ ทั้งยังหาภูตสัตว์เลี้ยงอย่างฟราเทอร์เจออีก เรื่องที่ต้องทำก็สำเร็จเสร็จสิ้นหมดแล้ว ต่อไปก็เหลือแค่ออกจากป่าพร้อมเมแกน อัปโหลดวิดีโอที่โดรนถ่ายไว้ สถิติในฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ และหลักฐานอื่นบนอินเทอร์เน็ตก็ใช้ได้แล้ว  


 


 


ถึงหลี่ผีเท่อจะเหลี่ยมจัดมาก แต่ก็สู้กับเครื่องจักรของประเทศไม่ได้ ผู้บัญชาการใหญ่ส่งทวิตเตอร์แค่ครั้งเดียวก็จัดการเขาได้แล้ว  


 


 


“คนที่อยากฆ่าเจ้ามีอีกตั้งเยอะ! วันนี้หลี่ผีเท่อต้องตกอยู่ในที่นาแห่งนี้ เขาต้องโทษตัวเองเท่านั้น!” เหล่าฉาทอดถอนใจ “ความดีความชั่วมีการตอบแทนในท้ายที่สุด แค่ได้มาเร็วหรือช้าเท่านั้น ตอนอยู่ที่อียิปต์ ข้าก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนมากด้วยแผนการ และคิดว่าอีกหน่อยต้องวางแผนชั่วร้ายไว้แน่ๆ”  


 


 


“ฮ่าๆ พวกเราเลิกสนใจเขาได้แล้ว เขาก็เหมือนคนตายไปจากสังคมนี้ บางทีพอคลายเชือกแล้ว เขาเกิดทนความอัปยศนี้ไม่ไหวขึ้นมา ก็คงโขกหัวตายไปเอง” จางจื่ออันหัวเราะ  


 


 


วลาดิเมียร์กลับเสียดายเล็กน้อย “เหมียวเขาสิ ฉันยังคิดว่าเขามีความสามารถอะไรจริงๆ ที่แท้ก็เป็นเสือกระดาษที่ตีตนเป็นเทพ!”  


 


 


“หวังว่าต่อไปจะไม่มีข่าวเท้าขาดบนชายหาดอีกแล้วนะ”  


 


 


จางจื่ออันพูดล้อเล่นกับพวกภูตสัตว์เลี้ยง แต่ก็ไม่ได้วางใจลงได้โดยสิ้นเชิง เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองพลาดอะไรไปบางอย่าง  


 


 


“เจี๊ยกๆ”  


 


 


พายรู้ว่าใกล้ถึงวันกลับบ้านขึ้นทุกที จึงโบกกระบองไม้เดินอยู่ตรงหน้าด้วยความเริงร่า  


 


 


ซิงไห่กลับเหมือนกำลังตามหาบางอย่าง มันเอาแต่มองซ้ายทีขวาที  


 


 


เหล่าฉากระโดดย้ายตำแหน่งอย่างรวดเร็วบนแง่งกิ่งไม้ ดวงตาเป็นประกาย ชุดคลุมยาวพลิ้วไสวตามสายลม  


 


 


ส่วนริชาร์ด…มองข้ามนกชั่วตัวนี้ไปแล้วกัน มันอาจจะกำลังอึอยู่ในฮู้ดก็ได้  


 


 


เดินไปอีกสองสามก้าว อยู่ๆ จางจื่ออันก็หยุดเดิน  


 


 


“เป็นอะไรไปจื่ออัน” เหล่าฉาสังเกตสีหน้าแปลกๆ ของเขา จึงหยุดเดินแล้วถามเช่นกัน  


 


 


จางจื่ออันหันหน้าไป แล้วส่องไฟฉายไปยังหลี่ผีเท่อที่ยังถูกห้อยหัวบนต้นไม้ ห้อยต่องแต่งเหมือนศพแขวน ส่วนหน้าตาซ่อนอยู่ในความมืด จึงมองเห็นไม่ชัดเจน  


 


 


“เดี๋ยวก่อน ชักจะแปลกๆ นะ” เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด  


 


 


“ตรงไหนแปลก” เหล่าฉาถามต่อ  


 


 


สายตาของจางจื่ออันมองเหล่าฉาสลับกับพาย  


 


 


ตามหลักการแล้ว อเมริกาเหนือไม่มีลิงป่า แต่ลิงวอกแบบพายมาปรากฏตัวในป่าลึก แถมยังโบกกระบองไม้เองได้ ไม่ได้แปลกเลยเหรอ  


 


 


เหล่าฉาที่เป็นแมวดราก้อนหลี่ก็ยังสวมชุดคลุมตัวยาวและหมวกไม้ไผ่สาน ลักษณะท่าทางไม่เหมือนแมว แต่เหมือนคนมากกว่า ไม่แปลกใจบ้างเหรอ?  


 


 


แม้แต่ซิงไห่ ดวงตามีเทาเงินของมันก็ไม่ได้พบเห็นบ่อยๆ ในบรรดาแมวทั่วไป  


 


 


ตอนหลี่ผีเท่อซ่อนอยู่ในมุม เขาอาจจะได้ยินจางจื่ออันพูดกับพวกภูตสัตว์เลี้ยง ถ้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ตอนเห็นเรื่องแบบนี้แล้ว จะไม่รู้สึกแปลกๆ หรอกเหรอ?  


 


 


ตอนเมแกนถูกช่วยขึ้นมาจากในทะเล เธอเห็นภูตสัตว์เลี้ยงแล้วยังประหลาดใจมาก แต่ตอนนั้นเธอเพิ่งรอดพ้นจากความตาย จางจื่ออันเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเธอ แถมแม่ยังบอกให้เธอเชื่อใจจางจื่ออัน เธอที่อ่อนแรงจึงไม่อยากไปถามมากเกินไป  


 


 


แต่เมื่อครู่หลีผีเท่อเห็นพวกภูตสัตว์เลี้ยงแล้วกลับไม่มีอาการตกใจเลย ทว่าปล่อยวางเหมือนได้รับคำตอบจากเรื่องลึกลับซับซ้อน อีกอย่างระหว่างที่เขาได้เปรียบและโน้มน้าวให้จางจื่ออันนร่วมมือ ก็ไม่ได้พูดถึงพวกภูตสัตว์เลี้ยง เพียงพูดอย่างมีเลศนัยในตอนแรกเท่านั้น ‘มิน่าล่ะเธอถึงเหมือนมีเทพช่วย ที่แท้ก็มีพวกมันคอยช่วยนี่เอง’  


 


 


นี่หมายความว่ายังไง  


 


 


หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็คิดว่าหลี่ผีเท่อพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ขึ้นมาก็เพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น  


 


 


ด้วยนิสัยช่ำชองและชั่วร้ายของหลี่ผีเท่อ ถึงแม้จางจื่ออันกลับไปสอบถามหลี่ผีเท่อ เขาก็คงไม่ได้รับตอบอย่างแน่นอน อาจจะยังเรื่องอื่นเพื่อถ่วงเวลาต่อ ภาระเร่งด่วนก็คือควรจะไปเจอกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นก่อน ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางสบายใจได้ เรื่องมันชักจะไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้แล้ว   

 

 


ตอนที่ 1606 แบ่งกำลังทหาร

 

หลังจากมองส่งจางจื่ออันไป ฟราเทอร์และเฟยหม่าซือก็คุมเชิงกับฝูงหมูป่า พวกมันรู้ตัวว่าเสียเปรียบฝูงหมูป่าเรื่องจำนวน ต่อสู้อย่างบ้าระห่ำตัดทิ้งไปได้เลย ไม่หวังให้ได้ผลดีเลิศ แต่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหา ดังนั้นจึงไม่เห่าและไม่ขยับ พยายามไม่ยั่วโมโหพวกหมูป่า  


 


 


พวกมันที่อยู่ตรงนี้ถูกบ้านไฟไหม้แถวหนึ่งปิดกั้นวิสัยทัศน์เอาไว้ มองไม่เห็นสถานการณ์ฝั่งจางจื่ออัน ดังนั้นจางจื่ออันเจออันตรายหรือไม่ พวกมันไม่มีทางรู้เลย แต่ดีที่ข้างกายเขายังมีซิงไห่ เหล่าฉา และพาย บวกกับเนื้อแท้ของเขาที่ดีกว่าคนทั่วไป ถึงเจออันตรายก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยยังหนีได้  


 


 


“อ๊ากกก!”  


 


 


เสียงร้องน่าเวทนายาวเหยียดดังมาแต่ไกล เสียงหลงจากความเจ็บปวดทำให้ยากจะแยกแยะได้ว่าเป็นเสียงของใคร โดยเฉพาะรอบด้านยังมีเสียงรบกวนจากบ้านที่ถล่มจากไฟไหม้ รู้เพียงว่าเป็นเสียงของผู้ชาย  


 


 


เฟยหม่าซือกับฟราเทอร์มองไปทางนั้นอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็เลื่อนสายตากลับมาที่ราชาหมูป่า  


 


 


“ถ้าเจ้าเป็นห่วง จะไปดูก็ได้ ที่นี่ข้าจะต้านไว้เอง” ตอนฟราเทอร์พูดมันไม่ละสายตา มันไม่มองเฟยหม่าซือก็รู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์จากกลิ่น เฟยหม่าซือก็ทำแบบนี้ได้เหมือนกัน  


 


 


เฟยหม่าซือพูดเสียงเบา “ไม่ต้องหรอก ฉันเชื่อว่าเขารับมือได้”  


 


 


ฟราเทอร์ประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าเชื่อใจเขามากเลยสินะ”  


 


 


“ใช่”  


 


 


อยู่ๆ เฟยหม่าซือก็อยากจะระบายความในใจ มันอยากเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดหลังจากตัวเองมายังร้านขายสัตว์เลี้ยงให้ฟราเทอร์ฟัง โดยเฉพาะเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนถ่ายทำภาพยนตร์ในโรงถ่ายภาพยนตร์ปินไห่ ฟราเทอร์ฟังแล้วจะต้องเชื่อมั่นในตัวเขาเช่นกัน  


 


 


แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเล่าเรื่อง และมันก็ไม่ใช่นักเล่าเรื่องที่ดีที่สุด ถ้าในอนาคตมีโอกาส ให้พายมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟราเทอร์ฟังดีกว่า  


 


 


เสียงร้องน่าเวทนาดังมาอีกครั้ง คราวนี้เสียงค่อนข้างสั้น  


 


 


เฟยหม่าซืออยากถามฟราเทอร์มากว่าสนใจไปเที่ยวเมืองปินไห่กับทุกคนไหม แต่มันคิดว่าฟราเทอร์คงไม่ไปจากที่นี่ เพราะฝูงหมาป่าเพิ่งกลับมาที่ป่าเรดวูดอีกครั้ง ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานที่นี่ ฝีมือการล่าก็ยังต้องขัดเกลา เป็นเวลาที่ต้องการฟราเทอร์มาชี้แนะมากที่สุด ถ้าเปลี่ยนมันไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกับฟราเทอร์ ก็คงจะทอดทิ้งพวกเพื่อนพ้องได้ยากเหมือนกัน เรื่องนี้คล้ายกับเสี่ยวไป๋เล็กน้อย มันยอมใช้ชีวิตนอนกลางดิน กินกลางทรายก็เพื่อเพื่อนพ้อง  


 


 


เสียงร้องน่าสมเพชดังมาอย่างต่อเนื่อง เฟยหม่าซือกลับวางใจขึ้น แม้มันจะฟังไม่ออกว่าเสียงพวกนั้นใช่เสียงของจางจื่ออันด้วยหรือเปล่า แต่เสียงพวกนี้ดังมาจากหลายๆ คนแน่นอน แปดสิบเปอร์เซ็นต์คือผู้คุมพวกนั้นถูกจัดการไปแล้ว  


 


 


ฟราเทอร์ก็เดาได้แล้วเหมือนกัน “ดูท่าทางความมั่นใจของเจ้าจะจริงนะ”  


 


 


พอได้รับการยอมรับจากฟราเทอร์ เฟยหม่าซือก็รู้สึกเป็นเกียรติ  


 


 


หลังจากเงียบอยู่ช่วงหนึ่ง ก็มีเสียงร้องน่าเวทนาสั้นๆ อีกเสียงหนึ่ง และยังเป็นเสียงเพี้ยนๆ จากความเจ็บปวดอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ เฟยหม่าซือถึงหัวใจเต้นแรงขึ้นมา รู้สึกว่าเสียงร้องน่าเวทนานี้เป็นของจางจื่ออัน  


 


 


ฟราเทอร์รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเฟยหม่าซือ หลังจากลังเลสักพักก็ถามว่า “เจ้าจะไม่ไปดูจริงๆ หรือ? ถึงเจ้าจะมั่นใจในตัวเขา แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดมักจะเกิดขึ้นเสมอ…”  


 


 


เฟยหม่าซืออยากทิ้งทุกอย่างแล้วพุ่งตัวไปดู แต่มันก็ยังนิ่ง เพราะถ้าเหล่าฉากับซิงไห่ยังจัดการเรื่องไม่คาดคิดไม่ได้ ถึงมันไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างก็เพราะจางจื่ออันเชื่อใจมัน ถึงวางใจให้มันอยู่เฝ้าที่นี่กับฟราเทอร์ ถ้าตรงนี้มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น มันก็ไม่อยากทำให้เขากับทุกคนผิดหวัง  


 


 


มันเชื่อว่าถึงแม้จางจื่ออันเจอเรื่องไม่คาดคิดและต้องการความช่วยเหลือ เจ้านกริชาร์ดจะต้องใช้เสียงหนวกหูเหมือนฆ้องพังร้องขอความช่วยเหลือดังไปทั่วป่าแน่นอน  


 


 


เมื่อครู่เป็นเสียงร้องน่าเวทนาเสียงสุดท้าย หลังจากนั้นฝั่งนั้นก็เงียบสงบไม่มีเสียงอะไร มีแค่เสียงบ้านถล่มดังขึ้นอยู่ตลอด  


 


 


ตอนนี้เอง  


 


 


“อ๊า! ช่วยด้วย!”  


 


 


เสียงแหลมเสียงหนึ่งดังมาจากข้างๆ  


 


 


เฟยหม่าซือกับฟราเทอร์ตกตะลึงพร้อมกัน แล้วหันหน้าไปดูอย่างพร้อมเพรียง แต่ในป่าก็มืดมิดจนมองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น รู้เพียงว่าเป็นเสียงร้องของผู้หญิง เสียงดังมาจากที่ที่ค่อนข้างไกลทีเดียว  


 


 


นี่เป็นเสียงใครร้อง  


 


 


เมแกนเหรอ?  


 


 


เสียงไม่ได้ดังมาจากหมู่บ้านอินเดียแดง แต่ไกลออกไปกว่านั้น  


 


 


จางจื่ออันกำชับเมแกนไว้ว่าไม่ว่าได้ยินเสียงแปลกๆ อะไรก็อย่าออกจากบ้านโดยพลการเด็ดขาด ให้อยู่ในบ้านรอเขาเอาอาหารกลับมาอย่างว่าง่าย หรือว่าเจ้าเด็กคนนั้นออกจากบ้านมาเจออันตราย?  


 


 


ฟราเทอร์ตั้งใจเหลือหมาป่าสองตัวไว้เฝ้าหมู่บ้าน เพื่อกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้าใกล้ แต่ก็ขวางให้เธอรนหาที่ตายไม่ได้สินะ!  


 


 


ในป่าลึกตอนกลางคืนนั้นอันตรายมาก สัตว์หากินตอนกลางคืนทุกชนิดกำลังเคลื่อนไหว และในนั้นมีสัตว์ป่าที่ถูกคลื่นเสียงความถี่สูงของเซฮวาสร้างความแตกตื่นให้ไม่น้อย สัตว์ป่าที่ปกติไม่จู่โจมคนก่อนก็อาจจะก้าวร้าวขึ้น  


 


 


เฟยหม่าซือมั่นใจในตัวจางจื่ออัน แต่มันไม่รู้จักเมแกนเลยแม้แต่น้อย ใครจะไปรู้ว่าเธอคิดอย่างไร  


 


 


พวกมันไม่แน่ใจว่าเสียงนี้ใช่เสียงของเมแกนหรือเปล่า แน่ใจแค่ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงเท่านั้น  


 


 


ฟราเทอร์กับเฟยหม่าซือมองตากัน แล้วฟราเทอร์ก็พูดเสียงเบาว่า “เหมือนจะมีคนเจออันตรายเข้าแล้ว ข้าว่าพวกเราจะนิ่งเฉยเมื่อเห็นคนใกล้ตายไม่ได้”  


 


 


เฟยหม่าซือพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้จางจื่ออันอยู่ที่นี่ เขาก็คงไม่ยอมเห็นคนตายไปเช่นกัน  


 


 


แล้วใครจะไปช่วยล่ะ  


 


 


“นายไปเถอะ” เฟยหม่าซือพูด “หมูป่ากลัวนายมากกว่า ถ้านายไป ความเป็นไปได้ที่พวกมันจะจู่โจมก็ยิ่งลดลง”  


 


 


เฟยหม่าซือก็อยากไปช่วย แต่ต้องมีสักตัวอยู่ที่นี่ หนึ่งคือรอจางจื่ออันกลับมาบอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สองคือถ้าพวกมันไปทั้งสองตัว หลังจากหมูป่ากินธัญพืชอย่างสบายใจเฉิบแล้ว ตอนถอยไปอาจจะเจอกับฟีน่าและเสวี่ยซือจื่อ ฉะนั้นคุมเชิงไว้แบบนี้เป็นดีที่สุด  


 


 


ฟราเทอร์เห็นด้วยกับการตัดสินใจของมัน “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ ที่นี่คงต้องฝากเจ้าแล้ว”  


 


 


“วางใจเถอะ”  


 


 


เฟยหม่าซือเพิ่มความกระตือรือร้นเป็นสองเท่า  


 


 


ช่วยคนก็เหมือนดับไฟ อย่าช้าแม้แต่วินาทีเดียว ฟราเทอร์ไม่มีเวลาพูดมาก มันเชื่อว่าเฟยหม่าซือรับมือได้ จึงสาวเท้าวิ่งเข้าไปในป่า  


 


 


ฟราเทอร์อาศัยความทรงจำวิ่งไปทางเสียงร้องที่ดังมา  


 


 


พอเข้าไปในป่า แสงไฟในทุ่งนาก็ถูกป่าชุกตัดขาดไปในทันที  


 


 


มันวิ่งไปได้ช่วงหนึ่ง ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองยังห่างกับผู้หญิงคนนั้นอีกไกลเท่าไร มันจึงหยุดวิ่ง แล้วก้มหัวดมกลิ่นจากรอบๆ แล้วก็ตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงร้องน่าสงสัย  


 


 


“อ๊า!”  


 


 


เสียงร้องดังมาอีกครั้ง คราวนี้อยู่ใกล้มาก น่าจะอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนี้  


 


 


ฟราเทอร์เปลี่ยนทิศทางทันที ก่อนจะวิ่งเร็วขึ้น  


 


 


ท่ามกลางค่ำคืนเงียบสงัด มันเห็นว่าข้างหน้ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพิงข้างๆ ต้นไม้ เธอพาดผ้าคลุมสีแดงเข้มไว้บนไหล่ นั่งคุดคู้อยู่ตรงนั้น ราวกับได้รับบาดเจ็บ  


 


 


ฟราเทอร์ไม่แน่ใจว่านั่นคือเมแกนหรือเปล่า ลมไม่ได้พัดมาทางมัน มันจึงไม่ได้กลิ่นของเธอ  


 


 


“โฮ่ง! โฮ่งๆ!”  


 


 


มันกลัวจะทำให้เธอตกใจ จึงเห่าเลียนแบบเสียงสุนัขเพื่อเรียกเธอ  


 


 


เธอได้ยินเสียงแล้วก็สะดุ้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย  


 


 


ไม่ใช่เมแกน  


 


 


ฟราเทอร์ไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้  


 


 


สายตาของผู้หญิงคนนี้…  


 


 


แย่แล้ว! หรือจะเป็นกับดัก?   

 

 


ตอนที่ 1607 หายนะของสัตว์ป่า

 

ฟราเทอร์อยู่ห่างจากผู้หญิงคนนั้นยี่สิบกว่าเมตร รอบๆ มืดมาก ที่จริงมันมองไม่ถนัดว่าแววตาของเธอแฝงนัยอะไรอยู่กันแน่ แต่สัญชาตญาณสัตว์ป่าของมันบอกให้ระวังตัว เพราะบางอย่างน่าสงสัย  


 


 


เสียงร้องสองครั้งของเธอดูหวาดกลัวสุดขีด ราวกับเจออันตรายถึงชีวิต แต่หลังจากเห็นเธอด้วยตาของตัวเอง ฟราเทอร์กลับไม่พบอันตรายรอบๆ นี้เลย แล้วเธอร้องทำไม?  


 


 


อีกอย่างการแต่งตัวของเธอก็แปลกมาก คิดไม่ถึงว่าจะเปลือยน่อง ดูเหมือนไม่ได้ใส่ถุงเท้า เสื้อผ้าก็ตัวบางมาก ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ตอนกลางคืนต้องหนาวแน่นอน  


 


 


ตั้งแต่ฟราเทอร์ปรากฏตัวที่ซานฟรานซิสโกและมุ่งหน้าขึ้นเหนือมาตลอดทาง มันวิ่งห้อและติดรถคนอื่นมายังป่าเรดวูด เห็นกลุ่มนักเดินป่ามาแล้วไม่น้อย แบบมาตรฐานน่าจะเป็นอย่างจางจื่ออัน สะพายกระเป๋า เตรียมเสบียงและของใช้ต่างๆ ครบครัน ใส่เสื้อผ้าป้องกันฝน เก็บความอบอุ่น และทนการเสียดสี  


 


 


มันรู้มาจากฝูงหมาป่าว่า นอกจากรังโจรของพวกหลี่ผีเท่อแล้ว สิ่งก่อสร้างของมนุษย์เพียงแห่งเดียวบริเวณนี้ก็คือหมู่บ้านอินเดียแดง และตอนนี้ในหมู่บ้านก็มีเพียงเมแกน  


 


 


ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนนักเดินป่า แล้วก็ไม่ใช่เมแกน งั้นเธอน่าจะมาจากรังโจรของหลี่ผีเท่อ  


 


 


ที่ทำนาในทุ่งนาเป็นผู้ชายทั้งหมด ผู้คุมเองก็เป็นผู้ชายทั้งหมด ฟราเทอร์เดาว่าผู้หญิงจำนวนน้อยนิดน่าจะรวมกันอยู่ในบ้านหลังใหญ่บนแหลมทางเหนือ ทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถู ซักผ้า งานครัว และงานจิปาถะอื่นๆ  


 


 


ผู้หญิงพวกนี้ก็ถูกล้างสมองในระดับต่างกันไป  


 


 


ฉะนั้นผู้หญิงที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวในป่าลึกคนนี้จึงน่าสงสัยมาก  


 


 


เมื่อรู้ว่านี่อาจจะเป็นกับดับ ฟราเทอร์กลับรู้สึกโชคดีเล็กน้อย ดีที่คนมาดูสถานการณ์คือตัวเอง ไม่ใช่เฟยหม่าซือ นี่ไม่ได้หมายความว่ามันรู้จักตัวเองดีกว่าเฟยหม่าซือ แค่ต้องการเสียสละ และยอมเสี่ยงอันตรายอยู่ที่นี่เอง  


 


 


มันหมุนตัวคิดจะถอย ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนของศัตรูหรือไม่ ถอยไปอยู่ในระยะปลอดภัยแล้วค่อยว่ากัน  


 


 


ปัง! ปัง! ปัง!  


 


 


เสียงดังสนั่นหลายครั้งดังอยู่เหนือหัว  


 


 


ไม่ใช่เสียงปืนปกติ และไม่เหมือนปืนเทเซอร์  


 


 


ฟราเทอร์เงยหน้าขึ้นมองด้วยจิตใต้สำนึก ก็เห็นตาข่ายเชือกคล้ายตารางหมากรุกกำลังครอบลงมาบนหัวตัวเอง  


 


 


แย่แล้ว!  


 


 


มันออกตัววิ่งไปข้างๆ อย่างรวดเร็ว แต่ตาข่ายเชือกมาเร็วเกินไป ไม่ใช่แค่อันเดียว แต่ตาข่ายสามอันคลุมมันจากข้างหน้า ข้างหลัง ทางซ้ายและขวาของมัน มันหลบพ้นอันหนึ่ง แต่กลับถูกตาข่ายอีกอันคลุมซะแล้ว  


 


 


มันถูกตาข่ายเชือกคลุมลงมาแล้ว ดิ้นรนยิ่งทำให้ตาข่ายเชือกพันมันแน่นกว่าเดิม ไม่นานก็ถูกมัดจนเหมือนบ๊ะจ่าง  


 


 


“ฮ่าๆ! จับได้แล้ว!”  


 


 


“จับได้แล้วตัวหนึ่ง!”  


 


 


ผู้คุมสองสามคนกระโดดลงมาจากต้นไม้ข้างๆ ในมือทุกคนถือสิ่งของคล้ายปืนรูปร่างแปลกๆ ไว้อันหนึ่ง  


 


 


ถ้าจางจื่ออันอยู่ที่นี่ เขาต้องรู้แน่ว่านี่คือปืนตาข่ายปราบจลาจล และมีชื่ออื่นมากมายอย่างปืนยิงตาข่าย ตาข่ายจับกุม และอื่นๆ เป็นอาวุธที่ไม่ถึงตายเหมือนปืนเทเซอร์ ส่วนใหญ่ใช้จับเป้าหมายในสถานการณ์ที่ต้องพยายามไม่ทำร้ายเป้าหมาย ไม่เพียงใช้เขตแดนปราบจลาจล ยังใช้จับสัตว์ป่าอันตรายอยู่บ่อยครั้งด้วย  


 


 


รูปร่างของของสิ่งนี้เหมือนเครื่องเป่าลม ใช้แก๊สกดอัดขับเคลื่อน ยิงไกปืนแล้วจะมีตาข่ายเชือกพร้อมตัวถ่วงน้ำหนักสี่ด้านพุ่งออกมา ตาข่ายเชือกจะกางออกมาเองเมื่ออยู่กลางอากาศ เจอสิ่งกีดขวางก็จะพันแน่นโดยอัตโนมัติ  


 


 


ขั้นตอนการยิงปืนตาข่ายต้องใช้เวลานานกว่าปืนเทเซอร์เล็กน้อย ที่จริงใช้ไม่ค่อยได้ผลกับคน เพราะคนยืนนิ่ง มีสองมือว่องไว หลังจากถูกตาข่ายคลุม ขอเพียงไม่ตื่นตระหนกเกินไป พอเข้าใจสถานการณ์แล้ว ใช้เวลาสิบกว่าวินาทีก็หลุดออกจากตาข่ายเชือกได้แล้ว อีกอย่างคนที่ถูกตาข่ายจับยังควักมีด ปืน หรืออาวุธอันตรายต่างๆ ออกมาโจมตีกลับได้ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ของสิ่งนี้ในพื้นที่ของตำรวจ ปืนเทเซอร์ยังใช้ได้ดีกว่าอีก  


 


 


ปืนเทเซอร์เหมาะกับการรับมือคน ไม่เหมาะรับมือกับสัตว์ป่า ตรงกันข้ามกับปืนยิงตาข่าย มันใช้ได้ผลอย่างน่าประหลาดกับการจับสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นสิงโตหรือเสือ ถูกตาข่ายเชือกพันแล้วก็ยากจะดิ้นหลุด ทำได้แค่ยอมแพ้ไปเอง  


 


 


ฟราเทอร์โกรธจัด มันอยากดิ้นออกจากตาข่ายเชือก แต่ตาข่ายเชือกกลับรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เป็นภูตสัตว์เลี้ยง มันฉลาดกว่าหมาป่าทั่วไปมาก รู้ว่าดิ้นแบบนี้ไม่มีประโยชน์ ต้องใช้ฟันกัดตาข่ายเชือกให้ขาดเป็นรู มันถึงจะหลุดออกไปได้  


 


 


ถ้ามันมีเวลามากพอ มันอาจจะทำได้ ถึงแม้ตาข่ายเชือกไนล่อนจะแข็งแค่ไหน มันก็มั่นใจในฟันอันแหลมคมของตัวเอง  


 


 


แต่ผู้คุมสองสามคนนี้ไม่คิดจะให้มันสมปรารถนา มันเพิ่งกัดเป็นรูเล็กๆ พวกเขาก็ล้อมเข้ามา กดหัวและตัวของมันกันอุตลุต จนตัวมันแนบติดไปกับพื้น  


 


 


จบเห่แล้ว ฟราเทอร์รู้ดีอยู่แก่ใจ ตกอยู่ในมือของคนพวกนี้ เกรงว่าอยู่ยังไม่สู้ตาย  


 


 


พวกเขาจับเป็นมันไม่ใช่เพราะสงสาร แต่ตรงกันข้าม พวกเขาจับเป็นมันก็เพื่อทรมานมันให้มากขึ้น หลังจากทรมานถึงขีดสุดก็ค่อยฆ่ามัน  


 


 


เมแกนก็เคยเจอแบบนี้  


 


 


เป็นสิ่งที่คนคนนั้นซึ่งถูกตรึงบนไม้กางเขนเคยประสบเมื่อสองพันปีก่อน  


 


 


หางตาของฟราเทอร์มองเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนขึ้น ร่างกายไม่บอบช้ำเลยแม้แต่น้อย ท่าทางเธอคงแสร้งทำเป็นบาดเจ็บ เธอกับพวกผู้คุมพูดคุยกันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกเดียวกัน  


 


 


ถึงจะเป็นอย่างนั้น มันก็โกรธเพราะตัวเองถูกปั่นหัว และถูกคนชั่วพวกนี้จับกุมเอาไว้ แต่มันกลับไม่รู้สึกเสียใจ ถ้าให้โอกาสมันเลือกอีกสักครั้ง มันได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ยังอยากมาช่วยคนอยู่ดี แต่จะระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เหมือนกับจางจื่ออัน  


 


 


มันรู้ว่าจางจื่ออันระวังตัวมาก ต้องรู้สถานการณ์ให้แน่ชัดก่อนค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร  


 


 


ที่จริงมันก็ระวังตัวมากแล้ว ดังนั้นถึงพวกนักล่าสัตว์ในช่วงยุคกลางคิดวิธีแทบตายก็ยังจับมันไม่ได้ แต่มันดูถูกเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ไม่รู้ว่าจะมีศัตรูของสัตว์ป่าอย่างปืนยิงตาข่ายอยู่ด้วย  


 


 


มันยังไม่เลิกดิ้น ยังอ้าปากหมายจะกัดผู้คุมพวกนั้นอยู่ตลอด ถึงแม้ตายก็ต้องลากพวกเขาลงนรกไปด้วยกัน  


 


 


เอ๋งๆ…  


 


 


มันเสียความสามารถในการจู่โจมกลับโดยสิ้นเชิง แม้แต่ด่าคนพวกนี้อย่างเจ็บแสบก็ทำไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียงหงิงๆ ออกมา  


 


 


ตอนนี้เอง มันได้กลิ่นบางอย่าง จึงหันหน้าไปชำเลืองมอง ถึงเห็นแมวตัวหนึ่งกำลังเยื้องย่างเข้ามา บนหน้าผากมีลายรูปตัวเอ็มเตะตามาก  


 


 


หงิงๆ…  


 


 


แม้ฟราเทอร์จะไม่เคยเจอแมวตัวนี้ แต่ลางสังหรณ์บอกมันว่า อีกฝ่ายเป็นหัวหน้าก่อการร้ายที่สั่งให้แมวประหลาดพวกนั้นทำลายระบบนิเวศป่า เป็นหนึ่งในตัวการของเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันอยากจะกินเนื้อเจ้าแมวทั้งเป็นใจจะขาด  


 


 


แมวตัวนั้นมองมันอย่างเยือกเย็น ก่อนจะหัวเราะเยาะเย้ย “สุดท้ายเจ้าก็พ่ายแพ้แล้ว ผู้ชนะในการแย่งชิงความศรัทธาครั้งนี้มีเพียงข้า”  


 


 


หงิงๆ…  


 


 


ฟราเทอร์อยากคำราม อยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้าแมวตัวนี้ อยากใช้ทุกวิถีทางยั่วโมโหศัตรู ‘เก่งจริงก็ฆ่าข้าเสียสิ!’  


 


 


“ไม่ ข้าไม่ฆ่าเจ้าเร็วขนาดนี้หรอก เจ้ามีประโยชน์ต่อข้ามาก” แมวเลื่อนสายตามองไปในป่ามืดทึบ นั่นเป็นทิศทางที่ฟราเทอร์วิ่งมา จากนั้นก็หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้าเป็นเหยื่อล่อของข้า ช่วยข้าจัดการภูตสัตว์เลี้ยงพวกนั้นในคราวเดียว!”  


 


 


หัวใจของฟราเทอร์เหมือนตกเข้าไปในอุโมงค์น้ำแข็ง นี่คือเรื่องที่มันไม่อยากเห็นที่สุด   

 

 


ตอนที่ 1608 ความเกลียดกำจัดยาก

 

จางจื่ออันเดินกลับมายังทุ่งนา ก็เห็นหมูป่าฝูงนั้นยังโค้งก้นใส่เขา สะบัดหางเล็กๆ พร้อมกับร่างกายที่ส่ายไปมา เหมือนคลายความตึงเครียดลงบ้างแล้ว มันหันมามองเขาช้าๆ แต่มันที่สายตาสั้นคงจะมองเห็นแค่ร่างคนเลือนราง จากนั้นก็กินธัญพืชต่อ  


 


 


ก่อนหน้านี้ฝูงหมูป่ายังทีท่าทางก้าวร้าว ทำไมตอนนี้…  


 


 


เขาไม่กล้าเดินผ่านข้างตัวหมูป่าจาก จึงได้แค่เดินอ้อมจากทางทุ่งนาอยู่ไกลๆ เดินมาได้ครึ่งทางแล้วก็ได้ยินเฟยหม่าซือตะโกนเรียกให้เขาเข้าไปโดยเร็ว  


 


 


เขาเห็นเฟยหม่าซือปลอดภัย ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน เขาก็สบายใจขึ้นมา แต่ก็สังเกตเห็นทันทีว่าฟราเทอร์ไม่ได้อยู่ตรงนี้ หรือว่ามันวิ่งไปขับถ่ายในป่า?  


 


 


“เมื่อกี้ใครร้องโหยหวน”  


 


 


“เฟยหม่าซือ ฟราเทอร์ล่ะ?”  


 


 


เขากับเฟยหม่าซือแทบจะพูดขึ้นพร้อมกัน แล้วก็ปิดปากพร้อมกัน รอให้อีกฝ่ายถามก่อน สุดท้ายก็เป็นจางจื่ออันที่ตอบคำถามของเฟยหม่าซือก่อน สรุปเหตุการณ์ทางฝั่งของเขาเมื่อครู่ให้ฟังสั้นๆ  


 


 


ส่วนเฟยหม่าซืออธิบายเหตุการณ์ที่มันกับฟราเทอร์ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของผู้หญิง จากนั้นฟราเทอร์ก็ไปช่วยคน  


 


 


“มีคนร้องขอความช่วยเหลือ? เมแกนเหรอ?” เขาขมวดคิ้วถาม ความคิดแวบแรกคือเมแกนออกจากหมู่บ้านอินเดียแดงโดยพลการ  


 


 


“ไม่รู้สิ ฟังไม่ออก” เฟยหม่าซือตอบ  


 


 


“ฟราเทอร์ไปนานหรือยัง”  


 


 


“อืม…” เฟยหม่าซือไม่ได้ใส่นาฬิกา ทำได้แค่กะเวลาคร่าวๆ เพราะมันเป็นห่วงสถานการณ์ทางฝั่งจางจื่ออัน แล้วก็เป็นห่วงว่าฟราเทอร์จะเจออันตราย มันจึงเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา เวลาจะดูจะผ่านไปช้าด้วย จึงพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “พูดยากเหมือนกัน น่าจะสิบกว่านาทีแล้วมั้ง?”  


 


 


มีทางเลือกอยู่ข้างหน้าจางจื่ออันสองทาง หนึ่งคือตามไปดูตอนนี้ สองคือขนกระเป๋าใส่อาหารกลับไปวางที่หมู่บ้านก่อน เพื่อยืนยันสถานการณ์ของเมแกน จากนั้นค่อยไปตามหา  


 


 


เขาคิดอยู่สักพักหนึ่ง รู้สึกว่าเมแกนไม่เหมือนวัยรุ่นที่หัวรั้น นอกเสียจากเกิดอุบัติเหตุอย่างไฟไหม้หมู่บ้าน ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่น่าจะขัดคำสั่ง แถมยังออกจากบ้านอีก  


 


 


“พวกเราไปเรียกฟีน่ากันก่อน แล้วค่อยไปดูพร้อมกัน” เขาซ่อนกระเป๋าสะพายไว้บนแง่งกิ่งไม้ที่แยกออกไปทางซ้ายและขวากิ่งหนึ่ง ทั่วไปแล้วไม่ค่อยมีใครเงยหน้าเวลาเดินป่าตอนกลางคืน คงไม่น่าถูกพบง่ายๆ  


 


 


เขากับพวกภูตสัตว์เลี้ยงกลับไปในป่า เห็นฟีน่ากับเสวี่ยซือจื่อยังอยู่ดี อีกทั้งเสวี่ยซือจื่อยังคลอเคลียถูไถกับตัวฟีน่าอีก้วย ท่าทางรุ่มร่าม เป็นแมวลามกจริงๆ คิดจะใช้ป่าลึกไร้คนยามค่ำคืนทำเรื่องที่พวกคู่รักชอบทำกัน  


 


 


ฟีน่ากลับไม่ได้สบายใจเหมือนเสวี่ยซือจื่อ มันจับตามองแมวที่หันหน้าหาต้นไม้เพื่อสำนึกผิดพวกนั้นอย่างเข้มงวด แต่ก็ว้าวุ่นใจขึ้นเรื่อยๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าพวกมันยังมีท่าทางลับๆ ล่อๆ ทั้งที่อยู่ใกล้แค่คืบ พวกมันไม่รู้จักกลัวเลย ยังกล้าขับถ่ายต่อหน้ามันด้วย  


 


 


ไม่เพียงเท่านั้น มันรู้สึกว่าพวกมันกำลังจะก่อเรื่องอีกครั้ง ยังมีกลิ่นอายแปลกๆ ตลบอบอวลอยู่ในอากาศ มันรู้สึกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ถึงแม้พวกมันขัดคำสั่งของมันขึ้นมากะทันหันก็ไม่แปลก  


 


 


“ฟีน่า พวกเธอไม่เป็นไรใช่ไหม”  


 


 


การปรากฏตัวของจางจื่ออันทำให้ฟีน่าสบายใจแล้ว  


 


 


“ข้าจะเป็นอะไรได้อย่างไร เจ้าเสียมากกว่า จัดการเรื่องที่ควรจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ฟีน่าร้องเฮอะเสียงหนึ่ง แล้วชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความกระวนกระวายแบบเมื่อครู่เลยสักนิด  


 


 


“เรื่องของฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว ฟราเทอร์ได้ยินว่ามีคนร้องขอความช่วยเหลือ ก็เลยวิ่งไปช่วยแล้ว ฉันเป็นห่วงว่ามันจะเจอเรื่องยุ่ง ก็เลยมาเรียกพวกเธอให้ไปด้วยกัน” จางจื่ออันอธิบายสถานการณ์  


 


 


“แล้วจะทำอย่างไรกับแมวพวกนี้? ถ้าข้าไป พวกมันน่าจะทำเรื่องเจ้าเล่ห์” ฟีน่ามองแมวพวกนี้ด้วยสีหน้าลำบากใจ  


 


 


“เธออยู่เฝ้ามันที่นี่ตลอดไปไม่ได้” จางจื่ออันโน้มน้าว “พวกมันก็แค่ลูกกระจ๊อก ลูกน้องตัวเล็กๆ แบบพวกมันต้องมีอีกมากแน่นอน หรือว่าเธอต้องสนใจทุกตัว?”  


 


 


เขาจัดการเรื่องที่ควรทำเสร็จแล้ว และไม่กลัวว่าแมวพวกนี้จะรายงานข่าวผ่านสายลมหรือเล่นลูกไม้เล็กๆ  


 


 


ฟีน่าก็รู้ว่าเขาพูดมีเหตุผล แต่มันเกลียดที่ตอนนี้มันอยู่ลำพัง ถ้าอยู่นอกป่า มันจะต้องรวบรวมแมวบ้านแถวนี้มาตัดสินและลงโทษแมวพวกนี้แน่นอน  


 


 


“ได้ เช่นนั้นก็ไปเถอะ นับว่าพวกเจ้าได้เปรียบแล้ว” มันบ่นอย่างเกลียดชัง และไปจากป่าแห่งนี้กับจางจื่ออัน  


 


 


เดินไปได้พักหนึ่ง มันก็หันไปมองแมวพวกนั้น เห็นว่าพวกมันหยุดหันหน้าสำนึกผิดให้ต้นไม้แล้วจริงๆ ก็กระซิบกันสองสามคำ แล้วออกจากป่าไปยังทิศทางตรงกันข้าม  


 


 


ฟีน่าหยุดฝีเท้า เปลี่ยนใจแล้ว “พวกเจ้าไปเถอะ ข้าต้องไปตามรอยแมวพวกนั้น”  


 


 


จางจื่ออันอดขมวดคิ้วไม่ได้ ในป่ามีอันตรายรอบด้าน ศัตรูเหมือนเสือจ้องเหยื่อ ไม่ควรแยกกลุ่มกันเลย  


 


 


“แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง…”  


 


 


เขากำลังจะเอ่ยปากโน้มน้าว แต่ฟีน่ารู้ว่าเขาจะทำอย่างนั้น จึงปฏิเสธอย่างแน่วแน่ “ไม่ต้องพูดมาก! ข้าตัดสินใจแล้ว! หากหาตัวการหลังฉากที่สั่งการแมวพวกนี้ไม่เจอ ข้าก็ไม่มีหน้าจะออกจากป่าแห่งนี้!”  


 


 


มันเกลียดผู้สั่งการหลังฉากเข้ากระดูกดำ ตั้งใจแล้วว่าจะต้องให้อีกฝ่ายชดใช้ มันอดกลั้นความโกรธนี้ไม่ได้  


 


 


ฟีน่าไม่ได้สนใจเรื่องไปช่วยฟราเทอร์เท่าไร เพราะมันไม่ได้สนิทกับฟราเทอร์ และไม่คิดว่าฟราเทอร์จะเจอเรื่องอันตราย ข้างกายจางจื่ออันยังมีภูตสัตว์เลี้ยงคอยช่วยอยู่ ขาดมันแค่ตัวเดียวคงไม่เป็นไร  


 


 


จางจื่ออันทั้งร้อนใจทั้งจนใจ เมื่อครู่ฟีน่าต้องอยู่เฝ้าแมวพวกนั้นที่นี่ เพราะอยู่ห่างกันไม่ไกล ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นยังรับมือได้ทัน แต่ตอนนี้มันอยากตามรอยแมวพวกนั้นเข้าไปในป่าลึก มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าพวกมันวิ่งไปที่ไหน ป่ากว้างใหญ่ขนาดนี้ เขาจะไปเจอกับฟีน่าได้ที่ไหน  


 


 


“เมี๊ยวๆๆ! ฝ่าบาท! ไม่ว่าท่านจะขึ้นเขาลงห้วย ข้าน้อยยินยอมร่วมทางไปด้วย เคียงข้างกันไปกับท่าน!” เสวี่ยซือจื่อรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสจะสลัดจางจื่ออันทิ้ง จึงขออาสาอย่างกระตือรือร้น  


 


 


“ไม่ เจ้าตามเขาไป เจ้าตามข้าไม่ทัน จะถูกพวกมันพบเข้า” ครั้งนี้ฟีน่ากลับปฏิเสธ  


 


 


ทุกคนรู้ว่าเสวี่ยซือจื่อขาสั้นวิ่งช้า และเพราะมันขนยาวเกินไป ระหว่างทางถูกหนามพุ่มไม้และกิ่งไม้พันขนไม่น้อย เจ็บจนต้องร้องซี๊ดๆ ไม่มีทางทำภารกิจลับอย่างการตามรอยได้  


 


 


เสวี่ยซือจื่อนอนลงบนพื้น เริ่มกลิ้งไปทั่ว ขนสีขาวราวกับหิมะจึงมีใบไม้แซมติดอยู่เต็มไปหมด กลิ้งเสียจนเนื้อตัวสกปรก “ไม่เอา! ไม่เอา! ข้าน้อยจะไปกับฝ่าบาท!”  


 


 


แต่น่าเสียดาย ไม่ว่ามันจะอ้อนวอนอย่างไร ฟีน่าก็ไม่ไหวติง ปกติมันยอมตามใจเสวี่ยซือจื่อ แต่ตอนนี้เป็นเวลาพิเศษ ให้เสวี่ยซือจื่อมาถ่วงเวลาไม่ได้  


 


 


เวลาคับขัน ไม่รู้ว่าทางฟราเทอร์เจออุบัติเหตุหรืออันตรายเข้าหรือเปล่า ส่วนทางแมวพวกนั้นก็เดินห่างออกไปเรื่อยๆ และเริ่มหายเข้าไปในป่าแล้ว  


 


 


จางจื่ออันกำลังลำบากใจว่าต้องโน้มน้าวฟีน่าที่จิตใจเด็ดเดี่ยวอย่างไร ตอนนี้เองเหล่าฉาก็ก้าวออกมาพูดว่า “แม้ฝ่าบาทจะเชียวชาญทั้งบู๊บุ๋น แต่อยู่ลำพังก็ยากจะสำเร็จเพราะขาดกำลังสนับสนุน หาไม่รังเกียจที่ข้าอายุมาก ข้าก็อยากร่วมทางไปกับฝ่าบาท”   

 

 


ตอนที่ 1609 ปิดล้อม

 

จางจื่ออันเคารพความตั้งใจส่วนตัวของพวกภูตสัตว์เลี้ยงมาโดยตลอด ถ้าพวกมันยืนกรานจะทำเรื่องอะไร ทั่วไปแล้วเขาจะไม่ต่อต้านอย่างเด็ดขาด แค่ช่วยพวกมันแยกแยะข้อดีและข้อเสีย ถ้าพวกมันเข้าใจข้อดีและข้อเสียแล้วยังอยากจะทำอีก เขาก็ทำได้แค่ช่วยเหลือพวกมันอย่างเต็มที่ 


 


 


เขาดูออกว่าฟีน่าชิงชังผู้บงการหลังฉากที่สั่งการให้แมวทำเรื่องเลวร้าย มันจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะลากคออีกฝ่ายออกมาจนไม่มีทางหนีทีไล่ แต่หากเขาตอบตกลงไปทั้งอย่างนี้ เขาก็ไม่วางใจในความปลอดภัยของมัน 


 


 


ถ้ามีภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นยินยอมไปด้วยกันก็คงดี แต่เรื่องนี้ควรจะสมัครใจเอง ไม่ใช่บังคับกัน 


 


 


การอาสาของเหล่าฉาทำให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย ทุกคนรู้ฝีมือของเหล่าฉา แม้มันชอบบอกว่าตัวเองแก่ แต่มันก็แค่ไม่เคลื่อนไหวเท่านั้น พอเคลื่อนไหวทีก็รวดเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าภูตสัตว์เลี้ยงตัวไหน มันกับฟีน่าทำภารกิจด้วยกัน ไม่ต่างอะไรกับมีประกันชีวิตแพ็คคู่ 


 


 


จางจื่ออันถึงคิดว่ายังพอรับได้ ไม่อย่างนั้นฟีน่าไปคนเดียวคงจะอันตรายเกินไป ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้แต่ความเป็นไปได้ที่จะกลับมาช่วยก็ไม่มี เหล่าฉับกับฟีน่าไปด้วยกัน อย่างน้อยก็ดูแลกันได้ 


 


 


“ฟีน่า ท่านผู้เฒ่าฉาจะไปกับเธอ อย่างนี้ไม่มีปัญหาสินะ?” เขาถามเพื่อความแน่ใจ เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าอยู่ๆ ฟีน่าจะโวยวายยืนกรานไปคนเดียวอีกหรือเปล่า นิสัยของเจ้าตัวนี้คาดเดายากจริงๆ 


 


 


ฟีน่าไม่สงสัยความสามารถของเหล่าฉา แต่มันมั่นใจในตัวเองมากกว่า รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่จะเสียมารยาทหากปฏิเสธความหวังดีของเหล่าฉา จึงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ “เช่นนั้นก็ดี แต่นี่เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวของข้า หากไม่มีความจำเป็น เจ้าอย่าได้เข้ามาแทรก” 


 


 


เหล่าฉายิ้มยินดี “ที่ข้าเคารพก็คือ ทุกสิ่งที่ฝ่าบาทมอง” 


 


 


เขายังคิดว่าตกลงกันตามนี้แล้ว แต่วลาดิเมียร์กลับยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาพูดว่า “ฉันก็อยากไปดูความคึกคัก ผู้บงการหลังฉากทำความผิดมหันต์ และจิตใจชั่วร้าย ฉันอยากดูนักว่ามันเป็นใครกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะบ้าระห่ำขนาดใช้แมวเหมียวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาทำเรื่องชั่ว!” 


 


 


จางจื่ออันค่อนข้างแปลกใจ “นายก็อยากไปเหรอ” 


 


 


วลาดิเมียร์พยักหน้า กำหมัดแน่นพลางพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นแมวบ้านหรือแมวจรจัด แมวเหมียวที่ถูกขูดรีดและกดขี่ทั่วใต้หล้าคือครอบครัวเดียวกัน จำเป็นต้องร่วมมือกัน!” 


 


 


จางจื่ออันใช้สายตาสอบถามความเห็นของฟีน่า หากมันไม่ปฏิเสธ เขาก็ไม่มีเหตุผลจะคัดค้าน การเข้าร่วมของวลาดิเมียร์ไม่ต่างอะไรกับเสือติดปีก ไม่ว่าเจออันตรายอะไร แมวรวมกันสามตัวอย่างน้อยก็หนีเอาตัวรอดกันได้ 


 


 


พละกำลังของวลาดิเมียร์ยังโดดเด่นกว่าใครเพื่อน และเก่งกาจด้านรับมือกับสิ่งที่เหนือจินตนาการพวกนี้ อย่างเช่น รูปปั้นเทพแมวเมื่อครั้งก่อน กรงเล็บแหลมของฟีน่าไม่มีทางทำอันตรายมันได้ แต่หมัดเหล็กของวลาดิเมียร์กลับจัดการให้มันกลับร่างเดิมได้ 


 


 


“ข้าไม่โต้แย้ง แต่อย่างนี้ ทางฝั่งเจ้า…” 


 


 


สำหรับฟีน่าแล้ว มีเหล่าฉาเพิ่มขึ้น บวกกับวลาดิเมียร์อีกตัวก็ไม่เป็นไร แต่มันไม่ได้ตกลงทันที แล้วกวาดสายตามองข้างหลังเขาด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง 


 


 


ถ้าแบ่งกลุ่มกันอย่างนี้ ภูตสัตว์เลี้ยงที่ต่อสู้ได้ทางฝั่งของจางจื่ออันก็มีแค่เฟยหม่าซือ และพอจะนับรวมเสวี่ยซือจื่อได้อยู่ 


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันไม่แพ้ง่ายๆ หรอกนะ!” จางจื่ออันตบปืนเทเซอร์ สเปรย์ป้องกันหมี และคบไฟถนนตรงเอว แล้วชี้สมองของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “ที่สำคัญที่สุดคือสติปัญญาของฉัน” 


 


 


แต่นิ้วมือของเขากลับจิ้มถูกบางสิ่งที่เหมือนมีขนปุย 


 


 


นั่นเป็นริชาร์ดที่กระโดดจากช่องฮู้ดขึ้นมาบนไหล่ของเขาอย่างไม่พลาดโอกาส “แกว๊กๆ! ขอบคุณที่ชม ข้าคู่ควรแล้ว!” 


 


 


“อย่าคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียว! ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า!” ฟีน่ายกอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งอย่างโมโห ทำท่าทางอยากจะตัดมัน 


 


 


ตกลงตามแผนนี้ ฟีน่าและแมวอีกสองตัวไปตามรอยฝูงแมว ส่วนจางจื่ออันพาภูตตัวอื่นไปตามหาฟราเทอร์ ถ้าทั้งสองฝ่ายเดินออกไปไกลเรื่อยๆ ช้าที่สุดก็ฟ้าสว่าง ต้องกลับไปเจอกันที่ชายทะเล และเจอกับเซฮวา ไม่ว่าบรรลุจุดประสงค์หรือไม่ ถึงตอนนั้นค่อยปรึกษาปฏิบัติการต่อไปอีกที 


 


 


ฟีน่ารอไม่ไหวแล้ว มันสาวเท้าตามไปทางที่ฝูงแมวจากไปทันที ส่วนเหล่าฉากับวลาดิเมียร์ตามอยู่ข้างหลัง 


 


 


จางจื่ออันมองส่งพวกมันจากไป “พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ ไม่รู้ทางฟราเทอร์เป็นยังไงแล้ว” 


 


 


เฟยหม่าซือวิ่งนำหน้า ตามกลิ่นที่ฟราเทอร์ทิ้งไว้ ส่วนเขากับภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่นเดินตามหลัง 


 


 


ยิ่งเสียเวลามาก เขากับเฟยหม่าซือยิ่งรู้สึกว่าฟราเทอร์จะยิ่งเป็นอันตราย เพราะมันวิ่งออกจากหมูป่าไกลมากพอแล้ว ก็น่าจะหอนเรียกฝูงหมาป่ามาได้ แต่พวกเขากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย 


 


 


พวกฟีน่าเป็นผู้มีฝีมือชั้นสูงในการตามรอย พวกมันตามหลังฝูงแมวอย่างระมัดระวัง รักษาระยะห่างอย่างพอดิบพอดี เพื่อกันไม่ให้ฝูงแมวรู้ตัว 


 


 


ตามอยู่พักหนึ่ง เหล่าฉาก็เข้าไปใกล้ฟีน่า แล้วพูดเสียงเบา “ฝ่าบาท เรื่องชักจะน่าสงสัยนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อะไรน่าสงสัย?” ฟีน่าตั้งใจมองฝูงแมว พลางถามไปเรื่อยเปื่อย 


 


 


เหล่าฉามองรอบๆ อย่างระแวดระวัง “ตามหลักการแล้ว ตัวการหลังฉากต้องนึกถึงความเป็นไปได้นี้แน่ พวกเราอาจจะตามแมวพวกนี้ไปเจอมันเหมือนตามรอยเถาวัลย์ไปเจอแตงโม เช่นนั้นมันอาจจะเตรียมป้องกัน…หรือตั้งใจให้แมวพวกนั้นพาพวกเราเข้าไปติดกับ และอาจจะให้แมวพวกนี้ก่อความวุ่นวายในป่า เป้าหมายก็คือแยกพวกเราออกจากกัน” 


 


 


เหล่าฉาเห็นโลกมากและมีความรู้กว้างขวาง อายุมากแต่ฉลาดเฉลียว เลยวัยใช้กำลังจัดการมานานแล้ว เมื่อเกิดเรื่องจึงคิดมากและรอบคอบกว่าใคร 


 


 


มันดูออกว่าฟีน่าโกรธจัด ไม่ได้ใจเย็นเหมือนปกติ ดังนั้นมันต้องตามฟีน่าไป เผื่อในกรณีที่ฟีน่าทำพลาด 


 


 


วลาดิเมียร์ก็เห็นด้วย “เหล่าฉาพูดถูก พวกเราต้องเตรียมแผนที่ดีที่สุด วางแผนให้ร้ายกาจที่สุด กองทัพของฉันไม่เคยรบโดยไม่เตรียมอาวุธ แต่ตอนนี้กลับถูกแมวพวกนี้จูงจมูกปั่นหัว หยุดวางแผนก่อนจะดีกว่า…” 


 


 


วันนี้ดวงดาวและพระจันทร์อับแสง พวกมันยังไม่มีเข็มทิศ แม้แต่ทิศทางก็แยกไม่ได้ จึงกังวลมากว่าจะหลงอยู่ในป่า 


 


 


ฟีน่าฟังแล้วว้าวุ่นใจ ลึกๆ ในใจมันรู้ว่าที่พวกมันพูดนั้นมีเหตุผล ตามต่อไปอย่างนี้ไม่ใช่วิธีที่ดี แต่ความหยิ่งยโสของมันไม่ยอมให้มันปล่อยตัวการหลังฉากไปทั้งแบบนี้ 


 


 


ตอนนี้เอง อยู่ๆ ฝูงแมวข้างหน้าก็หยุดเดิน แล้วหันกลับมาโดยพร้อมเพรียง ดวงตาที่เหมือนลูกไฟผีราวกับกำลังจ้องมันมายังพวกฟีน่า 


 


 


ถูกพบเข้าแล้วหรือ? 


 


 


ฟีน่าหน้าร้อนฉ่าขึ้นมา มันผู้สูงส่งมาตามรอยแมวธรรมดาก็เสียเกียรติอยู่แล้ว แต่ยังถูกพบเข้าอีก ยิ่งน่าอึดอัดเข้าไปใหญ่ 


 


 


มันกำลังลังเลว่าควรออกไปต่อว่าพวกมันสักยกเพื่อคลายความอึดอัดหรือไม่ ก็ได้ยินเหล่าฉาถอนหายใจ แล้วร้องตกใจเสียงเบา “ฝ่าบาท! พวกเราถูกล้อมแล้ว!” 


 


 


วลาดิเมียร์ก็สังเกตเห็นดวงตาสว่างไสวผุดขึ้นรอบๆ นี้แล้ว “เมี๊ยวแล้วก็เหมียว! กองทัพศัตรูปิดล้อมมากมายหลายหมื่นพัน การจัดเรียงลำดับการรบก็ยิ่งใหญ่ทีเดียว” 


 


 


ฟีน่าหันหน้ามองไปรอบๆ เห็นแมวบ้านหลากสีสองร้อยถึงสามร้อยตัวอยู่บนต้นไม้ ในรูต้นไม้ ในพงหญ้า และระหว่างซอกหินแถวนี้กระโดดออกมา ล้อมพวกมันสามตัวเอาไว้ พลางจ้องมองพวกมันด้วยเจตนาร้าย  

 

 


ตอนที่ 1610 ธรรมชาติของหมาป่า

 

มีเฟยหม่าซือนำทางอยู่ข้างหน้า จางจื่ออันไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะหลงทาง แค่ใช้กล้องส่องวัตถุในตอนกลางคืนเพ่งมองพื้นอย่างเดียวก็ไม่เป็นอันทำอย่างอื่นแล้ว เผลอนิดหน่อยก็อาจจะถูกกิ่งไม้หรือหญ้ารกพันเข้า 


 


 


เขาทั้งนึกถึงฟราเทอร์ ทั้งเป็นห่วงฟีน่า รู้สึกว่าทางฝั่งตัวเองเหมือนถูกมือล่องหนข้างหนึ่งดึงออกจากกัน นี่ไม่ใช่เรื่องดี นิ้วมือต้องกำหมัดถึงจะมีแรง แต่ตอนนี้กลับเหนื่อยล้าจากการวิ่งเต้น 


 


 


ไม่รู้เดินซวนเซมาไกลเท่าไร จางจื่ออันมองผ่านกล้องส่องวัตถุจึงเห็นแสงสว่างข้างหน้าก่อนพวกภูตสัตว์เลี้ยง และได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังมาแว่วๆ กำลังเดินล่องลอยอยู่ในป่าอยู่ไกลลิบๆ 


 


 


เขาเรียกเฟยหม่าซือ แล้วบอกให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงหยุด 


 


 


เฟยหม่าซือ กลิ่นของฟราเทอร์ยังไปถึงข้างหน้านั้นใช่ไหม” เขาถามเสียงเบา 


 


 


เฟยหม่าซือพยักหน้า 


 


 


ริชาร์ดห่อตัวอยู่ในฮู้ดอย่างแน่นหนา แล้วพึมพำว่า “ฮือแง เหมือนกับผีสาวร้องไห้ ซวยจริงๆ!” 


 


 


พูดตามเหตุผล กลางป่ามีนักเดินป่าเจออันตรายแล้วร้องขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ป่ากว้างใหญ่ขนาดนี้ และยังเป็นป่าลึกที่ไม่ได้รับความนิยมจากนักเดินป่า โอกาสที่นักเดินป่าไม่รู้จักกันสองคนจะเจอกันนั้นต่ำมาก เขาเดินมาหลายวันขนาดนี้แล้ว อย่าว่าแต่นักเดินป่าคนอื่นเลย แม้แต่ร่องรอยและซากขับถ่ายที่นักเดินป่าคนอื่นทิ้งไว้ยังไม่เคยเห็นเลย ทำไมถึงบังเอิญเจอกันตอนนี้ล่ะ 


 


 


ตรงนี้ใกล้รังโจรของหลีผีเท่อเกินไปแล้ว ยากจะให้เขาคิดในแง่ดีว่าผู้หญิงที่กำลังร้องไห้เป็นนักเดินป่าธรรมดาคนหนึ่ง 


 


 


ถึงไม่ใช่นักเดินป่า แต่อยู่ที่นี่ก็น่าสงสัยมาก 


 


 


เขาดีดหน้าผากของริชาร์ด “นี่! นายเลียนเสียงหมาป่าหอนได้หรือเปล่า” 


 


 


“แกว๊ก?” ริชาร์ดสะบัดหน้าผาก “อย่าทำให้ผมข้ายุ่ง! เลียนแบบหมาป่าหอนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ข้าไม่เข้าใจความหมาย ทำได้แค่เลียนแบบเสียง แต่เลียนแบบอินเนอร์ไม่ได้ แต่เอ็งคงไม่เข้าใจเรื่องนี้” 


 


 


นอกจากภาษานกแก้วตามความสามารถเดิมแล้ว ริชาร์ดยังเชี่ยวชาญภาษาต่างๆ ของมนุษย์ แต่ภาษาสัตว์และภาษานกกลับรู้น้อยมาก เพราะภาษาคนเป็นสิ่งที่มันมั่นใจจากการฝึกสอนทางวิทยาศาสตร์เป็นเวลานาน ขอแค่มั่นใจสักภาษาหนึ่ง ภาษาอื่นก็ไม่เป็นปัญหา แต่ภาษาสัตว์กับภาษานก มันไม่มีทางแทรกซึมเข้าไป และไม่มีทางเรียนได้ 


 


 


“ไม่เป็นไร เลียนแบบเสียงได้ก็พอแล้ว ถ้าฟราเทอร์อยู่ตรงหน้า มันจะต้องสนใจหรือตอบสนองแน่นอน” เขาพูด 


 


 


ริชาร์ดทำตามที่บอก มันยืดคอ “บรู๋ววว” 


 


 


พอฟังเสียงหอนที่มันเลียนแบบเผินๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงหมาป่าหอนจริงๆ แต่พวกหมาป่าจะต้องรู้สึกอีกแบบแน่นอน 


 


 


เสียงหมาหอนดังสะท้อนในป่าเงียบสงัด เสียงร้องไห้หยุดลงแล้ว ผ่านไปสักพักก็ดังขึ้นอีก เสียงร้องไห้ดังขึ้นกว่าเดิม แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากฟราเทอร์ 


 


 


“หรือว่ามีปัญหา” จางจื่ออันคิดดูแล้วก็รู้สึกสงสัย จึงให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงระมัดระวังมากขึ้น ก่อนค่อยๆ เดินไปข้างหน้าทีละก้าว 


 


 


เสวี่ยซือจื่อถูกบังคับให้แยกจากฟีน่า ในใจกลั้นความโกรธเอาไว้ มันเป็นห่วงความปลอดภัยของฟีน่า อยากจะจัดการเรื่องของฟราเทอร์หรือฝาไห่อะไรนี่ใจจะขาด แล้วมันก็จะได้รีบไปเจอฟีน่าสักที มันจึงไม่พอใจกับวิธีการเคลื่อนไหวอันเชื่องช้าของจางจื่ออัน 


 


 


“ถุยๆๆ! ชายเฮงซวยจู้จี้ทั้งวัน! ก็แค่ผู้หญิงร้องไห้โยเยคนหนึ่งไม่ใช่หรือ กลัวอะไรนักหนา! ข้าไม่เห็นกลัวเลย! น่าโมโหเสียจริง!” 


 


 


เสวี่ยซือจื่อบ่นพึมพำ จากนั้นก็เร่งความเร็ว พุ่งไปเป็นแมวนำหน้า อย่ามองว่ามันขาสั้นเชียว ตอนนี้ทุกคนกำลังเดินย่องไปข้างหน้า เผลอแป๊บเดียวมันก็สลัดทุกคนไว้ข้างหลังแล้ว 


 


 


จางจื่ออันขวางมันไม่ทัน และไม่กล้าเรียกมัน เพราะหากนี่เป็นกับดัก แล้วพวกเขาส่งเสียงวุ่นวายอยู่ตรงนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกตำแหน่งและเปิดเผยตัวตนให้ศัตรูรู้ แถมมันยังไม่ค่อยเชื่อฟังเสียด้วย 


 


 


เสวี่ยซือจื่อพุ่งออกมาจากในพงหญ้า ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพิงต้นไม้ก้มหน้าร้องไห้อยู่ ผ้าคลุมสั้นๆ ของเธอตกอยู่บนพื้นด้านข้าง คลุมอยู่บนร่างกายของสัตว์ตัวหนึ่ง แต่ดูจากสีขนและรูปทรงหางแล้วก็รู้ว่าเป็นฟราเทอร์ 


 


 


ฟราเทอร์นอนนิ่งอยู่บนพื้น ราวกับหลับใหลไปแล้ว 


 


 


เสวี่ยซือจื่อนิสัยใจกล้า มันวิ่งเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่สนใจฟราเทอร์ที่อยู่บนพื้นโดยสิ้นเชิง มันวิ่งตรงไปข้างๆ ผู้หญิงที่กำลังร้องไห้ ก่อนจะใช้กรงเล็บจิ้มเธอ ทำหน้าด้านพูดว่า “อยู่ไหม ก๊อกๆ?” 


 


 


เธอหยุดร้อง แล้วตะลึงในทันที สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ 


 


 


ตามแผนการแล้ว ถ้ามีสัตว์อื่นมาช่วยหมาป่าตัวนี้ ถ้าไม่ลอบมองเธอในระยะห่างออกไปช่วงหนึ่ง ก็จะวิ่งไปดูสภาพของหมาที่ถูกผ้าคลุมเอาไว้ข้างๆ แล้วแมวสีขาวตัวนี้เป็นอะไร ดวงตาแทะโลมมองเรือนร่างของเธอ กรงเล็บแมวยังดึงเสื้อผ้าของเธออย่างอยู่ไม่สุข… 


 


 


มือของเธอคลำหาปืนยิงตาข่ายที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง แต่อยู่ใกล้กันเกินไป ปืนยิงตาข่ายใช้ไม่ได้ผลในระยะห่างแค่นี้ 


 


 


เธอเงยหน้าชำเลืองมองบนต้นไม้ พวกผู้คุมที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ก็กำลังลังเล ถ้าพวกเขาใช้ปืนยิงตาข่าย ก็จะจับแมวกับเธอไว้ด้วยกันในตาข่าย และจะเปิดเผยแผนการของพวกเขาด้วย 


 


 


แผนของพวกเขาคือ ถ้าเป้าหมายปรากฏตัวพร้อมกัน พวกเขาจะจับเป้าหมายในตาข่ายเดียวจากบนต้นไม้ ถ้าเป้าหมายระมัดระวังตัวมาก ส่งตัวหนึ่งออกมาดูลาดเลาก่อน ก็จะให้เธอจับตัวที่มาดูลาดเลา พอเป้าหมายอื่นพุ่งเข้ามาช่วยก็ค่อยจับรวดเดียว แต่สถานการณ์ในตอนนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขา 


 


 


ตอนที่เธอกับพวกผู้คุมกำลังลังเล อยู่ๆ เธอก็สังเกตเห็นว่าแมวสีขาวใช้อุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งวาดไปมาบนตัวของเธอตลอด ส่วนอุ้งเท้าหน้าอีกข้างกลับแอบยื่นเข้าไปใต้ผ้าคลุม ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร เนื่องจากมันมีขนยาวสีขาว จึงเห็นการเคลื่อนไหวไม่ถนัดนัก 


 


 


ได้ยินแค่เสียงฉึบ กรงเล็บของเสวี่ยซือจื่อตัดเทปกาวบนปากของฟราเทอร์อยู่ มันมองไม่เห็นผ่านผ้าคลุม ทำได้แค่กวาดกรงเล็บไปมั่วๆ แต่ก็ตัดเทปกาวได้พอดี 


 


 


ในที่สุดฟราเทอร์ที่พูดได้ก็ใช้แรงทั้งหมดตะโกนว่า “วิ่งเร็ว! นี่คือกับดัก! ระวังคนบนต้นไม้ด้วย!” 


 


 


แม้ผู้หญิงและพวกผู้คุมจะฟังไม่ออกว่าหมาป่าตัวนี้กำลังหอนอะไร แต่รู้ดีว่าแผนแตกแล้ว และไม่ต้องอำพรางตัวอีกต่อไป 


 


 


เธอเตะเสวี่ยซือจื่อกระเด็นออกไปด้านหนึ่งทันที แล้วดึงผ้าคลุมบนตัวฟราเทอร์ออก เธอควักมีดผ่าตัดวาววับออกมาจากตรงไหนก็ไม่รู้ ก่อนจะกดลงบนข้างลำคอของฟราเทอร์ ตะโกนว่า “เจฟฟ์! ฉันรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่! รีบไสหัวออกมายอมแพ้! ไม่งั้นฉันจะฆ่าหมาป่าตัวนี้ทิ้ง!” 


 


 


“อย่าออกมา! ไม่ต้องสนใจข้า!” ฟราเทอร์ตะโกน 


 


 


“หุบปาก!” 


 


 


เธอออกแรงที่นิ้วมือ มีดผ่าตัดแหลมคมทะลุเนื้อของฟราเทอร์แล้ว 


 


 


ฟราเทอร์ไม่กลัวตายอยู่แล้ว จึงตะโกนต่อ “อย่าออกมา! อย่าติดกับ! ถึงเจ้ายอมแพ้ พวกเขาก็ไม่ปล่อยข้าไป และจะไม่ปล่อยเจ้าไปเช่นเดียวกัน!” 


 


 


“คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่าแกเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกกระอักกระอ่วน เธอยกมีดผ่าตัดขึ้นมาคิดจะกรีดฟราเทอร์ให้เลือดไหล 


 


 


“เดี๋ยวก่อน!” 


 


 


เงาดำขยับอยู่ในป่า แล้วก็เห็นจางจื่ออันยกมือขึ้นและเดินออกมา “ผมออกมาแล้ว มีอะไรก็พูดกันดีๆ อย่าฆ่ามันเลย” 


 


 


ฟราเทอร์ทั้งโกรธ ทั้งร้อนใจ มันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโง่แบบนี้ ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นกับดักก็ยังเดินออกมาอีก…แต่ในขณะเดียวกันมันก็ซาบซึ้งมาก คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอาตัวเข้ามาเสี่ยงเพื่อรักษาชีวิตของมัน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม